๑๓๙
๒) พิธีกรรมประยุกต์ คือ พิธีกรรมที่พัฒนาขึ้นในท้องถิ่น คือ พิธีกรรมที่
พุทธศาสนิกชนในท้องถิ่นตา่ ง ๆ กำหนดขึ้น โดยมีการผสมผสานขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นให้
เข้ากับกิจกรรมทางพุทธศาสนา และได้ปฏิบัติสืบต่อกันมาจนเป็นประเพณี โดยคานึงถึงหลักการ
ปฏบิ ตั ิ ๔ ประการ คอื
- พุทธบัญญัตดิ ัง่ เดิม
- ความเหมาะสมของพิธกี รรม
- ภาวะทางเศรษฐกจิ
- ประโยชนท์ ีจ่ ะไดร้ บั
๕. พธิ ีกรรมสำคัญของพระพุทธศาสนา
พิธีกรรมสาคัญของพระพุทธศาสนา ตามลักษณะที่เข้าไปเกี่ยวข้อง สามารถจำแนก
ได้เป็น ๓ ประเภท ได้แก่
๑. พธิ ีกรรมทเี่ ก่ยี วกบั พระสงฆ์
๒. พิธีกรรมทเี่ ก่ียวกับชวี ติ ประจาวนั และ
๓. พิธกี รรมทเ่ี กี่ยวกับวนั สาคัญทางพระพุทธศาสนา
๖. หลกั ปฏบิ ัติทั่วไปเก่ียวกบั พธิ ีกรรมทางพระพุทธศาสนา
การปฏบิ ตั พิ ิธกี รรมทางศาสนาในพระพุทธศาสนานั้น เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเป็นศิริมงคล
สงู สดุ ได้รบั แตส่ ่ิงดๆี ไมเ่ กิดความทุกข์ในภายหลงั ตอ้ งคานงึ ถงึ หลัก ๔ ประการ ดงั น้ี
๑.๖.๑ ความถูกตอ้ ง ตามพุทธบัญญัติ
๑.๖.๒ คำนงึ ถงึ ความเหมาะสม
๑.๖.๓ คำนงึ ถงึ ความประหยัด และภาวะทางเศรษฐกิจ
๑.๖.๔ คำนงึ ประโยชนท์ ี่จะได้รบั ต้องค้มุ คา่
๗. คณุ ประโยชน์ของพธิ กี รรม
การปฏิบัติพิธีกรรม หากปฏิบัติได้ถูกต้องดีแล้ว การปฏิบัตินั้นย่อมจะน ำมาสู่
ความสุขความเจรญิ แกผ่ ปู้ ฏบิ ัตติ ามสมควรแก่การปฏิบัติ อยา่ งน้อย ๓ ประการ คอื
๑.๗.๑ มคี ุณคา่ ทางจติ ใจ ทาใหศ้ าสนามคี วามศกั ดิ์สทิ ธิ์
๑.๗.๒ สง่ เสริมความสามคั คีเป็นอนั หนึ่งอนั เดยี วกนั ของคนในสังคม
๑.๗.๓ ส่งเสริมและรักษาเอกลกั ษณ์ทีด่ ีงาม เป็นการสร้างสมวัฒนธรรมคง
อยูต่ อ่ ไป
- ชุดความรู้เก่ยี วกับศาสนพธิ ี
ศาสนพิธี เป็นพิธีกรรมทางศาสนาในการนําหลักธรรมคําสอนของศาสนาลงสู่
การปฏิบัติของศาสนิกชน การปฏิบัติศาสนพิธีที่มีความเรียบร้อย สวยงาม และเป็นไปในแนวทาง
เดยี วกันจะก่อให้เกิดความเลอ่ื มใสศรัทธาในการบําเพญ็ กุศลตา่ ง ๆ ของผูท้ ีไ่ ดร้ ว่ มกิจกรรมในพิธีนั้น ๆ
ดงั คาํ ที่ว่า “พธิ ดี ี เกจิดัง ความขลงั ย่อมปรากฏ” เกิดการสร้างคณุ ค่าทางดา้ นจิตใจ เพ่ือเป็นการธํารง
รักษาเอกลักษณข์ องชาติและศาสนา การที่พุทธศาสนิกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผูท้ ีท่ ําหนา้ ที่เป็นศาสน
พิธีกรจําเป็นตอ้ งมีแนวปฏิบัติเก่ียวกบั ศาสนพธิ ีใหเ้ ป็นไปในแนวทางเดียวกัน
๑๔๐
ศาสนพธิ ีหรอื พธิ ีกรรมของพระพทุ ธศาสนาเปน็ สิ่งท่ีชว่ ยหลอ่ เลย้ี งศาสนธรรมอันเป็น
แกน่ แท้ของพระพุทธศาสนาไว้ ดงั นัน้ การกระทําศาสนพธิ หี รือพธิ กี รรมตา่ ง ๆ ในทางพระพุทธศาสนา
ควรที่จะต้องมีการแนะนําและให้ผู้ร่วมพิธีได้ศึกษาทําความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีต่าง ๆ ให้ถ่องแท้ตาม
หลักการทางพิธีกรรมของพระพุทธศาสนา เพื่อผู้ปฏิบัติจะได้นําไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องตาม
จุดมงุ่ หมายในศาสนพิธนี นั้ ๆ เนอื่ งจากศาสนพธิ ีจัดเป็นวัฒนธรรมและจารีตประเพณีของชาติท่ีมีการ
สืบสานกันมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ซึ่งการปฏิบัติศาสนพิธีจะต้องทําให้มีความเป็นระเบียบ
เรียบร้อย สวยงาม เป็นไปในแนวทางเดียวกัน เพื่อก่อให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในการดําเนิน
กิจกรรมด้านพิธีของศาสนา ซึ่งถือเป็นสิ่งสําคัญของพุทธศาสนิกชนเพราะการดําเนินกิจกรรมของ
พิธกี รรมต่าง ๆ ถอื เปน็ ก้าวแรกทมี่ คี วามเป็นรูปธรรมของการก้าวเข้าสู่หลักการของพระพุทธศาสนาท่ี
เปน็ การเสรมิ สรา้ งคุณค่าทางด้านจิตใจ รวมทั้งการธํารงรักษาเอกลกั ษณ์ของชาติและพระพุทธศาสนา
ผู้ทําหน้าที่เป็นผู้นําในการปฏิบัติงานศาสนพิธีจึงควรมีความรู้ความสามารถและความเข้าใจอย่าง
ถูกต้อง เนื่องจากศาสนพิธเี ป็นการสรา้ งระเบียบแบบแผนแบบอยา่ งที่พึงปฏบิ ัตใิ นศาสนานัน้ ๆ ตาม
หลักการความเชื่อในศาสนาที่ตนนับถือ เมื่อนํามาใช้ในทางพระพุทธศาสนาย่อมหมายถึง ระเบียบ
แบบแผน และแบบอย่างที่พงึ ปฏิบตั ใิ นพระพุทธศาสนาซง่ึ บางท่านเรียกว่า “พุทธศาสนพธิ ”ี
การเตรยี มอุปกรณ์
การเตรียมอุปกรณ์ เปน็ สง่ิ จาํ เปน็ ของพิธีตา่ ง ๆ ซงึ่ ผูท้ ําหนา้ ที่ศาสนพธิ กี รควรมีวามรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีการหรอื พิธีกรรมต่าง ๆ เช่น วัตถุประสงค์ของการจัดศาสนพิธีเปน็ งานมงคล
งานอวมงคล หรือการจัดงานมงคลและงานอวมงคลพร้อมกัน ซึ่งแต่ละงานจะต้องใช้อุปกรณ์ในการ
ประกอบพธิ ที แ่ี ตกต่างกนั เช่น งานมงคลสมรส งานวางศลิ าฤกษ์ เปน็ ตน้ อปุ กรณห์ ลกั ทใี่ ชใ้ นงานศาสน
พธิ ี
๑) โตะ๊ หมู่บชู า พระพทุ ธรปู แทน่ กราบ
๒) แจกนั ดอกไม้ หรอื พานพุ่ม
๓) กระถางธปู เชงิ เทียน
๔) ธปู เทียน บชู าพระ
๕) เทยี นชนวน
๖) ท่กี รวดนํา้
๗) สําลี กรรไกร เชอื้ ชนวน (นาํ้ มนั เบนซนิ ผสมกับเทยี นขผ้ี ง้ึ แท)้
๘) ใบปวารณา และจตปุ จั จัยไทยธรรม
๙) เคร่ืองขยายเสียงพร้อมอุปกรณ์
๑๐) เครือ่ งรบั รองพระสงฆ์ เช่น นํา้ ร้อน นาํ้ เย็น อาสนส์ งฆห์ รือพรมน่ัง เสื่อ หมอน
พิงกระดาษเช็ดมอื กระโถน เปน็ ตน้
อุปกรณ์เฉพาะพิธี (เพิม่ จากอปุ กรณห์ ลกั )
พธิ ีงานมงคล
๑) ภาชนะ น้ําพระพุทธมนต์ เช่น ครอบน้ํามนต์/บาตร/ขัน ที่ประพรมนํ้า
พระพุทธมนต์ (มดั หญา้ คา ใบมะยม ดอกไมเ้ งนิ ทอง)
๑๔๑
๒) สายสิญจน์
๓) เทียนน้าํ มนต์ (เทยี นขี้ผึ้งแท้ นยิ มขนาดน้าํ หนกั ๑ บาท)
๔) พานรองสายสิญจน์ จํานวน ๒ พาน
พธิ มี งคลสมรส
๑) มงคลแฝด
๒) โถปรกิ แปง้ กระแจะสําหรับเจิม
๓) สังข์
๔. หมอนกราบ ๒ ใบ
พธิ ีวางศิลาฤกษ์
๑) แผน่ ศิลาฤกษ์
๒) ไม้มงคล ๙ ชนิด คือ ไม้ชัยพฤกษ์ ไม้ราชพฤกษ์ ไม้สักทอง ไม้ไผ่สีสุก
ไม้พะยูงไมท้ องหลาง ไม้กนั เกรา ไม้ทรงบาดาล และไมข้ นุน
๓) ค้อนตอกไมม้ งคล
๔) แผ่นอิฐ ทอง-นาก-เงนิ อยา่ งละ ๓ แผน่ (รวม ๙ แผน่ )
๕) โถปริกกระแจะเจมิ
๖) ทองคําเปลวปิดศิลาฤกษ์ ๓ แผ่น พร้อมขี้ผึ้งหรือสิ่งที่ทาแผ่นศิลาฤกษ์
เพ่ือปดิ แผน่ ทอง
๗) ปูนซเี มนต์ผสมเสร็จ พรอ้ มเกรยี งปาดปนู
๘) ตลบั นพรัตน์
๙) พวงมาลยั
๑๐) ขา้ วตอกดอกไม้ เหรียญเงิน และเหรยี ญทอง
๑๑) กระดาษ/ผ้าเช็ดมือของประธาน
พิธีเปดิ ป้ายอาคาร
๑) โถปรกิ แป้งกระแจะเจิม
๒) ทองคําเปลว ๓ แผ่น พร้อมขผี้ ง้ึ หรอื สง่ิ ทีท่ าสําหรบั ปดิ แผ่นทอง
๓) ผ้าคลุมป้าย พรอ้ มสายชกั ผ้าคลุมป้าย
๔) กระดาษ/ผ้าเช็ดมือของประธาน
พธิ ีงานอวมงคล
พธิ ีสวดพระอภธิ รรม
๑) ภษู าโยง (ถ้าศพมฐี านันดรศักดิ์ตงั้ แตช่ ้นั หมอ่ มเจา้ ขึ้นไป ตอ้ งเตรียมผา้ ขาว
กว้างประมาณ ๑๐ หรือ ๑๒ นิ้ว ยาวเสมอกับแถวพระสงฆ์ จํานวน ๑ ผืน
เรียกวา่ “ผ้ารองโยง”) แถบทอง หรอื สายโยง สาํ หรับโยงมาจากหีบหรือโกศศพ
๒) เคร่อื งทองนอ้ ย ๑-๒ ที่ (ต้ังหนา้ หีบศพ)
๑๔๒
๓) ตู้พระอภิธรรม พรอ้ มโต๊ะต้งั ตูพ้ ระอภิธรรม
๔) ผ้าไตร หรือผ้าสาํ หรับทอดบงั สกุ ุล
๕) เครื่องกระบะบูชาพระอภิธรรม (ในกรณีไม่มีเครื่องกระบะบูชา ให้ใช้เชิง
เทียน ๑ คู่ แจกันดอกไม้ ๑ คู่ และกระถางธูป ๑ กระถาง ตั้งหนา้ ตู้พระอภิธรรมแทนเพือ่ จดุ บชู าพระ
ธรรม)
อภิธรรม) พิธีพระราชทานเพลิงศพ หรือฌาปนกิจศพ (อุปกรณ์เพิ่มจากการสวดพระ
พระธรรม)
๑) ธรรมาสนเ์ ทศน์ คมั ภีร์เทศน์ พัดรอง ตะล่มุ พาน
๒) เครื่องทองน้อย จํานวน ๑ ที่ (เพิ่มอีก ๑ ที่สําหรับประธานจุดบูชา
๓) เทียนสอ่ งธรรม
๔) ผ้าไตร หรอื ผ้าสาํ หรับทอดบงั สกุ ลุ
๕) เครื่องไทยธรรมบูชากัณฑเ์ ทศน์
พธิ ที ําบุญครบรอบวนั ตาย
๑) อัฐ/ิ รูปผ้ตู าย/ปา้ ยชอ่ื ของบรรพบรุ ษุ
๒) โตะ๊ หมอู่ กี ๑ ชุด ใช้เปน็ ทบี่ ูชาอัฐิ
๓) เคร่อื งทองนอ้ ย
๔) ภูษาโยง แถบทอง
๕) ผา้ ไตรหรือผา้ สาํ หรับทอดบังสุกุล
การเตรียมบุคลากร
การเตรียมบคุ ลากร เป็นการแสดงถงึ ความพร้อมของผจู้ ดั งานพิธีต่าง ๆ เพอื่
ความสะดวกในการประสานงาน อันเป็นการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบในแต่ละ
ส่วนของผู้ปฏบิ ัตงิ านและสามารถตรวจสอบไดว้ ่านมิ นต์พระสงฆ์หรือยงั นิมนต์จํานวนเท่าใด ใครเป็น
ประธานใครรับภารกิจส่วนใด ใครเป็นพิธีกร ใครทําหน้าที่ศาสนพิธีกร เป็นต้นพระสงฆ์ การนิมนต์
พระสงฆ์ ควรเขยี นเป็นหนังสอื หรือภาษาทางราชการ เรียกวา่ “การวางฎีกานมิ นตพ์ ระสงฆ์” เพ่ือถวาย
พระสงฆ์ไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งประกอบด้วยข้อความสําคัญเปน็ การนมัสการให้พระสงฆ์ทราบว่า นิมนต์
งานพธิ ีใด วัน เวลา และสถานท่ีในการประกอบพิธีอยู่ทีไ่ หนควรแจ้งให้ชัดเจน สาํ หรับจํานวนพระสงฆ์
ในแต่ละพิธี ไมไ่ ดก้ าํ หนดจาํ นวนมากไวเ้ ทา่ ใดแต่มีกําหนดจํานวนขา้ งน้อยไว้ คอื ไมต่ า่ํ กวา่ ๕ รปู ๗ รูป
๙ รูป และ ๑๐ รูป เพื่อจะได้ครบองค์คณะสงฆ์ ส่วนงานพระราชพิธี หรือพิธีของทางราชการนิยม
นมิ นตพ์ ระสงฆ์ ๑๐ รปู ทง้ั งานมงคลและงานอวมงคล แตถ่ ้าหากเป็นพิธีบําเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรม
ศพประจาํ คนื นั้น นิมนตพ์ ระสงฆ์สวดพระอภธิ รรม จาํ นวน ๔ รูป
๑๔๓
คูม่ อื การปฏบิ ัติศาสนพธิ เี บอื้ งตน้
ประธานพิธี คือ บุคคลที่เจ้าภาพเชิญมาเป็นเกียรติแก่งานพิธีเพื่อทําหน้าท่ี
เป็นประธานในพิธีซึ่งมีทั้งแบบเป็นทางการ คือ มีการเชิญโดยแจ้งให้ผู้ที่เป็นประธานทราบล่วงหน้า
อย่างเป็นทางการ และแบบไม่เป็นทางการ คือ การเชิญผู้ที่มาร่วมงานทําหน้าที่เป็นประธานโดยไม่มี
การแจง้ ให้ทราบล่วงหน้า ซง่ึ ถา้ ไมเ่ ป็นทางการก็ไม่สูก้ ระไรนัก แตห่ ากเปน็ ทางการควรมีการจัดเตรียม
สถานที่ให้เหมาะสมกับฐานะของผู้ที่เชิญมาเป็นประธานในพิธี เช่น การจัดที่นั่งการต้อนรับ การ
จัดเตรียมเครื่องรับรอง เป็นต้น อันเป็นการแสดงออกถึงการให้เกียรติแก่ผู้ที่รับเชิญมาทําหน้าที่เป็น
ประธานในพิธีนั้น ๆ ดว้ ย และควรแจ้งกาํ หนดการของพิธีใหผ้ ู้ทําหนา้ ทีเ่ ปน็ ประธานได้ทราบ
ศาสนพิธีกร คอื ผ้ทู าํ หน้าที่เปน็ ผดู้ ําเนินการพธิ ที างศาสนา ซงึ่ มคี วามรอบรู้ใน
ด้านพิธีการต่าง ๆ ทําหน้าที่ควบคุม ปฏิบัติการ จัดการ และประสานงานระหว่างผู้ร่วมปฏิบัตงิ านพิธี
ตลอดจนถึงการให้คําแนะนํา ให้คาํ ปรกึ ษาในการดาํ เนนิ กิจกรรมพิธีทางพระพุทธศาสนาได้อยา่ งชัดเจน
และถูกต้องตามโบราณประเพณีที่ได้มีการสืบทอดกันมาผู้ร่วมงาน คือ ผู้ที่เจ้าภาพเชิญมาร่วมเป็น
เกียรติแก่พิธี ดําเนินกจิ กรรมในพิธีร่วมกันเช่น ร่วมฟังพระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนา เจริญพระพทุ ธ
มนต์ เจ้าภาพควรประมาณจํานวนผู้ที่รับเชิญมาร่วมกิจกรรมให้เหมาะสมกับสถานที่ ควรกําหนดผู้ท่ี
คอยตอ้ นรบั ผู้มารว่ มงาน กําหนดสถานที่น่ังสําหรับผ้เู ปน็ ประธาน ของท่ีระลกึ เป็นต้น ถ้าบุคคลท่ีเชิญ
เป็นผู้ใหญ่ เจ้าภาพควรกาํ หนดให้ชัดเจนวา่ ใครน่งั ตรงไหน อย่างไร เน่อื งจากเมื่อผ้รู บั เชญิ น่งั เรียบร้อย
แลว้ ถ้ามกี ารเคลื่อนย้ายท่ีนงั่ ในภายหลัง ผ้รู ับเชิญจะเสยี ความรสู้ ึกท่ีดใี นการเข้ารว่ มกจิ กรรม
การเตรยี มกาํ หนดการ
กําหนดการ คือ เอกสารที่จดั ทาํ ข้ึนเพือ่ บอกลักษณะของงาน เปน็ ต้นวา่ งานอะไร
ใครเปน็ ประธาน สถานท่ี วนั เวลาในการจัดงาน ลําดับข้นั ตอนของงาน การแตง่ กาย
เพื่อให้ผู้ที่ร่วมในพิธี ๆ มีความเข้าใจตรงกันและทราบขั้นตอนของพธิ ีกําหนดการมี ๔ ประเภท
คอื
๑. หมายกาํ หนดการ
๒. หมายรับส่ัง
๓. พระราชกิจ
๔. กาํ หนดการ
หมายกําหนดการ เป็นเอกสารแจ้งกําหนดขั้นตอนของงานพระราชพิธีโดยเฉพาะ
ลักษณะของเอกสารจะต้องอ้างพระบรมราชโองการ คือ ขน้ึ ตน้ ดว้ ยข้อความวา่ “นายกรัฐมนตรี
หรือเลขาธิการพระราชวัง รับพระบรมราชโองการเหนือเกล้าฯ สั่งว่า...” เสมอไป และในทาง
ปฏิบัติเจ้าหน้าที่จะต้องส่งต้นหมายกําหนดการดังกล่าวนี้ เสนอนายกรัฐมนตรีหรือเลขาธิการ
พระราชวงั ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
๑๔๔
- ชุดความรูเ้ กย่ี วกบั ราชพิธี รัฐพิธี
สังคมไทยได้ยอมรับกันทั่วไปว่า ศาสนามีความสําคัญต่อวัฒนธรรม
ประเพณี เพราะมีผลต่อความรู้สกึ นึกคิด ประเพณี และความเชื่อ ได้สือ่ ออกมาในลักษณะ
ของพิธีกรรมทางศาสนาและถอื ปฏิบตั ิเปน็ แบบอยา่ ง ประเพณี และธรรมเนียมสืบตอ่ กันมา
ขณะทพ่ี ระมหากษัตริยใ์ นฐานะทท่ี รงเปน็ องค์เอกอัครศาสนปู ถัมภก ไดท้ รงเป็นแบบอย่าง
ของการปฏิบัตพิ ระราชกรณยี กิจด้านศาสนพธิ ีสบื ทอดกันมาไดอ้ ยา่ งบรสิ ทุ ธิไ์ มค่ ลาดเคลื่อน
จากอดีตถึงปจั จุบัน จนกลายเป็นราชประเพณสี ืบต่อกนั มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งพุทธศาสนิกชน
ชาวไทยได้ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติเพื่อเป็นการสืบทอดกิจกรรมด้านศาสนพิธีให้คงอยู่และ
แพร่หลายไปสู่สถาบันต่าง ๆ ของสงั คมไทยท้งั ในสว่ นกลางและภมู ิภาค เช่น
- วนั จักรี
วันจักรี ตรงกับวันที่ ๖ เมษายนของทุก ๆ ปี เป็นวันคล้ายวันประดิษฐาน
พระราชวงศ์จักรีถือเป็นงานรัฐพิธี เป็นโอกาสที่พสกนิกรชาวไทยจะได้มีโอกาสรําลึกในความเป็นสิริ
มงคลที่เกิดจากพระมหากรุณาธิคุณ อันเป็นประโยชนแ์ ก่ประเทศชาตอิ ย่างมหาศาล ในส่วนกลางจัด
ใหม้ พี ิธถี วายราชสักการบชู าพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พิธีน้ีไม่มี
พระสงฆ)์ ท่เี ชิงสะพานปฐมบรมราชานสุ รณ์
สําหรับในส่วนภูมภิ าค หากมีการจัดกิจกรรมเพื่อเป็นการถวายพระเกยี รติ
อันเป็นการระลึกถึงพระราชกรณียกิจและพระมหากรุณาธิคุณที่พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีทกุ
พระองค์ได้ปกครองพสกนิกรด้วยหลักทศพิธราชธรรม และได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันเป็น
คุณประโยชนแ์ ก่ประชาชนและประเทศชาติ สมควรที่พสกนิกรจะไดแ้ สดงออกถึงความกตัญญูที่มีแด่
พระบรมวงศ์จักรี เพื่อพร้อมกันถวายพระพรชัยมงคล ขอให้เทพยดาเบื้องบนโปรดอภิบาลพระบรม
วงศ์จักรี ให้เสด็จสถิตเปน็ ศรีสถาพรอยู่คูป่ ระเทศชาติชัว่ นริ ันดร์และให้พระเกียรติคุณอเนกอนนั ต์แผ่
ไพศาลไปทว่ั ทกุ ทศิ านุทิศ เป็นพิธกี รพงึ ดําเนินการ ดงั นี้
การเตรยี มการ
๑) จัดเตรียมพระบรมรปู พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ๙ รัชกาล
๒) จัดเตรียมพระบรมฉายาลักษณ์ หรือพระบรมสาทิสลักษณ์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถ ให้ประดิษฐานพระบรม
ฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ด้านขวาของพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชนิ ีนาถ
๓) จัดเตรียมโต๊ะหมู่บูชา จํานวน ๓ ชุด ชุดที่ ๑ ประดิษฐานพระพุทธรูป
ชุดที่ ๒ประดษิ ฐานพระบรมรปู พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๘ รัชกาล และชดุ ที่ ๓ ประดิษฐานพระ
บรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถ
๔) เตรียมจดั พมุ่ ดอกไม้ หรอื แจกันดอกไมป้ ระดบั ตามความเหมาะสม
๕) จัดเตรียมเครื่องทองน้อยวางทีโ่ ตะ๊ หมู่บูชาแถวกลาง ตัวล่าง ติธูปเทียน
ให้พร้อมโดยหันด้านที่มีพุ่มดอกไม้ไปยังพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ ๘ รัชกาล และหัน
๑๔๕
ด้านธูปเทียนออกด้านนอก โดยติดเทียนไว้ด้านขวามือของผู้จดุ ธูปด้านซ้ายมือของผู้จุด (เพื่อผู้เป็น
ประธานพิธจี ดุ ถวายสักการะ)
๖) จัดโต๊ะสําหรับวางพานพุ่มไว้หน้าโต๊ะหมู่บูชา พระบาทสมเด็จพระ
เจา้ อยูห่ ัว ๙ รชั กาล จาํ นวน ๑ ตัว ในกรณีมีการวางพานพุ่มถวายสักการะ
๗) จดั เตรียมเคร่อื งใช้พิธสี งฆ์ (งานพิธมี งคล)
๘) จัดเตรียมกรวยดอกไม้ ธปู เทยี นแพ จํานวน ๑ ชุด วางไว้ท่ีโต๊ะหมู่บูชา
แถวกลางตัวล่าง (หรือตัวที่ ๒ ถัดขึ้นไปจากตัวล่าง) หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอย่หู ัวรัชกาลปัจจุบนั และพระบรมฉายาลกั ษณส์ มเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนี าถ เพอื่ ผู้
เป็ประธานจะได้เปิดกรวยดอกไม้ธูปเทียนแพถวายสักการะพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จ
พระเจา้ อยู่หวั รัชกาลปจั จบุ ัน และพระบรมฉายาลักษณส์ มเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ
๙) จัดโต๊ะสําหรับพักพานพุ่ม จํานวน ๑ ตัว ตั้งไว้ทางด้านซ้ายของโต๊ะหมู่
บูชาห่างจากโต๊ะหมู่บูชาประมาณ ๕ เมตร พักพานพุ่มไว้ พานพุ่มนี้จะเป็นคู่หรือเดี่ยว จะเป็นพุ่ม
ดอกไมส้ ดหรือดอกไม้แห้ง หรือพุม่ ทอง พุ่มเงนิ ก็ได้
๑๐) จัดเตรยี มเทียนชนวนไว้เพอ่ื สง่ ใหป้ ระธานพธิ ีจดุ เครอื่ งทองนอ้ ย
๑๑) จัดเตรียมแท่นกราบสําหรับประธานกราบหน้าโต๊ะหมู่บูชา หลังจาก
วางพุ่มดอกไม้และจดุ เครื่องทองน้อยแล้ว
๑๒) ถ้ามพี ธิ ีบวงสรวงต้องมกี ารจัดเตรยี ม และต้งั เครื่องบวงสรวงด้วย
แนวทางการปฏบิ ตั งิ าน
ในการปฏิบัติหากมีหน่ว ยงาน หรือ บุ คคลอื ่นมี คว ามประสง ค์ จ ะว าง พุ่ ม
ดอกไม้ควรแนะนําใหห้ น่วยงานหรือบคุ คลน้นั วางกอ่ นท่ีประธานจะเดนิ ทางมาถงึ บริเวณพิธี เมอ่ื ใกล้
จะถึงเวลาตามกําหนดการ ให้ผู้ร่วมพิธีถวายสักการะยืนเข้าแถวให้เป็นระเบียบเรียบร้อยที่บริเวณ
ด้านหน้าโต๊ะหมู่บูชา เว้นระยะห่างพอสมควร ข้าราชการแต่งเครื่องแบบปกติขาว สวมหมวกยืน
ดา้ นหน้า ส่วนผูม้ ีเกยี รติทั่วไปแตง่ กายชุดสากล หรือชุดสภุ าพ ยนื เขา้ แถว เม่ือประธานเดินทางมาถึง
ผ้ทู ี่ไม่ได้ไปยืนเขา้ แถว แตน่ ั่งอยทู่ ีเ่ ก้าอใี้ ห้ลกุ ขนึ้ ยนื ตอ้ นรบั และให้เกียรติผูท้ าํ หน้าที่ประธานพิธีด้วย
ลาํ ดบั ข้ันตอนการปฏบิ ตั งิ าน
๑) เมือ่ ประธานมาถึงพิธี เรียนเชญิ ประธานจดุ ธปู เทียนบูชาพระรัตนตรยั
๒) เจ้าหนา้ ทีอ่ าราธนาศลี ประธานและผ้รู ว่ มพิธีรับศีล
๓) ในกรณีมีพิธีบวงสรวง ประธานพิธีถวายพุ่มดอกไม้สักการะ
(ถ้ามีการถวายพุ่มดอกไม้ ๒ พุ่ม ให้ประธานวางพุ่มด้านขวาของประธานพิธีก่อน แล้วจึงวางพุ่ม
ด้านซ้าย) แล้วจุดเครื่องทองน้อยหน้าพระบรมรูป ๘ รัชกาล กราบถวายสักการะ ๑ ครั้ง (ไม่แบมือที่
แท่นกราบ)ออกไปจุดธูปเทียนเคร่อื งบวงสรวง (ดรุ ิยางคบ์ รรเลงเพลงสาธุการ)
๔) เมือ่ เสรจ็ พิธบี วงสรวง ประธานอา่ นอาศริ วาทปฐมราชสดุดี จบ (ดุริยางค์
บรรเลงเพลงสรรเสรญิ พระบารมี ขณะนพ้ี ระสงฆเ์ จรญิ ชยั มงคลคาถา)
๕) ประธานพิธีถวายพุ่มดอกไม้ และเปิดกรวยดอกไม้ ธูปเทียนแพ ถวาย
สักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบันและพระบรม
๑๔๖
ฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชนิ นี าถ ถวายความเคารพ แลว้ ถอยออกมายนื เบ้ืองหน้า
ผ้รู ว่ มพธิ กี ลา่ วนําถวายพระพรชยั มงคล จบ (ดรุ ยิ างค์บรรเลงเพลงสรรเสรญิ พระบารมี ขณะนพ้ี ระสงฆ์
เจริญชยั มงคลคาถา)
๖) ในกรณีมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายพระราชกุศล เจ้าหน้าที่
อาราธนาพระปรติ ร
๗) พระสงฆเ์ จริญพระพุทธมนต์
๘) จบแล้วถวายภตั ตาหาร พระสงฆฉ์ นั ภตั ตาหารเรยี บร้อยแลว้
๙) ประธานพิธี และผรู้ ว่ มพิธี ประเคนจตปุ จั จยั ไทยธรรม
๑๐) ประธานพธิ กี รวดนำ้ รับพร
๑๑) พระสงฆอ์ นุโมทนา ถวายอดิเรก เสรจ็ พิธี
หมายเหตุ
๑) พระสงฆ์ในพิธีใช้พัดยศสมณศักดิ์ และถวายอดิเรกทั้ง ๒ พระองค์ (พระสงฆ์
ที่ถวายอิเรกได้จะต้องเป็นพระราชาคณะ และใช้พัดยศสมณศักดิ์ หรือพระครูสัญญาบัตรเจ้าคณะ
จังหวัดรองเจ้าคณะจงั หวัด และเจ้าอาวาสพระอารามหลวงช้นั เอก ซึง่ ถอื พัดเปลวเพลงิ และตอ้ งตงั้ พัด
ยศสมณศักด์ิในการถวายอดิเรก)๒) ขณะประธานสงฆ์ถวายอดิเรก ประธานพธิ แี ละผู้ร่วมพิธลี ดมอื ลง
๓) เมื่อพระสงฆ์รูปที่ ๒ รับ “ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง...” ประธานพิธีและผู้ร่วมพิธี พึงประนมมือขน้ึ
เพือ่ รับพรตอ่ จนกว่าพระสงฆจ์ ะสวดจบบท
วันปยิ มหาราช
วันปิยมหาราช กาลอนั เปน็ อภิลักขิตสมัย คล้ายวนั สวรรคตแห่งองค์พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว ผูท้ รงพระคุณอันประเสริฐ ซง่ึ ไดก้ ําหนดไวใ้ นวนั ที่ ๒๓ ตุลาคมของทุกปีอัน
เป็นวันที่พสกนิกรชาวไทยแผ่นดินสยามน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทางราชการได้กําหนดให้วันนี้เป็นวันสําคัญของชาติ เรียกว่า“วันปิย
มหาราช” หรือ “วันถวายบังคมพระบรมรูปทรงม้า”สําหรับในส่วนกลาง เพื่อเป็นการน้อมรําลึกถึง
พระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในอภิลักขิตสมัยคล้ายวัน
สวรรคตในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงบําเพ็ญ
พระราชกรณยี กิจ ๒ ประการ คือ
๑) เสด็จพระราชดําเนินไปทรงวางพวงมาลาพระบรมราชานุสาวรีย์
ณ ลานพระราชวงั ดุสิต
๒) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กําหนดเป็นงานพระราชพิธีทรงบําเพ็ญพระราช
กุศลทักษิณานุประทานเป็นประจําทุกปี มีการสวดพระพุทธมนต์ ถวายพระธรรมเทศนา และ
สดับปกรณ์ ในการนี้นิมนต์พระสงฆ์ จํานวน ๕๗ รูป เท่าพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ซึ่งต้องนิมนต์พระสงฆ์วัดที่เกี่ยวกับพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั พระบรมอัฐิสมเด็จพระศรพี ัชรนิ ทราบรมราชนิ ีนาถ และพระบรมอฐั ิสมเดจ็ พระ
ศรสี วรนิ ทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอยั ยกิ าเจ้า เปน็ สาํ คัญ ส่วนนอกนนั้ นิมนต์ตามลาํ ดับสมณศักด์ิ
จากสูงลงมา งานพระราชพิธนี จ้ี ัดท่พี ระทีน่ ัง่ อมรนิ ทรวินิจฉัย
๑๔๗
สําหรับส่วนราชการในภูมิภาค หากจะจัดพิธีเพื่อเป็นการน้อมรําลึกถึงพระมหา
กรุณาธคิ ุณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว ซงึ่ เปน็ การแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที
ของประชาชนชาวไทยท่ีมีแดพ่ ระองคท์ ่าน ก็สามารถดาํ เนนิ กจิ กรรมตา่ ง ๆ ได้ แตผ่ ู้ทําหนา้ ที่พิธีกรพึง
ทําความเขา้ ใจใหช้ ดั เจนว่า มกี ารจดั กจิ กรรมใดบ้าง มีพระสงฆห์ รอื ไม ่ เพื่อจะไดจ้ ัดเตรียมงานสถานท่ี
และพิธกี ารได้ถกู ตอ้ งเหมาะสม
การเตรยี มการ
๑) จัดเตรียมโต๊ะหมู่บูชา ๒ ชุด สําหรับตั้งเพื่อบูชาพระรัตนตรัย จํานวน ๑ ชุด
(ในกรณีมพี ธิ สี งฆ์) สาํ หรับตั้งเพ่อื ถวายเครื่องสกั การะหนา้ พระราชานสุ าวรยี ์ จาํ นวน ๑ ชุด๒) ในกรณี
ไม่มีพระราชานุสาวรีย์ จะต้องจัดเตรียมพระบรมรูปหล่อ หรือพระบรมฉายาลักษณ์ หรือ พระบรม
สาทสิ ลกั ษณ์ เพอ่ื ประดษิ ฐานในสถานทจ่ี ัดทําพิธ๓ี ) จดั เตรียมเครื่องสกั การะที่นํามาแสดงความเคารพ
บูชา ประกอบด้วยพวงดอกไม้หรอื พุ่มดอกไม้ และมีธรรมเนยี มปฏิบัติว่า ถ้ามิใช่เป็นวันสวรรคตแหง่
องค์พระบรมราชานสุ าวรีย์ควรสักการะด้วยพุ่มดอกไม้สด หรอื พวงดอกไมส้ ด และไมใ่ ช้แถบแพรหรือ
ผ้าผูกเป็นโบสีดํา เช่น วันที่ ๖ เมษายน ซึ่งเป็นวันที่ระลึกมหาจักรี แต่วันที่ ๒๓ ตุลาคม ถือเป็นวัน
สวรรคตแห่งองค์พระบรมราชานุสาวรีย์ ใหใ้ ช้แถบแพรหรอื ผ้าผกู เปน็ โบดาํ ได้
๔) จัดเตรียมเครื่องบูชาพระรัตนตรัย (กรณีมีพิธีสงฆ์) จัดเตรียมเครื่องทองน้อย
เพือ่ ใหป้ ระธานจดุ บูชาถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์
๕) เตรียมการนมิ นตพ์ ระสงฆ์ (มพี ธิ ีสงฆ)์ กรณนี ี้ใช้พดั รอง หรอื ตาลปัตร
๖) จดั เตรยี มเครอ่ื งใช้พธิ ีสงฆ์ (งานพธิ ีอวมงคล)
๗) จัดเตรียมขาหยัง่ (ควรให้มีความสูงจากยอดพวงดอกไม้ถึงพื้นประมาณ ๒ เมตร
,๓ เมตร, ๔ เมตร แตไ่ ม่ควรเกิน ๖ เมตร)
แนวทางการปฏิบัติงาน
ในการปฏิบัติ หากมีหน่วยงานหรือบุคคลอื่นมีความประสงค์จะวางพุ่มดอกไม้ควร
แนะนําให้หน่วยงานหรือบุคคลนั้น ๆ วางพุ่มดอกไม้หรือพวงดอกไม้ก่อนที่ประธานจะเดินทางมาถงึ
บริเวณพิธี เมื่อใกล้จะถึงเวลาตามกําหนดการ ให้ผู้ร่วมพิธีถวายสักการะยืนเข้าแถวให้เป็นระเบียบ
เรียบร้อยที่บริเวณด้านหน้าโต๊ะหมู่บูชา เบื้องหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ เว้นระยะห่างพอสมควร
ขา้ ราชการแตง่ เคร่อื งแบบปกตขิ าว สวมหมวกยืนด้านหนา้ ส่วนผ้มู เี กียรติทั่วไปแต่งกายชดุ สากล หรือ
ชุดสุภาพ ยืนเข้าแถวด้านหลัง เมื่อประธานเดินทางมาถึงบริเวณพิธีผู้ที่ไม่ได้ยืนเข้าแถว แต่นั่งอยู่ที่
เก้าอใ้ี ห้ลุกขึน้ ยนื ตอ้ นรบั และใหเ้ กียรติผู้ทาํ หนา้ ทีป่ ระธานพิธี
๑) เมื่อประธานมาถึงบริเวณพิธี เรียนเชิญประธานถวายสักการะวางพวงดอกไมย้ งั
ขาหยง่ั ทจ่ี ัดเตรียมไว้ และวางพุม่ ดอกไม้ยังโตะ๊ ท่จี ดั เตรยี มไว้
๒) จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย (กราบที่แท่นกราบ ๑ ครั้ง ไม่แบมือ) ยืนขึ้นถอย
ออกมายืนด้านหน้าแถว ถวายความเคารพ (กรณีสวมหมวก แสดงความเคารพด้วยการวันทยหัตถ์
กรณไี ม่สวมหมวก ให้โค้งคาํ นับ พร้อมกัน ๑ ครั้ง)
๓) เดินเข้าสสู่ ถานที่ประกอบพิธสี งฆ์
๔) จดุ ธูปเทียนบูชาพระรตั นตรัย (กราบ ๓ คร้ัง)
๑๔๘
๕) กรณีมีพระบรมรูป หรือพระบรมฉายาลักษณ์ หรือพระบรมสาทิสลักษณ์ ใน
สถานทปี่ ระกอบพิธีสงฆ์ ให้จุดธูปเทียนเครื่องทองนอ้ ย และกราบทแี่ ท่นกราบ ๑ ครง้ั ไม่แบมือ
๖) เจา้ หน้าที่อาราธนาศีล ประธานและผ้รู ว่ มพธิ ีรบั ศีล
๗) เจา้ หน้าทอี่ าราธนาพระปรติ ร
๘) พระสงฆ์สวดพระพทุ ธมนต์ จบแล้ว
๙) ถวายภตั ตาหารแดพ่ ระสงฆ์
๑๐) ประธานพิธี และผ้รู ่วมพิธี ประเคนจตปุ ัจจัยไทยธรรม
๑๑) เจ้าหน้าท่ีลาดผ้ารองโยง และลาดผา้ ภูษาโยง
๑๒) ประธานพธิ ี และผ้รู ว่ มพธิ ี ทอดผา้ ไตรบงั สุกลุ
๑๓) เมือ่ ทอดผา้ เสร็จ เจ้าหน้าทีเ่ ชื่อมต่อแถบทองกบั ผา้ ภษู าโยง
๑๔) พระสงฆ์พจิ ารณาผ้าบงั สกุ ุล
๑๕) ประธานกรวดน้ํา รับพร
๑๖) พระสงฆ์อนุโมทนา เสร็จพิธี
หมายเหตุ
๑) ในพิธีน้ี พระสงฆใ์ ช้พดั รองหรือตาลปัตร (ไมใ่ ช้พัดยศสมณศกั ด์ิ)
๒) งานพธิ ีทม่ี ลี กั ษณะงานเชน่ น้ี เชน่ วนั ท่ี ๒๕ พฤศจิกายนของทกุ ปี เป็นวนั ที่ระลึก
รัชกาลที่ ๖ สํานักพระราชวงั ได้ออกหมายกาํ หนดการเสด็จพระราชดําเนิน ทรงวางพวงมาลาถวาย
ราชสักการะท่ีพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่สวนลุมพินี
กรงุ เทพมหานคร ขา้ ราชการแตง่ เคร่อื งแบบปกตขิ าว หากสว่ นราชการใดจะจัดพธิ ีถวายสักการะหรือ
จัดพิธสี งฆ์ พงึ จดั อนุโลมตามพธิ ีการทจ่ี ัดในวันปิยมหาราช ทง้ั พิธวี างพวงดอกไม้ และพธิ บี าํ เพ็ญกศุ ล
วันเฉลิมพระชนมพรรษา
วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัวซึ่งเมื่อเวียนมาบรรจบในแต่ละปี ปวงชนชาวไทยและชาวต่างประเทศที่อยูภ่ ายใต้พระบรม
โพธิสมภารต่างก็ถือเป็นเรือ่ งท่ีปล้มื ปตี ิยินดี ในอนั ทีจ่ ะรว่ มกนั เฉลมิ ฉลองในวาระสาํ คญั เชน่ นี้เน่ืองจาก
ทรงเป็นที่เทิดทูนของไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ทั่วราชอาณาจักรไทย ซึ่งในการจัดงานพระราชพิธีเฉลมิ
พระชนมพรรษา ได้มีการจัดให้เป็นไปตามพระราชประเพณีทั้งงานในส่วนที่เป็นพระราชพิธี รัฐพิธี
ศาสนพธิ ี และงานเฉลมิ ฉลองอน่ื ๆ ทงั้ น้ี เพ่ือเปน็ การแสดงออกซ่ึงความจงรักภักดีและเทิดทูนท่ีพสก
นิกรมแี ด่พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว
สําหรับพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาในรัชกาลปัจจุบัน มีหมายกาํ หนดการพระ
ราชพธิ ีเฉลมิ พระชนมพรรษา โดยสังเขปดงั น้ี
เวลา ๐๙.๐๐-๑๗.๐๐ นาฬิกา สํานักพระราชวัง จัดสถานที่ให้ข้าราชการ พ่อค้า
ประชาชน ไดล้ งนามถวายพระพร ในพระบรมมหาราชวัง
๑๔๙
เวลา ๑๐ นาฬิกา ๓๐ นาที เป็นพิธีเสด็จพระราชดําเนินออกมหาสมาคม
พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั เสด็จออกพระท่ีน่งั อมรินทรวินิจฉัย ประทบั เหนือพระที่นั่งพุดตานกาญ
จนสิงหาสน์ บนพระราชบัลลงั ก์ ภายใตน้ พปฎลมหาเศวตฉตั ร
เวลา ๑๗ นาฬิกา เสด็จพระราชดําเนินไปยังมุขหน้าพระอุโบสถวัดพระศรีรัตน
ศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง บรรพชิตจีนนกิ าย และบรรพชิตอนัมนิกาย ถวายพระพรชัยมงคล
แลว้ เสดจ็ พระราชดําเนินเขา้ สพู่ ระอุโบสถ ทรงจดุ ธปู เทียนบูชาพระพุทธมหามณรี ัตนปฏมิ ากร พระสัม
พทุ ธพรรณี พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกย์ พระพุทธเลศิ หล้านภาไลย์ ทรงจุดธูปเทยี นเคร่อื งนมัสการแล้ว
ทรงจุดเทียนบูชาเทพยดานพเคราะห์ พระสงฆ์จากวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม จํานวน ๕ รูป
เจริญพระพุทธมนต์นวคั คหายสุ มธัมม์เสดจ็ พระราชดําเนินจากพระอุโบสถวัดพระศรรี ัตนศาสดาราม
เข้าสู่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เพื่อทรงสถาปนาตั้งและเลื่อนสมณศักดิ์ สมเด็จพระราชาคณะ รอง
สมเดจ็ พระราชาคณะพระราชาคณะ แลว้ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์
การถวายผา้ พระกฐนิ พระราชทาน
การถวายผ้ากฐินเป็นกาลทาน เนื่องจากพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ดําริถึงความ
ยากลาํ บากของพระภิกษุ ๓๐ รูป ชาวเมืองไฐยยะ ที่เดินทางมายงั พระเชตวันวิหาร ด้วยหวังจะเข้าเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า แต่เมื่อเดินทางมายังไม่ถึงที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ถึงกาลเข้าพรรษา
เสียก่อน จึงจําเป็นต้องพักจําพรรษา ณ เมืองสาเกต ครั้นเมื่อออกพรรษาก็รีบเดินทางผ่านโคลนตม
ซึ่งมนี า้ํ อย่ใู นหลมุ ในบ่อทําใหจ้ ีวรเปรอะเป้ือนโคลนตม พระผู้มีพระภาคเจา้ จึงไดใ้ หป้ ระชุมสงฆ์และทรง
อนุญาตใหภ้ ิกษรุ บั ผา้ กฐนิ เพื่อนาํ ไปตดั ไตรจวี รได้เมอื่ ออกพรรษาแลว้ ดว้ ยทรงพจิ ารณาเห็นว่า “ก ิ นตฺ
ถาโร จ นาเมส สพพฺ พุทฺเธหิ อนุญฺ าโต คอื การกรานกฐนิ นพ้ี ระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไดท้ รงอนญุ าตมา”
ดังนั้น การถวายผ้ากฐินจึงเป็นกาลทานตามพระวินัยปิฎกได้กําหนดกาลไว้ คือ ตั้งแต่วันแรม ๑ คํ่า
เดอื น ๑๑ ถึงวนั ข้นึ ๑๕ คํา่ เดอื น ๑๒ ซงึ่ เปน็ งานบุญทมี่ ีปลี ะคร้ัง สาํ หรบั การถวายผ้ากฐนิ ในปัจจุบัน
๑) พระกฐินหลวง คือ ผ้าพระกฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นเอก
อัครพุทธศาสนูปถัมภก เสด็จพระราชดําเนินไปถวายผ้าพระกฐนิ ด้วยพระองคเ์ อง หรือทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระราชินี พระราชโอรส พระราชธิดา พระบรมวงศานุวงศ์ องคมนตรี หรือ
บุคคลผหู้ นง่ึ ผใู้ ด เสดจ็ ไป หรอื ไปถวายแทนพระองคต์ ามหมายของสํานักพระราชวงั
๒) พระกฐินพระราชทาน คือ ผ้าพระกฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระราชทานแกก่ ระทรวง ทบวง กรม องคก์ าร สโมสร สมาคม หรอื เอกชนผู้มีเกียรติ ขอพระราชทาน
ผา่ นกรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม เพ่ือนําไปถวายพระอารามหลวง
๓) กฐินทั่วไปหรือกฐินราษฎร์ คือ ผ้ากฐินที่พุทธศาสนิกชนผู้มีศรัทธานาํ ไปถวายณ
วัดตา่ ง ๆ ท่ีไม่ใชพ่ ระอารามหลวง พทุ ธศาสนกิ ชนกับทางวัดที่จะนําไปถวาย โดยการไปกราบนมัสการ
กบั เจ้าอาวาสนน้ั ว่า “มคี วามประสงค์จะนําผา้ กฐนิ มาถวายพระสงฆจ์ ําพรรษา ณ อารามนี้และสามารถ
กําหนดวนั ทจี่ ะนําผ้ากฐนิ มาถวายกบั ทางวดั ให้เรยี บร้อย”
พระอารามหลวง ๑๖ พระอาราม ทส่ี งวนไวไ้ มใ่ ห้มีการขอพระราชทานผ้าพระกฐินมี
ดงั นี้
๑. วัดพระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม กรุงเทพมหานคร
๑๕๐
๒. วัดอรุณราชวราราม กรงุ เทพมหานคร
๓. วดั ราชโอรสาราม กรงุ เทพมหานคร
๔. วัดราชประดษิ ฐสถติ มหาสีมาราม กรงุ เทพมหานคร
๕. วัดเบญจมบพติ รดุสิตวนาราม กรงุ เทพมหานคร
๖. วัดบวรนเิ วศวิหาร กรงุ เทพมหานคร
๗. วดั ราชบพธิ สถิตมหาสมี าราม กรงุ เทพมหานคร
๘. วัดสุทัศนเทพวราราม กรงุ เทพมหานคร
๙. วัดราชาธิวาส กรุงเทพมหานคร
๑๐. วัดมกฏุ กษัตรยิ าราม กรงุ เทพมหานคร
๑๑. วัดเทพศิรินทราวาส กรงุ เทพมหานคร
๑๒. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร
๑๓. วัดพระปฐมเจดีย์ จงั หวัดนครปฐม
๑๔. วดั นเิ วศธรรมประวตั ิ จังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา
๑๕. วัดสวุ รรณดาราราม จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา
๑๖. วดั พระศรีรตั นมหาธาตุ จังหวัดพษิ ณุโลก
สําหรับในที่นี้จะกล่าวถึงการจัดพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ซึ่งผู้ที่ขอรับ
พระราชทานสามารถนําไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติศาสนพิธีที่มีความเกี่ยวข้องกับสถาบัน
พระมหากษตั รยิ ใ์ นข้นั ตอนแรกผู้ท่มี คี วามประสงค์จะขอรับพระราชทานควรดําเนินการตามขน้ั ตอนตา่ ง
ๆ ดังนี้การจองกฐินพระราชทาน ผู้ขอรับพระราชทานผ้าพระกฐินไปถวายยังพระอารามหลวงใดควร
ปฏบิ ตั ิดงั น้ี
สว่ นกลาง
๑) กรมการศาสนาจัดทําประกาศกรมการศาสนา เรื่องการขอรับพระราชทานผ้า
พระกฐินแล้วแจง้ ให้ส่วนราชการ กระทรวง ทบวง กรม รฐั วสิ าหกิจ บรษิ ัทหา้ งรา้ น สมาคม มูลนธิ ิ และ
เจ้าอาวาสพระอารามหลวง เพอื่ แจ้งกาํ หนดระยะเวลาที่จะทําการถวายผ้าพระกฐิน
๒) ในกรุงเทพมหานคร ผู้ขอรับพระราชทานผ้าพระกฐินสามารถแจ้งจองกฐิน
พระราชทาน ได้ดังน้ีกองศาสนปู ถมั ภ์ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม โทร. ๐ ๒๔๒๒ ๘๘๐๒-๗
จองกบั พระอารามหลวงโดยตรง (และตอ้ งแจง้ ให้กรมการศาสนาทราบดว้ ย)
๓) กรมการศาสนาจะแจ้งกําหนดวันถวายผ้าพระกฐินพระราชทานให้ผู้ขอรับ
พระราชทานทราบ เพ่อื จะไดป้ ระสานกําหนดวันถวายกับทางพระอารามหลวงต่อไป
๔) ผู้ขอรับพระราชทานผ้าพระกฐินจะต้องทําหนังสือถึงอธิบดีกรมการศาสนาเพ่อื
ขอรับพระราชทานผา้ พระกฐิน
๕) กรมการศาสนาทําหนังสือแจ้งการรับจองพระอารามหลวงท่ีผ้ขู อรับพระราชทาน
ผ้าพระกฐินจะนําผ้าพระกฐินพระราชทาน จํานวน ๑ ฉบับ และทําหนังสือนมัสการเจ้าอาวาสพระ
อารามหลวงท่ีจะรบั ผ้าพระกฐนิ พระราชทาน จํานวน ๑ ฉบับ
๖) เมื่อกรมการศาสนาจัดเตรียมเครื่องพระกฐินพระราชทานเรียบร้อยแล้ว จะทํา
หนังสือแจ้งให้ผู้ขอรับพระราชทานผ้าพระกฐิน ให้มารับผ้าพระกฐินและเครื่องพระกฐินพระราชทาน
๑๕๑
ด้วยตนเอง ทีก่ องศาสนูปถมั ภ์ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม เพือ่ นาํ ไปถวายยงั พระอารามหลวง
ที่ไดข้ อพระราชทานไว้
- ชุดความรเู้ กย่ี วกับภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ ลา้ นนา
พิธกี รรมเป็นรปู แบบของการสอ่ื สารชมุ ชนลักษณะหนึง่ ในการประกอบพิธีกรรมแต่ละรูปแบบ
จะมีมิติของการสื่อสารประกอบอยู่ด้วยเสมอทั้งผู้ประกอบพิธีกรรมซึ่งเป็นผู้ส่งสาร ( Sender)
ผู้เข้ารว่ มพธิ กี รรมและเทพยาดาทั้งหลายเปน็ ผ้รู ับสาร (Receiver) สว่ นส่ือและชอ่ งทางการสือ่ สารเช่น
เวลาการประกอบพิธีกรรม สถานที่ประกอบพิธีกรรมเคร่ืองสังเวย ฉากประกอบพิธี (Channel) และ
เนอ้ื หาสารจะเป็นบทสวด การสนทนาท่เี กดิ ข้ึน เสยี งดนตรี การร่ายรำ (Message) ทงั้ นีก้ ารเห็นคุณค่า
ของความเจบ็ ปว่ ยขึ้นอยกู่ บั ระบบความเช่อื ที่สามารถกระตนุ้ ความกังวลเกี่ยวกับการสญู เสียและความ
ตาย ทั้งนี้ความเชื่อเหล่านี้อาจนำไปสู่ความไม่เข้าใจในกระบวนการรักษาความเจ็บป่วยในเชิง
การแพทย์แผนปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ปัจจุบันแนวคิดระบบการสร้างเสริมสุขภาพ
ของกลุม่ ชาตพิ ันธุท์ ี่แตกตา่ งและหลากหลายได้สะท้อนใหเ้ ห็นถึงความรคู้ วามเข้าใจวิถีคิดของมนุษย์แต่
ละกลุ่มที่มีต่อความเจ็บป่วยในลักษณะที่ต่างกนั ทั้งนี้วธิ ีคิดดังกล่าวจะสัมพนั ธ์กับประสบการณ์และ
บริบทแวดล้อมทั้งด้านภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม และประวัติศาสตร์ของสังคมนั้น เช่นเดียวกับ
พิธีกรรมล้านนาที่ก่อเกิดร่วมกับกับวิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่ภาคเหนือจึงนับเป็นภูมิปัญญาที่มีการ
ปฏบิ ัติ สือ่ สารและปรับตัวจนมีลักษณะเฉพาะของแต่ละชมุ ชนและเป็นผลิตผล
รปู แบบพิธีกรรมลา้ํ นนาเพอื่ การเสรมิ สรํ้างสุขภาพจติ
เมอื่ เกิดสภาวะความเจ็บป่วยทางด้านร่างกายยอ่ มหลีกหนไี ม่พ้นจากความเจ็บป่วยทางจิตใจ
นบั ต้ังแต่เม่ือทราบผลการตรวจเลือดวา่ ติดเชื้อจะมีความวิตกกังวลตอ่ สิง่ ท่ีเกิดขึน้ กับตนเอง บางคนจะ
มีความคิดแยกตัวเองออกจากครอบครัวและสังคม บางคนกลัวที่จะต้องเผชิญกับการไม่ยอมรับและ
รงั เกยี จจากคนในครอบครวั เพือ่ น ญาติและคนในชมุ ชนทำให้เกดิ อาการซมึ เศร้า เกิดความรู้สึกความ
มีคุณค่าในตนเองลดต่ำลง บางคนมีความคดิ ที่จะทำร้ายตัวเองหรอื ฆ่าตัวตายเพื่อหลีกหนปี ัญหาหรอื
ยุติปัญหาที่เกิดข้ึน พิธีกรรมล้านนาในการดูแลดา้ นจติ ใจจึงเปน็ กระบวนการที่ให้กำลังใจปลดเปลื้อง
หรือบรรเทาความวิตกกังวลที่สะท้อนหรือแฝงอยู่ในรูปแบบพิธีกรรมหรือสัญลักษณ์ของการรักษา
บทความนไ้ี ดส้ งั เคราะหร์ ปู แบบพิธกี รรมลา้ นนาเพือ่ การสรา้ งเสริมสขุ ภาพจติ สรุปเปน็ 2 กล่มุ ดังน้ี
กลมุ่ ท่ี ๑ พธิ ีกรรมท่เี ก่ยี วกับผี
คำจำกัดความเกย่ี วกับผสี รุปรวมจากหลายความหมายต่างมุง่ เนน้ ถึงวญิ ญาณของคนท่ีล่วงลับ
ไปแล้วทีแ่ ลเหน็ ไม่ได้ในเวลาปกติหรอื เป็นสง่ิ ท่ีปกติจะมองไม่เห็นผู้คนสว่ นใหญ่เข้าใจว่ามีฤทธิ์อำนาจ
เหนือมนษุ ย์ อาจใหค้ ณุ หรอื โทษ สอดคล้องกบั วิถขี องผู้คนในลา้ นนาที่ยังเกรงกลวั ตอ่ อำนาจและความ
ลี้ลับของธรรมชาติทำให้ผู้คนในล้านนาเชื่อว่าธรรมชาติมีอำนาจประดุจเทพยดาซึ่งจะต้องมีการเซ่น
สรวงบวงพลี โดยผีเปน็ ตัวแทนอำนาจเหนือธรรมชาติท่ีมอี ิทธิพลต่อชวี ิตมนุษย์ ผีในวิถีของล้านนาจึง
ประกอบด้วยผีร้ายและผีดี ดังเช่น ผีฝ่ายดี ได้แก่ ผีบรรพบุรุษ ผีฟ้า (แถนหรือเทวดา)ผีเสื้อเมือง
๑๕๒
(ผีอดีตเจ้าแผ่นดินหรือชนชั้นผู้ปกครองเมือง) ผีอารักษ์ (ผีต้นตระกูล) ผีนา (แม่ขวัญข้าวหรือแม่
โพสพ) ผีดิน (แม่ธรณี) ผีขุนน้ำ (แม่คงคา) ผีเหมืองฝาย ผีฝ่ายร้าย ได้แก่ ผีตายโหง ผีกะ (ปอป)
ผีพราย ผปี ่า (นางไม้) ผกี ระสอื ผโี ป่ง ผีก้องกอย (กองกอย) ผียำเปน็ ต้น
๒. กลุ่มพธิ ีกรรมท่ีเก่ียวข้องกบั สงิ่ ศักด์ิสิทธิ์
พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นความศรัทธาในสถานที่หรือวัตถุที่เชื่อว่าสามารถ
ป้องกันภัยอันตรายทกี่ อ่ ให้เกิดความเจ็บปว่ ยได้ แบง่ ออกเปน็ ๒ ลักษณะ คอื พธิ ีกรรมล้านนาเป็นภูมิ
ปัญญาด้านการสร้างเสริมสุขภาพจิตของชุมชนล้านนาที่สะท้อนการใช้ชีวิตของผู้คนที่เชื่อมโยงกับ
ทรัพยากรธรรมชาตเิ มื่อเผชิญปัญหาใด ๆทางเลือกในการแก้ไขปัญหาก็มักจะต้องพึง่ พาธรรมชาติท้งั
การต่อรอง การขอร้อง และการแลกเปลย่ี น กระบวนการเหลา่ น้เี ป็นการสอื่ สารชมุ ชนผ่านสัญลักษณ์
นิยมทั้งสถานที่ตัวบุคคล และวัตถุ ภายใต้ความศรัทธาส่วนบุคคลที่เกิดจากการเรียนรู้ผ่าน
ประสบการณ์ โดยมุ่งหวังให้ปัญหาทเี่ ผชญิ อย่ไู ดร้ ับการแกไ้ ข
1. พิธีกรรมการเคารพ บูชาสถานที่ที่ตนเองเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ พิธีกรรมประเภทนี้
ส่วนมากจะพบเห็นได้จากพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง รูปเหมือนพระสงฆ์ที่เคารพเลื่อมใสเป็นพระ
เกจอิ าจารย์ รวมไปถึงศาลพระภูมิ เจา้ ท่ีเจดียอ์ นุสาวรียบ์ ุคคลสำคัญ ศาลเจา้ พ่อ เจ้าแม่ ต้นไม้แปลก
และสถานที่ที่เชื่อว่าผีสิงสถิตอยู่ ดังเช่น วัดพระพุทธบาทสี่รอย อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
ผคู้ นเชอ่ื วา่ เป็นรอยพระบาทที่พระพุทธเจ้าสพ่ี ระองคไ์ ด้ทรงมาประทับ ซ้อนกนั สรี่ อยบนแท่นหินใหญ่
ได้แก่ รอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากกสุ ันธะ เป็นรอยแรกรอยใหญ่ยาว 12 ศอก รอยพระบาทของ
พระพทุ ธเจ้าโกนาคมนะ เปน็ รอยที่ 2 ยาว 9 ศอกรอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากสั สปะ เปน็ รอยที่ 3
ยาว 9ศอก และรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโคตะมะ (ศาสนาปัจจุบันน้ี) เป็นรอยที่ 4 รอยเล็กสุด
ยาว 4 ศอก โดยเช่อื ว่าเมื่อคร้ังสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสมั พุทธเจ้าในศาสนาปัจจุบันน้ีได้
เสด็จจาริกประกาศธรรม และโปรดเวไนยสัตว์มาถึง ณ ที่นี้พร้อมพุทธสาวก ทรงทราบด้วยญาณ
สมาบัตวิ ่าพระพทุ ธเจา้ ทีท่ รงตรสั รใู้ นอดตี กาล 3พระองค์ คอื พระพทุ ธเจา้ กกุสันธะ พระพทุ ธเจ้าโกนา
คมนะ และพระพุทธเจ้ากัสสปะ ได้ทรงประทับรอยพระบาทไว้แล้วบนก้อนหินใหญ่บนเขาแหง่ นี้และ
แม้นว่าพระศรีอริยเมตไตรก็จักเสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี้จึงทรงเสด็จประทับรอยพระ
บาทลงซอ้ นไวเ้ ปน็ รอยที่สี่ เพ่ือใหค้ นทว่ั ไปไดป้ ระจกั ษว์ ่าไดท้ รงเสด็จเผยแพร่พระศาสนามาถึงที่นี้แล้ว
แล้วได้ทรงมีพุทธทำนายไว้ว่าเม่ือทรงนิพพานไปแล้ว2000 ปีแล้วจะมีคนมาพบและเป็นสถานทีซ่ ึ่ง
คนทั่วไปมาสักการะบูชาสบื ตอ่ ไป
2. ความเชื่อเรื่องเครื่องรางของขลัง เป็นความเชื่อในสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นโดยเชื่อว่า
เหล่านี้สามารถป้องกันอันตรายจากการกระทำของมนุษย์และการกระทำของผี มีการศึกษาพบว่า
พฤติกรรมของชาวพุทธในสังคมไทยปัจจุบันที่มตี ่อความเชือ่ เรื่องเครื่องรางของขลังมอี ยู่เป็นจำนวน
มากและอย่างแพร่หลาย ชาวพุทธมักนิยมพกพาเครื่องรางของขลังติดตัวตลอดเวลา ทั้งนี้เพื่อยึด
เหนี่ยวจิตใจ สร้างขวัญกำลังใจ ทำให้รู้สึกอุ่นใจ ปลอดภัยจากภยันอันตรายรอบตัวที่อาจจะเกิดข้นึ
เพราะความเชอื่ ตอ่ เคร่ืองรางของขลงั ทีว่ า่ สามารถปกปอ้ งคุ้มครองได้ และยงั ใหโ้ ชคลาภ โดยเฉพาะใน
๑๕๓
ด้านพาณิชย์ซึ่งสามารถสังเกตได้จากร้านค้าต่าง ๆ จะนิยมบูชานางกวักหรือกุมารทองเพื่อ ทำ
มาค้าขายให้เจรญิ รงุ่ เรอื ง แม้กระทัง่ พระสงฆห์ รือนักวชิ าการเห็นว่าความเชื่อในเครือ่ งรางของขลังน้ัน
สามารถเปล่ียนแปลงไดต้ ามกาลเวลาแต่ละยคุ สมัย
๔.๓.๑ วิเคราะหช์ ดุ ความรู้
- ชดุ ความรู้เกีย่ วกบั ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ ล้านนา
จะเห็นได้ว่า คู่มือชุดความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นล้านนา มีความเป็น
เอกลกั ษณ์เฉพาะด้าน เริ่มตง้ั แต่
๑. ประเพณี วิถีชีวิตคนเมือง วัฏจักรชีวิตของชาวล้านนา เกี่ยวข้องกับ
ประเพณี พิธกี รรม ความเช่ือมานบั แต่อดีตจนถึงปจั จบุ นั วิถีชีวิตในแต่พ้ืนถ่ินอาจแตกต่าง
กันไปตามสภาพภูมปิ ระเทศ รวมทัง้ ประเพณีพิธกี รรม ความเชื่อ ตา่ งๆก็อาจแตกต่างกันไป
ตามสงั คมวัฒนธรรมนัน้ ๆ
๒.ประเพณีเกี่ยวกับการเกิด ประเพณีการเกิดหรือ คลอดบุตรในล้านนา
มีขอ้ วตั รปฏบิ ัตทิ ต่ี ้องยึดถือกนั มานาน ขอ้ วัตรปฏิบตั เิ หล่านั้นไม่คอ่ ยจะมีการบันทึกไว้เป็น
เอกสาร แต่แท้ท่ีจรงิ แล้วเรื่องการเกิดเป็นเร่ืองที่สำคัญมากสำหรบั ผู้หญิง ข้อยึดถือปฏบิ ัติ
ของหญิงแม่มานและหลังเกิดในปัจจุบันได้เลือนหายไป แม้ในชนบทที่ห่างไกลก็มีเพียง
บางอย่างที่ยังใช้ยังยึดถือกันอยู่ ซึ่งก็เพื่อความอยู่รอดของชีวิตแต่ก็ต้องยอมรับกันว่า
ประเพณีการเชื่อถือเหล่านั้นก็ย่อมเหมาะสมกับความต้องการของคนในสมัย นั้น ถ้าใคร
ไม่ปฏิบัติตามประเพณีทีเ่ ช่ือถือกันมา จะเป็นการเหลือคำหรือฝืนคติปู่ย่าตายาย ซึ่งมักทา
ใหเ้ กิดเรอ่ื งร้ายไมส่ บายทง้ั กายและใจ เปน็ การผิดรตี (อา่ น”ฮตี ”) คอื ผดิ จารตี ประเพณไี ป
๓. การตั้งชื่อ ในอดีตล้านนานิยมการตั้งชื่อตาม วันที่เกิด เช่น เกิดวัน
จันทร์ ก็ต้ังช่ือ อ่ีจ๋นั หรอื ไอ่จน๋ั เปน็ ต้น หรือพ่อแม่ จะขอให้พระภิกษุท่ีวัดเป็นคนตั้งชื่อให้
หรือบางครั้งก็จะขอให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นคนตั้งชื่อให้และจะหามื้อจั่นวันดีหรือวันที่
เป็นมงคลตามหลักของการตั้งชื่อ ใน สมัยก่อนนามสกุลไม่มีใช้ หรือว่าบางหมู่บ้านมีสกุล
อยู่ไมก่ ่ีนามสกลุ หรือบางท่ีทั้งหมู่บา้ นมีนามสกลุ เดยี วก็มี การมีชื่อซ้ากันน้ีทาให้เรียกขาน
กันยากพอสมควร เพราะไม่รู้ว่าชื่อนี้ จะหมายถึง ใครกันแน่นับเป็นความฉลาดของคน
โบราณท่ีจะเรียก “สร้อยชอ่ื ” ตอ่ ท้ายชื่อน้ัน เพอื่ จาแนกว่าเปน็ คนไหน สรอ้ ยชื่อน้ี เปน็ การ
เรียกโดยคนใกลช้ ิด ญาตมิ ติ รเพื่อนฝงู ทผ่ี ู้ถูกเรยี กจะพอใจหรอื ไมก่ ต็ าม แตค่ นอ่ืนก็เป็นท่ีรู้
กันว่า คือใคร และสร้อยชื่อนี้ อาจจะสืบการเรียกไปยังลูกยังหลาน นับว่า “สร้อยชื่อ”
เปน็ มรดก ท่ผี ้รู ับรบั ไปโดยไม่รเู้ น้ือรู้ตัวสมมตวิ ่าชอื่ “แกว้ ”มอี ยู่มาก เพอ่ื การแยกแยะใหถ้ กู
ตัว การตั้งสร้อยชื่อ ก็มีการตั้งในลกั ษณะตา่ ง ๆ ตั้งตามลักษณะของร่างการหรือ สุขภาพ
อนามัย
๑๕๔
เชน่ คนหนง่ึ ค่อนข้างอ้วนท้วนหน่อยก็จะได้สร้อยชอ่ื วา่ “แกว้ ตุ้ย” อีกคนมีรูปร่างงามสง่า
ก็จะได้สรอ้ ยช่ือว่า“แก้วร่างครึ” อีกคนมีจมูกโต ก็จะได้สร้อยชือ่ ว่า “แก้วดังโม” อีกคนมี
นว้ิ เกินมา ก็จะได้สร้อยช่ือวา่ “แก้วหนอ่ ” เปน็ ตน้ ต้งั ตามแหลง่ ที่อยู่ อาศยั เช่น คนชือ่ แก้ว
มีบ้านอยู่หน้าวัด ก็จะได้สร้อยชื่อว่า “แก้วหน้าวัด” อีกคนอยู่ริมคูน้ า ก็จะได้สร้อยช่อื ว่า
“แกว้ รมิ ฅอื ” เปน็ ต้น
๔. ประเพณีเกี่ยว กับการตาย/การลากศพ/เสียศพ เมื่อถึงวันหมดอายุ
มาถึง คนเฒ่าสมัยก่อนมักจะตายในวงล้อมของลูกหลาน ถึงจะมีการแก่ตายตามธรรมดา
ของสตั วโ์ ลก ในสมยั โบราณลกู หลานก็ยังจะแสดงความเศร้าโศกเสยี ใจทั้งรอ้ งไห้และราพัน
คร่าครวญดังระงม เสยี งดังกลา่ วเรียกวา่ หุย ชาวบา้ นเม่อื ได้ยินเสยี งหุย เป็นสญั ญาณก็รู้ได้
วา่ มกี ารตายเกิดข้ึนแล้ว กจ็ ะมาชว่ ยกันจัดการทกุ อย่าง ตงั้ แต่การห้างลอยหรืออาบน้ำศพ
จัดสถานที่ ชว่ ยกันทาไมค้ อื ทาโลงศพ จนถึงการนาไป ฝังหรอื เผาตามประเพณี และถ้าเป็น
คหบดหี รือเจ้านายจะนำสรรี ะร่างใสป่ ราสาทเพ่อื ทำการฌาปนกิจตามประเพณี
๕. ประเพณี ปอยล้อ เปน็ งานปอยหรอื งานบุญ ที่จดั ข้นึ ในการประชมุ เพลิง
พระภิกษุสงฆ์ที่มรณภาพ ทั้งนี้สานุศิษย์ทั้งหลายปรารถนาร่วมกันจัดงานเพื่อราลึกถึง
บุญคุณและคุณงาม ความดีเพื่อแสดงกตเวทิตาคุณก่อน จะทาการฌาปนกิจสรีระสังขาร
พระภกิ ษุรปู นัน้ ปอยลอ้ จะจดั เฉพาะงานศพของเจ้าอาวาสหรือพระภกิ ษุผู้เจริญพรรษาซึ่ง
ไดบ้ าเพ็ญคณุ ประโยชน์ต่อสังคมตามควร ในงานมีการเฉลิมฉลองเชน่ เดียวกบั งานปอย อื่น
ๆ มีการเชิญชวนร่วมกันทาบุญ ถวายสังฆทาน การเลี้ยงภัตตาหารพระสงฆ์ที่มาร่วมพิธี
เลี้ยงอาหารแขกต่างบ้าน เปดิ โอกาสใหผ้ ู้มีจิตกุศลได้ร่วมกนั บริจาคทานกันอย่างท่ัวถึงตาม
กำลงั ศรทั ธาสง่ิ ท่จี ะเหน็ ได้ว่าเป็นสัญลกั ษณข์ องปอยล้อก็คอื ปราสาท (อา่ น"ผาสาด") หรือ
เมรุขนาดใหญ่ที่ถูกจัดสร้างขึ้นอย่างประณีตวิจิตรพิศดาร เป็นที่สำหรับรรจุศพ
ของพระภิกษุผู้มรณภาพปราสาทนั้นนิยมทาเป็นรูปนกหัสดีลิงค์หรือท่ี ชาวบ้านเรียกโดย
นยิ มวา่ นกหัสด์ิ ซง่ึ วางไว้บนแมต่ ะเฆ่ทท่ี าดว้ ยท่อนซุงอกี ทหี นงึ่ แล้วลากไปสถานท่ฌี าปนกิจ
หรือสถานที่กว้างใหญ่เหมาะสมของหมู่บ้าน เพื่อทำการกระทำพิธีพระราชทานเพลิงและ
ถวายเพลิงศพตอ่ ไป
ประเพณี ๑๒ เดือนล้านนา เป็นประเพณีที่กาหนดขึ้นในรอบปีของชาว
ล้านนา ประเพณีในแต่ละท้องถิ่นในล้านนาอาจมีความแตกต่างกันบ้าง เพื่อให้เกิดความ
เข้าใจในประเพณใี นแตล่ ะเดอื น การนบั เดือนของล้านนาเปน็ การนบั เดอื นทางจนั ทรคติ ซง่ึ
มีความต่างจากของภาคกลางคือ การนับเดือนของล้านนาจะเร็วกว่าภาคกลาง ๒ เดือน
เชน่ เดอื น ๗ เหนอื จะเปน็ เดือน ๕ ของภาคกลางประมาณกลางเดือนเมษายน การเรียงลา
ดับเดือน จะเริ่มที่ เดือน ๗ เหนือ ถือว่าเป็นการเริ่มศักราชต้นปี กล่าวคือเริ่มในปีใหม่
สงกรานต์
๑๕๕
๖. เดือน ๗ เหนือ (ราวเมษายน) ประเพณี สงกรานต์ เทศกาลสงกรานต์
นช้ี าวล้านนาเรียกวา่ ปเวณปี ใี หม่ หรอื ปาเวณปี ีใหมเ่ มอื ง (อ่าน"ปา๋ เวนีปีใ๋ หม"่ ) ช่วงเทศกาล
เวลา ๕ วัน ประชาชนจะหยุดงานทง้ั ส้นิ เพอ่ื เฉลมิ ฉลองวาระนี้ท้ังในแง่ศาสนาและพิธีกรรม
โดยตลอด เทศกาลสงกรานต์ตามปฏิทินโหราศาสตร์ของชาวล้านนานั้น จะถือเอา
วันที่พระอาทิตย์เคลื่อนจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษเป็น วันสังกรานต์ล่อง หรือวัน
มหาสงกรานต์ ซึ่งจะไม่ตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายน ตามประกาศของทางการเสมอไป
(แต่ปัจจุบันนี้จะยึดตามประกาศของทางการ) เทศกาลนี้จะมีวันต่างๆ และมีพิธีกรรมและ
การละเล่นหลายอย่างท่ี เกีย่ วข้องกัน ดังนี้
- วันสังกรานต์ล่อง คือวันมหาสงกรานต์ ซึ่งออกเสียงแบบล้านนา
ว่า "สัง-ขาน" นี้คือวันที่พระอาทติ ย์โคจรไปสุดราศีมีนจะยา่ งเข้าสู่ราศีเมษ ตามความเช่ือ
แบบล้านนากล่าวกนั วา่ ในตอนเช้ามืดของวันนี้ "ปู่สังกรานต์" หรือ"ย่าสังกรานต์"จะนุง่ หม่
เสื้อผ้าสีแดงสยายผมล่องแพไปตามลาน้า ปู่หรือย่าสังกรานต์นี้จะนาเอาสิ่งซึ่งไม่พึง
ปรารถนาตามตัวมาดว้ ย จึงต้องมีการยิงปืนจุดประทัดหรือทาให้เกดิ เสียงดังต่าง ๆ นัยว่า
เป็น "การไล่สังกรานต์" และถือกันว่าปืนที่ใช้ยิงขับปู่หรือย่าสังกรานต์นั้นจะมีความขลัง
มาก ต้งั แตเ่ ช้าตรู่ของวันนี้จะมีการปดั กวาดบ้านเรือนใหส้ ะอาด มีการซกั เส้อื ผ้า เก็บกวาด
และเผาขยะมลู ฝอยต่าง ๆ มีการดำหวั หรอื สระผมเพ่ือให้เกิดความเปน็ มงคลแก่ตนเอง
- วันเนา วันเนาว์ หรือ วันเน่า ในแง่ของโหราศาสตร์แล้ว
วันนี้ควรจะเรียกว่า วันเนา เพราะเป็นวันที่พระอาทิตย์โคจรอยู่ระหว่างราศีมีนและราศี
เมษ อันเป็นวันที่ถัดจากวันสังกรานต์ล่อง แต่ในการออกเสียงแล้วทั่วไปมักเรียก"วันเนา่ "
ทาให้เกิดความคิดที่ห้ามการกระทาสิ่งที่ไม่เป็นมงคล โดยเฉพาะห้ามการด่าทอทะเลาะ
ววิ าทกัน กล่าวกนั ว่าผู้ใดท่ีด่าทอผู้อ่ืนในวนั นแ้ี ลว้ ปากของผ้นู น้ั จะเนา่ และหากววิ าทกันใน
วนั นี้ บคุ คลผนู้ น้ั จะอัปมงคลไปตลอดปี
- วันพญาวัน เป็นวันเถลิงศกเริม่ ต้นจุลศกั ราชใหม่ วันนี้เป็นวันท่มี ี
การทาบญุ ทางศาสนาดัง ตง้ั แต่เวลา เชา้ ตรผู่ ู้คนจะนาเอาสารบั อาหารหวานคาวต่าง ๆ ไป
ทาบญุ ถวายพระตามวัด ทานขนั เข้า (อ่าน"ตานขนั เข้า") เพื่ออุทิศส่วนกศุ ลให้แก่บรรพบุรุษ
หรือญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้วด้วย บางคนอาจนาสารับอาหารไปมอบให้แก่บิดามารดา
ปู่ย่า ตายาย ผู้เฒ่าผู้แก่หรอื ผูท้ ีต่ นเคารพนับถอื เรียกว่า ทานขันเข้าฅนเถ้าฅนแก่ จากนั้น
จะนาทงุ หรอื ธงซ่ึงได้เตรียมไว้ไปปกั บนเจดยี ท์ ราย ท้ังนี้ มีคตวิ ่าการทานทุง น้ันมีอานิสงส์
สามารถช่วยให้ผู้ตายท่ีมีบาปหนักถึงตกนรกนั้นสามารถพน้ จากขุมนรกได้ จากนั้นก็มีการ
ประกอบพิธกี รรมทางศาสนา ในวนั พญาวันนี้ บางทา่ นอาจจะเตรียมไม้งา่ มไปถวายสาหรับ
ค้าตน้ โพ ถอื คตวิ า่ เพื่อเปน็ สัญลกั ษณใ์ นการจะชว่ ยกนั คา้ จนุ พระศาสนาให้
๑๕๖
ยืนยาวต่อไป และจะมีการสรงน้าทั้งพระพุทธรูป สถูปเจดีย์รวมทั้งสรงน้าพระภิกษุสงฆ์
ดว้ ย ในตอนบ่ายจะมีการไป ดำหัวหรือไปคารวะผู้เฒ่าผู้แกบ่ ิดามารดา ญาติพ่ีน้องผู้อาวุโส
หรอื ผมู้ บี ญุ คณุ หรอื ผู้ทเ่ี คารพนบั ถือ เพ่อื เป็นการขอขมาและผใู้ หญก่ จ็ ะใหพ้ ร
๗. เดือน ๘ เหนือ (ราวพฤษภาคม) ประเพณีขึ้นพระธาตุ/สรงน้ำ
พระ ธาตุ วันเดือน 8 เพ็ญ (เหนือ) เป็นวันที่มีความสำคัญทางพุทธศาสนามาก กล่าวคือ
ตรงกับวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เป็นวันที่ชาวพุทธทั่วโลกทำพิธี
ราลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ โดยการทาบุญถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์และ
รักษาศีล ฟังเทศน์ปฎิบัติธรรมกันทั่วไป ในล้านนาไทย ประชาชนนิยมพากันไปสู่บุญ
สถานที่สาคัญ ๆ เช่น ในจังหวัดเชียงใหม่ ก็จะพากันไปวัดพระธาตุดอยสุเทพ
จังหวดั เชียงรายไปพระธาตุจอมกติ ิ และพระธาตุดอยตุง จังหวดั ลำพูนไปนมัสการพระธาตุ
หรภิ ุญชยั จังหวัดลำปางไปนมัสการพระธาตุลาปางหลวง เป็นตน้
นอกจากการสร้างประเพณีไปไหว้พระธาตทุ ี่สำคัญ ๆ แล้ว คนโบราณของ
ล้านนายังสรา้ งค่านยิ มให้บังเกิดขึ้นกับประชาชนด้วยการให้ประชาชน “ชธุ าตุ” คือถือเอา
พระธาตเุ จดยี น์ ั้นเปน็ ท่พี ึง่ ของตนด้วย พระธาตุเจดีย์ทีก่ ล่าวถงึ นี้ กค็ ือพระเจดียท์ บี่ รรจพุ ระ
บรมสารีริกธาตุของพระพทุ ธเจ้า ที่ได้ฐาปนาไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่นพระธาตุดอยสุเทพ
พระหริภุญชัย พระบรมธาตุศรจี อมทอง ฯลฯ ตามประเพณชี าวเหนือถือกนั ว่าคนเกิดปีใด
จะต้องไปสักการะบูชาพระธาตุที่นั้น จึงจะเป็นศิริมงคลแก่ตนให้มีอายุยืน มีบุญอานิสงส์
มาก มดี ังน้ี
1. คนเกิดปีไจ้ คือปีชวด พระธาตุประจำปีเกิดคือ พระธาตุศรี
จอมทอง อำเภอจอมทอง จังหวดั เชยี งใหม่
2. คนเกิดปีเป้า คือปีฉลู พระธาตุประจำปีเกิดคือ พระธาตุลำปาง
หลวง อาเภอเกาะคา จงั หวดั ลำปาง
3. คนเกิดปียี คือปีขาล พระธาตุประจ าปีเกิดคือ พระธาตุช่อแฮ
อำเภอเมอื ง จังหวดั แพร่
4. คนเกิดปีเหมา้ คอื ปเี ถาะ พระธาตุประจำปีเกดิ คือ พระธาตุแช่
แหง้ อาเภอเมือง จงั หวดั น่าน
5. คน เกิดปีสี คือปีมะโรง พระธาตุประจำปีเกิดคือ พระเจดีย์
พระสิงหอ์ ำเภอเมือง จังหวดั เชียงใหม่ บางคนวา่ ปีนค้ี นชุ “พระสิงค”์ หรอื “พุทธสหิ ิงค์
- ชุดความรเู้ กยี่ วกบั ราชพิธี รฐั พธิ ี
จะเห็นได้ว่า การปฏิบัติงานพระราชพิธีและรัฐพิธี มีระเบียบและขั้นตอน
ที่กำหนดไว้ในคู่มืออย่างชัดเจน ซึ่งถือได้ว่างานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง
๑๕๗
พระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ กำหนดไว้เป็นประจำตามราชประเพณี ซึ่งจะเสด็จพระราชดำเนนิ
ไปทรงประกอบพิธี ก่อนถึงงานพระราชพิธีจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มี
“หมายกำหนดการ” พระราชพิธีที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพระราชกรณีย
กิจ (โปรดสังเกตคำว่าหมายกำหนดการ) โดยปกติแล้วผู้มีตาแหน่งเฝ้าฯ ในพระราชพิธี
ดังกล่าว เว้นแต่จะเป็นพระราชพิธีส่วนพระองค์หรอื เป็นการภายใน ในปัจจุบันมพี ระราช
พิธีตา่ งๆ ทค่ี ณะรฐั มนตรี และผ้มู ีตำแหน่งเฝ้าฯ จะไปเขา้ เฝ้าฯ
ในส่วนของรฐั พธิ ี หมายถึง งานท่รี ฐั บาลกราบบังคมทูลขอพระมหากรณุ าใหท้ รงรับ
ไว้เป็นงานรัฐพิธมี หี มายกำหนดการท่ีหนดไว้เป็นประจำ ซึ่งพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั
จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานในพิธีหรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
มีผแู้ ทนพระองคเ์ สด็จพระราชดาเนินไปทรงเป็นประธานซงึ่ เห็นไดว้ ่าแตกต่างจากพระราช
พิธีที่ว่าแทนที่พระมหากษัตริย์จะทรงกำหนด กลับเป็นว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายกำหนด
แลว้ ขอพระราชทานอญั เชิญเสด็จพระราชดาเนนิ ในปจั จบุ นั มรี ฐั พธิ ตี ่างๆ ที่คณะรัฐมนตรี
และบคุ คลสำคญั จะไปเฝา้ ฯ
- ชุดความรู้ “คมู่ อื ปู่จา๋ น”
ขน้ั ตอนพธิ ีสงฆ์ ทำบุญถวายทาน
๑. เมื่อพระสงฆ์มาถึงพิธี นิมนต์ให้ท่านนั่งพักผ่อน พร้อมกับประเคนน้ำ หรือ
เครอ่ื งดมื่ เมือ่ ดูวา่ ท่านหายเหนื่อยแล้วใหเ้ รมิ่ พธิ ี
๒. ประธานในพิธีจุดเทยี นธปู เพ่ือบชู าพระรตั นตรัย ( จดุ เทยี นก่อน โดยจดุ ด้านขวา
ของพระประธาน )
๓. กลา่ วคำบูชาพระรัตนตรัย
อิมนิ า สักกาเรนะ พุทธงั ปูเชมะ
อมิ นิ า สกั กาเรนะ ธมั มัง ปเู ชมะ
อิมนิ า สกั กาเรนะ สงั ฆงั ปูเชมะ
อะระหัง สมั มาสมั พทุ โธ ภะคะวา
พทุ ธัง ภะคะวันตงั อะภิวาเทมิ (กราบ)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม
๑๕๘
ธัมมงั นะมัสสามิ (กราบ)
สปุ ะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ
สงั ฆงั นะมามิ (กราบ)
๔. อาราธนาศีล ๕ ไมต่ อ้ งกล่าว นะโมฯ (มคั ทายกผนู้ ำกล่าว)
มะยงั ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ
ทุติยัมปิ มะยังภนั เต ติสะระเณนะ สะหะ ปญั จะ สีลานิ ยาจามะ
ตะตยิ ัมปิ มะยังภนั เต ตสิ ะระเณนะ สะหะ ปญั จะ สีลานิ ยาจามะ
๕. รบั ศีล ว่าตามพระสงฆ์ (ทกุ คนที่มาร่วมพธิ )ี
๑. ปาณาตปิ าตา เวรมณี สกิ ขาปะทัง สะมาทยิ ามิ
๒. อะทนิ นาทานา เวรมณี สกิ ขาปะทัง สะมาทิยามิ
๓. กาเมสุ มจิ ฉาจารา เวรมณี สิกขาปะทงั สะมาทยิ ามิ
๔. มุสาวาทา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๕. สรุ าเมระยะมชั ชะปะมาทัฏฐานา เวรมณี สิกขาปะทงั สะมาทิยามิ
๖. อาราธนาพระปริต (มคั ทายกผ้นู ำกลา่ ว)
วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา สัพพะทุกขะวินาสายะ ปริตตัง
พรถู ะ มังคะลัง
วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา สัพพะภะยะวินาสายะ ปริตตัง
พรูถะ มงั คะลงั
วปิ ตั ติปะฏพิ าหายะ สพั พะสัมปัตติสิทธิยา สัพพะโรคะวนิ าสายะ ปรติ ตงั พรู
ถะ มังคะลงั
๗. พระสงฆ์รปู ท่ี ๒ หรอื ๓ สวดบทชมุ นมุ เทวดา
สัคเค กาเม จะรูเป คิรสิ ขิ ะระตะเฏ จนั ตะลกิ เข วมิ าเน ทเี ป รัฏเฐ จะคาเม
ตะรุวะนะคะหะเน เคหะ วตั ถมุ หิ เขตเต ภมุ มา จายันตุ เทวา ชะละถะละ วิสะเม ยกั ขะคนั ธพั พะนาคา
ตฏิ ฐันตา สนั ติเกยัง มนุ วิ ะระวะ จะนัง สาธะโว เม สุณันตธุ มั มสั สะวะ นะกาโล อะยมั ภะทันตา ธัมมัส
สะวะ นะกาโล อะยมั ภะทันตา ธมั มัสสะวะ นะกาโล อะยมั ภะทนั ตา
๑๕๙
๘. พระสงฆ์สวดเจริญพทุ ธมนต์
๙. จุดเทียนทำน้ำพระพุทธมนต์ เมื่อพระคุณเจ้าสวดถึงบท อเสวนา จ พาลานัง ฯ
(ประธานในพธิ )ี
๑๐. นำจตุปจั จยั ไทยทาน มาวางไวต้ รงหน้าพระสงฆ์
๑๑. มัคทายก กล่าวสู่มาครัวตาน
อะหัง วันทามิ สัพพะวตั ถุทานัง ...........................................สัพพัง โทสัง ขะมะถะ
เม ภันเต๋
สาธุ โอก๋าสะ ข้าแด่สัปป๊ะเยื่องเครื่องครัวทาน สะหะปะริวารหลายหลาก
พรอ้ มตุ๊กภาคนานา อันศรัทธาผ้ขู า้ ตังหลาย ได้ขงขวายมาตกแต่ง สปั ปะ๊ แห่งตานา อนั หามาได้โดยชอบ
ผะกอบด้วยเจต๋ นายามเมือ่ ดาแตง่ ห้าง กึ๊ดร่ำสร้างของตาน บ่อได้แบ่งปั๋นหยุดหยอ่ น หลอนได้ก๋นิ ก่อน
ตานลูน บ่อไดป้ ๋องปนุ๋ เปน็ สว่ น หลอนไดด้ ่วนหยุบเอา ยามเมอื่ มวั เมาตกแตง่ ไดค้ ูเ้ หยียดแค่งเตียวกล๋าย
ของตานตังหลายตกตำ่ ไดข้ า้ มยำ่ ตเิ ตีย๋ น ได้เจีย๋ รจ๋ากำบ่อชอบ ของตานตกต่ำยอบกว๋ นก๋า หลา้ งเตื่อมัว
เมาแหนบห่อ บอ่ ตันไดผ้ อ่ ขัดสี หลา้ งเตอื่ ไดเ้ ดอื ดดา่ ตีเ๋ ด็กออ่ น เข้าจา่ งอดื อ้อนกว๋ นกนิ๋ หไู ด้ยนิ ออกปาก
เป็นกำหากรนุ แรง ไดจ้ ๋าแข็งขนาบ กำร้ายหยาบปาโล มโี มโหขวิ้ โขด ผู้ข้าก็ร้วู ่าเป๋นโตษเวรก๋รรม บ่อได้
คบยำเดือดด่าออกปากว่าโหงนหงาน หล้างเตื่อลูกหลานมาใกล้ ได้ขับไล่จ๋ำหนี กลั๋วเป๋นวจี๋กำปาก
กล๋วั เปน๋ บาปแปน๋ ก๋รรม หลอนได้กระทำฟ้าวฟงั่ นอนยืนน่งั ข้ามกลา๋ ย เห่อื ไคลนำ้ ลายตกใส่ เส้นผมน้อย
ใหญ่ ตกหล่นใส่ของตาน หล้างเตื่อช่วยล้างจ๋านถ้วยถาด บ่อปอสะอาดหมดใส หลงลืมไปปั้งป๊าด
ด้วยความประมาทลาสา กลั๋วเป๋นภัยยาโตษใหญ่ จิ่งตกแต่งไดน้ ำมา ยังบุปผาดวงดอกขา้ วตอดพรอ้ ม
เตียนไฟ น้ำสุกันโธทะกะใสจื่นจ๊อย ผู้ข้าน้อยขอสมมา สัปป๊ะปะริวาราหลายเยื่อง อันเป๋นเครื่องของ
ตาน ขอเคร่ืองวเิ สสะนะทานเจ้าโผดห้อื หาย กล๋ายเป๋นอโหสกิ ๋รรม อย่าหื้อเปน๋ นิรรณ์ธรรมก๋รรมไปปาย
หนา้ แก่ศรทั ธาผ้ขู า้ ตั้งหลายจุผ๊ ้จู คุ๊ น จนุ๊ อ้ ยใหญ่จายหญิง นน้ั จุง่ จกั มีเตือ่ งแตด้ ีหรี
ก๋ายะทวาเร วะจี๋ทวาเร มะโนทวาเร สัญจิจจะ อสัญจิจจะ อะตี๋ตะโทสัง อะนาคะตะ
โทสงั ปจั จปุ ปันนะโทสงั สพั พงั โทสัง ขะมันตโุ น
๑๒. ถวายสงั ฆทาน (มคั ทายกผ้นู ำกลา่ ว)
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พุทธสั สะ
นะโมตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพทุ ธัสสะ
นะโมตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พุทธัสสะ
๑๖๐
อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ
สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ
สุขายะ
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ภัตตาหาร กับทั้ง
บริวารเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ ภัตตาหารกับทั้งบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้า
ทั้งหลาย เพื่อประโยชนแ์ ละความสุข แก่ข้าพเจา้ ทั้งหลาย สิน้ กาลนาน เทอญฯ
๑๐. พระสงฆ์สวดอนุโมทนา เจ้าภาพและผรู้ ่วมงานกรวดนำ้ อุทิศส่วนบญุ กศุ ล
๑๑. พระสงฆ์ประพรมน้ำพระพทุ ธมนต์ พร้อมท้งั สวดชยันโตฯ ทกุ ๆท่านพนมมือรับ
น้ำพระพุทธมนต์
๑๒. เจ้าภาพนำจตุปัจจยั ขึน้ รถเพอื่ ส่งพระกลบั วัด
๑๓. เสร็จพธิ ี
๑๖๑
๔.๔ องคค์ วามรู้
องค์ความรทู้ ่ไี ดจ้ ากการวิจยั มดี งั นค้ี อื
การพฒั นาชุดความร้หู ลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย)์ แบบมีสว่ นรว่ มของภาคี
เครือข่าย ในจังหวดั เชียงราย
มชี ดุ ค่มู ือหลักสูตรมัคนายก (ปจู่ ารย)์
มีการผลติ ตำรา และ ส่ือทัศน์ ส่ือโสต สอ่ื โสตทศั น์ หลกั สูตรมคั
ทายก เปน็ การประกอบส่งเสริมความรู้ทางพธิ ีกรรม/หลกั ธรรมความสามารถ
และความเขา้ ใจในทางพระพทุ ธศาสนาแกพ่ ทุ ธศาสนิกชนทวั่ ไป ท้งั ทางด้าน
พธิ กี รรม วรรณกรรมและแนวทางการดำเนนิ ชวี ติ ของคนในชุมชน
มกี ารสร้างเครอื ข่ายมคั ทายกในจังหวดั เชยี งราย เพ่ือทำใหม้ กี าร
ตดิ ต่อสนับสนนุ ใหม้ กี ารแลกเปล่ียนขอ้ มูลข่าวสารและการร่วมมือกนั ดว้ ย
ความสมคั รใจการสร้างเครอื ขา่ ยเปน็ ระบบเช่อื มโยงสมั พันธก์ ันของสิ่งมชี ีวติ ท่ี
ควรไดร้ บั การสรา้ งโอกาสในการเช่ือมโยงเครือข่ายตอ่ ไปเรอ่ื ยๆมีการเรยี นรู้อยู่
ตลอดเวลา
จากการศกึ ษางานวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดความร้หู ลักสูตรมัคนายก (ป่จู ารย)์ แบบมีส่วน
ร่วมของภาคเี ครือขา่ ย ในจังหวดั เชยี งราย ทำให้ไดอ้ งคค์ วามรู้ดังนคี้ ือ
๑. มีคมู่ อื หลกั สูตรมัคนายก (ปู่จารย)์ โดยมเี น้ือหาประกอบไปด้วย
- คณุ สมบตั ิของอาจารยว์ ดั
มรรคนายก ใช้เรียกคฤหัสถ์ผู้ประสานติดต่อระหว่างวัดกับชาวบ้านใน
กจิ การตา่ งๆ ของวัด หรอื ผู้เปน็ หวั หนา้ ในพธิ ที ำบญุ เช่น นำอาราธนาศีล อาราธนาพระปรติ ร นำถวาย
๑๖๒
ทาน ตลอดจนจัดแจงดูแลศาสนาพิธีอื่นให้ถูกต้องเรียบรอ้ ย มรรคนายกที่ดีและเก่งจะทำให้งานบญุ
ตา่ งๆ ในวดั เสรจ็ เรียบร้อย เป็นระเบียบสวยงาม และราบรนื่ ไมต่ ดิ ขดั
- หมวดวนั ดี วันเสยี และฤกษ์ยาม ปฏิทนิ ล้านนา 2565 มือ้ จ๋นั วันดี
๑๖๓
๑๖๔
๑๖๕
๑๖๖
๑๖๗
๑๖๘
- หมวดเรียกขวัญ
การประกอบพิธีกรรมดังกล่าวโดยจะเริ่มจากการกล่าวคําโวหารหรือบท
สวดในการเรยี กขวัญ ดังนี้
“อะชะโส อะชะไชโย อะชะในวันนี้ก็เป๋นวันดี เป๋นวันศรีใสเชียงคาน
มีทั้งครื่องอะรังการเสื้อผ้าตกแต่งไว้ถ้านานา มีทั้งชิ้นและปลา มีพวงมาลาดอกไม้ ฝูงเงินคํามีบ่อไร้
เจ้าหากเกิดมาดี ลูกลาภร้อนรักขะณะถ้วนเลาเลงิ บ่สมเพิงเพาและเจ้า หากเกิดมายากเล่าหนักหนา
ทรงคําพระดาเมินมาก สิบเดือนหากบัวระมวนเจ้าจึ่งประสูติ บางพ่องเกิดเป็นหูดเป็นเปา เนื้อบ่เลา
เรียนเกลี้ยงสูงต่ําพ่ําเหมือนกันสูงต่ําขาวดํามีหลายหลาก อันถูกลักษณะก็หายากมีแควนหย้อย
อายุเจ้ายังบ่อพอร้อยบ่พอพันเถิงหกสิงเถิงสังขารหัวหงอกตาเบิ้นหมอกจักขุญาณเท่าเทียวสงสาร
หลายกํานิด เจ้าเกิดมาร่วมศาสนา พระแต่งต้ังว่า อรัมโคญาณก็บ่ผาเสริฐ บ่เบิ้นที่เกิดแห่งสัพญตาม
อุดรโขเลยบ่แขะข้องข้ิง ก็บ่ยิ่งเหลือกวา่ ชมพเู รา ฝูงเทวดาเขาเลงดชู ู่แห่ง พระยาอนิ ทร์จงึ ใช้เทวบุตร
ลงมาเวียนเอาชือ่ แห่งตนบุญใสห่ ลายเงินไว้ถ้าฝูงใจหยาบช้าสาหดเอาหนังหมามาจดซือ่ ไว้คูห่ ญิงชาย
เหตุนั้นเราควรกระทําบุญหลายมามาก บ่ควรดีเรียกยากแท้เล้า เพราะอายุเจ้าบ่พอร้อยพอพัน
บพ่ อเบ้ินอัน้ ชน้ั ฟา้ ขวญั เจา้ จะไปนั่งขอยหนา้ ส่เู มืองผี จุ่งหอื้ คืนมาดดี งั เก่า หอ้ื เจ้าได้เว้นทานแล้วทาน
เล่าบุญนักกว่าบุญเก่าหลาย หื้อเจ้าเว้นเสียยังอบายทั้งสี่ หื้อเจ้ามาอยู่เรือนมงคล หื้อเจ้าสืบแทน
ตระกูลเผ่าพันธุ์วงศ์พ่อแม่ ขวัญเจ้าอย่าไปล่าเล่นยังดง ขวัญเจ้าอย่าไปหลงเสียยังแม่น้ําแถมปลา
ขวัญเจ้าอย่างไปอยู่ยังทุ่งยังนากลางป่า อย่าไปอยู่จิ่นนาคาแถมหมู่ ครุฑหากหลายเหลือ ขวัญเจ้า
อยา่ ไปพง่ั เมอื เมืองไว้ ตอู ยา่ คองหนั จงุ่ คนื มาพนั โดยรีบ มังคะละทบี ดตี ขวัญเจ้าอยา่ งไปสวดล่าเมืองผี
ต่างด้าว ขวัญเจ้าอย่าไปเมอื งทา่ นทา้ วไอยศวรขวัญเจ้าอยา่ ไปอย่สู ุขสรวนมวนเล่น ทเ่ี ถอื่ นถ้ํายา่ นนํ้าวัง
คูหา ขวัญจักขุตาทั้งคู่ ขวัญดังจมูกจุ่งมาอยู่กับดัง (จมูก) ดมดอกไม้ ขวัญหูเจ้าจุ่งมาอยู่หูไวฟ้ ังธรรม
หื้อมาทั้งขวัญแขนลําบ่องแก้ว หื้อมาทั้งขวัญแอวแค้วและอกกลม หื้อมาทั้งขวัญถานานมทั้งคู่
ขวญั ท้องอย่าอดดว้ ยคํากนิ ขวญั แคง่ หอ้ื ไดอ้ ดเตยี วดนิ หม่ันย้าย ขวญั ตนี เจา้ อยา่ แอว่ ฝ้ายลีลา สามสิบ
สองขวัญเจ้าจุ่งมาดั้งเก่าเตอะเนอ ขวัญเฮยขวัญหัวเข่าอย่าคอนห้ือมาทัง้ ขวัญตนนอนสาด หือมาท้ัง
ขวญั ปากทเ่ี จ้าเคยฟูจาหวาน หอ้ื มาทง้ั ขวัญนวิ้ นางนิ้วกอ้ ยแมม่ อื หอ้ื มาทัง้ ขวัญสายดอื ขวัญค้ิวขวัญสิบ
น้ิวอยู่ตนี ขวญั เจ้าอยา่ ไปบนิ แอว่ ผ้าลีลา สามสิบสองขวัญเจ้าอย่าไปแกมเถอ่ื นช้างกินขวีขวัญเจ้าอย่า
ไปแกมนางณอี อกคา่ ง ขวญั เจ้าอยา่ ไปอยู่ท่บี ่างโอราที่กวงไมใ้ หญ่ ขวัญเจา้ อย่าไปอยูท่ ่ีแม่ไก่สองหงอน
ขวญั เจา้ อยา่ ไปละอองต่ําตอ้ ย ขวัญเจ้าอย่าไปเล่นหมากรกุ หนอ้ ยและหมากสกา จิง่ นางเทวดาเขาแก้ว
ขวญั เจา้ อย่าไปเสวยแลว้ จมิ่ นายพาน ขวัญเจ้าอยา่ ไปหลงเสียดงคาํ ทส่ี ลอกหว้ ย ทร่ี ้งุ คาวกนิ กลว้ ย ที่ป่า
ไม้บ่มคี น ขวญั เจา้ ไปเววนเสียยังกางปา่ ไมแ้ กมผี ขวัญเจ้าอยา่ ไปไปอยู่จีมเศรษฐีและช่างหม้อ ขวัญเจ้า
อย่าไปแกมไม้อ้อและไม้เลา ขวัญเจ้าอย่าไปเมืองจอมเขาไกลาส ขวัญเจ้าอย่าไปอยู่อากาศกลางหาว
ขวญั เจา้ อยา่ ไปอยู่ กลางเดือนดาวยงั ฟ้า ขวัญเจ้าจ่งุ หื้ออวา่ ยหน้าคนื มา เนอขวญั เนอ ขวัญเจ้าอย่าไป
๑๖๙
อยู่ทีศ่ าลาหลสงู เก้าห้องขวญั เจา้ อยา่ ไปอยทู่ ีฟ่ ้ารอ้ งแผน่ ดินสุด ขวญั เจ้าอย่าไปอย่ทู ่สี มุทรหลวงและคง
คาใหญ่กว้าง ขวัญเจ้าอย่าไปอยู่ในท้องช้างเอราวนั เนอเจ้า ขวัญทวารจุ่งมาอยู่ทวารทั้งเก้า ขวัญเจ้า
อย่าไปอยู่เมอื งยา่ เฒา่ ดอกซอนมาร ขวัญเจา้ อยา่ ไปอยจู่ ีมรน้ื และยงุ ยังผา ขวัญเจา้ อยา่ ไปอยทู่ ่านาํ้ และ
ทางหลง ขวญั เจ้าอย่าไปชมดวงดอกไม้ที่ด่านฮ้อเทือกแก้ว ขวญั เจา้ อยา่ ไปอยกู่ ับแมลงและนกแอ่นเห
วนั ขวญั เจ้าอย่าไปอยจู่ มี นกเขาคูและนกเขาทอง ขวญั เจา้ อยา่ ไปอยูห่ มอกเกียวจอยวอย ขวัญเจ้าอย่า
ไปอยู่จิ่มแม่นกจํารอยและเขาตูก่ าแก ขวัญอย่าไปอยู่จ่ิมนกแลข้างปากเปนคําคน ขวัญเจ้าอยา่ ไปอยู่
จีมแม่นกเอี้ยงด่างและถัวดํา ขวัญเจ้าอย่าไปอยู่จีมหงษ์คคําและไก่เถื่อนขวัญเจ้าอย่าไปเปนเพื่อน
มะนาวริพลทีน่ ้ันนาเบน็ ท่ีแฝงไผ่เล่นแหง่ พญาธร สามสิบสองขวัญเจ้าจุง่ มามาเรียบร้อย ขวัญเจ้าอย่า
ไปอยู่ทพ่ี ระยอดสร้อยเมืองไกล ทแี่ ม่ตาไหลตาคําลุ่มนํ้า ขวัญเจ้าอยา่ ไปอยูเ่ ถื่อนคํ้าคีรีในดงรีเทคท้อง
โขงเขตห้องเมอื งอุดรโข ขวัญเจา้ อย่าไปมวั เมาอยู่โขงชมพูยาวยา่ นกว้าง ขวัญอย่าไปอยทู่ ่าทา่ งขะโนมา
ขวัญเจ้าอย่าไปเป๋นเพื่อนพญาอยู่ในเรือ่ งนาค ขวัญเจา้ อย่าไปฝากฟา้ กหกสวรรค์ ขวญั เจา้ อยา่ ไปสงวน
มว่ นเล่น ชอุ ยูใ่ นเทศทอ้ งโขงเขตหอ้ งเมอื งไกล ขวญั เจ้าอย่าไปรอ้ งร่ําไหอ้ ย่วู อย ๆ ขวญั ตนี รอยก็ห้ือมา
อยู่เนื้อ ขวัญติดเสื้อผ้าก็หื้อมาอยู่ตัว ขวัญหัวก็หือมาอยู่งามแง่ ขวัญแหล่ก็หื้อมาอยู่แหล่งามงาม
ขวัญขากห็ ้อื มาอยู่ขาตงั้ คู่ ขวัญหูดงั คางขวญั แกม้ จงุ่ ห้ือรีบเรว็ พลันมาเตื่อมแง จุ่งห้ือมาอยู่ดังอยู่แก้ม
เปน๋ อาจิน ขวัญตนี นายอนั ท้องเท่ยี วผ้าย ขวัญทีย่ กยา่ งยา้ ยก็หอื้ อยูท่ ่ไี ผทมี่ ัน จุ่งอยยู่ นื ยงเทีย่ งเทา่ เตอะ
เนอ เมือ่ เรยี กขวัญเสร็จแลว้ ก็ใหผ้ ูกมือพรอ้ มว่า ดังนี้
“ศรีสวัสดี สิริโยค อุตตะมะโชคมากเนืองนองเงินคํามีหลายกองบ่อรู้ค่าย
ข้าจักผูกมือซ้ายเจ้าไว้บ่หือ้ ขวัญเจ้าหนี จักผูกหื้อขวญั เจ้าอยู่ดียิ่งกวา่ เกา่ จักผูกขวัญเจา้ เล่าไว้กับตน
จักผูกดว้ ยฝ้ายมงคลอนั วิเศษฝ้ายขาวเทศอันบริสุทธิ์ ฝา่ ยอันคนมนษุ ย์หาใชอ้ ุปโภค เสน้ ฝ้ายมนุษย์ษะ
โลกหากลือแพง แม่หลักผกู เพกผูกแสงก็หมั้น บ่ส้นั บ่ยาวมอง พอผะหมาน แมน้ จักผูกช้าเพลายสารก็
อยู่ ผูกเอางัวควายขี้ลูกก็พน แม่นจักผูกมือหื้อคนหายพยาธิ ดีกว่าเชือกชะบ้วงบาตรแห่งพญานาค
ตนชอื่ ว่าวริ ปู ักขะ ฝ้ายเสน้ น้มี อี านภุ าพแควน้ วเิ ศษ อนั ประกอบด้วยสาถะเพดอันไดแ้ ต่เมืองตะกะศีลา
มา ข้าจักผูกขวญั เจ้าไวบ้ ห่ ื้อใหลคล้า ข้าจักผูกแขนนายเบือ้ งซ้ายไว้บ่ห้ือขวัญเจ้าหนี ไปอยู่จีนผใี นปา่
บ่หอ้ื ขวัญเจา้ ล่าเดนิ ดง บห่ ้อื ขวญั ลา่ หลงไปแอว่ เหลน้ บห่ อื้ ตนื่ เตน้ ตกใจ บห่ ้ือไปอยู่กลางดงไพรในป่า
เถื่อน บห่ ้อื ไปเป๋นเพื่อนแรด ชา้ งและเสอื หมี บห่ อ้ื ขวญั เจา้ ไปอย่จู ิ่มผียักษ์ผีเยน็ ตวั ใหญ่ ข้าจักผูกขวัญ
เจา้ ไวห้ ้ือเปน็ มงคล คือแขนดวงผาเสริฐ แขนขา้ งามล้าํ เลิศเหมือนดังลอดเงนิ ดี มเี ลบ็ ยาวขว้างเหมือน
ดังงาชา้ งเอราวัณ สัพพะภยั ยะมีรอ้ ยและพนั แสนลํ่าหรือหล่งิ คอ้ ยพ่ําฉิบหายปลายมอื เจ้าเป็นอาวุธห้า
เย่ืองรักษาตน สพั พอนทราย กห็ รอื หายพาดเหมือนด่งั น้าํ กลิง้ ตกจากใบบัวนนั้ แท้ดีหลี หื้อเจา้ ได้อยู่ดีมี
ฑีฆาอายุมั่นยืนยาวนั้นยุ่งจักมี อมพุธโธ รกขิตติ ธมโม รกขิตติ สังโฆ รกขิตติ ลมพนังมหาพนัง
อมสวาหะ” หลงั จากผูกมือซา้ ยเสร็จใหผ้ กู มือขวาอีก แล้วกล่าวดังนี้
๑๗๐
“อะชะในวนั นี้ ก็เป๋นวันดี ศรีไชยโชค วันนี้ก็เป๋นวันพ้นโทษโศกา ข้าจักผกู
มอื ขวาแหง่ เจา้ จกั ผูกมือไวเ้ ลา่ ดว้ ยฝ้ายอนั บริสุทธิ์ เพือ่ หอ้ื เปน๋ มงคล ห้อื พ้นจากกังวนทุกสงิ่ หรือขวัญ
เจ้าอย่หู มั้นยิ่งกับตนแท้ดหี ลีหรอื หมั้นเหมอื นดงั่ ปะฐพี อันหนาได้สองแสนสี่หม่ืนโยชน์ ห้อื หมั้นเหมอื น
ดงั ดอยหนิ หนกั ได้แสนโกฏิสงั คะหยา หื้อหม้นั เหมือนกนั ทะมาทะนะสะอาดหอ้ื หมั้นเหมือนดังเขาแห่ง
พระยาอินทร์ตาธิราช หื้อหมั้นเหลือขนาดเหมือนดังหินปันดูกําพะระศีลาแห่งพระยาอินทร์ตาธิราช
หื้อหมั้นเหลือขนาดเหมือนดั่งเสาอินทะขินอันฝังไว้หมั้นบ่รู้ คลาใคล หื้อหมั้นเหมือนมหินสีมา
อันพระสังฆเจ้าหากปลูกไว้ ข้าจักผูกมือเจ้านี้ไซ้ หรือเจ้าได้อยู่สุขสบาย ปลายมือเจ้ามีห้ากิ่ง หรือมี
เดชะยิ่งกว่าดาบศรีกัณซัย กับเจ้าเหยียดมืไปทางใดก็หื้อผีกลัวเหมือนใจจะขาด สัพพพยาธิเจ้าก็ห้ือ
หาย คลายจากต๋นตัวเจ้าไปเสียวนั น้ยี ามนี้สนั้ จุ่งจักมแี ทด้ หี ลเี ตอะ ”
- หมวดพิธขี ั้นตอนพธิ ที ำบญุ งานมงคลและงานอวมงคล
- หมวดโอกาสเวนตาน
- หมวดคำอาราธนา
๒. มีการผลิตตำรา และ สื่อทัศน์ สื่อโสต สื่อโสตทัศน์ หลักสูตรมัคทายก
เป็นการประกอบส่งเสริมความรู้ทางพิธีกรรม/หลักธรรมความสามารถและความเข้าใจในทาง
พระพุทธศาสนาแกพ่ ทุ ธศาสนิกชนท่ัวไป ทง้ั ทางดา้ นพธิ ีกรรม วรรณกรรมและแนวทางการดำเนนิ ชวี ิต
ของคนในชมุ ชน
๓. มีการสร้างเครือข่ายมัคทายกในจังหวัดเชียงราย เพื่อทำให้มีการติดต่อสนับสนุนให้มี
การแลกเปลยี่ นข้อมลู ขา่ วสารของมคั คทายกในจงั หวัดเชยี งราย
๑๗๑
บทท่ี ๕
สรปุ อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ
งานวิจัย เรื่อง การพัฒนาชดุ ความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์) แบบมีส่วนร่วมของภาคี
เครือข่าย ในจังหวัดเชียงราย มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาองค์วามรู้ ตำรา และการศาสนพิธีของ
มัคนายกและภาคีเครือข่าย ในจังหวัดเชียงราย ๒) เพื่อพัฒนาชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์)
โดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในจังหวัดเชียงราย ๓) เพื่อวิเคราะห์และนำชุดความรู้หลักสูตร
มคั นายก (ปจู่ ารย์) ไปประยุกตใ์ ช้ ในการศาสนพิธีของจงั หวัดเชียงราย การวิจยั ครัง้ นีเ้ ป็นการวิจัยเชิง
คุณภาพ (Qualitative Reserch) เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่รวบรวมข้อมูลจากเอกสาร
(Document) และจากการสัมภาษณ์ ผลการวจิ ัยพบว่า
๕.๑ สรุปผลการวจิ ัย
ผลการวจิ ยั สรปุ ผลไดด้ ังนี้
๕.๑.๑ การพัฒนาชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์)โดยการมีส่วนร่วมของภาคี
เครือข่าย ในจังหวัดเชียงราย พบว่า ได้องค์ความรู้ดังนี้คือ องค์ความรู้เกี่ยวกับศาสนพิธี ศาสนพิธี
หรือพิธีกรรมของพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงศาสนธรรมอันเป็นแก่นแท้ของ
พระพุทธศาสนาไว้ดังนั้น การกระทำศาสนพิธีหรือพิธีกรรมต่าง ๆ ในทางพระพุทธศาสนา ควรที่
จะตอ้ งมกี ารแนะนำและให้ผรู้ ว่ มพิธีได้ศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีต่าง ๆ ใหถ้ อ่ งแท้ตามหลักการ
ทางพิธกี รรมของพระพทุ ธศาสนา เพ่ือผูป้ ฏิบตั จิ ะได้นำไปปฏบิ ัตไิ ดอ้ ย่างถูกต้องตามจุดมุ่งหมายในศา
สนพิธนี ้ัน ๆ เนอ่ื งจากศาสนพธิ จี ัดเปน็ วฒั นธรรมและจารีตประเพณีของชาติทม่ี ีการสืบสานกันมาเป็น
ระยะเวลาอันยาวนาน ซึ่งการปฏิบัติศาสนพิธีจะต้องทำให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม
เป็นไปในแนวทางเดียวกัน เพื่อก่อให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในการดำเนินกิจกรรมด้านพิธีของ
ศาสนา ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญของพุทธศาสนิกชนเพราะการดำเนินกจิ กรรมของพธิ ีกรรมต่าง ๆ ถือเป็น
ก้าวแรกที่มีความเป็นรูปธรรมของการก้าวเข้าสู่หลักการของพระพุทธศาสนาที่เป็นการเสริมสร้าง
คุณค่าทางด้านจิตใจ รวมทั้งการธำรงรักษาเอกลักษณ์ของชาติและพระพุทธศาสนา ผู้ทำหน้าที่เป็น
ผู้นำในการปฏบิ ัตงิ านศาสนพธิ ีจึงควรมีความรู้ความสามารถและความเขา้ ใจอย่างถูกตอ้ ง เน่อื งจากศา
สนพิธีเป็นการสร้างระเบยี บแบบแผน แบบอย่างท่พี งึ ปฏิบัตใิ นศาสนาน้นั ๆ ตามหลกั การความเช่ือใน
ศาสนาที่ตนนับถือ เมื่อนำมาใช้ในทางพระพุทธศาสนาย่อมหมายถึง ระเบียบ แบบแผน และ
แบบอยา่ งท่พี งึ ปฏิบตั ใิ นพระพุทธศาสนาซึง่ บางท่านเรยี กวา่ “พุทธศาสนพธิ ี”
๑๗๒
องค์ความร้เู ก่ยี วกับพระพุทธศาสนา มคั นายก หรอื ปุูอาจารยเ์ ป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญท่ีสุด
ในการส่งเสรมิ พระพทุ ธศาสนาและปลูกฝังคุณธรรมและจรยิ ธรรมให้กับประชาชน ส่วนพระสงฆ์เป็น
ทั้งผู้ผลิต ผู้ขายส่ง และขายปลีก โดยอาศัยธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นวัตถุดิบ นอกจากนั้น
หากเป็นไปได้ พระสงฆค์ วรจะไดม้ ีความเชย่ี วชาญทั้งทางด้านปริยัติและปฏิบัติ และควรมีความรู้ทาง
โลกตามสมควร เพ่ือสามารถปลูกศรทั ธาให้แกค่ นร่นุ ใหมไ่ ด้ตามความเหมาะสม ฉะนน้ั พระสงฆจ์ ะต้อง
ปรับปรงุ ตวั เองอยูเ่ สมอทั้งทางธรรมและทางโลก
มัคนายกต้องปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมแก่ประชาชนและกลุ่มเปูาหมายต่างๆ
ด้วยตนเองทำนองเดยี วกบั การคา้ ปลีก นอกจากน้นั ยงั จะตอ้ งสรา้ งผ้เู ผยแพร่ธรรมะทัง้ ฝ่ายคฤหัสถ์และ
บรรพชิต ทำนองเดียวกับผู้ค้าส่งอีกด้วย ในหน้าที่ประการหลงั นี้ฝ่ายสงฆ์จะต้องผลิตผู้บรรยายธรรม
และผู้ฝึกที่มีคุณภาพจึงจะบังเกิดผล แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม การส่งเสริมพระพุทธศาสนาและ
การปลูกฝังธรรมะเป็นส่วนรวมแก่ประชาชนหรือกลุ่มเป้าหมายใดๆ ก็ตาม เพื่อให้เกิดผลต่อความ
มั่นคงของชาตินั้น อย่างน้อยที่สุดจะต้องปลูกฝังให้ประชาชนทั้งหลายเป็นคนดี รังเกียจความชั่วมี
สมั มาทฏิ ฐแิ ละเป็นพลเมืองดีร้แู ละทำหน้าทขี่ องตนในดา้ นตา่ งๆ
องค์ความร้เู กย่ี วกับราชพิธี และรัฐพธิ ี งานพระราชพธิ ี เปน็ งานทพ่ี ระมหากษตั รยิ ์ทรงพระ
กรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดขึ้นเป็นประจําทุกปีเช่น พระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชพิธีเฉลิมพระ
ชนมพรรษา หรืองานที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เช่น พระราชพิธีอภิเษก
สมรส พระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ งานรัฐพิธี งานรัฐพิธี เป็นงานพิธีที่รัฐบาลหรือทาง
ราชการจัดขึ้นเป็นงานประจําปี โดยกราบทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จเป็นประธาน
ประกอบพิธี เชน่ รฐั พธิ ที ี่ระลกึ วนั จักรี รัฐพธิ ฉี ลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ ซ่ึงปัจจุบันทรงรับเข้า
เปน็ งานพระราชพิธี งานทั้ง ๓ นี้ จะมีหมายกาํ หนดการทกุ งาน การนิมนตพ์ ระสงฆ์และการปฏิบัติศา
สนพิธีเป็นหน้าที่ของฝ่ายพิธีกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม โดยปฏิบัติงานร่วมกับสํานัก
พระราชวัง
องค์ความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่นล้านนา เช่น ๑. ตัวหนังสือพื้นเมืองล้านนา อักษร
ธรรมลา้ นนา หรือ ตัวเมือง พัฒนามาจากอักษรมอญโบราณ เชน่ เดียวกับอักษรพม่า อกั ษรชนดิ น้ใี ชใ้ น
อาณาจักรล้านนาเมื่อราว พ.ศ. ๑๘๐๒ จนกระทัง่ ถูกพม่ายึดครองใน พ.ศ. ๒๑๐๑ ปัจจุบันใช้ในงาน
ทางศาสนา พบไดท้ ั่วไปในวดั ทางภาคเหนอื ของประเทศไทย (ส่วนท่ีเปน็ เขตอาณาจกั รลา้ นนาเดิมและ
เขตที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมล้านนาบางแห่ง) นอกจากนี้ยังแพร่หลายถึงไปถึงเขตรัฐไทยใหญ่แถบ
เมืองเชียงตุง ซ่งึ อักษรที่ใชใ้ นแถบนนั้ จะเรียกชอื่ ว่า "อักษรไตเขิน" มลี ักษณะท่เี รยี บง่ายกว่าตัวเมืองท่ี
ใชใ้ นแถบล้านนา ๒.พิธสี วดเบกิ การสวดเบิกเปนขัน้ ตอนสาํ คัญขัน้ ตอนหน่งึ ของพธิ ีพทุ ธาภิเษกแบบล
านนา พิธีพุทธาภิเษก คือ การเฉลิมฉลองศาสนสถาน ศาสนวัตถุตาง ๆ เมื่อวัดใดมีการสราง
๑๗๓
พระพทุ ธรูปขน้ึ มาใหมก็จะมกี ารประกอบพธิ ีพทุ ธาภิเษกทุกครัง้ พธิ ีพุทธาภิเษกแบบลานนานั้นมีความ
แตกตางจากพิธีพุทธาภิเษก ในภาคอื่น ๆ คือจะมีการสวดเบิกโดยการสวดเบิกใชพระสงฆสามเณร
จํานวน ๕ ถึง ๙ รูป รวมกันสวดเปนทวงทํานองอันไพเราะและสวดกันเป็นวาร ๆ (บท) การสวดเบิก
จะเริ่มสวดกันตั้งแต่หัวค่ำจนถึงรุงเชาเมื่อสวดเบิกเสร็จถือวาพระพุทธรูปไดผานการอบรมสมโภช
สามารถนาํ ไปประดษิ ฐานโดยสมบรู ณได้
๕.๑.๒ การพัฒนาชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์)โดยการมีส่วนร่วมของภาคี
เครอื ขา่ ย ในจงั หวัดเชียงราย พบว่า โดยมีชดุ ความรู้ดงั นีค้ ือ
ชดุ ความรเู้ ก่ียวกับพระพุทธศาสนา ซงึ่ เกยี่ วข้องกบั ชุดความรู้ราชพิธี รฐั พธิ ี
๑. พระราชพธิ ีสบิ สองเดอื น
พระราชพธิ ีเป็นพธิ ขี องพระราชา ซ่ึงผลท่บี งั เกดิ แก่การปฏิบัติตามพระราช
พิธีมิได้เกี่ยวข้องแต่เฉพาะพระราชา หากแต่เกี่ยวข้องถึงประชาชนและความอยู่รอดของพระ
ราชอาณาจกั รในฐานะกษัตรยิ ์ ตามตํานานมลู ศาสนา อธบิ ายความหมายของกษตั ริยไ์ ว้ ๓ ความหมาย
๑. พระมหาสมมตุ ิราช : ผู้ได้รับมอบหมายจากคนทง้ั ปวง
๒. ขัติโย : ผ้ปู กครองนา (กษัตริยม์ าจากคําวา่ เกษตร)
๓. ราชา : ผ้ปู กครองอนั เปน็ ท่รี ักทพี่ ึงพอใจ
พระราชพิธี ๑๒ เดือน มีในกฎมณเฑียรบาลมาแต่ครั้งกรุงเก่า ต่อมา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวทรงคน้ ควา้ จากตําราดัง้ เดมิ และตรวจสอบความถูกต้องอีก
ครั้ง แล้วจึงทรงพระราชนิพนธ์เป็นความเรียงอธิบายไว้ ที่สาํ คญั ได้แก่ พธิ ไี ล่เรือไล่น้ําพิธีตรียัมปวาย
พิธีธานยเฑาะย์ พิธีสัมพัจฉรฉินท์ พิธีสงกรานต์พิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ การพระราชกุศล
สลากภัตของหลวง การพระราชกศุ ลเสด็จถวายพมุ่ พระราชพิธีตลุ าภาร พระราชพธิ ีสารท พระราชพธิ ี
ถวายผ้าพระกฐิน พระราชพธิ ีจองเปรียง ลอยพระประทีป
ชุดความรูภ้ มู ิปัญญาทอ้ งถน่ิ
อาณาจักรล้านนาโดยมีเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางนั้น มีความเจริญทางศิลปะ
พื้นบ้าน ประเพณีวัฒนธรรม อันหลากหลายโดยเฉพาะ งานหัตถกรรมท้องถิ่นที่สะท้อนถึงศิลปะ
วัฒนธรรม และประเพณีพื้นบ้านของสถานที่นัน้ นับว่าเป็นภูมิปญั ญาท้องถิน่ และเป็นมรดกท่ีมีคุณค่า
อีกท้งั ควรแกก่ ารอนุรักษ์สืบสานให้คนร่นุ หลังไดเ้ รียนรแู้ ละสบื ทอดสู่คนรุน่ ใหมต่ ่อไป
- การฮ้องขวญั
ความเชื่อและพิธีทำขวัญเป็นกระบวนการที่แสดงความผูกพันและความสัมพันธ์ใน
ระบบเครือญาติระหว่างบุคคลกับครอบครัวและบุคคลกับชุมชน พิธีทำขวัญปรากฏในทุกภาคของ
ประเทศ อย่างไรก็ตาม การให้ความสำคัญต่อขวัญและพิธีทำขวัญมีความแตกต่างกัน
มกี ารปรับตัวและเปลี่ยนแปลงให้เข้ากบั สงั คมสมัยใหม่
- การปูจาเทียน
ยันต์เทียนเป็นพิธีกรรมทางความเชื่อของคนล้านนาที่สืบทอดมาแต่โบราณ ซึ่งไม่
สามารถระบใุ หแ้ น่ชดั ได้ว่ายนั ต์เทยี นเกิดข้นึ มาแตเ่ มื่อใด มเี พียงการสันนษิ ฐานว่ายนั ต์เทียนอาจจะสืบ
๑๗๔
ทอดมาจากลัทธิของศาสนาพราหมณ์โดยผ่านดินแดนพม่าและมอญเข้ามาสู่ล้านนาไทย ยันต์เทียน
ล้านนา แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ ประเภททีห่ วังผลทางดี หรือฝ่ายขาวและประเภทที่หวังผลทางร้าย
หรือฝ่ายด า ยันต์เทียนล้านนามีจุดประสงค์ในการท าเพื่อเป็นการช่วยอนุเคราะห์ชาวบ้านที่มาขอ
ความช่วยเหลือในเมื่อเกิดความทุกข์ และในการใช้นั้นมีจุดประสงค์ห ลัก ๓ ประการ คือ
๑. บูชาเทียนเพื่อหลีกเคราะห์ ๒. บูชาเทียนเพื่อรับโชค ๓. บูชาเทียนเพื่ออยู่วุฒิจ ำเริญ
หรอื เสรมิ ดวงชะตา
๕.๑.๓ วิเคราะห์และนำชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์) ไปประยุกต์ใช้
ในการศาสนพิธี ของจังหวัดเชียงราย พบว่า มีการนำชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์)
ไปประยุกตใ์ ชใ้ นการศาสนพิธี ของจังหวดั เชียงราย ดงั นคี้ ือ
ชุดความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พิธีกรรมทางศาสนาพุทธ เป็นพิธีกรรมที่เข้าไป
เกี่ยวข้องหรือปะปนกันอยู่กับความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ บางพิธีกรรมแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน
แยกไม่ออกว่าเป็นพราหมณ์หรอื พุทธ ท่ีเปน็ เชน่ นน้ั กเ็ พราะวา่ ท้งั ๒ ศาสนามีแหล่งกาเนิดท่ีเดียวกัน
ศาสนาพราหมณ์เกิดก่อน ศาสนาพุทธเกิดที่หลัง ขณะที่คนทีน่ ับถอื ศาสนาท้ัง ๒ เป็นคนกลุ่มเดียวกัน
เริม่ แรกก็นับถอื ศาสนาพราหมณ์ ต่อมามีพุทธเกดิ ข้ึน ชอบใจในคาสอนก็หนั มานับถือพุทธ การหันมา
นับถือพุทธก็ไม่ได้หมายความว่าจะสะลัดความเคยชินที่เคยเชื่อ เคยปฏิบัติมาตั้งแต่เป็นพราหมณ์
ออกไปท้ังหมด เพราะสิ่งเหลา่ นั้นเม่อื ปฏิบัติแลว้ ยงั สร้างความสขุ ใจ ความสบายใจให้กับผู้ฏบิ ัติอยู่ แต่
ตอ้ งตั้งอย่ใู นหลกั การของพุทธคือพิธีกรรมนน้ั ต้องไม่ทาให้ตนเองและผู้อ่นื เดือดร้อน ถึงอย่างไรก็ตาม
ทง้ั ๒ ศาสนากม็ พี ธิ ีกรรมเฉพาะท่ไี มเ่ ก่ียวขอ้ งกนั เลยกับอกี ศาสนาหน่ึง หากจะแยกวา่ พิธีกรรมใดเป็น
ของศาสนาใด ก็ใหห้ นั กลับไปดูหลกั การอนั เปน็ แกน่ ของแต่ละศาสนาว่าเป็นอย่างไร ศาสนาพุทธเป็น
ศาสนาประเภทอเทวนิยม (Atheism) ปฏิเสธพระเจ้า เชื่อในกฎธรรมชาติ ต่างจากศาสนาพราหมณ์
โดยสนิ้ เชงิ ซ่ึงเปน็ ศาสนาประเภทพหุเทวนิยม (Polytheism)นับถือพระเจ้าหลายองค์ ดังนน้ั การทจ่ี ะ
รู้ว่าพิธีกรรมใดเป็นของศาสนาพุทธเพรียวๆ พิธีกรรมนั้นต้องไม่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าเลย เช่น พิธี
กรรมการบรรพชาอุปสมบท พธิ ีเขา้ พรรษา ออกพรรษา
ชุดความรู้เกี่ยวกับศาสนพิธี ศาสนพิธี เป็นพิธีกรรมทางศาสนาในการนําหลักธรรมคํา
สอนของศาสนาลงสู่ การปฏิบตั ขิ องศาสนกิ ชน การปฏบิ ตั ิศาสนพิธีท่ีมคี วามเรียบรอ้ ย สวยงาม และ
เป็นไปในแนวทางเดียวกันจะก่อให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในการบําเพ็ญกุศลต่าง ๆ ของผู้ที่ได้ร่วม
กิจกรรมในพิธีนั้น ๆดังคําที่ว่า “พิธีดี เกจิดัง ความขลังย่อมปรากฏ” เกิดการสร้างคุณค่าทางด้าน
จติ ใจ เพ่ือเปน็ การธาํ รงรักษาเอกลกั ษณ์ของชาตแิ ละศาสนา การทพี่ ุทธศาสนกิ ชนโดยเฉพาะอย่างยงิ่ ผู้
ทท่ี าํ หนา้ ท่ีเป็นศาสนพธิ กี รจําเปน็ ต้องมแี นวปฏบิ ตั เิ กี่ยวกบั ศาสนพิธีให้เป็นไปในแนวทางเดยี วกนั
ชุดความรู้เกี่ยวกับราชพิธี รัฐพิธี สังคมไทยได้ยอมรับกันทั่วไปว่า ศาสนามีความสําคัญตอ่
วัฒนธรรมประเพณี เพราะมีผลตอ่ ความรู้สึกนกึ คิด ประเพณี และความเช่ือ ได้สื่อออกมาในลักษณะ
ของพิธีกรรมทางศาสนาและถือปฏิบัติเป็นแบบอย่าง ประเพณี และธรรมเนียมสืบต่อกันมา ขณะท่ี
พระมหากษัตรยิ ใ์ นฐานะทที่ รงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก ไดท้ รงเปน็ แบบอยา่ งของการปฏบิ ัตพิ ระ
ราชกรณียกิจด้านศาสนพิธีสืบทอดกันมาได้อย่างบริสุทธิ์ไม่คลาดเคลื่อนจากอดีตถึงปัจจุบัน จน
๑๗๕
กลายเป็นราชประเพณีสืบต่อกันมาจนถึงปจั จุบนั ซึ่งพุทธศาสนิกชนชาวไทยได้ยึดถือเป็นแนวปฏบิ ัติ
เพอ่ื เป็นการสืบทอดกจิ กรรมด้านศาสนพิธีให้คงอยู่และแพร่หลายไปสสู่ ถาบนั ต่าง ๆ ของสงั คมไทยท้ัง
ในสว่ นกลางและภูมิภาค
๕.๒ การอภปิ รายผล
การอภิปรายผลครั้งนี้ ผู้วิจัยได้อภิปรายผลการวิจยั ตามวัตถปุ ระสงค์ของการวิจัยโดยใช้
แนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ัยที่เกยี่ วข้องทไี่ ดร้ วบรวมมาแลว้ มาดำเนินการอภิปรายผล ดงั นี้
องค์วามรู้ ตำรา และการศาสนพิธีของมัคนายกและภาคีเครือข่าย ในจังหวัดเชียงราย
ซึ่งมีงานวิจัยที่สอดคล้องดังน้ีคือ พันเอก บุญยัง ศรีสมพงษ ในวิทยานิพนธเรื่อง“การศึกษาบทบาท
ในการสอนธรรมของอนุศาสนาจารยกองทัพบก” ไดผลการวิจัยวา สังคมไทยทั่วไปสวนมากจะรูจัก
บทบาทหนาท่ีของอนุศาสนาจารย โดยเฉพาะในดานการอบรม บรรยายธรรม และการเปนพธิ ีกรตาม
งานพิธีสําคัญทางพระพุทธศาสนาตางๆ เชน พิธีมาฆบูชา พิธีวิสาขบูชา พิธีอาสาฬหบูชา และพิธี
ทําบุญ หรือประชุมสัมมนาที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา อดีตอนุศาสนาจารยทหารบกที่ชาวไทยรูจัก
ชือ่ เสียงเกยี รตคิ ุณมากท่ีสุด ไดแก พันเอก ปน มทุ กุ ันต ทานมผี ลงานดานการประพนั ธหรือแตงหนังสื
อธรรมมาก ผลงานของทานเปนท่ีรูจักและเปนท่ีนิยมชมชอบของนักการศาสนาและประชาชนทุกหมู
เหลา ดานการบรรยายธรรมทางสถานีวิทยุกระจายเสียง ก็มีประชาชนนิยมติดตามฟงผลงานของ
ทานไมนอยไปกวางานการประพนั ธ
การพัฒนาชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์)โดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายใน
จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีงานวิจัยที่สอดคล้องดังนี้คือ แกมกาญจน์ พิทักษ์วงศ์ ในวิทยานิพนธเรื่อง
“ปริจเฉทการพดู ของมัคนายก ในวัดพระอารามหลวงจงั หวดั นครปฐม : การศึกษาตามแนวชาตพิ ันธ์ุ
วรรณนาแห่งการสื่อสาร” ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบการสื่อสารทุกองค์ประกอบมีส่วนสัมพันธ์
กันที่ทำให้การเชิญชวนเกิดขึ้นในชมุ ชนนี้ได้กล่าวคือฉากของปริจเฉทนีเ้ ป็นพื้นทีท่ ี่มีความเชื่อว่าเป็น
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ที่พุทธศาสนิกชนปรารถนาจะมาทำสิ่งดี ๆ ที่เป็นกุศล ผู้ร่วมเหตุการณ์
ซึ่งเปน็ ผู้ส่งสารอยา่ งมคั นายก จึงเป็นผู้ท่ีไดโ้ อกาสพูดเชิญชวนให้คนได้ร่วมทำบญุ อย่างไมจ่ ำกัดโดยมี
บรรทัดฐานของการปฏิสัมพันธ์ที่ผู้ส่งสารและผูร้ บั สารยินยอมให้เกิดบรรยากาศทีเ่ ปน็ กันเอง ใกล้ชิด
และมีบรรทัดฐานของการตีความของคนในชุมชนนีว้ ่ามคั นายกได้รับสทิ ธ์ิอันชอบธรรมในการพูดเชญิ
ชวน มีบทบาท สำคัญที่น่าเชื่อถือ และผู้รับสารก็ยินยอมให้เชิญชวนได้โดยไม่รู้สึกว่าเป็นการละเมิด
สิทธิส่วนบุคคลเพราะเชื่อว่าการทำบุญเป็นเร่ืองท่ีดีที่คนในสังคมยอมรับ การชักชวนกันทำสิง่ ท่ดี ีจงึ
เป็นเรื่องที่ดี โดยมีมัคนายกเป็นสื่อกลางในการนำบุญนั้นมาให้ด้านจุดมุ่งหมายในการสื่อสารนี้ทั้ง
“ผู้ร่วมเหตุการณ์” ซึ่งหมายถึงผู้ส่งสารและผู้รับสาร ต่างมีจุดมุ่งหมายที่สอดคล้องกัน นั่นคือการ
มาร่วมกันทำบุญ ผู้รับสารได้ทำเพื่อความสบายใจของตนเอง ในขณะเดียวกันผู้พูดเชิญชวนก็บรรลุ
๑๗๖
วตั ถุประสงคใ์ นการเชิญชวน จากการเก็บขอ้ มูลยังพบว่าในบริบทชองชุมชนวฒั นธรรมการส่ือสารนี้ผู้
ส่งสารเลือกใช้เครอื่ งมือในการสื่อสารคือการพดู สดและใช้กลวธิ ีทางภาษาเพ่ือโน้มน้าวใจ เชน่ การเล่า
เรื่องการเลอื กใช้คำลงทา้ ย รวมถงึ การเลอื กใชน้ ้ำเสียงท่อี อ่ นหวาน ไม่กระโชกโฮกฮากเป็นภาษาระดับ
กันเองสนุกสนานและพยายามสร้างปฏิสัมพันธ์กบั ผู้รับสารสังเกตจากการที่มัคนายกใช้คำเรียกผู้ทำ
บุญทั้งการเรียกแบบสนิทสนมและการเรียกแบบใช้คำแสดงการยกย่อง รวมถึงการใช้คำหยอกเย้า
ผทู้ ำบญุ เพ่อื สรา้ งบรรยากาศความเป็นกนั เองเปน็ ต้น พฤติกรรมทงั้ หมดเกดิ ข้นึ บน “ฉาก” หรือสภาวะ
แวดล้อมทางกายภาพของเหตกุ ารณส์ ื่อสารท่ีเอือ้ อำนวยให้การปฏิสมั พนั ธ์ระหว่างมคั นายกและ ผู้ทำ
บุญเป็นไปอย่างราบร่นื
วเิ คราะห์และนำชดุ ความรหู้ ลักสูตรมัคนายก (ปจู่ ารย)์ ไปประยกุ ต์ใช้ ในการศาสนพธิ ีของ
จังหวัดเชียงราย ซึง่ มีงานวิจัยท่ีสอดคล้องดังนี้คือ จีรศักดิ์ ปันลำ ในวิทยานิพนธเรื่อง “รูปแบบและ
กระบวนการสรา้ งเครอื ขา่ ยมคั นายกในการสง่ เสรมิ การเรียนรู้พระพุทธศาสนาในลา้ นนา” ผลการวิจัย
พบว่า คนายกหรือปู่จ๋ารย์ แปลว่า ผู้นำทาง ผู้นำทางบุญทางกุศลเป็นหัวหน้าในศาสนพิธี เช่น
อาราธนาศีล อาราธนาธรรม กล่าวนำถวาย ตามปกติจะทำหน้าที่ประจำที่วัดใดวัดหนึ่งมักจะเรียก
สบั สนวา่ มรรคทายก ซ่ึงหมายถึง ผู้ใหท้ าง หรือ ผบู้ อกทาง มรรคนายก เปน็ อบุ าสก จงึ ต้องมคี ณุ ธรรม
ของอบุ าสก ไดแ้ ก่ มศี รัทธา มีศลี มคี วามประพฤตทิ างกาย วาจาทเี่ รยี บรอ้ ย เชอื่ กรรมไม่ถือมงคลตื่น
ข่าว ไม่แสวงหาบุญนอกเขตภายนอกหลักพระพุทธศาสนา ให้การอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา
รปู แบบเครือข่ายของมรรคนายกในลา้ นนา ที่พบเหน็ เป็นการรวมตวั แบบไม่เปน็ ทางการ แต่มีการนัด
ประชุมสามัญประจำปี เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเครือข่าย ในด้านกระบวนการสร้างเครือข่าย
ของมัคนายก พบว่า ประกอบด้วย ๖ ขั้นตอน คือ ๑) ขั้นตระหนักถึงความจ าเป็นในการสร้าง
เครือข่ายของมัคนายก ๒) ขั้นประสานหน่วยงาน/องค์กรเครือข่ายของมัคนายก ๓) ขั้นสร้างพันธ
สัญญารว่ มกนั ๔) ข้ันบริหารจดั การเครอื ข่ายมัคนายก ๕) ข้ันพฒั นาความสัมพันธ์ และ ๖) ข้ันรักษา
ความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ประสิทธิผลของการสร้างเครือข่าย มัคนายกที่เข้าร่วมต้องศรัทธา
เครือข่ายด้วยความเต็มใจ สมาชิกกลุ่มมัคนายกต้องยอมรับในวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ร่วมกัน
กล่มุ มคั นายกต้องตระหนักถงึ ความสำคญั ของเครือข่ายอยู่เสมอ เจษฎา สอนบาลี ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง
สถานภาพและบทบาทของน้อยและหนาน ในสงั คมลา้ นนา๓๐ พบว่า สถานภาพและบทบาทของน้อย
และหนานในอดีตมอี ยู่ ๖ ด้าน คอื ด้านการเป็นผู้นำ ดา้ นการแพทย์แผนโบราณ ด้านงานชา่ ง “สล่า”
ด้านศิลปะและการแสดง ด้านการศึกษา ด้านพิธีกรรม โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ ป๎จจุบันเหลือเพียง
ด้านพิธีกรรม โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ รูปแบบและวิธีการฟื้นฟูสถานภาพและบทบาท คือ การ
๓๐ เจษฎา สอนบาลี, “สถานภาพและบทบาทของน้อยและหนานในสังคมล้านนา”,วิทยานิพนธ
ศาสนาศาสตรมหาบณั ฑิต, (บัณฑติ วิทยาลัย : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๐).
๑๗๗
ปรับปรุงตนเอง ศกึ ษาคน้ ควา้ เพิ่มเติม พระมหาจิตรกร นาถปุญโฺ ญ (ตาทลา) ได้ศกึ ษาวจิ ยั เรอ่ื ง ศึกษา
วเิ คราะห์บทบาทของปูอ่ าจารย์ในการส่งเสริมกิจกรรมทางพระพทุ ธศาสนา : ศึกษาเฉพาะกรณีอำเภอ
ป่าซาง จงั หวัดลำปาง พบว่า มบี ทบาทดา้ นถวายความอุปถัมภพ์ ระสงฆ์ มีบทบาทด้านการชักชวนคน
เขา้ วัดฟังธรรม มีบทบาทด้านการสนบั สนุนพระสงฆ์ในการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา มีบทบาทด้านการ
ปกป้องพระพทุ ธศาสนา มีบทบาทดา้ นพธิ ีกรรมทางพระพุทธศาสนาและมีบทบาททางสงั คมอ่นื ๆ เช่น
เปน็ ผูป้ ระสานงานระหว่างวดั บ้าน โรงเรยี นและช่วยเหลอื ผ้ปู ระสบภยั เป็นต้น๓๑
๕.๓ ขอ้ เสนอแนะ
๕.๓.๑ ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย
งานวจิ ัยเรอ่ื งน้ี ผวู้ ิจัยมขี อ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย ดงั น้ี
ก. ควรมีการศึกษาเรื่อง “มัคนายก : แนวคิดและแรงจูงใจในการเป็นผู้นำบุญล้านนา”
ซ่ึงเป็นการศึกษาไม่เฉพาะเจาะจงของแต่ละพนื้ ท่ี เพราะเปน็ การฟนื้ ฟแู ละอนรุ กั ษศ์ ิลปะวัฒนธรรมซง่ึ
เป็นภมู ิปัญญาของชาวล้านนา
ข. ควรมีควรมีการศึกษาเรื่อง “มัคนายกในล้านนากับการเรียนรู้นวัตกรรมแบบใหม่”
ซึ่งเป็นการศึกษาเฉพาะเจาะจงของแต่ละจังหวัด เพื่อเป็นการก้าวทันความก้าวหน้าของมัคนายก
ล้านนาให้ทันสมัยในยคุ ไทยแลนด์ ๔.๐
ค. ควรมีการศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบและกระบวนการสร้างเครือข่ายมัคนายกในการ
สง่ เสริมการเรยี นรพู้ ระพทุ ธศาสนาในลา้ นนา
๓๑ พระมหาจิตรกร นาถปุญฺโญ (ตาทลา), “ศึกษาวิเคราะห์บทบาทของปู่อาจารย์ในการส่งเสริม
กิจกรรมทางพระพุทธศาสนา : ศึกษาเฉพาะกรณีอำเภอป่าซาง จังหวัดลำปาง”,วิทยานิพนธศาสนาศาสตรมหา
บัณฑิต, (บัณฑติ วิทยาลัย : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๖๐).
๑๗๘
บรรณานุกรม
๑. ภาษาไทย
ก. ข้อมลู ปฐมภูมิ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . พระไตรปฎิ กภาษาบาลี ฉบบั มหาจฬุ าเตปฏิ กํ ๒๕๐๐. กรงุ เทพมหานคร:
โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕.
________. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร:
โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙.
มหามกุฏราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับสฺยามรฏฺ เตปิฏกํ ๒๕๒๕. กรุงเทพมหานคร:
โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๕.
________. พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถา แปล ชุด ๙๑ เล่ม. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพม์ หามกุฏ
ราชวิทยาลยั , ๒๕๓๔.
มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. ปกรณวเิ สสภาษาบาลี ฉบับมหาจฬุ าปกรณวเิ สโส. กรงุ เทพมหานคร:
โรงพมิ พ์วญิ ญาณ, ๒๕๓๙.
________. อรรถกถาภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาอฏฺ กถา. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๒.
________. ฎีกาภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาฎีกา. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ
ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙.
ข. ข้อมูลทุติยภมู ิ
(๑) หนงั สอื :
ราชบณั ฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. ( กรงุ เทพมหานคร : นานมีบุ
คสพบั ลเิ คชนั ส, ๒๕๔๖).
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). พุทธธรรมฉบับปรับและขยายความ. พิมพ์ครั้งที่ ๙.
(กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๓.
พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต). พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบับประมวลศพั ท. (กรุงเทพมหานคร : ไทย
พานิชการพมิ พ, ๒๕๔๙.
บรรจบ บรรณรจุ ิ. เลม่ นม้ี ีปัญหา ๒ . (กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๗.
อนุ เนินหาด. ผปี ูยาพระสงฆปูจานปาเฮี่ยวและสปั เหรอ. (เชียงใหม : นพบรุ กี ารพิมพ, ๒๕๔๗.
๑๗๙
สชุ ีพ ปุญญานุภาพ. พระไตรปิฎกฉบบั สำหรับประชาชน. (กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย,
๒๕๓๙).
(๒) ดุษฎีนิพนธ์/วิทยานพิ นธ์/สารนพิ นธ์:
แกมกาญจน์ พิทักษ์วงศ์. “ปริจเฉทการพูดของมัคนายก ในวัดพระอารามหลวงจังหวัดนครปฐม :
การศึกษาตามแนวชาติพันธ์ุวรรณนาแห่งการสื่อสาร”. วิทยานิพนธศาสนาศาสตรมหา
บณั ฑิต. (บณั ฑติ วทิ ยาลยั : มหาวิทยาลัยมหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๖๐).
รังสสี ุทนต์ “การศกึ ษาวิเคราะห์บทบาทของอนาถบิณฑิกอุบาสกที่ปรากฏในคัมภรี พ์ ระพุทธศาสนา”,
วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต. (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๔).
พระสมหุ พ์ รเทพ ภวธมโฺ ม (โตแย้ม). “บทบาทการท าขวญั นาคในการเผยแผธ่ รรมะแกป่ ระชาชนของ
นายชินกร ไกรลาศ, (ชิน ฝ้ายเทศ)”.วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต (ธรรมนิเทศ).
(บณั ฑิตวทิ ยาลัย : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๑.
จีรศักดิ์ ปันลำ, “รูปแบบและกระบวนการสร้างเครือข่ายมัคนายกในการส่งเสริมการเรียนรู้
พระพุทธศาสนาในล้านนา”. วิทยานิพนธศาสนาศาสตรมหาบัณฑิต. (บัณฑติ วิทยาลัย :
มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๖๐).
เจษฎา สอนบาลี. “สถานภาพและบทบาทของน้อยและหนานในสังคมล้านนา”. วิทยานิพนธ
ศาสนาศาสตรมหาบณั ฑิต. (บณั ฑติ วทิ ยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย
, ๒๕๖๐).
พระวิเชยี รบรุ ี สติสมปฺ นโฺ น (ขวญั โพก). “ศึกษาบทบาทในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาของพระเจ้าป
เสนทิโกศล”. วทิ ยานิพนธ์พทุ ธศาสตรมหาบัณฑติ (พระพทุ ธศาสนา). (บณั ฑิตวิทยาลัย :
มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๔).
พันเอก บุญยัง ศรีสมพงษ, “การศึกษาบทบาทในการสอนธรรมของอนุศาสนาจารยกองทัพบก”,
วิทยานิพนธศาสนาศาสตรมหาบัณฑิต. (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหามกุฏราช
วิทยาลัย, ๒๕๔๓).
๑๘๐
ภาคผนวก
๑๘๑
ภาคผนวก ก.
รายนามผูใ้ หข้ อ้ มูลเพือ่ การวจิ ยั (สมั ภาษณ์)
๑๘๒
ภาคผนวก ค.
หนังสือขอความอนเุ คราะห์เกบ็ ข้อมลู เพอ่ื การวจิ ัย (สมั ภาษณ์)
๑๘๓
๑๘๔
๑๘๕
๑๘๖
๑๘๗
๑๘๘