The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิทยานิพนธ์ -ปู่จ๋าน-นายสุวัฒน์-(สมบูรณ์)-

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kusol57210, 2022-09-02 22:31:04

วิทยานิพนธ์ -ปู่จ๋าน-นายสุวัฒน์-(สมบูรณ์)-

วิทยานิพนธ์ -ปู่จ๋าน-นายสุวัฒน์-(สมบูรณ์)-

การพัฒนาชุดความรหู้ ลักสตู รมัคนายก (ป่จู ารย)์ แบบมีส่วนร่วมของภาคี
เครอื ขา่ ยในจังหวดั เชยี งราย

DEVELOPMENT OF KNOWLEDGE OF THE COURSE FOR
TEMPLE WARDENS (LEADERS OF CEREMONIES) WITH THE

CO-OPERATION OF NETWORK MEMBERS IN CHIANG RAI
PROVINCE

นายสุวฒั น์ จรจันทร์

วิทยานิพนธ์น้เี ป็นส่วนหน่งึ ของการศึกษา
ตามหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต

สาขาวิชาพระพทุ ธศาสนา
บณั ฑิตวทิ ยาลัย

มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
พุทธศกั ราช ๒๕๖๕

การพฒั นาชดุ ความรูห้ ลักสตู รมคั นายก (ปจู่ ารย)์ แบบมสี ว่ นร่วมของภาคี
เครือข่ายในจังหวดั เชยี งราย

นายสวุ ัฒน์ จรจนั ทร์

วทิ ยานิพนธ์น้เี ป็นส่วนหน่งึ ของการศึกษา
ตามหลกั สูตรปริญญาพทุ ธศาสตรมหาบัณฑิต

สาขาวิชาพระพุทธศาสนา
บัณฑติ วิทยาลยั

มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั
พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๕

(ลิขสิทธิ์เป็นของมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)

DEVELOPMENT OF KNOWLEDGE OF THE COURSE
FOR TEMPLE WARDENS (LEADERS OF

CEREMONIES) WITH THE CO-OPERATION OF
NETWORK MEMBERS IN CHIANG RAI PROVINCE

MR.SUWAT JONJUN

A Thesis Title Submitted in Partial Fulfillment of
the Requirements for the Degree of
Master of Arts
(Buddhist Studies)

Graduate School
Mahachulalongkornrajavidyalaya University

C.E.2022
(Copyright by Mahachulalongkornrajavidyalaya University)

บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อนุมัติให้นับวิทยานิพนธ์
เรอื่ ง “การพัฒนาชดุ ความรู้หลักสูตรมคั นายก (ปู่จารย์) แบบมสี ่วนรว่ มของภาคีเครือข่ายในจังหวัด
เชียงราย” เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา ตามหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา
พระพทุ ธศาสนา

........................................................
(พระมหาสมบูรณ์ วฑุ ฒฺ กิ โร, รศ. ดร.)

คณบดีบัณฑติ วทิ ยาลัย

คณะกรรมการตรวจสอบวทิ ยานพิ นธ์ ........................................................ ประธานกรรมการ
(...................................................)

........................................................ กรรมการ
(....................................................)

........................................................ กรรมการ
(.................................................)

........................................................ กรรมการ
(......................................................)

คณะกรรมการควบคุมวิทยานพิ นธ์ .............................................. ประธานกรรมการ
............................................. กรรมการ

ช่อื ผูว้ ิจยั ........................................................
(นายสวุ ฒั น์ จรจนั ทร์)



ชื่อวทิ ยานพิ นธ์ : การพัฒนาชดุ ความร้หู ลกั สูตรมัคนายก (ปจู่ ารย)์ แบบมสี ่วนรว่ มของภาคี

เครือข่ายในจังหวดั เชียงราย

ผูว้ ิจยั : นายสวุ ัฒน์ จรจันทร์

ปริญญา : พทุ ธศาสตรมหาบัณฑิต (พระพทุ ธศาสนา)

คณะกรรมการควบคุมวทิ ยานิพนธ์

: ดร.เสพบณั ฑติ โหนง่ บัณฑติ
พธ.บ. (บาลีพทุ ธศาสตร)์ , รป.ม. (รัฐประศาสนศาสตร์),

วันสำเรจ็ การศึกษา พธ.ด.(พระพทุ ธศาสนา)
: พระมหาดวงทพิ ย์ ปรยิ ตตฺ ิธารี, ป.ธ.๙, พธ.ม. (การพัฒนาสังคม),

พธ.ด. (สันตศิ กึ ษา)
: ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕

บทคัดยอ่

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) เพื่อศึกษาองค์วามรู้ ตำรา และการศาสนพิธีของ
มัคนายกและภาคีเครือข่าย ในจังหวัดเชียงราย ๒) เพื่อพัฒนาชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์)
โดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในจังหวัดเชียงราย ๓) เพื่อวิเคราะห์และนำชุดความรู้หลักสูตร
มคั นายก (ป่จู ารย)์ ไปประยุกตใ์ ช้ ในการศาสนพธิ ขี องจงั หวัดเชียงราย การวจิ ัยคร้ังนเี้ ป็นการวิจัยเชิง
คุณภาพ (Qualitative Reserch) เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่รวบรวมข้อมูลจากเอกสาร
(Document) และจากการสมั ภาษณ์ ผลการวจิ ยั พบว่า

การพัฒนาชดุ ความรหู้ ลกั สูตรมัคนายก (ปจู่ ารย์)โดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย
ในจงั หวดั เชียงราย พบว่า มีองค์ความรจู้ ากชุดความรูด้ ังนี้คอื องค์ความรู้เกี่ยวกบั ศาสนพธิ ี ศาสนพิธี
หรือพิธีกรรมของพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงศาสนธรรมอันเป็นแก่นแท้ของ
พระพุทธศาสนาไว้ดังนั้น การกระทำศาสนพิธีหรือพิธีกรรมต่าง ๆ ในทางพระพุทธศาสนา และ
องค์ความรูเ้ กย่ี วกับราชพิธี และรัฐพิธี งานพระราชพิธี เปน็ งานทีพ่ ระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรด
เกล้าฯใหจ้ ดั ข้นึ เป็นประจาํ ทุกปีเชน่ พระราชพิธฉี ัตรมงคล พระราชพิธเี ฉลิมพระชนมพรรษา หรอื งาน
ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตลอดจนถึง องค์ความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่นล้านนา เช่น ๑.
ตัวหนังสือพ้ืนเมืองล้านนา อักษรธรรมล้านนา หรือ ตัวเมือง ๒.พิธีสวดเบิก การสวดเบิกเปนขัน้ ตอน
สําคัญขั้นตอนหนึ่งของพิธีพุทธาภิเษกแบบลานนา พิธีพุทธาภิเษก คือ การเฉลิมฉลองศาสนสถาน
ศาสนวตั ถุตาง ๆ

การพฒั นาชดุ ความรหู้ ลกั สตู รมัคนายก (ป่จู ารย์)โดยการมสี ่วนร่วมของภาคีเครือข่าย
ในจังหวัดเชียงราย พบว่า มีการพัฒนาชุดความรู้ดังนี้คือ ชุดความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา



ซึง่ เก่ยี วขอ้ งกบั ชุดความรู้ราชพิธี รัฐพิธี และ ชดุ ความรภู้ ูมิปญั ญาท้องถิ่น เก่ยี วข้องกับ การฮ้องขวัญ
ความเช่ือและพิธีทำขวัญเป็นกระบวนการที่แสดงความผูกพันและความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติ
ระหว่างบุคคลกับครอบครัวและบุคคลกับชุมชน ส่วน การปูจาเทียนมีจุดประสงค์หลัก ๓ ประการ
คือ๑. บูชาเทียนเพื่อหลีกเคราะห์ ๒. บูชาเทียนเพื่อรับโชค ๓. บูชาเทียนเพื่ออยู่วุฒิจำเริญ
หรือเสรมิ ดวงชะตา

วิเคราะห์และนำชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์) ไปประยุกต์ใช้
ในการศาสนพิธี ของจังหวัดเชียงราย พบว่า มีการนำชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์)
ไปประยุกต์ใช้ในการศาสนพิธี ของจังหวัดเชียงราย ดังนี้คือชุดความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
พิธีกรรมทางศาสนาพุทธ เป็นพิธีกรรมที่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือปะปนกันอยู่กับความเชื่อของศาสนา
พราหมณ์ บางพิธีกรรมแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันแยกไม่ออกว่าเป็นพราหมณ์หรือพุทธ ชุดความรู้
เกี่ยวกับศาสนพิธี ศาสนพิธี เป็นพิธีกรรมทางศาสนาในการนําหลักธรรมคําสอนของศาสนาลงสู่
การปฏิบัติของศาสนิกชน การปฏิบัติศาสนพิธีที่มีความเรียบร้อย สวยงาม และเป็นไปในแนวทาง
เดียวกันจะกอ่ ให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในการบําเพ็ญกุศลต่าง ๆ ชุดความรู้เก่ียวกบั ราชพิธี รัฐพิธี
สงั คมไทยไดย้ อมรับกันทวั่ ไปว่า ศาสนามคี วามสําคัญต่อวฒั นธรรมประเพณี เพราะมีผลต่อความรู้สึก
นึกคิด ประเพณี และความเช่ือ



Thesis Title : DEVELOPMENT OF KNOWLEDGE OF THE

COURSE FOR TEMPLE WARDENS (LEADERS OF

CEREMONIES) WITH THE CO-OPERATION OF

NETWORK MEMBERS IN CHIANG RAI

PROVINCE

Researcher : MR.SUWAT JONJUN
Degree : Master of Arts (Buddhist Studies)

Thesis Supervisory Committee

: Dr. Sepbundit Hnongbundit,

B.D. (Buddhism), M.P.A (Public Administration),

Ph.D. (Buddhism)

Date of Graduation Phramaha Duangthip Pariyattidhari, Dr., Pali ix,
M.A. (Social Development), Ph.D. (Peace Studies)
: October 24, 2021

Abstract

The objectives of this research were: 1 ) to study the body of
knowledge, textbooks and ordinances of deacons and network partners; in
Chiang Rai Province 2 ) to develop a knowledge set in the deacon course
(Grandfather Teacher) with the participation of network partners in Chiang
Rai Province 3 ) to analyze and apply the curriculum knowledge Deacon
(Grandfather Teacher) applied in the religious ceremony of Chiang Rai
This research is a qualitative research tool used to collect data. including
gathering information from documents (Document) and from interviews
The results showed that

Development of knowledge sets for the deacon course
(Grandfather Teacher) with the participation of network partners In Chiang
Rai Province, it was found that there were knowledge from the knowledge
set as follows: knowledge of ordinances Buddhist ordinances or
ceremonies are the things that nourish the religion that is the essence of
Buddhism. performing religious ceremonies or rituals in Buddhism and
Knowledge of royal ceremonies and state ceremonies It is an event that the
King has graciously arranged to be held every year such as coronation
ceremony Royal Birthday Celebration or works that the King has
graciously Lanna native text Characters of Tham Lanna or the city



Chanting Boek is one of the important steps in the Lanna-style
putthaphisek ceremony. Puttapisek ceremony is a celebration of religious
sites. religious objects

Development of knowledge set for deacon course (Grandfather
Teacher) with the participation of network partners In Chiang Rai
Province, it was found that the knowledge set was developed as follows:
Knowledge of Buddhism which is related to the knowledge of the royal
ceremony, the state ceremony and the knowledge of local wisdom
Concerning the festivities, beliefs and rites of khwan are the processes that
show ties and relationships in the kinship system between one's family and
one's community. Puja Tian has three main objectives. namely: 1 .
Worshiping a candle to avoid misfortunes 2. Worshiping a candle to receive
good luck 3 . Worshiping a candle to live in prosperity or enhance the

fortune

Analyze and apply the knowledge of the deacon course
(grandfather teacher) and apply it. in the ordinance of Chiang Rai Province,
it was found that the knowledge of the deacon course (Grandfather Master)
was applied in the religious ceremony. of Chiang Rai Province This is a set
of knowledge about Buddhism. buddhist ritual It is a ritual that is involved
or mixed with the beliefs of Brahmanism. Some rituals are almost
homogeneous, indistinguishable from being a Brahmin or a Buddhist, a set
of knowledge. Concerning ordinances Ordinances are religious rituals in
which the doctrine of religion is brought into existence. religious practice
The practice of religious ceremonies that are neat, beautiful and in the same
way will lead to faith in various merit-making activities. Religion is
important to cultural traditions. because it affects feelings, thoughts,
traditions and beliefs



กติ ตกิ รรมประกาศ

วิทยานพิ นธ์ เรอ่ื ง “การพัฒนาชุดความรู้หลักสตู รมัคนายก (ป่จู ารย)์ แบบมีส่วนร่วมของ
ภาคีเครือข่ายในจังหวัดเชียงราย” สำเร็จไดรับความอนเุ คราะห์ ให้คำปรึกษาแนะนำ และช่วยเหลือ
จากบุคคลหลายฝ่าย ซง่ึ ผวู้ จิ ยั ขอเจรญิ พรขอบคณุ มา ณ ท่นี ้ี

ขอขอบคุณ คณะกรรมการสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ คือ ผู้ทรงคุณวุฒิทุกรูป/คนได้ให้
ขอ้ เสนอแนะเพอ่ื ให้วทิ ยานพิ นธ์ ฉบับน้ี มคี วามถูกตอ้ งและสมบูรณยง่ิ ขึ้น

ขอขอบคุณ พระสุธีรัตนบัณฑิต, รศ. ดร. ที่ช่วยแนะนำตั้งแต่เริ่มต้นการศึกษาจนจบ
การศึกษา คณะกรรมการทุกท่านที่ช่วยให้คำแนะนำในการจัดรูปแบบการทำวิทยานิพนธ์ และช่วย
จัดเรียงข้อมูลการวิจยั ซึง่ ถือเปน็ กระบวนการที่สำคญั อย่างย่ิง

คุณค่าและประโยชนที่เกิดจากวิทยานิพนธ์นี้ ขอยกคุณความดีนี้บูชาพระคุณขององค์
สมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดจนถึง มารดา บิดา ครู อปุ ชฌาย์ อาจารย์ ผู้มีพระคุณทกุ ๆ ท่านที่
ได้อบรม ส่ังสอน แนะแนว เป็นท่ปี รึกษาให้ความรจู้ นถึงปจั จุบนั น้ี

นายสุวัฒน์ จรจันทร์
๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕

สารบญั ฉ

เรอ่ื ง หนา้

บทคัดย่อภาษาไทย ก
บทคัดยอ่ ภาษาองั กฤษ
กติ ติกรรมประกาศ ค
สารบัญ จ
คำอธิบายสัญลักษณ์และคำยอ่ ฉ
บทที่ ๑ บทนำ

๑.๑ ความเปน็ มาและความสำคญั ของปัญหา
๑.๒ คำถามวจิ ัย ๑
๑.๓ วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั ๓
๑.๔ ขอบเขตการวจิ ยั ๔
๑.๕ นิยามศพั ท์เฉพาะท่ีใชใ้ นการวิจัย ๔
๑.๖ ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะไดร้ ับ ๕
บทที่ ๒ แนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ท่ีเกย่ี วขอ้ ง ๕
๒.๑ หลักการสอ่ื สารตามแนวพระพทุ ธศาสนา
๒.๒ แนวคิดและความหมายของปูจารยในทางพระพุทธศาสนาแบบลานนา ๖
๒.๓ แนวคิดเกย่ี วกับบทบาทและหนาที่ของปจู ารยในทางพระพุทธศาสนา ๑๙

แบบลานนา ๒๑
๒.๔ แนวคดิ และทฤษฎเี ก่ียวกบั บทบาทและหน้าที่ของมคั นายก ๒๒
๒.๕ แนวคดิ และทฤษฎเี กี่ยวกบั การประกาศตนเปน็ อุบาสก
๔๑
ท่ีปรากฏในคัมภรี ์พระพุทธศาสนา ๔๓
๒.๖ แนวคดิ และทฤษฎีเก่ียวกับพธิ ีกรรมและประเพณีทีส่ ำคัญภาคเหนือ ๕๕
๒.๗ แนวคดิ และทฤษฎเี กย่ี วกบั ภมู ปิ ญั ญาท้องถ่นิ ในล้านนา ๘๒
๒.๘ งานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวข้อง

๒.๙ กรอบแนวคดิ ของงานวจิ ัย ช

บทที่ ๓ วธิ ีดำเนินการวิจยั ๘๕
๓.๑ รปู แบบการวิจยั
๓.๒ พนื้ ทีก่ ารวจิ ัย ประชากรกลมุ่ ตวั อยา่ ง ผู้ใหข้ อ้ มูล ๘๖
๓.๓ เครือ่ งมือการวจิ ยั ๘๖
๓.๔ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ๘๗
๓.๕ การวิเคราะห์ข้อมลู ๘๙
๓.๖ สรปุ กระบวนการวิจยั ๙๐
๙๑
บทท่ี ๔ ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู
๙๒
๔.๑ องค์ความรู้ ตำรา และการศาสนพิธขี องมัคนายกและภาคเี ครือข่าย
๑๖๘
ในจังหวดั เชยี งราย
๑๗๖
๔.๒ การพัฒนาชุดความรู้หลกั สูตรมัคนายก (ปูจ่ ารย)์ โดยการมีส่วนร่วม ๑๙๗

ของภาคเี ครอื ข่ายในจงั หวัดเชียงราย ๑๙๘
๒๐๒
๔.๓ วเิ คราะห์และนำชดุ ความรหู้ ลักสตู รมัคนายก (ป่จู ารย)์ ไปประยกุ ต์ใช้ ๒๐๔
๒๑๗
ในการศาสนพธิ ี ของจงั หวดั เชียงราย ๑๘๑
๑๘๒
๔.๔ องค์ความรู้ ๑๘๔
๑๙๒
บทท่ี ๕ สรปุ ผลการวจิ ยั อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ
๕.๑ สรปุ ผลการวิจัย
๕.๒ อภิปรายผล
๕.๓ ขอ้ เสนอแนะ

บรรณานุกรม
ภาคผนวก ก. รายนามผู้ใหข้ อ้ มูลเพอื่ การวจิ ยั (สมั ภาษณ)์
ภาคผนวก ข. หนงั สอื ขอความอนุเคราะหเ์ ก็บข้อมูลเพื่อการวจิ ัย (สมั ภาษณ์)
ภาคผนวก ค. ภาพการสัมภาษณ์

ประวัตผิ ู้วิจยั



คำอธบิ ายสญั ลกั ษณแ์ ละคำย่อ

อกั ษรย่อในวิทยานิพนธ์ฉบับน้ี ใชอ้ า้ งอิงจากพระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณ
ราชวิทยาลัย ๒๕๓๙ โดยได้กล่าวถึงการใช้เลขหมายรหัสย่อ จะระบุเล่ม / ข้อที่ / หน้า ดังตัวอย่าง
ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๒/๒๙๒. หมายถึง พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค (ภาษาไทย) เล่มที่
๑๑ ขอ้ ท่ี ๓๑๒ หนา้ ๒๙๒.

ก. คำย่อช่ือคัมภีร์พระไตรปิฎก

พระวินยั ปฎิ ก

คำยอ่ = วินยั ปฎิ ก ชือ่ คมั ภีร์ ภาษา
วิ.มหา. (ไทย) = วนิ ยั ปิฎก มหาวภิ งั ค์ (ภาษาไทย)
วิ.ม. (ไทย) มหาวรรค (ภาษาไทย)

พระสุตตนั ตปฎิ ก

คำย่อ = สตุ ตันตปิฎก ชอ่ื คมั ภรี ์ ภาษา
ท.ี ม. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค (ภาษาไทย)
ที.ปา. (ไทย) = สตุ ตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค (ภาษาไทย)
ม.มู. (ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปัณณาสก์ (ภาษาไทย)
ม.ม. (ไทย) = สตุ ตันตปิฎก มชั ฌิมนิกาย มชั ฌิมปณั ณาสก์ (ภาษาไทย)
ม.อุ. (ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก มัชฌมิ นิกาย อุปริปณั ณาสก์ (ภาษาไทย)
สํ.ส. (ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (ภาษาไทย)
สํ.น.ิ (ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก สังยตุ ตนิกาย นิทานวรรค (ภาษาไทย)
ส.ํ สฬา. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค (ภาษาไทย)
องฺ.ตกิ . (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก องั คุตตรนิกาย ตกิ นบิ าต (ภาษาไทย)
องฺ.จตุกฺก. (ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ก องั คตุ ตรนกิ าย จตกุ กนบิ าต (ภาษาไทย)
อง.ฺ ปญฺจก. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก องั คตุ ตรนกิ าย ปัญจกนบิ าต (ภาษาไทย)
อง.ฺ ฉกฺก. (ไทย) = สตุ ตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต (ภาษาไทย)
องฺ.สตฺตก. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก อังคุตตรนกิ าย สัตตกนิบาต (ภาษาไทย)
อง.ฺ ทสก. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก องั คตุ ตรนิกาย ทสกนิบาต (ภาษาไทย)
ขุ.ธ. (ไทย) ขุททกนิกาย ธรรมบท (ภาษาไทย)

บทท่ี ๑

บทนำ

๑.๑ ความเปน็ มาและความสำคญั ของปัญหา

พระพุทธศาสนามีบทบาทในการดำเนินชีวิตของคนไทยมาเป็นเวลาช้านาน ทำให้
ประชาชนไทย ส่วนใหญ่ยกย่องเทิดทูนพระพุทธศาสนาเป็นสรณะแห่งชีวิตสืบต่อกันมาเป็นเวลาช้า
นาน จึงปรากฏให้เห็น ขนบธรรมเนียมประเพณี และศิลปวัฒนธรรมตลอดถึงศาสนพธิ ีและพิธีกรรม
ต่างๆในทางพระพุทธศาสนาลว้ นมพี น้ื ฐานมาจากความเชื่อทางพระพทุ ธศาสนา และมคี วามแนบแน่น
ในสังคมไทยมาโดยตลอด ความแนบแน่นสังคมไทยกับพระพทุ ธศาสนาไว้ว่า “พระพุทธศาสนาถือวา่
เป็นศาสนาประจำชาติ ทั้งนี้เพราะการที่พระพุทธศาสนากับชนชาติไทยได้มีความสัมพันธ์แนบแนน่
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งในทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมตลอดจนพิธีกรรมต่างๆ ในทาง
ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชนชาติไทย เนื่องมาด้วยกันกับความเป็นมาของพระพุทธศาสนา
โดยเฉพาะนับต้ังแต่สมัยที่ชนชาติไทยมีประวตั ิอันชัดเจนชาวไทยก็ได้นบั ถือพระพุทธศาสนาต่อเนือ่ ง
ตลอดมา จนกล่าวได้ว่า ประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เป็นประวัติศาสตร์ของชนชาติที่นับถือ
พระพุทธศาสนา ในด้านวัฒนธรรมวิถีชีวิตของคนไทยได้ผูกพันประสานกลมกลืนกับหลักความเช่ือ
และหลักปฏิบัติในพระพุทธศาสนาตลอดระยะเวลายาวนาน จนท าให้เกิดการปรบั ตัวเข้าหากันและ
สนองความต้องการของกันและกันตลอดจนผสมคลุกเคล้ากับความเชื่อถือและข้อปฏิบัติสายอื่นๆ
ที่มีมาในหมู่ชนชาวไทยถึงขั้นที่ทำให้เกิดมีระบบระเบียบความเชื่อและความประพฤติปฏิบัติทาง
พระพุทธศาสนาที่เป็นแบบแผนของคนไทยโดยเฉพาะ อันมีรูปลักษณะและเนื้อหาของตนเองที่เน้น
เด่นบางแง่บางด้านเป็นพิเศษ แยกออกไดจ้ ากพระพุทธศาสนาอย่างท่ัวๆไปเรียกว่า พระพุทธศาสนา
แบบไทยหรอื พระพุทธศาสนาของชาวไทย”๑

จากการทีช่ าวไทยยดึ ถือพระพุทธศาสนาเป็นสรณะ จงึ พบว่ามกี ารสร้างวัดและสำนักสงฆ์
ขึ้นทุกหมู่บ้านในประเทศไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชน กระจายในชุมชนต่างๆอยู่ทั่วประเทศน้ัน
เป็นเพราะว่าวัดมีบทบาทต่อสังคมไทยในฐานะเป็นสถานที่มีความส ำคัญในการปฏิบัติศาสนกิจ

๑ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรมฉบับปรับและขยายความ,พิมพ์ครั้งที่ ๙,
(กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๓), หน้า ๘๐๕.



ทางพระพุทธศาสนาของชุมชน ซึ่งมีพุทธบริษัทเป็นองค์ประกอบคือภิกษุ สามเณร อุบาสก และ
อบุ าสิกา โดยมีพระสงฆใ์ นพระพทุ ธศาสนาเป็นผู้ปกครองสงฆ์ควบคุมดูแลวัด และสำนักสงฆ์เป็นหลัก
ในการทำหนา้ ท่ีเผยแผ่พระพุทธศาสนา และจัดกิจกรรม ในพิธกี รรมต่างๆให้แก่วัดสำนักสงฆ์ อุบาสก
อุบาสิกา ที่เป็นผู้เลื่อมใสในพระพทุ ธศาสนาช่วยส่งเสรมิ ในการจัดกิจกรรมและพิธีกรรมต่างๆในการ
เผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาเพอ่ื เสริมสรา้ งความม่นั คงและความเจรญิ รุ่งเรืองใหแ้ ก่พระพทุ ธศาสนา

การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนานนั้ ถึงแม้วา่ อบุ าสก อุบาสกิ า โดยทัว่ ไปไมใ่ ช่เป็นบคุ คลท่ีได้รับ
การแต่งตั้งใหท้ ำหนา้ ท่ีในการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาโดยตรงจากสำนกั งานพระพุทธศาสนาแห่งชาติท่ี
กำหนดไว้ก็ตาม คุณสมบัติผู้ที่จะทำหน้าที่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้คือ ๑) พระสังฆาธิการ
๒) พระนักเทศน์ ๓) พระวิปัสสนาจารย์ ๔) พระธรรมทูต ๕) พระจริยานเิ ทศก์ ๖) พระปริยัตินิเทศก์
๗) พระบัณฑิตเผยแผ่พระพุทธศาสนา ๘) ครูสอนพระปริยัติธรรมแผนก ธรรม-บาลี ๙) ครูสอน
โรงเรียนปริยัตธิ รรมแผนกสามญั ๑๐) พระภิกษสุ ามเณร ดังนั้น อุบาสก อุบาสิกา ที่กล่าวไว้สามารถ
จัดเข้ากับบุคคลในกลุ่มที่ ๙ ได้เพราะคุณสมบัติของบุคลากรในกลุ่มที่อธิบายไว้ว่า๒ ครูสอนโรงเรียน
ปรยิ ตั ธิ รรมแผนกสามญั คอื พระภิกษุ สามเณร หรือฆราวาส อย่างไรกต็ ามบุคคลดังกลา่ วยงั ไดร้ ับการ
ยกย่องจากพุทธศาสนิกชนหรือที่เรารู้จกั กันในนามของศรัทธาสาธุชนในชุมชนของสังคมคือวัดตา่ งๆ
ได้รับการแต่งตั้งเป็น มัคนายก ไวยาวัจกร ปู่อาจารย์แล้วแต่จะเรียกขานประจ าวัดทั่วไปโดยได้รับ
ความเห็นชอบจากเจ้าอาวาสและศรัทธาประชาชนหรือพุทธศาสนิกชนในชุมชนนั้นๆเพื่อเป็นผู้น า
ทางศาสนพธิ ีกรรมในชมุ ชนทไ่ี ด้รบั มอบหมาย

ผ้มู ภี มู ิรภู้ ูมธิ รรม จึงพอจะกล่าวได้ว่า ฆราวาส ผ้มู ีภมู ิรู้ภูมิธรรมอาจจะหมายถึงผ้ทู ่เี คยบวช
เรียนมาก่อน อันเป็นไปตามความเชื่อในสังคมไทยที่เชื่อว่าบุคคลที่ได้บวชเรียนในพระพุทธศาสนา
เปน็ บคุ คลท่มี ีศีลธรรมและจริยธรรมเปน็ แบบอยา่ งทด่ี ีทำหน้าท่ีผนู้ ำในสังคมจงึ ทำให้เป็นผู้ที่ได้รับการ
ยกย่องและยอมรับของสังคม จึงสามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ผู้คนระดับชุมชนในวัดต่างๆ
ได้ ดังน้ันวัดแต่ละวดั จงึ ต้องมีอบุ าสกผู้ทำหนา้ ทชี่ ว่ ยเหลอื และเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนารองจากพระสงฆ์
โดยทำหน้าทใ่ี นการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ท่เี รียกกนั วา่ “มัคนายก”

มัคนายก คือบุคคลผู้ทำหน้าที่เพื่อให้การประกอบพิธีกรรมและพิธีการดำเนินไปด้วย
ความเรียบร้อย เป็นไปตามขั้นตอนและถูกต้องตามจารีตประเพณีตามความเหมาะสมของงานนั้นๆ
จึงต้องเป็นผู้รอบรู้ในเรื่องศาสนพิธีและเป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชนในชุมชนสังคมนั้นๆ
มอบหมายให้เปน็ ตัวแทนในการนำประกอบพธิ ีกรรมต่างๆ ทัง้ ในงานมงคล และอวมงคลเป็นอย่างดีมี

๒ คู่มือพระสังฆาธิการ, (สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม,สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๖),หนา้ ๒๐๒.



ปฏิภาณไหวพริบรู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นได้ มีมนุษย์สัมพันธ์เข้ากับบุคคลได้ทุกกลุ่ม
มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ควรศึกษาพิธีกรรมทางศาสนาและรายละเอียดของกำหนดการให้ดี
แต่งกายสภุ าพเหมาะสมกบั พธิ ีกรรมเตรยี มอุปกรณใ์ นแต่ละพิธีใหพ้ รอ้ มกอ่ นพิธีจะเริ่ม รจู้ กั ใชค้ ำพูดได้
อยา่ งเหมาะสมถูกต้องตามกาลเทศะบุคคลและสถานที่

ในจังหวัดเชียงรายมีทั้งหมด อยู่ ๑๘ อำเภอ ได้มีจัดประชุมร่วมกับสำนักงาน
พระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย และวัฒนธรรมเชียงราย ปราชญ์ล้านนา และภาคีเครือข่าย
ในการร่วมมือพัฒนาคู่มือตำรามัคทายก ให้เป็นในทิศทางเดียวกัน ตลอดจนถึงเพื่อได้จัดให้มีการ
ส่งเสริมและการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของมัคนายก ซึง่ ถอื ว่าเป็นสว่ นหนง่ึ ที่ร่วมกันส่งเสริมมัคนายก
เป็นบุคคลที่เสียสละอุทิศตนให้กับวัดและชุมชนมีจิตสาธารณะปฏิปทาที่ประพฤติปฏิบัติตัวเป็น
แบบอย่างที่ดีของพุทธศาสนิกชนสมกับท่ีได้รับการบวชเรียนศึกษาพระธรรมวนิ ัยบ่มเพาะวิชาความรู้
ด้านพระพุทธศาสนามาเป็นอย่างดีนำเอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามาประยุตใชก้ ับพิธีกรรมต่างๆ
ให้เกดิ ประโยชน์ท้งั คดีโลกและคดีธรรมควบคู่กันไปถือว่ามัคนายกเปน็ ส่วนหนึ่งของพุทธบริษัทสี่ท่ีทำ
หน้าทปี่ ระกอบพิธกี รรมทางพระพุทธศาสนาและยงั มสี ่วนไหนบา้ งท่ีมกี ารสง่ เสรมิ การเรียนรู้ให้สบื ทอด
ตอ่ อนชุ นลกู หลานและพระพทุ ธศาสนาได้

ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความสนใจศึกษาการพัฒนาชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์)
แบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในจังหวัดเชียงราย เหตุนี้จึงทำให้เกิดแรงบันดาลใจใคร่ที่จะศึกษา
ให้ทราบว่า นอกจากงานด้านศาสนาพิธีแล้ว มัคนายกในล้านนายังได้ทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริม
พระพุทธศาสนาด้านใดบ้าง อีกทั้งยังต้องการศึกษาถึงวิธีการส่งเสริมการเรียนรู้พระพุทธศาสนาใน
ล้านนาว่าทำวิธีใด รู้แบบและกระบวนการอย่างไร และมีแนวทางในการสร้างเครือข่ายเพื่อส่งเสริม
ความรู้ทางพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ตลอดจนถึงในการพัฒนาชุดความรู้มัคทายก ให้ถูกต้อง และ
เป็นไปในรูปแบบเดียวกัน เพื่อที่จะได้นำผลของการวิจัย ทำการเผยแผ่เพื่อกระตุ้นให้มัคนายก
ในล้านนาได้เกิดจิตสำนึกร่วมกันในอันที่จะนำแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาออกเผยแผ่สู่สังคมในวง
กวา้ ง เพือ่ เปน็ แนวทางในการจรรโลงพระพุทธศาสนาให้มัน่ คงและจะได้ศกึ ษาตอ่ ไป

๑.๒ คำถามวิจัย

๑.๒.๑ องค์ความรู้ ตำรา และการศาสนพิธีของมัคนายกและภาคีเครือข่าย
ในจังหวัดเชียงราย อย่างไรบ้าง ?

๑.๒.๒ ภาคเี ครือข่ายในจงั หวัดเชียงราย มีสว่ นชว่ ยในการส่งเสรมิ และสนับสนนุ พัฒนาชุด
ความรูห้ ลักสูตรมคั นายก (ปจู่ ารย)์ ได้อยา่ งไรบ้าง ?

๑.๒.๓ ชุดความรู้หลักสูตรมคั นายก (ปู่จารย์) สามารถนำไปประยุกต์ใช้ ในการศาสนพิธี
ของจังหวดั เชียงราย ไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง ?



๑.๓ วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั

๑.๓.๑ เพื่อศึกษาองค์วามรู้ ตำรา และการศาสนพิธีของมัคนายกและภาคีเครือข่าย
ในจงั หวัดเชยี งราย

๑.๓.๒ เพื่อพัฒนาชดุ ความรหู้ ลกั สตู รมคั นายก (ปู่จารย)์ ในจงั หวัดเชยี งราย
๑.๓.๓ เพื่อวิเคราะห์และนำชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์) ไปประยุกต์ใช้
ในการศาสนพิธีของจังหวัดเชียงราย

๑.๔ ขอบเขตการวิจัย

การวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์) แบบมีส่วนร่วมของภาคี
เครือข่ายในจังหวัดเชยี งราย เป็นการวิจยั เชิงคณุ ภาพ (Qualitative Reserch) โดยเกบ็ รวบรวมข้อมูล
จากเอกสาร (Document) และการสมั ภาษณ์ มรี ายละเอียดการวจิ ัยดังต่อไปนี้

๑.๔.๑ ขอบเขตดา้ นพนื้ ที่
๑. อำเภอแมส่ าย
๒. อำเภอเมืองเชียงราย
๓. อำเภอแมจ่ นั

๑.๔.๒ ขอบเขตด้านประชากร

ประชากรทเ่ี กีย่ วข้องในการให้ข้อมูลในการวจิ ยั ได้แก่

๑. มคั ทายก จำนวน ๙ คน
รปู
๒. พระสงฆ์ จำนวน ๙

ก. อำเภอแมส่ าย ประกอบไปด้วย

๑. พระพุทธิวงศ์วิวฒั น์ ทปี่ รึกษาเจา้ คณะจงั หวดั เชียงราย

๒. พระครูวสิ ุทธิธรรมภาณี เจ้าคณะอำเภอแม่สาย

๓. พระครูประภสั ร์จติ สังวร เจา้ คณะตำบลโปร่งงาม

ข. อำเภอเมอื งเชียงราย ประกอบไปดว้ ย

๑. พระรัตนมนุ ,ี ผศ.ดร. เจ้าคณะจงั หวัดเชยี งราย

๒. พระครขู นั ติพลาธร เจ้าคณะอำเภอเมอื ง
๓. พระครสู ริ กิ ิจจาธร รองเจา้ คณะอำเภอเมอื ง
ค. อำเภอแมจ่ นั ประกอบไปดว้ ย

๓. ชาวบ้าน ๑. พระครูอุปถมั ภ์วรการ เจ้าคณะอำเภอแมจ่ นั
๒. พระครูศุภกิจประยุต รองเจ้าคณะอำเภอแม่จัน
๓. พระครปู ระสทิ ธิบ์ ุญญาคม เจ้าคณะตำบลจนั จ๊วั เขต ๑

จำนวน ๙ คน



๔. วัฒนธรรมจงั หวดั /สำนักงานพระพทุ ธศาสนาจังหวัดเชียงราย
จำนวน ๓ คน

ก. นายพสิ นั ต์ จันทรศ์ ิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชยี งราย
ข. นางสาวทศั นีย์ ดอนเนต็ วัฒนธรรมจงั หวดั เชยี งราย
ค. เกลียวพรรณ ขำโนนง้วิ

ผู้อำนวยการสำนกั งานพทุ ธศาสนาจงั หวดั เชยี งราย
รวมท้งั หมด จำนวน ๓๐ รปู /คน

๑.๔.๓ ขอบเขตดา้ นระยะเวลา

ผู้วิจัยจะดำเนินการวิจัยตั้งแต่ เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ถึงเดือนกรฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
รวมเปน็ ระยะเวลา ๙ เดือน

๑.๕ นิยามศัพทเ์ ฉพาะทีใ่ ช้ในการวิจัย

๑.๕.๑ มัคนายก หมายถึง บุคคลทม่ี คี วามรูท้ างด้านพระพุทธศาสนาและเข้าใจในด้านศาสน
พิธีกรรมต่างๆเป็นทีเ่ คารพของคนในท้องถิ่น ได้รับการแต่งตัง้ จากเจ้าอาวาสและผ่านความเห็นชอบ
จากคณะกรรมการและศรัทธาประชาชนของวัดนั้นๆส่วนทางล้านนาหมายเอาบุคคลที่บวชเรียนมา

๑.๕.๒ การสร้างเครือข่าย หมายถึง การทำให้มีการติดต่อสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยน
ข้อมูลข่าวสารและการรว่ มมอื กนั ด้วยความสมคั รใจการสร้างเครือข่ายเป็นระบบเช่ือมโยงสมั พันธ์กนั
ของสิ่งมีชีวิตที่ควรได้รับการสร้างโอกาสในการเชื่อมโยงเครือข่ายต่อไปเรื่อยๆมีการเรียนรู้อยู่
ตลอดเวลา

๑.๕.๓ การพัฒนาชุดความรู้ หมายถึง การสร้างเป็นชุดความรู้คู่มือมัคคทายก
ป็นการประกอบส่งเสริมความรู้ทางพิธีกรรม/หลักธรรมความสามารถและความเข้าใจในทาง
พระพุทธศาสนาแก่พทุ ธศาสนกิ ชนทัว่ ไป ท้ังทางด้านพธิ กี รรม วรรณกรรมและแนวทางการดำเนนิ ชวี ิต
ของคนในชมุ ชน

๑.๗ ประโยชน์ท่คี าดว่าจะไดร้ บั

๑.๗.๑ ได้องค์วามรู้ ตำรา และการศาสนพิธีของมัคนายกและภาคีเครือข่าย
ในจังหวดั เชยี งราย

๑.๗.๒ ได้พัฒนาชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์)โดยการมีส่วนร่วมของภาคี
เครือข่ายในจังหวัดเชียงราย

๑.๗.๓ ได้นำชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์) ไปประยุกต์ใช้ ในการศาสนพิธีของ
จังหวัดเชยี งราย

บทที่ ๒

แนวคิดและทฤษฎีงานวิจัยที่เกย่ี วขอ้ ง

ในบทที่ ๒ นี้ได้นำเสนอเกี่ยวกบั แนวคิดและทฤษฎีงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ซึ่งมีรายละเอียด
ดังน้คี ือ

๒.๑ แนวคดิ และความหมายของปู่จารยในทางพระพทุ ธศาสนาแบบล้านนา
๒.๒ แนวคดิ เกีย่ วกบั บทบาทและหน้าทีข่ องปจู่ ารยในทางพระพุทธศาสนา

แบบล้านนา
๒.๓ แนวคิดและทฤษฎเี กี่ยวกับบทบาทและหน้าทข่ี องมคั นายก
๒.๔ แนวคิดและทฤษฎเี กยี่ วกับการประกาศตนเป็นอบุ าสกท่ปี รากฏในคัมภีร์

พระพุทธศาสนา
๒.๕ แนวคดิ และทฤษฎเี ก่ยี วกบั พธิ กี รรมและประเพณที ่สี ำคัญภาคเหนอื
๒.๖ แนวคดิ และทฤษฎีเกย่ี วกบั ภูมิปญั ญาทอ้ งถ่ินในล้านนา
๒.๗ งานวิจยั ทเ่ี กีย่ วขอ้ ง
๒.๘ กรอบแนวคดิ ของงานวจิ ัย

๒.๑ แนวคิดและความหมายของปูจารยในทางพระพทุ ธศาสนาแบบลานนา

ปูจารย, มรรคนายก, มัคนายก “ผูนําทาง”, ผูแนะนําทางบุญ เปนผูแนะนําจัดแจง
ในเรื่องทางบุญทางกุศล และ เปนหัวหนานําชุมชนฝายคฤหัสถในศาสนพิธี เชน อาราธนาศีล
อาราธนาธรรม กลาวนาํ ถวาย เปนตน ตามปกตทิ าํ หนาทปี่ ระจําอยูกบั วัดใดวัดหนึง่ เรยี กวาเปนมรรค
นายกของวัดนั้นๆ ผู นําทางบุญของเหล าสัปบุรุษ เรียกเพี้ยนไปว า มรรคทายก ซึ่งแปลวา
ผูใหทาง หรอื ผูใหทางสวรรค๑

มคั คอื มรรค แปลวาทาง หนทาง หมายถงึ มรรค ๘ นายก ผูนาํ ทายก แปลวาผูให (ชาย)
ถาเปนหญิงเรียก ทายิกา คนไทยตอมาเรียกวา ผูมาทําบุญที่วัด มัคทายก เปนคําผิดเรียกกันจนติด
ปาก ที่ถูกตอง คือ มัคนายก หรือ มรรคนายกคนจะเปนมัคนายกได ก็รูพิธีการ คําสวด บทสวดนํา

๑ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, ( กรุงเทพมหานคร :
นานมีบุคสพบั ลเิ คชนั ส, ๒๕๔๖), หนา ๕๖๘.



ทายก ทายิกาใหไดทั้งหมด ไมวาจะทําพิธีอะไร เชน ถวายอาหาร อาราธนาศีล ๕ ศีล ๘ สังฆทาน
ฯลฯ สวนใหญมาจากคนที่เคยบวชพระมากอนซึ่งปูจารย นอกจากความหมายตามศัพทแลวยัง
สามารถนิยามความหมายของปูจารยในความหมายอื่นๆ คือ เปนเสมือนผูนําที่มีความเสียสละ
อนุเคราะห สังคมสงเคราะหงานทางดานพิธีกรรม ตลอดจนการใหคําแนะนําแกคนในชุมชน สังคม
ให ดําเนินชีวิตตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา และเป นผู ช วยพระสงฆ ในการเผยแผ
พระพุทธศาสนาในอีกชองทางหน่งึ ดวย

การคัดสรรคนเขาสูหนาที่ปูจารยไมไดขึ้นอยูกับความรูเพียงประการเดียว แตความรู้
จะตองควบคูกันไปกับคุณธรรม โดยใหน้ำหนักความสําคัญกับคุณธรรมมากกวาความรู ทั้งนี้เพราะ
ความรูเปนสิ่งที่สามารถศึกษาได แตคุณธรรมเปนสิ่งที่ตองไดรับการสง่ั สอนและปลูกฝง ผูทีม่ ีคุณธรรม
ความดียอมไมทําความเดอื ดรอนใหแกตนเองและผูอื่น

ปูจารย คือ ผูนําการประกอบศาสนพิธีและพิธีกรรมตางๆ จึงมีคําเรียกเฉพาะวา
อาจารยวัด พออาจารย ปูอาจารย หรอื ปจู ารย (ทางการคือ มคั นายก/มรรคนายก)

ผูนําการประกอบศาสนพิธีและพิธีกรรมต างๆ จึงมีคําเรียกเฉพาะว าอาจารย วัด
พออาจารย ปอู าจารย หรือปจู ารย (ทางการคือ มคั นายก/มรรคนายก)

มคั คือ มรรค แปลวาทาง หนทาง หมายถงึ มรรค ๘ นายก ผูนาํ ทายก แปลวาผูให (ชาย)
ถาเปนหญิงเรียก ทายิกา คนไทยตอมาเรียกวา ผูมาทําบุญที่วัด มัคทายก เปนคําผิดเรียกกันจนติด
ปาก ที่ถูกตอง คือ มัคนายก หรือ มรรคนายกคนจะเปนมัคนายกได ก็รูพิธีการ คําสวด บทสวดนํา
ทายก ทายิกาใหไดทั้งหมด ไมวาจะทําพิธีอะไร เชน ถวายอาหาร อาราธนาศีล ๕ ศีล ๘ สังฆทาน
ฯลฯ สวนใหญมาจากคนท่เี คยบวชพระมากอน

มรรคนายก, มัคนายก “ผูนาํ ทาง”, ผูแนะนาํ ทางบุญ เปนผูแนะนําจัดแจงในเร่ืองทางบุญ
ทางกุศล และ เปนหัวหนานําชุมชนฝายคฤหัสถในศาสนพิธี เชน อาราธนาศีล อาราธนาธรรม
กลาวนําถวาย เปนตน ตามปกติทําหนาที่ประจําอยูกับวัดใดวัดหนึ่ง เรียกวาเปนมรรคนายกของวัด
นั้นๆ ผูนําทางบุญของเหลาสัปบุรุษ เรียกเพี้ยนไปวา มรรคทายก ซึ่งแปลวา ผูใหทาง หรือ ผูใหทาง
สวรรค

มรรคนายก แปลวา ผูนาํ ทาง คอื ผูนําบญุ ผูแนะนําทางบุญ ผูชีท้ างบญุ เขียนวา มัคนายก
ก็มี มรรคนายก ใชเรียกคฤหัสถผูประสานติดตอระหวางวัดกับชาวบานในกิจการตางๆ ของวัด
หรือผูเปนหัวหนาในพิธีทําบุญในวัด เชนนําอาราธนาศีลอาราธนาพระปริตร นําถวายทานตลอดจน
จดั แจงดูแลศาสนพิธอี น่ื ใหถกู ตองเรียบรอย มรรคนายกที่ดีและเกงจะทําใหงานบุญตางๆ ในวัดสําเร็จ
เรียบรอย และเปนระเบียบสวยงาม มรรคนายก อาจเปนชายหรือหญิงก็ได และแตละวดั อาจมีหลาย
คนก็ได มรรคทายก แปลวา ผูใหทาง หรือ ผูบอกทางบุญทางสวรรคให เปนคําเรียกที่เพี้ยนมาจาก
คาํ วา มรรคนายก

มัคนายก (บาลี) หรือ มรรคนายก (สันสกฤต) แปลวา ผูนําทาง คือ ผูนําบุญ ผูแนะนํา
ทางบุญ ผูชี้ทางบุญ ใชเรยี กคฤหัสถผปู ระสานติดตอระหวางวัดกบั ชาวบานในกจิ การตางๆ ของวัดหรือ
ผู เป นหัวหน าในพิธีทําบุญในวัด เช นนําอาราธนาศีล อาราธนาพระปริตร นําถวายทาน
ตลอดจนจัดแจงดูแลศาสนพิธีอื่นใหถูกตองเรียบรอย อาจเปนชายหรือหญิงก็ได และแตละวัดอาจมี



หลายคนก็ได๒มัคนายกที่ดีและเกงจะทําใหงานบุญตางๆ ในวัดสําเร็จเรียบรอยโดยเปนระเบียบ
สวยงาม และราบร่ืนไมตดิ ขดั

สรุปไดวา ในทุกสังคมจะมีแบงเปนชนชั้นตางๆ แตละชนชั้นจะมีบทบาทหนาที่แตกตาง
กันคนธรรมดาถือวาอยูคนละชนชั้นกับพระสงฆหรือนักบวช จะไปกาวกายรุมรามไมไดเด็ดขาด
ดวยเหตุผลวาเราเชอ่ื กนั วา พระสงฆเปนตัวแทนของพระพุทธเจา หากเราไดทาํ บญุ ประกอบพิธีกรรม
ทางศาสนาแลวจะทําใหไดบุญและไดขึน้ สวรรค เมื่อเสียชีวิตไปแลว ทุกคนยอมตองการพนทุกขดวย
กันทั้งนั้นไมวาในชาตินี้หรือชาติหนา ซึ่งพระสงฆชวยไดคนกลางที่จะทําหนาที่ระหวางคนธรรมดา
กับพระสงฆ ภาคเหนือเรียกวา “ปูจารย” ภาคกลางเรียกวา “มัคนายก/มรรคนายก” “ปูจารย”
เปนคําเรียกที่ชาวบานทั่วไปเรียก คําเตม็ คอื “ปูอาจารย” หรอื “ปูอาจารย” หากอายุไมมากนักบาง
แหงก็เรียกวา “ปอจารย” หมายถึง พออาจารย

ปูอาจารย หมายถึง บุคคลที่มีความรูทางดานพุทธศาสนาและพุทธศาสนพิธี เปนผูนํา
ในการไหวพระ รับศีล เวนทาน หรือการประกอบพิธีตางๆ ทั้งการประกอบพิธีในวัดและในบาน
ผูที่จะเปนปูอาจารยไดนั้นกําหนดไววาจะตองเปนหนาน หรือผูลาสิกขาบทในขณะเปนพระสงฆ
ในการที่ชาวบานจะทําบุญไหวพระตางๆ ในวัดน้ัน ปูอาจารยจะเปนผูกลาวนําการไหว การรับศีล
การอาราธนาธรรมและการโอกาสเวนทาน หรือการกลาวมอบเครอ่ื งไทยทานแกพระสงฆ สวนในการ
ทาํ พธิ ีในบานหรอื นอกวัดนั้น ปูอาจารยกจ็ ะทาํ หนาทีเ่ ดยี วกันนี้ ซ่งึ อาจกลาวไดวา ปูอาจารยทําหนาท่ี
เปนตัวกลางที่จะประสานหรือทําความเขาใจระหวางชาวบานกับพระสงฆและศาสนพิธี ในบางวัด
ทีเ่ จาอาวาสไมสนั ทัดเรอ่ื งพธิ ีกรรม ก็จะมอบหมายใหปูอาจารยเปนหลักในการดานนี้ ในสมัยกอนน้ัน
ชาวบานจะใหความเคารพและเชื่อฟงปูอาจารยพอๆ กับพระสงฆ นอกเหนือจากการไดรับเครื่อง
ไทยทานอยางเดยี วกับพระสงฆในพิธตี างๆ แลว ชาวบานจะรวบรวม ขาวเปลือกมอบใหแกปูอาจารย
เพราะตองการใหปูอาจารยมเี วลากบั การดานนอี้ ยางเต็มท่ี โดยไมตองไปตรากตรําทํานาอีก กลาวกันว
าวัดไหนถาเจาอาวาสและปอู าจารยไมกลมเกลยี วกันแลว วัดนั้นมักจะเส่ือม ชาวบานอาจเรยี กอาจารย
หรอื ปูจารย เปนตน”

สรุปไดวา ปูจารย บางคนมีความรูทางพิธีกรรมมากกวาเจาอาวาสบางรูปเสียอีก
การใหการยอมรับนับถือ “ปูจารย” ของภาคเหนือปรากฏดังคําสุภาษิตที่คุ นหูวา “นอยบดี
เปนอาจานหนานบดีเปนจางซอ” ความหมายคือ “นอย” คือ ผูที่เคยเปนแคเณร ความรูยังนอย
ไมควรยกยองใหทําหนาที่เปนอาจารยวัดสวน “หนาน” คือ ผูที่บวชเปนพระมาแลว ถือวามีความรู
มากควรยกยองใหทําหนาทเ่ี ปนอาจารยวดั ไมควรใหไปเปนชางซอ ซ่งึ คนสวนใหญในสงั คมก็เปนกนั ได

๒.๒ แนวคดิ เกย่ี วกบั บทบาทและหนาที่ของปูจารยในทางพระพุทธศาสนาแบบลานนา

สมยั พทุ ธกาล มรรคนายกมีบทบาทในการสงเสริมพระพทุ ธศาสนา ใหเจริญรุงเรืองอยางมาก
ดังจะเห็นไดจากกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาในดานตางๆ โดยผูวิจัยจะศึกษาตามแนวคิดเรื่อง

๒ อนุ เนินหาด, ผีปยู าพระสงฆปูจานปาเฮ่ยี วและสปั เหรอ, (เชียงใหม : นพบรุ กี ารพิมพ, ๒๕๔๗),
หนา ๑.



มัคนายกในบทบาทการสงเสริมพระพุทธศาสนา กลาวคือ บทบาทการสรางศาสนทายาท บทบาทการ
เผยแผพระพุทธศาสนา บทบาทดานสังคมสงเคราะหและ บทบาทดานศาสนพธิ ีตามรายละเอียดดงั นี้

คําวาศาสนทายาท มาจากคําวา ศาสน๓ คือ วาดวยคําสอน และกิจการทั่วไปของหมูชน
ผูนับถือลัทธิความเชื่อ ทายาท คือ ผูสืบสกุล ผูรับหรือผูอยูในฐานะที่จะรับตําแหนงหนาที่ตอจาก
บุคคล เมื่อนํามารวมกันแลว คือ ผูสืบทอดในคําสั่งสอนของลัทธิในศาสนานั้นๆ จากการศึกษาพบวา
ผูที่เปนศาสนทายาทเปนผูที่มคี วามเหมาะสม และสมควรที่จะเปนผูรับมรดกสืบทอดตอเจตนารมณ
สมัยพุทธกาลมีบทบาทในสรางศาสนทายาทไวเพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา โดยใหการสงเสริม
กุลบตุ รกลุ ธดิ าใหมีคุณธรรมเขาถึงพระรัตนตรัย ดวยการอบรมดูแลเอาใจใสเปนอยางดีแนะนําในสิ่งท่ี
ดีกลาวคือ หามปรามไมใหทาํ ความชั่ว ใหตั้งอยูในความดี ใหการศึกษาศิลปวิทยา หาคูครองท่ีสมควร
ให และมอบทรัพยสมบัตใิ หในเวลาอนั สมควร

๒.๓ แนวคิดและทฤษฎีเก่ยี วกับบทบาทและหนา้ ที่ของมัคนายก

สมัยพุทธกาลมัคนายกมีบทบาทในการส่งเสริมพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก
ดังจะเห็นได้จากกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาในด้านต่างๆโดยผู้วิจัยจะศึกษาตามแนวคิดเรื่อง
มัคนายกในบทบาทการสง่ เสรมิ พระพทุ ธศาสนา กลา่ วคือ บทบาทการสรา้ งศาสนทายาท บทบาทการ
เผยแผ่พระพุทธศาสนา บทบาทด้านสังคมสงเคราะห์ และบทบาทดา้ นศาสนพธิ ีดังนี้

(ก) บทบาทช่วยสร้างศาสนทายาท
คำวา่ ศาสนทายาท มาจากคำวา่ ศาสนคอื วา่ ด้วยคำสอน และกิจการทั่วไปของหม่ชู นผนู้ ับถือ
ลัทธิความเชื่อ ทายาท คือ ผู้สืบสกุล ผู้รับหรือผู้อยู่ในฐานะที่จะรับตำแหน่งหน้าที่ต่อจากบุคคล
เมื่อนำมารวมกันแล้ว คือ ผู้สืบทอดในคำสั่งสอนของลัทธิในศาสนานั้นๆ จากการศึกษาพบว่า
ผู้ที่เป็นศาสนทายาทเป็นผู้ที่มีความเหมาะสม และสมควรที่จะเป็นผู้รับมรดกสืบทอดต่อเจตนารมณ์
สมัยพุทธกาลมีบทบาทในสร้างศาสนทายาทไว้เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา โดยให้การส่งเสริม
กุลบุตรกลุ ธิดาให้มีคุณธรรมเข้าถงึ พระรัตนตรัย ด้วยการอบรมดูแลเอาใจใส่เปน็ อย่างดีแนะนำในสิ่งท่ี
ดีกลา่ วคอื ห้ามปรามไมใ่ ห้ทำความชั่ว ใหต้ ัง้ อยใู่ นความดี ใหก้ ารศกึ ษาศิลปวิทยา หาคู่ครองที่สมควร
ให้ และมอบทรัพยส์ มบตั ิใหใ้ นเวลาอนั สมควร๔
ศาสนทายาท ถือว่าเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีบนโลกเหมือนกับสัตว์ พืช และก๊าชธรรมชาติ
ท่จี ะตอ้ งมกี ารเกดิ ขึ้น ตงั้ อยู่ และดับไปเหมอื นกับกฎไตรลักษณ์ พระสมั มาสมั พุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ว่า
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่สามารถพัฒนาได้ทั้งร่างกายและสติปัญญา ทั้งยังสามารถพัฒนาให้เกิด
การศึกษาเรียนรู้ได้มากกว่าสัตว์และพืชทั่วไป เพื่อให้ได้รูปแบบในการพัฒนาศาสนทายาทตาม

๓ พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท, (กรุงเทพมหานคร :
ไทยพานชิ การพิมพ, ๒๕๔๙), หนา ๒๙๑.

๔ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, (กรุงเทพมหานคร :
ไทยพานิชการพิมพ์, ๒๕๔๙), หนา้ ๒๙๒.

๑๐

คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในพระพุทธศาสนา ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาแนวคิด หลักการและทฤษฎีการ
พัฒนามนุษย์ ดงั นี้

พระพทุ ธศาสนา มีลกั ษณะสำคัญอย่างหน่ึงคอื ยืนยนั ในศักยภาพของมนุษย์ เดิมนัน้ เราพดู ว่า
มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ พระพุทธศาสนายอมรบั ความสำคัญของมนุษย์ว่ามภี าวะเป็นสัตว์ท่ีฝึกได้และ
ฝึกได้จนถงึ ขน้ั เปน็ สตั ว์ประเสรฐิ มองอีกแง่มุมหนึ่งก็ว่ามนุษยเ์ ปน็ สัตว์ท่ีต้องฝึกและจะประเสริฐสุดได้
ด้วยการฝกึ มนุษย์จึงจะมีศักยภาพสงู สุดในการฝกึ หมายถึง การพัฒนาตน ดงั พุทธพจนว์ ่า ทนโฺ ต เสฏ
โฐมนุสฺเสสุ ผู้ที่ฝึกแล้วเป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ ถ้ามนุษย์ไม่พัฒนาตนหรือฝึกตนแล้วก็จะเปน็
สัตว์ที่ต่ำทรามที่สุด ซึ่งพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) กล่าวว่า มนุษย์แพ้สัตว์ดิรัจฉานในด้าน
สญั ชาตญาณ สตั ว์ดิรัจฉานท้ังหลายสว่ นมากพอเกิดมากด็ ารงชีวติ ได้ด้วยสญั ชาตญาณ มันอยู่กับพ่อ
แม่นิดเดียวกร็ ู้จักเป็นอยู่รู้จักหากินดำรงชีวิตได้เลย ดังนั้น มนุษย์ คือ สัตว์ผู้ต้องศึกษาธรรมชาติของ
ชีวิต ในระบบการดำเนินชีวิตของคนเราประกอบไปด้วยพฤติกรรม จิตใจ และปัญญา เมื่อเราฝึกฝน
พัฒนามีการศึกษากท็ ำใหก้ ารดำเนินชวี ิตของเราดีขึน้ แตถ่ า้ เราไมเ่ รียนไม่ฝึก เราก็จะดำเนินชีวิตให้ดี
ไมไ่ ด้เลย ทงั้ น้ีโดยความคงตวั แหง่ ธรรมชาติของมนษุ ย์ ปัญหาเกย่ี วกบั ชวี ติ ด้านในหรอื ปัญหาทางจิตใจ
เป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ล้วนๆ ที่มีรัก โลภ โกรธ หลง รักสุข เกลียดทุกข์เป็นต้น
ส่วนปญั หาด้านนอกเกยี่ วกับสังคมมีสว่ นหนึง่ เก่ียวดว้ ยธรรมชาติของมนษุ ย์ เม่อื ยังเปน็ มนษุ ย์ก็จะยังมี
ลักษณะปญั หาเช่นน้ี

จึงเห็นไดว้ า่ มนุษย์มีความจำเป็นต้องไดร้ ับการพัฒนาทั้งทางกาย วาจาและจิตใจ ซึ่งมนุษย์
เมือ่ อยูร่ ่วมกันเปน็ กลมุ่ ก้อนและมีการดำเนินชีวิตประจ าวนั ร่วมกนั เปน็ ชุมชนเป็นสังคม ย่อมมีความ
แตกตา่ งในปัจเจกบคุ คลดังทฤษฎีบุคคล ๔ จำพวก เพ่ือส่งเสรมิ พฒั นาให้มนุษยส์ ามารถใช้ชีวิตร่วมกัน
ในสังคมได้และแก้ข้อขดั แย้งท่ีอาจจะเกดิ ข้ึนในการอยรู่ ่วมกัน มนุษย์จึงควรได้รับการศกึ ษาและพัฒนา
ตนเองการพัฒนาในทางพระพุทธศาสนานั้นสามารถพัฒนาได้ทั้งภายนอกและภายในคือการพัฒนา
ทางดา้ นศีล สมาธิ ปัญญาและการพัฒนาจิต และเพอื่ เพ่มิ ศกั ยภาพให้มนุษย์นั้นเปน็ ผู้ที่มีความรู้สึกถูก
ผดิ ดี ชวั่ ประโยชน์และโทษ ในรปู แบบตา่ งๆ เพ่อื ครอบครวั สรรพสัตว์ จะไดม้ คี วามสุข หายจากทุกข์
ท้งั ปวง อยูร่ ่วมกันในสงั คมได้โดยไมเ่ บยี ดเบยี นกนั

ในพระไตรปฎิ ก กล่าวไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจา้ ไดต้ รัสพระคาถาแกพ่ ระอานนทว์ ่า เราจักอด
กลั้นถอ้ ยคำลว่ งเกิน เหมือนพญาชา้ งสารในสงคราม อดทนลูกศรท่ีตกจากแลง่ เพราะคนจำนวนมาก
เป็นผูท้ ุศลี คนท้ังหลายนาสตั วพ์ าหนะท่ีฝึกแลว้ ไปสทู่ ่ีประชุม พระราชายอ่ มทรงราชรถท่ีฝึกแล้ว ในหมู่
มนุษย์คนที่อดกลั้นถ้อยคำที่ล่วงเกินได้ชื่อว่าเป็นผู้ฝึกตนได้แล้ว เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ม้าอัสดร ม้า
อาชาไนย มา้ สนิ ธพ ชา้ งใหญช่ าตกิ ญุ ชรทีไ่ ดร้ ับการฝกึ หัดแลว้ เป็นสตั ว์ประเสริฐ แตค่ นท่ีฝึกตนได้แล้ว
ประเสริฐกว่าสัตวพ์ าหนะเหล่านั้น๕

พระพทุ ธองคท์ า่ นทรงให้ข้อธรรมแก่สรรพสตั ว์ไว้อยา่ งดี สามารถนำไปปรับประยุกตใ์ ช้ในชีวิต
ประจาวนั ไดอ้ ย่างมเี หตมุ ผี ล โดยเฉพาะมนุษย์ผไู้ ด้ชื่อวา่ เปน็ สัตวป์ ระเสรฐิ ร้จู กั การฝึกฝน ฝึกอบรมและ
พัฒนาตนเองให้มีความรู้ ความสามารถ เชี่ยวชาญในกิจการต่างๆ รวมทั้งการฝึกกาย วาจา ใจและ

๕ ดรู ายละเอยี ดใน ข.ุ ธ.อ. ๗/๑๒๕.

๑๑

สติปญั ญาเร่ืองดงั กลา่ วความต้องการท่ีจะปลูกฝง๎ และส่งเสริมกุลบุตรและกุลธดิ า ให้เป็นคนมคี ณุ ธรรม
และจริยธรรมมจี ิตใจท่ีมีความเอ้ือเฟือ้ แผ่ ซ่งึ สามารถชกั จงู ให้ลูกๆ เข้าถงึ พระรัตนตรัยได้ยังให้ปฏิบัติ
หน้าที่แทนตนทุกอย่างถอื ไดว้ า่ เปน็ บทบาทต่อการสร้างศาสนทายาททีเ่ ห็นไดช้ ัดอีกอย่างหนึ่งยังเปน็
การสบื ตอ่ อายุพระพทุ ธศาสนาไวอ้ ีกด้วย

(ค) การสนับสนนุ ด้านปัจจัยในการเผยแผธ่ รรม
การสนบั สนนุ ด้านป๎จจัยต่อการเผยแผ่ธรรมในสมัยพทุ ธกาล ทำไดห้ ลายวธิ ีแต่ทีท่ ำเหน็ เด่นชัด
ก็ใช้การเผยแผ่ธรรมะเป็นป๎จจัย ถือเป็นสิ่งทีส่ ำคัญตอ่ พระพุทธศาสนา ถึงแม้สมัยพุทธกาลมัคนายก
ไม่ใช่นักบวช แต่เป็นคนอยู่เบื้องหลังของการด ารงอยู่ของพระพุทธศาสนา เป็นขุมกำลังที่สำคัญ
รองลงมาจากพระสาวก เป็นบุคคลทีช่ ่วยให้และแสวงหาทั้งกำลังทรัพย์ กำลังสติปัญญาคอยใหค้ วาม
อุปถัมภ์ในด้านต่างๆ แก่พระสงฆ์ และเป็นเคร่ืองจักรตัวส าคัญในการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา
ไม่ใช่จะคอยให้ความอุปถมั ภ์บำรงุ พระพุทธศาสนาอย่างเดียว แตย่ ังทำหนา้ ที่ในการเผยแผ่หลักธรรม
คำสอนทางพระพทุ ธศาสนา สมัยพทุ ธกาลหลายท่าน ไดม้ ีการสนับสนุนด้านปัจจัยในการเผยแผ่ธรรม
หลายวิธี เชน่ การแสดงธรรม การสนทนาธรรม การถามปญ๎ หา การสนบั สนุนป๎จจยั สี่กบั พระสงฆ์และ
บคุ คลอืน่ ทน่ี ับถอื ลทั ธิอื่นๆ
(ง) การชกั จงู ไปฟงั ธรรม
การชักนำผู้คนไปฟังธรรม เป็นอีกบทบาทหนึ่งที่มัคนายก ในสมัยพุทธกาลได้กระทำ
เพื่อสบื ตอ่ อายุของพระพุทธศาสนา พบว่า มีบคุ คลหลายทา่ นที่ไดฟ้ ังธรรมและบรรลุธรรมหนั มานับถือ
พระพทุ ธศาสนาและให้การบำรุงอุปถัมภ์ เป็นเพราะการชกั นำนั่นเองนัน่ หมายถึงว่าพระพุทธศาสนา
มีความเจริญรุ่งเรอื งกวา้ งไกล เหน็ ไดว้ ่า การชกั จูงไปฟ๎งธรรมเป็นการประกาศหลกั ธรรมคำสงั่ สอนของ
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการสืบต่ออายุพระศาสนา
ในทางหน่ึง นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำใหพ้ ระพุทธศาสนาดำรงม่ันคงอยู่ได้
(จ) การสนทนาธรรม
การสนทนาธรรมเป็นบทบาทการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไม่ได้เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์
แต่เพียงผู้เดียว แต่เป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท ๔ การสนทนาเป็นการท าความเข้าใจแก่ผู้ที่มอง
พระพทุ ธศาสนาในทางที่ผดิ โดยเฉพาะมัคนายกสมยั พุทธกาลได้ใช้เวลาการสนทนาธรรมเพ่ืออธิบาย
ให้เข้าใจได้ถูกต้องพร้อมกับการชี้แนะนำดังนี้ (๑) เห็นว่าโลกเที่ยงข้อนี้เท่านั้นจริงอย่างอื่นไม่
(๒) เห็นว่าโลกไม่เที่ยง ข้อนี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นไม่จริง (๓) เห็นว่าโลกมีที่สุด ข้อนี้เท่านั้นจริง
อย่างอืน่ ไมจ่ รงิ (๔) เห็นว่าโลกไมม่ ีทสี่ ุด ขอ้ นี้เท่าน้นั จรงิ อย่างอื่นไม่จริง (๕) เหน็ ว่าชีวะกับสรีระเป็น
อยา่ งเดียวกัน ข้อน้เี ท่านัน้ จริง อยา่ งอนื่ ไมจ่ รงิ (๖) เหน็ วา่ ชวี ะกับสรีระเปน็ คนละอย่างกนั ข้อน้ีเทา่ น้ัน
จริง อย่างอื่นไม่จริง (๗) เห็นว่าหลังจากตายแล้ว สัตว์ย่อมเกิดอีก ข้อนี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นไม่จรงิ
(๘) เหน็ ว่าหลังจากตายแล้ว สตั ว์ยอ่ มไม่เกดิ ข้อน้เี ทา่ น้นั จริงอย่างอน่ื ไม่จรงิ (๙) เห็นว่าหลังจากตาย
แล้ว สัตว์ย่อมเกิดอีกก็มี ไม่เกิดอีกก็มี ข้อนี้เทา่ นัน้ จริงอย่างอื่นไม่จริง (๑๐) เห็นว่าหลงั จากตายแล้ว
สตั วย์ ่อมเกิดอกี ก็ไมใ่ ช่ ยอ่ มไม่เกิดอีก กไ็ ม่ใช่ข้อนี้เทา่ นั้นจริงอยา่ งอืน่ ไม่จรงิ
สรุปได้ความวา่ “ทุกท่านที่มีทฏิ ฐิอย่างนี้เพราะพิจารณาโดยไม่แยบคาย เพราะได้ฟังมาจาก
ผู้อื่น ทิฏฐิเหล่านี้เกิดมี ถูกปรุงแต่งและก่อข้ึนมา โดยอาศัยป๎จจัยเกิดข้ึนมา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์สิ่งน้ัน
ที่พวกท่านผู้นี้ติดอยู่และเข้าถึง” และได้กล่าวในทิฏฐิของตนว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดมี ถูกปรุงแต่ง

๑๒

กอ่ ข้นึ มาอาศยั ป๎จจัยเกดิ ขึน้ มา สงิ่ นน้ั ไมเ่ ทยี่ ง เปน็ ทุกข์ น้ันไมใ่ ช่ของเราเราไม่เป็นนั้น นั้นไม่ใช่ตัวตน
ของเรา” และกล่าวอกี ว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกดิ มีถูกปรุงแต่งก่อขึ้นมา อาศัยปัจจัย
เกิดขึ้นมา สิ่งนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ข้าพเจ้าได้เห็นดีแล้วด้วยป๎ญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า
นั้นไม่ใช่ของเรา เราไมเ่ ป็นน้นั น้ันไม่ใช่ตวั ตนของเราและขา้ พเจา้ ยอ่ มรู้ชัดตามความเปน็ จริง ซ่งึ เป็นวิธี
สลดั สง่ิ นั้นทิ้งอยา่ งเดด็ ขาด”

พระพุทธองค์ทรงอนุโมทนา ทรงตรัสรับสั่งชมเชยการกระทำของมัคนายกใหญ่แห่งกรุง
สาวัตถีให้เหล่าพระภิกษุสงฆ์ฟังว่า “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่บวชได้ ๑๐๐ พรรษา จึงจะพึงข่มพวกอัญ
เดียรถีย์ปริพาชกได้อย่างมีเหตุผล เทียบเท่ากับมัคนายกใหญ่แห่งกรุงสาวัตถีข่มได้”แสดงให้เห็นว่า
การสนทนาธรรมระหว่างอนาถบิณฑิกะกับพวกอัญเดียรถีย์ปริพาชก เป็นการสนทนาธรรมเชิงถาม
ตอบปัญหากัน ซึ่งท่านก็ได้ใช้สติป๎ญญาสามารถอธิบายเรื่องอันตคาหิกทิฏฐิ ๑๐ ประการได้อย่างดี
แสดงว่าท่านเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจ และได้รับการศึกษาตามหลักการทางพระพุทธศาสนา
มาเป็นอยา่ งดีสามารถถา่ ยทอดให้มคี วามเขา้ ใจในหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา

(ฉ) บทบาทด้านสังคมสงเคราะห์
พระพทุ ธศาสนามหี ลักคำสอนการอยู่ในสงั คมหลายประการไม่ว่าจะเปน็ ปุถุชน หรอื มัคนายก
ผู้เปน็ พระอรยิ บุคคลเม่ืออยคู่ รองเรือนก็ต้องปฏิบัติตามหลกั คำสอนเชน่ เดียวกัน การปฏิบัติหน้าท่ีต่อ
บุคคลอื่นเป็นสิ่งที่จะละเลยไม่ได้ เพราะทุกคนจะต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน ด้วยการสร้าง
ความสมั พันธ์ทดี่ ีต่อกันโดยธรรม ซงึ่ จะศกึ ษาตามลำดบั กลา่ วคอื การอนเุ คราะห์ญาติ การสงเคราะห์
มติ รสหาย การสงเคราะห์บริวารการสงเคราะห์ผยู้ ากไร้ ดงั น้ี
(ช) การอนุเคราะห์ญาติ
บทบาทในการอนเุ คราะหญ์ าติของมคั นายกสมัยพทุ ธกาล ทีเ่ หน็ และเปน็ เร่อื งปรากฏและตรง
กับผู้วิจยั ได้ศึกษาคือ การอนุเคราะหญ์ าติของมคั นายกแห่งกรงุ สาวตั ถีบุคคลที่มีจิตใจเอือ้ เฟ้ือเผือ่ แผ่
เป็นที่เลื่องลือในหมู่คณะสงฆ์ และประชาชนทั่วไป ทำให้เห็นว่า บทบาทการอนุเคราะห์ญาติ
ของมัคนายกอย่างอนาถบิณฑิกะ ที่ให้โอกาสด้วยการพาไปเข้าเฝูาพระพุทธเจ้าและกราบทูลเรื่อง
ดังกล่าวพระองค์ทรงแสดงธรรมโปรด จนนายเขมกะเกิดความสลดสังเวชต่อการกระทำของตน
เมื่อฟังธรรมเทศนาจบก็บรรลุโสดาปัตติผล ตั้งแต่นั้นมาประกาศตนเป็นอุบาสก ประพฤติปฏิบัติต่อ
หลกั ธรรมคำสัง่ สอนของพระพทุ ธเจา้
(ซ) การสงเคราะหม์ ติ รสหาย
มิตรในทางพุทธศาสนา นับว่ามีความสำคัญมากต่อชีวิตของบุคคลทุกคนดงั นั้น การคบคนดี
เป็นมิตรมีจิตน้อมไปในความตั้งใจเชื่อฟัง ถ้อยคำของคนดีย่อมเป็นประโยชน์เป็นทางที่นำไปสู่ความ
สำเร็จ มัคนายกหรอื เศรษฐี คหบดี นับไดว้ ่าเป็นผทู้ ี่มที รัพยม์ ากและรู้จกั การแสวงหาหากแม้ว่าคบมิตร
เทียม กล่าวคือ เป็นศัตรูผู้มาในร่างของมิตร๖ย่อมทำให้ทรัพย์ท่ีมีพึง่ หมดไปได้ แม้แต่การบรรลุมรรค
พรหมจรรย์ก็ย่อมอาศัยมิตรดีหรือกัลยาณมิตร ถ้าบุคคลไม่คบธรรมไม่เคารพเชื่อฟังพระพุทธเจ้า

๖ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๙๒/๒๐๑.

๑๓

ก็ยอ่ มไม่สามารถตรสั รู้ได้ ในทางตรงกนั ข้ามผู้ที่ไม่เชื่อไม่คบคนดีแตไ่ ปคบคนพาลเป็นมิตร ย่อมนำไปสู่
ความเสยี หาย

พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องของการคบมิตรไว้ในมงคลสูตร เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้นำมาปฏิบตั ิ
นักธุรกิจสมัยพุทธกาลได้ชื่อว่า เป็นผู้หนึ่งที่มีมิตรสหาย ที่เป็นกัลยาณมิตรทำให้ท่านได้รับคำแนะ
นำในสิ่งที่มีประโยชน์ ส่งเสริมให้ท่านดำเนินไปในหนทางที่งดงามเห็นว่า มัคทายกสมัยพุทธกาล
เป็นผู้ได้กระทำในเรื่องความเป็นมิตรทั้งต่อครอบครัวและต่อผู้อื่น ดังที่ปรากฏจากข้อความที่กล่าว
มาแล้วจัดเป็นผู้ที่อยู่ในลักษณะมิตรแท้๗คือ เป็นมิตรสหายที่คบหากันร่วมกันทกิจกรรมต่างๆ ด้วย
สัมมาทิฏฐิมีความเกื้อกูลกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบกันตลอดถึงความเข้าใจใน
สถานภาพและบทบาทที่แสดงออก ยังเป็นที่พึ่งพาอาศัยกันและกันได้๑๒แต่ยังมีบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งท่ี
ถอื ว่าเป็นผู้อยูเ่ บื้องหลังในความสำเรจ็ ในการทำงานทุกๆ ด้านนั้น คือบรวิ าร ดังทจี่ ะกลา่ วต่อไป

(ญ) การสงเคราะห์ผยู้ ากไร้
การใช้หลักการทางพระพุทธศาสนา มาเป็นแนวทางในการประกอบธุรกิจย่อมส่งผลให้
ครอบครัวของตนมีเศรษฐกิจที่ดีมีความมั่นคง เมื่อภายในครอบครัวมีเศรษฐกิจการเงินที่ดีเป็น
จุดเริ่มตน้ ของครอบครวั ท่จี ะต้องรจู้ ักสร้างฐานะความเปน็ อยู่ใหด้ ีข้นึ พระพทุ ธองค์ทรงตรัสสอนในเร่ือง
ของทรัพย์ที่มัคนายกหามาได้ ดังที่ปรากฏในอาทิยสูตร ว่าทรัพย์ที่หามาได้จากการประกอบอาชีพ
สุจริตด้วยความขยันหมั่นเพียร ต้องนำมาเลี้ยงตน บิดามารดา บุตรภรรยาและเลี้ยงคนในปกครอง
นำทรัพย์ที่หามาได้ไปบำรุงมิตรสหายและผู้ร่วมงานนำทรัพย์ที่หามาได้ไปปกป้องรักษาสวัสดิภาพ
ทำตนให้ม่นั คงปลอดภัยจากอันตรายตา่ งๆ เกดิ จาก ไฟ น้ำ ผปู้ กครองเมือง โจร คนที่ไมช่ อบกัน หรือ
ทายาท นำทรัพย์ที่หามาได้ไป ทำพลีคือ สละบำรุงและบูชาสิ่งที่เคารพ ประกอบด้วย ญาติพลี
สง่ เสริมญาติ อตถิ ีพลี ต้อนรับแขกทีม่ าเยี่ยมปุพพเปตพลี ทำบญุ เพอ่ื อุทศิ แกผ่ ู้ลว่ งลับ ราชพลี เสยี ภาษี
ช่วยเหลือเมอื ง เทวตาพลี ทำบญุ อทุ ศิ ในส่ิงที่ตนเคารพบชู า และนำทรพั ยท์ ่ีหามาได้จัดถวายทักษิณา
ทานแด่สมณพราหมณ์ แสดงให้เห็นว่า นอกจากที่จะนำทรัพย์ที่หามาได้ เพื่อนำไปใช้เกิดประโยชน์
ในด้านต่างๆ ซึ่งได้จากการแสวงหาทรัพย์ในทางที่ถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจริตและไม่เบียดเบียนผู้อื่น
แลว้ นำมาใชจ้ ่ายเล้ียงดตู นเองและครอบครัว ตลอดจนทำบญุ ทำทาน แล้วยงั นำทรัพยม์ ากระจายเพื่อ
เข้าไปช่วยสงเคราะหแ์ ก่ผยู้ ากไร้๘
(ฑ) บทบาทด้านศาสนพธิ ีพิธี
“สง่ เคราะห์”ปุจู ๋ารย์เล่าเรื่องพธิ นี ี้วา่ “เป็นความเช่ือของชาวบา้ นมาแตโ่ บราณซึ่งเป็นเร่ืองที่ดี
ไม่เกิดโทษหรือความเสื่อมเสียต่อชุมชน เป็นการสะเดาะเคราะห์ให้หมดไป ชาวบ้านก็จะมาขอให้
ทำพิธี คือ ขอให้ไปส่งสะตวงให้หน่อย ส่วนใหญ่จะไม่สบาย เมื่อไปให้หมอเข้าทรงดู (หมอพื้นบ้าน)
มักทักวา่ ไปที่นัน่ ที่น่ีมาแลว้ ถูกผีทกั ใหเ้ ราตกใจ เช่น เดินไปที่ตน้ ไม้ใหญ่ นางไม้ไม่ได้กินอะไรกม็ าทกั

๗ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), ธรรมนูญชวี ติ , (กรุงเทพมหานคร :มูลนิธบิ รรจงสนิท, ๒๕๔๘),
หน้า ๖๖-๖๙.

๘ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พจนานกุ รมพุทธศาสน์ฉบับประมวลศัพท์, หน้า๑๓๔.

๑๔

เราเราจะสะดุ้งจิตไมส่ บายและทำให้เจ็บไข้ไดป้ ่วย ต้องไปหาปูุจ๋ารยใ์ ห้ทำพิธีกรรมทำสะตวง อาจจะ
ไม่ใชป่ ุจู า๋ รย์กไ็ ด้ ไปหาคนทเี่ คยบวชเรยี นแล้วกไ็ ด้

“กต็ อ้ งทำสะตวงสง่ ไป มีคำกล่าวเป็นภาษาเมืองอาจเรยี กวา่ คาถากไ็ ด้ ในสะตวงจะมีของเซน่
ไหว้ เช่น บุหรี่เมี่ยง หมาก พลู ข้าวต้ม ขนม เนื้อสุก บางทีผีที่ทักอยากกินเนื้อดิบ ปลาดิบ ก็ใส่ไป
ขึ้นอยู่กับที่หมอดูทักไว้ เช่น คนนี้ป่วยเพราะเดินไปทิศใต้ ไปสะดุ้งต้นไม้ใหญ่มาทักเราอยากจะกิน
จิน้ ลาบ แกงออ่ ม ไกค่ ู่ เหลา้ ขาว ก็มี กต็ ้องใส่ไปในสะตวง”

ดา้ นการส่งเคราะห์เพิ่มเติมว่า“สิ่งของในกระทงเรียกวา่ เครื่องส่ี คือ ต้องมี ๔ ช้นิ คอื ขา้ ว ๔
แกงสม้ แกงหวาน ๔ บุหรี่ ๔ เมีย่ ง ๔ หมาก ๔ เทยี น ๔ กลว้ ยออ้ ย ๔ มีน้ำขม้ินส้มปอุ ย มจี อ้ หรอื ธงสี
ข้าวสามเหลี่ยมปักในกระทง ใช้ดินน้ำมันป้ันเป็นรูปสัตว์ตามราศีของเจ้าของพิธี และใช้ดินน้ำมัน
ป้ันเป็นรูปเทวดา พิธีกรรมไปทำที่บ้านของเจ้าของพิธี มีการกล่าวคาถาใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
กเ็ สร็จ หลังจากน้ันกผ็ กู ขอ้ มือและทำพธิ ีปัดเคราะห์ คอื ใหเ้ จา้ ของพธิ ีแบมือท้ังสองข้างและใช้ด้ายสาย
สนิ ธ์ุป๎ดทฝ่ี ุามอื ออกมานอกตัว และกล่าวคาถาเปน็ อนั จบ ค่าส่งเคราะห์เรียกว่า ค่าขนั ตง้ั เป็นเงิน ๓๖
บาท”๙

สรุปว่า “ปู่จ๋ารย์” นอกจากเงินที่ได้จากเจ้าภาพมอบให้แล้ว เงินค่าครองชีพอีกส่วนหนึ่งได้
จากการทำพิธีให้ชาวบ้าน เช่น พิธขี ้ึนทา้ วทง้ั สี่ สำหรับงานมงคลตา่ งๆ หรอื พิธสี ง่ เคราะห์หรือสะเดาะ
เคราะห์การรับหนา้ ทปี่ ุูจา๋ รย์ประจำวัด บางแหง่ บอกวา่ จำยอมเป็นปูุจ๋ารย์ เพราะชมุ ชนผลักดันให้เป็น
ตอ้ งเสยี สละเวลาส่วนตวั มาก ไม่ไดท้ ำงานหารายได้ หากมีคนอน่ื เป็นแทนจะเลิก

๒.๓.๑ บทบาทของอุบาสกด้านการสง่ เสริมเผยแผ่พระพุทธศาสนา
พระพทุ ธศาสนา มีความเจรญิ รุ่งเรอื งสืบมาตัง้ แต่เมื่อคร้งั อดีตจนถงึ ป๎จจุบันเน่ืองจากมีเหล่า
สาวกได้ชว่ ยกันทำหนา้ ท่เี ผยแผ่คำสอนของพระพทุ ธศาสนาให้กว้างไกลและคอยอุปถัมภบ์ ำรุงส่งเสริม
พระพทุ ธศาสนาให้มีความมนั่ คงเป็นปึกแผน่ สืบมาโดยลำดับ อุบาสกเปน็ สาวกกลุ่มหนึ่งที่ได้มีบทบาท
ช่วยสง่ เสรมิ สนบั สนนุ พระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองมาโดยลำดับ ในพระไตรปิฎก ไดก้ ลา่ วถึง
บทบาทของอุบาสกไว้ในลักษณะต่าง ๆ กัน แต่เมื่อกลา่ วโดยสรุปแลว้ มี ๒ ประการ คือ บทบาทด้าน
การถวายความอปุ ถัมภ์พระสงฆแ์ ละบทบาทดา้ นการสง่ เสรมิ พระพุทธศาสนาใหม้ ัน่ คง
ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีขึ้นครั้งแรกภายหลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และมี
พระดำริที่จะทรงเผยแผ่พระสัจธรรมในเบื้องแรกทรงดำริถึงบุคคลที่เคยรู้จัก คือ อาฬารดาบสและ
อุทกดาบส ก็ทรงรู้ด้วยพระญาณว่าทั้งสองดาบสน้ันได้เสียชีวิตแลว้ และต่อมาทรงพจิ ารณาถงึ บุคคล
ใกล้ชิดพระองค์คือ พระปัญจวัคคีย์ ก็รู้ว่าอยู่ที่ปาุ อิสิปตนมฤคทายวนั เขตกรุงพาราณสีจึงได้เสดจ็ ไป
เพื่อโปรดบุคคลเหล่านั้น คณะสงฆ์คณะแรกที่เข้ามาสู่สังคมสงฆ์ในพระพุทธศาสนาจึงเป็นพระปัญจ
วัคคีย์ซึ่งประกอบไปด้วยพระอัญญาโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะและ
พระอัสสชิ เมื่อเสด็จไปถึงทรงแสดงธรรมชื่อว่า “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” โปรดท่านเหล่าน้ัน
จบพระธรรมเทศนาพระอัญญโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรมว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็น

๙ อนุ เนินหาด, ผปี ่ยู า่ พระสงฆ์ ปู่จา๋ น ปา่ เฮีย่ ว และสัปเหร่อ, (เชียงใหม่ : นพบรุ กี ารพมิ พ์ , ๒๕๔๗),

หน้า ๒๙.

๑๕

ธรรมดา สิ่งทั้งปวงนั้น มีความดับไปเป็นธรรมดา” และทูลขอบรรพชาอุปสมบทจึงนับได้ว่า
ทา่ นพระอัญญาโกณฑัญญะเปน็ พระสงฆ์รูปแรกท่ีเกดิ ข้ึนในพระพุทธศาสนา ส่วนอีก ๔ คนท่ีเหลือนั้น
พระพทุ ธเจา้ ทรงประทานการบรรพชาด้วยเอหภิ กิ ขุอุปสมั ปทา โดยตรัสว่า “เธอทั้งหลายจงเป็นภิกษุ
มาเถิด”๑๐ด้วยพระดำรัสน้ที าให้มีพระสงฆเ์ กดิ ขนึ้ ในพระพทุ ธศาสนา

พระสงฆ์กล่มุ ท่สี องท่ีเข้ามาส่พู ระพุทธศาสนา คอื พระยสะและสหายของพระยสะอีก ๔ คน
คือ วมิ ละ สุพาหุ ปุณณชิ ควมั ปติ ซ่ึงเปน็ บุตรของเศรษฐใี นกรุงพาราณสนี ัน่ เอง เมื่อ ๔ คนนี้ได้รับการ
บรรพชา สหายอีก ๕๐ คน ของพระยสะที่เป็นชาวชนบททราบข่าวแล้วมีความคิดว่าธรรมวินัยและ
บรรพชาที่ยสะกุลบุตรโกนผมและหนวดนุ่งห่ม ผ้ากาสายะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต คงจะไม่
ตำ่ ทรามเป็นแน่ จงึ ไดพ้ ากนั เดนิ ทางมาหาพระยสะและได้เข้าเฝา้ พระพทุ ธเจ้า รับฟังธรรมเทศนาจนได้
ดวงตาเห็นธรรมและสำเร็จพระอรหันต์ในเวลาต่อมา ครั้นแล้วจงึ มีพระอรหนั ต์เกิดขึ้นในโลก ๖๑ รูป
เมื่อพระสงฆ์สาวกมีจำนวนมากพอสมควรแลว้ จึงมีพระดำริท่ีจะส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนา
โดยได้ตรัสรับสั่งกับภิกษุทั้งหลาย ดังปรากฏในมารกถาว่า ภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงจาริกไป
เพ่อื ประโยชนส์ ุขแก่ชนจำนวนมากเพ่อื อนุเคราะห์ชาวโลก เพอื่ ประโยชน์เก้อื กลู และความสุขทวยเทพ
และมนุษย์ จงแสดงธรรมมีความงามในเบื้องต้น มีความงามในท่ามกลาง และมีความงามในที่สุด
จงประกาศพรหมจรรย์ พรอ้ มทัง้ อรรถและพยญั ชนะบริสุทธ์ิบริบูรณ์ครบถ้วน คร้งั พุทธองค์ทรงเสด็จ
ไปยังต าบลอุรุเวลาเสนานิคม เมืองคยา แคว้นมคธ เพราะแคว้นมคธที่มีพระเจ้าพิมพิสารเป็น
ผู้ปกครอง ถือได้ว่าเป็นแคว้นที่รุ่งเรืองและมีอำนาจเป็น ๑ ใน ๔ ของชมพูทวีปในขณะน้ัน อีกทั้งยัง
เป็นที่รวมของพวกชฎิล นักบวช และเจ้าสำนักต่างๆ มากมาย ดังเช่นท่านยาวาหะราล เนห์รู
(Jawaharlal Nehru) นายกรัฐมนตรีคนแรกและรัฐบุรุษของอินเดีย ได้ให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจไว้ว่า
สาเหตทุ ่พี ระพุทธเจา้ ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแควน้ มคธก่อนท่ีอืน่ เพราะในขณะนั้นแคว้น
มคธเป็นดินแดน ส่วนเหนอื ของอินเดียท่ีศาสนาพราหมณ์มีอทิ ธพิ ลน้อยท่ีสดุ ๑๑

พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองแผ่ขยายในกรุงสาวัตถี มีประชาชนนับถือเป็นจำนวนมาก
ลาภสกั การะก็เกดิ ขึน้ แกพ่ ระภิกษุสงฆ์ ทำใหส้ มณพราหมณ์ นักบวชปริพาชกจำนวนมากทอ่ี ยู่อาศัยใน
กรุงสาวัตถี ซึ่งเดิมที่มีความคิดเห็นและแนวคำสอนต่างกัน มักเกิดความบาดหมางทะเลาะวิวาทกัน
พูดจาเสียดสีกันอยู่แล้ว พากันด่าบริภาษภิกษุสงฆ์เวลาพบกันในปุาบ้างในหมู่บ้านบ้างกรณีนี้ท่าน
อนาถบิณฑิกอุบาสกก็เปน็ คนหนึ่งที่ได้โต้วาทะกับพวกถือลัทธิอืน่ คราวหนึ่งท่านได้โต้วาทะชนะพวก
นักบวชปริพาชก แล้วได้กราบทูลให้พระพุทธองค์ทรงทราบ ได้รับการสรรเสริญจากพระพุทธองค์
เร่อื งท่ีทา่ นอนาถบณิ ฑกิ อบุ าสกโต้วาทะกบั นักบวชปรพิ าชกนี้ พระสังคีติกาจารย์ได้จดั รวมไว้ในคัมภีร์
อังคตุ ตรนกิ าย ทสกนิบาต ซึง่ มชี ่ือพระสตู รวา่ กิงทฏิ ฐกิ สตู ร

ประเด็นที่สนทนาโต้ตอบกัน เป็นเรื่องทิฏฐิ คือ พวกอัญเดียรถีย์ปริพาชกแต่ละท่านได้
บอกทิฏฐขิ องตน รวมแลว้ มี ๑๐ ประเด็น ซ่ึงพระพุทธเจา้ ตรสั เรยี กทิฏฐเิ หลา่ นว้ี า่ อันตคาหกิ ทิฏฐิคอื

๑) เหน็ ว่าโลกเที่ยง ขอ้ น้เี ทา่ นนั้ จรงิ อยา่ งอ่นื ไมจ่ รงิ

๑๐ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๘/๒๕.

๑๑ วิ.ม. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐.

๑๖

๒) เห็นว่าโลกไมเ่ ท่ยี ง ขอ้ นเี้ ท่านั้นจริง อยา่ งอืน่ ไม่จรงิ
๓) เหน็ ว่าโลกมีท่สี ดุ ขอ้ นี้เทา่ น้นั จริง อย่างอืน่ ไม่จรงิ
๔) เหน็ วา่ โลกไมม่ ที ่สี ดุ ขอ้ น้ีเท่านนั้ จริง อย่างอื่นไมจ่ รงิ
๕) เหน็ วา่ ชีวะ (วิญญาณ) กบั สรีระเปน็ อยา่ งเดียวกนั ขอ้ นี้เท่าน้ันจริงอยา่ งอน่ื ไม่จริง
๖) เหน็ ว่าชีวะกบั สรรี ะเปน็ คนละอยา่ งกนั ข้อน้ีเท่านัน้ จริง อย่างอื่นไม่จริง
๗) เห็นวา่ หลงั จากตายแลว้ สัตวย์ ่อมเกิดอกี ข้อนี้เทา่ นน้ั จริง อย่างอนื่ ไมจ่ รงิ
๘) เห็นวา่ หลังจากตายแลว้ สตั วย์ อ่ มไมเ่ กดิ ขอ้ น้เี ทา่ น้ันจริง อยา่ งอ่นื ไมจ่ ริง
๙) เหน็ ว่า หลังจากตายแลว้ สัตวย์ ่อมเกดิ อกี ก็มี ไม่เกดิ อกี กม็ ี ขอ้ นี้เทา่ น้ันจริง อย่างอ่นื ไมจ่ ริง
๑๐) เห็นว่า หลังจากตายแล้ว สัตว์ย่อมเกิดอีกก็ไม่ใช่ ย่อมไม่เกิดอีก ก็ไม่ใช่ข้อน้ีเทา่ นั้นจริง
อย่างอนื่ ไมจ่ รงิ
ท่านอนาถบิณฑิกอุบาสก ได้กล่าวโต้ว่า ทุกท่านที่มีทิฎฐิอย่างนี้ เพราะพิจารณาโดยไม่แยบ
คาย เพราะได้ฟังมาจากผู้อื่น ทิฏฐิเหล่านี้เกิดมี ถูกปรุงแต่ง ก่อขึ้นมา อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นมาไม่เทีย่ ง
เป็นทุกข์ สิ่งนั้นท่ีพวกท่านผู้นีต้ ิดอยู่และเข้าถึงพวกปริพาชกเหล่านั้นขอให้ท่านอนาถบิณฑิกอุบาสก
บอกว่าท่านมีทิฏฐิอย่างไร ท่านอนาถบิณฑิกอุบาสกได้กล่าวชี้แจงว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดมี ถูกปรุงแตง่
ก่อข้ึนมาอาศยั ปัจจัยเกิดขึ้นมา ส่งิ นัน้ ไม่เทย่ี ง เปน็ ทุกข์ ข้าพเจ้ามีทฏิ ฐวิ ่า นัน้ ไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็น
นั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา พวกอัญเดียรดีย์ปริพาชก ได้กล่าวคัดค้านท่านอนาถบิณฑิกอุบาสกว่า
“ส่ิงใดสิ่งหนึ่งเกิดมถี ูกปรุงแตง่ กอ่ ขึน้ มา อาศยั ปัจจยั เกิดขึ้นมา สงิ่ นน้ั ไม่เทยี่ ง เป็นทุกข์ สิ่งเหล่าน้ันที่
ทา่ นเองกต็ ิดอยู่และเข้าถงึ ” ทา่ นอนาถบณิ ฑิกอบุ าสกได้กล่าวชีแ้ จงวา่ “ทา่ นผู้เจรญิ ทัง้ หลาย ส่ิงใดสิ่ง
หนึ่งเกิดมีถูกปรงุ แต่ง ก่อขึ้นมา อาศัยปัจจัยเกดิ ขึ้นมา สิ่งนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ข้าพเจ้าได้เห็นดีแลว้
ด้วยป๎ญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเราแล้ว
ข้าพเจา้ ยอ่ มรู้ชัดตามความเปน็ จรงิ ซ่งึ วธิ ีสลดั สิ่งนนั้ ทง้ิ อย่างเด็ดขาด”
เมื่อท่านอนาถบิณฑิกอุบาสก กล่าวชี้แจงอย่างนี้ ปริพาชกเหล่านั้น ก็พากันนั่งนิ่งเก้อเขิน
คอตก ก้มหน้า ซึมเซา หมดทางโต้ตอบ เมื่อท่านเห็นว่าปริพาชกเหล่าน้ันพากนั นั่งน่ิง จึงลุกจากท่นี งั่
แล้วเข้าไปเฝาู พระพุทธเจ้าถงึ พระเชตวนั ถวายอภวิ าทแลว้ นงั่ ณ ที่สมควรดา้ นหน่ึง ได้กราบทูลเรื่องที่
ตนสนทนาโต้ตอบกับพวกอัญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นแต่พระพุทธองค์ทุกประการพระพุทธองค์
ทรงอนโุ มทนาวา่ “สาธุ สาธุ คหบดี ทา่ นสามารถข่มโมฆบรุ ุษเหลา่ น้ันไดอ้ ยา่ งดมี เี หตผุ ลตามกาลท่ีควร
ครั้นแล้วได้ทรงแสดงธรรมกถาให้ท่านอนาถบิณฑิกอุบาสกเห็นชัด อยากรับไปปฏิบัติ ให้อาจหาญ
แกล้วกล้า ให้ร่าเริง ท่านอนาถบิณฑิกอุบาสกได้ลุกจากที่นั่ง ถวายอภิวาทพระพุทธองค์แล้วเดิน
ทำประทักษิณากลับไป เมื่อท่านอนาถบิณฑิกอุบาสกกลับไปไม่นานพระพุทธเจ้าได้รับสั่งเรียกภิกษุ
ทง้ั หลายมาตรัสวา่ “ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ภิกษุที่บวชได้ ๑๐๐ พรรษา จึงจะพึงขม่ พวกอัญเดียรถีย์ปริพาชก
ไดอ้ ย่างดีมีเหตผุ ล อย่างท่านอนาถบณิ ฑกิ อบุ าสกข่มได้”๑๒
จากการศึกษาพระสูตรนี้ มิใช่พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง แต่เป็นคำสนทนาโต้ตอบ
โดยใช้หลักการพระพุทธศาสนา คือหลักไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หักล้างความเชื่อถือ ๑๐

๑๒ องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๙๓/๒๑๖-๒๑๙.

๑๗

ประการ ทเ่ี รยี กวา่ อนั ตคาหกิ ทิฏฐิ คอื ความเห็นท่แี ล่นไปสุดโต่ง พวกอญั เดยี รถีย์ปริพาชกถามทิฏฐิ
ในพระพุทธศาสนาก่อน แตท่ า่ นอนาถบิณฑกิ อุบาสกยังไม่ตอบ ท่านใช้วธิ ปี ฏิปจุ ฉา คอื ย้อนถามทิฏฐิ
ของพวกเขาให้พวกเขาตอบกอ่ นแลว้ ท่านกล่าวหกั ลา้ งทิฏฐิเหลา่ นน้ั ทงั้ หมด ทพี่ วกอญั เดียรถีย์ต้องน่ิง
โต้ตอบไม่ได้ ก็เพราะพวกตนต่างยึดถือ มีความยืดม่ันถือมัน่ แต่ท่านอนาถบิณฑกิ อุบาสกบอกวา่ ท่าน
ไม่ยดึ ม่ันถือมน่ั ว่าเป็นของตน ตนเปน็ สง่ิ นัน้ สิง่ น้นั เป็นตวั ตน การออกบวชในครง้ั นนั้ ทกุ พวกก็ต่างละ
ทิ้งบ้านเรือนทรัพยส์ มบัติ พวกอัญเดียรถยี ์ตอ้ งนิ่งเพราะพวกตนท้ิงบา้ นเรือนทรัพย์สมบัติมาได้แต่มา
ยึดถือทิฏฐิภายใน ส่วนท่านอนาถ บิณฑิกอุบาสกยังไม่ได้ทิ้งบ้านเรือนและทรัพย์สมบัติ แต่กลับไม่
ยึดถือสิ่งที่พวกตนพากันยึดถือ เมื่อว่าจะมิใช่พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงก็ตาม แต่เป็นเรื่องที่
พระพุทธองค์สรรเสริญให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า เรื่องการโต้ตอบจนพวกอัญเดียรถีย์ต้องนั่งนิ่งอย่างนี้
ภกิ ษุท่บี วชนับ ๑๐๐ พรรษา จงึ จะสามารถโต้ตอบได้๑๓เป็นการเผยแผ่หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา
ของท่านอนาถบิณฑิกอุบาสก เพราะสามารถอธิบายเรื่องอันตคาหิกทิฏฐิ ๑๐ ประการได้อย่างดี
จนพวกนักบวชนอกศาสนาหมดทางโต้ตอบแสดงว่าท่านอนาถบิณฑิกอุบาสก ได้ศึกษาหลักการ
ของพระพุทธศาสนามาอยา่ งดี ท่านคงได้ยินได้ฟังจากพระพทุ ธเจ้าหรือจากพระสาวก แต่เรื่องท่ีทา่ น
ได้ฟังนน้ั มไิ ดจ้ ดั เปน็ พระสูตรหรือจดั แตม่ ไิ ด้ระบชุ ือ่ ของท่านอนาถบิณฑกิ อุบาสกว่าไดร้ ่วมฟ๎งพระสูตร
นัน้ ๆอยูด่ ้วย

ท่านอนาถบณิ ฑิกอุบาสกได้มบี ทบาทชดั เจนในด้านเอาใจใส่ในหนา้ ท่ีของพุทธบริษัทท่านเป็น
บคุ คลทป่ี ระชาชนนับถอื เช่ือถือ เวลามีอธิกรณเ์ กดิ ข้ึน แมจ้ ะเป็นเรอื่ งของพระสงฆก์ ็ตามแตเ่ ม่ือต้องให้
คฤหัสถ์รว่ มพิจารณา ท่านก็ไดร้ บั เลอื กให้เป็นผูพ้ จิ ารณาอธกิ รณ์ดว้ ยผู้หนึ่ง ซง่ึ มรี ายละเอยี ดดังต่อไปนี้

๑) การร่วมพิจารณาอธิกรณ์ของสงฆ์ กรณีท่ีมีภิกษุณีสาวตั้งครรภ์ขณะบวชเป็นภิกษุณีครง้ั
หนึ่งเกิดกรณีมัวหมองขึ้นในภิกษุณีสงฆ์ โดยมีการโจษขานว่า ภิกษุณีสาวธิดาเศรษฐีได้ตั้งครรภ์ข้ึน
และเนอื่ งจากภิกษณุ ีรูปน้ันอย่ใู นความความปกครองของพระเทวทัต พระเทวทตั จึงมีคำสั่งให้ขับออก
จากภิกษุณีสงฆ์ ภิกษุณีรูปนั้นได้เข้าเฝูาพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงทราบว่าภิกษุณีสาวธิดาเศรษฐี
ตั้งครรภ์ขณะเป็นคฤหัสถ์ก่อนบวช แต่เพื่อปูองคำครหาของพวกเดียรถีย์ว่า พระสมณโคดมรับนาง
ภิกษณุ ีทีพ่ ระเทวทตั ขับไล่ ใหอ้ ยูป่ ระพฤตพิ รหมจรรย์ จงึ มรี บั สั่งใหช้ ำระอธิกรณ์นี้ท่ามกลางบริษัทใน
วันรุ่งขึ้นโดยรับส่ังให้ทูลเชิญพระเจ้าปเสนทิโกศลราชาแห่งกรุงสาวัตถี ให้เชิญท่านอนาถบิณฑิก
อุบาสก ท่านจฬู อนาถบณิ ฑิกะ นางวิสาขามหาอบุ าสกิ าและตระกูลใหญอ่ นื่ ๆ มาร่วมพิจารณาอธิกรณ์
เมื่อบริษัท ๔ ประชุมพร้อมกันในเวลาเย็น จึงมีรับสั่งใหท้ ่านพระอุบาลีเถระเป็นผู้ตัดสินอธิกรณ์ของ
ภิกษุณีสาวใหห้ มดจดท่ามกลางบรษิ ทั ๔

ทา่ นพระอบุ าลีรับหน้าทช่ี ำระอธกิ รณ์ ได้มอบใหน้ างวิสาขาไปพจิ ารณาดูใหร้ ูช้ ดั ว่าภิกษุณีสาว
นั้น บวชวันไหนเดือนไหน สอบดูให้ชัดว่าภิกษุณสี าว ตั้งครรภ์ก่อนบวชหรือหลังบวชนางวิสาขามหา
อุบาสิการับเรือ่ งแล้วจึงให้กั้นผ้าม่าน พิจารณามอื เท้า สะดือ และท้องของภิกษุณสี าว นับเดือนและ
วันทตี่ ้งั ครรภ์อย่ภู ายในผา้ ม่านกับภกิ ษุณีสาว แล้วได้ทราบว่า ภิกษณุ ีสาวต้ังครรภ์ขณะยังเป็นคฤหัสถ์
ก่อนบวช จึงมาแจ้งให้ทา่ นพระอุบาลีทราบ ท่านพระอุบาลกี ไ็ ด้ประกาศความบริสุทธิ์ของภิกษุณีสาว

๑๓ รงั สี สทุ นต์, เศรษฐแี ทฟ้ ังธรรม, หน้า ๔๘-๔๙.

๑๘

ทา่ มกลางบริษัท ๔ วา่ ภิกษุณสี าวธิดาเศรษฐีตั้งครรภม์ ากอ่ นบวช มิไดป้ ระพฤตมิ ีเพศสมั พนั ธ์ขณะบวช
ภิกษุณีสาวธิดาเศรษฐีนั้น เป็นผู้บริสุทธิ์ ได้ไหว้ภิกษุสงฆ์ และถวายอภิวาท พระพุทธองค์แล้วกลับ
สำนักภิกษุณี นี้เป็นอธิกรณ์เรื่องใหญ่ของสงฆ์ ซึ่งท่านอนาถบิณฑิกอุบาสกเป็นบุคคลที่ประชาชน
เชื่อถือได้ร่วมพิจารณาตัดสิน รับรู้ ในฐานะผู้ใหญ่ฝุายอุบาสก แต่การพิจารณาตรวจสอบต้องเป็น
หน้าทข่ี องฝาุ ยหญิง คอื นางวสิ าขามหาอบุ าสิกา เพราะเป็นเรือ่ งทภ่ี ิกษุณีตง้ั ครรภ์ ชายจับต้องร่างกาย
ของภกิ ษุณไี ม่ได้ ภิกษุณจี ะมีความผิดทางพระวนิ ัย

๒) กรณีที่พวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีวิวาทกัน นอกจากอธิกรณ์เรื่องภิกษุณีตั้งครรภ์
ยังมีอธิกรณ์ใหญ่อีกคดีหนึ่งที่เกิดขึ้นในหมู่สงฆ์ เป็นเรื่องที่ภิกษุชาวกรุงโกสัมพีทะเลาะกัน แต่ท่าน
อนาถบิณฑิกอุบาสกมิได้ยุ่งเกี่ยวในการพิจารณาอธิกรณ์ ท่านไม่ทราบว่าจะปฏิบัติอย่างไร ต่อพวก
ภกิ ษุทท่ี ะเลาะกัน ซง่ึ จะมาพกั ท่พี ระเชตวนั จงึ เข้ากราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ทา่ นจะไมย่ อมใหพ้ วกภิกษุ
ชาวโกสัมพีเข้ามาพักในพระเชตวัน พระองค์รับสั่งว่า พวกภิกษุเหล่านั้นเป็นภิกษุมีศีล แต่เพราะ
ทะเลาะกันแล้ว ไม่เชื่อคำแนะนำของตถาคต บัดนี้จะมาขอขมาเราตถาคต ขอให้พวกเขามาเถิด
ท่านอนาถบิณฑิกอบุ าสกจึงทูลถามถึงวิธีที่จะพึงปฏิบัติต่อพวกภิกษชุ าวกรุงโกสัมพี ผู้มีเรื่องทะเลาะ
วิวาทกนั พระพทุ ธเจา้ ได้รับสั่งกบั ท่านวา่ ให้ถวายทานในภิกษุพวกท่ที ะเลาะกันทงั้ ๒ ฝ่าย ใหฟ้ ังธรรม
ของภิกษทุ ัง้ ๒ ฝ่าย แล้วพึงถือตามข้างพวกภกิ ษุทีเ่ ปน็ ธรรมวาทีเทา่ นั้น

สำหรับอธิกรณ์เรื่องทะเลาะววิ าทของพวกภิกษุชาวกรงุ โกสมั พีนี้ ในที่สุดก็ได้ปองดองสมัคร
สมานสามัคคีกัน กลับเข้าพวกกัน พระพุทธเจ้ารับสั่งให้พวกภิกษุที่ทะเลาะวิวาทกันนั้นทำสามัคคี
อุโบสถ ซึ่งจะพึงกระทำไดก้ ต็ ่อเมือ่ ภิกษุสงฆท์ ี่ทะเลาะวิวาทกันกลับคนื ดีกัน มิได้ทำในวันอุโบสถ ๑๕
ค่ำ แตค่ ืนดีกนั ได้วนั ไหนก็ทำวันน้นั ๑๔

๒.๓.๒ บทบาทด้านการถวายความอปุ ถัมภ์พระสงฆแ์ ละวดั
บทบาทอุบาสกในการบำรุงพระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ กล่าวคือ การอุปัฏฐากบำรุง
พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นนั้น เป็นภาพที่ชัดเจนที่สุดแก่บุคคลทั่วไป ได้แก่ ฝ่ายคฤหัสถ์
เป็นผู้ที่คอยสนับสนุนบรรพชิตด้วยปัจจัย ๔ มิได้ขาด ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน
เป็นเหตปุ จั จยั ใหพ้ ระพทุ ธศาสนามคี วามเจรญิ มาอย่างต่อเนื่อง ในสมยั พุทธกาล อบุ าสกมบี ทบาทและ
เป็นกำลังสำคัญในการบำรุงพระสงฆ์ด้วยปัจจัย ๔ อย่างสม่ำเสมอ เป็นผู้ที่มีศรัทธาอย่างมั่นคงต่อ
พระพุทธศาสนา ให้ทาน รักษาศีล ให้การอุปัฏฐากบำรุงพระสงฆ์อย่างไม่เสียดายทรัพย์สมบัตินับว่า
เป็นตัวอย่างที่ดี ควรที่พุทธบริษัทจะนำมาเป็นแบบอย่างในการเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี ซึ่งมีอุบาสก
ในพระพทุ ธศาสนา ผวู้ ิจยั จะไดก้ ล่าวเป็นประเด็นดงั ตอ่ ไปน้ี
๑) บทบาทหนา้ ที่ในการถวายภตั ตาหาร หนา้ ทใี่ นการถวายภัตตาหารนี้ มีมาต้ังแต่เร่ิมแรกท่ี
พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้าไปสู่บา้ นและนคิ มต่างๆ ได้มอี บุ าสกผเู้ ลือ่ มใสในคำสอนของพระพุทธเจ้า
จงึ ไดเ้ ข้ามาถวายการอุปถมั ภบ์ ำรุงพระสงฆด์ ว้ ยภตั ตาหาร หรอื แม้แตก่ ารเข้าไปบิณฑบาตของพระสงฆ์
ตามบา้ นเรือน อบุ าสกผูเ้ ล่ือมใสได้ทำบญุ ด้วยการถวายภตั ตาหารเปน็ จำนวนมากขนึ้ ขยายออกไปเป็น
ลำดับ เป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองจนถึงปัจจุบันนี้ และหน้าที่ดังกล่าวนี้มีอุบาสกที่ทำ

๑๔ ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๔๕๑-๔๗๕/๓๓-๓๗๐.

๑๙

ที่ผู้อุปัฎฐากบำรุงพระสงฆ์ด้วยการถวายภัตตาหารเป็นประจำมีหลายท่าน แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงท่าน
อนาถบิณฑิกอุบาสก ซึ่งมีดงั น้ี

ท่านอนาถบิณฑิกอุบาสก ได้ทำหน้าที่อุปัฎฐากบำรุงพระสงฆ์เป็นประจำทุกวันนับตั้งแต่
ท่านเข้ามานับถือพระพุทธศาสนาซึ่งตั้งแต่ท่านได้เจอพระพุทธเจ้าและได้ฟ๎งธรรมจากพระพุทธเจ้า
ได้บรรลุโสดาปัตติผล เกิดความเลื่อมใสกลับถึงที่พักได้นิมนต์พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์
เพื่อฉันภัตตาหารในวันรุ่งขึ้นโดยที่ท่านได้ตระเตรียมอาหารด้วยตนเองจนพร้อมบริบูรณ์พร้อม
ทกุ ประการ ทา่ นไดถ้ วายอาหารบิณฑบาตแดพ่ ระพุทธเจ้า และพระสงฆด์ ว้ ยมอื ของท่านเอง หลังจาก
ฉันเสร็จไดก้ ราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์ และพระสงฆ์ใหเ้ สด็จไปจำพรรษาทีน่ ครสาวัตถี ต่อมาเม่ือ
มีพระสงฆ์มาอยู่ที่กรุงสาวัตถีประจำแล้ว ตลอดระยะเวลา ๒๔ ปีท่านอนาถบิณฑิกอุบาสกปฏิบัติ
ต่อพระสงฆ์อย่างสม่ำเสมอไม่บกพร่อง โดยท่านได้กระทำหน้าที่ผู้อุปัฏฐากบำรุงพระภิกษุสงฆ์
ด้วยการจัดภัตตาหารไว้ถวายแก่ภิกษุสงฆ์ที่บ้านวันละ ๒,๐๐๐ รูป ทุกวัน จัดนิตยภัต คือสลากภัต
อีกวันละ ๕๐๐ รูป และจัดอาหารเป็น ๒ ช่วง คือช่วงเช้าถวายข้าวต้ม ช่วงสายถวายข้าวสวย
แด่พระสงฆ์

ท่านอนาถบิณฑิกอุบาสก เป็นผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก ที่บ้านของท่านได้
จดั เตรยี มสถานที่และตกแตง่ อาสนะเพื่อถวายภัตตาหารเลี้ยงพระภกิ ษุสงฆ์เป็นประจำ และไปเข้าเฝ้า
พระพุทธเจ้าและเยี่ยมภิกษุสามเณรทุกวัน ถ้าไปก่อนเวลาฉันอาหารก็นำอาหารของขบฉันไปถวาย
ถ้าไปหลังเวลาฉนั อาหาร ก็นำเภสัช ๕ อยา่ ง และน้ำ ๘ ประการไปถวายเปน็ ประจำ และก่อนจะกลับ
ก็จะตรวจดวู ิหารเยย่ี มภกิ ษสุ ามเณรเม่ือทราบวา่ ทา่ นต้องการสง่ิ ใด กจ็ ะได้จดั หาสงิ่ นน้ั ไปถวาย ท่านได้
ชอ่ื วา่ เป็นผู้รู้ใจของภกิ ษุสามเณรมากคนหนงึ่ เนื่องจากการท่ที ่านไดไ้ ปวัดและใกล้ชิดกับพระรัตนตรัย
น้ันเอง แม้แต่เวลาคนอน่ื จะถวายทาน ทำบุญบ้านก็เชญิ ท่านไปให้คำแนะนำเสมอ๑๕

ท่านอนาถบิณฑิกอุบาสก เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใสพระพุทธศาสนา เป็นผู้บำรุงพระภิกษุสงฆ์
ด้วยป๎จจัย ๔ อย่างสม่ำเสมอ ด้วยการถวายภัตตาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นผู้ให้ความอุปัฎถัมภ์
พระสงฆ์ไม่ขาดตกบกพร่อง ด้วยเหตุนี้ ท่านเป็นผู้มากด้วยการให้ทาน จึงได้รับการยกย่อง
จากพระพุทธเจา้ วา่ เปน็ สาวกผูเ้ ลศิ ในการถวายทาน และทานนนั้ จะไปวดั พระเชตวันมหาวิหารทุกวันๆ
ละ ๒ ครั้ง และจะมีของเคี้ยวของฉัน เภสัช น้ำปานะไปถวายพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สม่ำเสมอ
ไมข่ าดเลย

จากการศึกษาเกี่ยวกับท่านอนาถบิณฑิกอุบาสกนั้น ท่านเป็นหัวหน้านำในการทำหน้าที่
อุปัฎฐากบำรุงพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลต่อพระสงฆ์และทำให้พระพุทธศาสนา
เจริญรุ่งเรืองมาได้จนถึงทุกวันนี้ กล่าวคือ พระสงฆ์ได้รับความสะดวกสบายเพราะไม่ลำบากด้วย
ภัตตาหาร จึงสามารถบำเพ็ญสมณธรรมเผยแผ่พระธรรมคำสอนได้สะดวก จึงเป็นแบบอย่างให้
พุทธศาสนิกชนรุ่นหลังได้ยดึ ถอื เป็นแนวปฏบิ ัติสบื มา

๑๕ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๔/๑๔๑.

๒๐

๒) บทบาทในการเปน็ ผ้นู ำสรา้ งเสนาสนะถวายสงฆ์
เสนาสนะหมายถึงที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์๑๖ได้แก่ วัด ถาวรวัตถุก็คือสิ่งก่อสร้างทางวัตถุ
อันเปน็ สญั ลักษณ์ของพระศาสนา เช่น กฏุ ิ วิหาร โบสถ์ ที่มอี ยูภ่ ายในวดั และเคร่ืองใช้เก่ียวกับสถานที่
ได้แก่ โต๊ะ เก้าอี้ แม้โคนไม้เมื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยก็เรียกเสนาสนะ สิ่งเหล่านี้ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ
และจำเปน็ ตอ่ พระสงฆ์ เป็นหนึ่งในป๎จจยั ๔ ที่จะช่วยใหพ้ ระสงฆไ์ ดร้ บั ความสะดวกในการปฏบิ ัติธรรม
และทำหน้าที่ในการปฏิบตั ิธรรมและทำหน้าท่ีในการเผยแผ่ในพระพุทธศาสนา มีเสนาสนะหรือทีพ่ กั
ของสงฆ์เกิดขึ้นครัง้ แรกเมื่อพระเจา้ พิมพิสารมคี วามเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้ถวายพระอทุ ยาน
เวฬุวันให้เป็นที่พักของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ จึงได้เป็นพระอารามแห่งแรกในพระพุทธศาสนา
เป็นหนา้ ทีช่ ่วยกันบ ารุงอปุ ๎ฎฐากพระสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในเรื่องเสนาสนะหรอื ท่ีพกั อาศยั เพ่ือให้
พระสงฆ์เกิดความสะดวกสบายในด้านความเป็นอยู่อันจะเป็นการเอื้อต่อการศึกษาประพฤติปฏิบัติ
ธรรม ซึ่งจะเป็นผลดีและสะท้อนกลับมาหาอุบาสกต่อไปอีกด้วย และยังเป็นการช่วยกันเผยแผ่
พระพทุ ธศาสนาอกี ทางหนง่ึ ซึ่งท่านอนาถบิณฑกิ อบุ าสกมบี ทบาทในด้านน้ี ดังนี้
ท่านอนาถบิณฑิกอุบาสก มีบทบาทในการเป็นผู้นำ สร้างศาสนวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนา
กล่าวคือ ได้สร้างวัดพระเชตวันมหาวิหารถวายพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ ซึ่งผู้วิจัยจะได้นำเสนอ
เรื่องท่านอนาถบิณฑิกอุบาสกสร้างพระเชตวันมหาวิหาร เมื่อท่านอนาถบิณฑิกอุบาสกกลับถึง
กรุงสาวัตถี ก็เที่ยวหาสถานที่สร้างวิหารถวายพระพุทธเจ้า ในลักษณะเดียวกับพระเวฬุวัน วันหน่ึง
ได้พบสวนของเจ้าเชตราชกุมาร ซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองทางทิศใต้แห่งกรุงสาวัตถีเป็นสถานที่เหมาะที่
จะสรา้ งวิหาร เพราะอยไู่ ม่ใกลไ้ ม่ไกลจากหมู่บา้ นไปมาสะดวกคนทตี่ ้องการเขา้ เฝูาก็เขา้ เฝูาได้ กลางวัน
ไม่พลุกพล่าน กลางคืนเงียบสงัดไม่มีเสียงรบกวน ไม่มีประชาชนเข้าออก ลับตามนุษย์ เหมาะแก่การ
หลีกเรน้ จึงได้ไปเข้าเฝาู เจ้าเชตราชกุมารแล้ว ได้กราบทูลขอซ้ืออุทยานเพื่อจะสร้างวัดถวายเป็นท่ีพัก
ของพระพุทธเจ้า ท่ีแรกเจ้าเชตราชกุมาร ไม่ยอมขายอุทยานให้ท่านอนาถบิณฑกิ อุบาสก แต่ในท่ีสุดก็
ทรงเห็นใจท่านอนาถบิณฑกิ อุบาสก ทรงยอมขายอทุ ยานให้ ตีราคาโดยท่ที า่ นอนาถบิณฑิกอุบาสกนำ
เหรียญเงินมาปูเตม็ พ้ืนทอี่ ุทยาน
เม่อื ตกลงซอ้ื ขายกันแลว้ ท่านอนาถบณิ ฑิกอุบาสก จึงได้ส่ังให้พวกคนรับใช้คนงานเอาเกวียน
บรรทุกเงินมาหลายเล่มเกวยี นแลว้ ปูลาดในเชตวนั ขอบกหาปณะทุกอันจรดกันสถานท่ีท่ีมีต้นไม้หรือ
สระโบกขรณี ก็กะประมาณบริเวณของต้นไม้และสระโบกขรณีเหล่าน้ันแล้ว เอาเงินปูลาดในที่อืน่ ให้
เงินที่ขนออกมาคราวเดียวไม่พอรอบซุ้มประตูหน่อยหนึ่ง ท่านอนาถบิณฑิกอุบาสกจึงให้ไปขน
กหาปณะมาปูลาดทน่ี น้ั เจา้ เชตราชกุมาร ทรงเลื่อมใสในการกระทำของท่านอนาถบิณฑิกอุบาสกแล้ว
ได้ยกพ้ืนท่ีอุทยานส่วนหนึ่งตรงดา้ นหนา้ อุทยานให้ท่านอนาถบิณฑกิ อุบาสกโดยไม่ต้องนำเหรียญเงนิ
มาปูลาดที่ตรงนั้น ท่านอนาถบิณฑิกอุบาสกพิจารณาเห็นว่า เจ้าเชตกุมารนี้เป็นผูม้ ีชื่อเสียงมีคนรู้จัก
การท่ผี มู้ ีช่อื เสยี งมีคนรู้จกั อย่างน้ีเล่อื มใสในพระธรรมวนิ ัยมีผลดมี าก แล้วได้มอบถวายที่น้ันแก่เจ้าเช
ตราชกมุ าร ในคร้ังนั้น เจ้าเชตราชกมุ ารจึงสร้างซุ้มประตูณ ทต่ี รงน้นั ท่านอนาถบิณฑิกอุบาสกไดส้ ร้าง

๑๖ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลศัพท์, (กรุงเทพมหานคร:
บริษัทเอส. อารพ์ รน้ิ ติ้งแมสโปรดักสจ์ ำกดั , ๒๕๔๖), หน้า๒๙๖.

๒๑

พระวิหาร สร้างบริเวณ สร้างซุ้ม สร้างศาลาโรงฉันสร้างศาลาโรงไฟ สร้างกุฎีเก็บของ สร้างวัจกุฎี
สร้างที่จงกรม สร้างศาลาจงกรม ขุดบ่อน้ำ สร้างศาลาบ่อน้ำ สร้างเรือนไฟ สร้างศาลาเรือนไฟ
ขดุ สระโบกขรณี สร้างมณฑป ในสวนเชตวนั
. คัมภีร์ชาดกอรรถกถา ได้กล่าวถึงการก่อสร้างเสนาสนะในพระเชตวันมหาวิหารว่า
ท่านอนาถบิณฑิกอุบาสกเริ่มก่อสร้างเสนาสนะโดยสร้างพระคันธกุฎีส ำหรับเป็นที่ประทับ
ของพระพทุ ธเจา้ ไวต้ รงกลาง สร้างกฏุ ิทีพ่ ักสำหรับพระอสีติมหาสาวกแต่ละองค์แวดล้อมพระคันธกุฎี
แล้วสร้างกุฏิที่พัก ๑ หลัง ๒ หลัง กระจายอยู่ในบริเวณส าหรับพระภิกษุสงฆ์สร้างศาลายาวสร้าง
มณฑป เมอ่ื ดำเนินการกอ่ สรา้ งเสนาสนะท่พี ักอาศัยเสรจ็ เรียบรอ้ ยแล้ว ทา่ นอนาถบณิ ฑิกอุบาสกได้ส่ง
คนไปกราบทูลแจ้งข่าวให้พระพุทธองค์ทรงทราบ เพอื่ เสด็จไปกรงุ สาวัตถี พระพทุ ธองค์ ได้ทรงทราบ
ข่าวจากคนอื่นที่ท่านอนาถบิณฑิกอุบาสกส่งมากราบทูลแล้วพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวนมากได้เสด็จ
ออกจากกรุงราชคฤห์ไปถึงสาวตั ถีโดยลำดบั

ทางด้านท่านอนาถบณิ ฑกิ อบุ าสก ก็ได้จัดเตรยี มการรบั เสด็จ ในวันที่พระพทุ ธองค์พร้อมภิกษุ
สงฆ์เสด็จเข้าพระเชตวัน ท่านส่งบุตรชายพร้อมบริวารกุมาร ๕๐๐ คน ธิดาสาว ๒ คนคือ นางมหา
สุภัททากับนางจูฬสุภัททากับบริวารหญิงสาว ๕๐๐ คน ภรรยาของท่านกับบริวารเพื่อนหญิง ๕๐๐
คน ออกนำหน้าไปตอ้ นรับเสด็จ สว่ นทา่ นอนาถบณิ ฑกิ อบุ าสก นุง่ หม่ ผา้ ใหมพ่ รอ้ มกับเศรษฐี ๕๐๐ คน
ออกตอ้ นรับเสดจ็ อยหู่ ลงั สดุ

เมื่อพระพุทธองค์พร้อมภิกษุสงฆ์เสด็จถึง ก็ทรงให้อุบาสกบริษัทเดินนำหน้าเสด็จเข้าสู่
พระเชตวัน ประทับอยู่ในพระเชตวัน ท่านอนาถบิณฑิกอุบาสกได้กราบทูลอาราธนานิมนต์
พระพุทธเจ้าพร้อมภกิ ษุสงฆ์ไปฉันภัตตาหารที่บ้านในวันรุ่งขึ้น และท่านอนาถบิณฑิกก็ได้มอบถวาย
พระเชตวนั โดยจบั เตา้ ทองเทน้ำลงบนฝุาพระหัตถ์ของพระพุทธองค์กลา่ วคำอุทิศว่า “อมิ เชตวนวิหาร
อาคตานาคตสฺส จาตุทฺทิสสฺส ภิกฺขุส ฆสฺส ทมฺมิ : ข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมถวายพระเชตวันวิหารน้ี
แดภ่ กิ ษุสงฆ์ท่ีอยูใ่ นทศิ ทง้ั ๔ ท้ังทม่ี าแล้วและยงั มิได้มา”

พระพุทธองค์ ทรงรับพระเชตวันวิหาร แล้วทรงกระทำอนุโมทนาแสดงอานิสงส์การถวาย
วิหาร ๑๗ ประการ เป็นคาถา ท่านอนาถบิณฑิกอุบาสกซื้อสวนเชตะวันด้วยการเอาเงินปูลาดเป็น
จำนวน ๑๘ โกฏิ สร้างถาวรวัตถุทั้งหมดเป็นจำนวน ๑๘ โกฏิ จัดงานฉลองเป็นเวลา ๙ เดือน ใช้เงิน
ในการฉลองอีกจำนวน ๑๘ โกฏิ รวมแล้วอนาถบิณฑิกอุบาสกใช้เงินในการสร้างพระเชตะวัน
เปน็ จำนวน ๕๔ โกฏิ๑๗

๒.๓.๓ บทบาทดา้ นการส่งเสริมความม่ันคงของพระพุทธศาสนา
บทบาททส่ี ่งเสริมเปน็ ไปเพอ่ื ความเจริญมั่นคงของพระพทุ ธศาสนา แยกอธิบายได้ดงั น้ี

๑๗ รังสีสุทนต์, “การศึกษาวิเคราะห์บทบาทของอนาถบิณฑิกอุบาสกที่ปรากฏในคัมภีร์
พระพุทธศาสนา”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลัย, ๒๕๔๔), หน้า๔๙-๕๑.

๒๒

๑) บทบาทดา้ นการสร้างเสนาสนะและถาวรวัตถเุ สนาสนะและทอี่ ยู่อาศัยถือว่าเป็นส่ิงสำคัญ
และจำเป็นมากสำหรับการดำเนินชีวิตทั้งของคฤหัสถ์และบรรพชิต จัดเป็นป๎จจัยหนึ่งในบรรดา
ปัจจัย ๔ ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับบรรพชิต คือ ผ้าห่ม (จีวร) อาหาร (บิณฑบาต) ที่อยู่อาศัย
(เสนาสนะ) ยารักษาโรค (เภสัช) รวมเรียกว่า จตุปัจจัย๑๘ เมื่อบรรพชิตซึ่งหมายถึง พระสงฆ์ท่าน
มีป๎จจัย ๔ อันเป็นสัปปายะแล้วจะช่วยใหท้ ่านสามารถปฏิบัติธรรมได้อยา่ งเต็มที่โดยไม่ต้องมีปลิโพธิ
คือความกังวลในส่ิงเหล่านีซ้ ึ่งถือว่าเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุธรรมและการปฏิบัติหนา้ ที่ของพระสงฆ์
ได้ อุบาสกได้อุปถัมภ์มาโดยตลอด อุบาสกจำนวนมากได้สร้างเสนาสนะถวายไว้ในพระพุทธศาสนา
เช่น ได้สรา้ งกุฏิ ศาลา เจดยี ์ วหิ าร ฯลฯ ดังตวั อย่างต่อไปน้ี

พระเจ้าพิมพิสาร ภายหลังได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้วเกิดความเลื่อมใสได้ถวายพระเวฬุวนั
ซึง่ เป็นพระราชอทุ ยานของพระองคแ์ ดพ่ ระพุทธเจา้ เพอ่ื เปน็ ทพ่ี ักอาศัยของพระภกิ ษุสงฆ์ ซึ่งถอื ว่าเป็น
วัดแรกในพระพุทธศาสนา๑๙

อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี ไดส้ ร้างอารามชือ่ เชตวนั ในเมอื งสาวัตถีถวาย เป็นอารามท่ีสำคัญและมี
ชื่อเสยี งท่ีสุดในยุคพระพทุ ธกาล เพราะพระพุทธเจ้าเสดจ็ มาประทับที่อารามแห่งนมี้ ากกว่าสถานที่อ่ืน
ๆ คือ ได้มาจำพรรษาอยู่ถึง ๑๙ พรรษา๒๙ จึงทำให้พบชื่ออารามแห่งนี้ในคัมภีร์ต่าง ๆ
ทางพระพทุ ธศาสนาอยู่บอ่ ยคร้งั นอกจากนีท้ ่านเศรษฐียงั ได้สร้างวหิ ารขนึ้ หลายหลงั ในบริเวณพระเช
ตวัน เช่น สร้างซุ้มประตู ศาลาหอฉัน เรือนไฟ ๓๐ กัปปิย กุฏิ วัจจกุฏิ สถานที่จงกรม โรงสำหรับ
จงกรม บอ่ น้ำ หอ้ งอาบน้ำ ศาลาเรือนไฟ สระโบกขรณี มณฑป เป็นต้น๒๐ สนิ้ ค่าใชจ้ ่ายในการก่อสร้าง
เปน็ เงินถงึ ๔๕ โกฏิ

เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ ได้สร้างวหิ ารจำนวน ๖๐ หลัง๒๑ ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์เพราะเหน็
พระภิกษุสงฆ์อาศัยอยู่ตามปุาช้าบ้าง โคนต้นไมบ้ า้ ง ภูเขาบ้าง ซอกเขาบ้าง ตามปุาบา้ ง และมีอิรยิ าบถ
ท่ีส ารวมท าให้ท่านเกดิ ความเลื่อมใสศรัทธาและเหน็ ใจพระสงฆท์ ี่ต้องทนอย่ใู นสภาพเชน่ นน้ั ท่านจึง
ได้จัดสร้างวิหารถวาย โฆสกเศรษฐีได้สร้างโฆสิตารามถวายโดยเฉพาะได้ตั้งโรงทานให้แก่คนเดิน
ทางไกลและคนกำพรา้ ทกุ ๆ วัน กกุ กฎุ เศรษฐี และ ปาวารกิ เศรษฐีไดส้ ร้างกกุ กฏุ าราม และปาวาริกา
รามถวายไว้ในพระพทุ ธศาสนาเป็นที่ประทบั และพักอาศัยของพระภิกษุสงฆ์ และยังได้จัดสรา้ งวิหาร
อนั ใหญโ่ ตขึ้นในอารามแห่งนนั้ ด้วยเพือ่ ใช้เปน็ ทตี่ อ้ นรับภกิ ษสุ งฆ์ทีม่ าจากทิศท้ัง ๔

จากตัวอย่างดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นว่า อุบาสกได้ถวายการอุปถัมภ์และส่งเสริม
พระพุทธศาสนามาเปน็ อยา่ งดี คือ เมื่อเกิดความเลือ่ มใสศรัทธาแล้วไดจ้ ดั สร้างเสนาสนะและถาวรวัตถุ
ไว้ในพระพุทธศาสนาเพื่อให้พระสงฆ์ใช้เป็นสถานท่ีสำหรับพกั อาศัย เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและกจิ
พระศาสนา อบุ าสกได้สรา้ งเสนาสนะแต่ละแหง่ นั้นหมดค่าใช้จา่ ยส าหรับการกอ่ สร้างเป็นจำนวนมาก
แต่อุบาสกก็ยงั ปฏิบัติกนั อย่างสม่ำเสมอ การกระทำของอุบาสกนีไ้ ด้แสดงให้เหน็ ถึงความศรัทธาท่ีมีต่อ

๑๘ พจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕,หน้า ๕๒๖.
๑๙ วิ. มหา. (ไทย) ๔/๖๓/๗๐–๗๒.
๒๐ ข.ุ ธ. อ. ๑/๔.
๒๑ วิ. จู. (ไทย) ๗/๒๐๑/๘๖.

๒๓

พระพทุ ธศาสนาอยา่ งมากจึงได้ทำการอุปถมั ภ์ เพอ่ื ให้พระพุทธศาสนาเจริญรงุ่ เรือง ถอื วา่ เป็นบทบาท
หนึ่งท่ีชว่ ยทำใหพ้ ระพุทธศาสนามคี วามมั่นคง

๒) บทบาทดา้ นการชำระอธกิ รณแ์ ละปญั หา
พระพุทธศาสนาเมื่อมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาโดยลำดับก็ไม่อาจที่จะพ้นไปจากภัยหรือ
อันตรายจากสิ่งรอบข้างได้ จึงทำให้เกิดเป็นป๎ญหา ซึ่งภัยดังกล่าวมานั้นได้เกิดขึ้นจากเจ้าลัทธิผู้สอน
ลทั ธศิ าสนาตา่ ง ๆ บา้ ง เกิดจากความประพฤติทไี่ ม่เหมาะสมของพทุ ธสาวกเองบ้างจนเป็นปัญหาและ
เปน็ อธกิ รณข์ ึน้ และเมือ่ เกดิ ป๎ญหาและอธกิ รณ์ขน้ึ จึงตอ้ งมีการสอบสวนหาความจริงท่ถี ูกต้องเพื่อรักษา
ความดงี ามและถูกต้องเอาไว้ซึ่งหมายถงึ การรกั ษาพระพทุ ธศาสนาไวน้ ่ันเอง
เมื่อเกิดปัญหาหรือเกิดอธิกรณ์ขึ้นเหล่าพุทธสาวกได้ช่วยกันแกไ้ ขปัญหา และอธิกรณ์นั้นให้
หมดไป อุบาสกก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้ทำหน้าที่ในด้านนี้ กล่าวคือได้ช่วยชำระอธิกรณ์ที่เกิดข้ึน
ในพระพทุ ธศาสนาใหห้ มดไปได้ เช่น คร้ังหนงึ่ ธดิ าของเศรษฐใี นเมอื งราชคฤหเ์ กิดต้ังครรภ์ขึ้นภายหลัง
จากทีบ่ วชเป็นภกิ ษุณีทำให้เกิดปญั หา เนือ่ งจากนางภิกษุณีทร่ี ว่ มสำนกั ต่างก็พากนั โจทก์ใส่ร้ายและได้
แจ้งเรอ่ื งที่เกิดขน้ึ แก่พระเทวทตั พระเทวทัตกลวั ว่าความเสียชื่อเสยี งจะเกดิ ขน้ึ แกพ่ วกภิกษุณีผู้ทำตาม
โอวาทของตนจึงสั่งให้นำนางภิกษุณีนั้นไปสึกเสียจากสำนัก นางภิกษุณีได้ขอร้องและบอกความ
ประสงคว์ า่ ที่นางบวชมไิ ดบ้ วชเจาะจงพระเทวทัต แต่บวชเจาะจงพระพทุ ธเจ้า จงึ ขอร้องใหพ้ วกภิกษณุ ี
นำนางไปยังพระเชตวันมหาวิหาร เมื่อนางไปถึงพระพุทธเจ้าทรงทราบแล้วว่าครรภ์ของนางตั้งขึ้น
ตั้งแต่ก่อนที่นางจะบวชแล้ว แต่เพื่อจะเปลื้องถ้อยคำของพวกชนที่อาจจะกล่าวตำหนิพระองค์ว่า
ไม่ทรงมคี วามยุติธรรมจึงได้เชิญพวกอุบาสกประกอบด้วย พระเจ้าปเสนทิโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี
จฬู อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี และนางวิสาขามหาอบุ าสกิ า และตระกลู อบุ าสกอบุ าสกิ าใหญ่อืน่ ๆ มาแล้วให้
ทำการชำระอธิกรณ์ที่เกิดขึ้น ปรากฏว่า อบุ าสกได้ทำการชำระอธิกรณ์ร่วมกับอุบาสิกาและพระภิกษุ
สงฆ์ซึ่งมีพระอุบาลีเป็นประธานในการวินิจฉัยตรวจสอบมีการตรวจดูมือ เท้า สะดือ และที่สุดท้อง
ของนางภิกษุณีภายในม่านและนบั วัน นบั เดือนดู กไ็ ด้ความจริงว่า นางภิกษณุ ไี ดต้ ง้ั ครรภ์ในเวลาท่ีนาง
เป็นคฤหัสถ์แล้วจึงทำให้นางภิกษุณีรูปนั้นพ้นจากมลทินข้อกล่าวหาได้๒๒ อธิกรณ์ที่เกิดขึ้นก็จบลง
ด้วยดี
ครัง้ หนึ่งพวกภกิ ษุชาวเมืองโกสัมพไี ด้ทำการทะเลาะวิวาทกันเนอ่ื งจากอาบัติเล็กน้อยจนเกิด
เป็นวิวาทาธิกรณ์ขึ้น พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องแล้วได้เสด็จไปตักเตือนกล่าวสอนแต่พวกภิกษุ
เหล่านั้นกลบั ด้อื รั้นไม่เชอ่ื ฟง๎ พระโอวาทคำสอนจนทำใหพ้ ระองค์ทรงปลีกหนไี ปอยู่ที่อื่น ข่าวเร่ืองการ
แตกร้าวภายในหมู่คณะเกิดขึ้นไปถึงพวกอุบาสกอุบาสิกาชาวเมืองโกสัมพี พวกเขาจึงได้หาวิธี
แก้ปัญหาเพื่อเป็นการสอนพวกภิกษุหัวดื้อเหล่านี้ให้รู้สึกสำนึกผิดโดยการร่วมมือกันไม่กราบไหว้
ไม่ลุกต้อนรับ ไม่ทำอัญชลกี รรม สามีจิกรรม ไม่ทำสักการะไม่ทำความเคารพ ไม่นับถือบูชา ไม่ถวาย
อาหาร และบณิ ฑบาตให้ พวกภิกษุชาวเมอื งโกสัมพถี ูกอุบาสกกระทำอาการเชน่ นัน้ ตอบแล้วก็รู้สึกตัว
ว่าพวกตนควรไปพระนครสาวัตถีเพื่อทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงโปรดเพื่อให้ระงับอธิการณ์การ
กระทำของอุบาสกอุบาสิกาในครั้งนั้นจึงถือว่าเป็นการช่วยแก้ไขปั ญหาระงับอธิกรณ์ที่เกิดขึ้นใน

๒๒ ข.ุ ธ.อ. ๖/๑๑๘–๑๑๙.

๒๔

พระพุทธศาสนาไดเ้ ป็นอย่างดี จนในที่สุดพวกภิกษุชาวเมอื งโกสัมพีกไ็ ปเฝูาพระพุทธเจ้าและขอขมา
อดโทษตอ่ กนั และกนั เลิกวิวาทกันได้๒๓

๒.๓.๔ บทบาทดา้ นการปกป้องคุ้มครองพระพทุ ธศาสนา
การป้องกันภัยถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรือง บทบาท
ในดา้ นนี้อุบาสกได้กระทำไว้อยา่ งสม่ำเสมอ ดังมีตัวอยา่ ง เช่น
พระเจ้าอชาตศัตรูได้ช่วยปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาให้มีความมั่นคงเมื่อครั้งที่เกิด
มีการทำสังคายนาครั้งแรกพระองค์ได้ทรงรับเป็นภารธุระในการช่วยเหลือให้ภิกษุสงฆ์ผู้ท ำ
การสังคายนาในคร้งั นั้นไดร้ บั ความสะดวกสบายคือพระองค์ไดช้ ว่ ยปฏิสงั ขรณ์มหาวิหารถงึ ๑๘ ตำบล
ในเมืองราชคฤห์ เพื่อใช้เป็นสถานที่พักอาศัยของพระภิกษุสงฆ์ พระองค์ได้ช่วยปูองกันภัยต่าง ๆ
ท่อี าจจะเกิดขึ้นแก่พระภิกษุสงฆ์ผูท้ ำการสงั คายนาและได้อุปัฏฐากบำรุงพระสงฆด์ ้วยอาหารบิณฑบาต
ในที่สดุ การสังคายนาพระธรรมวนิ ัยกส็ ำเรจ็ ลงด้วยดี
พระเจ้าอโศกมหาราช ไดท้ รงอุปถัมภ์การทำสงั คายนาคร้ังท่ี ๓ ซ่งึ ทำท่อี โศการาม กรุงปาตลี
บุตร ประเทศอินเดีย พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ เป็นหัวหน้า มีพระสงฆ์ประชุมกัน ๑,๐๐๐ รูป
ทำอยู่ ๙ เดือนจึงแล้วเสร็จ สังคายนาครั้งนี้ กระทำภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๒๓๔
หรือ ๒๓๕ ปี ข้อปรารภในการทำสังคายนาครั้งนี้ คือพวกเดียรถีย์ หรือนักบวชศาสนาอื่นมา
ปลอมบวช แล้วแสดงลัทธิศาสนาและความเห็นของตนว่าเปน็ พระพทุ ธศาสนา พระโมคคัลลีบุตรติสส
เถระไดข้ อความอปุ ถมั ภ์จากพระเจา้ อโศกมหาราช ชำระสอบสวนกำจัดเดียรถยี เ์ หล่านั้นจากพระธรรม
วินัยได้แล้ว จึงสังคายนาพระธรรมวินัย๒๔ นับได้ว่าพระองค์ได้ทรงทำหน้าที่อุบาสกที่ดี ปกป้อง
คุ้มครองพระพุทธศาสนาโดยก าจัดพวกเดียรถีย์ผู้เข้ามาปลอมบวช ผลจากการสังคายนา ปรากฏวา่
ได้ส่งพระธรรมทูต ๙ สาย ออกเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งในและต่างประเทศ นับตั้งแต่นั้นมา
จงึ ทำใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเจรญิ รงุ่ เร่ืองสืบเน่ืองถึงปัจจบุ ัน
อย่างไรก็ดี ปัญหาที่เกิดขึ้นมาในพระพุทธศาสนามีหลายสาเหตุทั้งเหตุปัจจัยภายนอกและ
เหตุภายใน บางป๎ญหาก็เกิดขึ้นมาจากพุทธสาวก คือ พระสงฆ์เองมีความประพฤติไม่เหมาะสม
ดังตัวอยา่ ง เช่น
ครั้งหนึ่งอุบาสกคนหนึ่งเป็นชาวชนบทกิฏาคีรี ได้พบเห็นพระภิกษุสงฆ์พวกของพระอัสสชิ
และปุนัพพสุกะผู้เป็นเจ้าถิ่นในชนบทกิฏาคีรีได้ประพฤติตนเป็นอลัชชีโดยแสดงกิริยามารยาท
ที่ อนาจารไม่เหมาะสม เกรงวา่ พระพทุ ธศาสนาในชนบทครี จี ะเสอ่ื มสูญไป จงึ ไดแ้ จ้งเรื่องราวท่ีตนพบ
เห็นแก่ภิกษุรูปหนึ่งผู้ผ่านไปชนบทกิฏาคีรีให้นำไปทูลแก่พระพุทธเจ้า เพื่อส่งพระสงฆ์ผู้ประพฤติดี
ปฏิบัติชอบมา เพื่อชำระและแก้ป๎ญหาที่เกิดขึ้นซึ่งเกี่ยวกับความประพฤติเสียหายของพระสงฆ์
เหล่านั้นภายหลังเมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบแล้วได้ทรงติเตียนและให้ทำปัพพาชนียกรรม๒๕แก่พวก

๒๓ ว.ิ มหา. (ไทย) ๕/๒๕๑–๒๕๙/๓๔๓–๓๕๓.

๒๔ สุชีพ ปุญญานุภาพ, พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน, (กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราช

วิทยาลัย, ๒๕๓๙), หนา้ ๙
๒๕ ว.ิ จู.(ไทย) ๖/๘๕–๘๘/๓๕–๔๔.

๒๕

ภิกษอุ ลชั ชี และปนุ ัพพสกุ ะพร้อมได้สง่ ใหพ้ ระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะพร้อมภิกษุจำนวนหลาย
รูปไปเพื่อทำปัพพาชนียกรรม จนทำให้พระพุทธศาสนาในชนบทกิฏารีคีกลับมีความเจริญรุ่งเรือง
เหมือนเดิม

จะเห็นได้ว่า อุบาสกมีส่วนสำคัญในการแก้ป๎ญหาและช่วยชำระอธิกรณ์ที่เกิดขึ้น
ในพระพุทธศาสนาให้หมดสิ้น ในกรณีดังกล่าวนั้น ปัญหาและอธิกรณ์เป็นเรื่องท่ีพระสงฆ์จะต้อง
เป็นผู้สอบสวนหาความจริง แต่เนื่องจากเป็นอธิกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เป็นโลกวัชชะซึ่งเป็นโทษ
ที่ชาวโลกติเตียน การสอบสวนหาความเป็นจริงจึงเป็นการไม่เหมาะสมที่พระสงฆ์จะต้องเข้าไปหา
หลักฐานข้อเท็จจริงดังกรณีสอบสวนเร่ืองธิดาเศรษฐีเมืองราชคฤห์ จึงต้องอาศยั อุบาสกและอุบาสิกา
เป็นผู้ทำหน้าที่แทน ผู้วิจัยเห็นว่า พระพุทธเจ้าต้องการจะให้ความยุติธรรมในหลักธรรมนั้นปรากฏ
แก่สัง คมและ ประ ชาชน โดยทั่วไ ปและ ให้มี ส่วน ร่วมใน การตัด สิน ปั ญ หาแ ละ อธิกรณ์ ที่เก ิ ด ขึ้ น
ความจริงเรือ่ งดงั กล่าวนนั้ พระพุทธเจ้าทรงทราบและมวี ธิ ีระงับอยู่แลว้ แต่ไม่ทรงกระทำ ทรงประสงค์
จะให้เรื่องนั้นระงับด้วยการสอบสวนกันเองของเหล่าสาวก ดังนั้น จึงมอบหมายใ ห้เป็นหน้าที่
ของพระสงฆ์อุบาสกและอุบาสิกาช่วยกันตัดสินวินิจฉัยโดยใช้หลักความถูกต้อง ในที่สุดปัญหาและ
อธกิ รณ์ท่ีเกดิ ข้นึ กร็ ะงับได้

๔) บทบาทด้านการสนับสนุนพระสงฆ์เผยแผ่พระพุทธศาสนาการแสดงธรรมแก่ผู้อื่น
ผู้ไม่เลื่อมใสให้เกิดความเลื่อมใส ผู้ไม่มีความเข้าใจให้มีความเข้าใจแจ่มแจ้ง ถือว่าเป็นการเผยแผ่
ศาสนาที่สำคัญ บทบาทในด้านนี้อุบาสกได้กระทำไว้เหมือนกัน คือ ได้ช่วยอธิบายธรรมและขยาย
เนื้อความธรรมท่ีเข้าใจยากให้แกบ่ ุคคลอืน่ ๆ อุบาสกหลายท่านได้สร้างบทบาทในด้านนี้โดยวิธตี ่าง ๆ
กัน เช่น แสดงธรรมให้ฟังบ้าง สนทนาธรรมบ้าง การโต้วาทีบ้าง กับบุคคลอื่นๆ ซึ่งอาจจะเป็นพุทธ
สาวก หรือ เป็นผนู้ ับถอื ลัทธอิ ่นื ๆมากอ่ น เชน่ จิตตคฤหบดี อุคคฤหบดี อุคคตคฤหบดี หัตถกอาฬวก
อุบาสก อนาถบิณฑกิ เศรษฐี เป็นต้นดังตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี

จิตตคฤหบดีนอกจากจะมีศรัทธาถวายทาน ให้ความอุปถัมภ์พระสงฆ์ และสร้างเสนาสนะ
สถานไว้ในพระพุทธศาสนาแล้ว ท่านยังได้แสดงธรรมอันเป็นค าสอนของพระพุทธศาสนาแก่บุคคล
อ่ืน ๆ ใหม้ คี วามรู้ความเข้าใจในธรรมยง่ิ ข้นึ ทา่ นจะใชเ้ วลาภายหลงั จากทีไ่ ด้ทำบุญถวายภัตตาหารแด่
พระสงฆเ์ สร็จแล้วสนทนาธรรมกับพระสงฆ์อยู่เสมอ ๆ ครั้งหนึ่ง ท่านได้ถามปัญหาธรรมกับพระสงฆ์
ทีน่ ิมนต์มาฉันที่บา้ นถงึ เรื่องความต่างแหง่ ธาตุกับพระเถระผู้เปน็ หัวหน้า แต่พระเถระไม่ตอบแม้ว่าจะ
ถูกถามถึง ๓ ครั้ง ก็ยังไม่ตอบ ในที่สุดอิสิทัตตะจึงอาสาตอบคำถามแทน ท่านได้สนทนาธรรมกับ
ท่านเศรษฐีโตต้ อบกันจนทำใหผ้ ู้ทอี่ ยูใ่ นท่ีประชุมนั้นเกิดความรู้แจง้ ในธรรมะยงิ่ ข้ึน

ครั้งหน่ึง จิตตคฤหบดีได้แสดงธรรมแก่อเจลกกัสสปะปริพาชกผู้เปน็ สหายฟ๎ง สามารถทำให้
อเจลกกัสสปะปริพาชกเกิดความเลื่อมใส ได้ยอมละทิ้งลัทธิที่ตนเองนับถือมานาน ประกาศตนเป็น
อุบาสก ภายหลงั ต่อมาไดข้ อบวชเปน็ พระภกิ ษุในพระพุทธศาสนา๒๖ ต่อมาท่านไดส้ นทนาปราศรัยกับ
นคิ รนถ์นาฏบุตร และนิครนถ์นาฏบุตร ไดถ้ ามทา่ นว่า ท่านเชื่อต่อพระพุทธเจา้ ว่าสมาธิไม่มวี ิตก วิจาร
มีอยู่ ความดับวิตกวิจารมีอยู่ ท่านตอบว่า ท่านไม่เชื่อต่อพระพุทธเจ้าในเรื่องดังกล่าวนั้น นิครนถ์

๒๖ สฬา.(ไทย) ๑๘/๕๘๐–๕๘๒/๓๗๐–๓๗๒.

๒๖

ถามป๎ญหาเรื่องเดยี วกันนี้หลายข้อ ในที่สุดนิครนถ์ได้กล่าวหาท่านเปน็ คนไม่ซื่อตรง ท่านจึงได้แสดง
เหตุผลอันเป็นธรรมให้ฟ๎ง ทำให้พวกนิครนถ์เกิดความเข้าใจในธรรมและมีความละอายไม่อาจจะ
โต้ตอบกบั ท่านได้ เพราะละอายตอ่ ค าพูดของตนจึงพาบริวารหลกี หนไี ป

อุคคคฤหบดี ชาวเมืองเวสาลี และ อุคคตคฤหบดี ชาวเมืองหัตถีคามท่านทั้งสองหลังจาก
ประกาศตนเป็นอุบาสกแล้วไดต้ ัง้ ใจปฏิบตั ิตนอยู่ในศลี ธรรมท่ีดีงามมาโดยตลอดจนได้รับยกย่องไว้ใน
เอตทัคคะและท่านทั้งสองด ารงตนอยู่ในศีลธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างสม่ำเสมอ พระพุทธเจ้า
จึงตรัสแก่เหล่าภิกษุว่า ท่านทั้งสองเป็นอุบาสกผู้มีธรรมที่อศั จรรย์ ๘ ประการ๔๔ซึ่งไม่มีมาก่อนเลย
พวกภิกษุที่ได้ฟังแล้วเกิดมีความสงสัยในธรรม ๘ ประการนั้น วันหนึ่งภิกษุรูปหนึ่งได้ไปบิณฑบาต
ที่บ้านของท่านจึงถามธรรมที่อัศจรรย์ ๘ ประการที่ตนสงสัยท่านได้แสดงธรรมที่อัศจรรย์ทั้ง ๘
ประการนน้ั ให้ฟังโดยละเอียด ทำใหภ้ กิ ษุมคี วามเขา้ ใจในธรรมดงั กล่าวนั้นจนหมดความสงสยั ได้๒๗

๕) บทบาทดา้ นการชกั ชวนคนเขา้ วดั ฟงั ธรรม
การชักชวนผู้คนไปฟ๎งธรรม เป็นอีกบทบาทหนึ่งที่อุบาสกได้กระทำเพื่อสืบต่ออายุ
ของพระพุทธศาสนาไว้ จากการศึกษาพบว่า มีบุคคลหลายคนที่ได้ฟังธรรมเพราะการชักนำ
ของ อุบาสก ก าร ที่บุคคลน ับถือพ ร ะ พ ุทธ ศาสน าและ น ำเอาหลัก ธ ร ร มไ ปปฏิบัติน ั่น หมายถึ ง ว่ า
พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรือง เพราะหลักธรรมที่สำคัญ ๆ อันเป็นหลักของพระพุทธศาสนา
จะได้รับการสืบทอดต่อไป อุบาสกผู้มีบทบาทด้านนี้ที่ทำอยู่บ่อยครั้ง คือ พระเจ้าพิมพิสารและ
พระเจา้ ปเสนทโิ กศล
พระเจ้าพิมพิสารภายหลังจากที่ทรงพาบริวารไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่สวนตาลหนุม่ ชื่อลัฏฐิวัน
กระทั่งบริวารประกาศตนเป็นอุบาสกและได้บรรลุธรรมเป็นจำนวนมาก ครั้งหนึ่งพระนางเขมา
อัครมเหสีของพระองค์เป็นผู้ลุ่มหลงในรูปร่างของตน ไม่ปรารถนาจะไปเฝูาพระพุทธเจ้าเพราะ
พระนางได้สดบั ฟังวา่ พระพุทธเจา้ ตรสั ติเตียนโทษของรูปไว้ พระเจา้ พิมพสิ ารจงึ หาวธิ ีจะพานางไปเฝ้า
พระพทุ ธเจ้าเพอ่ื ฟังธรรม ไดส้ งั่ พวกนกั กวแี ต่งเพลงขับพรรณนาความงามของพระเวฬวุ นั เมือ่ นกั ฟ้อน
ขับเพลง พระนางได้ฟ๎งแล้วมีความปรารถนาจะไปพระเวฬุวัน เมื่อไปเฝูาพระพุทธเจ้าพระองค์ได้
เนรมิตสตรีรูปงามให้พระนางเห็นแล้วทรงทำให้รูปนั้นเปลี่ยนสภาวะไปตามลำดับจนเหลือแต่ร่าง
เพียงกระดกู พระนางดเู ห็นแล้วเกิดความสลดใจคิดวา่ ในรูปนี้ไม่มสี าระอยู่เลย และเมือ่ ได้ฟ๎งธรรมแล้ว
พระนางได้บรรลุโสดาปัตตผิ ล๒๘
อีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าพิมพิสารได้สั่งให้พสกนิกร จำนวน ๘๐,๐๐๐ ตำบลมาประชุมกัน
เพ่ือรับฟังโอวาทและอุบายการปกครองบ้านเมือง เวลาเดยี วกนั น้นั ได้สง่ สาส์นไปถึงเศรษฐีอสุภะบิดา
ของโสณโกฬิวิสะให้นำบุตรของตนมาเฝ้าเพราะมีพระประสงค์จะดูฝุาเท้าที่ประหลาดของเขา
เมื่อโสณโกฬิวิสะเข้าไปเฝูาพระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นฝุาเท้าแล้วจึงได้ชี้แจงนโยบายการบ้าน
การเมืองให้ฟัง จากนั้น ส่งพวกพสกนิกรไปเฝูาพระพุทธเจ้าเพื่อฟ๎งธรรมและโอวาท โสณโกฬิวิสะ

๒๗ ส . สฬา. (ไทย) ๑๘/๕๓๗/๑๔๗.
๒๘ ข.ุ ธ. อ. ๘/๒๐ /๒๑.

๒๗

เม่ือฟง๎ พระธรรมจบได้บรรลุโสดาปัตตผิ ล ทา่ นคดิ วา่ ผู้อย่คู รองเรือนจะประพฤตพิ รหมจรรย์ให้บริสุทธิ์
เปน็ การยากจงึ ทูลขอบวช ภายหลังได้บรรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์๒๙

๖) บทบาทท่วั ไป
นอกจากที่ได้มีบทบาทต่าง ๆ ดังได้กล่าวมาซึ่งเป็นการส่งเสริมพระพุทธศาสนา
ให้มีความมั่นคงแล้ว ในด้านอื่น ๆ อุบาสกได้กระทำไว้เหมือนกันคือ บทบาทในการช่วยเหลือสังคม
ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีและความสงบสุข อุบาสกหลาย ๆ ท่านที่ได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือสังคม
หรือที่เรียกว่า สังคมสงเคราะห์คือการให้ความช่วยเหลือบุคคลผู้ยากไร้หรือได้รับความล ำบาก
ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นหรอื มีอาหาร มีที่พักอาศัย มีงานทำ มีเสื้อผ้าใส่ มีคนคอยดูแลเวลาเจ็บไขไ้ ด้
ปุวยเป็นต้น เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี เมณฑกเศรษฐี ปาวาริกเศรษฐี กุกกุฏเศรษฐี ภัททวดีเศรษฐี
ทุกคนต่างก็มีบร ิว าร ที่ต้อง คอยดูแลโดยไ ด้มอบงาน ให้ท ำอยู่ภายใน บร ิเว ณบ้าน ของ ตนเอง เ ป็น
จำนวนมาก ส่วนใหญ่บุคคลผ้ทู ่เี ข้ามาขออาศัยนน้ั เปน็ คนยากจนไรท้ ่ีพง่ึ พงิ เมือ่ พวกเขาเขา้ มาอาศัยอยู่
เป็นบรวิ ารโดยการอนุเคราะหข์ องท่านเหลา่ นี้จึงท าใหม้ ีงานท าไม่วา่ งงานเป็นการแก้ป๎ญหาสังคมไป
ดว้ ยและในขณะเดยี วกนั กเ็ ป็นการช่วยเสริมสร้างบารมใี ห้แกอ่ บุ าสกผู้ใหก้ ารช่วยเหลอื ได้แสดงบทบาท
ในด้านการสังคมสงเคราะห์อย่างเต็มที่ อุบาสกผู้มีฐานะเป็นเศรษฐีนอกเหนือจากที่ช่วยอุปการะ
ผู้ที่ยากไร้ที่มาขอพึ่งพิงให้มีงานทำและอาหาร เครื่องอุปโภคบริโภคแล้วยังได้จัดสรา้ งโรงทานใช้เปน็
สถานท่แี จกจา่ ยของไวต้ ามประตูบา้ นของตน ใครที่ขัดสนหรอื ไดร้ ับความเดอื ดร้อนก็สามารถไปพึ่งพิง
ขออาศัยฝากปากฝากท้องและชีวิตยังสถานที่แห่งนี้ได้โดยมีเจ้าหน้าที่คอยให้การดูแลในการแจก
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกคนทีม่ าขอให้ได้รับส่ิงของเสมอเหมือนกนั ใครโกหกหรือรับเกินก็จะ
ถกู เจ้าหนา้ ที่วา่ กล่าวตักเตือน ดงั เช่นทโี่ รงทานของภัททวดีเศรษฐี มเี ศรษฐผี ู้ประสบเคราะห์กรรมช่ือ
โฆสกะพร้อมดว้ ยภรรยาและลกู สาวไดม้ าพ่ึงโรงทานของท่านเศรษฐี ตอนแรกลกู สาวของเศรษฐีไปรับ
อาหารมาเพ่ือคน ๓ คน ได้นำมา๓ ส่วน แต่ภายหลังลดลงเหลือเพยี ง ๑ ส่วน เพราะพ่อแม่ได้ตายไป
หมดแล้ว เจ้าหน้าที่คนแจกอาหารจำนางได้และเห็นว่านางรับอาหารผิดสังเกตจึงทำการไต่สวน
ทีแรกก็ดุด่าวา่ ลูกสาวเศรษฐีเป็นคนไม่รู้จักมีความละอาย ไม่รู้จักประมาณตนดว้ ยคำพูดตา่ งๆ นานา
๕๓จากกรณนี ้ีจะเหน็ ว่า เปน็ การแสดงให้เห็นถงึ ความยตุ ธิ รรมที่ผู้รับจะต้องไดร้ ับในส่วนทีเ่ หมาะสมจะ
รับมากเกินประมาณไม่ได้ ซึ่งเป็นการบอกให้ทราบว่าทุกคนที่อยู่ในสังคมนั้นจะต้องครองตนอยู่ใน
ศลี ธรรมไมค่ วรทำตนเป็นคนเห็นแก่ตวั มากเกนิ ไปและทำให้ผูอ้ ่ืนเดือดร้อน ดังน้นั ผู้รับจึงต้องมีความ
ตระหนักถึงหลักความถูกต้องเป็นสำคัญ ภายหลังจากที่ได้สอบสวนแล้วจึงได้ทราบความจริง
เจ้าหน้าที่ของเศรษฐีจึงยนิ ดีรับเอานางไปเป็นบุตรบุญธรรม และในโรงทานของท่านเศรษฐีทั้งหลาย
เหลา่ นัน้ มพี วกคนจน วณิพก ยาจกผู้ยากไร้ แม้กระทง่ั คนเดินทางไกล คนกำพร้า กพ็ ากนั ไปรบั บริจาค
ทุกวัน
อยา่ งไรก็ตาม อบุ าสกในยคุ พุทธกาลถึงแม้จะไม่เคยบวชเรยี นมาก่อนก็ตาม แต่ก็ได้สนับสนุน
ส่งเสริมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี กล่าวคือ เป็นผู้มีบทบาทในการอุปถัมภ์พระสงฆ์

๒๙ วิ.มหา. (ไทย) ๕/๒/๕-๘.

๒๘

ตลอดถึงได้ชว่ ยเหลือพระสงฆ์ในการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา และบทบาทดา้ นอื่น ๆ ดงั ได้กล่าวมาแล้ว
ส่วนอุบาสกในป๎จจุบัน เริ่มตั้งแต่พระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้าสู่ประเทศไทย ในดินแดนสุวรรณภูมิโดย
พระโสณะและพระอุตตระ นับตั้งแต่นั้นมา พระพุทธศาสนาก็ได้เจริญรุ่งเรืองแผ่ขยายไปทั่วทุก
อาณาจักรของไทย ซง่ึ ขณะน้นั ประเทศไทยยงั ไมไ่ ด้รวมเปน็ อาณาจกั รเดียวเหมือนปจ๎ จุบนั อาณาจักร
ล้านนาก็เป็นอาณาจักรหนึ่งของประเทศไทย โดยมีนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางของ
อาณาจักร ซึ่งปกครองโดยราชวงศ์เม็งราย กษัตริย์ทุกพระองค์ทรงให้การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา
เถรวาทเป็นอย่างดี จึงทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสืบมา ในสมัยล้านนามีผู้นิยมบวชเรียนกัน
เปน็ สว่ นมาก เพราะสมัยนน้ั การศึกษาท่ไี ด้รบั ความนยิ มมากก็คอื การศึกษาในวัด มวี ัดเป็นศูนย์กลาง
ของการศึกษา พระภิกษุ สามเณร จะเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม
พิธีกรรม จารีต ประเพณีต่าง ๆ กล่าวได้ว่า เป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณและด้านวิชาการ เป็นที่พ่ึง
ของศรัทธาประชาชนอย่างแท้จรงิ

อย่างไรก็ดี เมื่อพระภิกษุผู้บวชเรียนได้ลาสิกขา ใช้ชีวิตอย่างคฤหัสถ์ทั่วไป ซึ่งในล้านนา
จะเรียกว่า “หนาน” ภาคกลางเรียกว่า “ทิด” มีฐานะเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา ถึงอย่างนั้น
ก็ยงั ได้รบั ความเคารพเช่อื ถอื จากประชาชน เพราะถอื วา่ เปน็ ผู้มีความรู้ความสามารถ มีความประพฤติ
เรียบร้อย บางท่านก็ยังได้รับความไว้วางใจจากเจ้าอาวาสและศรัทธาประชาชนให้ดำรงตำแหน่ง
มคั นายกหรอื ปุูอาจารย์ ซึ่งเป็นผมู้ บี ทบาทและเป็นผู้น าด้านพธิ ีกรรมต่างๆ

๒.๓.๕ บทบาทดา้ นการสง่ เสรมิ ศลิ ปะและวฒั นธรรม
อุบาสกที่เป็นมัคนายกในที่นี้ผู้วิจัยจะได้กล่าวถึงการส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมในสังคม
ได้ป๎จจุบัน ในป๎จจุบันการส่งเสริมศลิ ปวัฒนธรรมไทยได้ถูกบรรจไุ วใ้ นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั ร
ไทย พ.ศ.๒๕๔๐ ไดย้ กมาตราท่ีเกี่ยวกับสิทธเิ สรีภาพ และการกระจายอ านาจให้องคก์ รปกครองส่วน
ทอ่ งถน่ิ ไดเ้ ขา้ มามีสว่ นรว่ ม และมีหนา้ ท่ีบำรงุ รกั ษาศิลปะ จารตี ประเพณี ภูมปิ ัญญาท้องถิ่น และเม่ือ
ไดป้ ระกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั กิ าหนดแผนและขน้ั ตอนการกระจายอ านาจใหแ้ กอ่ งค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๔๒ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน
ตามพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวได้พิจารณาเห็นชอบการถ่ายโอนภารกิจ ๖ ด้าน รวม ๒๔๕ กิจกรรม
ในด้านศิลปวัฒนธรรม จารีตประเพณี และภูมิป๎ญญาท้องถ่ิน และได้มีการถ่ายโอนภารกิจจำนวน ๒
กิจกรรม คอื การบำรุงรักษาโบราณสถานขั้นพื้นฐานและการดูแลรกั ษาโบราณสถานในระดับท้องถ่ิน
เพ่อื เปน็ การสง่ เสริมงานศลิ ปวัฒนธรรมให้คงอยู่สืบไป๓๐

๓๐ ว่าทนี่ าวาตรีสชุ พี ปญุ ญานุภาพ,“วัฒนธรรมวิทยาประชานเิ ทศน”์ เลม่ ๓ สภาวฒั นธรรมแหง่ ชาติ
พ.ศ.๒๕๐๐, หน้า๔-๘

๒๙

๒.๔ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการประกาศตนเป็นอุบาสกที่ปรากฏในคัมภีร์
พระพทุ ธศาสนา

ได้กล่าวถึงความหมายของคำว่า อุบาสก มาแล้ว ต่อไปนี้จะได้ศึกษาประวัติของอุบาสกที่มี
ลักษณะและวิธีการการนับถือพระรัตนตรัยที่แตกต่างกัน ซึ่งปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
ดังจะไดก้ ลา่ วเปน็ ลำดับ

ก. พระไตรปิฎกในพระไตรปฎิ ก
หลังจากที่ผู้วิจัยได้ศึกษาดูแล้ว พบว่า มีกล่าวถึงประวัติและลักษณะการประกาศตนนบั ถอื
พระรัตนตรัยของอุบาสกไว้ ๒ วิธี คือ ๑) ผู้ประกาศตนเป็นอุบาสกโดยรับเอารัตนะสองเป็นที่พ่ึง
เรียกว่า เทฺววาจิกา๓๑หมายถึง ผู้นับถือพระพุทธ พระธรรม เป็นที่พึ่ง โดยประกาศนับถือต่อหน้า
พระพุทธเจ้า๒) ผู้ประกาศตนเป็นอุบาสกโดยยอมรับเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เรียกว่า เตวาจิกา
หมายถึงผู้นับถอื พระรตั นตรยั คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พงึ่ โดยประกาศนับถือต่อหน้า
พระสงฆ์ มีพระพุทธเจา้ เปน็ ประธาน
ในวธิ ีท่ี ๒ นย้ี งั มีลกั ษณะการประกาศนับถือพระรตั นตรยั ทเ่ี กดิ ขึน้ ภายหลงั จากท่ีพระพุทธเจ้า
ปรินิพพานแลว้ โดยได้เปลง่ วาจาต่อหน้าพระสงฆ์ ก็เรยี กว่า เตวาจิกา เหมือนกันการประกาศตนเป็น
อุบาสกในพระพุทธศาสนา มี ๒ ลักษณะดังนี้
๑) การประกาศตนเป็นอุบาสกด้วยวิธีเทฺววาจิกาวิธีนี้เกิดขึ้นภายหลังพระพุทธองค์ตรัสรู้ได้
๔ สัปดาห์ขณะนั้นได้ประทับอยู่ ณ ควงไม้ราชายตนะ มีพ่อค้า ๒ คน ชื่อตปุสสะและภัลลิกะได้
เดินทางมาพบพระพุทธเจ้าแล้วเกิดความเลื่อมใสได้เปล่งค าประกาศนับถือ พระพุทธเจ้า
และพระธรรม เป็นที่พึ่งตลอดชีวิต ดังที่ปรากฏในคัมภีร์วินัยมหาวรรคว่า พระพุทธเจ้าข้า
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระธรรมว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคเจา้
ทรงจ าข้าพระพุทธเจ้าว่าเป็นอุบาสกผูม้ อบชีวติ ถึงพระสรณะจำเดิมตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ ก็เขาท้ัง
สองจงึ ไดช้ ่ือว่าเป็นอุบาสกผู้ถงึ สรณะสองเป็นคนแรกในโลก๓๒ เหตุที่ประกาศนับถือพระพุทธเจ้าและ
พระธรรม เพราะว่าในขณะนั้นยังไม่มีพระสงฆ์

๓๑ หมายถงึ ผกู้ ล่าววาจาถงึ สรณะ ๒ คือ พระพุทธ พระธรรม ในสมัยที่ยงั ไมม่ ีพระสงฆ์, (พระราชวรมนุ ี
(ประยุทธ์ ปยตุ ฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท์, หนา้ ๗๕.

๓๒ วิ. มหา. (ไทย) ๔/๖/๖-๗, เอเต มย ภนเฺ ต ภควนตฺ สรณ คจฉฺ าม ธมมฺ จํฺ อุปาสเก โน ภควา ธาเรตุ
อชชฺ ตคฺเค ปาณเุ ปเต สรณ คเตติ ฯ เต จ โลเก ปฐม เทวฺวาจิกา ฯ.

๓๐

๒) การประกาศตนเป็นอุบาสกดว้ ยวธิ ี
เตวาจกิ าวิธนี เ้ี กิดขึน้ หลังจากท่พี ระสงฆ์เกดิ ข้ึนแล้ว ผปู้ ระกาศตนเปน็ อบุ าสกดว้ ยวิธีน้ีเป็นคน
แรก คอื บิดาของพระยสะ โดยได้ประกาศตนเป็นอุบาสกตลอดชีวติ หลังจากทไ่ี ดฟ้ ังธรรมและได้บรรลุ
โสดาปตั ติผลแล้ว ดงั ท่ีปรากฏในคัมภีร์วนิ ัยมหาวรรค วา่ พระพทุ ธเจ้า ขา้ พระพุทธเจ้านี้ขอถึงพระผู้มี
พระภาคเจ้า พระธรรมและพระสงฆว์ ่าเปน็ สรณะ ขอพระองคจ์ งทรงจ าข้าพระพุทธเจา้ ว่าเป็นอุบาสก
ผู้มอบชีวิตถึงสรณะจำเดิมแตว่ นั น้ีเป็นต้นไป ฯ เขาได้ชื่อว่าเป็นอุบาสกผู้ถงึ รตั นตรัยเปน็ ที่พึ่งเป็นคน
แรกในโลก๕๘การเปล่งวาจาด้วยวิธีเตวาจิกานี้ได้เป็นแบบอย่างการประกาศนับถือพระรัตนตรัยใน
สมัยตอ่ มาจวบจนกระทัง่ ถึงปจ๎ จบุ ัน๓๓
ข.อรรถกถา
ในอรรถกถาสุมังคลวิลาสินี ได้กล่าวถึงประวัติและคำประกาศตนนับถือพระรัตนตรัย
เป็นสรณะไว้ ๒ ประเภท ดังน้ี ๑)การเข้าถึงสรณะแบบโลกุตตระการเข้าถึงสรณะประเภทน้ี
ต้องยึดเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ ในสุมังคลวิลาสินี อรรถกถาทีฆนิกายกล่าวไว้ว่า “โลกุตตร
สรณคมน์ ว่าโดยอารมณ์มีนิพพานเป็นอารมณ์ ย่อมสำเร็จด้วยตัดขาดอุปกิเลสของสรณคมน์
ในมัคคขณะแหง่ พระอริยบุคคลผเู้ หน็ สจั จะแลว้ วา่ โดยกิจย่อมส าเรจ็ ในพระรัตนตรยั แม้ทั้งสนิ้ ”๖๐วิธี
ประกาศตนถึงสรณะประเภทนี้ จะยึดเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์สามารถทำลายกิเลสอันเป็น
อุปสรรคตอ่ การบรรลุมรรคผลข้นั ต้นได้ พรอ้ มกับไดส้ าเร็จอริยมรรคคือมีความเห็นชอบในอริยสัจ ๔
ว่ามีการเกิดขึ้นและดับไปเปน็ ธรรมดาตามธรรมชาติของสรรพส่ิงบุคคลผูฟ้ ังธรรมจบแล้วในทันทีท่ไี ด้
บรรลุมรรคผล บุคคลผู้ที่ได้บรรลุนั้นถือว่าเป็นอุบาสกในวิธีนี้ เช่น พระเจ้าพิมพิสาร หลังจาก
ที่พระองค์ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว ได้บรรลุมรรคผลในทันทีคือสำเร็จเป็นพระโสดาบัน
พระองคจ์ งึ ถอื ว่าเป็นอบุ าสกในพระพุทธศาสนาในทนั ทีเช่นกนั
๒) การเข้าถึงสรณะแบบโลกยิ ะ
วิธกี ารประกาศตัวถงึ สรณะประเภทนี้ จะต้องข่มกิเลสทเ่ี ป็นอนั ตรายตอ่ การเข้าถงึ สรณะให้ได้
โดยยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นอารมณ์ กล่าวคือ มีจิตเกิดศรัทธาความเชื่อในพระรัตนตรัยว่าเป็นสิ่งที่
ประเสริฐสุดและมีป๎ญญาเป็นสัมมาทิฏฐิเห็นชอบในพระรัตนตรัย ในสุมังคลวิลาสินี อรรถกถาทีฆ
นิกาย กลา่ วไวว้ ่า “โลกิยสรณคมน์ ว่าโดยอารมณ์มพี ระพทุ ธคุณเปน็ ต้นเปน็ อารมณ์ ย่อมส าเร็จด้วย
การข่มอปุ กเิ ลสของสรณคมน์ของปุถชุ นทัง้ หลาย ฯ โลกิยสรณคมนน์ น้ั วา่ โดยอรรถได้แก่การได้เฉพาะ
ซึ่งศรัทธาในวัตถุทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นและสัมมาทิฏฐิซึ่งมีศรัทธาเป็นมูลที่ท่านเรียกว่า

๓๓ บรรจบ บรรณรจุ ิ, เล่มน้ีมปี ัญหา ๒ , (กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๗),
หนา้ ๑๐๘.

๓๑

ทฏิ ฐุชุกรรมในบุญกิรยิ าวตั ถุ ๑๐ ประการ”๓๔ วิธปี ระกาศตนเขา้ ถงึ สรณะประเภทน้ี สิ่งส าคญั คือต้อง
มีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัยและมีป๎ญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิคือมีความเห็นชอบในสิ่งที่ถูกต้อง เช่น
การประกาศตัวของเศรษฐีผู้เป็นบิดาของพระยสะเป็นตัวอย่าง โดยได้เปล่งประกาศตัวต่อหน้าพระ
รัตนตรัยวา่ จะยึดถอื พระรตั นตรัยเปน็ ทีพ่ งึ่ ไปจนตลอดชวี ิต ก็ถอื ว่าเปน็ อบุ าสกโดยสมบรู ณด์ ้วยวิธนี ้ี

๒.๕ แนวคดิ และทฤษฎีเก่ยี วกบั พิธกี รรมและประเพณที สี่ ำคัญภาคเหนือ

ภาคเหนือของไทย มีลักษณะภูมิประเทศเป็นเขตภูเขาสลับพื้นที่ราบระหว่างภูเขา ซึ่งผู้คน
อาศัยอย่างกระจายตัวแบ่งกันเป็นกลุ่ม อาจเรียกว่า กลุ่มวัฒนธรรมล้านนา โดยจะมีวิถีชีวิตและ
ขนบธรรมเนียมเก่าแก่เป็นของตนเองมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่องค์ประกอบที่สำคัญก็ยังมีความ
คล้ายคลึงกันอยู่มาก อาทิ สำเนียงการพูด การขับร้อง ฟ้อนรำ การดำรงชีวิตแบบเกษตรกร
การนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และวิญญาณของบรรพบุรุษ ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท
การแสดงออกของความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์โดยผ่านภาษาวรรณกรรม ดนตรี และงานฝีมือ
แม้กระทั่งการจัดงานฉลองสถานที่สำคัญที่มีมาแต่โบราณ เดิมวัฒนธรรมคนเมืองหรือคนล้านนา
มีศูนย์กลางอยู่ท่ีเมืองนพบุรศี รนี ครพิงค์เชียงใหม่ ตามชื่อของอาณาจกั รที่มีการปกครองแบบนครรฐั
ทีต่ ง้ั ข้นึ ในพุทธศตวรรษท่ี 18 โดยพญาเมง็ ราย๓๕

๒.๕.๑ พิธีปลกู บา้ นหรือปลกู เรอื น (เฮอื น)๓๖
ประเพณี วัฒนธรรมการปลูกเรือนนั้น ในแต่ละสังคม ย่อมมีวิธีการทีแ่ ตกต่างและคลา้ ยคลึง
กันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสังคมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ และสภาพแวดล้อม ประเพณี
การปลูกเรือนล้วนแฝงไว้ดว้ ยคติความเช่ือของสงั คมนน้ั ๆซ่งึ เปน็ ตวั กำหนดพ้นื ฐานของการปลูกสร้าง
บา้ นเรือน เพือ่ ใหบ้ งั เกิดความอยูเ่ ยน็ เปน็ สขุ แก่ผอู้ าศัยในเรอื นนน้ั ๆ การ “ปกหอยอเฮือน” เป็นคำพูด
ในภาษาล้านนา หมายถึงประเพณีการปลูกเรือนล้านนา แต่เดิมที่อยู่อาศัยของชาวล้านนามีด้วยกัน
หลายระดับ แล้วแต่ฐานนะของเจ้าของมีตั้งแต่ตูบติดดิน ตูบหมาแหงน ตูบหย่างร่างเรือน ตูบพื้น
หลองขา้ ว เรือนไมบ้ วั่ เรือนเครือ่ งไมจ้ รงิ เรือนไม้จริงลว้ น คอื พ้ืนแป้นฝาแปน้ เปน็ ตน้
การครองเรือนของคนล้านนา แต่โบราณนิยมให้ฝ่ายชายอยู่ร่วมกับฝ่ายหญิง เรียกว่า
วิวาหมงคล หรือ วิวาหะมังคละ เพื่อให้ฝ่ายชายได้รับใช้บิดามารดาฝ่ายหญิง เรียกว่า “ได้ลูกอ้าย
หลานชาย” เพอ่ื เป็นการตอบแทนท่ีฝ่ายชายได้ลกู สาวของเขามาเป็นภรรยา เป็นเวลา ๓ ปีเป็นอย่าง

๓๔ ที.ม.อ.๑ / ๒๐๗, โลกิย ปุถชุ ชฺ นาน สรณคมนปุ กเิ ลสวกิ ฺขมฺภเนนอารมมฺ ณโต พุทฺธาทคิ ุณารมมฺ ณ
หุตฺวา อชิ ฌฺ ติ ต อตฺถโตพทุ ฺธาทีสุ วตฺถสู ุ สทฺธาปฏลิ าโภ สทฺธามูลกิ า จ สมมฺ าทิฏฺฐิ ทสสุ ปฺุญํ กิริยาวตฺถูสุ ทฏิ ฺฐุชกุ มฺ
มนฺติ วจุ จฺ ติ ฯ

๓๕ ปราณี วงษ์เทศ, วัฒนธรรมคนเมืองหรือคนล้านนา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์โอเอสพรินติงเฮ้า,
๒๕๔๕), หน้า ๒๓.

๓๖ ทศพล อาจหาญ, พิธีปลูกบ้านหรือปลูกเรือน (เฮือน), (กรุงเทพมหานคร : มิตรสัมพันธ์กราฟฟิค,
๒๕๔๕), หน้า ๘๓.

๓๒

น้อย จึงจะแยกตัวลงมาตั้งเรือนใหม่อกี ๑ ครอบครัว เรยี กว่า “ลงปักซัง้ ตัง้ กิน” (การปลูกเรอื นในสมัย
โบราณจะปลกู ให้ดที ีเดียวเลยไม่ได้ ถือว่าขึด จะเกิดโรคภยั ไขเ้ จ็บ แต่ถ้าพ้น ๓ ปีไปแล้วจะปลกู เรอื น
แบบใดก็ได้ไมม่ ีขดึ อันใด ในปีแรกต้องปลูกเรือนแบบฝังเสาดั้งจากดินขึ้นไป เรียกว่า “เสาดั้งจ้ำดิน”
เรือนแบบนี้อยู่ได้ประมาณ ๑ ปีเท่านั้นก็ต้องรื้อปลูกใหม่ การปลูกเรือนในปีที่ ๒ จะสร้างเรือนผูก
คือผูกขื่อผูกแปกับเสาเรือนได้โดยเสาดั้งตั้งจากขื่อขึ้นไป ปีที่ ๓ จึงจะปลูกเรือนแบบเจาะรูขื่อรูแป
เพื่อสวมเข้ากับเดือยปลายเสาได้ เรียกว่า “เรือนขื่อสุบ” ในการปลูกเรือนใหม่ชายหนุ่มจะต้องหา
สถานท่อี ยแู่ ละเตรยี มอปุ กรณใ์ นการทำบา้ น ไว้อย่างพร้อมมูล

ก.ข้ันตอนการปลกู เรอื น
เมือ่ ได้ทำการจัดหาเตรียมเครื่องเรอื นที่เรยี กกนั ว่า “การครัวไม้” โดยทำการท่าวร่างทดลอง
ปลูกดูก่อน แล้วจึงรื้อลงมาจัดผูกแยกเป็นกองๆ เพื่อรอการปลูก ต่อมาเจ้าของเรือนจะต้องไปหา
ปู่อาจารย์ให้ท่านช่วยดูฤกษ์ดูวันในการที่จะปก เรือน เมื่อได้วันกำหนดที่แน่นอนแล้ว เจ้าของเรือน
จะออกไปขอแรงจากเพื่อนบ้าน ญาติพี่น้องให้มาช่วยปกเรือน เพราะชาวบ้านสมยั ก่อนเปน็ ชา่ งปลกู
เรือนเหมือนกันเกือบทุกคนโดยขอไว้ล่วงหน้า อย่างน้อย ๓ วัน ส่วนฝ่ายหญิงจะไปบอกญาติพี่น้อง
ของฝ่ายตนให้ช่วยทำอาหารเลี้ยงคนที่มาช่วย งาน ก่อนที่จะทำการปกเรือน เจ้าของเรือนจะต้อง
สำรวจดูพนื้ ท่ๆี จะปลูกเรอื นกอ่ นว่าตรงไหนจะดมี ากนอ้ ย ประการใด โดยมขี น้ั ตอนตา่ งๆไดแ้ ก่๓๗
ข.การดคู วามสงู ตำ่ ของพ้ืนท่ี
การดคู วามสูงตำ่ ของพน้ื ที่ โดยใหด้ ูพื้นดินทมี่ ีความสูง และลาดเทไปยังทศิ ตา่ งๆดงั น้ีพื้นดินสูง
ทางทศิ ตะวันตกเฉียงใต้ ตำ่ ทางทศิ ตะวันตกเฉยี งเหนอื ถือว่า ดพี น้ื ดนิ ตำ่ ทางเหนอื สูงทางทิศใต้ ถือว่า
ดถี า้ พนื้ ดินสูงทุกด้าน เรยี กพ้นื ทีน่ ้นั ว่า สุชาดา ถือว่าดมี ากพน้ื ดินสูงทางทิศใต้ต่ำทางทิศเหนือ ดีมาก
พ้ืนดนิ สงู ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนอื ต่ำทางทศิ ตะวนั ตก ถือว่าดี
ค. การดูจากการเส่ยี งทาย
ดูการเสี่ยงทายว่าที่ดินตรงไหนจะดีหรือไม่ดี โดยทำควัก หรือกระทงใบตอง ๓ อัน อันแรก
ใส่ข้าวเหนียวสุก อันที่ ๒ใส่ข้าวเหนียวที่ทาหรือคลุกด้วยปูนแดงให้มีสีแดง เรียกว่า ข้าวแดง
อันสดุ ทา้ ยข้าวเหนยี วสุกทาหรือคลกุ ดว้ ยหมนิ่ หม้อให้มีสีดำเรียกวา่ ข้าวดำ แล้วนำไปวางไว้ในบริเวณ
ที่จะปลูกเรือน จากนั้นให้อธษิ ฐานขอให้มีสิ่งแสดงบอกเหตุดีหรือไม่ดีตามความปรารถนา หรือกล่าว
คำโวหารที่ปรารถนา ทิ้งไว้สักครึ่งหรือ ๑ วันแล้วจึงไปดูควักใบตองทั้ง ๓ ว่ามีสัตว์มากินหรือตอม
หรือไม่ หากเป็นขา้ วทีเ่ ป็นสขี าวไมไ่ ด้คลุกดว้ ยสิ่งใด ถือว่าเปน็ ทีป่ ลูกเรือนได้ดีมาก ถ้าสัตว์หรอื แมลง
มากินข้าวแดงดีปานกลาง ถา้ กินขา้ วสดี ำถือวา่ ไมด่ ี
อกี วิธหี นึง่ เอาใบฝาแปง้ มา ๘ ใบ ใบ ๑ ห่อดนิ ใบ ๑ ห่อเปลือกไม้ ใบ ๑ ห่อผมยุ่ง เม่อื พรอ้ ม
ก็นำขันข้าวตอกดอกไม้พร้อมสิ่งต่างๆไปสู่งบริเวณที่จะปลูกเรือน แล้วตั้งอธิษฐานดังนี้ “โอกาสะ
พรหมเทวดา รุกขเทวดา ติณณปัพพเทวดา อากาสเทวดา บัดนี้ผู้ข้า พ่อแม่ ลูก ผัวเมีย มีประมาณ
เท่านี้ จักมาตั้งบ้านเรือนอยู่ทีน่ ้ี ยังจักเพิงใจเทวดาทังหลายอั้นชา คันยังจักอยู่วุฒิเจรญิ ใจแก่ตูข้าทัง

๓๗ ศิริรกั ษ์ จรัณยานนท์, ความเช่ือของการปลกู บา้ นชาวล้านนา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พเ์ ล่ียงเชยี ง,

๒๕๕๖), หนา้ ๔๒.

๓๓

หลายดังอัน้ กข็ อห้อื หยบุ ได้หอ่ ทด่ี ี คันตูทงั หลายยังจกั อยูบ่ ่วุฒิเจรญิ ใจดังอัน้ ก็ขออย่าได้หยุบเอาห่อท่ี
บ่ดีนั้นเทอะ “ ว่าแล้วจึงกล่าวคาถาว่า “นมามิ สิรสา นาถัง สัสสธรรมคนุตตมัง อิทัมปินิตโต ทิพพ
จักขุงวปัสสติ” แล้วจึงจับเอาห่อสิ่งนั้นขึ้นมา ๑ ห่อ เปิดดู ถ้าได้ห่อดอกไม้ ห่อข้าวเปลือก ห่อหิน
ห่อดิน ดมี ากควรอยู่ทีน่ นั้ ถา้ จับได้ห่อเปลือกไม้ ห่อผมยงุ่ หอ่ ปีกไก่ และห่อถ่านไฟ ไม่ดีไมค่ วรอยู่

อีกวิธีหนึ่ง ถ้าจะปลูกเรือนที่ใด ให้ถางหญ้าตรงกลางบริเวณนั้นกว้างประมาณ ๑ ศอก
แล้วเอาไม้แหลมเป็นหลักยาว ๑ ฝ่ามือ นำไปตอกไว้ที่ตรงนั้นให้โผล่พ้นดินประมาณนิ้วหัวแม่มือ
เอาเมด็ ขา้ วเปลือกมาเรียงกับดิน เอาหัวเข้าหาหลกั นน้ั จนรอบ เอาหมอ้ ใหม่มาครอบไว้ แล้วกลบปาก
หม้อให้มดิ ชิดไม่ให้แมลงเขา้ ไปขา้ งในได้ แล้วเอาควกั วางแม่ธรณี อธิษฐานต่อเทวดาและธรณีที่นั้นว่า
“คนั ผู้ข้าทังหลายจักแปลงบ้านเรือนอยู่ที่น้ี ยงั จักอย่ดู มี ีสขุ ดงั อ้นั ก็ขอหอ้ื ข้าวเปลือกท่ีหลักน้ีอย่าได้ฟุ้ง
ไปทางใด เทอะ คันผู้ข้าทังหลายจักอยู่ไม่สบายก็ขอหื้อเม็ดข้าวเปลือกกระเด็นแตกฟุ้งไป จิ่มเทอะ”
เมื่อถึงอีกวันก็ให้ไปเปิดหม้อดู ถ้าเม็ดข้าวกระเด็นฟุ้งไป ที่ตรงนั้นไม่ดีอย่าได้อยู่ ถ้าเม็ดข้าวขึ้นอยู่
บนปลายหลกั ก็ยังดีอยู่ ถา้ เมด็ ขา้ วไมแ่ ตกกระจายให้อยทู่ ่ีนน้ั ดมี าก

ค. การบชู าเทวดาที่รกั ษาพน้ื ทีท่ ่จี ะปลกู เรือน
ก่อนวันปกเรือน ๑ วัน คนเฒ่าคนแก่ที่เป็นหญิงจะช่วยกันดาครัวขึ้นท้าวทั้ง ๔ จัดทำเป็น
สะตวงหรือกระทงจำนวน ๖ กระทง ส่วนคนแก่ชายจะจัดตั้งค้างท้าวทั้ง ๔ บางแห่งก็จะทำสะตวง
หยวกกล้วยกว้างประมาณ ๑ คบื จำนวน ๕ สะตวง ใสเ่ คร่ืองครวั บูชา มขี า้ วตอกดอกไม้ ธูปเทยี น แกง
ส้ม แกงหวาน กล้วย อ้อย ข้าว น้ำ โภชนาอาหาร หมากพลู ยา อย่างละ ๔ ช่อขาว ๔ เรียกว่า “สะ
ตวงเครื่อง ๔” พิธีกรรมข้างต้น (ศรีเลา เกษพรหม, ๒๕๓๙, หน้า ๘๖ และ ๑๐๗) บางตำราเรียกวา่
การทำพธิ ี “เสดาะเสนยี ด” (ขดึ หรอื ปดั รงั ควานเสาทจ่ี ะทำพธิ ี “ปก” โดยให้อา่ นคาถาแลว้ ใช้มีดหรือ
ขวาน ถากไม้ตรงตีนเสาออกพอเป็นพธิ ี และเอาเศษไมท้ ถี่ ากมาไปใส่ในสะตวงแล้วเอาสะตวงท้งั ๔ อนั
ไปวางไว้ตามทศิ สม่ี มุ บา้ น ส่วนสะตวงอีกอันหนง่ึ ทอ่ี ยตู่ รงกลางนนั้ ใหเ้ อาไปลอยน้ำเสีย เป็นเสรจ็ พิธี๓๘
ง.พธิ ีเซน่ สรวงเจ้าท่ี
การ บชู าพญานาค บางท้องถนิ่ เมอื่ จะปกเสาเรอื น ต้องมีการจัดเครือ่ งบูชาพญานาค โดยทำ
สะตวงหยวกกล้วย กวา้ ง ยาว เท่ากบั ศอกของเจา้ ของเรือน ใสด่ ว้ ยขา้ ว น้ำ โภชนาอาหาร พร้าว ตาล
กลว้ ย ออ้ ย หมาก พลู ข้าวตอก ดอกไม้ ช่อ ๖ ตวั จองแหลง (คอื เทยี นขีผ้ ้ึงขนาดเลก็ ติดกบั ตอกไม้ไผ่)
๖ อนั ดอกไม้ขาว ๖ ดอก ผ้าขาว ผา้ แดง ยาวเท่ากับศอกของเจา้ ของเรือน ๒ ผนื แลว้ ขดุ หลุมใกล้กับ
หลุมเสามงคล กวา้ ง ๑ ศอก ลกึ ๑ ศอกของเจ้าเรอื น วางสะตวงใกลก้ ับปากหลมุ และกล่าวคำโอกาส
ดังนี้
“โภนโต ดูรานาคราชาตนเป็นเจ้าเป็นใหญ่ตนประเสริฐ อันเป็นใหญ่กว่านาคทั้งหลาย
มากกว่าแสนโกฏิ อันอยู่รักษาแผ่นดินหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชนะ และรักษาเมืองคำแห่งอินทรา
ชเจ้ากล้ำลุ่ม บัดนี้หมายมีเจา้ เรือนผู้มชี ื่อวา่ …จิ่งจักมาสร้างแปลงยังเคหาหอ เรือนอันใหม่ ก็จิ่งจักรำ
เพิงเถิงบุญคุณแห่งเจ้ากู ก็จิ่งได้ตกแต่งยังเครื่องบริกรรมปูชานมัสการ มีข้าวปลาโภชนาอาหาร

๓๘ สมชัย ใจดี ยรรยง ศรีวิริยาภรณ์, ความเชื่อของการบูชาเทวดาที่รักษาพื้นที่ที่จะปลูกเรือน,

(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เล่ียงเชยี ง, ๒๕๕๙), หน้า ๒.

๓๔

แกงส้ม แกงหวาน พร้าวตาล กล้วยอ้อย จองแหลงและเย่ืองและ ๖ มีผ้าขาว ๒ ผืน ก็เพอื่ ว่าจักมาขอ
เอายังโชคชยั ลาภะสกั การะ กบั ด้วยเจ้ากูว่าอน้ั สันน้ีแทด้ หี ลี ขอเจา้ กูจงุ่ จักมารับเอายงั เครื่องขียาปูชา
นมัสการทังหลายมวลฝูงนี้ แล้วขอเจ้ากูจุ่งจักนำมายัง โชคชัย ลาภะสักการะยศ บริวาร ศรีโภคะ
ธนะ มะหิงสา สิตา นารานิบิ สัพพะสิทธิ วิฏฏรุจจิติ” ว่า ๓ ครั้งแล้วเอาผ้าขาว ๒ ผืน รองตีน
เสามงคลผืน ๑ และรองตีนเสานางผืน ๑ จากนั้นเอาสะตวงไปให้พ้นเขตบ้าน แล้วจึงทำการปกเสา
มงคลและเสานาง รวมท้งั เสาอน่ื ๆ ต่อไป

จ.การวางผงั เรอื น
กอ่ นวันปกเรอื น สลา่ ผเู้ ปน็ หวั หนา้ จะพาลูกมอื วางผังของเรอื นกอ่ น ในอดีตจะขึงเชอื กดูระยะ
ความกว้างยาวของตัวเรือน ว่าจะปลูกบริเวณใดที่จะเป็นมงคล เชือกที่นำมาใช้ต้องไม่เป็นเชือก
ที่ต้องห้าม ทั้งสีและชนิดของเชือกเป็นสิ่งสำคัญ เช่น เชือกสีดำไม่ดี เชือกสีเขียวดีจะมีทรัพย์สิน
เชือกทเ่ี ปน็ ดา้ ยสแี ดงไม่ดีไฟจักไหม้ เชือกดา้ ยสขี าว หรือเชอื กจากเปลอื กไมไ้ ม่ดี เชอื กเครอื เขาไม่ดีจัก
ฉิบหาย เมื่อวัดไดท้ ี่แล้วนำขื่อ และแปมาวางพาดกันตามรูที่เจาะไว้ในบริเวณที่จะปลูกเรือน โดยหัน
ทิศทางให้ถูกต้องตามที่เจ้าของเรือนต้องการ แล้วเอาไม้หลักตอกลงดินเพื่อหมายไว้เป็นจุดที่จะขุด
หลุมเสาตรงหลักท่หี มาย น้นั ใหค้ รบทกุ ต้น
ฉ.วนั ปกเรอื น
วันรุ่งขึ้นชาวบ้านที่ได้รับการบอกกล่าวจากเจ้าของเรือน หรือได้ทราบว่าบ้านมีบ้านที่จะปก
เรือนก็จะมีน้ำใจมาชว่ ยปกเรือนดว้ ย มที ้งั คนอายปุ ระมาณ ๓๕ ปขี ้ึนไป จนถึงคนสะหมังเคิ้ม คืออายุ
๔๐-๕๐ ปี บางคนก็กว่า ๖๐ ปีไปแล้วจะมาช่วยกันโดยแบ่งงานตามความถนัดและตามเครื่องมือท่ี
ตนเองมี ชาวบา้ นช่วยกันปกเรอื น ในการปกเรือนจะเอาข่ือแปวางซ้อนกันในจุดทจี่ ะปลกู เรอื น ไปตาม
ทิศตะวันออกและตะวันตก วางแปยาวไปตามทิศเหนือใต้ หากวางแปไปตามทิศตะวันออกและ
ตะวันตกจะถือว่า “แปลงเรือนขวางโลก” เรือนล้านนาในอดีตจะหันหน้าเรือนไป ๒ ทิศเท่านั้นคือ
ทิศเหนือและทิศใต้ ใน การปกเสาเรือนนั้นจะต้องปกเสามงคลหรือเสาเอกก่อน แล้วจึงปกเสานาง
และเสาอน่ื ๆตามมา เมอ่ื ชาวบา้ นมาแลว้ ถ้ายังไม่ได้ขดุ หลมุ เสา กจ็ ะลงมือขดุ เสามงคลกบั เสานางก่อน
เพราะจะต้องมีพิธีกรรมเกี่ยวเสาทั้งสองต้นนี้ ปู่อาจารย์จะเป็นผู้ผูกเสามงคลให้ ชาวบ้านจะช่วยกัน
หามเสามงคลและเสานางไปที่หลุม หันปลายเสาไปตามทิศมงคล เอาโคนเสาใกลป้ ากหลุม ทป่ี ลายเสา
จะมีไม้ง่ามค้ำเป็นรูปกากบาทสูงประมาณ ๑ ศอกเพื่อวางรับเสาไห้ห่างจากพื้น มีเครื่องบูชา
ประกอบด้วย มะพร้าวอ่อน ๑ ทะลาย กล้วย ๑ เครือ ต้นกล้วย ต้นอ้อย และเสื้อของเจ้าบ้านผู้ชาย
มาผูกกบั เสามงคล แลว้ เอายอดใบไม้ท่ีเป็นพญาแกไ่ มท้ ัง้ หลายประจำวนั น้นั ๆมาผูกกบั เสามงคลดว้ ย

๒.๕.๒ พธิ ีการทำบุญขนึ้ บา้ นใหม่๓๙
บ้านเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัว พิธีการขึ้นบ้านใหม่ จึงถือเป็นเรื่องสำคัญ อย่างหนึ่ง
ของคนไทยเรา ถือเป็นเรื่องของความเชื่อ ความศรัทธาอย่างหนึ่ง เพื่อความสบายใจในการเข้าอยู่
อาศัย ในบ้านใหม่ ที่เรายังไม่เคยไปอยู่ ไม่เคยเข้าไปสัมผัส จิตใจเราจึงยังไม่มีความมั่นใจในการย้าย

๓๙ สุดาพร หงส์นคร, พิธีการทำบุญขึ้นบ้านใหม่, (กรุงเทพมหานคร : ด่านสุทธิการพิมพ์, ๒๕๓๙),

หนา้ ๒.

๓๕

เข้าไปอยู่ เราจึงต้องหาสิ่งยึดเหน่ียวหรือที่พึ่งทางใจ เพื่อความสบายใจไว้ก่อน ส่วนเรื่องว่า เมื่อย้าย
เข้าอย่แู ลว้ หรือทำพิธีแล้ว จะเกดิ ผลอย่างไรนั้น กอ็ ีกประเดน็ หนงึ่ ซึ่งต้องเข้าใจวา่ ไม่ได้เกิดจากการ
กระทำพิธีเพียงอย่างเดียว การอยู่อาศัยที่จะมีความสุข สงบ สบาย หรือเจริญรุ่งเรืองนั้น ไม่ได้อย่ทู ่ี
พธิ กี รรม หรอื โชคลาภ เพยี งอยา่ งเดยี ว (ถา้ พิจารณาในแง่น้ี ไมม่ ีใครสามารถบอกได้วา่ มสี ว่ นมากนอ้ ย
เพยี งใด หรือก่เี ปอร์เซ็นต์ แบบทางวทิ ยาศาสตร์) มันอย่ทู ่ตี วั บ้านเอง และสง่ิ แวดล้อม ทบี่ ้านน้ันตั้งอยู่
ซึ่งเราสามารถเลือก กำหนด หรือควบคุมมันได้มากกว่า ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าบ้านคุณสร้างไว้ไม่ดี
อยู่ไปกต็ ้องซ่อมไป ก็อยา่ ไปโทษการทำพิธกี รรม หรือขา้ งบ้านเสียงดัง ทำสกปรก ตา่ งๆ ก็เป็นสาเหตุ
ให้มเี ร่ือง หรอื อยแู่ บบไม่เปน็ สขุ ได้ ดังน้ันการจะทำพิธีเข้าบ้านใหม่ หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ผมขอให้
คิดเป็นลักษณะของธรรมเนียมประเพณี มากกว่า ซึ่งบางอย่างก็มีเหตุมีผล ที่มองเห็นจับต้องได้
เช่นการขึ้นบ้านใหม่ ก็เป็นการบอกให้เพื่อนบ้านรับรู้ ว่ามีเพื่อนบ้านใหม่ ทำความรู้จักกันไว้ก่อน
สร้างไมตรีไว้ก่อน เลี้ยงพระ เลี้ยงอาหารกเ็ ผื่อแผ่กันไว้ก่อน ต่อไปมีอะไร ก็จะพูดกันได้ เจรจากันได้
ไม่ทะเลาะกันเสยี ก่อน อย่างนเี้ ป็นต้น

ก.การเข้าบ้านใหม่
เพื่อความเปน็ เปน็ สิริมงคล เมื่อได้ฤกษ์ยามดที ี่หาไว้ หัวหน้าครอบครัวก็อัญเชิญพระพุทธรปู
ประจำบ้าน ไปประดิษฐานไว้ท่ีบชู า จุดธูปเทยี นบูชา อธษิ ฐานขอคณุ พระคุม้ ครองใหค้ รอบครัวอยู่เย็น
เป็นสุข หรือจะนมิ นต์พระสักรูปหน่ึง มาประพรมน้ำพระพุทธมนตต์ ามหอ้ งต่างๆ ก่อนขนของเข้าไป
อยู่ ก็จะสมบรูณ์ยิ่งขึ้น เพียงแค่นี้ก็ถือว่า เสร็จพิธีแล้ว หรือหากมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใกล้ๆบ้าน
(เจา้ ทใ่ี หญ่) ใหไ้ ปไหวแ้ สดงความเคารพ และขอพรใหท้ ่านค้มุ ครองดแู ลให้มีความสขุ ความเจรญิ และให้
ทำบญุ สังฆทาน และอุทศิ บญุ กศุ ลใหก้ บั เจา้ กรรมนายเวรของครอบครวั เจ้าที่ และวิญญาณที่อาศัยอยู่
ในสถานนั้นดว้ ยก็ได้
ข.การขน้ึ บา้ นใหม่
นบั เปน็ ประเพณีของชาวพุทธทเี ดียว แต่จะจัดการทำบุญขน้ึ บ้านใหม่ ใหญ่เล็กแค่ไหน ก็ว่ากัน
ตามกำลังทรัพย์ และความสะดวก การทำแบบพอเป็นพิธีนั้นก็ทำเหมือนการเข้าบ้านใหม่ก็พอ
ส่วนการทำแบบพิธีใหญ่ มีเลี้ยงพระ มีการเจริญพระพุทธมนต์ แล้วถวายภัตตาหารหรือ มีการตัก
บาตรด้วยก็ได้ ตามกำลังศรัทธา เม่อื การสรา้ งบา้ นเรือนเสร็จแล้วกจ็ ะตอ้ งทำบุญขน้ึ บ้านใหม่ ประกอบ
พิธีตามที่เชื่อถือกันว่าเป็นสิริมงคล นำความสุขความเจริญมาสู่คนในครอบครัว ในขั้นแรก ผู้ที่จะอยู่
อาศัยต้องเก็บกวาดทำความสะอาด ตกแต่งบ้านเรือนให้สะอาดสวยงาม เพื่อให้เกิดสิริมงคลและเปน็
การใหเ้ กียรติแก่พระสงฆ์และแขกที่เชญิ มาเปน็ เกียรติ พธิ เี ริ่มเม่ือพระสงฆม์ าพร้อมหัวหน้าครอบครัว
จดุ ธปู เทียนรบั ศีล พระสงฆเ์ จริญพระพทุ ธมนต์ หากมีตักบาตร เม่ือพระสงฆส์ วด ถงึ บท "พาหงุ " ให้ตัก
บาตรแล้วถวายอาหาร ถวายเคร่ืองไทยธรรม กรวดนำ้ ฟังพระสงฆ์อนโุ มทนา ต่อจากนั้นทุกคนในพิธี
เจ้ารับพรมน้ำมนตจ์ ากพระสงฆ์ผู้เป็นประธาน ขณะนั้นพระสงฆ์อื่นจะเจริญมงคลคาถา เสร็จแล้วให้
ใครสัก 2 คน ช่วยอมุ้ บาตรนำ้ มนต์ และบาตรทรายพร้อมแปง้ กระแจะสำหรับเจิม นำหน้าพระสงฆ์ 1
รูป ไปพรมน้ำมนต์ตามห้องต่าง ๆ ถ้ามีการเจิมประตูบ้าน ก็นิมนต์พระทา่ นใหท้ ำในโอกาสนี้ก่อนจะ
โปรยทรายรอบบริเวณพนื้ บ้าน ถือเป็นมงคลว่า เป็นทรายเงนิ ทรายทอง ใหอ้ ยเู่ ย็นเปน็ สขุ ขับไล่ภูตผี
ปีศาจ ถือเปน็ อนั เสรจ็ พิธี นอกจากนนั้ ถา้ เจ้าบ้านมีความประสงค์ทจ่ี ะประกอบพิธีตามทางศาสนา มี
การเชิญแขกใหม้ ารว่ มดว้ ยกม็ ีหลักท่ีจะต้องปฏิบัติ ดังตอ่ ไปนี้ ตอ้ งกำหนดวนั การทำบญุ ข้นึ บา้ นใหม่ให้

๓๖

เป็นท่ีแนน่ อนและการเลือกวันที่ว่านี้ ถ้าตอ้ งการให้เป็นมงคลตามความเชอ่ื ถอื ที่มีมาแต่โบราณแล้ว ก็
ต้องไปหารอื กับผู้ท่ีมคี วามรทู้ างโหราศาสตรใ์ ห้กำหนดวนั และเวลาให้ แลว้ ออกบตั รเชิญแขกให้มาร่วม
ในพิธีทำบุญขึ้นบ้านใหม่ และส่งบัตรนั้นออกไปในระยะเวลาก่อนถึงวันกำหนดพอสมควร ในบัตรนนั้
ต้องบอกตำบลบา้ นทจี่ ะประกอบพธิ ี กำหนดวนั เวลาอย่างชดั เจน เรยี กว่าถา้ เขยี นเป็นแผนท่ไี ด้ ก็จะดี
ที่สุด เมื่อใกล้กับวันทีก่ ำหนดไว้ต้องเตรียมตกแต่งบ้านเรือนที่จะทำบุญ ขึ้นบ้านใหม่นั้นให้เรียบร้อย
งามตาตามสมควร และเตรียมสิ่งของที่จำเป็นใช้ในวนั ประกอบพิธีใหพ้ ร้อมเช่น อาราธนาพระสงฆ์ -
เมือ่ กำหนดวนั งานแนน่ อนแล้ว ไปอาราธนาพระตามจำนวนทต่ี ้องการ ก่อนถึงวันงานอย่างน้อย ๓ ถึง
๗ วัน การอาราธนานั้นถ้าสามารถเขียนหรือพิมพ์เป็นฎีกานิมนต์ ได้เป็นการดีที่สุด โดยบอกกำหนด
วัน เดือน ปี เวลา และงานให้ละเอียด ข้าวของเครื่องใช้ตา่ งๆสำหรับพระสงฆ์ ก็สามารถยืมของท่วี ัด
มาใช้ได้ โดยไปเบิกมาก่อนพธิ ีสักวัน จะได้ไม่ฉุกละหุก จำนวนพระที่นิมนต์ ตามปกติจำนวนนี้คือ ๕
รูป ๗ รูป ๙ รูป แต่ส่วนมากนิยมนิมนต์ ๙ รูป ถือกันว่าเลข ๙ เป็นเลขมงคลขลังดี งานนั้นจะได้
เจริญก้าวหนา้ ยงิ่ ๆ ขน้ึ ไป ซึ่งสมัยนีข้ อแนะนำว่า ตามกำลงั ศรัทธา

๒.๕.๓ พธิ ีบูชาเทวดานพเคราะห์๔๐
การบูชาเทวดานพเคราะห์ ซึ่งเป็นลัทธิที่นิยมทำกันอยู่นี้ ความประสงค์อันยิ่งใหญ่ คือ
ปรารถนาให้เทพยดาผู้มีมหิทธิฤทธิ์อำนาจช่วยเหลือป้องกัน และปลดเปลื้องทุกข์ภัยพิบัติ ยังความ
เกษมสวัสดิ์ให้บงั เกิดมี เป็นธรรมดาของมนุษย์ผู้มีจติ ใจสูง เมอ่ื ไดป้ ระสบทุกข์เข็ญเข้าแล้ว ก็พยายาม
หลีกเลี่ยง หรือแก้ไขทุกข์ภัยด้วยอุบายพิธีต่างๆ จึงได้ประกอบพิธีบูชาเทพเจ้าด้วยวรามิสอันวิจิตร
บรรจงนาๆประการ โดยวิธที ำให้ทา่ นชอบ และหวังผลตอบแทน คอื ความสุขสำราญนิราศภัยแต่การ
บูชาเทวดานพเคราะห์ อันเป็นลัทธิไสยศาสตร์ ซึ่งต้องอาศัยคติพุทธศาสตร์เข้าแทรกปนอยู่ด้วยนี้
ยอ่ มเป็นข้อนำให้สัณนิษฐานว่า ผู้ทจ่ี ะไดเ้ ป็นเทวดานัน้ ต้องอบรมคณุ งามความดี จนบารมีแก่กล้าสิ้น
กาลช้านานจึงเป็นเทวดาได้ เมื่อผู้ใดบูชาสักการะเทวดา ก็เป็นผู้ที่เคารพนับถือและบูชาผู้มีคุณงาม
ความดีนั่นเอง และเป็นอันเชื่อว่า ได้บำเพ็ญกรณีส่วนเทวดาพลี การบูชาผู้ทรงคุณงามความดีจะหา
โทษมิได้ ย่อมให้ประสบแต่ผลดี คือ ความเจริญโดยส่วนเดียว โดยเหตุที่เทวดาพลีธรรมิกสักการ
เป็นอปริหานยิ ปฎิบัติ เปน็ ทตี่ ง้ั แห่งสุขสวสั ดิ์วิบลู ย์ผลน้ีแล
สมเด็จพระบรมศาสดา จึงตรัสแก่มหานามลิจฉวีกษัตริย์ ดังพุทธพจน์ที่ปรากฏอยู่ใน
อปภิหานิยธรรมสูตรปัญจกังคุตตรนิกาย ว่า "ปุนะ จะปะรังมหานามะ กุละปุตโตยาตา เทวตา
ตา สักกะโรติ" เป็นต้น มคี วามว่า ดูกอ่ นมหานามะ กุลบตุ รผู้ใดผู้หนง่ึ ซ่ึงเปน็ ขัตติยราชได้มรุธาภิเศก
แล้ว หรือเป็นรฐั กาธบิ ดี ครอบครองแว่นแคว้นบริโภคผ่านสมบัติ อันพระชนกประทานให้ก็ดี หรอื เป็น
นายแต่เสนา นายบ้าน นายกอง แม้โดยอย่างต่ำเป็นแต่อธิบดีเฉพาะผู้เดียว ในตระกูลนั้นๆก็ดี
มาปฎิบัติเทวดาพลีสักการะเทพเจ้าเหล่าใด ซึ่งเป็นผู้รับพลีกรรม คือ อารักขเทวดาที่รักษาตน และ
วัตถุเทวดาอันสถิตในทีอ่ ยูเ่ ป็นต้น ควรมนุษย์ชนจะบวงสรวงสักการะให้ยินดี กุลบุตรมาสักการะบชู า
เทพเจา้ ท้งั หลายนั้น อันกลุ บตุ รได้สักการะบูชาด้วยเทวดาพลีแล้ว กย็ ่อมอนเุ คราะห์กุลบุตรนั้นๆด้วย

๔๐ สุเมธ เมทาวิทยกุล, พิธีบูชาเทวดานพเคราะห์, (กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๙), หน้า

๑๑๒.

๓๗

จิตเป็นกุศลไกลจากพยาบาทวิหิงสา ทั้งเมตตาต่อกุลบุตรนั้น ว่า จีรัง ชีวะ ทีฆะ มายุง ปาเรหิ
ขอท่านจงดำรงอยู่นานเถิด จงเลี้ยงรักษาอายุให้ยืนนาน ดูก่อนมหานามะกุลบุตรนั้น เทพเจ้าหาก
อนเุ คราะหด์ ้วยไมตรีกลั ยาณจิตฉะนแี้ ล้ว

สง่ิ ของทจี่ ะต้องใชใ้ นการประกอบพิธีมีมาก เพราะเปน็ พธิ ีใหญ่ มกี ารจัดตงั้ บัตรพลีบูชาเทพย
ดา ต้งั เครอ่ื งสงั เวยเซน่ บวงสรวง เพื่อขอพรเทพยดาดาวพระเคราะห์ ซึง่ สถิตในดวงชะตาให้มาช่วยปัด
เป่าทุกข์ภัย บันดาลให้เกิดสวัสดิมงคล มีความสุขสมบูรณ์เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ายิ่งขึ้น ปราศจาก
อุปสรรคหายนะภยนั ตรายทง้ั ปวง จึงเรยี กว่า "พธิ สี วดนพเคราะห์" การสวดนพเคราะห์ พระสงฆ์เป็นผู้
สวดบทพระปริต ตามกำหนดบทของดาวนพเคราะห์ โดยสวดสลับกันกับโหร ซึ่งโหรทำหน้าที่กล่าว
คาถาบูชาเทพยดาเป็นทำนองสรภัญญะ เมื่อโหรกล่าวคำบูชาเทพยดาจบแล้ว พระสงฆ์ก็เจริญ
พระพทุ ธมนตต์ ามบทของดาวพระเคราะห์ สลับกันไปกบั โหรท่สี วดบูชาเทวดานพเคราะห์องค์น้ันๆจน
ครบ 9 องค์ เนื่องในพิธีการบูชานพเคราะห์ กระทำกันหลายนัยด้วยกัน ถ้าจะประกอบพิธีทั้งทาง
พุทธศาสตร์และพราหมณ์ควบคู่กันไปให้ถูกต้องสมบูรณ์ ตามคตินิยมแบบฉบับของโหราจารย์
แล้ว นับว่าเป็นพิธีที่ใหญ่จะต้องใช้ทุนทรัพย์มาก ผู้มีจิตศรัทธาจะจัดทำได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีฐานะดี
เป็นคฤหบดี หรือเจ้านายที่สูงศักดิ์จึงกระทำได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการประหยัดเกี่ยวกับเศรษฐกิจ
โดยการใช้ทุนทรัพย์ให้น้อยลงเพื่อความสะดวก จึงเปิดโอกาสให้มีผู้มีจิตศรัทธาทุกเพศทุกวัย ได้เข้า
ร่วมในพิธีบูชานพเคราะห์ เป็นการสะเดาะเคราะห์ เสริมสร้างบารมีให้ดวงชะตาดีเด่น เพื่อความ
เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าของชีวิตปัจจุบันและอนาคต จึงจำต้องร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดงานพิธีบูชา
นพเคราะหข์ ึ้นเป็นส่วนรวม ด้วยการชว่ ยเหลือบริจาคทนุ ทรพั ยต์ ามกำลังศรัทธา ใช้ศาลาการเปรียญ
หรือวิหาร ณ วัดใดวัดหนึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีบูชานพเคราะห์ จึงจะประสบผลสำเร็จหรือ
เป็นผลดี แกผ่ ้มู จี ติ ศรทั ธาทีม่ ฐี านะด้อยและมีรายได้น้อย

๒.๕.๔ พธิ ีสบื ชะตา๔๑
พิธีสืบชะตาเป็นประเพณีสำคญั อย่างหนึ่งของชาวล้านนาที่เชือ่ กันว่าเป็นการต่ออายุหรือตอ่
ชีวิตของบ้านเมืองหรือของคนให้ยืนยาว มีความสุข ความเจริญ ตลอดจนเป็นการขจัดภัยอันตราย
ต่างๆที่จะบังเกิดขึ้นให้แคล้วคลาดปลอดภัยพิธีสืบชะตาแบบพื้นเมืองของจังหวัดน่านได้ยึดถือและ
ปฏบิ ตั สิ บื ต่อกนั มาชา้ นาน ชาวนา่ นในทกุ หมู่บ้าน ทุกตำบลตา่ งรู้จักและยดึ มั่นปฏิบตั ิกนั อยู่ เพราะเชื่อ
ว่าทุกข์ภัยทั้งหลายท่ีจะเกิดขึ้นกับตัวเอง และญาติพี่น้องจะหมดหายไปชีวิตก็จะยืนยาวยิ่งข้ึน
อีกทั้งเชื่อว่าก่อให้เกิดขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่การงานพร้อมที่จะสู้กับชะตาชีวิตต่อไป
พิธีสบื ชะตานี้แบ่งเปน็ ๓ ประเภทคอื ๑. สืบชะตาคน นิยมทำเมื่อขนึ้ บ้านใหม่ ย้ายที่อยู่ใหม่ ได้รับยศ
หรอื ตำแหน่งสงู ข้ึน วันเกิดทค่ี รบรอบเชน่ ๒๔ ปี ๓๖ ปี ๔๘ ปี ๖๐ ปี ๗๒ ปี เป็นต้น หรือฟ้ืนจากป่วย
หนัก หรือมีผู้ทักทายว่าชะตาไม่ดีจำเป็นต้องสะเดาะเคราะหแ์ ละสืบชะตา เป็นต้น ๒. สืบชะตาบ้าน
นิยมทำเมื่อคนในหมู่บ้าน ประสบความเดือดร้อน หรือเจ็บไข้ได้ป่วยกันทั่วไปในหมู่บ้าน หรือตาย
ติดต่อกันเกิน ๓ คน ขึ้นไป ถือเป็นเสนียดของหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านอาจพร้อมใจกันจัดในวันปากปี

๔๑ มณี พะยอมยงค,์ พิธีสบื ชะตา-ประเพณขี ึน้ ทา้ วทัง้ สี่, (กรงุ เทพมหานคร : ส.ทรัพยก์ ารพิมพ์, ๒๕๓๐),

หน้า ๑๑๒.

๓๘

ปากเดือน หรือปากวัน คือวันที่หนึ่ง สอง หรือสามวันหลังวันเถลิงศก เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล
๓. สืบชะตาเมือง จัดขึ้นเมื่อบ้านเมืองเกิดความเดือดร้อนจากอิทธิพลของดาวพระเคราะห์ตามความ
เชือ่ ทางโหราศาสตร์ เพราะทำให้บ้านเมืองปนั่ ป่วนวนุ่ วาย เพราะการจราจลการศกึ หรือเกิดโรคภยั แก่
ประชาชนในเมืองเจ้านายทา้ วพระยาบ้านเมืองจึงจดั พิธีสืบชะตาเมือง เพื่อให้อายุของเมืองไดด้ ำเนิน
ต่อเนอื่ งสืบไป

๒.๕.๕ ประเพณีขน้ึ ทา้ วท้ังสี่
“ท้าวทั้งสี่” หรือ “ต๊าวตังส่ี” ตามสำเนียงล้านนา คือ “ท้าวจตุโลกบาล” ผู้รักษาทิศทั้งส่ี
ตามตำนานทางศาสนา ทา้ วจตุโลกบาลเปน็ เทพในกามาวจรภูมิ ซึง่ เปน็ สวรรคช์ ั้นแรกในจำนวน ๗ ชั้น
อันได้แก่ จตุมหาราชิกา, ดาวดึงส์, ยามา, ดุสิต, นิมมานนรดี, ปรนิมมิตวสวัตดี ตามความเชื่อทาง
พระพทุ ธศาสนา สวรรคช์ ้ันจตมุ หาราชิกาตง้ั อยู่บนเขายุคนธร ซึ่งเป็นหนง่ึ ในเจด็ ทิวเขา (สัตตบริภัณฑ์
ครี ี) ในระดับแรกท่รี องรบั ยอดเขาพระสุเมรุ ยอดเขายคุ นธรสูงจากพื้นผวิ โลก ๔๖,๐๐๐ โยชน์ สวรรค์
ชั้นนี้นับเปน็ พน้ื ทีพ่ เิ ศษกว่ามนุษยโ์ ลกในดา้ นความเป็นอยูแ่ ละความสุข กามาจรเทพชน้ั นีเ้ รียกรวมกัน
ว่า “จตุมหาราชกิ เทวดา” ในสวรรคช์ ้นั นี้แบง่ ออกเป็น ๔ ส่วน ซ่งึ มีมหาราชท้ังสอ่ี งค์ครองอยู่ แบ่งกัน
เป็นส่วนๆ ไปคือ ท้าวธตรฐ, ท้าววิรุฬหก, ท้าววิรูปักข์, ท้าวเวสสุวรรณ ท้าวเวสสุวรรณนี้เรียกอีกชื่อ
หนึ่งว่าท้าวกุเวร หรือในไตรภูมิพระร่วงเรียก ท้าวไพศรพณ์มหาราช ในสวรรค์ชั้นนี้มีพระอินทร์
เปน็ ราชาธบิ ดี คอื เป็นผปู้ กครองทา้ วจตุมหาราชิกทงั้ สี่องค์ ในอโุ ปสถสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตตร
นิกาย กล่าววา่ เทวดาชัน้ จาตุมหาราชิกามีอายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ (๙,๑๒๕,๐๐๐ ปขี องโลกมนุษย์) โดย ๑
วันและ ๑ คืนของสวรรค์ชั้นนี้ เท่ากับ ๕๐ ปีของโลกมนุษย์ ท้าวธตรฐ หรือ ท้าวธตรัฏฐ เป็นองค์ท่ี
หนึ่งในจำนวนมหาราชเจ้าทั้งสีพ่ ระองค์ท่ีครองชั้นจตุมหาราชกิ า เป็นหัวหน้าหรอื ราชาแห่งคนธรรพ์
และวิทยาธร มีหน้าทีด่ ูแลทิศบูรพา (ตะวันออก) ของเขาพระสเุ มรุ ท้าวธตรฐมีโอรสหลายองค์ โดยมี
นามเรยี กกนั ว่า “อินทร์” ทุกองค์ มธี ิดาช่ือ “ศิริ” ในวิมานท่ีอยขู่ องมหาองคน์ ี้ลว้ นแลว้ ไปดว้ ยส่ิงตา่ งๆ
อันเป็นที่น่ารื่นรมย์ อุดมด้วยเสียงดนตรีและการร่ายรำ เป็นที่ปรีดาแก่พระองค์และพระโอรสธิดา
ทั้งหลาย ท้าววิรุฬหก เป็นเทวดาผู้ปกครองทิศทักษิณ (ใต้) ของเขาพระสุเมรุ หรือบางครั้งเรียกว่า
ยมะ หรือเรียกว่า เทวดารักษาทิศใต้ มีบริวารคือ อสูร กุมกัณฑ์หรือราษส มีรูปร่างท้องป่องพุ่งใหญ่
ขาสั้น กำยำลำสัน ในมหาสมัยสูตรและบทภาณยักษ์ว่า โลกบาลแห่งทิศทักษิณทรงพระนามท้าว
วิรุฬหกมหาราช จอมกุมภัณฑ์ แต่ในอาฏานาฏิยปริตว่า เป็นจอมเทวดา ตามความเชื่อบางคติจะพบ
ได้ว่าท้าววิรุฬหกคือผู้ปกครองครุฑ และนก เทวดาที่อุบัติเป็นพระโอรสของพระองค์ที ๙๐ องค์
แต่ละองค์ล้วนมีฤทธิ์อานุภาพแกล้วกล้าปรีชาชาญสง่างาม เป็นที่ยกย่องเกรงขามทั่วไป ท้าววิรูปักข์
หรือ ท้าววิรูปักษ์ ผู้ปกครองแห่งทิศปัจจิม (ตะวันตก) ของภูเขาสุเนรุราช ในสุธรรมเทวสภา
นครปราการสุวรรณอันสวยงาม ผินพักตรไปทางทิศตะวันออก ท้าววิรูปักษ์เป็นจอมเทพผู้ปกครอง
มีบุญญานุภาพ มีรัศมีมาก เทวดาที่อบุ ัติเกดิ เปน็ บุตรของพระองคก์ ็มี ๙๐ องค์ ทั้งหมดลว้ นแต่มีนาม
ว่า "อินทร์" แต่ละองค์ล้วนแต่ทรงไว้ซึ่งพละกำลัง มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มียศ เป็นอันมาก ท้าววิรูปักษ์
มหาราชยังทรงดำรงตำแหน่งเป็นอธบิ ดปี กครอง "หมู่นาค" อีกตำแหนง่ หนง่ึ ดว้ ย ในขนั ธปริตร (โบราณ
เรียกพระปริตร กันงู) บทสวดเจ็ดตำนาน สวดเพื่อให้สวัสดีจากพวกสัตว์มีพิษทั้งหลายเพราะท้าว
มหาราชพระองค์นี้ทรงมีพญานาคเป็นบริวาร ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร เป็นพระยายักษ์
ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์ อธิบดีแห่งอสูรย์หรือยักษ์ หรือเป็นเจ้าแห่งผี มียักษ์ และคุยหกะ


Click to View FlipBook Version