65
1.2 ประเภทของอาหารธรรมชาติ
อาหารธรรมชาติ ที่พบได้ โดยทว่ั ไปตามแหล่งน้าธรรมชาติและในบ่อเล้ียงสัตวน์ ้า ไดแ้ ก่
แพลงก์ตอน พรรณไมน้ ้า สัตวน์ ้าขนาดเล็ก สัตวห์ น้าดิน สัตวจ์ าพวกหนอนแมลงและตวั อ่อนของ
แมลง โดยมีรายละเอียดดงั น้ี
1.2.1 แพลงก์ตอน หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่ล่องลอยอยใู่ นน้า ไม่เกาะติดกบั ส่ิงมีชีวติ อื่น
ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็ก แพลงกต์ อนสามารถแบ่งตามลกั ษณะการสร้างอาหารไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ
1) แพลงกต์ อนพืช ถือไดว้ า่ มีความสาคญั ต่อส่ิงมีชีวติ ในแหล่งน้า เพราะเป็ นผผู้ ลิต
ข้นั ตน้ ในห่วงโซ่อาหาร แพลงกต์ อนพชื สามารถสร้างอาหารเองได้ โดยกระบวนการสังเคราะห์แสง
ซ่ึงจะตอ้ งใชร้ งควตั ถุสีเขียวท่ีเรียกวา่ คลอโรฟิ ล เป็นองคป์ ระกอบสาคญั เช่น คลอเรลลา (chlorella)
ดงั แสดงในภาพที่ 3.2 คีโตเซอรอส (chaetoceros) สเกลีโตนีมา (skeletonema) และ เตตราเซลมีส
(tetraselmis) เป็นตน้
ภาพท่ี 3.2 คลอเรลลา
ท่ีมา : Koning (1994)
2) แพลงกต์ อนสตั ว์ คือสัตวน์ ้าเล็กๆ ท่ีล่องลอยไปตามกระแสน้า เป็นอาหารข้นั ที่สอง
ของแหล่งน้า ถือเป็นอาหารเบ้ืองตน้ ของสัตวน์ ้าวยั อ่อน ประกอบดว้ ยส่ิงมีชีวติ เซลลเ์ ดียวหรือหลาย
เซลล์ เช่น โรติเฟอร์ ไรแดง ไรน้านางฟ้ า และอาร์ทีเมีย ดงั แสดงในภาพท่ี 3.3 เป็นตน้
66
ภาพท่ี 3.3 อาร์ทีเมีย
ท่ีมา : ศนู ยว์ จิ ยั และพฒั นาประมงชายฝั่งสุราษฎร์ธานี (2551)
1.2.2 พรรณไมน้ ้า พืชน้านอกจากเป็ นแหล่งอาหารธรรมชาติของสัตวน์ ้าแลว้ ยงั เป็ น
แหล่งที่อยู่อาศยั หลบภยั และเป็ นแหล่งผสมพนั ธุ์วางไข่ของสัตวน์ ้าดว้ ย เช่น สาหร่าย สันตะวา
ผกั กะเฉด ผกั บุง้ ไข่น้า ดงั แสดงในภาพที่ 3.4 และแหนเป็ด เป็นตน้
ภาพที่ 3.4 ไขน่ ้า
ที่มา : ตุลฮาบ (2553)
1.2.3 สัตวน์ ้าขนาดเล็ก เช่น พวกตวั อ่อนของกุง้ ตวั อ่อนของปู เป็ นอาหารหลกั ของ
ลูกปลาวยั อ่อนพวกกุง้ ปู ตวั เล็ก ๆ เป็นอาหารของสัตวน์ ้าท่ีมีขนาดใหญ่กวา่ ยกตวั อยา่ งเช่น กุง้ ฝอย
เคย และกงุ้ น้าจืด เป็นตน้
67
1.2.4 สัตวน์ ้าหน้าดิน พวกน้ีชอบซุกซ่อนตวั เกาะตามพรรณไมน้ ้าหรือคืบคลานตาม
กน้ บ่อกินพวกเศษพืชและส่ิงท่ีเน่าเป่ื อยเป็ นอาหาร มีท้งั หอยฝาเดียว เช่น หอยขม และหอย 2 ฝา
เช่น หอยกาบ หอยทราย เป็นตน้
1.2.5 สัตวพ์ วกหนอน ตวั หนอนหลายชนิดที่เป็ นอาหารของสัตวน์ ้า เช่น ไส้เดือนดิน และ
หนอนแดง เป็นตน้
1.2.6 แมลงและตวั อ่อนแมลงในน้า แมลงและตวั อ่อนแมลง เป็ นแหล่งอาหารสาคญั
ในบ่อเล้ียงสัตวน์ ้า โดยสัตวน์ ้าบางชนิดจะกินตวั อ่อนของแมลงเป็ นอาหาร เช่น ตวั อ่อนชีปะขาว
ตวั ออ่ นแมลงปอ และลูกน้า เป็นตน้
อาหารธรรมชาติ นอกจากจะเป็นกลุ่มส่ิงมีชีวติ ดงั กล่าวมาแลว้ อาหารธรรมชาติยงั รวมส่ิงท่ี
ไม่มีชีวติ เช่น แร่ธาตุและวติ ามินท่ีอยใู่ นดินและน้า โดยเฉพาะแร่ธาตุหลกั และวิตามินท่ีละลายอยใู่ นน้า
ไดแ้ ก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม โซเดียม โพแทสเซียมคลอไรด์ กามะถนั วิตามินบีรวม และ
โคลีน เป็นตน้ นอกจากน้ียงั มีอาหารธรรมชาติท่ีสัตวน์ ้าบางชนิดกินเป็ นอาหารได้ คือ ซากพืช ซากสัตว์
ที่ตายลงภายในแหล่งน้าน้นั ๆ ดว้ ย
1.3 ผลกระทบของแพลงกต์ อนพืชต่อสตั วน์ ้า
ในแหล่งน้าท่ีมีปริมาณแพลงกต์ อนมากหรือนอ้ ยเกินไปจะมีผลกระทบท้งั ทางตรงและ
ทางออ้ มต่อแหล่งน้าและสัตวน์ ้าโดยเฉพาะแพลงกต์ อนพืช
1.3.1 ผลกระทบโดยตรงของแพลงก์ตอนพืชต่อสัตวน์ ้า ผลกระทบโดยตรงของ
แพลงกต์ อนพชื ตอ่ สตั วน์ ้า แยกไดเ้ ป็นขอ้ ๆ ดงั น้ี
1) เป็นอาหารธรรมชาติของสัตวน์ ้า แพลงกต์ อนพืชหลายชนิดเป็ นอาหารของสัตว์
น้าไดด้ ี และมีคุณค่าทางอาหารสูง แต่บางชนิดไม่สามารถใชเ้ ป็นอาหารของสัตวน์ ้าได้
2) แพลงก์ตอนพืชบางชนิดสร้างสารพิษที่เป็ นอนั ตรายต่อสัตวน์ ้า เช่น สาหร่าย
สีน้าเงินแกมเขียว บางชนิดทาให้เกิดกลิ่นโคลนในสัตวน์ ้า บางชนิดเป็ นสาเหตุของการอกั เสบของ
เน้ือเย่ือบุทางเดินอาหารของกุ้ง บางชนิดเป็ นพิษต่อปลา และสัตวบ์ ก ท่ีด่ืมน้าท่ีมีสาหร่ายเขา้ ไป
บางชนิดสามารถสร้างสารพิษท่ีมีผลต่อระบบประสาทที่เป็ นพิษต่อสัตวน์ ้า พวกหอย ปลา และสัตว์
เล้ียงลูกดว้ ยน้านมบางชนิด
3) แพลงกต์ อนพชื บางชนิด มีลกั ษณะพเิ ศษเฉพาะตวั ท่ีอาจก่อใหเ้ กิดปัญหากบั
สัตวน์ ้าโดยไปติดบริเวณเหงือก ทาใหม้ ีปัญหาในระบบการหายใจของสตั วน์ ้า
1.3.2 ผลกระทบทางออ้ มของแพลงกต์ อนพชื ต่อสตั วน์ ้า มีดงั น้ี
1) เป็นอาหารของแพลงกต์ อนสตั วแ์ ละสัตวน์ ้าขนาดเล็ก ที่เป็นอาหารธรรมชาติ
ของสัตวน์ ้า
68
2) ช่วยเพิ่มออกซิเจนแก่น้าในช่วงที่มีการสังเคราะห์แสง
3) ช่วยลดปริมาณสารพษิ เช่นแอมโมเนีย และคาร์บอนไดออกไซด์ โดยแพลงกต์ อนพชื
จาเป็นตอ้ งใชใ้ นการสังเคราะห์แสง
4) ในบางสภาวะท่ีมีการแพร่พนั ธุ์ในปริมาณมากเกินไป อาจทาใหเ้ กิดปัญหาการ
ขาดออกซิเจนในน้าในช่วงเวลากลางคืน ซ่ึงอาจมีผลตอ่ สัตวน์ ้า
5) เมื่อแพลงก์ตอนพืชแพร่พนั ธุ์มากและตายลง จะเกิดการเน่าสลายอยา่ งรวดเร็ว
ทาใหเ้ กิดปัญหาการขาดออกซิเจนและเกิดความเป็ นพิษของสารพิษท่ีเกิดจากการเน่าสลายของมวลของ
แพลงก์ตอนพืช เช่น แอมโมเนีย ไฮโดรเจนซัลไฟด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ ซ่ึงเป็ นอนั ตรายมาก
สาหรับสตั วน์ ้า
6) แพลงกต์ อนพชื ในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดปริมาณแสงท่ีส่องผา่ นลงไป
ในน้า ช่วยลดความเครียดของสัตวน์ ้าบางชนิดที่ไวตอ่ แสง
1.3.3 ปัญหาท่ีเกิดจากแพลงกต์ อนพชื ในการเพาะเล้ียงสตั วน์ ้า สามารถแยกออกไดเ้ ป็น
2 กลุ่มดงั น้ี
1) ปัญหาเนื่องจากมีแพลงกต์ อนพืชในปริมาณนอ้ ยเกินไป มีสาเหตุมาจากขาดธาตุ
อาหาร อาจเป็ นธาตุอาหารหลกั ธาตุอาหารรอง หรือจุลธาตุ น้าขุ่นทาให้ปริมาณแสงในน้ามีจากดั
น้ามีความเป็ นด่างต่า ทาให้ขาดแหล่งท่ีจะให้คาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อใช้ในการสังเคราะห์แสง
หรือน้ามีความกระดา้ งในรูปแคลเซียมสูง และมี pH สูง ทาให้เกิดการตกตะกอนของแคลเซียม
ฟอสเฟตไดง้ ่าย หรือน้าอยู่ในสภาพกรด มีอะลูมิเนียมและเหล็กสูงทาให้เกิดการตกตะกอนของ
ฟอสฟอรัส
(1)ลกั ษณะของปัญหาที่เกิดข้ึนเน่ืองจากมีแพลงกต์ อนพืชในปริมาณนอ้ ยเกินไป
ก. ขาดอาหารธรรมชาติในบ่อ
ข. ทาใหเ้ กิดพนั ธุ์ไมน้ ้า สาหร่ายเส้นใย หรือข้ีแดดท่ีพ้นื บ่อ ซ่ึงจะสร้าง
ปัญหาในการเล้ียงสัตวน์ ้า เมื่อตายและเน่าสลายทาใหพ้ ้ืนกน้ บ่อเน่า
ค. ทาใหส้ ัตวน์ ้าท่ีไวต่อแสงเช่นกุง้ กลุ าดาเกิดอาการเครียดกินอาหารนอ้ ยลง
ง. ขาดแหล่งที่จะผลิตออกซิเจนจากกระบวนการสงั เคราะห์แสง
จ. ขาดตวั ที่จะช่วยดูดซบั สารพิษจาพวก แอมโมเนีย และคาร์บอนไดออกไซด์
อาจทาใหเ้ กิดการสะสมจนเป็ นอนั ตรายต่อสตั วน์ ้า
(2) วธิ ีการป้ องกนั และแกไ้ ขกรณีที่มีแพลงกต์ อนพืชนอ้ ยเกินไป สามารถทาได้
ดงั น้ี
69
ก. การแก้ไขปัญหาการขาดธาตุอาหาร ทาได้โดยการใส่ป๋ ุยในจานวน
ป๋ ุยหลกั 3 ชนิด คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ถา้ ใส่ป๋ ุยท่ีเป็ นธาตุหลกั ครบแลว้ ยงั ไม่มี
การตอบสนองของแพลงก์ตอนพืช ให้ทดลองใส่ธาตุรองและจุลธาตุ โดยปรับใชส้ ารผสมที่ใช้ในการ
เพาะเล้ียงแพลงก์ตอนพชื สาหรับการอนุบาลสัตวน์ ้า
ข. ในกรณีที่ตรวจสอบแล้วพบว่าปัญหาเกิดจากน้าท่ีมีความเป็ นด่างต่า
ใหเ้ พิ่มความเป็นด่างในน้า โดยใชว้ สั ดุปูน หรือโซเดียมไบคาร์บอเนต
ค. ในบ่อท่ีมีปัญหาดินเปร้ียว ใหใ้ ชว้ สั ดุปูนปรับสภาพดินก่อนเก็บน้าเล้ียงปลา
ง. ในบ่อท่ีมี pH สูง และมีการสะสมของแคลเซียมมาก ใหล้ า้ งหรือเปลี่ยน
ถ่ายน้า เพื่อลดปริมาณแคลเซียม
จ. บอ่ ท่ีมีน้าขุ่นอาจจะใชป้ ูนขาว ยบิ ซมั หรือสารส้มในการช่วยลดความข่นุ
แต่จะช่วยไดไ้ ม่ถาวร เม่ือมีการชะลา้ งลงมาใหม่น้าจะข่นุ ข้ึน
ฉ. บ่อที่มีปัญหาเกี่ยวกบั แพลงกต์ อนสัตว์ ส่วนมากเป็ นพวกโรติเฟอร์ ซ่ึง
กรองกินแพลงกต์ อนพืช ใหก้ าจดั โดยอาจใชฟ้ อร์มาลินหรือคลอรีน
2) ปัญหาเน่ืองจากมีแพลงก์ตอนพืชในปริมาณที่มากเกินไป ซ่ึงอาจเกิดจากการท่ี
แหล่งน้ามีปริมาณธาตุอาหารมากเกินไป มีการใส่อยา่ งต่อเน่ือง เช่น ป๋ ุย หรือเศษอาหารและของเสียจาก
สัตวน์ ้าซ่ึงเน่าสลายให้ธาตุอาหาร นอกจากน้ีอาจเกิดมาจากการเปลี่ยนถ่ายน้า หรือกาจดั ตะกอนเลน
ทาใหเ้ กิดการสะสมของธาตุอาหารในบ่อปริมาณมาก
(1) ลกั ษณะของปัญหาที่เกิดข้ึนเนื่องจากมีแพลงก์ตอนพืชในปริมาณมากเกินไป
ก. อาจทาใหเ้ กิดปัญหาการลดต่าหรือขาดออกซิเจน ในน้าในช่วงกลางคืน
หรือเชา้ มืด เพราะแพลงกต์ อนพืชตอ้ งใชอ้ อกซิเจนในการหายใจ
ข. การสังเคราะห์แสงและการหายใจของแพลงกต์ อนพืชในปริมาณมาก
จะทาใหเ้ กิดการผลิตและการใชค้ าร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมาก ทาให้มีการเปล่ียนแปลงปริมาณ
คาร์บอนไดออกไซด์ในน้าในรอบวนั สูง และมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง pH ในช่วงกวา้ ง และอตั รา
การสงั เคราะห์แสงท่ีมีมากในช่วงบ่ายอาจทาให้ pH สูงจนถึงระดบั ที่เป็นอนั ตรายต่อสัตวน์ ้า
ค. การตายของแพลงกต์ อนพืชท่ีมีอยเู่ ป็ นจานวนมากในน้า จะทาให้เกิด
การเน่าสลายของมวลของแพลงก์ตอนอย่างรวดเร็ว มีการดึงออกซิเจนจากน้าไปใช้และปล่อย
สารพิษท่ีเกิดจากการเน่าสลายของมวลแพลงก์ตอน เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ แอมโมเนีย และ
ไฮโดรเจนซลั ไฟดอ์ อกมา ซ่ึงเป็ นอนั ตรายสาหรับสัตวน์ ้า การตายของแพลงก์ตอนพืชในปริมาณมาก ๆ
ในบอ่ เล้ียงสตั วน์ ้าเป็นสาเหตุหลกั อนั หน่ึงที่ทาใหส้ ัตวน์ ้าตายท้งั บอ่
70
(2) วิธีการป้ องกนั และแก้ไขกรณีท่ีมีแพลงก์ตอนพืชมากเกินไป สามารถทาได้
ดงั น้ี
ก. ควรเปลี่ยนถ่ายน้าเพอ่ื ลดปริมาณแพลงกต์ อนพชื และธาตุอาหาร
ข. การทาให้น้าขุ่นเพื่อจากดั ปริมาณแสงที่จะส่องผ่านลงไปในน้า ซ่ึง
สามารถทาไดโ้ ดยใชร้ ะบบใหอ้ ากาศช่วยทาใหต้ ะกอนดินฟ้ ุงกระจายตลอดเวลา
ค. ใช้สีสังเคราะห์ใส่ลงไปในบ่อเพื่อตดั ปริมาณแสง เพ่ือลดปริมาณ
แพลงกต์ อน
ง. การใส่ปูนขาว เพือ่ ควบคุมปริมาณฟอสฟอรัสในน้า โดยใส่คร้ังละนอ้ ย ๆ
ทุกวนั เพ่ือตกตะกอนฟอสฟอรัสท่ีปล่อยออกมาจากการเน่าสลายเศษอาหารและของเสียจากสตั วน์ ้า
จ. การใส่สารเคมีเพื่อกาจดั แพลงก์ตอนพืช ซ่ึงมีสารเคมีหลายชนิด เช่น
ฟอร์มาลิน แคลเซียมคลอไรด์ และคอปเปอร์ซลั เฟต แต่ไม่ควรใช้ในปริมาณท่ีมากเกินไปจนเกิด
การตกคา้ งในบ่อ นอกจากน้ีถา้ แพลงก์ตอนตายลงในปริมาณมาก อาจทาใหอ้ อกซิเจนในบ่อลดลง
อยา่ งรวดเร็ว และอาจเกิดสารพษิ จากการเน่าสลายของอินทรียส์ ารในบอ่
6) ในระบบการเพาะฟักอนุบาลที่ใชน้ ้าไม่มาก อาจใชว้ ิธีการกรองน้า เพ่ือกาจดั
แพลงกต์ อนพืชในน้า
7) ปัญหากล่ินโคลนในสตั วน์ ้าที่เกิดจากแพลงกต์ อนพืช สามารถแกไ้ ขไดโ้ ดยยา้ ย
สัตวน์ ้าไปเล้ียงในบ่อท่ีสะอาดประมาณ 2-3 สัปดาห์
2. อาหารสมทบ
อาหารสมทบ คือ อาหารที่ให้สัตวน์ ้ากินเพ่ิมเติมจากอาหารธรรมชาติ แบ่งตามลกั ษณะการ
จดั เตรียมได้ 2 แบบ ดงั น้ี
2.1 อาหารเดี่ยว (single feed) เป็ นอาหารชนิดเดียวท่ีใช้ตามลาพงั และแยกตามสภาพ
เป็ นอาหารสดและอาหารแหง้
2.1.1 อาหารสด ไดแ้ ก่ ปลาสดหรือปลาเป็ ดที่ไดจ้ ากเรือประมงอวนลาก ไส้ไก่ คอไก่
และเคร่ืองในสัตว์ ท่ีได้จากโรงฆ่าสัตว์ กุง้ สด ปู หมึกสด หอย และยงั รวมไปถึง พืช ผกั สดที่ใช้
เล้ียงสัตวน์ ้าที่กินพืชดว้ ย ในปัจจุบนั อาหารสดที่นิยมใชเ้ ป็นอาหารใหแ้ ก่สัตวน์ ้าที่กินเน้ือเป็ นอาหาร
ส่วนใหญ่เป็นอาหารจาพวกปลาเป็ด ดงั แสดงในภาพที่ 3.5 และเครื่องในสตั วป์ ี ก
71
ภาพท่ี 3.5 ปลาเป็ด
ที่มา : นิรนาม ค (2552)
ท้งั น้ีเป็ นเพราะอาหารสดดงั กล่าวสามารถหาซ้ือได้ง่ายและราคาไม่แพง การให้อาหารสด
มีขอ้ ดีในเร่ืองของกลิ่นคาวของอาหาร กล่ินคาวจะช่วยกระตุน้ ใหส้ ตั วน์ ้ากินอาหารไดม้ ากข้ึน และมี
สีเขม้ สดใสตามธรรมชาติ แต่การใหอ้ าหารสดเพยี งอยา่ งเดียว ยงั ไมใ่ ช่วธิ ีการที่ดีนกั เพราะอาหารสด
ยงั มีขอ้ จากดั ในเรื่องของคุณภาพความสด คุณค่าทางอาหารและแหล่งที่มา มีปริมาณเพียงพอ หรือ
หาซ้ือไดง้ ่ายในทอ้ งถิ่นไดห้ รือไม่ อาหารสดเป็ นอาหารที่ไม่สามารถเก็บรักษาไวไ้ ดเ้ ป็ นเวลานาน
การแช่แขง็ อาจช่วยรักษาคุณภาพความสดไวไ้ ด้
2.1.2 อาหารแห้ง ไดแ้ ก่ อาหารสดที่เปลี่ยนสภาพโดยการตากแห้งหรือผา่ นกระบวน
การแปรรูปไปเป็นอาหารที่อยใู่ นสภาพแหง้ เช่น ปลาป่ น ถวั่ เหลืองป่ น ปลายขา้ ว และรา เป็นตน้
2.2 อาหารผสม (compound feed) เป็ นอาหารท่ีนาส่วนผสมอยา่ งนอ้ ย 2 ชนิดมาผสมกนั
แยกเป็ นอาหารผสมสดและอาหารผสมแหง้
2.2.1 อาหารผสมสด เกิดจากการผสมกนั ระหวา่ งอาหารสดกบั วตั ถุดิบอาหารสัตว์ เช่น
ปลาสดผสมกบั ราขา้ วหรือปลาสดผสมกบั ปลายขา้ ว แลว้ นามาบดผสมกนั ก่อนป้ันเป็ นกอ้ นหรืออดั
เป็ นเม็ดก็ตาม สามารถนาไปเล้ียงสัตวน์ ้าไดโ้ ดยทนั ที อาหารผสมสดมีลกั ษณะเป็ นอาหารผสมท่ี
เปี ยกและจมน้า เพราะส่วนผสมส่วนใหญ่เป็นปลาเป็ด ดงั แสดงในภาพท่ี 3.6 ดงั น้นั การเก็บรักษาจึง
ตอ้ งเก็บรักษาไวใ้ นตูแ้ ช่แข็ง เพ่ือให้อาหารยงั คงคุณภาพความสดอยู่เสมอ วตั ถุดิบอาหารที่นิยม
นามาผสม ไดแ้ ก่ ราละเอียด ปลายขา้ ว กากถว่ั เหลือง วิตามิน และเกลือแร่ เป็ นตน้ การให้อาหาร
ผสมสด จะช่วยแกป้ ัญหาภาวะปลาสดหรือปลาเป็ ดขาดแคลนในบางฤดู หรือในบางช่วงท่ีราคาสูง
72
หรือมีไมพ่ ียงพอได้ การนาเอาวสั ดุอาหารมาผสมกบั ปลาสดจึงช่วยลดตน้ ทุนในการผลิต ซ่ึงส่วนใหญ่
อตั ราส่วนของวสั ดุอาหารที่จะนามาผสมน้นั ประมาณ 30-40 เปอร์เซ็นต์
ภาพที่ 3.6 อาหารผสมสด
ที่มา : Wut Nakhon (2552)
2.2.2 อาหารผสมแห้ง ประกอบดว้ ยวตั ถุดิบอาหารท่ีอยใู่ นสภาพแห้งหลายชนิด จดั ทา
ให้อยู่ในรูปแบบท่ีสะดวกในการนาไปใช้ ซ่ึงส่วนใหญ่นิยมเรียกว่า “อาหารสาเร็จรูป” ซ่ึงเป็ น
อาหารท่ีมีธาตุอาหารครบถ้วน ตามความตอ้ งการของสัตวน์ ้าแต่ละชนิดหรือแต่ละขนาด โดยมี
วิธีการผลิตที่ซับซ้อนมากข้ึน อาหารที่แหง้ สามารถเก็บรักษาไวไ้ ดเ้ ป็ นเวลานาน สะดวกในการใช้
เล้ียงสตั วน์ ้า และการขนส่ง อาหารผสมแหง้ แบง่ ออกได้ ดงั น้ี
1) อาหารผง เหมาะสาหรับการอนุบาลสัตวน์ ้าวยั อ่อน ที่มีปากขนาดเล็ก อาหารผง
ไดม้ าจากการผสมวตั ถุดิบท่ีอยใู่ นสภาพแห้งเขา้ ดว้ ยกนั นามาใช้อนุบาลลูกปลา มกั เป็ นอาหารท่ีใช้
ในช่วงที่หลงั จากถุงไขแ่ ดงยุบเรียบร้อยแลว้ ในการใชอ้ าหารผงมีขอ้ ควรระวงั คือ อาหารผงค่อนขา้ งท่ี
จะละลายน้าเร็ว เน่ืองจากไม่มีการใชต้ วั ประสานใหอ้ าหารจบั ตวั กนั เป็ นกอ้ น จึงทาให้เกิดการสูญเสีย
หรือการละลายในน้าค่อนขา้ งเร็ว ส่งผลให้สัตวน์ ้าใชป้ ระโยชน์ไดไ้ ม่เต็มท่ีและน้าอาจเกิดการเน่าเสีย
ไดง้ ่าย อาหารผงเป็นอาหารที่ผลิตข้ึนมาเพอ่ื ใชเ้ ล้ียงสัตวน์ ้าที่มีปากขนาดเล็ก เช่น ลูกกุง้ วยั อ่อน อาหาร
ประเภทน้ีตอ้ งมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและใชเ้ ทคโนโลยีช้นั สูง ในการผลิตเพื่อตอ้ งการให้อาหารมี
คุณภาพสมบรู ณ์ ตวั อยา่ งอาหารผง ไดแ้ ก่ อาหารผงสาหรับสตั วน์ ้าวยั อ่อน ลูกไรอบแหง้ เป็นตน้
2) อาหารแผน่ คือ อาหารสาเร็จรูปที่มีลกั ษณะเป็ นแผน่ มีความช้ืนต่า นิยมใชใ้ น
การอนุบาลสัตวน์ ้าขนาดเล็ก หรือเล้ียงปลาสวยงาม อาหารแผ่นมกั เป็ นอาหารลอยน้า อาหาร
ประเภทน้ีมกั มีการเพิ่มคุณค่าทางอาหารหรืออาจมีการเสริมวิตามิน แร่ธาตุ และสารอ่ืน ๆ ท่ีจาเป็ น
73
ตอ่ สัตวน์ ้า เช่น สารเร่งสีในอาหารปลาสวยงาม เป็ นตน้ อาหารแผน่ ส่วนใหญ่ จะใชก้ บั สัตวน์ ้าวยั อ่อน
ทว่ั ไป คุณสมบตั ิ คือสามารถลอยน้าไดร้ ะยะหน่ึง จากน้นั จะจมลง อาหารแผ่นท่ีดีตอ้ งไม่ทาให้น้าขุ่น
และทาให้น้าเน่าเสีย ในการผลิตเพ่ือใชใ้ นการเล้ียงปลาสวยงามนิยมท่ีจะผสมสีลงไปในอาหารเพื่อให้
เกิดความสวยงามและเป็ นท่ีพอใจของผูเ้ ล้ียงปลาสวยงาม อาหารแผน่ เป็ นอาหารแห้งและอดั เป็ นแผ่น
ตามขนาดท่ีตอ้ งการ ผลิตข้ึนมาเพ่ือเล้ียงปลาตูห้ รือปลาทวั่ ไป
3) อาหารเกล็ด คือ อาหารแห้งท่ีประกอบดว้ ยวสั ดุอาหารต่าง ๆ มากมาย เช่น
แมลงบดแห้ง ไรแดงบดแห้ง เน้ือปลาบด เศษเน้ือบด แป้ งสาลี ผกั ขม สาหร่าย ในอตั ราส่วนท่ี
แตกต่างกนั ไปตามความตอ้ งการของสัตวน์ ้าแต่ละชนิด อาหารเกล็ดมกั นิยมใช้ในการเล้ียงปลา
สวยงามมากกวา่ ปลาที่นิยมเล้ียงเพื่อการบริโภค
4) อาหารเม็ด จดั เป็ นอาหารท่ีนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการเล้ียงปลาหรือ
สตั วน์ ้าแบบพฒั นา เพราะหาซ้ือไดง้ ่าย มีความสะดวกในการใช้ การเก็บรักษา และการขนส่ง อีกท้งั
ยงั สามารถผสมยารักษาโรคเข้าไปในอาหาร เพื่อรักษาโรคสัตว์น้าอีกด้วย ลกั ษณะอาหารท่ีมี
จาหน่ายมีลกั ษณะดงั ตอ่ ไปน้ี
(1) อาหารชนิดเม็ดจม เป็ นอาหารที่ทามาจากวตั ถุดิบอาหารชนิดต่าง ๆ ผสม
คลุกเคล้าหรือบดให้เขา้ กนั อาจตอ้ งผสมน้าเล็กน้อยเพื่อให้เปี ยกช้ืนแล้วนามาผ่านเครื่องอดั เม็ด
อาหารจะออกมาในลกั ษณะเป็ นท่อน ๆ ดงั แสดงในภาพท่ี 3.7 มีเส้นผ่าศูนยก์ ลางและความยาวตามที่
ตอ้ งการ อาหารท่ีออกมาจากเคร่ืองอดั ใหม่ ๆ จะมีความช้ืนปนอยตู่ อ้ งนาไปผ่งึ ลมหรือแดดใหแ้ ห้ง ควรมี
ความช้ืนไมเ่ กิน 10 เปอร์เซ็นต์ จึงจะเก็บรักษาไวไ้ ดน้ าน ส่วนใหญอ่ าหารชนิดน้ีนิยมนาไปเล้ียงสตั วน์ ้าท่ี
หากินตามพ้นื บ่อเล้ียง เช่น กุง้ กา้ มกราม และกุง้ กลุ าดา เป็นตน้
ภาพที่ 3.7 อาหารเมด็ จมน้า
ท่ีมา : สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนฯ (2551)
74
(2) อาหารชนิดเม็ดลอยน้า เป็ นอาหารที่มีส่วนประกอบเหมือนกบั อาหาร
ชนิดเม็ดจมน้า แต่มีวิธีการผลิตที่ซับซ้อนกว่าโดยการอดั อากาศเขา้ ไป เพื่อให้อาหารสามารถลอย
น้าได้ ทาให้ผูเ้ ล้ียงสามารถสังเกตการกินอาหารของสัตวน์ ้าไดว้ ่าปริมาณอาหารที่ให้เพียงพอต่อ
ความตอ้ งการของสัตวน์ ้าหรือไม่ อาหารชนิดเมด็ ลอยน้า ดงั แสดงในภาพท่ี 3.8 นิยมนาไปใชใ้ นการ
เล้ียงปลา เช่น ปลานิล ปลาตะเพยี น ปลาดุก เป็นตน้
ภาพท่ี 3.8 อาหารเมด็ ลอยน้า
ท่ีมา : วชิ าญ (2554)
5) อาหารเม็ดฉีก เป็ นอาหารเม็ดที่มีขนาดเล็ก จมน้ามีลกั ษณะเป็ นเกล็ด หรือเม็ด
ขนาดเล็ก ไดจ้ ากการอดั เม็ดผ่านหน้าแว่นท่ีมีรูปร่างแตกต่างกนั แลว้ ร่อนผ่านตะแกรงออกมาได้
ขนาดประมาณ 0.5-2.4 มิลลิเมตร นิยมนาไปเล้ียงสัตวน์ ้าท่ียงั มีขนาดเล็ก และมีนิสัยหากินตามพ้ืน
บ่อเล้ียง เช่น กุง้ กา้ มกราม และกงุ้ กลุ าดา ระยะ 1-2 เดือน เป็นตน้
6) อาหารเคลือบเม็ดจ๋ิว มีลกั ษณะเป็ นผงคลา้ ยกบั นมผงแต่มีสารเคลือบพิเศษ
ท่ีสามารถทาใหอ้ าหารสามารถลอยน้าได้ เป็ นอาหารที่ผลิตข้ึนมาเพื่อการอนุบาลสัตวน์ ้าท่ีมีขนาด
เล็กโดยเฉพาะ เช่น ลูกกงุ้ วยั อ่อน อาหารประเภทน้ีมีคุณคา่ ทางโภชนาการสูงมาก และราคาค่อนขา้ ง
แพง เน่ืองจากตอ้ งใช้เทคโนโลยีช้นั สูงในการผลิตให้เป็ นอนุภาคขนาดเล็ก และยงั ตอ้ งเคลือบผิว
อาหารดว้ ยเยอ่ื ผนงั บางอีกช้นั หน่ึง เพ่อื ป้ องกนั ไม่ใหอ้ าหารละลายน้าเร็วเกินไป ดงั น้นั จึงนิยมใชก้ บั
ลูกของสตั วน์ ้าท่ีมีราคาแพง
7) อาหารสาเร็จรูปแบบพิเศษ นอกจากอาหารสาเร็จรูปดงั กล่าวมาแลว้ ในขา้ งตน้
ยงั มีอาหารสาเร็จรูปแบบพิเศษท่ีนิยมใช้กนั ในปัจจุบนั ไดแ้ ก่ อาหารผสมยา อาหารเสริมเอนไซม์
อาหารเสริมยสี ต์ อาหารเสริมแบคทีเรีย และอาหารเร่งสีปลาสวยงาม ซ่ึงกล่าวรายละเอียด ดงั น้ี
75
(1) อาหารผสมยา คือ อาหารใด ๆ ที่มียาเป็นส่วนผสมโดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือใช้
ป้ องกันสุขภาพ ซ่ึงรวมถึงการป้ องกันและรักษาโรค หรือเพื่อเร่งการเจริญเติบโตและเพ่ิม
ประสิทธิภาพการใช้อาหารเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงข้ึน ซ่ึงยาที่กล่าวถึงน้ีหมายถึง ยาปฏิชีวนะ โดย
อาหารท่ีผสมยา อาจมียา 1 หรือ 2 ชนิด หรือมากกว่าน้นั ในระดบั ต่าง ๆ ตามแต่ชนิดของสัตว์ แต่
ตอ้ งอยใู่ นระดบั ท่ีไมเ่ ป็นอนั ตรายต่อสัตวแ์ ละมีผลต่อผบู้ ริโภค สาหรับอาหารสัตวท์ ่ีมียาผสมอยนู่ ้นั
มีดังน้ี อาหารสาเร็จรูป เป็ นอาหารที่มียาอยู่ในระดบั ท่ีอาหารน้ันสามารถนาไปใช้เล้ียงสัตวไ์ ด้
อาหารเสริม เป็นอาหารท่ีมียาอยใู่ นระดบั ท่ีปลอดภยั เมื่อนามาใชก้ บั สตั ว์ หวั อาหารสัตว์ เป็ นอาหาร
สัตวผ์ สมยาชนิดท่ีตอ้ งนามาเจือจางก่อนท่ีจะนาไปใชเ้ ล้ียง
การใชย้ าปฏิชีวนะเสริมในอาหารเพ่ือใชใ้ นการเล้ียงสัตวน์ ้า จะเป็ นการส่งเสริมให้สัตวน์ ้า
มีการเจริญเติบโตท่ีดีข้ึน เน่ืองจากสภาพแวดล้อมในการเล้ียงสัตว์น้าในปัจจุบัน ก่อให้เกิด
ความเครียดแก่ตวั สัตวน์ ้าไดต้ ลอดเวลา จึงทาให้สัตวน์ ้าอ่อนแอ มีภูมิตา้ นทานต่า ติดเช้ือโรคไดง้ ่าย
โดยเฉพาะการติดเช้ือจุลินทรียใ์ นสิ่งแวดลอ้ ม จึงมีผลต่อการเจริญเติบโตของสัตวน์ ้า ยาปฏิชีวนะ
มีผลต่อสตั วน์ ้าดงั น้ี
ก. ช่วยควบคุมจุลินทรีย์ท่ีทาให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหารให้มี
ปริมาณไม่มากเกินไป ทาใหส้ ตั วม์ ีสุขภาพดีข้ึน
ข. ส่ งเสริ มการเจริ ญเติบโตของเช้ือจุลินทรี ย์ที่เป็ นประโยชน์ เช่น
Lactobacillus sp. ทาใหส้ ภาวะในระบบทางเดินอาหารเป็ นกรด การยอ่ ยอาหารดีข้ึน นอกจากน้ียงั มีการ
สร้างวติ ามิน บี 12 และวติ ามินซี เพิ่มข้ึน จึงเป็นการส่งเสริมการเจริญเติบโต
ค. ช่วยเพ่ิมการดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ผา่ นผนงั ลาไส้ไดด้ ีข้ึน เพราะผนงั
ลาไส้บาง เน่ืองจากสภาพภายในลาไส้มีจุลินทรียม์ าก จะไปเกาะผนงั ลาไส้ทาให้ผนงั ลาไส้หนา การ
ดูดซึมสารอาหารต่า เมื่อลดปริมาณจุลินทรียม์ ีผลใหผ้ นงั ลาไส้บางลง สารอาหารต่าง ๆ ดูดซึมผา่ น
ผนงั ลาไส้เขา้ เส้นเลือดไดด้ ีข้ึน
ดงั น้นั สัตวน์ ้าจึงมีการตอบสนองต่อการใช้สารปฏิชีวนะ โดยทาให้การเจริญเติบโตและ
ประสิทธิภาพการใชอ้ าหารของสัตว์น้าดีข้ึน ทาให้ไดผ้ ลผลิตสูงข้ึน แต่ถา้ ใชย้ าปฏิชีวนะติดต่อกนั
เป็นเวลานาน อาจก่อใหเ้ กิดผลเสีย คือ เกิดการด้ือยา ดงั น้นั จึงควรมีการสับเปล่ียนการใชย้ าหลาย ๆ
ชนิดหมุนเวียนกนั นอกจากน้ีอาจมีการตกคา้ งของยาในเน้ือเยอ่ื ทาให้เช้ือโรคในร่างกายด้ือยา เม่ือ
เกิดโรคระบาดการใชย้ ารักษาอาจไมไ่ ดผ้ ล
(2) อาหารเสริมเอนไซม์ เอนไซม์ในระบบทางเดินอาหารได้จากสัตวน์ ้า และ
แบคทีเรียในระบบทางเดินอาหาร เพื่อเปลี่ยนสารประกอบเชิงซ้อนของคาร์โบไฮเดรต ไขมนั และ
โปรตีนในอาหารให้เป็ นน้าตาล กรดไขมนั และกรดอะมิโน ในรูปที่สามารถดูดซึมจากทางเดินอาหาร
76
ไปใช้ประโยชน์ในร่างกาย เพื่อตอบสนองความตอ้ งการของเมตาบอลิซึมในร่างกาย และตอบสนอง
ความตอ้ งการของพลงั งานของร่างกาย ตลอดจนการเจริญเติบโตของสัตวน์ ้า การเสริมเอนไซมจ์ าก
แหล่งภายนอกจะมีประสิทธิภาพสูงในสัตวน์ ้าขนาดเล็ก ซ่ึงระบบทางเดินอาหารยงั พฒั นาไม่เต็มท่ี
โดยเฉพาะพฒั นาการของระบบเอนไซมใ์ นระยะท่ีเริ่มกินอาหาร ดงั น้นั การเสริมเอนไซมจ์ ะช่วยเพ่ิม
การเจริญเติบโตและเพ่ิมประสิทธิภาพในการย่อยอาหาร การเสริมเอนไซม์มักเสริมในรูปของ
แบคทีเรียและยสี ต์ ท่ีสามารถผลิตเอนไซมช์ นิดที่ตอ้ งการได้
(3) อาหารเร่งสีปลาสวยงาม เนื่องจากสีของปลาและสัตวน์ ้าอ่ืน ๆ มีความสาคญั
ต่อการตลาดสัตวน์ ้า โดยเฉพาะปลาประเภทปลาสวยงาม ปลาที่มีสีสันสวยงามหรือมีสีเข้มเป็ น
พิเศษ จะจาหน่ายไดใ้ นราคาที่สูงกวา่ ปกติ ในสัตวน์ ้าเศรษฐกิจสีจะมีผลต่อแรงจูงใจในการเลือกซ้ือ
การผสมรงควตั ถุท่ีเร่งสีสัตวน์ ้า เช่น คาร์โรทินอยด์ ในต่างประเทศนิยมเสริมท้งั ในปลาเศรษฐกิจที่
ใชเ้ ป็ นอาหาร เพื่อให้มีสีสันน่ารับประทานและมีรสชาติดีข้ึน เช่น ปลาเทราต์ และปลาแซลมอน
เป็ นตน้ ส่วนปลาสวยงามนิยมเสริมใน ปลาแฟนซีคาร์ฟ ปลาทอง ปลาออสการ์ ปลาปอมปาดวั ร์
และปลาเสือสุมาตรา เป็นตน้
สาหรับแหล่งของคาร์โรทินอยด์ ท่ีนิยมใช้ในการผสมอาหารเพ่ือเร่งสีของสัตวน์ ้า เช่น
ปลาสวยงาม และกุง้ มีดว้ ยกนั 2 แหล่ง คือ
ก. คาร์โรทินอยด์ จากธรรมชาติ พบไดท้ ้งั ในพืช และสตั ว์ ไดแ้ ก่
- คาร์โรทินอยด์ ท่ีไดจ้ ากพชื ท่ีสาคญั ชนิดที่ใหส้ ีเหลืองถึงสีแดง เช่น
ขา้ วโพด ดอกดาวเรือง และสาหร่าย เป็นตน้
- คาร์โรทินอยด์ ท่ีไดจ้ ากสตั ว์ ที่สาคญั เช่น แกลบกงุ้ น้ามนั จากปลา
เป็ นตน้
ข. คาร์โรทินอยด์ สังเคราะห์ มีช่ือทางการคา้ วา่ carophyll ซ่ึงมี 4 ชนิด คือ
- carophyll yellow
- carophyll red
- carophyll orange
- carophyll pink
สรุป
ประเภทของอาหารสัตว์น้าโดยทว่ั ไป สามารถแบ่งออกได้เป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
อาหารธรรมชาติ และอาหารสมทบ อาหารธรรมชาติ คือสิ่งมีชีวิตที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติใน
แหล่งน้า สัตวน์ ้าท่ีอาศยั อยสู่ ามารถกินเป็ นอาหารได้ เช่น แพลงก์ตอน พรรณไมน้ ้า สัตวน์ ้าขนาด
เลก็ สัตวห์ นา้ ดิน สตั วจ์ าพวกหนอนแมลงและตวั ออ่ นของแมลง เป็นตน้
77
แพลงก์ตอน คือ ส่ิงมีชีวิตท่ีล่องลอยอยู่ในน้า ไม่เกาะติดกบั สิ่งมีชีวิตอ่ืน ส่วนใหญ่จะมี
ขนาดเล็ก แพลงก์ตอนสามารถแบ่งตามลกั ษณะการสร้างอาหารได้เป็ น แพลงก์ตอนพืช ซ่ึงมี
ความสาคญั ต่อส่ิงมีชีวิตในแหล่งน้า เพราะเป็ นผูผ้ ลิตข้นั ต้นในห่วงโซ่อาหาร แพลงก์ตอนพืช
สามารถสร้างอาหารเองไดโ้ ดยกระบวนการสังเคราะห์แสง ส่วนแพลงกต์ อนสัตว์ คือสัตวน์ ้าเล็ก ๆ
ท่ีล่องลอยไปตามกระแสน้า เป็ นอาหารข้นั ท่ีสองและถือเป็ นอาหารเบ้ืองตน้ ของสัตวน์ ้าวยั อ่อน
นอกจากน้ียงั มี พรรณไมน้ ้า เช่น สาหร่าย ผกั กะเฉด ผกั บุง้ ไข่น้า และแหนเป็ ด เป็ นตน้ สัตวน์ ้าขนาด
เลก็ เช่น พวกตวั ออ่ นของกุง้ ตวั อ่อนของปู ส่วนสัตวน์ ้าหนา้ ดิน หากินพวกเศษพืชและเศษเน่าเป่ื อยเป็ น
อาหาร เช่น หอยขม หอยกาบ หอยทราย เป็ นตน้ สัตวพ์ วกหนอนเช่น ไส้เดือนดิน และหนอนแดง เป็ น
ตน้ พวกแมลงและตวั อ่อนแมลงในน้า เช่น ตวั อ่อนชีปะขาว ตวั อ่อนแมลงปอ และลูกน้า เป็นตน้
อาหารสมทบ คือ อาหารที่ใหส้ ัตวน์ ้ากินเพ่มิ เติมจากอาหารธรรมชาติ แบ่งได้ 2 แบบ ไดแ้ ก่
อาหารเดี่ยว เป็ นอาหารชนิดเดียวที่ใชเ้ ป็ นอาหารมีแบบสดและแบบแห้ง อาหารสด ไดแ้ ก่ ปลาสด
หรือปลาเป็ ด ปัจจุบนั นิยมใช้เป็ นอาหารสัตวน์ ้าท่ีกินเน้ือเป็ นอาหาร อาหารแบบแหง้ ไดแ้ ก่ อาหาร
สดที่เปล่ียนสภาพไปเป็นอาหารแหง้ เช่น ปลาป่ น ปลายขา้ ว และรา เป็ นตน้ อาหารผสม เป็ นอาหาร
ที่นาส่วนผสมอยา่ งนอ้ ย 2 ชนิดมาผสมกนั เป็นอาหารผสมสด และอาหารผสมแหง้
อาหารสาเร็จรูป เป็ นอาหารท่ีมีธาตุอาหารครบถว้ น ตามความตอ้ งการของสัตวน์ ้าแต่ละ
ชนิดหรือแต่ละขนาด โดยมีวิธีการผลิตท่ีซับซ้อนมากข้ึน อาหารที่แห้งสามารถเก็บไวไ้ ด้นาน
สะดวกในการใชเ้ ล้ียงสัตวน์ ้า และการขนส่ง เช่น อาหารผง อาหารเม็ด อาหารชนิดเม็ดจม อาหาร
ชนิดเมด็ ลอยน้า อาหารเมด็ ฉีก และอาหารเคลือบเมด็ จ๋ิว เป็นตน้
ในการแบ่งประเภทของอาหารสัตวน์ ้าโดยทว่ั ไปสามารถแบ่งไดเ้ ป็ นหลายประเภท ตามท่ี
กล่าวมาแลว้ ขา้ งตน้ แต่ท่ีสาคญั คือการจะเลือกใช้อาหารประเภทใด ผใู้ ชค้ วรพิจารณาให้ตามความ
เหมาะสมกบั ชนิด ขนาด รวมถึงวธิ ีการและรูปแบบการเล้ียงสัตวน์ ้า เพ่อื ใหส้ ตั วน์ ้าไดก้ ินอาหารและ
ไดร้ ับสารอาหารครบถว้ น ตามความตอ้ งการของสัตวน์ ้าอยา่ งสมบูรณ์
อาหารสาเร็จรูปแบบพิเศษ ประกอบไปด้วย อาหารผสมยา อาหารเสริมเอนไซม์ และ
อาหารเร่งสีปลาสวยงาม
บทที่ 4
การผลติ อาหารสัตว์นา้ ทม่ี ีชีวติ
สาระสาคญั
อาหารสัตวน์ ้าที่มีชีวิต หมายถึง อาหารธรรมชาติที่เกิดข้ึนเองในแหล่งน้าหรือในบ่อเล้ียง
สัตวน์ ้า และอาหารธรรมชาติท่ีเกิดจากการเพาะเล้ียง เป็ นอาหารท่ีนิยมใช้อนุบาลสัตวน์ ้าวยั อ่อน
เพราะอาหารสัตวน์ ้าที่มีชีวติ ส่วนใหญ่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ในการเพาะเล้ียงอาจมีวตั ถุประสงค์
ที่ต่างกัน เช่น ผลิตอาหารท่ีมีชีวิตเพื่ออนุบาลสัตว์น้าเศรษฐกิจจาพวก ปลาและกุง้ ส่วนสัตวน์ ้า
ประเภทสวยงามนิยมใชเ้ พื่อการเร่งสีของสตั วน์ ้า เป็นตน้
จุดประสงค์การเรียนรู้
จุดประสงค์ทว่ั ไป
เพ่อื ใหน้ กั ศึกษาเขา้ ใจและเห็นความสาคญั ของการผลิตอาหารสตั วน์ ้ามีชีวติ
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
1. อธิบายวธิ ีการเพาะเล้ียงอาหารสตั วน์ ้ามีชีวติ ชนิดต่างๆ ได้
2. ปฏิบตั ิการการเพาะเล้ียงคลอเรลลาได้
3. ปฏิบตั ิการเพาะไรแดงได้
4. ปฏิบตั ิการเพาะไรน้านางฟ้ าได้
หวั ข้อเรื่อง
1. การเพาะเล้ียงคลอเรลลา
2. การเพาะเล้ียงคีโตเซอรอสและสเกลีโตนีมา
3. การเพาะเล้ียงโรติเฟอร์
4. การเพาะเล้ียงไรแดง
5. การเพาะเล้ียงอาร์ทีเมีย
6. การเพาะเล้ียงไรน้านางฟ้ า
7. การเพาะเล้ียงหนอนแดง
87
เนือ้ หาสาระ
อาหารสัตวน์ ้าท่ีมีชีวติ ท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติมีอยหู่ ลายชนิด แต่ที่นิยมทาการเพาะเล้ียง
เพ่ือนามาใชเ้ ป็ นอาหารให้แก่สัตวน์ ้าท่ีสาคญั ไดแ้ ก่ คลอเรลลา คีโตเซอรอส สเกลีโตนีมา ไรแดง
โรติเฟอร์ อาร์ทีเมีย ไรน้านางฟ้ า และหนอนแดง เป็ นตน้ โดยสามารถทาการเพาะเล้ียงอาหารสัตวน์ ้า
ท่ีมีชีวติ ชนิดต่าง ๆ ไดด้ งั น้ี
1. การเพาะเลยี้ งคลอเรลลา
คลอเรลลา (Chlorella sp.) หรือน้าเขียว เป็นแพลงกต์ อนพืชที่นิยมใชใ้ นการอนุบาลสัตวน์ ้า
โดยตรง เนื่องจากมีขนาดเลก็ เหมาะกบั ขนาดของปากสัตวน์ ้า และคลอเรลลายงั เป็ นอาหารที่จาเป็ น
ในการเพาะเล้ียงแพลงกต์ อนสัตว์ เช่น ไรแดง โรติเฟอร์ ไรน้านางฟ้ า เป็ นตน้ ท้งั น้ีเพ่ือนาแพลงก์ตอน
สตั วม์ าใชเ้ ป็นอาหารสาหรับการอนุบาลสตั วน์ ้าวยั ออ่ น และใชเ้ ล้ียงสตั วน์ ้าประเภทสวยงามอีกทอด
หน่ึง ในการเพาะเล้ียงคลอเรลลา มีวธิ ีการดงั น้ี
1.1 วสั ดุและอุปกรณ์ท่ีใชใ้ นการเพาะเล้ียงคลอเรลลา
1.1.1 บ่อซีเมนต์
1.1.2 วตั ถุดิบอาหารท่ีใชใ้ นการเพาะคลอเรลลา
1.1.3 ไมค้ น ผา้ กรอง
1.1.4 คลอรีน
1.1.5 หวั เช้ือน้าเขียว
1.2 วธิ ีการเพาะเล้ียงคลอเรลลา มีข้นั ตอน ดงั น้ี
1.2.1 เตรียมสูตรอาหาร ตามตารางที่ 4.1 (บ่อซีเมนต์ ขนาด 40 ตารางเมตร)
ตารางท่ี 4.1 สูตรอาหารสาหรับการเพาะเล้ียงคลอเรลลา ปริมาณที่ใช้
ส่วนผสมสูตรอาหาร 5 กิโลกรัม
รา 3 กิโลกรัม
ปนู ขาว 20 ลิตร
กากผงชูรส (อามิ-อามิ) 15 กิโลกรัม
ป๋ ุยนา (16-20-0) 3 กิโลกรัม
ป๋ ุยยเู รีย (46-0-0)
ป๋ ุยซุปเปอร์ฟอสเฟต (0-46-0) 300 กรัม
ที่มา : ดดั แปลงจาก นฤมล (2549)
88
1.2.2 หมกั ป๋ ุย โดยตวงกากผงชูรสใส่ในภาชนะ และเติมปูนขาว คนส่วนผสมท้งั สอง
ชนิดให้เขา้ กนั ซ่ึงจะมีกลิ่นฉุนคลา้ ยแอมโมเนีย ให้คนจนกลิ่นจางลงและส่วนผสมเขา้ กนั ดีแลว้ จึง
นาป๋ ุยยเู รีย ป๋ ุยนา และป๋ ุยซุปเปอร์ฟอสเฟต ใส่ลงไปคนใหเ้ ขา้ กนั เติมน้าและใส่รา คนให้เขา้ กนั ดี
แลว้ หมกั ทิ้งไวป้ ระมาณ 1-2 คืน จึงนาไปใชใ้ นการเพาะเล้ียงคลอเรลลาได้
1.2.3 เตรียมบอ่ โดยลา้ งทาความสะอาด จากน้นั เติมน้าให้มีระดบั น้าประมาณ 30 เซนติเมตร
และเติมคลอรีน ประมาณ 10 กรัม ลงในน้าเพ่ือป้ องกนั การเกิดโรติเฟอร์ ทิ้งให้คลอรีนสลายตวั 2 วนั
นาส่วนผสมของอาหารที่หมกั ไวต้ ามข้นั ตอนที่ 2 มาสาดลงในบ่อ โดยสาดให้กระจายทว่ั บ่อ พร้อม
ท้งั ใหอ้ ากาศอยา่ งแรงเพ่อื ใหป้ ๋ ุยมีการหมุนเวยี นตลอดเวลา
1.2.4 เติมหัวเช้ือน้าเขียวโดยการกรองดว้ ยผา้ กรองตาถ่ี และใชไ้ มค้ นอยา่ งนอ้ ย วนั ละ 3 คร้ัง
เพื่อป้ องกนั ไม่ใหส้ ่วนผสมตกตะกอน เพราะจะทาใหส้ ่วนผสมเน่าเสีย มีผลทาใหค้ ลอเรลลาขาดคุณภาพ
1.2.5 คลอเรลลาจะเกิดข้ึนภายใน 2-3 วนั ผลการเกิดจะมากหรือนอ้ ย ข้ึนอยกู่ บั ปริมาณ
แสงแดด คือถา้ ไดร้ ับแสงแดดปริมาณมากน้าจะมีสีเขียวข้ึน แสดงว่ามีคลอเรลลาเกิดข้ึนมาก ดงั
แสดงในภาพท่ี 4.1
1.2.6 กรองคลอเรลลาไปเล้ียงสตั วน์ ้าโดยตรง หรือใชใ้ นการเพาะเล้ียงแพลงกต์ อนสัตว์
ไดต้ ่อไป
ภาพที่ 4.1 คลอเรลลา
ท่ีมา : สุมาลี (2552)
2. การเพาะเลยี้ งคีโตเซอรอสและสเกลโี ตนีมา
คีโตเซอรอส (Chaetoceros sp.) และสเกลีโตนีมา (Skeletonema sp.) เป็ นแพลงก์ตอนน้าเค็ม
จาพวกไดอะตอม จดั เป็ นอาหารสัตวน์ ้าวยั อ่อนที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการอนุบาลลูกกุ้ง
วยั ออ่ น เนื่องจากเป็นแพลงกต์ อนพชื ที่มีคุณคา่ ทางโภชนาการ และมีขนาดพอดีท่ีกุง้ สามารถกินเป็ น
89
อาหารได้ ลกั ษณะของ คีโตเซอรอส และสเกลีโตนีมา ดงั แสดงในภาพที่ 4.2 และ 4.3 สาหรับ
ข้นั ตอนการเพาะเล้ียงมีดงั น้ี
ภาพที่ 4.2 คีโตเซอรอส
ที่มา : นิรนาม ง (2552)
ภาพที่ 4.3 สเกลีโตนีมา
ท่ีมา : นิรนาม จ (2552)
2.1 วสั ดุและอุปกรณ์ที่ใชใ้ นการเพาะเล้ียงคีโตเซอรอสและสเกลีโตนีมา
2.1.1 บอ่ หรือถงั เพาะ
2.1.2 คลอรีน
2.1.3 หวั เช้ือคีโตเซอรอสและสเกลีโตนีมา
2.1.4 สวงิ ขนาดตา 50-70 ไมครอน และผา้ กรองตาถี่
90
2.1.5 ป๋ ุยท่ีใชเ้ พาะเล้ียงคีโตเซอรอสและสเกลีโตนีมา มีสูตรตามตารางท่ี 4.2 (ปริมาตร
1 ลูกบาศกเ์ มตร)
2.2 ข้นั ตอนการเพาะเล้ียงคีโตเซอรอสและสเกลีโตนีมา
2.2.1 สูบน้าจากแหล่งน้ามาพกั ใหต้ กตะกอน จากน้นั ปล่อยน้าจากบอ่ ตกตะกอนลงบ่อ
ฆ่าเช้ือ ใส่คลอรีนผงประมาณ 60 กรัมต่อน้า 1 ลูกบาศกเ์ มตร ใหอ้ ากาศอยา่ งแรง ปรับความเคม็ ของ
น้าใหไ้ ดร้ ะดบั 20-30 ส่วนในพนั (ppt.) และอุณหภมู ิ อยใู่ นระหวา่ ง 27-30 องศาเซลเซียส
ตารางท่ี 4.2 สูตรอาหารสาหรับการเพาะเล้ียงคีโตเซอรอสและสเกลีโตนีมา
สูตรที่ 1 สูตรที่ 2
โพแทสเซียมไนเตรท 100 กรัม โซเดียมเมตาซิลิเกต 15 กรัม
60 กรัม
ไดโซเดียมฟอสเฟต 10 กรัม ยเู รีย 30 กรัม
เฟอร์ริกคลอไรท์ 3 กรัม ป๋ ุยซุปเปอร์ฟอสเฟต
โซเดียมเมตาซิลิเกต 2 กรัม
ที่มา : ดดั แปลงจาก ธิดา (2542)
2.2.2 ทิง้ ใหค้ ลอรีนสลายตวั ประมาณ 2 วนั ปิ ดลมเพื่อให้น้าตกตะกอนประมาณ 12 ชว่ั โมง
จากน้นั ปล่อยน้าผา่ นถุงกรองลงในถงั หรือบ่อที่ตอ้ งการใชเ้ พาะขยายพนั ธุ์
2.2.3 เตรียมหวั เช้ือคีโตเซอรอสหรือสเกลีโตนีมาจากหอ้ งปฏิบตั ิการ
2.2.4 ละลายป๋ ุยในน้าจืดก่อน แลว้ จึงใส่ลงในถงั หรือบ่อที่เตรียมไว้
2.2.5 ใส่หวั เช้ือคีโตเซอรอสหรือสเกลีโตนีมา ในอตั ราส่วน 1:50 ถึง 1:100 จากน้นั
1-2 วนั คีโตเซอรอสหรือสเกลีโตนีมา จะเพิ่มจานวนมากข้ึน โดยการสังเกตไดจ้ ากสีของน้าที่เขม้
ข้ึน จึงสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตไปใชเ้ ป็นอาหารสตั วน์ ้าไดต้ ่อไป
3. การเพาะเลยี้ งโรตเิ ฟอร์
โรติเฟอร์ (Brachionus plicatilis) จดั เป็ นอาหารสัตวน์ ้าวยั อ่อนที่นิยมใชก้ นั อยา่ งแพร่หลาย
ในการอนุบาลลูกกุง้ วยั อ่อนและปลากะพงขาว รูปร่างของโรติเฟอร์ ดงั แสดงในภาพท่ี 4.4 เน่ืองจาก
โรติเฟอร์ เป็ นแพลงก์ตอนสัตวท์ ี่มีคุณค่าทางโภชนาการ และมีขนาดพอดีท่ีกุง้ และปลาสามารถกิน
เป็นอาหารได้ การเพาะเล้ียงโรติเฟอร์ มีวธิ ีการและข้นั ตอน ดงั น้ี
91
ภาพท่ี 4.4 โรติเฟอร์
ที่มา : ศนู ยว์ จิ ยั และพฒั นาประมงชายฝั่งสุราษฎร์ธานี (2551)
3.1 อุปกรณ์ที่จาเป็นและมีความสาคญั ในการเพาะเล้ียงโรติเฟอร์ ไดแ้ ก่
3.1.1 บอ่ ซีเมนต์
3.1.2 ป๋ ุยหรือวตั ถุดิบท่ีใชเ้ ป็นอาหารของโรติเฟอร์
3.1.3 คลอเรลลา
3.1.4 หวั เช้ือโรติเฟอร์
3.2 ข้นั ตอนการเพาะเล้ียงโรติเฟอร์
การเพาะเล้ียงโรติเฟอร์ มีวิธีการและข้นั ตอน ที่แตกต่างกัน ท้งั น้ีข้ึนอยู่กับสภาวะ
แวดลอ้ มในขณะน้นั มีความเหมาะสมเพยี งใด ซ่ึงข้นั ตอนการเพาะเล้ียงโรติเฟอร์ มีดงั น้ี
3.2.1 ทาความสะอาดบอ่ ซีเมนต์ ขนาดที่ใชต้ ้งั แต่ 10-50 ตารางเมตร แลว้ ตากบ่อทิ้งไวใ้ หแ้ หง้
3.2.2 เติมน้าที่ผ่านการฆ่าเช้ือแล้วลงในบ่อให้สูงประมาณ 20 เซนติเมตร พร้อมกบั
ละลายป๋ ุยหรือวตั ถุดิบอาหารลงในบอ่ โดยใชส้ ูตรใดสูตรหน่ึง ในตารางท่ี 4.3 ดงั น้ี
ตารางท่ี 4.3 สูตรอาหารสาหรับเพาะเล้ียงโรติเฟอร์ในบ่อซีเมนต์ (ขนาด 50 ตารางเมตร)
ส่วนผสมสูตรอาหาร สูตรที่ 1 สูตรที่ 2 สูตรที่ 3
กากผงชูรส - 20.00 ลิตร 40.00 ลิตร
ป๋ ุยนา 3.00 กิโลกรัม 15.00 กิโลกรัม 3.00 กิโลกรัม
ยเู รีย - 1.50 กิโลกรัม 6.00 กิโลกรัม
ซุปเปอร์ฟอสเฟต - - 0.26 กิโลกรัม
ปนู ขาว 2.00 กิโลกรัม 3.00 กิโลกรัม 3.00 กิโลกรัม
ราละเอียด - 3.00 กิโลกรัม -
ท่ีมา : ดดั แปลงจาก ศุภชยั (2542) และ อิทธิพร (2532)
92
3.2.3 เพาะเล้ียงคลอเรลลา โดยใชป้ ๋ ุยคอก 1 กิโลกรัม ราขา้ ว 100 กรัม และปูนขาว 100
กรัมตอ่ น้า 1 ลูกบาศกเ์ มตร เม่ือน้ามีสีเขียวแสดงวา่ เกิดคลอเรลลาในบ่อแลว้
3.2.4 ใส่คลอเรลลา ลงไปประมาณ 2,000 ลิตร ทิ้งไว้ 2-3 วนั ระหวา่ งน้ีควรคนน้าเป็ น
ระยะ ๆ เพ่ือป้ องกนั การตกตะกอนและช่วยทาใหค้ ลอเรลลามีการสังเคราะห์แสงไดม้ ากข้ึน เม่ือน้า
เขียวดีแลว้ จึงเติมน้าใหส้ ูง 50 เซนติเมตร คนน้าในบอ่ ใหท้ วั่ ทิ้งไว้ 2 วนั
3.2.5 เม่ือสีของน้าเขียวเขม้ ดีแลว้ จึงกรองโรติเฟอร์ ท่ีใชเ้ ป็ นหวั เช้ือใส่ลงไปประมาณ
20 ลิตร พร้อมกบั ใหอ้ ากาศในน้า
3.2.6 เมื่อสีของน้าเป็ นสีชา แสดงวา่ โรติเฟอร์เพ่ิมปริมาณเต็มที่แลว้ จึงทาการกรองใช้
เป็ นอาหารในการอนุบาลสัตวน์ ้าได้ การกรองโรติเฟอร์ ควรกรองดว้ ยผา้ กรองขนาด 69 ไมครอน
หรือเลก็ กวา่ (นฤมล, 2549)
4. การเพาะเลยี้ งไรแดง
ไรแดง (Moina macrocopa) เป็ นอาหารธรรมชาติที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เนื่องจากมี
ปริมาณโปรตีนสูง เหมาะสาหรับการอนุบาลสัตวน์ ้าวยั อ่อนโดยเฉพาะปลาน้าจืด และจดั เป็ นสัตว์
เศรษฐกิจชนิดหน่ึงท่ีทารายได้ให้กบั ผูเ้ พาะเล้ียง วิธีการเพาะเล้ียงไรแดงในปัจจุบนั มีหลายแบบ
สามารถแบ่งตามวิธีการเก็บเก่ียวไดเ้ ป็ น 2 แบบ คือ การเพาะเล้ียงไรแดงแบบเก็บเกี่ยวผลผลิตเพียง
คร้ังเดียว และการเพาะเล้ียงไรแดงแบบเก็บผลผลิตต่อเน่ือง ลักษณะของไรแดงดังแสดงใน
ภาพที่ 4.5 นอกจากน้ียงั มีการแบง่ การเพาะเล้ียงไรแดงตามลกั ษณะบอ่ ท่ีใชเ้ พาะเล้ียง ดงั ตอ่ ไปน้ี
ภาพที่ 4.5 ไรแดง
ที่มา : สุมาลี (2552)
93
4.1 การแบ่งวธิ ีการเพาะเล้ียงไรแดงตามลกั ษณะการเก็บเก่ียว
4.1.1 การเพาะเล้ียงไรแดงแบบเก็บเก่ียวผลผลิตเพียงคร้ังเดียว การเพาะเล้ียงไรแดง
แบบน้ีนิยมใช้เน้ือที่บ่อประมาณ 50 ตารางเมตร จานวนบ่อมากตามความต้องการ ก่อนทาการ
เพาะเล้ียงไรแดง ตอ้ งทาความสะอาดบ่อและตากบ่อให้แห้ง ปล่อยน้าเขา้ บ่อใหม้ ีระดบั ความลึก 20
เซนติเมตร โดยการกรองดว้ ยผา้ กรองตาถี่ แลว้ ใส่ป๋ ุยชนิดท่ีตอ้ งการ หลงั จากน้นั จึงใส่คลอเรลลา ลง
ในบ่อเพาะประมาณ 400 ลิตร ทิ้งไว้ 3-4 วนั สังเกตเห็นน้า มีสีเขียวเขม้ จึงใส่ไรแดงลงในบ่อ ๆ ละ
2 กิโลกรัม ทิ้งไว้ 3 วนั จึงทาการเก็บผลผลิต วิธีการเล้ียงแบบเก็บผลผลิตเพียงคร้ังเดียวมีสูตรป๋ ุย
ชนิดต่าง ๆ ให้เลือกใชต้ ามความเหมาะสม สูตรอาหารสาหรับเพาะเล้ียงไรแดงมีสูตรตามตารางท่ี
4.4 (ตอ่ พ้ืนท่ี 1 ตารางเมตร) และแสดงในภาพท่ี 4.6
ตารางที่ 4.4 สูตรอาหารสาหรับเพาะเล้ียงไรแดง
สูตรที่ 1 สูตรที่ 2
ปลาป่ น 10 กรัม ราละเอียด 100 กรัม
กากถว่ั เหลืองป่ น 10 กรัม ปูนขาว 100 กรัม
ราละเอียด 20 กรัม ป๋ ุยสูตร 15-15-15 80 กรัม
ป๋ ุยยเู รีย 24 กรัม ป๋ ุยยเู รีย 100 กรัม
ป๋ ุยนา 24 กรัม
ป๋ ุยซุปเปอร์ฟอสเฟต 12 กรัม
ปูนขาว 20 กรัม
ที่มา : ดดั แปลงจาก อานนท์ (2547)
ภาพท่ี 4.6 ตวั อยา่ งวตั ถุดิบสูตรอาหารเพาะเล้ียงไรแดง
ที่มา : สุมาลี (2552)
94
นาส่วนผสมท้งั หมด ผสมลงในถงั พลาสติก ใส่น้าพอท่วมใชไ้ มค้ นให้เขา้ กนั ปิ ดฝาถงั แลว้ ต้งั
ทิง้ ไว้ 24 ชว่ั โมง จึงนาไปใส่ลงในบ่อเพาะเล้ียงไรแดง จากน้นั 2-3 วนั จึงจะเกิดคลอเรลลา
ข้อดี ของการเล้ียงแบบเก็บเก่ียวผลผลิตคร้ังเดียว คือ ได้ปริมาณไรแดงท่ีแน่นอนและ
จานวนมาก ไม่ตอ้ งคานึงถึงศตั รูของไรแดงมากนกั เพราะเป็นการเพาะในช่วงระยะเวลาท่ีส้นั
ขอ้ เสีย คือใชบ้ อ่ จานวนมากเพือ่ ใหไ้ ดผ้ ลผลิตทุกวนั และสิ้นเปลืองพนั ธุ์ไรแดง
4.1.2 การเพาะเล้ียงไรแดงแบบเก็บผลผลิตต่อเน่ือง การเพาะเล้ียงไรแดงแบบน้ีเป็ นการ
เพาะเล้ียงไรแดงโดยใชค้ ลอเรลลาเป็ นอาหาร ดงั น้นั ผูเ้ ล้ียงจึงตอ้ งทาการเพาะเล้ียงคลอเรลลาเพื่อ
เป็นอาหารไรแดงอยา่ งตอ่ เนื่อง โดยเลือกใชป้ ๋ ุยสูตรต่าง ๆ ตามความเหมาะสม
การเพาะเล้ียงไรแดงแบบเก็บผลผลิตต่อเนื่อง เริ่มตน้ ดว้ ยการเพาะคลอเรลลาหรือการทา
น้าเขียว โดยใช้บ่อขนาด 50 ตารางเมตร จานวน 3 บ่อ ทาความสะอาดและตากให้แห้ง เติมน้าที่
กรองแลว้ ใหส้ ูงประมาณ 20 เซนติเมตร ใส่ป๋ ุยท่ีใชเ้ ล้ียงคลอเรลลา ตามที่ไดจ้ ดั เตรียมไวเ้ ติมหวั เช้ือ
คลอเรลลาประมาณ 2 ลูกบาศก์เมตร หลงั จากที่เพาะคลอเรลลาแล้ว 3-4 วนั ใส่พนั ธุ์ไรแดง 2
กิโลกรัมต่อบ่อ เล้ียงไรแดงนาน 3-4 วนั สามารถเก็บผลผลิตไดโ้ ดยการกรองไรแดงออกจากบ่อ
เล้ียงบางส่วน พร้อมท้งั ลดระดบั น้าลง 10 เซนติเมตร เติมหวั เช้ือคลอเรลลา และน้าสะอาดอยา่ งละ 5
เซนติเมตร ทาเช่นน้ีทุกวนั จนกว่าสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม เช่น มีโรติเฟอร์ ซ่ึงเป็ นศตั รูของ
ไรแดงมากข้ึน ใหก้ รองไรแดงท้งั บอ่ แลว้ จึงเร่ิมตน้ เพาะใหม่
ขอ้ ดี ของการเพาะเล้ียงไรแดงแบบเก็บเก่ียวต่อเน่ือง คือ
1. ใหผ้ ลผลิตที่แน่นอนสามารถเกบ็ เก่ียวไรแดงไดห้ ลายวนั
2. ลดระยะเวลาการเพาะ
3. ใชบ้ อ่ เพาะเล้ียงไรแดงนอ้ ยกวา่ การเพาะแบบเกบ็ เกี่ยวผลผลิตคร้ังเดียว
4. ไม่สิ้นเปลืองพนั ธุ์ไรแดงเมื่อเร่ิมตน้ การเล้ียง
ขอ้ เสีย คือผเู้ ล้ียงควรระมดั ระวงั ศตั รูของไรแดง คือ โรติเฟอร์ และควรมีการถ่ายน้าและเพิ่ม
น้าสะอาดลงในบ่ออยเู่ สมอ เพ่ือลดความเป็นพิษของแอมโมเนียและสารอินทรียท์ ี่เกิดข้ึนในบ่อ
4.2 การแบง่ การเพาะไรแดงตามลกั ษณะบ่อที่ใชเ้ พาะเล้ียง
เน่ืองจากปัจจุบนั มีการพฒั นาการเพาะเล้ียงสัตวน์ ้าอยา่ งกวา้ งขวาง ทาให้ความตอ้ งการไรแดง
เพ่ือใช้ในการอนุบาลลูกสัตวน์ ้าและการเล้ียงปลาสวยงามเพ่ิมข้ึน จึงมีอาชีพการเพาะเล้ียงไรแดง
เพ่ือธุรกิจ ซ่ึงสามารถจาแนกตามลกั ษณะบอ่ ท่ีนิยมใชเ้ พาะเล้ียงได้ 2 ลกั ษณะ ดงั น้ี
4.2.1 การเพาะเล้ียงไรแดงในบ่อซีเมนต์ สามารถทาได้ และใหผ้ ลผลิตในการเล้ียงดีกวา่
การเล้ียงในแหล่งอ่ืน กล่าวคือ สามารถควบคุมปัจจยั ต่าง ๆ และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตไดส้ ะดวก
การเพาะเล้ียงไรแดงในบ่อซีเมนต์ มีข้นั ตอนการดาเนินการดงั ตอ่ ไปน้ี
95
1) วสั ดุอุปกรณ์ที่จาเป็นในการเพาะเล้ียงไรแดงในบอ่ ซีเมนต์ มีดงั น้ี
(1) บ่อเพาะเล้ียงไรแดง ลกั ษณะของบ่อซีเมนต์ท่ีใช้ในการเพาะเล้ียงไรแดง
อาจเป็ นบ่อซีเมนตท์ รงกลม หรือบ่อซีเมนตท์ รงสี่เหล่ียมท่ีมีขนาดความสูงประมาณ 60 เซนติเมตร
ดงั แสดงในภาพท่ี 4.7 ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั ความตอ้ งการผลผลิต และพ้ืนท่ีในการสร้างบ่อควรสร้างใหอ้ ยู่
บริเวณกลางแจง้ ที่สามารถรับแสงแดดไดเ้ ต็มที่ทว่ั ท้งั บ่อ ส่ิงสาคญั ในการสร้างบ่อซีเมนต์ คือ พ้ืน
กน้ บ่อ ควรฉาบและขดั มนั ใหเ้ รียบร้อย เพ่ือความสะดวกในการหมุนเวียนของน้าไดด้ ี การสร้างบ่อ
เพื่อเพาะเล้ียงไรแดงควรมีทางน้าเขา้ และทางน้าออก เพื่อสะดวกในการเพาะเล้ียงการทาความ
สะอาด และการเกบ็ เก่ียวผลผลิตที่มีประสิทธิภาพและง่ายต่อการปฏิบตั ิ
บอ่ ซเี มนตเ์ พาะไรแดง
ภาพที่ 4.7 การเพาะเล้ียงไรแดงในบ่อซีเมนต์
ท่ีมา : สุมาลี (2552)
(2) เคร่ืองเป่ าลม เพ่ือให้น้ามีการหมุนเวียนที่ดี ป้ องกนั การตกตะกอนของ
คลอเรลลา ลดความเป็นพิษของน้าท่ีมีต่อไรแดง ท้งั ยงั ช่วยในการเพิ่มปริมาณออกซิเจนใหก้ บั น้าใน
บอ่ และช่วยเร่งการเจริญเติบโต การขยายพนั ธุ์ของคลอเรลลา และไรแดงไดเ้ ร็วข้ึนดว้ ย
96
(3) ผา้ กรองน้ า ใช้สาหรับการปล่อยน้าลงในบ่อซีเมนต์ เพื่อใช้ในการ
เพาะเล้ียงไรแดง ควรทาการกรองน้าผา่ นผา้ กรองก่อนทุกคร้ัง ไม่วา่ น้าที่ใชใ้ นการเพาะเล้ียงไรแดง
น้นั จะเป็ นน้าท่ีไดม้ าจากแหล่งใดก็ตาม เช่น น้าประปา น้าคลอง และน้าบาดาล เป็ นตน้ ผา้ ที่ใช้
กรองคลอเรลลา ท่ีเป็นหวั เช้ือ ควรมีขนาด 69 ไมครอน หรืออาจจะใชข้ นาดท่ีต่ากวา่ น้ีเล็กนอ้ ย เพื่อ
เป็นการป้ องกนั สิ่งมีชีวติ อ่ืน ๆ หรือศตั รูของไรแดงปะปนมา
(4) คลอเรลลาหรือน้าเขียว เป็นสาหร่ายเซลลเ์ ดียวขนาดเล็ก สาหรับใชใ้ นการ
เพาะเล้ียงไรแดง สามารถเพาะพนั ธุ์ได้โดยการใช้ป๋ ุยอนินทรีย์หรือใช้ร่วมกับป๋ ุยอินทรีย์ก็ได้
ระยะเวลาในการเพาะเล้ียงและทาใหน้ ้าเขียวเขม้ จะใชเ้ วลาประมาณ 3-4 วนั
(5) หวั เช้ือไรแดง ควรเป็นไรแดงเพศเมียที่มีความสมบูรณ์ ลาตวั ขนาดใหญ่ สี
แดงเร่ือ ๆ มีอายปุ ระมาณ 2 วนั และควรทาความสะอาดไรแดงก่อนทุกคร้ังที่จะนามาใชเ้ ป็ นหวั เช้ือ
เพื่อเป็นการป้ องกนั ศตั รูหรือไรน้าชนิดอ่ืน ๆ ปะปนมา
(6) กากผงชูรส หรืออามิ-อามิ เป็ นกากหรือเศษเหลือใชใ้ นการทาผงชูรส ซ่ึง
ในกากผงชูรส ประกอบดว้ ย ธาตุไนโตรเจน 4.2 เปอร์เซ็นต์ และฟอสฟอรัส 0.2 เปอร์เซ็นต์ สาหรับ
การนากากผงชูรส มาใชค้ วรนาเอาท้งั น้าและกากตะกอนมาใชร้ ่วมกนั แต่ถา้ กากผงชูรส ตกตะกอน
มากเกินไป ควรลดปริมาณลงเพือ่ ป้ องกนั ไม่ใหน้ ้าเน่าเสีย
(7) อาหารสมทบ ประกอบดว้ ยกากถวั่ เหลืองหรือรา หมกั ผสมกบั ปลาป่ น เม่ือ
เกิดการยอ่ ยสลายจะก่อให้เกิดแบคทีเรียจานวนมาก และเป็ นป๋ ุยสาหรับการเพาะเล้ียงไรแดง หรือ
สามารถนาไปใช้เป็ นอาหารของไรแดงโดยตรงได้ นอกจากน้ียงั สามารถนามาใช้ร่วมกันกับ
ป๋ ุยวทิ ยาศาสตร์ และสารอื่น ๆ กส็ ามารถทาได้
(8) ป๋ ุยวิทยาศาสตร์ การนาป๋ ุยวิทยาศาสตร์มาใช้ทุกคร้ัง ก่อนใช้ตอ้ งนามา
ละลายน้าใหห้ มดเสียก่อน เพื่อป้ องกนั การตกคา้ ง สาหรับป๋ ุยวิทยาศาสตร์ท่ีนิยมนาใช้ ไดแ้ ก่ ป๋ ุยนา
ป๋ ุยซุปเปอร์ฟอสเฟต และป๋ ุยยเู รีย
(9) ปูนขาว ใช้ในการปรับระดบั ของความเป็ นกรดเป็ นด่างของน้า และช่วย
เพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ในน้าให้มีมากข้ึน รวมท้งั ช่วยเร่งการเจริญเติบโตและขยายพนั ธุ์ของ
คลอเรลลา ให้เร็วข้ึน แต่ก่อนการนาไปใช้ในบ่อซีเมนตค์ วรละลายปูนขาวก่อน เพื่อป้ องกนั การ
ตกตะกอนในบอ่ ปนู ขาว ที่นิยมนามาใชใ้ นการเพาะเล้ียงไรแดง คือ ปูนเผา หรือ แคลเซียมออกไซด์
(CaO) ปูนเปี ยก หรือ แคลเซียมไฮดรอกไซด์ (Ca (OH2)) หินปูน หรือ แคลเซียมคาร์บอเนต
(CaCO3) และปนู มาร์ล
97
2) ข้นั ตอนการเพาะเล้ียงไรแดงในบ่อซีเมนต์ แบ่งออกเป็ น 5 ข้นั ตอน ซ่ึงการ
ปฏิบตั ิในแต่ละข้นั ตอนควรปฏิบตั ิให้ถูกตอ้ ง เพื่อปริมาณผลผลิตและระยะเวลาในการเก็บเก่ียว
ผลผลิตเพ่ิมข้ึน ซ่ึงแตล่ ะข้นั ตอนปฏิบตั ิดงั น้ี
(1) การเตรี ยมบ่อเพาะเล้ียงไรแดง คล้ายกับการเตรียมบ่อในการเล้ียง
ปลาน้าจืดทวั่ ๆ ไป ในกรณีที่เป็ นบ่อใหม่ ควรจะทาการลา้ งบ่อ เพื่อให้บ่อน้ันอยู่ในสภาพเป็ นกลาง
หรือด่างอ่อน (pH 7-8) โดยแช่น้าทิ้งไวป้ ระมาณ 1-3 สัปดาห์ หากตอ้ งการลดระยะเวลาการแช่ลง ให้ใช้
ฟางขา้ ว ตน้ กลว้ ยหรือเศษวชั พืช หมกั ทิ้งไวใ้ นบ่อดว้ ย ซ่ึงการหมกั เศษวชั พืชทาใหเ้ กิดกรดอินทรีย์
ตา่ ง ๆ เช่น กรดฮิวมิค ซ่ึงกรดเหล่าน้ีสามารถแกไ้ ขความเป็ นด่างให้กบั บ่อได้ หรืออาจใชก้ รดน้าส้ม
เทียมผสมกบั น้าในบ่อ แช่ทิง้ ไวป้ ระมาณ 3-5 วนั แลว้ ระบายน้าในบ่อทิ้ง นาน้าใหม่เขา้ บ่อแช่ทิ้งไว้
อีก 1 วนั จึงสามารถใช้บ่อในการเพาะเล้ียงไรแดงได้ หากเป็ นบ่อเก่า ให้ทาการลา้ งบ่อให้สะอาด
แลว้ ตากทิง้ ไวใ้ หแ้ หง้ เพอ่ื เป็นการกาจดั ศตั รูของไรแดง
(2) การเตรียมน้าใส่บ่อเพาะเล้ียงไรแดง ควรกรองน้าดว้ ยผา้ กรองทุกคร้ัง เพื่อ
ป้ องกันศตั รูของไรแดง การกรองน้านอกจากจะเป็ นการกาจดั ศตั รูแล้ว ยงั เป็ นการคัดขนาดของ
แพลงกต์ อนพืชท่ีมากบั น้า เพื่อเป็ นอาหารสาหรับไรแดงในรุ่นต่อไป เมื่อกรองน้าใส่บ่อซีเมนตด์ ว้ ยผา้
กรองแพลงกต์ อนเสร็จเรียบร้อยแลว้ ควรมีการปรับสภาพน้าให้มีความเป็ นกรดเป็ นด่าง ประมาณ 8 โดย
การนาปูนขาวมาละลายน้าก่อนใส่ลงในบ่อ พยายามอย่าใหเ้ ศษปูนขาวท่ีไม่ละลายน้าหล่นลงไป ในบ่อ
เพราะอาจจะทาใหเ้ กิดเป็ นพษิ และเป็ นอนั ตรายกบั ไรแดงได้
(3) การเตรียมอาหารสาหรับเพาะเล้ียงไรแดง ไรแดงเป็ นสัตว์น้าท่ีตอ้ งการ
สารอาหารเช่นเดียวกบั สัตว์ทวั่ ไป ดงั น้ันอาหารสาหรับการเพาะเล้ียงไรแดงควรประกอบด้วย
โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมนั วติ ามิน และเกลือแร่ ที่ครบถว้ นสมบูรณ์
การเตรียมอาหารในการเพาะเล้ียงไรแดง มีเทคนิคในการปฏิบตั ิ คือ เมื่อพบวา่ น้า
ในบ่อมี สีเขียว แสดงว่าได้มีแพลงก์ตอนพืชเกิดข้ึนแล้ว จึงเติมอาหารเสริมลงในบ่อ ทาให้
แพลงก์ตอนพืชน้ันแพร่พนั ธุ์ เป็ นอาหารของไรแดงต่อไป อาหารผสมท่ีนาไปหมกั จะตอ้ งผ่านการ
หมกั โดยใชเ้ วลาอยา่ งนอ้ ย 24 ชว่ั โมง สาหรับระยะเวลาท่ีเหมาะสมตอ้ งใชเ้ วลาประมาณ 50-60 ชว่ั โมง
และอาหารที่หมกั ก่อนจะนาไปเล้ียงไรแดง ควรใชถ้ ุงผา้ โอร่อนแกว้ กรองส่วนท่ีเป็ นกากออก เพ่ือเป็ น
การลดการเกิดน้าเน่าเสียใหช้ า้ ลง และจะทาใหช้ ่วงเวลาของการเกบ็ เก่ียวไรแดงน้นั ยาวนานข้ึนดว้ ย
สูตรอาหารสาหรับเพาะเล้ียงไรแดงในบ่อซีเมนตม์ ีหลายสูตร สามารถเลือกใช้ตามความ
เหมาะสม ดงั แสดงในตารางที่ 4.5 โดยอาหารท้งั 3 สูตรสามารถนาไปใช้ในการเพาะเล้ียงไรแดง
โดยจะใหผ้ ลผลิตเฉล่ียต่อบ่อขนาด 50 ตารางเมตร ประมาณ 13-15 กิโลกรัม
98
ตารางที่ 4.5 สูตรอาหารสาหรับเพาะเล้ียงไรแดงในบอ่ ซีเมนต์
ส่วนผสมของป๋ ุย สูตรที่ 1 สูตรที่ 2 สูตรที่ 3
กากผงชูรส (อามิ- อามิ) 8.00 ลิตร - 6.00 ลิตร
1.20 กิโลกรัม
ป๋ ุยนา 1.20 กิโลกรัม 1.20 กิโลกรัม 1.20 กิโลกรัม
0.10 กิโลกรัม
ยเู รีย 1.20 กิโลกรัม 1.20 กิโลกรัม 1.00 กิโลกรัม
0.50 กิโลกรัม
ซุปเปอร์ฟอสเฟส 0.10 กิโลกรัม 0.10 กิโลกรัม หรือ 0.50 กิโลกรัม
หรือ 0.50 กิโลกรัม
ปนู ขาว 1.00 กิโลกรัม 1.00 กิโลกรัม
กากถว่ั เหลือง 1.00 กิโลกรัม 0.50 กิโลกรัม
ราละเอียด - 1.00 กิโลกรัม
ปลาป่ น - 0.50 กิโลกรัม
ที่มา : ดดั แปลงจาก อานนท์ (2547)
(4) การเตรียมแม่พนั ธุ์ไรแดง หรือการเตรียมหวั เช้ือ เป็ นสิ่งสาคญั ในการเล้ียง
ไรแดงในเชิงธุรกิจ เพราะถ้าหากได้พนั ธุ์ไรแดงที่มีความสมบูรณ์แข็งแรง ประกอบกบั สภาวะ
แวดลอ้ มที่เหมาะสมต่อการขยายพนั ธุ์ของไรแดง ทาให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตไดเ้ พ่ิมมากข้ึนและ
ยาวนานยง่ิ ข้ึน ซ่ึงมีวธิ ีการสงั เกตพนั ธุ์ไรแดง ดงั ตอ่ ไปน้ี
ก. เร่ิมแรกควรทาการแยกไรแดงกบั แพลงก์ตอนชนิดอ่ืน ๆ ท่ีปะปนมาออก
จากกนั ก่อนโดยใชก้ ระชอนผา้ มุง้ สีฟ้ า ท่ีมีขนาดเลก็ สุด เพ่อื ทาใหไ้ ดเ้ ฉพาะตวั ของไรแดง
ข. วิธีการสังเกต เพื่อใหไ้ ดไ้ รแดงที่มีจานวนเพศเมียมากกวา่ เพศผมู้ ีหลกั
ง่าย ๆ คือ ถา้ ไรแดงเจริญอยใู่ นสภาวะแวดลอ้ มที่เหมาะสมต่อการเจริญพนั ธุ์ของไรแดงจะส่งผลให้
ประชากรของไรแดงน้นั สามารถเกิดเป็นเพศเมียไดถ้ ึง 95 เปอร์เซ็นต์ และเพศผู้ 5 เปอร์เซ็นต์ ดงั น้นั
ถา้ พบวา่ ไรแดงมีลกั ษณะอว้ น แสดงวา่ มีเพศเมียมากกวา่ เพศผู้ และเหมาะที่จะนามาขยายพนั ธุ์
(5) การควบคุมการผลิต การเพาะเล้ียงไรแดงจาเป็ นอย่างยิ่งท่ีจะตอ้ งปฏิบตั ิ
ตามในข้นั ตอนการควบคุมการผลิต เพ่ือเป็ นการคงสภาพบ่อผลิตให้สามารถเก็บเก่ียวผลผลิตให้ได้
มากกวา่ 7 วนั ซ่ึงมีวธิ ีการควบคุม ดงั น้ี
ก. การเก็บเกี่ยวผลผลิต คร้ังแรกในการเก็บเกี่ยวผลผลิตคือ วนั ที่ 3 หรือ 5
หลงั จากท่ีไดเ้ ติมพนั ธุ์ไรแดงลงในบ่อแลว้ ใหเ้ กบ็ เกี่ยวเพยี งวนั ละคร่ึงหน่ึงของผลผลิตท้งั หมด
ข. การเติมอาหาร ให้เติมอาหารที่หมกั ไวแ้ ลว้ 10-25 เปอร์เซ็นต์ ของ
คร้ังแรกทุก ๆ วนั โดยสังเกตผลผลิตไรแดงในบ่อที่เกิดข้ึน
99
ค. การถ่ายน้า ทาการระบายน้าเก่าออก แลว้ เติมน้าใหม่ ทุก 2-3 วนั ระดบั
น้าท่ีระบายประมาณ 5-15 เซนติเมตร
3) ปัญหาการเพาะเล้ียงไรแดงในบ่อซีเมนตแ์ ละวธิ ีการแกไ้ ข
ในการเพาะเล้ียงไรแดงในเชิงธุรกิจ ซ่ึงเป็ นการผลิตในปริมาณที่มากมกั พบปัญหาต่าง ๆ
ดงั แสดงในตารางท่ี 4.6
ตารางที่ 4.6 สรุปปัญหาการเพาะเล้ียงไรแดงในบ่อซีเมนตแ์ ละวธิ ีการแกไ้ ข
สภาพปัญหา แนวทางแกไ้ ข
1. น้าในบ่อเพาะเล้ียงมีค่าความ 1. ใชป้ ูนขาวละลายผสมกบั น้าสะอาดแลว้ สาดใหท้ ว่ั บ่อเพาะเล้ียง
เป็นกรดเป็นด่าง ต่ากวา่ 6 2. ใชป้ ๋ ุยไนโตรเจน ประเภท ไนเตรต เช่น โซเดียมไนเตรต
(16-0-0) ละลายน้าแลว้ สาดใหท้ วั่ บ่อ
3. ใชป้ ๋ ุยหมกั ร่วมกบั หินฟอสเฟต ละลายแลว้ สาดใหท้ ว่ั บอ่
4. ถ่ายน้าออกประมาณคร่ึงหน่ึง จากน้นั เติมน้าเขา้ ใหม่
2. น้าในบ่อมีค่าความเป็ นกรด 1. ใชส้ ารส้มละลายน้าสะอาด แลว้ สาดใหท้ วั่ บอ่ แตว่ ธิ ีน้ีอาจทา
ใหน้ ้าเขียวตกตะกอนได้
เป็นด่าง สูงกวา่ 6 2. ใชป้ ๋ ุยไนโตรเจน ประเภท แอมโมเนีย เช่น แอมโมเนียมซลั เฟต
ละลายน้าแลว้ สาดทว่ั บอ่
3. ใชป้ ๋ ุยคอก เช่น มูลไก่ แตว่ ธิ ีน้ีอาจจะทาใหผ้ ลผลิตน้นั ลดลง
และทาใหน้ ้าในบ่อเพาะเล้ียงเน่าเสียเร็วข้ึน
4. ถ่ายน้าท่ีมีอยเู่ ดิมออก ประมาณคร่ึงหน่ึงแลว้ เติมน้าเขา้ ใหม่
3. ปริมาณออกซิเจนของน้าใน 1. ถ่ายน้าที่มีอยเู่ ดิมออกคร่ึงหน่ึงจากน้นั เติมน้าเขา้ ไปใหม่
บ่อเพาะเล้ียงต่า (สังเกตจากตวั 2. เติมน้าโดยยกส่วนปลายของทอ่ ใหส้ ูงข้ึนเพื่อเป็นการเพ่มิ
ไรแดงลอยข้ึนมาเหนือผิวน้า ออกซิเจนใหก้ บั บ่อ
ในตอนเช้า น้ามีความขุ่นเข้ม 3. กวนน้าหรือตีน้า เพื่อใหเ้ กิดฟองอากาศในน้าในบ่อใหม้ ากข้ึน
และผลผลิตท่ีลดลง) 4. ใชเ้ คร่ืองป๊ัมอากาศเพอื่ ช่วยเพ่มิ ออกซิเจนในน้า
4. เม่ือมีสัตวช์ นิดอ่ืนหรือศตั รู 1. ถา้ มีแมลง ใหใ้ ชส้ วงิ ชอ้ นออกจากบ่อ
ของไรแดงปะปนเขา้ มาในบ่อ 2. ลูกปลา ลูกออ๊ ด ลูกเขียด ใหใ้ ชก้ ากชาท่ีมีความเขม้ ขน้ 30 ppm.
เพาะเล้ียง หรือ 30 กรัม ตอ่ น้า 1 ลูกบาศกเ์ มตร ละลายผสมกบั น้าสะอาด
แลว้ สาดลงไปในบ่อเพาะเล้ียง
5. เมื่อน้าในบ่อมีความเขม้ ขน้ 1. ถ่ายน้าประมาณ คร่ึงหน่ึงจากน้นั เติมน้าเขา้ ไปใหม่
หรือ น้าเป็นสีเขียวเขม้ เกินไป 2. ลดปริมาณการใหอ้ าหารแก่ไรแดงใหน้ อ้ ยลง
100
ตารางที่ 4.6 สรุปปัญหาการเพาะเล้ียงไรแดงในบ่อซีเมนตแ์ ละวธิ ีการแกไ้ ข (ตอ่ )
สภาพปัญหา แนวทางแกไ้ ข
6. เม่ือน้าในบ่อเพาะเล้ียงใส 1. เติมอาหารผสมเพ่มิ เขา้ ไปทนั ทีประมาณ 20-40 เปอร์เซ็นต์ แลว้
ผดิ ปกติ หมกั อาหารผสมเพม่ิ ข้ึนอีก 10-25 เปอร์เซ็นต์ เพือ่ เติมใน
วนั รุ่งข้ึน
2. เติมน้าเขียวเพิ่มเขา้ ไปในบ่อเพาะเล้ียงใหม้ ีความสูงเพิ่มข้ึนอีก
ประมาณ 5-10 เซนติเมตร
ท่ีมา : ดดั แปลงจาก อานนท์ (2547)
4) เทคนิคท่ีควรปฏิบตั ิในการเพาะเล้ียงไรแดงในบอ่ ซีเมนต์
การเพาะเล้ียงไรแดงเพื่อการอนุบาลลูกสัตว์น้าหรือเชิงธุรกิจ จะต้องทราบถึง
เทคนิคหรือเคลด็ ลบั ท่ีทาใหก้ ารเพาะเล้ียงไรแดงประสบความสาเร็จ คือ
(1) การเตรียมน้าและการใชน้ ้าเขียว ก่อนการใชท้ ุกคร้ังตอ้ งกรองดว้ ยผา้ กรอง
เพื่อป้ องกนั สิ่งมีชีวติ อ่ืน ๆ ปะปนอยรู่ ่วมกบั ไรแดง
(2) น้าที่ใชเ้ พาะเล้ียงไรแดง ควรให้มีสภาพความเป็ นกรดเป็ นด่าง ประมาณ
7.5-8.5
(3) การเพาะเล้ียงไรแดง ปัจจยั ที่ควรคานึงถึงคืออาหารหรือน้าเขียว ดงั น้นั อาหาร
ที่เหมาะตอ่ การขยายพนั ธุ์ของไรแดง ควรจะทาใหน้ ้าในบ่อเพาะเล้ียงน้นั คงสภาพ
(4) การเพ่ิมระดบั น้า อาหารผสมและป๋ ุย เป็ นอีกปัจจยั หน่ึงในการเพิ่มผลผลิต
ไรแดง เน่ืองจากการเพม่ิ ระดบั น้า อาหารผสม และป๋ ุย เป็นการเพมิ่ ปริมาณคลอเรลลาใหม้ ีมากข้ึน
(5) การใหอ้ อกซิเจนในน้า ในบ่อเพาะเล้ียงไรแดงมีประโยชน์อย่างย่ิง เพราะจะ
ส่งผลใหไ้ รแดงสามารถเพาะขยายพนั ธุ์ไดเ้ ร็วข้ึน และช่วยป้ องกนั การตกตะกอนของน้าเขียวอีกดว้ ย
(6) แสงแดด จะมีผลต่อปริมาณความหนาแน่นของน้าเขียว และระยะเวลาที่ใช้
ในการเพาะเล้ียงไรแดงไดโ้ ดยตรง
(7) อุณหภูมิ เป็ นปัจจยั ทางธรรมชาติที่ไม่สามารถควบคุมได้ ในสภาวะที่
อุณหภูมิต่าผลผลิตไรแดงจะลดลงตามไปดว้ ย
4.2.2 การเพาะเล้ียงไรแดงในบ่อดิน มีข้นั ตอนการปฏิบตั ิ ดงั ตอ่ ไปน้ี
1) การเตรียมบ่อดินเพื่อใช้เพาะเล้ียงไรแดง โดยควรขุดบ่อให้มีขนาด ประมาณ
200-800 ตารางเมตร กาจดั ส่ิงสกปรกภายในบอ่ ใหห้ มด และกาจดั สตั วท์ ่ีเป็นศตั รูของไรแดงใหห้ มด
จากน้นั ตากบอ่ ใหแ้ หง้ ทิง้ ไวป้ ระมาณ 2 วนั
101
2) การเตรียมน้าในบอ่ ดิน ควรจะใชผ้ า้ กรองแพลงกต์ อนกรองน้าโดยใหน้ ้ามีระดบั
ความสูงจากพ้ืนบอ่ ประมาณ 25-40 เซนติเมตร
3) การเตรียมอาหาร เม่ือกรองน้าเขา้ บ่อเรียบร้อยแลว้ ให้ใส่น้าเขียวประมาณ 2
ลูกบาศก์เมตร ต่อบ่อขนาด 800 ตารางเมตร รวมท้งั ใส่ป๋ ุยและอาหารเติมลงไปในบ่อดว้ ย สาหรับ
สูตรอาหารที่ใชส้ ามารถเลือกใชไ้ ดด้ งั ตารางท่ี 4.7
4) การเตรียมแมพ่ นั ธุ์ไรแดง (หวั เช้ือ) ใชว้ ธิ ีการเช่นเดียวกนั กบั การเตรียม แม่พนั ธุ์
ในบ่อซีเมนต์
ตารางที่ 4.7 สูตรอาหารสาหรับเพาะเล้ียงไรแดงในบอ่ ดิน
วสั ดุที่ใช้ ขนาดบอ่ 200 ตารางเมตร ขนาดบ่อ 800 ตารางเมตร
60.00 กิโลกรัม
ปูนขาว 15.00 กิโลกรัม 100.00 ลิตร
10.00 กิโลกรัม
กากผงชูรส 25.00 ลิตร 5.00 กิโลกรัม
10.00 กิโลกรัม
ป๋ ุยสูตร 16-20-0 2.50 กิโลกรัม
ป๋ ุยยเู รีย 1.20 กิโลกรัม
กากถวั่ เหลือง 2.50 กิโลกรัม
ท่ีมา : อานนท์ (2547)
5) การควบคุมการผลิต เม่ือใส่หวั เช้ือไรแดงลงในบ่อ ประมาณ 4-7 วนั สามารถ
เก็บผลผลิตไดใ้ นชุดแรก ควรเก็บในช่วงเช้า และควรเก็บไรแดงไวเ้ พื่อขยายพนั ธุ์ในชุดต่อไป
จากน้นั เติมอาหารลงไป ระยะน้ีควรใช้อาหารประเภทที่ยอ่ ยสลายไดง้ ่าย เช่น กากถว่ั เหลือง น้าเขียว
รา เลือดสัตว์ ป๋ ุยวิทยาศาสตร์ และป๋ ุยคอก เป็ นตน้ โดยอตั ราส่วนท่ีเติมลดลงจากเดิมคร่ึงหน่ึง เพ่ือให้
ไรแดงสามารถขยายพนั ธุ์เพิ่มข้ึนอีกภายใน 2-3 วนั จากน้นั จึงเก็บผลผลิตในชุดท่ี 2 ทาเช่นน้ีประมาณ
15 วนั ผลผลิตท่ีไดจ้ ะลดนอ้ ยลงเรื่อย ๆ จนหมดไปในท่ีสุด
นอกจากการเพาะเล้ียงไรแดงโดยใชว้ สั ดุอาหารแลว้ ยงั สามารถนาน้าเสียจากฟาร์มสุกรมา
ใช้ในการเพาะเล้ียงไรแดงไดอ้ ีกด้วย ซ่ึงนอกจากจะเป็ นการลดตน้ ทุนการผลิตแลว้ ยงั เป็ นการลด
มลพิษในสภาพแวดลอ้ มไดเ้ ป็นอยา่ งดีอีกดว้ ย
4.3 การเพาะเล้ียงไรแดงโดยใชน้ ้าเสียจากฟาร์มสุกร น้าเสียจากฟาร์มสุกร ท่ีเป็ นปัญหาต่อ
สภาพแวดลอ้ ม ท้งั ในดา้ นกล่ินและการเน่าเสียของน้าการนาน้าเสียดงั กล่าวมาใชป้ ระโยชน์ โดยใช้
เพาะเล้ียงสาหร่ายสีเขียวเพ่ือเป็ นอาหารไรแดง จึงเป็ นการลดตน้ ทุนในการผลิตไรแดง เนื่องจากใน
น้าเสียจากฟาร์มสุกรจะมีธาตุอาหาร ท่ีเหมาะสาหรับการเจริญเติบโตของสาหร่ายสีเขียว รวมท้งั เป็ น
การบาบดั น้าในฟาร์มสุกรอีกดว้ ย ดงั แสดงในภาพที่ 4.8
102
ภาพท่ี 4.8 น้าเสียจากฟาร์มสุกร
ที่มา : สุมาลี และคณะ (2550)
ข้นั ตอนการเพาะเล้ียงไรแดงโดยใชน้ ้าเสียจากฟาร์มสุกร
4.3.1 การเตรียมน้า ใช้น้าเสียจากฟาร์มสุกรต่อน้าคลองหรือน้าจากแหล่งน้าธรรมชาติ
ในอตั ราส่วน 1: 4 เติมลงในบ่อซีเมนต์ ให้น้ามีระดบั ความสูง 30 เซนติเมตร โดยกรองดว้ ยผา้ กรอง เติม
หวั เช้ือน้าเขียวประมาณ 5 เซนติเมตร หลงั จากน้นั ใส่ราละเอียดที่หมกั ไวแ้ ลว้ ทิ้งไว้ 2-3 วนั
4.3.2 การเตรียมราหมกั ใชร้ าหมกั ในอตั ราส่วน 100 กรัมต่อตารางเมตรใส่น้าพอท่วมใช้
ไมค้ นใหเ้ ขา้ กนั หมกั ทิง้ ไว้ 1 คืน
4.3.3 ปล่อยพนั ธุ์ไรแดงหลงั จากน้าในบ่อมีสีเขียวแลว้ ในอตั รา 40 กรัมต่อตารางเมตร ทิ้ง
ไว้ 3-4 วนั สามารถเก็บผลผลิตได้
4.3.4 การเก็บผลผลิตไรแดง ใชส้ วงิ ตาถี่ชอ้ นไรแดง หรือกรองไรแดงขณะที่ปล่อยน้า
ในบอ่ ออก ผลผลิตท่ีไดป้ ระมาณ 200-300 กรัมต่อตารางเมตร ดงั แสดงในภาพที่ 4.9
ภาพที่ 4.9 การเก็บผลผลิตไรแดง
ที่มา : สุมาลี (2552)
103
4.4 การนาไรแดงไปใช้ประโยชน์อยา่ งมีประสิทธิภาพมากท่ีสุดน้นั ไรแดงที่นาไปใชต้ อ้ งไม่มี
เช้ือโรคที่จะก่อให้เกิดอนั ตรายต่อสัตวน์ ้า ซ่ึงไรแดงที่ไดจ้ ากการเพาะเล้ียงในบ่อซีเมนต์ จะมีโอกาส
ปลอดเช้ือโรคมากกว่าการเพาะเล้ียงในบ่อดิน หรือไรแดงท่ีไดจ้ ากแหล่งน้าสกปรกตามธรรมชาติ แต่
เพื่อความมนั่ ใจต่อคุณภาพของไรแดงท่ีเพาะเล้ียงมาปลอดจากเช้ือโรค ควรจะมีการล้างไรแดงด้วย
สารละลายด่างทบั ทิม ในอตั ราส่วนผสม คือ ด่างทบั ทิม 0.1 กรัม ต่อน้า 20 ลิตร ซ่ึงน้าที่ไดจ้ ะมีสีชมพู
อ่อนและสามารถช่วยเพม่ิ ออกซิเจนในน้าให้กบั ไรแดงดว้ ย เพราะสารละลายด่างทบั ทิมเม่ือนาไปละลาย
ผสมกบั น้าจะทาใหเ้ กิดออกซิเจนเพ่ิมข้ึน
4.5 คุณคา่ ทางโภชนาการของไรแดง ไรแดงจดั เป็ นอาหารธรรมชาติท่ีสาคญั เพราะมีคุณค่า
ทางโภชนาการสูง เหมาะสาหรับการอนุบาลสัตวน์ ้าวยั อ่อน ท่ีมีความสาคญั ทางเศรษฐกิจ เช่น
ปลาดุก ปลาบึก และปลาสวยงาม เป็นตน้ ดงั ตารางที่ 4.8
ตารางที่ 4.8 คุณคา่ ทางโภชนาการของไรแดง
ไรแดง คุณคา่ ทางโภชนาการ (เปอร์เซ็นตข์ องน้าหนกั แหง้ )
โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมนั เถา้
น้าหนกั แหง้ 74.09 12.50 10.19 3.47
ที่มา : สถานีวจิ ยั เพาะเล้ียงชายฝั่ง (2547)
4.6 การนาไรแดงไปใชเ้ ป็ นอาหารปลา การนาผลผลิตไรแดงไปใชใ้ นการอนุบาลลูกปลาที่
มีความเหมาะสม คือ ไรแดง ปริมาณ 500-800 กรัม ต่อลูกปลาประมาณ 100,000 ตวั ต่อวนั ในแต่ละ
วนั ควรมีการแบ่งให้ โดยใหว้ นั ละ 4-5 คร้ัง แต่ละคร้ังห่างกนั ประมาณ 4-6 ชว่ั โมง และพยายามอยา่ ให้มี
ไรแดงเหลือตกค้างในบ่ออนุบาลลูกปลา เพราะเม่ือไรแดงตายจะจมลงสู่พ้ืนก้นบ่อแล้วเกิดการเน่า
หมกั หมม ส่งผลใหน้ ้าในบอ่ อนุบาลเน่าเสีย และทาใหล้ ูกปลาตายในที่สุด (อานนท,์ 2547)
4.7 การเก็บรักษาไรแดง เพื่อไวใ้ ชใ้ นคราวตอ่ ไป นบั วา่ มีความสาคญั เช่นกนั เพราะถา้ หาก
เก็บไรแดงไม่ถูกตอ้ งหรือไม่ถูกวธิ ี อาจทาใหค้ ุณค่าทางโภชนาการของไรแดงสูญเสียไปได้ ดงั น้นั
ในการเกบ็ รักษาไรแดงจึงควรปฏิบตั ิ ดงั น้ี
4.7.1 การแช่แข็ง การแช่แขง็ เป็ นวิธีหน่ึงท่ีสามารถเก็บไรแดงไวไ้ ดน้ าน และคงความ
สดของไรแดงอยเู่ สมอ เมื่อตอ้ งการนามาใช้เป็ นอาหารให้นาออกจากตูเ้ ยน็ ทิ้งไวใ้ หน้ ้าแข็งละลาย
ก่อนที่จะนาไปเล้ียงปลา
4.7.2 การเก็บไวใ้ นท่ีที่มีอุณหภูมิต่า การเก็บไรแดงในห้องท่ีมีอุณหภูมิต่าประมาณ
10 องศาเซลเซียส โดยเติมน้าเพ่ิมเขา้ ไปอีกประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ จนทาใหส้ ามารถเก็บไรแดงท่ีมี
104
ชีวิตอยไู่ ดน้ านประมาณ 3-4 วนั ซ่ึงในวนั ท่ี 3 หากสังเกตดูจะเห็นว่ามีสีขาวข่นุ หรือสีชมพูรวมอยดู่ ว้ ย
แสดงว่าไรแดงไดท้ าการผสมพนั ธุ์กนั แบบอาศยั เพศ เพราะอุณหภูมิที่ไรแดงอาศยั อยนู่ ้นั เป็ นภาวะท่ีไม่
เหมาะสม ไรแดงจึงตอ้ งปรับเปลี่ยนตวั เองใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ ม เพ่อื ทาใหเ้ กิดการขยายพนั ธุ์ไดต้ อ่ ไป
5. การเพาะเลยี้ งอาร์ทเี มยี
อาร์ทีเมีย (Artemia salina) หรือไรสีน้าตาล บางคร้ังเรียกไรน้าเค็ม เหมาะสาหรับใช้เป็ น
อาหารสัตวน์ ้าวยั อ่อน เช่น กุง้ ปลา และปู ท้งั น้ีเพราะอาร์ทีเมียมีคุณค่าทางอาหารสูง ขนาดเหมาะสม
และตวั อ่อนอยภู่ ายในเปลือกหรืออยใู่ นรูปที่เรียกวา่ ไข่อาร์ทีเมีย ลกั ษณะตวั เต็มวยั ของอาร์ทีเมีย ดงั
แสดงในภาพท่ี 4.10 อาร์ทีเมียสามารถเก็บรวบรวมขนส่งไดง้ ่าย และยงั สามารถเก็บรักษาใหม้ ีชีวิต
อยไู่ ดห้ ลายปี ในรูปของไขอ่ าร์ทีเมียกระป๋ อง ซ่ึงเม่ือจะใชก้ ็นามาฟักในน้าทะเลโดยมีข้นั ตอน ดงั น้ี
ภาพที่ 4.10 อาร์ทีเมีย
ที่มา : นิรนาม ฉ (2552)
5.1 การฟักไขอ่ าร์ทีเมีย
ไข่อาร์ทีเมียท่ีใช้ในการฟัก คือ ไข่แห้ง ซ่ึงมีปัจจัยที่ควรพิจารณาและมีวิธีการฟัก
ไข่ อาร์ทีเมีย ดงั น้ี
5.1.1 ปัจจยั ท่ีควรพิจารณา ในการฟักไข่อาร์ทีเมีย ควรพจิ ารณาปัจจยั หลกั ๆ ดงั น้ี
1) ความสะอาดและคุณภาพของไข่ ไข่ที่ใช้ในการฟักส่วนใหญ่นาเขา้ มาจาก
ต่างประเทศ และมกั มีคุณภาพแตกต่างตามบริษทั ที่ผลิต ไม่วา่ จะเป็ นไข่อาร์ทีเมียสายพนั ธุ์เดียวกนั
หรือต่างสายพนั ธุ์ก็ตาม ท้งั น้ีเน่ืองจากไข่อาร์ทีเมียที่จาหน่ายอยู่ส่วนใหญ่เป็ นไข่ที่ไดจ้ ากแหล่งน้า
ธรรมชาติ บางคร้ังอาจเกิดการปนเป้ื อน ดงั น้นั ควรเลือกซ้ือไข่อาร์ทีเมียจากบริษทั ท่ีเชื่อถือได้ เพราะ
ไขอ่ าร์ทีเมียมีราคาค่อนขา้ งแพง การเลือกไข่อาร์ทีเมียแบบแหง้ จะมีอยหู่ ลายเกรด โดยพิจารณาจาก
105
อตั ราการฟัก เกรดที่ดีที่สุด คือ 80 เปอร์เซ็นต์ รองลงมา 70 เปอร์เซ็นต์ และ 60 เปอร์เซ็นต์ ส่วน 50
เปอร์เซ็นต์ และ 40 เปอร์เซ็นต์ เป็ นไข่อาร์ทีเมียท่ีถือวา่ มีอตั ราการฟักต่า ทาให้ราคาของไข่อาร์ทีเมีย
แตกต่างกันมาก ดงั น้ันควรเลือกไข่อาร์ทีเมียท่ีมีคุณภาพ ไม่มีส่ิงปลอมปน จะทาให้การเพาะฟักมี
ประสิทธิภาพ ใหผ้ ลดีและใหผ้ ลตอบแทนคุม้ ค่า
2) ความเค็มของน้าที่ใชใ้ นการเพาะฟัก ควรอยรู่ ะหว่าง 10-35 ppt. ท้งั น้ีข้ึนอยู่
กบั สายพนั ธุ์ และตอ้ งสงั เกตจากภาชนะท่ีบรรจุ เพราะจะบอกถึงวธิ ีการเพาะฟัก และระดบั ความเคม็
ของน้าท่ีเหมาะสมสาหรับการเพาะฟัก
3) อุณหภูมิของน้า โดยทว่ั ไปแลว้ น้าท่ีใช้ในการเพาะฟักไข่อาร์ทีเมีย ควรมี
อุณหภูมิอยู่ในช่วงระหว่าง 20-34 องศาเซลเซียส น้าที่มีอุณหภูมิสูงจะใช้เวลาส้ันกว่า การฟัก
ออกเป็นตวั เร็วกวา่ การใชน้ ้าที่มีอุณหภูมิต่ากวา่
4) ความเป็ นกรด เป็ นด่าง (pH) ควรปรับสภาพน้าให้เป็ นด่างอ่อน ๆ คือ มีค่า
ความเป็นกรดเป็นด่าง ระหวา่ ง 7.5-9.0
5) ออกซิเจน ปริมาณออกซิเจนที่ใช้สาหรับการเพาะฟัก โดยปกติควรให้อยู่
ระหวา่ ง 4-6 ppm. ไมค่ วรใหต้ ่ากวา่ 2 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือ 2 ppm.
6) แสง สามารถช่วยเร่งระยะเวลาการฟักตวั อ่อนของอาร์ทีเมีย ดว้ ยการใชแ้ สงท่ี
มีความเขม้ ขน้ 1,500 Lux (15 วตั ต)์ ข้ึนไป ช่วยในการฟัก จะทาให้ไข่สามารถฟักไดม้ ากกว่า 80
เปอร์เซ็นต์ ภายในเวลา 24 ชว่ั โมง หากจะไม่ใช้แสงเพ่ิมเพ่ือช่วยเร่งในการฟักตวั ของไข่อาจใช้
แสงแดดในช่วงกลางวนั กไ็ ด้
5.1.2 วิธีการฟักไข่อาร์ทีเมีย สามารถเก็บได้นาน หากเก็บไวใ้ นสภาพที่แห้งและ
เหมาะสมมิฉะน้ันอาจทาให้ไข่เสียหาย และมีอตั ราการฟักต่า วิธีการเก็บควรเก็บไข่ในสภาพที่มี
อากาศแหง้ และเยน็ ไม่ควรใหถ้ ูกแสง สาหรับผทู้ ่ีตอ้ งการเพาะอาร์ทีเมีย สามารถเลือกซ้ือได้ ซ่ึงจะมี
ใหเ้ ลือกอยู่ 2 แบบ คือ แบบไข่อยา่ งเดียว และแบบผสมเกลือมาแล้ว ถา้ เป็ นแบบแรกตอ้ งใชน้ ้าเคม็
15-30 ppt. ในการฟัก แต่ถา้ เป็นแบบผสมเกลือมาแลว้ ใหใ้ ชน้ ้าจืดตามท่ีระบุไวใ้ นฉลากขา้ งกระป๋ อง
สาหรับการฟักมีข้นั ตอน ดงั น้ี
1) นาไข่อาร์ทีเมียประมาณ 1-5 กรัมต่อน้า 1 ลิตร ใส่ลงในถงั เพาะฟักท่ีมีน้า
ความเคม็ ที่เหมาะสม คือ ประมาณ 10-35 และใหอ้ ากาศตลอดเวลา
2) ระยะเวลาในการเพาะฟักประมาณ 15-35 ชว่ั โมง ไข่จะฟักออกเป็ นตวั อตั รา
การฟักออกเป็นตวั จะมากหรือนอ้ ย ข้ึนอยกู่ บั คุณภาพของไขแ่ ละสายพนั ธุ์เป็นสาคญั
3) การแยกเปลือกไขท่ ิ้ง ควรใชถ้ งั เพาะฟักไข่อาร์ทีเมียท่ีเป็ นรูปทรงกระบอกกน้
ถงั มีลกั ษณะเป็ นกรวย เพื่อสะดวกในการให้อากาศให้ทวั่ ถึง ขา้ งถงั ควรทาสีทึบ ส่วนกน้ ถงั ใส เพื่อ
106
ความสะดวกในการรวบรวมตวั อ่อน เพราะสามารถใช้แสงไฟล่อให้อาร์ทีเมียลงมาอยกู่ น้ ถงั และดูด
เปลือกไข่เสียท่ีลอยอยู่ที่ผิวน้าออกพร้อมกบั น้า ก่อนการแยกเปลือกไข่ควรฆ่าเช้ือโรคก่อน โดยใส่
ฟอร์มาลิน 50-100 ppm. ทิ้งไวป้ ระมาณ 3-12 ชั่วโมง จึงทาการแยกเปลือกไข่ วิธีการแยกเปลือกไข่
อาร์ทีเมีย ท่ีนิยมมี 2 วธิ ี ดงั น้ี
(1) การแยกเปลือกไข่โดยใชค้ วามเค็ม เป็ นการแยกจากไข่ที่ฟักออกเป็ นตวั
แลว้ ในถงั เพาะฟัก โดยใช้วิธีการหยุดการให้อากาศในถงั เพาะฟักประมาณ 1-3 นาที ซ่ึงจะทาให้
ความเคม็ ของน้าสูงข้ึน จึงทาใหเ้ ราสามารถชอ้ นเปลือกไข่และไข่บริเวณผวิ น้าออกไดข้ ณะท่ีตวั อ่อน
กย็ งั วา่ ยน้าอยู่ หรือเพิม่ น้าใหต้ วั ออ่ นและปล่อยน้าออกทางกน้ ถงั
(2) การแยกโดยใชแ้ สงไฟล่อ โดยการหยดุ การใหอ้ ากาศในถงั เพาะฟักและปิ ด
ปากถงั ดว้ ยวสั ดุทึบแสง แลว้ ใชแ้ สงไฟล่ออาร์ทีเมียไปยงั จุดใดจุดหน่ึงหรือบริเวณกน้ ถงั ตวั อ่อน
ของอาร์ทีเมียจะชอบแสงมนั จึงมารวมกนั หากล่อท่ีกน้ ถงั ก็จะมารวมกนั ที่กน้ ถงั สามารถปล่อยน้า
และตวั อ่อนออกได้ วธิ ีน้ีเป็นวธิ ีท่ีประหยดั และปลอดภยั จึงเป็นที่นิยมใชก้ นั มากในปัจจุบนั
4) การนาไปใชป้ ระโยชน์ควรใชต้ วั อ่อนอาร์ทีเมียท่ีฟักออกเป็ นตวั ในระยะ 6-10
ชวั่ โมง ไปใชเ้ ล้ียงสัตวน์ ้า เพราะเป็ นระยะที่ตวั อ่อนยงั มีไข่แดงเก็บสะสมอยู่ จึงมีคุณค่าทางอาหาร
มากกว่าตวั อ่อนที่แก่กว่า และควรทาการกาจดั ปรสิตหรือเช้ือโรคที่ไม่พึงประสงค์ท่ีอาจติดมากบั
ไข่อาร์ทีเมียออกเสียก่อน หลงั จากท่ีอาร์ทีเมียฟักออกเป็ นตวั แลว้ ประมาณ 24-36 ชว่ั โมง ให้ทาการใส่
เกลือหรือน้าเกลือเขม้ ขน้ ลงในถงั เพาะฟัก ในอตั ราความเค็มของน้าเท่ากบั น้าในบ่อที่จะนาไปเล้ียง
สตั วน์ ้า อาจตอ้ งใชเ้ วลาในการปรับความเคม็ ใหส้ ูงข้ึนชวั่ โมงละ 5-10 ppt.
5.2 ขอ้ ควรคานึงถึงในการฟักไขอ่ าร์ทีเมีย
การฟักไขอ่ าร์ทีเมียท่ีมีประสิทธิภาพ ควรพิจารณาสิ่งต่างๆ ดงั น้ี
5.2.1 ถงั ที่ใชใ้ นการฟักไข่อาร์ทีเมีย ควรเป็ นถงั ทรงสูงรูปทรงกระบอก มีกน้ ลกั ษณะ
เป็ นกรวยเพ่ือสะดวกในการให้อากาศได้ทว่ั ถึง ขา้ งถงั ด้านนอกทาสีทึบ ก้นถงั โปร่งใสเพ่ือการ
รวบรวมตวั ออ่ นอาร์ทีเมียไดง้ ่าย
5.2.2 ควรฆา่ เช้ือโรคและปรสิตก่อนแยกเปลือกไข่ ในถงั เพาะฟักเสียก่อน
5.2.3 การเลือกอาร์ทีเมียไปใชป้ ระโยชน์ ในการเล้ียงสัตวน์ ้าอยใู่ นระยะ Instar I เพราะ
เป็ นระยะที่ตวั อ่อนยงั มีไข่แดงเก็บสะสม ดงั น้นั ผูเ้ พาะฟักจึงตอ้ งรู้ระยะเวลาในการฟักไข่ท่ีแน่นอน
เพ่ือจะไดร้ ู้ช่วงท่ีตอ้ งเก็บเก่ียวอาร์ทีเมียใหอ้ ยรู่ ะยะ Instar I มากที่สุด และยงั ตอ้ งรู้อตั ราการฟัก เพ่ือจะ
ไดท้ ราบวา่ แตล่ ะคร้ังควรเพาะฟักอาร์ทีเมียปริมาณเทา่ ใด จึงจะเพยี งพอต่อการนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้
107
5.2.4 การเลือกซ้ือไขอ่ าร์ทีเมีย มีวธิ ีการพจิ ารณา ดงั น้ี
1) ไข่อาร์ทีเมีย ตอ้ งแหง้ สนิทและสะอาด บรรจุในกระป๋ องที่ปิ ดสนิทดว้ ยระบบ
สูญญากาศ มีฉลากบอกแหล่งผลิตท่ีแน่นอน
2) ระยะเวลาและกรรมวิธีการเก็บไข่อาร์ทีเมีย ถา้ หากเก็บไข่อาร์ทีเมียไวน้ าน
เกิน 1 ปี จะทาใหค้ ุณภาพและประสิทธิภาพการฟักออกเป็นตวั ต่าลง ดงั น้นั ควรเก็บไข่อาร์ทีเมียในท่ี
ท่ีมีอุณหภมู ิต่า ความช้ืน ประมาณ 7-10 เปอร์เซ็นต์ และออกซิเจนนอ้ ยที่สุด
3) อตั ราการฟักของไข่อาร์ทีเมียที่ดี ควรมีอตั ราการเพาะฟัก ไม่น้อยกว่า 75
เปอร์เซ็นต์ โดยการแบง่ คุณภาพไขอ่ าร์ทีเมีย ตามอตั ราการเพาะฟัก ดงั น้ี
Super Premium หรือ Super gold อตั ราการเพาะฟัก 95 เปอร์เซ็นต์
Grade P (premium) อตั ราการเพาะฟัก 90 เปอร์เซ็นต์
Grade A (Economic grade) อตั ราการเพาะฟัก 80 เปอร์เซ็นต์
Grade B อตั ราการเพาะฟัก 70 เปอร์เซ็นต์
Grade C อตั ราการเพาะฟัก 60 เปอร์เซ็นต์
4) ประสิทธิภาพในการเพาะฟักไข่อาร์ทีเมียท่ีดี ควรมีประสิทธิภาพการเพาะฟัก
สูง โดยไขอ่ าร์ทีเมียแหง้ 1 กรัม ตอ้ งมีจานวนไข่มากกวา่ 250,000 ฟอง และมีอตั ราการเพาะฟักเป็ น
ตวั ออ่ นไมน่ อ้ ยกวา่ 175,000 ตวั
5) ระยะเวลาการเพาะฟักไข่อาร์ทีเมียท่ีมีคุณภาพ ควรเร่ิมฟักออกเป็ นตวั อ่อน
ภายใน 15 ชว่ั โมง ภายใตร้ ะบบการเพาะฟักมาตรฐานและควรเพาะฟักไดต้ วั อ่อน 90 เปอร์เซ็นต์ ภายใน
5 ชวั่ โมง ภายหลงั พบตวั อ่อนตวั แรก และมีระยะเวลาในการเพาะฟัก 18-24 ชว่ั โมง
6) แหล่งซ้ือไข่อาร์ทีเมีย ควรเลือกซ้ือไข่อาร์ทีเมียจากแหล่งหรือตวั แทนท่ี
น่าเช่ือถือ และสามารถรับรองคุณภาพไขไ่ ด้
5.2.5 การเพาะเล้ียงอาร์ทีเมีย ในปัจจุบนั สามารถเล้ียงได้ 2 วิธี ดงั น้ี คือ การเล้ียงใน
ห้องปฏิบตั ิการ การเล้ียงในลกั ษณะน้ีผเู้ พาะเล้ียงสามารถควบคุมปัจจยั ต่าง ๆ ไดต้ ามตอ้ งการ นิยม
เล้ียงในตูก้ ระจก ถังไฟเบอร์กลาสและบ่อซีเมนต์ แต่การเล้ียงแบบน้ีจะมีค่าใช้จ่ายค่อนขา้ งสูง
สาหรับอีกวธิ ีหน่ึง คือ การเล้ียงในภาคสนาม เป็นการเล้ียงอาร์ทีเมียในบ่อดินหรือในแหล่งน้าต่าง ๆ
ท่ีผูเ้ ล้ียงสามารถทาเป็ นอาชีพเสริมควบคู่ไปกบั การทานาเกลือ หรือการเพาะเล้ียงสัตวน์ ้า ชนิดอ่ืน ๆ
ได้ โดยใชน้ าเกลือที่มีความเคม็ สูง โดยผลผลิตไขอ่ าร์ทีเมียแหง้ ที่ไดป้ ระมาณ 10 กิโลกรัม ต่อพ้ืนท่ี 1.5
ไร่ ในระยะเวลา 45 วนั (อานนท,์ 2547)
5.3 ปัจจยั สาคญั ในการเล้ียงอาร์ทีเมีย
ในการเล้ียงอาร์ทีเมียมีหลกั เกณฑท์ ว่ั ไปในการพจิ ารณา ดงั น้ี (ลดั ดา, 2539)
108
5.3.1 การเลือกสถานที่ ควรเป็ นสถานท่ีท่ีอยใู่ กลแ้ หล่งน้าที่มีความเคม็ สูง เช่น บริเวณ
นาเกลือ และสามารถจดั การความเค็มของน้าไดต้ ามความตอ้ งการ สภาพดินควรเป็ นดินเค็มและ
สามารถเก็บน้าไดด้ ี การคมนาคมสะดวกใกลแ้ หล่งอาหาร เช่น ฟาร์มเล้ียงสัตวต์ ่าง ๆ โรงงานผลิต
อาหารสาเร็จรูป ฟาร์มเล้ียงกุง้ หรือปลาทะเล เป็นตน้
5.3.2 การสร้างบ่อ ควรมีขนาดระหวา่ ง 1-5 ไร่ ความลึก 1-1.5 เมตร ควรให้ความยาว
ของบ่อไปตามทิศทางลมเพราะนอกจากจะช่วยหมุนเวียนน้ายงั ช่วยพดั พาไข่อาร์ทีเมีย ซ่ึงลอยอย่ทู ่ี
ผวิ น้าใหไ้ ปรวมกนั ท่ีมุมบ่อ เพอื่ สะดวกต่อการเกบ็ รวบรวม และควรวางระบบควบคุมความเคม็ ของ
น้าในบ่อไวด้ ว้ ย
5.3.3 การเตรียมบ่อ ถา้ เป็ นบ่อใหม่ ควรปรับสภาพให้เป็ นกลางหรือเป็ นด่างเล็กนอ้ ย
ด้วยการใส่ปูนขาวหรือดินมาร์ล ให้มีสภาพ pH ประมาณ 7.5-9.0 แต่ถ้าเป็ นบ่อเก่า ควรมีการ
ปรับปรุงบ่อปี ละ 1-4 คร้ัง โดยสูบน้าออก ลอกเลน ตากบ่อไวป้ ระมาณ 1-4 สัปดาห์ และควรกาจดั
ศตั รูของอาร์ทีเมีย โดยใชน้ ้าดีเกลือ
5.3.4 การเตรียมน้า โดยการสูบน้าทะเล หรือน้าท่ีมีความเค็มสูงจากนาเกลือ ใส่ลงใน
บ่อเล้ียงอาร์ทีเมีย น้าท่ีใช้เล้ียงอาร์ทีเมียในบ่อดิน ควรมีความเค็มระหว่าง 70-170 ppt. pH เฉลี่ย
7.5-9.0 ความลึกของน้า 30-100 เซนติเมตร ใส่อินทรียส์ ารเพื่อเตรียมอาหารเล้ียงอาร์ทีเมีย โดยการใช้
มูลสัตว์ ประมาณ 200 กิโลกรัม กากผงชูรส 150 ลิตร หรือป๋ ุยยเู รีย ประมาณ 20 กิโลกรัมต่อไร่ และ
เตรียมคอกสาหรับใส่มลู สัตวไ์ ดด้ ว้ ยเพ่ือเป็ นการเพ่ิมอาหารใหก้ บั อาร์ทีเมีย
5.3.4 อตั ราการปล่อยอาร์ทีเมีย มี 2 อตั รา คือ ปล่อยอาร์ทีเมียวยั อ่อนที่ไดจ้ ากการเพาะ
ฟักไข่อาร์ทีเมีย ประมาณ 150-200 กรัมต่อไร่ หรือปล่อยอาร์ทีเมียขนาดโตเต็มวยั ประมาณ
5-6 กิโลกรัมต่อไร่
5.3.6 การดูแลรักษา ตลอดระยะเวลาการเล้ียง ไม่มีการเปลี่ยนถ่ายน้า แต่จะมีการเติมน้า
ความเค็มต่าลงไปสัปดาห์ละ 2-3 คร้ัง ๆ ละสูงประมาณ 3-5 เซนติเมตร ยกเวน้ ในช่วงฝนตก ถา้ ฝนตก
มากใหร้ ะบายน้าจืดท่ีผวิ น้าออก เพอื่ ควบคุมความเคม็ และความลึกในระดบั ที่ตอ้ งการ
5.3.7 การให้อาหาร เนื่องจากอาร์ทีเมียมีขนาดช่องปากเล็กประมาณ 20-60 ไมครอน
จึงสามารถกินอาหารไดโ้ ดยการกรอง ซ่ึงไมส่ ามารถเลือกอาหารไดแ้ ละจะกรองอาหารที่มีขนาดเล็ก
กวา่ ช่องปากจนถึงขนาด 1-3 ไมครอนเป็ นอาหาร ซ่ึงจะมีอาหารที่กินท้งั ประเภทที่มีชีวิตและไม่มี
ชีวติ ไดแ้ ก่ พืชและสัตวน์ ้าขนาดเล็ก เช่น ไดอะตอม สาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงิน ยีสต์ และสัตวห์ น้า
ดินขนาดเล็ก ส่วนที่ไม่มีชีวิตได้แก่ มูลสัตวต์ ่าง ๆ เช่น ไก่ เป็ ด หมู และวตั ถุดิบพวก รา กากถว่ั
เหลือง ปลาป่ น เลือดสัตว์ และนม ตลอดจนซากพืช ซากสัตว์ ที่บดละเอียด หรือเน่าสลายจนมี
ขนาดเล็ก จนอาร์ทีเมียสามารถกินได้ ดงั น้นั ในการใหอ้ าหารอาร์ทีเมีย ทาไดโ้ ดยให้มูลไก่ ประมาณ
109
200 กิโลกรัมต่อไร่ต่อเดือน ร่วมกบั กากผงชูรส 30-90 ลิตรต่อไร่ต่อเดือน หรือใชซ้ ากพืช ซากสัตว์
โดยอาร์ทีเมียจะกินอาหารโดยตรงไดเ้ พียงเล็กนอ้ ย แต่อาหารจะไปช่วยสร้างแพลงก์ตอน ซ่ึงเป็ น
อาหารสาหรับอาร์ทีเมีย อีกทีหน่ึง นอกจากน้ีการใช้ซากสัตวห์ รือน้าทิ้งจากบ่อเล้ียงสัตวน์ ้าที่มี
สารอินทรียแ์ ละแพลงก์ตอน เติมลงไปในบ่อจะเป็ นท้งั อาหารและช่วยรักษาระดบั ความเค็มและ
ระดบั น้าไปในคราวเดียวกนั นอกจากการให้อาหารดงั กล่าวขา้ งตน้ แลว้ อาจนาอาหารชนิดต่าง ๆ ท่ี
รวบรวมไดไ้ ปหมกั ให้เกิดแพลงก์ตอนแล้วจึงนาไปให้เป็ นอาหารอาร์ทีเมียก็ไดเ้ ช่นกนั ซ่ึงวิธีน้ี
สามารถควบคุมคุณภาพน้าได้เป็ นอย่างดี แต่การให้อาหารอาร์ทีเมียควรคานึงถึงปริมาณของ
แพลงกต์ อนในบ่อเล้ียงดว้ ย ถา้ น้ามีแพลงก์ตอนเพียงพอก็ไม่ตอ้ งให้อาหารมากนกั และหากพบวา่ มี
ข้ีแดดเกิดข้ึนภายในบ่อ ควรใชไ้ มค้ ราดเพ่ือให้ข้ีแดดฟ้ ุงกระจายหรืออาจตกั ออกจากบ่อเล้ียง เพ่ือ
ไมใ่ หข้ ้ีแดดไปขดั ขวางแสงแดดท่ีเป็นประโยชน์ตอ่ การสังเคราะห์แสงของแพลงกต์ อนพชื
5.3.8 หลังจากปล่อยอาร์ทีเมียลงเล้ียงประมาณ 10-15 วนั จะได้อาร์ทีเมียขนาด
โตเต็มวยั ในบ่อเป็ นจานวนมาก และจะเริ่มพบตวั อ่อนรุ่นใหม่และไข่ลอยอยูท่ ี่ผวิ น้า ในการเก็บเก่ียว
ผลผลิต ถา้ มีระบบและการจดั การการเล้ียงที่ดีพอ จะไดผ้ ลผลิตตลอดไปต่อการปล่อยอาร์ทีเมียลงเล้ียง
เพยี งคร้ังเดียว ถา้ ตอ้ งการตวั ใหช้ อ้ นเกบ็ อาร์ทีเมียท่ีมีขนาดโตเตม็ วยั ออกทุกวนั จะทาให้ อาร์ทีเมียเพศ
เมีย ที่เหลือในบอ่ เล้ียงส่วนใหญ่ออกลูกเป็ นตวั แต่ถา้ เก็บไข่จะตอ้ งใชส้ วิงชอ้ น อาร์ทีเมียขนาดโตเตม็
วยั ออก ทาการปรับสภาพแวดลอ้ มเพ่ือกระตุน้ ให้เพศเมียออกลูกเป็ นไข่มากกวา่ ออกเป็ นตวั แต่ถา้
ตอ้ งการท้งั ไข่และตวั ควรดาเนินการผลิตไข่ก่อน จนกระทง่ั อาร์ทีเมีย มีอายมุ าก จนให้ไข่ลดลง แลว้
จึงชอ้ นเอาอาร์ทีเมียขนาดโตออก เพือ่ ใหอ้ าร์ทีเมียรุ่นใหม่ เจริญข้ึนมาแทนที่
5.3.9 ผลผลิต ท่ีได้จะแยกเป็ นตวั อาร์ทีเมีย และไข่อาร์ทีเมีย ซ่ึงตวั อาร์ทีเมียจะได้
ประมาณ 50-100 กิโลกรัมตอ่ ไร่ต่อเดือน แต่ถา้ เป็นไขจ่ ะได้ 5-10 กิโลกรัมตอ่ ไร่ตอ่ เดือน
5.4 ปัญหาท่ีพบในการเพาะฟักและการเล้ียงอาร์ทีเมีย
5.4.1 ความเคม็ น้าที่ใชใ้ นการเล้ียงอาร์ทีเมีย มีความเคม็ สูง ซ่ึงจะสามารถเตรียมไดย้ าก
ในทุกฤดูกาลเล้ียง ในการควบคุมความเคม็ ของน้าใหส้ ามารถเล้ียงอาร์ทีเมียไดต้ ลอดท้งั ปี น้นั ควร
เล้ียงอาร์ทีเมียควบคูไ่ ปกบั การทานาเกลือ
5.4.2 ศตั รู พวกปลา ไดแ้ ก่ ปลาหมอเทศ และโรติเฟอร์ โคพพี อด ชอบแยง่ อาหาร ส่วน
โปรโตซวั พวกซูโอแทนเนียม จะทาให้อาร์ทีเมียราคาญ ซ่ึงแกไ้ ขโดยการฆ่าเช้ือในข้นั ตอนของการ
เพาะฟัก
5.4.3 ข้ีแดด ในการเล้ียงมกั จะเกิดข้ีแดด ตอ้ งพยายามเก็บรวบรวมออกเสมอ เพ่ือ
ป้ องกนั ไมใ่ หข้ ้ีแดดไปรบกวนอาร์ทีเมีย (อิทธิพร, 2532)
110
6. การเพาะเลยี้ งไรนา้ นางฟ้ า
ไรน้านางฟ้ า พบอาศัยอยู่ตามแหล่งน้าธรรมชาติของประเทศไทย โดยรู้จกั กันใน ช่ือ
แมงอ่อนช้อย หรือแมงหางแดง หรือแมงน้าฝน ลกั ษณะตวั เต็มวยั ของไรน้านางฟ้ า แสดงในภาพท่ี
4.11 การเร่ิมตน้ เพาะเล้ียงไรน้านางฟ้ า เร่ิมตน้ จากการนาตวั ไรน้านางฟ้ าขนาดเล็ก หรือตวั เตม็ วยั มา
เล้ียงจนกระทงั่ มีการวางไข่ จากน้นั จึงเก็บรวบรวมไข่เพื่อใชส้ าหรับการเพาะเล้ียงในคร้ังต่อ ๆ ไป
หรือเร่ิมจากการนาไข่ไรน้านางฟ้ ามาฟัก เพื่อให้ได้ ไรน้านางฟ้ าวยั อ่อนและนาไปเล้ียงจนไดผ้ ล
ผลิตท้งั ท่ีเป็นไขแ่ ละตวั ไรน้านางฟ้ า ในการเพาะเล้ียง ไรน้านางฟ้ า แบง่ ออกได้ 2 ระยะ คือ
ภาพท่ี 4.11 ไรน้านางฟ้ า
ท่ีมา : นุกลู (2549)
6.1 การฟักไขไ่ รน้านางฟ้ า
ไข่ไรน้านางฟ้ าท่ีพบในประเทศไทยเป็ นไข่ท่ีมีเปลือกหนา ทนต่อสภาพแวดลอ้ มท่ี
ไม่ปกติไดด้ ี เช่น ความแห้งแลง้ อุณหภูมิที่สูงหรือต่ากว่าปกติ และคุณภาพของน้าท่ีไม่เหมาะสม
ต่อการดารงชีวติ ของไรน้านางฟ้ า นอกจากน้ีไข่ไรน้านางฟ้ าจะฟักไม่พร้อมกนั ถึงแมจ้ ะเป็ นไข่ที่มา
จากครอกเดียวกนั ก็ตาม ซ่ึงมีข้นั ตอนการฟักไขไ่ รน้านางฟ้ า ดงั น้ี
6.1.1 อุปกรณ์ฟักไข่ไรน้านางฟ้ า
1) น้า ถา้ เป็นน้าประปาควรพกั ไวอ้ ยา่ งนอ้ ย 24 ชว่ั โมง เพื่อใหค้ ลอรีนในน้าประปา
ระเหยออกหมด ระหวา่ งพกั น้าถา้ เติมอากาศตลอดเวลา จะทาใหค้ ลอรีนระเหยไดเ้ ร็วข้ึน ระดบั น้าท่ีเติม
ลงในภาชนะฟักควรสูงไม่นอ้ ยกวา่ 5-10 เซนติเมตร การเติมน้าต่ากวา่ น้ีจะทาให้การแยกไรน้าวยั อ่อน
ออกจากไขไ่ ดย้ าก
2) ภาชนะสาหรับฟักไข่ การฟักไข่ไรน้านางฟ้ า สามารถทาไดท้ ้งั ในภาชนะ
ขนาดเล็ก (5-20 ลิตร) และขนาดใหญ่ เช่น ฟักในบ่อเล้ียงโดยตรง ภาชนะที่ใช้ควรเป็ นภาชนะทึบ
111
แสงเพื่อสะดวกในการแยกไรน้านางฟ้ าวยั อ่อนออกจากภาชนะท่ีใช้ฟักไข่ เนื่องจากไรน้าวยั อ่อน
ชอบว่ายน้าเข้าหาแสงสว่าง ดงั น้ันถ้าต้องการแยกเฉพาะตวั ไรน้าวยั อ่อนออกจากตะกอนหรือ
เปลือกไข่ สามารถทาไดโ้ ดยใช้แสงสว่างโดยแสงจะล่อให้ไรน้าวยั อ่อนมารวมตวั กนั เฉพาะท่ี
บริเวณผิวน้าแลว้ ดูดหรือตกั ออก ภาชนะแบบปากกวา้ งมีความเหมาะสมกบั การฟักไข่ไรน้านางฟ้ า
กวา่ ภาชนะท่ีมีปากแคบ หรือทรงสูง เน่ืองจากภาชนะแบบปากกวา้ งสามารถสังเกตและชอ้ นไรน้า
วยั อ่อนออกไดส้ ะดวกกวา่ และยงั ช่วยใหอ้ อกซิเจนจากอากาศละลายลงสู่น้าไดม้ ากข้ึน
3) ผา้ กรอง ไข่ไรน้านางฟ้ าไทยมีขนาดเส้นผ่าศูนยก์ ลาง 240-310 ไมครอน
ไรน้าวยั อ่อนที่ฟักใหม่ ๆ และมีอายไุ ม่เกิน 24 ชวั่ โมง จะมีความยาวของลาตวั 440-740 ไมครอน
และความกวา้ งลาตวั 180-240 ไมครอน ฉะน้นั การใชผ้ า้ กรอง ควรเลือกใหม้ ีขนาดตาที่เหมาะสม
และสอดคลอ้ งกบั การใชป้ ระโยชน์
6.1.2 วธิ ีการฟักไข่ไรน้านางฟ้ า
การฟักไขไ่ รน้านางฟ้ าไม่จาเป็ นตอ้ งให้ฟองอากาศ ไข่ที่มีตะกอนจบั เป็ นกอ้ นควรแยก
ไข่ออกจากตะกอน หรือทาใหต้ ะกอนมีขนาดเล็กลงจนไข่สามารถสัมผสั กบั น้าไดโ้ ดยตรง มิฉะน้นั
ไข่ที่อยู่ด้านในของตะกอนและไข่ที่ไม่สัมผสั กบั น้าจะฟักช้ากว่าปกติหรือไม่ฟัก การฟักควรทา
ในช่วงบ่าย เพ่ือจะสามารถแยกไรน้าวยั อ่อนและเร่ิมให้อาหารในช่วงสายของวนั รุ่งข้ึน เนื่องจาก
ไรน้านางฟ้ าจะทยอยฟักออกเป็ นตวั หลงั จากเติมน้า 6-10 ช่ัวโมง และฟักเป็ นตวั หมดภายใน 24
ชว่ั โมง การใหอ้ าหารคร้ังแรกควรใหภ้ ายใน 10-12 ชว่ั โมง หลงั จากไรน้านางฟ้ าฟักออกเป็ นตวั การ
ใหอ้ าหารชา้ จะทาใหไ้ รน้านางฟ้ าวยั อ่อนขาดอาหาร ซ่ึงมีผลใหไ้ รน้าวยั อ่อนตายมากในระยะแรก
6.2 วธิ ีการเล้ียงไรน้านางฟ้ า
การเล้ียงไรน้านางฟ้ าไทย โดยมีเป้ าหมายที่การผลิตไรน้านางฟ้ าตวั เต็มวยั เพื่อนาไปเป็ น
อาหารสัตวน์ ้า สามารถเลือกวิธีการเล้ียงได้หลายวิธี ตามระดบั ความหนาแน่นของไรน้าที่ปล่อย
ลงเล้ียงในบ่อ เช่น การเล้ียงที่ระดบั ความหนาแน่นไม่เกิน 5 ตวั ต่อลิตร สามารถเล้ียงโดยไม่ตอ้ ง
เปลี่ยนถ่ายน้าตลอดการเล้ียง เพียงแต่เติมอาหารลงไปให้กินทุกวนั เท่าน้นั เมื่อเพ่ิมความหนาแน่น
ข้ึนเป็ น 10–20 ตวั จะตอ้ งมีการเปลี่ยนถ่ายน้าวนั ละ 10-20 เปอร์เซ็นต์ และให้ฟองอากาศเพ่ือเพ่ิม
ออกซิเจนให้เพียงพอกบั การใช้หายใจของไรน้านางฟ้ าภายในบ่อ และเมื่อเพ่ิมความหนาแน่นข้ึน
มากกวา่ 30 ตวั ต่อลิตร จะตอ้ งเล้ียงในระบบท่ีมีน้าไหลผา่ นตลอดการเล้ียง ซ่ึงมีวธิ ีการเล้ียง ดงั น้ี
6.2.1 บอ่ เล้ียงไรน้านางฟ้ า ควรสร้างดว้ ยวสั ดุทึบแสง และไม่ควรฉาบดว้ ยวสั ดุสะทอ้ นแสง
เนื่องจากการว่ายน้าของไรน้านางฟ้ า จะหนั ดา้ นทอ้ งเขา้ หาแสง ถา้ มีแสงสะทอ้ นภายในบ่อ หรือมี
แสงเขา้ มาจากดา้ นขา้ งของบอ่ ที่โปร่งแสง จะทาใหไ้ รน้านางฟ้ าหลงทิศทางการวา่ ยน้า ซ่ึงจะมีผลต่อ
การพฒั นาการของไรน้านางฟ้ า
112
รูปทรงของบ่อท่ีเหมาะสมสาหรับเพาะเล้ียงไรน้านางฟ้ า ควรเป็ นบ่อท่ีทาให้น้ามีการ
ไหลเวยี นไดอ้ ยา่ งทวั่ ถึง ซ่ึงบ่อที่มีลกั ษณะดงั กล่าวควรเป็ นทรงกลมหรือทรงกลมรูปไข่ แต่ในทาง
ปฏิบตั ิการก่อสร้างบ่อให้มีรูปทรงดังกล่าวที่มีขนาดใหญ่ จะไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก
เน่ืองจากมีปัจจยั เร่ืองตน้ ทุนและเทคนิคการก่อสร้าง โดยทว่ั ไปจึงอนุโลมใช้บ่อท่ีมีอยู่แลว้ หรือที่
ก่อสร้างโดยใชต้ น้ ทุนต่า ไดแ้ ก่ บ่อซีเมนตส์ ่ีเหล่ียมผนื ผา้ จากน้นั จึงใชเ้ ทคนิคต่าง ๆ มาช่วยให้การ
หมุนเวยี นของน้าดีข้ึน
ขนาดของบ่อที่ใช้เล้ียงไรน้านางฟ้ ามกั ข้ึนอยกู่ บั วตั ถุประสงค์ของผูเ้ ล้ียงว่าตอ้ งการผลิต
ไรน้ามากนอ้ ยเพียงใด และสามารถจดั การไดด้ ีกบั บ่อขนาดเท่าใด ความสูงของบ่อสามารถเลือกได้
ต้งั แต่ 50-120 เซนติเมตร ข้ึนอยกู่ บั ปริมาณแสงและระบบการเติมอากาศและการหมุนเวียนของน้า
เช่น การให้อากาศผ่านท่อท่ีวางตามพ้ืนบ่อหากทาในบ่อท่ีระดับน้ าต่ากว่า 100 เซนติเมตร
ประสิทธิภาพการหมุนเวยี นของน้าท่ีเกิดข้ึนภายในบอ่ กจ็ ะไมค่ ่อยสมบูรณ์ เป็นตน้
บ่อซีเมนต์ที่สร้างข้ึนใหม่ มีความจาเป็ นตอ้ งเตรียมบ่อก่อนท่ีจะเร่ิมเล้ียงไรน้านางฟ้ า
เน่ืองจากบ่อใหมม่ ีความเป็นด่างสูงซ่ึงเป็นอนั ตรายต่อไรน้า ก่อนเริ่มตน้ เล้ียงไรน้านางฟ้ า จึงจะตอ้ ง
ลดความเป็ นด่างของบ่อลงจนไม่เป็ นอนั ตรายต่อสัตวน์ ้าที่จะนามาเล้ียง โดยการแช่น้าทิ้งไว้ 1-3
สัปดาห์ หรือใชห้ ญา้ และฟางหมกั ไวใ้ นบ่อ เพ่ือให้ลดระยะเวลาการแช่น้าให้ส้ันลง นอกจากน้ีอาจใช้
กรดน้าส้มเทียมผสมกบั น้าท่ีอยใู่ นบ่อแช่ทิง้ ไว้ 3-5 วนั แลว้ ระบายน้าทิ้ง จากน้นั เปิ ดน้าเขา้ บ่อแช่ไวอ้ ีก
1 วนั จึงลา้ งทาความสะอาดบ่อ ก่อนที่จะเร่ิมตน้ เล้ียงไรน้านางฟ้ า
ถา้ เป็ นบ่อเก่าที่ผ่านการใช้งานมาบา้ งแล้วควรทาความสะอาดและฆ่าเช้ือโรค โดยการ
ตากแดด หรือแช่คลอรีนทิ้งไวแ้ ลว้ ลา้ งออกก่อนท่ีจะนาไปเล้ียงไรน้านางฟ้ า
การเล้ียงไรน้านางฟ้ าในบ่อท่ีมีระดบั น้าต้ืน ควรมีการพรางแสงเพื่อไม่ให้มีแสงส่องลงบ่อ
มากเกินไป ซ่ึงจะทาใหไ้ รน้าเครียด และมีสีซีดกวา่ ปกติ นอกจากน้ีจะทาใหเ้ กิดตะไคร่น้าไดง้ ่ายตอ้ ง
เสียเวลาทาความสะอาดบ่อยข้ึน และในช่วงกลางวนั ท่ีมีแสงแดดจดั ตะไคร่น้าซ่ึงเป็ นพืชจะคาย
ออกซิเจนออกมาจานวนมากเกิดเป็ นฟองอากาศลอยมาเกาะบริเวณขาวา่ ยน้าของไรน้านางฟ้ า ถา้ มี
จานวนมากจะทาให้ไรน้านางฟ้ าเสียการทรงตวั และลอยข้ึนสู่ผิวน้า ไม่สามารถจมตวั ลงสู่ดา้ นล่าง
ได้ จึงถูกแดดเผาทาให้ไรน้านางฟ้ าตายได้ แต่ไม่ควรปิ ดแสงทึบเกินไป เน่ืองจากการเล้ียงไรน้า
นางฟ้ าตอ้ งใช้สาหร่ายคลอเรลลา ซ่ึงเป็ นสาหร่ายเซลล์เดียวเป็ นอาหาร ถา้ มีแสงสว่างเพียงพอ
อาหารที่เหลือภายในบ่อจะยงั สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ ในทางตรงกนั ขา้ มถา้ แสงนอ้ ยสาหร่าย
เหล่าน้ีอาจตายทาให้น้าในบ่อเสียได้ การพรางแสงนอกจากพิจารณาจากระดบั น้าแลว้ ในแต่ละ
ฤดูกาล ตอ้ งปรับปรุงเปล่ียนใหเ้ หมาะสมกบั ความเขม้ ของแสงดว้ ยเช่นกนั
113
6.2.2 ระบบหมุนเวยี นน้าและอากาศภายในบ่อ วิธีท่ีนิยมใชก้ นั อยทู่ วั่ ไปมกั ใชห้ วั ทราย
วางกระจายใหค้ รอบคลุมทวั่ พ้นื บอ่ (6-8 หวั ตอ่ พ้นื ที่ 1 ตารางเมตร) ซ่ึงสะดวกและเคลื่อนยา้ ยไดง้ ่าย
การหมุนเวยี นของน้าและอากาศ ทาใหอ้ าหารไม่ตกตะกอน ไรน้านางฟ้ าสามารถกินได้ ขณะท่ีไรน้า
มีขนาดเล็กควรลดปริมาณลมลงใหเ้ บาท่ีสุด แลว้ จึงค่อย ๆ เพิ่มปริมาณข้ึนตามขนาดของไรน้า แต่
ระวงั อยา่ ใหล้ มแรงจนเกินไปเพราะทาให้ไรน้านางฟ้ าตอ้ งสูญเสียพลงั งานส่วนมากไปกบั การวา่ ย
น้าตา้ นกระแสน้า ทาให้การเจริญเติบโตลดลง และควรตรวจสอบปริมาณออกซิเจนไม่ให้ต่ากว่า
3 มิลลิกรัมตอ่ ลิตร
6.2.3 ระบบน้าเขา้ -ออกจากบ่อ การเล้ียงไรน้านางฟ้ าแบบหนาแน่น จะมีของเสียที่เกิด
จากส่ิงขบั ถ่าย และการลอกคราบจานวนมาก ของเสียเหล่าน้ีมีผลทาให้คุณภาพน้าเส่ือมลง ของเสีย
ที่อยใู่ นสภาพท่ีเป็นของแขง็ และแขวนลอยอยใู่ นน้าจะไปขดั ขวางการหายใจ และการกินอาหารของ
ไรน้านางฟ้ า และเม่ือมีการยอ่ ยสลายของเสียเหล่าน้ีข้ึนภายในบ่อ จะมีการปลดปล่อยสารต่าง ๆ ที่
เป็นพิษต่อไรน้านางฟ้ า ซ่ึงถา้ มีปริมาณท่ีสูงอยา่ งตอ่ เนื่องกจ็ ะเป็นอนั ตรายต่อไรน้านางฟ้ าได้ จึงตอ้ ง
หาวธิ ีการระบายของเสียเหล่าน้ีออกไป วิธีการระบายของเสียออกจากบ่อทาไดโ้ ดยการปล่อยให้น้า
สะอาดไหลเขา้ บ่อทางด้านหน่ึงแล้วให้ล้นออกอีกด้านหน่ึงพร้อมกับของเสีย โดยมีผา้ กรองท่ี
ป้ องกนั ไม่ให้ไรน้านางฟ้ าถูกพดั พาออกไปดว้ ย อตั ราการไหลของน้าเขา้ และออกจากบ่อจะค่อย ๆ
เพ่ิมข้ึน ตามขนาดของไรน้านางฟ้ า อตั ราการไหลเขา้ บ่อในช่วงท่ีไรน้านางฟ้ าเริ่มเป็ นตวั เต็มวยั
(อายุ 5-70 วนั ) จะปล่อยน้าเขา้ บ่อมีปริมาตรเท่ากบั น้าในบ่อเล้ียงภายในระยะเวลา 1-2 ชวั่ โมง ส่วน
ไรน้านางฟ้ ามีขนาดเล็กหรือใหญ่กว่าน้ีก็จะตอ้ งปรับอตั ราการไหลให้เหมาะสมกบั ขนาด และ
ปริมาณของเสียท่ีเกิดข้ึนภายในบ่อ การระบายน้า เขา้ -ออก ควรเริ่มในวนั ท่ี 2-3 ของการเล้ียง
น้าท่ีระบายออกจากบ่อเล้ียงไรน้านางฟ้ า ควรมีการบาบดั หรือปรับปรุงคุณภาพก่อน
หมุนเวียนนากลบั มาใชใ้ หม่ หรือนาไปเติมในบ่อเล้ียงคลอเรลลา แลว้ ให้ลน้ กลบั มายงั บ่อเล้ียงไรน้า
นางฟ้ าอยา่ งใดอย่างหน่ึง เนื่องจากในน้าท่ีลน้ ออกจากบ่อยงั คงมีคลอเรลลาเหลืออยู่ และมีธาตุอาหาร
ซ่ึงสาหร่ายนาไปใช้ประโยชน์ได้ ถ้าในบ่อที่ใช้พกั น้า หรือบาบดั น้ามีสภาพที่เหมาะสมกบั การ
เจริญเติบโตของคลอเรลลา กจ็ ะทาใหม้ ีคลอเรลลาเพมิ่ ปริมาณมากข้ึนก่อนนากลบั ไปใชอ้ ีกคร้ัง
6.2.4 อาหารไรน้านางฟ้ า ไรน้านางฟ้ ากินอาหารดว้ ยวิธีการกรอง โดยกรองกินอนุภาค
ทุกประเภทที่แขวนลอยอยู่ มีอาหารหลายประเภทท่ีสามารถนามาเล้ียงไรน้านางฟ้ าได้ เช่น สาหร่าย
ในน้าท้งั ท่ีเป็ นอินทรียส์ าร และอนินทรียส์ ารที่มีขนาดที่ไรน้านางฟ้ าสามารถส่งผ่านจากปากลงสู่
ลาคอได้ ขนาดท่ีแทจ้ ริงของปากไรน้านางฟ้ ายงั ไม่มีขอ้ มูลยืนยนั ที่ชดั เจน แต่โดยทวั่ ไปจะกาหนด
ขนาดอาหารไวไ้ มเ่ กิน 60 ไมครอน จากการศึกษาชนิดของอาหารท่ีใชเ้ ล้ียงไรน้านางฟ้ า ไดแ้ ก่ รา ยีสต์
คลอเรลลา แบคทีเรีย และสาหร่ายแหง้ เป็นตน้
114
สาหรับไรน้านางฟ้ าไทย พบวา่ สามารถเจริญเติบโตไดด้ ีเม่ือเล้ียงดว้ ยคลอเรลลา หรือใชร้ า
หรือราร่วมกบั สาหร่ายสไปรูลินาผง อยา่ งละ 50 เปอร์เซ็นต์
จากการศึกษาการเล้ียงไรน้านางฟ้ าดว้ ยคลอเรลลาในน้า 2 ลิตร ปล่อยไรน้านางฟ้ า 20 ตวั
พบวา่ ช่วงท่ีไรน้านางฟ้ ามีอายุ 1-5 วนั และ 11-15 วนั ตอ้ งการคลอเรลลาจานวน 1 ลา้ นเซลล์ต่อน้า
1 มิลลิลิตรต่อคร้ัง โดยให้อาหารวนั ละ 2 คร้ัง ช่วงเชา้ และเยน็ ส่วนไรน้านางฟ้ าไทยท่ีมีอายุ 6-10
วนั ตอ้ งการคลอเรลลาคร้ังละ 2 ลา้ นเซลล์ต่อน้า 1 มิลลิลิตร เนื่องจากไรน้านางฟ้ าไทยช่วงน้ีมีการ
เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และเป็ นช่วงท่ีเริ่มมีความสมบูรณ์เพศ มีการพฒั นาเซลล์สืบพนั ธุ์ และมี
การสืบพนั ธุ์วางไข่ จึงตอ้ งการอาหารในปริมาณที่สูงกวา่ ในช่วงอื่น (นุกลู , 2549)
6.2.5 วธิ ีการใหอ้ าหารไรน้านางฟ้ าในช่วง 1-2 วนั แรกท่ียงั ไม่มีการหมุนเวยี นน้า สามารถ
ใหอ้ าหารแบบเติม วนั ละ 2-3 คร้ัง เม่ือใชร้ ะบบน้าไหลผา่ นการให้อาหารตอ้ งเปลี่ยนเป็ นแบบหยดหรือ
ปล่อยให้อาหารไหลลงบ่อเล้ียงตลอดเวลาดว้ ยวิธีกาลกั น้า หรือใชว้ ิธีติดต้งั เครื่องป๊ัมอตั โนมตั ิสาหรับ
ดูดสาหร่ายส่งไปยงั บอ่ เล้ียงไรน้านางฟ้ าโดยต้งั เวลาปิ ดเปิ ดเป็นระยะ ๆ ก็ได้ อตั ราการไหลใหป้ รับตาม
ความโปร่งใสของน้า เน่ืองจากตามปกติปริมาณความเขม้ ขน้ ของคลอเรลลาที่ไดจ้ ากการเล้ียงในแต่ละ
บอ่ ไม่เทา่ กนั จึงตอ้ งมีการปรับปริมาณอาหารที่เติมลงบ่อเล้ียงไรน้านางฟ้ าอยเู่ สมอ
วิธีการสังเกตว่าอาหารที่ให้เพียงพอหรือไม่ อาจสังเกตได้จากส่ิงขบั ถ่ายของไรน้า
นางฟ้ า โดยปกติไรน้าจะมีการขบั ถ่ายออกมาอยา่ งต่อเน่ืองมองเห็นเป็ นสาย ถา้ อาหารมีไม่เพียงพอ
สิ่งขบั ถ่ายท่ีออกมาจะไม่ต่อเน่ืองไม่เต็มในท่อที่ขบั ถ่ายออกมา จะตอ้ งเพิ่มอาหารให้จนสังเกตเห็น
การขบั ถ่ายเป็นสายอยา่ งต่อเนื่อง
6.2.6 การแยกและกรองตะกอน ตะกอนท่ีเกิดจากการขบั ถ่าย และการลอกคราบของ
ไรน้านางฟ้ าท่ีเล้ียงอยา่ งหนาแน่น ถา้ ไม่มีการจดั การท่ีดีจะส่งผลเสียต่อการเล้ียงไรน้านางฟ้ า เพราะ
นอกจากจะทาใหเ้ กิดสารประกอบตา่ ง ๆ ท่ีมีโทษต่อไรน้านางฟ้ าแลว้ ยงั แขวนลอยอยใู่ นน้าร่วมกบั
อาหาร ทาใหอ้ าหารเจือปนดว้ ยส่ิงท่ีไม่เป็นประโยชน์ และยงั ไปปิ ดก้นั การกินอาหารและการหายใจ
ของไรน้าอีกดว้ ย
การเลือกใชผ้ า้ กรองให้มีขนาดตามท่ีเหมาะสม จึงเป็ นสิ่งสาคญั เพ่ือให้ตะกอนถูกดูด
ออกไปมากท่ีสุดโดยที่ไม่มีไรน้าหลุดออกไป ผา้ กรองที่ใช้ควรมีขนาดตาแตกต่างกนั ขนาดของ
ไรน้านางฟ้ า ที่มีอายุ 2 วนั สามารถใช้ผา้ กรองขนาดตา 0.5 มิลลิเมตร (500 ไมครอน) และเพ่ิมข้ึน
เป็น 1.5-2.0 มิลลิเมตร เม่ือมีอายปุ ระมาณ 7-10 วนั
ระหวา่ งการเล้ียงไรน้านางฟ้ า เมื่อไรน้ามีไข่จะปล่อยไข่ลงในบ่อ บางส่วนจะถูกพดั พา
ออกไปพร้อมกบั น้าท่ีระบายออก ส่วนที่เหลือจะจมลงสู่กน้ บ่อ เมื่อสังเกตพบไรน้ามีไข่ควรใช้ผา้
กรองไปรองไวท้ ี่ปลายท่อระบายน้าออก เพื่อรวบรวมไข่เก็บไวใ้ ช้ การใช้ผา้ กรองขนาด 150
115
ไมครอน จึงจะมีขนาดตาท่ีเหมาะสม แต่อุดตนั ไดง้ ่าย จึงตอ้ งระมดั ระวงั หรือหาทางจดั การตาม
ความเหมาะสม ซ่ึงทาไดห้ ลายวธิ ี เช่น ใชผ้ า้ กรองขนาดท่ีใหญ่กวา่ ซ้อนดา้ นใน หรือทาผา้ กรองให้
เป็นถุงขนาดใหญ่ เป็นตน้
6.2.7 คุณภาพน้า ระหว่างการเล้ียงไรน้านางฟ้ า ควรควบคุมคุณภาพน้าให้อยใู่ นสภาพที่
เหมะสมกับการเจริญเติบโตของไรน้า โดยให้มีอุณหภูมิของน้าอยู่ระหว่าง 25-35 องศาเซลเซียส
ปริมาณออกซิเจนไมต่ ่ากวา่ 3 มิลลิกรัมตอ่ ลิตร ค่า pH ของน้าอยรู่ ะหวา่ ง 6.5-9.0 ค่าแอมโมเนียท้งั หมด
ไมเ่ กิน 1.5 มิลลิกรัมต่อลิตร และค่าไนไตรท์ ไมเ่ กิน 0.3 มิลลิกรัมต่อลิตร
ถึงแมว้ า่ ไรน้านางฟ้ าสามารถเจริญเติบโตไดด้ ีในน้าท่ีมีคุณภาพแตกต่างกนั มากก็ตาม
แต่ไรน้านางฟ้ าท่ีเล้ียงแบบหนาแน่นมกั พบปัญหา ซ่ึงเกิดจากแอมโมเนียท้งั หมด และไนไตรท์สูง
กวา่ ระดบั ที่เหมาะสม ท้งั น้ีเนื่องจากไรน้านางฟ้ าไทยเป็ นสัตวน์ ้าท่ีเจริญเติบโตเร็วมาก และขบั ถ่าย
ออกมาในปริมาณมากซ่ึงจะถูกยอ่ ยสลายกลายเป็ นแอมโมเนีย และไนไตรท์ นอกจากน้ีแอมโมเนีย
บางส่วนยงั ติดมาพร้อมกบั คลอเรลลาที่ใหเ้ ป็ นอาหาร วธิ ีการแกป้ ัญหาทาไดโ้ ดยการเปลี่ยนถ่ายน้า
หรือเพ่ิมปริมาณการไหลเวยี นของน้ามากข้ึน นอกจากน้ีอาจใชค้ ลอเรลลาท่ีตกตะกอนดว้ ยสารส้ม
ซ่ึงสามารถแยกน้าที่ใชเ้ ล้ียงคลอเรลลาออกจากคลอเรลลา และเก็บเฉพาะคลอเรลลาที่ตกตะกอนมา
ใชเ้ ล้ียงไรน้านางฟ้ า ซ่ึงเป็นคลอเรลลาที่มีแอมโมเนียปนอยเู่ พียงเล็กนอ้ ย
6.2.8 ศตั รูของไรน้านางฟ้ า ไรน้านางฟ้ าเป็นสัตวน์ ้าท่ีไม่มีอวยั วะสาหรับป้ องกนั ตวั เอง
และมีเปลือกน่ิมจึงตกเป็ นอาหารของสัตวก์ ินเน้ือได้ง่าย ระหว่างการเล้ียงถ้าไม่มีวิธีป้ องกนั ที่ดี
อาจจะต้องสูญเสีย ไรน้าจานวนมาก ศตั รูท่ีพบได้บ่อยดงั ที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ ลูกน้ายุงถึงแม้
บางคร้ังลูกน้าจะมีขนาดเล็กกวา่ ไรน้า แต่ก็สามารถกดั ติดแน่นท่ีบริเวณส่วนหัวหรือลาตวั จนกว่า
ไรน้าจะตาย และกดั กินเพยี งบางส่วน
ศตั รูชนิดอื่นท่ีพบอยู่เสมอ คือ ตวั อ่อนแมลงปอ ตวั อ่อนแมลงปี กแข็งเกือบทุกชนิดมี
รายงานวา่ ตวั อ่อนของแมลงปี กแข็งสามารถกินไรน้านางฟ้ าตวั เตม็ วยั ได้ 1 ตวั ทุก ๆ 2 ชว่ั โมง ซ่ึงถา้
บ่อเล้ียงไรน้านางฟ้ าสร้างอยกู่ ลางแจง้ และไม่มีฝาปิ ด แมลงสามารถบินมาวางไข่ไดต้ ลอดเวลา และ
ถ้าไม่มีวิธีการกาจดั อย่างเหมาะสม เมื่อตวั อ่อนของแมลงโตข้ึนจะทยอยกดั กินไรน้านางฟ้ า จน
บางคร้ังสามารถกินไรน้านางฟ้ าจนหมดท้งั บ่อ อยา่ งไรก็ตาม แต่ละพ้ืนที่มกั จะพบปัญหาท่ีแตกต่าง
กนั คงตอ้ งสังเกตและแกป้ ัญหาเป็นกรณีไป
6.2.9 โรคที่เกิดกบั ไรน้านางฟ้ าโรคท่ีเกิดกบั ไรน้านางฟ้ ามีเพียงชนิดเดียว คือ โรคดา
ซ่ึงเกิดจากเช้ือแบคทีเรีย มีลกั ษณะเป็ นแผ่นหรือแถบสีดาเกิดข้ึนบริเวณขาวา่ ยน้า หนวด และอาจ
ลามไปยงั ส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย โรคน้ีมกั เกิดกับไรน้าตวั เต็มวยั ท่ีเล้ียงในน้าท่ีมีคุณภาพไม่
เหมาะสม เช่น มีคา่ แอมโมเนีย เกิน 1.5 มิลลิกรัมต่อลิตร และค่าไนไตรท์ เกิน 0.3 มิลลิกรัมต่อลิตร
116
ต่อเน่ืองกนั เป็ นเวลานาน และไรน้าที่อ่อนแอก็มกั ติดโรคน้ีไดง้ ่าย เม่ือไรน้าเป็ นโรคดาจะไม่ตาย
ในทนั ที แต่จะทยอยตายภายหลงั ที่พบเป็ นโรค 2-5 วนั วิธีการรักษายงั ไม่มีการศึกษาว่าควรรักษา
อยา่ งไร ฉะน้นั การเล้ียงไรน้านางฟ้ าควรดูแลให้มีสุขภาพท่ีดีอยเู่ สมอ เพ่ือเป็ นการป้ องกนั ไม่ใหเ้ กิด
โรค กบั ไรน้านางฟ้ าที่เล้ียง
เม่ือพบวา่ มีโรคดาเกิดข้ึนในบ่อเล้ียง ควรมีการทาความสะอาดเครื่องมืออุปกรณ์ท่ีใช้
ดว้ ยฟอร์มาลิน 10 เปอร์เซ็นต์ นาน 10 ชว่ั โมง ก่อนลา้ งและตากให้แห้ง และแช่บ่อเล้ียงดว้ ยคลอรีน
10-20 กรัมต่อน้า 1 ลูกบาศกเ์ มตร หรือลา้ งบ่อและตากบ่อทิง้ ไวห้ ลาย ๆ วนั
6.2.10 การเกบ็ ผลผลิต การเกบ็ ผลผลิตไรน้านางฟ้ า สามารถเลือกเก็บไดต้ ามขนาดของ
ไรน้านางฟ้ าที่ตอ้ งการ เช่น เมื่ออายุ 5-7 วนั มีความยาวประมาณ 10 มิลลิเมตร หรือเม่ืออายุ 15 วนั มี
ความยาวกว่า 15 มิลลิเมตร เป็ นตน้ ผลผลิตตวั ไรน้านางฟ้ า เมื่อเล้ียงครบ 15 วนั อยู่ระหว่าง
1,538 - 2,021.8 กรัมต่อปริมาตรน้า 1 ลูกบาศก์เมตร และเก็บรวบรวมไข่ไดอ้ ีกประมาณ 4.5-6.3
ลา้ นฟอง ถา้ ภายหลงั การเก็บเกี่ยวตอ้ งการที่จะขนยา้ ยไรน้าขณะยงั มีชีวิต ก่อนการเก็บเก่ียวจะตอ้ ง
หยดุ ใหอ้ าหารไรน้าจนสงั เกตวา่ ไมม่ ีหรือมีส่ิงขบั ถ่ายเหลืออยใู่ นทางเดินอาหารเพียงเล็กนอ้ ยจึงเก็บ
ผลผลิต และบรรจุลงในภาชนะท่ีจะขนยา้ ย ซ่ึงถา้ ตอ้ งมีการขนยา้ ยเป็นระยะทางไกล ๆ และบรรจุใน
อตั ราที่หนาแน่นมากจะตอ้ งเติมอากาศ หรืออดั ออกซิเจนและลดอุณหภูมิระหวา่ งการเดินทาง การ
ตกั ยา้ ยไรน้านางฟ้ าควรตกั ให้มีน้าติดไปดว้ ยไม่ควรชอ้ นเฉพาะตวั ไรน้านางฟ้ าข้ึนจากน้า การเก็บ
ผลผลิตอาจใชว้ ิธีชอ้ นหรือลากอวนภายในบ่อ หรือใชว้ ิธีปล่อยน้าออกจากบ่อแลว้ ใชส้ วิงรองรับอยู่
ปลายท่อระบายน้าโดยใหส้ วงิ แช่อยใู่ นน้า เพื่อช่วยลดแรงกระแทกของน้า
6.3 การเพาะเล้ียงเพ่ือเก็บผลผลิตไข่ การเพาะเล้ียงไรน้านางฟ้ าเพื่อการเก็บผลผลิตไข่ มี
วธิ ีการเล้ียงเช่นเดียวกบั การเล้ียงไรน้านางฟ้ าเพื่อการผลิตตวั เตม็ วยั แต่ควรเล้ียงในอตั ราท่ีหนาแน่นต่า
กว่า โดยจะเล้ียงที่อตั ราความหนาแน่นไม่เกิน 30 ตวั ต่อลิตร ท่ีอตั ราความหนาแน่นน้ี พบว่าไรน้า
นางฟ้ าเพศเมียมีความสมบูรณ์ มีจานวนไข่ต่อแม่สูง ปกติเพศเมียเริ่มมีไข่ภายในถุงไข่บริเวณหนา้ ทอ้ ง
ในวนั ที่ 6-7 ของการเล้ียงและจะปล่อยไข่ครอกแรกใน 1-2 วนั ถดั มา
การรวบรวมไขอ่ าจจะทยอยเก็บ หรือเก็บคร้ังเดียวเมื่อไรน้านางฟ้ าวางไข่หมดแลว้ ในกรณี
ที่เล้ียงแบบใหน้ ้าไหลผา่ นจะตอ้ งใชผ้ า้ กรองไปรองที่ปลายท่อเพอ่ื เกบ็ รวบรวมไข่ตลอดช่วงเวลาท่ีมี
การวางไข่ และดูดไข่พร้อมตะกอนออกเป็นคร้ังคราว
ไข่ไรน้านางฟ้ าจะไม่ฟักทนั ทีภายหลงั การปล่อยไข่ จะใช้เวลาเพ่ือการพฒั นาของตวั อ่อน
ซ่ึงอยภู่ ายในไข่นานประมาณ 2-4 สัปดาห์ จนกวา่ ตวั ออ่ นจะพฒั นาถึงระยะที่สมบูรณ์ พร้อมท่ีจะฟัก
เป็นตวั เมื่อนาไปฟักโดยการเติมน้าระหวา่ งท่ีตวั อ่อนกาลงั พฒั นาจะตอ้ งแช่ไข่ไรน้านางฟ้ าไวใ้ นน้า
ท่ีดูดมาพร้อมไข่จากบ่อเล้ียงพ่อแม่ไรน้านางฟ้ า (การลา้ งหรือทาความสะอาดไข่จะตอ้ งใช้น้าท่ีดูด
117
มาพร้อมกบั ไข่น้นั เสมอ) ปริมาณน้าท่ีใชแ้ ช่ไข่ไรน้านางฟ้ าควรใส่ใหพ้ อดี กล่าวคือ เมื่อครบกาหนด
2-4 สปั ดาห์ ระดบั น้าควรลดมาที่ระดบั ทว่ มไข่พอดี หรือแหง้ ไปเองหลงั จากเม่ือครบกาหนด ไม่เกิน
ภายใน 1 สัปดาห์ ปริมาณน้าท่ีมากเกินไปอาจทาให้ไข่ที่พฒั นาแล้วฟักเป็ นตวั ก่อนนามาใช้
ประโยชน์ แลว้ ถา้ หากปริมาณน้านอ้ ยเกินไปและแห้งก่อนการสิ้นสุดการพฒั นาการของตวั อ่อน จะ
ทาให้ไข่บางส่วนกลายเป็ นไข่เสีย ซ่ึงจะไม่ฟักเป็ นตวั เม่ือนาไปฟัก เมื่อปล่อยให้ไข่ไรน้านางฟ้ ามี
การพฒั นาจนครบตามระยะเวลาดงั กล่าวแลว้ ยงั สามารถนาไข่น้ีไปฟักดว้ ยการเติมน้าที่มีคุณสมบตั ิ
เหมาะสมดงั ไดก้ ล่าวมาแลว้ หรือสามารถนาไปตากใหแ้ หง้ โดยผ่งึ ใหแ้ หง้ ในที่ร่มหรือตากแดด หรือ
อบแห้งในตูอ้ บท่ีอุณหภูมิไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส ประมาณ 24 ชั่วโมง เมื่อแห้งแล้วเก็บไวใ้ น
ภาชนะที่ปิ ดมิดชิดป้ องกนั แมลงหรือหนูมากดั กิน และเก็บไวใ้ นที่ที่ไม่ถูกแดดและไม่เปี ยกช้ืน ซ่ึง
ในสภาพดงั กล่าวน้ีสามารถเก็บไขโ่ ดยท่ีไม่มีการเปลี่ยนแปลงการฟักมากนกั ไดน้ านกวา่ 1 ปี
7. การเพาะเลยี้ งหนอนแดง
หนอนแดง ตามธรรมชาติสามารถพบในแหล่งน้าท่ีเน่าเสีย สามารถนามาใช้เป็ นอาหาร
ของสัตว์น้าได้อีกชนิดหน่ึง นอกจากจะหาหนอนแดงได้จากธรรมชาติแล้ว ยงั สามารถทาการ
เพาะเล้ียงได้ ดงั แสดงในภาพท่ี 4.12 และมีข้นั ตอน ดงั น้ี
ภาพที่ 4.12 หนอนแดง
ท่ีมา : ประภาส (2553)
118
7.1 วธิ ีการเพาะเล้ียงหนอนแดง
การเพาะเล้ียงหนอนแดง สามารถทาไดท้ ้งั ในบ่อดินและบ่อซีเมนต์ ซ่ึงบ่อท่ีใชค้ วรมีขนาด
ต้งั แต่ 0.5 ตารางเมตร ข้ึนไป หรือจะใชบ้ อ่ ซีเมนตท์ วั่ ไปก็ได้ วธิ ีการและข้นั ตอนการเพาะเล้ียง มีดงั น้ี
7.1.1 เตรียมอุปกรณ์การเพาะ อุปกรณ์การเพาะเล้ียงหนอนแดง ไดแ้ ก่ บ่อซีเมนตข์ นาด
0.5 ตารางเมตร ดินร่วน หรือดินร่วนปนทราย ป๋ ุยคอก กากถว่ั เหลืองบด ป๋ ุยสูตร 16-20-0 ปูนขาว
และน้ากากผงชูรส
7.1.2 การเตรียมบ่อเพาะเล้ียงหนอนแดง ใส่ดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายลงกน้ บ่อใหม้ ี
ความหนาประมาณ 3-4 เซนติเมตร เติมน้าใหไ้ ดร้ ะดบั ความสูงประมาณ 15-20 เซนติเมตร
7.1.3 เติมอินทรียวตั ถุ เช่น ป๋ ุยคอก กากถวั่ เหลืองบด ป๋ ุยสูตร 16-20-0 รา ปูนขาวและ
น้ากากผงชูรส เพ่ือล่อใหร้ ิ้นน้าจืดมาวางไข่ อาจจะใชเ้ พียงชนิดใดชนิดหน่ึง หรือหลายชนิดรวมกนั
ก็ได้ หากใชป้ ๋ ุยคอกชนิดเดียว ควรใชป้ ระมาณ 500-600 กรัมต่อตารางเมตร แต่ถา้ ใชร้ วมกนั อาจจะ
ผสมในอตั ราส่วน 1:1 ในปริมาณรวม 100-150 กรัมต่อตารางเมตร หรืออาจใชส้ ูตรป๋ ุยตามที่แนะนา
ในตารางท่ี 4.9 แลว้ ปล่อยทิ้งไวป้ ระมาณ 1 วนั หลงั จากน้นั ใหเ้ ติมน้าเขา้ ไปอีก โดยให้มีระดบั น้าสูง
ประมาณ 30-40 เซนติเมตร แลว้ ก็ปล่อยทิ้งไวอ้ ยา่ งน้นั ริ้นน้าจืดจะเริ่มวางไข่ หากมีการใชไ้ ฟเพื่อ
เป็ นการล่อริ้นน้าจืดให้มาวางไข่ พร้อมท้งั เพ่ิมพ้ืนท่ีสาหรับการสร้างเกราะ อาจจะส่งผลใหห้ นอน
แดงน้นั เพิม่ จานวนมากข้ึน
ตารางที่ 4.9 สูตรอาหารที่ใชใ้ นการเพาะเล้ียงหนอนแดง (ต่อพ้นื ท่ี 0.5 ตารางเมตร)
สูตรท่ี 1 สูตรท่ี 2 สูตรท่ี 3
มูลไก่ 5 กิโลกรัม ป๋ ุยสูตร 16-20-0 5 กิโลกรัม กากผงชูรส 10 ลิตร
รา 3 กิโลกรัม รา 3 กิโลกรัม รา 3 กิโลกรัม
ปูนขาว 3 กิโลกรัม ปูนขาว 3 กิโลกรัม ปนู ขาว 3 กิโลกรัม
ที่มา : อานนท์ (2547)
7.1.4 การเก็บเก่ียวผลผลิต ช่วงที่หนอนแดงฟักเป็ นตวั หลงั จากริ้นน้าจืดวางไข่ จะเกิด
เป็นหนอนแดงตวั ออ่ น หลงั จากน้นั ประมาณ 7 วนั สามารถเก็บผลผลิตไดค้ ร้ังแรก และสามารถเก็บ
หนอนแดงไดท้ ุกวนั การเก็บหนอนแดงควรทาในตอนกลางวนั ช่วงที่มีอุณหภูมิสูง เวลาประมาณ
11.00-15.00 นาฬิกา ซ่ึงในช่วงเวลาดงั กล่าวหนอนแดงจะลอยตวั ข้ึนมาบนผิวน้า ทาใหง้ ่ายต่อการ
เก็บผลผลิต แตบ่ อ่ ที่ใชส้ าหรับเพาะหนอนแดงไม่ควรท่ีจะอยกู่ ลางแจง้ ควรมีร่มเงาบงั แดด บงั ลมไว้
ดว้ ยหรืออาจจะทาเป็นบ่อเพาะเล้ียงใตร้ ่มไมใ้ หญก่ ไ็ ด้ จะทาใหไ้ ดห้ นอนแดงเพิ่มมากข้ึน ซ่ึงการเก็บ
เกี่ยวผลผลิตมีขอ้ ควรปฏิบตั ิ ดงั น้ี
119
1) การเก็บเก่ียวท่ีจะให้ไดผ้ ลผลิตอย่างต่อเน่ืองน้นั ควรจะมีภาชนะในการ
เพาะเล้ียง 4-6 ใบ เพ่อื ใหส้ ามารถท่ีจะมีผลผลิตใหไ้ ดต้ ลอดไปเรื่อย ๆ (อมรรัตน์ และบุษกร, 2543)
2) การเก็บหนอนแดงจากบ่อเพาะเล้ียง โดยใช้สวิงตาประมาณ 1-2 มิลลิเมตร
ปาดหนา้ ดินลงไปในบ่อเพาะเล้ียงใหล้ ึกประมาณ 2-3 เซนติเมตร แลว้ ถ่ายดินและน้าลงไปในสวงิ ที่
มีความละเอียดของตาห่างประมาณ 5-7 มิลลิเมตร เพื่อทาการแยกเศษขยะท่ีมีขนาดใหญ่ออกก่อน
โดยให้ใชส้ วงิ ตาถ่ีที่มีความละเอียดประมาณ 1-2 มิลลิเมตร มารองไวท้ ่ีช้นั ล่างอีกช้นั หน่ึง เพ่ือท่ีจะ
รองหนอนแดง และเศษขยะขนาดเล็กไวด้ ว้ ย จากน้นั นาหนอนแดงและเศษขยะที่อยใู่ นสวิงตาถี่มา
ร่อนในน้าอีกคร้ัง เพื่อให้เศษดินและหนอนแดงท่ีมีขนาดเล็กรองลงมาลอยเขา้ ไปในบ่อใหม่ เป็ น
การคดั แยกเอาเฉพาะหนอนแดงท่ีมีขนาดใหญ่ตามตอ้ งการ เม่ือหนอนแดงไม่มีส่ิงยดึ เกาะจะลอยตวั
สู่ผวิ น้าเป็นแพ จึงสามารถใชส้ วงิ ตกั หนอนแดงข้ึนมาได้ สามารถนาไปเป็ นอาหารปลาสวยงามและ
สตั วน์ ้าชนิดอ่ืนได้ หรือถา้ ตอ้ งการจาหน่าย และขนส่งไปไกล ๆ ควรมีการใหอ้ อกซิเจน เหมือนกบั
การขนส่งลูกปลา ทาใหห้ นอนแดงมีชีวติ ไดน้ านข้ึน
3) การรวบรวมหนอนแดงจากธรรมชาติ ในธรรมชาติสามารถพบหนอนแดงใน
น้าที่มีอินทรียวตั ถุเจือปน ทาให้น้าเน่าเสีย และส่งกลิ่นเหม็น ริ้นน้าจืดจะชอบวางไข่ จะเห็นไดจ้ าก
บริเวณที่น้าเสียจากการถ่ายเทจากบา้ นเรือน ชุมชนแออดั หรือน้าเสียท่ีทิ้งจากโรงฆ่าสัตว์ ตามชาน
เมืองท้งั หลายท่ีสามารถพบเห็นได้ อุปกรณ์ท่ีจะใชใ้ นการรวบรวมควรเป็นสวงิ ที่มีขนาดตาประมาณ
2 มิลลิเมตร ควรมีสวงิ 2 ชุด อีกชุดหน่ึงตาควรมีขนาดเลก็ กวา่ เดิม สวงิ ชุดแรกจะใช้ชอ้ นตามบริเวณ
หนา้ ดิน ที่คาดว่าจะมีหนอนแดงอยู่ ส่วนสวิงอีกชุดหน่ึงมีไวส้ าหรับชอ้ นหนอนแดงท่ีลอยข้ึนมา
วธิ ีการรวบรวม จะเริ่มจากการเลือกสถานท่ี ๆ คาดวา่ จะมีหนอนแดง โดยสงั เกตไดว้ า่ มีไข่ของริ้นน้า
จืดลอยอยู่ ให้นาสวิงช้อนลงไปในดินให้ลึกประมาณ 2-5 เซนติเมตร แล้วนาไปร่อนเศษดินที่มี
ขนาดเลก็ จะหลุดร่วงลงไป เหลือแตเ่ ศษผงและหนอนแดง หนอนแดงที่ยงั ไมม่ ีที่ยดึ เกาะก็จะลอยบน
ผวิ น้าจนเป็ นแพ ใชส้ วิงชอ้ นเก็บไว้ ส่วนหนอนแดงท่ีเกาะอยกู่ บั เศษขยะหรือเศษดินน้นั ปล่อยทิ้ง
ไวใ้ นตะแกรงตาใหญ่สักครู่หน่ึง หนอนแดงจะจมลงสู่พ้ืน ใหเ้ อาสวิงตาถ่ีรองรับไว้ เศษขยะจะติด
บนตะแกรงน้นั หนอนแดงสามารถเก็บไวไ้ ดห้ ลายวนั โดยวิธีการเก็บหนอนแดงไวใ้ นถุงพลาสติก
มดั ปากถุงใหแ้ น่น นาไปแช่แขง็ กส็ ามารถเกบ็ หนอนแดงไวใ้ ชไ้ ดน้ าน แต่หนอนแดงจะอยใู่ นสภาพ
ท่ีตายแลว้ (อิทธิพร, 2532)
120
สรุป
อาหารสัตวน์ ้าที่มีชีวิต มีความสาคญั ต่อระบบการเพาะเล้ียงสัตวน์ ้า โดยเฉพาะอย่างย่ิง
อาหารสัตวน์ ้าท่ีมีชีวิตส่วนใหญ่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง การผลิตอาหารสัตวน์ ้าที่มีชีวิต อาจมี
วตั ถุประสงคท์ ่ีต่างกนั เช่น ผลิตอาหารที่มีชีวติ เพื่ออนุบาลสตั วน์ ้าเศรษฐกิจจาพวก ปลาและกุง้ นิยม
ใชใ้ นช่วงการอนุบาล ส่วนสัตวน์ ้าสวยงามนอกจากจะใชเ้ พ่ือการอนุบาลแลว้ ยงั ใชเ้ พื่อการสร้างเน้ือ
และการเร่งสีอีกดว้ ย ซ่ึงท่ีนิยมเพาะเล้ียงมีอยหู่ ลายชนิด ดงั น้ี
1. คลอเรลลา หรือน้าเขียว เป็ นแพลงก์ตอนพืชท่ีนิยมใชใ้ นการอนุบาลสัตวน์ ้าโดยตรง
เน่ืองจากมีขนาดเล็ก เหมาะกบั ขนาดของปากสัตวน์ ้า และคลอเรลลายงั เป็ นอาหารที่จาเป็ นในการ
เพาะเล้ียงแพลงกต์ อนสัตวอ์ ีกดว้ ย
2. คีโตเซอรอสและสเกลีโตนีมา เป็ นแพลงกต์ อนน้าเค็ม จาพวกไดอะตอม จดั เป็ นอาหาร
สัตวน์ ้าวยั อ่อนที่นิยมใช้กนั อยา่ งแพร่หลายในการอนุบาลลูกกุง้ วยั อ่อน เนื่องจากเป็ นแพลงก์ตอน
พืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และมีขนาดพอดีท่ีกุง้ สามารถกินเป็นอาหารได้
3. โรติเฟอร์ เป็ นแพลงก์ตอนสัตวท์ ี่มีคุณค่าทางโภชนาการ และมีขนาดพอดีท่ีกุง้ และปลา
สามารถกินเป็ นอาหารได้
4. ไรแดง เหมาะสาหรับการอนุบาลสัตวน์ ้าวยั ออ่ นโดยเฉพาะปลาน้าจืด และจดั เป็ นสัตวน์ ้า
เศรษฐกิจชนิดหน่ึงท่ีทารายได้ให้กบั ผูเ้ พาะเล้ียง วิธีการเพาะเล้ียงไรแดงในปัจจุบนั สามารถแบ่ง
ตามวธิ ีการเกบ็ เกี่ยวไดเ้ ป็น 2 แบบ คือ การเพาะเล้ียงไรแดงแบบเก็บเก่ียวผลผลิตเพียงคร้ังเดียว และ
การเพาะเล้ียงไรแดงแบบเก็บผลผลิตต่อเน่ือง นอกจากน้ียงั มีการแบ่งการเพาะเล้ียงไรแดงตาม
ลกั ษณะบ่อที่ใชเ้ พาะเล้ียง คือ การเพาะเล้ียงไรแดงในบอ่ ซีเมนต์ และการเพาะเล้ียงไรแดงในบ่อดิน
5. อาร์ทีเมีย หรือไรสีน้าตาล เหมาะสาหรับใชเ้ ป็ นอาหารสัตวน์ ้าวยั อ่อน เช่น กุง้ ปลา และ
ปู ท้งั น้ีเพราะอาร์ทีเมียมีคุณค่าทางอาหารสูง ขนาดเหมาะสมและตวั อ่อนอยภู่ ายในเปลือกหรืออยใู่ น
รูปท่ีเรียกวา่ ไขอ่ าร์ทีเมีย
6. ไรน้านางฟ้ า โดยทว่ั ไปรู้จกั กนั ในช่ือ แมงอ่อนชอ้ ย แมงหางแดง หรือแมงน้าฝน สาหรับ
การเล้ียงไรน้านางฟ้ าไทยมีเป้ าหมายท่ีการผลิตไรน้านางฟ้ าตวั เตม็ วยั เพื่อนาไปเป็นอาหารสตั วน์ ้า
7. หนอนแดง สามารถพบไดใ้ นแหล่งน้าที่เน่าเสีย สามารถนามาใชเ้ ป็ นอาหารของสัตวน์ ้า
ไดอ้ ีกชนิดหน่ึง โดยเฉพาะสตั วน์ ้าประเภทสวยงาม
อาหารสัตวน์ ้าท่ีมีชีวติ เป็นอาหารธรรมชาติที่สตั วน์ ้ากิน เพ่อื การดารงชีวิต การเจริญเติบโต
นิยมใชใ้ นช่วงการอนุบาล ส่วนสตั วน์ ้าสวยงามนอกจากจะใชเ้ พื่อการอนุบาลแลว้ ยงั ใชเ้ พ่ือการเร่งสี
ให้ดูสวยงามย่ิงข้ึน อาหารสัตวน์ ้าที่มีชีวิตนอกจากเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติแลว้ ปัจจุบนั ไดม้ ีการ
เพาะเล้ียงเพ่ือการคา้ ที่ทารายไดใ้ หก้ บั ผผู้ ลิตอีกทางหน่ึงดว้ ย
บทท่ี 5
วตั ถุดบิ อาหารสัตว์นา้
สาระสาคญั
การเพาะเล้ียงสัตวน์ ้าํ ในปัจจุบนั ตน้ ทุนการผลิตท่ีสูงท่ีสุด คือ ค่าอาหาร โดยเฉพาะอาหาร
สาํ เร็จรูป จึงทาํ ใหผ้ เู้ ล้ียงสตั วน์ ้าํ พยายามหาแนวทางการลดตน้ ทุนการผลิตโดยการผลิตอาหารใชเ้ อง
ภายในฟาร์ม ดงั น้นั การคดั เลือกวตั ถุดิบท่ีนาํ มาผลิตอาหารสัตวน์ ้าํ จึงเป็นส่ิงสาํ คญั อยา่ งยง่ิ
จุดประสงค์การเรียนรู้
จุดประสงค์ทว่ั ไป
เพื่อใหน้ กั ศึกษามีความรู้ ความเขา้ ใจและเห็นความสาํ คญั ของวตั ถุดิบอาหารสตั วน์ ้าํ
จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม
1. จาํ แนกชนิดวตั ถุดิบอาหารสตั วน์ ้าํ ได้
2. อธิบายการเลือกใชแ้ ละเลือกซ้ือวตั ถุดิบอาหารสัตวน์ ้าํ ได้
3. ตรวจสอบคุณภาพวตั ถุดิบที่ใชใ้ นการผลิตอาหารสัตวน์ ้าํ ได้
4. อธิบายลกั ษณะและคุณสมบตั ิมาตรฐานของวตั ถุดิบอาหารสัตวน์ ้าํ ได้
5. บอกชนิด สารตา้ นโภชนาการหรือสารพิษในวตั ถุดิบอาหารสตั วน์ ้าํ ได้
หวั ข้อเรื่อง
1. การจาํ แนกวตั ถุดิบอาหารสตั วน์ ้าํ
2. การเลือกใชแ้ ละเลือกซ้ือวตั ถุดิบอาหารสัตวน์ ้าํ
3. การตรวจสอบคุณภาพวตั ถุดิบที่ใชใ้ นการผลิตอาหารสตั วน์ ้าํ
4. ลกั ษณะและคุณสมบตั ิมาตรฐานของวตั ถุดิบอาหารสัตวน์ ้าํ
5. สารตา้ นโภชนาการหรือสารพิษในวตั ถุดิบอาหารสัตวน์ ้าํ
134
เนือ้ หาสาระ
1. การจาแนกวตั ถุดิบอาหารสัตว์นา้
วตั ถุดิบอาหารสัตว์ (feedstuffs) หมายถึง สารใด ๆ ก็ตามไม่ว่าจะไดจ้ ากแหล่งธรรมชาติ
หรือจากการสังเคราะห์ ซ่ึงมีคุณค่าทางโภชนาการ ทาํ ให้เกิดประโยชน์อย่างใดอยา่ งหน่ึงต่อสัตว์
เมื่อสัตวก์ ินสารน้นั ๆ เขา้ ไป (ชุมพล, 2542) วตั ถุดิบอาหารสตั วน์ ้าํ จาํ แนกได้ 4 ประเภท ดงั น้ี
1.1 วตั ถุดิบท่ีเป็นแหล่งโปรตีน
วตั ถุดิบที่เป็ นแหล่งโปรตีน หมายถึง วตั ถุดิบท่ีเติมลงในอาหารสัตวน์ ้าํ เพื่อเพ่ิมระดบั
ของโปรตีนในสูตรอาหาร ให้เพียงพอต่อความตอ้ งการของสัตวน์ ้าํ ท่ีเล้ียง โดยทวั่ ไปวตั ถุดิบท่ี
จดั เป็นแหล่งของโปรตีน มกั จะมีโปรตีนมากกวา่ 20 เปอร์เซ็นตข์ องวตั ถุแหง้ สําหรับวตั ถุดิบท่ีเป็ น
แหล่งโปรตีนท่ีนิยมใชใ้ นการผลิตอาหารสัตวน์ ้าํ แบ่งออกเป็ น 3 ประเภท ตามแหล่งที่มาไดแ้ ก่
โปรตีนจากสตั ว์ โปรตีนจากพืช และโปรตีนอื่น ๆ ดงั น้ี
1.1.1 วตั ถุดิบอาหารประเภทโปรตีนจากสัตว์ วตั ถุดิบที่เป็ นแหล่งโปรตีนที่ไดจ้ ากสัตว์
จะมีคุณภาพดีกวา่ วตั ถุดิบท่ีเป็นแหล่งโปรตีนที่ไดจ้ ากพืช เน่ืองจากมีองคป์ ระกอบของกรดอะมิโน
ท่ีจาํ เป็ นในปริมาณที่ใกลเ้ คียงกบั ความตอ้ งการของสัตวน์ ้าํ อยา่ งไรก็ตามปริมาณและคุณภาพของ
วัตถุดิบท่ีเป็ นแหล่งโปรตีนที่ได้จากสัตว์จะผันแปรข้ึนอยู่กับแหล่งที่มาของวัตถุดิบ และ
กระบวนการผลิตวตั ถุดิบซ่ึงปริมาณโปรตีนจะผนั แปรอยู่ระหวา่ ง 25-85 เปอร์เซ็นต์ของวตั ถุแห้ง
และส่วนใหญ่จะมีปริมาณกรดอะมิโนไลซินและเมไธโอนีนสูง วตั ถุดิบที่เป็ นแหล่งโปรตีนท่ีได้
จากสัตวท์ ี่นิยมใชใ้ นการผลิตอาหารสตั วน์ ้าํ มีดงั น้ี
1) ปลาป่ น (fish meal) เป็นแหล่งวตั ถุดิบหลกั ที่สําคญั ของการผลิตอาหารปลาและ
อาหารกุ้ง เป็ นวตั ถุดิบที่ใช้ตน้ ทุนสูงสุด เนื่องจากปลาป่ นที่ผลิตไดใ้ นประเทศไทยมีคุณภาพต่าํ
เพราะผลิตจากปลาเป็ ดที่ไม่มีคุณภาพ จึงทาํ ให้มีการนาํ เขา้ จากต่างประเทศ ไดแ้ ก่ ประเทศชิลี และ
เดนมาร์ก โดยเป็ นปลาป่ นท่ีได้จากการผลิตแบบแห้ง แบบไอน้ําและแบบสูญญากาศ ซ่ึงจะมี
คุณภาพที่ดีกว่าปลาป่ นท่ีอบแห้งแบบใช้ความร้อน เน่ืองจากการอบแห้งแบบไอน้ําและแบบ
สูญญากาศ จะทาํ ให้โปรตีนในปลาป่ นไม่ถูกทาํ ลายและไขมนั จะไม่ถูกออกซิไดซ์มาก วตั ถุดิบท่ี
นาํ มาใชท้ าํ ปลาป่ น ไดแ้ ก่ ปลาหลงั เขียว ปลาทู เศษปลาจากอุตสาหกรรม เป็ นตน้ สาํ หรับปลาป่ น
เกรดดีควรมีปริมาณโปรตีนไม่ต่าํ กวา่ 65 เปอร์เซ็นต์ โดยปลาป่ นจะมีอยู่ 2 ชนิด คือ ชนิดสีอ่อน
(white fish meal) และชนิดสีเขม้ (brown fish meal) ซ่ึงปลาป่ นชนิดสีอ่อนจะมีคุณค่าทาง
โภชนาการดีกวา่ ปลาป่ นชนิดสีเขม้ เนื่องจากวตั ถุดิบท่ีนาํ มาผลิตมีปริมาณไขมนั สูง ทาํ ใหส้ ีของปลา
ป่ นเขม้ ข้ึน เม่ือผ่านความร้อนในกระบวนการผลิต ซ่ึงปริมาณไขมนั ในปลาป่ นโดยปกติอยู่ในช่วง
8-20 เปอร์เซ็นต์ ข้ึนอยกู่ บั แหล่งผลิตและชนิดของวตั ถุดิบ ดงั แสดงในภาพที่ 5.1