The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิทยานิพนธ์ -ปู่จ๋าน-นายสุวัฒน์-(สมบูรณ์)-

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kusol57210, 2022-09-02 22:31:04

วิทยานิพนธ์ -ปู่จ๋าน-นายสุวัฒน์-(สมบูรณ์)-

วิทยานิพนธ์ -ปู่จ๋าน-นายสุวัฒน์-(สมบูรณ์)-

๓๙

(ยักษ์ผู้เฝ้าขมุ ทรัพย์) เป็นบริวาร เป็นทา้ วจตุโลกบาล ประจำทสิ อดุ ร (เหนอื ) ผู้คุ้มครองและดูแลโลก
มนษุ ย์ ประทับ ณ โลกบาลครอบคลุมทิศเหนือทัง้ หมด มีนครหลวงชอื่ อิสนนคร เป็นมหานครที่อุดม
ด้วยทรัพย์สฤงคารเป็นอันมาก พระองค์ก็มีพระโอรส ๙๐ องค์ ทั้งหมดล้วนแต่มีนามว่า "อินทร์"
แต่ละองค์ล้วนแต่ทรงไว้ซึ่งพละกำลัง มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มียศ เป็นอันมาก ท้าวจตุโลกบาล มีหน้าท่ี
เกยี่ วกบั โลกมนุษย์และโลกทพิ ย์ไปพร้อมกนั เสนาและราชบุตรของพระองคย์ ่อมรับสนองเทวโองการ
ในการรกั ษาความเรียบร้อยในโลกมนุษย์และเทวโลก เพื่อผดุงเหล่าธรรมกิ ชนทั้งหลาย ในวันขึ้นหรือ
แรมแปดค่ำ เหล่าเสนาบดีของท้าวมหาราชทั้งสี่ จะสำรวจดูผู้ดำเนินในศีลาจารวัตร เช่น คนเคารพ
พ่อแม่ สมณพราหมณ์ ผู้เฒ่า ผู้รักษาศีล และทำกรณียกิจอื่นๆ เป็นต้นว่า คนมาบำบวง เซ่นสรวง
อัญเชิญคุ้มครองเคหาสถานบ้านใหม่ หรือในขวบปีหนึ่งมีการการเซ่นสรวงวันปากปี (วันที่ ๑๖
เมษายน ของทุกปี)

ในวันขึ้นและแรมสิบห้าค่ำ จตุราธิบดีจะเสด็จมาเอง ทั้งนี้ท้าวมหาราชทั้งสี่ยังเคยถวาย
การอารักขาพระพุทธองค์ ครั้งยังอยู่ในพระครรภ์ของพระราชมารดา และยังถวายความช่วยเหลือ
พระพุทธองค์, พุทธสาวก และค้ำจุนพระพุทธศาสนา ในครั้งที่นายพาณิชย์ชื่อ ตปุสสะและภัลลิกะ
ถวายข้าวสัตตุผง สัตตกุ ้อนและรวงผึง้ นั้น พระพทุ ธองค์ทรงปรวิ ติ กว่า จะรบั ด้วยพระหตั ถ์กจ็ ะเป็นการ
ไม่เหมาะสม เมื่อท้าวจตุโลกบาลทรงทราบความในพระทัยก็ทูลเกล้าถวายบาตรแก้วมรกต ซึ่งโดย
พุทธานุภาพทรงอธิษฐานให้บาตรแก้วรวมกันเป็นใบเดียวแล้วทรงรับบิณฑบาตดังกล่าว
เวลาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนา มหาราชทั้งสี่จะเสด็จมายังสถานที่นั้นให้สว่าง
ด้วยเทวรังสี และน้อมเกล้าพระธรรมเทศนาด้วยดุษฎีภาพ สำหรับประชาชนในล้านนาไทยนั้น
นับถือท้าวจตุโลกบาล ซึ่งนิยมเรียกกันว่า “ท้าวทั้งสี่” ยิ่งนัก จะมีการอัญเชิญท้าวทั้งสี่มารักษา
งานต่างๆ เช่น งานข้ึนปีใหม่, การขอความคุ้มครองในวันปีใหม่ของทุกปี, การทำบุญกรรม,
พิธีสืบชะตา และ งานฉลองสมโภชวัดวาอาราม ซึ่งจะกระทำก่อนเริ่มพิธีมงคล ศาสตราจารย์มณี
พยอมยงค์ อดีตศาสตราจารย์เกียรติคุณประจำคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญด้านพิธีกรรมล้านนา ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า จากรูปแบบพิธีกรรมดังกล่าว
“ลา้ นนาไทยนับถอื ท้าวทง้ั สี่ แตไ่ มถ่ อื พระภมู หิ รอื พระชัยมงคลอย่างของภาคกลาง”

๒.๕.๖ ประเพณปี ีใหมเ่ มอื ง
ปีใหม่เมืองของชาวล้านนาตรงกับเดือนเมษายน ซึ่งอยู่ในฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาที่มีอากาศ
ร้อนมาก และช่วงเวลาว่างจากการทำไร่และเก็บเก่ียวข้าวแล้ว จึงถือเอาวันปีใหมเ่ ป็นวันทำบญุ ใหญ่
วนั หน่ึงในรอบปี เป็นวันที่สนกุ สนานรื่นเริงด้วยการเลน่ นำ้ สงกรานตใ์ ห้เย็นฉ่ำ ถือขันน้ำรดน้ำให้แก่กัน
มกี ารละเล่นพน้ื บา้ น เช่น มะกอน ม้าจก๊ คอก๔๒ อีโจง้ (โยนหลมุ ) จงึ เปน็ โอกาสที่เด็กๆหนุ่มสาว ผู้เฒ่า
ผู้แก่ได้พบเจอกันและทำกิจกรรมร่วมกันผ่านประเพณีต่างๆ เช่น สรงน้ำพระ ขนทรายเข้าวัด
ดำหวั ทำบญุ ที่วดั ในวนั พญาวัน กอ่ นจะถงึ วันปใี หม่ บรรยากาศในทุกหมู่บา้ นคึกคักด้วยการจดั เตรียม
ชอ่ ตงุ ปใี หม่ พ่ออ้ยุ แมอ่ ยุ้ นั่งตดั ตุง หลากหลายสี มีตุงไสห้ มู ตุงรปู คน ตุงสิบสองราศี ส่วนแม่เรือนพ่อ

๔๒ มณี พยอมยงค์, ประเพณีสิบสองเดือนล้านนาไทย, (กรุงเทพมหานคร : ส.ทรัพย์การพิมพ์, ๒๕๓๐),

หน้า ๑๑๓.

๔๐

เรือนปัดกวาดแผ้วถางบ้านให้สะอาดงดงาม เพื่อชำระล้างความสกปรกที่หมักหมม มาตลอดทั้งปี

และต้อนรับส่ิงดีงามที่จะเกิดขึ้นในปีใหม่ การคำนวณวันขึ้นปีใหม่ในแต่ละปี โหราจารย์หรือผู้รู้ด้าน

วัฒนธรรมล้านนาจะเป็นผู้คำนวณ และประกาศปีใหม่เมืองของปีนั้นๆ เรียกว่า ปักขะทืนล้านนา

หรือหนังสือปีใหม่เมือง โดยถือเอาวันที่ราศีมีนย้ายเข้าสู่ราศีเมษ ซึ่งอาจจะไม่ตร งกันในแต่ละปี

เมื่อตรวจสอบถูกต้องแล้วจึงประกาศให้ชาวเมืองรับรู้ และปฏิบัติตนตามประเพณี เช่น

วันที่ ๑๔ เมษายน อาจเป็นวันสังขานต์ล่อง ๑๕ เมษายน อาจเป็นวันเน่า ๑๖ เมษายน อาจเป็นวัน

พญาวัน เป็นต้น ปัจจุบัน ชาวล้านนานิยมทำบุญ และทำกิจกรรมเทศกาลปีใหม่เมือง

ตามวันหยดุ ราชการในปฏิทินสากล วันที่ ๑๓ เมษายน เป็นวนั สงั ขานต์ล่อง ๑๔ เมษายน เป็นวันเน่า

๑๕ เมษายน เป็นวันพญาวัน ประเพณีปีใหม่ของชาวลา้ นนา มีคติความเชื่อเกี่ยวกับขนุ สังขานต์หรอื

ขุนสังกรานต์ ซึ่งแตกจากความเชื่อของชาวไทยภาคกลาง คือไม่ได้กล่าวถึงทา้ วกบิลพรหมและธรรม

บาลกุมารแต่อย่างใด แต่กล่าวถึงขุนสังขานต์ในลักษณะ บุคลาธิษฐาน หมายถึงพระ อาทิตย์

เป็นตัวแทนของการเปลี่ยนศักราชในแต่ละปี และมีอิทธิพลต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกมนุษย์

จากการคำนวณตามคมั ภีรส์ รุ ิยยาตร์

๒.๕.๗ ประเพณีการบวช

งานบวช เป็นประเพณีไทยสบื เนือ่ งมาแต่โบราณกาล ชายไทยเมื่ออายคุ รบบวช จะต้องบวช

ให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อการศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและสืบทอดอายุ

พระพุทธสาสนาสร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ให้ตนเองและบิดามารดารวมทั้งหมู่ญาติการมีโอกาสได้เป็น

นักบวช ดำรงเพศสมณะผุ้ตั้งใจฝึกฝนอบรมตนเองเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ๔๓ ก็สามารถค้นหาแหล่ง

ความสุขที่แท้จรงิ ศึกษาเรื่องราวความจริงของชีวติ เป้าหมายของการเกิดมาเป็นมนุษยว์ ่าเกิดมาทำไม

ตายแล้วไปไหนบาปบุญคุณโทษนรกสวรรค์ภพนี้ภพหน้าและสังสารวัฏ ซึ่งเป็นความรู้ที่มีอยู่

แต่ในพระพุทธศาสนาท่ีทนทานต่อการพสิ จู น์ ชา่ งภาพงานบวช ถา่ ยรูปงานบวช งานบวช

ผู้ที่มาบวชถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญมาก เพราะเพศสมณะใช่ว่าใครจะมาอยู่ได้ง่ายๆ ต้องส่ังสม

บญุ กนั มาขา้ มภพข้ามชาติ เม่อื บารมมี ากขึ้นก็มีโอกาสมาบวชในบวรพทุ ธศาสนาดูอยา่ ง ใน

สมัยพุทธกาลเป็นต้นแบบผู้ที่จะมาบวชไม่ไ ด้ผู้ด้อยโอก าสแต่เป็นผู้ที่มาจากหลากหลายตระกู ล

ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเพราะเห็นโทษภัยในการครองเรือนในวัฏฏสงสารจึงมาออกบวชหลาย

ท่านมาจากตระกูลขัตติยะก็มีแพศย์ก็มีศูทรก็มีการที่ตระกูลกษัตริย์พราหมณ์และมหาเศรษฐีต่าง

เขา้ มาบวช กแ็ สดงวา่ การบวชไม่ใช่เรือ่ งธรรมดาไม่ใช่เร่ืองของผู้ด้อยโอกาส แต่เป็นเรื่องท่ีสำคัญอย่าง

ยิ่งยวด ช่างภาพงานบวช ถ่ายรูปงานบวช งานบวช HISO PHOTO ขอเป็นส่วนหนึ่งในการเก็บภาพ

ความทรงจำของการทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ด้วยการถ่ายภาพงานบวชบันทึกเรื่องราวด้วยการใช้

ภาพงานบวชในการเก็บความทรงจำของครัง้ หนึง่ ที่ลูกผูช้ ายควรทำ

๔๓ ศรีเลา เกษพรหม, ประเพณีการบวช-ประเพณีเลีย้ งผีขนุ น้ำ, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิสารานุกรม
วัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, ๒๕๔๒), หนา้ ๑๑๓.

๔๑

๒.๕.๘ ประเพณีเล้ียงผีขนุ นำ้
การเล้ยี งผขี ุนน้ำ คอื การทำพธิ สี ังเวยผหี รือเทวดาอารักษ์ ผ้เู ปน็ หวั หนา้ ของผีอารักษท์ ้งั หลาย
ที่ทำหน้าที่ ปกปักรักษาป่าไม้อันเป็นต้นน้ำลำธาร เพื่อเป็นการขอบคุณเทวดาที่บันดาลให้มีน้ำใช้
ในการเกษตรกรรม โดยเฉพาะในเขตลุ่มน้ำของลำน้ำนั้น ๆ และยังเป็นการขอให้ผีประจำขุนน้ำ
บันดาลให้ฝนตกและมีน้ำจากขุนน้ำหรือต้นน้ำนั้นลงมาสูพ่ ้ืนราบได้ ผีขุนน้ำเปน็ อารักษ์ประจำต้นนำ้
แต่ละสาย ซึ่งสิงสถิตอยู่บนดอยสูงอันเป็นต้นแม่น้ำทั้งหลาย มักจะอยู่ตามใต้ต้นไม้ใหญ่ ๆ เช่น
ไม้ไฮ (ไทร) ไม้มะค่า หรือไม้ยาง เป็นต้น ชาวบ้านก็จะอัญเชิญมาสถิตอยู่ในหอผีที่ปลูกขึ้นอย่าง
ค่อนขา้ งถาวรใต้ต้นไม้เหลา่ นนั้ ผีขนุ น้ำท่อี ย่แู มน่ ำ้ ใดก็จะได้ชือ่ ตามแมน่ ำ้ น้นั เชน่ ขนุ ลาว เป็นผีอยู่ต้น
แม่น้ำ-ลาว เขตอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ขุนวัง อยู่ต้นแม่น้ำวัง ในจังหวัดลำปาง ขุนออน
อยตู่ ้นแม่น้ำ แม่ออน เขตอำเภอสันกำแพง จงั หวดั เชียงใหม่ เปน็ ตน้
เมื่อถึงเดือน ๘ เดือน ๙ เหนือ (ประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน) ชาวบ้านจะจัดทำพิธี
เลี้ยงผีขุนน้ำ กันเป็นประจำทุกปี โดยผู้ที่เป็นหัวหน้าในพิธีคือ แก่ฝาย หรือผู้ดูแลเหมืองฝาย ซึ่งทำ
หน้าที่ควบคุมหรือจัดสรรการใช้น้ำแก่เกษตรกรในเขตท้องที่รับน้ำจากฝาย แก่ฝายจะเรียกประชุม
ลูกฝาย หรือเกษตรกรผู้ใช้น้ำเพื่อหา ฤกษ์ยามที่เหมาะสม เมื่อถึงวันกำหนดสมาชิกก็จะได้เตรียม
เครื่องสังเวยต่าง ๆ พากันไปยังหอผีขุนน้ำ ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธี เครื่องสังเวยผีขุนน้ำ
ประกอบด้วยเทียน ๔ แท่ง ดอกไม้ ๔ กรวย พลู ๔ กรวย หมาก ๔ ขด หรือ ๔ ท่อน ช่อ
(ธงสามเหลี่ยมขนาดเล็ก) สีขาว ๘ มะพร้าว ๒ ทะลาย กล้วย ๒ หวี อ้อย ๒ ท่อน หม้อใหม่ ๑ ใบ
แกงส้มแกงหวาน อาหาร ๗ อย่าง หัวหมู เหล้าไห ไก่คู่ (ไก่ต้ม ๑ คู่ เหล้าขาว ๑ ขวด) ทั้งให้มีเมี่ยง
บุหรี่ครบถ้วน เมื่อจัดหาเครื่องสังเวยครบแล้ว จึงสานชะลอมขึ้น ๓ ใบ สำหรับบรรจุเครื่องสังเวย
เหล่านั้นให้คนหาบและคอนชะลอมไปยังบริเวณพิธี หากที่ทำพิธีนั้นไม่มี หอผี หรือศาลเทพารักษ์
ชาวบ้านจะสร้างศาลชั่วคราวขึ้นใกล้ ๆ กับบริเวณด้านต้นน้ำ พร้อมทั้งจัดให้มี หลักช้าง หลักม้า คือ
หลกั ผกู ช้างหรอื ม้าของเทพารักษ์หรือผีขนุ น้ำน้ันไวด้ ว้ ย
เมื่อเตรียมการพร้อมแล้ว แก่ฝายหรืออาจารย์ผู้ประกอบพิธีจะทำพิธีอญั เชิญเทวดาอารักษ์
และสง่ิ ศกั ด์สิ ิทธิ์ทัง้ หลายที่ประจำรกั ษาขนุ นำ้ ใหม้ ารับเครื่องสงั เวย พรอ้ มท้ังใชถ้ ้อยคำเป็นโวหารอ้อน
วอนขอให้มีน้ำอุดมสมบูรณ์และมีฝนตกต้องตามฤดูกาลเมื่อประกอบอาหารเสร็จแล้ว ปู่จารย์ หรือ
อาจารย์ผู้ประกอบพิธีก็จะนำชิ้นลาบแกงอ่อมและเหล้าขาว ทั้งขวด ข้าวตอกดอกไม้ ธูปเทียน และ
กระทง หรือ สะตวง ท่ีมีเครอ่ื งเซน่ อยภู่ ายในไปทำพธิ ีบวงสรวงหรอื เลย้ี ง ผี ขณะทยี่ กไปเล้ียงบนหอผี
อาจารย์ก็จะกล่าวคำอัญเชิญผมี ากินโภชนาหารท่ีชาวบา้ นนำมาเลี้ยง เมื่อกลา่ วคำเสร็จแล้ว อาจารย์
ก็จะนำข้าวปลาอาหารเหล่านั้นยกขึ้นวางไว้บนหอผี และทิ้งระยะให้เวลาผ่านไปชั่วธูปหมดดอก
ขณะที่รอผีรับเครื่องสังเวยนั้น ชาวบ้านซึ่งอยู่ในบริเวณพิธีก็จะพากันกินข้าวปลาอาหาร จนกว่า
จะบา่ ยไดเ้ วลาอันสมควรก็จะชวนกนั กลับ เปน็ อนั เสรจ็ พธิ ี

๒.๕.๙ ประเพณจี ัดงานศพ
"ความตาย" เป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีไปได้เลย จะต่างกันก็เพียงแต่จะเร็วหรือช้า เท่านั้น
เมือ่ บุคคลหมดลมหายใจแลว้ ก็เป็นหนา้ ท่ขี องผทู้ ่ยี ังมีชวี ิตอยู่ จะดำเนนิ การเกีย่ วกับ พิธีศพ ตามลัทธิ
ประเพณนี ยิ ม เพอื่ เปน็ การให้เกียรติแกผ่ ู้ตายและเป็นการไวอ้ าลัยเปน็ คร้ังสดุ ทา้ ย หลงั จากมผี ู้เสียชีวิต
รายละเอียดของลำดบั ขั้นตอนการปฎิบตั ิท่ีญาติควรทราบเกยี่ วกบั พธิ ีงานศพมดี ังตอ่ ไปน้ี

๔๒
๑. การแจ้งตาย๔๔
ถงึ แก่กรรมทโ่ี รงพยาบาล ทางโรงพยาบาลจะออกใบรับรองแพทย์ให้ เพ่ือเปน็ หลักฐานแสดง
เหตุการณ์ตาย แล้วนำใบรับรองแพทย์พร้อมบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เสียชีวิตไปยังสำนัก
ทะเบียนท้องถิ่น หรือที่ทำการเขต(อำเภอ) ในเขตที่โรงพยาบาลนั้นตั้งอยู่ เพื่อขอรับใบมรณบัตร
แต่โรงพยาบาลบางแห่งจะออกใบมรณบัตรให้เอง หรือช่วยดำเนินการให้เพื่ออำนวยความสะดวก
โดยญาติของผ้เู สยี ชีวติ จะต้องนำทะเบยี นบา้ นไปใหโ้ รงพยาบาลด้วย ถึงแก่กรรมทบ่ี ้าน เจ้าของบ้าน
หรือผู้แทนเจ้าของบ้าน จะต้องไปแจ้งการตายต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อออกใบรับรองการตาย และ
นำไปแจ้งต่อเจ้าหนา้ ท่ีสำนกั ทะเบียนทอ้ งถนิ่ (แพทยป์ ระจำตำบล ผ้ใู หญ่บ้าน หรอื กำนัน) ผู้ท่มี หี นา้ ท่ี
รับผิดชอบในเขตที่บ้านเรือนนั้นตั้งอยู่ ภายใน ๒๔ ชั่วโมง นับแต่เวลาตาย หรือพบศพ เพื่อขอ
ใบมรณบัตรถึงแก่กรรมเนื่องจากอุบัติเหตุ หรือ ถูกฆาตกรรม เจ้าของบ้าน หรือผู้ที่ไปกับผู้ตาย
หรือผู้พบศพ จะต้องแจ้งใหเ้ จ้าหน้าที่ตำรวจมาชันสูตรศพ เพื่อทำหลักฐานการเสยี ชีวิต ภายในเวลา
๒๔ ชั่งโมง นับแต่เวลาตายหรือพบศพ โดยในระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือแพทย์ยังไม่ได้ตรวจศพ
ห้ามเคลอื่ นย้ายศพ หรือทำให้ศพเปล่ยี นสภาพ หรอื นำยามาฉดี ศพ เมื่อเจ้าหน้าทต่ี ำรวจ หรือแพทย์ได้
ตรวจชันสูตรศพแล้ว ญาติผู้เสียชีวิตจะต้องไปขอหลักฐานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ที่รับผิดชอบ
พร้อมทั้งขอใบชันสูตรศพจากแพทย์ เพื่อนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่สำนักทะเบียนท้องถิ่น ในการขอ
ใบมรณบัตร โดยแจ้งด้วยว่า จะนำศพไปบำเพ็ญกุศล ณ วัดใด โดยระบุในช่องที่ว่า เผา ฝัง เก็บหรือ
อุทิศการจัดพิธีกรรมในสมัยโบราณ นิยมกระทำตามความเช่ือ โดยมีความเชือ่ ว่า หากกระทำถกู ตอ้ ง
แล้วจะนำความสุขและความเป็นสิริมงคลมาให้แก่ตนเอง ครอบครัว และวงศ์ตระกูล ปัจจุบันยังคง
ยึดถือสืบทอดต่อ ๆ กันมา เป็นการรักษาเอกลักษณ์ของความเปน็ ไทย และเป็นการเชือ่ มโยงในเรื่อง
ความเชื่อของคนในชาติที่มีความหลากหลายผสมผสานกัน พิธีกรรมที่คนไทยยึดถือปฏิบัติ ในโอกาส
ต่าง ๆ นั้น บางอยา่ งเปน็ ความเช่ือดัง้ เดิมของท้องถน่ิ บางอย่างเปน็ ความเชือ่ เนื่องมาจากหลักปฏิบัติ
ทางศาสนา ไมว่ ่าจะเป็นศาสนาพุทธศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หรือศาสนาอื่น ๆ

๔๔ บำเพ็ญ ระวนิ , ประเพณีจดั งานศพ, (กรุงเทพมหานคร : มลู นิธสิ ารานุกรมวฒั นธรรมไทย ธนาคารไทย
พาณิชย์, ๒๕๔๒), หนา้ ๑๑๗.

๔๓

กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม เห็นความสำคัญของพิธกี รรมตา่ ง ๆ ดงั กลา่ วจงึ ได้จัดทำ
โครงการส่งเสริม สืบทอด เพื่อทำหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีขึ้น เพื่อสร้างและส่งเสริมให้ผู้ประกอบพิธีมี
ความรู้เกยี่ วกับพิธีกรรมและประเพณโี บราณทีถ่ ูกต้อง เป็นทนี่ ยิ มหรือมคี วามเช่ือสบื ทอดมาถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ ได้จัดพิมพ์หนังสือ “พิธีกรรมและประเพณี” สำหรับใช้ประกอบการฝึกอบรมสำหรับเจ้าหนา้ ที่
กรมการศาสนา เจ้าหน้าที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด และหน่วยงานที่เกีย่ วขอ้ งเพื่อให้การสืบทอด
วฒั นธรรมและประเพณี มีความถกู ตอ้ ง เหมาะสม คงอยคู่ ู่กับสงั คมไทยตอ่ ไป โดยได้รวบรวมพิธีกรรม
และประเพณีทางศาสนา ทั้งของภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไว้เป็น
หลักฐาน

๒.๖ แนวคดิ และทฤษฎีเก่ียวกบั ภูมปิ ญั ญาท้องถิ่นในล้านนา

จากการศกึ ษาเอกสารเกย่ี วกับภูมปิ ญั ญาท้องถิ่นในลา้ นนา ทำใหไ้ ด้ทราบถึงดังนค้ี อื ๔๕
2.๖.๑ ความหมายของภูมิปญั ญาทอ้ งถนิ่ ในลา้ นนา
ล้านนาเป็นคำเรียกกลุ่มบ้านเมืองท่ีมีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ในเขตภาคเหนอื ตอนบน
ของประเทศไทยตัง้ แต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา ศูนย์กลางของลา้ นนาคือ เมืองนพบรุ ี
ศรีนครพงิ คเ์ ชียงใหม่ หรือ เมืองเชียงใหม่ ตั้งอยู่เชงิ ดอยสเุ ทพ เอกสารจีนเรียกล้านนาว่า อาณาจักร
ปาไป่สีฟู (Pa-Pai-Hsi-Fu) และระบุว่าอาณาจักรปาไป่สีฟูมีอาณาเขตทางทิศเหนือจรดแคว้นเชอหล่ี
หรือสิบสองปันนา ทิศตะวันออกจรดแม่น้ำโขง ทิศตะวันตกจรดแม่น้ำสาละวิน และทิศใต้จรดเมือง
สวรรคโลก คำว่า ล้านนา ปรากฏอยใู่ นหลกั ฐานประวตั ศิ าสตร์หลายชน้ิ ไดแ้ ก่
จารึกวดั เชยี งสา (จงั หวัดเชียงราย) พ.ศ.๒๐๙๖ เรยี กดินแดนน้ีวา่ ลา้ นนา ตำนานพระยาเจื๋อง
เรียก เมืองเงนิ ยางเขตตทสลขราชธานี (เขตตทสลข แปลวา่ สบิ แสนนา หรือ ล้านนา)
พงศาวดารโยนก และ โคลงมงั ทราตเี ชียงใหม่ เรียกวา่ ลา้ นนาโคลงนิราศหริภุญไชย กป็ รากฏ
คำว่า ป่นิ ทศลกั ษณ์ เลิศหลา้ และ/หรอื จอมจันทศรักเลิศหลา้ ซ่งึ หมายถงึ ล้านนา เช่นกนั นอกจากนี้
ในปี พ.ศ.๒๓๙๖ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนาม เจ้านครเชียงใหม่
อิงกับชื่อแคว้นล้านนาแต่โบราณว่า “เจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ดำรงนพีสีนครสุนทรทศลักษณ์เกษตร
ชาวล้านนาเรียกตวั เองว่า คนเมอื ง เรียกภาษาพูดวา่ คำเมือง แตบ่ างครัง้ นกั วชิ าการก็เรียกชาวลา้ นนา
ว่า คนไทโยนก หรือ ไตยวน เป็นต้น กลุ่มชนที่ประกอบกันขึ้นเป็นชาวล้านนา นอกจากชาวไทยวน
แล้วยังจำแนกเปน็ ชาวไตใหญ่ (ไทใหญ่หรือชาวเงี้ยว) ไตลื้อ ไตเขิน ไตยอง ลาว และชนเผ่าอื่นๆดว้ ย
ไดแ้ ก่ ขา่ (ขมุ) ลวั ะ ยาง(กะเหรี่ยงกล่มุ หนง่ึ ) ฯลฯ
ภูมิปัญญาล้านนา (Lanna Folk Wisdom) เป็นพัฒนาการของการปรบั ตัวและปรับวถิ ีชีวติ
ของคนไทยวนและชาวลา้ นนากลุ่มต่างๆให้ผสมผสานกลมกลืนกับธรรมชาติ แล้วถา่ ยทอดสืบเนื่องกัน

๔๕ กรมวิชาการ, แนวคิดและทฤษฎเี กี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่นในล้านนา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
ครุ สุ ภา, ๒๕๔๕), หนา้ ๓.

๔๔

มาเป็นเวลานาน พัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวล้านนาจึงคล้ายคลึงกับกลุ่มชนที่อาศยั
ในบริเวณตดิ ต่อกบั บางสว่ นของประเทศเมียนม่าร(์ พม่า) สาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาวและ
จีน-ตอนใต้ ทั้งเรื่องความเชื่อของแผนจารีต ประเพณี พิธีกรรม การดำรงชีวิต อาหารการกิน
บ้านเรือน การแพทย์พื้นบ้าน ศิลปกรรม ดนตรี การละเล่น ประดิษฐกรรม และอื่นๆ การเรียนร้ภู ูมิ
ปัญญาของชาวล้านนาให้เกิดทัศนคติที่ดี จึงอาจเริ่มต้นจากการศึกษาที่ตั้ง สภาพภูมิประเทศ
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ประชากร ความเชื่อ พิธีกรรม การทอผ้าพื้นเมือง การชลประทาน
โครงสรา้ งของชมุ ชน เทคโนโลยพี ื้นบ้านและการรกั ษาโรคซ่งึ จะได้กล่าวถึงตอ่ ไป

๑. ลักษณะภมู ปิ ระเทศและพฒั นาการทางประวตั ิศาสตร์
ดินแดนล้านนามีลักษณะเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนวางแนวจากทิศเหนือลงสู่ทิศใต้ระหว่าง
เทอื กเขา มีทีร่ าบอุดมสมบรู ณ์ มแี มน่ ำ้ สำคญั ไหลผา่ นหลายสายคือ แม่นำ้ ปิง แม่นำ้ วัง แม่น้ำยม แม่นำ้
นา่ น แม่นำ้ กก แมน่ ้ำอิงและแม่น้ำลาว ล้านนาจงึ เป็นที่ตง้ั ถ่ินฐานของชุมชนโบราณมาตั้งแต่สมัยก่อน
ประวัตศิ าสตร์ แล้วพฒั นาเปน็ บา้ นเมอื งกระจายอยู่ตามท่ีราบลุ่มแมน่ ้ำ แตล่ ะเมืองมีความสัมพันธ์กัน
แบบเครอื ญาติและมีเมืองขนาดใหญเ่ ป็นศูนย์กลาง๔๖ ไดแ้ ก่
แคว้นหริภุญชัย (หริภุญไชย) อยู่ในเขตจังหวัดลำพูนและจังหวัดลำปาง มีแม่น้ำปิงและ
แม่น้ำวังไหลผ่าน โดยแม่น้ำปิงไหลผา่ นเมืองหริภุญชัยหรอื ลำพูน แม่น้ำวังไหลผ่านเมอื งเขลางคน์ คร
หรอื เมืองลำปาง แควน้ หริภุญชยั ก่อต้งั เม่ือประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓-๑๔
แคว้นโยนก ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดเชียงราย มีแม่น้ำกก แม่น้ำลาว แม่น้ำสายและแม่น้ำโขง
ไหลผา่ น มที ีร่ าบลุม่ ค่อนข้างกว้างใหญ่และอุดมสมบรู ณ์ จึงเกดิ ชุมชนระดับเมอื งจำนวนมากก่อตัวอยู่
ริมน้ำ และมีตำนานเล่าขานสืบมา เช่น ตำนานสุวรรณโคมคำ และตำนานสิงหนวัติกุมาร
เป็นตน้ แคว้นโยนกมีอายุอยใู่ นช่วงกอ่ นพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙
แควน้ พะเยา ตั้งอยบู่ ริเวณรมิ กว๊านพะเยาในเขตจังหวัดพะเยา มีแมน่ ้ำองิ ไหลผ่านเชิงเขาซ่ึง
ทอดยาวเปน็ แนวเหนือใต้ บรรพบรุ ุษของชาวพะเยาสืบเช้ือสายจาก วงศ์ลวจัก-ราช วรี บุรุษสำคญั ของ
แคว้นพะเยาคือ ขุนเจื๋อง ผู้สามารถปราบปรามเมืองต่างๆในแถบภาคเหนือตอนบน แคว้นพะเยามี
อายุร่วมสมัยกับแคว้นสโุ ขทยั
แคว้นน่าน ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดน่าน มีแม่น้ำน่านไหลผ่าน ศูนย์กลางของแคว้นน่านอยู่ท่ี
เมืองปวั หรือพลัว่ เรยี กอีกอยา่ งช่อื วา่ วรนคร แคว้นนา่ นมคี วามสัมพนั ธ์ใกลช้ ดิ กบั แคว้นหลวงพระบาง
และแควน้ สโุ ขทยั สนิ ค้าสำคญั ของแควน้ น่านคือเกลอื สินเธาว์ ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ แควน้ น่าตกเป็น
ประเทศราชของแคว้นพะเยาช่วงส้นั ๆ ต่อมาใน พ.ศ. ๑๙๑๑ จงึ ยา้ ยศนู ย์กลางจากเดิมมาอยู่ ณ ที่ต้ัง
ปจั จุบัน และถกู ผนวกเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นล้านนาในพุทธศตวรรษท่ี ๒๑
แควน้ ล้านนา กอ่ ตวั เปน็ อาณาจกั รล้านนา เมื่อพระยามังราย(พระเจ้ามังราย) โอรสของพระ
ยาลาวเมง็ แห่งวงศล์ วจักราชเสดจ็ จากเมอื งหิรัญนครเงนิ ยาง มาสร้างเมอื งเชียงรายเม่ือปี พ.ศ. ๑๘๐๕
จากนน้ั จงึ เสด็จลงไปยดึ แควน้ หรภิ ุญชัยเมือ่ พ.ศ. ๑๘๓๕ (สนั ติ เล็กสุขมุ , ๒๕๔๔ : ๑๒๐) แล้วไปสรา้ ง

๔๖ การจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่น, ลักษณะภูมิประเทศและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ,

(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพค์ ุรุสภา, ๒๕๔๕), หนา้ ๔.

๔๕

เมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. ๑๘๓๙ และในปีพ.ศ. ๑๘๘๑ เชียงใหม่ก็ปราบแคว้นพะเยาไว้ในอำนาจได้
นับแตน่ ัน้ เชียงใหม่จึงกลายเป็นศนู ยก์ ลางของลา้ นนาอยา่ งแท้จริง (สุรพล ดำรหิ ก์ ลุ , ๒๕๓๙ : ๘-๓๓)

๒.๖.๒ คติความเชื่อ
๑. ความเชอื่ ดงั้ เดิม
ความเชื่อดั้งเดิมของชาวล้านนา จำแนกเป็นความเชื่อเกี่ยวกับต้นกำเนิดของมนุษยชาติ
ความเชื่อเกย่ี วกับอำนาจของธรรมชาตทิ ีบ่ ันดาลใหเ้ กดิ ความอุดมสมบูรณ์ ความเชอ่ื เกี่ยวกบั การนับถือ
ผี ความเชื่อเกี่ยวกับผู้มีบุญหรือผีบุญหรือวีรบุรุษผู้ปลดปล่อย และความเชื่อเกี่ยวกับขวัญ เป็นต้น
ความเชื่อข้างต้นชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างชาวล้านนากับธรรมชาติ ชาวล้านนากับสิ่งเหนือ
ธรรมชาติ และชาวล้านนากบั สงั คม อนั เปน็ ความสืบเนื่องทางจติ วญิ ญาณทถ่ี า่ ยทอดกันมาตง้ั แตม่ นุษย์
นับถอื ผแี ละวญิ ญาณในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซงึ่ มนุษย์เชอ่ื ว่าการเซ่นไหว้บูชาทำให้ผีและวิญญาณ
พอใจ และบนั ดาลความสขุ ในการดำรงชีวิตให้แก่มนุษย์ สง่ ผลให้ชาวล้านนาใช้ชีวติ อย่างสอดคล้องกับ
ธรรมชาติ ถ้ามีการละเมดิ ความเชอ่ื กต็ อ้ งทำพิธขี อขมา เพ่ือมิให้เกิดภยั พบิ ตั ิข้นึ เรือ่ งความเชอื่ เกีย่ วกับ
กำเนิดของมนุษย์นั้น นิทานพ้ืนบา้ นล้านนากลา่ ววา่ ข่ากะเหรี่ยง และไทเกิดจากน้ำเตา้ มมี นุษย์คูแ่ รก
คือ ปสู่ งั กะสา ยา่ สงั กะสี (ป่แู สงสี ย่าแสงไส)้ ส่วนพงศาวดารโยนกกล่าวว่า พระอนิ ทร์ หรอื พญาแถน
เป็นผู้ส่ง ลวจกเทวบุตร มาสร้าง ราชวงศ์มังราย ซึ่งเป็นต้นราชวงศ์กษัตริย์ที่ปกครองล้านนา ชาว
ล้านนาเช่อื ในอำนาจของธรรมชาติท่ีจะดลบันดาลความอดุ มสมบูรณ์ จึงมพี ธิ ีกรรมต่างๆ เช่น การแห่
พระเจ้าฝนแสนหา่ การฟงั ธรรมคาถาปลาชอ่ น การขอฝน ฯลฯ เช่นเดยี วกบั ชาวไทยในภาคอีสานและ
ภาคกลาง ความเช่อื น้มี ีมาต้งั แต่สมยั ก่อนประวัตศิ าสตร์๔๗
จากหลกั ฐานการคน้ พบกลองมโหระทกึ สำริด ประดบั ดว้ ยสตั วท์ ่เี กี่ยวขอ้ งกับการเกิดฝน เช่น
กบ เป็นตน้ ความเกรงกลวั ตอ่ อำนาจและความล้ีลับของธรรมชาติทำให้ชาวล้านนาเชอื่ ว่าธรรมชาติมี
อำนาจประดุจเทพยดาซ่ึงจะต้องมีการเซน่ สรวงบวงพลี ชาวล้านนาเชื่อว่าผีเป็นตัวแทนอำนาจเหนือ
ธรรมชาติท่ีมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ ความเชื่อนี้เป็นพืน้ ฐานทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนเชือ้ สายไท ผีที่
ชาวล้านนานับถือ คือ ผีฝ่ายดี ได้แก่ ผีบรรพบุรุษ ผีฟ้า(แถนหรือเทวดา) ผีเสื้อเมือง (ผีอดีตเจ้า
แผ่นดนิ หรือชนชนั้ ผู้ปกครองเมือง) ผีอารักษ์ ผดี ้ำ(ผตี ้นตระกูล) ผนี า(แม่ขวัญขา้ วหรือแม่โพสพ) ผีดิน
(แม่ธรณี) ผีขุนน้ำ(แม่คงคา) ผีเหมืองฝาย ผีเจ้าถ้ำ ผีเจ้าเขา ฯลฯ ผีฝ่ายร้าย ได้แก่ ผีตายโหง ผีกะ
(ปอป) ผีพราย ผีป่า(นางไม)้ ผกี ระสือ ผีโป่ง ผกี อ้ งกอย (กองกอย) ผยี ำ ฯลฯ
ผีประจำภาชนะ ได้แก่ ผีนางโด้ง ผีหม้อนึ่ง ฯลฯ การนับถือผีเป็นการตอกย้ำความเชื่อเรือ่ ง
การเคารพธรรมชาติ บรรพบุรุษและคำนึงถึงความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมืองล้านนา นอกจากความ
เช่อื เรื่องกำเนิดมนุษย์ เร่ืองอำนาจของธรรมชาตแิ ละความเช่ือเรือ่ งผีแล้ว ความเชอื่ เร่ืองผู้มีบุญหรือผี
บุญหรือวีรบุรุษผู้ปลดปล่อยของชาวล้านนา เป็นแนวความคิดที่เกิดจากความหวังจะได้พบผู้นำหรอื
วีรบรุ ุษ ทีจ่ ะชว่ ยใหห้ ลุดพน้ จากความทกุ ขย์ ากหรอื การถกู กดข่ีทางสงั คมและการเมอื ง หากผีบุญหรือ
วีรบุรุษมีคุณสมบัติในเชิงสงคราม ชาวบ้านจะยกย่องว่าเป็น คนข่าม (ผู้อยู่ยงคงกระพัน) หาก

๔๗ การจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่น, ลักษณะภูมิประเทศและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ,

(กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พค์ ุรุสภา, ๒๕๔๕), หนา้ ๕.

๔๖

เชี่ยวชาญด้านคาถาอาคมและรักษาโรคได้ด้วยก็ยกย่องเป็น ผู้วิเศษ และหากวีรบุรุษคนใดผ่าน
เหตุการณ์เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผู้มีบุญหรือผีบุญในโอกาสที่เหมาะสมหรือในช่วงวิกฤติการณ์คร้ั ง
สำคญั ๆมาแลว้ ก็ไดร้ บั การยกย่องเป็น ตนบญุ ผู้มบี ุญหรอื วรี บรุ ษุ ที่ได้การยกย่องสงู สุดคือ พญาเจือง
หรือขนุ เจ๋ือง สว่ นความเชอื่ เรือ่ งขวญั ของชาวลา้ นนาจะกล่าวตอ่ ไปในส่วนทเี่ กีย่ วข้องกับพีธกี รรม

๒. ความเชอ่ื ทางศาสนา
ชาวล้านนานับถือศาสนาพุทธลัทธิลังกาวงศ์เป็นศาสนาหลัก ตั้งแต่ในระยะที่พระยามังราย
ขยายอำนาจมายังแคว้นหริภุญชัยแล้วเมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ดังนั้นนอกจากจะส่งเสริมและ
อุปถัมภ์ศาสนาพทุ ธจากแควน้ หริภุญชยั แลว้ พระยามังรายยังทรงยอมรบั วัฒนธรรมทางศิลปะเน่ืองใน
ศาสนาพทุ ธทแ่ี พรเ่ ข้ามาจากแควน้ หงสาวดแี ละแคว้นองั วะด้วย เห็นไดจ้ ากการท่ีพระยามังรายโปรดฯ
ใหส้ ร้างวัดกานโถม(เชยี งใหม่) ใหค้ ล้ายกบั วดั ทีเ่ มืองหงสาวดี เมื่อพระยามงั รายเสด็จไปยังแคว้นอังวะ
ตำนานพ้นื เมอื งเชียงใหม่บันทึกวา่ “...เราร้วู ่าศาสนาพระพุทธเจ้ารุ่งเรืองมากนัก เราจึงสร้างมาแอ่วดู
ประเทศบา้ นเมืองพกุ ามอังวะ ประมาณปลายพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ พระเจา้ กือนาได้อาราธนาพระสุมน
เถระจากสโุ ขทัยมาเผยแผ่ศาสนา พระสุมนเถระจงึ ได้ช่ือว่าเปน็ ผู้วางรากฐานลัทธิลงั กาวงศ์ในดินแดน
ล้านนาอกี คร้งั พระเจ้ากือนาโปรดใหพ้ ระภิกษุจากเมืองเชยี งแสน เชียงตงุ และเมืองอ่ืนๆ เดินทางมา
ศกึ ษาพระศาสนาที่วัดสวนดอก ทำใหเ้ ชยี งใหม่กลายเปน็ ศูนยก์ ลางของการศกึ ษาพระปรยิ ตั ิธรรมและ
พระธรรมวินัยล้านนาแทนเมอื งหริภุญชัย ในปพี .ศ. ๑๙๖๗ รัชสมัยพระเจ้าสามฝ่งั แกน พระภิกษุจาก
เชียงใหม่ ลพบุรีและรามัญได้อาราธนาพระเถระชาวสิงหลจากลังกามาเผยแพร่ศาสนาที่วัดป่าแดง
เมืองเชียงใหม่ ทำให้ศาสนาพุทธในล้านนาประกอบด้วย นิกายหินยานแบบลังกาวงศ์สายหริภุญชยั
นิกายหนิ ยานแบบลงั กาวงศส์ ายรามญั และนกิ ายหนิ ยานแบบลงั กาวงศส์ าย๔๘
คร้ันพระเจา้ ติโลกราชเสวยราชย์ในปใี นปีพ.ศ. ๑๙๘๔ ลา้ นนา ไดข้ ยายอาณาเขตครอบคลุม
รัฐฉาน (เมืองไลคา เมืองนาย เมืองสีป้อ เมืองยองห้วย ฯลฯ) และแคว้นเชียงรุ้ง โดยเฉพาะอย่างย่ิง
การทพ่ี ระเจา้ ตโิ ลกราชทรงยึดแคว้นน่านและแพร่ทำให้ดินแดนล้านนามคี วามเปน็ อนั หนึ่งอันเดียวกัน
ตง้ั แตบ่ ดั น้นั รัชสมัยพระเจา้ ติโลกราชพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก มกี ารสังคายนาพระไตรปิฏก
ครั้งที่ ๘ ของโลก ที่วัดโพธารามมหาวิหารหรือวัดเจ็ดยอด รัชสมัยพระเจ้าเมืองแก้ว
(พ.ศ. ๒๐๓๘-๒๐๖๔) มีวรรณกรรมทางพุทธศาสนาหลายชิ้น ผลงานสำคัญคือหนังสือ ชินกาลมาลี
ปกรณ์ เล่าเรือ่ งประวตั ิพทุ ธศาสนาในล้านนาแต่งโดยพระภิกษุรตั นปญั ญาเถระแหง่ เมอื งเชียงใหม่
หลงั รชั สมยั ของพระเจ้าเมืองแก้ว ลา้ นนาประสบปัญหาการแยง่ ชิงราชสมบัติอย่างต่อเน่ืองจนกระทั่ง
ในรชั สมัยพระเจ้าเมกุฏิ จึงตกเป็นเมืองขึ้นของพระเจ้าบเุ รงนองแห่งอาณาจักรพม่าในปีพ.ศ.
๒๑๐๑ ทำใหบ้ ้านเมืองทรุดโทรมและพระพุทธศาสนาในลา้ นนาขาดการทำนบุ ำรงุ ในปี พ.ศ. ๒๓๐๖-
๒๓๑๔ พมา่ ได้เข้ามายึดครองล้านนาอีกครงั้ หนง่ึ พระยาจ่าบ้านบุญมา ขนุ นางแหง่ เมืองเชียงใหม่ และ
พระยากาวลิ ะเชอ้ื สายเจ้าฟา้ เมอื งลำปาง ได้ขอพระราชทานความช่วยเหลือจากสมเด็จพระเจ้าตากสิน
ขับไล่พม่าออกไปจากล้านนา แต่ดินแดนล้านนาหลายเมืองมีสภาพรกร้างจากภัยสงคราม

๔๘ การจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่น, ลักษณะภูมิประเทศและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ,

(กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พค์ รุ ุสภา, ๒๕๔๕), หน้า ๖.

๔๗

จนถึงปี พ.ศ.๒๓๔๔ จึงสามารถฟื้นฟูบ้านเมืองและพุทธศาสนาได้อีกครั้ง เมื่อพระยากาวิละซึ่งได้รับ
การราชาภิเษกเปน็ เจ้าประเทศราชแห่งนครเชียงใหม่ ส่วนเมืองอื่นๆของลา้ นก็มีเจ้าเมืองปกครองข้ึน
ตรงต่อกรุงเทพฯ ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๔๔๒ จึงมีการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล ขึ้นกับ
กระทรวงมหาดไทยของรัฐบาลสยาม (สุรพล ดำริห์กุล, ๒๕๓๙ : ๕๗-๖๒) แม้ชาวล้านนาจะนับถือ
พุทธศาสนาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็มิได้ทอดทิง้ ความเชื่อเรื่องผีและอำนาจธรรมชาติ ทำให้ความเช่ือ
ทางศาสนาพุทธ ผีและอำนาจธรรมชาติ ผสมผสานกับความเชื่อทางไสยศาสตร์ในศาสนาพราหมณ์
ซึ่งเจือปนมากบั พุทธศาสนา ผ่านจารีตทางการเมอื งและการปกครองอย่างกลมกลนื วิถีชีวิตของชาว
ล้านนาจงึ ผูกพันอยกู่ บั การทำบุญตามวันสำคญั ทางศาสนา การบนบานศาลกล่าวและการเซ่นไหว้บูชา
ผตี า่ งๆตามโอกาสสำคัญ การพ่ึงพาผรู้ ูท้ างโหราศาสตร์ การสรา้ งรปู เคารพของบุคคลหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เป็นต้น เพื่อให้เกิดความมั่นคงและสวัสดิมงคลในชีวิต (เอกวิทย์ ณ ถลาง, ๒๕๔๔ ก : ๗๐-๗๙)
ความเชื่อของชาวล้านนาดังกล่าวข้างต้นนี้คล้ายคลึงกับวัฒนธรรมชาวไทในรัฐสิบสองปันนา (จีน)
ภาคเหนือของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สิบสองจุไท (เวียดนาม) รัฐฉาน (พม่า)
ภาคกลางตอนบนและภาคกลางตอนลา่ งของประเทศไทย

๒.๖.๓ พิธกี รรม ความผูกพันทางวัฒนธรรมท่บี ่งชเ้ี อกลกั ษณ์ชาวเหนอื
ชาวล้านนามีความผูกพันกับพิธีกรรมเนื่องในศาสนาพุทธตั้งแต่แรกเกิดจนตาย ได้แก่
พิธีในครอบครัว เช่น การทำขวัญเดือน การขึ้นบ้านใหม่ งานมงคลสมรส ฯลฯ พิธีเนื่องในวันสำคญั
ทางศาสนา เชน่ วนั มาฆบูชา วนั วสิ าขบชู า วนั อาสาฬหบูชา วนั เข้าพรรษา วนั ออกพรรษา ฯลฯ
พิธีเนื่องในวันนักขัตฤกษ์และเทศกาลงานประเพณี เช่น วันตรุษสงกรานต์ วันลอยกระทง
ขณะเดียวกันพื้นฐานการทำเกษตรกรรมในทร่ี าบลมุ่ ริมน้ำ ก็ทำให้วัฒนธรรมของชาวลา้ นนามีลักษณะ
เป็น วัฒนธรรมขา้ ว เช่นเดียวกับคนไทยในภมู ิภาคอื่น ลักษณะของการดำเนนิ ชีวิตในวฒั นธรรมข้าว
คือ การมีวิถีความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรม การผลิต การบริโภค รวมถึงการสร้างสรรค์ระบบ
ชลประทานหรือการทำเหมืองฝายเก่ียวโยงกับกจิ กรรมการผลติ ข้าว ดังน้นั เม่ือชาวลา้ นนาเชือ่ ว่าทง้ั คน
พืช สัตว์ สิ่งของ และธรรมชาติทั้งหลายต่างก็มีขวัญด้วยกันทั้งสิ้น ชาวล้านนาจึงผูกพันกับ
พธิ กี ารทำขวญั ในแทบทกุ เร่ือง ชาวลา้ นนาเช่อื วา่ ขวัญเป็นพลงั ชวี ิตและเป็นศูนยร์ วมแห่งพลังใจของ
คน จงึ มีพิธีการทำขวัญข้าว การทำขวญั บ้าน การทำขวญั เมอื ง การทำขวญั สบื ชะตาชวี ติ สืบชะตาคน
สืบชะตาต้นไม้หรือสืบชะตาแม่น้ำ เป็นต้น การทำขวัญที่สำคัญยิ่งคือ พิธีฮ้อง ขวัญเชิญขวัญ
การฮ้องขวัญเชญิ ขวัญเป็นการผูกขวัญในโอกาสมงคลต่างๆ ได้แก่ การทำขวัญฉลองความสำเร็จของ
ชีวิต การทำขวัญเพื่อให้เกิดความสามัคคี การทำขวัญเพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณ การทำขวัญเพื่อให้
เกียรตแิ ก่ผูม้ าเยือนหรอื ผู้เดนิ ทางจากไปต่างถ่นิ ผู้เจบ็ ป่วย ผู้อาวโุ ส คู่สมรส ผู้เตรียมบวช (นาค) หรือ
สัตว์เลี้ยง (เช่น ชา้ ง ม้า วัว ควายซึ่งเป็นสตั ว์มีคุณต่อมนุษย์) หรอื ทำขวัญเหมอื งฝาย เป็นต้น พิธีฮ้อง
ขวัญเชิญขวัญเป็นตัวอย่างของการผสมผสานระหว่างความเชื่อเรื่องผี เข้ากับศาสนาพุทธและ
พราหมณไ์ ดเ้ ป็นอย่างดี การตัดไมท้ ำลายป่าในช่วง ๑๐๐ ปีเศษท่ีผา่ นมา ทำใหป้ า่ ไม้ในเขตภาคเหนือ
ลดน้อยลงไปเปน็ อันมาก ความผูกพันท่ีมีตอ่ ธรรมชาติทำให้ปัญญาชาวลา้ นนาผลักดนั การอนรุ ักษ์ป่า
ไม้ ป่าต้นน้ำและทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างสอดคล้องกับวิถีชีวิต ความเชื่อและวัฒนธรรมล้านนา
รูปแบบของการอนุรักษ์ดังกล่าวได้แก่ พิธีสืบชะตาขุนน้ำ การบวชป่าและบวชต้นไม้ การทอดผ้าป่า
ต้นไม้สู่ชุมชน ฯลฯ เพื่อให้สิ่งแวดล้อมธรรมชาติเกิดความสมดุล ความสมดุลในธรรมชาติเป็นต้น

๔๘

กำเนิดของความอดุ มสมบูรณ์ ปญั ญาชนล้านนาทีร่ วมตัวกันน้ีรู้จกั กนั ในนามกลมุ่ อนุรักษ์ท้องถิ่น ได้แก่
กองทุนชุมชนรกั ปา่ จังหวัดเชียงใหม่ ชมรมครูเพ่ือสิ่งแวดล้อมเชียงใหม่ กลุ่มฮักเมอื งนา่ น กลุ่มเสขยิ
ธรรม (กลุ่มพระสงฆ์ภาคเหนอื ) เปน็ ต้น๔๙

ศาสนาและพิธีกรรมของชาวล้านนาเป็นจุดผลักดันให้เกิดศิลปกรรมสกุลช่างล้านนา (เดิม
เรียกว่าศลิ ปะเชยี งแสน) อายรุ ะหวา่ งพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙-ต้นพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๒ อนั เป็นช่วงที่หมดยุค
อาณาจักรล้านนาจากการตกเป็นประเทศราชของพม่า (ศักดิ์ชัย สายสิงห์ , ๒๕๔๕ : ๕๕)
ศิลปะล้านนาจึงได้รับอิทธิพลจากศิลปะหริภุญชัย ศิลปะพุกามและศิลปะสุโขทัยเข้ามาผสมผสาน
ตามลำดบั การเปลีย่ นของวัฒนธรรมทางการเมอื ง

๒.๖.๔ เทคโนโลยพี ื้นบา้ น
๑. ผา้ ลา้ นนา งานประณีตศิลปท์ ่ีแฝงในปัจจยั ส่ี
ผ้าเป็นหนึง่ ในปจั จัยส่นี อกเหนือจากอาหาร ทีอ่ ยูอ่ าศยั และยารักษาโรค ในสมัยโบราณสังคม
เกษตรกรรมทุกครัวเรือนจะทอผ้าเองเพื่อใช้ในครอบครัว โดยอาศัยวัตถุดิบจากธรรมชาติได้แก่
ไหมและฝ้าย และมกี ารถา่ ยทอดเทคโนโลยีการทอผ้าใหล้ ูกหลานสืบทอดภมู ปิ ญั ญาเม่อื วา่ งจากการทำ
เกษตรกรรม การทอผ้าตอ้ งอาศยั ทัง้ ความขยนั ความอดทน ความพยายามและความประณีต ผลิตผล
ที่ได้นอกจากจะทำขึ้นเพื่อการใช้สอยแล้ว ยังสามารถนำไปแลกเปลี่ยนกันสินค้าอย่างอื่นได้ด้วย
จึงมีคำกล่าวว่า เมื่อเสร็จหน้านา ผู้หญิงทอผ้า ผู้ชายตีเหล็ก ความเจริญทางด้านเทคโนโลยแี ละการ
ส่งเสริมอุตสาหกรรมของรัฐบาล ทำให้ชาวชนบทสามารถซื้อผ้าทอจากโรงงานได้โดยไม่ต้องทอเอง
วฒั นธรรมการทอผ้าในครอบครัวจงึ สน้ิ สุดลง อตั ลกั ษณป์ ระการหนึง่ ของชาวล้านนาคือ การทอผ้า ผ้า
ตันจก หรือ ผ้าจก หรือ ผ้ายก ซึ่งเป็นเทคนิคการทอผ้าแบบมาตรฐานมีแบบแผนสืบต่อกันไม่
เปลยี่ นแปลง เทคนิคการทอผ้าตีนจกใชว้ ิธกี ารทอผา้ และปกั ผ้าไปพร้อมๆกัน การทอลวดลายบนผ้ามี
วิธีการเพิ่มดา้ ยเส้นพุ่งพิเศษเป็นช่วงๆไม่ตอ่ กันตลอดหนา้ กวา้ งของผนื ผ้าโดยใช้ไม้หรอื ขนเมน่ หรอื ใช้
มือยก จากนนั้ จึงทำลวดลายไหมสอดสลับสีด้าย ทำให้มคี ำกลา่ ววา่ ใครทอจกได้ กท็ ออยา่ งอ่นื ได้ ช่าง
ทอล้านนาท่ีมีฝีมือประณตี ทางดา้ นการทอผ้ามักสืบเชือ้ สายมาจากชาวลาว อาทิ ลาวพุงดำ (ชาวลาว
กลุ่มนี้นิยมสักแบบมอมดำตั้งแต่หน้าท้องลงไปถึงหัวเข่า) ในเขตเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน
และตาก แหล่งผ้าตีนจกที่มีชื่อเสียงฝีมือประณีตอยู่ที่อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ทอโดยชาว
ล้านนาเชื้อสายลาวพวน ส่วนผ้าซิ่น (คือผ้านุ่ง) ที่งดงามฝีมือประณีตเป็นของชาวไทลื้อและไทยวน
แถบเชยี งใหม่ เชยี งราย แพร่ และนา่ น สำหรบั ผ้ายกของเมืองลำพูนนั้น๕๐
ในอดตี ราชนุกลู แห่งเมอื งลำพูนเคยนำเทคนิคงานยกดิ้นเงินด้นิ ทองของล้านนาลงเผยแพร่ยัง
ราชสำนักกรุงเทพฯด้วย ผ้าซิ่นไทยวมักทอจากฝ้าย ลักษณะเด่นคือช่วงกลางของตัวซิ่นเป็นลายทาง
ขวางขนาดเทา่ ๆกนั วิธีการเยบ็ เปน็ ถงุ ตอ่ ขา้ งเดยี วท่ีสว่ นเอวดว้ ยผ้าพน้ื สีแดง แตบ่ างแห่งอาจต่อด้วยสี

๔๙ การจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่น, พิธีกรรม ความผูกพันทางวัฒนธรรมที่บ่งชี้เอกลักษณ์ชาวเหนือ,

(กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พค์ ุรสุ ภา, ๒๕๔๕), หนา้ ๖.

๕๐ การจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่น, เทคโนโลยีพื้นบ้าน, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภา, ๒๕๔๕),
หนา้ ๗.

๔๙

ขาวอกี ช่วงหน่งึ ดังตวั อยา่ งผ้าซิน่ ไทยวนที่อำเภอแมแ่ จ่ม (เชียงใหม)่ ตีนซิ่นมักเปน็ สีดำหรือสีแดง ถ้า
เป็นซนิ่ ทใ่ี สใ่ นโอกาสพิเศษ นิยมต่อซิน่ ดว้ ยตีนจกที่ละเอยี ดงดงาม เรียกวา่ จกแมแ่ จ่ม ผ้าซิ่นลักษณะ
พิเศษของไทยวน ที่จังหวัดน่าน จำแนกเป็น ซิ่นดำเดิบ ใช้วิธีการทอเก็บขิด ใช้ดิ้นทองเป็นเส้นพุ่ง
ตลอดทั้งผืน มีลวดลายขนาดเล็ก นิยมต่อตีนจกด้วยดิ้นทอง แต่บางชิ้นอาจเป็นตีนจกพื้นสีธรรมดา
อีกรูปแบบหน่งึ เปน็ ซิ่นเชียงแสน ซ่งึ ทอลายขดั ธรรมดาทั้งผนื แตม่ โี ครงสรา้ งของลายขวางเป็นระยะๆ
ส่วนบนของตีนซ่ินใช้ฝ้ายสองสีปั่นเข้าด้วยกันเป็นเส้นพุ่ง นิยมทอพื้นเป็นสีแดง ส่วนลายขวางใช้สี
ต่างๆผสมผสานกัน ชาวไทลื้อเมืองน่านนิยมทำ ผ้ามัดก่าน หรือ คาดก่าน เรียกว่า ซิ่นก่าน ซึ่งก็คือ
เทคนิคการทอผ้ามัดหมีน่ น่ั เอง ผ้าซนิ่ พ้นื เมืองทม่ี ชี อ่ื เสยี งของจังหวัดน่านได้แก่ ซน่ิ น่าน ซนิ่ ปอ้ ง ซ่นิ ตา
เหล็มและซิ่นล้วง ลักษณะเด่นของซิ่นน่าน คือ มีป้าน ทอริ้วใหญ่สลับไม่เกินสี่สี เช่น ดำ แดง ชมพู
ม่วง แต่ตีนซิ่นตอ้ งมีสีแดง และป้านใหญ่ที่ต่อจากตีนซิ่นข้ึนไปจะใช้สีน้ำเงินเข้มหรือม่วงเพียงสีเดียว
แลว้ ค่นั ดว้ ยรวิ้ ไหมเงินไหมทองทอสลับกันทงั้ ผืน ถา้ มีขอบทองก็จะทอคนั่ ดว้ ยไหมทองหรือไหมดำ ใน
จังหวัดแพร่ ชาวไทยวนนิยม ซิ่นตามะนาว ซึ่งเป็นลายขวางสีเหลืองสลับเข้ม เช่น สีดำหรือม่วง ถ้า
เปน็ ผา้ ที่พิเศษข้ึนมาก็จะต่อด้วนตนี จกแบบไทล้อื

๒.๖.๕ ระบบเหมอื งฝาย ภาพสะท้อนการจัดการนำ้ และระเบยี บสังคม
เกษตรกรรมในภูมิประเทศที่ราบลูกฟูกระหว่างหุบเขา จำเป็นต้องอาศัยระบบชลประทาน
ทีเ่ หมาะในการหลอ่ เลี้ยงชุมชน เรอื กสวนและไร่นา เน่ืองจากการทำนาอาศัยน้ำฝนอย่างเดียวย่อมไม่
เพยี งพอ การสร้างอ่างเก็บและการทดน้ำเข้านาเม่ือถงึ ฤดกู าลเพาะปลูก จงึ มคี วามสำคัญเป็นอย่างย่ิง
ชาวลา้ นนาเรียก อา่ งเก็บนำ้ ว่า เหมอื งฝาย ระบบเหมอื งฝายบง่ ชี้วา่ ชาวล้านนามีความชาญฉลาดใน
การดัดแปลงธรรมชาติใหเ้ กิดประโยชน์มานาน เหมอื งฝายจึงเปน็ โครงสร้างพน้ื ฐานทางเศรษฐกิจและ
สังคมของล้านนา เป็นที่มาของการจัดระเบียบสังคมและวัฒนธรรมล้านนาอย่างเป็นอันหนึ่งอัน
เดียวกัน กษัตริย์ล้านนาแทบทุกพระองค์ทรงสร้างเหมืองฝาย เพื่อประกาศบุญญาธิการดังปรากฏ
ชัดเจนในพงศาวดารโยนก จากพ้ืนฐานทส่ี ังคมล้านนาเกดิ จากการรวมตัวของชุมชน ชาวลา้ นนาทุกคน
จึงมีสิทธ์ิเปน็ เจ้าของทีด่ ินร่วมกัน และมักมีการร่วมแรงร่วมใจกันทำเหมืองฝายข้ึนมากกว่าจะรอการ
สรา้ งเหมืองฝายจากชนชน้ั ปกครอง๕๑
การจัดการเหมอื งฝายของชาวลา้ นนาปรากฏอยูใ่ นกฎหมายมงั รายศาสตร์ ที่ระบุถึงการรว่ ม
แรงในการสร้างและบำรุงรักษาเหมืองฝาย อัตราปรับไหมและบทลงโทษ เช่น การขโมยน้ำหรือทำ
เหมืองฝายชำรดุ เปน็ ต้น เหมอื งฝายมกั ถกู สรา้ งบนทสี่ งู เชิงเขาใกลต้ ้นน้ำ เร่มิ จากการก้ันทำนบแล้วขุด
คลองส่งน้ำหรือลำเหมืองปันน้ำสู่ไร่นาเบื้องล่าง เหมืองฝายขนาดใหญ่มักมีระบบคลองส่งน้ำ
สลับซับซ้อนเพื่อใหส้ ่งน้ำไดอ้ ย่างทั่วถึง ชาวล้านนาเรียกทำนบขนาดใหญ่ว่า ฝาย ส่วนทำนบที่ก้นั นำ้
เข้าสู่เหมืองขนาดเล็กใตฝ้ ายเรียกว่า แต แต่ละแตจะมีต่างเป็นประตูน้ำเลก็ แยกนำ้ จากแตเข้าส่ไู ร่นา
และตอนเป็นทำนบคลองย่อยขนาดเล็กที่สุด ซึ่งจ่ายน้ำเข้าสู่ไร่นาแต่ละแปลง แก่ฝาย มีหน้าที่
เกี่ยวข้องกับการจัดการปัญหาต่างๆ ได้แก่ การบำรุงระบบเหมืองฝาย การเก็บรายชื่อผู้ใช้น้ำ การ

๕๑ การจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่น, ระบบเหมืองฝาย ภาพสะท้อนการจัดการน้ำและระเบียบสังคม,

(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพค์ รุ ุสภา, ๒๕๔๕), หนา้ ๘.

๕๐

ควบคุมการแจกจ่ายน้ำ การยุติข้อพิพาทอันเกิดจากการแย่งน้ำ การใช้น้ำให้เหมาะสมและการ
ประสานกบั ฝ่ายปกครอง สว่ น แก่เหมอื ง มหี น้าทีค่ วบคุมการระบายน้ำเขา้ ไปหล่อเลี้ยงไร่นาให้ทั่วถึง
แก่เหมอื ง เปน็ ตำแหน่งทช่ี าวบา้ นเลอื กจากบุคคลท่ไี ดร้ บั การเคารพนับถอื ว่าเปน็ ผู้มีความยุตธิ รรมและ
มีมนุษยสัมพันธ์ดีส่วน แก่ฝาย ซึ่งมีฐานะสูงกว่าแก่เหมืองอีกชั้นหนึ่งก็เลือกบรรดาแก่เหมืองที่มี
ลักษณะผู้นำโดดเด่น แก่ฝายแต่ละคนจะมีลูกน้อง ๑๐-๒๐ คน ตำแหน่งแก่ฝายและแก่เหมืองไม่มี
กำหนดตายตวั ว่าจะสนิ้ สุดเมื่อใด ข้นึ อยูก่ ับความประพฤตขิ องแต่ละบคุ คล หากขาดคุณธรรมก็อาจถูก
ขอร้องให้ลาออกจากตำแหน่งได้ ค่าตอบแทนของแก่ฝายคือการยกเว้นภาษีที่ดิน ๓๐ ไร่ ส่วนแก่
เหมืองได้รับการยกเว้นลดหลน่ั ไป แกเ่ หมอื งจะไดร้ ับส่วนแบ่งข้าวไร่ละ ๓ กโิ ลกรัม และแก่เหมืองจะ
แบ่งให้แก่ฝาย ๑ กิโลกรัมอีกต่อหนึ่ง ทั้งนี้นอกจากแก่เหมืองและแก่ฝายจะได้รับการยอมรับนับถือ
จากชาวบ้านแล้วยงั ได้รับการยอมรบั จากฝ่ายบ้านเมืองอกี ด้วย หากเกดิ การวิวาทเรื่องการใช้น้ำถึงข้ัน
ใช้กำลงั รุนแรง แกเ่ หมืองจะเป็นผู้ไกลเ่ กล่ีย ถา้ ไม่ยุตแิ กฝ่ ายก็จะเข้ามาตัดสิน ซ่ึงโดยตำแหน่งแล้วแก่
ฝายเป็นผู้ที่มีบารมีมากกว่า หากไม่สามารถยุติปัญหาได้ก็จะถือว่าเสียศักดิ์ศรี และต้องส่งเรื่องให้
บ้านเมืองเป็นฝ่ายตัดสิน จารีตดังกล่าวพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน แต่ชุมชนล้านนาบางแห่งก็ปรับปรุง
ระเบยี บการใช้น้ำของชุมชนให้ทนั สมยั ยงิ่ ขึ้นแลว้

๒.๖.๖ ความหลากหลายของวัฒนธรรมพนื้ บ้าน
การประดิษฐ์ของใช้พื้นบ้านและงานศิลปหัตถกรรม เป็นภูมิปัญญาของชาวล้านนาในการ
แก้ปัญหาการดำรงชีวิตท่ามกลางระบบนิเวศท่ีต้องพงึ่ พากนั ระหว่างคนกับธรรมชาติ เมื่อส่ิงแวดล้อม
ทางเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยน เทคโนโลยีก็เปลี่ยนไปด้วย ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง จำแนกภูมิปัญญา
พื้นบ้านของชาวล้านนา ซึ่งถูกนำมาใช้ในการเกษตร การล่าสัตว์ การปรุงอาหาร การถนอมอาหาร
การรักษาสุขภาพและอืน่ ๆ ดังน้ี๕๒
๒.๖.๗ ภูมปิ ัญญาจากพลังงานคน
เปน็ ภมู ปิ ัญญาทแ่ี สดงใหเ้ หน็ จากการประดิษฐ์เคร่อื งมือล่าสัตว์ เคร่อื งอำนวยความสะดวกใน
ชวี ติ ประจำวัน และ การเลียนเสยี งธรรมชาติเพือ่ การล่าสัตว์ ได้แก่ การน้าวธนู การขุดดนิ การดำข้าว
การฝกึ หัดหรอื บังคับให้สัตวเ์ ดินไปตามทิศทางท่ีตอ้ งการ การเลยี นเสยี งสัตว์ป่าหรือเสียงเหย่ือเพ่ือล่อ
ให้สตั ว์ตดิ กับดัก การบังคบั ใหเ้ ครอื่ งมือเกษตรกรรมเคลอ่ื นไหว เคลื่อนที่หรอื หยดุ การทำงาน เปน็ ตน้
๒.๖.๘ ภูมปิ ญั ญาจากพลังงานสตั ว์
เป็นภูมปิ ัญญาทีเ่ กดิ จากการฝึกสัตวเ์ ลย้ี งผอ่ นแรงในการทำเกษตรกรรม ได้แก่ แรงควายไถนา
แรงควายฉุดระหัดวิดนำ้ การเคลื่อนไหวของสัตว์ไปสมั ผัสกระเด่ืองหรือกลไกดักสัตว์ การวางตาข่าย
บ่วง แร้วหรือกับดัก เพื่อให้สัตว์เข้ามาชนหรือสัมผัส รวมถึงดักสัตว์อื่นๆ เช่น เบ็ด และต่วงเต้น
(วางขวางทางน้ำเพือ่ ดักปลา) ฯลฯ ซึ่งต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของสัตว์ชนดิ
ตา่ งๆเป็นอย่างดี

๕๒ การจดั การภมู ิปญั ญาทอ้ งถนิ่ , ความหลากหลายของวฒั นธรรมพน้ื บ้าน, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
ครุ ุสภา, ๒๕๔๕), หนา้ ๙.

๕๑

๒.๖.๙ ภูมิปญั ญาจากพลังงานธรรมชาติ
เป็นภูมิปัญญาที่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจธรรมชาติและความสามารถในการดัดแปลง
พลงั งานจากธรรมชาติ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ตอ่ ชวี ติ ประจำวัน ได้แก่
การอาศัยแรงดึงดูดของโลก เช่น การตำข้าวด้วยครกกระเดื่อง การชักน้ำเข้านาด้วยระบบ
ชลประทานแบบเหมืองฝาย ฯลฯ
การใช้พลงั ลม เชน่ การไลน่ กด้วยกะลก(เกราะ)ไล่นกหรือโหว้ไล่นก การใชก้ าวีพัดฝุ่นผงออก
จากขา้ วเปลือก การใชเ้ ครื่องสบู นำ้ กงั หันลม ฯลฯ
การใชพ้ ลังนำ้ ไหล พาปลาไปติดไซ ตับ สอ้ น หรือใช้พลังนำ้ ฉดุ ระหัดวิดน้ำเข้านาและบังคับ
การทำงานของครกมอง ฯลฯ การใช้พลงั งานแสงอาทติ ย์ สำหรับตากอาหาร เสอื้ ผา้ สิง่ ของเคร่ืองใช้
การใช้พลังไฟ เพ่ือลนไมไ้ ผใ่ หอ้ ่อนตวั แลว้ ดัดเป็นรูปต่างๆ การยา่ งหรือหงุ ต้มอาหาร การทำ
คบเพลงิ การไลส่ ัตว์ การเผาอิฐ เผาถา่ น ฯลฯ
การใชพ้ ลงั ไอนำ้ ในการนึ่งขา้ วเหนยี ว ผัก อาหารและอบสมนุ ไพรเพ่อื สุขภาพ ฯลฯ
การใชพ้ ลงั ควนั ไฟ เพอื่ ไลก่ อ่ นเก็บนำ้ ผึง่ ป่า หรือเพ่ือปล่อยโคมไฟ อบเมล็ดพชื ฯลฯ
การใช้พลังศักย์(พลังงานแฝง) จากวัตถุต่างๆ เช่น การนำไม้ไผ่หรือไม้เนื้อดีชนิดอื่นมาทำธนู หน้าไม้
หรอื ใชแ้ รงดีดของไม้ดงึ บ่วงแร้ว ฯลฯ
๒.๖.๑๐ ภมู ปิ ญั ญาดา้ นการบำบดั รกั ษา
ประเทศไทยตงั้ อยูใ่ นเขตร้อนช้ืน มคี วามหลากหลายทางพฤกษศาสตรแ์ ละชีวภาพ คุณสมบัติ
เช่นนี้ทำให้นักวิจัยทางเภสัชศาสตร์จากตา่ งประเทศ ชาวญี่ปุ่นและชาวออสเตรเลยี และชาวตะวันตก
จำนวนไม่นอ้ ย ฉวยโอกาสจดลิขสิทธิ์ผลงานและกอบโกยผลประโยชน์ด้านอุตสาหกรรมยารักษาโรค
จากงานวิจัยสมุนไพรที่มีพื้นฐานภูมิปัญญาไทย สภาวะคุกคามรอบด้านต่อภูมิปัญญาไทยดังข้างต้น
ก่อให้เกิดการต่ืนตวั ในการศกึ ษาและเข้าถงึ คุณคา่ ของภูมิปญั ญาไทยอย่างกว้างขวาง เพอื่ ปกปอ้ งมรดก
ทางวัฒนธรรมที่ได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ แพทย์แผนไทยแบบล้านนาหรือที่เรียกทั่วไปว่า
หมอเมอื ง เปน็ ภมู ปิ ัญญาพื้นบ้านอีกแขนงหนึ่งทก่ี ำลังได้รบั การอนุรกั ษ์และส่งเสริมคุณค่า หมอเมือง
เปน็ บคุ ลากรหรือปัญญาชนท้องถิ่น ซง่ึ คนนอกสงั คมชนบทล้านนาไม่ค่อยรูจ้ กั คนเหล่าน้ีสั่งสมความรู้
ทางปัญญาเกี่ยวกับการเข้าถึงกลไกและคุณค่าของพืชพรรณธัญญาหาร สัตว์ ตลอดจนแร่ธาตุจาก
ธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ แล้วถ่ายทอดขั้นตอนการปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บ การใช้
การจำแนกและการบำบัดรักษาโรคไว้ในตำราหมอเมืองหรือตำราแพทย์แผน โบราณล้านนามาเป็น
เวลานาน การถูกแทรกแซงจากวัฒนธรรมภายนอก เคยทำให้การสืบทอดการใช้สมุนไพรรักษาโรค
ของหมอเมอื งมอี ุปสรรค แตเ่ มื่อคุณคา่ ของหมอเมืองได้รับการพิสูจน์จากความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่าง
ถอ่ งแท้แล้ว ภูมิปัญญาล้านนาด้านนี้กถ็ ูกยอมรบั ดว้ ยดี กระบวนการของภูมปิ ัญญาล้านนาเกย่ี วกบั การ
รักษาโรคดว้ ยสมุนไพร มดี ังนี้
๒.๖.๑๑ การเก็บและการใช้สมุนไพรให้ได้คณุ คา่ สูงสุด
หมอเมืองลา้ นนายึดถอื สืบต่อกันมาวา่ การเกบ็ และการใชส้ มุนไพรใหไ้ ดค้ ณุ ค่าสงู สดุ ต้องเก็บ
สมุนไพรจากแหล่งกำเนิดตามธรรมชาติ หากเคล่อื นยา้ ยออกไปจากแหลง่ กำเนดิ จะทำให้สรรพคณุ ของ
ตัวยาลดลง และต้องใช้สมุนไพรให้ครบ “พระเจ้า” ทั้งห้าองค์ คือ ใบ ราก ก้าน เปลือกและแก่น
เพ่ือใหต้ วั ยามคี ณุ คา่ ครบถ้วน

๕๒

๒.๖.๑๒ การเก็บสมุนไพร
ช่วงเวลาในการเก็บพืชสมุนไพรคือ เก็บตามฤดูกาลที่สมุนไพรแต่ละชนิดเจริญเติบโต และ
ต้องเก็บตามเวลาชั่วยามที่เหมาะสมแบบไทย (๑ ชั่วยามมี ๓ ชั่วโมง) ซึ่งระบบนิเวศของพืชทำงาน
สมบรู ณเ์ ตม็ ที่ เชน่ ฤดรู อ้ นต้องเก็บสว่ นรากและแก่นของสมุนไพร ฤดฝู นเกบ็ ส่วนใบ ดอก และผล ฤดู
หนาวเก็บส่วนเปลือก ลำต้น กระพี้และเนื้อไม้ การเก็บพืชสมุนไพรให้ได้ผลด้านสรรพคุณยาเต็มท่ี
สะทอ้ นให้เห็นถึงความเขา้ ใจในกระบวนการทางธรรมชาตขิ องการสงั เคราะห์แสง การปรุงอาหารและ
การเก็บสะสมสารอาหารไปยังส่วนต่างๆของพืช บางครั้งการเก็บพืชสมุนไพรยังอิงกับปรากฏการณ์
ธรรมชาติ เชน่ การเกดิ จนั ทรุปราคา เปน็ ต้นหลักการเก็บพืชสมุนไพรตามภูมิปญั ญาพืน้ บา้ นมดี งั นี้
- เวลา ๖ โมงเชา้ ถึง ๙ โมงเชา้ เก็บสว่ นใบ ดอกและผล
- ๙ โมงเช้าถงึ เที่ยง เกบ็ สว่ นกงิ่ และก้าน
- เวลาเท่ียงถงึ บา่ ย ๓ โมง เกบ็ สว่ นตน้ เปลอื กและแก่น
- บ่าย ๓ โมงถึง ๖ โมงเยน็ เกบ็ สว่ นราก
- เวลา ๖ โมงเยน็ ถึง ๓ ท่มุ เกบ็ ส่วนราก
- ๓ ทุ่มถงึ ๖ ทมุ่ เก็บส่วนต้น เปลือกและแก่น
- เวลา ๖ ทมุ่ ถึงตี ๓ เกบ็ สว่ นก่งิ และกา้ น
- ตี ๓ ถงึ ๖ โมงเช้า เก็บส่วนใบดอกและผล
๑. สรรพคณุ ทางยาและคณุ สมบัติทางเภสัชศาสตร์
พืชสมุนไพรแม้มีหลากหลายแต่ภาพรวมแล้วประกอบด้วยรสชาติและคุณสมบัติทางตัวยา
ดังนี้ รสเปรี้ยว กัดเสมหะ รสหวาน ให้พลังงาน รสเค็ม แก้อาการทางผิวหนัง รสขม แก้อาการทาง
โลหิต โรคดี รสเผ็ดร้อน แกโ้ รคลม บำรงุ ธาตุ รสมัน แก้โรคเสน้ เอน็ บำรุงไขข้อ เบ่ือเมา แกพ้ ิษเสมหะ
พิษโลหิต รสฝาด ใช้ทางสมานแผล รสหอมเย็น บำรุงหัวใจ รสผสม ใช้ในกรณีที่ต้องการให้เกิด
สรรพคณุ รวมกนั ๕๓
๒. คุณสมบัติเฉพาะของสมุนไพรแต่ละชนิด สมุนไพรทใ่ี ห้สารอาหารจำเปน็ ต่อร่างกาย
ธาตเุ หล็ก มีในดอกและใบข้เี หลก็ มะเขือพวง ตำลงึ รำข้าว งา ฯลฯ
แคลเซียม มีในผกั กระถนิ ใบยอ มะเขอื พวง ถ่วั งา น้ำตาลทรายแดง ฯลฯ
ฟอสฟอรสั มใี นรำขา้ ว ขา้ วโพด งาดำ ถั่วต่างๆ มะเขือพวง ผลไม้ต่างๆ
วติ ามินซี มีในมะขามปอ้ ม มะขามเทศ มะยม มะนาว สม้ ผักสเี ขียว ฯลฯ
สมนุ ไพรบำรุงเส้นผม
มะกรูด มสี รรพคุณ ขจัดรงั แค ชนั ตุ สังคัง ทำใหผ้ มน่มิ ดกดำเป็นมัน ไมแ่ ตกปลาย
วา่ นหางจระเข้ บำรุงรากผมใหส้ มบูรณ์ ชว่ ยใหผ้ มนม่ิ ดกดำ
ส้มป่อย ช่วยใหเ้ สน้ ผมดกดำเปน็ เงางาม
พืชสมุนไพรแกพ้ ิษ

๕๓ การจัดการภมู ิปญั ญาทอ้ งถ่ิน, ความหลากหลายของวัฒนธรรมพนื้ บา้ น, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์

ครุ สุ ภา, ๒๕๔๕), หน้า ๙.

๕๓

ฝิ่นต้น (มะละกอฝร่ัง ละหงุ่ แดง) ใช้ใบตม้ กินแก้บดิ แกท้ อ้ งร่วง
พญาไร้ใบ (เอ้ืองเถา) ใช้ยางกัดฝี กัดหนอง
หญ้าหนวดแมว ต้มกินขับปสั สาวะ ละลายน่ิว
ผักฮ้วนหมู (ต้นซุงสนุ ัขบ้า) ลำต้นใช้แก้โรคตา แก้หวัด แก้พิษงูกัด ใบแก้แผลถูกน้ำร้อนลวก
แก้บวม แก้ฝี รากทำให้อาเจยี นและขับกระท้งุ พษิ

๓. การบำบดั รักษาโรค
ตามธรรมเนียมของล้านนา การรักษาโรคด้วยสมุนไพร ต้องดำเนินควบคู่ไปกับการแพทย์
พน้ื บ้านเชงิ พธิ ีกรรม เพราะเป็นการบำบัดรกั ษาควบคกู่ นั ระหว่างกายกับใจ ซงึ่ การแพทย์แผนไทยทุก
ภาคก็ปฏิบัติแบบเดียวกัน การสวดคาถา ประพรมน้ำมนต์ ปัดรังควานและการเรียกขวัญระหว่าง
บำบัดรักษา ล้วนมีจุดมุ่งหมายเพื่อใหเ้ กิดกำลังใจสู้กับความเจ็บป่วย ซึ่งแต่เดิมการรักษาด้วยวิธีการ
แพทยส์ มยั ใหม่ไม่เห็นความสำคญั
๔. หมอเมอื ง ตำนานหมอพ้นื บ้านลา้ นนา
หมอเมืองเป็นตำแหน่งทางสังคมของบุคคลผู้มีความรูใ้ นการสรา้ งสรรค์ ปัดเป่าเยียวยาและ
รกั ษาปัญหาโรคภัยไข้เจ็บทุกข์ร้อนตา่ งๆของชุมชนด้วยพืชสมนุ ไพรหรือวิธีการอนื่ ๆ หมอเมืองจึงมิได้
เปน็ เพียงตำแหน่งทางวิชาชีพ และมใิ ชพ่ อ่ ค้าขายยาหรือคนขายสมนุ ไพร แตห่ มอเมืองและตำราหมอ
เมอื งเปรยี บเสมือนองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถน่ิ ที่มีการสบื ทอดมาหลายช่ัวอายุ (สัมภาษณ์นาย
ทอง สุขรตั น์ ประธานอำนวยการเครอื ข่ายหมอเมอื ง จ.เชยี งใหม่
(๑) บทบาทของหมอเมือง บทบาทและวิถีการรักษาของหมอเมืองปัจจุบันถูกจำกัดจาก
กฎหมายเกยี่ วกับการประกอบโรคศิลป์ของรัฐบาล ทำใหห้ มอเมอื งไม่สามารถให้การรักษาเยียวยาแก่
ผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากกฎหมายระบุไว้ว่า ผู้ที่จะประกอบอาชีพเป็นแพทย์แผนโบราณ
ต้องสอบผ่านวิชาเวชกรรมแผนโบราณของกระทรวงสาธารณสุขจำนวน ๕ เลม่ แต่ปญั หาท่ีหมอเมือง
ล้านนาประสบคือ ตำราเวชกรรมแผนโบราณเป็นภูมิปัญญาภาคกลางมิใช่ภูมิปัญญาล้านนา ดังนั้น
หากหมอเมืองต้องการจะได้รับใบประกอบโรคศิลป์ ก็จำเป็นต้องละทิ้งแนวทางการรักษาโรคตาม
แบบอย่างภูมิปัญญาพื้นบ้านล้านนา ซึ่งวิธีการดังกล่าวมิใช่รากเหง้าของภูมิปัญญาล้านนา ด้วยเหตุน้ี
หมอเมืองล้านนาส่วนหนึ่ง จึงต้องทำหน้าที่แบบหลบๆซ่อนๆในเขตหมู่บ้านหรือตำบล อย่างไรก็ดี
ปัจจบุ นั แพทยจ์ ากโรงพยาบาลหลายแห่งในภาคเหนือ อาทิ แพทยท์ โี่ รงพยาบาลพญาเมง็ ราย เร่ิมเปิด
กวา้ งยอมรบั วิธกี ารบำบัดรักษาโรคของหมอเมืองเข้ามาผสมผสาน เน่อื งจากการขาดแคลนแพทย์แผน
ปัจจุบันในกรณีที่คนไข้กระดูกหัก โดยแพทย์ที่โรงพยาบาลได้วินิจฉัยอาการบาดเจ็บเบื้องต้นด้วย
วิธีการถา่ ยภาพด้วยรงั สีเอกซเรยเ์ พือ่ วิเคราะห์ตำแหนง่ หักของกระดูก จากน้ันกเ็ ริ่มต้นรักษาด้วยการ
เข้าเฝือกท่ีโรงพยาบาล กอ่ นจะอนุญาตให้คนไข้ไปรับการรกั ษาต่อด้วยวธิ ีการนวดน้ำมันมนต์กับหมอ
เมือง เป็นต้น การที่หมอเมืองให้ความรว่ มมือด้วยดี มีสาเหตุมาจากการได้รับการยอมรับนับถือจาก
แพทย์แผนปัจจุบันอย่างเท่าเทียมกัน และสิ่งสำคัญก็คือการเข้าใจสภาวะภายในจิตใจของมนุษย์
ซง่ึ ตอ้ งการการเยียวยาเชน่ เดียวกบั สภาวะทางใจ
(๒) สถานการณ์ปัจจุบันของหมอเมือง ในช่วงสิบปีเศษที่ผ่านมา เมื่อการรักษาโรคด้วย
การแพทย์สมัยใหม่เป็นโอกาสของคนมีฐานะและยาแผนปัจจุบันกม็ ีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งนอกจากจะ
เป็นสาเหตุของการขาดดุลการค้าแล้ว ยังทำให้คนไทยจำนวนมากเสียโอกาสในการได้รับการ

๕๔

รักษาพยาบาลดว้ ย รัฐบาลจึงพยายามแก้ปญั หาด้วยการสง่ เสริมและสนับสนนุ ให้ประชาชนตระหนกั
ถึงคุณค่าของการรักษาโรคด้วยวิธีที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ การรักษาโรคด้วยสมุนไพรและภูมิ
ปญั ญาพืน้ บ้านจึงเขา้ มามบี ทบาทอกี ครัง้ ในสังคมไทยในภาคเหนอื กเ็ ชน่ กนั ผู้นำชมุ ชนล้านนาได้ก่อตั้ง
เครือข่ายหมอเมืองขึ้น เพื่อเรียกร้องสิทธิในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาชาวบ้าน ทำให้ภาคเหนือ ๑๗
จังหวัดมีเครือข่ายหมอเมืองทั้งสิ้น ๓๗ กลุ่มกระจายทุกอำเภอ สมาชิกในเครือข่ายมีมากกว่า ๗๐๐
คน ประสานงานกันอยา่ งจรงิ จงั และส่งิ ที่แสดงให้เหน็ ความมุ่งมั่นของเครือข่ายหมอเมืองคือ มีการจัด
ประชุมสญั จรทุก ๔ เดอื น เพื่อสรา้ งความเข้าใจเก่ยี วกบั การยกระดบั หมอเมอื ง และเพอ่ื พัฒนาใหก้ ลุ่ม
หมอเมืองเป็นศูนย์การศึกษาและสืบทอดภูมิปญั ญาหมอเมืองในเขตล้านนา (๓) เครือข่ายหมอเมือง
ล้านนา แบบอย่างของการจัดการด้านสวัสดิการและธุรกิจชุมชน เครือข่ายหมอเมืองล้านนาแยกการ
ทำงานออกเปน็ ๕ กลุม่ ดังนี้

กลุ่มแรก เปน็ กลุม่ หมอเมอื ง ประกอบด้วย หมอดู หมอสะเดาะเคราะห์ หมอเทยี น หมอเป่า
หมอตอกเส้นและหมอแหกพษิ

กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มหมอนวด ประกอบด้วย หมอนวดเท้า หมอเหยียบขา หมอประคบ
สมนุ ไพรและหมอคลายเสน้

กลุ่มทสี่ าม เปน็ กลุ่มหมอยา ซึ่งมีหน้าทใ่ี นการพฒั นาตวั ยาให้มปี ระสิทธิภาพมากยิง่ ขน้ึ
กลุ่มที่สี่ กลุ่มผู้ปลูกสมุนไพรในนามกลุ่มหมอเมืองขายแก่สมาชิกที่ต้องการสร้างรายได้ใน
ชุมชน หรอื ปลกู เพอ่ื ใช้เองในครอบครวั
กลุ่มที่ห้า เป็นกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์ ทำหน้าที่รับซ้ือวัตถุดบิ จากกลุ่มผูป้ ลูกมาแปรรูป โดย
เร่มิ จากการสร้าง หน่ั ฝอยผ่งึ แดด อบแหง้ และบรรจุพลาสติก เม่ือจะใชก้ น็ ำมาบดและปรงุ ท่ีสำนักงาน
เครือข่ายหมอเมอื ง เพอ่ื ใหไ้ ดค้ ณุ ภาพและมาตรฐานใกล้เคยี งกัน๕๔
จากเนื้อหาข้างต้นจึงอาจจะกล่าวไดว้ ่า ในอดีตก่อนที่จะมีการกำหนดแผนที่และปักปันเขต
แดนกันตามความหมายของรัฐประชาชาตใิ นสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้น การที่ดินแดนลา้ นนามีพื้นที่ติดตอ่
กับดินแดนบางส่วนของประเทศพม่า ลาว และจีน ทำให้ประชากรทีอ่ าศัยอยู่บริเวณนี้ ได้แก่ ไทยวน
ไทลอ้ื ไทใหญ่ ไทเขิน ไทยอง พม่า จีน มอญ ลาว ยาง ลวั ะ ข่า และขะมุ สามารถเดินทางค้าขายและ
ไปมาหาสกู้ นั อย่างอิสระ โดยใชเ้ ส้นทางบกผ่านเทือกเขาและทางเดนิ เรอื ในแมน่ ้ำโขงและแม่น้ำสาละ
วิน ทำให้ภูมิปัญญาด้านต่างๆของชาวล้านนา อาทิ ศาสนา ความเชื่อดั้งเดิม การนับถือผี พิธีกรรม
การฮ้องขวัญเชิญขวญั เทคโนโลยีพื้นบ้าน แบบแผนของการอยู่ร่วมกันในชุมชน การรักษาโรคภัยไข้
เจ็บและการขจัดปัดเป่าทุกข์โศก มีลักษณะคล้ายคลึงกับชนชาติที่อาศัยในภูมิภาคเดียวกันและ
นับตั้งแต่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธริ าชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย
สถานการณข์ องภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น โดยเฉพาะอย่างย่งิ ภมู ิปัญญาลา้ นนา นับวันจะลอ่ แหลมตอ่ การสูญ
หายไปจากวิถีชุมชนจากการคุกคามทางวัฒนธรรมภายนอก รวมถึงผลจากการศึกษาแผนใหม่ซึ่งถูก
กำหนดมาจากส่วนกลางในรอบ ๔๐ ปี นับตั้งแตแ่ ผนพัฒนาเศรษฐกจิ แหง่ ชาตฉิ บับท่ี ๑ (พ.ศ. ๒๕๐๔-

๕๔ การจัดการภูมิปญั ญาท้องถ่นิ , ความหลากหลายของวฒั นธรรมพืน้ บ้าน, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์

ครุ ุสภา, ๒๕๔๕), หน้า ๙.

๕๕

๒๕๐๙) รวมถึงผลกระทบจากการส่งเสรมิ การท่องเที่ยวอันเปรียบเสมือนดาบสองคม ซึ่งสร้างรายได้
แต่ทำลายรากเหง้าดั้งเดิมของวัฒนธรรมและการแทรกซึมในรูปแบบของความทันสมัย
(Modernization) ทีผ่ ่านมากบั ส่อื ตา่ งๆ โดยมิไดม้ กี ารกลน่ั กรอง สงิ่ เหลา่ นีจ้ ึงล้วนแตเ่ ปน็ สาเหตสุ ำคัญ
ท่ที ำใหช้ าวลา้ นนาเมนิ เฉยต่อการอนุรักษ์ สืบสานและพฒั นามรดกทางภมู ปิ ัญญาอนั ลำ้ ค่าของตน การ
เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่วิกฤตพลิกผันรุนแรงในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ เป็นที่มาของการปรับตัวของ
สังคมไทย ตลอดจนแนวโน้มของการปฏิรูปทางการศึกษา บ่งชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยกำลังตระหนักถึง
ความสำคัญของวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีต่อการรักษาเอกลักษณ์ ความมั่นคงและยั่งยืนของสถาบัน
ครอบครัวและชุมชน ปัญญาชนไทยจึงผลักดันให้เกิดกระแสการหวนกลับมาเรียนรู้แก่นแท้ของภูมิ
ปัญญาพืน้ บ้านอยา่ งกว้างขวางและจริงจังทัง้ ภาครฐั และเอกชน ปรากฏการณ์ดงั กล่าวเป็นจุดเปลี่ยน
ผ่านสำคัญที่บ่งชี้ถึงความไพศาลแห่งคุณประโยชน์ของมรดกภูมิปัญญาไทยที่คนรุ่นใหม่จะได้รั บสืบ
ทอดตอ่ ไป

2.๖.๑๓ ประเภทของภูมิปญั ญาทอ้ งถ่ินในลา้ นนา
ประเภทของภมู ิปัญญาทอ้ งถน่ิ ภาคเหนือ แบ่ง ๔ กลมุ่
กล่มุ ที่ ๑ คติ ความคดิ ความเชื่อ และหลกั การพ้ืนฐานขององค์แห่งความรู้ คอื การประกอบ
พิธกี รรมตา่ ง ๆ โดยสามารถดำรงชีวิตอยไู่ ด้ โดยการพ่งึ พาธรรมชาติ ความคดิ ความเช่ือเหลา่ น้ีจะนำมา
สู่การพฒั นาชีวิตและอนรุ ักษ์สิ่งแวดลอ้ ม ได้แก่
๑. ความเช่อื เกี่ยวกับต้นกำเนดิ ของมนษุ ย์และชนชาติ ชาวลา้ นนาวเิ คราะห์ความเชื่อนี้จาก
นิทาน ตำนานสรุปความเช่อื ได้ ๓ ลักษณะ ดงั น้ี

๑.๑ นิทานปรัมปราเรื่องมนุษย์เกดิ จากน้ำเต้า สะท้อนการใช้ภูมิปัญญาสอนใหร้ ้จู ัก
รักพชื พรรณซง่ึ เปรียบเสมือนบดิ ามารดาของเรา

๑.๒ นิทานปรัมปราที่ให้ความสำคัญกับกำเนิดมนุษย์คู่แรก เช่น โคตรวงศ์ของชาติ
พนั ธุ์ตา่ ง ๆ คือ ปู่แสงสียา่ แสงไส้ หรือ ปู่สงั กะสาย่าสังกะสี สะท้อนภูมปิ ญั ญาแห่งความกตัญญูกตเวที
ตอ่ บรรพบรุ ุษ

๑.๓ นิทานปรัมปราที่มีพลังเหนือธรรมชาติเป็นผู้สร้าง คือ “แถน”แล้วส่งมนุษย์ผู้
เก่งกล้าลงมาปกครอง ในคติล้านนาพญาแถนได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นพระอินทร์ และได้ส่ง พญาธัม
มิกราชมังรายมาเกดิ เพ่ือเป็นผู้ปกครอง สะทอ้ นภูมิปัญญาแห่งการยอมรับผทู้ ม่ี ีอำนาจเหนอื กว่า

๒. ความเชื่อเกย่ี วกับอำนาจความสมบูรณ์ เปา้ หมายสงู สดุ ของชวี ิตชาวล้านนา มีความเชื่อ
และพิธกี รรมทแ่ี สดงออกถงึ ความปรารถนาทจ่ี ะขอใหอ้ ำนาจแหง่ ธรรมชาตดิ ลบันดาลให้เกดิ ความอุดม
สมบรู ณ์ โดยเฉพาะพิธี พิธแี ห่นางแมว ขอฝนจึงขดุ พบกลองกบ และสญั ลกั ษณ์รปู อวยั วะเพศชายและ
หญิงซึ่งล้วนเป็นสัญลักษณ์ทางความเชื่อที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนั้นยังมีพิธีกรรมที่
เกย่ี วกับความอดุ มสมบรู ณ์ เช่นการฟงั ธรรมคาถาปลาช่อน พธิ ีแหน่ างแมว เป็นตน้ ๕๕

๕๕ การจัดการภูมปิ ญั ญาท้องถ่นิ , ประเภทของภมู ิปญั ญาท้องถนิ่ ในล้านนา, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์
ครุ สุ ภา, ๒๕๔๕), หนา้ ๑๐.

๕๖

๓. ความเชื่อเกี่ยวกับการนับถือผี ชาวล้านนาเชื่อว่า “ผี”เป็นตัวแทนอำนาจเหนือ
ธรรมชาตทิ มี่ อี ทิ ธพิ ลต่อชวี ติ โดยเชื่อว่าสถานที่แทบทุกแหง่ มผี ใี หค้ วามคมุ้ ครองรกั ษาอยู่ ความเช่อื น้ีจึง
มีอทิ ธิพลต่อการดำเนนิ ชีวติ ประจำวนั เห็นได้จากขนบธรรมเนียม ประเพณี และพธิ กี รรมตา่ งๆ การนบั
ถอื ผีมีความสมั พันธก์ ับการนับถือบรรพ บุรุษ ซึง่ แสดงถงึ การผกู พนั และเคารพนับถือ เช่น ผู้เฒ่าผู้แก่
ชาวเหนือ (พ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย) เมื่อไปวัดฟังธรรมก็จะประกอบพิธีเลี้ยงผี คือ จัดหาอาหารคาว-หวานเซ่น
สังเวยผีปู่ย่าด้วยการนับถือผีเป็นการสะท้อนภูมิปัญญาด้านต่างๆเช่นผีด้ำ คือ ผีบรรพบุรุษ มีหน้าท่ี
คุ้มครองเครือญาติและครอบครัวสะท้อนความกตัญญูรู้คุณผีอารักษ์ หรือผีเจ้าที่เจ้าทาง มีหน้าที่
ค้มุ ครองบา้ นเมอื งและชุมชนสะทอ้ นความเป็นผ้นู ำผีเจ้าป่าเจ้าเขา มีหนา้ ที่ค้มุ ครองเม่ือเข้าไปหาของ
ในปา่ ซ่ึงเปน็ แหลง่ อาหารของชมุ ชน สะท้อนความกตญั ญูของทรัพยากรปา่ ไม้ เปน็ ต้น

๔. ความเชื่อเกี่ยวกับขวัญ กลุ่มชาวไทเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างทั้งคน สัตว์ พืช สิ่งของต่างๆ
ล้วนมีขวัญเป็นพลังชีวิต เป็นแก่นชีวิต ขวัญมีความสำคัญต่อระบบคิดและระบบความเชื่อเป็นอย่าง
มากจึงกอ่ ให้เกดิ พิธกี รรมต่างๆ พิธสี ขู่ วญั ทจ่ี ะทำให้ขวญั อยกู่ ับตัวตลอดไปเห็นได้จากการที่กลุ่มคนไท
มีพธิ ีกรรมทเี่ กี่ยวข้องกับขวญั ในทกุ ช่วงของชวี ิตตง้ั แต่เกิดจนตาย

กลุ่มที่ ๒ ศิลปะวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียม ประเพณี คือ ตัวชี้ลักษณะที่สำคัญของการ
แสดงออกถึงภมู ิปญั ญาของแต่ละท้องถิ่นซึ่งเปน็ การแสดงถงึ ความเจริญงอกงามและความเปน็ ระเบียบ
ของท้องถิ่น เป็นวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ได้ถ่ายทอดสืบต่อกันมาเฉพาะกลุ่ม ได้แก่ ประเพณีต่างๆ
พิธบี ูชาผีปู่แสะย่าแสะ เป็นการจดั เลี้ยงให้ผปี ระจำปีในเดอื นเก้าของชนเผ่าลวั ะ ณ บรเิ วณชงิ เขาดอยสุ
เทพซ่งึ จะเปน็ พิธนี ำควายหนุ่ม

พิธีบูชาผีปู่แสะย่าแสะ สีดามาสังเวยยักษ์ที่เป็นผีประจำเมืองโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้
บ้านเมืองอยู่เยน็ เปน็ สขุ และปลอดภยั

ประเพณีบูชาอินทขิล คือการบูชาเสาหลักเมืองของชาวลัวะ ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหารการ
บชู าเสาอนิ ทขิลจะจัดข้นึ ในช่วงเริ่มเขา้ สฤู่ ดูฝน

ประเพณีบูชาอินทขิลเป็นประจำทุกปีทีเ่ รียกวา่ เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออกซึ่งจะมีพธิ ีใส่ขนั
ดอกไม้ในตอนกลางคืนเหมือนกับการใส่บาตรดอกไม้จุดมุ่งหมายเพื่อให้บ้านเมืองก็สงบสุขและ
เจริญรุ่งเรอื ง

ประเพณีสืบชะตา การทำพิธีสบื ชะตาจะช่วยต่ออายุให้ตน เอง ญาติพีน่ ้องและบ้านเมืองให้
ยืนยาว ทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นสิรมิ งคล ประเพณีปอยน้อยเป็นประเพณีบวชหรอื
การบรรพชาของชาวเหนือจะมีชื่อเรียกต่างกันในบางท้องถิ่น เช่น ปอยน้อย ปอยบวชปอยลูกแก้ว
ปอยส่างลอง นิยมจัดภายใน ประเพณีสืบชะตาเดือนกุมภาพันธห์ รอื มีนาคมประเพณีบวชลูกแก้วท่มี ี
ชื่อเสยี งคือประเพณีบวชลูกแก้ว ท่จี ังหวัดแม่ฮ่องสอน๕๖

กลุ่มที่ ๓ การประกอบอาชีพในแต่ละท้องถ่ิน คือ การประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาหุบเขามีพื้นที่ราบจำนวนน้อยคือประมาณ 1/4 ของพื้นที่ทั้กาดมั่วงหมด

๕๖ การจดั การภูมปิ ญั ญาทอ้ งถ่ิน, ประเภทของภูมิปญั ญาทอ้ งถ่นิ ในล้านนา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์

คุรุสภา, ๒๕๔๕), หน้า ๒๑.

๕๗

ชาวบ้านททำนาแบบนาทดน้ำพื้นที่สูงปลกู ข้าวไร่พ้ืนท่ีที่ราบในแอ่งเขาอุดมสมบูรณ์ ปลูกข้าวและพืช
อื่นๆระบบเศรษฐกิจเป็นแบบผลิตเพื่อให้พออยู่พอกินการติดต่อค้าขายระหว่างกันจะมีของป่า
เกลอื ผา้ อัญมณี เป็นต้น ส่วนการค้าขายในหมู่บา้ นก็จะมีกาดม่วั ใครมขี องอะไรกน็ ำมาวางขายได้ไม่
มีการจัดระเบียบในตลาดิยมปลูกข้าวเหนียวกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะบริโภคข้าวเหนียว ข้าวเหนียว
ภาคเหนอื ถอื วา่ เปน็ ข้าวที่มีคุณภาพดี น่ึงสกุ แล้วก็จะขาวสะอาดออ่ นและน่ิมน่ารับประทานข้าวพันธุ์ที่
มชี ่อื เสียงคือ ขา้ วสนั ป่าตองอาชีพอีกอย่างหนง่ึ ซ่งึ จะเป็นวฒั นธรรมของชาวบา้ นภาคเหนือ คือการทำ
เมี่ยงซึ่งชาวเหนือชอบกิน หมากและอมเมี่ยง โดยเอาใบเมียงที่เป็นส่วนใบอ่อนนำมาหมักให้มีรส
เปร้ียวอมฝาดเมอ่ื หมักนานได้ท่ีเวลาจะเอาใบเม่ียงมาอมก็ผสมเกลือเม็ดหรือของกนิ อยา่ งอืน่ แลว้ แต่จะ
ชอบนอกจากการอมเมี่ยงของคนล้านนาทงั้ หญงิ และชายจะสบู บหุ รท่ี ่ีมวนด้วยใบตองกลว้ ย มวนหนึ่ง
ขนาดเท่านิ้วมือและยาวเกือบคืบ ชาวบ้านภาคเหนือเรยี กบหุ รี่ชนดิ นี้ ว่า “ขี้โย”หรือ“”ทีน่ ิยมสูบกนั
มาก อาจเน่ืองมาจากอากาศหนาวเยน็ การสูบบหุ ร่ีคงจะทำให้ร่างกายอบอุน่ ขน้ึ อาชพี เกษตรกรรมชาว
เหนือยังประกอบอาชีพอื่นอีกอาจเรียกได้ว่าเป็นหัตถกรรเมี่ยงมหรืออุตสาหกรรมในครัวเรือนเช่น
ผหู้ ญิงจะทอผ้าเมอ่ื เสร็จจากการทำนา นอกจากนั้นยังมกี ารแกะสลักไม้หรือการทำเครื่อการแกะสลัก
เงนิ งเงนิ เครือ่ งเขนิ และการทำเครอื่ งเหลก็ สำหรับเป็นเคร่ืองมอื เครอ่ื งใชใ้ นครัวเรือน

กลมุ่ ที่ 4 แนวความคดิ หลกั ปฏบิ ัติและเทคโนโลยีสมัยใหม่และแต่ละประเภทของภูมิปัญญา
ท้องถิ่นเป็นอิทธิพลของความก้าวหนา้ ทางวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เช่น การเลี้ยงปลาดุกบิ๊กอยุ
ในบ่อซีเมนต์ โดยจัดระบบการถ่ายเทน้ำและคิดสูตรอาหารปลาขึน้ มาเอง การคิดค้นวิธีทีจ่ ะกรองน้ำ
ให้ใสเพือ่ เพาะฟกั ลกู ปลาใหร้ อดตาย การประดษิ ฐ์เครื่องนวดข้าว แบบประหยัด และการคิดสร้างอ่าง
เก็บน้ำ จากอา่ งเกบ็ น้ำบนภูเขา ลงมาใชป้ ลูกพชื สวนการฟนื้ ฟรู ะบบเหมืองฝาย

2.๖.๑๔ ลกั ษณะสำคัญของภูมปิ ัญญาทอ้ งถิ่นในล้านนา
วฒั นธรรมในท้องถนิ่ ของภาคเหนอื แบง่ ออกได้ดงั น้ี๕๗
วัฒนธรรมทางภาษาถิ่น ชาวไทยทางภาคเหนือมีภาษาล้านนาทีน่ ุม่ นวลไพเราะ ซึ่งมีภาษา
พูดและภาษาเขียนท่ีเรียกวา่ "คำเมอื ง" ของภาคเหนอื เอง โดยการพูดจะมสี ำเนียงทแ่ี ตกต่างกนั ไปตาม
พน้ื ที่ ปจั จบุ นั ยังคงใช้พดู ติดตอ่ ส่อื สารกัน
วฒั นธรรมการแตง่ กาย การแตง่ กายพืน้ เมอื งของภาคเหนือมีลกั ษณะแตกตา่ งกันไปตามเช้ือ
ชาติของกลุ่มชนคนเมอื ง เน่ืองจากผู้คนหลากหลายชาตพิ ันธุอ์ าศยั อยู่ในพนื้ ทซ่ี ึ่งบง่ บอกเอกลักษณ์ของ
แต่ละพ้ืนถิ่น สำหรบั หญงิ ชาวเหนอื จะน่งุ ผ้าซ่ิน หรือผา้ ถุง มีความยาวเกือบถึงตาต่มุ ซ่งึ นยิ มน่งุ ทงั้ สาว
และคนแก่ ผ้าถุงจะมีความประณีต งดงาม ตีนซิ่นจะมีลวดลายงดงาม ส่วนเสื้อจะเป็นเสื้อคอกลม
มีสีสัน ลวดลายสวยงาม อาจห่มสไบทบั และเกลา้ ผม
ส่วนผู้ชายนิยมนุ่งนุ่งกางเกงขายาวลักษณะแบบกางเกงขายาวแบบ 3 ส่วน เรียกติดปากว่า
"เตี่ยว" เตี่ยวสะดอ หรอื เต่ยี วกี ทำจากผ้าฝา้ ย ย้อมสนี ำ้ เงินหรือสดี ำ และสวมเสอ้ื ผา้ ฝา้ ยคอกลมแขน

๕๗ การจัดการภูมปิ ัญญาท้องถิ่น, ลักษณะสำคัญของภูมิปัญญาท้องถ่ินในล้านนา, (กรุงเทพมหานคร :
โรงพมิ พ์คุรุสภา, ๒๕๔๕), หน้า ๒๓.

๕๘

สนั้ แบบผ่าอก กระดุม 5 เมด็ สนี ำ้ เงนิ หรอื สดี ำ ทเ่ี รยี กว่า เสอื้ มอ่ ฮอ่ ม ชุดนใี้ ส่เวลาทำงาน หรอื คอจีน
แขนยาว อาจมีผ้าคาดเอว ผา้ พาดบ่า และมีผา้ โพกศรี ษะ ชาวบา้ นบางแหง่ สวมเส้อื มอ่ ฮ่อม น่งุ กางเกง
สามส่วน และมผี า้ คาดเอว เครื่องประดับมักจะเปน็ เครอื่ งเงนิ และเครอ่ื งทอง

วัฒนธรรมการกิน ชาวเหนือมีวัฒนธรรมการกินคล้ายกับคนอีสาน คือ กินข้าวเหนียวและ
ปลาร้า ซง่ึ ภาษาเหนอื เรียกวา่ ขา้ วน่ิงและฮ้า สว่ นกรรมวิธกี ารปรุงอาหารของภาคเหนอื จะนยิ มการตม้
ปิ้ง แกง หมก ไม่นิยมใช้น้ำมัน ส่วนอาหารขึ้นชื่อเรียกว่าถ้าได้ไปเที่ยวต้องไปลิ้มลอง ได้แก่ น้ำพริก
หนุ่ม, น้ำพริกอ่อง, น้ำพริกน้ำปู, ไส้อั่ว, แกงโฮะ, แกงฮังเล, แคบหมู, ผักกาดจอ ลาบหมู, ลาบเนื้อ,
จิ้นส้ม (แหนม), ข้าวซอย, ขนมจีนน้ำเงี้ยว เป็นต้น นอกจากนี้ ชาวเหนือชอบกินหมากและอมเมีย่ ง
โดยนำใบเมียงที่เป็นส่วนใบอ่อนมาหมกั ให้มีรสเปร้ียวอมฝาด เมื่อหมักได้ระยะเวลาทีต่ ้องการ จะนำ
ใบเมี่ยงมาผสมเกลือเม็ด หรือน้ำตาล แล้วแต่ความชอบ ซึ่งนอกจากการอมเมี่ยงแล้ว
คนล้านนาโบราณมีความนิยมสบู บุหรี่ท่มี วนด้วยใบตองกล้วยมวนหน่ึงขนาดเท่านิว้ มือ และยาวเกือบ
คืบ ชาวบ้านเรียกจะเรยี กบุหรี่ชนิดนวี้ ่า ขโ้ี ย หรอื บุหรี่ข้โี ย ทีน่ ยิ มสูบกันมากอาจเน่ืองมาจากอากาศ
หนาวเย็น เพอ่ื ทำให้รา่ งกายอบอุน่ ขึ้น

วฒั นธรรมทเี่ กยี่ วกบั ศาสนา ความเชอ่ื ชาวลา้ นนามคี วามผูกพันอย่กู บั การนับถือผีซึ่งเชื่อว่า
มีสิ่งเร้าลับให้ความคุ้มครองรักษาอยู่ ซึ่งสามารถพบเห็นได้จากการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อ
เวลาท่ีต้องเขา้ ปา่ หรือตอ้ งค้างพักแรมอยูใ่ นปา่ จะนิยมบอกกลา่ วและขออนญุ าตเจ้าที่-เจา้ ทางอยูเ่ สมอ
และเม่อื เวลาที่กินข้าวในป่าจะแบ่งอาหารบางส่วนใหเ้ จ้าทีอ่ ีกดว้ ย เชน่ กนั ซงึ่ เหล่าน้ีแสดงใหเ้ ห็นว่าวิถี
ชีวติ ทย่ี ังคงผกู ผนั อยู่กับการนบั ถอื ผสี าง แบง่ ประเภท ไดด้ ังนี้ ผบี รรพบรุ ุษ มหี นา้ ท่ีค้มุ ครองเครือญาติ
และครอบครวั ผอี ารักษ์ หรือผเี จา้ ทเี่ จ้าทาง มหี นา้ ที่ค้มุ ครองบ้านเมอื งและชุมชน ผขี ุนนำ้ มีหน้าที่ให้
น้ำแก่ไรน่ า ผีฝาย มีหน้าที่คุ้มครองเมืองฝาย ผีสบน้ำ หรือผีปากน้ำ มีหน้าที่คุ้มครองบริเวณที่แม่น้ำ
สองสายมาบรรจบกัน ผวี ญิ ญาณประจำข้าว เรยี กว่า เจา้ แมโ่ พสพ ผวี ิญญาณประจำแผน่ ดิน เรียกว่า
เจ้าแม่ธรณี ทั้งนี้ ชาวล้านนาจะมีการเล้ียงผีบรรพบุรุษ ในช่วงระหว่างเดือน 4 เหนือเป็ง (มกราคม)
จนถึง 8 เหนือ (พฤษภาคม) เช่น ท่อี ำเภอเชียงคำ จังหวดั พะเยา จะมกี ารเลี้ยงผเี สื้อบ้านเสื้อเมอื ง ซ่ึง
เปน็ ผีบรรพ บุรุษของชาวไทลื้อ พอหลังจากน้ีอกี ไมน่ านกจ็ ะมีการเลย้ี งผลี วั ะ หรอื ประเพณีบูชาเสาอิน
ทขิล ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ของคนเมือง ไม่นับรวมถึงการ เลี้ยงผีมด ผีเม็ง และการเลี้ยงผีปู่แสะยา่
แสะของ ชาวลั๊วะ ซงึ่ จะทยอยทำกนั ตอ่ จากนี้ สว่ นชว่ งกลางฤดูรอ้ นจะมีการลงเจา้ เข้าทรงตามหมู่บ้าน
ต่าง ๆ อาจเป็นเพราะความเชื่อที่ว่าการลงเจ้าเป็นการพบปะพูดคุยกบั ผีบรรพบุรุษ ซึ่งในปีหนึ่งจะมี
การลงเจา้ หนง่ึ คร้งั และจะถือโอกาสทำพธิ รี ดนำ้ ดำหัวผีบรรพบรุ ุษไปด้วย ยังมพี ิธเี ล้ียง "ผมี ดผีเม็ง" ที่
จัดขึ้นครัง้ เดียวในหนึ่งปี โดยจะต้องหาฤกษ์ยามที่เหมาะสม ก่อนวันเข้าพรรษา จะทำพิธีอัญเชญิ ผี
เม็งมาลง เพื่อขอใช้ช่วยปกปักษ์รักษา คุ้มครองชาวบ้านที่เจ็บป่วย และจัดหาดนตรีเพื่อเพิ่มความ
สนุกสนาน อย่างไรก็ตาม คนล้านนามีความเชื่อในการเล้ียงผีเป็นพิธีกรรมที่สำคัญ แม้ว่าการดำเนนิ
ชีวิตของจะราบรื่นไม่ประสบปัญหาใด แต่ก็ยังไม่ลืมบรรพบุรุษที่เคยช่วยเหลือให้มีชีวิตที่ปกติสุขมา
ตั้งแต่รุ่นปู่ย่า ยังคงพบเรือน เล็กๆ หลังเก่าตั้งอยู่กลางหมู่บ้านเสมอ หรือเรียกว่า "หอเจ้าที่ประจำ
หม่บู ้าน" เมื่อเวลาเดินทางไปยังหมบู่ ้านต่าง ๆ ในชนบท ความเชอื่ ดังกล่าวจึงสง่ ผลใหข้ นบธรรมเนียม
ประเพณี และพิธีกรรมต่าง ๆ ของชาวเหนือ เช่น ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวเหนือ (พ่ออุ๊ย-แม่อุ๊ย) เมื่อไปวัดฟัง
ธรรมก็จะประกอบพิธีเลี้ยงผี คือ จัดหาอาหารคาว-หวานเซ่น สังเวยผีปู่ย่าด้วย แม้ปัจจุบันในเขตตวั

๕๙

เมืองของภาคเหนือจะมีการนับถือผีที่อาจเปลี่ยนแปลงและเหลือน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามชาวบ้านใน
ชนบทยงั คงมกี ารปฏิบตั ิกันอยู่

ก. ประเพณขี องภาคเหนอื
ประเพณีของภาคเหนือ เกิดจากการผสมผสานการดำเนินชีวิต และศาสนาพุทธความเช่ือ
เรื่องการนับถือผี ส่งผลทำให้มีประเพณีทีเ่ ป็นเอกลักษณ์ของประเพณีที่จะแตกต่างกันไปตามฤดูกาล
ท้ังน้ี ภาคเหนอื จะมงี านประเพณีในรอบปีแทบทุกเดือน จึงขอยกตวั อยา่ งประเพณีภาคเหนือบางส่วน
มานำเสนอ ดังน้ี ๕๘
สงกรานต์งานประเพณี ถือเป็นช่วงแรกของการเริ่มต้นปี๋ใหม่เมือง หรือสงกรานต์งาน
ประเพณี โดยแบง่ ออกเปน็
วันที่ 13 เมษายน หรือวันสังขารล่อง ถือเป็นวันสิ้นสุดของปี โดยจะมีการยิงปืน ยิงสโพก
และจุดประทัดตงั้ แตก่ อ่ นสว่างเพอ่ื ขบั ไล่สง่ิ ไม่ดี วนั นต้ี ้องเกบ็ กวาดบ้านเรอื น และ ทำความสะอาดวดั
วันที่ 14 เมษายน หรือวันเนา ตอนเช้าจะมีการจัดเตรียมอาหาร และเครื่องไทยทาน
สำหรับงานบุญในวนั รุ่งข้ึน ตอนบ่ายจะไปขนทรายจากแมน่ ้ำเพื่อนำไปก่อเจดีย์ทรายในวัด เป็นการ
ทดแทนทรายทเี่ หยียบติดเท้าออกจากวัดตลอดทัง้ ปี
วันท่ี 15 เมษายน หรอื วนั พญาวนั เปน็ วันเริ่มศักราชใหม่ มีการทำบญุ ถวายขันขา้ ว ถวายตุง
ไมค้ ำ้ โพธทิ์ ่วี ดั สรงน้ำพระพุทธรูป พระธาตุและรดนำ้ ดำหัวขอพรจากผใู้ หญ่ทีเ่ คารพนับถอื
วันที่ 16-17 เมษายน หรือวันปากปีและวันปากเดือน เป็นวันทำพิธีทางไสยศาสตร์
สะเดาะเคราะห์ และบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ทั้งนี้ ชาวล้านนามีความเชื่อว่า การทำพิธีสืบชะตาจะ
ชว่ ยต่ออายุใหต้ น เอง ญาตพิ นี่ อ้ ง และบ้านเมืองใหย้ ืนยาว ทำให้เกดิ ความเจริญรงุ่ เรืองและความเป็น
สริ มิ งคล โดยแบง่ การสบื ชะตาแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คือ การสืบชะตาคน, การสบื ชะตาบ้าน และ
การสบื ชะตาเมอื ง
แห่นางแมว ระหวา่ งเดือนพฤษภาคมถงึ สิงหาคม เปน็ ช่วงของการเพาะปลูก หากปีใดฝนแล้ง
ไมม่ ีน้ำ จะทำให้นาข้าวเสยี หาย ชาวบา้ นจึงพงึ่ พาสิง่ เหนอื ธรรมชาติ เช่น ทำพิธีขอฝนโดยการแห่นาง
แมว โดยมีความเชอ่ื กันวา่ หากกระทำเช่นนนั้ แลว้ จะช่วยใหฝ้ นตก
ประเพณีปอยน้อย/บวชลูกแก้ว/แหล่ส่างลองเป็นประเพณีบวช หรือการบรรพชาของชาว
เหนือ นยิ มจดั ภายในเดอื นกมุ ภาพันธ์ มีนาคม หรือเมษายน ตอนช่วงเช้า ซึง่ เกบ็ เกีย่ วพืชผลเสร็จแล้ว
ในพิธีบวชจะมีการจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ มีการแห่งลูกแก้วหรือผู้บวชที่จะแต่งตัวอย่าง
สวยงามเลียนแบบเจ้าชายสิทธัตถะ เพราะถือคตินิยมว่าเจ้าชายสิทธัตถะได้เสด็จออกบวชจนตรัสรู้
และนิยมให้ลูกแก้วขี่ม้า ขี่ช้าง หรือขี่คอคน เปรียบเหมือนม้ากณั ฐกะม้าทรงของเจ้าชายสิทธัตถะ
ปจั จบุ นั ประเพณบี วชลกู แกว้ ทม่ี ชี ื่อเสียง คอื ประเพณบี วชลกู แกว้ ท่จี ังหวดั แมฮ่ อ่ งสอน

๕๘ การจัดการภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น, ลักษณะสำคัญของภูมปิ ัญญาท้องถิ่นในล้านนา, (กรุงเทพมหานคร :
โรงพมิ พ์คุรุสภา, ๒๕๔๕), หนา้ ๒๔.

๖๐

ประเพณีปอยหลวง หรืองานบุญปอยหลวง เป็นเอกลักษณ์ของชาวล้านนาซึ่งเป็นผลดีต่อ
สภาพทางสงั คม ถอื วา่ เปน็ การให้ชาวบ้านไดม้ าทำบุญรว่ มกนั รว่ มกนั จัดงานทำใหเ้ กดิ ความสามัคคีใน
การทำงาน งานทำบุญปอยหลวงยงั เปน็ การรวมญาตพิ น่ี อ้ งทีอ่ ยูต่ ่างถิ่นได้มโี อกาสทำบญุ ร่วมกนั และมี
การสบื ทอดประเพณีที่เคยปฏิบตั กิ นั มาคร้ังแตบ่ รรพชนไมใ่ ห้สญู หายไปจากสังคม
ชว่ งเวลาจัดงานเรมิ่ จากเดือน 5 จนถึงเดอื น 7 เหนือ (ตรงกบั เดอื นกมุ ภาพนั ธ์ ถงึ เดอื นเมษายนหรือ
เดอื นพฤษภาคมของทุกปี) ระยะเวลา 3-7 วนั

ประเพณียี่เป็ง (วันเพ็ญเดือนยี่) หรืองานลอยกระทง โดยจะมีงาน "ตามผางผะติ้ป"
(จุดประทีป) ซึ่งชาวภาคเหนือตอนล่างจะเรียกประเพณีนี้ว่า “พิธีจองเปรียง” หรือ “ลอยโขมด”
เป็นงานที่ข้นึ ชือ่ ที่จงั หวดั สุโขทัย

ประเพณลี อยกระทงสายหรือประทีปพันดวง ทีจ่ ังหวัดตาก ในเทศกาลเดียวกนั ด้วยในเดือน
3 หรอื ประมาณเดือนธันวาคม มีประเพณตี ้ังธรรมหลวง (เทศนม์ หาชาติ) และทอดผา้ ป่า ในธันวาคม
จะมกี ารเก่ียว "ขา้ วดอ" (คือขา้ วสุกกอ่ นข้าวป)ี พอถงึ ข้างแรมจงึ จะมีการเกย่ี ว "ข้าวปี"

ประเพณลี อยโคม ชาวลา้ นนาจังหวดั เชียงใหม่ ทีม่ คี วามเช่อื ในการปลอ่ ย โคมลอยซึ่งทำด้วย
กระดาษสาติดบนโครงไม้ไผ่แลว้ จุดตะเกียงไฟตรงกลางเพื่อให้ไอความรอ้ นพาโคมลอยขึ้นไปในอากาศ
เปน็ การปลอ่ ยเคราะหป์ ลอ่ ยโศกและเร่อื งรา้ ย ๆ ตา่ ง ๆ ให้ไปพน้ จากตัว

ประเพณีตานตุง ในภาษาถิ่นล้านนา ตุง หมายถึง "ธง" จุดประสงค์ของการทำตงุ ในล้านนา
ก็คือ การทำถวายเป็นพุทธบูชา ชาวล้านนาถือว่าเป็นการทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือ
ถวายเพื่อเปน็ ปัจจัยสง่ กุศลให้แก่ตนไปในชาติหน้า ด้วยความเชื่อทีว่ ่า เมื่อตายไปแล้วกจ็ ะได้เกาะยดึ
ชายตุงขึ้นสวรรค์พ้นจากขุมนรก วันที่ถวายตุงนั้นนิยมกระทำในวันพญาวันซึ่งเป็นวันสุดท้ายของ
เทศกาลสงกรานต์

ประเพณีกรวยสลาก หรอื ตานก๋วยสลาก เปน็ ประเพณขี องชาวพุทธที่มีการทำบุญให้ทานรับ
พรจากพระ จะทำให้เกิดสิริมงคลแก่ตนและอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว เป็นการระลึกถึง
บญุ คณุ ของผ้มู ีพระคุณ และเป็นการแสดงออกถึงความสามัคคีของคนในชมุ ชน

ประเพณีขึน้ ขันดอกอนิ ทขิล บูชาเสาหลักเมืองเชียงใหม่ ประเพณีงานประเพณนี บพระเลน่
เพลง ในแผน่ ดินพระเจา้ ลิไท วดั พระแกว้ อุทยานประวตั ศิ าสตรก์ ำแพงเพชร

ประเพณีงานประเพณีแห่เจา้ พ่อ เจ้าแม่ปากน้ำโพ เพื่อเป็นการเคารพสักการะเจา้ พ่อ เจ้า
แมป่ ากน้ำโพ

ประเพณีลอยกระทงสาย เพื่อบูชาแม่คงคา ขอขมาที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในน้ำและอธิษฐาน
บูชารอยพระพทุ ธบาท

ประเพณีแล้อุ๊ป๊ะดะก่า เป็นการเตรียมอาหารเพื่อนำไปถวาย (ทำบุญ) ข้าวพระพุทธในวัน
พระของชาวไทยใหญ่

ประเพณีทอดผา้ ป่าแถว เปน็ วนั ทพี่ ุทธศาสนกิ ชนจะไดถ้ วายเครอื่ งนงุ่ หม่ และไทยธรรม เป็น
เคร่ืองบูชาแด่พระสงฆ์กอ่ นจะทำพิธีลอยกระทงบูชาพระพุทธบาทตามคตคิ วามเชือ่ แต่โบราณ กระทำ
ในวนั ข้นึ 15 คำ่ เดอื น 12 (วันลอยกระทง)

ประเพณีขึ้นธาตุเดือนเก้า ประมาณเดือนมิถุนายน (หรือปลายเดือนพฤษภาคม) เพื่อบูชา
พระบรมสารรี กิ ธาตแุ ห่งองคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจ้า

๖๑

ประเพณแี ข่งเรือยาว จงั หวดั น่าน
ประเพณีเวยี นเทยี นกลางนำ้ วัดติโลกอาราม จังหวัดพะเยา
ประเพณลี อยกระทงสาย ไหลประทีปพนั ดวง จงั หวัดตาก
ประเพณีทานหลัวผิงไฟ คือ ประเพณีการถวายฟืนแก่พระสงฆ์เพื่อใช้จุดไฟในช่วงฤดูหนาว
จะกระทำในเดอื น 4 เหนอื หรือตรงกับเดือนมกราคม
ประเพณีอู้สาว คำว่า “อู้” เป็นภาษาไทยภาคเหนือแปลว่า “พุดกัน คุยกัน สนทนากัน
สนทนากัน” ดังน้ัน “อูส้ าว” กค็ อื พดู กับสาว คยุ กับสาว หรอื แอว่ สาวการอ้สู าวเป็นการพดคุยกันเป็น
ทำนองหรอื เป็นกวโี วหาร
นอกจากงานเทศกาลประจำท้องถิ่นแล้ว ยังมีประเพณีความเชื่อดั้งเดิมของชนชาติไทยเผ่า
ต่าง ๆ ในพ้ืนที่ เช่น ไทยยวน ไทยลื้อ ไทยใหญ่ ไทยพวน ลวั ะ และพวกแมง ได้แก่ ประเพณีกนิ วอของ
ชาวไทยภเู ขาเผ่าลีซอ ประเพณบี ุญกำฟา้ ของชาวไทยพวนหรือไทยโขง่

ข. เพลงพืน้ บ้านในภาคเหนอื
วฒั นธรรมเพลงพนื้ บา้ นทอ้ งถิน่ ในของภาคเหนือ เนน้ ความเพลงท่มี คี วามสนุกสนาน สามารถ
ใชร้ ้องเล่นได้ทุกโอกาส ไม่จำกดั ฤดู ไมจ่ ำกดั เทศกาล สว่ นใหญ่นยิ มใชร้ ้องเพลงเพื่อผ่อนคลายอารมณ์
และการพักผ่อนหย่อนใจ โดยลักษณะการขับร้องและท่วงทำนองจะ อ่อนโยน ฟังดูเนิบนาบนุ่มนวล
สอดคล้องเครื่องดนตรีหลัก ได้แก่ ปี่ ซึง สะล้อ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถจัดประเภทของเพลง
พนื้ บ้านของภาคเหนือได้ 4 ประเภท ดังน้ี
เพลงซอ คือการร้องเพลงร้องโต้ตอบกันระหว่างชายหญิง เพื่อเกี้ยวพาราสีกัน โดยมีการ
บรรเลงป่ี สะลอ้ และซงึ เคลา้ คลอไปดว้ ย เพลงค่าว ซึ่งเปน็ บทขบั รอ้ งที่มที ำนองสูงตำ่ ไพเราะ
เพลงจ๊อย คล้ายการขับลำนำ โดยมีผู้ร้องหลายคน เป็นการนำบทประพันธ์ของภาคเหนือ
นำมาขบั ร้องเป็นทำนองส้นั ๆ โดยเนอ้ื หาเป็นการระบายความในใจ แสดงอารมณ์ความรกั ความเงียบ
เหงา ทั้งน้ี มผี ้ขู บั ร้องเพยี งคน เดยี ว โดยจะใช้ดนตรบี รรเลงหรือไมก่ ไ็ ด้ ยกตวั อย่างเชน่ จ๊อยให้กับคน
รักรู้คนในใจ จ๊อยประชันกันระหวา่ งเพื่อนฝงู และจอ๊ ยเพ่อื อวยพรในโอกาสต่างๆ หรอื จ๊อยอำลา
เพลงเด็ก มีลักษณะคล้ายกับเพลงเด็กของภาคอื่น ๆ คือ เพลงกล่อมเด็ก เพลงปลอบเด็ก
และเพลงท่ีเด็กใช้ร้องเล่นกันได้แก่ เพลงกล่อมลูก หรือเพลงฮื่อลูก และเพลงสิกจุ่ง จา (สิก จุ่ง-จา
หมายถงึ เล่นชิงช้า) ซ่งึ การสกิ จงุ่ จาเปน็ การละเลน่ ของภาคเหนือ จะผเู้ ลน่ มีกค่ี นก็ได้ โดยชิงชา้ ทำด้วย
เชือกเส้นเดียวสอดเข้าไปในรูกระบอกไม้ซาง แล้วผูกปลายเชือกทั้งสองไว้กับต้นไม้หรือใต้ถุนบ้าน
สว่ นวิธีเล่น คอื แกวง่ ชงิ ช้าไปมาให้สูงมากๆ บทรอ้ งประกอบผเู้ ลน่ จะร้องตามจังหวะท่ีชิงช้าแกว่งไกว
ไปมา ดังน้ี สิกจุ่งจา อีหล้าจุ่งจ๊อย ขึ้นดอยน้อย ขึ้นดอยหลวง เก็บผักขี้ขวง ใส่ซ้าทังลุ่ม เก็บฝักกุ่ม
ใส่ซ้าทั้งสน เจ้านายตน มาปะคนหนึ่ง ตีตึ่งตึง หื้ออย่าสาวฟังควักขี้ดัง หื้ออย่าสาวจูบ แปงตูบน้อย

๖๒

หื้ออย่าสาวนอน ขี้ผองขอน หื้ออย่าสาวไหว้ ร้อยดอกไม้ หื้ออย่าสาวเหน็บ จักเข็บขบหู ปูหนีบข้าง
ช้างไลแ่ ทง แมงแกงขบเขย้ี ว เงี้ยวไลแ่ ทง ตกขุมแมงดนิ ตฆี อ้ งโม่งๆ๕๙

นอกจากน้ี มีเพลงกลอ่ มลูกท่ภี าคเหนือใช้ในการกล่อมลกู หรอื เด็ก จะขึน้ ตน้ ดว้ ยคำวา่ "สิกจุ้ง
จาโหน" แล้วยังมักจะข้ึนต้นดว้ ย คำว่า "อื่อจา" เป็นส่วนใหญ่ จึงเรียกเพลงกล่อมเด็กนี้ว่า เพลงอื่อลู
กทำนองและลีลาอื่อลูกจะเป็นไป ชา้ ๆ ดว้ ยน้ำเสยี งทุ้มเยน็ ตามถ้อยคำท่ีคัดสรรมา เพ่ือส่ังสอน และ
พรรณาถงึ ความรกั ความห่วงใยลกู นอ้ ย กระทง่ั คำขู่ คำปลอบ หากไมย่ อมนอนหลบั ซ่ึงเพลงกล่อมเด็ก
ภาคเหนือสะท้อนให้เห็นสภาพความเปน็ อยู่ สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมต่าง ๆ ของ คนในภาคเหนือ
ต้งั แตอ่ ดตี จนปจั จุบันได้เป็นอย่างดี

ค. นทิ านพื้นบ้าน
นิทานของภาคของแต่ละภาคมักเต็มไปด้วยสาระ คติสอนใจ พร้อมความสนุกสนาน
เพลิดเพลิน อาจมีความแตกต่างกันไปตามแต่ลักษณะสำคัญของภูมิภาค ส่วนนิทานพื้นบ้านจาก
ภาคเหนือมักเปน็ ตำนานของสถานทต่ี า่ ง ๆ หรือความเปน็ มาและสาเหตุของสถานทีเ่ หล่านนั้ เล่าสืบต่อ
กนั มาชา้ นาน เพอื่ ใหเ้ กิดความสนกุ สนานเพลิดเพลนิ และไดส้ าระท่ีเปน็ คตสิ อนใจ อาทิ ความดี ความ
กตัญญู ความซื่อสัตย์ รวมถึงยงั สะทอ้ นให้เห็นถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่นภาคเหนอื
อีกด้วย ยกตัวอย่างนิทานพื้นบ้านภาคเหนือ ได้แก่ เรื่องลานนางคอย จังหวัดแพร่ เรื่องเมืองลับแล
จังหวดั อุตรดิตถ์ เรือ่ งเซ่ียงเม่ียงคำ่ พญา เร่ืองป๋เู ซด็ ค่ำลวั ะ เรอื่ งดนตรธี รรมชาติ เรื่องเชียงดาว
เร่อื งอ้ายก้องขจี้ ุ๊ เร่ืองผาวิง่ ชู้ เรอ่ื งควายลุงคำ เรือ่ งย่าผนั คอเหนียง
ง. เครื่องดนตรีพนื้ บา้ น
สะล้อ หรือทะล้อ เป็นเครื่องสายบรรเลง ด้วยการสี ใช้คัน ชักอิสระ ตัวสะล้อที่เป็น
แหล่งกำเนิดเสยี งทำดว้ ยกะลามะพร้าว ซึง เปน็ เครื่องสายชนดิ หนึง่ ใช้บรรเลงดว้ ยการดดี ทำ ด้วยไม้
สักหรือไม้เนื้อแข็ง ขลุ่ย มีลักษณะเช่นเดียวกับขลุ่ยของภาคกลาง ปี่ เป็นปี่ลิ้นเดียว ที่ตัวลิ้นทำด้วย
โลหะเหมือนลิ้นแคน ตัวปี่ทำด้วยไม้ซาง ปี่แน มีลักษณะคลายป่ีไฉน หรือปี่ชวา แต่มี ขนาดใหญ่กว่า
เป็นปีป่ ระเภท ลนิ้ คู่ทำด้วยไม้ พณิ เป๊ยี ะ หรือ พิณเพียะ หรอื บางทีก็เรยี กวา่ เพยี ะ หรอื เปี๊ยะ กะโหลก
ทำดว้ ยกะลามะพรา้ ว กลองเตง่ ถิ้ง เปน็ กลองสองหน้า ทำด้วยไม้เน้อื แขง็ เชน่ ไม้แดง หรอื ไม้ เนื้อออ่ น
ตะหลดปด หรือมะหลดปด เป็นกลองสองหน้า ขนาดยาวประมาณ 100 เซนติเมตร กลองตึ่งโนง
เป็นกลองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ตัวกลองจะยาว มากขนาด 3-4 เมตร กลองสะบัดชัยโบราณ เดิมใช้ตี
ยามออกศกึ สงคราม เพือ่ เปน็ สริ มิ งคล และเป็นขวัญกำลังใจใหแ้ ก่เหล่าทหารหาญในการตอ่ สู้ให้ได้ชัย
ชนะ ซงึ่ ปัจจบุ ันพบเหน็ ในขบวนแหห่ รอื งานแสดงศิลปะพืน้ บ้านในระยะหลังโดยท่ัวไป ลีลาในการตีมี
ลักษณะโลดโผนเร้าใจมีการใช้อวยั วะหรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ศอก เข่า ศีรษะ ประกอบใน
การตกี ลองดว้ ย ทำให้การแสดงการตีกลองสะบัดชัยเปน็ ที่ประทับใจของผทู้ ไ่ี ด้ชม

๕๙ การจัดการภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน, ลักษณะสำคัญของภูมิปัญญาทอ้ งถิ่นในล้านนา, (กรุงเทพมหานคร :
โรงพมิ พค์ รุ สุ ภา, ๒๕๔๕), หน้า ๒๕.

๖๓

จ. การแสดงพน้ื เมอื งภาคเหนือ
โอกาสที่แสดงนิยม โชว์ในงานพระราชพิธี หรือวันสำคัญทางศาสนา ต้อนรับแขกบ้านแขก
เมือง งานมงคล และงานรื่นเริงท่ัวไป ในท่ีนีจ้ ะแสดงตามความเหมาะสมตามสถานการณ์ ได้แก่ ฟ้อน
ภูไท ฟอ้ นเทียน ฟอ้ นเลบ็ หรอื ฟอ้ นเมือง ฟ้อนดาบ, ฟ้อนเงยี้ ว ฟ้อนลาวแพน ฟ้อนรกั ฟอ้ นดวงเดือน,
ฟอ้ นดวงดอกไม้ ฟ้อนมาลยั , ฟ้อนไต ฟอ้ นโยคถี วายไฟ ระบำชาวเขา รำลาวกระทบไม้ รำกลองสะบัด
ชยั

2.๖.๑๕ คณุ คา่ และความสำคัญของภมู ิปัญญาไทย
คุณค่าของภูมิปัญญาไทย ได้แก่ ประโยชน์ และความสำคัญของภมู ิปัญญา ที่บรรพบุรุษไทย
ได้สร้างสรรค์ และสบื ทอดมาอยา่ งตอ่ เน่อื ง จากอดตี สู่ปจั จุบนั ทำให้คนในชาตเิ กิดความรกั และความ
ภาคภมู ิใจ ท่ีจะร่วมแรงร่วมใจสืบสานต่อไปในอนาคต เชน่ โบราณสถาน โบราณวัตถุ สถาปัตยกรรม
ประเพณีไทย การมีน้ำใจ ศักยภาพในการประสานผลประโยชน์ เป็นต้น ภูมิปัญญาไทยจึงมีคุณค่า
และความสำคญั ดงั น้ี๖๐
๑. ภมู ปิ ญั ญาไทยช่วยสรา้ งชาตใิ ห้เป็นปึกแผน่
พระมหากษัตริย์ไทยได้ใช้ภูมิปัญญาในการสร้างชาติ สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่
ประเทศชาติมาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยพอ่ ขนุ รามคำแหงมหาราช พระองคท์ รงปกครองประชาชน ด้วย
พระเมตตา แบบพ่อปกครองลูก ผู้ใดประสบความเดือดร้อน ก็สามารถตีระฆงั แสดงความเดือดรอ้ น
เพื่อขอรับพระราชทานความช่วยเหลือ ทำให้ประชาชนมีความจงรกั ภกั ดีตอ่ พระองค์ ต่อประเทศชาติ
ร่วมกันสร้างบ้านเรือนจนเจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงใช้ภูมิ
ปัญญากระทำยุทธหัตถี จนชนะข้าศึกศัตรู และทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทยคืนมาได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน พระองค์ทรงใช้ภูมิปัญญาสร้าง
คุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ และเหล่าพสกนิกรมากมายเหลือคณานับ ทรงใช้พระปรีชาสามารถ
แกไ้ ขวิกฤตการณท์ างการเมือง ภายในประเทศ จนรอดพ้นภยั พบิ ตั ิหลายครงั้ พระองค์ทรงมพี ระปรีชา
สามารถหลายด้าน แม้แต่ด้านการเกษตร พระองค์ได้พระราชทานทฤษฎีใหม่ให้แก่พสกนิกร ทั้งด้าน
การเกษตรแบบสมดุลและยั่งยนื ฟื้นฟูสภาพแวดล้อม นำความสงบรม่ เยน็ ของประชาชนให้กลับคืนมา
แนวพระราชดำริ "ทฤษฎใี หม่" แบง่ ออกเป็น ๓ ขน้ั โดยเรม่ิ จาก ข้ันตอนแรก ให้เกษตรกรรายยอ่ ย "มี
พออยูพ่ อกิน" เป็นข้ันพน้ื ฐาน โดยการพฒั นาแหลง่ นำ้ ในไร่นา ซงึ่ เกษตรกรจำเป็นท่ีจะต้องไดร้ ับความ
ช่วยเหลือจากหน่วยราชการ มูลนิธิ และหน่วยงานเอกชน ร่วมใจกันพัฒนาสังคมไทย ในขั้นที่สอง
เกษตรกรต้องมีความเข้าใจ ในการจัดการในไรน่ าของตน และมีการรวมกลุม่ ในรูปสหกรณ์ เพื่อสรา้ ง
ประสิทธิภาพทางการผลิต และการตลาด การลดรายจ่ายด้านความเป็นอยู่ โดยทรงตระหนักถึง
บทบาทขององค์กรเอกชน เมื่อกลุม่ เกษตรววิ ฒั นม์ าข้ันท่ี ๒ แลว้ กจ็ ะมีศักยภาพ ในการพัฒนาไปสู่ขั้น
ที่สาม ซึ่งจะมีอำนาจในการต่อรองผลประโยชน์กับสถาบันการเงินคือ ธนาคาร และองค์กรที่เป็น

๖๐ การจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่น, คุณค่าและความสำคัญของภูมิปัญญาไทย, (กรุงเทพมหานคร : โรง
พมิ พค์ รุ ุสภา, ๒๕๔๕), หนา้ ๒๖.

๖๔

เจ้าของแหลง่ พลงั งาน ซ่ึงเป็นปัจจยั หน่งึ ในการผลติ โดยมกี ารแปรรปู ผลติ ผล เชน่ โรงสี เพ่ือเพมิ่ มลู ค่า
ผลิตผล และขณะเดียวกันมกี ารจัดตั้งร้านค้าสหกรณ์ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อันเป็นการ
พัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในสังคม จะเห็นได้ว่า มิได้ทรงทอดทิ้งหลักของความสามัคคีในสังคม
และการจัดตั้งสหกรณ์ ซึ่งทรงสนบั สนนุ ใหก้ ลุ่มเกษตรกรสร้างอำนาจต่อรองในระบบเศรษฐกิจ จงึ จะมี
คุณภาพชีวิตที่ดี จึงจัดได้ว่า เป็นสังคมเกษตรที่พัฒนาแล้ว สมดังพระราชประสงค์ที่ทรงอุทิศพระ
วรกาย และพระสตปิ ัญญา ในการพฒั นาการเกษตรไทยตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์

๒. สร้างความภาคภูมิใจ และศักดิศ์ รี เกียรติภมู ิแก่คนไทย
คนไทยในอดีตที่มีความสามารถปรากฏในประวัติศาสตร์มีมาก๖๑ เป็นที่ยอมรับของนานา
อารยประเทศ เช่น นายขนมต้มเปน็ นกั มวยไทย ทมี่ ีฝมี ือเก่งในการใช้อวยั วะทุกส่วน ทุกท่าของแม่ไม้
มวยไทย สามารถชกมวยไทย จนชนะพม่าได้ถงึ เกา้ คนสบิ คนในคราวเดยี วกัน แมใ้ นปจั จุบนั มวยไทยก็
ยังถือว่า เป็นศิลปะชั้นเยี่ยม เป็นที่ นิยมฝึกและแข่งขันในหมู่คนไทยและชาวตา่ ง ประเทศ ปัจจุบันมี
ค่ายมวยไทยทั่วโลกไม่ต่ำกว่า ๓๐,๐๐๐ แห่ง ชาวต่างประเทศที่ได้ฝึกมวยไทย จะรู้สึกยินดีและ
ภาคภูมิใจ ในการที่จะใช้กติกา ของมวยไทย เช่น การไหว้ครูมวยไทย การออก คำสั่งในการชกเป็น
ภาษาไทยทุกคำ เช่น คำว่า "ชก" "นบั หนึง่ ถึงสิบ" เปน็ ตน้ ถือเป็นมรดก ภมู ปิ ญั ญาไทย นอกจากน้ี ภูมิ
ปัญญาไทยที่โดด เด่นยังมีอีกมากมาย เช่น มรดกภูมิปัญญาทาง ภาษาและวรรณกรรม โดยที่มี
อกั ษรไทยเป็นของ ตนเองมาตงั้ แตส่ มัยกรุงสโุ ขทัย และวิวฒั นาการมาจนถึงปัจจุบัน วรรณกรรมไทย
ถือว่า เป็นวรรณกรรมที่มีความไพเราะ ได้อรรถรสครบทุกด้าน วรรณกรรมหลายเรื่องได้รับการแปล
เป็นภาษาต่างประเทศหลายภาษา ด้านอาหาร อาหารไทยเป็นอาหารที่ปรุงง่าย พืชที่ใช้ประกอบ
อาหารสว่ นใหญ่เป็นพืชสมนุ ไพร ทห่ี าไดง้ ่ายในท้องถ่ิน และราคาถกู มี คุณคา่ ทางโภชนาการ และยัง
ป้องกนั โรคได้หลายโรค เพราะส่วนประกอบส่วนใหญ่เปน็ พืชสมุนไพร เชน่ ตะไคร้ ขิง ขา่ กระชาย ใบ
มะกรดู ใบโหระพา ใบกะเพรา เป็นต้น
๓. สามารถปรับประยุกต์หลกั ธรรมคำสอนทางศาสนาใชก้ บั วถิ ีชีวิตไดอ้ ย่างเหมาะสม
คนไทยส่วนใหญน่ ับถือศาสนาพทุ ธ โดยนำหลกั ธรรมคำสอนของศาสนา มาปรบั ใช้ในวิถีชีวิต
ได้อย่างเหมาะสม ทำให้คนไทยเปน็ ผู้ออ่ นนอ้ มถ่อมตน เออื้ เฟื้อเผื่อแผ่ ประนีประนอม รกั สงบ ใจเย็น
มคี วามอดทน ใหอ้ ภยั แกผ่ ู้สำนึกผิด ดำรงวถิ ชี ีวิตอยา่ งเรยี บง่าย ปกติสขุ ทำใหค้ นในชุมชนพึ่งพากันได้
แม้จะอดอยากเพราะ แห้งแล้ง แต่ไม่มีใครอดตาย เพราะพึ่งพาอาศัย กัน แบ่งปันกันแบบ "พริกบา้ น
เหนอื เกลือบา้ นใต"้ เป็นตน้ ทง้ั หมดนีส้ ืบเนอื่ งมาจากหลกั ธรรมคำสอนของพระพทุ ธศาสนา เปน็ การใช้
ภูมิปัญญา ในการนำเอาหลักของพระพุทธศาสนามา ประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวนั และดำเนินกุศโล
บาย ด้านต่างประเทศ จนทำใหช้ าวพุทธทัว่ โลกยกย่อง ใหป้ ระเทศไทยเปน็ ผู้นำทางพุทธศาสนา และ
เป็น ท่ีตง้ั สำนกั งานใหญอ่ งคก์ ารพทุ ธศาสนิกสมั พันธ์ แห่งโลก (พสล.) อยเู่ ยอ้ื งๆ กับอุทยานเบญจสิริ
กรุงเทพมหานคร โดยมีคนไทย (ฯพณฯ สัญญา ธรรมศักดิ์ องคมนตรี) ดำรงตำแหน่งประธาน พสล.
ตอ่ จาก ม.จ.หญิงพนู พศิ มยั ดิศกลุ

๖๑ การจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่น, คุณค่าและความสำคัญของภูมิปัญญาไทย, (กรุงเทพมหานคร : โรง

พมิ พค์ รุ ุสภา, ๒๕๔๕), หน้า ๒๖.

๖๕

๔. สรา้ งความสมดลุ ระหว่างคนในสังคม และธรรมชาตไิ ด้อยา่ งยง่ั ยืน
ภูมิปัญญาไทยมีความเดน่ ชัดในเรื่องของการยอมรับนับถือ และให้ความสำคัญแก่คน สังคม
และธรรมชาติอย่างยิ่ง มีเครื่องช้ีที่แสดงใหเ้ ห็นได้อย่างชัดเจนมากมาย เช่น ประเพณีไทย ๑๒ เดือน
ตลอดทั้งปี ล้วนเคารพคุณค่าของธรรมชาติ ได้แก่ ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีลอยกระทง เป็นต้น
ประเพณีสงกรานต์เป็นประเพณีที่ทำใน ฤดูร้อนซึ่งมีอากาศร้อน ทำให้ต้องการความเยน็ จึงมีการรด
นำ้ ดำหวั ทำความสะอาดบ้านเรอื น และธรรมชาติส่ิงแวดลอ้ ม มีการแหน่ างสงกรานต์ การทำนายฝน
วา่ จะตกมากหรอื น้อยในแต่ละปี ส่วนประเพณีลอยกระทง คุณคา่ อย่ทู ี่การบูชา ระลกึ ถงึ บญุ คณุ ของน้ำ
ทหี่ ลอ่ เลย้ี งชีวติ ของ คน พชื และสัตว์ ให้ได้ใชท้ ง้ั บรโิ ภคและอุปโภค ในวนั ลอยกระทง คนจึงทำความ
สะอาดแม่น้ำ ลำธาร บูชาแม่นำ้ จากตัวอย่างข้างต้น ล้วนเป็น ความสัมพันธร์ ะหวา่ งคนกบั สังคมและ
ธรรมชาติ ทั้งส้นิ ในการรักษาปา่ ไมต้ น้ นำ้ ลำธาร ไดป้ ระยกุ ตใ์ หม้ ีประเพณกี ารบวชป่า ให้คนเคารพสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ ธรรมชาติ และสภาพแวดล้อม ยังความอุดมสมบูรณ์แก่ต้นน้ำ ลำธาร ให้ฟื้นสภาพกลับคนื
มาได้มาก อาชพี การเกษตรเปน็ อาชีพหลกั ของคนไทย ท่คี ำนงึ ถึงความสมดุล ทำแตน่ ้อยพออยู่พอกิน
แบบ "เฮ็ดอยู่เฮ็ดกิน" ของพ่อทองดี นันทะ เมื่อเหลือกนิ ก็แจกญาติพี่น้อง เพื่อนบา้ น บ้านใกล้เรอื น
เคียง นอกจากนี้ ยังนำไปแลกเปล่ียนกับสิง่ ของอย่างอ่ืน ที่ตนไม่มี เมื่อเหลือใช้จริงๆ จึงจะนำไปขาย
อาจกล่าวได้ว่า เป็นการเกษตรแบบ "กิน-แจก-แลก-ขาย" ทำให้คนในสังคมได้ช่วยเหลือเกื้อกูล
แบ่งปันกัน เคารพรัก นับถือ เป็นญาติกัน ทั้งหมู่บ้าน จึงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีความสัมพันธ์กัน
อยา่ งแนบแน่น ธรรมชาตไิ ม่ถูกทำลายไปมากนัก เนื่องจากทำพออยูพ่ อกนิ ไม่โลภมากและไม่ทำลาย
ทกุ อยา่ งผดิ กบั ในปจั จบุ ัน ถอื เปน็ ภูมิปญั ญาทสี่ ร้างความ สมดุลระหว่างคน สังคม และธรรมชาติ ๖๒
๕. เปลี่ยนแปลงปรับปรุงได้ตามยคุ สมัย
แมว้ ่ากาลเวลาจะผ่านไป ความรู้สมยั ใหม่ จะหลัง่ ไหลเข้ามามาก แตภ่ ูมิปญั ญาไทย กส็ ามารถ
ปรับเปลยี่ นให้เหมาะสมกับยคุ สมยั เชน่ การรู้จักนำเครอ่ื งยนต์มาติดต้งั กับเรือ ใส่ใบพัด เป็นหางเสือ
ทำให้เรือสามารถแล่นได้เร็วข้ึน เรียกว่า เรือหางยาว การรู้จักทำการเกษตรแบบผสมผสาน สามารถ
พลิกฟื้นคืนธรรมชาติให้ อุดมสมบูรณ์แทนสภาพเดิมที่ถูกทำลายไป การรู้จักออมเงิน สะสมทุนให้
สมาชกิ กยู้ มื ปลดเปลอื้ งหนี้สนิ และจดั สวสั ดกิ ารแก่สมาชิก จนชมุ ชนมีความมั่นคง เขม้ แข็ง สามารถ
ชว่ ยตนเองได้หลายร้อยหมู่บา้ นท่ัวประเทศ เชน่ กลมุ่ ออมทรัพย์คีรีวง จงั หวดั นครศรธี รรมราช จัดใน
รูปกองทุนหมุนเวียนของชุมชน จนสามารถชว่ ยตนเองได้ เมอื่ ปา่ ถูกทำลาย เพราะถกู ตดั โค่น เพอื่ ปลูก
พืชแบบเดี่ยว ตามภมู ปิ ญั ญาสมัยใหม่ ทห่ี วงั รำ่ รวย แตใ่ นทส่ี ุด ก็ขาดทนุ และมีหนส้ี ิน สภาพแวดล้อม
สญู เสียเกิดความแหง้ แล้ง คนไทยจึงคิดปลกู ป่า ทก่ี นิ ได้ มพี ืชสวน พืชปา่ ไม้ผล พืชสมุนไพร ซง่ึ สามารถ
มีกินตลอดชีวิตเรียกว่า "วนเกษตร" บางพื้นที่ เมื่อป่าชุมชนถูกทำลาย คนในชุมชนก็รวมตวั กนั เป็น
กลุ่มรักษาป่า ร่วมกันสร้างระเบียบ กฎเกณฑ์กันเอง ให้ทุกคนถือปฏบิ ัติได้ สามารถรักษาปา่ ได้อยา่ ง
สมบูรณ์ดงั เดิม เมื่อปะการังธรรมชาติถกู ทำลาย ปลาไม่มที ีอ่ ยู่อาศัย ประชาชนสามารถสร้าง "อูหยัม"

๖๒ การจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่น, คุณค่าและความสำคัญของภูมิปัญญาไทย, (กรุงเทพมหานคร : โรง
พิมพค์ ุรสุ ภา, ๒๕๔๕), หน้า ๒๘.

๖๖

ขนึ้ เปน็ ปะการังเทียม ใหป้ ลาอาศัยวางไข่ และแพร่พันธ์ุให้เจริญเติบโต มีจำนวนมากดังเดมิ ได้ ถอื เปน็
การใชภ้ ูมิปญั ญาปรบั ปรงุ ประยกุ ตใ์ ช้ได้ตามยคุ สมยั

2.๗.๑๗ ภูมิปญั ญาท้องถนิ่ ในลา้ นนา: องค์ความรู้ทม่ี คี ณุ ค่าและประโยชนต์ อ่ สังคมไทย
คนไทยไดส้ ร้างชาติ สรา้ งความเปน็ ปึกแผ่นมั่นคงของบ้านเมือง มกี ารดำรงชีวิตด้วยความสุข
ร่มเย็นอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะได้ใช้ภูมิปัญญาของตนมาตลอด ภูมิปัญญาไทยจึงมีความสำคัญ
อย่างยงิ่ ซึง่ พอจะสรุปไดด้ งั น้ี๖๓
-ช่วยสรา้ งชาตใิ หเ้ ปน็ ปึกแผ่นมน่ั คง
- สร้างความภาคภมู ใิ จและศกั ดศ์ิ รีเกยี รติภูมแิ ก่คนไทย
- สามารถปรับ ประยกุ ต์หลกั ธรรมคำสอนทางศาสนาใชก้ ับชวี ติ ไดอ้ ย่างเหมาะสม
- สรา้ งความสมดุลระหว่างคนกับสังคมและธรรมชาติได้อย่างยงั่ ยนื
- ช่วยเปล่ยี นแปลงปรับปรงุ วถิ ีชวี ติ ของคนไทยใหเ้ หมาะสมไดต้ ามยุค
ประกอบ ใจมั่น ไดก้ ล่าวถึงความสำคัญของภมู ปิ ัญญาท้องถิ่นไว้ดังน้ี คอื
-ชว่ ยใหส้ มาชกิ ในชมุ ชน หมบู่ า้ นดำรงชีวิตอย่รู ว่ มกันไดอ้ ย่างสงบสขุ
-ช่วยสรา้ งความสมดลุ ระหวา่ งคนกับธรรมชาติแวดล้อม
-ช่วยให้ผู้คนดำรงตนและปรับเปลี่ยนทันต่อความเปลี่ยนแปลงและผลกระทบอันเกิดจาก
สังคมภายนอก
- เป็นประโยชน์ต่อการทำงานพัฒนาชนบทของเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อที่จะได้
กำหนดทา่ ทีการทำงานใหก้ ลมกลนื กบั ชาวบา้ นมากย่งิ ขึ้น
นธิ ิ เอี่ยวศรวี งศ์ ไดแ้ บง่ ความสำคญั ของภูมิปญั ญาทอ้ งถ่ินไว้ 4 ประการ คือ
1.ความรู้และระบบความรู้ ภูมิปัญญาไม่ใช่สิ่งที่เกิดแวบขึ้นมาในหัว แต่เป็นระบบความรู้ท่ี
ชาวบ้าน มองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ เป็นระบบความรู้ที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ฉะนั้นใน
การศกึ ษาเขา้ ไปดูวา่ ชาวบ้าน “รอู้ ะไร” อย่างเดียวไม่พอต้องศกึ ษาดว้ ยว่าเขาเห็นความสัมพันธ์ของส่ิง
ตา่ งๆ เหลา่ นนั้ อย่างไร
2.การสั่งสมและการกระจายความรู้ ภูมิปัญญาเกิดจากการสั่งสม และกระจาย ความรู้
ความรู้นั้น ไม่ได้ลอยอยู่เฉย ๆ แต่ถูกนำมาบริการคนอื่น เช่น หมอพื้นบ้าน ชุมชน สั่งสมความรู้ทาง
การแพทย์ไว้ในตัวคน ๆ หนึ่ง โดยมีกระบวนการที่ทำให้เขาสั่งสมความรู้ เราควรศึกษาด้วยว่า
กระบวนการน้เี ปน็ อย่างไร หมอคนหน่งึ สามารถสร้างหมอคนอนื่ ตอ่ มาไดอ้ ยา่ งไร
3. การถา่ ยทอดความรภู้ ูมิปญั ญาชาวบา้ น ไมไ่ ด้มสี ถาบันถา่ ยทอดความรูแ้ ต่มกี ระบวนการ
ถา่ ยทอดที่ ซบั ซอ้ น ถา้ เราต้องการเขา้ ใจภมู ิปญั ญาท้องถิน่ เราตอ้ งเขา้ ใจกระบวนการถ่ายทอดความรู้
จากคนรุ่นหนง่ึ ไปสู่คนอกี รุน่ หนง่ึ ดว้ ย

๖๓ การจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่น, คุณค่าและความสำคัญของภูมิปัญญาไทย, (กรุงเทพมหานคร : โรง
พมิ พค์ รุ ุสภา, ๒๕๔๕), หน้า ๒๖.

๖๗

4.การสร้างสรรค์และปรับปรุง ระบบความรู้ของชาวบ้านไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่แต่ถูก
ปรับเปลี่ยน ตลอดมา โดยอาศัยประสบการณ์ของชาวบ้านเอง เรายังขาดการศึกษาว่าชาวบ้าน
ปรบั เปลย่ี นความรู้ และระบบความรเู้ พ่ือเผชญิ กบั ความเปลย่ี นแปลงอยา่ งไร

๒.๒.๑๗ ความสำคญั ของภมู ิปญั ญาท้องถน่ิ
ภูมิปัญญาท้องถิ่น เกิดจากการสืบสาน สืบทอดประสบการณ์จากรุ่นถึงรุ่น เป็นมรดกทาง
วฒั นธรรมที่สั่งสมกันมาเป็นเวลานาน ถา้ ถูกละเลย ขาดการยอมรบั และถูกทำลายลง กจ็ ะสญู หายไป
ไร้ซึ่งภูมิปัญญาของตนเอง ทำให้คนในท้องถิ่นไม่มีศักดิ์ศรี ขาดความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตน
ดังนั้นภูมิปัญญาท้องถิ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งนึกการศึกษาหน่วยงาน ได้กล่าวถึงความสำคัญของภูมิ
ปัญญาทอ้ งถนิ่ หรือภมู ิปัญญาชาวบา้ น ไว้ดังนี้
ยุพา ทรัพย์อุไรรัตน์ กล่าวถึง ความสำคัญของภูมิปัญญาชาวบ้านว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน
เป็นวัฒนธรรมและประเพณี วิถีชีวิตแบบดั้งเดิม เป็นตัวกำหนดคุณลักษณะของสังคม เป็นสิ่งที่มี
จุดหมาย เป็นวิ่งสำคัญ มีความหมายและคุณค่าต่อการดำรงอยู่ร่วมกันที่จะช่วยให้สมาชิกในชุมชน
หมู่บ้าน ดำรงชีวิตอยูร่ ่วมกนั ได้อย่างสงบสุข ช่วยสร้างความสมดุล ระหว่างคนกบั ธรรมชาติแวดล้อม
ทำให้ผู้คนดำรงตนและปรับเปลี่ยนได้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงและผลกระทบอันเกิดจากสังคม
ภายนอกและเป็นประโยชน์ต่อการทำงานพัฒนาชนบท ของเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆทั้งนี้เพือ่
เป็นการกำหนดท่าทีในการทำงานให้กลมกลนื กบั ชาวบา้ นไดม้ ากย่งิ ขึ้น๖๔
ประกอบ ใจมัน่ ได้กล่าวถงึ ความสำคญั ของภูมิปัญญาชาวบ้าน คือ
- ช่วยใหส้ มาชิกในชมุ ชน หมบู่ า้ น ดำรงชีวิตอย่รู ่วมกันไดอ้ ยา่ งมีความสขุ
- ช่วยสร้างความสมดลุ ระหวา่ งคนกบั ธรรมชาติแวดล้อม
- ช่วยให้ผู้คนดำรงตนและปรับเปลี่ยนทันต่อความเปลี่ยนแปลง และผลกระทบอันเกิดจาก
สงั คมภายนอก เป็นประโยชนต์ ่อการทำงานพัฒนาชนบทของเจ้าหนา้ ทีจ่ ากหน่วยงานตา่ งๆเพ่อื ท่ีจะได้
กำหนดทา่ ทกี ารทำงานให้กลมกลืนกบั ชาวบ้านมากยิ่งขึ้น๖๕
นันทสาร สีสลบั ได้กล่าวถึงความสำคัญของภูมิปญั ญาไทย ดงั นี้
- ภูมิปญั ญาไทยชว่ ยสร้างชาตใิ หเ้ ปน็ ปกึ แผ่น
- สร้างความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีเกยี รตภิ ูมิแกค่ นไทย
- สามารถปรับประยกุ ตห์ ลกั ธรรมคำสอนทางศาสนาใชก้ บั วิถีชีวิตไดอ้ ย่างเหมาะสม
- สร้างความสมดลุ ระหว่างคนในสงั คมและธรรมชาติไดอ้ ย่างยั่งยืน เปลี่ยนแปลงปรับปรงุ ได้
ตามยคุ สมยั

๖๔ ยุพา ทรัพย์อุไรรัตน์, ความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภา,
๒๕๔๕), หน้า ๒๗.

๖๕ นันทสาร สีสลับ, ความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภา, ๒๕๔๕),
หน้า ๒๖.

๖๘

รุ่ง แก้วคง กล่าวถึงความสำคญั ของภูมิปญั ญาไทยว่า ภมู ิปัญญาไทยไดช้ ่วยสร้างชาติให้เป็น
ปึกแผน่ สร้างศกั ดศ์ิ รแี ละเกียรติภมู แิ กค่ นไทย ทำใหบ้ รรพบุรุษของเราไดด้ ำรงชีวติ อยู่บนผืนแผ่นดินน้ี
มาอย่างสงบสุขเป็นเวลายาวนาน แม้ว่าภูมิปัญญาส่วนหนึ่งจะสูญหายไป แต่ยังมีบางส่วนหลงเหลอื
เปน็ มรดกอนั ล้ำคา่ อย่คู ่กู ับสังคมไทยมาโดยตลอด๖๖

จากความสำคัญท่ีกลา่ วมา สรุปได้วา่ ภูมปิ ญั ญาท้องถ่ินมคี วามสำคัญ เปน็ มรกดท่ีบรรพบุรุษ
ในอดตี ไดส้ ง่ั สม สรา้ งสรรค์ สบื ทอดภมู ปิ ญั ญามาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง สบื สานเรือ่ งราวอนั ทรงคุณค่ามากมาย
ส่งผลให้คนในชาติเกิดความรัก ความภาคภูมิใจและร่วมแรงร่วมใจสืบสานต่อๆกันมาและต่อไปใน
อนาคต ภูมิปญั ญาท้องถนิ่ จึงเปน็ ส่งิ ที่มีคณุ คา่ และมคี วามสำคัญยิ่ง

จากการศึกษาการสร้างนวตั กรรมบลอ็ กเครื่องตดั เอนกประสงค์ภมู ิปัญญาท้องถ่ิน ล้านนาเป็น
คำเรยี กกลุม่ บ้านเมอื งทมี่ พี ัฒนาการทางประวัติศาสตร์ในเขตภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยต้ังแต่
ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา ศูนย์กลางของล้านนาคือ เมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่
หรอื เมืองเชยี งใหม่ ตงั้ อยู่เชิงดอยสุเทพ เอกสารจนี เรียกล้านนาวา่ อาณาจกั รปาไป่สฟี ู (Pa-Pai-Hsi-
Fu) และระบุว่าอาณาจักรปาไป่สีฟูมีอาณาเขตทางทิศเหนอื จรดแคว้นเชอหลี่หรือสิบสองปันนา ทิศ
ตะวันออกจรดแม่นำ้ โขง ทศิ ตะวันตกจรดแม่นำ้ สาละวนิ และทิศใต้จรดเมอื งสวรรคโลก คำวา่ ล้านนา
ปรากฏอยู่ในหลักฐานประวัตศิ าสตรห์ ลายชิ้น ได้แก่ จารึกวัดเชียงสา (จังหวัดเชียงราย) พ.ศ.๒๐๙๖
เรียกดินแดนนี้ว่า ล้านนา ตำนานพระยาเจื๋อง เรียก เมืองเงินยางเขตตทสลขราชธานี (เขตตทสลข
แปลว่า สบิ แสนนา หรอื ล้านนา) พงศาวดารโยนก และ โคลงมังทราตเี ชยี งใหม่ เรยี กว่า ล้านนา โคลง
นริ าศหรภิ ญุ ไชย ก็ปรากฏคำว่า ปิน่ ทศลักษณ์ เลศิ หลา้ และ/หรือ จอมจนั ทศรกั เลิศหล้า ซึ่งหมายถึง
ล้านนา เชน่ กนั นอกจากนี้ในปี พ.ศ.๒๓๙๖ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั พระราชทานนาม
เจ้านครเชยี งใหม่ องิ กับช่อื แควน้ ลา้ นนาแต่โบราณว่า “เจา้ กาวโิ ลรสสุริยวงศ์ดำรง นพีสีนครสุนทร
ทศลกั ษณ์เกษตร ชาวล้านนาเรยี กตวั เองว่า คนเมอื ง เรียกภาษาพูดวา่ คำเมอื ง แตบ่ างคร้ังนกั วชิ าการ
ก็เรียกชาวล้านนาว่า คนไทโยนก หรือ ไตยวน เป็นต้น กลุ่มชนที่ประกอบกันขึ้นเป็นชาวล้านนา
นอกจากชาวไทยวนแล้วยังจำแนกเป็นชาวไตใหญ่(ไทใหญ่หรือชาวเงี้ยว) ไตลื้อ ไตเขิน ไตยอง ลาว
และชนเผา่ อน่ื ๆด้วย ไดแ้ ก่ ข่า(ขมุ) ลัวะ ยาง(กะเหรย่ี งกล่มุ หน่ึง) ฯลฯ ประเภทของภูมิปัญญาท้องถ่ิน
ภาคเหนอื แบง่ ๔ กลุ่มกลุ่มท่ี ๑ คติ ความคดิ ความเช่ือ และหลกั การพน้ื ฐานขององคแ์ หง่ ความรู้ คือ
การประกอบพธิ ีกรรมต่าง ๆ โดยสามารถดำรงชีวิตอยูไ่ ด้ โดยการพึ่งพาธรรมชาติ ความคิดความเช่ือ
เหล่านี้จะนำมาสู่การพัฒนาชีวิตและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กลุ่มที่ ๒ ศิลปะวัฒนธรรมและ
ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี คือ ตัวชี้ลักษณะทีส่ ำคัญของการแสดงออกถึงภูมิปัญญาของแต่ละท้องถิ่น
ซ่ึงเป็นการแสดงถึงความเจรญิ งอกงามและความเปน็ ระเบียบของทอ้ งถ่ิน เป็นวถิ ีชีวิต ความเป็นอยู่ที่
ได้ถ่ายทอดสืบต่อกันมาเฉพาะกลุ่ม ได้แก่ ประเพณีต่างๆ กลุ่มที่ ๓ การประกอบอาชีพในแต่ละ
ท้องถิ่น คือ การประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก กลุ่มที่ 4 แนวความคิด หลักปฏิบัติและ
เทคโนโลยีสมัยใหม่และแต่ละประเภทของภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นอิทธิพลของ ความก้าวหน้าทาง

๖๖ รุ่ง แก้วคง, ความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภา, ๒๕๔๕),

หนา้ ๑๒๗.

๖๙

วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี วัฒนธรรมในทอ้ งถน่ิ ของภาคเหนอื แบ่งออกได้ดงั น้ี วัฒนธรรมทางภาษา
ถิ่น ชาวไทยทางภาคเหนอื มีภาษาล้านนาที่นุ่มนวลไพเราะ ซึง่ มภี าษาพูดและภาษาเขยี นทีเ่ รยี กว่า "คำ
เมือง" ของภาคเหนือเอง โดยการพูดจะมีสำเนียงที่แตกต่างกันไปตามพื้นที่ ปัจจุบันยังคงใช้พูด
ตดิ ตอ่ สอื่ สารกนั วัฒนธรรมการแต่งกาย การแตง่ กายพ้ืนเมืองของภาคเหนอื มีลักษณะแตกต่างกันไป
ตามเชื้อชาติของกลุ่มชนคนเมือง เนื่องจากผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งบ่งบอก
เอกลักษณ์ของแต่ละพื้นถิ่น วัฒนธรรมการกิน ชาวเหนือมีวัฒนธรรมการกินคล้ายกับคนอีสาน คือ
กินข้าวเหนียวและปลาร้า ซึ่งภาษาเหนือเรียกว่า ข้าวนิ่งและฮ้า ส่วนกรรมวิธีการปรุงอาหารของ
ภาคเหนือจะนิยมการต้ม ป้ิง แกง หมก ไมน่ ยิ มใช้น้ำมัน วฒั นธรรมทเ่ี กีย่ วกับศาสนา ความเช่ือ ชาว
ล้านนามีความผูกพันอยกู่ บั การนับถือผซี ่ึงเชื่อว่ามีส่ิงเร้าลับให้ความคุ้มครองรักษาอยู่ ซ่ึงสามารถพบ
เห็นไดจ้ ากการดำเนนิ ชีวิตประจำวนั เชน่ เมื่อเวลาท่ีต้องเข้าป่าหรอื ต้องค้างพกั แรมอยู่ในป่า จะนิยม
บอกกล่าวและขออนุญาตเจ้าที่-เจ้าทางอยู่เสมอ ประเพณีของภาคเหนือ เกิดจากการผสมผสานการ
ดำเนินชีวิต และศาสนาพุทธความเชื่อเรื่องการนับถือผี ส่งผลทำให้มีประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของ
ประเพณีที่จะแตกต่างกันไปตามฤดูกาล ทั้งนี้ ภาคเหนือจะมีงานประเพณีในรอบปีแทบทุกเดือน
คุณค่าของภูมิปัญญาไทย ได้แก่ ประโยชน์ และความสำคัญของภูมิปัญญา ที่บรรพบุรุษไทย ได้
สร้างสรรค์ และสืบทอดมาอย่างตอ่ เนื่อง จากอดีตสู่ปัจจุบัน ทำให้คนในชาติเกิดความรัก และความ
ภาคภมู ิใจ ทจี่ ะรว่ มแรงร่วมใจสืบสานต่อไปในอนาคต เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุ สถาปัตยกรรม
ประเพณีไทย การมีน้ำใจ ศักยภาพในการประสานผลประโยชน์ เป็นต้น ภูมิปัญญาท้องถิ่นมี
ความสำคัญ เปน็ มรกดท่บี รรพบุรุษในอดีตได้สั่งสม สร้างสรรค์ สบื ทอดภมู ปิ ญั ญามาอย่างต่อเน่ือง
สบื สานเรอื่ งราวอนั ทรงคุณค่ามากมาย ส่งผลให้คนในชาติเกิดความรกั ความภาคภมู ใิ จและร่วมแรง
รว่ มใจสืบสานต่อๆกันมา

๒.๗ งานวิจัยทเ่ี กยี่ วข้อง

2.๗.1 พันเอก บุญยัง ศรีสมพงษ ในวิทยานพิ นธเรื่อง“การศกึ ษาบทบาทในการสอนธรรม
ของอนุศาสนาจารยกองทัพบก” ไดผลการวิจัยวา สังคมไทยทั่วไปสวนมากจะรูจักบทบาทหนาที่
ของอนุศาสนาจารย โดยเฉพาะในดานการอบรม บรรยายธรรม และการเปนพธิ กี รตามงานพิธีสําคัญ
ทางพระพุทธศาสนาตางๆ เชน พิธีมาฆบูชา พิธีวิสาขบูชา พิธีอาสาฬหบูชา และพิธีทําบุญ หรือ
ประชุมสมั มนาที่เก่ียวกับพระพุทธศาสนา อดตี อนุศาสนาจารยทหารบกที่ชาวไทยรูจักชื่อเสียงเกียรติ
คุณมากที่สุด ไดแก พันเอก ปน มุทุกันต ทานมีผลงานดานการประพันธหรือแตงหนังสือธรรมมาก
ผลงานของทานเปนที่รูจักและเปนที่นิยมชมชอบของนักการศาสนาและประชาชนทุกหมู เหลา
ดานการบรรยายธรรมทางสถานีวิทยุกระจายเสียง ก็มีประชาชนนิยมติดตามฟ งผลงานของทาน
ไมนอยไปกวางานการประพนั ธ๖๗

๖๗ พันเอก บุญยัง ศรีสมพงษ, “การศกึ ษาบทบาทในการสอนธรรมของอนศุ าสนาจารยกองทพั บก”,
วิทยานพิ นธศาสนาศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๔๓).

๗๐

2.๗.2 แกมกาญจน์ พิทักษ์วงศ์ ในวิทยานิพนธเรื่อง “ปริจเฉทการพูดของมัคนายก
ในวัดพระอารามหลวงจังหวัดนครปฐม : การศึกษาตามแนวชาติพันธุ์วรรณนาแห่งการสื่อสาร”
ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบการสื่อสารทุกองค์ประกอบมีส่วนสัมพันธ์กันที่ทำให้การเชิญชวน
เกิดขึ้นในชุมชนนี้ได้กล่าวคือฉากของปริจเฉทนี้เป็นพื้ นที่ที่มีความเชื่อว่าเป็นสถาน ที่ศักดิ์ สิ ทธิ์
เป็นสถานท่ีท่ีพทุ ธศาสนิกชนปรารถนาจะมาทำสงิ่ ดี ๆ ทเ่ี ปน็ กุศล ผูร้ ่วมเหตุการณซ์ ง่ึ เป็นผ้สู ง่ สารอยา่ ง
มัคนายก จึงเป็นผู้ท่ีได้โอกาสพดู เชิญชวนใหค้ นไดร้ ่วมทำบุญอย่างไม่จำกัดโดยมีบรรทัดฐานของการ
ปฏิสัมพันธ์ที่ผู้ส่งสารและผู้รับสารยินยอมให้เกิดบรรยากาศที่เป็นกันเอง ใกล้ชิด และมีบรรทัดฐาน
ของการตีความของคนในชุมชนนี้ว่ามัคนายกได้รับสิทธิ์อันชอบธรรมในการพูดเชิญชวน มีบทบาท
สำคัญที่น่าเชื่อถือ และผู้รับสารก็ยินยอมให้เชิญชวนได้โดยไมร่ ู้สึกว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
เพราะเชื่อว่าการทำบุญเป็นเรื่องที่ดีที่คนในสังคมยอมรับ๖๘ การชักชวนกันทำสิ่งที่ดีจึงเป็นเรื่องที่ดี
โดยมีมัคนายกเป็นสื่อกลางในการนำบุญนั้นมาให้ด้านจุดมุ่งหมายในการสื่อสารนี้ทั้ง“ผู้ร่วม
เหตุการณ์” ซึ่งหมายถงึ ผู้ส่งสารและผู้รับสาร ต่างมีจุดมุ่งหมายทีส่ อดคล้องกัน นั่นคือการมารว่ มกนั
ทำบุญ ผูร้ ับสารไดท้ ำเพ่ือความสบายใจของตนเอง ในขณะเดยี วกนั ผ้พู ูดเชญิ ชวนกบ็ รรลุวัตถุประสงค์
ในการเชิญชวน จากการเก็บขอ้ มูลยังพบว่าในบรบิ ทชองชมุ ชนวฒั นธรรมการส่อื สารนี้ผู้ส่งสารเลือกใช้
เครื่องมือในการสื่อสารคือการพูดสดและใช้กลวิธีทางภาษาเพื่อโน้มน้าวใจ เช่น การเล่าเรื่องการ
เลือกใช้คำลงท้าย รวมถึงการเลอื กใช้น้ำเสียงที่อ่อนหวาน ไม่กระโชกโฮกฮากเป็นภาษาระดับกนั เอง
สนุกสนานและพยายามสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้รับสารสังเกตจากการที่มัคนายกใช้คำเรียกผู้ทำบุญทง้ั
การเรียกแบบสนิทสนมและการเรียกแบบใช้คำแสดงการยกย่อง รวมถึงการใช้คำหยอกเย้า ผู้ทำบุญ
เพื่อสร้างบรรยากาศความเป็นกันเองเป็นต้น พฤติกรรมทั้งหมดเกิดขึ้นบน “ฉาก” หรือสภาวะ
แวดลอ้ มทางกายภาพของเหตุการณ์สื่อสารท่ีเออื้ อำนวยให้การปฏิสมั พันธ์ระหว่างมคั นายกและ ผู้ทำ
บุญเปน็ ไปอย่างราบร่ืน

2.๗.3 จีรศักดิ์ ปันลำ ในวิทยานิพนธเรื่อง “รูปแบบและกระบวนการสร้างเครือข่าย
มัคนายกในการส่งเสริมการเรียนรู้พระพุทธศาสนาในล้านนา” ผลการวิจัยพบวา่ คนายกหรือปู่จ๋ารย์
แปลว่า ผู้นำทาง ผู้นำทางบุญทางกุศลเป็นหัวหน้าในศาสนพิธี เช่น อาราธนาศีล อาราธนาธรรม
กลา่ วนำถวาย ตามปกตจิ ะทำหน้าทปี่ ระจำทว่ี ัดใดวัดหนึง่ มกั จะเรยี กสับสนวา่ มรรคทายก ซึง่ หมายถึง
ผ้ใู ห้ทาง หรอื ผบู้ อกทาง มรรคนายก เปน็ อุบาสก จงึ ต้องมีคุณธรรมของอุบาสก ได้แก่ มศี รัทธา มีศีล
มีความประพฤติทางกาย วาจาที่เรียบร้อย เชื่อกรรมไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่แสวงหาบุญนอกเขต
ภายนอกหลักพระพทุ ธศาสนา ใหก้ ารอุปถัมภบ์ ำรุงพระพุทธศาสนา รูปแบบเครือข่ายของมรรคนายก
ในล้านนา ที่พบเห็นเป็นการรวมตัวแบบไม่เป็นทางการ แต่มีการนัดประชุมสามัญประจ ำปี
เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเครือข่าย ในด้านกระบวนการสร้างเครือข่ายของมัคนายก พบว่า
ประกอบด้วย ๖ ขั้นตอน คือ ๑) ขั้นตระหนักถึงความจ าเป็นในการสร้างเครือข่ายของมัคนายก

๖๘ แกมกาญจน์ พิทักษว์ งศ์ , “ปริจเฉทการพูดของมัคนายก ในวัดพระอารามหลวงจงั หวัดนครปฐม :

การศกึ ษาตามแนวชาตพิ ันธุว์ รรณนาแห่งการสื่อสาร”,วทิ ยานิพนธศาสนาศาสตรมหาบณั ฑิต, (บัณฑติ วิทยาลัย :

มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๖๐).

๗๑

๒) ขัน้ ประสานหนว่ ยงาน/องค์กรเครือข่ายของมคั นายก ๓) ข้ันสร้างพนั ธสญั ญารว่ มกนั ๔) ขัน้ บริหาร
จัดการเครือข่ายมัคนายก ๕) ขั้นพัฒนาความสัมพันธ์ และ ๖) ขั้นรักษาความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
ประสิทธิผลของการสรา้ งเครือข่าย มัคนายกที่เข้าร่วมต้องศรัทธาเครือข่ายด้วยความเต็มใจ สมาชิก
กลุ่มมัคนายกต้องยอมรับในวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ร่วมกัน กลุ่มมัคนายกต้องตระหนักถึง
ความสำคัญของเครอื ขา่ ยอยเู่ สมอ๖๙

2.๗.4 เจษฎา สอนบาลี ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง สถานภาพและบทบาทของน้อยและหนาน
ในสังคมล้านนา๗๐ พบว่า สถานภาพและบทบาทของน้อยและหนานในอดีตมีอยู่ ๖ ด้าน คือ
ด้านการเป็นผู้นำ ด้านการแพทย์แผนโบราณ ด้านงานช่าง “สล่า” ด้านศิลปะและการแสดง
ด้านการศึกษา ด้านพิธีกรรม โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ ป๎จจุบันเหลือเพียงด้านพธิ กี รรม โหราศาสตร์
ไสยศาสตร์ รูปแบบและวิธีการฟื้นฟูสถานภาพและบทบาท คือ การปรับปรุงตนเอง ศึกษาค้นคว้า
เพ่มิ เติม

2.๗.5 พระมหาจิตรกร นาถปุญฺโญ (ตาทลา) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ศึกษาวิเคราะห์บทบาท
ของปู่อาจารย์ในการส่งเสริมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา : ศึกษาเฉพาะกรณีอำเภอป่าซาง
จังหวัดลำปาง พบว่า มีบทบาทด้านถวายความอุปถมั ภ์พระสงฆ์ มีบทบาทด้านการชักชวนคนเข้าวัด
ฟังธรรม มบี ทบาทดา้ นการสนบั สนุนพระสงฆใ์ นการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา มีบทบาทดา้ นการปกป้อง
พระพุทธศาสนา มีบทบาทด้านพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาและมีบทบาททางสังคมอื่นๆ เช่น
เปน็ ผู้ประสานงานระหว่างวัด บ้าน โรงเรยี นและช่วยเหลอื ผปู้ ระสบภัย เปน็ ตน้ ๗๑

2.๗.6 พระสมุห์พรเทพ ภวธมฺโม (โตแย้ม) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง บทบาทการทำขวัญนาค
ในการเผยแผ่ธรรมะแก่ประชาชนของนายชินกร ไกรลาศ (ชิน ฝ้ายเทศ) พบว่า ในฐานะผู้ส่งสาร
(Source) มีลักษณะการส่อื สารแบบเหน็ หนา้ ค่าตา (face to face communication) โดยถา่ ยทอด
ผ่านสือ่ พ้ืนบา้ น (folk media) ดว้ ยวิธีการแหลร่ อ้ งและการบรรยายสอดแทรกเชื่อมโยง ในการเผยแผ่
ธรรมะแก่ประชาชนวัตถุประสงค์ด้านผู้ส่งสารได้แก่ การให้ข้อมูลเกี่ยวกับพิธีกรรมการท ำขวัญ
ใหค้ วามรเู้ ก่ยี วกับหลกั ธรรมทปี่ รากฏในการทำขวัญ โน้วน้าวให้ผฟู้ ง๎ เกดิ ศรทั ธาคล้อยตามคตคิ ำสอนใน
บทท าขวัญแล้วน าไปปฏิบัติตาม สร้างความพอใจและความบันเทิงแก่ผู้ฟ๎งในขณะร่วมพิธีได้รับ
ความรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมรู้จักใช้ความคิดพิจารณาอย่างมีเหตุผลตระหนักถึงความกตัญํูกตเวทิตาต่อ

๖๙ จีรศักดิ์ ปันลำ, “รูปแบบและกระบวนการสร้างเครือข่ายมัคนายกในการส่งเสริมการเรียนรู้
พระพุทธศาสนาในล้านนา”,วิทยานิพนธศาสนาศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง
กรณราชวิทยาลยั , ๒๕๖๐).

๗๐ เจษฎา สอนบาลี, “สถานภาพและบทบาทของน้อยและหนานในสังคมล้านนา”,วิทยานิพนธ
ศาสนาศาสตรมหาบณั ฑิต, (บัณฑติ วทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๖๐).

๗๑ พระมหาจิตรกร นาถปุญฺโญ (ตาทลา), “ศึกษาวิเคราะห์บทบาทของปู่อาจารย์ในการส่งเสริม
กิจกรรมทางพระพุทธศาสนา : ศึกษาเฉพาะกรณีอำเภอป่าซาง จังหวัดลำปาง”,วิทยานิพนธศาสนาศาสตรมหา
บณั ฑิต, (บัณฑติ วทิ ยาลยั : มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๐).

๗๒

บพุ การีและผู้มพี ระคุณมคี วามเล่ือมใสเปน็ การพฒั นาปญ๎ ญาและความคิดไปใชใ้ นชวี ิตประจำวันให้เกิด
ความสุขสงบในครอบครัวและสงั คมได้๗๒

2.๗.7 พระวิเชียรบุรี สติสมฺปนฺโน (ขวัญโพก) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ศึกษาบทบาทในการ
ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาของพระเจา้ ปเสนทิโกศล พบว่า บทบาทในการทำนบุ ำรุงพระพุทธศาสนา
นั้นพระองค์ทรงสนพระทัยในการอุปถัมภ์บำรุงด้วยปัจจัยไทยธรรม แด่พระพุทธเจ้าและสาวก
ทรงเป็นแบบอยา่ งแก่ประชาชนดา้ นถวายอามิสทาน สรา้ งกุฏิเสนาสนะทำให้เกิดการบัญญัติพระวินัย
ข้ึน โดยนำหลักพทุ ธธรรมไปประพฤตปิ ฏิบัติในฐานะผูน้ ำและบริหารประเทศ ทรงใชพ้ ุทธวิธีในการลด
ความอ้วนไม่อึดอัดควรศึกษาบทบาทและพระราชจริยาวัตรมาประยุกต์ใช้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง
ครอบครวั ๗๓

๒.๘ กรอบแนวคิดของงานวิจยั

การพัฒนาชุดความรหู้ ลักสูตรมัคนายก ภาคเี ครอื ข่าย
(ปู่จารย์) แบบมสี ่วนร่วมของภาคเี ครอื ข่าย
การพฒั นาชุดความร้หู ลักสตู รมัคนายก
ในจังหวดั เชียงราย (ปู่จารย)์

การนำชดุ ความรู้ มัคนายก
(ป่จู ารย์) ไปใช้ในจงั หวัดเชยี งราย

๗๒ พระสมุห์พรเทพ ภวธมฺโม (โตแย้ม), “บทบาทการท าขวัญนาคในการเผยแผ่ธรรมะแก่ประชาชน
ของนายชินกร ไกรลาศ, (ชิน ฝ้ายเทศ)”,วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต (ธรรมนิเทศ), (บัณฑิตวิทยาลัย:
มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๑).

๗๓ พระวิเชียรบุรี สติสมฺปนฺโน (ขวัญโพก), “ศึกษาบทบาทในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาของ
พระเจ้าปเสนทิโกศล”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบณั ฑิต (พระพุทธศาสนา), (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลยั
มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔).

๗๓

บทที่ ๓
วิธีการดำเนินงานวิจยั

การวิจัยเรือ่ ง การพัฒนาชุดความรูห้ ลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์) แบบมีส่วนร่วมของ
ภาคเี ครือข่ายในจังหวดั เชยี งราย โดยมวี ธิ ีดำเนนิ การวิจัยตามลำดับข้ันตอนดงั นี้

๓.๑ รูปแบบการวิจัย

ในการวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวบรวมข้อมูลทั้งเอกสาร
และภาคสนาม ภาคเอกสารเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ส่วนภาคสนาม เก็บรวบรวมข้อมลู โดยการใชแ้ บบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม (Focus
Group Discussion)

๓.๒ พืน้ ทีก่ ารวิจยั ประชากรกลมุ่ ตัวอย่าง ผใู้ หข้ ้อมลู

การวจิ ยั เรอื่ งนไี้ ด้ทำการศึกษาจาก พ้นื ทีก่ ารวจิ ยั ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง ดังนีค้ ือ

๑.๔.๑ ขอบเขตด้านพืน้ ท่ี
๑. อำเภอแม่สาย
๒. อำเภอเมืองเชยี งราย
๓. อำเภอแมจ่ ัน

๑.๔.๒ ขอบเขตดา้ นประชากร

ประชากรท่ีเก่ยี วขอ้ งในการใหข้ อ้ มูลในการวิจัย ได้แก่

๑. มคั ทายก จำนวน ๙ คน
รูป
๒. พระสงฆ์ จำนวน ๙

ก. อำเภอแม่สาย ประกอบไปดว้ ย

๑. พระพทุ ธิวงศว์ ิวฒั น์ ทีป่ รึกษาเจา้ คณะจงั หวัดเชียงราย

๒. พระครูวิสทุ ธธิ รรมภาณี เจา้ คณะอำเภอแมส่ าย

๓. พระครปู ระภสั ร์จติ สังวร เจ้าคณะตำบลโปร่งงาม

ข. อำเภอเมอื งเชยี งราย ประกอบไปด้วย

๑. พระรัตนมนุ ี,ผศ.ดร. เจ้าคณะจงั หวัดเชียงราย

๒. พระครูขนั ติพลาธร เจ้าคณะอำเภอเมือง
๓. พระครูสริ กิ ิจจาธร รองเจา้ คณะอำเภอเมอื ง

๗๔

ค. อำเภอแม่จัน ประกอบไปด้วย

๑. พระครอู ุปถัมภ์วรการ เจา้ คณะอำเภอแม่จัน

๒. พระครูศภุ กจิ ประยตุ รองเจ้าคณะอำเภอแม่จนั

๓. พระครูประสทิ ธิ์บุญญาคม เจา้ คณะตำบลจันจ๊ัว เขต ๑

๓. ชาวบ้าน จำนวน ๙ คน

๔. วฒั นธรรมจงั หวดั /สำนกั งานพระพทุ ธศาสนาจงั หวดั เชยี งราย

จำนวน ๓ คน

ก. นายพสิ นั ต์ จนั ทรศ์ ิลป์ วฒั นธรรมจังหวัดเชียงราย

ข. นางสาวทัศนยี ์ ดอนเนต็ วัฒนธรรมจงั หวัดเชียงราย

ค. เกลยี วพรรณ ขำโนนง้วิ

ผอู้ ำนวยการสำนักงานพทุ ธศาสนาจงั หวดั เชยี งราย

รวมทง้ั หมด จำนวน ๓๐ รปู /คน

๓.๓ เคร่อื งมือการวิจัย

เคร่อื งมือทใี่ ช้ในการวิจัย ประกอบไปด้วยดงั นีค้ อื

๓.๓.๑ เครื่องทใี่ ช้ในการวิจัย ประกอบไปด้วย
๑. แบบสมั ภาษณ์

- ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ที่เกย่ี วขอ้ ง
- กำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนตามวัตถปุ ระสงคข์ องงานวจิ ัย
- กำหนดประเด็นท่ีตอ้ งการทราบ เช่น

ก. องค์ความรู้ ตำรา และการศาสนพิธีของมัคนายกและภาคีเครือข่าย
ในจังหวัดเชียงราย มีไรบ้าง ?

ข. ภาคีเครือข่ายในจังหวัดเชยี งราย มีสว่ นชว่ ยในการส่งเสริมและสนับสนุน
พัฒนาชุดความรหู้ ลกั สูตรมคั นายก (ป่จู ารย)์ ได้อยา่ งไรบ้าง ?

ค. ชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์) สามารถนำไปประยุกต์ใช้ ใน
การศาสนพธิ ขี องจังหวัดเชยี งราย ได้อยา่ งไรบ้าง ?

- นำแบบสัมภาษณท์ ่รี า่ งขน้ึ ไปให้ผ้ทู รงคุณวฒุ ชิ ่วยตรวจสอบความเทีย่ งตรง
ของเนอื้ หา เพอ่ื ให้เกิดความถูกต้อง และตรงประเดน็ มากยงิ่ ข้ึน

- ทดลองใช้เครื่องมือ เพื่อให้รู้ว่าผู้ให้ข้อมูลสัมภาษณ์ได้ตอบคำถามตรงประเด็น
หรือไม่ อยา่ งไรบา้ ง

- ปรบั ปรงุ แกไ้ ขแบบสัมภาษณ์

๗๕

๒. สนทนากลุ่ม
- กำหนดประเด็นทตี่ อ้ งการสนทนา เชน่
ก. องค์ความรู้ ตำรา และการศาสนพิธีของมัคนายกและภาคีเครือข่าย

ในจงั หวัดเชยี งราย มีความสำคัญอยา่ งไรบ้าง ?
ข. ภาคีเครือข่ายในจงั หวัดเชียงราย มีสว่ นชว่ ยในการสง่ เสริมและสนับสนุน

พัฒนาชดุ ความร้หู ลกั สตู รมัคนายก (ป่จู ารย)์ ได้อยา่ งไรบา้ ง ?
ค. ชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์) สามารถนำไปประยุกต์ใช้

ในการศาสนพธิ ีของจังหวดั เชียงราย ได้อย่างไรบา้ ง ?
- แนวคำถามท่ีจะต้องกำหนดไว้ลว่ งหน้า
- การคัดเลือกผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่ม ต้องมคี วามรแู้ ละความสามารถตรงกับงานวิจัย

เร่อื ง
- บุคลากรที่จะดำเนินการสนทนากลุ่ม เช่น ผู้ให้ข้อมูล ภาครัฐ วัฒนธรรม

วัด เครอื ข่าย
- อุปกรณท์ ใ่ี ช้ในการสนทนากลุ่ม เช่น คอมพวิ เตอร์โนต้ บูค๊ และ โปรเจคเตอร์

๓.๓.๒ ขน้ั ตอนการสรา้ งเครอื่ งมอื ในการวจิ ัย
ผู้วิจัยได้สร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ เรื่อง การพัฒนาชุดความรู้
หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์) แบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในจงั หวัดเชียงราย เป็นแบบสัมภาษณ์
โดยมีขัน้ ตอนการสร้างดังน้ี
๑) ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยทเ่ี ก่ยี วข้องเกี่ยวกบั การวเิ คราะห์ การพฒั นาชุด
ความรหู้ ลักสูตรมัคนายก (ปจู่ ารย)์ แบบมีสว่ นรว่ มของภาคีเครือข่ายในจังหวัดเชียงราย เพื่อนำมาใช้
เป็นแนวทางและวิธีการให้ได้มาซึ่งการพัฒนาชุดความรู้หลกั สูตรมคั นายก (ปู่จารย์) ประกอบไปด้วย
ประวัติความเป็นมาของมัคนายกในทางพระพุทธศาสนาล้านนา แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับรูปแบบและ
กระบวนการสร้างเครือข่าย แนวคิดการส่งเสริมการเรียนรู้ตามแนวพระพุทธศาสนา การศึกษา
แผนงาน/แนวทางการดำเนินงานการพัฒนาชดุ ความรู้เครือข่ายของมัคนายกในการสง่ เสรมิ การเรียนรู้
ตามแนวพระพุทธศาสนาในลา้ นนา
๒) ศกึ ษารายละเอียดเกยี่ วกบั หลกั สตู รมคั ทายก
๓) กำหนดขอ้ คำถามการสมั ภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และร่างขอ้ คำถามในแบบสัมภาษณ์แบบ
กง่ึ โครงสร้าง โดยแบง่ ออกเปน็ ๓ ขอ้ คำถาม ประกอบด้วย

ก. องค์ความรู้ ตำรา และการศาสนพิธีของมัคนายกและภาคีเครือข่าย
ในจงั หวัดเชยี งราย มีความสำคญั อยา่ งไรบา้ ง ?

๗๖

ข. ภาคีเครือข่ายในจังหวัดเชียงราย มีส่วนช่วยในการส่งเสริมและสนับสนุนพัฒนา
ชุดความรู้หลกั สตู รมัคนายก (ป่จู ารย์) ได้อย่างไรบ้าง ?

ค. ชดุ ความร้หู ลกั สูตรมัคนายก (ปูจ่ ารย)์ สามารถนำไปประยุกตใ์ ช้ ในการศาสนพิธี
ของจงั หวัดเชียงราย ไดอ้ ยา่ งไรบ้าง ?

๔) นำเครื่องมือที่สร้างขึ้นไปใหผ้ ู้เชี่ยวชาญ จำนวน ๓ คน เพื่อตรวจสอบความตรงตาม
เนื้อหา ผลการวิเคราะห์หาคา่ ดัชนีความสอดคลอ้ งระหวา่ งขอ้ คำถามกับจุดประสงค์

๕) แก้ไขการพิมพ์ผิดและปรบั ปรุงตามคำแนะนำของผ้เู ชี่ยวชาญและนำไปใช้จริง

๓.๔ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู

สำหรับการเก็บข้อมูลในการศึกษาเรื่อง การพัฒนาชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์)
แบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในจังหวัดเชียงราย เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)
รวบรวมข้อมูลทั้งเอกสารและภาคสนาม ภาคเอกสารเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและ
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องส่วนภาคสนาม เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ การ
สัมภาษณ์เชิงลึก(In-depth Interview) การสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) การสังเกต
แบบมสี ว่ นร่วม (Participant Observation) ผูว้ ิจยั ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอน ดงั นี้

ขนั้ ตอนการเกบ็ ขอ้ มลู จากการสัมภาษณ์มขี น้ั ตอนดงั น้ี
๑) ศึกษาข้อมูลจากเอกสาร ตำรา บทความ งานวิจัย ในลักษณะการวิจัยเอกสาร
(Documentary Research) ได้แก่ ส่วนที่เป็นคำอธิบายจากเอกสาร หนังสือ ตำรา ที่เป็นแนวคิด
ทฤษฎี รวมถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยการทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมา
ของมัคนายกในทางพระพุทธศาสนาล้านนา แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับรูปแบบและกระบวนการสร้าง
เครือข่าย แนวคิดการส่งเสริมการเรียนรู้ตามแนวพระพุทธศาสนา การศึกษาแผนงาน/แนวทางการ
ดำเนินงานการพัฒนาชุดความรู้เครือข่ายของมัคนายกในการส่งเสริมการเรียนรู้ตามแนว
พระพุทธศาสนาในล้านนา
๒) เก็บรวบรวมข้อมลู ข้อเท็จจริงเพื่อให้เหน็ ถึงรูปแบบและกระบวนการพัฒนางานวจิ ัย
โดยสมั ภาษณเ์ ชงิ ลึก (In-depth Interview) ผู้ใหข้ อ้ มูลสำคญั (key Informants) จากการมีส่วนร่วม
ของหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อสรุปประเด็นการนำไปสู่การสนทนากลุ่มเฉพาะ
(Focus Group Discussion)
๓) สนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) โดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านพระพุทธศาสนา
ผู้เชี่ยวชาญทางดา้ นประวัติศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประเพณีและวัฒนธรรม ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน
เทคโนโลยี ปราชญ์ท้องถิ่น ผู้นำชุมชน เพื่อระดมแนวคิด มุมมองที่มีผลต่อการเก็บข้อมูลจากการ

๗๗

สัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) และนำไปสู่การวิจัยเชิงสำรวจ (Survry Research)
เพือ่ ใหไ้ ดม้ าซึง่ ชดุ ความรู้หลักสูตรมคั นายก (ปจู่ ารย์)

๔) เก็บรวบรวมขอ้ มูลเพื่อหาขอ้ มูลสรุปจากเอกสารและการสัมภาษณ์ และการทนากลุม่
ย่อย เพื่อนำไปสู่การประมวลผลข้อมูล และศึกษาเชิงความสัมพันธ์ถึงมุมมองของ รูปแบบการ
ท่องเที่ยวเชิงพุทธของวัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย ซึ่งเก็บรวมรวมจากแบบสอบถามแสดงความ
คิดเหน็ ของผ้เู ชีย่ วชาญทางดา้ นพระพทุ ธศาสนา ปราชญ์ทอ้ งถิ่น ผู้นำชุมชน

๕) สรุปผลการวิจัยที่ได้คือ มีชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์) ไปประยุกต์ใช้
ในการศาสนพิธีของจังหวดั เชยี งราย

๖) นำเสนอผลงานวจิ ยั ทั้งในระดบั ชาติ

๓.๕ การวเิ คราะหข์ ้อมูล

การวเิ คราะหข์ ้อมูลประกอบไปดว้ ยดงั นค้ี อื

๑) การวิเคราะห์ข้อมูลเชงิ คุณภาพ ได้แก่ การวิเคราะห์และสังเคราะหข์ ้อมูลโดยใชว้ ิธีการ
วิเคราะหเ์ นอ้ื หา (Content analysis) ผ้วู จิ ยั ได้รวบรวมและวิเคราะหข์ ้อมูลจากการสัมภาษณ์ท้ังด้าน
เอกสารแบบสัมภาษณ์และภาคสนาม แล้วจับประเด็นเนื้อหาสาระไปพร้อมกับนำมาสรุปเป็น
ผลการวิจยั เปน็ รูปแบบความเรียงตามวัตถุประสงค์ของการวจิ ยั นำเสนอ

๒) การตรวจสอบข้อมูล หลังจากที่ผู้วิจัยได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้ว จะต้องทำการ
ตรวจสอบข้อมลู และการวิเคราะห์ ข้อมูล โดยการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า (triangulation) ไดแ้ ก่

๒.๑ การตรวจสอบ ด้านข้อมูล โดยพิจารณาแหล่งเวลา แหล่งสถานท่ี และแหล่ง
บุคคลที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ถ้าข้อมูลต่างเวลากันจะเหมือนกันหรือไม่ ถ้าข้อมูลต่างสถานที่จะ
เหมอื นกนั หรือไม่ และถ้าบุคคลผู้ใหข้ อ้ มูลเปล่ียนไปขอ้ มูลจะเหมอื นเดิมหรือไม่

๒.๒ การตรวจสอบสามเส้าดา้ นผวู้ ิจยั โดยการเปลี่ยนตวั ผูส้ งั เกตหรือสมั ภาษณ์
๒.๓ การตรวจสอบสามเส้าดา้ นวิธรี วบรวมขอ้ มูล โดยใชว้ ิธเี กบ็ รวบรวมขอ้ มลู ต่าง ๆ
กัน เพือ่ รวบรวมข้อมูลเรอ่ื งเดยี วกนั เชน่ ใช้วิธีสงั เกตควบค่ไู ปกับการซักถาม กรณีการสัมภาษณ์ผู้ให้
ข้อมูล มรี ายละเอยี ดดงั น้ี

๓) สรุปแนวทางหรือรูปแบบในการพัฒนา การพัฒนาชุดองค์ความรู้เกี่ยวกับ
หลักสูตรมัคทายก รวมถึงปัญหาและข้อเสนอแนะที่ได้จากกลุ่มสนทนากลุ่ม (Focus Group
Discussion) มาวเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะห์กอ่ นจะมกี ารประมวลผล

๗๘

๓.๖ สรปุ กระบวนการวิจยั

กระบวนการวิจัยเร่ือง การพัฒนาชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์) แบบมีส่วนร่วม
ของภาคีเครอื ข่ายในจังหวดั เชยี งราย สามารถสรุปไดด้ งั นี้คือ

๑. ศึกษารวบรวมเอกสารแนวคิดทฤษฎีเก่ียวกับประวัติความเป็นมาของมคั นายกในทาง
พระพุทธศาสนาล้านนา แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับรูปแบบและกระบวนการสร้างเครือขา่ ย แนวคิดการ
ส่งเสรมิ การเรยี นรู้ตามแนวพระพทุ ธศาสนา การศึกษาแผนงาน/แนวทางการดำเนินงานการพัฒนาชุด
ความรเู้ ครือขา่ ยของมัคนายกในการสง่ เสรมิ การเรยี นรูต้ ามแนวพระพุทธศาสนาในลา้ นนา

๒) เก็บรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงเพื่อให้เห็นถึงรูปแบบและกระบวนการพัฒนางานวิจัย
โดยสัมภาษณ์เชงิ ลกึ (In-depth Interview) ผใู้ ห้ขอ้ มูลสำคญั (key Informants) จากการมีส่วนร่วม
ของหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อสรุปประเด็นการนำไปสู่การสนทนากลุ่มเฉพาะ
(Focus Group Discussion)

๓) สนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) โดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านพระพุทธศาสนา
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประวัติศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประเพณีและวัฒนธรรม ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน
เทคโนโลยี ปราชญ์ท้องถิ่น ผู้นำชุมชน เพ่ือระดมแนวคิด มุมมองที่มีผลต่อการเก็บข้อมูลจากการ
สัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) และนำไปสู่การวิจัยเชิงสำรวจ (Survry Research)
เพ่อื ใหไ้ ดม้ าซึ่งการพฒั นาชดุ ความรูห้ ลกั สูตรมัคนายก (ปู่จารย)์ ซง่ึ มรี ายละเอียดดงั นคี้ ือ

๓.๑ ศึกษางานจากเอกสารงานวจิ ยั ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง
๓.๒ ลงพื้นทส่ี ำรวจขอ้ มูล
๓.๓ ประชุมสนทนากลมุ่ ยอ่ ย
๓.๔ วิเคราะห์ขอ้ มลู ท้ังจากเอกสาร และ จากการประชมุ กลุ่มย่อย
๓.๕ สรปุ ผลการวจิ ยั
๓.๖ นำเสนอผลการวิจัย
๔) เก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อหาข้อมูลสรุปในเชิงสถิติจากการวิจัยเชิงสำรวจ (Survry
Research) เพอ่ื นำไปส่กู ารประมวลผลขอ้ มูล และศึกษาเชงิ ความสมั พันธถ์ งึ มุมมองของ รูปแบบและ
วิธีการ การท่องเท่ียวเชิงพุทธของวดั พระแก้ว จงั หวัดเชยี งราย ซึ่งเก็บรวมรวมจากแบบสอบถามแสดง
ความคดิ เหน็ ของผเู้ ช่ยี วชาญทางด้านพระพุทธศาสนา ปราชญ์ท้องถนิ่ ผนู้ ำชุมชน
๕) สรุปผลการวิจัยที่ได้คือ มีชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์) ไปประยุกต์ใช้
ในการศาสนพธิ ีของจังหวัดเชียงราย
๖) นำเสนอผลงานวจิ ัย ในระดบั ชาติ

๗๙

บทท่ี ๔
ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู

การวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดความรู้หลักสูตรมคั นายก (ปู่จารย์) แบบมีส่วนร่วมของภาคี
เครอื ข่ายในจงั หวัดเชียงราย ผลการวิเคราะห์มดี ังนค้ี อื

๔.๑ องค์วามรู้ ตำรา และการศาสนพธิ ีของมัคนายกและภาคีเครือข่าย ในจังหวดั เชียงราย

๔.๒ การพัฒนาชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์)โดยการมีส่วนร่วมของภาคี
เครือข่ายในจงั หวัดเชยี งราย

๔.๓ วิเคราะห์และนำชุดความรู้หลักสตู รมัคนายก (ปู่จารย์) ไปประยุกตใ์ ช้ ในการศา
สนพิธี ของจงั หวดั เชียงราย

๔.๔ องคค์ วามรู้

๔.๑ องค์ความรู้ ตำรา และการศาสนพิธีของมัคนายกและภาคีเครือข่าย ในจังหวัด
เชียงราย

๔.๑.๑ องค์ความรูเ้ กี่ยวกบั ศาสนพิธี
ก. องคค์ วามรู้เกีย่ วกับศาสนพิธี

สังคมไทยถือว่าศาสนามีความสำคัญต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนในสังคม
จนกลายเป็นวัฒนธรรมประเพณีที่มีผลต่อความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ ความศรัทธาของประชาชน
ดังนั้น ศาสนาจึงเป็นเครื่องยึดเหน่ียวทางจิตใจในการประพฤติปฏิบัติเพ่ือใหป้ ระชาชนพลเมืองได้ใช้
หลักธรรมทางศาสนาที่ตนนับถือ มาเป็นเครื่องมือในการประพฤตปิ ฏิบตั ิตน ให้เกิดประโยชน์ในการ
พัฒนาจติ ใจของตนเอง ครอบครัว ชมุ ชน สังคม และประเทศชาตใิ หม้ ีความมน่ั คงและอยูร่ ่วมกันอย่าง
มีความสุข เกิดความสมานฉันท์ แต่การที่ประชาชนพลเมืองจะเข้าถึงหลักธรรมอันเป็นแก่นแท้ของ
ศาสนานั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก เนื่องจากผลของการกระทำมีลักษณะเป็นนามธรรมเช่นเดียวกบั
เรื่องการศึกษาที่จะทำให้ผู้ที่รับการศึกษาได้เกดิ ปัญญาจริง ๆ ย่อมเห็นผลช้าไม่เหมอื นการสร้างวัตถุ
ต่าง ๆ ทส่ี ามารถเหน็ ผลได้รวดเรว็ ทันใจ ดงั นนั้ ศาสนาทุกศาสนาจงึ จำเป็นตอ้ งมพี ิธีกรรมทางศาสนา
เป็นเคร่ืองมือในการให้ศาสนิกชนของตนใช้เปน็ แนวทางในการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมทางศาสนาที่มีลักษณะ
เปน็ รปู ธรรมรว่ มกัน ปราชญท์ ้งั หลายจึงไดใ้ ห้ความสำคัญของศาสนพธิ ไี ว้วา่ “เปน็ ดงั เปลอื กของต้นไม้
ซ่งึ ทำหน้าที่หอ่ หุม้ แก่นของต้นไม้คอื เนื้อแทอ้ ันเป็นสาระสำคญั ของศาสนาไว”้ ซึ่งเม่ือกล่าวให้ถูกต้อง
ก็สามารถกล่าวได้ว่า ศาสนพิธีและศาสนธรรมของศาสนาทั้งสองส่วนนี้ย่อมมีความสำคัญเสมอกัน
ตอ้ งอาศยั ซ่งึ กนั และกันเพราะหากไมม่ ศี าสนธรรมอันเป็นแกน่ แท้ของศาสนา ศาสนพธิ กี ค็ งจะอยู่ได้ไม่
นาน หรือหากมีเฉพาะศาสนธรรมอันเป็นแก่นแท้ของศาสนา แต่ไม่มีศาสนพิธีแก่นแท้ของศาสนาก็

๘๐

ยอ่ มอยูไ่ ด้ไมน่ านเช่นกนั เพราะศาสนกิ ชนขาดแนวทางในการปฏิบัตกิ ิจกรรมทางศาสนารว่ มกัน ไม่มี
สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นศนู ยก์ ลางอนั เปน็ เครอื่ งยดึ เหนีย่ วจติ ใจในการท่ีจะปฏบิ ัติกจิ กรรมร่วมกัน๑

ศาสนพิธีหรือพิธกี รรมของพระพุทธศาสนาเป็นส่ิงที่ช่วยหล่อเลีย้ งศาสนธรรมอันเปน็
แก่นแท้ของพระพทุ ธศาสนาไว้ดังน้นั การกระทำศาสนพธิ หี รอื พิธีกรรมต่าง ๆ ในทางพระพุทธศาสนา
ควรที่จะต้องมีการแนะนำและให้ผู้ร่วมพิธีได้ศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีต่าง ๆ ให้ถ่องแท้ตาม
หลักการทางพิธีกรรมของพระพุทธศาสนา เพื่อผู้ปฏิบัติจะได้นำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องตาม
จดุ มุ่งหมายในศาสนพิธีน้นั ๆ เนื่องจากศาสนพธิ ีจัดเปน็ วฒั นธรรมและจารีตประเพณีของชาติท่ีมีการ
สืบสานกันมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ซึ่งการปฏิบัติศาสนพิธีจะต้องทำให้มีความเป็นระเบียบ
เรียบร้อย สวยงาม เป็นไปในแนวทางเดียวกัน เพื่อก่อให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในการดำเนิน
กิจกรรมด้านพิธีของศาสนา ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญของพุทธศาสนิกชนเพราะการดำเนินกิจกรรมของ
พิธกี รรมต่าง ๆ ถือเปน็ ก้าวแรกที่มีความเปน็ รปู ธรรมของการกา้ วเข้าสู่หลกั การของพระพุทธศาสนาที่
เปน็ การเสริมสรา้ งคุณค่าทางด้านจิตใจ รวมท้งั การธำรงรกั ษาเอกลักษณข์ องชาติและพระพุทธศาสนา
ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้นำในการปฏิบัติงานศาสนพิธีจึงควรมีความรู้ความสามารถและความเข้าใจอย่าง
ถกู ตอ้ ง เนือ่ งจากศาสนพธิ ีเป็นการสร้างระเบยี บแบบแผน แบบอย่างทพี่ งึ ปฏิบัติในศาสนานั้น ๆ ตาม
หลักการความเชื่อในศาสนาที่ตนนับถือ เมื่อนำมาใช้ในทางพระพุทธศาสนาย่อมหมายถึง ระเบียบ
แบบแผน และแบบอย่างท่พี งึ ปฏบิ ัติในพระพุทธศาสนาซ่ึงบางท่านเรียกว่า “พทุ ธศาสนพธิ ี”๒

๑. ประเภทของศาสนพิธีทางพระพทุ ธศาสนา
๑) กุศลพิธี คือ พิธีกรรมที่เนื่องด้วยการอบรมเพื่อความดีงามทางพระพุทธศาสนา
เฉพาะตัวบุคคล เช่น การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ การเวียนเทียนในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
การรักษาศลี ต่าง ๆ
๒) บุญพธิ ี คือ การทำบุญอันเป็นประเพณีในครอบครัว ในสงั คม เกี่ยวเน่ืองกับวถิ ีชวี ิต
ของสงั คม เชน่ พธิ ที ำบุญงานมงคล พธิ ที ำบุญงานอวมงคล
๓) ทานพิธี คือ พิธีถวายทานต่าง ๆ เช่น ปาฏิบุคลิกทาน การถวายสังฆทาน การ
ถวายกฐิน ผ้าป่า ผ้าอาบนำ้ ฝน และอน่ื ๆ
๔) ปกณิ กพิธี คือ พธิ เี บ็ดเตลด็ เก่ียวกับมารยาทและวิธปี ฏิบัติศาสนพิธเี ชน่ วิธีตั้งโต๊ะ
หมู่บูชา จัดอาสนะสงฆ์วิธีวงด้ายสายสิญจน์วิธีจุดธูปเทียน วิธีแสดงความเคารพ วิธีประเคนของ
พระสงฆว์ ิธีทอดผ้าบงั สุกุล วิธีทำหนงั สืออาราธนาและใบปวารณา วธิ ีอาราธนาศีล อาราธนาพระปริตร
อาราธนาธรรม วิธีกรวดน้ำฯลฯ๓

๑ เปล่งชืน่ กลิ่นธูป, ตาํ ราพิธกี รรม. พมิ พท์ ี่ระลกึ อนสุ รณ์งานวนั อดตี เจา้ อาวาสวดั สมั พันธวงศาราม ปที ่ี
๗๑. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พห์ ้างหนุ้ ส่วนจำกดั ป.สมั พันธ์พาณิชย์, ๒๕๓๑.

๒ จันทรไ์ พจิตร, ประมวลพธิ ีมงคลของไทย : สมโภชหริ ัณยบัฏ พระธรรมวโรดม (นยิ ม ฐานสิ ฺสโร ป.ธ.
๙).กรุงเทพมหานคร : ห้างหนุ้ ส่วนจำกัด จงเจรญิ การพมิ พ์, ๒๕๓๑.

๓ ชลยิ า ศรีสกุ ใส, วนั สำคญั ประเพณกี ารละเล่นของไทย, กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พิมพ์พบี ซี ีจำกัด.

๘๑

งานพระราชพิธี
เป็นงานที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้นเป็นประจำปีเช่น
พระราชพิธฉี ัตรมงคล พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา หรืองานท่ีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัด
ขนึ้ เปน็ กรณพี เิ ศษ เช่น พระราชพิธอี ภิเษกสมรส พระราชพธิ ีสมโภชเดอื นและข้นึ พระอู่
งานพระราชกศุ ล
เป็นงานที่พระมหากษัตริย์ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล งานพระราชกุศลบางงาน
ต่อเนื่องกับงานพระราชพิธีเช่น พระราชกุศลมาฆบูชา พระราชกุศลทักษิณานุประทานพระบรมอัฐิ
สมเดจ็ พระบรมราชบพุ การีพระราชกุศลทรงบาตร
งานรฐั พธิ ี
เป็น ง าน พิธี ที ่รั ฐ บ า ลห รือ ท าง ร า ชก าร จ ั ดข ึ้น เ ป็น ประ จ ำ ปี โ ด ยก รา บ ทู ล เ ชิ ญ
พระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู ัว เสด็จพระราชดำเนนิ ทรงเปน็ ประธานประกอบพธิ ีเช่น รัฐพธิ ีทรี่ ะลึกวัน
จักรรี ฐั พธิ ฉี ลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ ซึง่ ปัจจุบนั ทรงรับเขา้ เปน็ งานพระราชพิธี
งานราษฎรพ์ ิธี
เป็นงานทำบุญตามประเพณีนิยมที่ราษฎรจัดขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง
และชุมชน หรือเป็นการทำบญุ เพ่ืออุทิศผลใหแ้ ก่ผู้ท่ีลว่ งลับไปแลว้ ในโอกาสต่าง ๆ ซึ่งเป็นการจัดตาม
ความศรัทธาและความเชอื่ ที่ถือปฏบิ ัตสิ บื ทอดกันมาตามทอ้ งถิน่ หรอื ชมุ ชนนั้น ๆ๔

2. องคป์ ระกอบของพิธี
๑) พิธีกรรม คือ การกระทำที่เป็นวิธีการเพื่อให้ได้รับผลสำเร็จและนำไปสู่ผลท่ี
ต้องการอันเปน็ เครอ่ื งน้อมนำศรทั ธาที่จะพาเข้าสู่เปา้ หมายตามวัตถุประสงค์ของผู้ท่ีจัดกิจกรรมน้ัน ๆ
และสามารถนอ้ มนำให้ผู้ศรทั ธาเข้าถึงธรรมท่สี งู ขนึ้
๒) พิธกี าร คือ ขั้นตอนของพิธที ก่ี ำหนดไวต้ ามลำดับต้งั แต่เริม่ ตน้ พิธจี นจบพิธี เพื่อให้
การจดั กจิ กรรมในพิธีนั้น ๆ เปน็ ไปดว้ ยความถกู ต้อง เรียบร้อย และสวยงาม อันนำมาซ่งึ ความศรัทธา
และความเช่ือในการจดั กิจกรรมร่วมกัน ทงั้ ในส่วนผทู้ ่ีเข้ารว่ มพธิ แี ละผ้ทู ่พี บเห็น
๓) พิธีกร คือ ผู้ดำเนินรายการประกอบพิธีกรรมนั้น ๆ ให้เป็นไปตามขั้นตอนที่ได้
กำหนดไวโ้ ดยทำหน้าท่ีรับผิดชอบในดา้ นพิธกี าร ประสาน ควบคมุ และกำกบั พธิ ีการต่าง ๆ ให้เป็นไป
ด้วยความเรียบร้อยตามกำหนดการ ในกรณีที่เป็นพิธีกรทางศาสนา จะเรียกว่า “ศาสนพิธีกร” ซึ่ง
หมายถึงผู้ทำหน้าที่ควบคุมและปฏิบัติศาสนพิธีให้ถูกต้องตามพิธีกรรมทางศาสนาตลอดจน
ประสานงานเพอื่ ให้การดำเนนิ กจิ กรรมในพิธนี น้ั ๆ เปน็ ไปด้วยความเรียบร้อย๕

๔ เปล่ง ชน่ื กล่นิ ธูป, ตำราพิธีกรรม, พิมพ์ท่รี ะลกึ อนสุ รณ์งานวันอดีตเจ้าอาวาสวดั สัมพนั ธวงศารามปี
ที่ ๗๑, กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์หา้ งหนุ้ สว่ นจำกดั ป.สมั พนั ธพ์ าณิชย์, ๒๕๓๑.

๕ พระธรรมวโรดม (บุญมา คุณสมปฺ นฺโน ป.ธ. ๙). ระเบียบปฏิบัติชาวพทุ ธ. กรุงเทพมหานคร : โรง
พิมพก์ ารศาสนา, ๒๕๔๖.

๘๒

๓. คณุ สมบัติของศาสนพิธีกร
๑) ความรู้ความสามารถ ในการปฏิบัตศิ าสนพธิ ี
๒) มไี หวพริบ ปฏภิ าณ ตดั สนิ ใจ และแก้ไขขอ้ ขัดขอ้ งได้รวดเร็วและเรยี บรอ้ ย
๓) มีความแมน่ ยำ ละเอียด รอบคอบ
๔) แต่งกายและปฏบิ ัติตนใหเ้ หมาะสมตามกาลเทศะ มีมารยาทเรียบรอ้ ย
๕) สามารถประสานงาน ควบคุม กำกับพิธกี ารได้ดี

๔. ลำดบั ของศาสนพธิ ี
การเตรยี มการ
เมื่อมีการปรึกษาหารือและมีขอ้ ตกลงกันเป็นทีเ่ รียบรอ้ ยแล้ว ในการจัดพธิ เี นื่องใน
โอกาสตา่ ง ๆ นั้น ผู้ท่ไี ดร้ ับมอบหมายให้ทำหน้าท่ีในการเป็นผดู้ ำเนินกิจกรรมจะตอ้ งมีการเตรียมการ
ดงั น้ี
๑) การเตรียมสถานท่ี
๒) การเตรยี มอุปกรณ์
๓) การเตรียมบคุ ลากร
๔) การเตรยี มกำหนดการ๖
๕. การเตรยี มสถานที่
กิจกรรมแรกท่ีผ้ดู ำเนินกจิ กรรมควรคำนงึ ถึง คือ การเตรยี มสถานที่ ควรคำนงึ ถึงความ
เหมาะสมของสถานที่ งานที่จะจัดเป็นงานพิธีใด งานมงคล หรืองานอวมงคล สถานที่นั้นมีความ
เหมาะสมกบั การจดั พิธหี รอื ไม่เพียงใด ซง่ึ จะไดม้ ีการวางแผนในการจดั กิจกรรมให้เหมาะสมกับสถานที่
โดยมีหลักการพิจารณา ดงั นี้
๑) ความเหมาะสมของสถานทใี่ นการจดั พิธี
๒) มคี วามกวา้ งขวาง เพียงพอกับการรองรบั ผู้รว่ มพธิ ี
๓) สะอาด สะดวก ปลอดภยั
๔) ไม่มเี สยี งรบกวน

๖. การเตรียมอุปกรณ์

การเตรียมอุปกรณ์ เป็นสิ่งจำเป็นของพิธีต่าง ๆ ซึ่งผู้ทำหน้าที่ศาสนพิธีกรควรมี
ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกบั พธิ กี ารหรือพธิ ีกรรมต่าง ๆ เชน่ วัตถุประสงคข์ องการจัดศาสนพิธี เป็นงาน
มงคล งานอวมงคล หรอื การจัดงานมงคลและงานอวมงคลพร้อมกนั ซ่ึงแต่ละงานจะต้องใช้อุปกรณ์ใน
การประกอบพธิ ีท่ีแตกต่างกัน เชน่ งานมงคลสมรส งานวางศิลาฤกษเ์ ป็นตน้ ๗

๖ พระธรรมวโรดม (บญุ มา คณุ สมฺปนฺโน ป.ธ. ๙). ระเบียบปฏิบตั ิชาวพุทธ. กรงุ เทพมหานคร : โรง
พิมพก์ ารศาสนา, ๒๕๔๖.

๗ พระญาณวโรดม (สนธ์กิ ิจฺจกาโร). เอกเทสสวดมนต์และศาสนพธิ ี. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๒๗

๘๓

๗. อุปกรณ์หลกั ทใ่ี ช้ในงานศาสนพธิ ี
๑) โต๊ะหม่บู ชู า พระพทุ ธรูป แท่นกราบ
๒) แจกนั ดอกไมห้ รอื พานพุ่ม
๓) กระถางธปู เชิงเทียน
๔) ธปู เทียน บชู าพระ
๕) เทียนชนวน
๖) ท่กี รวดน้ำ
๗) สำลกี รรไกร เชอื้ ชนวน (นำ้ มนั เบนซินผสมกับเทยี นข้ผี ึ้งแท)้
๘) ใบปวารณา และจตปุ ัจจยั ไทยธรรม
๙) เครื่องขยายเสียงพร้อมอปุ กรณ์
๑๐) เครื่องรับรองพระสงฆ์ เช่น น้ำร้อน น้ำเย็น อาสน์สงฆ์หรือพรมนัง่ เสื่อ หมอน
พิงกระดาษเช็ดมอื กระโถน เป็นตน้
อปุ กรณเ์ ฉพาะพธิ ี (เพ่มิ จากอุปกรณห์ ลกั )
พธิ ีงานมงคล

๑) ภาชนะ น้ำพระพุทธมนต์เช่น ครอบน้ำมนต์/บาตร/ขัน ที่ประพรมน้ำ
พระพทุ ธมนต์(มัดหญา้ คา ใบมะยม ดอกไมเ้ งนิ ทอง)

๒) สายสญิ จน์
๓) เทียนน้ำมนต(์ เทยี นขี้ผึ้งแทน้ ยิ มขนาดนำ้ หนกั ๑ บาท)
๔) พานรองสายสิญจน์จำนวน ๒ พาน

พิธีมงคลสมรส
๑) มงคลแฝด
๒) โถปริกแปง้ กระแจะสำหรับเจมิ
๓) สงั ข์
๔. หมอนกราบ ๒ ใบ

พธิ วี างศิลาฤกษ์
๑) แผ่นศลิ าฤกษ์
๒) ไม้มงคล ๙ ชนิด คือ ไม้ชัยพฤกษ์ ไม้ราชพฤกษ์ ไม้สักทอง ไม้ไผ่สีสุก

ไมพ้ ะยูง ไมท้ องหลาง ไม้กนั เกรา ไม้ทรงบาดาล และไมข้ นุน
๓) คอ้ นตอกไม้มงคล
๔) แผ่นอฐิ ทอง-นาก-เงิน อย่างละ ๓ แผน่ (รวม ๙ แผ่น)
๕) โถปรกิ กระแจะเจมิ
๖) ทองคำเปลวปิดศิลาฤกษ์๓ แผ่น พร้อมขี้ผึ้งหรือสิ่งที่ทาแผ่นศิลาฤกษ์

เพอื่ ปิดแผน่ ทอง
๗) ปูนซีเมนต์ผสมเสร็จ พร้อมเกรียงปาดปนู
๘) ตลบั นพรตั น์

๘๔

๙) พวงมาลยั

๑๐) ข้าวตอกดอกไมเ้ หรยี ญเงิน และเหรียญทอง
๑๑) กระดาษ/ผา้ เชด็ มือของประธาน๘

พิธงี านอวมงคล
พิธสี วดพระอภธิ รรม

๑) ภูษาโยง (ถา้ ศพมฐี านันดรศักดิ์ตั้งแต่ช้นั หมอ่ มเจ้าข้นึ ไป ต้องเตรียมผ้า

ขาว กว้างประมาณ ๑๐ หรือ ๑๒ นิ้ว ยาวเสมอกับแถวพระสงฆ์จำนวน ๑ ผืน เรียกว่า “ผ้ารอง
โยง”)แถบทอง หรอื สายโยง สำหรบั โยงมาจากหีบหรือโกศศพ

๒) เครื่องทองนอ้ ย ๑-๒ ท่ี (ต้ังหน้าหบี ศพ)
๓) ตู้พระอภิธรรม พร้อมโตะ๊ ตัง้ ต้พู ระอภิธรรม
๔) ผ้าไตร หรือผ้าสำหรบั ทอดบังสกุ ุล

๕) เครื่องกระบะบูชาพระอภิธรรม (ในกรณีไม่มีเครื่องกระบะบูชา ให้ใช้
เชิงเทียน ๑ คู่แจกันดอกไม้๑ คู่และกระถางธปู ๑ กระถาง ตั้งหน้าตู้พระอภิธรรมแทนเพ่ือจุดบชู า

พระธรรม)
พิธีพระราชทานเพลิงศพ หรือฌาปนกิจศพ (อุปกรณ์เพิ่มจากการสวดพระ

อภธิ รรม)

๑) ธรรมาสน์เทศนค์ ัมภรี ์เทศนพ์ ัดรอง ตะลุ่ม พาน
๒) เคร่อื งทองน้อย จำนวน ๑ ท่ี (เพม่ิ อีก ๑ ทสี่ ำหรับประธานจุดบูชาพระ

ธรรม)
๓) เทยี นสอ่ งธรรม
๔) ผ้าไตร หรอื ผา้ สำหรับทอดบังสุกุล

๕) เครอ่ื งไทยธรรมบูชากณั ฑเ์ ทศน์
พิธที ำบุญครบรอบวนั ตาย

๑) อฐั /ิ รูปผ้ตู าย/ปา้ ยชอ่ื ของบรรพบรุ ษุ
๒) โต๊ะหมู่อีก ๑ ชุด ใชเ้ ปน็ ที่บชู าอฐั ิ
๓) เครอ่ื งทองน้อย

๔) ภษู าโยง แถบทอง
๕) ผา้ ไตรหรอื ผ้าสำหรับทอดบังสกุ ุล๙

๘ จันทรไ์ พจติ ร, ประมวลพธิ มี งคลของไทย : สมโภชหริ ณั ยบฏั พระธรรมวโรดม (นิยม ฐานสิ ฺสโร ป.ธ.
๙).กรงุ เทพมหานคร : หา้ งหุ้นส่วนจำกดั จงเจรญิ การพมิ พ์, ๒๕๓๑.

๙ พระญาณวโรดม (สนธก์ิ ิจฺจกาโร). เอกเทสสวดมนตแ์ ละศาสนพธิ ี. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์
มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๒๗

๘๕

การเตรียมบคุ ลากร
การเตรียมบุคลากร เป็นการแสดงถึงความพรอ้ มของผู้จัดงานพิธีตา่ ง ๆ เพื่อความ
สะดวกในการประสานงาน อันเป็นการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบในแต่ละส่วนของผู้ปฏิบัติงาน และ
สามารถตรวจสอบได้ว่านมิ นต์พระสงฆห์ รอื ยัง นิมนตจ์ ำนวนเท่าใด ใครเป็นประธาน ใครรับภารกิจ
ส่วนใด ใครเปน็ พิธีกร ใครทำหน้าท่ีศาสนพิธีกร เปน็ ต้น๑๐
พระสงฆ์ การนิมนต์พระสงฆค์ วรเขียนเป็นหนังสือ หรือภาษาทางราชการ เรียกว่า
“การวางฎีกานิมนต์พระสงฆ์” เพื่อถวายพระสงฆ์ไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งประกอบด้วยข้อความสำคญั
เป็นการนมัสการให้พระสงฆท์ ราบวา่ นิมนตง์ านพิธใี ด วัน เวลา และสถานท่ีในการประกอบพิธีอยู่ที่
ไหนควรแจ้งให้ชัดเจน สำหรับจำนวนพระสงฆ์ในแต่ละพิธีไม่ได้กำหนดจำนวนมากไว้เท่าใดแต่มี
กำหนดจำนวนขา้ งนอ้ ยไว้คือ ไม่ต่ำกวา่ ๕ รปู ๗ รปู ๙ รปู และ ๑๐ รปู เพอ่ื จะไดค้ รบองค์คณะสงฆ์
ส่วนงานพระราชพิธีหรือพิธีของทางราชการนิยมนิมนต์พระสงฆ์ ๑๐ รูป ท้ังงานมงคลและงาน
อวมงคล แต่ถ้าหากเป็นพิธีบำเพ็ญกุศลสวดพระอภธิ รรมศพประจำคืนนั้น นิมนต์พระสงฆ์สวดพระ
อภธิ รรม จำนวน ๔ รูป
ประธานพิธี คือ บุคคลที่เจ้าภาพเชิญมาเป็นเกียรติแก่งานพิธีเพื่อทำหน้าที่เป็น
ประธานในพิธซี ่งึ มีทัง้ แบบเปน็ ทางการ คอื มกี ารเชญิ โดยแจง้ ใหผ้ ูท้ ่ีเปน็ ประธานทราบลว่ งหน้าอย่าง
เปน็ ทางการ และแบบไมเ่ ปน็ ทางการ คือ การเชิญผูท้ ม่ี ารว่ มงานทำหน้าท่ีเป็นประธานโดยไม่มีการ
แจ้งให้ทราบล่วงหนา้ ซึ่งถ้าไม่เป็นทางการก็ไม่สู้กระไรนกั แต่หากเป็นทางการควรมีการจัดเตรียม
สถานที่ให้เหมาะสมกับฐานะของผู้ที่เชิญมาเป็นประธานในพิธีเช่น การจัดที่นั่ง การต้อนรับ การ
จัดเตรียมเคร่ืองรบั รอง เป็นตน้ อนั เปน็ การแสดงออกถงึ การให้เกียรติแก่ผู้ทร่ี ับเชญิ มาทำหน้าที่เป็น
ประธานในพธิ นี ้นั ๆ ด้วย และควรแจง้ กำหนดการของพธิ ีให้ผู้ทำหน้าที่เปน็ ประธานได้ทราบ
ศาสนพิธีกร คือ ผู้ทำหน้าที่เป็นผูด้ ำเนินการพธิ ที างศาสนา ซึ่งมีความรอบรู้ในด้าน
พิธีการต่าง ๆ ทำหน้าที่ควบคุม ปฏิบัติการ จัดการ และประสานงานระหว่างผู้ร่วมปฏิบัติงานพิธี
ตลอดจนถึงการให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษาในการดำเนินกิจกรรมพิธีทางพระพุทธศาสนาได้อย่าง
ชดั เจนและถูกตอ้ งตามโบราณประเพณีท่ีได้มีการสบื ทอดกนั มา
ผรู้ ่วมงาน คอื ผทู้ เ่ี จา้ ภาพเชิญมาร่วมเป็นเกียรติแกพ่ ธิ ีดำเนินกิจกรรมในพิธีร่วมกัน
เช่น ร่วมฟงั พระสงฆแ์ สดงพระธรรมเทศนา เจรญิ พระพทุ ธมนต์ เจ้าภาพควรประมาณจำนวนผู้ที่รับ
เชิญมารว่ มกิจกรรมใหเ้ หมาะสมกับสถานที่ ควรกำหนดผทู้ ่ีคอยต้อนรบั ผมู้ ารว่ มงาน กำหนดสถานท่ี
นั่งสำหรับผู้เป็นประธาน ของที่ระลึก เป็นต้น ถ้าบุคคลที่เชิญเป็นผู้ใหญ่ เจ้าภาพควรกำหนดให้
ชดั เจนว่า ใครนัง่ ตรงไหน อยา่ งไร เนื่องจากเม่อื ผู้รับเชิญนง่ั เรยี บร้อยแล้ว ถา้ มีการเคล่ือนย้ายที่นั่ง
ในภายหลงั ผ้รู ับเชิญจะเสียความรสู้ กึ ที่ดใี นการเข้ารว่ มกิจกรรม

๑๐ ชลิยา ศรีสกุ ใส, วันสำคัญ ประเพณกี ารละเลน่ ของไทย, กรงุ เทพมหานคร : สำนักพมิ พพ์ ีบีซี
จำกดั .

๘๖

การเตรียมกำหนดการ
กำหนดการ คือ เอกสารที่จัดทำขึ้นเพื่อบอกลักษณะของงาน เป็นต้นว่า งานอะไร
ใครเปน็ ประธาน สถานที่ วัน เวลาในการจัดงาน ลำดบั ข้ันตอนของงาน การแต่งกาย เพื่อให้ผู้ท่ีร่วม
ในพธิ ๆี มีความเขา้ ใจตรงกันและทราบขน้ั ตอนของพิธี๑๑
กำหนดการมี ๔ ประเภท คอื

๑. หมายกำหนดการ
๒. หมายรับสงั่
๓. พระราชกิจ
๔. กำหนดการ
หมายกำหนดการ เป็นเอกสารแจ้งกำหนดขั้นตอนของงานพระราชพิธีโดยเฉพาะ
ลกั ษณะของเอกสารจะตอ้ งอา้ งพระบรมราชโองการ คอื ขน้ึ ต้นดว้ ยข้อความวา่ “นายกรฐั มนตรหี รอื
เลขาธิการพระราชวัง รับพระบรมราชโองการเหนือเกล้าฯ สั่งว่า...” เสมอไป และในทางปฏิบัติ
เจา้ หนา้ ที่จะต้องสง่ ตน้ หมายกำหนดการดังกล่าวนี้ เสนอนายกรฐั มนตรีหรือเลขาธกิ ารพระราชวังลง
นามรับสนองพระบรมราชโองการ
กำหนดการ คอื เอกสารแจง้ กำหนดข้ันตอนของงานโดยทั่วไป เป็นของส่วนราชการ
หรือส่วนเอกชนจัดทำขึน้ แม้ว่างานน้ันจะเป็นงานที่เกี่ยวข้องถึงเบือ้ งพระยุคลบาท เช่น งานเสด็จ
พระราชดำเนิน ถ้าหากงานนั้นมิได้เป็นงานพระราชพิธีซึ่งกำหนดขึ้นโดยพระบรมราชโองการแล้ว
เรียกว่า กำหนดการทั้งสิ้น เช่น ขั้นตอนของงานสวนสนามสำแดงความสวามิภักดิ์ของทหารรักษา
พระองค์ก็ใชค้ ำวา่ กำหนดการ เพราะงานนมี้ ิใช่พระราชพธิ ที ี่มีพระบรมราชโองการใหจ้ ดั ข้นึ หากแต่
เป็นทางราชการทหารจดั ข้ึน เพื่อสำแดงความสวามภิ กั ดิต์ อ่ เบ้ืองพระยคุ ลบาท

หลกั การเขยี นกำหนดการ
หลกั การเขยี นกำหนดการ กำหนดเปน็ ๓ สว่ น คอื สว่ นต้น สว่ นกลาง และสว่ นท้าย
สว่ นตน้ เป็นส่วนที่บอกชื่องาน สถานท่ี วัน เวลา ที่จะจัดงาน

๑๑ จนั ทรไ์ พจิตร, ประมวลพิธีมงคลของไทย : สมโภชหริ ณั ยบัฏ พระธรรมวโรดม (นิยม ฐานสิ สฺ โร
ป.ธ. ๙).กรงุ เทพมหานคร : หา้ งหุ้นส่วนจำกัด จงเจริญการพิมพ์, ๒๕๓๑.

๘๗

ตัวอยา่ งสว่ นตน้

ส่วนกลาง เขยี นลำดับข้ันตอนของกิจกรรมในงานพธิ ีน้ัน ๆ ต้งั แตเ่ ริ่มต้นจนถึงลำดับ
ขน้ั ตอนสดุ ทา้ ยของงานพธิ ี

ตัวอย่างส่วนกลาง

๘๘

ส่วนท้าย ด้านซ้ายของกำหนดการจะเขียนบอกในเร่ืองการแต่งกาย หรือหมายเหตุ
อื่น ๆสว่ นดา้ นขวาเขยี นบอก ชอ่ื ทอี่ ยู่ เบอร์โทรศพั ทท์ ส่ี ามารถติดต่อประสานงานได้ของหน่วยงาน
หรอื ผ้จู ัดทำกำหนดการ เนื่องจากเมื่อมปี ัญหาในกำหนดการสามารถประสานงานกนั ได้ทันเวลาก่อน
ถงึ พิธกี าร

ตัวอย่างส่วนท้าย

ข. องค์ความรู้เกยี่ วกับพระพทุ ธศาสนา

มัคนายก หรือปูุอาจารย์เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการส่งเสริม
พระพุทธศาสนาและปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมให้กับประชาชน ส่วนพระสงฆ์เป็นทั้งผู้ผลิต
ผู้ขายส่ง และขายปลีก โดยอาศัยธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าเปน็ วัตถุดบิ นอกจากนัน้ หากเปน็ ไป
ได้ พระสงฆ์ควรจะได้มีความเชี่ยวชาญทั้งทางด้านปริยัติและปฏิบัติ และควรมีความรู้ทางโลกตาม
สมควร เพอ่ื สามารถปลกู ศรัทธาให้แก่คนร่นุ ใหมไ่ ดต้ ามความเหมาะสม ฉะน้ันพระสงฆ์จะต้องปรับปรงุ
ตัวเองอยูเ่ สมอท้งั ทางธรรมและทางโลก

มัคนายกต้องปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมแก่ประชาชนและกลุ่มเปูาหมาย
ต่างๆ ด้วยตนเองทำนองเดียวกับการค้าปลีก นอกจากนั้นยังจะต้องสร้างผู้เผยแพร่ธรรมะทั้งฝ่าย
คฤหัสถ์และบรรพชิต ทำนองเดียวกับผู้ค้าส่งอีกด้วย ในหน้าที่ประการหลังนี้ฝ่ายสงฆ์จะต้องผลิต
ผู้บรรยายธรรมและผู้ฝึกที่มีคุณภาพจึงจะบังเกิดผล แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม การส่งเสริม
พระพทุ ธศาสนาและการปลกู ฝังธรรมะเป็นสว่ นรวมแก่ประชาชนหรือกลุ่มเปูาหมายใดๆ ก็ตาม เพื่อให้
เกิดผลตอ่ ความมั่นคงของชาตนิ ้ัน อยา่ งนอ้ ยท่สี ุดจะต้องปลกู ฝังให้ประชาชนท้งั หลายเป็นคนดี รังเกียจ
ความช่ัวมสี ัมมาทิฏฐิและเปน็ พลเมอื งดรี ู้และทำหน้าทข่ี องตนในดา้ นตา่ งๆ คือ

๑) ในดา้ นการเมือง
ในการปลูกฝังธรรมะและส่งเสริมพระพุทธศาสนานั้น จะต้องหยิบยกธรรมะ
ของพระบรมศาสดาสอนอยา่ งเหมาะสมเพื่อให้ประชาชนมีทศั นคติและพฤติกรรมดังตอ่ ไปนี้
คือ๑๒

๑๒ สัมภาษณ์, พระครวู สิ ุทธธิ รรมภาณี, เจ้าคณะอำเภอแมส่ าย, ๒๑ เมษายน ๒๕๖๕.


Click to View FlipBook Version