๘๙
(๑) เป็นพลเมืองดี รู้หน้าที่ รจู้ ักเลอื กคนดี มีสัปปรุ ิสสธรรม
(๒) มีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่มุ่งอามิส และไม่สนับสนุนคนไม่ดีโดยหวัง
ผลตอบแทนด้วยการเห็นแก่ได้ อันเปน็ การทำลายประชาธปิ ไตย
(๓) ไมล่ ุ่มหลงในอบายมขุ และพนนั ขันตอ่ ในการเลอื กต้ัง ทำใหค้ นเลวเขา้ มาเป็น ส.ส.
ในที่สุด
(๔) ถ้าจะสมัครเป็นผู้แทนไม่ว่าในระดับใด จะต้องมีกุศลเจตนาที่จะเข้าไปรับใช้
ประชาชนอย่างแท้จริง และต้องทำงานด้วยความบริสุทธิ์ต่อประชาชนโดยต้องปลูกฝังในเรื่องบาป
บญุ คณุ โทษและกฎแหง่ กรรม เปน็ อย่างมาก
(๕) ควรพยายามชักจูงพรรคการเมืองให้มีการบรรยายธรรมและปฏิบัติธรรมกันบ้าง
เพือ่ วางรากฐานคณุ ธรรมของนกั การเมือง
๒) ในดา้ นความม่ันคงของชาติ
ควรจะปลูกฝังธรรมะให้ประชาชนเข้าใจด้วยเหตุด้วยผลถึงความเลวในการปกครอง
แบบคอมมิวนิสต์ หรือ ประชาธิปไตยรวมศูนย์ อันเป็นการเผด็จการสมบูรณ์แบบ โดยนำพระธรรม
วนิ ยั มาชแี้ จงใหป้ ระชาชนเข้าใจว่าพระบรมศาสดาเปน็ นกั ประชาธิปไตยอย่างไร ตลอดจนหลักธรรมที่
สำคญั บางขอ้ ทเ่ี กีย่ วกับการปกครอง เช่น อปริหานิยธรรม ๗ สาราณยี ธรรม ๖ และทศิ ๖ เป็นตน้ ๑๓
๓) ในดา้ นเศรษฐกจิ
ควรปลูกฝังใหป้ ระชาชนเป็นผู้รูจ้ ักปรับตวั ปรบั อาชพี มีความขยันหมน่ั เพียรอุตสาหวิริ
ยะ และรู้จักหาทรัพย์ในทางท่ีชอบ ธรรมะเกี่ยวกับดา้ นเศรษฐกิจเหล่านี้มอี ยูม่ ากมาย เช่น นาถกรณ
ธรรม ๑๐ ประการ ทิฏฐธมั มกิ ัตถประโยชน์ ๔ ประการ จักร ๔ ประการ จักร ๔ อิทธิบาท ๔ คิหสิ ุข ๔
และการจดั สรรทรพั ย์โภควิภาค ๔ เป็นต้น นอกจากนน้ั ยงั มีธรรมะอีกหลายประการที่จำทำให้มีความ
อดกล้ัน อดทนและรจู้ กั สภาพธรรมะ และการเจริญสตปิ ัฏฐาน เปน็ ต้น
ธรรมะทั้งหลายเหล่านี้ เป็นเครื่องช่วยให้คนเราประสบความสำเร็จ และมีความสุข
ควบคู่กันไป โดยไม่เป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน มีความอุตสาหะ แต่มีโลภะ และอิสสา อันเป็น
ต้นเหตุแหง่ ความร่ำรวยเจรญิ กา้ วหน้า แตไ่ มม่ ีความสุขและความสงบ
๔) ในดา้ นสังคม
ในด้านสังคมนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของการปลูกฝัง คุณธรรมและจริยธรรม เพื่อให้
เป็นคนดี ละการทำชั่ว และมีการสงบแห่งจิตเป็นส่วนใหญ่ หากประชาชนคนไทยเป็นคนดีกัน เป็น
ส่วนมากแล้ว ทกุ อยา่ งก็จะดีตามไปเอง รวมทง้ั ความมั่นคงของชาติด้วย หากคนเรามหี ริ โิ อตตัปปะกัน
แล้ว ปญั หาทงั้ หลายจะลดลงไปเปน็ อย่างมากทีเดียว
๕ ด้านการปกป้องคมุ้ ครองพระพทุ ธศาสนา
มคั นายก คอื ชาวพุทธ หรือเหล่าพทุ ธบริษัท ๔ มหี นา้ ท่ีปกปอู งคมุ้ ครองพระศาสนาให้
มั่นคง โดยปกปอู งพระพทุ ธ พระธรรมและพระสงฆ์ รวมทง้ั วัฒนธรรม ดังน้ี
๑๓ สัมภาษณ์, พระรตั นมุนี,ผศ.ดร,.เจ้าคณะจังหวดั เชียงราย, ๒๑ เมษายน ๒๕๖๕.
๙๐
(๑) สนใจศึกษาหลักธรรมคำสอนอยู่เสมอและน าไปปฏิบัติให้ถูต้อง ทั้งการรักษาศีล
การปฏิบตั ิธรรม และการเจริญสมาธิ
(๒) ชว่ ยเผยแพรห่ ลกั ธรรมค าสอน โดยอธบิ ายให้ผอู้ ื่นเข้าใจอย่างถูกต้องชัดเจน หรือ
เผยแพรใ่ นรปู ของเอกสารสิ่งพมิ พ์หรือสือ่ ต่างๆ เท่าทีจ่ ะทำใด้
(๓) ไม่ควรส่งเสริมให้พระสงฆท์ ำกิจนอกเหนอื พุทธบญั ญัติ เชน่ ทำไสยศาสตร์ ทำนาย
โชคชะตาราศรี ใบห้ วย ทำเครอ่ื งรางของขลงั หรอื ประกอบพทุ ธพาณิชยอ์ น่ื ๆ
(๔) ส่งเสริมพระภิกษุสงฆ์ที่มีวัตรปฏิบัติน่าเลื่อมใสศรัทธา ปฏิบัติดี ปฏิบัติชิบ หรือ
เคร่งครัดในพระธรรมวินัยตามพุทธบัญญัติ โดยจัดกิจกรรมเชิดชูทั้งในระดับท้องถิ่น จังหวัดหรือ
ระดับประเทศ โดยความรว่ มมอื ระหว่างวัด สถานศึกษา ภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน
(๕) ไม่ทำลายศาสนสถานหรือศาสนสมบัติ เช่น โบสถ์ ภาพกิจกรรมฝาผนัง หรือ
สิง่ ของเคร่ืองใช้ภายในวัดใหช้ ำรดุ แตกหัด รวมทงั้ มสี ่วนร่วมอนรุ ักษพ์ ุทธวฒั นธรรมตา่ ง ๆ ในสงั คมไทย
เช่น ประเพณีทอดผา้ ป่า ทอดผ่ากฐิน ทำบญุ ตกั บาตร ฯลฯ
(๖) สอดส่องดูแลมิให้เกิดการกระทำอันเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยาม ลบหลู่ ทำลาย
หรือบดิ เบอื นพระพทุ ธศาสนา
เพราะฉะนั้นการที่มัคนายกจะเป็นผู้ปกปูองพระพุทธศาสนาได้ต้องประกอบด้วย
พรหมวิหาร พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมของพรหมหรือของท่านผู้เป็นใหญ่ พรหมวิหารเป็นหลักธรรม
สำหรับเคร่งครัดในพระธรรมวินยั ตามพุทธบัญญัติ โดยจัดกิจกรรมเชิดชูทั้งในระดับท้องถิน่ จังหวัด
หรือระดับประเทศ โดยความร่วมมือระหวา่ งวัด สถานศึกษา ภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน
ทุกคน เปน็ หลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชวี ิตอยไู่ ด้อยา่ งประเสรฐิ และบริสุทธิ์ หลักธรรมน้ี
ไดแ้ ก่
๑) เมตตา : ความปราถนาให้ผูอ้ ่ืนไดร้ บั สขุ ความสุขเป็นสงิ่ ท่ที กุ คนปรารถนา ความสุข
เกิดขึ้นได้ทั้งกายและใจ เช่น ความสุขเกิดการมีทรัพย์ ความสุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์เพื่อการ
บรโิ ภค ความสขุ เกดิ จากการไม่เปน็ หนี้และความสุขเกดิ จากการทำงานท่ปี ราศจากโทษ เปน็ ตน้
๒) กรุณา : ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ความทุกข์ คือ สิ่งที่เข้ามาเบียดเบียนให้
เกิดความไม่สบายกายไม่สบายใจ และเกิดข้นึ จากปัจจัยหลายประการดว้ ยกัน พระพุทธองค์ทรงสรุป
ไว้ว่าความทุกขม์ ี ๒ กลุม่ ใหญๆ่ ดังน้ี
ทุกข์โดยสภาวะ หรือเกิดจากเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย เช่น การเกิด
การเจบ็ ไข้ ความแก่และความตายสิง่ มีชีวิตทง้ั หลายท่ีเกิดมาในโลกจะต้องประสบกับการเปล่ียนแปลง
ทางรา่ งกายอยา่ งหลกี เลย่ี งไม่ได้ ซ่ึงรวมเรยี กว่า กายิกทุกข์
ทุกข์จรหรือทุกข์ทางใจ อันเป็นความทุกข์ที่เกิดจากสาเหตุที่อยู่นอกตัวเรา เช่น เมื่อ
ปรารถนาแลว้ ไมส่ มหวังก็เป็นทกุ ข์ การประสบกับส่ิงอนั ไม่เปน็ ที่รกั ก็เป็นทุกขก์ ารพลัดพรากจากสิ่งอัน
เปน็ ทร่ี กั ก็เปน็ ทุกข์ รวมเรียกว่า เจตสิกทกุ ข์
๓) มุทิตา : ความยินดีเมือ่ ผู้อื่นได้ดี คำว่า “ดี” ในที่นี้ หมายถึง การมีความสุขหรอื มี
ความเจริญก้าวหน้า ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีจึงหมายถึง ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขความ
เจริญก้าวหน้ายิ่งๆข้ึน ไม่มีจิตใจริษยา ความริษยา คือ ความไม่สบายใจ ความโกรธ ความฟุ่งซ่านซึง่
มักเกิดขึ้นเมื่อเห็นผู้อืน่ ได้ดีกว่าตน เช่น เห็นเพื่อนแต่งตวั เรียบรอ้ ยแล้วครูชมเชยก็เกิดความรษิ ยาจงึ
๙๑
แกล้งเอาเศษชอล์ก โคลน หรือหมึกไปป้ายตามเสื้อกางเกงของเพือ่ นนักเรียนคนนั้นให้สกปรกเลอะ
เทอะ เราต้องหมั่นฝึกหัดตนให้เป็นคนที่มีมุทิตา เพราะจะสร้างไมตรีและผูกมิตรกับผู้อื่นได้ง่ายและ
ลกึ ซง้ึ
๔) เบกขา : การรูจ้ ักวางเฉย หมายถึง การวางใจเปน็ กลางเพราะพิจารณาเห็นว่า ใคร
ทำดีย่อมไดด้ ี ใครท าชว่ั ย่อมไดช้ ว่ั ตามกฎแห่งกรรม คือ ใครทำสิ่งใดไวส้ ่งิ น้นั ยอ่ มตอบสนองคืนบุคคล
ผู้กระทำ เมื่อเราเห็นใครได้รับผลกรรมในทางที่เป็นโทษเราก็ไม่ควรดีใจหรือคิดซ้ำเติมเขาในเรื่องท่ี
เกดิ ขนึ้ เราควรมคี วามปรารถนาดี คอื พยายามช่วยเหลอื ผ้อู น่ื ให้พ้นจากความทกุ ข์ในลักษณะ๑๔
การอปุ ถัมภแ์ ละคุ้มครองพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
การอปุ ถมั ภ์และคุ้มครองศาสนธรรม
ได้แก่การสังคายนาพระธรรมวนิ ัยใหบ้ รสิ ุทธิ์บริบูรณแ์ ล้วศกึ ษาพระธรรมใหเ้ ข้าใจอย่าง
ลึกซงึ้ นำพระธรรมท่ไี ดร้ ้มู านำมาปฏบิ ตั ิ และเมื่อเห็นว่าปฏิบัติแลว้ เกดิ ผลดกี บั ตนเองกเ็ ผยแผ่ให้คนอื่น
ที่เรารักได้ปฏิบัติตาม ในการเปิดประเทศอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ จึงเป็นโอกาสดีที่ชาวพุทธใน
ประเทศอาเซียนจะรว่ มมือกันอปุ ถมั ภ์และคมุ้ ครองพระพุทธศาสนาเพื่อประโยชน์เกอื้ กูลและความสุข
ของมวลมนุษย์ท่ัวโลก
การอปุ ถมั ภ์และคมุ้ ครองศาสนบุคคล
ได้แกก่ ารสง่ เสริม สนับสนุนและอุปถมั ภบ์ ำรงุ ศาสนบคุ คลทเี่ ห็นวา่ ท่านปฏิบตั ิถูกต้อง
ตรงตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปกปูองคุ้มครองท่านเมื่อเห็นว่าท่านไม่ได้รับ
ความเป็นธรรม หรือเกิดความไมป่ ลอดภัย ร่วมมือกันในการสรรหาศาสนทายาทและสง่ เสริมพัฒนาให้
มีสมรรถภาพสูงไว้เปน็ กำลงั ในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา
การอุปถัมภแ์ ละคมุ้ ครองศาสนสถาน
ได้แก่การอุปถัมภ์บำรุงศาสนสถานโดยการก าหนดหลักเกณฑ์การสร้างวัดและตั้งวดั
ใหเ้ หมาะสมกระจายอำนาจการดแู ลรกั ษาวัดใหก้ ับชุมชนในพืน้ ท่เี พื่อให้มคี วามรูส้ ึกรัก หวงแหนและมี
ส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของวัด สละกำลังกาย กำลังทรัพย์และกำลังสติปัญญาในการสร้างซ่อมแซม
ศาสนาสถานเพอ่ื ให้เกดิ ประโยชนต์ อ่ การประกอบพธิ หี รือปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนา
การอุปถมั ภแ์ ละคมุ้ ครองศาสนวตั ถุ
ได้แก่การสร้าง ดูแลรักษาและเคารพบูชารูปเคารพพระพุทธเจ้าและพระสาวกและ
น้อมรำลึกถึงพระคุณอันยง่ิ ใหญท่ ี่ช่วยสรรพสตั วใ์ ห้รอดพน้ จากความทุกข์ โดยปกป้องและปอู งกนั ไมใ่ ห้
ใครมาดูหมิน่ เหยียดหยามและทำลาย
การอปุ ถมั ภ์และคมุ้ ครองศาสนพิธี
ได้แก่ศึกษาพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาให้รู้ซึ้งถึงคุณค่าความสำคัญ ช่วยกันรักษา
ประพฤติปฏิบัติตามพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาที่บรรพบุรุษได้เคยปฏิบัติและสืบทอดต่อกันมา
เพอ่ื ให้ลกู หลานได้ปฏบิ ตั ิสืบไป
๑๔ สัมภาษณ์, พระรตั นมนุ ี,ผศ.ดร,.เจา้ คณะจังหวัดเชียงราย, ๒๑ เมษายน ๒๕๖๕.
๙๒
ค. องค์ความรเู้ ก่ยี วกบั ราชพิธี และรัฐพิธี
งานพระราชพิธี เป็นงานที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ใหจ้ ัดขึ้นเปน็ ประจําทุกปีเช่น พระราชพิธฉี ัตรมงคล พระราชพธิ เี ฉลมิ พระชนมพรรษา หรืองานท่ีทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เช่น พระราชพิธีอภิเษกสมรส พระราชพิธีสมโภช
เดอื นและขึน้ พระอู่
งานรัฐพิธี งานรัฐพิธี เป็นงานพิธีที่รัฐบาลหรือทางราชการจัดขึ้นเป็นงาน
ประจาํ ปี โดยกราบทูลเชญิ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัว เสดจ็ เป็นประธานประกอบพิธี เช่น รัฐพิธีท่ี
ระลกึ วันจกั รี รัฐพธิ ฉี ลองวันพระราชทานรัฐธรรมนญู ซงึ่ ปัจจุบันทรงรับเขา้ เป็นงานพระราชพิธี
งานท้ัง ๓ นี้ จะมีหมายกําหนดการทุกงาน การนิมนต์พระสงฆ์และการ
ปฏิบัติศาสนพิธีเป็นหน้าที่ของฝ่ายพิธีกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม โดยปฏิบัติงานร่วมกับ
สํานกั พระราชวัง
หมายกําหนดการ
หมายกําหนดการ เป็นเอกสารแจ้งกําหนดขั้นตอนของงานพระราชพิธี
โดยเฉพาะลักษณะของเอกสารจะต้องอ้างพระบรมราชโองการ คือ ขึ้นต้นด้วยข้อความว่า
“นายกรฐั มนตรเี ลขาธิการพระราชวงั รับพระบรมราชโองการเหนือเกลา้ ฯ สัง่ วา่ ” เสมอไป และในทาง
ปฏิบัติหรือเจ้าหน้าที่จะต้องส่งหมายกําหนดการดังกล่าวนี้ เสนอนายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระ
บรมราชโองการ เพอื่ ใหเ้ ป็นพระบรมราชโองการท่ีถกู ต้องตามรัฐธรรมนูญ
หมายรบั สั่ง
หมายรับสั่ง เป็นเอกสารที่ออกถึงผู้มีตําแหน่งเข้าเฝ้าฯ ตาม
หมายกําหนดการหรือกําหนดการทั้งนี้ รวมถึงหมายที่สั่งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพระราชพิธี รัฐพิธี พิธี
ต่างๆ และผู้ที่ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาในเรื่องต่างๆ ตอนล่างสุดของหมายรับสั่งเขียนไว้ว่า
“ทั้งนี้ให้จัดการตามหน้าที่ และกําหนดวันตามรับสัง่ อย่าให้ขาดเหลือ ถ้าสงสัยให้ถามผู้รับรับสั่ง โดย
หน้าที่ราชการ” แล้วลงชื่อผู้รับรับสั่งผู้สั่งคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้รับรับสั่งคือเลขาธิการ
พระราชวงั
กําหนดการ
กําหนดการ เป็นเอกสารแจ้งกําหนดขั้นตอนของงานโดยทั่วไปที่ทาง
ราชการหรอื ส่วนเอกชนจดั ทําขนึ้ เอง แม้ว่างานนัน้ ๆ จะเป็นงานทเ่ี กยี่ วข้องกับเบื้องพระยุคลบาท เช่น
เป็นงานที่เสด็จพระราชดําเนินแต่ถ้างานนั้นมิใช่เป็นงานพระราชพิธี ซึ่งกําหนดขึ้นโดยพระบรมราช
โองการแล้ว เรียกวา่ กาํ หนดการทั้งส้ินเชน่ ขัน้ ตอนของงานสวนสนามสําแดงความสวามิภักด์ิของทหาร
รกั ษาพระองค์ กใ็ ชว้ า่ กาํ หนดการ เพราะงานนม้ี ิใช่พระราชพธิ ที ีม่ พี ระบรมราชโองการให้จัดขนึ้ หากแต่
ทางราชการทหารจดั ข้นึ เพ่อื สาํ แดงความสวามิภักดิต์ ่อเบอ้ื งพระยุคลบาท
ก า ร จ ั ด พ ิ ธ ี ข อ ง ส ่ ว น ร า ช ก า ร ใ น ว ั น ส ํ า ค ั ญ ท ี ่ เ ก ี ่ ย ว ก ั บ ส ถ า บั น
พระมหากษัตริย์
1. การจดั แบบมีพธิ ีสงฆ์ (งานมงคล และงานอวมงคล)
2. การจดั แบบไมม่ ีพิธสี งฆ์ (มเี ฉพาะถวายราชสกั การะ)
๙๓
พิธีบําเพ็ญกุศลเพือ่ น้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระมหากษัตริย์
หรือพระบรมวงศ์ที่ทรงพระชนม์อยู่ จัดแบบงานมงคล แต่ถ้าเป็นพิธีบําเพ็ญกุศลเพื่ออุทิศถวายแด่
พระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศ์ที่สวรรคตหรือสิ้นพระชนม์แล้ว จัดแบบงานอวมงคล การนิมนต์
พระสงฆ์ในพธิ ที งั้ ๒ นั้นควรใช้พระสงฆ์ จํานวน ๑๐ รูป
วนั สําคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตรยิ ว์ ันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวสํานักพระราชวังกําหนดการจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยหู่ วั ไว้ ๓ แบบ ดังนี้
แบบท่ี ๑ การลงนามถวายพระพร
แบบท่ี ๒ การลงนามถวายพระพร และชมุ นมุ สดุดีพระพร
ชยั มงคล
แบบที่ ๓ การลงนามถวายพระพร ชุมนุมสดุดี และ
บาํ เพญ็ กศุ ลถวายเป็นพระราชกศุ ล
แบบท่ี ๑ การลงนามถวายพระพร
- จัดสถานที่เตรียมรับรองผู้ที่จะมาลงนามถวายพระพร ตามแบบที่สํานัก
พระราชวังกําหนด
- ลงนามถวายพระพรแล้ว เดินไปหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ถวายความ
เคารพ ๑ คร้ัง
- การแต่งกาย ข้าราชการแตง่ เครื่องแบบปกติขาว พลเรือนแต่งชุดสภุ าพหรือ
สากล
แบบท่ี ๒ การลงนามถวายพระพร และชมุ นุมสดุดพี ระพรชัยมงคล
- จัดสถานที่เตรียมลงนามถวายพระพร และชุมนุมสดุดีถวายพระพรชัย
มงคล ตามแบบท่ีสํานักพระราชวงั กาํ หนด
- ลงนามถวายพระพร แล้วเขา้ ประจําที่ตามลาํ ดบั ตาํ แหน่งหน้าที่
- ประธานเดินไปที่หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ เปิดกรวยถวายราชสักการะ
แลว้ ถอยออกมาเพอื่ ถวายความเคารพ ทุกคนถวายความเคารพพรอ้ มประธาน
- ประธานอา่ นคาํ สดุดเี ฉลมิ พระเกียรติถวายพระพรชัยมงคล
- ดรุ ิยางค์บรรเลงเพลงสรรเสรญิ พระบารมี
- ทกุ คนถวายความเคารพพรอ้ มกนั
- เสร็จพธิ ี
- การแตง่ กาย ขา้ ราชการแต่งเคร่ืองแบบเตม็ ยศ พลเรือนแตง่ ชุดสภุ าพหรือ
สากล
ง. องค์ความรเู้ กีย่ วกบั ภมู ปิ ัญญาท้องถิน่ ลา้ นนา
- ตวั หนงั สือพืน้ เมืองล้านนา
อกั ษรธรรมล้านนา หรอื ตัวเมอื ง พฒั นามาจากอักษรมอญโบราณ
เช่นเดียวกบั อกั ษรพม่า อกั ษรชนดิ นใ้ี ช้ในอาณาจกั รล้านนาเมื่อราว พ.ศ. 1802 จนกระท่ังถูกพม่ายึด
๙๔
ครองใน พ.ศ. 2101 ปัจจุบันใช้ในงานทางศาสนา พบได้ทั่วไปในวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย
(สว่ นทีเ่ ปน็ เขตอาณาจักรล้านนาเดิมและเขตทไ่ี ด้รับอิทธิพลวฒั นธรรมลา้ นนาบางแหง่ ) นอกจากนี้ยัง
แพร่หลายถึงไปถึงเขตรัฐไทยใหญ่แถบเมืองเชียงตุง ซึ่งอักษรทีใ่ ช้ในแถบนัน้ จะเรียกชื่อว่า "อักษรไต
เขิน" มีลกั ษณะทเี่ รยี บง่ายกว่าตัวเมอื งที่ใชใ้ นแถบลา้ นนา
อนึ่ง อักษรธรรมล้านนายังได้แพร่หลายเข้าไปยังอาณาจักรล้าน
ช้างเดิมผ่านความสัมพันธ์ทางการทูตและทางศาสนาระหว่างล้านนากับล้านช้างในช่วงปลายพุทธ
ศตวรรษท่ี 21 ร่วมสมัยกับพระเจ้าโพธิสารราชและพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งล้านช้าง เป็นต้นเค้า
ของการวิวัฒนาการของแบบอักษรท่ีเรียกว่าอักษรธรรมลาว(หรอื ท่ีเรียกในภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื
ของไทยว่า "อักษรธรรมอีสาน") ในเวลาตอ่ มา
อกั ษรธรรมล้านนาจัดตามกลุม่ พยัญชนะวรรคตามพยญั ชนะภาษา
บาลี แบ่งออกเป็น 5 วรรค วรรคละ 5 ตัว เรียกว่า“พยัญชนะวรรค”หรือ“พยัญชนะในวรรค”อีก 8
ตวั ไมจ่ ดั อย่ใู นวรรคเรียกว่า“พยัญชนะอวรรค”หรือ“พยัญชนะนอกวรรค”หรือ“พยัญชนะเศษวรรค”
สว่ นการอ่านออกเสียงเรียกพยัญชนะทั้งหมดนน้ั จะเรียกวา่ “ตวั๋ ”เช่น ตวั๋ กะ/ก/ ต๋ัว ขะ/ข/ ต๋ัว จะ/
จ/ เป็นต้น
พยญั ชนะปกติ
อกั ษรไทยทป่ี รากฏเป็นการถา่ ยอกั ษรเทา่ น้นั เสียงจริงของอักษรแสดงไวใ้ นสัทอักษร
สากล ซ่ึงอาจจะออกเสยี งต่างไปจากอกั ษรไทย
พยญั ชนะซ้อน (ตวั ซ้อน) เป็นพยญั ชนะท่ีใส่ไวใ้ ตพ้ ยญั ชนะตวั อื่นเพ่ือทำหนำ้ ที่อยำ่ ง
ใดอยำ่ งหน่ึงดงั น้ี คอื
๑. เพือ่ หำ้ มไมใ่ ห้พยญั ชนะท่ไี ปซ้อน (ตวั ข่ม) ออกเสียงสระอะ หรือ
๒. เพื่อทำหนำ้ ที่เป็นตวั สะกด ซ่ึงพยญั ชนะท่ีลำ้ นนำรับมำจำกภำษำอื่นต้งั แต่แรกจะมี
รูปพยญั ชนะซ้อนทุกตัว ยกเว้น กับ เท่ำน้ันที่ไม่มี พยญั ชนะที่มีรูปพยญั ชนะซ้อนมี
ดงั ต่อไปน้ี
๙๕
๔.๑.๒ พิธีเกย่ี วกบั พระพทุ ธศาสนา
ก. การไหว้พระ
การแสดงความเคารพ ถอื เป็นกิริยาท่าทางของมารยาทไทยที่สุภาพ
เรียบร้อยในการร่วมประกอบพิธกี รรมต่าง ๆ ทางศาสนา ที่ถูกต้องตามระเบียบแบบแผน
และเหมาะสมตามกาลเทศะ ซึ่งครอบคลุมถงึ การแสดงความเคารพ โดยการไหว้ การกราบ
การคานับ การรับของและส่งสิ่งของเป็นต้น การแสดงความเคารพ ถือเป็นมารยาทไทย
อย่างหน่งึ ทแี่ สดงความอ่อนน้อมถอ่ มตนของเดก็ ทมี่ ีต่อผูใ้ หญ่
๑. การไหว้ คือ การประนมมือ และการไหว้ ประกอบด้วยกิริยา
๒ ส่วนด้วยกัน คือส่วนที่ ๑ การประนมมือ หรือที่เรียกว่า “อัญชลี” เป็นการแสดงความ
เคารพ โดยการประนมมือเล็กน้อยใหป้ ลายน้วิ มือทั้งสองข้างชดิ กัน ฝา่ มือท้ังสองประกอบ
เสมอกนั แนบระหว่างอก ปลายนิว้ เฉียงข้ึนพอประมาณ แขนแนบลาตัวไม่กางศอก ทั้งชาย
และหญิงปฏิบัติเหมือนกันหรือผู้ที่มีความอาวุโสกว่า ซึ่งมีอยู่หลายลักษณะ เช่น
การประนมมอื การไหว้ การกราบ การคานับ ซง่ึ เมอื่ นามาใช้ในการเขา้ รว่ มศาสนพธิ ีต่าง ๆ
สามารถปฏิบตั ไิ ด้ดงั น้ี
ส่วนที่ ๒ การไหว้ (วันทา) เป็นการแสดงความเคารพโดยการ
ประนมมือ แล้วยกมือทั้งสองขึน้ จรดใบหน้า แสดงถึงความเคารพ ซึ่งแบ่งได้เป็น ๓ ระดับ
ตามระดบั บคุ คล คอื
ระดับที่ ๑ การไหว้พระ ได้แก่ การไหว้พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ รวมทั้งปชู นยี สถานปูชนยี วัตถุ ทเี่ ก่ียวกับพระพุทธศาสนา ใช้ในกรณที ไ่ี ม่สามารถ
กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ได้ ให้ประนมมือและยกขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะลงให้หัวแม่
มอื จรดหวา่ งคิ้ว ปลายน้ิวช้ีแนบสว่ นบนของหน้าผาก
ระดับที่ ๒ การไหว้ผู้มีพระคุณและผู้ที่มีอายุมากได้แก่ ปู่ ย่า ตา
ยาย พ่อ แม่ ครูอาจารย์และผู้ที่เราเคารพนับถือ ให้ประนมมือแล้วยกขึ้น พร้อมกับค้อม
ศีรษะลงใหห้ วั แมม่ ือจรดปลายจมูกปลายนว้ิ ชแี้ นบหว่างคว้ิ
ระดับที่ ๓ การไหว้บุคคลทั่วๆ ไป ที่เคารพนับถือหรือผู้ที่มีอายุ
มากกว่าเล็กน้อยให้ประนมมอื แล้วยกขึ้นพรอ้ มกบั คอ้ มศีรษะลง ใหห้ วั แมม่ ือจรดปลายคาง
ปลายน้ิวชีแ้ นบปลายจมกู หากจะใชแ้ สดงความเคารพผทู้ ี่มอี ายุเท่ากนั หรอื เพือ่ นกัน ให้ยืน
ตรงไหว้และไมต่ อ้ งคอ้ มศีรษะ
ข. การสวดมนต์
๙๖
การสวดมนต์เพื่อป้องกันภัยนั้น จะเกิดอานุภาพมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ
ความเชื่อมั่นในบทสวดและความตั้งใจของผู้สวดเป็นสำคัญ เพราะพุทธมนต์แต่ละบทล้วนมีพลัง
อานุภาพและความศักด์ิสทิ ธิ์อยู่ในตัวแลว้ เพียงแต่วา่ ใครจะสามารถนำออกมาใชใ้ หเ้ กิดผลได้มากหรือ
น้อยกวา่ กนั เท่านั้น
การสวดมนต์เปน็ การแสดงออกด้วยด้วยคำพดู เปน็ การพูดด้วยเมตตาจิต จึงเชื่อกัน
วา่ จะขับไล่ความช่ัวร้ายออกไปและนำมาซงึ่ สง่ิ ที่ดี แม้การฟังสวดมนตก์ ถ็ ือว่าจะไดร้ ับอานิสงส์เช่นนั้น
เหมือนกัน คำพูดถือว่าเป็นตัวแทนของอำนาจที่ปรากฏในอินเดียโบราณ เพราะคำพูดเป็นเครื่องมอื
สื่อสารระหว่างสวรรค์และโลก โดยผ่านการประกอบพิธีบูชายัญ กล่าวกันว่าสรสวตีได้ส่งทอดอำนาจ
แก่พระอนิ ทร์ด้วยคำพูด ก็คือ วาจา และท้าวปชาบดีผู้เป็นใหญ่แห่งส่ิงมีชวี ิตถูกเรียกว่า เป็นจ้าวแหง่
บทสวด เปน็ ผ้สู ร้างบทสวด บทเพลงสวดของท่านล่องลอยไปทัว่ แดน
ความสำคัญของบทสวดมนต์ในลา้ นนา๑๕
การเจริญพระพทุ ธมนต์มีจุดกำเนิดมาจากการศึกษาเล่าเรียนพระพุทธพจน์ เพื่อ
ทรงจำและสืบตอ่ คำส่ังสอนของพระพุทธองค์โดยตรง โดยพระสงฆ์สาวกสมัยพุทธกาลไดน้ ำพระสูตร
ต่างๆ มาสวดสาธยายในรูปแบบการบริกรรมภาวนาให้เกิดเป็นสมาธิ จึงเรียกว่า พระพุทธมนต์ เม่ือ
บริกรรมภาวนาพระพทุ ธพจนจ์ นจิตเป็นสมาธิ ย่อมเกดิ พลานุภาพในดา้ นต่างๆ และใช้เป็นแบบแผน
ต่อมาจนถึงปจั จบุ นั บทสวดมนต์ทใ่ี ชใ้ นปัจจุบันมีมาก แตกตา่ งกนั ไปตามแต่วดั ไหนจะเลือกสวดบทใด
เพราะเป็นการนำเอาพระสูตรต่างๆ ในพระไตรปฎิ กมาสวดสาธยาย
อย่างไรก็ตาม แม้การสวดมนต์ในแตล่ ะวัดจะมีความแตกต่างกันบา้ ง แต่ก็มีบทท่ี
บรุ พาจารย์วางไวเ้ ปน็ กรอบ และยดึ ถือเปน็ แบบแผนรว่ มกนั โดยใช้วิธสี วดแบบ "เจด็ ตำนาน" กำหนด
บทสวด ๗ บทเป็นหลักบ้าง ใช้วิธีสวดแบบ "สิบสองตำนาน" กำหนดบทสวด ๑๒ บทเป็นหลักบ้าง
และใช้วิธีสวดแบบ "นพเคราะห์" โดยกำหนดบทสวดตามกำลังจักราศี เพื่อให้ต้องตามคตินิยมของ
โลกเป็นหลักบ้าง สำหรับบทสวดมนต์ที่ใช้ในที่หนังสือเล่มนี้ จะเลือกใช้วิธีสวดแบบ "นพเคราะห์"
เพราะเหน็ วา่ มีบทสวดมนต์ที่ครอบคุม หลากหลาย และเป็นวธิ ที พี่ ระสงฆ์ใชเ้ ป็นแบบในการเจริญพุทธ
มนตใ์ นงานพธิ ตี ่างๆ อยู่ในปัจจบุ นั
๑๕ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต ), พุทธานุภาพในการสวดมนต์, พิมพ์ครั้งท่ี ๙, (กรุงเทพมหานคร :
มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๓), หนา้ ๓๑๒.
๙๗
บทสวดมนต์ในล้านนา๑๖
สวดมนต์เมืองเหนอื ฉบบั หม้อแกง๋ ตอง๑๗
๑. บทขัด
ผะริตตั๋วนะ เมตตั๋ง สะเมตต๋า ภะตันต๋า อะวิกขิตตะจิตต๋า ปะริตตั๋ง
ภะณันตุ ฯจมุ นมุ เตวะดาสกั เก กา๋ เม จะ รเู ป๋ กริ๊ ิสิขะระตะเฏ๋ จ๋ันตะลิกเข วมิ าเน, ตเี ป๋ รฏั เฐ จะ กาเม
ตะรุวะนะก๊ะหะเน เกหะ(อารามะ) วัตถุมหิ เขตฺเต๋, ภุมฺมา จ๋ายันตุ เตวา จ๊ะละถะละวิสะเม ยักขะ
กันธัปป๊ะนากา, ติฏฐันต๋า สันติเก๋ ยัง มุนิวะระวะจะนัง สาธะโว เม สุณันตุ ฯ ธัมมัสสะวะนะก๋าโล
อะยัมภะตนั ต๋า (๓ เต้อื )
๒. บุปปะ๊ ภากะ๊ นะมะกา๋ ระ
นะโม ตัสสะ ภะก๊ะวะโต๋ อะระหะโต๋ สมั มาสมั ปุต๊ ธัสสะ(๓ เตื้อ)
๓. สะระณะก๊ะมะนะปา๋ ฐะ
ปุ๊ตธัง สะระณัง กั๊จฉามิ, ธัมมัง สะระณัง กั๊จฉามิ, สังฆัง สะระณัง
กั๊จฉามิ ฯ ตุ๊ตยิ ัมปิ ปุต๊ ธงั ฯ ตตุ๊ ยิ มั ปิ ธัมมงั ฯ ตตุ๊ ยิ ัมปิ สงั ฆงั ฯ ตะตยิ มั ปิ ปตุ๊ ธัง ฯ ตะติยัมปิ ธัมมัง ฯ
ตะตยิ ัมปิ สงั ฆัง ฯ
๔. ต๊วตติ๋งสะปุ๊ตธา
นะโม เม สัปป๊ะปุ๊ตธานัง วะระลักขะโน ตั๋ณหังกะโร มะหาวีโร เมธังกะโร
มะหายะโส สะระณงั กะโร โลกะหโิ ต๋ ตีป๋งั กะโร จุ๊ตน๋ิ ธะโร โกณ๋ ฑญั โญ จะ๊ นะปา๋ โมกโข มงั ก๊ะโล ปุริสา
สะโภ สุมะโน สมุ ะโน ธโี ร เรวะโต๋ ระติวฑั ฒะโน โสภิโต๋ กณุ๊ ะสมั ปั๋นโน อะโนมะตัส๊ สี จะ๊ นตุ ตะโม ปะตุ๊
โม โลกะปัจโจโต๋ นาระโต วะระสาระถี ปะตุ๊มุตตะโร สัตตะสาโร สุเมโธ อักก๊ะปุกก๊ะโล สุจาโต
สัปป๊ะโลกักโก ปยิ ะต๊ัสสี นะราสะโภ อตั ถะตั๊สสี ก๋ารณุ โิ ก๋ ธัมมะตั๊สสี ตะโมนโุ ต สติ ธ๊ัตโถ๋ อะสะโม โล
เก๋ ติสโส จะ วะตะ๊ ต๋งั วะโร ปุสโส จะ วะระโต ปุต๊ โธ วิปสั สี จะ อะนุปะโม สขิ ี สปั ป๊ะหิโต๋ สัตถา๋ เวสสะ
ภู สุขะตายะโก๋ กะกุสันโธ สัตถาวาโห โก๋นาก๊ะมะโน ระณัญจ๊ะโห กัสสะโป๋ สิริสัมปั๋นโนโกตะโม สัก
เกี๊ยะปุ๋งก๊ะโว ฯ อัฏฐะวีสะติ สังขาต๋า อิเม ปุ๊ตธา มะหิตธิก๋า กะรุณา กุ๊ณะสัมปั๋นนา สัปป๊ะโลก๋าภิ
๑๖ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตโต ), จติ ตานภุ าพ, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๘, (กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราช
วทิ ยาลยั , ๒๕๔๒), หน้า ๑๒.
๑๗ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช),การบวชในพุทธศาสนา,เนื่องในโอกาสฉลองการสถาปนา
๔๐ ปีมหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่,๒๕๔๗).
๙๘
ปจู ิ๊ต๋า เอเต๋ ต๊ะสะ ป๊ะลา ปุ๊ตธา อุตตะมา อักกะปกุ กะลา เต๋ปิ สงั ฆะกุ๊ณา อาสุง ปตี ิเย อะมะต๋งั
ปะตัง เอเต๋ ปตุ๊ ธา อะตีต๋า จะ มงั กะลา โหนติ สัปป๊ะตา อฏั ฐะวสี ะติ เม ปตุ๊ เธ อะหัง วันตามิ สปั ป๊ะตา
เต๋สัง ญาเณนะ สีเลนะ ขันตี๋เมตต๋าป๊ะเลนะ จะ เต๋ปิ โน อะนุรักขันตุอาโรกะ๊ เยนะ สุเขนะ จะ อัฏฐะ
วสี ะติ เม ปตุ๊ เธ โย นะโร สะระณัง ก๊ะโต๋ กปั ป๋านิ สะตะสะหสั สานิ ตุ๊กก๊ะติง๋ โส นะ ก๊จั ฉะติ อฏั ฐะวสี ะ
ติ ปุต๊ ธะปะริตตงั๋
๕. สมั ปุต๊ เธ
สัมปุ๊ตเธ อัฏฐะวีสัญจะ ตัวต๊ะสัญจะ สะหัสสะเก๋ ปั๋ญจะสะตะสะหัสสานิ นะ
มามิ สิระสา อะหัง เต๋สัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาต๊ะเรนะ นะมามิหัง นะมะก๋ารานุภาเวนะ หันตั๋ว
สัปเป อุปัตต๊ะเว อะเนก๋า อันตะรายาปิ วินัสสันตุ๋ อะเสสะโต๋ ฯ สัมปุ๊ตเธ ปั๋ญจะปั๋ญญาสัญจะ จะตุ
วีสะตสิ ะหัสสะเก๋ ต๊ะสะสะตะสะหัสสานิ นะมามิ สริ ะสา อะหัง เต๋สัง ธมั มญั จะ สงั ฆญั จะ อาต๊ะเรนะ
นะมามหิ ัง นะมะกา๋ รานุภาเวนะ หนั ตว๋ั สัปเฺ ป อุปตั ตะ๊ เว อะเนกา๋ อนั ตะรายาปิ วินัสสันตุ๋ อะเสสะโต๋
ฯ สัมปุ๊ตเธ นะวุตฺตะระสะเต๋ อัฏฐะ จัตต๋าฬีสะสะหัสสะเก๋ วีสะติ-สะตะสะหัสสานิ นะมามิ สิระสา
อะหงั เตส๋ งั ธัมมัญจะ สงั ฆญั จะ อาตะ๊ เรนะ นะมามิหงั นะมะก๋ารานภุ าเวนะ หันตั๋ว สัปเป อุปัตต๊ะเว
อะเนกา๋ อันตะรายาปิ วินสั สันตุ อะเสสะโต๋ ฯ
๖. นะมะก๋าระสิทธิกาถา
โย จกั ขมุ า โมหะมะลาปะกฏั โฐ สามัง วะ ปุต๊ โธ สกุ ะ๊ โต๋ วมิ ตุ โต๋ มารัสสะ
ป๋าสา วนิ ิโมจะยนั โต๋ ปา๋ เปส๋ ิ เขมงั จ๊ะนะตง๋ั วินัยยงั ปตุ๊ ธงั วะรันตั๋ง สิระสา นะมามิ โลกัสสะ นาถัญ
จะ วินายะกญั๋ จะ ต๋ันเตจ๋ ๊ะสา เต๋ จะ๊ ยะสทิ ธิ โหตุ สัปปนั ตะรายา จะ วินาสะเมนตุ ฯ
ธมั โม ธะโจ โย วยิ ะ ตสั สะ สตั ถุ ต๊สั เสสิ โลกัสสะ วิสตุ ธิมกั กัง นิยยานโิ ก๋
ธัมมะธะรัสสะ ธารี สาตาาวะโห สันติกะโร สุจิ๋ณโณ ธัมมัง วะรันตั๋ง สิระสา นะมามิ โมหัปปะตาลัง
อุปะสันตะตาหัง ตนั๋ เต๋จะ๊ สา เต๋ จะ๊ ยะสิทธิ โหตุ สปั ปันตะรายา จะ วินาสะเมนตุ ฯ
สตั ธมั มะเสนา สกุ ะ๊ ต๋านโุ ก โย โลกัสสะ ปา๋ ปปู๋ ะกเิ ลสะเจตา สนั โต สะยัง
สนั ตินิโยจ๊ะโก๋ จะ สวากขาตะธัมมัง วติ ๊ติ ๋ัง กะโรติ สงั ฆัง วะรนั ต๋ังสิระสา นะมามิ ปุ๊ตธานปุ ุต๊ ธัง สะมะ
สีละตฏ๊ิ ฺฐงิ ต๋ันเตจ๋ ะ๊ สา เต๋ จ๊ะยะสทิ ธิ โหตุ สัปปันตะรายา จะ วินาสะเมนตุ ฯ
๗. นะมะก๋ารัฏฐะปะตะ๊
นะโม อะระหะโต๋ สัมมา สัมปุ๊ตธัสส มะเหสิโน นะโม อุตตะมะธัมมัสสะ
สวากขาตัสเสวะ เต๋นิธะ นะโม มะหาสังฆัสสาปิ วิสุตธะสีละติ๊ฏฐิโน นะโม โอมาตเตียรัทธัสสะ ระ
ตะนตั ตะยสั สะ สาธุกง๋ั นะโม โอมะกา๋ ตต๋ี ัสสะ ตสั สะ วัตถุตตะยัสสะปิ นะโม กา๋ รปั ปะภาเวนะ วิกั๊จฉนั
๙๙
ตุ อปุ ตั ต๊ะวา นะโม ก๋ารานุภาเวนะสวุ ตั ถ๋ิ โหตุ สปั ปะ๊ ตา นะโม ก๋ารสั สะ เต๋เจนะ วิธมิ หิ โหมิ เต๋จ๊ะวา
ฯ ๘. บทขดั สูตรมนตเ์ จด็ ตำ๋ นาน
สาสะนัสสะ จะ โลกัสสะ วุฑฺฒี ภะวะตุ สัปป๊ะตา สาสะนัมปิ จะ โลกั๋ญจะ
เตวา รักขันตุ สัปป๊ะตา สัทธิง โหนตุ สุขี สัปเป ปะริวาเรหิ อัตตะโน อะนีฆา สุมะนา โหนตุสะหะ
สัปเปหิ ญาติภิ ฯ
๙. ราจ๊ะโต๋
ราจ๊ะโต๋ วา โจ๋ระโต๋ วา มะนสุ สฺ ะโต๋ วา อะมะนุสสะโต๋ วา อักกโิ๊ ต๋ วา อุต๊ะ
กะโต๋ วา ปิสาจะโต๋ วา ขาณุกะโต๋ วา กณ๋ั ฏะกะโต๋ วา นกั ขตั ตะโต๋ วา จะ๊ นะปะตะ๊ โรกะ๊ โต๋ วา อะสัต
ธัมมะโต๋ วา อะสันตฏ๊ิ ฺฐโิ ต๋ วา อะสัปปุรสิ ะโต๋ วา จณั๋ ตะ๊ หตั ถิอัสสะมกิ ๊ะโกณะกุกกุระอะหิวิจฉิกะมะนิ
สัปปะตีปิ อัจฉะตะรจั ฉะสุกะระมะหิสะ ยกั ขะรกั ขะสาตีหิ นานาภะยะโต๋ วา นานาโรก๊ะโต๋ วา นานา
อปุ ตั ต๊ะวะโต๋ วาอารักขงั กณั หนั ตุ ฯ
ปะนิธานะโต๋ ปฏั ฐายะ ตะถากะ๊ ตัสสะ ต๊ะสะ ปา๋ ระมิโย ตะ๊ สะ อุปะป๋า
ระมโิ ย ตะ๊ สะ ป๋ะระมัตถะป๋าระมโิ ย ปญั๋ จะ มะหาปะรจิ จ๋าเก ตสิ โส จ๋ารยิ า ปัจฉิมปั ภะเว กปั ภาวักก๋ัน
ติ๋ง จาติ๋ง อะภิกนิกขะมะนัง ป๋ะธานะจะริยัง โปธิปัลลังเก๋ มาระวิจ๊ะยังสัปปัญญุตะญาณัปปะฏิเวธัง
นะวะ โลกุตตะระธัมเมติ สัปเปปิเม ปุ๊ตธะกเุ๊ ณ อาวัจจ๊ิตต๋วั เวสาลยิ า ตสี ุ ปา๋ กา๋ รันตะเรสุ ตยิ ามะรัตต๋ิง
ปะริตตง๋ั กะโรนโต๋ อายัสสะหมา อานนั ตั๊ตเถโร วิยะ ก๋ารุญญะจิตตัง๋ อุปฏั๋ ฐะเปตตัว๋ ฯ
โกฏิสะตะสะหัสเสสุ จักกะวาเฬสุ เตวะต๋ายัสสาณัมปะฏิกกัณหันติ
ยัญจะ เวสาลิยัมปุเร โรกามะนสุ -สะตุ๊ปภกิ ขะสมั ภูต๋นั ตวิ ิธัมภะยัง ขปิ ปะมนั ตะระธาเป๋สิ ปะริตต๋ันตั๋ม
ภะณามะเห ฯ
๑๐. มงั ก๊ะละสตุ ต๋ัง
อะเสวะนา จะ ปาลานัง ปั๋ณดิต๋านัญจะ เสวะนา ปู๋จา จะ ปู๋จ๊ะนยี านงั
เอตั๋มมังก๊ะละมุตตะมัง ปะฏิรปู ะเตสะวาโสจะ ปุปเป จะ กะตะปุ๋ญญะตา๋ อัตตะสัมมาปะณธิ ิ จะเอตั๋ม
มังก๊ะละมตุ ตะมงั ปาหสุ ัจจญั๋ จะ สิปป๋ญั จะ วนิ ะโย จะ สุสกิ ขโิ ต๋ สุภาสิตา๋ จะ ยาวาจ๋า เอตั๋มมังก๊ะละ
มตุ ตะมงั มาต๋าปิตอุ ปุ ัฏฐานัง ปตุ ตะตารสั สะ สังก๊ะโห อะนากลุ า จะ กมั๋ ม๋นั ต๋า เอตั๋มมังก๊ะละมุตตะมัง
ตานัญจะ ธัมมะจะริยา จะญาตะก๋านัญจะ สังก๊ะโห อะนะวัจจานิ กั๋มมานิ เอตั๋มมังก๊ะละมุตตะมัง
อาระต๋ี วิระตี๋ ปา๋ ปา๋ มจั จะ๊ ป๋านา จะ สัญญะโม อปั ปะมาโต๋ จะ ธมั เมสุ เอตัม๋ มงั ก๊ะละมุตตะมัง การะ
โว จะ นวิ าโต๋ จะ สนั ตฏุ ฐี จะ กะตญ๋ั ญตู า๋ กา๋ เลนะ ธมั มัสสะวะนงั เอต๋ัมมังกะ๊ ละมุตตะมัง ขันต๋ี จะ โส
วะจสั สะตา๋ สะมะณานญั จะ ตสั สะนัง กา๋ เลนะ ธมั มัสสากจั ฉา เอต๋ัมมังกะ๊ ละมุตตะมัง ตะโป๋ จะ พรัม
มะจะริยัญจะ อะรยิ ะสัจจ๋านะ ตสั สะนัง นิปปานะสจั ฉิกริ ยิ า จะ เอต๋ัมมังก๊ะละมตุ ตะมงั ผุฏฐัสสะ โล
๑๐๐
กะธัมเมหิ จิตตงั๋ ยสั สะ นะ กัม๋ ปะติ อะโสก๋ัง วริ ะจงั เขมงั เอตั๋มมังก๊ะละมุตตะมัง เอต๋าติ๊สานิ กัต
ตั๋วนะ สัปปั๊ตถะมะปะราจิต๋า สัปปั๊ตถะ โสตถิง กั๊จฉันติ ตั๋นเต๋สั๋ง มังก๊ะละมุตตะมันติฯมหามังกะ๊ ละ
สุตตั๋ง ฯ
๑๑. ระตะนะสตุ ต๋งั
ยงั กิ๋ญจิ วิตตั๋ง อิธะวา หุรัง วา สักเกสุ วา ยงั ระตะนัง ปะณีตั๋ง นะโน สะมงั
อัตถิ ตะถากะ๊ เตน๋ ะ อติ มั ปิ ปุ๊ตเธ ระตะนงั ปะณีต๋ัง เอเตน๋ ะ สจั เจ๋นะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
ขะยัง วิรากงั อะมะต๋ัง ปะณีต๋งั ยะตจ๊ั จ๊ะกา สักเกี๊ยยะมุนี สะมาหโิ ต๋ นะเต๋
นะ ธมั เมนะ สะมัตถิ ก๋ญิ จิ อติ มั ปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณตี ั๋ง เอเตน๋ ะ สจั เจ๋นะ สวุ ัตถิ โหตุ ฯ
ยัมปุต๊ ธะเสฏโฐ ปะรวิ ัณณะยี สุจง๋ิ สะมาธิมาณนั ตะรกิ ๋ัญญะมาหุ สะมาธิ
นา เตน๋ ะ สะโม นะ วิจจะ๊ ติ อติ มั ปิ ธัมเม ระตะนงั ปะณตี ั๋ง เอเตน๋ ะ สจั เจน๋ ะ สวุ ัตถิ โหตุ ฯ
เย ปกุ ก๊ะลา อัฏฐะ สะตัง๋ ปะสฏั ฐา๋ จัตต๋าริ เอต๋านิ ยกุ านิ โหนติ เต๋ ตั๊กขิ
นัยยา สุก๊ะตัสสะ สาวะกา๋ เอเต๋สุ ตนิ นานิ มะหปั ผะลานิ อติ มั ปิ สงั เฆ ระตะนงั ปะณีตงั๋ เอเต๋นะ สจั เจ๋
นะ สวุ ตั ถิ โหตุ ฯ
เย สุปปะยุตต๋า มะนะสา ตัฬเหนะ นิกก๋ามิโน โกตะมะสาสะนัมหิ เต๋
ปัตติปัตต๋า อะมะตง๋ั วกิ ัยหะ ลตั ธา มธุ า นิปปุ๊ตตง๋ิ ภุญจะ๊ มานา อิตัมปิ สงั เฆ ระตะนัง ปะณีตั๋ง เอเต๋
นะ สจั เจน๋ ะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
เย สุปปะยุตต๋า มะนะสา ตัฬเหนะ นิกก๋ามิโน โกตะมะสาสะนัมหิ เต๋
ปตั ตปิ ัตตา๋ อะมะตัง๋ วิกยั หะ ลัตธา มธุ า นปิ ปุ๊ตติ๋ง ภญุ จ๊ะมานา อิตมั ปิ สงั เฆ ระตะนัง ปะณีตั๋ง เอเต๋
นะ สจั เจน๋ ะ สวุ ัตถิ โหตุ ฯ
ขณี งั ปรุ าณงั นะวัง นตั ถิ สมั ภะวัง วริ ตั ตะจติ ตา๋ ยะตเิ ก๋ ภะวัสสะหมิง เต๋
ขีณะปีจา อะวิรฬุ หฉิ นั ตานปิ ปันติ ธรี า ยะถายัมปะตีโป๋ อิตัมปิ๋ สงั เฆ ระตะนงั ปะณตี ั๋ง เอเต๋นะ สัจเจ๋
นะ สุวตั ถิ โหตุ ฯ
๑๒. กะระณยี ะเมตตะสุตต๋ัง
เมตตั๋ญจะ สัปป๊ะโลกัสสะหมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง อุทธัง
อะโธ จะ ตริ ิยัญจะ อะสัมปาธัง อะเวรงั อะ-สะปัตตั๋ง ตฏ๊ิ ฐญั จะ นสิ ินโน วา สะยาโน วา ยาวะ ตัสสะ
วกิ ะ๊ ตะมติ โธ เอต๋ัง สะตงิ๋ อะธฏิ ฐยั ยะ ปรมั มะเมตง๋ั วหิ ารงั อิธะมาหุ ติ๊ฏฐิญ-จะ อะนุปะกัมมะ สีละวา
ตัส๊ สะเนนะ สัมป๋ันโน กา๋ เมสุ วินยั ยะเกธงั นะ หิ จาตุ กั๊ปภะสัยยัง ปนุ ะเรตต๋ี ิ ฯ
๑๐๑
๑๓. ขนั ธะปะริตตะกาถา
อัปปะมาโณ ป๊ตุ โธ อัปปะมาโณ ธมั โม อัปปะมาโณ สังโฆ ปะมานะวันตา๋
นิ สิริงสะป๋านิ อะหิ วิจฉิกา๋ สะตะปะตี อณุ ณานาภี สะระภู มุสกิ า๋ กะต๋า เม รกั ขา กะตา๋ เม ป๋าริตต๋า
ปะติกกะมันตุ ภูตา๋ นิ โสหงั นะโม ภะกะ๊ วะโต๋ นะโม สัตต๋านัง สัมมาสมั ปุ๊ตธานงั ฯ
๑๔. ปตุ๊ ธะกณุ
อิติปิโส ภะก๊ะวา อะระหัง สัมมาสัมปุ๊ตโธ, วิจจาจะระณะสัมปั๋นโน
สกุ ะ๊ โต๋ โลกะวิตู, อะนตุ ตะโร ปุริสะตัมมะสาระถิ สัตถาเตวะมะนุสสานัง ปตุ๊ โธ ภะก๊ะวาติ ฯ
๑๕. ธัมมะกุณ
สวากขาโต๋ ภะก๊ะวะต๋า ธัมโม, สันติ๊ฏฐิโก๋ อะก๋าลิโก๋ เอหิปัสสิโก๋, โอปะ
นะยิโก๋ ปัจจัตต๋งั เวต๊ติ ัปโป วิญญูหตี ิ ฯ
๑๖. สงั ฆะกณุ
สปุ ะฏปิ น๋ั โน ภะกะ๊ วะโต๋ สาวะกะสังโฆ, อจุ ุ๊ปะฏปิ นั๋ โน ภะก๊ะวะโต๋ สาวะ
กะสังโฆ, ญายะปะฏิปั๋นโน ภะก๊ะวะโต๋ สาวะกะสังโฆ, สามีจิปะฏิปั๋นโน ภะก๊ะวะโต๋ สาวะกะสังโฆ,
ยะต๊ิตงั จตั ตา๋ ริ ปุริสะยกุ านิ อัฏฐะ ปรุ ิสะปุกกะ๊ ลา, เอสะ ภะกะ๊ วะโต๋ สาวะกะสงั โฆ, อาหุนัยโย ป๋าหุ
นยั โย ตั๊กขินัยโย อัญจ๊ะลีกะระณโี ย, อนุตตะรัง ปญุ๋ ญักเขตตั๋ง โลกัสสาติ ฯ
๑๗. ธะจกั๊ ก๊ะสตุ ตง๋ั
เอวัมปุ๊ตธงั สะรันต๋านัง ธัมมัง สังฆัญจะ ภิกขะโว ภะยัง วา ฉัมภิตัตต๋งั
วาโลมะหงั โส นะ เหสสะตต๋ี ิ สะตา สเุ ขนะ รักขันตุ ป๊ตุ ธา สนั ติก๋ารา ตุวงั เต๋หิ ตวง๋ั รักขโิ ต๋ สันโต๋ มุต
โต๋สัปป๊ะภะเยนะ จะ ฯสปั ป๊ะโรกะ๊ วนิ ิมุตฺโต๋ สปั ปะ๊ สนั ตา๋ ปะวาจิ๊โต๋ สัปป๊ะเวระ มะติก๋ันโต๋ นิปปุ๊ตโต๋
จะ ตุวงั ภะวะ ฯสปั ปตี โิ ย วิวัจจนั ตุ๋ สปั ป๊ะโรโก๋ วินัสสะตุ มา เต๋ ภะวัตต๋วนตะราโย สุขตี ฆี ายโุ ก๋ ภะวะ
อะภวิ าธะนะสีลิสสะ นจิ จ๋ัง วุฑฺฒาปะจ๋ายิโน จตั ต๋าโร ธมั มา วัฑฒนั ติ อายุ วัณโณ สุขงั ป๊ะลงั ฯ
๑๗. อะภะยะปะรติ ตั๋ง
ยันตุนนิมิตตั๋ง อะวะมังก๊ะลัญจะ โย จ๋ามานะโป๋ สะกุณัสสะ สัตโต ป๋า
ปักก๊ะโห ตุ๊สสุปิ๋นนัง อะกั๋นตั๋ง ปุ๊ตธา นุภาเวนะ วินาสะเมนตุ ฯ ยันตุนนิมิตตั๋ง อะวะมังก๊ะลัญจะ
โย จ๋ามานะโป๋ สะกุณัสสะ สัตโต ป๋าปักก๊ะโห ตุ๊สสุปิ๋นนัง อะกั๋นตัง๋ ธัมมา นุภาเวนะ วินาสะเมนตุ ฯ
ยันตุนนมิ ติ ตั๋ง อะวะมังก๊ะลัญจะ โย จ๋ามานะโป๋ สะกุณัสสะ สัตโต ป๋าปักก๊ะโห ตุ๊สสุปินนัง อะกั๋นตั๋ง
สงั ฆา นภุ าเวนะ วินาสะเมนตุ ฯ
๑๐๒
๑๘. องั กลุ๊ ิมาละปะริตต๋งั
ยะโตห๋ ัง ภะกิน๊ ิ อะรยิ ายะ จาติยา จาโต๋ นาภจิ านามิ สญั จิจจะ ป๋าณัง จี
วิตา๋ โวโรเป๋ต๋า ฯ เต๋นะ สัจเจ๋นะ โสตถิ เต๋ โหตุ โสตถิ กัป๊ ภสั สะ ฯ
๑๙. โปจ้ จังกะ๊ ปะรติ ตง๋ั
โป้จจังโก สะติสังขาโต๋ ธัมมานัง วิจะโย ตะถา วิริยัมปิ๋ติปัสสัทธิ โป้จ
จังกา จะ ตะถาปะเร สะมาธุเปกขาโป้จจังกา สัตเต๋เต๋ สัปป๊ะตั๊สสินา มุนินา สัมมะตั๊กขาต๋าภาวิต๋า
ป๊ะหลุ ีกกะต๋า สงั วัตตนั๋ ติ อะภญิ ญายะ นิปปานายะ จะ โปธิยา เอเตน๋ ะ สจั จะวจั เจนะ โสตถิ เต๋ โหตุ
สัปป๊ะตา ฯ เอกัสสะหมิง สะมะเย นาโถ โมกกัลลานัญจะ กัสสะปั๋ง กิ๊ลาเน ตุ๊กขิเต๋ ติ๊สสัว โป้จจังเก
สัตตะ เตสะยิ เต๋ จะ ตั๋ง อะภินันติ๊ตต๋ัว โรกา มุจจิ๋งสุ ตั๋งขะเณ เอเต๋นะ สัจจะวัจเจนะ โสตถิ เต๋ โหตุ
สัปป๊ะตา ฯ เอกะตา ธัมมะราจาปเิ กลัญเญนาภิปฬี๋ โิ ต๋ จุนต๊ัตเถเรนะ ตัญ๋ เญวะ ภะณาเปตตัว๋ นะ สาต๊ะ
รัง สมั โมติ๊ตต๋วั จะ อาปาธาตั๋มหาวุฏฐาสิ ฐานะโส เอเต๋นะ สัจจะวัจเจนะ โสตถิ เต๋ โหตุ สปั ป๊ะตา
ฯ ปะฮีนา เต๋ จะ อาปาธา ติ๋ณณันนมั ปิ มะเหสินัง มักกาหะตะกิเลสา วะ ปัตต๋านุปัตตธิ มั มะตั๋ง เอเต๋
นะ สจั จะวัจเจนะ โสตถิ เต๋ โหตุ สปั ป๊ะตา ฯ
๒๐. อเุ ตตะยัง
อุเตตะยัญจกั ขมุ า เอกะราจา, หะริสสะวัณโณ ปะฐะวปิ ปะภาโส, ตง๋ั ต๋ัง
นะมัสสามิ หะรสิ สะวณั ณงั ปะฐะวปิ ปะภาสงั , ตะยจั จะ๊ ก๊ตุ ตา๋ วหิ ะเรมุ ตว๊ิ ะสงั , เย พราหมะณา เวตะ๊ กุ๊
สัปป๊ะธัมเม, เต๋ เม นะโม เต๋ จะ มัง ป๋าละยันตุ, นะมัตถุ ปุ๊ตธานัง นะมัตถุ โปธิยา, นะโม วิมุตต๋านงั
นะโม วิมุตตยิ า, อิมงั โส ปะริตตง๋ั กตั ต๋ัว, โมโร จะระติ เอสะนาฯ
อะเป๋ตะยัญจักขุมา เอกะจา, หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส, ตั๋ง ต๋ัง
นะมัสสามิ หะริสสะวัณณงั ปะฐะวิปปะภาสัง, ตะยจั จะ๊ ก๊ตุ ตา๋ วหิ ะเรมุ รตั ต๋ิง, เย พราหมะณา เวต๊ะกุ๊
สัปป๊ะธัมเม, เต๋ เม นะโม เต๋ จะ มัง ป๋าละยันตุ, นะมัตถุ ปุ๊ตธานัง นะมัตถุ โปธิยา, นะโม วิมุตต๋านงั
นะโม วมิ ตุ ตยิ า, อิมงั โส ปะรติ ตัง๋ กัตตั๋ว, โมโร วาสะมะกัปปะยีตฯิ
๒๑. ปาหุง
ปาหุง สหัสสะมะภินิมมิตตะสาวุธันตั๋ง กรีเมฆะลัง อุติ๊ตะโฆระสะเสนะ
มารัง ตานาต๊ธิ มั มะวิธินา จติ๊ ๋ัว มนุ นิ โต ตน๋ั เตจ๋ ๊ะสา ภะวะตุ เต๋ จ๊ะยะมงั ก๊ะลานิ ฯ มาราตเิ รกะมะภยิ ุจจิ
ตะสัปป๊ะรัตต๋ิง โฆรมั ปะนาฬะวะกะมขั ะมะถัตธะยักขงั ขนั ตีสุตนั ตะวิธินา จิต๊ ต๋ัว มุนินโต ตั๋นเต๋จ๊ะสา
ภะวะตุ เต๋ จ๊ะยะมังก๊ะลานิ ฯ นาฒากิ๊ริง กะจ๊ะวะรัง อะติมัตตะภูตั๋ง ตาวักกิ๊จักกะมะสะนีวะ สุตา
รณุ ันต๋ัง เมตตั๋มป๊เุ สกะวิธินา จ๊ติ ตั๋ว มุนินโต ตั๋นเตจ๋ ๊ะสา ภะวะตุ เต๋ จ๊ะยะมังกะ๊ ลานิ ฯ อกุ ขิตตะขักก๊ะ
๑๐๓
มะติหัตถะสตุ ารณุ นั ตั๋ง ธาวันตโิ ยจ๊ะนะปะถังก๊ลุ มิ าละวันตั๋ง อิตธีภิสงขะตะมะโน จต๊ิ ตวั๋ มุนนิ โต ตั๋นเต๋
จะ๊ สา ภะวะตุ เต๋ จ๊ะยะมงั กะ๊ ลานิ ฯ กัตตวั๋ นะ กัฏฐะมุทะรงั อิวะ กป๊ั ภนิ ยี า จญิ๋ จา๋ ยะ ตุ๊ฏฐะวะจะนัง
จ๊ะก๋ายะมัจเจ สันเต๋นะ โสมะวิธนา จิ๊ตตั๋ว มุนินโต ตั๋นเต๋จ๊ะสา ภะวะตุ เต๋ จ๊ะยะมังก๊ะลานิ ฯ สัจจ๋ัง
วิหายะ มะติสัจจะกะวาต๊ะเก๋ตุ๋ง วาตาภิโรปิตมะนัง อะติอันนธะภูตั๋ง ปั๋ญญาปะตีปะจ๊ะลิโต๋ จิ๊ตตั๋ว
มุนินโต ตั๋นเต๋จ๊ะสา ภะวะตุ เต๋ จ๊ะยะมังก๊ะลานิ ฯ นันโตปะนันต๊ะภุจ๊ะกัง วิปุ๊ธัง มะหิตธิง ปุตเต๋นะ
เถระภุจ๊ะเกนะ ต๊ะมาปยนั โต อติ ธปู ะเตสะวธิ ินา จิต๊ ตว๋ั มุนนิ โต ตน๋ั เต๋จะ๊ สา ภะวะตุ เต๋ จะ๊ ยะมังก๊ะลา
นิ ฯต๊กุ กาหะติฏ๊ ฐภิ จุ ๊ะเกนะ สตุ ๊ัฏฐะหตั ถงั พรหั มัง วิสตุ ธิจตุ๊ ิมติ ธปิ ะก๋าภภิ ิธานัง ญาณาก๊ะเตนะ วิธินา
จิ๊ตตั๋ว มุนินโต ตั๋นเต๋จ๊ะสา ภะวะตุ เต๋ จ๊ะยะมังก๊ะลานิ ฯ เอต๋าปิ ปุตธะจ๊ะยะมังก๊ะละอัฏฐะกาถา
โย วาจะโน ตน๊ิ ะตเ๊ิ น สะระเต๋ มะตนั๋ ตี หติ ตว๋ั นะ เนกะววิ ธิ านิ จปุ ัตตะ๊ วานิ โมกขัง สขุ ัง อะธิก๊ะมัยยะ
นะธร สะปั๋ญโญ ฯ มหากรุณิโก๋ นาโถ หิต๋ายะ สัปป๊ะป๋าณินัง ปูเรตตั๋ว ป๋าระมี สัปปา ปัตโต๋ สัมโปธิ
มุตตะมงั เอเตน๋ ะ สจั จะวัจเจนะ โหตุ เต๋ จะยะมังก๊ะลัง จ๊ะยันโต๋ โปธยิ า มเู ล สกั เกียนงั นนั ติ๊วัฑฒะโน
เอวัง ตวั๋ง วิจ๊ะโย โหหิ จ๊ะยัสสุ จ๊ะยะมังก๊ะเล อะปะราจิ๊ตะปั๋ลลังเก๋ สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก๋
สัปปะ๊ ปุต๊ ธานัง อักกป๊ั ปตั โต๋ ปะโมตะ๊ ติฯ สนุ กั ขัตตั๋ง สุมังกะ๊ ลงั สปุ ะภาต๋ัง สุหุฏฐติ ๋งั สุขะโณ สุมุหุตโต๋
จะ สุยิฏฐัง หรัหมะจ๋าริสุ ปะตั๊กขิณัง ก๋ายะกั๋มมัง วาจ๋ากัมมัง ปะตั๊กขิณัง ปะตั๊กขิณัง มะโนกั๋มมัง
ปะณิธี เต๋ ปะตกั๊ ขณิ า ปะตั๊กขณิ านิ กตั ต๋ัวนะ ละภันตตั เถ ปะตั๊กขเิ ณ
โส อัตถะลัตโต สุขิโตวิรุฬโห ปุ๊ตธะสาสะเน อะโรโก สุขิโต โหหิ สะหะ
สปั เปหิ ญาตภิ ิฯ สา อัตถะลัตธา สุขโิ ต๋วริ ุฬโห ปุ๊ตธะสาสะเน อะโรโก สุขติ า๋ โหหิ สะหะ สัปเปหิ ญาติ
ภิฯ เต๋ อตั ถะลตั ตา สขุ ิโตวริ ุฬหา ป๊ตุ ธะสาสะเน อะโรกา สขุ ติ า๋ โหถะ สะหะ สปั เปหิ ญาติภฯิ
๒๒. ติสะระณะกาถา
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ปุ๊ตโธ เม สะระณัง วะรัง เอเต๋นะ สัจจะวัจเจ
นะโหตุ เต๋ จ๊ะยะมงั กะ๊ ลังฯ นัตถิ เม สะระณัง อญั ญงั ธมั โม เม สะระณัง วะรงั เอเต๋นะ สจั จะวัจเจนะ
โหตุ เต๋ จ๊ะยะมงั กะ๊ ลงั ฯ นตั ถิ เม สะระณงั อัญญงั สังโฆ เม สะระณัง วะรัง เอเต๋นะ สัจจะวัจเจ
นะโหตุ เต๋ จ๊ะยะมงั ก๊ะลังฯ
ยังกิ๋ญจิ ระตะนัง โลเก๋ วิจจ๊ะติ วิวิธัง ปุถุ ระตะนัง ปุ๊ตธะสะมัง นัตถิ
ตัสหมา โสตถี ภะวันตุ เต๋ฯ ยังกิ๋ญจิ ระตะนัง โลเก๋ วิจจ๊ะติ วิวิธัง ปุถุ ระตะนัง ธัมมะสะมัง นัตถิ๋ ตัส
หมา โสตถี ภะวันตุ เต๋ฯ ยังกิ๋ญจิ ระตะนัง โลเก๋ วิจจ๊ะติ วิวิธัง ปุถุ ระตะนัง สังฆะสะมัง นัตถิ ตัสสะ
หมา โสตถี ภะวันตุ เต๋ ฯ
๑๐๔
๒๓. เตวะธัมมะกาถา
หริ ิโอตตัปปะ สมั ปัน๋ นา สุกกะธัมมา สะมาหิต๋า สันโต๋ สัปปุริสา โลเก๋ เต
วะธัมมาติ วุจจะเร ฯ
๒๔. วัฏฏะกะปะรติ ตง๋ั
สนั ติปักขา อะปตั ตะนา สันติป๋าตา อะวัญจะนา มาต๋าปิต๋า จะ นิกขันตา๋
จาตะเวต๊ะ ปะฏกิ กะมะ ฯ
๒๕. จนิ๊ ะปั๋ญจะระกาถา
จ๊ะยาสะนากะตา๋ ปุ๊ตธา เจต้ ต๋วั มารัง สะวาหะนงั จะตสุ ัจจัง๋ มะต๋งั ระสงั
เย ปิวงิ สุ นะราสะภา ตณั๋ หงั กะราตะ๊ โย ป๊ตุ ธา อฏั ฐะวสี ะติ นายะกา๋ สปั เป ปะติฏฐิต๋า มยั หัง มตั ถะเก๋
เต๋ มนุ สิ สะรา สเี ส ปะติฏฐิโต๋ มัยหัง ปตุ๊ โธ ธัมโม วโิ รจะโน สงั โฆ ปะติฏฐโิ ต๋ มัยหงั อุเร สัปป๊ะกุ๊ณากะ
โร หะตะ๊ เย เม อะนุรุตโธ สารปี ตุ โต๋ จะ ตัก๊ ขิเณ โก๋ณตัญโญ ปฏิ ฐภิ าก๊สั หมงิ โมกกลั ลาโน จะ วามะเก๋
ต๊ักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสงุ อานนั ตะ๊ ราหโุ ล กสั สะโป๋ จะ มะหานาโม อภุ าสงุ วามะโสตะเก๋ เก๋สันเต๋
ปฏิ ฐิภาก๊ัสหมิง สรุ ิโย วะ ปะภงั กะโร นิสนิ โน สิรสิ ัมปน๋ั โน โสภีโต๋ มนุ ปิ งุ๋ ก๊ะโร กุมาระกัสสะโป๋ เถโรมะ
เหสี จิตตะวาตะ๊ โก๋ โส มยั หงั วะต๊ะเน นจิ จง๋ั ปะตฏิ ฐาสิ กุ๊ณากะโร ปณุ๋ โณ องั ก๊ลุ ิมาโล จะ อุปา๋ ลนี นั ต๊ะ
สีวะลี อิเม ปั๋ญจะ มหาเถรา นะละเฏ๋ ติละก๋า มะมะ เสสาสีติ มะหาเถรา จิ๊ตะวันต๋า จิ๊โนระสา
จ๊ะลันต๋า สีละเต๋เจนะ อังก๊ะมังเกสุ สัณฐิต๋า ระตะนัง ปุระโต๋ อาสิ ตั๊กขิเณ เมตตะสุตตะกั๋ง ธะจั๊กกงั
ปั๊จฉ๋ะโต๋ อาสิ วาเม อังกุ๊ลิมาละกั๋ง ขันธะโมระปะริตตั๋ญจะ อาฏ๋านาฏิยะสุตตะกั๋ง อาก๋าเส ฉะต๊ะนัง
อาสิ เสสา ปา๋ ก๋าระสัณฐิต๋า จ๊นิ านัง ปะ๊ ละสังยตุ ตา๋ ธัมมะป๋าก๋าระลังก๋ะเต๋ วะสะโต๋ เม สะกิจเจ๋นะ
สัมมาสัมปุ๊ตธะปั๋ญจ๊ะเร วาต๋าปิต๋าติ๊สัญจาต๋า ปาหิรัจจั๊ตตุปัตต๊ะวา อะเสสา วินะยัง ยันตุอะนันตะ
คณุ ะเต๋จ๊ะสา จนิ๊ ะปญ๋ั จ๊ะระมจั จัมหิวิหะรันตั๋ง มะหิตะเล สะตา ป๋าเลนตุ มัง สัปเปเต๋ มะหาปุริสาสะ
ภา อิจเจ๋วะ เม ก๊ะโต๋ รักโข สุรักโข ปุ๊ตธานุภาเวนะ จิ๊ตุปัตต๊ะโว ธัมมานุภาเวนะ จิ๊ต๋าริสังโฆ สังฆานุ
ภาเวนะ จติ๊ ๋นั ตะราโย จะรามิ ธัมมานภุ าวะปา๋ ลิโต๋-ติฯ จิ๊นะปัญ๋ จะระปัณ๋ ณะระสะกาถา นฏิ ฐติ ๋า
๒๖. อณุ หสั สะวจิ ๊ะยะกาถา
อัตถิ อุณหัสสะ วิจ๊ะโย ธัมโม โลเก๋ อะนุตตะโร สัปป๊ะสัตต๋าหิตัตถายะ
ตั๋ง ตวัง๋ กณั หาหิ เตวะเต๋ ปะรวิ จั โจ ราจะ๊ ตณั เต อะมะนสุ สะก๋นิ นา ป๋ักเข เป๊ยิ กเฆ นาเก วเิ ส ภูเต๋ อะ
ก๋าละมะระเณนะ จะ สปั ป๊สั หมา มะระณา มุตโต๋ ฐะเปตต๋วั ก๋าละมารติ ๋ัง ตสั เสวะ อานภุ าเวนะ โหตุ
เตโว สุขี สะตา สุตธะสีลัง สะมาตานัง ธัมมัง สุจะริตั๋ง จะเร ลิกขิตั๋ง จิ๋นติตั๋ง ปู๋จัง ธาระณัง วาจะนงั
กะ๊ รงุ ปะเรสัง เตสะนงั สตุ ตัว๋ ตัสสะ อายุ ปะวฑั ฒะติ
๑๐๕
๒๗. สักกตั ต๋ัว
สักกัตต๋ัว ปตุ๊ ธะระตะนงั โอสะถงั อุตตะมัง วะรงั หิตัง๋ เตวะมะนุสสานัง
ปตุ๊ ธะเตเ๋ จนะ โสตถนิ า นัสสันตุปัตต๊ะวา สัปเป ตุก๊ ขา วปู ะสะเมนตุ เตฯ๋ สักกัตตวั๋ ธมั มะระตะนงั โอสะ
ถัง อุตตะมัง วะรัง หิตั๋ง เตวะมะนุสสานัง ธัมมะเต๋เจนะ โสตถินา นัสสันตุปัตตะ๊ วา สัปเปภะยา วูปะ
สะเมนตุ เต๋ฯ สักกัตตั๋ว สังฆะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง หิตั๋ง เตวะมะนุสสานังสังฆะเต๋เจนะ
โสตถินา นัสสันตปุ ัตต๊ะวา สปั เป โรกา วปู ะสะเมนตุ เต๋ ฯ
๒๘. เภสจั จัง
เภสัจจัง เตวะมะนุสสานัง กุฏุกั๋ง กิตติกัง ระสัง อัมปิ๊ลัง ละวะนัญเจ๋
วะสัปปะ๊ เปยี ธิ วนิ ัสสนั ตุ เอกะตวติ๊ จิ ะตุปัญ๋ จะ ฉะสตั ต๋าต๊ินงั ตะถา ยาวะ ตุก๊ ขา วนิ สั สันตุ จวี ิต๋านัง ตะ๊
ตันตุ เต จีวิต๋านัง ต๊ะตันตัสสะ อายุ วัณณัง สุขัง ป๊ะลัง จีวิต๋านานุภาเวนะ โหตุ เตโว สุขี สะตา จี
วิต๋านัง จะ โย ตั๊ตตั๋ว โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง สะรีรัง ตุกขัง นาเสติ เภสัจจัง ตานะมุตตะมงั ตัสหมา
กะรยั ยะ กัล๋ ยาณงั นิจจะยงั สัมปะรายะนัง ปุ๋ญญานิ ปะระโลกสั หมงิ ปะติฏฐา โหนติ ปา๋ ณณิ ัง อิมินา
จีวิตา๋ เนนะ ตุ๋มหาก๋งั ก๋งิ ภะวสิ สะติ ตฆี ายกุ ๋า สะตา โหนตุสุขีต๋า โหนตุ สัปปะตา โย โส ตะต๋าติ๊ สักกัจ
จงั๋ สีละวนั เต๋สุ ตา๋ ทสิ ุ นานา ตา๋ นัง วะรัง ตัต๊ ตวั๋ จีวิตา๋ นงั มะหปั ผะลงั เอวัง มะหติ ธิก๋า เอสา ยะติ๊ตัง
ปญุ๋ ญะสัมปะตา ตัสหมา ธีรา ปะสงั สันติ ปณั๋ ฑติ า๋ กะ ตะปญุ๋ ญะต๋นั ติฯ อัตถิ อณุ หสั สะ วิจ๊ะโย นิฏฐิโต
ฯ ๒๙. มะหามังกะ๊ ละจกั กะวาฬะกาถา
สริ ิธติ ิมะติเตโ๋ จ จะ๊ ยะสิตธิมะหิตธิมะหากุ๊ณา ปะริมิตะปุ๋ญญาธิการัสสะ สปั ปันตะ
รา-ยะนิวาระณะสะมัตถัสสะ ภะก๊ะวะโต๋ อะระหะโต๋ สัมมาสัมปุ๊ตธัสสะ ตวั๊ตติ๋งสะมะหาปุริสะ
ลักขะณานภุ าเวนะ อะสตี ะยานเุ ปยี ญจ๊ะนานภุ าเวนะ อัฏฐุตตะระสะตะมังก๊ะลานภุ าเวนะ ฉัปปัณณะ
รังสิยานุภาเวนะ เกต๋ ุมาลานภุ าเวนะ ตะ๊ สะปา๋ ระมติ านภุ าเวนะ ตะ๊ สะอุปะป๋าระมติ านุภาเวนะ ต๊ะสะ
ปะระมตั ถะปา๋ ระมติ า๋ นภุ าเวนะ สลี ะสะมาธิปั๋ญญานุภาเวนะ ปตุ๊ ธานภุ าเวนะ ธมั มานุภาเวนะ สงั ฆานุ
ภาเวนะ เตจ๋ านุภาเวนะ อติ ธานุภาเวนะ ปะ๊ ลานุภาเวนะ ญยั ยะธมั มานุภาเวนะ จะตุราสตี สิ ะหัสสะธัม
มักขันธานุภาเวนะ นะวะโลกุตตะระธัมมานุภาเวนะ อัฏฐั๋งก๊ิกะมักกานุภาเวนะ อัฏฐะสะมาปตั ตยิ านุ
ภาเวนะ ฉะฬะภิญญานุภาเวนะ จะตุสัจจะญาณานุภาเวนะ ต๊ะสะป๊ะละญาณานุภาเวนะ สัปปัญญุ
ตะญาณานุภาเวนะ เมตต๋ากะรุณามุต๊ิต๋าอุ๋เปกขานุภาเวนะ สัปป๊ะปะริตต๋านุภาเวนะ ระตะนัตตะยะ
สะระณานภุ าเวนะ ตยุ หัง สัปป๊ะโรกะ๊ โสกปุ ตั ต๊ะวะตุ๊กขะโตมะนสั สุป๋ายาสา วนิ สั สันตุ สัปป๊ะอันตะรา
ยาปิ วินัสสันตุ สัปป๊ะสังกัปป๋า ตุยหัง สะมิจจันตุ ตีฆายุต๋า ตุยหัง โหตุ สะตะวัสสาจีเวนะ สะมังกิโก๋
โหตุ สัปปะ๊ ตา อากา๋ สะปปั ป๊ะตะวะนะภมู ิกังกามะหาสะมตุ ตา อารักขะก๋า เตวะต๋า สะตา ตุม๋ เห อะนุ
รักขนั ตุ ฯ
๑๐๖
๓๐. เตวะตา๋ อยุ โยจะ๊ นะกาถา
ตุ๊กขัปปัตต๋า จะ นิตตุ๊กขา ภะยัปปัตต๋า จะ นิปภะยา โสกัปปัตต๋า จะ
นิสโสก๋า โหนตุ สัปเปปิ ป๋าณิโนเอตต๋าวะต๋า จะ อัมเหหิ สัมภะตั๋ง ปุญญะสมั ปะตัง สัปเป เตาวานุโม
ตันตุ สัปปะสัมปตั ติสิตธยิ า ตานงั ตะ๊ ตนั ตุ สตั ธายะ สีลัง รกั ขันตุ สัปปะตา ภาวะนาภริ ะตา๋ โหนตุ ก๊ัจ
ฉนั ตุ เตวะตา๋ ก๊ะตา๋ ฯ สัปเป ปตุ๊ ธา ปะ๊ ลัปปัตตา๋ ปัจเจก๋ ๋านัญจะ ยงั ป๊ะลงั อะระหนั ต๋านัญจะ เต๋เจนะ
รักขัง ปันธามิ สัปปะโส ฯ
๓๑. สโุ ข
สโุ ข ปตุ๊ ธานัง อุปป๋าโต สขุ า สตั ธัมมะเตสะนา สุขา สังฆัสสะ สามัคคีสะ
มกั กานัง ตะโป๋ สุโข ขตั ติโย เสฏโฐ๋ จะเนตัสหมงิ เย โคตะปะตจิ ายิโน วิ๊จจาจะระณะสมั ปนั๋ โน โส เสฏ
โฐ๋ เตวะมานุเส ติ๊วา ตะปะติ อาทติ๊จโจ๋ รัตติมาภาติ จั๋นติ๊มา สันนัตโต ขัตติโย ตะปะติ จายี ตะปะติ
พราหมะโณ อะถะ สัปป๊ะมะโหรัตตั๋ง ปุ๊ตโธ ตะป๊ะติ เต๋จ๊ะสา ฯ อะโรเกี๊ยะ ปะระมา ลาภา สันตุฏฐี
ปะระมัง ธะนัง วสิ าสา ปะระมา ญาติ นปิ ปานัง ปะระมงั สขุ ัง ฯ
๓๒. กำหยาดน้ำ
อิตัง ตานากั๋มมัง นิปปานะปัจจะโย โหนตุ โน นิจจั๋ง อิตัง ตานากั๋มมัง นิป
ปานะปัจจะโย โหนตุ โน นจิ จง๋ั อิตงั ตานาก๋มั มัง นิปปานะปัจจะโย โหนตุ โน นจิ จั๋ง
๓๓. กำแผ่ส่วนกศุ ล
ยังกิญจิ กุสะลัง กัตตัปปัง กั๋มมัง สัปเปหิ ก๊ะเต๋หิ กะตั๋ง ปุ๋ญญังโน อะนุโม
ตันตุ สุณันตุ โภนโต๋ เย เตวา อัสหมิง ฐาเน อะธิก๊ะต๋า ตีฆายุก๋า สะตา โหนตุ สัปป๊ะสัตต๋านัง สุขี
อัตต๋านัง ปะริหะรันตุ มาต๋าปิต๋า สุขิต๋า โหนตุ ตุ๊กขา ปะมุญจันตุ สัปเป ญาติก๋า สุขิต๋า โหนตุ ตุ๊กขา
ปะมุญจันตุ สัปเป อะญาติก๋า สุขิต๋า โหนตุ ตุ๊กขา ปะมุญจันตุ สัปเป ปิสา สัปเป ยักขา สัปเป เป๋ต๋า
สุขิต๋า โหนตุ ตุ๊กขา ปะมุญจันตุ สัปเป นักขัตต๋า สุขิต๋า โหนตุ ตุ๊กขา ปะมุญจันตุ สัปเป เตวา สุขิต๋า
โหนตุ ตุ๊กขา ปะมุญจันตุ สัปเป อาจาริยุปัจจายา สุขิต๋า โหนตุ ตุ๊กขา ปะมุญจันตุ สัปปะสัมปัตตี๋นัง
สะมจิ จนั ตโุ ว ฯ
๓๔. ตริ ะตะนะมังก๊ะละกาถา
ปุ๊ตโธ มังก๊ะละสัมภูโต๋ สัมปุ๊ตโธ ตีปะตุ๊ตต๊ะโม ปุ๊ตธะ มังก๊ะละมากัมมะ
สัปป๊ะตุ๊กขา ปะมุญจะเร, ธัมโม มังก๊ะละสัมภูโต๋ กัมภีโร ตุ๊ตต๊ะโส อะณุง ธัมมะ มังก๊ะละมากัมมะ
สัปปะ๊ ภะยา ปะมญุ จะเร, สงั โฆ มงั ก๊ะละสมั ภูโต๋ วะระตก๊ั ขณิ ยั โย อะนุตตะโร สังฆะ มงั กะ๊ ละมากัมมะ
สัปปะ๊ โรกา ปะมญุ จะเร ฯ
๑๐๗
๓๕. กำขอสูมา (วนั ตาหลวง)
วนั นตามิ ปตุ ธงั สปั ปงั เม โตสัง ขะมะถะ เม ภนั เต๋ วันตามิ ธมั มงั สัปปัง
เม โตสงั ขะมะถะ เม ภนั เต๋ วันตามิ สงั ฆัง สปั ปงั เม โตสัง ขะมะถะ เม ภนั เต๋ วันตามิ กะ๊ รุอปุ จั จาจะริ
โย สัปปงั เม โตสงั ขะมะถะ เม ภนั เต๋ วนั ตามิ กมั๋ มัฏฐานัง สปั ปัง เม โตสัง ขะมะถะ เม ภันเต๋ วนั ตามิ
อาราเม ปัตธะสีมายัง สัปปัง เม โตสัง ขะมะถะ เม ภันเต๋ วันตามิ เจ๋ติยัง สัปปัง สัปปะฐาเน สุปะ
ตฏิ ฐิตา๋ สะรีระธาตุ มหาโปธิง ปตุ๊ ธะรปู ง๋ั สะกะลงั สะตา นากะ๊ โลเก๋ เตวะโลเก๋ พรัหมะโลเก๋ จัมปูตีเป๋
ลังกา๋ ตีเป๋ จะตุราสีติสะหสั เส ธมั มักขนั เธ สปั เปสัง ปา๋ ต๊ะเจต๋ ยิ ัง อะหัง วันตามิ สปั ป๊ะ โส ฯ
๓๖. วนั ตานอ้ ย
วนั ตามิ ภันเต๋ สัปปงั อะปะราธงั ขะมะถะ เม ภันเต๋ มะยา กะตง๋ั ป๋ญุ ญงั
สามนิ า อะนุโมตต๊ิ ปั ปงั สามนิ า กะตั๋ง ป๋ญุ ญัง มยั หงั ตาตปั ปัง สาธสุ าธุ อะนโุ มตามฯิ
ค. ขันต้งั
การจัดข้ันต้ัง ขันครู ขนั ตั้ง (พานเครอ่ื งคร)ู
ขัน ในภาษาเหนือ หมายถึง พาน ในภาษากลาง เป็นภาชนะที่ใช้
สำหรับการบรรจุของเพื่อใช้ในแง่ของความเชื่อความศักดิ์สิทธิ์ หรือใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ ที่มีชื่อขัน
มากมายเรียกตามวิธีการใช้งานและวัตถุประสงค์ที่ใช้ทำขัน เช่นใช้ในงานที่เกี่ยวข้องกับผีก็เรียกว่า
“ขันผี” ถ้านำไปใช้ในการทำ สังฆกรรมของพระสงฆ์ในอุโบสถก็จะเรียกว่า “ขันอุโบสถ” ใส่ดอกไม้
ประเคนพระเพือ่ ขอรบั ศีลก็จะเรียกว่า “ขันขอศีล” เป็นต้น ส่วนที่เรียกชื่อตามวัสดุที่ใช้ทำ เช่น ทำ
ด้วยเงินเรียกว่า “ขันเงิน” ทำด้วยทองแดงหรือทองเหลืองเรียกว่า “ขันตอง” ทำด้วยไม้ก็จะเรียกวา่
“ขันไม้ เรื่องของขนาดความใหญ่หรือเล็กเลือกใช้ให้เหมาะสมกับงานเท่านั้น รวมแล้วก็คือขันเป็น
ภาชนะทใ่ี ชบ้ รรจขุ องเพื่อใชบ้ ชู าหรอื ใชใ้ นพธิ กี รรมตา่ ง ๆ ๑๘
การทำขนั นอกจากทำด้วยทองคำ เงนิ และทองแดงแล้วกย็ งั มีด้วย ไม้จงิ และสานด้วยไม้
ไผ่ ทั้งน้ี ขนั ไม้ จิงน้ันจะทำให้ข้ึนรปู ได้เรียบรอ้ ยดว้ ยการเฆี่ยนหรือการกลงึ ซ่ึงการกลงึ จากไม้จงิ กไ็ ม่มี
ข้ึนตอนทำอะไรมาก แตก่ ารสานมีข้ันตอนมากกว่า การสานส่วนมากจะสานด้วย ไม้ไผ่เรี้ย (อ่าน “ไม้
เฮย้ี ”) เพราะเน้ือเหนยี วกวา่ ไมไ้ ผ่ชนดิ อื่น จะจักตอกใหบ้ างกย่างไรกไ็ ด้ ใบขันใช้วิธสี าน ส่วนตีนขันจะ
มแี บบครึ่งสานและแบบคาด ช่างบ้างคนจะใช้วิธสี าน โดยจะสานเปน็ ตวั ในก่อนแล้วจึงคาดดว้ ยตอกทำ
๑๘ พระครูญาณวรี ากร (เจย ญาณวีโร ไชยวงค์แกว้ ), คู่มือการสวดเบกิ ของวดั หลู้ : การจัดข้นั ตั้ง ขัน
ครู ขนั ตงั้ (พานเคร่อื งครู), (เชยี งราย : โรงพิมพ์เชียงรายรุง่ โรจน์, ๒๕๕๒.), หน้า ๓๙.
๑๐๘
ลวดลายอีกคร้งั หนงึ่ ถ้าเป็นขันดอกท่ีใช้ตามวัดจะมขี นาดใหญ่และสวยงาม สว่ นขันท่ีสานด้วยตอกไม้
ไผ่เรี้ยจะมี ๒ ขนาด คือ ตอกตัวยืนมีขนาดใหญ่ ตอกตัวสานมีขนาดเล็ก เมื่อได้ใบขันแล้วก็จะคาด
เคยี น แอวขนั คอื แอวของพานและตนี ขัน คือใชต้ อกขนาด ๐.๕-๑.๐ เซนตเิ มตร พนั ทบั กันเปน็ วงกลม
เหลอื่ มใหข้ น้ึ รปู แล้วทาด้วยยางไม้ หรือนำ้ รกั สมั ภาษณ์ พระภาคภูมิ พสุ สฺ วณฺโณ, วดั ม่วงเจด็ ต้น ตำบล
ท่าขา้ ม อำเภอเชยี งของ จงั หวดั เชยี งราย, ๓๑ ธนั วาคม ๒๕๖๓
เม่ือทงั้ ตวั ขันและแอวขนั เสร็จแลว้ จึงนำส่วนตีนมาติดเข้ากับใบขนั โดยใชน้ ้ำรัก เม่ือรักแห้
งดแลว้ ทาด้วยนำ้ รกั เม่ือรกั แห้งดแี ลว้ ทาดว้ ยน้ำรักผสมหาง (ชาด) ใหเ้ รียบ แล้วจึงตกแตง่ ลายประดับ
ดว้ ยชาดอกี ทีหนงึ่ ใหเ้ ป็นลวดลายต่าง ๆ ตามที่ต้องการ
ขันหรือพาน เป็นภาชนะที่ใช้บรรจุเครื่องคำนับต่าง ๆ นี้จะมีขนาดใหญ่หรือเล็กแล้วแต่
ปรมิ าณของเคร่อื งคำนับท่ีบรรจุนัน้ ขัน อาจเปน็ ขนั แดง หรือพานที่ทำด้วยไมไ้ ผ่ทาชาดซึ้งมีขาดต่าง
ๆ อาจเป็น ขันส้ี หรือ ขนั ตีนถ่ี คอื พานทีส่ ่วนลำตวั เป็นซีไ่ ม้กลงึ เรียงรอบเพื่อรับนำ้ หนักทั้งหมด และ
หากไม่มีขันแบบกว่า ก็อาจใช้พานแบบใหม่ทีท่ ำด้วยทองเหลืองหรืออลูมิเนียม แม้กระทั่งกะละมังก็
อาจนำมาใช้ได้เช่นกัน
นอกจากที่ขันจะหมายถึงภาชนะที่ใช้งานอย่างพานของภาคกลางแล้ว คำว่า ขัน ของ
ล้านนายังรวมเรียกลวดลายทางสถาปตั ยกรรมหรือการทอผ้าในสว่ นท่ีมีรูปคล้ายกับ พานว่าขันไดอ้ กี
ด้วย เช่น ส่วนของเจดีย์ที่ฐานผายเอวคอด และมีส่วนบานขึ้นมาต่อรบั นัน้ ก็เรียกส่วนนั้นว่าขัน และ
รวดลายในผา้ ซน่ิ ตนี จก ซึง่ ทอใหม้ ีลกั ษณะละม้ายพานกเ็ รยี กสว่ นนน้ั วา่ ขนั อีกดว้ ยเช่นกนั
ขัน อันหมายถงึ ชดุ เคร่อื งคารวะสำหรับพธิ ีต่าง ๆ น้ันพบวา่ มีระดับต่าง ๆ ตามจำนวนชุด
ของเคร่อื งคารวะ คอื ขันเคร่อื ง ๔ , ๘ , ๑๒ , ๑๖ , ๒๔ , ๓๖ และ ขนั เครอื่ ง ๑๐๘ ซ่งึ เม่ือศึกษาจาก
รายละเอยี ดแล้วเห็นว่า๑๙
คำว่า ขัน ในกรณีดังกล่าว มีความหมายเหมือนกับสะทวง (อ่านว่า “ สะตวง “ ) หรือ
กระบะบัตรพลที ใี่ ชใ้ นพิธีกรรมตา่ ง ๆ ทั่วไปนั้นเอง
ก. ขนั แก้ว ๕ โกฐาก
๑๙ พระครญู าณวรี ากร (เจย ญาณวโี ร ไชยวงค์แก้ว), คมู่ อื การสวดเบิกของวดั หลู้ : พิธีกรรมการสวด
เบิก, (เชียงราย : โรงพิมพ์เชียงรายร่งุ โรจน์, ๒๕๕๒), หนา้ ๔๐.
๑๐๙
ขันแกว้ ๕ โกฐาก เป็น พานใส่ขา้ วตอกดอกไม้ ขนั หรือพานน้ันจะเป็นพานทำด้วยไม้หรือ
เงินก็ดที ี่เป็นทรงกลมและมีขาดใหญพ่ อ สมควร ขันชนิดนี้ชาวบ้านอาจเรียกอีกอย่างง่าย ๆ ว่าขัน ๕
เพราะจะจดั ว่างดอกไม้ธปู เทียนเปน็ ๕ โกฐาก หรือ๕กอง เพอ่ื บูชาองค์คณุ แห่งความดีงาม ๕ ส่วนนี้
• พุทธรัตนโกฐาก หรอื ส่วนที่จัดไวบ้ ชู าพระพุทธเจ้า
• ธรรมรัตนโกฐาก หรือส่วนทีจ่ ัดไว้บูชาพระธรรม ได้แก่ พระนวโลกุตตธรรม ๙ ประการ
และปรยิ ตั ธิ รรม ๑ รวมเปน็ ๑๐ ประการ
• สงั ฆรัตนโกฐาก หรอื สว่ นท่ีจัดไว้บูชาพระสงฆ์ อนั มพี ระอัญญาโกฑัญญเถร เปน็ ประธาน•
ครุฎฐานิยรตั รโกฐาก สว่ นทีจ่ ดั ไวบ้ ชู าบดิ ามารดา ครู อปุ ัชฌาย์
• กัมมัฎฐานรัตนโกฐาก ส่วนที่จัดไว้เพื่อบูชาพระกัมมัฎฐานอันเป็นที่ตังแห่งการบำเพญ็
จิตใจ ขัน ๕ นี้จะจัดไว้ระหว่าง ขันแก้วทั้ง ๓ และขันศีล ในวันศีลหรือวันธรรมสวนะท่ีชาวบ้านไป
ประชุมกนั ในวหิ ารเพือ่ บำเพญ็ กุศลนน้ั เม่อื ใสข่ า้ วตอกดอกไดท้ ี่ ขันแก้วทงั้ ๓ แลว้ กจ็ ะใส่
ขัน ๕ โกฐาก ในโอกาสดังตอ่ ไปนี้
๑. งาน ฉลองสมโภชถาวรวัตถใุ นพทุ ธศาสนา เชน่ ฉลองพระเจดีย์ พระวหิ าร พระอโุ บสถ
ซึ่งพระสงฆ์ผู้เป็นประธานจะโยงงคือถอื พานนแี้ ลว้ กล่าวคำนมัสการกอ่ นจะเร่มิ พธี ีเจรญิ พระพทุ ธมนต์
๒. ใช้โยงหรือกลา่ วนมสั การ เวลาจะเริม่ บำเพ็ญภาวนาอบุ าสก อบุ าสกิ า ในวันอโุ บสถ
๓. ในพิธีอบรมหรือพุทธาภเิ ษกพระพุทธรูปใหมห่ รือวัตถุมงคลต่าง ๆ
๔. ในการสวดมนต์ทกุ วันของพระสงฆ์ บางวัดหลังจากสวดมนต์แลว้ จะบำเพ็ญภาวนาต่อ
อีก พระภกิ ษผุ เู้ ปน็ ประธานสงฆ์จะโยงขนั แก้ว ๕ โกฐากเสมอ
๑๑๐
๕. เมื่อชาวบ้านประกอบกิจกรรมในวัดซึ่งอาจมีการกระทำที่ไม่สมรวม และอาจเห็นว่า
เป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดแล้ว เมื่อเสร็จกิจกรรมนั้น ๆ แล้วก็จะห้าง ขันแก้ว ๕ โกฐาก ไปขอ
ขมาเพอ่ื ขออโหสใิ นการกระทำที่ดูไมง่ ามดังกล่าว๒๐
ข. ขนั ดอก
ขัน ส่วนใหญก่ เ็ ป็นภาชนะใส่ดอกไม้ธูปเทียน เมอ่ื ใช้ในงานใดก็มกั จะเรยี กชื่องานน้ัน ๆ ต่อ
จากคำวา่ ขนั ออกไป ขันท่ีต้งั ไวใ้ หค้ นจำนวนนำดอกไม้มาใสก่ ็ต้องใช้ขนั ท่ีมีขนาดใหญ่ ขนาดใหญ่มีท้ัง
กลึงด้วยไม้สักเรียกว่าขันไม้ ขันที่สานดว้ ยไม้ไผเ่ รียกว่าขันสาน บางแห่งไม่มีขันขนาดใหญ่ใช้ ขันโตก
แทนก็มี เช่น การใส่ ขันดอก บูชาเสาหลักเมืองหรือบูชาเสาอินทขีล และบูชาศาลเจ้าพ่อที่ถือว่า
ศักดิส์ ิทธิโ์ ดยทวั่ ไปเรยี กการนำดอกไม้ไปบชู าเหลา่ นี้ว่า ใส่ขันดอก
ค. ขนั แกว้ ทัง ๓ ( “ขันแก้วตัง สาม”)
๒๐ พระครูญาณวรี ากร (เจย ญาณวโี ร ไชยวงคแ์ ก้ว), คมู่ อื การสวดเบิกของวัดหลู้ : ขนั แกว้ ๕ โกฐาก,
(เชียงราย : โรงพิมพเ์ ชียงรายร่งุ โรจน์, ๒๕๕๒), หนา้ ๔๑.
๑๑๑
ขนั แก้วทัง ๓ หมาย ถงึ พานดอกไมท้ ี่จดั เพือ่ บูชา “ แกว้ ทัง้ สามดวง “ อันได้แก่ พระพุทธ
พระธรรม และพระสงฆ์ มใี ชก้ นั ทั่วไปในภาคเหนอื เปน็ ขนั ที่สูงและใหญ่กว่าขนั ทุกชนิด ตัวขันทำเป็น
รปู ๒๑
กระบะ ๓ เหลี่ยม มี ๓ ขา บางแห่งทำเป็นรปู กลมกม็ ี ขันแก้วทัง ๓ ทำด้วยไม้จิงก็ได้สาน
ด้วยหวายหรือไม้ไผ่ก็ได้ ขันแก้วทัง ๓ ที่ทำด้วยไม้จิง โดยมากจะทำด้วยไมส้ ัก ลักษณะใหญ่ของ ขัน
แกว้ ท้ัง๓ นี้ แบ่งได้ ๓ ส่วนคือ สว่ นใบขนั ส่วนเอว และสว่ นขา
ขันแก้วทั้ง ๓ ใช้ ใส่ดอกไม้ธปู เทียนบชู า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในงานบุญต่าง ๆ
โดยเฉพาะงานที่จัดขึ้นในวัด สิ่งที่ศรัทธาชาวบ้านที่จะไปร่วมงานบุญในวัดจะขาดไม้ได้คือดกไม้ธูป
เทียนที่ จะนำไปใส่ขนั แกว้ ทงั ๓ ทุกคน เมื่อไปถงึ ในวิหารแล้วหลังจากการกราบจะตอ้ งใส่ขันแก้วทงั
๓ กอ่ น ผใู้ ส่ขันแก้วทัง ๓ เปน็ คนแรกตอ้ งเปน็ ชาย หญิงจะใส่ก่อนไมไ่ ด้ ถา้ หญิงไปถึงในวหิ ารก่อนโดย
ผู้ชายยังไปไม่ถึงหญิงต้องรอผู้ชายไปและใส่ก่อน อย่างน้อย ๑ คน จากนั้นผู้หญิงจึงจะใส่ได้ การใส่
ดอกไมใ้ นขันแก้วทงั ๓ นน้ั ถ้าขนั เป็นสามเหลย่ี มกใ็ สต่ ามมุมของกนั ถ้าเป็นขนั ทรงกลมคนใส่คนแรกก็
จะว่างดอกไม้เป็นสามกอง คนต่อไปก็จะวางดอกไม้ตามนั้น การวางดอกไม้ธูปเทียนและมุมจะมีคำ
กล่าวหรือท่องในใจ มุมแรกวา่ อรหํ มุมที่ ๒ ว่า ปจฺจตตฺ ํ มมุ ที่ ๓ ว่า ยทิทํ
๒๑ พระครูญาณวีรากร (เจย ญาณวีโร ไชยวงคแ์ กว้ ), คมู่ อื การสวดเบิกของวดั หลู้ : ขันคร,ู (เชยี งราย :
โรงพิมพ์เชียงรายรงุ่ โรจน์, ๒๕๕๒), หนา้ ๔๑.
๑๑๒
ง. ขันครู
ขนั ครู เป็น ภาชนะใสด่ อกไมธ้ ูปเทยี นเครอ่ื งเคารพ ครูบาอาจารย์ที่เคยได้สอนวิชาความรู้
ให้ หรือเป็นขนั ข้ึนครูในเวลาที่ไปสมัครเปน็ ลูกศิษย์หมอคาถาอาคม เช่น ขนึ้ ครใู นการสกั หรือขึ้นครูใน
การถ่ายทอดรับคาถาอาคมต่าง ๆ เปน็ ต้น ขนั ในประเภทนี้มรี ปู ทรงกลม ปากผาย มเี อวคอดเป็นขยัก
สว่ นตนี ผายออก ใบขันสานดว้ ยไม้ไผ่ สา่ นขาและตีนพนั มว้ นดว้ ยตอกทารักลงหางเปน็ สีน้ำตาลหรือสี
แดง๒๒
สิ่งที่ใส่ในขนั ครู ประกอบด้วยดอกไม้ธูปเทียนอย่างละ ๖ มีข้าวตอกพองาม นอกจากน้นั
จะมีเงินบชู าครูตามกำหนด เช่น ๖ บาท ๑๒ บาท ๑๐๘ บาท ๑ , ๓๐๐ บาท โดยมากขันครูนี้จะจัด
ให้พ่อหมอหรอื ปู่อาจารย์ก่อนทำพิธีสมัย ปัจจุบันนิยมใส่ขันครูทีว่ า่ งไว้ และเพิ่มอีกสว่ นหนึ่งเป็นการ
สัมมนาคณุ อีก กรณหี น่ึง
บางตำราใช้ขันธค์ รู เป็นขันธ์ ๕ มเี คร่อื งมงคล ๕ อยา่ ง คือ ดอกไม้ขาว ธูปขาว เทียนขาว
ผ้าขาว กรวยใบตอง หนึ่งพานประกอบด้วยผา้ ขาว และกรวยดอกไม้ ๕ กรวย เทียนใส่กรวยละ ๑ คู่
ธูปใส่กรวยละ ๓ ดอก โดยขันธ์ ๕ นี้จะเป็นตัวแทนขันธ์ทั้ง ๕ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์
สงั ขารขันธ์ และวญิ ญาณขันธ์
๒๒ พระครูญาณวีรากร (เจย ญาณวีโร ไชยวงค์แก้ว), คู่มือการสวดเบิกของวัดหลู้ : ขันครูถาวร,
(เชียงราย : โรงพิมพ์เชยี งรายรงุ่ โรจน์, ๒๕๕๒),หน้า ๔๒.
๑๑๓
ขันครู เป็นเสมือนตวั แทนครู จะเป็นสายไหนก็ตอ้ งมขี ันครู สายฤาษี สายล้านนา สายเขมร
สายใต้ สายผี สายภูต สายพราย สายเทพ มักมพี านครตู งั้ บชู าไว้ อัญเชญิ ครูบาอาจารย์มาสถติ อยู่ เพ่ือ
จะใชเ้ พม่ิ พลังวชิ าอาคมและรักษาวิชาอาคม ท้งั ยังปกปอ้ งรกั ษาตัวผูเ้ ป็นศิษยอ์ ีกด้วย ถ้าไม่มีขันครูจะ
ทำใหก้ ารประกอบพิธีต่าง ๆ ไมส่ ำเร็จ จะเกดิ อาถรรพ์และขดึ หากใชอ้ าคมเกนิ ตัวอาจจะทำใหข้ องเข้า
ตัวถึงตายได้ แต่ถ้ามีขันครูแลว้ รักษาไม่ดีของก็เข้าตัวได้เช่นกัน ขันครูต้องตัง้ ไว้ที่สูงสดุ ของบา้ นที่พกั
อาศยั ห้าวไวใ้ นทีต่ ่ำ หากจะโยกย้ายขนั ครตู ้องห่อผ้าขาวกอ่ นทกครงั้ และถ้าไม่จำเปน็ จริง ๆ อย่าย้าย
ขนั ครเู ดด็ ขาด
ขันครชู ั่วคราว (ขัน้ ต้งั ) คอื ขันชนิดเดียวกนั กับขนั ตง้ั ขันครใู นพิธีตา่ ง ๆ เช่นพิธีมงคล พิธี
ลงเลาเอก ข้นึ บา้ นใหม่ ข้ึนครูอาจารย์วดั (มัคคธายก) พธิ ีแตง่ งาน สู่ขวัญตา่ ง ๆ ทำขวญั นาค ส่วนงาน
อวมงคล เช่นพิธีศพสงสการ เป็นต้น ขนั ครูชว่ั คราวนี้จะมกี ารลาขันเมอ่ื เสรจ็ งานเรยี กวา่ “ปลดขันตัง้ ”
จนชาวบ้านเอามาเรียกกันตดิ ปากในวงเหลา้
ขันครูถาวร เป็นขนั แบบเดียวกับขนั ตัง้ แต่ไม่มกี ารลาขนั เป็นขนั ครูท่ีวางบูชาไว้ตลอดทั้ง
ปี ขันครสู ำหรบั ผตู้ อ้ งการจะเล่าเรียนวิชาคาถาอาคม โดยผทู้ จี่ ะเรียนให้ทำพานครู ๑ พาน แล้วทำพิธี
เลย้ี งครู ยกขันครู แลว้ นำไปบูชา ตั้งเครือ่ งพลีกรรม นำ้ ดม่ื และดอกไม้ ตามแตล่ ะสำนัก บางครั้งอาจ
ใช้กำยาน ขันครูนี้จะเปลี่ยนได้เพียงปีละครั้ง ตามกำหนดของแต่ละสถานที่ เช่น วันพญาวัน ในช่วง
สงกรานต์ เป็นตน้
ขันครูถาวรมี ๒ ประเภท
๑) ขนั น้อย แบง่ เปน็ ขนั ๕ , ขัน ๘ , ขัน ๑๒ , ขัน ๑๖ , ขัน ๒๔ , ขัน ๒๘ , ขนั ๓๒
- ขนั ๕ นห้ี มายถึง ขันศลี ๕ เปน็ ขนั เบญศลี หรือศีล ๕
- ขนั ๘ นห้ี มายถงึ ขันศีล ๘ เป็นขันอโุ บสถศีลหรือศีล ๘
- ขัน ๑๒ น้ีหมายถงึ ขนั พ่อครู เปน็ ขันของผเู้ ปน็ ครอู าจารย์ลำดับช้ันต้น
- ขนั ๑๖ นีห้ มายถึง ขนั ครบู ชู าพระเจา้ ๑๖ พระองค์
- ขนั ๒๔ น้ีหมายถงึ ขนั พ่อครูลำดบั ทส่ี อง เปน็ ขนั ของผู้เปน็ ครอู าจารยล์ ำดบั ชัน้ สูง
- ขัน ๒๘ นห้ี มายถงึ ขันครูบูชาพระเจ้า ๑๘ พระองค์
- ขัน ๓๒ นี้หมายถงึ ขันพ่อครูลำดับท่ีสอง เป็นขนั ของผู้เปน็ ครูอาจารย์ลำดับช้ันสูง
สูงกว่าขัน ๑๒ ขัน ๓๒ นี้ เป็นขันครูใหญ่ไหว้เทวดาทั้งสามโลก และอีกนัยหนึ่งคือ ขันอาการ ๓๒
หมายถงึ รปู ขันธ์ทง้ั ๓๒ ประการ
๒) ขนั หลวง แบง่ เป็น ขนั ๑๐๘ , ขัน ๑๐๙ , ขนั ๒๒๗ , ขัน ๑๐๐๐
๑๑๔
- ขนั ๑๐๘ , ๑๐๙ นี้หมายถงึ ขนั ครเู คร่อื งใหญ่ เป็นอาจารย์ผู้มวี ิชาอาคมแกร่งกล้า
ระดบั บรมครู ระดบั ผอู้ าวุโส ขน้ั พระสงฆ์ทมี่ ีวิชาแกก่ ล้า ขัน้ เจ้าเมืองหรือพระมหากษตั รยิ ์
- ขัน ๒๒๗ นีห้ มายถงึ ขนั ศลี ๒๒๗
ขนั ตัง้ คอื พานชนดิ หนง่ึ กลงึ ดว้ ยไมจ้ ิง ทรงกลม ปากผายออก เส้นผา่ ศูนย์กลางประมาณ
๓๐ เซนติเมตร สูงประมาณ ๑๐ เซนติเมตร ไม่มีขาแต่มีขอบตีน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ขันตีนต่ำ อีก
ชนิดหนึ่งสานดว้ ยไมไ้ ผ่สานสองลาย รูปทรงและขนาดความกว้างประมาณเท่ากันกับชนิดกลึงดว้ ยไม้
จงิ เรอื่ งขนาดของความกวา้ ง ความสูง ไม่เป็นมาตรฐานท่ีแน่นอ
ขันตั้ง เป็นภาชนะสำหรับใส่เครื่องคำนับ เช่น ดอกไม้ ธูปเทียน หมากพลู และข้าวของ
อย่าง อ่ืนเพอ่ื ใหเ้ ป็นของสมนาคณุ แกผ่ ู้ทมี่ าทำประโยชน์ให้ เช่น หมอ อาจารย์ ผูป้ ระกอบวธิ ี หรือช่าง
ซอ หรอื นกั ขบั เพลง ปฏพิ ากย์ เปน็ ต้น เคร่อื งบูชาครูและจำนวนอาจจะไม่เหมอื นกันทกุ พิธี บางพิธีใช้
เคร่ือง ๔ คอื กรวยหมากพลู ๔ กรวยดอกไม้ ๔ หมาก ๔ ขด ๔ ทอ่ น ใส่เบ้ียใสเ่ งิน ผ้าขาว ผา้ แดง และ
สุรา ถา้ เป็นข้นั ตง้ั ทีใ่ ช้ในการบชู าครจู ะมไี ก่หรือไข่ปง้ิ เพม่ิ อีกดว้ ย๒๓
ขันตั้ง โดย ทั่วไป เช่น ขันที่ตั้งให้แก่ช่างผู้ที่จะสร้างวิหาร อุโบสถ กุฏิ สร้างบ้านเรือน มี
ครัวหรอื เครอื่ งประกอบ ดังนี้ กรวยหมากพลู ๑๒ กรวยดอก ๑๒ หอยเบ้ยี อย่างท่ีใช้แทนเงนิ ตรา ๑ ,
๓๐๐ เบ้ีย หมากไหม ๑ , ๓๐๐ ผ้าขาวรำ (พบั ) ผ้าแดงรำ (พับ ) เหล้า ๑ , ๐๐๐ ข้าวเปลือกหนัก ๑๐
, ๐๐๐ น้ำ ข้าวสารหนัก ๑ , ๐๐๐ น้ำ เงิน ๑๒ บาท เมื่อตั้งขันให้แก่ หัวหน้าช่าง คือเป็นการมอบ
ภาระให้รับผิดชอบแล้ว หัวหน้าช่างก็จะกล่าวอาราธนาอัญเชิญครูบาอาจารย์ให้มาช่วยคุมครองให้
ปลอดภัยในขณะที่ทำก่อสร้าง แล้วนำเอาสาแหรกใส่ขันตั้งแขวนไว้ที่ขื่อของอาคารนั้น เมื่อสร้าง
อาคารหรือถาวรวัตถุนั้น ๆ เสร็จ ทางฝ่ายทางเจ้าภาพจะเปลี่ยนเครื่องคำนับที่เก่าออกใส่ใหม่แล้ว
หัวหน้าช่างก็ จะทำพิธกี ล่าวคำปลดขนั ตัง้ จานัน้ ควำ่ ขันลงกับพน้ื เก็บข้าวของใสไ่ ว้เหมือนเดิม นำเหล้า
ขันตงั้ มาเปิดเลีย้ งกนั กับลูกนอ้ งเป็นการฉลองความสำเร็จ ตอ่ มาสมัยหลังจนถงึ ปัจจุบันคงจะหาขันสำ
หลับเป็นภาชนะใส่เครื่องครัวแบบสมัย ก่อนไมไ้ ด้ จึงใช้ โอ ใช้สุลง ใช้กะละมังแทน เงินค่าครกู เ็ ขยิบ
ราคาขน้ึ ตามสภาพเศรษฐกจิ หรือเงนิ คา่ ครยู ังคงเดิมแต่มีส่วน เพม่ิ เปน็ ค่าจ้างตามลกั ษณะงานและตาม
ยุคสมัย จากการศึกษาของอนุกูล ศิริพันธุ์ พบว่ามีขันตั้งที่จำแนกเป็นระดับต่าง ๆ ตามจำนวนของ
เครือ่ งหรือชุดของเครอื่ งคารวะ ดงั น้ี
ขนั ต้งั เครื่อง ๓
๒๓ พระครูญาณวรี ากร (เจย ญาณวโี ร ไชยวงคแ์ กว้ ), ค่มู ือการสวดเบิกของวดั หลู้ : พิธกี รรมการสวด
เบกิ , (เชียงราย : โรงพิมพเ์ ชียงรายรงุ่ โรจน์, ๒๕๕๒), หน้า ๔๔.
๑๑๕
ใช้ กบั งานสร้างเจดยี แ์ ละปราสาท จะประกอบด้วยพานทมี่ เี ครือ่ งคารวะ คอื หมาก ๓ ขด
จำนวน ๓ท่อน กรวยดอกไม้ ๓กรวย กรวยหมากพลู ๓ กรวย เงิน ๑ เฟื้อง (สลึง ) ขันตั้งเคร่ือง ๓ น้ี
ใชค้ ู่กบั ขนั ตั้งเรือ่ ง ๕ เสมอ โดยต้ัง ขนั ๓ ไว้ทางด้านซา้ ยของ ขัน ๕
ขันตัง้ เครื่อง ๔
ใช้ เป็นเครื่องอัญเชิญเทพ ในการสรา้ งสงิ่ ตา่ ง ๆ ทว่ั ไปถ้าสรา้ งบ้านจะมีสุราใส่ด้วย ขันต้ัง
น้จี ะประกอบดว้ ยพานทมี่ ีเครื่องคารวะ คือหมาก ๔ ขด จำนวน ๔ ทอ่ น กรวยดอกไม้ ๔ กรวย กรวย
หมากพลู ๔ กรวย ข้าวสาร ๑ กระทง น้ำส้มป่อย ๑ ที่ เงินตามฐานะ(ไม่ใส่ก็ได้) เทียนเหลืองหรือ
เทียนขาว ๔ คู่
ถ้า ใช้ในการขึ้นทา้ วทั้งสี่ จะทำให้เป็นสะทวง ๖ อัน แต่ละอันบรรจุข้าว ๔ คำ อาหาร ๔
ช้ิน (เน้ือหรือเนอ้ื ปลา) แกงสม้ และแกงเขียวหวานอย่างละ ๔ ชุด ผลไม้หวาน ๔ คำ หมากพลเู ม่ียง ๔
ชุด น้ำ ๔ กระทง ดอกไม้ธปู เทียน ๔ ชุด ชอ่ สดี ำเหลืองแดงขาวเขียว ๔ ชุด ใสต่ ามกำหนด
ขันตงั้ เครอื่ ง ๕
๑๑๖
ใช้ ประกอบกบั ขันตัง้ เครือ่ ง ๓ ในการสรา้ งถาวรวัตถุในวัด ขันต้ังนปี้ ระกอบด้วยพานท่ีมี
เคร่ืองคารวะ คือ ดอกไม้ ๕ ก้าน เทยี น ๕ แท่ง และขา้ วตอก ๑ ขัน๒๔
ขันตง้ั เคร่ือง ๘
เปน็ ขนั อธิฐานหรอื สมาทาน เป็นขนั เทวดา ใชเ้ ป็นของของครอู าจารย์ ใชร้ กั ษาปัดแก้หรือ
ถอนต่าง ๆ ในการเทศนก์ ารสวด สืบชาตา สังฆทาน การศพ ถ้าเป็นงานทางด้านศาสนาจะไม่มเี หล้า
แต่หากเป็นพิธีแก้เสนียด หรือการกระทำที่รุนแรง เช่น ตัดงาช้างจะต้องใช้เนื้อและเหล้าด้วย
นอกเหนือจากของทกี่ ำหนดคือหมาก ๘ ขด จำนวน ๔ ท่อน กรวยดอกไม้ ๘ กรวย กรวยหมากพลู ๘
กรวย หมาก ๑ , ๓๐๐ เบี้ย๑ , ๓๐๐ ข้าวเปลือก ๑๐ , ๐๐๐ (๑ ถัง ) ข้าวสาน ๑ , ๐๐๐ (๑ ลิตร )
๒๔ พระครูญาณวีรากร (เจย ญาณวีโร ไชยวงคแ์ ก้ว), คู่มือการสวดเบกิ ของวัดหลู้ : ขันตั้งเครื่อง ๕,
(เชยี งราย : โรงพมิ พเ์ ชยี งรายรงุ่ โรจน์, ๒๕๕๒), หนา้ ๔๕.
๑๑๗
เทียนใหญ่และเทียนเฟื้องอย่างละคู่ ผ้าขาว ๑ พับ ผ้าแดง ๑ พับ เงิน ๓๒ บาท ทั้งนี้ ถ้าเป็นงานตัด
แก้ หรือสร้าง จะตอ้ งมีมะพรา้ ว ๑ทะลาย กลว้ ย๑ เครอื ๒๕
ขันตั้งเคร่อื ง ๑๒
ใช้กบั งานด้านความเปน็ ครอู าจารยห์ รืองานของบ้านของเมือง เป็นขันของ พ่อครูช้ันปฐม
ขันตั้งน้ีประกอบด้วยพานท่ีมีเครื่องคารวะ คือ หมาก ๑๒ กรวย (ไว้ด้านขวา) ดอกไม้ ๑๒ กรวย (ไว้
ด้านซ้าย) กล้วย ๑ เครือ มะพร้าว ๑ ทะลาย ผ้าขาว ๑ พับ ผ้าแดง ๑ พับ เทียนแท่งละบาทกับแท่ง
ละเฟ้อื งอย่างละ ๑๒ ขา้ วเปลือก ๑๐ ,๐๐๐ (๑ถงั ) ขา้ วสาร ๑ , ๐๐๐ (๑ลติ ร ) หมาก ๑ , ๓๐๐ เบ้ีย
๑ , ๓๐๐ หมาก ๑๒ ชด จำนวน ๓๒ ท่อน
ขันต้งั เครอ่ื ง ๒๔
๒๕ พระครญู าณวรี ากร (เจย ญาณวีโร ไชยวงคแ์ กว้ ), คู่มือการสวดเบกิ ของวดั หลู้ : ขนั ตงั้ เครือ่ ง ๑๒,
(เชยี งราย : โรงพิมพ์เชยี งรายรุ่งโรจน์, ๒๕๕๒), หนา้ ๔๖.
๑๑๘
(บางท่านถือเป็นขันครูลำดับที่สองสูงกว่า ขันเครื่อง ๑๒ ) การให้ความหมายในทาง
ศาสนา คอื การบชู าพระอภธิ รรมมักจะเป็นขันตง้ั ที่บง่ บอกใหร้ ู้ถงึ ความสามารถของผู้เรียนอยู่ในข้ันที่
สามารถนาไปใช้ได้ มักจะใช้กับงานพิธีไหว้ครูหรือยกครูของหมอยารักษาโรค หรือหมอดูทาง
โหราศาสตร์๒๖
ขนั ตั้งเครอื่ ง ๓๒
ใช้ไหวค้ รงู านใหญ่ ไหวเ้ ทวดารวมในโลกทัง้ สาม เปน็ ขันของ พอ่ ครู ลำดบั สองขนั ต้ัง นี้ จะ
ประกอบไปด้วยพานที่มีเครื่องคารวะ คือ หมาก ๓๒ ขด จำนวน ๓๒ ท่อน เบี้ย ๑ หมื่น หมาก ๑
หมื่น ผา้ ขาวผา้ แดงอยา่ ละพับหรือวา เทยี น ๓๒ คู่ กรวยดอกไม้ ๓๒ กรวย กรวยหมากพลู ๓๒ กรวย
เทยี นแทง่ ละบาทและแทง่ ละเฟอื้ ง เหลา้ ๑ ไห (๑ ขวด) เงิน ๓๖ บาท
ขนั ตั้งเครื่อง ๓๖
๒๖ พระครูญาณวรี ากร (เจย ญาณวโี ร ไชยวงค์แกว้ ), คมู่ ือการสวดเบกิ ของวัดหลู้ : ขันต้ังเคร่อื ง ๒๔,
(เชียงราย : โรงพิมพ์เชยี งรายรุ่งโรจน์, ๒๕๕๒), หน้า ๔๗.
๑๑๙
เป็นขันตั้งข้ันลำดบั สาม หรือขั้นตตยิ ธาตุ หรือการให้ความหมายรวม การบูชาเทพใน ๓
โลก คือ พระวิษณุ, พระศิวะ และพระพราหมณ์ตรมี ูรติ มนั จะเป็นขนั ต้งั ที่บง่ บอกใหร้ ูถ้ ึงการฝึกฝนการ
เรียนในวิชานั้น ๆ ถึงขั้นที่สามารถนาไปใช้และสามารถนำไปสอนผู้อื่นได้ถือว่าเป็นครูอย่างเต็มตัว
มกั จะใชก้ ับงานพิธไี หวค้ รหู รือยกครูของหมอยารกั ษาโรค หรือหมอดทู างโหราศาสตร์๒๗
ขนั ตงั้ เคร่อื ง ๑๐๘
เปน็ เครื่องใหญส่ ำหรบั อาจารยท์ ีม่ ีวิชามาก (ไสยศาสตร)์ หรอื ระดบั บรมครู ข้ันพระสงฆ์ท่ี
มีวชิ าแก่กลา้ ขัน้ เจ้าเมืองหรอื พระมหากษตั ริย์
ขันตั้ง ระดับ นี้ประกอบด้วยพานที่มีเครื่องคารวะ คือ หมากสาย ๑๓๐ สาย หมากขด
๑๐๘ ขด กรวยหมากพลู ๑๐๘ กรวย กรวยดอกไม้ธูปเทียน ๑๐๘ กรวย ผ้าขาวผ้าแดงอย่าละ ๑ วา
๑ ศอก ๑ คบื เบ้ยี ๑๐๘ เงิน ๑๐๘ บาท เหลา้ ๑ หมื่น (๑ ขวด) มะพร้าว ๑ ทะลาย กล้วย ๑ เครือ
ข้าวสาร ๑ ถัง ข้าวเปลอื ก ๑ ถัง นำ้ ตาล ๑ ถงั น้ำออ้ ย ๑ ถงั นำ้ ผ้ึง ๑ ถงั ออ้ ย ๑ ลำ หนอ่ กล้วย หนอ่
ออ้ ย หนอ่ เผือกมนั อยา่ งละ ๑ หนอ่ ถว่ั ดำ ถัว่ แดง งาดำ อยา่ งละ ๑ กลัก
๒๗ พระครญู าณวีรากร (เจย ญาณวีโร ไชยวงค์แก้ว), คมู่ อื การสวดเบกิ ของวัดหลู้ : พธิ ีกรรมการสวด
เบิก, (เชยี งราย : โรงพมิ พเ์ ชียงรายรุง่ โรจน์, ๒๕๕๒), หน้า ๔๘.
๑๒๐
ขันต้งั เครอื่ ง ๑๐๐๐
จะใช้สำหรับงานต่อเศียรพระ ต่อยอดพระเจดยี ์ ต่อยอดปราสาทหรือคุ้มวงั ขันตั้ง นี้ จะ
ประกอบด้วยพานที่มีเครื่องคารวะ คือ กรวยดอกไม้ ๑๐๐๐ กรวยหมากพลู ๑๐๐๐ เบี้ย ๑๐๐๐
ข้าวสาร ๑ หมื่น ข้าวเปลือก ๑ แสน หมากแหง้ ทรี่ อ้ ยเป็นสาย ๓๒ สาย เทียนแทง่ ละบาทและแท่ละ
เฟอื้ ง ผา้ ขาวผา้ แดงอย่างละพบั มะพรา้ ว ๑ ผล กล้วย ๑ หวี เงนิ ๑๐๘ บาท๒๘
คำโยงขนั ตั้ง สำนวนที่ ๑
สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิการิย ตถาคโต สิทธิเตโช ชโยนิจจงั สิทธิลาโภ นิรันตรงั สัพพ
สิทธิปสทิ ธเิ ม
คำโยงขนั ตง้ั สำนวนที่ ๒
สทิ ธิกิจจงั สทิ ธิกมั มงั สิทธิลาโภ ชโย นจิ จัง พทุ ธังสิทธิธมั มังสิทธิสังฆังสิทธินมามิรัตนัตต
ยังพุทธคุณงั ธมั มคณุ ังสังฆคณุ งั อหงั วันทามสิ ัพพทา
๒๘ พระครญู าณวรี ากร (เจย ญาณวีโร ไชยวงค์แกว้ ), คู่มือการสวดเบิกของวดั หลู้ : พธิ กี รรมการสวด
เบกิ , (เชยี งราย : โรงพมิ พ์เชียงรายร่งุ โรจน์, ๒๕๕๒), หนา้ ๔๙.
๑๒๑
คำโยงขันต้งั สำนวนท่ี ๓
โอมสิทธิการ ครูบาอาจารย์เจ้ากูมีทังครูเทพเมืองลาว ครูผ้าขาวเมืองใต้ครูเทพพะไท้
ไตรปิฏะกะลงั กา ตักกสลี า ครพู ระกูม ครพู ระกัน ครูพระกูมกัณฑ์คนั ธัพพะยกั ษต์ นเปนพระยากั้ง พระ
ยาบัง จุ่งมาระวังรกั ษาตรีนิสิงเห สัตตนาเค ปัญจะพิษณุนเมวัจจะ อกะยักขา นวเทวา ปัญจพรัหมา
นมามิหังปตั ติทเวราชา อัฏฐะอรหันตา ปัญจะ พุทธา นมามิหัง พุทธระวัง ธัมมระวัง สังฆระวงั วิดวงั
บังสวาหับ สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิลาภัง สิทธิเตชะเชยยัง สิทธิตถาคโต สิทธิอิติปิโสภควา นโม
พทุ ธายะ มะอะอุสวิ งั สทิ ธคิ ุณโณ ภวันตเุ ม โอมเหเต เยวสพั พสิทธสิ วาหะ๒๙
คำต่อทา้ ยโยงขนั ตัง้
พุทธคุณัง อาราธนานัง ธัมมคุณัง อาราธนานังสังฆคุณัง อาราธนานัง อาจาริยคุณัง
อาราธนานงั มาตาปิตาคุณังอาราธนานงั สพั พคุณานิจะ อาราธนานงั พทุ ธัง ปะสิทธเิ ม ธัมมัง ปะสิทธิ
เม สังฆัง ปะสิทธิเม อาจาริยัง ปะสิทธิเม มาตาปิ ตะโร ปะสิทธิเม สัพพคุณัง ปะสิทธิเม สิระสัง เม
ติฏะฐะตุ ขออาราธนาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณครบู าอาจารย์คุณพ่อแม่และคุณทังหลาย
ทงั ปวง จงุ่ มาต้ังอยู่กระหมอ่ มจอมหัวแหง่ ข้า ปะสทิ ธจิ งุ่ หื้อสาเร็จ สัพพกิจทังมวลแก่ผู้ข้าเที่ยงแท้ดีหลี
แด่เต๊อะฯ
คำปลดขันตง้ั หรือปลงขันตั้ง
หลังจากทาพธิ ีเสร็จเรยี บร้อยแล้ว ก็จะมกี ารปลดขนั ต้ังหรอื ปลงขันตั้ง โดยเจ้าพิธีจะยกขัน
ตั้งขึ้นเสมอศีรษะ แล้วกล่าวคำปลดขันตั้งดังนี้ พุทธัง ปัจจักขามิ ธัมมัง ปัจจักขามิ สังฆัง ปัจจักขามิ
อาจริยคุณงั ปัจจักขามิสัพพคุณานงั ปัจจกั ขามิอหังวันตามิสริ ะสา บัดน้ีผู้ข้าก็ได้กระทำพิธีสำเร็จเสร็จ
บวั ระมวลดแี ลว้ จกั ขอปลงยงั คุณครบู าอาจารยไ์ ว้กระหม่อมจอมขวญั แห่งผู้ข้ากอ่ นแล แล้วจึงคว่ำขัน
ลง หรอื วางขันตง้ั ไว้เก็บเอาสิง่ ที่เราจะเอานอกนั้นอนญุ าตใหเ้ ขาเป็นเสรจ็ พิธี
ง. สะตวง
ตามทางสามแพร่งหรือโคนต้นไม้ใหญ่ๆ มักเห็นกระทงกาบกล้วยรูป
สเี่ หลยี่ มใส่เครื่องเซน่ วางอยู่ เพอ่ื เปน็ การเซน่ ผีสางเทวดาหรอื สะเดาะเคราะห์ คนทางภาคกลางเรียก
กระทงดงั กลา่ วว่า "กบาล" แต่คนเมืองภาคเหนอื เรยี ก "สะตวง" ซึ่งไม่จำเป็นตอ้ งเป็นกระทงสี่เหล่ยี ม
หรือทำด้วยกาบกลว้ ยเท่านั้น อาจใช้วัสดุอื่นๆ เช่น ใบตอง กระดาษ ฯลฯ ทำเป็นที่ใส่เครื่องเซ่นไหว้
๒๙ พระครญู าณวีรากร (เจย ญาณวีโร ไชยวงคแ์ กว้ ), ค่มู อื การสวดเบกิ ของวัดหลู้ : พธิ กี รรมการสวด
เบิก, (เชยี งราย : โรงพมิ พเ์ ชียงรายรงุ่ โรจน์, ๒๕๕๒.), หนา้ ๕๐.
๑๒๒
บูชาก็เรียก สะตวง ทั้งสิ้น คนเหนือจะทำสะตวงประกอบพิธีกรรมหลากหลาย ทั้งที่เกี่ยวข้องกับการ
เกษตรกรรม เชน่ ในการแรกนาจะทำสะตวงไปบูชาที่ท้องนา หรือในชีวิตประจำวัน เช่น ขึ้นบ้านใหม่
จะตงั้ เสาบชู าเทวดา ทำทวี่ างสะตวงหกอัน ด้านบนสุดบชู าพระอนิ ทร์ ตรงกลางทำไมเ้ ปน็ รูปกากบาท
ย่ืนออกไปทัง้ ส่ีทศิ ไว้บูชาท้าวจตโุ ลกบาล และดา้ นล่างบชู าแม่พระธรณี สว่ นในวนั ปากปขี องประเพณี
สงกรานต์ คนเมืองจะนำเสื้อผ้าของคนในครอบครวั และสะตวงใส่เคร่ืองบูชาไปที่วัด เพื่อทำพิธีบูชา
พระเคราะห์ ใหค้ นในครอบครวั ไดอ้ ยูด่ มี สี ุข ปราศจากเคราะหต์ ลอดปี
การส่ง หรือพิธีกรรมในการสังเวยตามแบบล้านนา เมื่อมีเหตุการณ์ไม่ดี
เกิดขึ้น เช่น ความเจ็บป่วยที่รักษาไม่หาย ประสบเหตุ เช่นไฟไหม้บ้าน หรือมีเคราะห์ร้ายต่างๆ
บ่อยครั้ง ซึ่งเชือ่ กันว่าอาจมีสาเหตุเนื่องจากถกู ผหี รืออำนาจอื่นกระทำ การแก้ไขอย่างหนึ่งคือ การส่ง
หรอื การสังเวยแก่เทพหรือผนี ั้นๆ โดยตรงเพือ่ จะไดพ้ ้นจากสภาพทเ่ี ลวรา้ ยนั้นได้ ซ่ึงพิธีส่งมีหลายชนิด
เช่น ส่งขึด ส่งกิ่ว ส่งผีส่งเทวดา ส่งเคราะห์ ส่งแถน ส่งหาบ และส่งคอน การส่งเคราะห์บคุ คลที่ถูกใส่
ความ ประสบอุบตั ิเหตุ เป็นไข้ ค้าขายขาดทุน ทำงานมักผิดพลาดหรือเกิดความเสียหายบ่อย เป็นตน้
ถือว่าบุคคลผู้นั้นมีเคราะห์มากระทบ การส่งเคราะห์จะทำให้เคราะห์ทั้งหลาย ตกไปได้ ซึ่งในพิธี
กรรมการส่งจะมีเครื่องประกอบพิธีกรรมและคำสังเวยแตกตา่ งกันไปแล้วแตช่ นดิ ของการส่ง
เครอ่ื งบตั รพลี หรือเคร่อื งเซ่นในการส่งเคราะหป์ ระกอบดว้ ย
๑. เครื่องแสดงความยกยอ่ ง ประกอบดว้ ย ข้าวตอกดอกไม้ ธปู เทียน
๒. เครื่องประกอบยศ ซึ่งมี ช่อ (ธงสามเหลี่ยมขนาดเล็ก) และ ตุง (ธง
ตะขาบ) ทั้งนี้อาจมีฉัตรทำด้วยกระดาษเล็กๆ ด้วยก็ได้ เทียนค่าฅิง (เทียนสูงเท่ากับความสูงของเจา้
ชาตา) สีสายหรือสายน้ำมันค่าฅิง (ไส้เทียนยาวเท่าตวั เจ้าชะตา) ผ้าขาว ผ้าแดง ห่อเงิน ห่อคำ(ทอง)
เปน็ ต้น
๑๒๓
๓. อาหารและเครื่องขบเคี้ยว ประกอบด้วย แกงส้ม แกงหวาน ข้าว ขนม
มะพรา้ ว กลว้ ย อ้อย หมาก พลู บุหรี่
๔. เครอ่ื งสังเวยตามวัตถปุ ระสงค์ เช่น ดินหรือแปง้ ท่ปี นั้ เป็นรปู สตั วต์ า่ งๆ
๕. เครื่องทานประกอบเช่น สัตว์สำหรับปล่อยเพื่อสะเดาะเคราะห์ หน่อ
กล้วย หน่อออ้ ย ไม้คำ้ ต้นโพธิ์ เป็นตน้
๖. การจัดชดุ ของเครื่องสังเวย ตลอดถงึ การจัดวางเครอ่ื งบูชาเมอ่ื เสร็จพิธี
๗. คำโอกาสหรือคำกล่าวในการสังเวย เป็นการแสดงเจตนารมณ์ในการ
สังเวยนั้นๆ
๘. สะตวง หรือกระทงสำหรับใสเ่ คร่ืองบตั รพลีหรือเครือ่ งเซน่
ในการทำสะตวงสำหรบั พิธสี ่งเคราะห์นั้นมวี ธิ ีการทำคลา้ ยกบั สะตวงที่ใช้ใน
พิธีขึ้นท้าวทั้งสี่ ต่างกันที่ขนาดของสะตวงส่งเคราะห์จะมีขนาดใหญ่กว่า และบางครั้งอาจจะเป็นสะ
ตวงแบบเกา้ หอ้ ง และทต่ี ่างกนั อกี ประการหน่ึงคอื ที่กน้ สะตวง กอ่ นท่จี ะใสเ่ คร่ืองบัตรพลีลงไปน้ัน สะ
ตวงทใ่ี ช้ในพธิ ขี ้นึ ท้าวทัง้ สี่มักใช้กระดาษหรอื ใบตองรองพ้ืน สำหรบั สะตวงส่งเคราะห์จะใช้ใบโจค หรือ
ใบโชค ใบคำ้ ใบขนุน และใบมะยมในการรองพ้ืน ทัง้ น้ีมคี วามเชอื่ ว่าใบไมท้ ง้ั สามชนดิ น้ีเป็นมงคล ช่วย
ในการค้ำจุนหนุนนำ เปน็ ท่นี ยิ มชมชอบและรกั ใครข่ องผูค้ น และทำให้มีความโชคดดี ้วย
๙. เครื่องคำนับครูของอาจารย์ผู้ประกอบพิธีซึง่ มักจะประกอบด้วยดอกไม้
ธูปเทียน หมากพลู เมย่ี ง บหุ รี่ และเงินตามอัตรา ทง้ั นกี้ ารจัดอุปกรณ์ในพิธีอาจจัดวางบนจานสังกะสี
ใส่พาน ใส่ฅวัก คือ กระทง ใส่สะตวง คือ กระบะบัตรพลีทำด้วยกาบกล้วยหรือวางบนตะแกรงไม้ไผ่
สานกไ็ ด้
นอกจากที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในพิธีการส่งเคราะห์ของชาวล้านนาใน
จังหวัดแพร่ มีการจัดทำเครื่องเซ่นไหว้หรือเครื่องบัตรพลี โดยนางจุฑามาศ ศรีวิลัย ได้อธิบายไว้ว่า
เคร่อื งเช่นไหว้ ประกอบด้วย แกงส้มแกงหวาน ขา้ วเปลอื ก ขา้ วสาร มะพรา้ ว กล้วยลกู ตาล ถ้าไม่มีให้
๑๒๔
ใช้น้ำตาลแทน อ้อย หมาก พลู เมี่ยง บุหรี่ ข้าวต้ม ขนม ดอกไม้ เทียน อาหารบางที่อาจเป็นเนื้อดบิ
ปลาแห้ง รปู ปน้ั คน สัตว์ ผูป้ ระกอบพธิ ีกรรมเปน็ ผูก้ ำหนดว่าจะใหป้ น้ั เปน็ รูปสัตว์อะไรบา้ ง โดยเอาวัน
เดอื น ปเี กดิ ของผเู้ ขา้ ร่วมประกอบพิธีกรรมไปให้อาจารยว์ ัดดูวา่ จะใช้เคร่ืองเซน่ ไหว้อะไรบ้าง ในตำรา
ทก่ี ลุ่มของผู้ศึกษาไปสมั ภาษณ์มาใช้ตำราจากปั๊บสา ดงั น้ี การนับหากเป็นชาย จะนบั ตามจำนวนอายุ
เวียนไปทางขวามือ โดยเริ่มนับตั้งแต่เสือ, นาค, หนู, ช้างไปเรื่อยๆ ถ้าตกที่ช่องใดแสดงวา่ เปิ้งตัวน้นั
หากเป็นหญิง จะนับตามอายุเช่นเดียวกัน แต่จะเริ่มจากวัว ไปหาฮุ้ง(เหยี่ยว), แมว, ราชสีห์ และ
จำนวนของเซ่นไหวก้ ็เปน็ ไปตามตวั เปิ้ง ดังนี้
- เปิง้ เสอื เครื่อง ๑๐
- เปง้ิ นาก เคร่ือง ๘
- เปง้ิ งวั (ววั ) เคร่อื ง ๘
- เปิ้งหนู เครื่อง ๑๒
- เปง้ิ ฮงุ้ เคร่อื ง ๑๕
- เปิ้งแมว เครอ่ื ง ๘
- เปง้ิ ราชสหี ์ เครอื่ ง ๑๗
ดังนั้น ของเซ่นไหว้แต่ละคนจะไม่เท่ากันซึ่งขึ้นอยู่กับแต่อายุ และเพศ
สงิ่ ของทจ่ี ัดเตรียมไว้เพอ่ื เซ่นไหว้ แบง่ ออกไดด้ ังน้ี
แกงส้มแกงหวาน หมายถึงผักต่างๆ ที่มีรสหวานและรสเปรี้ยวมาหั่นเป็น
ชิ้นเล็กๆหมากพลู บุหรี่ หมายถึง สิ่งประกอบที่ใช้สำหรับกินหมาก และสูบบุหรี่ถือเป็นเครื่องแสดง
ความให้เกียรติภูตผี เทวดา และเป็นสิ่งทีใ่ ช้ตอ้ นรับแขกในสมัยก่อนอ้อย กล้วย โดยมาตัดเปน็ ท่อนๆ
ยาวประมาณ ๓-๔ นิ้ว แล้วหั่นเป็นแท่งให้เท่าๆ กันตามจำนวนอาหารคาว หมายถึงข้าว คือข้าว
เหนียวท่ีน่ึงสุกแล้ว และกบั ข้าวที่มถี ้าไม่มอี าจเป็นเนอ้ื ทอดหรอื ปลาปิง้ หรืออาจเป็นปลารา้ เน้ือดิบ ก็
ได้
ธง หรือเรียกอีกอย่างว่า จ้อ เป็นธงสามเหลี่ยมขนาดเล็ก เสาธงใช้ไม่ไผ่
เหลากลมแหลม ผืนธงจะใช้ผ้าหรือกระดาษก็ได้ ถือเป็นสัญลักษณ์ในการอันเชิญเทวดาให้มารับรู้ใน
การประกอบพิธีกรรม จ้อของแต่ละคนที่เข้ารว่ มพิธีกรรมจะมีสีแตกต่างกนั ออกไป และแต่ละสะตวง
จะมีรม่ กระดาษ จำนวน ๑ คัน ซ่ึงจ้อตามตวั เปิ้งมดี งั นี้
- เปง้ิ เสือ จอ้ ดำ
๑๒๕
- เปง้ิ นาก จ้อขาวลาย
- เป้ิงงัว(ววั ) จอ้ แดง
- เปิ้งหนู จอ้ ขาวดำ
- เปิ้งฮุง้ จอ้ ขาวเหลอื ง
- เปง้ิ แมว จ้อแดง
- เปิ้งราชสีห์ จ้อขาวลาย
พริกแห้ง เกลือ หอม กระเทียม เกลือที่ใส่จะต้องเป็นเกลอื เม็ดใหญ่เท่านนั้
เพือ่ สง่ ใหเ้ ป็นเสบยี งกรงั ใหแ้ ก่เทวดา
รูปปั้นเป็นรูปสัตว์ หรือคนในสมัยก่อนจะใช้ดินเหนียวปั้นแต่ในปัจจุบันใช้
ดนิ น้ำมนั แทนดนิ เหนยี ว เพอื่ สง่ ไปเป็นทาสรับใช้เทวดา และแต่ละคนจะใช้รปู ปนั้ แตกต่างกันดังน้ี
- เป้ิงเสอื ป้ันรปู คน
- เปง้ิ นาก ป้นั รปู เทวดา
- เปง้ิ งวั (ววั ) ป้นั รูปคน
- เปง้ิ หนู ป้นั รูปเทวดา
- เปิ้งฮุ้ง ปนั้ รูปคน
- เปง้ิ แมว ป้ันรปู คน
- เปิ้งราชสีห์ ป้นั รปู คน
- เปิ้งชา้ ง ปนั้ รปู เทวดา
การทำพิธีสง่ เคราะห์น้นั เรมิ่ จากการจดั เตรียมสะตวงเคร่อื งเซ่น หรอื เครื่อง
บตั รพลตี ามการส่งแตล่ ะอยา่ ง ส่วนมากพ่อหนาน หรอื อาจารย์ซง่ึ ผา่ นการบวชเป็นพระมาแล้ว ซ่ึงเป็น
ผู้มีวิชาความรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมหรือผู้ซึ่งมีวิทยาคม เป็นผู้จัดเตรียม บางหมู่บ้านจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่
ชว่ ยกนั เตรียม ผู้ชายจะเปน็ คนจดั ทำสะตวงหรอื กระทงกาบกล้วย การปน้ั รูปสตั วต์ า่ งๆ สว่ นผู้หญิงจะ
เตรียมข้าวของ แกงส้ม แกงหวาน อาหารต่างๆ ใส่ลงไปในสะตวง การเตรียมการเหล่านี้มักทำกัน
ล่วงหน้ากอ่ นหน่งึ วนั เมอ่ื ถึงการประกอบพธิ ีการสง่ เคราะห์ พอ่ หนานผ้ปู ระกอบพิธจี ะเริ่มจากการบูชา
ขัน้ ตัง้ หรือขึน้ ขนั ต้ัง เพอื่ รำลึกถงึ พระคุณครูบาอาจารย์ก่อน จากน้นั เจา้ ชะตา คนป่วยหรือกลุ่มคนท่ี
จะทำการส่งเคราะหม์ านงั่ ดา้ นหนา้ จากน้ันอาจารยผ์ ปู้ ระกอบพิธีจะอ่านโองการส่งเคราะห์ ตามแบบ
โบราณซึง่ เขียนเอาไว้ในป๊ับสา หรือคัมภีร์ท่ีได้รับการถ่ายทอดมาจากครูอาจารย์ การส่งเคราะห์นั้นมี
ทั้งส่งเคราะห์เด่ียว ซึ่งส่วนมากจะเป็นการส่งเคราะห์ให้เจา้ ชะตาทีเ่ จ็บปว่ ย หรือได้รับอบุ ัติเหตเุ พยี ง
คนเดยี ว สว่ นการสง่ เคราะห์อีกแบบหนง่ึ เปน็ การสง่ เคราะห์แบบหมู่คณะ เช่นการสง่ เคราะห์บ้านเป็น
ต้น เมื่ออ่านโองการเสร็จแล้วจะผูกข้อไม้ข้อมือเพื่อเรียกขวัญกำลังใจ และประพรมน้ำขมิ้นส้มป่อย
เม่ือทำพิธีเสรจ็ แลว้ กจ็ ะนำไปวางตามทางแยกหรือทางสามแพง่ ซ่ึงเชอื่ วา่ เป็นสถานทท่ี มี่ ผี ีมาชุมนมุ กัน
การส่งเคราะห์แบบลา้ นนามกี ารส่งหลายประเภทดว้ ยกัน ซงึ่ แต่ละประเภท
นน้ั ก็มีความหมายของการส่งทแ่ี ตกตา่ งกันออกไป ดงั น้ี
๑๒๖
ส่งไฟไหม้ หรือ ปูจาส่งไฟไหม้ เป็นพธิ ีกรรมท่ีชาวลา้ นนาจะทำขึ้น เพอื่ ส่ง
เคราะหเ์ ม่อื เกิดไฟไหม้วดั บ้าน ยงุ้ ขา้ ว หรอื กองขา้ วในนา เปน็ ต้น เมอ่ื จดั พิธนี แ้ี ลว้ จงึ จะสามารถปลูก
สรา้ งอาคารในบริเวณไฟไหมน้ นั้ ใหม่ได้
ส่งแมเ่ กดิ หรอื บางแห่งเรียกว่า สง่ เกิด น้ีเปน็ พิธกี รรมที่จัดขึ้นเพ่ือสังเวย
แก่แม่ซื้อ เมื่อเห็นว่าทารกหรือเด็กป่วยไข้กระเสาะกระแสะร้องไห้กวนโยเยบ่อย เชื่อกันว่าแม่เกิด
หรอื แม่ซื้อซ่งึ เป็นวิญญาณนนั้ จะมารบั เอาเด็กไปอยู่ด้วย ดงั น้ันการทำพิธีส่งแม่เกดิ หรือสังเวยแก่แม่ซื้อ
นจี้ งึ เป็นการกระทำเพอ่ื ใหแ้ ม่ซ้อื พอใจและยตุ ิการกระทำท่ีจะนำตวั เดก็ ไปอยู่ดว้ ยเสยี
ส่งวานเกิด หรือ ส่งพ่อเกิดแม่เกิด เป็นพิธีที่ทำขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กหรือ
ทารกป่วยกระเสาะกระแสะ มีแนวโน้มวา่ วานหรือญาติในปรภพจะมารับตัวเด็กน้ันให้กลับคืนไปอยู่
ในสภาพวิญญาณเหมือนเดิม พิธีส่งวานเกิด นี้เป็นพธิ ที ี่ทำต่อจากการส่งเกิดหรอื ส่งแม่เกิด กล่าวคือ
จะมกี ารส่งแม่เกิดคอื สง่ แมซ่ อื้ ในวันแรก และวนั ตอ่ มาจะมกี ารส่งวานเกิดวานเกดิ ในที่นม้ี ีความหมาย
ว่าญาติที่เกี่ยวข้องกบั การเกิดของทารกดังจะเห็นได้จาก คำโอกาส หรือโองการสงั เวยในพธิ นี ี้ ซึ่งผู้ที่
เชญิ มารับเครอื่ งสงั เวยนัน้ ได้ถูกระบุว่าเปน็ “เสีย่ ว” “ยีเ่ สยี่ ว”และ “เสี่ยวสหายท้งั สอง”ซ่ึงแปลว่าผู้มา
รบั เครอื่ งสังเวยนน้ั เป็นเกลอกับบิดามารดาของเดก็ และในบางตอนกเ็ รียกเป็น “พอ่ เกิดแม่เกดิ ” และ
“พ่อยี่แม่ยี่” ด้วยเช่นกัน ดังนั้น เมื่อทารกนั้นเติบโตขึ้นก็เกรงว่าบิดามารดาซึ่งอยู่ในสภาพของ
วิญญาณจะมารับตัวเดก็ ทารกน้ันไปจึงตอ้ งมีเครื่องสังเวยต่างๆ เพื่อเอาใจ พร้อมกับอ้างว่าเด็กนัน้ ได้
ระคนกับสิ่งที่น่าขยะแขยงเช่นกินเขียดแห้ง กินทาก กินตับของอีกาหรือดวงตาของอึ่งอ่าง เป็นต้น
มาแล้ว เพือ่ ใหบ้ ิดามารดาในภาควิญญาณนั้นเกดิ รังเกียจแลว้ คลายความรักและผกู พันในเดก็ นน้ั ไป
การส่งนพเคราะห์ คือการทำพิธีบูชาดาวนพเคราะหเ์ พื่อให้พ้นจากอาเพศ
ตามความเชื่อของคนล้านนา พิธีกรรมบูชาจะมีขึ้นหลังจากตรวจดูว่าอายุของเจ้าชะตาตกอยู่ภายใต้
อิทธิพลของดาวดวงใดอยา่ งหนึ่ง หรืออีกอย่างหนึง่ อาจจัดให้มีข้ึนเพื่อบูชาดวงดาวโดยรวม ซึ่งในทีน่ ี้
จะกล่าวเฉพาะการบูชาดาวนพเคราะห์รวมทั้งเก้า ซึ่งพิธีนี้มีลักษณะคล้ายกับการส่งเคราะห์หรือส่ง
แถนทั่วไป ต่างกันที่ว่าเป็นพิธีที่มักทำในช่วงเทศกาลสำคัญๆ และมักทำกันเป็นกลุ่มหรือหมู่คณะ
ใหญ่ๆ เครอื่ งประกอบพธิ ใี นการสง่ นพเคราะหก์ ็เปน็ สะตวงหรือกระทงท่ีใส่เครือ่ งบัตรพลี จำนวนเก้า
สะตวงด้วยกัน แต่ละสะตวงจะปักชอ่ เลก็ ๆ ซ่ึงมีสตี ามดาวนพเคราะห์น้นั ๆ สว่ นผทู้ ีเ่ ขา้ รว่ มพิธีจะเขียน
ชื่อ วัน เดือน และปีที่เกิดของตนใส่ในกระดาษเล็ก แล้วนำไปปักในสะตวงตามราศีเกิดหรอื ตามดาว
นพเคราะห์ของตน เพื่อประกอบพิธีสง่ นพเคราะห์หรือส่งเคราะห์ประจำปเี กิด ให้เกิดความอยูด่ ีมสี ขุ
ความรุง่ เรอื งในชีวติ ต่อไป การส่งนพเคราะห์นน้ั บางแหง่ ใช้สะตวงเก้าห้องเพื่อบูชาดาวนพเคราะห์ทั้ง
เก้า พิธสี ง่ นพเคราะห์นยิ มประกอบพธิ ใี นวันปากปีซึ่งได้แก่ วนั รุ่งขึน้ หลงั วนั พญาวนั (เถลิงศก) หนงึ่ วัน
ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรือในยามทีบ่ ้านเมอื งไม่สงบสขุ ก็มกั ประกอบพิธนี ี้เช่นกัน ยกตัวอย่างการ
ส่งนพเคราะห์เช่น พฤหัสบดี ในช่องของดาวพฤหัสบดี จะบรรจุธูป เทียน แกงส้มแกงหวาน อาหาร
ขนม หมาก เมี่ยง บุหรี่ ผลไม้ ปักจ้อสีขาวลายสลับแดง หรือสีแสดล้วน ใส่รูปป้ันรปู สัตว์ตามวันหรอื
ตัวเปงิ้ และรูปป้ันเทวดา เป็นต้น
ส่งโลกาวุฑฒิ หรือโลกวุฒิ เป็นพิธีส่งหรือการสังเวยเพื่อให้พ้นจากการ
กระทำที่เป็นโลกหาณี หรือการกระทำที่เกิดความเสื่อมแก่โลก ซึ่งจากข้อที่กำหนดไว้ในคัมภีร์โลก
สมมติราช พบว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับตำแหน่งที่ปลูกเรือนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหากผู้ปลูกเรือนกระทำเข้า
๑๒๗
ลักษณะดงั กลา่ ว ย่อมจะเปน็ ทีต่ ฉิ ินของผู้อื่น ดังน้ัน คนโบราณจงึ เช่อื วา่ การสง่ โลกาวฑุ ฒจิ งึ เปน็ วิธีการ
ท่ีจะแก้ไขความผดิ ดังกล่าวนัน้ ได้
สง่ หาบ หรอื ส่งหาบส่งคอน พธิ สี ง่ หาบนีท้ ำขึ้นเมื่อเด็กที่มอี ายุหนึ่งปีถึงสิบ
ปี เปน็ พยาธิ คือเจ็บไข้ไดป้ ว่ ยเนอื งๆ เช่นอาจเปน็ เด็กพุงโรกน้ ปอด เป็นตาลขโมย เป็นโรคผวิ หนงั มผี ่ืน
คันไม่รู้จักหาย ร่างกายไม่แข็งแรงหรือข้ีแยผู้เฒ่าผู้แกห่ มอยา หรืออาจารย์ผู้ประกอบพิธีอาจแนะให้
สง่ หาบสง่ คอน สง่ วานเกิดสง่ แถนหรอื สง่ เทวดาแลว้ แตอ่ าการเจ็บไข้นน้ั ๆ ตามท่ีเห็นว่าเหมาะสม และ
ในการส่งหาบน้ันจะใช้ ก๋วยตีนจ้าง(อา่ นก๋วยตี๋นจ๊าง) ตะกร้าสานให้ตาห่างๆ มีลักษณะคล้ายเท้าช้าง
เมอื่ จะใชต้ ้องเอาใบตองกรดุ า้ นในเสียกอ่ น)ขนาดกวา้ งประมาณเจ็ดนว้ิ สูงประมาณเก้านิว้ จำนวนสาม
หาบคือสามคู่ เพื่อทำพิธีส่งในตอนเย็นวันและหาบรวมสามวันแต่ละหาบบรรจุเครื่องสี่ คือเครื่อง
สงั เวยต่างๆ อนั ประกอบดว้ ยดอกไมธ้ ูปเทียนกล้วย อ้อยมะพรา้ ว ขา้ วต้มขนมและอาหารตามกำหนด
โดยเฉพาะจะต้องมีเงินสามบาท ห่อด้วยผ้าขาวมีดินจากจอมปลวกหรือขี้ผึ้งหรือแป้งปั้นเป็นรูปสัตว์
เล้ียงอย่างละหนึ่งตัวและให้มีรูปปน้ั ชายหญงิ หนึง่ คอู่ ยใู่ นหาบนน้ั
ส่งหาบส่งหาม เป็นพิธีกรรมของพรานปา่ เพื่อเลี้ยงผีป่าที่ดูแลรักษาสัตว์
ป่าซึ่งพรานเรียกผปี ่านีว้ า่ พระยาแก้วพรานป่าจ่าเน้ือ พิธีส่งหาบส่งหามนีบ้ างแห่งก็เรียกวา่ ส่งหาบส่ง
คอน พธิ สี ง่ หาบส่งหาม หรอื ส่งหาบสง่ คอนจะทำก่อนทพ่ี รานจะชำแหละเน้อื สัตว์แบ่งปันส่วนกัน พิธี
ส่งหาบส่งหามหรือส่งหาบส่งคอนจะทำดังนี้ พรานจะตัดเอาเนื้อและเครื่องในสัตว์มาทำเป็นจิ้น(ช้ิน
เนอ้ื สัตว์)หาบและจนิ้ หาม หรอื จ้ินคอน (จนิ้ หมายถงึ ชน้ิ เนื้อสัตว)์ โดยนำเน้อื และเคร่ืองในสัตว์ทำเป็น
พวงเล็ก ๆ ขนาดเท่ากับหัวแม่มือสองพวงเสียบติดกับปลายไม้ไผ่เล็กๆ ยาวประมาณหนึ่งคืบข้างละ
หนึ่งพวงซึ่งเรียกวา่ จิ้นหาบ จากนั้นก็นำเน้ือและเครื่องในทำเป็นพวงเล็กๆ ขนาดหัวแม่มืออก หน่ึง
พวง เสยี บตดิ กับไมไ้ ผโ่ ดยให้พวงเน้ือนัน้ อยู่ตรงกลางไม้ไผ่ซึ่งเรียกว่าจนิ้ หาบ แตถ่ ้าให้พวงเนื้อน้ันค่อน
ไปทางปลายไม้ข้างใดข้างหนง่ึ กจ็ ะเรยี กวา่ จน้ิ คอน หลังจากทำจ้นิ หาบและจนิ้ หามหรือจ้นิ คอน เสร็จ
แล้วก็นำไปถวายแก่พระยาแก้วพรานป่าจ่าเนื้อ โดยใช้มีดถากต้นไม้แล้วเอาจิ้นหาบจิ้นหาม หรือจ้ิ
นคอนเหน็บตดิ กับต้นไม้น้ันพร้อมกับกลา่ วคำถวาย
ส่งฮ่า แมลงเพลี้ยง แมลงบุ้ง นก หนู คนโบราณล้านนาในสมัยก่อน ถ้ามี
สัตว์ต่างๆแมลงต่างๆ เป็นต้นว่านก หนู บุ้ง หรือเพลี้ยง ลงกินพืชพันธ์ุธัญญาหารในไร่ในนาข้าวกล้า
หรือในไรใ่ นสวน ทา่ นว่าเป็นอบุ าทวช์ นดิ หนง่ึ หรอื บางแหง่ กว็ า่ ฮา่ (หรอื ห่าลง) กม็ กั จะกระทำพิธีสง่ หรอื
บชู าเพ่อื ให้พ้นจากความเลวรา้ ยนน้ั ๆ ถา้ เหตกุ ารณ์เกิดขึน้ ทีใ่ ดก็ใหท้ ำพธิ ีส่งในทเ่ี กิดเหตุนนั้
ส่งอุบาทว์แปดประการ หรือ อภิไทโภวิบาทว์ อุบาทว์คือสิ่งที่นำมาซ่ึง
ความเป็นเสนียดจัญไรให้แก่ตัวเอง แก่ครอบครวั และแก่บ้านเมือง ซึ่งสิ่งท่ีเป็นอุบาทว์นีห้ มายรวมท้ัง
ความไม่ดไี ม่งามตา่ งๆ ท่ีจะทำให้วถิ ชี วี ิตของผู้ประสบพบเหน็ ยังลางร้ายต่างๆ เช่นเดยี วกบั ขึด คือเป็น
การแสดงให้เห็นเหตุกาลต่างๆ เรียกว่าลางสังหรณ์ ซึ่งอาจมาในรูปของสัตว์สองเท้า สี่ เท้า
สัตว์เล้ือยคลาน สัตวน์ ำ้ สตั ว์ปีกซง่ึ ถือกันว่าเทวดามาแสดงนิมติ ให้เห็นเรยี กว่า อุบาทว์ ทั้งนี้สิ่งท่ีเห็น
นน้ั อาจจะเห็นเปน็ ของแปลกพิสดารหรอื ทไ่ี ม่เคยพบเคยเหน็ ก็ได้รู้ไดเ้ หน็ ได้ยินไดฟ้ งั ได้ฝัน ถือเป็นลาง
มาบอกเหตลุ ว่ งหน้า เมือ่ ไดพ้ บไดเ้ ห็นได้ยินได้ฟงั แลว้ ชาวล้านนาโบราณให้รีบหาทางแกไ้ ขเสียภายใน
สามวัน ห้าวัน เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ในบ้านในเรอื นเราให้รีบจัดพิธี บูชาส่ง ถอน สะเดาะเคราะห์
หรอื รดน้ำมนต์ เหตุการณ์รา้ ยก็จะไมเ่ กิดข้ึน
๑๒๘
สง่ เคราะหเ์ รือน พิธสี ่งเคราะห์เรอื นนี้ถอื กันว่าเป็นพิธีกรรมท่ีจัดทำขึ้นเม่ือ
เห็นว่ามีผู้ป่วยหนักจนอาจถึงแก่ชีวิต เมื่อทำพิธีนี้แล้วจะทำให้ผู้ป่วยนั้นพ้นจากความป่วยไข้หรือ
อปุ ัทวนั ตรายท้งั ปวง และช่วยใหเ้ กิดสริ ิมงคลแกส่ มาชกิ ในเรอื นหรือในครอบครวั
ส่งไข้ ส่งผีหรือส่งเทวดาพิธีส่งไข้นี้ บางแห่งบางท้องถิ่นก็จะเรียกว่า ส่งผี
บา้ ง สง่ เทวดาบา้ ง แล้วแตผ่ ูป้ ระกอบพธิ แี ต่ละแหง่ จะเรยี กช่ือเอาเอง อย่างไรกต็ ามพิธีน้ีก็มีท่ีมาอยู่ว่า
บุคคลใดก็ดีมีธุระไปที่ไหนๆ มาแล้วไปได้รับความเจ็บไข้ได้ป่วยมาในวันนั้นหรือว่าเจ็บปวดป่วยไข้
อยา่ งกะทันหันมกั จะเรียกกนั ว่าไปถูกผที ักบ้าง ถกู เทวดาทักบา้ ง ตามทิศตา่ งๆ ที่ไปมา
ส่งกิ่ว “กิ่ว” มีความหมายวา่ ชะตาชีวิต โชควาสนาหรือ“ดวง” ในกรณีที่บ้านเมืองเกดิ มีอุบัติภัยหรอื
โรคภยั เช่นโรคระบาดต่างๆ หรอื ในกรณที บี่ ุคคลค้าขายขาดทนุ หรอื มวี ิถชี ีวิตลุ่มๆดอนๆโดยหาสาเหตุ
ไมพ่ บการสง่ กิ่วนจี้ ะชว่ ยให้ภาวะท่ีเลวร้ายดังกลา่ วนนั้ หมดไปได้
ส่งขึด คือพิธีกรรมอย่างหนึ่งในการแก้ไขสภาพความอัปมงคลซึ่งตกแก่ผู้กระทำผิดจารีตของสังคม
หรอื ท่ีเรียกวา่ ต้องขดึ ซึง่ จำเป็นจะต้องแก้ไขโดยการ ส่งขดึ หรอื ถอนขึด
ส่งพญานาค พิธีส่งพญานาคหรือขอที่ดินจากพญานาคนี้เป็นขั้นตอนหนึ่งในการ
ปลกู เรือนของชาวล้านนากล่าวคือ เมื่อเจา้ ของเรือนใหมไ่ ด้เตรียมไม้เครอื่ งเรอื นตา่ งๆ พร้อมแล้วก็จะ
ขุดหลมุ เพอ่ื จะลงเสาเรือนซง่ึ กอ่ นท่ีจะขุดหลมุ นนั้ เจ้าของเรอื นจะตอ้ งทำพธิ ี ส่งพญานาค หรือขอทีด่ ิน
จากพญานาคเสียก่อนทั้งนี้เพือ่ ความอยู่เย็นเป็นสุขของบุคคลในเรือนนั้นๆ มีประเพณีความเชื่อของ
ชาวลา้ นนาอกี ประการหนึ่งเกีย่ วกบั การสง่ เคราะห์-ส่งนาม ซ่ึงผเู้ ขียนเองได้เหน็ ผูเ้ ฒ่าผแู้ ก่ปฏิบัติกันมา
ตั้งแต่เล็ก นอกจากแต่ละบ้านแต่ละครอบครัวจะทำพิธีกันเองตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในวัน
สำคัญวันหนึ่งที่ชาวล้านนามักนิยมส่งเคราะห์กนั ก็คือช่วงสงกรานต์ หรือปี๋ใหม่เมืองของชาวล้านนา
ในป๋าเวณีปี๋ใหม่เมืองนั้นประกอบไปด้วยวันสังขารล่อง ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายน ของทุกปี วันท่ี
๑๔ เปน็ วนั เนา หรอื วนั เน่า และวันที่ ๑๕ เปน็ วนั พญาวันหรอื วนั เถลิงศก ชาวลา้ นนาเรียกว่าวันพญา
วัน ในความหมายของชาวล้านนานั้น คำว่า “พญา” นั้นหมายถึงเป็นใหญ่ ดังนั้นวันพญาวันจึง
หมายถึงวันทเ่ี ป็นใหญ่กว่าวนั ทง้ั หลาย ซ่งึ ก็หมายถึงวันเถลิงศกหรือวนั ขนึ้ ปีใหม่ของชาวล้านนา น้อย
คนนักที่จะร้วู า่ ปา๋ เวณีปีใหม่เมืองของชาวล้านนาน้นั ไม่ได้ส้ินสุดหรือมีเพยี งเฉพาะสามวนั น้ีเท่านั้น ซึ่ง
ในหนังสือ บทความ หรือบันทึกต่างๆ จะกล่าววันเพียงสามวันดังกล่าวข้างต้นเท่านัน้ แต่หลังจากวนั
พญาวันไปชาวล้านนาจะเรียกว่าวันปากปี๋ วันปากเดือน วันปากวัน และวันปากยามตามลำดับจึง
ส้ินสดุ วันปใี๋ หมเ่ มอื ง ในวนั ปากป๋นี ้ีชาวล้านนาจะมีการสง่ เคราะหข์ น้ึ ผ้เู ขียนได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่า
ประเพณกี ารสง่ เคราะห์นัน้ นอกจากจะทำกันตามบ้านเรือนทั่วไปแลว้ ในวนั ปากปี๋น้ีเองท่ีผู้เขียนได้มี
โอกาสเห็นผู้เฒ่าผู้แก่ในสมัยก่อน ได้จัดเตรียมข้าวของเพื่อนำไปประกอบพิธีส่งเคราะห์ที่วัดประจำ
หมบู่ ้าน โดยมพี ระสงฆ์เป็นผู้ประกอบพิธี
ในการประกอบพิธีส่งเคราะห์นี้ ชาวบ้านจะนำเอาเสื้อผ้าของตนเองและคนใน
ครอบครัวใสก่ ระบุงหรอื ตะกร้า ด้านบนจะมสี ะตวงวางทบั อยู่ และน้ำขม้นิ ส้มปอ่ ยไปรวมกนั ท่ีวัด เมื่อ
ถึงเวลาพระสงฆ์ก็จะเริ่มสวดคาถาพื้นเมืองซึ่งเป็นการส่งเคราะห์ เมื่อเสร็จสิ้นพิธีแล้ว ชาวบ้านก็จะ
หาบเอากระบุงนนั้ ออกมานอกวดั และเอาสะตวงหรอื กระทง ไปวางตามทางแยกหรือใต้ตน้ ไม้ใหญ่เพื่อ
บูชาเคราะห์กรรมหรอื เจ้ากรรมตา่ งๆ จากนัน้ แต่ละคนกจ็ ะนำนำ้ ขม้นิ สม้ ปอ่ ยประพรมเสอื้ ผ้า และเอา
เสื้อผ้าออกมาสะบัด เพื่อเป็นการสะบัดหรอื ปัดเอาเสนียดจัญไรและเคราะห์ต่างๆ ที่ติดตัวหรือติดมา
๑๒๙
กับเสื้อผ้าอาภรณ์ออกไปให้หมด และที่ชาวล้านนาเลือกเอาวนั ปากปี๋นี้เปน็ วันส่งเคราะห์เนื่องจากมี
ความเชือ่ กนั ว่า จะสามารถปดั เปา่ เคราะห์ตา่ งๆ ใหห้ ่างหายไปได้ตลอดทัง้ ปี
พิธีการส่งเคราะห์ของคนในชุมชนหรือหารส่งเคราะห์บ้านนี้ นอกจากจะกระทำใน
วันป๋ใี หม่เมืองน้ัน บางแหง่ ชาวบา้ นจัดขนึ้ ในโอกาสสำคญั หรอื กรณมี อี ุบัติเหตุเภทภยั เกิดขนึ้ ในหมบู่ ้าน
เช่นกรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหวท่ีจังหวดั เชียงราย ผู้คนในหลายหมู่บ้านก็ร่วมกนั จัดพิธีสง่ เคราะห์ข้นึ ให้
คนในหมู่บา้ น ผูป้ ระกอบพิธีจะเปน็ พอ่ หนานหรอื อาจารย์ การส่งเคราะหแ์ บบนีต้ า่ งจากการส่งเคราะห์
ทว่ั ไปที่มีเจ้าชะตาคนเดียว การส่งเคราะห์เพียงคนเดียวเจ้าชะตาจะน่งั หนั หน้าเข้าหาสะตวง และหัน
หลงั ใหผ้ ู้ประกอบพิธี ส่วนการส่งเคราะห์ประจำหมู่บา้ นแบบนี้ลักษณะการนั่งจะเปน็ แบบล้อมวงแทน
ส่งอเี มลขอ้ มลู น้ีBlogThis!แชร์ไปท่ี Twitterแชร์ไปที่ Facebookแชรใ์ น Pinterest
๔.๒ การพัฒนาชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์) โดยการมีส่วนร่วมของภาคี
เครือข่ายในจังหวดั เชียงราย
๔.๒.๑ ชดุ ความรู้เก่ยี วกบั พระพทุ ธศาสนา
- ชุดความร้รู าชพิธี รฐั พิธี
๑. พระราชพธิ ีสบิ สองเดอื น
พระราชพธิ ีเป็นพิธีของพระราชา ซึง่ ผลท่ีบงั เกิดแก่การปฏิบตั ติ ามพระราช
พิธีมิได้เกี่ยวข้องแต่เฉพาะพระราชา หากแต่เกี่ยวข้องถึงประชาชนและความอยู่รอดของพระ
ราชอาณาจกั รในฐานะกษัตรยิ ์ ตามตาํ นานมูลศาสนา อธบิ ายความหมายของกษัตรยิ ไ์ ว้ ๓ ความหมาย
๑. พระมหาสมมตุ ิราช : ผไู้ ด้รบั มอบหมายจากคนทงั้ ปวง
๒. ขัตโิ ย : ผปู้ กครองนา (กษัตรยิ ์มาจากคาํ ว่า เกษตร)
๓. ราชา : ผปู้ กครองอันเปน็ ทรี่ กั ทีพ่ ึงพอใจ
พระราชพิธี ๑๒ เดือน มีในกฎมณเฑียรบาลมาแต่ครั้งกรุงเก่า ต่อมา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงค้นคว้าจากตําราด้ังเดิมและตรวจสอบความถูกต้องอีก
ครงั้ แลว้ จงึ ทรงพระราชนพิ นธ์เป็นความเรียงอธิบายไว้ ที่สําคัญ ได้แก่ พธิ ีไล่เรือไล่น้ําพิธีตรียัมปวาย
พิธีธานยเฑาะย์ พิธีสัมพัจฉรฉินท์ พิธีสงกรานต์พิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ การพระราชกุศล
สลากภัตของหลวง การพระราชกุศลเสด็จถวายพุ่ม พระราชพธิ ตี ุลาภาร พระราชพิธสี ารท พระราชพิธี
ถวายผ้าพระกฐิน พระราชพิธีจองเปรยี ง ลอยพระประทปี
เดอื นสบิ สอง
- พระราชพธิ จี องเปรยี ง หรือพธิ ีจุณคิ มชยั
หมายถึง พระราชพิธีลอยพระประทีปเป็นการพิธียกโคมขึ้นบูชา
พระเป็นเจ้าทั้งสาม คือพระอิศวร พระนารายณ์และพระพรหมในศาสนาพราหมณ์ เม่ือ
พระมหากษตั รยิ ท์ รงหนั มานับถือพระพุทธศาสนาและให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจําชาติ พระราช
พิธนี จ้ี งึ เป็นการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระจฬุ ามณีในสวรรคช์ ้ันดาวดึง และพระพุทธบาทประทบั ไว้
ริม่ ฝ่ังแมน่ ้าํ นัมมทานที
๑๓๐
- พระราชพิธีจองเปรียงลดชุดลอยโคม หมายถึง พระราชพิธีลอย
พระประทปี เป็นการพธิ ยี กโคมข้ึนบูชาพระเปน็ เจ้าทงั้ สาม คอื พระอศิ วร พระนารายณ์และพระพรหม
ในศาสนาพราหมณ์ เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงหันมานับถือพระพุทธศาสนาและให้ศาสนาพุทธเป็น
ศาสนาประจําชาติ พระราชพธิ นี จ้ี งึ เป็นการบูชาพระบรมสารรี ิกธาตุ พระจุฬามณใี นสวรรค์ช้ันดาวดึง
และพระพุทธบาทประทับไว้ริม่ ฝัง่ แม่น้าํ นัมมทานที
- พิธีตรียัมปวาย เป็นพิธีต้อนรับพระอิศวรผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมา
เยี่ยมโลกปลี ะคร้ัง ครั้นถึงกาํ หนด ๑๐ วัน วันรับคือวันข้ึน ๗ คํ่า เดือนอ้ายเป็นวนั เสด็จลงวันแรม ๑
คํ่าเป็นวันเสาร์เสด็จกลับ งานสําคัญคือการโล้ชิงช้า เพื่อถวายพระอิศวรตามตํานานการทดสอบโลก
ส่วนพระราชพิธีตรีปวายเป็นการตอนรับพระนารายณใ์ นวัน ๑ คํ่า เดือนยี่ วันแรม ๕คํ่าเป็นวันเสด็จ
กลับเสด็จกลับ ทั้งสองพิธีเป็นพิธีเกี่ยวเนื่องในขวัญกําลังใจของประชาชน กันเพื่อประโยชน์ในด้าน
ความอุดมสมบรู ณ์
- พระราชพิธีธานย์เทาะห์ เป็นพระราชพิธีคู่กับพระราชพิธีจรด
พระนังคัล เพือ่ ให้เปน็ สวัสดิมงคลแกพ่ ืชพันธุธ์ ัญญาหารอนั เป็นเสบยี งสําหรบั บ้านเมืองเชิญพระเพลิง
ออกจดุ เผาฝางและซังขา้ ว เป็นการปดั เปา่ อปุ าทวจญั ไร
- พระราชพิธพี ชื มงคล จรดพระนงั คลั
๒. พิธีราษฎรต์ ามปฎิทนิ
๒.๑ พธิ กี รรมตามปฎิทนิ สาํ หรับคนไทยเหนือ
- เดือนเจ็ด (เหนือ) ภาคกลางเดือน ๕ ประเพณีรดน้ํา
ดาํ หวั เลย้ี งผีปยู่ ่า ปอยลกู แกว้ ขึน้ บ้านใหม่
- เดือนแปด ปอยหลวง วสิ าขบูชา แตง่ งาน ไหวพ้ ระธาตุ
- เดือนเกา้ พิธแี รกนา ทาํ ขวญั ควาย
- เดอื นสิบ ทําบญุ เข้าพรรษา
- เดอื นสิบเอด็ ทําบญุ ถอื ศลี
- เดือนสิบสอง ประเพณีทานสลาก (ตานก๋วยสลาก)
พิธีอทุ ิศส่วนกศุ ลให้ ผู้ตาย
- เดือนเกี๋ยวเหนือ/เกี๋ยง ทําบุญออกพรรษา ทอดกฐิน
ทานสลาก
- เดอื นย่ี ลอยกระทง
- เดอื นสาม เทศนม์ หาชาติ
- เดอื นสี่ ขนึ้ บา้ นใหม่ แตง่ งาน
- เดอื นห้า มาฆบูชา
- เดอื นหก ปอยนอ้ ย ขน้ึ บ้านใหม่
๔.๒.๒ ชดุ ความรภู้ มู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน
๑๓๑
อาณาจักรล้านนาโดยมีเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางนั้น มีความเจริญทางศิลปะ
พื้นบ้าน ประเพณีวัฒนธรรม อันหลากหลายโดยเฉพาะ งานหัตถกรรมท้องถิ่นที่สะท้อนถึงศิลปะ
วัฒนธรรม และประเพณพี ื้นบ้านของสถานที่นั้นนับว่าเป็นภูมปิ ญั ญาท้องถิ่นและเป็นมรดกท่ีมีคุณคา่
อกี ท้งั ควรแก่การอนุรกั ษส์ ืบสานให้คนรนุ่ หลงั ได้เรียนร้แู ละสืบทอดสูค่ นรุ่นใหม่ต่อไป
- การฮอ้ งขวัญ
ความเชื่อและพิธีทำขวัญเป็นกระบวนการที่แสดงความผูกพันและ
ความสัมพนั ธใ์ นระบบเครอื ญาตริ ะหวา่ งบคุ คลกับครอบครวั และบุคคลกับชุมชน พธิ ที ำขวัญปรากฏใน
ทุกภาคของประเทศ อย่างไรก็ตาม การให้ความสำคัญต่อขวัญและพิธีทำขวัญมีความแตกต่างกัน
มีการปรับตวั และเปล่ยี นแปลงใหเ้ ขา้ กบั สังคมสมยั ใหม่ โดยมีรายละเอยี ดดงั นี้
๑. ความเชอ่ื และพธิ ที ำขวัญของชาวไทยภาคกลาง
ขวญั เป็นความเชอื่ ของคนไทยภาคกลางมานาน หนงั สอื ทีน่ ิพนธโ์ ดยพระยา
อนุมานราชธน (เสฐียรโกเศศ) สมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพและหมอ่ มเจ้าพูน
พิศมยั ดิสกลุ กล่าวว่า ขวญั หมายถึง สง่ิ ทไ่ี ม่มตี วั ตน และเป็นสงิ่ ทีค่ รองใจ ขวัญสงิ อยใู่ นตัวตนและเปน็
สิ่งที่ทำให้เจ้าของขวัญทุกข์หรือสุขได้ หากมีเหตุที่ทำให้ขวัญไม่อยู่กับตัวหรือออกไปเที่ยวเล่นจะมี
เหตุร้ายเจ็บป่วยหรือมีเคราะห์กรรม และถ้าต้องการให้ขวัญกลับเข้าสู่ร่างกายต้ องมีพิธีทำขวัญ
อนั หมายถึงการทำพิธกี รรมเพ่ือเรยี กขวญั ให้กลบั มาสเู่ จา้ ของขวญั
การทำขวัญแบง่ ไดเ้ ปน็ ๓ ประเภท คือ
(๑) การทำขวัญคน คนไทยภาคกลางมีการบันทึกการทำขวัญให้เกิดสิริ
มงคลและเป็นกำลังใจ มักมีพีธีทำขวัญในแต่ละช่วงวัยของชีวิต และช่วงที่ชีวิตมีความเปลี่ยนแปลง
ได้แก่ การทำขวัญเด็กการทำขวัญเดือน การทำขวัญนาค การทำขวัญบ่าวสาว อย่างไรก็ตาม ความ
นยิ มในการทำขวญั ลดลงมากโดยเฉพาะในสงั คมเมอื ง ท่ยี ังคงอยูค่ อื การทำขวญั นาคพิธีทำขวัญนาคมี
ผู้เข้าร่วมพิธีคือ นาค พ่อ และแม่ของนาค หมอทำขวัญและญาติมิตร การทำขวัญนาคมีพิธีช่วงค่ำ
และมีอุปกรณ์ประกอบพิธี คือ เครื่องบายศรี ใบตอง ไม้ขนาบบายศรี ผ้าหุ้มบายศรี ไข่ขวัญ (ไข่ไก)่
กล้วยน้ำว้า ขันใส่ข้าวสารใช้ปักแว่นเวียนเทียน ขันใส่น้ำเปล่า เทียน ใบพลู แป้งเจิมของหวาน
(ฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด) มะพร้าวอ่อน สายสิญจ์น ดอกไม้ธูปเทียน ขั้นตอนของการทำขวญั
นาคเริ่มจาก ไหว้บูชาพระรัตนตรัย เคารพคุณ ปฏิสนธิ (ร้องแหล่หรือขับเสภา) นามนาค (ร้องแหล่)
สมมุติบายศรี (รอ้ งแหล่) แกะบายศรี (ร้องแหล)่ สอนนาค เชิญขวัญ และเวยี นเทยี น สำหรับเพลงท่ีใช้
ในการทำขวัญนาคมที ้งั เพลงไทยเดมิ เพลงทำนองแหล่และเพลงทใ่ี ช้ทำนองเพลงสากลและเพลงลูกทุ่ง
ในพธิ ที ำขวัญนาคทม่ี หี มอขวัญหรือหมอทำขวัญเป็นผปู้ ระกอบพธิ กี รรม
หมอทำขวญั นาคตอ้ งมีคณุ สมบัตเิ หมาะสม ๓ ประการ คอื
คณุ สมบัตทิ างกาย คือ เปน็ ผู้มีสุขภาพร่างกายทีแ่ ข็งแรงพอที่จะประกอบ
พิธที ำขวัญให้สำเรจ็ ลลุ ว่ ง
คณุ สมบตั ิทางวาจา คือ มีนำ้ เสียงนมุ่ นวลไพเราะ และใชถ้ อ้ ยคำในการขับ
กล่อมให้ผู้ที่จะเข้าบวชเป็นพระภิกษุ และผู้ที่เข้าร่วมพิธีเกิดความเชื่อถือ เกิดความซาบซึ้งและเกิด
อารมณ์ท่คี ล้อยตามได้
๑๓๒
คุณสมบัตทิ างใจ คือ หมอทำขวัญต้องเปน็ ผู้มีจติ ใจงดงาม เป็นผู้ที่ยอมรับ
ในสังคมมคี นนับถอื และให้ความเคารพ พร้อมทัง้ เป็นผู้ทย่ี ินดจี ะทำขวัญนาคเพอื่ ส่ังสอนผทู้ ีจ่ ะเขา้ บวช
ในพระพทุ ธศาสนาใหเ้ ห็นถงึ พระคุณของบดิ ามารดาดว้ ยความเตม็ ใจโดยไม่เหน็ แกส่ ินจ้างรางวลั
(๒) การทำขวัญพืชและสัตว์ที่สัมพันธ์กับคน เป็นการทำขวัญเพื่อเสริม
ความเชื่อมั่น รำลึกถึงบุญคุณและเป็นสิริมงคล การทำขวัญสัตว์มักเป็นสัตว์ที่มีคุณประโยชน์ต่อคน
และตอ่ ส่วนรวมได้แก่ การทำขวัญขา้ ว การทำขวัญควาย การทำขวญั ชา้ ง
(๓) การทำขวัญสิง่ ของ เป็นการทำขวญั ที่เสริมสรา้ งความมั่นใจและเปน็
สิริมงคลแก่สิ่งของนั้น ได้แก่ การทำขวัญเรือน การทำขวัญเสา การทำขวัญเกวียน และการทำขวัญ
พระพทุ ธรปู
๒. ความเช่อื และพิธีฮ้องขวัญของชาวไทยภาคเหนือ
คนไทยในสังคมภาคเหนือสืบต่อความเชื่อเรื่องขวัญมาช้านาน ทั้งชาวไทยใหญ่
ไทยลือ้ ไทยเขิน และชาวไทยภาคเหนือตอนล่างมีความเชื่อวา่ ขวัญเปน็ ส่งิ ทอ่ี ยใู่ นร่างกายทุกคนขวัญ
มีลักษณะเบา เคลอื่ นไหวได้ ไม่อาจเห็นเป็นรูปเป็นรา่ งได้ ขวัญแฝงอยู่ในคน สตั ว์และส่ิงของ เมื่อใดท่ี
ขวัญอ่อนลงหรือหย่อนจะทำให้สภาวะของร่างกายและจิตใจของเจ้าของขวัญจะรู้สึกเสียใจ ตกใจ
ท้อใจ เมื่อเจ้าของขวัญมีขวัญดีจะรู้สึกสุขสบายใจและกล้าหาญ มีพลังเต็มเปี่ยม ชาวล้านนาเรียก
“ขวัญอยู่กับเนื้อกับตัว” นอกจากนี้ชาวล้านนามีคำเรียกลักษณะขวัญที่อยู่กับเนื้อกับตัวว่า “รู้คิง”
หมายถึงอาการของคนที่รู้เรื่อง รู้สึกตัว มีความรู้สึกเข้าใจทุกอย่าง ทุกขณะพูดและทำการใดก็รู้สติ
ขวัญเป็นพลังแฝงในจิตใจเป็นนามธรรม ดูแลควบคุมกายจิตใจและวิญญาณให้มีดุลยภาพ ขวัญของ
ชาวล้านนาจัดแบ่งประเภทเหมือนกับคนไทยท้องถิ่นอื่น คือ มีขวัญคน ขวัญพืช ขวัญสัตว์ และขวัญ
สิ่งของ (บ้านเรือนและเครื่องใช้ในการเกษตร) ชาวล้านนามีพิธีกรรมโบราณ เรียกว่า “พิธีฮ้องขวัญ”
หมายถงึ พิธีเรยี กขวัญให้กลบั คืนสรู่ ่างเดมิ พธิ ฮี ้องขวญั เป็นการผสมผสานระหวา่ งความเช่ือเร่ืองขวัญ
กบั ศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ และความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ พิธีฮอ้ งขวัญจะทำในโอกาส
ที่ชวี ิตมีการเปล่ียนแปลงหรอื มีเหตุต้องจากบ้านไปไกล มีความเจ็บปว่ ยและเกดิ อบุ ัตเิ หตหุ รือในกรณีท่ี
มีบุคคลสำคัญมาเยี่ยมเยือนบ้านเมือง พิธีกรรมฮ้องขวัญของชาวล้านนามักปฏิบัติร่วมกับพิธีกรรม
สะเดาะเคราะห์ (ส่งเคราะห์) และพิธีสืบชะตา โดยจะมีปฏิบัติต่อเนื่องกัน โดยเริ่มจากการสะเดาะ
เคราะห์ การสบื ชะตาและการเรียกขวัญ
๑๓๓
พิธีฮ้องขวัญ ยังคงปฏิบัติกันอยู่ในสังคมล้านนา ทั้งชนเผ่าชาวไทยล้านนาและชาว
เหนือตอนลา่ ง มีบทบาทเป็นพิธกี รรมแสดงความสมั พันธร์ ะหว่างคนในสังคม สร้างเสรมิ กำลังใจและ
ขัดเกลาจริยธรรมและพฤติกรรมคนในสังคม พิธีเรียกขวัญหรือพิธีทำขวัญของชาวเหนือมีหลาย
ลักษณะ ได้แก่ การเรียกขวัญเด็ก (การทำขวัญ) ขวัญลูกแก้ว (นาค) ขวัญนาค ขวัญสามเณร
ขวัญผู้ป่วย ขวัญบ่าวสาว ขวัญผู้ที่จะเดินทางไกล ขวัญผู้ที่มาเยือน ขวัญผู้ใหญ่บ้านและอาจารย์วัด
ขวัญขา้ ว ขวัญช้าง ขวญั วัวควาย ขวัญเรือน ขวัญเสาผู้ทเี่ ขา้ ร่วมพิธเี รียกขวัญมี หมอขวญั เจ้าของขวัญ
ญาติพี่น้องที่เข้าร่วมพิธีเรียกขวัญ อุปกรณ์ประกอบพิธีกรรมมีเครื่องบายศรี (ทำจากใบตองและ
๑๓๔
ดอกไม้ทีม่ ีกลิ่นหอม ประดิษฐ์เป็นชนั้ สวยงาม) ไขต่ ้ม ขา้ ว กล้วย น้ำ ใบพลู หมากเม่ียง บุหร่ี ด้ายดิบ
และดา้ ยผกู ขอ้ มอื
ขั้นตอนของพิธีกรรมฮ้องขวัญ คือ การเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ที่ใช้ในพิธีกรรม
พรอ้ มกับเชิญหมอขวญั มาทำพิธตี ามฤกษ์ยามท่ีกำหนดไว้ในช่วงพธิ ี หมอขวัญจะทำพธิ เี รยี กขวัญ โดย
เริ่มจากกล่าวคำอัญเชิญเทวดา บทเรียกขวัญ (เป็นสำนวนเก่าหรือสำนวนแต่งขึ้นโดยปฏภิ าณในช่วง
ทำพธิ กี ็ได้) ช่วงเรียกขวัญจะทำพิธีเส่ียงทายว่าขวัญมาแล้วหรือยงั จากนน้ั หมอขวัญจะเอาน้ำมนต์มา
พรมใหเ้ จ้าของขวัญพร้อมทัง้ อวยพรใหอ้ ย่เู ย็นเป็นสุข และใช้ดา้ ยสายสญิ จน์มามัดมือซ้ายของเจ้าของ
ขวัญเพื่อให้ขวัญมา และมัดมือขวาเพื่อให้ขวัญอยู่กับเนื้อกับตัว จากนั้นผู้ที่มาร่วมงานก็จะร่วม
รับประทานอาหารและเจ้าของขวัญร่วมทานอาหารและทานไข่ต้มที่ประกอบพิธี จากนั้นญาติจะนำ
เคร่อื งบายศรีไปวางไว้ที่หวั นอนของเจ้าของขวญั โดยคำเรียกขวัญจะมี เนอ้ื ความท่แี ตกต่างกันไปตาม
ประเภทของพธิ ีกรรม
- การปจู าเทียน
ยนั ต์เทยี นเปน็ พธิ ีกรรมทางความเช่ือของคนล้านนาท่ีสืบทอดมาแต่โบราณ
ซึ่งไม่สามารถระบุให้แน่ชัดได้ว่ายันต์เทียนเกิดขึ้นมาแต่เมื่อใด มีเพียงการสันนิษฐานว่ายันต์เทียน
อาจจะสืบทอดมาจากลัทธิของศาสนาพราหมณ์โดยผ่านดินแดนพม่าและมอญเข้ามาสู่ล้านนาไทย
ยันต์เทียนลา้ นนา แบ่งเปน็ ๒ ประเภท คอื ประเภททหี่ วังผลทางดี หรอื ฝา่ ยขาวและประเภททีห่ วังผล
ทางร้าย หรือฝ่ายด า ยันต์เทียนล้านนามีจุดประสงค์ในการท าเพื่อเป็นการช่วยอนุเคราะหช์ าวบ้าน
ที่มาขอความช่วยเหลือในเมื่อเกิดความทุกข์ และในการใช้นั้นมีจุดประสงค์หลัก ๓ ประการ คือ
๑. บูชาเทียนเพื่อหลีกเคราะห์ ๒. บูชาเทียนเพื่อรับโชค ๓. บูชาเทียนเพื่ออยู่วุฒิจ ำเริญ
หรอื เสริมดวงชะตา
ในการบูชาเทียนนั้น กําหนดไว้ว่ายันต์เทียนทีให้ผลอย่างไร ควรจะไปจุด
เทยี นบชู าที่ไหนไว้เป็นท่ีชดั เจน เช่น
เพ่ือความเจรญิ มโี ชค มีชยั เหนอื ศตั รู บูชาทีเ่ รือนใหม่
มีผหี า่ เข้าบา้ น มคี นตายที่ไม่ปกติ บูชาที่ทางแยก
ถกู กระทําด้วยอาคม บูชาที่หวั นอน
๑๓๕
ลดเคราะหพ์ น้ อบุ าทว์กงั วล บูชาท่หี น้าพระพทุ ธรปู
ขอโชคลาภ บชู าทีห่ น้าพระพุทธรปู
เมตตามหานิยม บูชาที่หน้าพระพุทธรูป
ใหค้ นท่เี คยปองร้ายหันมารกั บูชาทีห่ น้าพระพุทธรูป
เพอ่ื ชนะคดคี วาม เพอ่ื ชัยชนะ บชู าท่ใี ต๎บนั ได บูชาทหี่ น้าพระพุทธรปู
เพือ่ ความชุ่มเย็นมเี สน่ห์ บูชาท่ีประตูบ้านหรือประตเู รือน
แคลว้ คลาดจากภยั ชนะคดคี วาม บชู าในเดอื นดบั เดือนเต็ม
เพื่อชวี ิตทีย่ ืนยาวและเป็นสขุ บชู าในวันเกิดของเจ้าชะตา
เพื่อโชคลาภ ลดเคราะห์ อายุยืน บชู าในวันเกดิ ทีห่ นา๎ พระพุทธรปู
เพ่อื ให๎หายป่วยไข้ บูชาทห่ี น้าพระพทุ ธรูป
เพ่ือพน๎ เคราะห์ พ้นจากโชคร้าย บชู าท่ปี ระตูทศิ ตะวนั ตกของวดั ใต้บนั ได
ทั้งนี้ในขณะที่กําลังบูชาเทียนอยู่นั้น เจ้าชะตาจะต้องนั่งอยูํในบริเวณน้ัน
นานจนเทียนหมดเชื้อโดยทีมิได๎บอกว่าให้เจ้าชะตาต๎องทําสิ่งใดบ๎าง ในขณะที่ยันต์เทียนบางดวง
กําหนดว่า ผู้บชู าหรอื เจา๎ ชะตาจะต้องนั่งบริกรรมคาถาไปเรือ่ ยๆ จนกว่าเทียนจะดับลง
ยันต์เทียนที่สืบทอดมาถึงปัจจุบัน สรุปได้ ๒ ประเภท คือ หวังผลทางดี
กับ หวังผลทางร้าย โดยมีจุดประสงค์ในการทําและใช้ เพื่อเป็นการสงเคราะห์ผู๎ที่มีความทุกข์ ที่มา
ขอความช่วยเหลือ เพื่อช่วยบรรเทาเคราะห์ร้ายต่างๆ เพื่อเสริมดวงชะตาให๎มั่นคง มีโชคลาภ และ
การทํายันต์เทียนให๎มีประสิทธิผลต้องมีองค์ประกอบที่สบบูรณ์ นับตั้งแตํผู๎ที่ทํายนั ต์ วัสดุ ฤกษ์ยาม
การข้นึ ครู คาถาทใี่ ช้ คาํ บชู าเทยี น ขน้ั ตอนการทาํ ข้อปฏบิ ัติในการใช้ สถานที่ในการบูชาเทยี น
- การอาราธนาศีล/ธรรม
ขนั้ ตอนการกราบพระ/ อาราธนาศลี / อาราธนาธรรม
๑. ประธานในพิธีจุดเทียน-ธูป บชู าพระรัตนตรัย จากนนั้ ไหว้พระพร้อมกัน
ดังน้ี
(ใหว้ ่าตามผนู้ ำพิธี) อิมินา สกั กาเรนะ/ พุทธัง อะภิปชู ะยามะ
อิมินา สกั กาเรนะ/ ธัมมงั อะภิปชู ะยามะ
อิมินา สกั กาเรนะ/ สังฆัง อะภปิ ชู ะยามะ
(วา่ พร้อมกัน) อะระหัง สมั มาสัมพทุ โธ ภะคะวา, พุทธงั ภะคะวนั ตัง อภิวา
เทมิ. (กราบ)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธมั มงั นะมสั สามิ. (กราบ)
สปุ ะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, สงั ฆงั นะมาม.ิ (กราบ)
๒. กล่าวคำสมาทานศลี พร้อมกนั ดงั นี้
คำอาราธนาศลี ๕
๑๓๖
มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะสะหะ ปัญจะ สีลานิยา
จามะ
ทุติยัมปิ มะยังภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะสะหะ ปัญจะ
สลี านยิ าจามะ
ตะติยัมปิ มะยังภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะสะหะ
ปัญจะ สีลานยิ าจามะ
ตอ่ ไปพระจะใหศ้ ลี เมอ่ื พระให้ศลี เราก็วา่ ตามไปทลี่ ะบท ๆ ดังตอ่ ไปนี้ )
ต่อไปพระจะให้ศลี เมื่อพระใหศ้ ลี เรากว็ า่ ตามไปที่ละบท ๆ ดังตอ่ ไปนี้ )
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มา สมั พุทธัสสะ ( กลา่ ว ๓ หน )
พทุ ธงั สะระณงั คัจฉามิ
ธัมมงั สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คจั ฉามิ
ทตุ ิยมั ปิ พทุ ธงั สะระณัง คัจฉามิ
ทตุ ิยมั ปิ ธมั มัง สะระณัง คจั ฉามิ
ทุติยมั ปิ สังฆงั สะระณงั คจั ฉามิ
ตะตยิ มั ปิ พทุ ธงั สะระณัง คจั ฉามิ
ตะติยมั ปิ ธัมมงั สะระณงั คัจฉามิ
ตะติยมั ปิ สงั ฆงั สะระณงั คจั ฉามิ
ตอ่ จากน้ีพระท่านจะกล่าวว่า ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐติ ัง ผู้รับศีลพึงรับ
พร้อม ๆ กันว่า“อามะ ภนั เต” แล้วตั้งใจสมาทานศีล(รับศีล)ตามท่ีพระท่านนำกล่าว
สมาทานต่อไปว่า.-
ปาณาติปาตา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามิ,
อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทยิ ามิ,
กาเมสุ มจิ ฉาจารา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามิ,
มุสาวาทา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามิ,
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ต่อ
จากน้ีพระท่านจะกล่าว ผรู้ ับศีลไมต่ อ้ งว่าตาม)
อมิ านิ ปญั จะสิกขาปะทานิ,
สเี ลนะ สุคะตงิ ยันติ, สเี ลนะ โภคะสมั ปะทา,
สเี ลนะ นพิ พุติง ยนั ติ, ตสั ฺมา สลี ัง วิโสธะเย.
๓. หลงั จากสมาทานศลี แลว้ กลา่ วคำอาราธนาธรรม ดังน้ี
คำอาราธนาธรรม
๑๓๗
พรหมมา จะ โลกาธิปะตี สะหัมปะตี กัตอัญชะลี อันธิวรัง อะยาจะถะ
สนั ตธี ะ สัตตาป ปะระชกั ขะ ชาตกิ า เทเสตุ ธมั มัง อนุ ะกมั ปมิ งั ปะชัง ฯ ”
พระเทศน์เสร็จ ถวายเครื่องไทยธรรม กรวดน้ำ จากนั้นเสร็จพิธีทุกอย่าง
ก็กราบพระพร้อมกนั อกี ครั้งหนึ่ง ดงั น้ี
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ.
(กราบ)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม, ธมั มงั นะมสั สาม.ิ (กราบ)
สปุ ะฏิปปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, สงั ฆัง นะมาม.ิ (กราบ
หลงั จากน้กี เ็ ป็นอนั เสร็จพธิ ี พระเทศนเ์ สร็จ ถวายเครื่องไทยธรรม
กรวดน้ำ จากน้นั เสร็จพธิ ที กุ อย่าง ก็กราบพระพร้อมกันอีกคร้งั หนึ่ง ดงั นี้
๔.๓ วิเคราะห์และนำชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์) ไปประยุ กต์ใช้
ในการศาสนพิธี ของจังหวดั เชยี งราย
๔.๓.๑ ชดุ ความรู้
- ชุดความร้เู ก่ียวกับพระพุทธศาสนา
พิธีกรรมทางศาสนาพุทธ เป็นพิธีกรรมที่เข้าไปเกีย่ วขอ้ งหรือปะปนกันอยู่กับความ
เชื่อของศาสนาพราหมณ์ บางพิธีกรรมแทบจะเป็นเนื้อเดยี วกันแยกไม่ออกว่าเป็นพราหมณ์หรอื พุทธ
ท่เี ปน็ เชน่ นนั้ ก็เพราะวา่ ทัง้ ๒ ศาสนามแี หลง่ กาเนิดทเี่ ดียวกัน ศาสนาพราหมณเ์ กดิ ก่อน ศาสนาพุทธ
เกิดที่หลัง ขณะที่คนที่นับถือศาสนาทั้ง ๒ เป็นคนกลุ่มเดียวกัน เริ่มแรกก็นับถือศาสนาพราหมณ์
ตอ่ มามีพุทธเกิดขึ้น ชอบใจในคาสอนก็หันมานบั ถือพุทธ การหันมานบั ถอื พุทธกไ็ มไ่ ดห้ มายความว่าจะ
สะลัดความเคยชินที่เคยเชื่อ เคยปฏิบัติมาตั้งแต่เป็นพราหมณ์ออกไปทั้งหมด เพราะสิ่งเหล่านัน้ เมอื่
ปฏิบัติแล้วยังสร้างความสุขใจ ความสบายใจให้กับผู้ฏิบัติอยู่ แต่ต้องตั้งอยู่ในหลักการของพุทธคือ
พธิ ีกรรมน้นั ต้องไม่ทาใหต้ นเองและผอู้ ืน่ เดือดร้อน ถงึ อย่างไรกต็ าม ท้ัง ๒ ศาสนาก็มีพิธีกรรมเฉพาะที่
ไม่เกี่ยวข้องกันเลยกับอีกศาสนาหนึ่ง หากจะแยกว่าพิธีกรรมใดเป็นของศาสนาใด ก็ให้หันกลับไปดู
หลักการอันเป็นแก่นของแต่ละศาสนาว่าเป็นอย่างไร ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม
(Atheism) ปฏิเสธพระเจ้า เชื่อในกฎธรรมชาติ ต่างจากศาสนาพราหมณ์โดยสิ้นเชิง ซึ่งเป็นศาสนา
ประเภทพหเุ ทวนยิ ม (Polytheism)นับถือพระเจ้าหลายองค์ ดังนั้น การที่จะรู้ว่าพิธีกรรมใดเปน็ ของ
ศาสนาพุทธเพรยี วๆ พิธีกรรมนน้ั ตอ้ งไมเ่ กีย่ วข้องกับเทพเจ้าเลย เชน่ พธิ กี รรมการบรรพชาอุปสมบท
พิธเี ขา้ พรรษา ออกพรรษา เป็นต้น
๑. มูลเหตแุ ห่งพิธกี รรมทำบุญทางศาสนาพุทธ
มูลเหตุแห่งการประกอบพิธีกรรมทาบญุ ในศาสนาพุทธ มี ๓ ประการด้วยกัน คือ
๑) พิธกี รรมทำบุญวนั สำคญั ของชาติ ศาสนา องค์พระมหากษตั ริย์
๒) พิธีกรรมำบุญปรำประเพณีในเทศกาลต่าง ๆ เช่น ตรุษสงกรานต์ สารท
เข้าพรรษา ออกพรรษา เปน็ ตน้
๓) พธิ กี รรมทำบุญท่ีมคี วามเกย่ี วขอ้ งเฉพาะตัวบุคคล
๑๓๘
งานบุญท้ังหมดนี้ ล้วนมีศาสนพิธี คือการกระทาตามหลักเกณฑ์ของศาสนาท่วี างไว้
นน้ั เหมือนกนั หมด ซึ่งนอกเหนือไปจากผู้เปน็ เจ้าภาพ จะดาเนนิ การกาหนดวัน – เวลา ทาบุญนิมนต์
พระเชญิ ญาติมิตร หรือแขกเหรอื่ จดั สถานท่ี และการตระเตรียมสงิ่ ของ และเครือ่ งใช้ตา่ งๆไวก้ อ่ นงาน
อย่างพร้อมเพรียงแลว้ ศาสนพธิ ี ได้แก่ การกลา่ วำบูชาพระและอาราธนาศลี เปน็ ตน้ จนกว่าพิธกี ารจะ
เสร็จเรียบร้อยนั้น นับเป็นพิธีการระดับหัวใจของงานทีเดียวที่จะต้องทำให้ถูกต้อง เพื่อให้สาเร็จ
ประโยชนต์ า่ งๆ ดังน้ี คอื
๑) ไดบ้ ุญกศุ ลอย่างถกู ต้อง และครบถว้ นตามพิธกี ารท่ีตอ้ งการเจ้าภาพ
๒) ชื่อว่ายกย่องเชิดชูพิธีการทำบุญนี้ให้มีความเจริญรุ่งเรืองในทางที่ถูกต้องตาม
ประเพณี วัฒนธรรมตอ่ ไป
๓) เป็นเกียรติคุณแก่ผู้เป็นเจ้าภาพ และผู้ร่วมกุศลทั้งหลายให้เกิดเพิ่มพูนกุศล
จิตศรัทธามากยิ่งๆ ขึ้นไปในโอวาทปาติโมกข์นั้นมีหลักการสาคัญที่ทรงวางไว้เป็นหลักทั่วๆไป ๓
ประการ คอื
๑. สอนไม่ให้ทำความชวั่ ท้ังปวง (ละเวน้ ชวั่ )
๒. สอนใหอ้ บรมกศุ ลให้ถงึ พร้อม (ประกอบความดี)
๓. สอนใหท้ ำจติ ใจของตนใหผ้ ่องใส (จติ ผอ่ งใส)
๒. เหตกุ ำเนิดพทุ ธศาสนพิธี
ระเบียบวิธีการปฏิบัติของชาวพุทธเพื่อเข้าถึงพระรัตนตรัยเรียกว่า ศาสนพิธี ซึ่ง
หมายถึง แบบอย่างหรือแบบแผนต่างๆ เป็นสื่อในการทาความดีในพระพุทธศาสนา กล่าวอีกนัยหนงึ่
คือ การทากิจกรรมเพื่อเข้าถึง พระรัตนตรัยนั่นเอง ดังนั้น ศาสนพิธี จึงมีความสาคัญไม่ยิ่งหย่อนไป
กว่าสว่ นอน่ื ๆ เลยเหตกุ าเนดิ ศาสนพิธี จัดว่าเปน็ สอ่ื กลางทนี่ าคนเข้าถึงสาระ หรือแก่นพระศาสนาโดย
การเขา้ ถึงสาระแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาน้ันสามารถเข้าถงึ ทั้งดว้ ยการทาบญุ ให้ทาน การรักษาศีล
และการเจริญ ภาวนาตามล าดับ และที่ส าคัญคือ การปฏิบัติตามหลักการของพระพุทธศาสนาที่
พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รัสไว้อันเรียกว่า “โอวาทปาติโมกข์” พระโอวาทที่เปน็ หลกั ของพระพุทธศาสนา
๓. คณุ ลกั ษณะของการประกอบพุทธศาสนพิธี
๑) มีวัตถุประสงค์ท่ีทาให้เกิดความสงบสุข เกิดความเรียบร้อย ในสังคมผู้ปฏิบัติเกิด
ความสขุ เกิดกุศล
๒) มีเป้าหมาย เพื่อให้เกดิ ความสามัคคีในสงั คม เกิดความร่วมมือรว่ มใจในการที่จะ
ใหพ้ ทุ ธศาสนาคงอย่แู ละสบื ทอดตอ่ ไป
๓) มีกระบวนการทเี่ รียบง่าย ไมฟ่ ุม่ เฟือยยงุ่ ยากทุกคนยอมรบั ทจี่ ะปฏิบัตไิ ด้
๔. ประเภทของพธิ กี รรม
พธิ ีกรรมของศาสนาพุทธ จาแนกตามรูปแบบแห่งการปฏบิ ัติ เปน็ ๒ ประเภท
๑) พิธีกรรมบริสุทธิ์ คือ พิธีกรรมที่เป็นพุทธบัญญัติ เป็นพิธีการเกี่ยวกับวินัยสงฆ์
ซึ่งพระพุทธเจา้ ได้ทรงบัญญัตไิ ว้อย่างไร จะต้องปฏิบัติพธิ กี รรมน้ัน ๆ ให้ถูกตอ้ งตามพทุ ธบัญญตั ิ