44 44
สูงกว่าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มคี ุณวุฒิความ สามารถ ความชำนาญ หรือความเชี่ยวชาญในระดบั
เดียวกนั เว้นแตจ่ ะเป็นการโอนตามวรรคสอง
การโอนพนักงานส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยระเบยี บบริหารงานบุคคลสว่ นทอ้ งถิน่ และข้าราชการอื่นซงึ่
เป็นผู้สอบแข่งขันได้หรือผู้ได้รับคัดเลือกมาให้บรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา ให้ทำได้
ตามหลกั เกณฑแ์ ละวิธกี ารท่ี ก.ค.ศ. กำหนด
มาตรา ๕๙ การย้ายข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อไปบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นข้าราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษาต้องได้รับอนุมัติจาก ก.ค.ศ. แต่ถ้าเปน็ การย้ายไปบรรจแุ ละแต่งตั้งในตำแหน่งซึ่ง ก.ค.ศ.ยัง
มิได้กำหนด จะกระทำได้เม่ือ ก.ค.ศ. กำหนดตำแหน่งแล้ว
มาตรา ๖๒ การแต่งต้ังบุคลากรทางการศึกษาตามมาตรา ๖๑ สำหรับผู้สอบแข่งขันได้ให้แต่งตั้งตามลำดับที่
ในบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ สำหรับผู้สอบคัดเลือกได้หรือผู้ได้รับคัดเลือกให้แต่งตั้งได้ตามความเหมาะสมโดยคำนึงถึง
ความประพฤติด้านวินัย คุณธรรม จริยธรรมจรรยาบรรณวิชาชีพ ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ ความชำนาญ
ความเช่ียวชาญ คณุ ภาพของผลงานท่ปี ฏบิ ตั ิและประวตั ิการรบั ราชการ
มาตรา ๖๓ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดได้รับการแต่งตั้งให้เลื่อนตำแหน่งหรือเลื่อนวิทย
ฐานะ โดยไม่เข้าเกณฑ์มาตรฐานตำแหน่ง หรือมาตรฐานวิทยฐานะ หรือไม่ผ่านกระบวนการเล่ือนตำแหน่ง หรือ
กระบวนการเลื่อนวิทยฐานะตามกฎหมาย หลักเกณฑ์และวิธีการท่ี ก.ค.ศ. กำหนด หรือผู้สั่ง สั่งไม่ถูกต้องหรือไม่มี
อำนาจส่งั ใหผ้ ู้มีอำนาจตามมาตรา ๕๓ ส่ังใหผ้ ูน้ ัน้ กลบั ไปดำรงตำแหน่งหรือวทิ ยฐานะเดมิ โดยพลัน
มาตรา ๖๔ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดออกจากราชการไปแล้วและมิใช่เป็นการออกจาก
ราชการในระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ ถ้าสมัครเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
และทางราชการประสงค์จะรับผู้นั้นเข้ารับราชการ ให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา ๕๓ สั่งบรรจุและแต่งตั้งผู้นั้นเป็น
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาโดยให้มีตำแหน่ง วิทยฐานะ และรับเงินเดือนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่
ก.ค.ศ. กำหนด
มาตรา ๖๕ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ออกจากราชการ
ไปปฏิบัติงานใดให้นับเวลาระหว่างนั้นสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญเหมือนเป็นเวลาราชการตามกฎหมายว่าด้วย
บำเหน็จบำนาญข้าราชการ ถา้ ผนู้ ้นั กลบั เข้ารบั ราชการภายในกำหนดเวลาที่คณะรฐั มนตรอี นุมัติแต่ไม่เกินสี่ปีนับแต่วัน
ไปปฏิบัติหน้าท่ีดังกล่าวใหผ้ ู้มีอำนาจตามมาตรา ๕๓ สั่งบรรจุและแต่งตั้งผู้นั้นเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการ
ศกึ ษาโดยใหม้ ีตำแหน่ง วทิ ยฐานะ และรบั เงินเดอื นตามหลักเกณฑ์และวิธกี ารท่ี ก.ค.ศ. กำหนด
มาตรา ๖๖ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดถูกสั่งให้ออกจากราชการเพื่อไปรับราชการทหาร
ตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร เม่อื ผ้นู น้ั พน้ จากราชการทหารโดยมิได้กระทำการใดๆในระหว่างรับราชการ
ทหารอันเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรงหรือได้ชื่อวา่ เป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงและผูน้ ัน้ ไม่เปน็ ผู้ขาดคุณสมบตั
ตามมาตรา ๓๐ และไม่ได้ถูกสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งตามมาตรา ๑๑๔ วรรคสอง เป็นให้ออกจากราชการตามมาตราอน่ื
หากประสงค์จะกลบั เขา้ รับราชการเปน็ ขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในหน่วยงานการศึกษาเดิม ใหย้ น่ื เร่ือง
ขอกลับเข้ารับราชการภายในกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันพ้นจากราชการทหารและให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา
๕๓ สั่งบรรจุและแต่งตั้งผู้นั้นเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยให้มีตำแหน่ง วิทยฐานะ และรับ
เงนิ เดอื นตามหลกั เกณฑแ์ ละวิธกี ารท่ี ก.ค.ศ. กำหนด
มาตรา ๘๕ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบยี บแบบแผนของทางราชการและหนว่ ยงานการศึกษา มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรฐั บาลโดยถือประโยชน์
สงู สดุ ของผู้เรียน และไมใ่ ห้เกดิ ความเสียหายแกท่ างราชการ
45
45
มาตรา ๘๖ ขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษาต้องปฏบิ ัติตามคำสั่งของผู้บังคบั บัญชาซึ่งส่ังในหน้าที่
ราชการโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบของทางราชการมาตรา ๘๘ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้อง
ประพฤติเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรียน ชุมชน สังคม มีความสุภาพเรียบร้อย รักษาความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อ
ผู้เรียนและระหว่างข้าราชการด้วยกันหรือผู้ร่วมปฏิบัติราชการ ต้อนรับ ให้ความสะดวก ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เรียน
และประชาชนผู้มา
ตดิ ตอ่ ราชการ
มาตรา ๙๕ ให้ผู้บังคับบัญชามีหน้าทีเ่ สริมสร้างและพัฒนาให้ผู้อยูใ่ ต้บังคับบัญชามีวนิ ัย ป้องกันมิให้ผู้อยู่ใต้
บังคับบญั ชากระทำผดิ วนิ ัย และดำเนินการทางวินัยแกผ่ อู้ ยใู่ ตบ้ งั คบั บัญชาซ่ึงมีกรณีอนั มีมูลท่ีควรกล่าวหาวา่ กระทำผิด
วินยั
มาตรา ๙๖ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดฝ่าฝืนข้อห้ามหรอื ไม่ปฏิบัตติ ามข้อปฏิบัติทางวนิ ัย
ตามทบี่ ญั ญตั ิไว้ในหมวดนี้ ผู้น้ันเปน็ ผู้กระทำผดิ วนิ ยั จกั ตอ้ งไดร้ บั โทษทางวินัยเว้นแตม่ ีเหตอุ ันควรงดโทษตามท่ีบัญญัติ
ไวใ้ นหมวด 7 โทษทางวินยั มี 5 สถาน คอื
(๑) ภาคทัณฑ์
(๒) ตัดเงนิ เดอื น
(๓) ลดข้นั เงนิ เดือน
(๔) ปลดออก
(๕) ไล่ออก
ผใู้ ดถกู ลงโทษปลดออก ให้ผนู้ ั้นมีสิทธไิ ดร้ บั บำเหน็จบำนาญเสมือนว่าเปน็ ผู้ลาออกจาก ราชการ
มาตรา ๙๗ การลงโทษข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ทำเป็นคำสั่ง วิธีการออกคำสั่งเกี่ยวกับ
การลงโทษให้เป็นไปตามระเบียบของ ก.ค.ศ. ผู้สั่งลงโทษต้องสั่งลงโทษให้เหมาะสมกับความผิดและมิให้เป็นไปโดย
พยาบาท โดยอคติหรอื โดยโทสจรติ หรอื ลงโทษผูท้ ี่ไมม่ ีความผิดในคำสั่งลงโทษใหแ้ สดงว่าผถู้ กู ลงโทษกระทำผิดวินัยใน
กรณใี ด ตามมาตราใด และมีเหตผุ ลอย่างใดในการกำหนดสถานโทษเช่นนน้ั
มาตรา ๙๘ การดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาซึ่งมีกรณีอันมีมูลที่ควร
กลา่ วหาว่ากระทำผิดวินยั ให้ผู้บังคบั บัญชาแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนเพ่ือดำเนนิ การสอบสวนให้ได้ความจริงและ
ความยตุ ิธรรมโดยมชิ ักช้า และในการสอบสวนจะต้องแจ้ง ขอ้ กลา่ วหา และสรปุ พยานหลักฐานท่สี นับสนุนข้อกล่าวหา
เท่าที่มีให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ โดยระบุหรือไม่ระบุชื่อพยานก็ได้ เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหามีโอกาสชี้แจงและนำสืบแก้ข้อ
กลา่ วหา
มาตรา ๑๐๗ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาออกจากราชการเมื่อ
(๑) ตาย
(๒) พ้นจากราชการตามกฎหมายวา่ ดว้ ยบำเหนจ็ บำนาญขา้ ราชการ
(๓) ลาออกจากราชการและได้รบั อนุญาตให้ลาออกหรอื การลาออกมผี ลตาม มาตรา ๑๐๘
(๔) ถูกสั่งให้ออกตามมาตรา 49, มาตรา 56 วรรคสอง, วรรคสาม หรือวรรคห้า,มาตรา๑๐๓, มาตรา ๑๑๐ -
๑๑๔ หรอื มาตรา ๑๑๘
(๕) ถกู ส่ังลงโทษปลดออกหรอื ไล่ออก
(๖) ถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เว้นแต่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอื่นที่ไม่ต้องมีใบอนุญาต
ประกอบวิชาชีพตามมาตรา ๑๐๙
46
46
มาตรา ๑๒๙ หน่วยงานทางการศึกษาใดท่ีได้มีการกำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติระเบยี บข้าราชการครู พ.ศ.
๒๕๒๓ ให้ถือว่าเป็นหน่วยงานการศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการ
กระทรวงศึกษาธกิ าร หรอื ก.ค.ศ.จะกำหนดไวเ้ ปน็ อยา่ งอื่น
มาตรา ๑๓๐ ข้าราชการครูตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ.ศ.๒๕๒๓ ที่ดำรง ตำแหน่งอยู่ใน
วันที่พระราชบัญญัตนิ ีใ้ ช้บังคับ ให้ถือว่าเปน็ ขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้ และดำรง
ตำแหนง่ หรอื ดำรงตำแหน่งทมี่ ีวิทยฐานะตามท่ี ก.ค.ศ. กำหนด
มาตรา ๑๓๕ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาซึ่งโอนมาจากพนักงานส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายว่า
ดว้ ยระเบยี บบริหารงานบุคคลส่วนท้องถ่นิ หรือขา้ ราชการอ่ืนตามมาตรา ๕๘ กอ่ นวนั ท่พี ระราชบัญญัติน้ีใช้บังคับ ผู้ใด
กระทำผิดวินัยหรือมีกรณีทส่ี มควรให้ออกจากราชการหรือออกจากงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบยี บบริหารงานบุคคล
ส่วนท้องถิ่นหรือกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการนั้น อยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้
ผู้บังคับบัญชาตามพระราชบัญญัตินี้มีอำนาจดำเนินการทางวินัยแก่ผู้นั้นหรือดำเนินการให้ผู้นั้นออกจากราชการได้
ทั้งนใ้ี หน้ ำมาตรา ๑๐๖ และมาตรา ๑๑๘ มาใชบ้ งั คบั โดยอนโุ ลม
กฎหมายทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั ตำแหนง่ เงินเดอื นและสวัสดกิ ารขา้ ราชการครู
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งเงินเดือนและสวัสดิการข้าราชการครู มีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ในมาตรา ๓๑, มาตรา ๓๘ – ๓๙,
มาตรา ๔๑ – ๔๔, และมาตรา ๗๒ – ๗๗ พระราชบัญญัติเงินเดือน วิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ในมาตรา ๓ - ๕ พระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับท่ี
๔) พ.ศ. ๒๕๔๗ ในมาตรา ๕ และ ๑๒ ซง่ึ มรี ายละเอียดดงั ต่อไปน้ี
พระราชบญั ญตั ิระเบียบขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗
มาตรา ๓๑ อัตราเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ
ศึกษา ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศกึ ษา
มาตรา ๓๘ ตำแหนง่ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามี 3 ประเภท ดงั น้ี
ก. ตำแหน่งซ่ึงมีหนา้ ทีเ่ ป็นผสู้ อนในหนว่ ยงานการศึกษา ได้แก่ ตำแหน่งดังตอ่ ไปน้ี
(๑) ครูผชู้ ว่ ย
(๒) ครู
(๓) อาจารย์
(๔) ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์
(๕) รองศาสตราจารย์
(๖) ศาสตราจารย์
ตำแหนง่ ใน (๑) และ (๒) จะมีในหน่วยงานการศึกษาใดก็ได้ ส่วนตำแหนง่ ใน (๓) ถงึ (๖) ให้มใี นหน่วยงาน
การศกึ ษาทส่ี อนระดับปริญญา
ข. ตำแหนง่ ผูบ้ ริหารสถานศึกษาและผูบ้ ริหารการศกึ ษา ไดแ้ ก่ ตำแหนง่ ดงั ต่อไปนี้
(๑) รองผูอ้ ำนวยการสถานศึกษา
(๒) ผอู้ ำนวยการสถานศึกษา
(๓) รองผูอ้ ำนวยการสำนกั งานเขตพื้นที่การศึกษา
(๔) ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา
(๕) รองอธิการบดี
47
47
(๖) อธกิ ารบดี
(๗) ตำแหน่งท่เี รียกชื่ออยา่ งอ่ืนตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด
ตำแหน่งผู้บริหารใน (๑) และ (๒) ให้มีในสถานศึกษาและหน่วยงานการศึกษาตามประกาศกระทรวง
ตำแหน่งผู้บริหารใน (๓) และ (๔) ให้มีในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตำแหน่งผู้บริหารใน (๕) และ (๖) ให้มีใน
หนว่ ยงานการศกึ ษาท่ีสอนระดบั ปริญญา
ค. ตำแหนง่ บคุ ลากรทางการศกึ ษาอ่นื มีดงั ตอ่ ไปนี้
(๑) ศึกษานิเทศก์
(๒) ตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นตามที่ ก.ค.ศ.กำหนดหรือตำแหน่งของข้าราชการท่ี ก.ค.ศ.นำมาใช้
กำหนดใหเ้ ปน็ ตำแหนง่ ขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษาตามพระราชบัญญัติน้ี
มาตรา ๓๙ ใหต้ ำแหนง่ ข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษาดังต่อไปน้ี เป็นตำแหนง่ ทม่ี ีวิทยฐานะ ได้แก่
ก. ตำแหน่งครู มวี ทิ ยฐานะดังต่อไปน้ี
(๑) ครูชำนาญการ
(๒) ครชู ำนาญการพเิ ศษ
(๓) ครเู ช่ียวชาญ
(๔) ครูเชย่ี วชาญพเิ ศษ
ข. ตำแหน่งผบู้ ริหารสถานศึกษา มีวิทยฐานะดงั ตอ่ ไปน้ี
(๑) รองผ้อู ำนวยการชำนาญการ
(๒) รองผอู้ ำนวยการชำนาญการพิเศษ
(๓) รองผ้อู ำนวยการเชย่ี วชาญ
(๔) ผู้อำนวยการชำนาญการ
(๕) ผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ
(๖) ผ้อู ำนวยการเชี่ยวชาญ
(๗) ผอู้ ำนวยการเชยี่ วชาญพิเศษ
ค. ตำแหนง่ ผบู้ ริหารการศกึ ษา มีวิทยฐานะดังต่อไปน้ี
(๑) รองผู้อำนวยการสำนกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาชำนาญการพิเศษ
(๒) รองผ้อู ำนวยการสำนักงานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษาเชีย่ วชาญ
(๓) ผอู้ ำนวยการสำนักงานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษาเชย่ี วชาญ
(๔) ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาเชย่ี วชาญพเิ ศษ
ง. ตำแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์ มวี ทิ ยฐูานะ ดงั ตอ่ ไปน้ี
(๑) ศึกษานิเทศก์ชำนาญการ
(๒) ศกึ ษานิเทศก์ชำนาญการพเิ ศษ
(๓) ศกึ ษานเิ ทศก์เชย่ี วชาญ
(๔) ศึกษานิเทศก์เช่ยี วชาญพเิ ศษ
มาตรา ๔๑ ตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จะมีในหน่วยงานการศึกษาใดจำนวนเท่าใด
และต้องใช้คุณสมบัติเฉพาะสำหรบั ตำแหนง่ อย่างใด ใหเ้ ปน็ ไปตามท่ี ก.ค.ศ. กำหนด
มาตรา ๔๒ ให้ ก.ค.ศ.จัดทำมาตรฐานตำแหน่งมาตรฐานวิทยฐานะและมาตรฐานตำแหน่งทางวิชาการของ
ขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษาไวเ้ ป็นบรรทัดฐานทุกตำแหน่งทุกวทิ ยฐานะเพ่ือใชใ้ นการปฏิบตั ิงาน ท้งั น้ี โดย
48 48
คำนึงถึงมาตรฐานวิชาชีพ คุณวุฒิการศึกษา การอบรม ประสบ การณ์ ระยะเวลาการปฏิบัติงาน คุณภาพการ
ปฏบิ ัติงาน หรือผลงานทเ่ี กดิ ขึน้ จากการปฏิบัติหนา้ ที่
ในการจัดทำมาตรฐานตำแหน่งทุกตำแหน่ง ให้จำแนกตำแหน่งเป็นประเภทและสายงานตามลักษณะงาน
และจัดตำแหน่งในประเภทและรายงานท่ีมีลักษณะงานอย่างเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันให้อยูใ่ นตำแหน่งประเภทหรอื
สายงานเดียวกัน หรือโดยประมาณเป็นกลุ่มเดียวกันโดยแสดงชื่อตำแหน่งหน้าที่และความรับผิดชอบของตำแหน่ง
ลกั ษณะงานทป่ี ฏบิ ัติ และคุณสมบัติ เฉพาะสำหรบั ตำแหน่งของผทู้ ด่ี ำรงตำแหน่งน้นั
มาตรา ๔๓ ให้ ก.ค.ศ. หรือผู้ท่ี ก.ค.ศ. มอบหมายตรวจสอบการกำหนดตำแหน่งและการใช้ตำแหน่ง
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เหมาะสม ในกรณีที่ลักษณะหน้าที่และความรับผิดชอบ ประมาณงาน
คุณภาพงานของตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งใด ท่ี ก.ค.ศ. กำหนดเปลี่ยนแปลงไป ให้
ก.ค.ศ. หรือผูท้ ี่ ก.ค.ศ.มอบหมายพิจารณาปรบั ปรุงการกำหนดตำแหนง่ นนั้ ใหม่ใหเ้ หมาะสมตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
ท่ี ก.ค.ศ. กำหนด
มาตรา ๔๔ ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือน เงินวิทยฐานะและเงินประจำ
ตำแหนง่ ตามกฎหมายว่าดว้ ยเงนิ เดอื น เงินวทิ ยฐานะ และเงนิ ประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ผู้ใดจะไดร้ ับแต่งต้ังให้ดำรงตำแหน่งใด วทิ ยฐานะใด จะได้รับเงนิ เดือนอยา่ งใดตามมาตรา ๓๑ ให้เปน็ ไปตามที่ ก.ค.ศ.
กำหนด โดยให้ไดรับเงินเดือนในขั้นต่ำของอันดับ ในกรณีที่จะให้ได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำหรือสูงกว่า
ขั้นสงู ของอนั ดบั ให้เปน็ ไปตาม
หลักเกณฑแ์ ละวธิ ีการท่กี ำหนดในกฎ ก.ค.ศ.
มาตรา ๗๒ ใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชามีหน้าทีป่ ระเมินผลการปฏบิ ัตงิ านของขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษา
มาตรา ๗๓ การเลื่อนข้นั เงนิ เดือนของข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษาใหผ้ ู้บังคับ
บัญชาแตง่ ตง้ั คณะกรรมการขน้ึ พิจารณาภายใต้บังคับมาตรา ๗๔
มาตรา ๗๔ ให้ ก.ค.ศ. กำหนดขึ้นเงินเดือนประสิทธิภาพของตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการ
ศึกษาในตำแหนง่ ทมี่ วี ิทยฐานะ เพือ่ ให้ปฏบิ ัตงิ านบังเกิดผลดีและมีความก้าวหน้าและได้มาตรฐานงานของทางราชการ
ทง้ั น้ี ตามหลกั เกณฑ์และวธิ กี ารท่ี ก.ค.ศ.กำหนด
มาตรา ๗๕ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีผลงานดีเด่นเป็นท่ี
ประจักษ์ ให้กระทรวงเจา้ สงั กัด สว่ นราชการและหนว่ ยงานการศึกษาดำเนินการยกย่องเชดิ ชเู กยี รติตามควรแกก่ รณี
มาตรา ๗๖ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานการศึกษามีหน้าที่จัดสวัสดิการให้แก่ข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษา ตามความเหมาะสมกับฐานะทางสังคมและวิชาชีพเพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจให้ปฏิบัติงานอย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
มาตรา ๗๗ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่
ราชการ ใหจ้ ัดสวสั ดิการแก่ครอบครัวตามหลักเกณฑ์และวธิ ีการที่ ก.ค.ศ. กำหนดโดยความเหน็ ชอบของคณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีอาจพิจารณาเลื่อนขัน้ เงินเดือนให้แกผ่ ู้น้ันเป็นกรณีพิเศษ เพ่อื ประโยชน์ในการคำนวณบำเหน็จบำนาญก็
ได้
พระราชบัญญัตเิ งินเดือน เงนิ วิทยฐานะ และเงินประจำตำแหนง่ ขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา
พ.ศ. ๒๕๔๗
มาตรา ๓ อัตราเงินเดือน เงินวิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่งสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการ
ศึกษาทม่ี ีใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เป็นไปตามบัญชีอตั ราเงนิ เดือน เงินวิทย
ฐานะ และเงินประจำตำแหน่งท้ายพระราชบญั ญัติน้ี
49
49
ตำแหน่งที่ไม่มีใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้นำบัญชีอัตราเงินเดือน
และเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนตามกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง มาใช้บังคับโดย
อนุโลม
เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหนง่ ไมถ่ อื เป็นเงินเดือน
มาตรา ๔ คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการ
ครูและบุคลากรทางการศึกษาอาจเสนอแนะและให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีในกรณีที่ค่าครองชีพเปลี่ยนแปลงไป
มาก หรือการจัดสวัสดิการหรือประโยชน์เกื้อกูลสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษายังไม่เหมาะสมเป็น
ธรรม ความแตกต่างระหว่างรายได้ของข้าราชการประเภทอื่น ภาวะเศรษฐกิจ และฐานะการคลังของประเทศรวมทั้ง
ปัจจัยอ่นื ทจี่ ำเปน็ ด้วย
ในกรณีที่มีการปรับบัญชีอัตราเงินเดอื นและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตามกฎหมายว่าด้วยเงินเดือน
และเงินประจำตำแหนง่ สูงขึ้น ใหป้ รับอัตราเงนิ เดือน เงินวทิ ยฐานะและเงนิ ประจำ
ตำแหน่งตามพระราชบัญญตั ินี้
มาตรา ๕ ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นสมควรปรับอัตราเงินเดือน เงินวิทยฐานะและเงินประจำ
ตำแหน่งใหเ้ หมาะสมยง่ิ ข้นึ ถา้ การปรับอัตราดงั กลา่ วเปน็ การปรับเพม่ิ ร้อยละเท่ากนั ทุกอตั ราสำหรับข้าราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษา และไม่เกินร้อยละสิบของอัตราที่ใช้บังคับอยู่ เมื่อได้รับอนุมัติงบประมาณรายจ่ายจากรัฐสภา
เพอ่ื การน้ันแล้ว การปรบั ให้กระทำโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาและถือว่าบญั ชีอัตราเงินเดือน เงนิ วิทยฐานะและเงิน
ประจำตำแหน่งทา้ ยพระราชบัญญัติน้ี ทงั้ นี้ ในกรณที กี่ ารปรับเปน็ ร้อยละเทา่ กันทุกอตั ราดังกล่าว หากทำให้อัตราหน่ึง
อตั ราใดมเี ศษไม่ถึงสบิ บาท ใหป้ รบั ตัวเลขเงนิ เดือน เงินวทิ ยฐานะ และเงนิ ประจำตำแหน่งของอัตราดงั กล่าวให้เพ่ิมขึ้น
เปน็ สิบบาท และมิใหถ้ อื วา่ เปน็ การอตั ราร้อยละทีแ่ ตกต่างกัน
พระราชบญั ญตั ิเงนิ เดือนและเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับท่๔ี ) พ.ศ.๒๕๔๗
มาตรา ๕ ให้มีคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๑๕๔๔ และให้ใช้
ความต่อไปนี้แทนเรียนโดยย่อว่า “กงช.” ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ปลัดสำนัก
นายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
เลขาธิการสถิติแหง่ ชาติ ผ้วู า่ การธนาคารแหง่ ประเทศไทย ผแู้ ทนคณะกรรมการข้าราชการทหาร ผ้แู ทนคณะกรรมการ
ข้าราชการตำรวจ ผแู้ ทนคณะกรรมการขา้ ราชการพลเรอื นในมหาวทิ ยาลยั และผูแ้ ทนคณะกรรมการข้าราชการ
ฝา่ ยรัฐสภาคณะละหนง่ึ คน และบคุ คลซง่ึ นายกรัฐมนตรีแต่งตงั้ จากผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ ่ีมี
ความรู้ทางด้านการบริหารในภาครัฐหรือเอกชนและมีความรู้ความสามารถ และประสบ การณ์ด้านระบบ
เศรษฐกจิ เงินเดือนและคา่ จ้าง จำนวนหา้ คน เปน็ กรรมการ
ให้เลขาธกิ ารคณะกรรมการพลเรือนเป็นกรรมการและเลขานกุ าร และอธิบดกี รมบญั ชีกลางเปน็ กรรมการและ
ผชู้ ่วยเลขานกุ าร”
มาตรา ๑๒ อัตราเงินประจำตำแหน่งและการรับเงินประตำแหน่งของข้าราชการพลเรือน ข้าราชการพล
เรือนในมหาวิทยาลัย ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยในสถาบันการศึกษาของ
กระทรวงศึกษาธิการ ข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมอื ง และข้าราชการการเมือง ให้
เปน็ ไปตามบญั ชที า้ ยพระราชบัญญัตินี้
ข้าราชการพลเรือน ขา้ ราชการพลเรือนในมหาวทิ ยาลัย ผดู้ ำรงตำแหนง่ ผู้บริหารซ่ึงไมเ่ ป็นข้าราชการพลเรือน
ในมหาวิทยาลัยในสถาบันการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการข้าราชการทหาร และข้าราชการตำรวจประเภทใด
ตำแหนง่ ใดจะไดร้ บั เงนิ ประจำตำแหน่งทา้ ยพระราชบญั ญตั ินี้ในอตั ราใด ให้เป็นไปตามทีก่ ำหนดในพระราชกฤษฎีกา
เงนิ ประจำตำแหนง่ ไมถ่ ือเปน็ เงินเดอื น
50
50
กฎหมายการผลติ และการพัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศึกษา
กฎหมายทเ่ี กี่ยวกับการผลติ และการพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา มีกฎหมายที่เก่ียวข้อง
ได้แก่ พระราชบัญญัตริ ะเบียบขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ในมาตรา๗๙ - ๘๑ และประกาศ
กระทรวงศึกษาธิการให้มีการจัดตั้งสถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา โดยมีรายละเอียด
ดังตอ่ ไปน้ี
พระราชบญั ญัตริ ะเบยี บขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗
มาตรา ๗๙ ใหผ้ ู้บังคบั บัญชาปฏิบัตติ นเป็นตัวอย่างท่ีดีแก่ผอู้ ยู่ใต้บงั คบั บัญชาและมหี น้าที่พัฒนาผู้อยู่ใต้บังคับ
บญั ชา เพือ่ ให้มีความรู้ ทกั ษะ เจตคตทิ ีด่ ี คณุ ธรรม จรยิ ธรรมและจรรยาบรรณวิชาชพี ที่เหมาะสม ในอนั ที่จะทำให้การ
ปฏิบัติหน้าที่ราชการเกิดประสิทธิภาพประสิทธิผล และความก้าวหน้าแก่ราชการ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่
ก.ค.ศ. กำหนด
มาตรา ๘๐ ให้มีการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งบาง
ตำแหน่งและบางวิทยฐานะ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ เจตคติที่ดี คุณธรรมจริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพที่
เหมาะสม ในอนั ที่จะทำให้การปฏบิ ัตหิ น้าท่ีราชการเกิดประสิทธิภาพ ประสทิ ธิผล และความกา้ วหน้าแกร่ าชการ ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์และวธิ ีการที่ ก.ค.ศ.กำหนด
มาตรา ๘๑ ให้ผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ในการส่งเสริม สนับสนุนผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาโดยการให้ไปศึกษา
ฝกึ อบรม ดูงาน หรือปฏบิ ตั ิงานวิจัยและพฒั นาตามระเบียบที่ ก.ค.ศ.กำหนด
ในกรณีที่มีความจำเป็นหรือเป็นความต้องการของหน่วยงานเพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
หรอื วชิ าชพี หรือคณุ วุฒิขาดแคลน ผู้บังคบั บัญชาอาจส่งหรืออนุญาตให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาลาไป
ศึกษา ฝึกอบรม หรือวิจัย โดยอนุมัติ ก.ค.ศ. หรือ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาที่ได้รับมอบหมาย โดยให้ถือเป็นการ
ปฏิบัติหน้าที่ราชการ และมีสิทธิได้เลื่อนขั้นเงินเดือนในระหว่างลาไปศึกษา ฝึกอบรม หรือวิจัย แล้วแต่กรณี ทั้งน้ี
ภายใตบ้ งั คบั มาตรา ๗๓ วรรคสาม
ประกาศกระทรวงศกึ ษาธกิ ารใหม้ ีการจัดต้ังสถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา
กฎกระทรวงแบง่ สว่ นราชการสำนักงานปลดั กระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๑๕๔๘
ประกาศในราชกจิ จานุเบกษา เมอ่ื วนั ท่ี ๒๘ ตลุ าคม ๒๕๔๘
(๑) เป็นศูนย์กลางในการประสานงานการพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา สำหรับ
หน่วยงานทางการศึกษา ทง้ั ภาครฐั และเอกชน
(๒) จัดทำนโยบาย แผนและแนวทางในการพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อนำเสนอ
คณะรัฐมนตรีเพือ่ พิจารณาอนุมัติ
(๓) ใหค้ ำแนะนำ้ ตดิ ตามและประเมินผลการปฏบิ ตั ิของหน่วยงานท่เี ก่ยี วข้อง เพอ่ื ให้เปน็ ไป
ตามแผนและแนวทางในการพัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศึกษา
(๔) ส่งเสรมิ การวิจัยและพัฒนานวตั กรรมและสือ่ ที่ใชใ้ นการพฒั นา
(๕) พัฒนาระบบและมาตรฐานการฝึกอบรม
(๖) จดั ทำฐานข้อมลู ในการพัฒนา
(๗) สง่ เสริมและประสานงานเครอื ข่ายการพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา
(๘) ประสานการระดมทรัพยากรและแสวงหาความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ท้ัง
ภายในและภายนอกประเทศ
(๙) ดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาในส่วนที่เป็นการทดลองนำร่อง
หรอื การพฒั นา
51
51
(๑๐) ปฏบิ ตั ิงานรว่ มกับหรือสนบั สนุนการปฏิบัติงานของหนว่ ยงานอน่ื ทีเ่ กีย่ วข้องหรือท่ีได้รบั มอบหมาย
กฎหมายสวสั ดิการและสวัสดิภาพครแู ละบุคลากรทางการศึกษา (สกสค)
กฎหมายสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้แก่ พระราชบัญญัติครูและบุคลากร
ทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๖ ในมาตรา ๖๒ – ๖๓, มาตรา ๖๗ และมาตรา ๖๙ ซ่ึงมีรายละเอียดดงั ต่อไปน้ี
มาตรา ๖๒ ให้มีคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิภาพและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาทำหน้าที่
บรหิ ารงานสำนกั งานคณะกรรมการส่งเสรมิ สวัสดภิ าพและสวัสดภิ าพครูและบคุ ลากรทางการศึกษา โดยมีวตั ถุประสงค์
ดงั ต่อไปนี้
(๑) ส่งเสริมสวัสดิการ สวัสดิภาพ สิทธิประโยชน์เกื้อกูลอื่น และความมั่นคงของผู้ประกอบวิชาชีพทางการ
ศึกษาและผู้ปฏิบตั งิ านดา้ นการศกึ ษา
(๒)ส่งเสริมความสามคั คีและผดงุ เกียรติของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาและผ้ปู ฏบิ ตั งิ านด้านการศึกษา
(๓) ส่งเสริมและสนับสนุนการจดั การศึกษาของกระทรวงในเรอ่ื งส่ือการเรยี นการสอน วัสดอุ ุปกรณ์การศึกษา
และเร่อื งอน่ื ทเ่ี กยี่ วกับการจัดการศึกษา
(๔) สง่ เสริมและสนบั สนนุ การศกึ ษาวิจัยเกย่ี วกับการพัฒนา การดำเนนิ งานด้านสวสั ดิการ
สวัสดิภาพ และผดุงเกยี รตขิ องผู้ประกอบวชิ าชีพทางการศึกษา
มาตรา ๖๓ คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา มีอำนาจและ
หน้าท่ี ดังต่อไปนี้
(๑) ดำเนินงานด้านสวัสดิการ สวัสดิภาพ สิทธิประโยชน์เกื้อกูลอื่น และความมั่นคงของผู้ประกอบวิชาชีพ
ทางการศึกษาและผ้ปู ฏบิ ตั งิ านดา้ นการศึกษา
(๒) ส่งเสริม สนับสนุน ยกย่อง และผดุงเกียรติของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาและผู้ปฏิบัติงานด้าน
การศึกษา
(๓) ส่งเสริมให้ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา และผู้ปฏิบัติงานด้านการศึกษาได้รับสวัสดิการต่างๆ ตาม
สมควร
(๔) ใหค้ วามเห็น คำปรึกษา และคำแนะนำในเร่ืองการส่งเสรมิ สวสั ดิการสวัสดิภาพ สิทธิประโยชน์และความ
ม่นั คงของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศกึ ษา และผู้ปฏิบัติงานดา้ นการศึกษาแกห่ นว่ ยงานทเี่ กย่ี วข้อง
(๕) ดำเนินงานและบรหิ ารจดั การองค์การจดั หาผลประโยชน์ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการ
และสวสั ดภิ าพครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา
(๖) ออกขอ้ บังคบั และหลักเกณฑ์ในการดำเนินกจิ การตามอำนาจหนา้ ที่ของคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการ
และสวสั ดิภาพครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา
(๗) แต่งตั้งคณะกรรมการ หรือคณะอนุกรรมการ หรือมอบหมายให้กรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิ
ภาพครูและบุคลากรทางการศกึ ษาเพ่ือกระทำการใดๆ แทน
(๘) สรรหาและแต่งตั้งเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิภาพและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการ
ศกึ ษา
(๙) ดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการบริหารงานสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและ
สวัสดภิ าพครูและบุคลากรทางการศกึ ษา
มาตรา ๖๗ ให้มีสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวสั ดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา มี
ฐานะเปน็ นิตบิ คุ คล ในกำกบั ของกระทรวงศึกษาธกิ ารมอี ำนาจและหนา้ ทดี่ งั ต่อไปน้ี
(๑) รับผิดชอบเกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากร
ทางการศกึ ษา
52 52
(๒) ประสานและดำเนินการเกี่ยวกับกิจการอื่นที่คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและ
บุคลากรทางการศกึ ษามอบหมาย
(๓) จัดทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับการดำเนินงานเสนอต่อคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพ
ครูและบุคลากรทางการศึกษานอกจากอำนาจและหน้าที่ตามวรรคหนึ่งให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการ
และสวสั ดิภาพครแู ละบุคลากรทางการศึกษามีอำนาจกระทำกิจการต่างๆ ภายในขอบเขตแห่งวตั ถุประสงค์ รวมทั้งให้
มอี ำนาจและหน้าท่ดี ังตอ่ ไปน้ี
(๑)ถือกรรมสิทธิ์ หรือมีสิทธิครอบครองในทรัพย์สินหรือดำเนินการ ใด ๆเกี่ยวกับทรัพย์สินตลอดจนรับ
ทรพั ย์สินทมี่ ผี ู้อุทศิ ให้
(๒) ทำนติ กิ รรมสัญญาหรอื ข้อตกลงใด ๆ
(๓) เข้าร่วมลงทุนกับนิติบุคคลอื่น ในกิจการที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ในการบริหารงานสำนักงาน
คณะกรรมการสง่ เสริมสวัสดิภาพและสวัสดภิ าพครแู ละบุคลากรทางการศึกษา
(๔) กู้ยืมเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ในการบริหารงานสำนักงานคณะกรรมการ
สง่ เสรมิ สวัสดิภาพและสวสั ดภิ าพครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา
(๕) สนบั สนนุ การปฏิบิตงานของหน่วยงานอื่นทีเ่ กย่ี วข้อง
มาตรา ๖๙ ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิภาพและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา มี
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาคนหนึ่งบริหารกิจการของ
สำนักงาน รวมทั้งดำเนินการตามที่คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา
มอบหมาย
“ทั้งนี้มีการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาและวชิ าชพี ครู โดยได้มีการรวบรวมกฎหมายท่ีเกี่ยวข้อง
ดังกล่าว ซึง่ จะปรากฎรายละเอยี ดตา่ งๆ ไว้ในภาคผนวก ข - ภาคผนวก ง”
สรปุ
คุรุสภาถือเป็นองค์กรหลักและมีความสำคัญต่อวงการวิชาชีพครูและการศึกษาของชาติ เพราะเป็นองค์กรที่
ควบคมุ ดูแล ช่วยเหลอื ส่งเสรมิ ตลอดจนพฒั นาวิชาชีพครูให้มีความก้าวหน้าทันยุคตามสถานการณ์การเปล่ียนแปลง
ของโลกและบริบทของมนุษย์ ในปีพุทธศักราช 2488 รัฐบาลในสมัยนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีและนาย
ทวี บุณยเกตุ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ตราพระราชบัญญัติครู พุทธศักราช 2488 ขึ้นมาเพ่ือ
แก้ปัญหาวิกฤติวิชาชีพครูมีสาระสำคัญคือให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการ เรียกว่า "คุรุสภา" มีฐานะเป็นนิติบุคคล
โดยกำหนดใหค้ รูทุกคนต้องเปน็ สมาชิกครุ ุสภา ตอ่ มาปพี ทุ ธศักราช 2546 ไดต้ ราพระราชบญั ญตั สิ ภาครูและบุคลากร
ทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ออกมาบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2546 โดยปรับปรุงคุรุสภาเดิมตาม
พระราชบัญญัติครู พุทธศักราช 2488 เป็นสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา (The Teachers Council of
Thailand) มีชือ่ เรียกเหมอื นเดิมวา่ คุรุสภา
สว่ นกฎหมายทางการศึกษาก็ถอื ได้ว่าเป็นเคร่ืองมือสำคัญในการบรหิ ารจดั การศึกษาของชาติ ซ่ึงได้มีกฎหมาย
หลายฉบับนำมาใช้ตัง้ แต่อดีตโดยเฉพาะพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติอนั เป็นกฎหมายหลัก ต่อมาภาวการณ์ต่างๆ
เกิดวิกฤติทางการศึกษาอย่างต่อเนื่องมีปัญญาในหลายๆด้าน รัฐบาลจึงได้ริเริ่มปฏิรูปการศึกษาอย่างขนานใหญ่ เป็น
วาระแห่งชาติ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2542 ได้ออกพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 เป็นกฎหมายหลัก
หลังจากการปฏิรูปการศึกษาครั้งสำคัญดังกล่าว นอกจากนั้นเพื่อให้วิชาชีพครูได้เป็นวิชาชีพชั้นสูงจึงได้ตรา
พระราชบัญญตั ทิ นี่ ำ มาใช้ในวิชาชพี ครโู ดยเฉพาะ เชน่ พระราชบญั ญตั ิสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547,
53 53
พระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหนง่ ขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547
หรือพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 เป็นต้น การศึกษาของประเทศ
จะต้องมีการปฏิรูปอยู่เสมอซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงปฏิรูปของทศวรรษที่ 2 เพื่อจะนำข้อบกพร่อง ปัญหา และอุปสรรคใน
ทศวรรษแรกปรับปรงุ แก้ไข พัฒนา และเสริมสรา้ งไปสู่การบรหิ ารจัดการศึกษาที่มุ่งไปสู่ความเป็นเลิศ โดยยึดหลักการ
ที่ว่า ”ความรู้คู่คุณธรรม” นำไปสู่สัมฤทธิผลของผู้เรียน คือ เก่ง ดี มีสุข สำหรับครตู ้องมกี ารพัฒนาวิชาชีพครู ครูต้อง
เตรียมความพร้อมเพ่ือพัฒนาตนเองอยู่เสมอเพื่อให้ทันสมัยทันเหตุการณ์ต่อการเปลี่ยนแปลงและมุ่งเน้นพัฒนา
ศกั ยภาพผเู้ รียนเปน็ สำคญั อันเป็นเป้าหมายหลกั ของการศึกษาให้บรรลุผลสำเรจ็ ตอ่ ไป
54
บทที่ 3
จิตวญิ ญาณความเป็นครู
ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. พชั รา เดชโฮม
แนวคิดเกี่ยวกับจติ วิญญาณความเปน็ ครู
ความหมายของจิตวญิ ญาณ
คำวา่ จติ วญิ ญาณ Spiritual หรือ Spirituality มรี ากศพั ทม์ าจากคำว่า Spiritus ในภาษาละติน ซง่ึ หมายถึง
ลมหายใจ ผสมกับคำว่า Enthousiasmos (มาจากรากศัพท์ของคำว่า Enthusiasm) ที่หมายถึง The god within
หรือ พลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต (โกมาตร, 2549) ส่วน Spirit (n) Spiritual (adj) และ Spirituality (n) ใน
พจนานุกรมฉบับอังกฤษ - ไทย ให้ความหมายว่า วิญญาณ จิตใจ ความองอาจ เจตนา ผู้มีปัญญา ความอดทน และ
ภูตผปี ศี าจ (สอ : ฉบบั ภาษาอังกฤษ - ไทย, 2541)
พรจันทร์ (2534) ได้ให้ความหมายของคำว่า จิตวิญญาณ ที่นำมาใช้ในวิชาชีพการพยาบาลว่า หมายถึง
พลังชีวิตของคน ซึ้งแสวงหาจุดมุ่งหมายของสัมพันธภาพการมีชีวิตรอด เป็นจิตวิญญาณ ที่แสวงหาจุดมุ่งหมายของ
ความรัก ความไว้วางใจ ความหวัง และการให้อภัยแก่ตนเองและผอู้ นื่
ประเวศ (2553) ได้ให้คำจำกัดความวา่ จิตวญิ ญาณ คอื จิตช้ันสงู จติ ทีล่ ดความเห็นแก่ตัว จติ ที่ เห็นแก่ผู้อื่น
จิตทเี่ ข้าถึงสิ่งสูงสูด คอื นิพพานหรือพระผเู้ ปน็ เจ้า
อารยา และคณะ (2552) ได้สรุปความหมายของจิตวิญญาณว่า เป็นสิ่งที่แสดงออกเป็น แก่นแท้หรือสาระ
(Essence) ของบางสงิ่ หรอื ของคนบางคน โดยอย่เู หนือการมีสุขภาวะทางอารมณ์ และจิตใจทด่ี ี มคี วามสุข โดยจะบอก
ถึง การรู้จักตนเอง (เราเป็นใคร) ความเป็นอยู่ของเรา (เรามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างไร) และจิตสำนึก (เราอยู่กับ
ตนเองอย่างไร เราแสดงตัวตนของเรา อย่างไร เรารับรู้ความรู้สึกของตนเองและของผู้อื่นอย่างไร) และความเป็นจิต
วิญญาณ คือ การมอง กลับเข้าไปภายในเพื่อค้นพบเอกลักษณ์ที่แท้จริงของเรา เป็นการมองเพื่อค้นพบตัวตน คุณค่า
ความหมายและเป้าหมายในชีวิต ให้สึกซึ้งถึงแก่นแท้ของตัวเรา นอกเหนือจากนั้นยังต้องเชื่อมโยง กับมนุษย์ทุกคน
และรับรู้ถึงบางส่ิงที่ย่ิงใหญ่กว่าตัวเราเองโดยที่บางคนอาจพูดวา่ เป็นประสบการณ์ ของความสงบที่แสดงออกมาในรปู
ของความกรุณา
นงเยาว์ และคณะ (2552) ไค้ให้ความหมายของสุขภาวะทางจิตวิญญาณวา่ หมายถึง สภาวะ สงบสุข เป็น
ความสุขที่แท้จริง ที่หลุดพ้นจากการยึดติดกับวัตลุ เป็นภาวะที่เปี่ยมค้นด้วยความปีติ อิ่มเอิบ อิ่มเต็มจากภายใน มี
ความอ่อนโยน เบิกบานจิตใจ สงบนิ่งไมว่ ุ่นวายสับสน มีพลงั ในการมี ชวี ิตอยา่ งมีคุณค่า มคี วามหมาย มีเป้าหมายชีวิต
ที่ชัดเจน พึงพอใจในชีวิต มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เข้าใจโลกและชีวิตตามความเป็นจริงและมีความสามารถในการเผชิญ
และแก้ไขปัญหาและอุปสรรค ต่าง ๆ ในภาวะวิกฤตได้อยา่ งเหมาะสม
จากความหมายข้างต้น สรุปว่า จิตวิญญาณ หมายถึง พลังที่มีส่วนข้องกบั ความมีชีวติ จิตใจ ผดุงชีวิต และ
ใหค้ วามหมายท่สี ำคญั แกช่ ีวิต พร้อมทั้งแสดงพฤติกรรมออกมาจากความเชื่อ ทางจิตวญิ ญาณของบคุ คล
ความหมายของจติ วิญญาณความเป็นครู
ความหมายของจติ วญิ ญาณความเป็นครู ได้มีผใู้ หค้ วามหมายไวห้ ลายทา่ น ดังนี้
ยนต์ (2526) ให้ความหมายคำว่า วิญญาณครู คือ การรู้ถึงบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบ ของครูอยู่
ตลอดเวลา และไดป้ ฏิบตั หิ น้าทขี่ องครูโดยยึดถอื อุดมการณ์ของครเู ป็นแนวทางเสมอ
สุมน (2535) ให้ความหมายว่า จิตวิญญาณความเป็นครูประกอบด้วยการเป็นกัลยาณมิตร การเป็นผู้นำ
ทางปัญญาและวิญญาณ การมีความเปน็ มนุษยแ์ ละดำรงคำ้ จนุ ความเป็นไทย และ มศี าสตร์และศลิ ปีในการสอน
ชูชาติ (2550) ให้ความหมายของการมีจิตวิญญาณความเป็นครูว่า หมายถึง ครูที่มีความรัก และความ
55 55
ศรัทธาในวิชาชีพครู ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี มีความเป็นกัลยาณมิตร รักและเมตตา ศิษย์ยอมรับความแตกต่าง
ระหว่างบุคคล เปน็ บุคคลแห่งการเรยี นรู้ และมีความมุ่งม่ันทีจ่ ะพัฒนา ผเู้ รียนให้เตม็ ตามศักยภาพ
ธวัชชัย (2550) ให้ความหมายจิตวิญญาณครูว่า หมายถึง จิตสำนึก ความคิด ทัศนคติ พฤติกรรมการ
แสดงออกที่ดี ลุ่มถึกสงบเย็นเป็นประโยชน์ตามกรอบของจริยธรรมคุณธรรม ค่านิยม จารีตประเพณี วัฒนธรรม และ
ความคาดหวังของสังคม อันเป็นองค์รวม ธาตุแท้ของบุคคลผู้ใฝ่รู้ ค้นหา สร้างสรรค์ถ่ายทอด ปลูกฝัง และเป็น
แบบอยา่ งที่ดีของสังคม ซ้งึ มีข้ึนไดใ้ นทกุ คนไม่เฉพาะ ผปู้ ระกอบอาชพี ครเู ทา่ นนั้
พะนอม (2552) ให้ความหมายของคำว่า จิตวิญญาณความเป็นครู หมายถึง ความรู้สึกนึกคิด ที่เกิดจาก
ความตระหนัก (เห็นคุณค่าตนเอง) และศรัทธา (ความเชื่อและความเคารพในความเป็น ตนเอง) เป็นความเชื่อที่อยู่
เหนือเหตุผล ให้ความสำคัญความมีคุณค่าของบทบาทหน้าที่ใน การพัฒนาเยาวชน มีความผูกพันมุ่งมั่นกระทำหน้าที่
ใหเ้ กดิ ความสมั ถทุ ธิ์สูงสุด
ดุษฎี และคณะ (2553) ให้ความหมายว่า จิตวิญญาณความเป็นครู หมายถึง ลักษณะและภาวะ ทางจิตที่
บุคคลเข้าใจอย่างสึกซึ้งถึงการมีอุดมการณ์ในการทำงานของครู เข้าถึงและเข้าใจผู้อื่น ศรัทธาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือใน
ความจรงิ ทเ่ี หนอื ธรรมชาติ เข้าถึงคณุ ค่าของจติ ใจมากกว่าวัตถุ
ณัฏฐภรณ์ และ ปิยวรรณ (2553) ใหค้ วามหมายของค่าว่า จิตวิญญาณความเปน็ ครู หมายถึง คุณลักษณะ
ของบุคคลในการมจี ิตใจทีป่ ฏิบัติตนเพือ่ นำไปสูก่ ารเปน็ ท่ยี อมรบั และภาคภูมใิ จใน การถา่ ยทอดความรู้ใหแ้ กผ่ ู้อ่นื
จากความหมายข้างต้น สามารถสรุปความหมายได้ว่า จิตวิญญาณความเป็นครู หมายถึง พฤติกรรมการ
แสดงออกที่ดีของครูที่มีต่อศิษย์ซึ้งบุคคลที่จะมาประกอบวิชาชีพครูต้องพึงมีและ พึงปฏิบัติและอุทิศตนอบรมสั่งสอน
ศิษย์ใหม้ ีความรู้คูค่ ณุ ธรรมเพอ่ื เปน็ กำลังในการท่จี ะ สร้างประเทศชาตติ อ่ ไป
องค์ประกอบของจิตวญิ ญาณความเปน็ ครู
ณัฏฐภรณ์ และ ปิยวรรณ (2553) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาแบบวัดจิตวิญญาณความเป็นครู โดยมี
วัตถปุ ระสงค์ตงั น้ี 1) เพ่ือพัฒนาองคป์ ระกอบจติ วญิ ญาณความเป็นครู และ 2) เพ่ือพฒั นาและ ตรวจสอบคุณภาพของ
แบบวัดจิตวิญญาณความเป็นครู โดยการพัฒนาองค์ประกอบจิตวิญญาณ ความเป็นครูจากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ
16 ท่าน การพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพของแบบวัด จติ วญิ ญาณความเป็นครู จากนิสติ นักศึกษาท่ีศึกษาอยู่ในคณะ
ครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์ จำนวน 481 คน ผลการศึกษาวิจัยนั้น พบว่า 1) องค์ประกอบจิตวิญญาณความเป็นครู
จากข้อมูล การสัมภาษณ์ มีจำนวน 7องค์ประกอบ ได้แก่ความรับผิดชอบในหน้าที่ ความรักในอาชีพ ความรักและ
เมตตาเพื่อนมนุษย์ความเสยี สละ ความอดทน ความยุติธรรม และการเป็นแบบอย่างที่ดี 2) แบบวัดจิตวิญญาณความ
เป็นครูที่พัฒนาขึ้นภายหลังจากการวิเคราะหอ์ งค์ประกอบเชิงสำรวจ มี 4 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ การปฏิบัตติ นตาม
หน้าที่ของครู การปฏิบตั ิตนต่อศษิ ยโ์ ดยเสมอภาค ความเชื่อมนั่ ในศักยภาพมนุษย์ความเสียสละในงานของครู 3) แบบ
วดั จิตวิญญาณความเปน็ ครูมี ความสัมพนั ธก์ ับแบบวัดเจตคติต่อวชิ าชีพครูในระดับสูงอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ
.01
จากพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอลุยเดช เกี่ยวกับ
คุณลักษณะของครูที่ดี (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552) และองค์ประกอบจิตวิญญาณความเป็นครู ของณัฏฐภรณ์และ
ปยิ วรรณ (2553) ข้างต้น สรุปองค์ประกอบของจิตวญิ ญาณความเป็นครู ออกเป็น 6 ด้าน ได้แก่
เจตคติที่ดีต่ออาชีพครู หมายถึง การมีความศรัทธาในอาชีพครู มีใจรักความเป็นครู มีความมุ่งมั่น ที่จะ
แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะมาจากศิษย์หรือเพื่อนครูด้วยกัน รักความก้าวหน้า ตลอดจนตั้งใจพัฒนาการ
ทำงานใหด้ ียิ่งขนึ้ อยู่เสมอ
ความรักความเมตตาต่อศิษย์ หมายถึง การให้ความรู้สึกเป็นมิตร เป็นที่พึ่งพา และไว้วางใจ สามารถ
แนะนำให้กำลังใจแก่ศิษย์ทุกคนได้มีใจเป็นกลางปฏิบัติตนต่อศิษย์โดยเท่าเทียมกัน มีจิตใจ โอบอ้อมอารี ให้ความรัก
56 56
ความเมตตาต่อศษิ ย์
ความเสียสละ หมายถึง การสละความสุข ความสะดวกสบาย อุทิศตนทั้งกำลังกาย กำลังใจ และเวลา
ตั้งใจอบรมสั่งสอนใหค้ วามรแู้ กศ่ ษิ ยด์ ้วยความเตม็ ใจ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เพอื่ ประโยชนข์ องศิษย์
ความอดทน หมายถึง การเป็นผู้มีความพากเพียรพยายาม ขยันขันแข็ง มีจิตใจเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อต่อ
อุปสรรคใด ๆ มีความอดทนในการสอนศิษย์และต่อวิชาชีพครู ตลอดจนอดทน ต่อการเรียนรู้และพฤติกรรมต่าง ๆ
ของศิษย์
ความชื่อสัตย์หมายถึง การปฏิบัติตน ทางกาย วาจา ใจของครู ด้วยความจริงใจตรงไปตรงมา สั่นวาจาวา่
จะทำงานสิ่งใดก็ต้องทำให้สำเร็จ ไม่กล่าวอ้างนำผลงานของเพื่อนร่วมงานหรือศิษย์มา เป็นของตน มีความชื่อสัตย์
สุจริตตอ่ วิชาชีพครู ถา่ ยทอดความร้ใู หศ้ ษิ ย์โดยไม่บดิ เบือน ปิดบัง
การเปน็ แบบอยา่ งที่ดีต่อศิษย์ หมายถึง การประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ระมดั ระวงั ใน การกระทำ และ
การพูดของตนอยู่เสมอ ไม่พูดจาก้าวร้าว หยาบคาย ไม่โกรธง่าย กระทำตนให้ สอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณีที่ดี
งาม มกี ิริยามารยาท และการแต่งกายสุภาพเรยี บร้อยเหมาะสม กับกาลเทศะ เพอื่ ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินตนของ
ศิษย์
สมรรถนะ ( Competency )
ความเป็นมา
ศาสตราจารย์ David C. McClelland นักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัย Harvard เป็นผู้ริเริ่มแนวคิดเกี่ยวกับ
สมรรถนะ โดยพัฒนาแบบทดสอบทางบุคลิกภาพเพือ่ ศึกษาวา่ บุคคลที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพนั้นมีทัศนคติและ
นิสัยอย่างไร และได้เขียนบทความเรื่อง Testing for Competence Rather than for Intelligence ในปี 1973 โดย
มีใจความสำคัญ คือ
1) ผลการเรียนในโรงเรยี นไมไ่ ดท้ ำนายผลสำเร็จในการประกอบอาชพี
2) แบบทดสอบเชาวนป์ ัญญา และแบบวัดความถนัดไม่ได้ทำนายความสำเร็จทางอาชีพ หรอื ความสำเร็จใน
ชวี ิตอ่ืนๆ
3) แบบทดสอบและผลการเรียนทำนายผลงานได้ก็เพราะว่าคนที่ทำแบบทดสอบได้ดีและมีผลการเรียน
ดเี ปน็ คนท่มี ฐี านะทางสงั คมดี
4) แบบทดสอบนัน้ ไม่ยุติธรรมกบั ชนกลุม่ น้อย
5) สมรรถนะจะเป็นสิ่งที่สามารถทำนายพฤติกรรมที่สำคัญได้ดีกว่าแบบทดสอบ ทั้งนี้ McClelland ได้
สัมภาษณก์ ลุ่มคนทีม่ ีผลการปฏิบัตงิ านโดดเดน่ และพบว่าสมรรถนะในเร่ืองความเขา้ ใจขอ้ แตกตา่ งทางวฒั นธรรมต่างหาก ที่
เป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับผลการปฏิบัติงาน ไม่ใช่การทดสอบด้วยแบบทดสอบวัดความถนัดและนำแนวคิดเรื่อง
สมรรถนะไปสู่การปฏิบตั ิ
แนวคิดเรื่องสมรรถนะมีการเปรียบเทียบกับภูเขาน้ำแข็ง หรือ Iceberg Model ซึ่งเปรียบเทยี บว่าบุคคลมอี งค์
ความรู้ และทักษะต่าง ๆ ที่เปรียบเทียบเหมือนกับส่วนของภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่เหนือน้ำ คือ เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
เมื่อเปรียบเทียบกับส่วนที่อยู่ใต้น้ำ และส่วนที่อยู่เหนือน้ำนี้เป็นส่วนที่เห็นได้ชัดเจน สามารถวัดได้ง่าย แต่ส่วนที่อยู่ใน
ภายในจิตใจ (ส่วนใต้น้ำของภูเขาน้ำแข็ง) เชื่อว่าจะส่งผลให้บุคคลมีพฤติกรรมในการทำงานที่แตกต่างกัน โดยศึกษาและ
สังเกตจากพฤติกรรมทบ่ี ุคคลแสดงออกจงึ เปน็ ท่ีมาของสมรรถนะในความหมายของคุณลักษณะเชิงพฤติกรรม
57 57
ภาพโมเดลภูเขานำ้ แข็ง (Iceberg Model)
ขอ้ มลู ความรทู้ บ่ี คุ คลมี องคค์ วามรู้ ความเชย่ี วชาญ
ในสาขาตา่ ง ๆ และ ชานาญพเิ ศษในดา้ น
ตา่ ง ๆ
บทบาททบ่ี ุคคล ทักษะต่างๆ ความรสู้ กึ นึกคดิ
แสดงออกตอ่ ผอู้ น่ื บทบาทท่แี สดงออกตอ่ สังคม เกย่ี วกบั เอกลกั ษณ์และ
คณุ คา่ ของคน
(Social Role)
ความเคยชนิ จนิ ตนาการ
พฤตกิ รรมซา้ ๆ ใน ภาพลักษณภ์ ายใน (Self-Image) แนวโน้ม วธิ คี ดิ วธิ ี
รปู แบบใดรปู แบบ ปฏบิ ตั ติ นอนั เป็นไป
หน่งึ โดยธรรมชาตขิ อง
บคุ คล
ภาพที่ 3.1 แบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง (The Iceberg Model) (สุรพล เศรษฐบุตร, 2555)
ความหมายของสมรรถนะ
จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง คำว่า สมรรถนะ (Competency) ได้มีการให้นิยาม หรือคำจำกัดความท่ี
แตกต่างกันออกไปตามความความเข้าใจของนักวิชาการหรือหน่วยงานต่างที่ศึกษา เกี่ยวกับสมรรถนะ ซึ่งนักวิชาการ
หรอื หน่วยงานที่ศึกษาเร่ืองสมรรถนะได้ให้ความหมายไว้ดังนี้
ราชบัณฑิตยสถาน (2556) ให้ความหมายของ สมรรถนะไว้ว่า หมายถึง ความสามารถ (ใช้แก่เครื่องยนต์)
เชน่ รถยนต์แบบน้มี ีสมรรถนะดเี ยยี่ มเหมาะสำหรับเดินทางไกล สำนักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา (2556) กลา่ วว่า
สมรรถนะ (Competency) หมายถึง ความสามารถในการปฏิบัติงานที่เกิดจากการประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และ
คณุ ลักษณะที่ พงึ ประสงค์
David (1973) ได้ให้คำจำกัดความของ สมรรถนะ หมายถึง คุณลักษณะที่ซ่อนอยู่ ภายในตัวบุคคล ซ่ึง
คุณลักษณะเหล่านี้จะเป็นตัวผลักดันให้บุคคลสามารถสร้างผลการ ปฏิบัติงาน ในงานที่ตนรับผิดชอบให้สูงกว่า หรือ
เหนอื กว่าเกณฑ/์ เปา้ หมายทก่ี ำหนดไว้
Boyatzis (1982) กลา่ วว่า สมรรถนะ หมายถงึ ลักษณะท่เี ป็นรากฐานของบุคคลซึ่งมผี ล ต่อประสทิ ธิผลและ/
หรือผลงานที่เหนือกวา่ ในการทำงานอยู่ในตัวบุคคลซึ่งกำหนดพฤติกรรมของ บุคคลเพื่อให้บรรลุถึงความต้องการของ
งานภายใตป้ ัจจยั สภาพแวดล้อมขององค์กร และทาใหบ้ คุ คล มุ่งมัน่ ไปสูผ่ ลลพั ธ์ท่ตี อ้ งการ
Boam and Sparrow (1992) กล่าวว่า สมรรถนะ หมายถึง กลุ่มของคุณลักษณะเชิง พฤติกรรมที่บุคคล
จำเป็นตอ้ งมีในการปฏบิ ัตงิ านในตำแหน่งหนึ่งๆ เพอื่ ใหก้ ารปฏิบัติงานใน หนา้ ที่ ความรับผิดชอบประสบความสำเรจ็
L.M. Spencer and S.M. Spencer (1993) กลา่ วว่า สมรรถนะ หมายถึง คุณลกั ษณะ พน้ื ฐาน (Underlying
Characteristic) ที่มีอยู่ภายในตัวบุคคลได้แก่ แรงจูงใจ (Motive) อุปนิสัย (Trait) อัตมโนทัศน์ (Self-Concept)
ความรู้ (Knowledge) และทักษะ (Skill) ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้ จะเป็นตัวผลักดันหรือมีความสัมพันธ์เชิงเหตุผล
58 58
(Causal Relationship) ให้บุคคลสามารถปฏิบัติงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบ หรือสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพและ/หรือ สงู กว่าเกณฑอ์ า้ งองิ (Criterion – Reference) หรอื เป้าหมายท่ีกำหนดไว้
จากความหมายของนักวิชาการและหนว่ ยงานที่ได้กลา่ วมาข้างตน้ ผู้วจิ ยั สรปุ ความหมายของสมรรถนะได้ว่า
สมรรถนะ (Competency) หมายถึง ความรู้ ทักษะ และ ความสามารถของบุคคลที่แสดงออกในคุณลักษณะเชิง
พฤติกรรมในการปฏิบตั ิงานตามหน้าที่ อัน จะสง่ ผลให้การปฏบิ ัตงิ านตามเป้าหมายท่ีกำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนน้ั แล้วจึงให้ ความหมาย สมรรถนะครู หมายถึง ความสามารถในการแสดงพฤติกรรมหรือการปฏิบัตงิ านในวิชาชีพ
ครูใหบ้ รรลุผลและสง่ ผลตอ่ ความสำเร็จในการปฏิบตั งิ านตามบทบาทหน้าทอ่ี ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
องค์ประกอบของสมรรถนะ
David (1973 อ้างถึงใน สุรพล เศรษฐบุตร, 2555) ได้เปรียบเทียบความหมายของ สมรรถนะไว้ในหนังสือ
The Competency Foundation โดยอธิบายบุคลิกลักษณะ (Characteristic) ของคนเปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็ง ดัง
ภาพท่ี 1 ส่วนท่ีอยู่เหนอื น้ำ สามารถสงั เกตเหน็ ได้งา่ ย คือ ทกั ษะ และ ความรู้ สว่ นที่อยู่ใต้นำ้ สงั เกตเห็นได้ยาก ได้แก่
บทบาททางสงั คม ภาพพจนท์ ร่ี บั รู้ ตวั เอง อุปนิสัย และแรงกระตนุ้ ซง่ึ มีรายละเอียดดงั น้ี
(1) ทักษะ (Skills) หมายถึง สิ่งที่บุคคลรู้และสามารถทำได้เป็นอย่างดี เช่น ทักษะการอ่าน ทักษะการฟัง
ทักษะในการขบั รถ เป็นตน้
(2) ความรู้ (Knowledge) หมายถึง สิ่งที่บุคคลรู้และเข้าใจในหลักการ แนวคิด เฉพาะด้าน เช่น มีความรู้
ด้านบัญชี มคี วามรดู้ า้ นการตลาด การเมอื ง เป็นตน้
(3) บทบาททางสังคม (Social Role) หมายถึง สิ่งท่ีบุคคลต้องการสื่อให้บุคคล อื่นในสังคมเห็นว่าตัวเขามี
บทบาทอย่างไรตอ่ สงั คม เชน่ ชอบช่วยเหลอื ผ้อู ่นื
(4) ภาพพจน์ที่รับรู้ตัวเอง (Self Image) หมายถึง ภาพพจน์ที่บุคคลสมอง ตัวเองว่าเป็นอย่างไร เช่น เป็นผู้
นา เป็นผู้เช่ียวชาญ เปน็ ศลิ ปิน เป็นตน้
(5) อุปนิสัย (Traits) หมายถึง ลักษณะนิสัยใจคอของบุคคลทีเ่ ป็นพฤตกิ รรม ถาวร เช่น เป็นนักกีฬาที่ดี เป็น
คนใจเยน็ เปน็ คนอ่อนนอ้ มถอ่ มตน เป็นตน้
(6) แรงกระตุ้น (Motive) หมายถึง พลังขับเคลื่อนที่เกิดจากภายในจิตใจของ บุคคล ที่จะส่งผลกระทบต่อ
การกระทำ เช่น เป็นคนที่มีความต้องการผลสำเร็จ การกระทำสิ่งต่างๆ จึงออกมาในลักษณะของการมุ่งไปสู่
ความสำเร็จตลอดเวลา
กล่าวโดยสรุป ทักษะและความรู้ เป็นสิ่งที่เราสามารถสังเกตเห็นได้ ซึ่งเป็นลักษณะที่แต่ละ บุคคลแสดง
ออกมาและสามารถวัดได้ แต่ยงั มสี ง่ิ ท่ีอยภู่ ายในไมส่ ามารถวัดหรือประเมินไดโ้ ดยตรง คือ บทบาททางสังคม ภาพพจน์
ทรี่ บั ร้ตู วั เอง อุปนิสัย และแรงกระตุ้นเป็นสิ่งที่อย่ภู ายใน
ประเภทของสมรรถนะ
ในการจัดแบ่งประเภทของสมรรถนะ มีหน่วยงานและนักวิชาการหลายท่าน ให้ ทรรศนะที่แตกต่างกัน
ดงั ตอ่ ไปน้ี
เทือ้ น ทองแก้ว ( 2550 ) จำแนกสมรรถนะออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
(1) สมรรถนะส่วนบุคคล (Personal competencies) หมายถึง สมรรถนะที่แต่ละ คนมี เป็นความสามารถ
เฉพาะตัว คนอื่นไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ เช่น การต่อสู้ป้องกันตัว ความสามารถของนักดนตรี นักกายกรรมและ
นกั กีฬา เป็นตน้ ลักษณะเหล่านี้ยากทจ่ี ะเลียนแบบหรอื ตอ้ งมีความพยายามสูงมาก
59 59
(2) สมรรถนะเฉพาะงาน ( Job Competencies) หมายถึง สมรรถนะของบุคคล กับการทำงานในตำแหน่ง
หรือบทบาทเฉพาะตัว เช่น อาชีพนักสำรวจ ก็ต้องมีความสามารถในการ วิเคราะห์ตัวเลข การคิดคำนวณ
ความสามารถในการทำบัญชี เปน็ ต้น
(3) สมรรถนะองค์กร (Organization Competencies) หมายถึง ความสามารถพิเศษเฉพาะองค์กรนั้น
เท่าน้นั
(4) สมรรถนะหลัก (Core Competencies) หมายถึง ความสามารถสำคัญท่ี บคุ คลต้องมหี รือต้องทำเพื่อให้
บรรลุผลตามเปา้ หมายทตี่ งั้ ไว้
(5) สมรรถนะในงาน ( Functional competencies) หมายถึง ความสามารถ ของบุคคลที่มีตามหน้าที่ท่ี
รับผิดชอบ ตำแหน่งหน้าทอี่ าจเหมือนแต่ความสามารถตามหน้าทต่ี ่างกัน
ส านกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน (2553ค) ไดก้ ำหนดกรอบ สมรรถนะออกเปน็ 2 ประเภท ดังนี้
(1) สมรรถนะหลัก (Core Competency) เป็นสมรรถนะร่วมที่ทุกคนต้องมี เพราะเป็นสมรรถนะพื้นฐาน
ของบคุ ลากรทจ่ี ะส่งผลใหก้ ารปฏิบตั งิ านในทกุ ตำแหน่งหนา้ ท่ปี ระสบ ผลสำเรจ็
(2) สมรรถนะประจำสายงาน (Functional Competency) เป็นสมรรถนะ เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงาน
ของบุคลากรแต่ละตำแหน่ง เช่น ผู้บริหาร ครูและ ศึกษานิเทศก์ ทำให้สามารถปฏิบัติงานในสายงานนั้น ๆได้สำเร็จ
ตามเป้าหมาย
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (2553) ได้กำหนด สมรรถนะของ
ขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาออกเป็น 2 ประการ ได้แก่
(1) สมรรถนะหลัก กำหนดใหท้ ุกวิทยฐานะและสายงานการสอน สายงาน การนิเทศการศึกษา และสายงาน
การบริหารสถานศึกษา หรือการบริหารการศึกษาต้องมีและได้รับ การประเมิน 4 สมรรถนะ ได้แก่ การมุ่งผลสัมฤทธิ์
(Achievement Motivation) การบริหารที่ดี (Service Mind) การพัฒนาตนเอง (Self Development) และการ
ทำงานเป็นทีม (Teamwork)
(2) สมรรถนะประจำสายงาน ไดแ้ ก่ ความสามารถการวเิ คราะหก์ าร สงั เคราะห์ การออกแบบการเรียนรู้ การ
พัฒนาผเู้ รยี น และการบริหารจัดการช้ันเรยี น
สำนักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา (2556) แบ่งสมรรถนะออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
(1) สมรรถนะหลัก (Core Competency) หมายถึง ความรู้ ทักษะ และ คุณลักษณะทั่วไปที่ใช้ในการ
ปฏบิ ัตงิ าน เช่น การสื่อสาร การคำนวณ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การคิดวเิ คราะห์ การแกป้ ัญหา และการทำงาน
เปน็ ทมี เป็น
(2) สมรรถนะวิชาชีพ (Occupational Competency) หมายถึง ความรู้ ความสามารถและทักษะเฉพาะใน
การปฏิบัตงิ านในแต่ละสาขางานหรือสาขาวชิ าชีพ
จากการศึกษาเอกสาร มนี กั วชิ ากรและหน่วยงานต่างๆที่ไดจ้ ัดแบ่งประเภทของ สมรรถนะไว้อยา่ งหลากหลาย
โดยสรปุ สามารถแบ่งสมรรถนะออกเป็น 6 ประเภท ดงั น้ี
(1) สมรรถนะหลัก เปน็ คุณลกั ษณะที่ทุกคนในองค์กรจำเปน็ ต้องมี ทั้งนี้ เพอ่ื ให้สามารถปฏิบตั หิ น้าท่ีได้บรรลุ
เปา้ หมายขององค์กร
(2) สมรรถนะตามสายงาน เป็นคุณลักษณะที่ผู้ปฏิบัติงานในตำแหน่งต่างๆใน แต่ละสาขาวิชาชีพ ควรมี
เพือ่ ใหง้ านสำเร็จและไดผ้ ลลพั ธ์ตามทตี่ ้องการ
(3) สมรรถนะการบริหารจัดการ เป็นความสามารถในการบริหารจัดการมีได้ ทั้งระดับผู้บริหารและระดับ
พนักงานขององค์กร โดยแตกต่างกันไปตามบทบาทและหน้าที่ที่ รับผิดชอบ เพื่อให้งานสำเร็จและสอดคล้องกับแผน
กลยุทธ์ วิสัยทศั น์ และพนั ธกิจขององคก์ ร
(4) สมรรถนะส่วนบคุ คล เป็นความสามารถเฉพาะตัวของแตล่ ะคน ซง่ึ คนอน่ื ไมส่ ามารถลอกเลยี นแบบได้
60 60
(5) สมรรถนะเชิงเทคนิค คือ ทักษะด้านวิชาชีพที่จำเป็นในการนำไป ปฏิบัติงานให้บรรลุผลสำเร็จโดยจะ
แตกตา่ งกันตามลักษณะงาน
(6) สมรรถนะองค์กร คือ ความสามารถพเิ ศษทีม่ ีเฉพาะในองค์กรนั้นเทา่ นั้น
สมรรถนะครู
จากการศึกษาเอกสาร มีหลายหน่วยงานที่ได้กำหนดสมรรถนะครู แตกต่างกัน ออกไปทั้งในประเทศ และ
ต่างประเทศ ตามบริบทของประเทศนน้ั ๆ ซง่ึ แตล่ ะหน่วยงานได้กำหนด สมรรถนะครูไว้ดงั นี้
สมรรถนะครูสำนกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ได้สังเคราะห์สมรรถนะครูจากหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการ ได้แก่
1) สำนักมาตรฐานวิชาชีพ สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา 2) สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา
และ 3) สำนักงานคณะกรรมการขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้สมรรถนะจำนวน 16 ดา้ น สมรรถนะแต่
ละดา้ น มีรายละเอียด ดังนี้
1. สมรรถนะดา้ นความรู้
2. สมรรถนะดา้ นการสื่อสารและการใช้ภาษา
3. สมรรถนะดา้ นการพฒั นาหลกั สตู ร
4. สมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้
5. สมรรถนะดา้ นการจดั การเรียนรู้ท่เี น้นผู้เรยี นเป็นสำคัญ
6. สมรรถนะดา้ นบรหิ ารจัดการชั้นเรียน
7. สมรรถนะด้านการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและนวัตกรรมทางการศึกษา
8. สมรรถนะด้านการวัดและประเมนิ ผล
9. สมรรถนะด้านการวจิ ยั เพือ่ พฒั นาการเรียนการสอน
10. สมรรถนะดา้ นจติ วิทยาสำหรบั ครู
11. สมรรถนะดา้ นการสร้างความสมั พันธ์กบั ชมุ ชน
12. สมรรถนะดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรมและจรรยาบรรณวชิ าชพี
13. สมรรถนะด้านภาวะผนู้ ำและการทำงานเป็นทมี
14. สมรรถนะดา้ นการพฒั นาตนเองและวชิ าชีพ
15. สมรรถนะดา้ นการพัฒนาคุณลักษณะของผเู้ รียน
16. สมรรถนะด้านการคิดวเิ คราะห์ สงั เคราะห์
สมรรถนะครูกระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงศึกษาธกิ าร (2553) ได้กำหนดสมรรถนะครูไวเ้ พื่อเป็นกรอบการประเมนิ สมรรถนะในการปฏิบัติงาน
ของครู สังกดั สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน ตามโครงการยกระดับคุณภาพครูทง้ั ระบบ (Upgrading
Teacher Qualification Through The Whole System : UTQ) : กิจกรรมจัดระบบพัฒนาครูเชิงคุณภาพเพื่อการ
พัฒนาครูรายบุคคล ซึ่งคณะทำงานประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน ศึกษานิเทศก์ นักวิชาการศึกษา ผู้บริหาร
สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา และผู้ทรงคุณวฒุ ิจากหน่วยงานท่ีเกีย่ วข้อง ได้รว่ มกนั พิจารณาและกำหนดสมรรถนะครู
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยการวิเคราะห์ สังเคราะห์สมรรถนะครูจากแบบประเมินสมรรถนะ
และมาตรฐานของครูผู้สอนท่ีหน่วยงานต่างๆ ได้จัดทำไว้ ได้แก่ แบบประเมินคุณภาพการปฏิบัติงาน(สมรรถนะ)
เพื่อใหข้ ้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษามีและเล่ือนวิทยฐานะ ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) มาตรฐานวิชาชีพครู ของสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา รูปแบบสมรรถนะครูและ
61 61
บุคลากรทางการศึกษา ของสถาบนั พัฒนาครู คณาจารยแ์ ละบุคลากรทางการศึกษา (สค.บศ.) รวมทงั้ แนวคิด ทฤษฎี
และผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสมรรถนะที่จำเป็นในการปฏิบัติงานของครูผู้สอน ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่ง
แบง่ เปน็ 2 ด้าน จำนวน 11 สมรรถนะ ดงั น้ี
1. ดา้ นสมรรถนะหลัก (Core Competency) ประกอบดว้ ย
1.1 การมงุ่ ผลสัมฤทธใิ์ นการปฏิบตั ิงาน หมายถงึ ความมงุ่ มั่นในการปฏิบัติงานในหนา้ ทีใ่ ห้มีคุณภาพ
ถูกต้อง ครบถ้วยสมบูรณ์ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ โดยมีการวางแผน กำหนดเป้าหมาย ติดตามประเมินผลการ
ปฏบิ ัติงาน และปรบั ปรุงพฒั นาประสิทธิภาพและผลงานอย่างตอ่ เนอื่ ง
1.2 การบริการที่ดี หมายถึง ความตั้งใจและความเต็มใจในการให้บริการ และการปรับปรุงระบบ
บรกิ ารให้มปี ระสทิ ธิภาพอย่างตอ่ เนอ่ื ง เพื่อตอบสนองความตอ้ งการของผู้รบั บรกิ าร
1.3 การพัฒนาตนเอง หมายถึง การศึกษาค้นควา้ หาความรู้ ติดตามและแลกเปลีย่ นเรียนรู้องค์
ความร้ใู หมๆ่ ทางวชิ าการ และวิชาชพี มกี ารสรา้ งองค์ความร้แู ละนวตั กรรมเพ่ือพฒั นาตนเองและพัฒนางาน
1.4 การทำงานเป็นทีม หมายถึง การให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ สนับสนุน เสริมแรง ให้กำลังใจแก่
เพื่อนร่วมงาน การปรับตัวเข้ากับบุคคลอื่นหรือทีมงาน แสดงบทบาทการเป็นผู้นำหรือผู้ตามได้ย่างเหมาะสมในการ
ทำงานร่วมกับผูอ้ นื่ เพ่อื สร้างและดำรงสมั พนั ธภาพของสมาชิก ตลอดจนเพื่อพฒั นาการจดั การศึกษาให้บรรลผุ ลสำเร็จ
ตามเป้าหมาย
1.5 จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพครู หมายถึง การประพฤติปฏิบัติตนถูกต้องตามหลัก
คณุ ธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวชิ าชพี ครู เปน็ แบบอย่างท่ดี แี กผ่ ู้เรียนและสงั คม เพ่อื สรา้ งความศรทั ธาในวชิ าชพี ครู
2. ด้านสมรรถนะประจำสายงาน (Functional Competency) ประกอบดว้ ย
2.1 การบริหารจัดการหลักสูตรและการจัดการเรยี นรู้ หมายถงึ ความสามารถในการสร้างและพัฒนา
หลักสูตร การออกแบบการเรียนรู้อย่างสอดคล้องและเป็นระบบ จัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ใช้และพัฒนา
สือ่ นวัตกรรม เทคโนโลยี และการวัดประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เพ่อื พฒั นาผูเ้ รยี นอยา่ งมีประสทิ ธิภาพและเกิดประสิทธิผล
สงู สดุ
2.2 การพัฒนาผู้เรียน หมายถึง ความสามารถในการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม การพัฒนาทักษะ
ชีวิต สุขภาพกาย และสุขภาพจิต ความเป็นประชาธิปไตย ความภาคภูมิใจในความเป็นไทย การจัดระบบดูแล
ชว่ ยเหลือผ้เู รยี นเพ่ือพฒั นาผู้เรียนใหม้ คี ณุ ภาพ
2.3 การบริหารจัดการชั้นเรียน หมายถึง การจัดบรรยากาศการเรียนรู้ การจัดทำข้อมูลสารสนเทศ
และเอกสารประจำช้นั เรยี น/ประจำวชิ า การกำกับดแู ลชั้นเรียนรายชั้น/รายวชิ า เพือ่ ส่งเสรมิ การเรยี นรอู้ ย่างมีความสุข
และความปลอดภัยของผเู้ รียน
2.4 การมีวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน หมายถึง ความสามารถในการทำ
ความเข้าใจ แยกประเด็นเป็นส่วนย่อย รวบรวม ประมวลหาข้อสรุปอย่างมีระบบ และนำไปใช้ในการวิจัยเพื่อพัฒนา
ผูเ้ รยี นรวมท้งั สามารถวิเคราะหอ์ งคก์ รหรืองานในภาพรวมและดำเนินการแกป้ ัญหาเพ่ือพัฒนางานอย่างเปน็ ระบบ
2.5 ภาวะผู้นำครู หมายถึง คุณลักษณะและพฤติกรรมของครูที่แสดงถึงความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ส่วน
บุคคล และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน โดยปราศจากการใช้อิทธิพลของ
ผู้บริหารสถานศกึ ษา กอ่ ให้เกดิ พลังแห่งการเรียนรเู้ พื่อพัฒนาการจดั การเรียนรู้ใหม้ ีคณุ ภาพ
2.6 การสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือกับชุมชนเพื่อการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การประสาน
ความร่วมมือ สร้างความสัมพันธ์ที่ดี และเครือข่ายกับผู้ปกครอง ชุมชน และองค์กรอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพ่ือ
สนบั สนุนส่งเสริมการจดั การเรียนรู้
สำนกั มาตรฐานวิชาชพี สำนักงานเลขาธกิ ารคุรสุ ภา (2558) ได้กำหนดมาตรฐาน วิชาชพี สำหรบั ผู้ทีจ่ ะเข้าสู่
วิชาชีพครูไว้ 3 มาตรฐาน คือ มาตรฐานความรูแ้ ละประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานการปฏิบัติงาน และมาตรฐานการ
62 62
ปฏบิ ัตติ น (จรรยาบรรณของวิชาชีพ) ซ่งึ มาตรการ ปฏิบัตงิ านและมาตรฐานปฏบิ ตั ติ นยังไม่ไดม้ ีการกำหนดสมรรถนะ
สว่ นดา้ นมาตรฐานความร้แู ละ ประสบการณ์วิชาชีพได้กำหนดสมรรถนะครูไวด้ งั น้ี
(1) มาตรฐานความรู้ของครู คอื มคี ณุ วุฒิไมต่ ำ่ กว่าปริญญาตรีทางการศึกษา หรอื เทียบเทา่ หรือคุณวุฒิอื่นท่ี
ครุ สุ ภารบั รอง โดยมสี มรรถนะ 11 ดา้ น สรปุ ไดด้ ังตารางที่ 1
ตารางที่ 3.1 สมรรถนะครตู ามเกณฑ์มาตรฐานความรู้ของครู
มาตรฐานความรู้ สาระความรู้ สมรรถนะ
1.ความเป็นครู
(1) สภาพงานครู คุณลักษณะ และมาตรฐาน (1) รอบรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอนและกลยุทธ์
วชิ าชพี ครู การสอน เพอื่ ใหผ้ ูเ้ รียนคิดวเิ คราะห์
(2) การปลกู ฝังจิตวิญญาณความเป็นครู สังเคราะห์ สร้างสรรคส์ ่งิ ใหม่ ๆ ได้
(3) กฎหมายท่ีเกีย่ วข้องกับครแู ละวชิ าชีพครู
(4) การจดั การความรเู้ ก่ียวกบั วิชาชีพครู (2) แสวงหาและเลือกใช้ข้อมูลข่าวสาร
(5) การสร้างความกา้ วหน้าและพัฒนาวิชาชีพ ความรู้เพอ่ื ให้ทันต่อการเปล่ียนแปลง
ครูอยา่ งต่อเนื่อง (3) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้เรียนท่ี
สง่ เสรมิ การพัฒนาศกั ยภาพผเู้ รยี น
(4) มจี ติ วญิ ญาณความเป็นครู
2. ปรัชญาการศึกษา (1) ปรัชญา แนวคิด และทฤษฎีทางการศึกษา (1) ประยกุ ตใ์ ชเ้พื่อพฒั นาสถานศกึ ษา
ศาสนา เศรษฐกิจ สังคม วฒั นธรรม (2) วิเคราะห์เกี่ยวกับการศึกษาเพื่อการ
(2) แนวคิด และกลวิธีการจัดการศึกษา เพื่อ พฒั นาทยี่ ั่งยืน
เสริมสร้างการพฒั นาท่ียั่งยืน
3. ภาษาและ (1) ภาษาและวัฒนธรรมไทยเพื่อการเปน็ ครู (1) สามารถใชท้ ักษะการฟัง การพดู การ
วฒั นธรรม (2) ภาษาต่างประเทศเพื่อพฒั นาวชิ าชีพครู อ่าน การเขียนภาษาไทย และ
ภาษาตา่ งประเทศ เพอ่ื การสือ่ ความหมาย
อยา่ งถูกต้อง
(2) ใช้ภาษาและวัฒนธรรมเพื่อการอยู่
ร่วมกนั อยา่ งสันติ
4. จิตวทิ ยาสาํ หรบั ครู (1) จิตวิทยาพืน้ ฐานและจิตวิทยาพัฒนาการ (1) สามารถใหค้ ำแนะนำชว่ ยเหลอื ผเู้ รยี น
ของมนษุ ย์ ให้มีคุณภาพชวี ิตทีด่ ีขึน้
(2) จติ วิทยาการเรยี นรู้และจิตวิทยาการศึกษา (2) ใชจ้ ติ วทิ ยาเพอ่ื ความเขา้ ใจและ
(3) จติ วิทยาการแนะแนวและการให้ สนบั สนนุ การเรยี นรูข้ องผเู้ รียนใหเ้ ตม็
คาํ ปรึกษา ศักยภาพ
5. หลกั สูตร (1) หลกั การ แนวคิดในการจัดทาํ หลักสตู ร (1) วิเคราะห์หลักสูตรและสามารถจัดทํา
(2) การนําหลักสตู รไปใช้ หลักสตู รได้
(3) การพฒั นาหลักสูตร (2) ปฏิบัติการประเมินหลักสูตรและนําผล
การประเมินไปใช้ในการพัฒนาหลกั สตู ร
6. การจัดการเรียนรู้ (1) หลักการ แนวคิด แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการ (1) สามารถจัดทําแผนการเรียนรู้และ
และการจัดการช้ัน จัดทําแผนการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ และ นาํ ไปสู่การปฏิบัติใหเ้ กิดผลจริง
เรยี น สิ่งแวดล้อมเพือ่ การเรยี นรู้ (2) สามารถสร้างบรรยากาศการจัดการช้ัน
63 63
มาตรฐานความรู้ สาระความรู้ สมรรถนะ
(2) ทฤษฎีและรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เรียนให้ผู้เรยี นเกิดการเรยี นรู้
เพ่ือให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์
และแกป้ ัญหาได้
(3) การบรู ณาการการเรยี นรูแ้ บบเรียนรวม
(4) การจัดการชนั้ เรยี น
(5) การพัฒนาศนู ย์การเรยี นในสถานศึกษา
7. การวิจยั เพอื่ (1) หลักการ แนวคิด แนวปฏิบตั ใิ นการวจิ ยั (1) สามารถนําผลการวิจัยไปใช้ในการ
พัฒนาการเรียนรู้ (2) การใช้และผลิตงานวิจัยเพื่อพัฒนาการ จัดการเรียนการสอน
เรียนรู้ (2) สามารถทําวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียน
การสอนและพฒั นาผู้เรียน
8. นวตั กรรมและ (1) หลักการ แนวคิด การออกแบบ การ (1) ประยกุ ต์ใช้ และประเมินสื่อ นวัตกรรม
เทคโนโลยี ประยกุ ต์ใช้ และการประเมินส่อื นวตั กรรม เทคโนโลยีสารสนเทศเพอื่ การเรียนรู้
สารสนเทศทาง เทคโนโลยสี ารสนเทศเพอื่ การเรียนรู้ (2) สามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อ
การศกึ ษา (2) เทคโนโลยีสารสนเทศเพอื่ การส่อื สาร การสอ่ื สาร
9. การวดั และ (1) หลักการ แนวคิด และแนวปฏิบัติในการ (1) สามารถวดั และประเมนิ ผลได้
ประเมินผลการ วัดและประเมนิ ผลการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น (2) สามารถนําผลการประเมินไปใช้ในการ
เรยี นรู้ (2) ปฏิบตั กิ ารวัดและการประเมินผล พฒั นาผเู้ รยี น
10. การประกัน (1) หลักการ แนวคิด แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการ (1) สามารถจดั การคุณภาพการจดั กิจกรรม
คุณภาพการศึกษา จดั การคุณภาพการศึกษา การเรียนรู้และพฒั นาคุณภาพการเรียนรู้
(2) การประกนั คุณภาพการศกึ ษา อย่างต่อเนือ่ ง
(2) สามารถดําเนนิ การจัดกิจกรรมประเมิน
คณุ ภาพการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ได้
11. คณุ ธรรม (1) หลักธรรมาภิบาล และความซื่อสัตย์สุจรติ (1) ปฏิบัติตนเปน็ แบบอย่างที่ดี มีจิตสํานกึ
จริยธรรม และ (2) คณุ ธรรม และจรยิ ธรรมของวิชาชีพครู (3) สาธารณะ และเสยี สละใหส้ งั คม
จรรยาบรรณ จรรยาบรรณของวชิ าชพี ทค่ี ุรสุ ภากําหนด (2) ปฏิบตั ติ นตามจรรยาบรรณของวชิ าชีพ
(2) มาตรฐานประสบการณ์วิชาชพี ครู คือ ผ่านการปฏบิ ัตกิ ารสอนในสถานศึกษา ตามหลักสูตรปริญญาทาง
การศึกษาเป็นเวลาไม่นอ้ ยกว่า 1 ปี และผ่านเกณฑ์การประเมินปฏิบัติการสอน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่
คณะกรรมการคุรสุ ภากำหนด สรุปไดด้ งั ตารางที่ 2
64 64
ตารางที่ 3.2 สมรรถนะครูตามเกณฑ์มาตรฐานประสบการณ์วชิ าชีพครู
มาตรฐาน สาระการฝกึ สมรรถนะ
ประสบการณ์
วชิ าชีพครู
12. การฝกึ ปฏิบตั ิ (1) การสังเกตการจัดการเรียนรู้ (1) สามารถจัดทําแผนการจัดการเรียนรู้
วิชาชพี ระหวา่ ง (2) การจัดทําแผนการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียน เพอื่ จดุ ประสงค์การสอนทห่ี ลากหลาย
เรียน สรา้ งความร้ดู ว้ ยตนเอง (2) สามารถปฏิบัติการสอน ออกแบบ
(3) การทดลองสอนในสถานการณ์จําลอง และ ทดสอบ วัดและประเมนิ ผลผู้เรียน
สถานการณ์จรงิ
(4) การออกแบบทดสอบ ข้อสอบหรือเครื่องมือ
วัดผล
(5) การตรวจข้อสอบ การให้คะแนน และการ
ตดั สนิ ผลการเรยี น
(6) การสอบภาคปฏบิ ัตแิ ละการให้คะแนน
(7) การวจิ ยั แก้ปญั หาผเู้ รียน
(8) การพฒั นาความเป็นครมู ืออาชพี
13. การปฏบิ ตั กิ าร (1) การปฏบิ ตั กิ ารสอนวชิ าเอก (1) สามารถจัดการเรยี นรู้ในสาขาวิชาเอก
สอนในสถานศึกษา (2) การวดั และประเมินผล และนาํ ผลไปใช้ใน (2) สามารถประเมนิ ปรบั ปรงุ และ
ในสาขาวชิ าเฉพาะ การพัฒนาผเู้ รยี น ศึกษาวจิ ยั เพอื่ พัฒนาผเู้ รียน
(3) การวจิ ัยเพื่อพฒั นาผเู้ รยี น (3) ปฏิบตั งิ านอืน่ ที่ไดร้ ับมอบหมาย
(4) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือแบ่งปัน
ความรู้ในการสัมมนาการศึกษา
การประเมินสมรรถนะในการปฏิบัติงานของครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการ
การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน เป็นการดำเนินการตามนไยบายของกระทรวงศึกษาธิการภายใต้โครงการไทยเข็มแข็ง ในเรื่อง
ของการยกระดับคุณภาพครูทั้งระบบ: กิจกรรมจัดระบบพัฒนาครูเชิงคุณภาพเพื่อการพัฒนาครูรายบุคคล โดยการ
ประเมนิ สมรรถนะในการปฏิบัติงานของครูผู้สอนนัน้ ครผู ูส้ อนจะเป็นผู้ทำการประเมินตนเองโดยมวี ัตถุประสงค์ในการ
ประเมิน เพื่อประเมินสมรรถนะในการปฏิบัติงานของครูผู้สอน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน
และใช้เป็นฐานข้อมูลในการกำหนดกรอบการพัฒนาสมรรถนะครูตามนโยบายพัฒนาครูทั้งระบบ ซึ่งแบบประเมิน
สมรรถนะครูที่พัฒนาขั้นในครั้งนี้มีกรอบความคิดมาจากแนวคิดของ McClelland นักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัย
Harvard ที่อธิบายไว้ว่า “สมรรถนะเป็นคุณลักษณะของบุคคลเกี่ยวลับผล การปฏิบัติงาน ประกอบด้วย ความรู้
(Knowledge) ทักษะ (Skills) ความสามารถ (Ability) และ คุณลักษณะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน (Other
Characteristics) และเป็นคุณลักษณะเชิงพฤติกรรมที่ ทำให้บุคลากรในองค์กรปฏิบัติงานไต้ผลงานที่โดดเด่นกว่าคน
อื่นๆ ในสถานการณ์ที่หลากหลาย ซึ่งเกิด จากแรงผลักดันเบื้องลึก (Motives) อุปนิสัย (Traits) ภาพลักษณ์ภายใน
(Self-image) และบทบาทที่ แสดงออกต่อสังคม (Social role) ที่แตกต่างกันทำให้แสดงพฤติกรรมการทำงานที่
ต่างกัน ซึ่งสอดคล้อง กับแนวทางการพัฒนาสมรรถนะการบริหารทรัพยากรบุคคลแนวใหม่ภาครัฐ ของสำนักงาน
คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน โดยส่งเสริมสนับสนุนให้ส่วนราชการบริหารทรัพยากรบุคคลตาม กรอบมาตรฐาน
65 65
ความสำเร็จด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล (Standard for Success) เพื่อใหเ้ กดิ ผลสมั ฤทธิ์ตอ่ ความสำเร็จของส่วน
ราชการ
ศักยภาพของครู
คำนิยามของศักยภาพของครู
ศักยภาพ หรือคำภาษาอังกฤษ คือ potential หมายถงึ ความสามารถตามธรรมชาตหิ รือ คณุ ภาพของแต่ละ
บคุ คลทส่ี ามารถพฒั นาไปสคู่ วามเป็นเลิศได้ ("Longman Dictionary of Contemporary English," 2005) สอดคล้อง
กับพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2542) ที่ให้ความหมายของศักยภาพไว้ว่า หมายถึง ภาวะแฝง อำนาจ หรือ
คุณสมบัติที่มีแฝงอยู่ในสิ่งต่าง ๆ อาจ ทำให้พัฒนาหรือให้ปรากฏเป็นสิ่งที่ประจักษ์ได้ ซึ่งฤทัยรัตน์ ธรเสนา (2546)
และสุมิตตา สว่างทุกข์ (2553) ได้ให้คำจำกัดความของศักยภาพที่สอดคล้องกันว่า หมายถึง ความสามารถต่าง ๆ ที่
แฝงอยู่ใน ตัวบุคคล สามารถพัฒนาหรือแสดงออกเป็นการกระทำได้ จากการศึกษางานวิจัยของ ฐิติมาวดี เจริญรัซต์
(2553) และพินดา วราสุนันท์ (2554) พบว่า ศักยภาพของบุคคลใด ๆ สามารถจัดได้จากการ ประเมินความสามารถ
ของตนเองว่าสามารถกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในเหตุการณ์หนึ่งได้หรือไม่ ซึ่งในการ ประเมินศักยภาพในตนเองของบุคคล
ดังกลา่ วนี้ A. Bandura (1986) เรียกวา่ การรับร้คู วามสามารถ ของตนเอง (Self-Efficacy)
วไลกรณ์ แก้วคำ (2554) ได้ให้ความหมายของการรับรู้ความสามารถของตนเองว่า หมายถึง การรับรู้ของ
ตนเองต่อระดับการพิจารณาตัดสินความสามารถของตนเองในการปฏิบัติงานต่าง ๆ ใน สภาพก ารทำงานท่ี
เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้การปฏิบัติงานนั้นประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ดนุรี เงินศรี (2551) ยังกล่าวว่า การรับรู้
ความสามารถของตนเองว่า หมายถึง คุณลักษณะส่วนบุคคลที่ เก่ียวข้องกับความเชื่อมั่นในตนเองต่อการตัดสิน
ความสามารถในการแสดงพฤติกรรมของตนเองใน สถานการณท์ ี่เฉพาะเจาะจง
เนื่องจากการรบั รคู้ วามสามารถของตนเอง เปน็ การประเมินศักยภาพของตนเองต่อกิจกรรมที่ ต้องปฏิบัติ ซ่ึง
(A. Bandura, 1997b) กล่าวว่า บุคคลจะกระทำพฤติกรรมใดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการ คือ (1) การรับรู้
ความสามารถของตนเอง (Self-Efficacy) หมายถึง การรับรู้ความสามารถ ของตนเองที่จะจัดการ และดำเนินการ
กระทำพฤตกิ รรมใหบ้ รรลุเป้าหมายทีค่ าดหวังไว้ และ (2) ความ คาดหวังในผลท่จี ะเกิดขึน้ (Outcome expectation)
หมายถึง ความคาดหวังที่บุคคลมตี ่อพฤติกรรม เฉพาะอย่างที่จะปฏิบัติซึ่งจะน่าไปสู่ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังไว้ แสดงใน
แผนภาพที่ 3.2 ดังน้ี
บุคคล พฤติกรรม ผลลพั ธ์
การรับรูค้ วามสามารถของ ความคาดหวงั ผลทีจ่ ะเกดิ ข้นึ
ตนเอง
ภาพท่ี 3.2 ความสมั พนั ธ์ระหว่างการรับรคู้ วามสามารถของตนเองและความคาดหวังผลท่ีเกิดขนึ้ (A. Bandura,
1997)
จากภาพ จะเหน็ ได้ว่าบคุ คลจะกระทำพฤติกรรมหน่ึงหรือไมน่ น้ั ขนึ้ อยู่กบั การรับรู้ ความสามารถของตนเองว่า
จะมีความสามารถพอที่จะกระทำพฤติกรรมนั้นหรือไม่ ความคาดหวังว่า เมื่อกระทำพฤติกรรมนั้นจะได้ผลอย่างที่ตน
66 66
ต้องการหรือไม่ โดยความสัมพันธ์ระหวา่ งตัวแปรสองตัวน้ี จะส่งผลต่อการตัดสินใจกระทำพฤติกรรมของบุคคลนัน้ ๆ
ดังภาพที่ 3.3
การรับรูค้ วามสามารถของตนเอง ความคาดหวังในผลการกระทำ
ตำ่ สงู
สงู มีแนวโน้มท่จี ะไม่ทำ มีแนวโนม้ ท่จี ะทำอยา่ ง
แน่นอน
ต่ำ มีแนวโนม้ ท่จี ะทำอย่าง มแี นวโนม้ ท่จี ะไม่ทำ
แน่นอน
ภาพท่ี 3.3 ความสัมพันธ์ระหวา่ งการรับรคู้ วามสามารถของตนเอง และความคาดหวงั ผลท่จี ะเกิดขึน้ (A. Bandura,
1997)
จากความหมายและทฤษฎีที่เกี่ยวกับศักยภาพข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า ศักยภาพของครู หมายถึง
ความสามารถในการวดั การเรียนการสอนของครู ทวี่ ดั จากการรบั ร้คู วามสามารถในการวดั การเรียนการสอนของตนเอง
ของครู รวมถึงการพัฒนาเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจ ทักษะ ความชำนาญและความสามารถในการปฏิบัติหน้าท่ี
รวมท้ังการพฒั นาด้านคุณธรรมและจรยิ ธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลา
ความจำเป็นในการพฒั นาศักยภาพครู
การพัฒนาบุคลากรเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นกรรมวิธีที่จะช่วยเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถและ
ทักษะในการปฏิบตั ิงานของบุคลากรให้ไดผ้ ลดี มีทั้งประสิทธภิ าพและ ประสทิ ธิผล ช่วยให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร
ความสำคัญของการพฒั นาศกั ยภาพครู
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่า ครูเป็นบุคคลที่มีความสำคัญที่สุดต่อการพัฒนา สังคมและชาติ
บ้านเมือง ท้ังนี้เพราะครูต้องรับหน้าที่ในการพัฒนาบุคคลในสังคมให้มีความเจริญ งอกงามอย่างเต็มที่ จนบุคคล
เหล่านัน้ สามารถที่จะใช้ความรู้ความสามารถของตนเพ่ือพัฒนาชาติ บ้านเมืองตอ่ ไป ดังนั้นการพัฒนาครูให้เป็นบคุ คล
ที่มีศักยภาพอย่างที่สุด จึงเป็นงานที่นักวิชาการ ศึกษา / ผู้นิเทศ และ / หรือผู้บริหารการศึกษาจะต้องกระทำอย่าง
จรงิ จงั และต่อเนื่อง
ประโยชนข์ องการพัฒนาศักยภาพครู
1. การพัฒนาครู ช่วยพัฒนาคุณภาพ และวิธีการทำงานของครู ทำให้ครูมีสมรรถภาพ ในการสอน มี
ความรู้เพิม่ ข้ึน เขา้ ใจบทบาทหน้าทีแ่ ละปฏิบัตหิ น้าที่ไตอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ สามารถแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งให้ดขี ้นึ
2. การพัฒนาครู ช่วยทำให้เกิดการประหยัดเวลา และลดความสูญเปล่าทางวิชาการ เพราะครูที่ไต้รับ
การพัฒนาจนเป็นครูที่มีคุณภาพนั้นย่อมไม่ทำสิ่งใดผิดพลาดง่าย ๆ สามารถใช้ สื่อการเรียนการสอนอย่างมี
ประสิทธภิ าพ ทำการสอนนักเรยี นได้ผลเต็มที่และตรงตามจุดประสงค์ สว่ นนกั เรยี นก็มคี วามรู้ความสามารถตามเกณฑ์
ท่กี ำหนด
3. การพัฒนาครู ช่วยทำให้ครูได้เรียนรู้งานในหน้าที่ได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งครู ที่เพิ่งได้รับการ
67 67
บรรจุใหเ้ ขา้ ทำงานใหม่ ๆ และครทู ีย่ ้ายไปทำการสอน ณ ที่ทำงานแห่งใหม่
4. การพัฒนาครู ช่วยแบ่งเบาหรอื ลดภาระหน้าทีข่ องผู้บังคับบญั ชา หรือหัวหนา้ งาน ในสายงานต่าง ๆ
เพราะครูที่ไดร้ บั การพฒั นาอยา่ งดแี ละอยา่ งตอ่ เน่ือง จะมคี วามเข้าใจงาน การสอนและงานอ่ืน ๆ ได้เป็นอยา่ งดี
5. การพฒั นาครู ชว่ ยกระตุ้นให้ครูปฏิบัติงานเพื่อความกา้ วหน้าในตำแหน่งหน้าท่ี การงานกล่าวคือ ทำ
ให้ครทู กุ คนมโี อกาสก้าวหนา้ ไปสู่ตำแหนง่ ทางการบรหิ ารท่มี ีสถานภาพดขี ้นึ
6. การพัฒนาครู ช่วยทำให้ครูเป็นบุคคลที่พันสมัยอยู่เสมอ ทั้งในด้านความรู้และ เทคโนโลยีต่าง ๆ
รวมทงั้ หลกั การปฏบิ ตั ิงานและเครอ่ื งมอื เครอื่ งใชต้ า่ ง ๆ
กล่าวสรุปได้ว่า การพัฒนาครูเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารการศึกษา เพราะงานทุกชนิด ของสถานศึกษา
จะดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและได้รับผลสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่ เพียงใดขึ้นอยู่คับความสามารถ
และความร่วมมือของครู ถ้าครูขาดความรู้ ความสามารถ ขาดขวัญ กำลังใจในการปฏิบัติงาน และขาดความ
รับผิดชอบ แตกความสามัคคี ต่างคนต่างอยู่และทำงาน โดยไม่ให้ความร่วมมือ กิจกรรมต่าง ๆ ที่สถานศึกษาได้วาง
ไว้ก็จะประสบความล้มเหลว เพราะมี คนก็เหมือนไม่มีในเมื่อคนเหล่านั้นไม่ร่วมมือคันและหย่อนสมรรถภาพ การ
พฒั นาครูจึงเปน็ ส่งิ ที่ สำคัญท่ีสดุ ตอ่ การพฒั นาสังคมและชาตบิ า้ นเมือง เพราะครตู อ้ งรบั หน้าท่ีในการพฒั นาบุคคลใน
สังคมให้มีความเจริญงอกงามอย่างเต็มที่ จนบุคคลเหล่านั้นสามารถที่จะใช้ความรู้ความสามารถ ของตนเพื่อพัฒนา
ชาติบ้านเมืองต่อไป ดังนั้นการพัฒนาครูให้เปน็ บุคคลที่มีศกั ยภาพอย่างที่สุด จึง เป็นงานที่นักวชิ าการ และผู้บรหิ าร
การศึกษาจะต้องกระทำอย่างจริงจังและตอ่ เนื่อง
บคุ ลกิ ภาพของครู
บุคลิกภาพของครูเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่คนจะต้องแสดงออกตลอดเวลาให้ทั้งศิษย์ และคนทั่วไปได้
เห็น การจะเป็นครูที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติหรือคุณลักษณะที่เหมาะสม การปรับปรุงบุคลิกภาพหรือการพัฒนา
บุคลิกภาพ จึงเป็นหนทางหนึ่ง ที่จะนำไปสู่การเป็นครูที่มีคุณลักษณะที่ดีได้ โดยมีทั้งการปรับและพัฒนาบุคลิกภาพ
เดิม การปรับและพัฒนาค่านิยม โดยเฉพาะค่านิยมในวิชาชีพครูจึงเป็นหัวใจของครู และเป็นการที่ครูจะได้สร้าง
ภาพพจนแ์ ละเกียรตภิ ูมใิ หก้ ับตนเองและวงศ์ตระกลู
ความหมายของบคุ ลกิ ภาพ
พจนานุกกรม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 (2539 : 481) อธิบายว่า บุคลิกภาพ หมายถึง สภาพนิสยั
จำเพาะคน สว่ นบุคลกิ ลกั ษณะ หมายถึง ลักษณะจำเพาะตัวของแตล่ ะคน
ดำรง ประเสริฐกุล (2542 : 66) กล่าวว่า บุคลิกภาพ หมายถึง ลักษณะทั้งภายนอกและคุณลักษณะภายในท่ี
รวมอยู่ในตัวบุคคลใดบคุ คลหน่งึ ซ่งึ ได้แก่ รูปรา่ งหนา้ ตา กริ ยิ ามารยาท การแต่งกาย การแสดงออกของอารมณ์ ค่านิยม
ต่าง ๆ ทำให้บุคคลน้นั มีบุคลิกภาพแตกต่างไปจากบุคคลอื่นๆ จนสามารถแสดงความเป็นเอกลกั ษณข์ องตนเองให้ผู้เริ่ม
สงั เกตเห็นได้
นงลักษณ์ สุทธิวัฒนพันธ์ (2545 : 3) กล่าวว่า คำว่า บุคลิกภาพ (Personality) เป็นคำที่ มาจาก
ภาษาลาตินว่า Perdona หมายถึง หน้ากากที่ตัวละครสมัยกรีกและโรมันสวมใส่เพื่อแสดงบุคลิกภาพลักษณะที่
แตกต่างกนั เพือ่ ให้ ผู้ดูเห็นได้ในระยะไกล ๆ
ธีรศักด์ิ อัครบวร (2545 : 83) กล่าวว่า บุคลิกภาพ คือ สิ่งท่ีแสดงถึงเอกลักษณ์ หรือพฤติกรรมของแต่ละ
บุคคลซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างจากคนอื่น ๆ ว่า บุคคลนั้นแตกต่างจากสมาชิกในกลุ่มอย่างไร เช่น การแสดง
ความคดิ เห็น ทศั นคติ ลักษณะกมลสนั ดาน (Traits) ทแี่ สดงถึงตัวตนท่ีแท้จรงิ ของบุคคลนน้ั ๆ อกี ด้วย
68 68
กดู๊ (Good. 1973 : 392) กลา่ ววา่ บุคลกิ ภาพ (Personality) หมายถึง การแสดงออกด้านอารมณ์ จิตใจและ
พฤติกรรมต่างๆ ของแต่ละบุคคลอันเป็นปฏิกิริยาตอบโต้ต่อสภาพแวดล้อม ทางด้านจิตวิทยาและสังคมของบุคคล
ทวั่ ไป
มอริส (Morris.1990 : 483) กล่าวว่า บุคลิกภาพ หมายถึง ความผูกพันเกาะเกี่ยวกับ คุณลักษณะทาง
ความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งผูกพันอยู่ตลอดเวลาและตลอดทุกสถานการณ์ ทำให้บุคคลแต่ละคนแปลก
แยกจากบคุ คลอน่ื ๆ
จากคำจำกัดความดังกล่าวทำให้พอสรุปได้ว่า บุคลิกภาพ นั้น คือ ลักษณะทั้งภายนอกและภายในที่ได้
แสดงออกทางพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น ความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม รสนิยม หรืออารมณ์ เป็นต้น อันเป็น
ปฏกิ ริ ิยาโตต้ อบต่อสภาพแวดล้อมที่แสดงถึงตวั ตนทแ่ี ท้จริงของบคุ คลนัน้ ๆ
ความสำคญั ของบคุ ลิกภาพ
บุคลิกภาพ มีความสำคัญต่อบุคคลทั้งในด้านส่วนตัวและอาชีพการงาน กล่าวคือ ในด้านส่วนตัวนั้น หาก
บุคคลใดมีบุคลิกภาพดี ย่อมเป็นที่ชื่นชอบของบุคคลที่พบเห็นและยินดีที่จะมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ทำให้บุคคลนั้นๆ มี
สมั พนั ธ์ภาพกับบุคคลอื่นอยา่ งราบร่ืน ได้รับความสำเร็จจากการติดต่อธุรกิจการงานหรือได้รบั ความร่วมมือจากบุคคล
อื่น เพราะเป็นที่น่าเชื่อถือไว้ใจของบุคคลที่พบเห็นส่วนในอาชีพการงานน้ัน บุคคลที่มีบุคลิกภาพดีย่อมประสบ
ความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างสูง เพราะทำให้เพื่อนร่วมงานและบุคคลท่ีเก่ียวข้องมีความเช่ือมั่นไวว้ างใจ เลื่อมใส
ศรทั ธา พรอ้ มทจี่ ะใหค้ วามสนบั สนนุ ทกุ โอกาส ดังนัน้ บุคคลท่มี ีบุคลกิ ภาพดี จงึ มีความม่ันใจและพร้อมท่ีจะ
ปฏิบัติงานในหนา้ ท่ีทไ่ี ดร้ ับมอบหมายอยา่ งมีประสิทธิภาพ
วิรัช จงอยู่สุข (2542 : 72) ได้ให้ทัศนะความสำคัญของบุคลิกภาพไว้ว่า บุคลิกภาพ มีความสำคัญต่อบุคคล
การมบี คุ ลิกภาพท่ีดอี าจเอื้อต่อการประกอบธุรกจิ การงานให้ดำเนินไปได้ดว้ ยดี บคุ ลกิ ภาพจึงมีความสำคญั ดงั น้ี
1. เปน็ จดุ เดน่ ทำใหง้ ่ายตอ่ การจดจำและเข้าใจของบุคคลอ่ืน เพราะแต่ละบุคคลมี
เอกลักษณ์ของตนเอง
2. บคุ ลกิ ภาพลกั ษณะที่ดีของแต่ละบุคคลย่อมเปน็ แบบอยา่ งท่ีดีที่อนุชนรุ่นหลงั จะไดป้ ฏบิ ตั ิตาม
3. บุคลิกภาพทีด่ งี ามทำใหบ้ ุคคลมีความม่ันใจในตนเองไม่เกดิ ปมด้อย
4. การมีบุคลิกภาพท่ีดีย่อมทำให้บุคคลสามารถปรับตัวเองใหเ้ ขา้ กับบุคคลอื่นได้ สร้างมนุษยสัมพนั ธ์ได้เรว็
เพราะสมาชิกในสงั คมยอมรบั
นอกจากนัน้ นงลักษณ์ สทุ ธวิ ัฒนพนั ธ์ (2545 : 4-5) ได้ให้ความสำคัญของบุคลกิ ภาพไว้ดงั นี้
1. ช่วยในการรับร้แู ละเขา้ ใจในสภาพความเปน็ จริงไดอ้ ย่างถูกต้อง
2. การแสดงอารมณจ์ ะอยู่ในลกั ษณะของขอบเขตทีเ่ หมาะสม
3. มีความสามารถในการสรา้ งความสมั พนั ธ์กบั บุคคลอ่นื และสงั คมไดด้ ี
4. มีความสามารถในการทำงานทอี่ ำนวยประโยชนต์ ่อผอู้ นื่ และสงั คมได้
5. มคี วามรักและความผกู พนั ต่อผู้อ่ืน
6. มีความสามารถในการพัฒนาตนเองและพฒั นาการแสดงออกของตนต่อผู้อื่นได้ดีขึน้
กลา่ วโดยสรปุ บุคลกิ ภาพมคี วามสำคญั กับบุคคลดงั ตอ่ ไปนี้
1. ทำให้ง่ายต่อการจดจำบุคคล ทั้งนี้เพราะบุคลิกภาพเป็นของเฉพาะตวั ใครมบี คุ ลิกภาพอย่างไรก็จะแสดง
ออกมาใหป้ รากฏแกส่ ายตาของผู้พบเห็นเช่นนั้นเป็นประจำเม่ือบุคคลได้พบเห็นซึ่งกนั และกันจนชินแลว้ แม้ว่าบุคคลที่
คุ้นเคยกันนั้นจะอยู่ห่างไกลเกือบสุดสายตา แต่ถ้าหากมีการเคลื่อนไหว ผู้ที่คุ้นเคยกันย่อมจำได้ว่าเป็นผู้ ใดในทำนอง
เดียวกัน แม้ว่าเราจะไม่เห็นผู้ที่คุ้นเคยกันนั้น แต่เราได้ยินเสียงพูดหรือเสียงร้องของบุคคลนั้นเราก็จะตอบได้ทันทีว่า
เป็นเสียงพูดหรือเสยี งร้องของบุคคลใด ซึ่งแสดงใหเ้ หน็ ว่าบคุ ลิกภาพของบุคคลชว่ ยใหง้ ่ายต่อการจดจำซึ่งกนั และกนั
69 69
2. เป็นเอกลักษณ์ที่สามารถนำไปเป็นแบบอย่างได้ ทั้งนี้เพราะบุคลิกภาพเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ
บุคคล บุคคลใดมีบุคลิกภาพดีอย่างโดดเด่นด้านใดด้านหนึ่ง เช่นความซื่อสัตย์ ความเท่ียงธรรม ลักษณะการเดินสง่า
งาม หรอื ลลี าการพูดคล่องแคลว่ ประทบั ใจ เปน็ ตน้ สงิ่ ต่าง ๆ เหลา่ น้ี ทำให้บางคนที่ช่ืนชอบนำไปเป็นแบบอยา่ งได้
3. ทำให้มีความมั่นใจในตัวเอง กล่าวคือบุคคลที่มีบุคลิกภาพดีและบุคลิกภาพนั้นมีความเหมาะสมกบั งานท่ี
ตัวเองรับผิดชอบแล้ว จะทำให้เกิดความมั่นใจในการทำงานมากยิ่งขึ้นเช่น คนที่มีความสามารถพูดในที่ชุมชน เม่ือ
ไดร้ ับเชิญให้ข้นึ เวทปี ราศรัยเร่อื งใดเร่อื งหน่ึงกจ็ ะทำงานนน้ั ได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ เปน็ ตน้
4. ทำให้บุคคลสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดี กล่าวคือ บุคคลที่มีบุคลิกภาพดีย่อมสามารถสร้าง
ปฏิสัมพันธ์ทางสงั คมกับผู้อนื่ ไดด้ ี ขณะเดยี วกนั สมาชิกในกลมุ่ กใ็ ห้การยอมรบั นบั ถือเป็นอย่างดเี ช่นเดียวกัน
5. สังคมให้การยอมรับและชื่นชม กล่าวคือ บุคคลที่มีบุคลิกภาพดี ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกภาพในการเดิน
ความสามารถในการพูด ความสามารถในการร้องเพลง ความคล่องแคล่วนุ่มนวล ความซื่อสัตย์สุจริต หรือความ
เอ้ือเฟื้อเผอื่ แผ่ เป็นตน้ ส่งิ ต่างๆเหล่านยี้ อ่ มทำให้บคุ คลในกลุม่ หรอื สงั คมท่ัวไปท่รี จู้ กั พบเหน็ ให้การยอมรับและช่นื ชม
6. ทำให้ง่ายต่อการทำนายของบุคคล ตัวอย่าง เช่น บุคคลที่ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง เมื่อจำเป็นต้อง
กระทำบางสิ่งบางอย่างต่อหน้าบุคคลอื่นจำนวนมาก ก็จะแสดงอาการประหม่า สะทกสะท้าน ปากสั่น หรือในกรณี
บุคคลใดมีประสาทผิวหนังไวต่อการสัมผัส (หรือบ้าจี้) เมื่อสิ่งใดมากระทบลำตัว ก็จะร้องเอะอะโวยวายหรือทุบตีคน
ขา้ งเคียงเปน็ ตน้
7. ทำให้บุคคลประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ความสำคัญของบุคลิกภาพในประเด็นนี้มีความสำคัญ
ต่อบุคคลมาก กล่าวคือ บุคคลที่มีบุคลิกภาพดีในหลายๆด้าน ย่อมทำให้บุคคลอื่นเกิดความรักความศรัทธา มีความ
เชื่อมั่น เมื่อกระทำกิจการงานใดๆจึงมักมีผู้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือเสมอ ตัวอย่างเรื่องนี้ที่เห็นเด่นชัดคือ
นักการเมืองที่มีชื่อเสียงมีความสามารถ เมื่อสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ผู้ว่าราชการ
กรุงเทพมหานคร หรือตัวแทนองคก์ รต่างกจ็ ะไดร้ บั ความสนบั สนนุ จากประชาชนอย่างล้นหลาม
ลักษณะของบุคลิกภาพ
การจำแนกลักษณะของบคุ ลกิ ภาพ ยอ่ มแตกตา่ งกันไปตามความคิดเห็นของแต่ละบุคคล
เช่น บางคนจำแนกบุคลิกภาพออกเป็นบุคลิกภาพทางกาย บุคลิกภาพทางสติปัญญา บุคลิกภาพทางอารมณ์ และ
บุคลิกภาพทางสงั คมเป็นต้น บางคนจำแนกบคุ ลิกภาพออกเปน็ ทางกาย สติปัญญา ความสามารถ อารมณ์ ความสนใจ
อุปนิสัย และการปรับตวั เป็นต้น อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาอยา่ งกวา้ ง ๆ แล้ว บุคลิกภาพของคนเรานี้ สามารถจำแนก
ออกได้เปน็ 2 ประเภทใหญ่ๆ ด้วยกัน คอื
1. บุคลิกภาพภายนอก (External Personality) คือ คุณลักษณะทุกสิ่งทุกอย่างของบุคคลที่บุคคลอ่ืน
สามารถฟังไดด้ ว้ ยหูหรือดูไดด้ ว้ ยตา เปน็ ส่ิงท่ีสามารถสังเกตเหน็ หรือสมั ผสั ไดด้ ว้ ยประสาททางรา่ งกาย เช่น ตา หู จมูก
หรือกาย อย่างใดอย่างหนึ่ง บุคลิกภาพภายนอกนี้สามารถแก้ไขปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงได้ง่าย โดยใช้เวลาในการ
แก้ไขปรับปรุงไม่มากนัก และสามารถประเมินผลได้อย่างรวดเร็ว บุคลิกภาพภายนอกของคนเราที่สำคัญมากคือ
บุคลิกภาพทางกายและทางวาจาใจ ตัวอย่างบุคลิกภาพทางกาย เช่น การเดิน การนั่ง การแต่งกาย ลีลาท่าทาง
กริ ิยามารยาท เปน็ ตน้ ส่วนบคุ ลกิ ภาพทางวาจา เชน่ ความชดั เจนในน้ำเสียง การพูดทถ่ี ูกต้อง น้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะ
และเสียงรอ้ งไพเราะ เป็นตน้
2. บุคลิกภาพภายใน (Internal Personality) คือ สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวบุคคลแต่ละคน เป็นสิ่งที่
มองไม่เห็น สัมผัสได้ยาก ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ยาวนานกว่าบุคลิกภาพภายนอก การแก้ไขปรับปรุงหรือ
เปลี่ยนแปลงต้องใช้ระยะเวลายาวนานพอสมควร นอกจากนี้ บุคลิกภาพภายในบางอย่างแก้ไขได้ยากมากหรือไม่
สามารถจะแกไ้ ขได้ เช่น ความสามารถในการจดจำ สติปัญญา ไหวพรบิ อารมณ์ ความเชือ่ มัน่ ในตัวเอง เป็นตน้
70 70
บคุ ลกิ ภาพพน้ื ฐานทจี่ ำเป็นสำหรับครู
บุคลิกภาพพื้นฐาน หมายถึง บุคลิกภาพที่จำเป็นพื้นฐานทั่วไปซึ่งบุคคลทุกคนจำเป็นต้องฝึกฝนพัฒนาตนให้
บังเกิดเป็นนิสัยประจำตัว สำหรับบุคคลที่เป็นครูหรือบุคคลที่ปรารถนาจะเป็นครูนั้น จำเป็นต้องพัฒนาบุคลิกภาพ
พน้ื ฐานของตนในเร่ืองต่อไปน้ีคอื
1. การแต่งกาย การแต่งกายของครอู าจารย์ เปน็ บคุ ลิกภาพพืน้ ฐานท่ีมคี วามสำคญั ยง่ิ
อีกประการหนึง่ เพราะเป็นส่ิงแรกทบี่ คุ คลอน่ื ๆ ต้ังแตน่ กั เรียน ผปู้ กครองนักเรียน ผ้บู รหิ าร
สถานศึกษา และประชาชนทั่วไป ต้องพบเห็น หากภาพลักษณ์ของครูอาจารย์ที่ปรากฏต่อสายตาของประชาชนมี
ลกั ษณะเรียบรอ้ ยเหมาะสมต่อวชิ าชพี ก็จะช่วยทำให้ผู้ทีพ่ บเหน็ นัน้ ๆ เกิดเจตคตทิ ี่ดตี อ่ วชิ าชีพครู เมือ่ บคุ คลมีเจตคติดี
ต่อกัน ความนิยมยกย่องนับถือก็จะตามมา ดังนั้น ครูอาจารย์และผู้ที่ปรารถนาจะเป็นครูทุกคน ควรให้ความสนใจใน
การแต่งกายใหเ้ รยี บร้อยเหมาะสมกบั กาลเทศะ ทงั้ ในเวลาสอนและนอกเวลาสอน
การแตง่ กายทเ่ี หมาะสมน้ัน มิได้หมายความว่าจะต้องใช้เสื้อผา้ ที่มีราคาแพงๆ แต่ข้ึนอยู่กับการเลือกสีสัน
ใหเ้ หมาะสมกับเพศและผวิ พรรณ และการใช้เสอ้ื ผ้าทมี่ ีรปู ทรงเหมาะสมมากกว่า
กล่าวโดยสรปุ ครูอาจารย์ควรพฒั นาบุคลกิ ภาพการแต่งกายดงั นี้
1.1 แต่งกายให้เหมาะสมกับความนิยมของสังคมในโอกาสตา่ ง ๆ เชน่ งานราตรี สโมสร งานตอ้ นรบั งาน
รับรอง งานมงคลสมรส และงานฌาปนกจิ ศพ (งานพระราชทานเพลงิ ศพ) เปน็ ต้น
1.2 ไม่แต่งกายผิดสถานที่ เช่น แต่งกายด้วยชุดอาบน้ำเดินไปตามสวนสาธารณะหรือแต่งชุดกีฬาไป
ตดิ ต่อธุรกจิ การงาน เป็นต้น
1.3 ควรสวมใสเ่ ส้ือผ้าให้เข้ารูปทรงแตพ่ องาม ไมห่ ลวมจนมองดูรมุ่ รา่ ม หรือรดั รปู จนดูไม่งาม
1.4 ก่อนนำเสอื้ ผา้ มาสวมใส่ ควรซกั รดี ใหเ้ รียบร้อยเสมอ
1.5 เลือกเสอื้ ผ้าสวมใสใ่ ห้เหมาะสมกับเพศ วัย และผวิ พรรณ
1.6 สวมใสร่ องเท้าเมอื่ จำเป็นต้องเดินทางออกนอกบา้ นหรอื ท่ีอยู่อาศยั และระวังรกั ษาให้สะอาดอยู่เสมอ
1.7 ในกรณีที่แต่งกายไปงานศพ ควรแต่งกายให้เรียบร้อยและใช้สีเสื้อผ้าที่เข้มโดยเฉพาะอย่างย่ิง
สุภาพสตรี ควรแต่งกายด้วยชุดสีดำล้วน ไม่เปิดหลังเปิดไหล่มากเกินไปไม่ควรใช้เครื่องประดับแวววาวหรือมาก
จนเกนิ ไป และควรงดเคร่ืองประดับท่ีมีสีสันฉูดฉาด สำหรบั ชายควรแต่งกายดว้ ยชดุ สเี ข้มและเรียบ สวมรองเท้าถุงเท้า
ดำหรือเข้ม ถา้ แต่งชุดสากล ต้องติดแขนทกุ ข์ ขา้ งซ้ายเหนอื ขอ้ ศอก
1.8 สำหรับสุภาพสตรี เมื่อไปทำบุญที่วัดควรแต่งกายให้เรียบร้อย ไม่ประเจิดประเจ้อ ไม่สวมกางเกง
รัดรูป กระโปรงส้นั และไม่สวมเสื้อคอเวา้ เปิดกวา้ ง เปน็ ตน้
1.9 การแต่งกายไปติดต่องานราชการ ทุกคนต้องแต่งกายใหเ้ รียบร้อย เช่น ไม่สวมรองเท้าแตะ ไม่ปล่อย
ชายเสื้อเชิ้ตนอกกางเกง สุภาพสตรตี อ้ งไมส่ วมกางเกงไปติดต่องานราชการ
เพราะเปน็ การไม่แสดงความเคารพต่อสถานที่และแสดงใหเ้ ห็นถงึ ความเป็นคนไมม่ ีสัมมาคารวะดว้ ย
1.10 งานพระราชพิธี รฐั พิธี หรอื งานสโมสรสนั นบิ าต ต้องแตง่ ตามหมายกำหนดการ
แต่งตามคำสั่งหรือระเบียบแบบแผนที่กำหนดไว้ ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องแบบเต็มยศ ครึ่งยศ หรือเครื่องแบบปกติ
ประดบั เครอ่ื งราชอิสริยาภรณ์ เป็นตน้
2. กริ ิยามารยาท กริ ิยามารยาท เปน็ คำท่ีมคี วามหมายกว้าง ในทนี่ ี้จะเนน้ เฉพาะกิริยาอาการซึ่งบุคคลต้องมี
ปฏิสัมพันธ์ต่อกันเป็นประจำ เช่น เมื่อเดินผ่านผู้ใหญ่ควรโน้มตัวให้ต่ำตามฐานะของบุคคล การใช้คำพู ดให้สุภาพ
น่มุ นวล อ่อนหวาน เมื่อกระทำส่ิงใดผิดพลาดและส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่นควรกล่าวคำ “ขอโทษ” หรือ “ขอบคุณ”
เมื่อผู้อื่นทำประโยชน์ให้แก่ตน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เปน็ ส่ิงท่ีกระทำไม่ยากสำหรับผู้ที่ไดร้ ับการอบรมมาตั้งแต่ยงั เยาว์ แต่
สำหรับบุคคลที่ขาดฝึกฝนอบรมมาจะต้องฝึกหัดให้เคยชิน หากสามารถกระทำได้จนติดเป็นนิสัยแล้วก็จะช่วยเสริม
ความสง่างามหรือเพ่ิมเสน่หใ์ ห้กบั ตนเองได้อย่างดยี ่ิง
71 71
3. การยืน บุคคลที่ยืนได้สง่างามจะเพิ่มเสน่ห์ให้กับตนเองอย่างมาก ในทางตรงกันข้ามผู้ที่ยืนไม่งามและไม่
ระมัดระวังอากัปกิริยานั้น นอกจากทำให้เสียบุคลิกภาพแล้ว ยังอาจทำให้ผู้อื่นดูแคลนได้ด้วย ด้วยเหตุนี้ ผู้ท่ี เป็นครู
อาจารยท์ ั้งชายหญิง จำเป็นต้องระมัดระวงั ลลี าทา่ ทางการยืนของตนใหส้ ง่างาม โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ต่อหน้าบุคคลท่ีควร
ให้ความเคารพ และในท่ีสาธารณะ เพราะเป็นเปา้ สายตาของบุคคลทว่ั ไป
กลา่ วโดยสรปุ การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพด้านการยนื ของครอู าจารย์ ควรปฏบิ ตั ดิ ังน้ี
3.1 การยืนตามลำพัง หมายถึง การยืนตามสบายในสถานที่ต่าง ๆ เช่น ในที่สาธารณะ ยืนคอยรถเมล์
หรือแม้แต่ยืนในบริเวณที่ทำงาน เป็นต้น การยืนตามลำพังหรือยืนตามสบายนี้ มิได้หมายความว่าจะยืนอย่างไรก็ได้
การยนื ทเี่ หมาะสมนั้นจะต้องมสี ติสัมปชัญญะอยู่เสมอว่าเรากำลังยืนอยู่ที่ไหน ต่อหน้าใครบา้ ง ดังนนั้ จึงต้องมีความ
สำรวมอวัยวะบางสิ่งบางอย่างบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุภาพสตรีจะต้องระมัดระวังอวัยวะของร่างกายให้มากกว่า
สภุ าพบุรษุ
กล่าวโดยสรุป การยนื ตามลำพงั ถอื ว่าอยใู่ นลักษณะทงี่ ดงามจะต้องปฏบิ ัตดิ ังนี้คือ
ชาย ยืนให้ลำตัวตรง เข่าชดิ ปลายเท้าแยกหา่ งกันพอสมควร ปล่อยมือตามสบาย
หญงิ ยืนลำตัวตรง ปลายเท้าและส้นเท้าชดิ กนั ปล่อยมือตามสบาย
3.2 การยนื ต่อหน้าผใู้ หญ่ หมายถึง การยืนตอ่ หนา้ บุคคลที่ควรให้ความเคารพ เชน่ ยืนตอ่ หน้าครอู าจารย์
ต่อหน้าผู้บังคับบัญชา หรือต่อหน้าผู้มีพระคุณทุกท่าน เป็นต้น การยืนต่อหน้าผู้ใหญ่นี้ สามารถจำแนกออกเป็น 2
ลักษณะ คอื ยืนฟังคำสงั่ และการยืนฟังโอวาท ซึ่งแต่ละลกั ษณะมวี ธิ ีการปฏบิ ตั ดิ งั นี้
3.2.1 การยืนฟังคำสั่ง ทั้งชายและหญิงให้ยืนตัวตรง หน้ามองตรง มือทั้งสองปล่อยตรงแนบลำตัว
สำหรบั หญิง เวลายนื ปลายเทา้ และส้นเทา้ ชดิ กันเสมอ
3.2.2 การยนื ฟงั โอวาท ทง้ั ชายและหญิง ยนื ลำตัวตรง กม้ หนา้ เล็กน้อย มือทงั้ 2 ประสานไวต้ ำ่ กว่า
ระดับเข็มขัดเลก็ นอ้ ย
การยืนต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้ง 2 ลักษณะ ไม่นิยมยืนเผชิญหน้า ควรยืนให้เฉียงไปทางซ้ายหรือขวามือ
เล็กนอ้ ย
4. การเดิน ลักษณะการเดินเป็นบุคลิกภาพที่มีความสำคัญมากกว่าการยืนหรือนั่ง ทั้งน้ีเพราะอิริยาบถทั้ง
การยืนและการนั่งเป็นสภาวะที่บุคคลหยุดอยู่กับที่ ผู้อื่นไม่สามารถสังเกตเห็นกิริยาอาการของผู้นั้นได้ครบถ้วน ส่วน
อิริยาบถด้านการเดินเป็นสภาวะที่ร่างกายกำลังเคลื่อนไหวทำให้บุคคลอื่นสังเกตเห็นลักษณะอาการของผู้ที่กำลัง
เคลื่อนไหวได้อย่างครบถ้วน ผู้ที่มีหน้าตาผิดพรรณงดงามสักเพียงใดก็ตาม หากเดิมไม่สวยไม่สง่างามเสียแล้ว ย่อม
ทำลายบคุ ลิกภาพในดา้ นอน่ื ๆ ให้ด้อยลงอย่างมาก ด้วยเหตุน้ี บุคคลท่ีเปน็ ผู้นำหรือต้องปรากฏตวั ตอ่ หน้าชุมชน เสมอ
ๆ จึงจำเปน็ ต้องฝึกฝนพัฒนาตนให้เป็นผู้ทีม่ ีลลี าการเดินงดงาม ตวั อย่าง เชน่ การประกวดความงามของสุภาพสตรีใน
รูปแบบต่าง ๆ ก่อนที่จะมีการประกวดจริง จะต้องมีการฝึกหัดเดินให้คล่องแคล่วนุ่มนวลเสียก่อน หรือแม้แต่ทหาร
ตำรวจ ก็จำเป็นต้องหัดเดินให้สง่างาม ซึ่งต้องใช้เวลาในการฝึกยาวนานพอสมควร สำหรับบุคคลที่เป็นครูอาจารย์ก็
เช่นเดียวกนั จำเป็นต้องฝึกฝนพัฒนาตนใหเ้ ป็นผ้ทู เ่ี ดนิ ไดส้ ง่างาม สามารถเป็นแบบอย่างแกศ่ ิษย์ชายหญงิ ได้ ดว้ ยเหตุน้ี
ครอู าจารยจ์ ึงไม่ควรละเลยตอ่ การพฒั นาบคุ ลิกภาพด้านการเดินของตนเอง
สำหรบั การเดนิ ท่ีสงา่ งามและมีมารยาทน้ัน ควรปฏิบัตดิ ังน้ี
4.1 การเดินตามสบายการเดินตามสบายนี้ มิได้หมายความว่าจะเดินอย่างไรก็ได้ การเดินให้สง่างามน้ัน
ทั้งชายและหญิงจะต้องระมัดระวังอากัปกิริยาอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างย่ิง สุภาพสตรีนั้นยิ่งต้องระมัดระวัง
อากัปกิริยาการเดินเป็นกรณีพิเศษ เวลาเดินจะต้องเดนิ ให้ลำตัวตั้งตรง หน้ามองตรง แกว่งแขนพอสมควร ไม่เดินกาง
แขน ไหล่ห่อ ไม่แกว่งแขนปัดไปปัดมา พยายามเดินให้ปลายเท้าสืบตรงไปข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างสุภาพสตรี ต้อง
ระวังอย่าเดินสะโพกส่ายไปมา จะทำให้เสยี บคุ ลกิ ภาพอยา่ งมาก
72 72
4.2 การเดินตามผใู้ หญ่ การเดนิ ตามผใู้ หญ่ หมายถงึ การเดนิ ตามผใู้ หญ่อย่างเปน็ พิธีการในโอกาสต่าง ๆ
ทั้งชายและหญิงปฏิบัติเช่นเดียวกันคือ ให้เดินเยื้องไปทางซ้ายมือห่างจากผู้ใหญ่ประมาณ 1-2 ก้าว เมื่อผู้ใหญ่เจรจา
ด้วยให้โน้มตัวเล็กนอ้ ย
5. การนั่ง การนั่งมีความสำคัญต่อสุขภาพและบุคลิกภาพ คนที่นั่งผิดสุขลักษณะ เช่น นั่งหลังงอจะทำให้
ปวดหลัง การนั่งให้ลำตัวตรงนั้น นอกจากจะไม่ทำให้ปวดหลังแล้วยังเป็นการเสริมบุคลิกภาพให้แก่บุคคลอีกด้วย
อยา่ งไรก็ตาม แมว้ ่าการนงั่ จะไม่มีผลกระทบต่อบุคลิกภาพมากเทา่ กับการเดิน แค่การนง่ั ในบางลักษณะที่ไม่เหมาะสม
กท็ ำให้เสยี บคุ ลกิ ภาพไดเ้ หมอื นกนั ดังนั้น ครูอาจารยจ์ ึงควรระมดั ระวงั และฝึกฝนการน่งั ใหส้ งา่ งามอยเู่ สมอ
การนงั่ ท่สี งา่ งามและถอื ว่าเป็นลักษณะการนัง่ ท่ีถกู ต้องตามมารยาทไทยมวี ิธปี ฏิบตั ิดังน้ี
5.1 การน่งั กับพนื้ ตามลำพัง
5.1.2 ชาย – นั่งพับเพียบ ไม่นิยมเท้าแขน ปกติแล้วนิยมวางมือทั้งสองคว่ำบนหน้าขาหรือประสาน
มอื ไว้บนตัก
5.1.2 หญงิ – นัง่ พับเพียบ จะเท้าแขนขา้ งหนึ่งหรอื วางมือประกบกนั ไว้บนตักก็ได้
5.2 การนงั่ พน้ื ต่อหน้าผู้ใหญ่
5.2.1 นงั่ พับเพยี บเก็บปลายเทา้ ให้เรยี บร้อย นั่งตัวตรง
5.2.2 มือท้ังสองประสานหรอื ประกบกนั ไวบ้ นตัก กม้ หนา้ เลก็ นอ้ ย
5.2.3 เมื่อผใู้ หญเ่ จรจาดว้ ย ให้โน้มตัวเลก็ น้อย
5.2.4 ท้ังชาย – หญงิ ปฏิบตั ิเช่นเดยี วกัน
5.3 การน่งั เกา้ อตี้ ามลำพงั
5.3.1 ชาย – นั่งห้อยขา ส้นเท้าชิดกัน ปลายเท้าห่างจากกันเล็กน้อย ลำตัวตั้งตรงหลังพิงพนักเก้าอ้ี
มอื ทั้งสองวางควำ่ อยบู่ นหน้าขาทง้ั สอง หรอื จะประสานกนั ไว้บนตักก็ได้
5.3.2 หญิง – นั่งห้อยขา ส้นเท้า ปลายเท้า และหัวเข่าชิดกัน ลำตัวตั้งตรง หลังพิงพนักเก้าอี้ มือทั้ง
สองประสานหรอื ประกบกนั ไว้บนตัก
5.4 การนั่งเก้าอี้ต่อหน้าผู้ใหญ่ ทั้งชายและหญิง ปฏิบัติในลักษณะเดยี วกันเชน่ เดยี วกับการนัง่ เก้าอี้ตาม
ลำพังต่างกันเล็กน้อยตรงที่การวางมอื นั้นจะต้องวางไว้บนหน้าตักดว้ ยการประสานมอื หรอื ประกบมือทัง้ ชายและหญิง
หลงั ไม่พงิ พนกั และถ้าเก้าอมี้ ีเทา้ แขน ต้องไม่วางแขนไวบ้ นเท้าแขน กล่าวคอื ให้ปลอ่ ยแขนแนบลำตวั และประสานมือ
ไว้บนตกั ข้อทคี่ วรระวงั คอื “ไม่นั่งไขว่ห้างต่อหน้าบคุ คลทเ่ี คารพหรือควรใหค้ วามเคารพ”
6. การพูดจา การพูดจามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ทุกเพศ วัยและทุกอาชีพ ผู้ที่มี
ความสามารถในการพูดนั้น นอกจากจะช่วยเสริมบุคลิกภาพให้โดดเด่นกว่าบุคคลอื่นในกลุ่มแล้วยังช่วยผู้นั้นมีความ
เจริญก้าวหน้าในธุรกิจการงานต่าง ๆ ด้วย ตรงกันข้าม บุคคลที่มีบุคลิกภาพด้านอื่น ๆ ดีเกือบทุกอย่าง แต่เสีย ที่
บุคลิกภาพในทางการพูดไม่ดี เช่น น้ำเสียงไม่ชัดเจน พูดจาไม่ชัดถ้อยชัดคำ พูดจาไม่นุ่มนวล หรือพูดจาไม่ค่อยถูก
กาลเทศะ เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มีสว่ นทำลายภาพลักษณ์ของบุคคลนั้นได้อยา่ งมาก ดังนั้น ผู้ที่เป็นครูอาจารย์ทุก
คนจึงจำเปน็ ตอ้ งพัฒนาการพูดของตนอยู่เสมอ เช่น พยายามพูดให้ชัดถ้อยชัดคำ พดู จาให้นุม่ นวล มีหางเสียงพูดจาให้
สุภาพ และท่สี ำคญั ก่อนพดู เรือ่ งใด ๆ ควรใครค่ รวญให้รอบคอบเสียกอ่ น เพราะถ้าหากพดู สิง่ ใด
ผิดพลาดลงไปย่อมทำให้เกดิ ความเสยี หายทง้ั ตนเองและ/หรือผ้อู ่นื
การพัฒนาบคุ ลิกภาพทางการพดู น้ี สิง่ สำคัญท่ีควรกระทำก่อนคือ ฝึกหัดพดู ใหน้ ุ่มนวลอ่อนหวาน มีคำลง
ท้ายคำพูดด้วยคำว่า “ครับ” หรือ “ค่ะ” เสมอ พูดจาให้ถูกต้อง รักษาอักขระให้ชัดเจน ไม่พูดเร็วรัวจนฟังไม่ทัน ไม่
พูดช้าเนิบนาบจนน่าเบื่อ ไม่พูดด้วยคำสองคำแล้วมี “เอ้อ-อ้า” สลับกันไปจนน่ารำคาญ และที่สำคัญต้องฝึกการใช้
ภาษาให้ถูกต้องด้วย
73 73
7. การรับประทานอาหาร บางคนเวลารับประทานอาหารไม่ค่อยระมัดระวังหรือไม่สำรวมในการ
รับประทานอาหารทำให้ดูน่าเกลียด เสียภาพลักษณ์ที่ดีงาม โดยเฉพาะสุภาพสตรีจะต้องมีความสำรวมระวังในการ
รับประทานอาหารในทีเ่ ปิดเผยหรือทีส่ ารธารณะให้มากเปน็ พเิ ศษ เชน่ ไมเ่ ดินรับประทานอาหารไม่เคี้ยวอาหารจนเกิด
เสียงดัง หรือรับประทานอาหารมูมมาม เป็นต้น ดังนั้น เมื่อจำเป็นต้นรับประทานอาหารในที่สาธารณะหรือร่วมกับ
คนหม่มู าก จงึ ตอ้ งสำรวมระวังอากปั กริ ิยาให้สุภาพเรียบร้อยน่าดู สิ่งสำคัญท่ีทุกคนควรปฏิบัติเวลารับประทานอาหาร
เช่น 1) ไม่ส่งเสียงดังเวลารับประทานอาหาร 2) ไม่รับประทานอาหารมูมมาม เลอะเทอะเปรอะเปื้อน 3) ไม่เคี้ยว
อาหารให้เกิดเสียงดัง 4) ไม่ดื่มน้ำขณะที่มีอาหารอยู่ในปาก 5) ไม่ควรใช้ไม้จิม้ ฟังต่อหน้าบุคคลอื่นๆ ที่โต๊ะอาหาร 6)
ไม่รบั ประทานอาหารคำโตจนเกินไป 7) ไมพ่ ูดขณะท่ีมีอาหารอยู่ในปาก 8) ขณะเคีย้ วอาหาร อย่าตกั อาหารอื่นข้ึนรอ
ไว้ที่ปาก 9) อย่าก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารโดยมิได้สนใจสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ 10) ควรส่งอาหารเข้าปากทีละคำ
อย่าใหอ้ าหารเหลือคา้ งไว้ท่ชี ้อน
บคุ ลิกภาพท่ีดขี องครู
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า บุคลิกภาพของคนเราสามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือบุคลิกภาพภายนอกและ
บุคลิกภาพภายใน ดังนั้น เมื่อพิจารณาในสว่ นที่เปน็ บุคลกิ ภาพที่ดี จึงสามารถจำแนกประเภทของบคุ ลิกภาพที่ดีได้
เป็น 2 ประเภทเช่นเดียวกัน คือบุคลิกภาพภายนอกที่ดี และบุคลิกภาพภายในที่ดี สำหรับบุคลิกภาพที่ดีของครูนัน้ มี
ลกั ษณะที่ควรพิจารณาดังต่อไปน้ี (ยนต์ ชุม่ จิต 2546 : 241-242)
1. บุคลิกภาพภายนอกที่ดีของครู ตัวอย่าง เช่น 1) ร่างกายสมส่วนไม่อ้วนผอม 2) สุขภาพแข็งแรง 3)
ร่างกายสะอาด 4) ผิวพรรณผ่องใส 5) หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส 6) กิริยาอาการสงบเสง่ียม 7)ยืน เดิน นั่ง เรียบร้อย
เสมอ 9) กิริยาท่าทางสภุ าพนมุ่ นวล 10) ทำงานคล่องแคลว่ วอ่ งไว 11) พดู จาชดั ถ้อยชัดคำ 12) เสยี งดงั ฟังชัด 13)
พูดจาคลอ่ งแคล่ว 14) พูดจานมุ่ นวล 15) องอาจผงึ่ ผาย 16) แต่งกายเรียบร้อยเสมอ เป็นต้น
2. บุคลิกภาพภายในที่ดีของครู ตัวอย่าง เช่น 1) ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ดี 2) ความรู้รอบตัวดี 3)
ปฏิภาณไหวพรบิ ดี 4) ความจำดี 5) อารมณด์ ี 6) มีอารมณ์ขนั 7) กระตอื รือรน้ 8) ซือ่ สตั วจ์ รงิ ใจ 9) เมตตากรุณา
10) ตรงต่อเวลา 11) กตัญญูกตเวที 12) ชา่ งสังเกต 13) มคี วาม
อดทน 14) มั่นใจในตนเอง 15) คา่ นยิ มสูง เป็นต้น
การพฒั นาบคุ ลิกภาพของครู
การพัฒนาบุคลกิ ภาพ คือการวิเคราะห์ถึงลักษณะเฉพาะอย่างของเอกตั บคุ คลว่าเหมาะสมกับงานประเภทใด
อย่างไร แลว้ หาทางแก้ไขปรับปรงุ พฤติกรรมบางอย่างให้เหมาะสมกับหนา้ ที่การงานท่ีไดร้ ับมอบหมายหรืองานที่กำลัง
กระทำอยู่ ดังน้ัน การพัฒนาบคุ ลิกภาพของครกู ็คือ การวิเคราะห์ถึงลักษณะเฉพาะของผู้ทีเ่ ป็นครูหรือกำลังจะเป็นครู
แต่ละคนว่าเหมาะสมกับความเป็นครูมากน้อยเพียงใด แล้วหาทางแก้ไขปรับปรุงพฤติกรรมบางอย่างให้เหมาะสมกับ
ความเป็นครูมากยิ่งขึน้ เช่น คนที่พูดเสียงเบาเกินไปเวลาสอนนักเรียนก็ต้องพยายามปรับปรุงการพูดให้เสียงดังฟังชัด
ขึ้น ในทางตรงกันข้าม คนที่พูดเสียงดังเกินไปก็ต้องพยายามปรับเสียงให้เบาลง หรือบางคนมีนิสัยเงียบขรึม ก็ต้อง
พยายามปรับปรุงตนเองใหเ้ ป็นคนมีอารมณ์ขัน มองสงั คมในแงด่ ี คนทเ่ี ดินไมเ่ รยี บร้อย ไม่น่มุ นวล ก็ต้องพยายามฝกึ ฝน
ตนเองใหเ้ ดนิ อยา่ งสง่างาม เปน็ ต้น
สำหรับการพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลนั้น มีกระบวนการที่สำคัญ ดังต่อไปนี้ (ยนต์ ชุ่มจิต, 2546 : 233 -
234)
1. การวิเคราะหต์ นเอง (Self analysis) การวเิ คราะหต์ นเอง หมายถงึ การสำรวจตรวจสอบว่าตัวเองมีสิ่ง
ใดดหี รือสงิ่ ใดบกพรอ่ งหรือมสี ิ่งใดเหมาะสมกบั งานที่ทำบา้ ง วิธีการตรวจสอบหรือวเิ คราะหต์ นเองนี้ หากเราไมเ่ ต็มใจที่
จะให้บุคคลอืน่ มาวิพากษว์ ิจารณ์ตวั เรา เรากส็ ามารถวิเคราะห์ตัวเองได้ โดยวธิ ีการพิจารณาใครค่ รวญตรวจสอบตนเอง
อย่เู สมอ หมน่ั นกึ คิดอยู่เสมอวา่ “จงเตือนตนด้วยตนเอง” จะพูดจะนึกคดิ สิง่ ใด จงต้ังสติให้ม่ันคงเสมอ
74 74
2. การปรับปรุงตนเอง (Self improvement) การปรับปรุงตนเองจะมีขึ้นได้ต้องอาศัยการวิเคราะห์
ตนเองเป็นเบื้องต้นก่อน นั่นคือจะต้องฝึกตนให้เป็นคน “รู้เหตุ-รู้ผล” เมื่อรู้ว่าสิ่งใดไม่เหมาะสมแล้วจะบังเกิดผล
อย่างไร ก็พยายามลด ละ เลิก พฤติกรรมนั้น ๆ เสีย เช่น การพูดเสียงเบาเกนิ ไป ทำให้ผู้ฟังเบื่อหน่าย ก็ต้องฝึกพูดให้
เสียงดังฟังชัดขึ้น เดินไหล่เอียงไปขา้ งหนึ่ง ทำให้เสียความสง่างาม ก็ต้องพยายามฝึกเดินให้ตวั ตรง เป็นคนเจ้าอารมณ์
ทำให้เพื่อนฝูงไม่อยากคบหาสมาคมด้วย ก็ต้องพยายามฝึกตนเองให้เป็นคนมีความอดทน หรือคนที่แต่งกายไม่
เรียบร้อย ทำให้เสื่อมเสียเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองหรือวิชาชีพของตน ก็ต้องพยายามแต่งกายให้เหมาะสมกับ
กาลเทศะ เป็นตน้
3. การฝึกฝนตนเอง (Self training) การฝึกฝนตนเอง หมายถึง การควบคุมตนเองให้ปฏิบัติตาม
พฤติกรรมหรือสิ่งท่ีได้รับการปรับปรุงแก้ไขแล้วอย่างสม่ำเสมอ โดยการหมั่นฝึกฝนปฏิบัติเป็นประจำจนเกิดเป็นนิสัย
การฝึกฝนตนเองจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความจริงใจเป็นปัจจัยสำคัญ คนที่ไม่รักษา “สัจจะ” ต่อตัวเองจะไม่ประสบ
ความสำเร็จในกิจการงานใดๆดังนั้น ในการพัฒนาการบุคลิกภาพของตนเอง เราจะต้องมีคุณธรรมอย่างน้อย 2
ประการ คือ “สัจจะและขนั ติ”
4. การประเมินตนเอง (Self evaluation) การประเมนิ ผล เปน็ การสำรวจตรวจสอบครง้ั สุดท้ายหลังจาก
ได้กระทำตามขั้นตอนที่ได้วางแผนไว้หรือตั้งใจไว้ การประเมินผลทางบุคลิกภาพนี้ ถ้าจะให้ได้ผลดี เราจะต้องให้คน
อน่ื ทีเ่ รามปี ฏสิ ัมพันธด์ ้วยเปน็ ผูป้ ระเมนิ ถ้าหากเราได้คนที่มีความคุ้นเคยกนั มาก ๆ เป็นผู้ประเมินผลการประเมินกิจจะ
มคี วามเชือ่ ถอื ไดม้ ากยิ่งข้ึน
ดำรง ประเสริฐกุล (2542 : 73 - 74) ได้เสนอแนวทางพัฒนาบุคลิกภาพของครูไว้ตามหลักพุทธธรรมไว้ว่า
การฝึกฝนและพัฒนามนุษย์นั้น ควรใช้ไตรสิขา ได้แก่ ศีล สมาธิและปัญญา มาฝึกปฏิบัติจะช่วยให้บุคคลสามารถ
พัฒนาอยา่ งบูรณาการเปน็ องคร์ วมและมี ดุลยภาพ ดังน้ี
1. ศีล เป็นการฝึกฝนและพัฒนาทางกายหรือด้านพฤติกรรม โดยเฉพาะพฤติกรรมที่เคยชิน เครื่องมือที่ใช้ใน
การฝึก คอื วนิ ยั เพราะวนิ ัยเป็นตัวการจดั เตรยี มชวี ิตให้อยใู่ นสภาพที่เอื้อตอ่ การ
พฒั นา การฝึกพฤตกิ รรมและการจดั สภาพแวดลอ้ มจะปกป้องไมใ่ ห้มีพฤติกรรมท่ีไม่ดี
2. สมาธิ เป็นการฝึกและพัฒนาทางด้านจิตหรือด้านจิตใจ ได้แก่ การพัฒนา คุณสมบัติต่างๆ ของจิตทั้งใน
ด้านคุณธรรม เช่น ความเมตตากรุณา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ด้านความสามารถของจิต เช่น ความเข้มแข็งมั่งคง ความ
เพียรพยายาม ความรับผิดชอบ ความแน่วแน่มั่นคง ความมีสติ สมาธิ และด้านความสุข เช่น ความอิ่มใจ ความร่าเริง
เบิกบานใจ ความสดชื่น ผ่องใส ความรู้สึกพอใจ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการเน้นการพัฒนาคุณภาพ สมรรถภาพ และ
สุขภาพจติ
3. ปัญญา เป็นการฝึกฝนและพัฒนาทางสติปัญญา หรือด้านการรู้ความจริงเริ่มตั้งแต่ความเชื่อความเห็น
ความรู้ ความเข้าใจ ความหยั่งรู้เหตุผล การรู้จักวินิจฉัยไตร่ตรอง ตรวจสอบ เน้นการรู้ตรงความเป็นจริง หรือรู้เห็น
ตามที่ปรากฏ รู้แจ้งความจริงที่เป็นสากลของ สิ่งทั้งปวง รู้เท่าทันธรรมดาของโลกและชีวิตที่ทำให้มีจิตใจเป็นอิสระ
ปลอดปญั หาไร้ทุกขเ์ ขา้ ถงึ อสิ รภาพโดยสมบูรณ์
เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์ และคนอื่น ๆ (2538 : 64 - 66) ได้ให้ทัศนะถึงการพัฒนาบุคลิกภาพว่ามี 3
องค์ประกอบ คอื
1. การวเิ คราะห์ตนดว้ ยตนเอง ทำได้ 2 แนวทาง คือ
1.1 การมองตนเองในดา้ นดี เปน็ ความพยายามที่จะมองหาจดุ เดน่ จดุ ความสำคัญของตนในอดีต การมอง
นี้จะมองทัง้ ดา้ นประสบการณ์ในการทำงาน ในการเรยี นในทางสังคม และอนื่ ๆ โดยพยายามมองครบทุกด้าน การมอง
หรือวิเคราะห์ตนเองในแง่ดีนั้นเป็นการพยายามนำเอาสิ่งดีนั้นเป็นต้นแบบหรือตัวแบบใ นการพัฒนาต่อไปในอนาคต
การมองตนแงด่ ี อาจจะพยายามนึกว่า เม่อื เราแตง่ ตัวอย่างไรคนจงึ ชม พูดอย่างไรจึงได้การปรบมือ วางท่าทางอย่างไร
จึงทำให้คนยอมรับ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นการเสริมให้เราพยายามทำสิ่งดีที่ได้รับการยกย่องชมเชยนั้น แต่การ
75 75
พยายามนึกถงึ สถานการณ์ประกอบดว้ ย เช่น แตง่ ตัวในโอกาสใด พูดกบั ใครในโอกาสไหน เป็นตน้ และเม่ือถึงเวลาหรือ
โอกาสนน้ั จะทำให้เราพยายามใช้พฤติกรรมนน้ั ๆ อีกคร้งั หนง่ึ
1.2 การมองจุดอ่อนหรือจุดด้อยของตน เป็นการพยายามหาจดุ อ่อนหรือจดุ ด้อย ของตนเอง คอื พยายาม
หาสิ่งที่ตรงกันข้ามกับข้อท่ี 1 นั่นเอง หาจุดอ่อนเพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงตนเองในอนาคต สิ่งที่เป็น
ปัญหาสำหรับการหาจุดอ่อนก็คือ การที่ทุกคนจะไม่เห็นจุดอ่อนของตน เมื่อความผิดพลาดมักจะโทษคนอื่นหรือโทษ
สถานการณ์ พยายามหาเหตุผลเข้าข้างตนเองซึ่งตามความจริงแล้ว หากเราสามารถมองเห็นหรือพบจุดอ่อนอย่าง
แทจ้ รงิ ของเราแลว้ จะทำให้การปรับปรงุ บุคลกิ ภาพเป็นไปได้อยา่ งถูกต้องทุกจดุ ที่ต้องการ
2. วเิ คราะห์ตนโดยการอาศัยคนอื่น ทำได้ 2 แนวทางคอื
2.1 การวิเคราะห์โดยเปิดเผย การวิเคราะห์โดยตรงคือ การที่เราเปิดใจยอมรับกาวิจารณ์เกี่ยวกับตัวเรา
โดยตรงและต่อหนา้ โดยจะมีการวิจารณ์หรือวเิ คราะห์ท้งั ในด้านจุดเด่นและจุดอ่อน การวิเคราะห์โดยวิธีน้ีจะได้ข้อมูล
ดหี รอื ไมย่ อ่ มขนึ้ อยกู่ ับปจั จยั 3 ประการ คือ
2.1.1 การเปิดใจยอมรับการวิเคราะห์โดยไม่มีการโต้แย้ง หรือให้เหตุผลใด ๆ ของผู้ถูกวิจารณ์หรือ
วเิ คราะห์
2.1.2 ความลำเอียงหรือความเกรงใจของผู้วิเคราะห์หรือวิจารณ์ ถ้าหากผู้วิเคราะห์สามารถกระทำ
โดยตรงเปดิ เผย ยอ่ มไดร้ บั ข้อมลู ทใ่ี กล้เคียงต่อความเป็นจริงอนั จะเปน็ ประโยชน์ตอ่ ผวู้ เิ คราะห์
2.1.3 ความคุ้นเคยหรือความร้จู กั ของผู้วเิ คราะห์กบั ผถู้ กู วิเคราะห์
2.2 การวิเคราะหโ์ ดยไม่เปิดเผย ไดแ้ ก่ การวิเคราะห์ที่ผู้ถูกวิเคราะห์ไม่ทราบว่า ผูว้ เิ คราะหเ์ ป็นใคร วิธีการ
คือการใหผ้ ้วู ิเคราะหเ์ ขียนหรือวิจารณ์ผู้ท่ีต้องการวิเคราะห์ตามประเด็นท่ีกำหนดให้ โดยผูว้ เิ คราะห์ไม่ต้องระบุชื่อหรือ
ตำแหนง่ วธิ กี ารวิเคราะห์แบบนีจ้ ะได้ผลหรือไมย่ ่อมข้ึนอยู่กบั ผู้วิเคราะห์ว่ามีความลำเอยี งหรอื ไม่ จรงิ หรอื ไม่ ถ้าหากมี
ความจรงิ ใจหรือเป็นการติเพ่ือก่อกจ็ ะได้ข้อมลู ที่เป็นความจริง แต่ถา้ หากมีเจตนาต้องการกลัน่ แกล้งย่อมจะได้ข้อมูลที่
ไมต่ รงตอ่ ความเปน็ จรงิ
3. การวิเคราะห์ตนโดยอาศัยเคร่ืองมือในการวิเคราะห์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน พัฒนาขึ้นมาเครื่องมือ
อาจจะเป็นแบบทดสอบแบบวเิ คราะหต์ นเองซ่ึงอาจจะพัฒนาโดย นักจิตวิทยา นักสงั คมสงเคราะหห์ รอื อื่น ๆ ทม่ี คี วาม
ชำนาญในด้านนั้น ๆ ส่วนใหญ่เครื่องมือมักจะเป็นแบบทดสอบ การวิเคราะห์แบบนี้จะได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับ
องคป์ ระกอบสำคญั 3 ประการ คอื
3.1 ความจริงใจของผู้ตอบแบบสอบถาม หรือแบบทดสอบ คือผู้ตอบตอบตามความเป็นจริงหรือแกล้ง
ตอบ เพื่อต้องการปิดบังความจริงบางประการที่ไม่ต้องการให้คนอื่นรู้เกี่ยวกับตนเอง จึงพยายามเลือกตอบเฉพาะ
คำตอบที่ดไี ว้ก่อน
3.2 ความเทยี่ งตรงของเครื่องมือ คือ เครอื่ งมือทใี่ ช้ในการวัดหรือประเมนิ ผล ตรงตามทต่ี ้องการวัดหรือไม่
ผลท่ีไดร้ บั มคี วามเช่ือถอื ได้เพียงใด
3.3 การแปลผล ผลที่ได้จากการวัดเมื่อนำไปแปลตามเกณฑ์หรือคู่มือได้ผล ถูกต้องเพียงไร เป็นการแปล
ผลอย่างกว้าง ๆ หรือการแปลอย่างเฉพาะเจาะจง สิ่งที่ครูจะต้องยอมรับ คือ การมองตัวตนนั้นสามารถจะมองเหน็ ได้
เป็น 4 ส่วน คือ 1) ส่วนที่ตนเองเห็นคนอื่นเห็น เป็นส่วนที่เปิดเผยพัฒนาได้ง่าย 2) ส่วนที่ตนเองเห็นคนอื่นไม่เห็น
เป็นส่วนที่ปกปิดการพัฒนาจะขึ้นกับตัวผู้วิเคราะห์เอง 3) ส่วนที่ตนเองไม่เห็น - คนอื่นเห็น เป็นส่วนที่การวิเคราะห์
ตนเองต้องมีข้อมูลจากคนอื่นแล้วนำมาพัฒนา และ4) ส่วนที่ตนเองไม่เห็น - คนอื่นไม่เห็น เป็นส่วนที่เร้นลับ ไม่
สามารถจะนำออกมาพัฒนาได้
กลา่ วโดยสรุป การวิเคราะหต์ นน้นั มีจดุ ประสงคห์ ลักคือ ความตอ้ งการทราบจุดเด่นหรือจุดด้อยของผู้ต้องการ
วิเคราะห์ ผลของการวิเคราะห์จะตรงหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน อาทิ ความน่าเชื่อถือของข้อมูล ความ
น่าเชื่อถือของเครื่องมือหรือวิธีการได้มาซึ่งข้อมูลและวิธีการวิเคราะห์หรือแปลผลข้อมูลได้จากวิเคราะห์ ส่วนการ
76 76
วิเคราะห์นั้นสามารถจะทำการวิเคราะห์ได้ทั้งตนเอง ผู้อื่นและการใช้เครื่องมือ โดยอาจจะใช้ข้อมูลจากหลายแหล่ง
ประกอบกนั
การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพควรจะประกอบดว้ ยข้ันตอนดงั น้ี
1. วิเคราะหต์ นเอง เป็นการหาจุดเด่นจดุ ดอ้ ยเพ่อื ดูว่าตนเองต้องการพฒั นา บคุ ลิกภาพในดา้ นใด
2. กำหนดเป้าหมาย เป็นการกำหนดว่าต้องการจะพฒั นาบุคลิกภาพในดา้ นใด
3. กำหนดเครื่องมือในการพฒั นา ในการพัฒนาบุคลกิ ภาพจำเปน็ จะต้องอาศัยเคร่ืองมือหรือผู้เช่ียวชาญ หรือ
ตน้ แบบสำหรบั เป็นแนวทางในการพัฒนา
4. การดำเนนิ การพัฒนาตามเครอ่ื งมอื หรอื ขน้ั ตอนทีผ่ ู้เชีย่ วชาญได้กำหนดไว้
5. ประเมินการพัฒนา เป็นการตรวจสอบการพัฒนาว่าจะมีความก้าวหน้ามากน้อยเพียงใด มีปัญหาอุปสรรค
อะไร ในการพัฒนาเพื่อหาแนวทางในการพัฒนาใหถ้ กู ต้องและประสบความสำเร็จให้มากท่สี ุด
วริ ัช จงอย่สู ขุ (2542 : 72) ได้นำเสนอว่าแนวทางในการพฒั นาบุคลิกภาพของครู อาจจำแนกแบ่งออกเปน็ 2
แนวทางดังน้ี
1. การพฒั นาบคุ ลิกภาพภายนอก ประกอบด้วย
1.1 รูปรา่ งหน้าตาท่าทาง ครูทมี่ ีรูปร่าง หนา้ ตา ทา่ ทางดี จะได้เปรยี บครูท่มี ี รปู รา่ งหนา้ ตาท่าทางที่ไม่งาม
สง่า
1.2 การแต่งกาย เช่น การแต่งกายดี เสื้อผ้าสะอาด รีดเรียบไม่ยับ เสื้อผ้าท่ี สวมใส่เหมาะกับรูปทรงของ
ตัวเอง จะช่วยเสริมรูปร่างหน้าตา ท่าทางที่อาจบกพร่องตามข้อ 1 ลงไปได้มาก เข้าลักษณะไก่งามเพราะขน คนงาม
เพราะแตง่
1.3 น้ำเสียงและคำพูด ครูที่มีเสียงนุ่มนวล พูดจาหวานหู คำพูดไม่กระแทกแดกดันคนอื่น พูดมีลักษณะ
เป็นกัลยาณมติ ร ยอ่ มเป็นเสน่หต์ อ่ คนอน่ื และเป็นทีร่ ัก นับถือของศิษย์
2. การพฒั นาบุคลิกภาพภายใน ประกอบดว้ ย
2.1 ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ คือ อดทน อดกลั้นต่อคำวิพากษ์ วิจารณ์ ไม่โกรธง่ายเมื่อถูก
นกั เรียนรบกวน อารมณ์ยม้ิ แย้มแจ่มใส เบกิ บานเสมอ อารมณ์ดีย่อมมเี สน่หแ์ ก่ครูเป็นอยา่ งย่งิ
2.2 ความรู้สึก ความคิด ครูที่มีความรู้สึก ความคิดในด้านดี ย่อมมองคนในแง่ดี มองศิษย์ในแง่ดี อารมณ์
ของครกู ็จะเบิกบาน ไม่เกดิ โทสะคติ โมหะคติ
คุณลกั ษณะของครู
แนวคิดและหลกั การ
คุณลักษณะเปน็ เคร่ืองหมายหรือส่ิงท่ชี ้ใี ห้เห็นความดีหรือลักษณะประจำ คณุ ลักษณะ ของครู จึงหมายถึง
สิ่งที่แสดงหรือชี้ให้เห็นความดีหรือลักษณะประจำตัวของคนที่เป็นครูหรือ ผู้ประกอบวิชาชีพลักษณะที่พึงประสงค์
บุคคลทั่วไปที่รู้จักครูต้องคาดหวังหรืออยากให้ครูมีบทบาทและหน้าที่เป็นไปอย่างที่ตนเอง กลุ่มคน องค์กรต่าง ๆ
ตอ้ งการ อนั เปน็ คณุ ลกั ษณะ บทบาท และหน้าที่ของครทู พี่ งึ ประสงคต์ ลอดจนแบบอยา่ งของชุมชนและสงั คมโดยรวม
ลักษณะของครูดีหรือครูที่พึงประสงค์ผู้ที่จะเป็นนักศึกษาครู นักศึกษาครู ครู ควรทราบในลักษณะของครู
ไทยตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ตามพระราชดำรัสและพระราโชวาท ตามผลการวิจัย ลักษณะครูไทย
แห่งชาติ และครูต้นแบบในยุคโลกาภวิ ัตน์ ซ่ึงจะเสนอในรายละเอียดต่อไปนี้
77 77
คณุ ลักษณะของครูตามพระบรมราโชวาท
พระบรมราโชวาทในที่นี้ หมายถึง พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าออยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช
มหาราช ซึ่งพระองค์ได้พระราชทานแก่ครูอาวุโสประจำปี 2522 เมื่อวันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ.2523 มี
ขอ้ ความที่เกี่ยวกับคุณลักษณะของครูตอนหน่งึ วา่
“...ครูทแ่ี ท้น้นั ต้องเปน็ ผกู้ ระทำแตค่ วามดี ต้องขยันหมั่นเพยี รและอุตสาหะ พากเพียรต้องเอื้อเฟ้ือเผ่อื แผ่และ
เสียสละ ต้องหนักแน่นอดกลั้นและอดทน ต้องรักษาวินัยสำรวมระวังความประพฤติของตนให้อยู่ในระเบียบแบบ
แผนอันดีงาม ต้องปลีกตัวปลีกใจจากความสะดวกสบายและความสนุกรื่นเริงที่ไม่สมควรแก่เกียรติภูมิของตน ต้อง
ตั้งใจให้มั่นคงและแน่วแน่ ต้องซื่อสัตย์รักษาความจริงใจ ต้องมีเมตตาหวังดี ต้องวางใจเป็นกลาง ไม่ปล่อยไปตาม
อำนาจอคติ ตอ้ งอบรมปัญญาใหเ้ พ่มิ พนู สมบูรณข์ ึน้ ทง้ั ในดา้ นวิทยาการและความฉลาดรอบรใู้ นเหตแุ ละผล...”
นอกจากนั้น ดร.โกวิทย์ ประวาลพฤกษ์ ได้ศึกษาและรวบรวมพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็กพระ
เจา้ อยหู่ วั เกี่ยวกบั คณุ ลกั ษณะของครูพอจะสรุปไดเ้ ปน็ 6 ด้านดงั นี้
1. ความซอ่ื สัตย์ หมายถึง การประพฤตปิ ฏิบตั อิ ย่างเหมาะสมและตรงต่อความเป็นจริง ประพฤตปิ ฏิบัติอย่าง
ตรงไปตรงมา ทั้งกาย วาจา ใจ ตอ่ ตนเอง และต่อผู้อื่น แสดงออกเป็น พฤตกิ รรมไดด้ ังต่อไปน้ี 1) ถา่ ยทอดความรู้โดย
ไม่ปิดบังอำพราง 2) ไม่เบียดบังแรงงานหรือนำผลงานขอผู้อื่นมาเป็นของตน 3) ไม่เบียดบังทรัพย์สินส่วนรวมหรือ
สว่ นราชการไปใชเ้ พื่อประโยชนส์ ่วนตนหรือพวกพ้อง 4) ไม่อวดอา้ งความสามารถเกนิ ความจริง 5) ไมน่ ำหรือยอมให้
นำผลงานทางวิชาการของตนไปใช้ในทางทุจริตหรือเป็นภัยต่อมนุษยชาติ 6) ใช้เวลาราชการเพื่อประโยชน์ทาง
ราชการอย่างเต็มที่ 7) ไม่ชักชวนศิษย์กระทำในสิ่งที่เสื่อมเสีย 8) เข้าสอน และเลิกสอนตามเวลาที่กำหนด 9) ไม่
ประจบ สอพลอผู้บังคับบัญชาเพื่อประโยชน์ส่วนตน 10) ปฏิบัติหน้าที่อย่างดี ทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้บังคับบัญชา
และ 11) เปน็ บุคคลรกั ษาคำม่ันสญั ญา
2. ความรับผิดชอบ หมายถึง ความมุ่งมั่น ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความผูกพัน พากเพียร และละเอียด
รอบคอบ ยอมรบั ผลกระทำในการปฏิบตั ิหน้าท่ีเพ่ือใหบ้ รรลผุ ลสำเรจ็ ตามความมุ่งหมาย ท้งั พยายามที่จะปรับปรุงการ
ปฏิบัติหน้าที่ให้ดียิ่งขึ้น แสดงออกเป็นพฤติกรรมดังนี้ 1) เตรียมการสอนอย่างดี 2) ดูแลซ่อมแซม ปรับปรุง อุปกรณ์
และสถานที่ของทางราชการอยู่เสมอ 3) แสวงหาแนวทางวิธีการปรับปรุงในงานที่รับผิดชอบอยู่เสมอ 4) ค้นคว้าหา
ความรู้ใหม่อยู่เสมอ 5) ไม่เพิกเฉยในเหตุการณ์ที่จะทำให้เกิดผลเสียต่องานราชการ 7) มีความละเอียด รอบคอบใน
การทำงาน 8) อดทนต่อปัญหาต่าง ๆ ในการทำงาน โดยไม่ละทิ้งและท้อถอยโดยง่าย 9) อดทนต่อพฤติกรรมที่ยั่วยุ
ของศิษย์ ไม่แสดงความโกรธโดยง่าย 10) ยอมรับผลการกระทำของตน 11) รู้จักหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็ม
กำลังความสามารถ 12) ให้ความร่วมมือในกิจการของสถาบันเป็นอย่างดี 13) ผ่อนปรนต่อปัญหาต่างๆและหาทาง
แกไ้ ขโดยวธิ ที างปญั ญาและสนั ติวธิ ี 14) ใช้ทรพั ย์สนิ ราชการอยา่ งประหยัด
3. ความเมตตา กรุณา เมตตา หมายถึง ความรักใคร่ ปรารถนาจะให้ผู้อื่นเป็นสุข กรุณา หมายถึง ความ
สงสารคิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ แสดงออกเป็นพฤติกรรมได้ดังต่อไปนี้ 1) สนใจ เอาใจใส่ศิษย์ที่มีปัญหาอย่าง
สม่ำเสมอ 2) ชักนำให้ศิษย์ประพฤติแต่สิ่งที่ดีงาม 3) ให้โอกาสกับศิษย์ได้แก้ตัวต่อการกระทำที่ผิดพลาด 4) ให้
กำลังใจแก่ศิษย์โดยเฉพาะศษิ ยท์ ีม่ ีปัญหา 5) ให้ความอนุเคราะห์กับศิษย์และบคุ คลท่ัวไปตามสมควรกับฐานะ 6) ไม่
ใช้ถ้อยคำหรือแสดงกริยาข่มขู่ศิษย์และผู้อื่น 7) ไม่ใช้ถ้อยคำหรือแสดงกริยาดูหมิ่นเสียดเสียศิษย์ และผู้อื่น 8) ไม่
แสดงกรยิ าอาฆาตพยาบาทตอ่ ศิษย์และผู้อื่น 9) มีบคุ ลิกภาพย้มิ แยม้ แจม่ ใสอย่เู สมอ และ 10) ใหค้ วามเป็นกันเองกับ
ศิษย์และผอู้ นื่ อยู่เสมอ
4. ความเสียสละ หมายถึง การละความเห็นแก่ตัว การให้ปันแก่คนที่ควรให้ ด้วยกำลังกาย กำลังทรัพย์
กำลังสติปัญญา รวมทั้งการรู้จักสลัดทิ้งอารมณ์ร้ายในตนเองด้วย แสดงออกเป็น พฤติกรรมได้ดังต่อไปน้ี 1) ร่วม
กิจกรรมที่ก่อให้เกิดการพัฒนาทางการศึกษากบั ศิษย์ทัง้ ในและนอกเวลาราชการอยู่เสมอ 2) ให้คำปรึกษากับศิษย์ใน
ปัญหาตา่ ง ๆ ท้ังในและนอกเวลาราชการอยู่เสมอ 3) แบง่ ปนั ทรพั ยส์ ินตามสมควร เพ่ือให้กิจการของศิษย์หรือสถาบัน
78 78
ประสบ ความสำเรจ็ 4) ช่วยเจรจาเป็นธุระในกิจการของศษิ ยแ์ ละสถาบนั ใหส้ ำเรจ็ ประโยชน์ 5) ใหอ้ ภยั ผู้อน่ื ไมแ่ สดง
การอาฆาตพยาบาท 6) ใจกว้าง รบั ฟังความคิดเห็นผ้อู น่ื และ 7) มเี หตผุ ล ไมง่ มงายในความเช่อื ของตน
5. ความยุติธรรม หมายถึง การปฏิบัติด้วยความเที่ยงตรงสอดคล้องกับความเป็นจริงและเหตุผล ไม่มีความ
ลำเอยี ง แสดงออกเป็นพฤติกรรมได้ดังต่อไปนี้ 1) ให้ความรูแ้ ละการบริการต่าง ๆ แกศ่ ิษยโ์ ดยไม่แบ่งเช้ือชาติ ศาสนา
เพศ หรือ ความสัมพันธ์ส่วนตัว 2) ตรวจผลงานและให้คะแนนตามความเป็นจริงด้วยความเที่ยงธรรมและมีเหตุผล
และ 3) ใชห้ ลักวชิ าทถ่ี กู ต้องในการประเมนิ ผลการศึกษาอย่างสม่ำเสมอ
6. การรักษาวินัย หมายถึง การควบคุมความประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องและเหมาะสมกับจรรยามารยาท
ข้อบังคับ ข้อตกลง กฎหมาย และศีลธรรม แสดงออกเป็นพฤติกรรมได้ดังต่อไปน้ี 1) แต่งกายเหมาะสมกับอาชีพครู
2) วาจาสุภาพ 3) รกั ษาความลับของศิษย์ เพื่อรว่ มงาน และสถานศึกษา 4) ตรงต่อเวลา 5) ดแู ล จัดอปุ กรณท์ างการ
ศึกษา และสถานที่ทำงาน สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย 6) ไม่สูบบุหร่ี 7) ไม่ดื่มสุรา 8) ไม่เล่นการพนัน 9) ไม่
ประพฤติผดิ ทางเพศ และ10) ใหค้ วามร่วมมอื กับกิจกรรมของสถานศึกษาเป็นอยา่ งดี
ของครทู ี่ดนี ้ันมีมากมายหลายแบบ และการที่จะยอมรบั วา่ ครทู ด่ี จี ะต้องมีลักษณะอยา่ งไรนนั้ ขึ้นอย่กู บั ความ
คดิ เห็นของแต่ละบุคคล แต่เม่ือพจิ ารณาโดยทว่ั ไปแลว้ ก็สามารถสรปุ ไดว้ า่ ครูทดี่ คี วรจะประกอบด้วยคุณลักษณะที่
สำคญั ๆ คอื
1. บุคลกิ ภาพดี คือ รปู รา่ งทา่ ทางดี แตง่ กายสะอาด สภุ าพเรียบรอ้ ย พดู จา ไพเราะ และมลี ักษณะเป็นผนู้ ำ
2. มีความรู้ดี มีความคดิ สรา้ งสรรค์ เชอ่ื ม่นั ในตนเอง กระตือรอื ร้นและสุขภาพ แข็งแรง
3. การสอนดแี ละปกครองดี คือ อธบิ ายไดแ้ จ่มแจ้งชัดเจนครบทุกกระบวนความ สอนสนุกสนาน ปกครอง
ดแู ลนกั เรียนให้อยู่ในระเบียบวินยั ที่ดีงาม
4. ความประพฤตดิ ี คือ เวน้ จากอบายมุขทุกอย่าง ทำแตค่ วามดที ง้ั กาย วาจา ใจ มีคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมสงู
มีความซ่ือสัตย์ เสียสละ มีเมตตากรณุ า มีความยุติธรรม และ มมี านะอดทน
5. มมี นุษย์สมั พันธอ์ นั ดี คือ มีอธั ยาศัยไมตรีกับคนทุกเพศ ทุกวยั และทุกฐานะ และมีน้ำใจเป็นประชาธปิ ไตย
คณุ ลกั ษณะของครูตามพระราโชวาท
นอกจากพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็กพระเจ้าอยูห่ ัวแลว้ คณุ ลักษณะของครูทคี่ วรนอ้ มนำมาใส่เกล้า
เพื่อเป็นแนวปฏิบัติก็คือพระราโชวาทของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งได้พระราชทานพระ
ราโชวาทแก่บัณฑิตใหม่ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากวิทยา ลัยครู (ปัจจุบันคือ
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ) ณ อาคารใหมส่ วนอัมพร เดือนมิถนุ ายน พ.ศ.2527 ดงั มขี ้อความบางตอนอญั เชิญมากล่าวไว้ใน
ท่กี ล่าวคือ
“...คุณสมบตั ทิ ี่สำคัญสำหรบั ครู ผูป้ รารถนาจะทำงานให้ได้ดี มคี วามเจรญิ ก้าวหนา้ มเี กียรติยศชอื่ เสียง และมี
ฐานะตำแหนง่ อนั มั่นคงถาวร...”
คณุ สมบตั ิสำคัญประการแรก คอื ความสามรถในการแสดงความรคู้ วามคิดของตนใหผ้ ู้อื่นทราบได้อยา่ ง
แจม่ แจ้งด้วยความฉลาด
ความสามารถเช่นนจ้ี ะให้เกิดมีขึน้ ก็ต้องอาศัยการฝึกฝน เริ่มตน้ ด้วยการฝกึ คดิ ใหเ้ ป็นระเบียบและเป็นขั้นตอน
เม่อื พิจารณาเรื่องใดก็พยายามจับประเดน็ ของเร่ืองให้ได้อย่างถกู ต้อง พยายามหาเหตุผลท่ีเก่ยี วโยงถงึ กันให้ได้แน่ชัด
และครบถ้วน ประการสำคัญท่ีสุด เมอื่ จะแสดงความคิดเห็น จะตอ้ งรู้จักใช้ถ้อยคำทจ่ี ะสื่อ ความหมายไดโ้ ดยถูกต้อง
และรวบรัดชัดเจนตรงตามเป้าหมาย การฝกึ ดังกล่าวน้จี ำเปน็ ต้องปฏบิ ัติอยา่ งเคร่งครัดอย่เู สมอให้จนตดิ เป็นนสิ ยั จึง
จะช่วยใหส้ ำเรจ็ ผลในการทำความเขา้ ใจกับผู้อ่ืนเพอื่ ประโยชน์ตา่ งๆ ได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
79 79
คณุ สมบตั ขิ ้อทสี่ อง คือ ความมีมนษุ ย์สัมพันธท์ ีด่ ี
คณุ สมบตั ขิ ้อน้ี หมายถงึ การทำตวั ดีสามารถเข้ากบั คนทุกเพศ ทกุ วัย ทุกภมู ชิ ั้นได้อย่างแนบเนียน คุณสมบัติ
เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการฝึกอบรมอย่างจริงใจ ทั้งทางกายและทางใจ ประการสำคัญ คือ ต้องหัดทำใจให้กว้างเป็น
กลางและเที่ยงตรง ประกอบด้วยความซ่ือสัตย์ ความไม่เพ่งโทษ ไม่ประมาทหมิ่นผู้อื่นอ่อนน้อม นบนอบต่อวุฒิบุคคล
สุภาพเป็นมิตรต่อคนเสมอกัน และเมตตาเอ็นดูต่อผู้น้อย ไม่สร้างปมเขื่องหรือปมด้อยให้แก่ตนเอง รักษากายวาจาให้
สงบ หนักแน่น ไม่ลุแก่โทสะและอคติ ไม่เห็นความสำคัญของตนเองยิ่งกว่าผู้อื่น สรุปแล้วก็นับว่า เป็นการฝึกฝนท่ี
ลำบากยากอยู่ไม่น้อย แต่ทว่า ถ้าแต่ละคนพยายามฝึก พยายามทำให้เกิดขึ้นได้แลว้ จะอำนวยประโยชน์ให้อย่างคาด
ไม่ถึง เพราะจะทำให้ได้รับความนิยมเชื่อถือไว้วางใจ และได้รับความร่วมมือสนับสนุนจากทุกคนทุกฝ่ายอย่างดีโดย
พรอ้ มพรกั ทงั้ ในหนา้ ท่กี ารงานและในกจิ สว่ นตวั ทุก ๆ อยา่ ง
คณุ สมบตั ขิ ้อท่สี าม คอื ความมคี ่านยิ มสงู
ความมีค่านิยมสูง ได้แก่ ความเฉลียวฉลาดสามารถเลือกสรรสิ่งที่ดี ที่งาม ที่เป็นประโยชน์มาเป็นที่นิยมยึด
เหนี่ยว และเป็นแบบอย่างในการประพฤติตน คุณสมบัติข้อนี้ จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติฝึกฝนขึ้นให้พร้อมอีกข้อหนึ่ง
เพราะนอกจากจะเปน็ เครื่องป้องกันไม่ให้ตกไปสู่ความเส่ือมเสียทั้งปวงแล้ว ยังสามารถประคับประคองและส่งเสริมให้
บคุ คลเจรญิ รงุ่ เรืองอยใู่ นความดีได้อยา่ งมนั่ คงดว้ ย
คุณสมบัติข้อท่ีสี่ คือความมวี ิจารณญาณ
ความมีวิจารณญาณนี้ หมายถึง ความมีวิจารณญาณอันถ่องแท้แน่ชัดในสรรพกิจการงาน และในการกระทำ
คำพดู ทกุ อยา่ ง โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในส่วนทเ่ี ป็นของตัวเอง คณุ สมบตั ิข้อน้ีจะเกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับการ
ฝึกอบรมทางความคิดจิตใจเป็นสำคัญ คือ แต่ละคนจะต้องพยายามควบคุมใจให้เป็นปรกติและหนักแน่นอยู่เสมอ
ไมใ่ หห้ วั่นไหว ไมใ่ หส้ ะดงุ้ สะเทือน เพราะอารมณท์ ีช่ อบทช่ี งั และอคติต่างๆ จนเกดิ เหตุ จะทำ จะพดู จะคิดส่ิงใดเร่ือง
ใด ก็มุ่งหมายแต่ในสาระอันเป็นจุดประสงค์และประโยชน์อันควรมุ่งหมายของสิ่งนั้นเรื่องนั้นเป็นสำคัญไม่คิดฟุ้งซ่าน
สับสนไปถงึ สงิ่ อื่นๆที่มิใชส่ าระด้วย เมอ่ื สามารถฝึกใจให้เกิดระเบียบม่นั คงได้ดังนี้แลว้ ความคิดอ่านอันกระจ่างแจ่มใส
หรือวิจารณญาณก็เกิดขึ้น ช่วยให้สามารถพิจารณาวินิจฉัยเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆได้โดยถูกต้องเที่ยงตรง ไม่ว่า
จะทำจะพูด จะคิดสิ่งใด เรื่องใด ก็จะสำเร็จผลสมบูรณ์ตามความประสงค์ ช่วยให้ประสบความสุข ความสำเร็จในชีวิต
ได้ เปน็ แน่นอน
ส่ิงสำคญั สำหรบั ครูอีกสิ่งหน่ึง คือ วนิ ัย วินัยหรือระเบียบบังคบั
เป็นของสำคัญสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในฐานะหน้าที่ที่จะต้องปกครองบังคับบัญชาคนอื่นๆ และ
จะต้องทำตัวให้เป็นแบบฉบับที่ดีแก่ผู้อยู่ในปกครอง “...วินัย คือ ระเบียบปฏิบัติที่ดีที่จะนำบุคคลให้ก้าวหน้าไปถึง
ความดีความเจริญ ดังนั้นเราจะต้องถือวินัยเพ่ือเสริมสร้างคุณภาพให้ตัวเราเองให้บริบูรณ์ขึ้น และเสริมสร้างความ
พร้อมเพรียงสมัครสมาน ความเป็นปึกแผ่นมั่นคง และความเจริญก้าวหน้าของหมู่คณะของเราให้บริบูรณ์ขึ้นเช่นกัน
ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่ง เราจะต้องระวังตั้งใจมิให้ถือวินัยอย่างผิดๆ เช่น ถือไว้เพื่อใช้เป็นเครื่องหลอกตัวเองว่าตัวเอง
เป็นผู้เลอเลิศ แล้วค่อยเพ่งโทษผู้อืน่ เบียดเบียนข่มเหงผูอ้ ืน่ โดยใช้ระเบียบข้อบังคบั เป็นเครื่องเพราะการถือวินัยมิทำ
ให้เกดิ ประโยชนอ์ นั ใดเลย มีแต่จะกอ่ ให้เกิดการเกลยี ดชงั และแตกแยก...”
ลักษณะของครูไทยที่พึงประสงค์หรือลักษณะที่ดีตามพระราโชวาทของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยาม
มกฎุ ราชกุมาร ทั้ง 5 ประการดังกล่าว หากนำมาพจิ ารณาในแต่ละข้อใหร้ ายละเอียด จะทำใหไ้ ด้คุณลกั ษณะท่ีดีของครู
เพม่ิ ขึ้นอีกมากมาย ดงั เช่น
สมบัติข้อแรก คือ ความสามารถในการแสดงความรู้ความคิดของตนให้ผู้อื่นทราบได้อย่างแจ่มแจ้งด้วยความ
ฉลาด คณุ สมบัติขอ้ นี้จะเกิดข้นึ ตอ้ งอาศยั คุณธรรมอื่นๆอีกหลายประการ ที่สำคญั เช่น 1) การฝึกฝนอบรม 2) การคิด
อยา่ งมีระเบยี บแบบแผน 3) การรูจ้ กั จบั ประเด็นของเรื่องทจ่ี ะพูดให้ได้ 4) การสื่อความหมายให้ถกู ต้อง 5) การพูดได้
รวบรดั ชดั เจน 6) การฝึกหดั ให้เป็นนิสัย
80 80
คุณสมบัติข้อที่ 2 คือ ความมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี คุณสมบัติข้อนี้จะบังเกิดมีในตัวบุคคลที่เป็นครูอาจารย์ได้
จะต้องฝึกอบรมในส่ิงต่อไปนี้คือ 1) การมีกิริยาท่าที่เหมาะสม 2) ความสุภาพอ่อนโยนและจรงิ ใจ 3) การฝึกทำใจให้
กว้าง เป็นกลางและเที่ยงตรง 4) ความซื่อสัตย์ 5) การไม่เพ่งโทษผู้อื่น 6) การไม่ประมาทหมิ่นผู้อื่น 7) ความอ่อน
น้อมต่อวฒุ บิ คุ คล 8) ความสุภาพเปน็ มิตรต่อบุคคลเสมอกัน 9) ความเมตตาเอ็นดูต่อผนู้ ้อย 10) การไม่สร้างปมเขื่อง
หรือปมด้อยให้กับตนเอง 11) การรักษากายวาจาให้สงบหนักแน่น 12) การไม่โกรธง่าย 13) ความไม่มีอคติหรือ
ลำเอียง 14) การไม่เหน็ ว่าตนเองสำคัญกว่าผ้อู ่ืน
คณุ สมบัติขอ้ ท่ี 3 คือ ความมคี า่ นยิ มสงู คณุ สมบตั ขิ ้อน้ีมีขึ้นได้ครูอาจารย์จะต้องฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้ที่ฉลาด
ในการเลือกสรรสิ่งที่ดีงาม ที่มีคุณประโยชน์มาเป็นที่นิยมยึดเหนี่ยวปฏิบัติ การยึดมั่นในระบอบการปกครองแบบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 1) การประหยัดอดออม 2) การมีระเบียบวินัยและเคารพ
กฎหมาย 3) การรักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัด 4) การเคารพเทิดทูนพระมหากษัตริย์ 5) การปฏิบัตติ ามจรรยาวชิ าชพี
ครูอยา่ งเคร่งครดั 6) การแต่งกายสุภาพเรียบร้อยเม่ือไปในสถานท่ีสาธารณะ 7) การกั ษาความสะอาดทั้งของส่วนตัว
และของส่วนรวม 8) ความกตัญญกู ตเวทีตอ่ ผมู้ ีพระคุณและสง่ิ แวดล้อม และ 9) ความซื่อสตั ย์สจุ รติ ฯลฯ
คุณธรรมขอ้ ที่ 4 ความมวี จิ ารณญาณ คณุ ธรรมขอ้ นีจ้ ะบงั เกิดขึน้ ได้ ครูอาจารย์จะต้องฝกึ ฝนพฒั นาตนในด้าน
ต่างๆต่อไปนี้ 1) การควบคุมจิตใจให้เป็นปรกติและหนักแน่น 2) การไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์และอคติต่างๆ และ
3) การไมฟ่ งุ้ ซ่านไมส่ ับสนถงึ เร่อื งตา่ งๆ
คุณสมบตั ขิ ้อที่ 5 คือ วนิ ัย ครอู าจารยจ์ ะต้องยึดถือปฏิบัติตามระเบยี บวินยั ให้ถูกต้องเหมาะสมโดยตระหนัก
อยูเ่ สมอว่า 1) ถือวนิ ัยเพ่อื เสริมสรา้ งคุณภาพตัวเราเอง 2) ถอื วินัยเพอ่ื สร้างความพร้อมเพยี งสมัครสมาน 3) ถือวินัย
เพื่อความเป็นปึกแผ่นมั่นคงและความก้าวหน้าของหมู่คณะ 4) ไม่ถือวินัยอย่างผิดๆ เพื่อหลอกตนเอง และ 5) ไม่
นำเอาวนิ ยั เปน็ เครอ่ื งมือเบยี ดเบียนบังคับผอู้ ่นื
จากที่กล่าวมานี้ จะเห็นว่าคุณลักษณะของครูดีตามพระราโชวาทของสมเด็จพระบรม โอรสาธิราชฯ สยาม
มกุฎราชกมุ ารท้ัง 5 ประการดังกล่าว สามารถนำมาปฏบิ ัติได้อย่างเหมาะสมและเป็นหลักการสำคัญของครูท่ีควรน้อม
ใส่เกล้าไว้ตลอดไป
คณุ ลกั ษณะของครจู ากผลการวิจัย
ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณลักษณะของครูดี ซึ่งผู้เขียนรวบรวมได้อกี มาก เมื่อพิจารณา เฉพาะคุณลักษณะ
ที่ไม่ซ้ำกันได้ดังตอ่ ไปนี้ 1) พูดจาสุภาพอ่อนโยน 2) มีความเป็นระเบยี บเรยี บร้อย3) รักและเมตตากรุณาต่อนักเรยี น
4) สุขม เยือกเย็น ใจดี 5) อารมณ์แจ่มใสร่าเรงิ 6) มีความยุติธรรม 7) วางตัวได้เหมาะสม 8) มีความสามารถในการ
สอน 9) มีสัมพันธภาพอันดีกับนักเรียน10) มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 11) เสียสละ 12) มีความมั่นคงทางอารมณ์
13) มเี หตผุ ล รจู้ ักใชเ้ หตุผล 14) มคี วามซ่อื สัตย์ และ 15) ความประพฤตเิ รียบรอ้ ย
คุณลักษณะที่ดีของครูในข้างต้นนี้ มิได้เรียงตามลกดับความสำคัญ แต่ถ้าพิจารณาเฉพาะงานวิจยั ของ เฉลียว
บุรีภักดี และคณะ (2520 : 363-465) ซึ่งได้ศึกษาวิจัยคุณลักษณะของครูที่ดี โดยรวบรวมข้อมูลจากนักเรียน
ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ ผู้บริหาร พระภิกษุแลผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนทั้งสิ้น 7,762 คน จะได้ลักษณะของครูดีเรียง
ตามลำดบั ความสำคัญดังน้ี 1) ความประพฤติเรยี บร้อย 2) ความร้ดู ี 3) บุคลกิ ลักษณะและการแตง่ กายดี 4) สอนดี
5) ตรงเวลา 6) มีความยตุ ธิ รรม 7) หาความรู้อยเู่ สมอ 8) รา่ เริงแจ่มใส 9) ซ่ือสัตย์ และ 10) เสยี สละ
จากผลงานวิจัยเรื่องเดียวกันน้ีทำให้ทราบความบกพร่องของครเู รียงตามลำดับความสำคัญจากมากไปหาน้อย
ดังน้ี
ความบกพร่องของครูชาย 1) ความประพฤติไม่เรียบร้อย 2) มัวเมาในอบายมุข 3) การแต่งกายไม่สุภาพ
4) พูดจาไม่สภุ าพ และ 5) ไม่รบั ผดิ ชอบการทำงาน
ความบกพร่องของครูหญิง 1) แต่งกายไม่สุภาพ 2) เป็นคนเจ้าอารมณ์ 3) ประพฤติ ไม่เรียบร้อย 4)ไม่
รับผิดชอบการงาน 5)ชอบนนิ ทา 6)จูจ้ ้ีข้บี น่ 7)วางตัวไมเ่ หมาะสม 8)คยุ มากเกนิ ไป
81 81
เมื่อเปรยี บเทยี บข้อบกพร่องของครชู ายกบั ครูหญิง จะเห็นว่ามีความเหมือนใกล้เคยี งกันหลายประการ ดงั เช่น
ความประพฤติไม่เรียบร้อย แต่งกายไม่เรียบร้อย ไม่รับผิดชอบการงานส่วนพฤติกรรมที่มเหมาะสมทางวาจาที่ครูท้ัง
ชายและหญงิ ไดก้ ระทำ คอื ครูชายพูดจาไมส่ ภุ าพส่วนครหู ญิงน้ันชอบนินทา จู้จี้ข้ีบน่ และคุยมากเกินไป
คณุ ลกั ษณะของครใู นยุคโลกาภวิ ตั น์
ปัจจุบันเป็นยุคโลกาภิวัตน์ หรือยุคที่ไร้พรมแดน เป็นยุคของข้อมูลข่าวสารที่มนุษย์สามารถติดต่อถึงกันได้
อย่างรวดเร็วและทั่วถึง เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ที่เป็นครูไทยในยุคที่ไร้พรมแดนจึงจำเป็นต้องพัฒนาตนเองให้ทันต่อความ
เจริญก้าวหน้าในวิทยาการใหม่ๆ ที่แพร่กระจายไปทุกสังคมโลกผู้เป็นครูจะอาศัยความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนจาก
สถาบันการศึกษาหรือจากตำราเพียงฝ่ายเดียวย่อมไม่เป็นการเพียงพอ จำเป็นจะต้องศึกษาหาความรู้จากแหล่งอื่นๆ
เพมิ่ เตมิ อยูเ่ สมอ เพอ่ื ใหม้ คี วามรอบรู้ ในสถานการณต์ ่างๆท่มี ผี ลกระทบต่อการดำรงชวี ิตในสังคมปัจจุบันอยา่ งไรก็ตาม
คุณลักษณะที่เป็นความดี เป็นสัจจธรรม ก็ยังคงเป็นความดีตลอดไป ดังนั้น หากพิจารณาถึง คุณลักษณะที่สำคัญของ
ครไู ทยในยคุ โลกาภิวัตน์ จะได้แก่คุณลกั ษณะดังต่อไปน้ี (ยนต์ ชุ่มจติ , 2546 : 220 – 227)
“รู้ดี สอนดี มีวิสัยทัศน์ เจนจัดฝึกฝนศิษย์ ดวงจิตใฝ่คุณธรรม งามเลิศล้ำด้วยปัญญามีศรัทธาความเป็นครู
ดำรงอยูด่ ว้ ยศีล สมาธิ ปัญญา” กล่าวคือ
1. รู้ดี คุณลักษณะประการแรกของบุคคลที่เป็นครูทุกคน คือต้องมีความรู้ดี การมีความรู้ดีในที่นี้มี
ความหมายกว้าง ที่สำคัญ ได้แก่ 1) ความรู้ในเนื้อหาที่จะสอนตามหลักสูตร 2) ความรู้ในจิตวิทยาการเรียนการสอน
3) ความรู้ในหลักการสอน 4) ความรู้เรื่องเศรษฐกิจ 5) ความรู้ในเรื่องการบ้านการเมือง 6) ความรู้ทางศาสนาและ
วัฒนธรรมรวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณี 7) ความรูท้ างด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะและวรรณคดีทสี่ ำคัญของชาติ 8)
ความรู้และความสามารถในการใช้ภาษาไทยเป็นอย่างดี 9) ความรู้ความสามารถในการประพันธ์โคลง ฉันท์ กาพย์
กลอน 10) ความรู้ในเรื่องสภาพสิ่งแวดล้อมในสังคม 11) ความรู้เรื่องธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ และ12)
ความรเู้ ร่ืองการใช้คอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลยีตา่ งๆ เป็นตน้
ความรู้ในด้านต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นนี้ หากครูอาจารย์สามารถพัฒนาตนเองให้มีความรอบรู้มากเพียงใด
ยอ่ มชว่ ยสร้างศกั ยภาพความเปน็ ครูในยุคโลกาภิวตั นไ์ ด้มากเพยี งนั้น
2. สอนดี การมีความรู้เพียงด้านเดียวไม่เป็นการเพียงพอสำหรับการเป็นครู ครูที่ดีนั้นจะต้องเป็นผู้มี
ความสามารถในการสอนคนด้วย ความสามารถในการสอนจะบงั เกิดมีข้นึ ได้ จะตอ้ งอาศัยองค์ประกอบหลายๆอย่างท่ี
สำคัญ ได้แก่ 1) รู้หลักการสอน 2) รู้จักนักเรียนที่จะสอน 3) รู้จักสภาพแวดล้อมทางบ้านของนักเรียน 4) มร
สภาพแวดล้อมทางกายภาพและสังคมเอื้ออำนวยต่อการเรียนการสอน 5) สุขภาพอนามัยสมบูรณ์ 6) บุคลิกภาพ
เหมาะสม 7)ความพร้อมท่ีจะเรยี นรู้ของนกั เรียน และ 8) มเี ครอ่ื งอำนวยความสะดวกตา่ งๆ พรอ้ ม เปน็ ต้น
สำหรับการสอนดีมลี ักษณะอย่างไรนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้รับคือนักเรยี น กล่าวคือ นักเรียน
บางคนบางกลุ่มอาจจะชอบครูท่ีพูดสนุก โดยไม่คำนึงถึงสาระที่จะได้รับ หากครูคนใดทำให้ตนสนุกกับการได้ฟังครูพูด
ก็จะยินดีพอใจ และกล่าวชมเชยว่าครูของพวกสอนดี ตรงกันข้าม นักเรียนบางพวกบางกลุ่มอาจจะชอบครูที่เอาจริง
เอาจังกับการสอนต้องการให้ครู้เนน้ เนื้อหาสาระมากๆอย่างนีจ้ ึงจะสอนดี หรือบางคนอาจจะชอบครูทีส่ อนสนุกแต่ได้
สาระอย่างนี้เป็นต้น อยางไรก็ตาม ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนานั้น ครูที่สอนดีนั้นจะต้องมีลีลาการสอน 4
ประการ ดงั น้ี 1) สันทสั นา คอื สามารถช้แี จงได้ชัดเจน 2) สมาทปนา คือ สอนแลว้ นกั เรียนอยากปฏบิ ัตติ าม 3) สมุต
เตชนา คือ สอนแล้วนักเรียนเกดิ ความกล้าท่ีจะกระทำตามท่คี รูสอน และ 4) สมั ปหงั สนา คือ นกั เรียนเกิดความร่าเริง
บันเทงิ ใจกบั การไดเ้ รยี นรู้ในสง่ิ นนั้ ๆ
3. มีวิสัยทัศน์ นอกจากการมีความรู้ดีและสอนดีแล้ว ครูดีในยุคโลกาภิวัตน์นั้นจะต้องเป็นผู้มีวิสัยทัศน์อีก
ด้วย กล่าวคือ ผู้เป็นครูจะต้อง “มองการณ์ไกลใช้ปัญญา” หรือในทางพระพุทธ ศาสนาเรียกว่า “จักขุมา” การมอง
การณ์ไกลใช้ปัญญาหรือมีวิสัยทัศน์นั้นคือความสามารถในการมองเหตุการณ์ต่างๆที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น
คาดคะเนว่าอีก 10 ปี ข้างหน้าครูทุกคนจะต้องมีความสามารถในการใชค้ อมพิวเตอร์ ถ้าหากใช้เครือ่ งคอมพิวเตอร์ไม่
82 82
เป็นแล้ว จะไม่สามารถสอนนักเรียนได้ ทั้งนี้ เพราะเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆที่เกี่ยวกับการสอนจะตอ้ งควบคมุ
ด้วยเคร่อื งคอมพวิ เตอร์ท้ังส้ิน เป็นตน้ คนท่ีย่ำอยูก่ ับท่ีเปน็ คนไม่พฒั นา การมวี ิสยั ทัศน์ช่วยทำให้บุคคลได้พัฒนาคนเอ
งอยเู สมอ เพราะฉะนัน้ ครูดใี นยุคโลกาภวิ ัตนจ์ ะต้องเปน็ ผมู้ วี สิ ัยทศั น์
4. เจนจัดฝึกฝนศิษย์ การมีความรู้ดี สอนดี มีวิสัยทัศน์ แต่ถ้าไม่เจนจัดการฝึกฝนศิษย์แล้ว ยังไม่สามารถ
เป็นครูที่ดีได้ ทั้งนี้ เพราะการสอนให้คนมีความรู้ในศิลปะวิทยาการต่างๆ นั้น เป็นงานที่ไม่ยากเกินกำลังของผู้สอน
ทว่ั ไป งานท่ยี ากย่งิ ของผทู้ ี่มวี ญิ ญาณความเป็นครูคือการฝึกฝนอบรมคนให้เปน็ มนษุ ย์ การเปน็ มนุษย์ หมายถึงการเป็น
ผ้มู ีจติ ใจสงู เปน็ ผูม้ ีคณุ ธรรม รู้จกั ผดิ ชอบชว่ั ดมี คี วามละอายและเกรงกลัวต่อบาปต่อความเลวรา้ ยท้ังปวง นอกจากอาย
ชัว่ กลวั บาปแลว้ จะต้องพยายามสร้างแตค่ วามดีให้กับตนเองและผู้อืน่ อยู่เสมอดว้ ย สงิ่ ตา่ งๆดงั กล่าวจะบังเกิดแก่ศิษย์
ได้อยา่ งครบถว้ นสมบรู ณ์ จะตอ้ งอาศัยครูที่มีความเจนจัดในการฝึกฝนศิษย์ น่นั คือ จะต้องมีความยินดพี อใจที่จะอบรม
สงั่ สอนศษิ ย์ มีความอดทนทจ่ี ะพร่ำสอนแมว้ า่ ศิษย์ของตนจะฝกึ ฝนยากสักเพียงใด ก็จะพยายาม
5. ดวงจิตใฝค่ ณุ ธรรม ความเจนจดั ในการฝึกอบรมศษิ ย์ให้เป็นดมี คี ุณธรรมจะไรผ้ ล ถ้าหากผู้ท่ที ำหนา้ ที่การ
ฝกึ อบรมคือครูเปน็ ผ้ทู ไี่ ร้คุณธรรม ทั้งน้ี เพราะการจะอบรมสั่งสอนให้ผใู้ ดเป็นอยา่ งไรน้ันผทู้ ท่ี ำหนา้ ท่ใี นการอบรมส่ัง
สอนจะต้องกระทำตนใหต้ วั อยา่ งเสียกอ่ น ดังพุทธศาสนาสุภาษิตกล่าวไว้ว่า “อตฺตานญฺเจ ตถา กยริ า ยถญญมฺ นุสาสต.ิ ”
แปลว่า “ถ้าพร่ำสอนผูอ้ นื่ ฉันใด ก็ควรทำตน ฉนั นัน้ ” ดงั นน้ั ครูดใี นยคุ โลกาภิวัตนห์ รือในยุคใดๆกต็ าม จะต้อง
เป็นผู้ที่ “ใฝด่ ี” หมายความว่า ดวงจติ ของผู้ทีเ่ ป็นครูนน้ั จะตอ้ งใฝใ่ นคุณความดีต่างๆเพ่ือแสดงให้ศษิ ย์และบุคคลทัว่ ไป
ไดเ้ ห็นว่า ผูเ้ ปน็ ครนู ้ันเปน็ คนดมี คี ณุ ธรรม สมควรไดร้ ับการยกย่องให้เปน็ ปูชนยี บคุ คลสำหรับคณุ ธรรมท่ีครูควรศึกษา
และนอ้ มนำมาปฏบิ ัติน้นั มมี ากมาย ซึ่งจะได้กล่าวในโอกาสตอ่ ไป.
6. งามเลศิ ล้ำด้วยจรรยา จรรยา แปลว่า ความประพฤติหรือกิริยาอาการท่ีควรประพฤตปิ ฏิบัติ ครูดีจะต้อง
งามด้วยความประพฤติงามด้วยกิริยามารยาทของความเป็ครู สำหรับจรรยามารยาทที่ครูไทยควรตระหนักและใส่ใจ
ฝึกฝนปฏิบัติมีอยู่ 2 นัยด้วยกัน คือ นัยแรก ได้แก่ จรรยามารยาทแบบไทยๆ ซึ่งได้แก่การปฏิบัติตามมารยาทไทยให้
ถูกต้องเหมาะสม เช่น การไหว้พระ การไหว้บุคคลต่างๆ การกราบบุคคลต่างๆ การกราบพระ การประเคนของพระ
การรับของ การส่งของ ตลอดจนเขา้ รับพระราชทานสงิ่ ของ เปน็ ตน้ นอกจากน้ผี ู้เปน็ ครยู งั จำเป็นต้องงามด้วยมารยาท
ทางสังคมอีกด้วย ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับมารยาทไทยและมารยาทสังคมนี้ ผู้เขียนได้นำเสนอไว้ในภาคผนวกของ
หนงั สือเลม่ นแ้ี ลว้ ส่วนอกี นัยหนึ่ง ไดแ้ ก่ “จรรยาวชิ าชพี ” หรอื “จรรยาบรรณ” ซ่งึ ถือวา่ เปน็ เกณฑ์มาตรฐานประการ
หนึง่ ของอาชีพชั้นสูงหรอื วิชาชีพ
ครูที่งามด้วยมารยาท งามด้วยความประพฤติ ย่อมเสริมสร้างบุคลิกภาพของความเป็นครูให้เป็นที่น่า
ศรัทธาเลื่อมใสของศิษย์และบุคคลทั่วไป ในขณะเดียวกัน ครูที่รักษาจรรยาวิชาชีพหรือจรรยาบรรณครูไว้อย่าง
ครบถ้วน ย่อมนำความเจริญมาสู่ศิษย์ของตนเอง รวมทั้งยังเสริมสร้างเกียรติและศักดิ์ศรีให้กับสถาบันวิชาชีพครูด้วย
ดงั นั้น ผปู้ ระกอบวชิ าชีพครูทุกคนจงึ จำเป็นต้องศึกษา ทำความเข้าใจ จดจำจรรยาบรรณหรือจรรยาวิชาชีพของตนให้
แม่นยำ และพยายามปฏิบัตติ ามจรรยาบรรณใหไ้ ด้ครบถว้ นสมบูรณ์
7. มีศรัทธาความเป็นครู นอกจากผู้เป็นครูจะวามเลิศล้ำด้วยจรรยามารยาทและจรรยาวิชาชีพแล้ว การมี
ศรัทธาในการเป็นครูก็เป็นอีกคุณลักษณะหนึ่งที่ช่วยค้ำจุนให้ผู้ประกอบวิชาชีพครูมีความเป็นครูที่สมบูรณ์ขึ้น ครูที่มี
ศรัทธาในความเปน็ ครูจะมีพฤตกิ รรมหลัก คือ เห็นความสำคญั ของวิชาชีพครูและรักษาช่ือเสียงของวชิ าชีพครูอยู่เสมอ
ส่วนพฤติกรรมที่บ่งช้ี เช่น สนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรวิชาชีพครู เข้าร่วมกิจกรรมวชิ าชีพครูอยู่เสมอ ร่วมมือ
และส่งเสริมให้มีการพัฒนามาตรฐานวิชาชีพครู ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่กานงาน รักษาความสามัคคี ช่วยเหลือกิจการงาน
ของเพื่อนร่วมวิชาชีพเดียวกัน ปกป้องและรักษาเกียรติความเป็นครู รักและเมตตาต่อศิษย์รกั ในการสอนมากกว่าการ
ทำงานอย่างอื่น ไม่แสดงอาการท้อแท้เมื่อมีภาระงานสอนมาก สอนเด็กด้วยความสนุกสนาน และไม่ขวนขวายหางาน
อืน่ ทำแม้รายได้จะนอ้ ยก็ตาม เป็นต้น
83 83
8. ดำรงอยู่ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักการในพระพุทธศาสนาที่ต้องศึกษาสามอย่าง
ซึ่งเรียกว่า “ไตรสิกขา” กล่าว คือ การดำรงอยู่ของชีวิตในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีนั้นจำเป็นต้องศึกษาและ
ปฏบิ ตั ใิ หค้ รบไตรสิกขา
ศีล คือ การประพฤติชอบด้วยกายและวาจา การมีระเบียบและการอยู่ร่วมกันในสังคมหรือกล่าวอีกนัย
หนึ่งได้ว่า ศีล คือ ความมีวินัยและปฏิบัติตามกฎกติกาในการอยู่ร่วมกันเพื่อให้มีความสัมพันธ์ที่ดีในสังคม ชีวิตและ
สังคมจะไม่ราบรื่นเรียบร้อย ไม่สบสนวุ่นวาย ไม่ระส่ำระส่าย เอื้อโอกาสที่จะทำอะไรๆให้สะดวกได้ผลดีและมีความ
เจรญิ กา้ วหน้ายิ่งๆขึ้นไป หรืออาจจะกลา่ วอีกแง่ มุมหนงึ่ ว่า ศีลนน้ั คือ ความเปน็ ปกตวิ สิ ยั ของคนเรา คนที่มีความเป็น
ปกติจะไม่สร้างความสับสนวุ่นวาย ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับตนเองและผู้อื่น คนที่มีความเป็นปกติจะเป็นผู้ที่
ประพฤติดี ดงั นัน้ เมื่อกลา่ วถงึ คำว่า”ศีล” จึงสามารถแปลความได้วา่ หมายถึง ความประพฤติดที างกายและวาจา คน
ที่มีความประพฤติดีหรือความเป็นปกติวิสัย เช่น ไม่ฆ่า หรือ ประทุษร้ายต่อร่างกายซึ่งกันและกันทั้งต่อมนุษย์ดว้ ยกนั
หรือต่อสัตว์โลก ไม่ลักทรัพย์ฉอ้ โกงผู้อืน่ ไม่เป็นชู้คู่ครองของผู้อืน่ ไม่พูดเท็จหลอกลวง เพื่อให้ตนเองไดป้ ระโยชน์ส่วน
ผู้อื่นเสียประโยชน์หรือเกิดความเสียหาย และไม่สามารถทำให้สติสัมปชัญญะของตนต้องเลอะเลือนฟั่นเฟือนเป็นต้น
บุคคลที่ดำรงอยู่ด้วยความเป็นผู้มีศีล ย่อมทำให้ชีวิตของตน ของครอบครัวและของสังคม มีแต่ความสุขความเจริยรุ่ง
เรือง ทั้งนี้ เพราะศีลเป็นท่ีมาของความสงบสุข (สีเลน โภค สมฺปทา) และศีลเป็นที่มาของความพ้นทุกข์ทั้งปวง (สีเลน
นิพฺพุติ ยนฺต)ิ
ศีล เป็นเรื่องของการฝึกในด้านพฤติกรรม โดยเฉพาะพฤติกรรมเคยชิน ส่วนเครื่องมือที่ใช้ในการฝึกศีล
คือ “วินัย” ทั้งนี้ เพราะวินัยจะช่วยจัดระเบียบชีวิตและการอยู่ร่วมกันให้เรียบร้อยจุดเริ่มต้นของกระบวนการศึกษา
และการพัฒนามนษุ ยต์ ้องอาศยั วินัยเปน็ ตัวจัดการ เพราะวินัยชว่ ยจัดเตรยี มชวี ิตให้อยใู่ นสภาพที่เอื้อต่อการพัฒนาโดย
จัดระเบียบความเป็นอยู่ การดำเนินชวี ติ และการอยู่ร่วมกันในสังคมให้เหมาะสมกับการพัฒนาและเอือ้ โอกาสในการที่
จะพัฒนา เม่ือฝึกฝนจนเกิดพฤตกิ รรมทีเ่ คยชนิ ท่ีดตี ามวนิ ยั น้นั แลว้ ก็เกิดเปน็ “ศีล”
สมาธิ แปลว่า ความตั้งมั่นของจิตหรือภาวะที่จิตแน่วแน่ต่อสิ่งที่กำหนด เป็นภาวะที่จิตใจมีอารมณ์เป็น
หนึ่ง กำหนดแน่วแน่อยู่กับส่ิงใดสิ่งหนึ่งไม่ฟุง้ ซา่ นหรือส่ายไป ดังนั้น สิกขาหรือการศึกษาในดา้ นสมาธิจึงเป็นเรือ่ งของ
การฝึกฝนอบรมจิตใจให้สงบแน่วแน่มั่นคง เพื่อให้เป็นจิตใจที่สามารถทำงานหรือใช้การได้ดี จิตที่ได้รับการฝึกฝน
พัฒนา จะมีคุณลกั ษณะ 3 ประการ คือ ประการที่ 1 เปน็ จติ ท่มี ีคุณภาพหรือมีคุณธรรม เช่นมีความเมตตา กรุณา มุฑิ
ตา อุเบกขา เอ้อื เฟอื้ เผอ่ื แผ่ เสยี สละ กตัญญูกตเวที เปน็ ต้น ประการท่ี 2 เป็นจิตทีม่ ีสมรรถภาพ หมายถึง เป็นจิตท่ี
มีความเข้มแข็ง มีความสามารถ มีความพร้อที่จะทำงานได้ มีความอดทน มีความเพียรพยายาม มีสติ และ มีสมาธิ
เปน็ ต้น ประการท่ี 3 คอื เปน็ จติ ทม่ี ีสุขภาพดีหรือท่ีเรียกว่ามีสุขภาพจิตดี คอื เปน็ จติ ท่สี บาย มีความปราโมทย์ (ความ
ปลาบปลมื้ บนั เทงิ ใจ) ความมปี ีต(ิ ความเอิบอ่ิมใจ) มีความความแชม่ ชืน่ เบิกบานผ่องใส สบายใจ และทำใจใหส้ บายได้
เร่อื ยๆ
บคุ คลทสี่ ามารถฝึกฝนพัฒนาตนใหเ้ ปน็ ผู้ที่จิตมีสมาธิไดจ้ ะทำให้จิตใจผ่อนคลายหายเครียด ยั้งหยุดความ
กลัดกลุ้มวิตกกังวล ทำให้ใจสบายและมีความสุข เสริมประสิทธิภาพในการศึกษาเล่าเรียนและการทำงานต่างๆ
ตลอดจนชว่ ยเสรมิ สขุ ภาพกายและใช้แกไ้ ขโรคไดท้ ำใหเ้ ปน็ บคุ คลทมี่ ีผิวพรรณผอ่ งใสอย่เู สมอ
สำหรบั วิธกี ารฝึกฝนพัฒนาตนให้เป็นผู้มีสมาธิอยา่ งง่ายๆก็คือ “ตอ้ งพัฒนาตนให้มีศีลอยู่เนืองนิตย์ ยึดติด
หลกั อิทธิบาทสี่ในการทำงาน ฝกึ ใหเ้ ชีย่ วชาญในการเจรญิ สมาธิ”
ปัญญา คือ ความรอบรู้ ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด ความรู้เท่าทัน รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์ไม่ใช่ประโยชน์ รู้
องคป์ ระกอบ รู้เหตุปจั จัย รู้ท่จี ะแจง รูค้ ดิ รพู้ จิ ารณา รทู้ ่ีจะจดั การหรือดำเนนิ การอย่างไร เป็นการมองทะลุสภาวะหรือ
มองทะลุปญั หา
ปัญญามีหลายระดับ ระดับเริ่มต้น คือ การเข้าสิ่งที่ได้ศึกษาเล่าเรียน สดับตรับฟังข้อมูลข่าวสารต่างๆ
และประสบการณ์ทางตา หู จมกู ล้นิ และกาย ตลอดจนการจำได้หมายรู้และความรู้สกึ นึกคิดที่ได้สั่งสมไว้ในใจ ปัญญา
84 84
ช่วยทำใหก้ ารรบั รู้และมองดูประสบการณน์ ้นั ๆอย่างถกู ตอ้ งตรงตามความเป็นจริงอยา่ งบริสุทธิ์ ไมถ่ กู ปรุงแต่งด้วยอคติ
ต่างๆ
ปัญญาที่สูงขึ้นอีกระดับหนึ่งเกิดจากการพิจารณาวินิจฉัยและคิดการต่างๆได้อย่างถูกต้องชัดเจน โดยไม่
ถูกกิเลส โลภ โกรธ เป็นตัวชักนำชกั จูง และที่สูงขึ้นอีกระดับหนึง่ ของปัญญา คือ การมองสิ่งทั้งหลายล่วงทะลุถึงเหตุ
ปจั จยั ต่างๆ ตลอดจนสามารเชือ่ มโยงความรูใ้ นสงิ่ ทั้งหลายมาใชแ้ กป้ ัญหาและทำการสร้างสรรคจ์ ดั ดำเนนิ การต่างๆได้
สำหรับปัญญาขั้นสูงสุด คือ ความรู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต ทำให้หายความติดข้องหมดความ
ยดึ ม่ันถอื มั่นในส่งิ ทงั้ หลาย ทำให้จติ ใจปลอดโปรง่ โล่งเบา เบกิ บานผ่องใส หลดุ พ้น และมคี วามเปน็ อสิ ระอยา่ งแท้จริง
หลกั การของพระพุทธศาสนาท้งั 3 ประการ คือ ศลี สมาธิ ปัญญา ดงั ไดก้ ลา่ วนี้ เป็นปจั จัยคอยสนับสนุน
ซึ่งกันและกัน กล่าวคือ บุคคลจะรักษาศีลอย่างมั่นคงได้ก็ต้องอาศัยสมาธิ จิตของคนจะเป็นสมาธิได้ก็ต้องอาศัยการ
รักษาศีลอย่างมัน่ คง ปญั ญา คอื ความรอบรูจ้ ะเกิดขึน้ ได้ ก็ตอ้ งอาศัยศลี และสมาธิเป็นปัจจัย ในขณะเดยี วกนั ศีลและ
สมาธิจะเกิดขึ้นไดอ้ ย่างถูกตอ้ งก็ต้องอาศยั ปัญญาเป็นตวั ชน้ี ำ ทส่ี ำคัญยง่ิ คือ ศีลท่ีสมบรู ณจ์ ะชว่ ยปราบความโลภอยาก
ได้ในทางที่ผิด สมาธิที่สมบูรณ์จะช่วยปราบความโกรธได้อย่างดียิ่ง ส่วนปัญญาที่บริบูรณ์จะช่วยปราบความหลงได้
อย่างหมดสิ้น อย่างไรก็ตาม ทั้งศีล สมาธิ และปัญญา จะต้องช่วยกนั ปราบกเิ ลส ทั้งนี้ เพราะกิเลสท้ังสามตัวดังกล่าว
มักจะเกิดผสมโรงร่วมกันเสมอ เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้เป็นครู ผู้นำกลุ่มหรือผู้นำองค์กรหรือบุคคลใดๆก็ตามหากต้องการให้
ชีวิตของตนมีความสงบสุข มีความเจริญรุ่งเรืองล้วน จะต้องพยายามฝึกฝนพัฒนาตนให้สมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ และ
ปญั ญา
คุณลักษณะของครูไทยที่พงึ ประสงค์ในยุคโลกาภิวัตน์ คือ “รู้ดี สอนดี มีวิสัยทัศน์ เจนจัดการฝึกฝนศษิ ย์
ดวงจติ ใฝ่คณุ ธรรม งามเลิศล้ำด้วยจรรยา มศี รทั ธาความเป็นครู และดำรงอย่ดู ว้ ยศีล สมาธิ ปัญญา” ดังไดก้ ลา่ วข้างต้น
นี้ หากผู้เป็นครูคนใดสามารถฝึกฝนพัฒนาและเสริมสร้างคณุ ลักษณะดังกล่าวใหบ้ ังเกิดมีในตนได้มากที่สดุ จะช่วยทำ
ให้ตนเอง ผู้ที่ได้รับการสั่งสอนอบรมคือศิษย์ ครอบครัว ตลอดถึงสังคม ประเทศชาติ มีความเจริญก้าวหน้ารุ่งเรือง
และในทีส่ ุดจะชว่ ยทำใหต้ วั ผู้เป็นครูเองจะเป็นมนษุ ยท์ สี่ มบูรณ์ มีชวี ติ อยอู่ ยา่ งสงบสขุ ตลอดกาล
คุณลกั ษณะของครูตามทศั นะของบุคคลท่ัวไป
คุณลักษณะที่ดีของครู หมายถึง เครื่องหมายหรือสิ่งที่ชี้ให้เห็นความดี หรือลักษณะที่ดีของครูและเป็น
ลักษณะที่ตอ้ งการของสังคม โดยหลกั การแล้วครูจะต้องเป็นทั้งนักปราชญ์ และผูท้ รงศีล เพราะสงั คมได้ยกย่องให้ครู
เปน็ ปชู นยี บคุ คล เป็นผปู้ ระเสริฐและประสาทความรู้ สรา้ งความเปน็ คนและอบรมสั่งสอนเด็กให้เป็นเด็กท่ีดีของสังคม
ความจำเปน็ ทจ่ี ะต้องให้ครเู ปน็ ท้ังนักปราชญ์ และผู้ทรงศีลดงั กล่าวแลว้ ช้ีให้เหน็ ว่า ความเป็นนกั ปราชญข์ องครูนั้น ครู
จะต้องมีความดีและถ่ายทอดดี สอนให้เด็กได้รับความรู้และสนุกมีชีวิตชีวา ส่วนความเป็นผู้ทรงศีลของครู ในฐานะท่ี
ครเู ป็นแมแ่ บบของชาตหิ รือเป็นตน้ แบบในพฤติกรรมท้งั ปวง จะชว่ ยใหค้ รเู ป็นคนดี วางตวั ดี เปน็ ท่ีเคารพและเป็นที่น่า
เชื่อฟังของลูกศษิ ย์ จึงกล่าวได้ว่า ครูต้องมีคุณธรรม หรือคุณธรรมสำหรับครูเปน็ สิ่งจำเปน็ สำหรับครูอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่า
ครูจำเป็นต้องมีคุณธรรม แต่คุณธรรมอย่างเดียวไม่เพียงพอครูต้องเป็นนักปรัชญาด้วย การเป็นนักปราชญ์ของครูจะ
ช่วยให้ครูมีความรู้รอบ และรอบรู้ มีทัศนะกว้างไกลและลึก มองเห็นชีวิตของตนเองทั้งในปัจจุบันและอนาคตอย่าง
ทะลุปุโปร่ง และช่วงมองอนาคตของเด็กให้ทะลุปุโปร่งด้วย เพื่อจะได้ประคับประคองสนับสนุน และส่งเสริมให้เด็ก
เจริญก้าวหน้าอย่างเต็มที่ การเป็นครูสอนให้คนเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ คือ ความรู้คู่คุณธรรมมิใช่เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย
การเป็นครูที่ดีต้องอาศัยความอดทน เสียสละ มีเมตตา ซึ่งเป็นคุณสมบัติเพียงส่วนหนึ่งของความเป็นครูที่ดี
คุณลักษณะของครูที่ดีมีอีกหลายประการ จากการสังเคราะห์แนวคิด หลักการ และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ
คณุ ลักษณะของครู สรุปว่าคณุ ลกั ษณะของครทู ด่ี คี วรประกอบดว้ ยสงิ่ ต่างๆ ดงั ต่อไปน้ี
1. มีความรอบรู้ดี การมีความรู้หรือความเข้าใจใน วิชาการต่างๆ ซึ่งได้ศึกษาเล่าเรียนมาเป็นอย่างดี มีความ
ความเชื่อมั่นในวิชาการแต่ไม่หยิง่ ผยองว่าตนมคี วามรู้สงู
85 85
2. มอี ารมณข์ ัน การเป็นผูท้ สี่ ามารถในการรับรู้ ซาบซึง้ หรอื สามารถแสดงความรู้สึก ในส่งิ ที่ทำให้ ขำขันหรือ
สนุกสนาน
3. มีความยืดหยุ่น เปน็ ผูท้ มี่ คี วามรู้สึกไวต่อการเปลีย่ นแปลงแกไ้ ขปรับเปล่ียนได้ตลอดเวลา
4. มีวิญญาณครู บุคคลที่มีวิญญาณครูโดยแท้จริงแล้ว จะเป็นผู้ที่มีความ รักในตัวเด็กและยินดีในภารกิจ
ทางการสอน
5. มีความซื่อสัตย์ ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นคุณลักษณะที่สำคัญมากสำหรับผู้ที่เป็นครู ครูที่มีความซื่อสัตย์
จรงิ ใจเมอ่ื บอกนกั เรียนวา่ จะทำอะไรกจ็ ะพยายามทำส่ิงนน้ั ให้สำเรจ็
6. มีความอดทน ครจู ะตอ้ งมีความอดทนในการสอนนักเรียนในชัน้ และจะต้องอดทนต่อการเรียน รู้ถึงความ
เจริญก้าวหน้าทีละเล็กทลี ะน้อยวันต่อวันของนกั เรยี นมากกวา่ ท่จี ะหวงั ผลในทนั ทีทันใด
7. กระทำตนเป็นแบบอย่างที่ดีงาม ครูควรเป็นบุคคลที่กระทำตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีเป็นพิเศษ เพราะเด็ก
และเยาวชนต้องการแบบอย่าง การกระทำที่ถูกต้องดีงาม เพือ่ ใชเ้ ป็นแนวทางในการดำเนินชีวติ ของตน ดังนั้นครูควร
ระลึกอยูเ่ สมอว่า การกระทำตนใหเ้ ป็นแบบอย่างท่ีดีแกน่ ักเรยี นท่ีตนเองรับผิดชอบเป็นสิ่งหน่ึงที่ดีที่สุดท่ีครูสามารถให้
ความช่วยเหลอื สงั คม
8. มีความสามารถนำความรู้ทางทฤษฎีไปปฏิบัตไิ ด้ ครูควรจะนำเอาความรู้ที่ได้รับจากการศึกษาเล่าเรียนใน
สถาบันการศึกษาไปใช้ในการเรียนสอนให้เกดิ ผลอย่างมีประสทิ ธิภาพมากทส่ี ุด
9. มีความเช่ือม่ันในตนเอง เม่ือครูไดก้ ำหนดตวั เองเพอ่ื การสอนแลว้ วิธที ี่ดีที่สดุ ตอ่ การสรา้ งความเช่อื มนั่ ให้แก่
ตนเอง ก็คือการ ทดสอบตวั เอง และพัฒนาความเชื่อมน่ั ในประสบการณต์ ่างๆ ที่สัมพนั ธก์ บั การสอนให้มากท่ีสุดเท่าที่
จะทำได้
10. มคี วามสามารถพิเศษในศิลปะและวิทยาการหลายๆ ด้าน ครทู ปี่ ระสบความสำเร็จส่วนมากมิได้มีความรู้
เพียงอยา่ งเดยี ว ดังนั้นครูควรพัฒนาตนเองใหม้ คี วามสามารถหลาย ๆ ด้านเพอื่ สนบั สนนุ การเรียนการสอน
11. แต่งกายเรียบร้อย สะอาด สง่าผ่าเผย และมีสุขอนามัยดี ความสะอาดเรยี บรอ้ ย และสวมใส่เนื้อผ้าซึง่ มี
ความเหมาะสมกับความเป็นครูหรือเหมาะสมถูกต้องตาม รูปแบบที่ทางสถานศึกษากำหนด ส่วนสุขภาพอนามัย
ส่วนตัวของครูก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ถ้าครูที่มีสุขภาพดี ทั้งร่างกายและ จิตใจ จะช่วยสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับนักเรียน
ได้มากข้ึน
12. ยึดมั่นในสัญชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นหลักสำคัญและความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับบุคคลที่
ทำหน้าที่เป็นครูที่ให้การศึกษาแก่อนุชนของชาติ ให้มีความรักและห่วงแหนในสิ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของความ
เปน็ ไทย
13. รับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน รู้จักเตรียมการสอนเพื่อให้การสอนและการเรียนของนักเรียนบรรลุ
เปา้ หมายท่ีต้องการเอาใจใส่การสอน อบรมความประพฤติและปลูกฝั่งค่านิยมดีงามให้แก่นักเรยี น มีความขยันขันแข็ง
มคี วามกระตือรือร้นในการทำงาน มีความศรัทธาตอ่ อาชีพครู อุทิศตวั เพอื่ ราชการ มีสุขภาพทางกายและจติ ใจที่ดี รู้จัก
ติดต่อกบั ผปู้ กครอง และพยายามเข้าใจเดก็
14. มีความสามารถในการใช้ภาษาสื่อสาร รู้จักหลักการพูด การอภิปรายบทเรียนแจ่มชัด และใช้ภาษา
ถกู ต้อง ชัดเจน
15. ค้นคว้าหาความรู้อยู่เสมอ รับรู้และตามความเคลื่อนไหวทางการศึกษาอยู่เสมอโดยเฉพาะแผนการ
ศกึ ษาแห่งชาติและหลกั สตู ร รูจ้ กั ปรบั วิธกี ารสอนแบบใหม่และเหมาะสมอยตู่ ลอดเวลา
16. มีความรกั และศรัทธาในวชิ าชีพครู และพรอ้ มทจี่ ะพฒั นาวิชาชีพของตนอยเู่ สมอ
17. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ทางวิชาการสามารถใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้
เป็นอยา่ งดี
86 86
18. สามารถใชเ้ ทคโนโลยที ท่ี ันสมัย ภาษา และการวิจัยเพ่อื ใช้เปน็ เครอ่ื งมอื ในการพัฒนาตนเอง พฒั นางาน
และพัฒนานกั เรยี น
19. สามารถพัฒนาตนเองให้เป็นครูแบบใหม่ในระบบสากลได้ การรู้ในวิทยาการด้านคอมพิวเตอร์และ
เทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น มีความหลากหลายเพื่อตอบสนองผู้เรียนเป็นหลัก สามารถพัฒนาผู้เรียนได้อย่างเต็ม
ศักยภาพ และสรา้ งสรรคข์ ้อมลู สะท้อนกลับสผู่ เู้ รยี นได้อย่างต่อเนื่อง รวมทงั้ เปน็ ครทู เ่ี ข้าหาผู้เรียนและชุมชนได้มาก
ขน้ึ
20. มีความรู้ในวิชาที่สอนอย่างแท้จริง สามารถเชื่อมโยงทฤษฎีในศาสตร์ความรู้มาสู่การปฏิบัติได้ ทั้งการ
ปฏิบัตใิ นระดับสากลและในระดับทอ้ งถิน่
21. มีความรู้เรื่องเทคนิคการสอน จิตวิทยา การวัดผลและประเมินผล และสามารถประยุกต์ ใช้ในการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอน นอกจากนั้นต้องสามารถประยุกต์ใช้เทคนิคการสอนต่างๆ โดยการผสมผสานวิธีการ
จัดการเรียนรู้ เพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่น่าสนใจ ทำให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาวิชาที่เรียนสามารถเชื่อมโยง
ความรูน้ น้ั สู่การนำไปประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ิตประจำวันและการเรยี นรู้ตอ่ ไปได้
22. สามารถพัฒนาให้นักเรียนใฝ่รู้ ก้าวทันเทคโนโลยี ตลอดจนสามารถใช้ภาษาสื่อสารกันได้เพื่อให้
นกั เรียนได้พฒั นาตนเองอยูเ่ สมอ และสามารถใช้เคร่ืองมอื ตา่ ง ๆ ในการแสวงหาความรแู้ ละเรยี นรไู้ ดด้ ้วยตนเอง
23. สามารถพฒั นาให้นกั เรียนมองกว้าง คิดไกล และมวี จิ ารณญาณทจี่ ะวิเคราะหแ์ ละเลือกใช้ข่าวสารข้อมูล
ให้เกดิ ประโยชน์ตอ่ ตนเองได้
24. พัฒนานักเรียนให้เรียนรู้เรือ่ งราวต่าง ๆ ของชุมชน สามารถนำความรู้ไปประยกุ ต์ใชเ้ พือ่ พัฒนาชุมชน
และแกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ในชุมชนได้
25. มีความรู้เกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการที่เกิดขึ้นในสังคม
ของตนและของโลก มีความรอบรู้ในวิชาชีพของตน เช่น ปรัชญาการศึกษา ประวัติการศึกษา หลักการศึกษานโยบาย
การศึกษา แผนและโครงการพัฒนาการศึกษา และจะต้องมีความรู้อย่างเชี่ยวชาญในเรื่องหลักสูตร วิธีสอนและวิธี
ประเมนิ ผลการศึกษาในวิชาชีพ หรอื กจิ การท่ีตนรบั ผดิ ชอบ
26. สามารถให้บริการแนะแนวในดา้ นการเรียน การครองตน และการรักษาสุขภาพอนามัย จัดทำและใช้สอ่ื
การเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถปรับการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของ
บ้านเมอื ง
27. ใช้ความรู้ความสามารถทางวิชาชีพเพื่อให้บริการแก่นักเรียนและสังคม มีความซื่อสัตย์ต่อหลักการของ
อาชีพครูมีความรับผดิ ชอบในด้านการศึกษาต่อสังคม ชมุ ชน และนักเรียน มีความรกั ความเมตตาและความปรารถนา
ดีตอ่ นกั เรยี น อทุ ศิ ตนและเวลาเพ่ือส่งเสรมิ ให้นักเรยี นทกุ คนได้รบั ความเจริญเติบโตและพฒั นาการในทกุ ดา้ น
28. รจู้ กั สำรวจและปรับปรงุ ตนเอง สนใจใฝ่รู้ และศกึ ษาหาความรู้ตา่ งๆ รูจ้ กั เพม่ิ พนู วิทยฐานะของตน คิดค้น
และทดลองใชว้ ิธีการใหมๆ่ ที่เป็นประโยชนต์ ่อการเรียนการสอน และเปน็ ประโยชน์ตอ่ ชมุ ชนดว้ ย
29. รู้ดี สอน มีวิสัยทัศน์ เจนจัดฝึกฝนศิษย์ ดวงดวงจิตใฝ่คุณธรรม งามล้ำด้วยจรรยา มีศรัทธาความ
เปน็ ครู ดำรงอยู่ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา และสติ
30. มีเมตตา เป็นกัลยาณมิตร ซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ อุทศิ ตนเสยี สละ มีสมั มาทฏิ ฐิ
กล่าวได้ว่าครูดีจะต้องมีคุณลักษณะที่ดีทั้งใจคือมีความศรัทธาในวิชาชีพครู มีจิตใจเมตตา มีศีลธรรม และ
กายที่ดี คือมีสุขภาพสมบูรณ์ พัฒนาตัวเองให้ทันต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการ
เรียนการสอนในปัจจุบัน พร้อมท้งั พัฒนานักเรียนให้รู้และใชเ้ ครือ่ งมือต่างๆ ในการแสวงหาความรู้ให้ตัวเองได้ ครูต้อง
เขา้ ใจชุมชน และเขา้ หาชมุ ชนมากขึน้ และสามารถให้นกั เรียนนำความรู้ท่ไี ดม้ าประยกุ ตใ์ ช้พัฒนาตนเองและแก้ปัญหา
ในชวี ิตประจำวนั ได้
87 87
การเป็นบุคคลแห่งการเรยี นรู้
บุคคลแหง่ การเรยี นรู้
บุคคลแห่งการเรียนรู้ หมาย ถึง บุคคลที่มีนิสัยใฝ่รู้ ใฝ่เรียน มีพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความกระตือรือร้น
สนใจเสาะ แสวงหาความรู้อยู่เสมอ ตลอดชีวิต มีการเรียนรู้ที่เป็นระบบ มีการพัฒนาวิธีการเรียนรู้ที่ทันสมัยอยู่เสมอ
มคี ณุ ธรรมและจรยิ ธรรม มีทกั ษะทางสงั คม มีทกั ษะการส่ือสาร สามารถทำงานร่วมกับผู้อืน่ ไดเ้ ป็นอย่างดี มุ่งมั่นที่จะ
เพ่มิ ประสิทธภิ าพในการเรียนรู้และสามารถนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ย่างเหมาะสม
ทกั ษะพื้นฐานสำคัญในการเป็นบคุ คลแห่งการเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย
1. ทกั ษะการฟัง ทำใหร้ ับรขู้ อ้ มลู ข่าวสารซึ่งมีความสมั พันธ์เกย่ี วขอ้ งกบั การคิดและการพดู
2. ทกั ษะการถาม ทำใหเ้ กดิ ประบวนการคดิ การเรียนรใู้ นเรือ่ งนัน้ ๆ เนอ่ื งจากคำถามทด่ี ที ำใหเ้ กดิ การเรียนรู้
ไดต้ งั้ แตร่ ะดบั การจำไปจนถงึ ระดบั วิเคราะหแ์ ละประเมินค่า
3. ทกั ษะการอ่าน ทำให้รับรู้ข้อมลู ข่าวสาร ซึ่งนอกจากจะเป็นทักษะการอ่านข้อความจะรวมถึงการอ่านสถิติ
ข้อมูลเชงิ คณติ ศาสตร์ตา่ งๆดว้ ย
4. ทักษะการคดิ ทำใหบ้ ุคคลมองการไกล สามารถควบคุมการกระทำ ของตนใหเ้ ป็นไปตาม
เจตนารมณ์ การคิดอย่างมีเหตุผลและมีวจิ ารณญาณ มผี ลต่อการเรียนรู้ การตัดสนิ ใจ และการแสดงพฤตกิ รรม
5. ทักษะการเขียน เป็นความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ทัศนคติ และความรู้สึกออกมาเป็น
ลายลักษณ์อักษรให้ผู้อื่นเข้าใจ ซึ่งเป็น สิ่งสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อวงการศึกษา(การหาความรู้) เนื่องจากบันทึก
เหตกุ ารณ์ ขอ้ มลู ความจริง ใชเ้ ป็นหลกั ฐานเพื่อเปน็ ประโยชนต์ อ่ ไป
6. ทักษะการปฏิบัติ เป็นการลงมือกระทำจริงอย่างมีระบบเพือ่ ค้นหาความ จริง และสามารถสรปุ ผลอยา่ งมี
เหตผุ ลได้ด้วยตนเองเพอื่ นำไปใชใ้ นการแกป้ ัญหา
คณุ ลกั ษณะของการเปน็ บุคคลแหง่ การเรยี นรู้ (ยนต์ ชุ่มจติ , 2550 : 226-227)
1. ใหโ้ อกาสตอ่ การเรยี นรู้ พยายามหาโอกาสท่ีจะเรียนรสู้ ่ิงต่าง ๆ อยู่เสมอ
2. มีมโนทัศนต์ ่อการเปน็ ผ้เู รียนทมี่ ปี ระสิทธิภาพ มีความมุ่งมั่นในการเรียน มวี ธิ ีการเรียน
หลายรปู แบบ เสาะแสวงหาแหล่งขอ้ มลู เพือ่ การเรียนรู้
3.มีความคดิ ริเร่ิมและมอี ิสระในการเรียน คดิ รเิ ร่ิมทเ่ี รียนรใู้ นส่งิ ในสิ่งใหม่ ๆ
4. มคี วามรบั ผิดชอบตอ่ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
5. มีความรกั ในการเรยี นรู้ มนี ิสยั ใฝร่ ู้ ใฝ่เรยี นและใฝด่ ี สนุกกับการทไ่ี ดศ้ กึ ษาหาความรู้ใหม่ๆ
6. มีความคิดสร้างสรรค์ มีความคิดที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้ดี และพยายามหาแนวทางการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่
ตลอดเวลา
7. มองอนาคตในแง่ดี มองการณไ์ กลให้ปญั ญามาก ๆ คดิ ถึงความเจริญกา้ วหนา้ ในอนาคต
8. มีความสามารถในการใช้ทักษะพื้นฐานในการศึกษาและการแก้ปัญหา มีความสามารถในการอ่าน การ
เขียน การฟัง การจดจำ โดยถอื วา่ ปญั หาที่เกดิ ขนึ้ เปน็ ส่งิ ท้าทาย
สำหรับคุณลักษณะของการเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ตามมาตรฐานคุณภาพการศึกษา ประกอบด้วย 4 ด้าน
ดงั น้ี
1. มคี วามกระตือรอื รน้ และมีความสนใจทจี่ ะเรียนรู้จากแหลง่ ความรูต้ า่ ง ๆ และรู้จกั ตั้งคำถามเพื่อหาเหตุผล
2. มีนิสัยรักการอ่านและค้นคว้าหาความรู้ สามารถใช้ห้องสมุด แหล่งความรู้หรือสื่อต่าง ๆ ทั้งในและนอก
โรงเรียน
3. สามารถเลือกใชว้ ิธกี ารแสวงหาความรู้ ขอ้ มูลข่าวสาร เพ่ือพัฒนาตนเองอยา่ งต่อเน่ือง
4. สามารถสรปุ ประเด็นการเรยี นรูแ้ ละประสบการด้วยตนเองไดอ้ ยา่ งถูกต้องและนำไปใชใ้ นชีวติ ประจำวันได้
88 88
การเป็นผนู้ ำทางวิชาการ
ผ้นู ำทางวิชาการ หมายถงึ ผูท้ ม่ี คี วามรู้ความเข้าใจในทฤษฎี ปรชั ญาของหลักสตู รต่างๆ ท่ีใชใ้ นสถานศึกษา มี
ความรู้ความเข้าใจในวิธีสอนแบบต่างๆ ใช้นวัตกรรมในการสอน เป็นแบบอย่างที่ดีในเชิงวิชาการ สนับสนุนและ
ส่งเสริมความเปน็ เลิศทางวิชาการของโรงเรียน สง่ เสรมิ การจัดการเรยี นรทู้ ี่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จัดการเรียนรู้เป็นไป
ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่กำหนดไว้และสามารถจัดการศึกษาได้ตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษา
แหง่ ชาติ พทุ ธศกั ราช 2542 และทีแ่ กไ้ ขเพมิ่ เติม พ.ศ. 2545
การที่จะก้าวสู่ความเป็นผู้นำทางวชิ าการได้น้ัน จำเป็นจะต้องเรยี นรู้ และปฏิบัติภารกิจในบทบาทต่างๆอย่าง
หลากหลาย ทัง้ นเี้ พราะผู้นำทางวชิ าการย่อมจะต้องเป่ยี มไปดว้ ยความรคู้ วาม สามารถ และความเทา่ ทันในองค์ความรู้
ตา่ งๆ ซ่ึงผู้นำทางวชิ าการจะต้องมีคณุ ลกั ษณะดังต่อไปนี้
1. มีความเป็นมืออาชพี กลา่ วคือ มีความรอบรูใ้ นหลกั การ แนวคิด ทฤษฎี มีความรอบรูใ้ นหลกั การ แนวคิด
ทฤษฎี และวธิ กี ารในการประยกุ ต์ใชส้ ื่อ นวัตกรรมเทคโนโลยแี ละสารสนเทศอย่างเหมาะสม มีความรอบรดู้ า้ นวิชาการ
หลักสูตร ปรัชญาการศึกษา หลกั จติ วิทยาด้านตา่ ง ๆ ตลอดจนวิทยาการใหมๆ่ มที ักษะในการครองตน ครองคน และ
ครองงาน มีภาวะผูน้ ำ รู้จักและสามารถนำเอาวิธีการและกลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหา มาใช้ในการปฏบิ ตั งิ านในหน้าทไ่ี ด้
2. มีความสามารถในการบริหารความเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ต้องสร้างความรู้สึกจำเป็นเร่งด่วนในการ
เปลี่ยนแปลง เน้นการทำงานเป็นทีม สร้างแนวร่วมที่ทรงพลัง โน้มนำการเปลี่ยนแปลง สร้างวิสัยทัศน์ ชี้นำความ
พยายามในการปรับเปลี่ยน สื่อสาร สร้างความเข้าใจ ยึดมั่นในวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ผลักดัน วางแผนอย่างเป็นระบบ
เพื่อมุ่งสร้างความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น รวบรวมผลสำเร็จจากการปรับปรุง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น
ปลูกฝังแนวทางใหม่ๆ เพอ่ื ความสำเร็จ
3. เปน็ นกั พฒั นาหลักสตู ร กล่าวคอื มีเปา้ หมายหรือมาตรฐานคุณภาพผู้เรียนกำหนดไวช้ ดั เจนและยืดหยุ่นใน
การปฏิบัติ การพัฒนาหลักสูตรให้ทันต่อความก้าวหน้าทางด้านวิทยาการ เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้และ
ทักษะในการใช้เทคโนโลยีแก่ผูเ้ รียน จัดเน้ือหาในการเรียนการสอนเพื่อชว่ ยเตรียมผู้เรียนเพือ่ การดำรงชีวิตได้อย่างมี
คุณภาพในโลกไร้พรมแดน หลักสูตรต้องส่งเสริมการพัฒนาผู้เรียนในองค์รวม เนื้อหาที่กำหนดในหลักสูตรควร
เชื่อมโยงและสอดคล้องกับชีวิตจริง ใช้การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบและ
พฒั นาคุณภาพผเู้ รียนให้บรรลุตามเป้าหมายของหลกั สตู ร
4. มคี วามคาดหวังสูงในดา้ นของการสอน
5. มใี จกว้าง ยอมรบั ฟังความคิดเห็นทแี่ ตกตา่ ง
6. มีวิสัยทศั น์กวา้ งไกล มองอนาคต เตรยี มการได้ สอดคล้องกบั การเปล่ยี นแปลง
7. ทัศนคตเิ ชิงบวก สามารถมองประเด็นทางบวกไดแ้ ม้บางกรณีอาจ ไม่เหน็ ดว้ ยกบั ข้อเสนอ
บางประการ
8. สรา้ งสรรค์ สามารถคิด สร้างจินตนาการ หาแนวทางในการพฒั นาวชิ าการ
9. มมี นุษยสัมพันธ์ดี ทำงานรว่ มกบั ผอู้ นื่ ได้
10. กล้าตดั สินใจ มีเหตุผลในการตัดสินใจ ตง้ั ใจจริงและกล้าที่จะตดั สนิ ใจทำงานให้ประสบผลสำเร็จได้
11. รับผิดชอบ การมุ่งงานทร่ี บั ผิดชอบใหส้ ำเร็จลลุ ว่ งไปโดยไมห่ วัน่ หรอื ยอ่ ท้อตอ่ อุปสรรค
12. ดูแลเอาใจใส่ครแู ละนักเรยี นอยา่ งใกลช้ ดิ
13.ส่งเสริมความสำเรจ็ ของนกั เรียนดา้ นการเรยี นรู้ใหม้ ีความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรยี นรู้
สำหรับการเป็นผู้นำทางวิชาการจะต้องปฏิบัติภารกิจบนพื้นฐานหลักการ แนวคิดและแนวปฏิบัติต่างๆ ดังนี้
1) พัฒนาหลักสูตรและแผนการเรยี นการสอนให้ตรงกับวตั ถุประสงค์ของโรงเรียน2) มีการตรวจสอบและปรับเปลี่ยน
แผนการเรียนการสอนอยู่เสมอ 3) มีการตรวจสอบและควบคุมแผนการเรียนการสอนให้เข้าถึงความต้องการ 4) จัด
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติมที่เข้าถึงได้ 5) มีการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ จากข้อมูลที่มีอยู่ 6) มีการวางแผนโดยตระหนักถึง
89 89
ความแตกต่างของแต่ละบุคคล 7) มีการให้คำปรึกษาทางด้านวิชาการ 8) มีกิจกรรมที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ของ
นักเรียน 9) มีการนำรูปแบบการการสอนทีห่ ลากหลายมาใช้ 10) เพิ่มโอกาสการเรียนรูใ้ นดา้ นต่าง ๆ ให้กับนักเรยี น
11) จัดบรรยากาศภายในโรงเรียนเพื่อชว่ ยส่งเสริมให้เกิดการเรยี นรู้ และ 12) มกี ารใช้แบบประเมินผลและเกณฑ์ช้ีวัด
ท่ีหลากหลาย
โดยสรปุ แล้ว การเปน็ ผ้นู ำทางวชิ าการน้นั จะตอ้ งมีความรู้ ความสามารถ มที ศิ ทางในการปฏิบัติงานเพ่ือให้
บรรลเุ ป้าหมายของโรงเรียน นนั่ คอื มีวสิ ยั ทัศน์ มแี รงบลั ดาลใจสนบั สนุนให้เกิดความคดิ สรา้ งสรรค์ มกี ารสนับสนุนทั้ง
ภายในและภายนอกโรงเรียน มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งต้องพัฒนาผลงานของตนเอง เรียนรู้สิ่งใหม่ และ
พัฒนาส่งิ ใหม่ ๆ เพอ่ื ให้ก้าวไปสู่การเปลยี่ นแปลงอย่างแท้จรงิ ตลอดจนเพอื่ พฒั นานกั เรียนให้มที ักษะ มีความสามารถ
ในการใช้ชีวิตในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีความสุข สนใจ ใฝ่ศึกษา ค้นคว้าวิจัย ไตร่ ตรองพิจารณา
กา้ วหน้า ทนั สมยั เปดิ ใจกวา้ ง สร้างผลงาน สานสมั พนั ธ์ ขยัน ซอ่ื สัตย์ ประหยัด อดทน
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). หนังสือที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงศึกษาธิการครบรอบ 107ปี .
กรุงเทพมหานคร : กระทรวงศกึ ษาธิการ.
ก่อ สวัสดิพานิช. (2519). เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการศึกษา. (วัยรุ่นกับค่านิยมระบบศีลธรรม) กรมสามัญศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ. กรุงเทพฯ : กระทรวงศกึ ษาธิการ.
ชชู าติ พวงมาล.ี (2550). คุณลักษณะของครมู ืออาชพี ของโรงเรยี นในโครงการหนึง่ อำเภอหนึง่ โรงเรียนในฝนั ลงั ลดั
สำนกั งานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาหนองคาย. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหาร
การศกึ ษา บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ราชภัฎอุดรธาน.ี
ฐติ ิมาวดี เจริญรัชต์. (2553). การพฒั นารูปแบบการสรา้ งพลังอำนาจเพือ่ เสริมสร้างศักยภาพในการทำวจิ ยั ของ
อาจารย์มหาวทิ ยาลัยราชภัฏ. (วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญาดุษฎบี ัณฑิต ), จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
ณฏั ฐภรณ์ หลาวทอง และ ปิยวรรณ วิเศษสวุ รรณภมู ิ. (2553). การพฒั นาแบบวัดจิตวิญญาณความเป็นครู.
กรงุ เทพมหานคร : รายงานฉบับสมบรู ณ์ มลู นธิ ิสดศรี-สฤษดวงศ.์
ดนรุ ี เงนิ ศร.ี (2551). การพัฒนาโมเดลเชงิ สาเหตแุ ละผลของการรบั รคู้ วามสามารถของตนเองของครูมธั ยมศกึ ษา
สังกัดสานกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษากรงุ เทพมหานคร. (วทิ ยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑติ ), จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั .
ดำรง ประเสริฐกุล. (2542). ความเป็นครู. นครสวรรค์: คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภฏั พิบลู สงคราม.
ดุษฎี โยเหลา และคณะ. (2553). การสร้างเครือ่ งมือประเมนิ และตัวชี้วัดระดับการพัฒนาจติ วิญญาณ สำหรบั
บุคลากรด้านสาธารณสขุ . กรงุ เทพมหานคร : สถาบนั วจิ ยั พฤติกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิ
โรฒ และมลู นธิ ิสดศรี-สฤษดวงศ์.
เท้ือน ทองแก้ว. (2550). สมรรถนะ( Competency): หลักการและแนวปฏบิ ตั ิ.กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลัยราชภัฏ
สวนดสุ ติ .
ธีรศักดิ์ อัครบวร. (2542). ความเป็นครู. ภูเก็ต : คณะครศุ าสตร์ สถาบนั ราชภฏั ภเู ก็ต.
นงเยาว์ มงคลอิทธเิ วช และคณะ. (2552). การสงั เคราะห์ความรทู้ างด้านการพฒั นาจิตปญญา (วญิ ญาณ) จาก
เรอ่ื งเลา่ ความสำเรจ็ ของผ้ใู ห้บรกิ ารและผรู้ ับบริการในระบบสขุ ภาพ : พัฒนาการทางจิตวญิ ญาณและ
ปจั จยั ทีเ่ กี่ยวข้อง. เชียงใหม่ : โรงพยาบาลมหาราชนครเชยี งใหมแ่ ละ แผนงานพัฒนาจติ เพื่อสขุ ภาพ
มลู นธิ ิสดศรี-สฤษดวงศ์.
นงลักษณ์ สุทธิวัฒนพันธ์. (2545). การพัฒนาบุคลิกผ้นู ำและนักบริหาร. (พมิ พ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : เอม.่ี
90 90
นพรุจ ศักด์ิศริ ิ. (2553). การวิเคราะห์ปัจจัยทีส่ ัมพนั ธ์กบั ความสำเร็จของการนานโยบายโรงเรียนมาตรฐานสากลไป
ปฏิบตั ิ. วารสารศลิ ปากรศกึ ษาศาสตร์วจิ ัย, 1(มกราคม – มิถุนายน 2553), 221 - 231.
บุณยาพร ฉมิ พลอย. (2544). ผลของการทาวจิ ัยในช้นั เรียนที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของครูระดับ
ประถมศกึ ษา. (วิทยานพิ นธ์ปริญญามหาบัณฑติ ), จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
ประเวศ วะส.ี (2553). ธรรมชาติของสรรพส่ิง : การเข้าถึงความจริงทงั้ หมด. พิมพ์คร้ังที่ 2. กรงุ เทพมหานคร :
สำนกั พิมพ์กรนี -ปัญญาญาณ.
ปรชี า เศรษฐีธร. (2533). ความเป็นครู. เพชรบรุ ี : วิทยาลัยครูเพชรบรุ ี.
พนสั หันนาคินทร์. (2523). การสอนคา่ นยิ มและจรยิ ธรรม. พษิ ณุโลก :มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทร วโิ รฒ พิษณโุ ลก.
พรจนั ทร์ สุวรรณชาต. (2534). แนวคดิ เกยี่ วกับการพยาบาลในมิตจิ ติ วิญญาณ ในการพยาบาลในมิติ จิตวิญญาณ.
กรงุ เทพมหานคร : เรอื นแกว้ การพมิ พ์.
พระราชวรมุณี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). (2528). ปรัชญาการศึกษาไทย. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การ
ศาสนา.
พนิ ดา วราสุนนั ท์. (2554). การพัฒนาศกั ยภาพทางการประเมนิ ในดา้ นการสร้างขอ้ สอบของครปู ระถมศกึ ษาโดยใช้
เครอื ข่ายมิตรวพิ ากษ์. (วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญาดุษฎบี ัณฑติ ), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
พมิ พันธ์ เดชะคปุ ต.์ (2556). ทกั ษะ 5C เพ่ือ การพัฒนาหนว่ ยการเรยี นรู้และการจดั การเรียนการสอนองิ
มาตรฐาน. (พิมพค์ รั้งที่ 7 ed.). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
ยนต์ ชุม่ จติ . (2541). ความเป็นครู. (พมิ พ์ครง้ั ที่ 2). กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร์.
ยนต์ ชมุ่ จติ . (2546). การศึกษาและความเป็นครูไทย. (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 2). กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร์,
ราชบัณฑติ ยสถาน. (2556). พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑติ สนถาน พ.ศ. 2542. (พิมพ์คร้งั ที่ 2 ed.). กรงุ เทพฯ:
อกั ษรเจริญทศั น์.
ฤทยั รตั น์ ธรเสนา. (2546). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบช่วยเสรมิ ศกั ยภาพเพ่ือสง่ เสริมทักษะการคดิ
ช้นั สูงของนักเรียนพยาบาล. (วิทยานิพนธป์ ริญญาดุษฎีบณั ฑิต), จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
วไลกรณ์ แกว้ คำ. (2554). การวิเคราะห์ความเชื่ออำนาจในตน การรับร้คู วามสามารถของตน และการเห็นคุณคา่
ในตนเองของครูตามโมเดลวงจรวชิ าชีพครู: การวจิ ัยผสานวิธี. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑติ ),
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วริ ัช จงอยูส่ ขุ . (2542). ความเป็นครู. นครสวรรค์ : คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏนครสวรรค์.
สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน. (2553). คู่มือการบริหารจัดการระบบคุณภาพ. กรงุ เทพฯ: สำนกั งาน
บรหิ ารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงพมิ พ์ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย.
สำนกั งานคณะกรรมการขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา. (2553). คมู่ อื การปฏิบตั ิงานของอนุกรรมการ ใน
อ.ก.ค.ศ. เขตพ้นื ที่การศกึ ษา และ อ.ก.ค.ศ.ท่ี ก.ค.ศ.ตัง้ ในสว่ นราชการ. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์
มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์.
สำนักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา. (2556). คู่มอื การปฏิบัตงิ านการต่อใบอนญุ าตประกอบวชิ าชีพทางการศกึ ษา.
กรงุ เทพ ฯ: สำนักงานเลขาธกิ ารครุ ุสภา,
สมุ ติ ตา สว่างทุกข.์ (2553). รปู แบบการพฒั นาศกั ยภาพการคิดตามแนวคิดจติ ท้งั 5 ของการด์ เนอร์สำหรับ
นกั ศึกษาพยาบาล. (วิทยานิพนธ์ปริญญาดษุ ฎีบัณฑิต), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
สรุ พล เศรษฐบุตร. (2555, มนี าคม). Competency กับการบรหิ ารจดั การมนุษย์. เอกสาร ประกอบการประชมุ
(KM) ด้านการบริหารจดั การ, เชียงใหม่, คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม.่
91 91
เสริมศกั ด์ิ วสิ าลาภรณ์ และคนอื่น ๆ. (2538) “บคุ ลิกภาพผูบ้ รหิ ารการศกึ ษา” ใน แนวการศกึ ษา ชดุ วิชา
ประสบการณ์วิชาชพี มหาบัณฑติ บริหารการศกึ ษา. (หน้า 1 – 8). กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์
มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช.
A. Bandura. (1986). Social foundations of thought and action: A social cognitive theory. Teaching
and Teacher Education, 27, 961 - 968. A. Bandura. (1997a). Self-Efficacy: The Exercise
of Control. New York. New York: W. H. Freeman and company.
A. Bandura. (1997b). Self – efficacy : Toward a unifying theory of behavioral change.
Psychological Review.
Boam, R. and Sparrow, P. (1992). Designing and Achieving Competency. McGraw-Hill,Reading,
1992.
Boyatzis, R.E. (1982). Competence at work. In a Stewart (Ed.), Motivation and society.San
Francisso:Jossey-Bass,.
McClelland, C. David. (1973). Testing for Competence rather than for Intelligence. New Jersey :
American Psychologist.
Spencer, L.M. and Spencer, S.M. (1993). Competence at work: Model for superior
performance.Wiley,New York.
Good , Carter V. (1973). Dictionary of Education. New York : McGraw – little book.
Morris, Charles G. (1990). Psychology:An Introducation. 7th ed. New Jerscy : Prentice–Hall.
92 92
บทท่ี 4
คา่ นิยมของครู
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.กฤษดา ผอ่ งพิทยา
คา่ นิยมของครู
เนอ่ื งจากค่านยิ มเปน็ บคุ ลิกภาพภายในชนดิ หน่งึ ทส่ี ง่ ผลใหเ้ กิดพฤติกรรมต่าง ๆ ท้ังทเ่ี ปน็ ท่ชี ืน่ ชอบของ
สังคมและสังคมไม่พึงปรารถนา ทั้งนี้เพราะค่านิยมมีทั้งค่านิยมสูงและค่านิยมต่ำ การกระทำสิ่งใดลงไปแล้ว
นักปราชญ์หรือบัณฑิตให้การยกย่องชมเชย สิ่งนั้นคือค่านิยมสูง ส่วนการกระทำสิ่งใดแล้วนักปราชญ์หรือ
บัณฑิตตำหนิติเตียน สิ่งนั้นคือค่านิยมต่ำ ดังนั้น ในการพัฒนาบุคลิกภาพของเราจึงจำเป็นต้องพัฒนาค่านิยม
ของเราด้วย เพราะค่านิยมมีส่วนสัมพันธ์กับบุคลิกภาพของคนเราอย่างมาก ผู้ที่มีค่านิยมต่ำจึงมักแสดง
พฤติกรรมบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เสียบุคลิกภาพหรือทำลายภาพลักษณ์ของตนเอง ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มี
นิยมสงู จึงมพี ฤติกรรมต่าง ๆ ทีเ่ สรมิ สรา้ งบคุ ลิกภาพอันดีงามให้แก่ตนเองเสมอ
ความหมายของค่านิยม
การมีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในเร่ืองค่านยิ มเปน็ ส่ิงจำเปน็ สิ่งจำเปน็ สำหรบั ผู้ท่ีเป็นครูบาอาจารย์ทุก
คน ทั้งนี้เพราะนอกจากครูอาจารย์จะได้พัฒนาค่านิยมของตนเองให้ถูกต้องแล้ว ยังสามารถนำความรู้ความ
เข้าใจในเรื่องค่านิยมนีไ้ ปอบรมสั่งสอนศิษย์ของตนอีกด้วย เพราะฉะนั้น ในเบื้องต้นนี้จงึ ขอนำความหมายของ
คา่ นิยมจากแหลง่ ความรู้อนื่ ๆ เพอื่ ให้นักศึกษาไดเ้ ข้าใจเป็นพ้ืนฐานก่อนดังนี้
ยูเนสโก (UNESCO, 1973) ซึ่งเป็นองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ค่านิยม หมายถึง มาตรฐาน เกณฑ์ หรือกฎ ได้ให้แนวทางการพิจารณากำหนด
วิธกี ารกระทำของบุคคล
กดู๊ (Good, 1973) กล่าวว่า ค่านยิ ม หมายถึง คุณลกั ษณะใด ๆ ท่ีไดร้ ับการพจิ ารณาว่ามีความสำคัญ
ในด้านจิตวิทยา สังคม ศีลธรรม หรือสุนทรียภาพ สำหรับค่านิยมทางศีลธรรมและจิตใจเป็นกฎเกณฑ์และ
มาตรฐานต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่ยอมรับของบุคคลและสังคมแล้วนำมาใช้เป็นแนวทางประพฤติปฏิบัติเพื่อยกระดับ
คุณค่าของชวี ิตให้สูงข้นึ
ดร.ก่อ สวัสดิ์พาณิชย์ (2519 : 46) กล่าวว่า ค่านิยม หมายถึง ความคิด พฤติกรรม และสิ่งอื่นที่คน
ในสังคมหนงึ่ เห็นว่ามีคุณค่า จึงยอมรบั มาปฏิบัตติ ามและหวงแหนไว้ระยะเวลาหนึ่ง คา่ นยิ มมักเปลี่ยนแปลงไป
ตามกาลสมัยและความคิดของคนในสงั คม
พนัส หันนาคินทร์ (2523 : 20) กล่าวว่า ค่านิยม หมายถึง ความโน้มเอียงหรือแนวทางที่คนจะ
ประพฤติตนไปแนวทางใดแนวทางหนึ่งที่ตัวเองได้พิจารณาไตร่ตรองแล้วว่ าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับตนหรือสังคม
ยอมรับนัยถือและปฏบิ ตั ิตามแนวคดิ นนั้ ๆ อยา่ งสม่ำเสมอ อย่างนอ้ ยก็ชวั่ ระยะเวลาหน่งึ
ดร.สาโรช บัวศรี (2529 : 8) กล่าวว่า ค่านิยม หมายถึง สภาพหรือการกระทำบางประการ
ท่เี ราเชอื่ หรอื วา่ ควรยดึ ถือหรือยดึ มั่น หรือวา่ เราควรกระทำ หรอื ปฏิบัติเพอื่ ให้บรรลถุ งึ ความมุ่งหมาย
ของสงั คมหรอื ตวั เอง จากนยิ มความหมายของค่านิยมตามที่ผู้เขยี นไดน้ ำมาเสนอเบื้องตน้ น้ี ทำใหพ้ อ
สรุปได้ว่า ค่านิยม คือ แนวความคิด ความประพฤติหรือสภาพของการกระทำใด ๆ ที่บุคคลหรือ
สังคมนิยมชมชอบและเห็นวา่ เป็นส่งิ ที่มีคุณค่าควรแกก่ ารประพฤติปฏิบตั ิ จงึ ยอมรับยดึ ถอื มาเปน็ แนวประพฤติ
93 93
ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ หรืออย่างน้อยก็ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของตนเองหรือของสังคม
หรืออาจจะกล่าวอย่างรวบรัดว่า “ค่านิยม หมายถึงสิ่งที่บุคคลหรือสังคมยกย่องว่าดี เห็นว่ามีคุณค่าที่ตนเอง
หรือสังคมควรยึดถือปฏิบัติ จึงยอมรับยึดถือมาเป็นแนวปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอหรืออย่างน้อยก็ชั่วระยะเวลา
หน่งึ ”
ค่านิยมสะท้อนให้เห็นถึงการตัดสินใจของบุคคลและคุณค่าที่บุคคลยึดถือ ค่านิยมเป็นเป้าประสงค์
สดุ ทา้ ยของเรา ค่านยิ มเปน็ ส่งิ ทเ่ี ราได้เลือกและยึดม่ันด้วยการกระทำอย่างสม่ำเสมอ ค่านยิ มเป็นสิ่งท่ีได้พัฒนา
จากประสบการณท์ ี่เราได้รับจากอทิ ธิพลและสภาวการณต์ ่าง ๆ รอบตวั เรา ค่านยิ มมีอิทธพิ ลตอ่ การกระทำของ
เรา ในทางกลับกัน ผลของการกระทำเหล่านั้นก็มีอิทธิพลต่อค่านิยมของเรา การกระทำทุกอย่างของมนุษย์
จะต้องได้รับการพิจารณากำหนดโดยค่านิยมของตนเอง เมื่อใดก็ตาม หากมีการตัดสินใจว่าจะทำสิ่งใด การ
เลือกก็จะเกิดขึ้น “เมื่อได้เลือกการกระทำสิ่งใดจนเป็นนิสัยแล้ว สิ่งที่กระทำนั้น คือ ค่านิยม” อย่างไรก็ตาม
ค่านยิ มของบุคคลหรอื ของสงั คมสามารถเปลยี่ นแปลงได้ตามยุคสมยั หรือตามความตอ้ งการ
ลักษณะสำคญั ของคา่ นิยม
การจะพิจารณาว่าการกระทำสิ่งใด อย่างไรบ้างที่จัดเป็นค่านิยมนั้น ให้พิจารณาตามเกณฑ์ที่แรธส์
ฮาร์มนิ และไซมอน (Raths, Harmin and Simon.1966) ได้ให้ไวด้ งั น้ี
1. การเลือกอย่างเสรี สิ่งที่เป็นค่านิยมต้องมีการเลือกอย่างเสรี หากมีการบังคับอย่างใดอย่างหน่ึง
แล้วจะไมเ่ ป็นคา่ นยิ มท่ีแท้จรงิ เพราะไม่เกดิ จากความยนิ ยอมหรือเป็นคณุ คา่ ของส่งิ นั้น ๆ อยา่ งแท้จรงิ
2. การเลือกจากหลาย ๆ ตัวเลือก ค่านิยมทีเ่ ลือกนัน้ เรามีโอกาสได้เลือกอย่างอื่นอกี หรือไม่ หากมี
เพียงอย่างเดียวก็หมายความว่า เราไม่มีโอกาสเลอื กคุณค่าด้วยการนำไปเปรียบเทยี บกับส่ิงอืน่ ถ้ามีเพียงอย่าง
เดียวคอื จะรบั หรือไม่รับเทา่ น้นั นนั่ คือ ไม่มีโอกาสได้พจิ ารณาข้อดขี ้อเสีย ดังนี้ ค่านิยมท่ีเรายดึ ถือน้นั ต้องได้มา
จากค่านิยมหลาย ๆ อยา่ ง เพ่ือจะไดม้ ีโอกาสเปรยี บเทยี บคุณสมบัติต่าง ๆ ของแต่ละตัวเลอื ก
3. การเลือกหลังจากการพิจารณาผลแต่ละตัวเลือก การเลือกค่านิยมนั้นจะต้องมีการพิจารณาถึง
ข้อดีข้อเสียของสิ่งต่าง ๆ ที่จะตามมาถ้าเลือกโดยไม่มีการพิจารณาให้รอบคอบแล้ว ไม่ถือว่าเป็นค่านิย ม การ
เลอื กคา่ นยิ มตอ้ งไม่ใชอ้ ารมณ์ แตจ่ ะใช้สตปิ ัญญาใครค่ รวญ แต่จะใช้สตปิ ัญญาใคร่ครวญอย่างรอบคอบ
4. การให้คุณค่ายกย่องเทิดทูน ค่านิยมที่เลือกแล้วตอ้ งมีการรกั ษาอย่างจริงจังมัน่ คง ถึงแม้ว่าจะไม่
สบายใจนักที่จะกระทำแต่ก็กระทำด้วยสำนึกในคุณค่าและความภาคภูมิใจ เช่น การปราบปรามผู้เป็นภัยต่อ
แผน่ ดนิ ดว้ ยการเสี่ยงชวี ติ แต่เราก็ภมู ิใจวา่ ดกี ว่าการท่จี ะอยอู่ ยา่ งทาสเปน็ ต้น
5. การยืนหยัดในคา่ นยิ มท่ีไดเ้ ลอื กแล้วอยา่ งมน่ั คง หากเราไมแ่ น่ใจในค่านิยมท่ีเราเลือก เราอาจจะ
เกิดความกระดากอายต่อการยอมรับในค่านิยมน้ันและไมก่ ลา้ ทีจ่ ะยืนยันถึงคุณค่าความดขี องคา่ นยิ มนัน้ ให้คน
อ่นื ทราบ โดยเฉพาะกบั ผทู้ ่ไี มเ่ ป็นมติ รหรือผ้ไู ม่เหน็ ด้วย
6. การกระทำตามค่านิยมที่ได้เลือก การปฏิบัติเพื่อให้คนอื่นเห็นว่าเรายอมรับในค่านิยมนั้น เช่น
การเสียสละกำลงั กาย กำลงั ทรัพย์ หรือเวลา เพ่อื กระทำตามคา่ นยิ มทเี่ รายอมรับ ทั้งนเ้ี พราะค่านิยมจะเป็นสิ่ง
ทนี่ ำทางในการดำเนินชีวติ ของเรา หากเรายอมรบั คา่ นยิ มใด แต่ไม่ปฏิบตั ติ าม จะเรยี กวา่ คา่ นิยมไมไ่ ด้
7. การกระทำซ้ำ ๆ ค่านิยมที่ยอมรับแล้วจะต้องมีการกระทำซ้ำ ๆ การกระทำเพียงครั้งเดียวแล้ว
หายไป จะเรียกเป็นค่านิยมไม่ได้ ค่านิยมต้องคงทนถาวร และเป็นแบบฉบับในการดำเนินชีวิตของเราใน
ช่วงเวลาอนั ยาวนาน