43
ลักษณะแบบฝึกเสริมทกั ษะที่ดี
แบบฝึกเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะให้กับผู้เรียนการสร้างแบบฝึกให้มปี ระสทิ ธภิ าพ
จงึ จำเปน็ ตอ้ งศึกษาองค์ประกอบและลักษณะของแบบฝึก เพอื่ เลอื กใชใ้ ห้เหมาะสมกับระดับความสามารถของ
นักเรยี น
ประโยชน์ของแบบฝกึ
สุนนั ทา สนุ ทรประเสริฐ (2544 : 2) ไดก้ ล่าวถึงประโยชนข์ องแบบฝกึ ไวด้ งั นี้
1. ทำให้เขา้ ใจบทเรียนดีขึ้น เพราะเป็นเคร่อื งอำนวยประโยชน์ในการเรียนรู้
2. ทำใหค้ รูทราบความเข้าใจของนักเรยี นท่ีมีต่อบทเรียน
3. ฝึกใหเ้ ด็กมีความเชือ่ มน่ั และสามารถประเมนิ ผลตนเองได้
Pretty (อา้ งถงึ ใน สุนนั ทา สุนทรประเสรฐิ , (2544 : 3) ไดก้ ลา่ วถึงประโยชน์ของแบบฝกึ ไว้ดังน้ี
1.เป็นส่วนเพ่ิมเติมหรอื เสริมหนงั สอื เรียนในการเรยี นทกั ษะ เปน็ อุปกรณ์การสอนท่ชี ว่ ยลด
ภาระครูได้มาก เพราะแบบฝกึ เป็นเรอ่ื งท่จี ดั ทำข้นึ อยา่ งเป็นระบบและมีระเบยี บ
2. ชว่ ยเสริมทักษะ แบบฝึกหดั เปน็ เคร่อื งมือทชี่ ่วยเด็กในการฝึกทกั ษะ แตท่ ั้งนี้จะตอ้ งอาศัย
การส่งเสริมและความเอาใจใสจ่ ากครผู ้สู อนด้วย
3. ช่วยในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล เนื่องจากเด็กมีความสามารถทางภาษาแตกต่าง
กัน การให้เด็กทำแบบฝึกหัดที่หมาะสมกับความสามารถของเขา จะช่วยให้เด็กประสบผลสำเร็จในด้านจิตใจ
มากขึ้น ดังนั้นแบบฝึกหัดจึงไม่ใช่สมุดฝึกที่ครูจะให้แก่เด็กบทต่อบทหรือหน้าต่อหน้า แต่เป็นแหล่ง
ประสบการณ์เฉพาะสำหรบั เดก็ ทต่ี ้องการความชว่ ยเหลือพเิ ศษและเป็นเคร่ืองมือชว่ ยที่มคี ่าของ ครูที่จะสนอง
ความต้องการเป็นรายบคุ คลในชั้น
4. แบบฝกึ หดั ช่วยเสรมิ ใหท้ ักษะคงทน ลกั ษณะการฝกึ เพื่อให้เกิดผลดงั กล่าวนัน้ ได้แก่
1) ฝึกทันทหี ลังจากท่ีเด็กไดเ้ รียนร้ใู นเร่อื งนั้น ๆ
2) ฝึกซ้ำหลาย ๆ ครง้ั
3) เน้นเฉพาะในเร่ืองทผี่ ิด
5. แบบฝกึ หัดทใี่ ชเ้ ปน็ เคร่ืองมอื วัดผลการเรยี นหลังจากจบบทเรียนในแตล่ ะคร้งั
6. แบบฝึกหัดที่จัดทำขึ้นเป็นรูปเล่มเด็กสามารถเก็บรักษาไว้ใช้เป็นแนวทางเพื่อทบทวนดว้ ย
ตนเองไดต้ อ่ ไป
7. การให้เด็กทำแบบฝกึ หัด ช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่น หรือปัญหาต่าง ๆ ของเด็กได้ชัดเจน
ซึ่งจะช่วยใหค้ รดู ำเนนิ การปรับปรุงแกไ้ ขปญั หานั้น ๆ ได้ทันท่วงที
8. แบบฝึกหัดที่จัดทำขึ้นนอกเหนือจากที่มีอยู่ในหนังสือแบบเรียนจะช่วยให้เด็กได้ฝึกฝน
อย่างเต็มท่ี
44
9.แบบฝึกหัดที่จัดพิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้วจะช่วยให้ครูประหยัดทั้งแรงงานและเวลาในการที่
จะต้องเตรียมสร้างแบบฝึกอยู่เสมอ ในด้านผู้เรียนก็ไม่ต้องเสียเวลาในการลอกแบบฝึกหัดจากตำราเรียนหรือ
กระดานดำ ทำใหม้ เี วลาและโอกาสไดฝ้ กึ ฝนทกั ษะตา่ ง ๆ มากขึ้น
10. แบบฝึกหัดช่วยประหยัดค่าใชจ้ ่าย เพราะการจัดพิมพ์ข้ึนเป็นรูปเลม่ ทีแ่ นน่ อนย่อมลงทุน
ตำ่ กวา่ ทใี่ ช้วธิ พี มิ พล์ งกระดาษไขทุกครั้งไป นอกจากน้ยี ังมีประโยชนใ์ นการที่ผู้เรยี นสามารถบนั ทึกและมองเห็น
ความกา้ วหน้าของตนเองไดอ้ ยา่ งมรี ะบบและเป็นระเบียบ
รูปแบบของการสรา้ งแบบฝกึ
การสร้างแบบฝึกรูปแบบเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะจูงใจให้ผู้เรียนได้ทดลองปฏิบัติแบบฝึกจึงควรมี
รปู แบบทีห่ ลากหลาย เพอื่ เร้าความสนใจ ไม่เกิดความเบอ่ื หนา่ ย และทา้ ทาย ใหอ้ ยากรูอ้ ยากลอง โดยมีรปู แบบ
ฝึกทสี่ ำคัญ ซง่ึ เรยี งลำดับจากงา่ ยไปหายาก ดังน้ี (สนุ ันทา สุนทร - ประเสรฐิ , 2544 : 12 - 14)
1. แบบถกู ผิด เปน็ แบบฝึกท่ีใช้ประโยคบอกเล่า ให้ผ้เู รยี นอ่านแลว้ เลือกใสเ่ ครื่องหมายถูกหรือผิดตาม
ดลุ ยพินจิ ของผู้เรียน
2. แบบจบั คู่ เปน็ แบบฝึกท่ีประกอบดว้ ยคำถามหรือตวั ปัญหาเปน็ ตวั ยนื ไวใ้ นสดมภซ์ ้ายมือ โดยมีท่ีว่าง
ไว้หนา้ ข้อ เพือ่ ให้ผูเ้ รยี นเลือกคำตอบท่ีกำหนดไวใ้ นสดมภข์ วามือ มาจบั ค่คู ำถามใหส้ อดคล้องกัน โ ด ย ใ ช้
หมายเลขหรอื รหัสคำตอบไปวางไวห้ น้าข้อคำถามหรือจะใชก้ ารโยงเส้นกไ็ ด้
3. แบบเติมคำหรือเตมิ ข้อความ เป็นแบบฝึกท่มี ขี อ้ ความไว้ให้แตจ่ ะเวน้ ช่องวา่ งไว้ให้ผู้เรียนเติมคำหรือ
ข้อความท่ีขาดหายไป ซง่ึ คำหรือขอ้ ความท่ีนำมาเติมอาจใหเ้ ติมอยา่ งอิสระหรือกำหนดตวั เลือกให้เติมก็ได้
4. แบบหลายตวั เลือก เป็นแบบเชิงแบบทดสอบ โดยจะมี 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นคำถามซ่ึงจะต้องเปน็
ประโยคคำถามที่สมบูรณ์ ชัดเจนไม่คลุมเครือ ส่วนที่ 2 เป็นตัวเลือก คือคำตอบซึ่งอาจมี 3 - 5 ตัวเลือกก็ได้
ตัวเลือกทั้งหมดจะมีตัวเลอื กทีถ่ กู ทสี่ ดุ เพยี งตวั เลอื กเดียว สว่ นท่เี หลือเป็นตัวลวง
5. แบบอัตนัย คือ ความเรียงเป็นแบบฝึกที่มีตัวคำถาม ผู้เรียนต้องเขียนบรรยายตอบอย่างเสรีตาม
ความรู้ความสามารถโดยไม่จำกัดคำตอบ แตจ่ ำกดั ในเรื่องเวลา อาจใช้รปู ของคำถามท่ัว ๆ ไป หรือเป็นคำสั่ง
ให้เขยี นเรอ่ื งราวต่าง ๆ กไ็ ด้
ขนั้ ตอนและหลกั ในการสร้างแบบฝกึ
สนุ นั ทา สนุ ทรประเสริฐ (2544 : 14) ไดก้ ลา่ วถึงขน้ั ตอนในการสรา้ งแบบฝกึ ดังนี้
1. วเิ คราะหป์ ัญหาและสาเหตุจากการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน เชน่
1.1 ปญั หาที่เกดิ ขน้ึ ในขณะทำการสอน
1.2 ปัญหาการผา่ นจุดประสงคข์ องนักเรียน
1.3 ผลการสงั เกตพฤติกรรมทไ่ี ม่พงึ ประสงค์
1.4 ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
45
2. ศึกษารายละเอยี ดในหลักสตู ร เพ่อื วเิ คราะหเ์ นื้อหา จดุ ประสงค์ และกิจกรรม
3. พิจารณาแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากข้อ 1 โดยการสร้างแบบฝึกและเลือกเนื้อหาใน
ส่วนท่จี ะสร้างแบบฝึกน้นั วา่ จะทำเรอื่ งใดบา้ ง กำหนดเปน็ โครงเรอ่ื งไว้
4. ศึกษารปู แบบของการสรา้ งแบบฝึก
5. ออกแบบชดุ ฝกึ แตล่ ะชุดให้มีรูปแบบที่หลากหลาย น่าสนใจ
6. ลงมือสร้างแบบฝึกในแต่ละชุด พร้อมทั้งข้อทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนให้สอดคล้อง
กับเนอื้ หาและจุดประสงค์การเรยี นรู้
7. สง่ ใหผ้ ้เู ชยี่ วชาญตรวจสอบ
8. นำไปทดลองใช้ แลว้ บนั ทกึ ผลเพ่ือนำมาปรับปรงุ แก้ไขสวนที่บกพร่อง
9. ปรบั ปรุงจนมปี ระสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ท่ตี ้ังไว้
10. นำไปใชจ้ ริงและเผยแพร่ตอ่ ไป
มีผูก้ ล่าวถึงหลกั ในการสร้างแบบฝกึ ไวห้ ลายท่าน ดังน้ี
วิชัย เพ็ชรเรอื ง (2531 : 77) ไดก้ ลา่ วถึงหลักในการจดั ทำแบบฝกึ ว่าควรมีลักษณะ ดังน้ี
1. แบบฝกึ ตอ้ งมีเอกภาพและสมบูรณใ์ นตัว
2. เกิดความต้องการของผู้เรยี นและสงั คม
3. ครอบคลมุ เน้ือหาหลายวิชา โดยบูรณาการให้เข้ากบั การอา่ น
4. ใชแ้ นวคิดใหมใ่ นการจดั กจิ กรรม
5. สนองความสนใจใคร่รูแ้ ละความสามารถของผู้เรียน และสง่ เสริมใหผ้ ู้เรียนมีสว่ นร่วมในการ
เรียนอย่างเต็มที่
6. คำนงึ ถงึ พัฒนาการและวฒุ ิภาวะของผู้เรียน
7. เนน้ การแกป้ ัญหา
8. ครูแลนักเรียนได้มโี อกาสวางแผนร่วมกนั
9. แบบฝึกควรเป็นสิ่งที่น่าสนใจ มีความแปลกใหม่สามารถปรับและรับเข้าสู่โครงสร้างทาง
ความคิดของเด็กได้
พธู ทั่งแดง (2534 : 17) กล่าวว่า ในการสร้างแบบฝึก ต้องใช้ภาษาที่เหมาะสมกับนักเรียนวัย และ
ความสามารถ ตลอดจนคำนึงถึงหลักจติ วิทยาท่ีมีสว่ นเกย่ี วข้องในการสร้างแบบฝึกตามลำดับข้ันตอนการเรียน
ตอ้ งมคี ำชแี้ จง มหี ลายรปู แบบ เกย่ี วข้องกบั บทเรยี นท่ีเรยี นมาแล้วและส่งเสริมความคิด สามารถ นำไปใช ้ใน
ชวี ิตประจำวนั ได้
ฉววี รรณ กรี ตกิ ร (2537 : 11 - 12) ได้กลา่ วถงึ หลกั การสร้างแบบฝกึ ไว้ดังน้ี
1. แบบฝกึ หดั ท่ีสร้างขึ้นนัน้ สอดคลอ้ งกบั จติ วทิ ยาพฒั นาการและลำดับขนั้ ตอนการเรียนรู้
46
ของผู้เรียน เด็กที่เริ่มมีประสบการณ์น้อยจะต้องสร้างแบบฝึกหัดที่น่าสนใจและจูงใจผู้เรียนด้วยการ
เรมิ่ จากข้อทง่ี ่ายไปหาข้อท่ยี าก เพอื่ ให้ผูเ้ รยี นมีกำลงั ใจทำแบบฝกึ หัด
2. ให้แบบฝึกหดั ทตี่ รงกับจุดประสงค์ทต่ี อ้ งการฝึก และตอ้ งมเี วลาเตรียมการไว้ล่วงหนา้ เสมอ
3. แบบฝกึ หัดควรมงุ่ สง่ เสริมนักเรียนแต่ละกลุม่ ตามความสามารถทแ่ี ตกต่างกันของผู้เรยี น
4. แบบฝกึ หัดแต่ละชุดควรมคี ำช้แี จงง่าย ๆ ส้นั ๆ เพ่อื ให้ผู้เรียนเข้าใจหรือมตี ัวอย่างแสดง
วิธีทำจะช่วยใหเ้ ข้าใจได้ดีย่งิ ขึน้
5. แบบฝกึ หัดจะต้องถกู ต้อง ครูตอ้ งพิจารณาให้ดอี ย่าใหม้ ขี ้อผิดพลาดได้
6. แบบฝึกหัดควรมีหลาย ๆ แบบ เพื่อให้ผู้เรียนได้แนวคิดที่กว้างไกลจากหลักการสร้าง
แบบฝึกดังกล่าวพอสรุปได้ว่า แบบฝึกที่ดีต้องมีรูปแบบที่เร้าความสนใจของนักเรียน ต้องเรียงลำดับ
จากงา่ ยไปหายาก คำทีน่ ำมาสรา้ งแบบฝึกควรเปน็ คำท่อี ยู่ในบทเรยี นมีเน้ือหาไม่ยาวเกนิ ไป มีกิจกรรม
หลายรปู แบบ มภี าพการต์ นู ประกอบ มีคำชีแ้ จง ความรู้ ตวั อย่างและแบบฝกึ เพอ่ื ให้นกั เรียนสามารถ
ฝกึ ไดด้ ว้ ยตนเอง และควรมแี บบทดสอบเพอื่ ประเมนิ ผลก่อนและหลังเรยี น
การหาประสิทธิภาพของแบบฝกึ เสรมิ ทักษะ
โสภณ นุ่มทอง (2540 : 25 - 28) ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อผลติ สือ่ ขึ้นมาใช้ประกอบการเรยี นการสอนไม่ว่า
จะเป็นชุดการสอน บทเรียนสำเร็จรูป หนังสือแบบหน่วยหรือชุดฝึกก็ตามควรจะได้ประเมินประสิทธิภาพของ
สื่อว่าเหมาะสมที่จะนำไปใช้ต่อไปหรือไม่ หรือสื่อนี้จะส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม
จุดประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ หรืออย่างไร จะได้หาข้อบกพร่องเพือ่ ปรบั ปรุงแก้ไขต่อไป การหาประสทิ ธิภาพ
ของส่ือมขี ัน้ ตอนโดยท่ัวไปดงั นี้
ขั้นที่ 1 ขั้นทดลองใช้กับนักเรยี นคนเดยี ว พยายามคัดเลือกนักเรียนที่มีความรู้ความสามารถและมีผล
การเรียนวิชานั้นอยู่ในระดับกลาง นำมาทดลองใช้ก่อนเพื่อหาข้อบกพร่องเกี่ยวกับถ้อยคำการใช้ภาษา ความ
ชัดเจนของการนำเสนอ เนื้อหา และการสื่อความหมายต่าง ๆ เพื่อจะได้นำไปปรับปรุงในเบื้องต้นก่อนที่จะ
นำไป ทดลองใชใ้ นขน้ั ที่ 2
ขั้นที่ 2 เมื่อแก้ไขข้อบกพร่องที่ได้จากการทดลองในขั้นที่ 1 แล้ว ควรจะนำไปทดลองอีกครั้งกับ
นักเรียนที่มีความสามารถในการเรียนระดับกลาง จำนวน 3 - 5 คน โดยให้นักเรียนได้ทดลองเรียนจริง ๆ
กิจกรรมการเรียนการสอนเหมือนจริงทุกอย่าง เพียงแต่เป็นกลุ่มเล็กกว่าห้องเรียนจริงเท่านัน้ เป็นการทดลอง
หาข้อบกพรอ่ งในดา้ นตา่ ง ๆ ของส่ืออกี คร้งั หนึ่งเพอื่ จะไดป้ รบั ปรงุ แก้ไขต่อไป
ชั้นที่ 3 เป็นขั้นการใช้สื่อในห้องเรียนจริง ๆ ตามปกติซึ่งเป็นการประเมินประสิทธิภาพของสื่อว่า
เช่ือถือได้หรือไม่ ซึ่งอาจดำเนนิ การได้ 2 วิธคี อื
1. โดยการทดสอบความแตกต่างของคะแนนจากก่อนเรยี นและหลงั เรียน โดยใช้คา่ ที
2. ใช้เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 หรือ 90/90 เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 หรือ 90/90เป็นเณฑ์การ
เปรียบเทียบคะแนนที่ได้จากการประเมินในกระบวนการเรียนการสอนกับคะแนนที่ได้จากการทดลองสุดท้าย
หลังจากเรยี นจบบทเรียนหรอื จบเรอื่ งแลว้ การต้งั เกณฑ์ 80/80 หรือ 90/90 นั้นอยู่ในดุลยพินิจว่านักเรียน
47
ของเรานนั้ มคี วามสามารถในการเรียนระดบั ใด และควรจะตั้งเกณฑ์เท่าไร ถ้านกั เรียนดมี ากจะตั้งเกณฑ์ 90/90
กไ็ ด้ แต่ถ้านักเรียนคอ่ นขา้ งดีอาจตง้ั เกณฑ์ไว้ 80/80 อาจสูงพอก็ได้
แบบฝึกที่ใช้ในการสอนให้เกิดความแม่นยำ รวดเร็ว และตรงจุดประสงค์ จะมีลักษณะคล้าย
แบบทดสอบย่อยจะต่างกันที่ปริมาณของงานหรือข้อปัญหา แบบฝึกแต่ละแบบจะกำหนดข้อปัญหามากน้อย
ขนึ้ อย่กู บั จำนวนเน้ือหาและระดับช้ันของผู้เรียนซึ่งแตกตา่ งไป แบบฝกึ หนงึ่ อาจจะมีข้อปญั หา 10 20 หรือ 30
หรือ 40 แล้วแต่กรณี การฝึกจะต้องฝึกเป็นประจำโดยให้ทำในเวลาสั้น ๆ อาจจะเริ่มจาก 30 วินาที 1 นาที
หรอื 2 - 3 นาที แล้วบันทกึ ผลทที่ ำไดถ้ ูกต้องและ
ผดิ พลาด เม่ือผู้เรียนสามารถทำไดถ้ กู ตอ้ งและถึงเกณฑ์ที่กำหนดเมือ่ ไร กใ็ ห้เรียนในเรอื่ งอนื่ ต่อไปได้
ดังนั้น การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะ ทำได้โดยนำแบบฝึกเสริมทักษะที่สร้างขึ้นไป
ทดลองใช้กับนักเรียนเพื่อหาข้อบกพร่องของแบบฝึกและนำไปสู่การแก้ไข จากนั้นนำแบบฝึกที่แก้ไขไปใช้จริง
กับนักเรียนที่ต้องการแก้ไขปัญหา แล้วนำข้อมูลมาตรวจสอบเพื่อหาประสิทธิภาพโดยใช้เกณฑ์มาตรฐาน
80/80 หรอื 90/90 ขนึ้ อยกู่ บั ความสามารถของนักเรยี นท่เี กบ็ ขอ้ มลู
4.3 ความรู้เกี่ยวข้องกับส่ือวิดีโอเพอ่ื การศึกษา
ความหมายของวิดีโอเพ่ือการศึกษา
วิดโี อเพื่อการศึกษาเป็นสื่อการเรียนการสอนรูปแบบหนงึ่ ท่ีมบี ทบาทและสำคัญมาก ปจั จบุ นั วิดีโอเป็น
สื่อทสี่ ำคัญและไดร้ ับความนยิ มทง้ั จากวงการบนั เทิงและวงการการศึกษาเพราะสามารถนำไปใช้งานได้สะดวก
โดยเฉพาะในปจั จบุ ันวิดโี อได้ปรับเปลีย่ นไปประยุกต์เขา้ กบั เครอื ข่ายอนิ เตอร์เนต็ จงึ ทำให้การรับชมแพรห่ ลายและการ
เข้าถึงวดิ ีโอสามารถทำไดม้ ากข้นึ สำหรบั ความหมายของวิดีโอ มีผู้ให้คำนยิ ามไวด้ งั นี้
ฮลิ ส์ (Hills, 1982 : 280) กล่าวว่า วิดโี อ เปน็ การบนั ทึกภาพจากโทรทัศน์ ซึง่ สามารถบันทกึ ภาพ
รายการ โทรทศั น์ที่กำลงั ออกอากาศอยหู่ รือบันทึกขณะที่ถ่ายทำจากการเชื่อมต่อจากกล้องโทรทัศน์
ประทิน คล้ายนาค (2541 : 36) กล่าวว่า วิดีโอ ตามความหมายทางเทคนิค หมายถึง การส่งผ่าน
สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ของสัญญาณภาพและสัญญาณเสียง จากกล้องหรือจากเครื่องบันทึกเทปวิดีโอที่เรียกว่าเครื่อง
VTR ไปยังจอโทรทัศน์โดยไม่จำเป็นต้องแพร่ภาพออกอากาศ อย่างง่ายที่สุดวิดีโอก็คือ การใช้กล้องอิเล็กทรอนิกส์
ถา่ ยภาพเคลื่อนไหวพร้อมกับเสียงแลว้ ส่งเปน็ สญั ญาณไฟฟา้ ออกไปท่ีจอโทรทศั น์
กดิ านันท์ มลิทอง (2543 : 198) กลา่ ววา่ ราชบัณฑติ ยสถาน จะเรยี กวา่ วิดีโอ โดยแบง่ วสั ดุ คอื แถบ
วดิ ีโอและอปุ กรณเ์ ครื่องเลน่ วิดโี อ แถบวิดีโอเป็นวัสดุที่สามารถใช้บนั ทกึ ภาพและเสียงไว้ใดใ้ นรปู แบบคลื่อน
แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า และสามารถลบแลว้ บนั ทึกใหม่ได้
กัลย์กมล ปานสันเทียะ (2548 : 9) กล่าวว่า วิดีโอ หมายถึง วัสดุอุปกรณ์ซึ่งเป็นแถบเคลือบแม่เหล็ก
สามารถเก็บบันทึกข้อมูลได้หลายมิติ เช่น ภาพ เสียง ในรูปแบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สามารถตัดต่อเพิ่มเติม ลบออกได้
โดยมเี คร่อื งรับโทรทศั น์เป็นเคร่ืองแสดงภาพและเสียง
48
ศตพร ศีรหาคำ (2551 : 16) กล่าวว่า วีทัศน์ หมายถึง กระบวนการบันทึกสัญญาณด้านภาพและ
สัญญาณทางเสียงในสื่อกลางที่เป็นวัสดุทางแม่เหล็กไฟฟ้า รวมไปถึงกระบวนการถ่ายทอดทางภาพและเสียง โดยผ่าน
อุปกรณท์ างอเิ ล็ก ทรอนกิ สไ์ ปส่ผู รู้ ับด้วย
ชชู าติ มงคลเมฆ (2553 : 53) กล่าววา่ วดิ ีโอ หมายถึง สื่อท่ีนำเสนอท้ังภาพและเสียง โดยถ่ายทอดผ่าน
ทางอุปกรณ์อิเล็กทรอนกิ สส์ ามารถสรา้ งความบนั เทิงให้ความรู้ใหข้ า่ วสารรวมไปถงึ การใหผ้ ลทางด้านความรสู้ ึก อารมณ์
ความเชอ่ื คา่ นิยม ทศั นคติ โดยมจี ดุ ประสงค์ในการ ใช้ต่างกันออกไป และนำมาใชป้ ระกอบการเรยี นการสอนด้วย
รัชนก ถริ ะแกว้ (2555 : 38) กลา่ ววา่ วดิ โี อ หมายถึง เครือ่ งมอื หรืออปุ กรณท์ ี่ใชบ้ นั ทึกได้ทงั้ ภาพและ
เสียงได้พร้อม ๆ กันในเวลาเดียวกัน สามารถเก็บวดิ โี อทบ่ี ันทึกไวเ้ รียกกลับมาดูได้ทุกเวลาและสามารถลบการบนั ทึกออก
ได้ ซึ่งวดิ โี อนน้ั ครอบคลมุ รวมไปทั่วทกุ แห่งหน
กล่าวโดยสรุป วิดีโอ หมายถึง สื่อที่สามารถบันทึกได้ทั้งภาพและเสียง หลังจากบันทึกสัญญาณภาพและเสียง
แล้ว สามารถนำไปใช้งานได้ทันที สามารถใช้ทบทวนเนื้อหาได้หลาย ๆ ครั้งเพื่อศึกษาบทเรียนให้มีความรู้ความเข้าใจ
มากข้นึ อีกท้ังวิดโี อยงั เปน็ ส่ือที่ถ่ายทอดเร่อื งราวไปยังผู้ชมจำนวนมากในเวลาเดยี วกนั ได้ เป็นอย่างดี ผู้ชมสามารถรับรู้
สถานการณต์ า่ ง ๆ ได้ด้วยการรับสัมผสั ทางตาและหู
ประเภทรายการวดิ ีโอเพื่อการศึกษา
ไพโรจน์ ตรี ณธนากลู (2528, น. 3) ได้แบง่ รายการวิดโี อเพื่อการศึกษาออกเป็น2 ประเภท ดังน้คี อื
1) วดิ ีโอเพื่อการเรียนการสอนโดยตรง (Instructional Television - ITV) สามารถใชแ้ ทน
ครูในกรณที คี่ รไู ม่เพยี งพอ หรือมีผู้เรียนจำนวนมาก หรือเปน็ การออกอากาศไปยงั ท่ีไกล ๆ นอกจากนน้ั ยัง สามารถใช้
สอนควบคู่กับครูเพื่อแสดงเรื่องราว ซึ่งดีกว่าการอธิบายหรือการสาธิตของครู รวมทั้งบางช่วงที่จำเป็นต้องนำ
ประสบการณ์ภายนอกเข้ามาเสรมิ บทเรียน
2) วิดโี อเพอื่ การศึกษาทว่ั ไป (Educational Television - ETV ใชเ้ พื่อเสริมความรูท้ ่วั ไปกับ
บทเรียนหรือการเรียนเพื่อความรอบรู้ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2536, น. 142 - 144) ได้แบ่งรายการวิดีโอ
เพอื่ การศกึ ษาไว้ 2 ประเภท คอื
5.2.1 รายการความรู้ท่วั ไป หมายถึง รายการท่ีมงุ่ ใหค้ วามรู้ในเร่ืองต่าง ๆ โคยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้
ผู้ชมได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์ ได้แง่คิด คติสอนใจ อันเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวัน รายการประเภทน้ี
ม่งุ เนน้ เพอื่ การสอนในหลักสูตร ใดหลกั สูตรหน่ึงเฉพาะ แต่สามารถทำหนา้ ทเี่ สรมิ หรอื ประกอบการ สอนได้ เช่น
รายการสาระบันเทิง รายการสง่ เสรมิ การศึกษา
5.2.2 รายการเพื่อการสอน หมายถึง รายการที่ผลิตขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ในการสอน ลักษณะ
รายการมกั จะมีแนวโน้มที่คลา้ ยบทเรยี น โดยมวี ิธกี ารนำเสนอทีน่ ่าสนใจ การจดั เนื้อหาอาจแบ่งเป็นตอนหรอื ไม่เป็นตอน
ก็ได้ แต่เนื้อหาจะสอดกล้องกับหลักสูตรการศึกษาระดับใคระดับหนึ่ง รายการเพื่อการสอน ยังสามารถแบ่งประเภท
ออกไปตามลักษณะหน้าที่ของรายการ ได้ดังนี้
49
1) รายการทำหน้าที่สอนท้ังหมด (Total Teaching หรือ Direct ClassroomTeaching) คือ
รายการซึง่ ทำหน้าทีใ่ นการสอนสมบรู ณ์ในตัวเอง ดงั น้นั รายการจึงทำหนา้ ทีส่ อนแทนครหู รืออปุ กรณ์การสอนไปในตัว
2) รายการทำหน้าทีส่ อนเนื้อหาหลัก (Principle or Main Resources) คอื รายการทำหน้าท่ี
สำคญั ของหวั ข้อการสอน โดยในช้ันเรยี นจะมีครูผู้ทำหน้าทีแ่ นะนำรายการ ช้ีใหเ้ หน็ ความสัมพันธ์ของรายการกับหัวข้อ
ทเี่ รียน ให้ทำแบบฝกึ หัดและอธบิ ายขยายความเพ่มิ ความเข้าใจของนักเรยี น
3) รายการทำหน้าที่เสริมการสอน (Supplementary or Enrichment) คือรายการที่ทำ
หน้าที่เสริมเนื้อหาที่ครูสอนให้สมบูรณ์ขึ้น เพิ่มเติมเนื้อหาได้ชัดเจนสมบูรณ์ เช่น ใช้แสดงตัวอย่างเชิงละคร หรือสาธิต
วธิ กี ารทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ ฯลฯ
กิดานันท์ มลิทอง (2543, น. 198) ได้กล่าวถึงการใช้วิดิทัศน์เพื่อให้ความรู้ในการศึกษาและ ใช้ในการสอน
โดยตรงเป็นการให้ความสะดวกทั้งผู้สอนและผู้เรียน ทั้งนี้สามารถส่งการสอนไปยังผู้เรียนที่ห่างไกลได้ ผู้สอนสามารถ
บันทึกการสอนของตนไว้ใช้สอนได้อีก หรือจะขอยืมวิดีโอจากแหล่งอื่นมาใช้สอนในห้องเรียน สามารถเลือกคูภาพท่ี
ต้องการโคยบังคับแถบเทปใหเ้ ลื่อนเดินหน้า ถอยหลัง ดูภาพช้าหรือหยุดดเู ฉพาระภาพ ได้ แต่ภาพที่หยุดดูจะไม่คมชดั
เท่าที่ควร ในเครื่องเล่นบางชนิดยังปรับภาพให้ขยายเพื่อดูได้ใหญ่ชัดเจนยิ่งขึ้น การบันทึกวิดีโอเพื่อใช้เป็นบทเรียน
สามารถทำไดใ้ นห้องสตูดิโอหรอื ภาพในห้องปฏิบัติการ
กลา่ วโดยสรปุ ประเภทรายการวิดีโอเพอื่ การศึกษา สามารถออกได้ 2 ประเภท คือ
1) วิดีโอความรู้ทั่วไป ให้ความรู้เรื่องที่อยู่ในชีวิตประจำวัน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แง่คิด คติสอนใจใน
การดำเนนิ ชีวติ ทำหนา้ ท่สี อนเสรมิ เพอ่ื ประกอบเนือ้ หา
2) วิดีโอการสอน ให้ความรู้เจาะจงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการเรียนการสอน
เนื้อหาสอดคล้องกับหลักสูตรการเรียนในระดับชั้นใดระดับชั้นหนึ่ง มีการออกแบบให้เหมือนกับบทเรียนที่ผู้เรียนต้อง
ศึกษาในการพัฒนาสื่อวิดีโอเพื่อการเรียนรู้ตามแนวคิด Flipped Classroom เรื่องการตรวจร่างกาย ผู้วิจัยได้เลือก
พัฒนาวิดโี อประเภทวิดโี อการสอน เพือ่ ใช้ในการเรียนการสอนรายวชิ าการประเมินภาวะสขุ ภาพ
รูปแบบรายการวิดโี อเพื่อการศกึ ษา
วสนั ต์ อดิศัพท์ (2533, น. 146) ไดเ้ สนอรปู แบบรายการเพอ่ื การศกึ ษาดงั นี้
1. รายการสอนตรง (Direct Teaching) เปน็ รปู แบบด้งั เดมิ ท่ีใชใ้ นการถ่ายทอดความรู้และยังนยิ ม
กันอยู่มากในปัจจุบัน เพราะ ให้การเรียนรู้ได้ดีในเวลาไม่มากนัก โดยเฉพาะเมื่อครูโทรทัศน์มีความสามารถสูงในการ
สอน การอธบิ าย ย่งิ ทำใหร้ า้ ยการแบบนี้มปี ระสทิ ธภิ าพสงู
2. รายการบรรยาย (Monoloque) เปน็ รายการ ท่ีมผี ปู้ รากฏตัวพูดคุยกับผู้ชมเพียงคนเดียวคล้าย ๆ
กับการสอนตรง เพียงแต่ประเภทแรกเน้นในเร่ืองการสอนเป็นหลัก สว่ นประเด็นน้จี ะเนน้ ในการให้ความร้คู วามคิดทั่วไป
แกผ่ ู้ชมมากกว่า
3. รายการเสนอแบบจลุ ภาค เปน็ การสอนในสถานการณ์แบบยอ่ สว่ น ในห้องเรยี นแบบงา่ ย ๆ ที่
50
สามารถควบคมุ ได้ทุกกระบวนการ โดยใช้นกั เรยี นเพียง 5 - 6 คน ใชเ้ วลาประมาณ 5 - 15 นาที เป็นการฝึกทักษะต่าง
ๆ เพื่อนำไปใช้ในสถานการณ์จรงิ การบันทึกด้วยวดิ ีโอสามารถทำไดส้ ะดวกและให้ผู้เรียนเห็นทั้งภาพและเสียง โดยดู
ภาพตวั เองสอนจากวดิ ีโอ
4. รายการสถานการณ์จำลอง เป็นการบันทึกสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ได้สร้างขึ้น เพื่อการเรียนการ
สอน เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพของผู้เรียนให้เหมาะสมกับงานในสาขานั้น ๆ รวมทั้งการสร้างสถานการณ์จำลองประเภท
ตา่ ง ๆ ไว้เพื่อเปน็ กรณีตวั อยา่ งในการศกึ ษา
5. รายการสาธิต การสาธิตคอื การอธิบายถงึ ขอ้ เท่จี จริง โดยมีการแสดงประกอบในบางส่วนหรือ
ทั้งหมด โดยมุ่งให้ผู้ชมทราบวิธีการดำเนินงานตามลำดับขั้น โดยสามารถที่จะเห็นภาพได้ยินเสียงและสามารถที่จะทำ
ภาพขนาดตา่ ง ๆ เพ่ือความชดั เจนในการชม
6. รายการสารคดี เป็นรายการเพอื่ การเล่าเร่ืองท่นี า่ สนใจใหผ้ ชู้ มเข้าใจ สารคดีน้นั ควรจะใหค้ วามรู้
ความเพลิดเพลิน เร้าอารมณ์ และการโน้มน้าวจิตใจ ลักษณะสารคดีสามารถเสนอได้หลายรูปแบบ อาจเป็นด้วย
ภาพถ่าย ภาพยนตร์ กไ็ ด้ ทีจ่ ะนำเสนอในรปู วิดีโอ
7. รายการคนตรีและรา่ ยรำ เป็นการเสนอภาพที่ปรากฎในแง่ผลของภาพ ซ่งึ เป็นการจดั องคป์ ระกอบ
ของภาพ การใช้เงาในการตกแต่งภาพ ตลอดจนการเคล่ือนไหวต่าง ๆ และในแง่ของการให้ข่าวสาร ไมว่ ่าเป็นเทคนิค
การใช้นิ้วกับเครื่องดนตรี การเคลื่อนไหวของมือเท้าในการร่ายรำโดยที่การจัดภาพและการตัดต่อภาพจะต้ องเข้ากับ
อารมณ์และจังหวะของภาพท่ปี รากฏ ซ่ึงลักษณะรายการประเภทนี้ จะเหมาะสมกับการสง่ เสรมิ กิจกรรมพิเศษของ
นกั เรียนและการสอนภาษา
วิภา อุตมฉันท์ (2538, น. 16) วิธีการดำเนินการเสนอรายการวิดีโอมีหลายรูปแบบ การเลือกรูปแบบแล้วแต่
จุดประสงค์ของการทำรายการ การเลือกรูปแบบรายการวิดีโอเพื่อการศึกษาจะชว่ ยเสริมรายการให้น่าสนใจมากยิ่งขึน้
รปู แบบรายการวดิ โี อมกี ารนำเสนอหลากหลาย จำแนกไว้ 3 ประเภท
1. รายการพูดคนเดียว (Straight Talk Program) โดยทัว่ ไปมักเปน็ รายการที่ผลิตในสตดู ิโอ ผพู้ ดู จะ
พูดคนเดียวต่อหน้ากล้อง ซึ่งเสมือนเป็นตัวแทนกลุ่มผู้ชม ศิลปะการพูด และบุคลิกของผู้พูดจึงเป็นสิ่งมีค่ายิ่งสำหรับ
รายการประเกทนี้ การพูดจะต้องเป็นไปอย่างธรรมชาติ วิธีที่จะช่วยการพูดให้น่าสนใจและเข้าใจง่าย ผู้พูดควรใช้แผ่น
ภาพ วัตถุ แผนผัง กระดานดำหรืออุปกรณ์อื่น ๆ เข้าช่วย บางครั้งอาจแทรกภาพ (Insert) หรือตัดเข้าสู่ภาพที่ถ่ายทำ
มาก่อนหรือถ่ายทอดตรงมาจากที่อื่น ๆ ช่วยเพิ่มความหลากหลายให้แก่ รายการ ลักษณะเด่นของรูปแบบรายการชนิด
น้คี ือเพอื่ ใหข้ ้อมลู เรอื่ งใดเรือ่ งหนง่ึ ในลกั ษณะที่กระชับและน่าเช่อื ถือ
2. รายการสมั ภาษณแ์ ละสนทนา (Interview and Forum Program) การสัมภาษณ์ คือการพดู คยุ
ระหวา่ งคนสองคน ส่วนการสนทนา หมายถงึ การแลกเปลยี่ นความคิดเห็นในกลุ่มคนรว่ มรายการมากกว่าสองคนข้นึ ไป
แตท่ ้ังสองแบบลว้ นมีคนหนงึ่ ท่ที ำหนา้ ทพ่ี ิธี กรคอยกำกับรายการ
3. รายการสารคดี (Documentaries) สารคดีทำหนา้ ท่เี สนอเหตกุ ารณ์และเรื่องราวทีเ่ กดิ ข้นึ ตาม
51
ความเปน็ จรงิ ไม่เพยี งบรรยายเร่ืองราวต่าง ๆ ตามทเ่ี กดิ ข้นึ จริงและบันทึกเอาไว้เท่านั้น แต่ยังสามารถนำเรื่องราวใน
อดีตมาเสนอใหม่ตามแต่โอกาส
กล่าวโดยสรุป รูปแบบรายการวดิ ีโอเพื่อการศกึ ษา สามารถแบ่งได้ 2 รูปแบบ คอื
1) รูปแบบรายการบรรยาย เป็นรายการที่ดำเนินรายการ โดยใช้การพูดเป็นหลักอธิบายประกอบกับ
สอื่ และ ใช้ศิลปะในการพดู บรรยายเพือ่ ใหเ้ กดิ ความน่าสนใจ
2) รปู แบบรายการสาธิต เป็นรายการทด่ี ำเนนิ การ โดยมกี ารแสดงทา่ ทางประกอบการบรรยายอธิบาย
ถึงเรอื่ งใดเรือ่ งหนง่ึ โดยมีการดำเนินรายการตามลำดบั ข้ันตอนที่สอดคล้องกบั เนือ้ หา
3) รูปแบบรายการสารคดี เปน็ รายการทด่ี ำเนนิ รายการ โดยการเล่าเรือ่ งประกอบภาพนง่ิ วิดีโอเพอ่ื ให้
ความรู้แกผ่ ู้ชมในการพัฒนาส่ือวิดีโอเพ่ือการเรียนรู้ตามแนวคิด Flipped Classroom เรื่อง การตรวจรา่ งกาย รายวิชา
การประเมินภาวะสุขภาพ ผู้วิจัยได้เลือกพัฒนารายการวิดีโอเพื่อการศึกษา ในรูปแบบรายการสาธิต เนื่องจากรายวิชา
การประเมินภาวะสุขภาพ เป็นรายวชิ าการฝึกปฏิบัติ ผเู้ รยี นจะต้องทราบลำดับข้นั ตอนของการตรวจที่ถูกต้อง ละเอียด
และมกี ารฝึกปฏบิ ตั ิด้วย
การผลิตวดิ โี อเพื่อการศกึ ษา
ประทนิ คลา้ ยนาค (2541, น. 79 - 83) ไดก้ ลา่ วถึงข้ันตอนการผลิตรายการโทรทัศนไ์ ว้ 5 ขนั้ ตอน
1. ข้ันตอนการวางแผน (Planing) เป็นข้ันตอนทผ่ี ผู้ ลติ หาแนวคดิ วา่ เป็นรายการทเ่ี กย่ี วกับอะไร
เป็นรายการที่ให้ประ โยชน์อะไรกับผู้ดูบ้าง ต้องใช้งบประมาณเท่าไร ลักษณะรายการเป็นอย่างไรใช้เวลาสร้างนาน
เทา่ ไร ความยาวของรายการกี่นาที หรือกี่ตอนจบและแยกเป็นรายละเอียดย่อย ๆ ได้ดังนี้
1) วิเคราะห์เนอ้ื หาของรายการ เปน็ กระบวนการหาขอ้ มูลเก่ียวกบั เร่ืองทต่ี ้องทำ รายการ
โทรทัศน์ว่าข้อเท็จจริงอย่างไร ซึ่งข้อมูลนั้น อาจเป็นงานวิจัยหรือรายงานของหน่วยงานเอกสารตำราหรือการไปดูจาก
สถานทจี่ รงิ เพอ่ื ให้นา่ เชอื่ ถือ
2) วเิ คราะหผ์ ชู้ มหรือกล่มุ เปา้ หมายวา่ เปน็ ใคร อายุเทา่ ไร อยใู่ นระดับใดวยั ใดการศึกษาอยู่
ในระดบั ใด ประกอบอาชีพอะไร เพ่ือใหร้ ายการทีอ่ อกมาบรรลุวตั ถปุ ระสงค์
3) กำหนดจุดประสงค์ เป็นการคาดหมายวา่ ทา่ นผู้ชมไดด้ รู ายการ โทรทศั น์แลว้ ได้ความรู้
อะไร ทำอะไรไดบ้ า้ ง เกดิ คา่ นิยมอย่างไร
4) การเขียนบท เปน็ การมอบหมายใหผ้ เู้ ขยี นบทนำเรอื่ งราวมาลำดับภาพกบั เสยี งให้มี
ความตอ่ เน่อื งสัมพันธ์กันและเป็นไปตามวตั ถปุ ระสงค์ ผู้ขียนบทจงึ ตอ้ งมีความสามารถทีจ่ ะเปล่ียนแปลงเนื้อหาเรื่องราว
ออกมาเป็นภาพและเสียงไดอ้ ยา่ งชดั เจน
5) เตรียมงบประมาณ ผูผ้ ลิตรายการจะตอ้ งจัดต้ังงบประมาณ เพอื่ การผลิตรายการ คา่
เขียนบท ค่าผู้แสดง ค่าวิทยากร ค่าสถานที่ อุปกรณ์ถ่ายทำ รายการโทร ทัศน์ ค่างานกราฟิก ค่าสร้างฉาก ค่าอุปกรณ์
ประกอบฉาก ค่าเบ้ียเลย้ี ง คา่ ทีพ่ กั ค่าตัดตอ่ ภาพและเสยี ง
52
2. ข้นั เตรยี มการ (Preparation) เม่ือวางแผนเรียบร้อยแล้วก่อนลงมือจริง ตอ้ งจดั เตรียมสิ่งของต่าง
ๆ เพ่อื ใหเ้ กิดความพรอ้ ม ได้แก่
1) เตรียมบคุ ลากร
2) เตรียมวัสดอุ ุปกรณ์
3) เตรยี มสถานที่ถา่ ยทำ
4) เตรยี มผู้แสดงรวมถึงเคร่ืองแตง่ กาย แต่งผม แต่งหน้า
5) เตรยี มงานกราฟิกท่นี ำมาใชป้ ระกอบรายการ
6) เตรียมฉากและอุปกรณป์ ระกอบฉาก
3. ขั้นดำเนินการผลิต (Production) แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ การซ้อมและการถ่ายทำ
รายการจรงิ
1) การซ้อม (Rehcarsal) เป็นการเตรียมตัวให้ทุกคนพร้อมก่อนแสดงจริงการซ้อมมีหลาย
ลักษณะ คือ ซ้อมแหง้ เป็นการซอ้ มการพดู การแสดง โดยไม่ตอ้ งแตง่ หน้าหรือแต่งตวั จรงิ ซอ้ มผา่ นกล้อง เป็นการซ้อมที่
ผ้แู สดงจะถกู กลอ้ งจับการแสดงทกุ ขนั้ ตอน แตย่ ังไมม่ ีการบันทกึ เทปสุดท้ายคือ การซ้อมเหมือนจริง ผู้แสดงจะต้อง
แตง่ หนา้ แต่งตัว เขา้ ฉากจรงิ ระยะเวลาจริง และถ่ายทำจริงปัจจุบนั การซ้อมจริงไม่จำเป็นมากนัก เพราะทำการตัด
ตอ่ และถ่ายใหมภ่ ายหลงั ได้
2) ขัน้ ตอนการผลติ รายการ มี 2 ลักษณะ ทำเปน็ รา้ ยการสดกับบันทึกเปน็ ดิจทิ ัลไฟล์เพ่ือการ
ตดั ตอ่ ภายหลัง
(2.1) รายการสด เปน็ การแพรภ่ าพออกอากาศไปสู่ผชู้ มทางบา้ นทันที
(2.2) การ บันทึกร้ายการลงเทป แทนการแพร่ภาพออกอากาศทันที ก็เป็นการ
บนั ทกึ สญั ญาณภาพและเสียงเป็นตอนเป็นฉาก เกบ็ ไวเ้ พ่ือนำไปตัดต่อให้สมบูรณ์ภายหลังข้อดีของการบันทึกเป็นดิจิทัล
ไฟล์หากมขี ้อผดิ พลาคระหวา่ งการถ่ายทำ ก็สามารถแก้ไขหรือถา่ ยทำใหมซ่ ้ำกี่คร้ังก็ได้
4. ขั้นตัดต่อ (Post Production) รายการที่ถูกถ่ายทำไว้แล้ว จะถูกนำมาตัดต่อให้เป็นรายการท่ี
สมบรู ณ์ โดยใชเ้ คร่ืองตดั ตอ่ โดยฉพาะหรือใชค้ อมพวิ เตอร์ชว่ ยตัดต่อ ซงึ่ ทำให้ไดเ้ ทคนิคพิเศษชับซ้อนย่ิงขึ้น
ประโยชน์ของการตัดต่อ คือ สามารถสอดแทรกงานกราฟิกเข้าไปในรายการและยังใช้เสียงคนตรีและเสียง
ประกอบเข้าไปในวดิ ีโอทีเ่ ป็นดิจิทัลไฟลไ์ ด้อีกดว้ ย
5. ข้ันประเมินผลรายการ การประเมนิ ผลรายการจะทำหลงั จากที่แพร่ ภาพออกอากาศ โดยประเมิน
จากผู้ดูหรือดจู ากการจำหนา่ ยสนิ ค้าของสปอนเซอร์วา่ ยอดจำหน่ายสินคา้ สงู ขน้ึ หรือไม่หรอื จะใช้ วิธีการวจิ ยั ดว้ ยการสุ่ม
ตัวอยา่ งหาขอ้ มลู เพอ่ื ให้ทราบวา่ รายการที่ผลิตนั้นประสบความสำเรจ็ เพียงใด
กล่าวโดยสรุป การผลิตสื่อวิดีโอนั้น ผู้จัดทำจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องขั้นตอนการผลิต เร่ิม
ตั้งแต่การวางแผน การเขียนบท ควรคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายหรือผู้ชม มีจุดเน้นที่ชัดเจน เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจเพื่อ
ไม่ให้ผู้ชมเกิดความเบื่อหน่าย การเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ การจัดเตรียมวัสคุอุปกรณ์ เครื่องมือ สถานที่ใน
การถ่ายทำที่เหมาะสม การซ้อมเพื่อความพร้อมก่อนการแสดงจริงเพื่อให้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด การตัดต่อภาพและ
53
เสียง ควรนำเทคนิคต่าง ๆ เข้ามาใช้ เช่น มุมภาพ การถ่ายทำ การตัดต่อเข้ามาประกอบการทำบท เพื่อให้บรรลุ
จุดมุ่งหมายที่วางไว้ และการประเมินผลหลังจากการ ใช้สื่อวิดีโอแล้ว เพื่อให้ทราบว่ารายการวิดีโอ ที่ผลิตนั้นประสบ
ความสำเรจ็ หรอื มีข้อมูลในสว่ นใดทค่ี วรปรบั ปรงุ พัฒนาตอ่ ไป
แนวทางการประเมนิ ประสิทธภิ าพส่อื การเรยี นการสอน
แนวทางการประเมินประสิทธิภาพของสื่อการเรียนการสอน มีแนวทางการประเมินได้หลายวิธี
บุญชม ศรสี ะอาด (2545, น. 25 - 29) ได้จำแนกวิธีการประเมนิ ส่อื การเรยี นการสอน เป็น 3 วิธี ดงั น้ี
วธิ ีที่ 1 ประเมินโดยผเู้ ชย่ี วชาญหรือผูส้ อน โดยใชแ้ บบประเมินให้ผ้เู ชยี่ วชาญหรือผู้สอน พจิ ารณาท้ัง
ดา้ นคุณภาพ เนื้อหาสาระ และเทคนคิ การจัดทำสือ่ แบบประเมินมีลกั ษณะเป็นแบบประมาณคา่ (Rating Scale) ห รื อ
เป็นแบบเหน็ ดว้ ยหรือ ไม่เหน็ ดว้ ย สรุปผลความถแี่ ล้วอาจทดสอบความแตกต่างระหว่างความถี่ ด้วยไคร์สแควร์
วิธีที่ 2 ประเมินโดยผู้เรียน มีลักษณะเช่นเดียวกับการประเมินผลโดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้สอน แต่เน้น
การรับรคู้ ณุ คา่ ของผู้เรยี นเปน็ สำคญั
วิธที ี่ 3 ประเมนิ โดยการตรวจสอบผลทีเ่ กดิ ขึน้ กับผเู้ รียน เปน็ การประเมนิ ประสิทธิภาพส่อื การเรยี น
การสอนที่มีความเที่ยงตรงพิสูจนถ์ ึงคุณภาพและคุณค่า โดยวัดจากผลที่เกิดการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นหลัก โดยวัดตาม
วัตถปุ ระสงค์ของการสอน โดยจำแนกเปน็ 2 วิธี คือ
1) กำหนดเกณฑ์มาตรฐานไวล้ ่วงหน้า โดยเป็นเกณฑม์ าตรฐานขั้นตำ่ เกณฑ์ 80/80 หรือ เกณฑ์ 90/90
2) ไม่ได้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานไว้ล่วงหน้าแต่พิจารณาจากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อน
เรียนอย่างมีนัยสำคัญหรือ ไม่ หรอื เปรยี บเทยี บว่าผลสัมฤทธ์จิ ากการเรียนดว้ ยสอื่ การสอนนั้นสูงกว่าหรือเท่ากับส่ือหรือ
รปู แบบการสอนอย่างอนื่ หรือไม่ โคยใช้สถิติ ทดสอบ T - test
ในการพัฒนาสื่อวิดีโอเพื่อการเรียนรู้ตามแนวคิด Flipped Classroom เรื่อง การตรวจร่างกายรายวิชาการ
ประเมนิ ภาวะสุขภาพ ผ้วู ิจัยได้เลือกการประเมินประสิทธิภาพส่ือการเรยี นการสอนในการประเมิน โดยผู้เช่ียวชาญหรือ
ผู้สอน และการประเมินโดยผู้เรยี น แบบประเมินมีลกั ษณธเปน็ แบบประมาณคา่ (Rating Scale)
ประโยชนแ์ ละคณุ คา่ ของวดิ ีโอเพอื่ การศกึ ษา
วชริ ะ อินทรอ์ ุคม (2539, น. 142) ไดก้ ลา่ วว่า คณุ คา่ และประโยชน์วดิ ีโอมดี งั น้ี
1. ผู้ชมได้เห็นภาพและ ได้ยินเสียงไปพร้อม ๆ กัน เป็นการรับรู้โดยผ่านสัมผัสทั้ง 2 ทางซึ่ง
ยอ่ มดีกว่าการรับร้โู ดยผ่านประสาทสมั ผสั เพียงอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง
2. ผู้ชมสามารถเขา้ ใจกระบวนการทซ่ี บั ซ้อนไดโ้ ดยอาศัยศกั ยภาพของเคร่ืองมือ
3. การผลิตวดิ ีโอที่สามารถ ยอ่ ขยายภาพ ทำให้ภาพเคลื่อนท่ชี ้า หรือเร็ว หรือหยุดน่ิง แสดง
กระบวนการทมี่ คี วามตอ่ เน่ือง มีลำดบั ขนั้ ตอนในเวลาท่ตี อ้ งการ โดยอาศัยเทคนิคการถา่ ยทำ และเทคนคิ การตดั ต่อ
4. บันทึกเหตุการณ์ในอดีตและเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นต่างสถานที่ ต่างเวลา สามารถเปิดชมได้
ทนั ที
54
5. เป็นสือ่ ท่ใี ชไ้ ด้ท้ังรายบุคคล กลมุ่ ย่อย กลุม่ ใหญ่ และใชก้ ับมวลชน ใช้กับผู้เรียนทุกเพศทุก
วยั ทกุ ระดบั ช้นั
6. วิดีโอท่ไี ดร้ ับการวางแผนการผลติ ท่ดี ี ผลติ อยา่ งมีคณุ ภาพ จะสามารถใช้สอนแทนครู
7. ใช้ได้กับทุกขั้นตอนของการสอน ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นระหว่างการสอน
หรือขั้นสรุป
8. ใชเ้ พอ่ื การสอนซ่อมเสรมิ ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ
9. ใช้เพื่อบันทึกภาพที่เกิดจากอุปกรณ์ฉายภาพหลายชนิด เช่น ภาพสไลด์ ฟิล์มคลิป
ภาพยนตร์ได้ ไมจ่ ำเปน็ ต้องใชเ้ ครอื่ งฉายหลายประเภทในหอ้ งเรยี น
10. ใช้เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยการทำห้องสมุดวิดีโอใช้ในการฝกึ อบรมผู้สอน
ดว้ ย การบนั ทึกการสาธติ วธิ กี ารสอน การบนั ทกึ รายการ การจดั การศกึ ษาใหม่ ๆ
11. ช่วยปรับปรุงเทคนิควิธีการสอนของครู โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบจุลภาค ใช้ใน
การศึกษาแบบเปิด และการศึกษาทางไกล โดยอาจจะใช้เป็นการสอนซ่อมเสริม โดยการออกอากาศช้ำหรือส่งวิดีโอไป
ให้ผู้เรยี นท่ีบา้ น
กล่าวโดยสรปุ วิดโี อมปี ระโยชน์ต่อการเรยี นการสอนสามารถทำใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรยี นรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ใช้กับบุคคลไดท้ ุกเพศ ทุกวัย สามารถนำไปใช้สอนในวชิ าต่าง ๆ ได้ทั้งภายในห้องเรียนและนอกห้องเรยี น ใช้เป็นการ
สอนซ่อมเสริม โดยการออกอากาศซ้ำ หรือส่งวิดีโอไปให้ผู้เรียนที่บ้านในระบบการศึกษาแบบเปีด และการศึกษา
ทางไกล
5. งานวจิ ัยทเี่ กีย่ วข้อง
5.1 กลุ่มงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บ Google
site มนี ักการศึกษาได้ศกึ ษาวิจัย ดังน้ี
ขวัญชนก บัวทรัพย์ (2558) ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การใช้
โปรแกรมการพิมพ์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์
ชว่ ยสอน เรือ่ งการใช้โปรแกรมการพมิ พจ์ ากการประเมินคุณภาพมีประสิทธภิ าพเป็นไปตามเกณฑ์ เทา่ กบั 83.00/88.83
ซ่งึ เกณฑ์ทตี่ ง้ั ไวค้ อื 80/80 2) ผลการเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของผเู้ รียนทีเ่ รยี นด้วยบทเรยี นคอมพิวเตอร์
ช่วยสอน เรื่อง การใช้โปรแกรมการพิมพ์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ผล
การศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การใช้โปรแกรมการพิมพ์ มี
คา่ เฉลีย่ เทา่ กบั 4.24 และคา่ ส่วนเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.43 โดยแปลผลอย่ใู นระดับมาก
ปรีดา หล๊ะ, ประภาศ ปานเจี้ยง และกนกวรรณ วัตกินส์ (2558) ได้ทำวิจัยเรื่อง การสร้างบทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การสร้างตารางคำนวณด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปสำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตร
วิชาชีพชั้นที่ปี 2 ผลการศึกษาพบว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีค่าเท่ากับ 86.22/81.50 มีประสิทธิภาพสูงกว่า
55
เกณฑ์ 80/80 ทก่ี ำหนด มีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นหลงั เรยี นสงู กวา่ ก่อนเรยี น อยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และ
มคี วามพงึ พอใจในบทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนโดยภาพรวม อยูใ่ นระดับมากทสี่ ุดมีค่าเฉลย่ี เท่ากับ 4.40
ลัดดาวรรณ ศรีฉิม และ บัญชา สำรวยรื่น (2558) ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์
ผ่านเว็บด้วยโปรแกรม Google site ตามแนวทฤษฎีสร้างสรรค์ความรู้ เรื่อง หลักการทำโครงงานคอมพิวเตอร์ สำหรบั
ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ผลการศึกษาพบวา่ 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ผา่ นเวบ็ ด้วยโปรแกรม Google site ตามแนวทฤษฎี
สร้างสรรค์ความรู้ สำหรับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 86.13/87.83 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนที่เรียนโดยใช้บทเรียน
คอมพิวเตอร์ผ่านเว็บ ด้วยโปรแกรม Google site ตามแนวทฤษฎีสร้างสรรค์ความรู้ มีความพึงพอใจต่อการจัดการ
เรยี นรู้โดยใชบ้ ทเรยี นคอมพวิ เตอร์ผ่านเว็บ อยใู่ นระดับมากท่ีสดุ
กณกิ าร์ ปัญญาอิ่นแก้ว (2559) ได้ทำวิจยั เรอื่ ง การพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอรผ์ ่านเวบ็ ดว้ ย Google
site สำหรบั นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังได้รับ
การจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจดั การเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .5 2) ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อ
การพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ผ่านเว็บด้วย Google site ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพจิ ารณาเป็นรายข้อ พบว่า
การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บด้วย Google site เว็บไซต์มีความน่าสนใจและน่าเรียนรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด
( x = 4.60 ) รองลงมา คือ สื่อเสริมสร้างความเข้าใจในบทเรียนอยูใ่ นระดับมาก ( x = 4.40) และมีความสนุกสนาน
ระหว่างในการชมเวบ็ ไซต์อยใู่ นระดบั มาก ( x = 4.30)
บุญญานี เพชรสีเงิน และ รัฐพร กลิ่นมาลี และธณัฐชา รัตนพันธ์ (2559) ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนา
บทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บด้วย Google site รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลการ
เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหลังได้รับการจัดการเรยี นรู้สูงกว่า
ก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการพัฒนาบทเรียน
คอมพิวเตอร์ผ่านเว็บด้วย.Google.Site.รายวชิ าเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือ
พิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บด้วย Google site รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสาร เว็บไซต์มีความน่าสนใจและน่าเรียนรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด ( x = 4.60) รองลงมา คือ สื่อเสริมสร้าง
ความเข้าใจในบทเรียนอยู่ในระดับมาก ( x = 4.40) และมีความสนุกสนานระหว่างในการชมเว็บไซต์อยู่ในระดับมาก
( x = 4.30) และการสอ่ื สาร สำหรบั นักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3
ลัดดาวรรณ ศรีฉิม (2559) ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บ ด้วยโปรแกรม
Google site ตามแนวทฤษฎสี ร้างสรรคค์ วามรู้ เร่อื ง หลักการทำโครงงานคอมพวิ เตอร์ สำหรับชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ผล
การศึกษาพบว่า 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บ ด้วยโปรแกรม Google site ตามแนวทฤษฎีสร้างสรรค์ความรู้
สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 86.13/87.83 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูง
กว่าเกณฑร์ อ้ ยละ 70 อย่างมีนยั สำคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 3) นักเรียนท่ีเรยี นโดยใชบ้ ทเรยี นคอมพิวเตอร์ผา่ นเวบ็ ด้วย
โปรแกรม Google site ตามแนวทฤษฎีสร้างสรรค์ความรู้ มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้บทเรียน
คอมพิวเตอรผ์ ่านเว็บ อยูใ่ นระดับมากที่สุด
56
ทิพวัลย์ กาญจนนิมมาน (2560) ได้ทำวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาการเป็น
ผู้ประกอบการโดยใชบ้ ทเรยี น คอมพิวเตอรผ์ า่ นเวบ็ ไซตด์ ้วยโปรแกรม ของนกั เรยี นระดับประกาศนยี บัตร วิชาชีพชั้นปี
ที่ 2 ผลการศึกษาพบว่า 1) บทเรียนคอมพิวเตอรผ์ ่านเว็บไซต์ ด้วยโปรแกรม Google sites วิชาการเป็นผูป้ ระกอบการ
ของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 ห้อง 11 สาขางานธุรกิจค้าปลีกร้านสะดวกซื้อ วิทยาลัย
เทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.12/88.25 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่า
เกณฑ์รอ้ ยละ 70 อยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถติ ิท่ีระดบั .05
ปาณิสรา สิงหพงษ์ (2560) ได้ทำวิจัยเรื่อง การจัดการเรียนรู้ผ่านบทเรียนออนไลน์ด้วยโปรแกรม
Google site เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผลการศึกษาพบว่า 1) บทเรียน
ออนไลน์ด้วยโปรแกรม Google site มีประสิทธิภาพเท่ากับ 91.69/88.65 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนของนักเรียนหลังการเรยี นรูจ้ ากบทเรยี นออนไลน์ดว้ ยโปรแกรม Google site สูงกว่าเกณฑร์ อ้ ยละ 0 อย่าง
มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .5 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ผ่านบทเรียนออนไลน์ด้วย
โปรแกรม Google site โดยภาพรวมมีความพงึ พอใจอยใู่ นระดับมาก ( x = 4.29, S.D.=0.52)
สหรฐั ทองยัง (2561) ไดท้ ำวิจยั เรอ่ื ง การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ เรื่อง ระบบลงทะเบยี นการศกึ ษา
ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 ผลการศึกษาพบว่า คุณภาพของบทเรียนออนไลน์ เรื่อง ระบบลงทะเบียน
การศกึ ษาของนักศึกษาระดบั ปริญญาตรี ชนั้ ปีที่ 1 มหาวทิ ยาลัยราชภฏั พบิ ูลสงคราม มีค่าเฉล่ยี รวมกนั เทา่ กับ 4.00 อยู่
ในระดับมาก ซึ่งผลสัมฤทธ์ิทางเรียนของนกั ศึกษาหลังเรียนด้วยบทเรยี นออนไลน์สูงกวา่ ก่อนเรียนอย่างมนี ัยสำคัญทาง
สถติ ทิ ่รี ะดับ .05 และนักศึกษามีความพึงพอใจในระดบั มาก ด้านการนำเสนอ มีคา่ เฉลย่ี รวมกันเท่ากบั 3.82 ระดับมาก
ด้านการออกแบบหน้าจอ มีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.69 ระดับมาก ด้านการนำทางในบทเรียน มีค่าเฉลี่ยรวมกันเท่ากับ
3.87 และระดับมาก ดา้ นการเขา้ ถึงและการควบคุม บทเรียน มีค่าเฉล่ยี รวมเท่ากบั 3.76
ปรีณาพรรณ พมิ พ์พิศาล (2562) ไดท้ ำวิจัยเร่อื ง การพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอรผ์ ่านเว็บไซตด์ ว้ ย
โปรแกรม Google site รายวิชา ฟิสิกส์เพิ่มเติม 3 เรื่อง คลื่นเสียง รหัสวิชา ว30203 สำหรับนักเรียนระดับช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 5 ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาฟิสิกเพิ่มเติม 3 เรื่อง
คลื่นเสียง หลังได้รับการจดั การเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนยั สำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 2) ความพึง
พอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บไซต์ด้วยโปรแกรม Google site รายวิชา ฟิสิกส์
เพิ่มเติม 3 เรื่อง คลื่นเสยี ง ในภาพรวมอยูใ่ นระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า นักเรียนได้ลงมือปฏบิ ัติจริง อยู่
ในระดับมาก ( x = 4.40, S.D.= 0.76) รองลงมาคือ เนื้อหามีความเหมาะสมกับนกั เรียน อยู่ในระดับมาก ( x = 4.10,
S.D.= 0.72) และการเรียนการสอนมีกจิ กรรมท่ีมุ่งเนน้ ให้นกั เรยี นมสี ว่ นรว่ ม อยใู่ นระดับมาก ( x = 3.98, S.D.= 0.90)
พงษว์ ภิ า เทวีลาภรณ์ (2563) ไดท้ ำวจิ ยั เรอ่ื ง การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน โดยใช้สอื่ การสอน
ออนไลน์ Google site ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาสถาปัตยกรรม ผล
การศึกษาพบว่า การจัดการเรียนการสอนโดยใช้สื่อการสอนออนไลน์ Google site มีประสิทธิภาพสูงกว่า เกณฑ์ท่ี
กำหนดที่ 80.28/88.33 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีค่าเฉลี่ย ( x ) ก่อนเรียนเท่ากับ 24.08 คะแนน และหลังเรียน
เท่ากับ 26.50 คะแนน ซ่ึงผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นหลังเรียนสงู กวา่ ก่อนเรยี น อยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถิตทิ ี่ระดบั .05 และ
57
นักศึกษามีความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อรูปแบบการสอนโดยใช้สื่อการออนไลน์ Google site มีค่าเฉลี่ย ( x )
เทา่ กบั 4.39 และคา่ S.D. เทา่ กบั 0.18 ในภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก
จากงานวิจัยข้างต้น ผลของการสรุป คือ การจัดการเรียนรู้ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บด้วย
Google site ส่วนใหญ่อยู่ในระดับมาก แสดงให้เห็นว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ มีประสิทธิภาพสามารถทำให้ผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในการจัดการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าการจัดการเรียนรู้ก่อนเรียน และสูงกว่าเกณฑ์ที่
กำหนดไว้ จึงสรุปได้ว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บด้วย Google site ถือเป็นเครื่องมือวิจัยชนิดหนึ่งที่สามารถ
จดั การเรยี นการสอนท่ีมีประสทิ ธิภาพและแกป้ ัญหาเด็กได้อย่างตรงจุด
5.2 กลุ่มงานวิจัยในประเทศที่ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ มีนักการ
ศึกษาไดศ้ กึ ษาวิจยั ดังน้ี
จีรเดช เหมือนสมาน (2552) ได้ทำวิจัย เรื่อง ผลการใช้แบบฝึกคณิตศาสตร์เรื่องการคูณที่มีต่อ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาลวัดราษฎร์นิยมธรรมสังกัดกองการศึกษา
เทศบาลเมืองศรีราชา ผลการวิจัยปรากฏว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกคณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณ มี
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่ได้รบั การสอนตามปกติอยา่ งมนี ัยสําคญั ทาง สถติ ิ (p < .05)
ปราณี จิณฤทธิ์ (2552) ได้ทำวิจัย เรื่อง ผลการใช้แบบฝึกเสริมทักษะ คณิตศาสตร์ ที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิ
และเจตคติทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเคหะประชาสามัคคี จังหวัด
นครราชสีมา ผลการวิจัยพบว่า (1) แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มี
ประสิทธิภาพ 81.21/82.99 (2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังการใช้ แบบฝึกเสริม
ทกั ษะคณติ ศาสตร์ สูงกวา่ กอ่ นเรียนอย่างมนี ัยสาํ คัญทางสถิตทิ รี่ ะดับ .01 (3) เจตคติของนกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6
หลังเรียนสงู กว่าก่อนเรยี นอย่างมนี ัยสําคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 และอยใู่ นระดบั มาก
อารี แสงคํา (2552) ได้ทําการวิจยั เรื่อง การพัฒนาแผนการจดั กิจกรรม การเรียนรู้ วิชาคณิตศาสตร์
เรื่องเงิน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ ผล การศึกษาค้นคว้าพบว่า แบบฝึกเสริมทักษะที่ผู้ศึกษา
ค้นคว้าสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 85.39/87.27 มีดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์มีค่าเท่ากับ
0.6952 และ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียน โดยใช้แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และแบบฝึก ทักษะมี
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงกว่านกั เรียนทีส่ อนโดยใช้กิจกรรมการเรยี นการสอน ตามคู่มือครูอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ี
ระดับ .05
กรรณกิ าร์ ภิรมย์รัตน์ (2553) ไดท้ ำวิจัยเรื่อง การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนสาระการเรียนรู้
ภูมิศาสตร์เรื่อง ทวีปยุโรป ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ ผล
การศึกษาพบว่า 1) แบบฝึกเสริมทักษะสาระการเรียนรู้ภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีปยุโรป ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มี
ประสิทธิภาพตามเกณฑ์คือ มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 85.18/83.43 2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสาระการเรียนรู้
ภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจากที่เรียนด้วยแบบฝึกแบบฝึกเสริมทักษะ สูงกว่า
กอ่ นเรยี นอย่างมนี ยั สำคัญทางสถิตทิ รี่ ะดับ 0.05
58
โศภิต วงศ์คูณ (2553) ได้ทำวิจัย เรื่อง การพัฒนาชุดฝึกทักษะการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง
การบวก การลบ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ผลการวิจัยพบว่า (1) ชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง การ
บวก การลบ ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 ทีผ่ ้วู จิ ยั สรา้ งข้นึ มีประสิทธิภาพเท่ากบั 27.43/78.00 ซึง่ สงู กว่าเกณฑ์ 75/75 ท่ีตั้ง
ไว้ (2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการสอนโดยใช้ ชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์
ปัญหาการบวก การลบ หลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรียนอยา่ งมี นยั สําคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05
สมศรี อภัย (2553) ไดท้ ำวิจัย เรือ่ ง ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ คณติ ศาสตร์ เรื่องการบวก และการ
ลบจาํ นวนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกเสรมิ ทักษะผลการวจิ ยั พบว่า
1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการบวก และการลบจํานวนชั้นประถมศึกษาปีที่
1 โดยใช้แบบฝกึ เสริมทกั ษะ มปี ระสทิ ธภิ าพ เทา่ กบั 77.17/76.36
2) นักเรยี นทเี่ รียนด้วยแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ เรือ่ ง การบวก และการลบจํานวนท่ี
มีผลลพั ธ์ และตวั ตงั้ ไมเ่ กิน 100 ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝกึ เสริมทักษะมผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูง
กวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมี นยั สาํ คัญทางสถิติท่รี ะดับ .05
3) นักเรียนมีคะแนนผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรยี นกับหลังเรยี นไป แล้ว 2 สัปดาห์ ไม่แตกต่างกัน
ซ่งึ แสดงว่านักเรียนมคี วามคงทนในการเรยี นรู้หลงั เรยี นไดท้ ง้ั หมด
อาภรณ์ ใจเทยี่ ง (2553) ได้ทำวิจยั เร่ือง การพฒั นากิจกรรมการ เรียนรู้วชิ คณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝกึ
เสริมทักษะการคิดคํานวณเรื่องการหาร ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนากิจกรรม
การเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกเสริม ทักษะเรื่องการหาร การคิดคํานวณ ประกอบการเรียนรู้ เมื่อพิจารณา
โดยภาพรวมแลว้ พบวา่ ทัง้ 3 วงจรปฏิบตั ิมีการพฒั นาสงู ข้ึนตามลาํ ดับ แตใ่ นวงจรปฏบิ ตั ิที่ 3 มีอตั ราสว่ น ลดลงเลก็ น้อย
เนื่องจากเนื้อหาค่อนข้างยากขึ้นตามลําดับ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องการหาร ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ที่ 2 พบว่า มจี ํานวนนักเรยี นผา่ นเกณฑร์ ้อยละ 70 มีจํานวน 18 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 90.00 และคะแนน
เฉล่ียของนกั เรียนทผี่ ่านเกณฑ์คิดเปน็ ร้อยละ 72.57
ไข่มุก มณีศรี (2554) ได้ทำวิจัยเรื่อง การสร้างแบบฝึกเสรมิ ทักษะสาระการ เรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง
การบวก การลบ การคูณ ทศนิยม สําหรบั นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปที ี่ 5 โรงเรียนเมอื งพัทยา 1 ผลการวจิ ยั พบว่า
1) แบบฝึกเสริมทักษะสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก การลบ การ คูณ ทศนิยม สําหรับ
นกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5 ท่ีสรา้ งข้นึ มคี า่ ประสิทธภิ าพ 85.00/83.33 ซ่งึ เป็นไปตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80
2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะสาระการเรยี นรู้ คณิตศาสตร์ เรื่องการบวก การ
ลบ การคูณ ทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ
.01
3) เจตคติของนักเรียนต่อวิชาคณิตศาสตร์ หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ สาระการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ เร่อื ง การบวก การลบ การคูณ ทศนยิ ม ของนักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 อย่ใู นระดับมาก
กนกพร พัวพันธ์ศรี (2555) ได้ทำวิจัย เรื่อง ผลการใช้แบบฝึกเสริมทักษะ การแก้โจทย์ปัญหาเรื่อง
เศษส่วนที่มีต่อผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านคําสร้อย จังหวดั
59
มุกดาหาร ผลการวิจัยพบว่า (1) แบบฝึกเสริมทักษะการแก้โจทย์ปัญหาเรื่องเศษส่วน มีประสิทธิภาพเท่ากับ
83.95/82.67 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดกิจกรรมการเรียนคณิตศาสตร์โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ การแก้
โจทยป์ ญั หาเรื่องเศษสว่ น สูงกวา่ กอ่ นเรยี น อย่างมนี ยั สําคญั ทางสถิติทร่ี ะดับ .05 และ (3) ความพึงพอใจ ของนักเรียน
ทเ่ี รยี นคณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกเสริมทกั ษะการแก้ โจทย์ปัญหาเร่อื งเศษสว่ นมคี วามพงึ พอใจอยใู่ นระดับมาก
วันนิสา คลังคนเก่า (2563) ได้ทำวิจัยเร่ือง การใช้ชุดฝึกทักษะเรื่องการคูณท่ีมีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี นของนักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 ผลการศึกษาพบว่า การใช้ชุดฝกึ ทักษะคณติ ศาสตร์ เรื่องการคูณทำให้นกั เรียน
มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น ดูจากผลการทดสอบก่อนเรียนจากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ได้คะแนนเฉลี่ย 12 ส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐาน 6.89 คิดเป็นร้อยละ 60 ผลการทดสอบหลังเรียนจากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ได้คะแนนเฉลี่ย
14.09 ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน 9.49 คดิ เป็นรอ้ ยละ 74.81 เพิ่ม ขึ้น ร้อยละ 14.09 ซึง่ พบวา่ ผลการเรยี นรู้หลังเรียนสูง
กว่า ผลการเรียนรู้ก่อนเรียน เมื่อนำไปคำนวณหาค่า T ใน ตารางนั้นคะแนนทดสอบหลังเรียนมีค่ามากกว่า ทดสอบ
ก่อนเรยี น มีค่าสถิติทีไ่ ด้เท่ากับ 1.147
จากงานวิจัยข้างต้น ผลของการสรุปเป็นไปในทางเดียวกันคือ การสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ มี
ประสิทธิภาพสามารถทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่า ผลการเรียนรู้ก่อนเรียน และสูง
กว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จึงสรุปได้ว่า การสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะถือเป็นเครือ่ งมืออีกชนิดหน่ึงท่ีสามารถใช้ในการ
จดั การเรียนการสอนไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ
5.3 กลมุ่ งานวิจัยในประเทศที่ศกึ ษาเกีย่ วกับการจัดการเรยี นรู้ด้วยวิดโี อ นักการศกึ ษาได้ศกึ ษาวจิ ยั ดงั น้ี
จักรกฤษณ์ ทณิ รตั น์ (2551) ไดพ้ ัฒนาบทเรยี นวิดโี อเพ่ือศึกษาด้วยตนเอง เรือ่ งหลกั สตู ร เทคโ นโ ลยี
เครื่องมือและอุปกรณ์ในการผลิตรายการโทรทัศน์เป็นนิสิตระดับปริญญาตรี สื่อสารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ชั้นปีที่ 2 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 48 คน ผลการวิจัยพบว่า
ประสิทธภิ าพของบทเรียนวิดีโอมปี ระสิทธิภาพโดยรวม 87.22 / 92.10 ซง่ึ เป็นไปตาม เกณฑ์ทกี่ ำหนดคือ 85/85
ประกิจ ณ สมบูรณ์ (2553) ได้ทำการวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การแก้ปัญหาด้านการเรียนของนักศึกษา
โดยใช้วดิ โี อในการสอน Course Homepage โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ พฒั นาการเรียนการสอนที่มี ประสิทธิภาพสำหรับ
วิชาการผลิตสื่อเพื่อการท่องเที่ยว แก้ปัญหานักศึกษาขาดเรียนทำให้เรียนไม่ทันคนอื่นและทำงานปฏิบัติไม่ได้
ผลการวิจัยพบว่า วิธีการดังกล่าวสร้างโอกาสให้นักศึกษาสามารถศึกษาหาความรู้ผ่านสื่ออื่น ๆ จากการเรียนรู้ด้วย
ตนเองจากนอกหอ้ งเรยี น โดยใชค้ อมพิวเตอรส์ ่วนบุคคลเพอ่ื เข้าชมวิดีโอในการสอน Course Homepage ของผู้สอน
กรรณกิ าร์ รตั นประเสริฐศรี (2553) ได้ผลติ วิดีโอเพ่ือการสอน เรอื่ ง เครือ่ งดนตรไี ทย สำหรับนักเรียน
ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 จากการศกึ ษาเพ่อื หาประสิทธิภาพ ได้คา่ ประสิทธิผลเท่ากับ 0.54 คะแนน ทดสอบก่อนเรียนคิด
เป็นร้อยละ 53.44 คะแนนทดสอบหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 78.59 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบคะแนนทดสอบก่อนเรียนกับ
คะแนนทดสอบหลังเรียนของกลุ่มตัวอย่างมีผลการเรียนรู้สงู ขึ้นแสดงว่า บทเรียนวิดีโอมีประสิทธภิ าพสามารถนำไปใช้
ในการเรียนร้ไู ด้
60
เทียมยศ ปะสาวะโน (2555) ได้พัฒนารูปแบบวิดีโอแทรกคำบรรยายใต้ภาพสำหรับนักศึกษาระดับ
ปริญญาตรี ผลการวิจัยพบว่า สื่อวิดีโอที่ผลิตขึ้นมีดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.58 และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ
นกั ศกึ ษา ในรายวชิ าการผลติ รายการโทรทัศน์การศึกษาหลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรียนอย่างมีนยั สำคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .01
Alan F.Smeaton & Paul Browne (2005) การแยกรูปแบบการเรียนการสอนด้วยวิดีโอสั้น ๆ
วิดีโอเป็นลักษณะของข้อความ รูปและเสียง วิดีโอในรูปแบบดิจิตอลที่เพิ่งได้รับความสนใจมากขึ้น มีการใช้เทคโนโลยี
เขา้ มาช่วยปรับแต่ง แก้ไข บีบอัดไฟล์ การสง่ ไฟล์ การสร้างรูปวดิ ีโอทำใหไ้ ดผ้ ลลัพธ์มากมายในรปู ของไฟล์วิดีโอ การ
จัดการไฟล์วิดีโอเพื่อให้เหมาะกับการประมวลผลโดยอัตโนมตั ิไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ การเก็บเล่นการดูแลเอกสารเป็น
เวลานาน ๆ เป็นลักษณะพน้ื ฐานท่ีดีต่อการจัดเกบ็ เพื่อใหเ้ กดิ ความสะดวกต่อการค้นหา พฒั นาใหเ้ กิดประสิทธภิ าพ มี
ความถูกต้อง สิ่งที่น่าสนใจในการพัฒนาวิดีโอดิจิตอล คือการตรวจสอบบทสนทนาภายใต้การประเมิน มีข้อเสนอความ
คิดเหน็ และพฒั นาวธิ ีใหม่ ๆ สำหรบั แก้ไขไฟลว์ ดิ ีโอเป็นการ วเิ คราะห์และหาแนวทางเทคนิคการแก้ไขไฟลว์ ดิ โี อ
จากงานวิจัยข้างต้น ผลของการสรุปเป็นไปในทางเดียวกันคือ การพัฒนาการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
ผ่านวิดีโอการสอน ทำให้คะแนนสอบก่อนเรียนกับคะแนนทดสอบหลังเรียนมีผลการเรียนรู้สูงขึ้น สรุปได้ว่า การ
พัฒนาการเรียนการสอนโดยใช้วิดีโอ สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีการเรียนรู้ได้ด้วยตนเองจากนอกห้องเรียน และ
พัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสทิ ธิภาพได้
6. กรอบแนวคดิ ของการวจิ ยั
จากการศึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวข้องในการพัฒนาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการคูณและ
การหารเลขยกกำลัง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้วิดีโอการสอนร่วมกับแบบฝึกเสริมทักษะในบทเรียน
คอมพิวเตอร์ ผา่ นเวบ็ Google site ผวู้ จิ ยั ได้กำหนดกรอบแนวคดิ ของการวจิ ัยดังแสดงในภาพตอ่ ไปน้ี
วดิ โี อการสอนรว่ มกับแบบฝกึ ทกั ษะใน ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตร์
บทเรยี นคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บ Google เรือ่ งการคูณและการหารเลขยกกำลัง
site เรือ่ งการคูณและการหารเลขยก
ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 1
กำลงั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1
ภาพท่ี 31 กรอบแนวคิดของการวจิ ัย
61
บทที่ 3
วธิ ีดำเนนิ การวจิ ัย
การพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เร่ืองการคูณและการหารเลขยกกำลัง ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โดยใช้วิดโี อการ
สอนรว่ มกับแบบฝกึ เสริมทกั ษะในบทเรยี นคอมพิวเตอร์ ผ่านเวบ็ Google site มีวิธีดำเนนิ การวจิ ัย ดงั น้ี
1. ระเบยี บวธิ ีการวจิ ัย
2. กลุ่มเปา้ หมาย
3. เครอ่ื งมือทใี่ ชใ้ นการวิจัย
4. การสรา้ งและการหาคุณภาพของเครือ่ งมือวิจัย
5. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู
6. การวิเคราะหข์ ้อมลู และสถิตทิ ีใ่ ช้
โดยมีรายละเอยี ดดังน้ี
1. ระเบียบวิธกี ารวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง ผู้วิจัยใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลัง การ
ทดลอง (One Group Pre - test Pro – test Design) ซึง่ มีรายละเอียดแบบแผน ดงั นี้
กลุ่มเป้าหมาย การทดสอบ การทดลอง การทดสอบ
X
E T1 T2
E แทน นกั เรียนท่เี ป็นกลุ่มเป้าหมาย
T1 แทน การทดสอบกอ่ นการใช้บทเรียนคอมพวิ เตอรผ์ า่ นเว็บ Google site
เร่ือง การคณู และการหารเลขยกกำลงั
X แทน การทดลองใช้บทเรียนคอมพวิ เตอรผ์ า่ นเว็บ Google site
เร่ือง การคณู และการหารเลขยกกำลงั
T 2 แทน การทดสอบหลังการใช้บทเรียนคอมพวิ เตอรผ์ ่านเวบ็ Google site
เร่อื ง การคณู และการหารเลขยกกำลงั
2. กลมุ่ เปา้ หมาย
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตเทศบาลวัดเพชรจริก อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564 จำนวน 5 คนทีม่ ีคะแนนตำ่ กวา่ เกณฑ์
62
3. เครอ่ื งมือทใ่ี ชใ้ นการวิจัย
เครื่องมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ประกอบไปด้วย 2 ประเภท ดงั นี้
3.1. เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการทดลอง
1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือแผนการจัดการเรียนรู้ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องการคูณ
และการหารเลขยกกำลัง จำนวน 5 แผน ใช้เวลารวม 2 ชวั่ โมง 30 นาที
2) บทเรียนคอมพิวเตอร์ผา่ นเว็บ Google site เรือ่ งการคูณและการหารเลขยกกำลงั
3) วิดีโอการสอน เร่ืองการคณู และการหารเลขยกกำลงั จำนวน 5 วดิ โี อ
4) แบบฝึกเสริมทักษะวชิ าคณติ ศาสตร์ เร่ืองการคณู และการหารเลขยกกำลงั จำนวน 5 แบบ
ฝึก
3.2. เครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการเก็บข้อมูล
- แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการคูณและการหารเลขยกกำลงั ปรนัย ชนิด
เลอื กตอบ 4 ตัวเลอื ก จำนวน 10 ข้อ
4. การสรา้ งและหาคณุ ภาพของเครื่องมือทใ่ี ช้ในการวิจยั
4.1. การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลัง ชั้น
มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ผูว้ จิ ัยดำเนินการสร้างและหาคุณภาพตามลำดบั ขน้ั ตอน ดังนี้
1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงปี 2560) กลุ่มสาระการ
เรียนรู้คณิตศาสตร์ หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสาธิตเทศบาลวัดเพชรจริก อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ปี
การศึกษา 2564
2) สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลัง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 5 แผน
ดังน้ี แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 1 เร่อื งการคูณเลขยกกำลัง
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 2 เร่ืองการคูณเลขยกกำลัง
แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 3 เร่ืองการหารเลขยกกำลัง
แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 4 เร่ืองการหารเลขยกกำลัง
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 5 เรอ่ื งการคูณและการหารเลขยกกำลงั
3) นำแผนการจัดการเรียนร้ทู ่ีผวู้ ิจยั สร้างขนึ้ เสนอต่ออาจารยท์ ่ีปรกึ ษาและปรับปรงุ ตามข้อเสนอแนะ
4) เสนอแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
เหมาะสมเชิงเนื้อหา ซ่ึงประกอบด้วย จุดประสงค์การเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ ส่ือและแหล่งการเรียนรู้
ตลอดจนวิธีการและเครื่องมือวัดและประเมินผล โดยใช้แบบประเมินความเหมาะสมของการจัดทำแผนการจัดการ
เรยี นรู้ มลี กั ษณะเปน็ มาตรประมาณค่า (Ratting Scale) แล้ววเิ คราะหห์ าคา่ เฉล่ียนำไปเทียบกบั เกณฑ์
63
คะแนนเฉลยี่ ความหมาย
4.51 - 5.00 เหมาะสมอยูใ่ นระดับมากทส่ี ุด
3.51 - 4.50 เหมาะสมอยู่ในระดับมาก
2.51 - 3.50 เหมาะสมอยใู่ นระดับปานกลาง
1.51 - 2.50 เหมาะสมอยู่ในระดบั นอ้ ย
1.00 - 1.50 เหมาะสมอยู่ในระดับนอ้ ยท่ีสุด
5) นำแผนการจัดการเรียนรู้มาแก้ไข ปรับปรุง ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เกิดความ
ถูกต้อง และสมบูรณ์มากขึน้ โดยการปรับกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ให้มคี วามชัดเจน ปรับปรุงกจิ กรรมการจดั การเรยี น
การสอน ของแผนการจดั การเรียนรู้ให้มคี วามสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ รวมถงึ การปรบั ปรุงเกณฑ์การวัดและ
ประเมนิ ผล กอ่ นนำไปใช้จรงิ กับกลุม่ เปา้ หมาย
6) นำแผนการจัดการเรียนรู้มาจัดพิมพ์เป็นแผนการจดั การเรียนรู้ฉบับสมบรู ณ์ จำนวน 5 แผน แล้วนำไปสอน
จริงกับกลุ่มเป้าหมาย วิธีการดำเนินการการสร้างและหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้สามารถสรุปเป็นแผนภาพ
ดงั นี้
64
ศึกษาหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐานพทุ ธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ ปี 2560)
กลุม่ สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1
สร้างแผนการจัดการเรยี นรู้ การคูณและการหารเลขยกกำลัง ระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1
นำแผนการจัดการเรยี นรู้ที่ผวู้ ิจัยสรา้ งขนึ้ เสนอตอ่ อาจารย์ และปรบั ปรงุ ตามข้อเสนอแนะ
เสนอแผนการจัดการเรียนรู้และแบบประเมนิ ความเหมาะสมเสนอต่อผ้เู ช่ียวชาญ 3 ท่าน
เพ่อื ตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสมเชิงเน้ือหา และรูปแบบการจัดการเรียนรู้
ปรับปรุงแผนการจดั การเรยี นรู้ตามคำแนะนำของผเู้ ชย่ี วชาญ
นำแผนการจัดการเรยี นรู้มาจัดพมิ พเ์ ปน็ แผนการจัดการเรยี นรูฉ้ บบั สมบรู ณ์
และนำไปใช้กับกลุ่มเปา้ หมาย
ภาพที่ 32 ขั้นตอนการสรา้ งและหาคณุ ภาพของแผนการจัดการเรียนรู้
65
4.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลัง ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีลักษณะปรนัย แบบเลือกคำตอบ จำนวน 10 ข้อ 10 คะแนน โดยมีขั้นตอนการ
สร้างและหาคณุ ภาพ ดงั นี้
1) ศกึ ษาหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสาธติ เทศบาลวดั เพชรจรกิ อำเภอเมอื ง
จังหวดั นครศรธี รรมราช ปีการศกึ ษา 2564 กลุ่มสาระการเรียนร้คู ณิตศาสตร์
2) ศึกษาแนวคดิ ทฤษฎี และผลการวจิ ัยท่เี ก่ียวข้องกับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
3) ศกึ ษาหลักการ และวิธีการสรา้ งแบบทดสอบแบบอตั นัย
4) วิเคราะห์เนื้อหาแบบทดสอบจากตามจุดประสงค์การเรียนรู้ จากแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง
การคูณและการหารเลขยกกำลงั
5) สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย แบบเลือกคำตอบ จำนวน 15 ข้อ เพ่ือ
เลอื กมาใชจ้ ริง จำนวน 10 ขอ้
6) นำแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ท่สี ร้างเสนอต่ออาจารยป์ ระจำวชิ า เพือ่ ตรวจสอบความ
ถูกต้องเหมาะสมและปรบั ปรงุ ตามคำแนะนำ
7) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นเสนอต่อผู้เช่ียวชาญ 3 ท่าน เพ่อื พิจารณาข้อคำถามของ
ข้อสอบแตล่ ะขอ้ ว่าสอดคล้องกับจดุ ประสงค์การเรยี นรแู้ ละเพื่อหาคา่ IOC โดยใชแ้ บบประเมนิ ความสอดคลอ้ ง
คะแนนเฉลีย่ ความหมาย
4.51 - 5.00 เหมาะสมอยใู่ นระดบั มากทส่ี ดุ
3.51 - 4.50 เหมาะสมอย่ใู นระดบั มาก
2.51 - 3.50 เหมาะสมอยูใ่ นระดับปานกลาง
1.51 - 2.50 เหมาะสมอยใู่ นระดับน้อย
1.00 - 1.50 เหมาะสมอยใู่ นระดบั นอ้ ยทีส่ ุด
8) นำแบบทดสอบมาวเิ คราะห์หาค่าดัชนคี วามสอดคล้องตามสูตร
9) นำแบบทดสอบวัดวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่ผา่ นการคัดเลือกแล้วมาปรับปรุงและจัดพิมพ์ เป็น
แบบทดสอบฉบบั จรงิ นำไปใช้เป็นเคร่ืองมือเกบ็ ข้อมลู ในการวิจยั
10) วิธีการดำเนินการสร้างและหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสามารถสรุป
เปน็ แผนภาพ ดงั นี้
66
ศกึ ษาหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรยี นเทศบาลวดั เพชรจรกิ ปีการศึกษา 2564
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์
ศกึ ษาแนวคิด ทฤษฎี และผลการวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วข้องกบั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น
ศึกษาหลักการ และวธิ กี ารสร้างแบบทดสอบแบบปรนัย
วิเคราะห์เน้อื หาแบบทดสอบจากตามจุดประสงค์การเรยี นรู้
สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียนแบบปรนยั แบบเลอื กตอบ จำนวน 10 ข้อ
นำแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน ทสี่ ร้างเสนอต่ออาจารยป์ ระจำวิชา เพ่ือตรวจสอบ
ความถกู ต้องเหมาะสมและปรับปรงุ ตามคำแนะนำ
นำแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นเสนอตอ่ ผู้เชีย่ วชาญ 3 ทา่ น เพ่ือพจิ ารณาข้อคำถาม
ของขอ้ สอบแตล่ ะข้อว่าสอดคล้องกบั จุดประสงค์การเรียนรู้และเพ่ือหาค่า IOC
โดยใช้แบบประเมนิ ความสอดคลอ้ ง
นำแบบทดสอบมาวิเคราะห์หาคา่ เฉล่ียคะแนนตามความคดิ เหน็ ของผู้เชีย่ วชาญ โดยใช้สตู ร
คำนวณดัชนคี วามสอดคล้อง
ปรบั ปรงุ แก้ไขแล้วนำไปใชเ้ ป็นเครอ่ื งมือในการวจิ ัย
ภาพท่ี 33 ข้นั ตอนการดำเนินการสร้างและหาคณุ ภาพของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
67
4.3 การสรา้ งบทเรียนคอมพวิ เตอร์ผ่านเวบ็ Google site การสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บ Google
site เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลังชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยดำเนินการสร้างและหาคุณภาพตามลำดับ
ข้นั ตอน ดังนี้
1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงปี 2560) กลุ่ม
สาระการเรยี นร้คู ณิตศาสตร์หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนสาธติ เทศบาลวัดเพชรจรกิ ปีการศึกษา 2564 และงานวิจัยท่ี
เก่ียวขอ้ งกบั การสอนโดยใช้บทเรียนคอมพวิ เตอรผ์ า่ นเวบ็ Google site
2) ศึกษาความรู้ตา่ ง ๆ ในการสรา้ งบทเรียนคอมพิวเตอรผ์ ่านเว็บ Google site
3) สรา้ งบทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเวบ็ Google site ดงั น้ี
3.1 เรอื่ ง การคณู เลขยกกำลัง
- วดิ ีโอการสอน เรอื่ ง การคูณเลขยกกำลัง ตอนที่ 1 เปน็ เวลา 23.23 นาที และตอน
ท่ี 2 เปน็ เวลา 19.56 นาที
3.2 เร่ือง การหารเลขยกกำลงั
- วิดีโอการสอน เร่อื ง การหารเลขยกกำลัง ตอนที่ 1 เปน็ เวลา 17.50 นาที และตอน
ท่ี 2 เป็นเวลา 19.25 นาที
3.3 เรือ่ ง การคูณและการหารเลขยกกำลัง
- วดิ ีโอการสอน เรื่อง การหารเลขยกกำลัง ตอนท่ี 1 เปน็ เวลา 17.16 นาที
4) นำบทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บ Google site ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาและ
ปรับปรุงตามขอ้ เสนอแนะ
5) เสนอบทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บ Google site ที่ปรับปรุงแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ 3 คน เพ่ือ
ตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมเชิงเนื้อหาซึ่งประกอบด้วยจุดประสงค์การเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้สื่อ และ
แหลง่ การเรียนรตู้ ลอดจนวธิ ีการ และเครือ่ งมอื วัดและประเมนิ ผล
คะแนนเฉล่ยี ความหมาย
4.51 - 5.00 เหมาะสมอยู่ในระดบั มากท่ีสดุ
3.51 - 4.50 เหมาะสมอยู่ในระดับมาก
2.51 - 3.50 เหมาะสมอยใู่ นระดบั ปานกลาง
1.51 - 2.50 เหมาะสมอย่ใู นระดับนอ้ ย
1.00 - 1.50 เหมาะสมอยใู่ นระดับนอ้ ยท่สี ดุ
6) นำบทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บ Google site มาแก้ไขปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ
เพื่อให้เกิดความถูกต้องและสมบูรณ์มากขึ้นโดยมีการปรับโจทย์การ หารให้มีความชัดเจนและมีความสอดคล้องกับ
จดุ ประสงค์การเรยี นรทู้ ีต่ ัง้ ไว้ก่อนนำไปใช้จรงิ กับกลุ่มเป้าหมาย
7) นำบทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บ Google site นำไปใช้ฝึกจริงกับกลุ่มเป้าหมายวธิ ีการดำเนินการ
การสร้างและหาคุณภาพของบทเรยี นคอมพวิ เตอรผ์ ่านเว็บ Google site สามารถสรุปเป็นแผนภาพ ดังนี้
68
ศกึ ษาหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐานพทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ ปี 2560) กลุ่มสาระการ
เรียนรูค้ ณิตศาสตร์หลักสูตรสถานศกึ ษาโรงเรียนสาธติ เพชรจริกปีการศึกษา 2564
ศึกษาความรู้ต่าง ๆ ในการสรา้ งบทเรียนคอมพิวเตอรผ์ า่ นเวบ็ Google site
สรา้ งบทเรียนคอมพวิ เตอร์ผ่านเวบ็ Google site
นำบทเรียนคอมพวิ เตอร์ผา่ นเวบ็ Google site ทผี่ ู้วจิ ยั สรา้ งขน้ึ เสนอต่ออาจารยท์ ี่ปรกึ ษา
และปรับปรุงตามข้อเสนอแนะ
เสนอบทเรียนคอมพวิ เตอร์ผ่านเวบ็ Google site ท่ีปรับปรงุ แลว้ เสนอต่ออาจารย์ทปี่ รึกษาเพ่อื ตรวจสอบ
ความถกู ตอ้ งเหมาะสมเชงิ เน้อื หาซ่งึ ประกอบด้วยจดุ ประสงคก์ ารเรียนร้กู ระบวนการจัดการเรยี นรู้
นำบทเรยี นคอมพิวเตอรผ์ ่านเวบ็ Google site มาแก้ไขปรับปรุงตามข้อเสนอแนะนำของอาจารย์ทป่ี รึกษา
นำบ นำบทเรยี นคอมนำบทเรียนคอมพิวเตอรผ์ ่านเว็บ Google site
นำไปใช้ฝกึ จริงกับกลุ่มเป้าหมาย
ภาพท่ี 34 ข้นั ตอนการสรา้ งและหาคุณภาพของบทเรียนคอมพิวเตอรผ์ า่ นเว็บ Google site
69
4.4 การสร้างแบบฝึกเสริมทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลงั ช้ันมัธยมศึกษาปีที่
1 ผู้วจิ ัยดำเนนิ การสร้างและหาคุณภาพตามลำดบั ขน้ั ตอน ดังน้ี
1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงปี 2560) กลุ่ม
สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาลวัดเพชรจริก อำเภอเมอื ง จงั หวัดนครศรีธรรมราช
ปีการศึกษา 2564 และงานวจิ ัยที่เกีย่ วขอ้ งกบั การสอนโดยใช้แบบฝกึ เสริมทกั ษะคณิตศาสตร์
2) ศึกษารปู แบบและวธิ กี ารสร้างแบบฝกึ เสรมิ ทกั ษะคณติ ศาสตร์
3) สร้างแบบฝึกเสริมทกั ษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลัง ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1
จำนวน 5 แบบฝึก ดงั นี้
แบบฝกึ เสรมิ ทักษะที่ 1 การคณู เลขยกกำลัง จำนวน 3 ข้อ
แบบฝกึ เสรมิ ทักษะท่ี 2 การคณู เลขยกกำลัง จำนวน 3 ข้อ
แบบฝกึ เสรมิ ทกั ษะที่ 3 การหารเลขยกกำลงั จำนวน 3 ข้อ
แบบฝึกเสริมทกั ษะที่ 4 การหารเลขยกกำลัง จำนวน 3 ขอ้
แบบฝกึ เสริมทักษะท่ี 5 การคณู และการหารเลขยกกำลัง จำนวน 3 ข้อ
4) นำแบบฝึกเสริมทักษะที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น นำเสนอต่ออาจารย์ประจำวิชา และปรับปรุงตาม
ขอ้ เสนอแนะ
5) เสนอแบบฝึกเสริมทักษะที่ปรับปรุงแล้วต่อผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ความ
เหมาะสมเชิงเนื้อหา ซึ่งประกอบด้วย จุดประสงค์การเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ สื่อและแหล่งการเรียนรู้
ตลอดจนวิธีการและเครื่องมือวัดและประเมินผล โดยใช้แบบประเมินความเหมาะสมของการจัดทำแบบฝึกเสริมทักษะ
คณิตศาสตร์ มีลกั ษณะเป็นมาตราประมาณคา่ (Ratting Scale) แล้ววเิ คราะหห์ าค่าเฉลย่ี นำไปเทยี บกบั เกณฑ์
คะแนนเฉล่ีย ความหมาย
4.51 - 5.00 เหมาะสมอยใู่ นระดบั มากที่สุด
3.51 - 4.50 เหมาะสมอยูใ่ นระดบั มาก
2.51 - 3.50 เหมาะสมอยใู่ นระดบั ปานกลาง
1.51 - 2.50 เหมาะสมอยู่ในระดับนอ้ ย
1.00 - 1.50 เหมาะสมอยู่ในระดับน้อยที่สุด
6) นำแบบฝึกเสริมทักษะมาแก้ไข ปรับปรุง ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เกิดความ
ถกู ต้องและสมบูรณ์มากขึ้น โดยมีการปรับโจทย์การคูณและการหารเลขยกกำลัง ให้มีความชัดเจนและมีความ
สอดคล้องกบั จุดประสงค์การเรยี นรทู้ ีต่ ัง้ ไวก้ อ่ นนำไปใชจ้ รงิ กับกลุ่มเป้าหมาย
7) นำแบบฝึกเสริมทักษะมาจัดพิมพ์เป็นแบบฝึกเสริมทักษะฉบับสมบูรณ์ จำนวน 5 แบบฝึกแล้ว
นำไปใช้ฝึกจริงกับกลุ่มเป้าหมาย วิธีการดำเนินการสร้างและหาคุณภาพของแบบฝึกเสริมทักษะ สามารถสรุปเป็น
แผนภาพ ดงั น้ี
70
ศกึ ษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐานพทุ ธศักราช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ ปี 2560)
กล่มุ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สถานศึกษาโรงเรยี นเทศบาลวัดเพชรจรกิ ปกี ารศึกษา 2564
ศึกษารูปแบบและวิธีการสรา้ งแบบฝกึ เสรมิ ทักษะคณิตศาสตร์
สร้างแบบฝึกเสรมิ ทักษะคณิตศาสตร์ เร่อื ง การคณู และการหารเลขยกกำลงั ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1
นำแบบฝึกเสรมิ ทักษะทผี่ วู้ จิ ัยสร้างข้นึ นำเสนอต่ออาจารย์ประจำวชิ า
และปรับปรงุ ตามข้อเสนอแนะ
เสนอแบบฝกึ เสริมทักษะท่ีปรบั ปรุงแลว้ ต่อผู้เชย่ี วชาญ 3 ทา่ น เพอื่ ตรวจสอบความถูกต้อง
ความเหมาะสมเชิงเนอ้ื หา
ปรับปรุงแบบฝกึ ทักษะตามคำแนะนำของผู้เชย่ี วชาญ
นำแบบฝึกเสรมิ ทักษะมาจดั พิมพ์เปน็ แบบฝึกเสริมทักษะฉบับสมบูรณ์
และนำไปใชฝ้ ึกกับกลมุ่ เปา้ หมาย
ภาพที่ 35 ขนั้ ตอนการดำเนนิ การสร้างและหาคณุ ภาพของแบบฝึกเสรมิ ทักษะวิชาคณติ ศาสตร์
71
4.5 การสรา้ งวิดีโอการสอนวิชาคณติ ศาสตร์ การสรา้ งวดิ ีโอการสอนโดยใช้วิดโี อการสอนร่วมกับแบบฝึกเสริม
ทักษะในบทเรียนคอมพวิ เตอรผ์ า่ นเว็บ Google site เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลงั ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 ผูว้ ิจยั
ดำเนินการสร้างและหาคณุ ภาพตามลำดับขน้ั ตอน ดังนี้
1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงปี 2560) กลุ่ม
สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนสาธิตเทศบาลวัดเพชรจรกิ ปกี ารศึกษา 2564 และงานวิจัยที่
เกยี่ วขอ้ งกบั การสอนโดยใชว้ ดิ โี อการสอน
2) รวบรวมวิดีโอการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์จากเวบ็ ไซตต์ า่ ง ๆ ซง่ึ ได้ดังน้ี
- วิดีโอการสอน เรอื่ ง การคณู เลขยกกำลงั ตอนท่ี 1 จำนวน 1 คลิป (สถาบนั ส่งเสรมิ การสอน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2564). การคูณเลขยกกำลัง ตอนที่ 1. สืบค้นวันที่ 15 กันยายน 2564, จาก https :
//youtu.be/RHt0WcXxN0E)
- วิดีโอการสอน เรอื่ ง การคณู เลขยกกำลัง ตอนที่ 2 จำนวน 1 คลิป (สถาบันสง่ เสริมการสอน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2564). การคูณเลขยกกำลัง ตอนที่ 2. สืบค้นวันที่ 15 กันยายน 2564, จาก https :
//youtu.be/2ahTKQVbPCg)
- วิดีโอการสอน เรื่อง การหารเลขยกกำลัง ตอนที่ 1 จำนวน 1 คลิป (สถาบันส่งเสริมการ
สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2564). การคูณเลขยกกำลัง ตอนท่ี 2. สืบคน้ วันท่ี 15 กนั ยายน 2564, จาก https :
//youtu.be/-umj7rw8xdA)
- วิดีโอการสอน เรื่อง การหารเลขยกกำลัง ตอนที่ 2 จำนวน 1 คลิป (สถาบันส่งเสริมการ
สอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. (2564). การคูณเลขยกกำลงั ตอนท่ี 2. สบื คน้ วันที่ 15 กันยายน 2564, จาก https :
//youtu.be/vJXD7pmqzuM)
- วิดีโอการสอน เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลัง จำนวน 1 คลิป (สถาบันส่งเสริมการ
สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2564). การคูณเลขยกกำลัง ตอนที่ 2. สืบคน้ วันท่ี 15 กันยายน 2564, จาก https :
//youtu.be/fxfVSc3AFjE)
3) นำวิดีโอการสอนที่ผู้วิจัยรวบรวมขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาและปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนตาม
ข้อเสนอแนะ
4) เสนอวิดีโอการสอนที่ปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนตามแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ 3 คน เพื่อตรวจสอบ
ความถูกต้องเหมาะสมเชิงเนื้อหาซึ่งประกอบด้วยจุดประสงค์การเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้สื่อ และแหล่งการ
เรียนรู้ตลอดจนวธิ ีการ และเครอื่ งมอื วดั และประเมินผล
5) นำวดิ ีโอการสอนมาแก้ไขปรบั ปรุงหรือปรับเปล่ียนตามตามข้อเสนอแนะของผู้เช่ียวชาญเพื่อให้เกิด
ความถูกตอ้ งและสมบูรณม์ ากขึ้นโดยมีการปรับโจทยก์ ารหารให้มีความชัดเจนและมีความสอดคล้องกับจุดประสงค์การ
เรยี นรูท้ ่ีตงั้ ไว้ก่อนนำไปใชจ้ ริงกบั กลุ่มเปา้ หมาย
6) นำวิดีโอการสอนนำไปใช้ฝึกจริงกับกลุ่มเป้าหมายวิธีการดำเนินการการสร้างและหาคุณภาพของ
วิดีโอการสอน สามารถสรปุ เป็นแผนภาพ ดังน้ี
72
ศกึ ษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐานพทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ ปี 2560) กลุ่มสาระการ
เรียนร้คู ณติ ศาสตร์หลักสูตรสถานศกึ ษาโรงเรยี นสาธิตเพชรจริก ปีการศึกษา 2564
รวบรวมวิดโี อการสอนวิชาคณิตศาสตร์จากเวบ็ ไซต์ต่าง ๆ
นำวดิ ีโอการสอนทผ่ี วู้ จิ ยั รวบรวมขึน้ เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา
และปรบั ปรงุ หรอื ปรบั เปลี่ยนตามข้อเสนอแนะ
เสนอวิดีโอการสอนที่ปรบั ปรุงหรอื ปรับเปลยี่ นแลว้ เสนอต่ออาจารย์ท่ปี รึกษาเพอ่ื ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง
เหมาะสมเชิงเนื้อหาซึ่งประกอบดว้ ยจุดประสงคก์ ารเรยี นร้กู ระบวนการจัดการเรียนรู้
นำวิดีโอการสอนมาแก้ไขปรับปรงุ หรือปรับเปล่ยี นตามข้อเสนอแนะนำของอาจารย์ทป่ี รกึ ษา
นำบ นำวิดีโอการสอนนำไปใชฝ้ ึกจริงกบั กลมุ่ เปา้ หมาย
ภาพท่ี 36 ข้นั ตอนการสร้างและหาคุณภาพของวิดีโอการสอน
73
ผลการตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือ
แบบประเมินความสอดคล้องแผนการจดั การเรียนรู้
แผนการ คา่ เฉลย่ี ความเหมาะสมของแผนการจัดการเรยี นรู้ ระดบั ความเหมาะสม
จัดการเรียนรู้ ของผูเ้ ชี่ยวชาญ (x)
เหมาะสมอยใู่ นระดบั มากทส่ี ุด
1 2 3 รวม (x) เหมาะสมอยใู่ นระดับมากที่สุด
1 4.5 4.5 4.75 13.75 4.58 เหมาะสมอย่ใู นระดบั มากทส่ี ุด
2 4.42 4.58 4.58 13.58 4.53 เหมาะสมอยใู่ นระดับมาก
เหมาะสมอยใู่ นระดบั มากท่ีสุด
3 4.42 4.67 4.67 13.76 4.57
4 4.42 4.58 4.42 13.42 4.47
5 4.42 4.75 4.75 13.92 4.64
คา่ เฉลย่ี แผนการจัดการเรียนรู้มีคา่ เฉล่ยี 4.56 มรี ะดับความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด
แบบประเมนิ คณุ ภาพบทเรยี นคอมพิวเตอร์ผา่ นเวบ็ Google site
บทเรียนคอมพวิ เตอร์ คา่ เฉลีย่ ความเหมาะสมของแผนการจดั การ
ผา่ นเว็บ Google site
เรยี นรู้ของผเู้ ชี่ยวชาญ (x) ระดับความเหมาะสม
ดา้ นเนื้อหา
ดา้ นการใชง้ าน 1 2 3 รวม (x)
ดา้ นการออกแบบและ 5 5 5 15 5 เหมาะสมอยใู่ นระดับมากที่สุด
รปู แบบการนำเสนอ
4.5 4.5 3.75 12.75 4.25 เหมาะสมอยใู่ นระดบั มาก
4.83 5 4.5 14.33 4.78 เหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด
ค่าเฉลี่ยบทเรียนคอมพวิ เตอร์ผา่ นเวบ็ Google site มคี ่าเฉลี่ย 4.68 มีระดับความเหมาะสมอย่ใู นระดับมากท่ีสุด
74
แบบประเมินคณุ ภาพแบบฝึกทกั ษะคณติ ศาสตร์
แบบฝกึ คา่ เฉลี่ยแบบประเมนิ คุณภาพแบบฝกึ ทักษะคณิตศาสตร์ ระดบั ความเหมาะสม
เสรมิ ทักษะ ของผเู้ ช่ียวชาญ ( x )
เหมาะสมอยู่ในระดบั มาก
1 1 2 3 รวม x เหมาะสมอยใู่ นระดับมาก
2 4.67 4.78 4.89 14.34 4.78 เหมาะสมอยใู่ นระดับมาก
3 4.67 4.56 4.78 14.01 4.67 เหมาะสมอย่ใู นระดับมาก
4 4.78 4.56 4.89 14.23 4.74 เหมาะสมอยใู่ นระดับมาก
5 4.22 4.56 4.78 13.56 4.52
4.67 4.56 4.89 14.12 4.71
ค่าเฉล่ยี แบบฝกึ ทักษะมคี า่ เฉลยี่ 4.68 มีระดบั ความเหมาะสมอยูใ่ นระดบั มาก
แบบประเมินคณุ ภาพวิดีโอ
คะแนนความเหมาะสมของผู้เชี่ยวชาญ ความเหมาะสม
วดิ ีโอ 1 2 3 รวม
เหมาะสม
1 10 10 10 10 เหมาะสม
2 10 10 10 10 เหมาะสม
3 10 10 10 10 เหมาะสม
4 10 10 10 10 เหมาะสม
5 10 10 10 10
คุณภาพของวดิ โี อท้ัง 5 วิดีโอมีความเหมาะสม
75
แบบประเมนิ ความสอดคล้องแบบทดสอบ (IOC)
ค่าความสอดคล้องท่ีไดม้ ีค่าระหว่าง 0 - 1 และแกไ้ ขปรับปรุงแบบทดสอบตามคำแนะนำในขอ้ ท่ีมีค่าความ
สอดคลอ้ งไม่ถึง 0.50
ข้อ ผูเ้ ชีย่ วชาญ R IOC สรปุ
123
1 1 1 1 3 1 ใช้ได้
2 1 1 1 3 1 ใช้ได้
3 1 1 1 3 1 ใชไ้ ด้
4 1 1 0 2 0.67 ใชไ้ ด้
5 1 0 0 1 0.33 ใช้ไมไ่ ด้
6 1 -1 0 0 0 ใชไ้ มไ่ ด้
7 1 1 0 2 0.67 ใชไ้ ด้
8 1 1 1 3 1 ใช้ได้
9 1 1 1 3 1 ใช้ได้
10 0 1 -1 0 0 ใช้ไม่ได้
11 0 1 -1 0 0 ใชไ้ มไ่ ด้
12 0 1 -1 0 0 ใช้ไมไ่ ด้
13 1 1 1 3 1 ใชไ้ ด้
14 1 1 1 3 1 ใช้ได้
15 1 1 1 3 1 ใช้ได้
76
5. การเก็บรวบรวมข้อมลู
1) ทำการทดสอบก่อนเรียน เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลัง ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน วิชาคณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง การคณู และการหารเลขยกกำลัง ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 ท่ีผู้วิจัยสรา้ งขึ้น
2) ผู้วิจัยดำเนินการสอนซ่อมเสริม วิชาคณิตศาสตร์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง การคูณและการหาร
เลขยกกำลัง ตามแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการคูณและการหารเลขยกกำลัง โดยใชว้ ิดโี อการสอนร่วมกับแบบฝึกเสริม
ทักษะในบทเรียนคอมพิวเตอร์ ผา่ นเวบ็ Google site ใช้เวลาในการสอน 2 ชัว่ โมง 30 นาที ดังน้ี
ครง้ั ท่ี 1 เรื่องการคูณเลขยกกำลัง
ครั้งท่ี 2 เรื่องการคูณเลขยกกำลงั
คร้งั ที่ 3 เรอ่ื งการหารเลขยกกำลงั
ครงั้ ที่ 4 เรือ่ งการหารเลขยกกำลงั
ครงั้ ท่ี 5 เรื่องการคูณและการหารเลขยกกำลงั
3) ทำการทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
เรือ่ ง การคูณและการหารเลขยกกำลัง ฉบบั เดยี วกนั กับแบบทดสอบก่อนเรยี น คะแนนทไ่ี ดเ้ ป็นคะแนน การทดสอบหลัง
เรียน (Posttest)
4) นำผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการวัดโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง การคูณและการหารเลข
ยกกำลัง ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 มาวเิ คราะหท์ างสถติ ิ
6. การวิเคราะหข์ อ้ มลู และสถติ ทิ ี่ใช้
1. การวเิ คราะห์ขอ้ มลู
การวิจัยคร้งั นผ้ี ู้วิจัยไดว้ ิเคราะห์ขอ้ มลู ดงั น้ี
วิเคราะห์ข้อมูลจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ภายหลังจากการทำแบบทดสอบ
เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลัง นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มาตรวจให้คะแนน จำนวน 10 ข้อ
10 คะแนน แล้วนำคะแนนท่ีได้มาวิเคราะห์โดยใช้ค่าเฉลี่ย X ค่าร้อยละ แล้วเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังทำ
แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2. สถติ ทิ ่ีใช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล
2.1 สูตรการหาร้อยละ
สตู ร p = f 100
n
เม่อื p แทน ร้อยละ
f แทน ความถท่ี ่ตี ้องการแปลงให้เป็นร้อยละ
n แทน จำนวนความถี่ท้งั หมด
77
2.2 สตู รการหาค่าเฉลยี่
สูตร X = x
n
เมอ่ื X แทน คา่ เฉลีย่
ผลรวมทง้ั หมดของคะแนน
x แทน ผลรวมท้งั หมดของความถ่ซี ึง่ มีค่าเทา่ กับจำนวน
n แทน
2.3 สตู รการหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
( )2
สตู ร S.D. = x−x
n−1
เมอ่ื S.D. แทน สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน
x แทน คะแนนแตล่ ะคน
X แทน ค่าเฉลีย่
n แทน จำนวนกลุม่ เป้าหมาย
3. สถติ ทิ ่ีใชใ้ นการหาคุณภาพเคร่อื งมือ
3.1. คา่ ความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity)
เป็นการหาค่าความเทยี่ งตรงที่ให้ผ้เู ชยี่ วชาญพิจารณาว่าข้อสอบ หรอื ขอ้ คำถามแตล่ ะข้อ วัดไดต้ รงตามส่งิ ที่
ตอ้ งการวัดเนอื้ หาหรือวตั ถุประสงคก์ ารเรยี นรู้มากน้อยเพียงใด โดยใช้เกณฑ์การประเมิน ดงั นี้
ใหค้ ะแนน +1 หมายถึง แน่ใจวา่ ขอ้ สอบวดั จุดประสงค์/เน้ือหาน้นั
ให้คะแนน 0 หมายถึง ไม่แน่ใจวา่ ข้อสอบวดั จุดประสงค์/เน้ือหาน้นั
ให้คะแนน - 1 หมายถงึ แนใ่ จวา่ ขอ้ สอบไมว่ ัดจุดประสงค์/เนือ้ หานนั้
แลว้ นำข้อมูลที่ไดจ้ ากการพิจารณาของผเู้ ช่ยี วชาญ หาค่าความสอดคล้องระหวา่ งข้อคำถามแตล่ ะข้อ
กับจดุ ประสงค์หรอื เน้ือหา (Index of Item - Objective Congruence หรือ IOC) จากสตู ร
IOC = R
N
เม่อื R แทน ผลรวมของคะแนนการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ
N แทน จำนวนผูเ้ ชี่ยวชาญ
เกณฑ์การตัดสินค่า IOC ถ้ามีค่า 0.50 ข้นึ ไป แสดงว่า ขอ้ คำถามน้ันวดั ได้ตรงจุดประสงค์
หรือตรงตามเน้ือหาน้ัน แสดงวา่ ข้อคำถามข้อนน้ั ใช้ได้
78
บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลัง โดย
ใช้วิดีโอการสอนร่วมกับแบบฝึกเสริมทักษะ ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บ Google site และเพื่อเปรียบเทียบ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลัง ก่อนและหลังเรียนด้วยวิดีโอการสอนร่วมกับแบบฝึก
เสริมทกั ษะ ในบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ ผ่านเว็บ Google site ของนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรยี นสาธติ เทศบาลวัด
เพชรจริก อำเภอเมอื ง จังหวัดนครศรธี รรมราช โดยผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู เพอ่ื ตอบวัตถุประสงค์ของการ
วจิ ัย รายละเอียดดงั นี้
ตอนที่ 1 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลัง โดยใช้วิดีโอการสอน
ร่วมกับแบบฝึกเสรมิ ทักษะ ในบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ ผ่านเว็บ Google site
ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลงั ก่อนและหลังเรยี น
ด้วยวิดีโอการสอนร่วมกับแบบฝึกเสริมทักษะ ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บ Google site ของนักเรียนชั้น
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1
ตอนที่ 1 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลัง โดยใช้วิดีโอการสอน
รว่ มกบั แบบฝึกเสรมิ ทกั ษะ ในบทเรียนคอมพวิ เตอร์ ผา่ นเว็บ Google site
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการคูณและการหารเลขยกกำลัง โดยใช้วิดีโอการสอนร่วมกับแบบฝึก
เสริมทกั ษะ ในบทเรยี นคอมพิวเตอร์ ผ่านเวบ็ Google site ของนกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นสาธติ เทศบาลวัด
เพชรจริก อำเภอเมอื ง จังหวัดนครศรีธรรมราช ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ปรากฏดงั แสดงในตารางท่ี 1
ตารางที่ 1 แสดงคะแนนและร้อยละของคะแนนก่อนและหลังเรียนด้วยวิดีโอการสอนร่วมกับแบบฝึกเสริมทักษะ ใน
บทเรยี นคอมพวิ เตอร์ ผ่านเวบ็ Google site
นักเรียน คะแนนกอ่ นเรียน คะแนนหลังเรยี น เทยี บกับเกณฑ์ร้อยละ 70
คนท่ี
(คะแนนเต็ม 10 รอ้ ยละ (คะแนนเต็ม 10 รอ้ ยละ
คะแนน) คะแนน)
ผา่ น ไม่ผา่ น
1 8 80 10 100
2 8 80 10 100
3 3 30 9 90
4 4 40 9 90
5 5 50 9 90
79
จากตารางท่ี 1 พบว่านกั เรียนทัง้ 5 คน มคี ะแนนจากแบบทดสอบกอ่ นเรยี นเท่ากับ 8, 8, 3, 4 และ 5 คะแนน
ตามลำดับ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามนี ักเรียนจำนวน 3 คนที่มีคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 และหลังจากที่นกั เรียนเรียนด้วย
วิดีโอการสอนร่วมกับแบบฝึกเสริมทักษะ ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บ Google site นักเรียนมีคะแนนจาก
แบบทดสอบหลงั เรียนเทา่ กับ 10, 10, 9, 9 และ 9 คะแนนตามลำดับ เม่อื นำไปเทยี บกับเกณฑ์ร้อยละ 70 แสดงให้เห็น
วา่ นกั เรียนมคี ะแนนสอบหลงั เรยี น เรือ่ ง การคูณและการหารเลขยกกำลัง สงู กว่าก่อนเรยี น
ตอนท่ี 2 การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลัง กอ่ นและหลงั เรียนด้วย
วดิ โี อการสอนร่วมกับแบบฝึกเสรมิ ทกั ษะ ในบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ ผา่ นเวบ็ Google site
การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น เร่ือง การคูณและการหารเลขยกกำลัง ก่อนและหลังเรียนดว้ ยวดิ ีโอ
การสอนรว่ มกบั แบบฝึกเสริมทกั ษะ ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ ผ่านเวบ็ Google site ของนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 1
โรงเรยี นสาธิตเทศบาลวัดเพชรจริก อำเภอเมือง จังหวดั นครศรีธรรมราช ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูลปรากฏดงั แสดงใน
ตารางที่ 2
ตารางที่ 2 แสดงผลการวิเคราะห์ความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียน และหลังเรียนด้วยวิดีโอการสอนร่วมกับ
แบบฝกึ เสรมิ ทักษะ ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ ผ่านเวบ็ Google site
นกั เรียน คะแนนกอ่ นเรยี น คะแนนหลงั เรยี น เทียบกบั เกณฑร์ ้อยละ 70
คนท่ี
(คะแนนเต็ม 10 รอ้ ยละ (คะแนนเต็ม 10 รอ้ ยละ
คะแนน) คะแนน)
ผ่าน ไม่ผา่ น
1 8 80 10 100
2 8 80 10 100
3 3 30 9 90
4 4 40 9 90
5 5 50 9 90
X 5.60 56 9.4 94
S.D. 2.30 0.55
จากตารางที่ 2 จะเห็นได้ว่า ก่อนเรียนด้วยวิดีโอการสอนรว่ มกับแบบฝึกเสริมทักษะ ในบทเรียนคอมพิวเตอร์
ผ่านเว็บ Google site นักเรียนทำคะแนนสงู สดุ ได้ 8 คะแนน คะแนนตำ่ สดุ 3 คะแนน คะแนนเฉลย่ี ( X ) 5.6 คะแนน
คิดเป็นร้อยละ 56 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) 2.30 และหลังเรียนด้วยวิดีโอการสอนร่วมกับแบบฝึกเสริมทักษะ
ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บ Google site นักเรียนทำคะแนนสูงสุดได้ 10 คะแนน คะแนนต่ำสุด 9 คะแนน
คะแนนเฉลี่ย ( X ) 9.4 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 94 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) 0.55 แสดงให้เห็นว่า หลังเรียน
ด้วยวิดีโอการสอนร่วมกับแบบฝึกเสริมทักษะ ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บ Google site นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิ
80
ทางการเรียนสงู กว่าก่อนเรียน เม่ือนำคะแนนหลงั เรยี นไปเทียบกบั เกณฑร์ ้อยละ 70 พบว่านักเรยี นมผี ลสัมฤทธ์ิทางการ
เรยี น เรื่อง การคณู และการหารเลขยกกำลงั สงู กว่าเกณฑร์ ้อยละ 94
ผู้วจิ ัยสามารถสรปุ ได้วา่
1) ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรอ่ื งการคูณและการหารเลขยกกำลงั ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปที ่ี 1 ก่อนและหลงั การใชว้ ดิ ีโอการสอนรว่ มกบั แบบฝึกเสริมทักษะในบทเรยี นคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บ Google site หลัง
การใช้วิดีโอการสอนร่วมกับแบบฝึกเสริมทักษะในบทเรียนคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บ Google site มีผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี นทสี่ ูงกวา่ กอ่ นการใชว้ ดิ โี อการสอนรว่ มกบั แบบฝกึ เสริมทกั ษะในบทเรยี นคอมพิวเตอร์ ผ่านเวบ็ Google site
2) ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณติ ศาสตร์ เรือ่ งการคูณและการหารเลขยกกำลังของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา
ปีท่ี 1 หลงั การใช้วดิ ีโอการสอนร่วมกับแบบฝกึ เสริมทักษะในบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ ผา่ นเวบ็ Google site สูงกว่าเกณฑ์
รอ้ ยละ 70
81
บทที่ 5
สรปุ อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ
การวจิ ยั ครง้ั น้ี มีวัตถปุ ระสงค์เพื่อศกึ ษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรือ่ ง การคณู และการหารเลขยกกำลัง โดยใช้
วิดีโอการสอนร่วมกับแบบฝึกเสริมทักษะ ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บ Google site และเพื่อเปรียบเทียบ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลัง ก่อนและหลังเรียนด้วยวิดีโอการสอนร่วมกับแบบฝึก
เสริมทักษะในบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ ผา่ นเว็บ Google site ของนักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรยี นสาธิตเทศบาลวัด
เพชรจรกิ อำเภอเมือง จังหวดั นครศรีธรรมราช
กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2564 โรงเรียน
โรงเรียนสาธติ เทศบาลวดั เพชรจรกิ อำเภอเมอื ง จังหวดั นครศรธี รรมราช จำนวน 5 คนท่ีมคี ะแนนตำ่ กว่าเกณฑ์
เคร่อื งมือท่ใี ชใ้ นการวิจยั ประกอบไปด้วย 2 ประเภท ดังนี้
1. เครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการทดลอง
1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือแผนการจัดการเรียนรู้ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องการคูณ
และการหารเลขยกกำลงั จำนวน 5 แผน ใช้เวลารวม 2 ช่วั โมง 30 นาที
2) บทเรยี นคอมพิวเตอรผ์ า่ นเวบ็ Google site เรอ่ื งการคณู และการหารเลขยกกำลัง
3) วิดโี อการสอน เร่ืองการคณู และการหารเลขยกกำลงั จำนวน 5 วิดโี อ
4) แบบฝกึ เสรมิ ทกั ษะวิชาคณิตศาสตร์ เร่อื งการคณู และการหารเลขยกกำลัง จำนวน 5 แบบ
ฝึก
2. เครอื่ งมอื ทใี่ ช้ในการเก็บข้อมลู
- แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น เรือ่ งการคูณและการหารเลขยกกำลัง ปรนยั ชนดิ
เลือกตอบ 4 ตวั เลือก จำนวน 10 ข้อ
การวิเคราะห์ข้อมูล ทำได้โดยการวิเคราะห์หาร้อยละ (Percents) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน (Standard Deviation) ของคะแนนท่ีได้จากการทดสอบ และการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่ม
สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลัง ก่อนและหลังการใช้วิดีโอการสอนร่วมกับแบบฝึก
เสริมทกั ษะ ในบทเรยี นคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บ Google site ของนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 1
สรปุ ผลการวจิ ัย
ผลการวจิ ยั สรุปและนำเสนอตามลำดับดงั น้ี
1. จากการทำแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนพบว่านักเรียนทั้ง 5 คน มีคะแนนจากแบบทดสอบก่อน
เรียนเท่ากับ 8, 8, 3, 4 และ 5 คะแนนตามลำดับ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีนักเรียนจำนวน 3 คนที่มีคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ร้อย
ละ 70 และหลังจากที่นักเรียนเรียนด้วยวิดีโอการสอนร่วมกับแบบฝึกเสริมทักษะ ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บ
82
Google site นักเรียนมีคะแนนจากแบบทดสอบหลังเรียนเท่ากับ 10, 10, 9, 9 และ 9 คะแนนตามลำดับ เมื่อนำไป
เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 แสดงให้เห็นว่านักเรียนมีคะแนนสอบหลังเรียน เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลัง สูง
กว่ากอ่ นเรยี น
2. ก่อนเรียนด้วยวิดีโอการสอนร่วมกับแบบฝึกเสริมทักษะ ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บ Google site
นักเรียนทำคะแนนสงู สดุ ได้ 8 คะแนน คะแนนตำ่ สดุ 3 คะแนน คะแนนเฉลยี่ ( X ) 5.6 คะแนน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 56 และ
สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (SD) 2.30 และหลังเรยี นด้วยวดิ โี อการสอนร่วมกบั แบบฝึกเสริมทกั ษะ ในบทเรียนคอมพิวเตอร์
ผ่านเวบ็ Google site นกั เรียนทำคะแนนสูงสดุ ได้ 10 คะแนน คะแนนต่ำสุด 9 คะแนน คะแนนเฉลยี่ ( X ) 9.4 คะแนน
คิดเป็นร้อยละ 94 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) 0.55 แสดงให้เห็นว่า หลังเรียนด้วยวิดีโอการสอนร่วมกับแบบฝกึ
เสริมทักษะ ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บ Google site นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสงู กว่าก่อนเรียน เมื่อนำ
คะแนนหลังเรียนไปเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณและการหารเลข
ยกกำลงั สูงกวา่ เกณฑร์ ้อยละ 94
อภปิ รายผล
จากผลการวจิ ยั สามารถอภปิ รายผลตามวตั ถุประสงค์ของการวิจัย ดังน้ี
1. ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลงั โดยใช้วดิ ีโอการสอน
ร่วมกับแบบฝึกเสริมทักษะ ในบทเรียนคอมพวิ เตอร์ ผ่านเว็บ Google site ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน
สาธติ เทศบาลวดั เพชรจรกิ อำเภอเมอื ง จงั หวดั นครศรีธรรมราช พบวา่ หลงั เรยี นด้วยวิดีโอการสอนรว่ มกบั แบบฝกึ เสริม
ทักษะ ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บ Google site นกั เรยี นมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นเพิ่มข้ึนกวา่ กอ่ นเรยี น ทัง้ นี้อาจ
เป็นเพราะว่า การใช้วิดีโอการสอนทำให้เด็กเห็นภาพมากกว่าการสอนปกติ ซึ่งจะต้องมีครูผู้สอนคอยให้คำแนะนำ
เพม่ิ เตมิ หากนักเรียนไม่เขา้ ใจ รว่ มกับแบบฝกึ เสริมทักษะที่ทำใหน้ ักเรียนไดฝ้ ึกทักษะในเรื่องน้ันมากย่ิงขึ้น ได้ทำโจทย์ที่
หลากหลาย รวมทั้งบทเรียนคอมพิวเตอร์ที่มีความแปลกใหม่ มีผลให้นักเรียนมีความสนใจในบทเรียนมากยิ่งขึ้น จึงทำ
ให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้นกว่าก่อนเรียน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของกณิการ์ ปัญญาอิ่นแก้ว (2559) ผล
การศกึ ษาพบว่า 1) ผลการเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นหลังได้รบั การจัดการเรียนร้สู งู กวา่ กอ่ นการจัดการเรียนรู้
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .5 2) ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บด้วย
Google site ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมือ่ พจิ ารณาเปน็ รายข้อ พบวา่ การพัฒนาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ผ่านเว็บด้วย
Google site เว็บไซต์มีความน่าสนใจและน่าเรียนรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด ( x = 4.60 ) รองลงมา คือ สื่อเสริมสร้าง
ความเข้าใจในบทเรยี นอยูใ่ นระดับมาก ( x= 4.40 ) และมีความสนกุ สนานระหวา่ งในการชมเวบ็ ไซต์อย่ใู นระดบั มาก ( x
= 4.30)
และสอดคล้องกับงานวิจัยของอาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 187) กล่าวว่า สื่อการเรียนการสอนเปรียบได้กบั มือที่
สามของครู เพราะครูสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องทุ่นแรง ช่วยเสริมให้การสอนน่าสนใจ และลดพลังงานที่ครูต้องพูด
83
อธิบายให้น้อยลง ช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน สร้างความเขา้ ใจให้ชัดเจนขึ้น และช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนร้ไู ด้
เร็วตลอดจนจำได้นานและน่าจะเป็นผลมาจากสื่อวีดิทัศน์ช่วยกระตุ้นและจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการ
เรียนมากกว่าการสอนปกติ เพราะเป็นการสร้างและเปลี่ยนบรรยากาศในชั้นเรียนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์
ตา่ ง ๆ มากมาย สามารถสร้างจนิ ตนาการในการเรยี นและการเรียนรู้ได้มากกว่าการสอนปกตจิ งึ ทำใหผ้ ลสัมฤทธ์ทิ างการ
เรียนของนักเรียนสูงขึ้นและการทดสอบไดผ้ ่านการตรวจคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญก่อนนำไปใช้ทำให้หลังเรยี นด้วยสื่อวดี ิ
ทัศน์ผู้เรียนเข้าใจ และปฏิบัติงานได้มากขึ้นส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี
นัยสำคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .01
2. ผลการเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง การคูณและการหารเลขยกกำลงั กอ่ นและหลังเรียนด้วย
วิดีโอการสอนร่วมกับแบบฝึกเสริมทักษะ ของนักเรียนชั้นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตเทศบาลวัด
เพชรจริก อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่า หลังจากที่นักเรียนเรียนด้วยวิดีโอการสอนร่วมกับแบบฝึกเสรมิ
ทักษะ ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บ Google site นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ เรื่อง
การคูณและการหารเลขยกกำลัง สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ
กรรณิการ์ ภิรมย์รัตน์ (2553) ผลการศึกษาพบว่า 1) แบบฝึกเสริมทักษะสาระการเรียนรู้ภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีปยุโรป
ระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 มปี ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์คือ มคี า่ ประสทิ ธิภาพเท่ากับ 85.18/83.43 2) ผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรยี นสาระการเรียนรู้ภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวปี ยุโรป ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 3 หลังจากท่ีเรียนด้วยแบบฝึกแบบฝึก
เสรมิ ทักษะ สงู กวา่ ก่อนเรยี นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดบั 0.05
สอดคล้องกับงานวิจัยของโศภิต วงศ์คูณ (2553) ผลการวิจัยพบว่า (1) ชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา
คณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง การบวก การลบ ชั้นประถมศกึ ษา ปที ่ี 2 ท่ผี ู้วจิ ัยสรา้ งข้นึ มีประสิทธภิ าพเท่ากับ 27.43/78.00 ซ่ึงสูง
กวา่ เกณฑ์ 75/75 ทต่ี ง้ั ไว้ (2) ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน ของนักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 2 ที่ไดร้ บั การสอนโดยใช้ ชดุ ฝึก
ทักษะการแก้โจทยป์ ญั หาการบวก การลบ หลงั เรยี นสงู กว่าก่อนเรยี นอยา่ งมี นยั สําคญั ทางสถติ ิท่ีระดับ .05
และสอดคล้องกับงานวิจัยของนุชนาฏ ธรรมเกษร (2552) ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนวีดิทัศน์ ทั้ง 7 เรื่องที่
ผู้วิจัยสร้างขึ้นมาประสิทธิภาพ ดังนี้ ประวัติเพลงโคราช เท่ากับ 84.72/83.33 ที่มารำน้อยหน่าเพชรปากช่องเท่ากับ
83.61/81.67 ความหมายรำ ระบำ เท่ากับ 83.89/82.22 ร้องและประกอบจังหวะเพลงรำน้อยหน่าเพชรปากช่อง
เท่ากับ 85.14/83.61 นาฎยศัพท์ประกอบรำน้อยหน่าเพชรปากช่องเท่ากับ 84.86/83.06 ภาษาท่าประกอบ รำ
น้อยหน่าเพชรปากช่อง เทา่ กบั 85.00/83.06 การประดษิ ฐ์ท่ารำนอ้ ยหน่าเพชรปากช่อง 84.31/82.78 ซงึ่ สูงกว่าเกณฑ์
มาตร ฐาน 80/80 ที่ตั้งไว้ การเปรียบเทียบคะแนนคะแนนทดสอบหลังเรียนของบทเรียนวีดิทัศน์แต่ละเรื่องมี
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นแตกต่างกันอยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถิติทร่ี ะดับ .05 และความพึงพอใจของนักเรียนมีคะแนนระดับ
ความพึงพอใจเฉลี่ย 2.81 อยู่ในระดับพอใจมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ
เพชราวลัย ถิระวณัฐพงค์ (2556)ได้พัฒนาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การใช้นวัตกรรม Google Apps. For
Educationมาเป็นตัวช่วยในการเรียนการสอนคะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยจากการ
ทดสอบก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นั่นคือบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์มีผลทำให้คะแนนเฉลี่ยจากการ
84
ทดสอบหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยจากการสอบก่อนเรียน ซึ่งจะเห็นได้ว่าเมื่อนำบทเรียนที่ผ่านสื่อออนไลน์มาใช้จะ
ทำให้มผี ลการเรียนที่เพม่ิ สูงข้ึนอยา่ งเหน็ ได้ชดั
ข้อเสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะจากการวจิ ยั ในครั้งน้ี
1.1 ก่อนให้นักเรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้จากบทเรียนคอมพิวเตอร์ เรื่องการคูณและการหาร
เลขยกกำลัง ควรมีการชี้แจงเกี่ยวกับคุณสมบัติและวิธีใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ เพื่อให้นักเรียนสามารถกลับไปทบทวน
บทเรยี นทส่ี นใจซำ้ อกี ตามความตอ้ งการด้วยตนเองได้
1.2 เวลาในการจัดทำวิจัยค่อนข้างน้อย อาจารย์ผู้สอนควรมีการจัดสรรเวลาให้เหมาะสมกับเนื้อหาใน
รายวชิ าที่ต้องการจดั การเรียนรู้
2. ขอ้ เสนอแนะสำหรับการวจิ ยั ครั้งตอ่ ไป
2.1 ควรวจิ ยั บทเรยี นคอมพิวเตอร์ในหนว่ ยการเรยี นรู้อื่น ๆ ของวชิ าคณิตศาสตร์ เชน่ ความหมายของเลข
ยกกำลงั สัญกรณ์วทิ ยาศาสตร์ เพอื่ เป็นการพัฒนาส่ือการเรียนการสอนในรูปแบบบทเรยี นคอมพิวเตอร์ทีม่ ีประสทิ ธิภาพ
ใหม้ จี ำนวนมากขึน้ ตอ่ ไป
2.2 ควรศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการเรียนด้วยวีดิทัศน์ เพื่อการเรียนรู้ร่วมกับการเรียนการสอน
ในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การสอนแบบบูรณาการ การสอนแบบยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนแบบกระตือรือร้น การ
เรยี นแบบพึ่งพาตนเอง เป็นตน้
บรรณานุกรม
กณิการ์ ปัญญาอ่ินแกว้ . (2559). การพัฒนาบทเรียนคอมพวิ เตอรผ์ า่ นเวบ็ ด้วย Google site
รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรบั นักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3. ค้นหาเมอื่ 18 สิงหาคม 2564
จาก http://www.hsw.ac.th/การพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ผ่านเวบ็ ด้วย - Google - Site - รายวิชา
เทคโนโลยีสารสนเทศ - 2 - 59.pdf
จติ ตริ ตั น์ แสงเลศิ อุทยั . (2558). วารสารบณั ฑิตศึกษา ปีที่ 12. ฉบบั ท่ี 58. ค้นหาเมอ่ื 18 สงิ หาคม 2564
จาก 59056 - Article Text - 138102 - 1 - 10 - 20160619 (1).pdf
เจริญขวญั โรจนพงศส์ ถาพร. (2561). การพฒั นาชุดการเรยี นตามแนวคดิ คอนสตรัคตวิ ิสต์ร่วมกับ
การใชเ้ ทคโนโลยีการเรยี นรูแ้ บบเคลอ่ื นที่ (Mobile Learning) เพื่อพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
รายวชิ าคณติ ศาสตร์เรือ่ ง เลขยกกำลัง ระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๑ โรงเรยี นสวนกุหลาบวิทยาลัย
ธนบุรี. คน้ หาเม่ือ 19 สิงหาคม 2564. จาก
http://www.ska2.go.th/reis/data/research/25611231_114917_2057.pdf
ดำรงค์ ตุลาสืบ. (2541). การใชช้ ุดการสอนแบบสื่อประสมในการสอนวิชาคณติ ศาสตร์ เรอื่ ง เลขยกกำลัง
สำหรับนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นเมอื งปานวทิ ยา จงั หวดั ลำปาง. คน้ หาเมอ่ื 19 สิงหาคม
2564 จาก http://www.thaithesis.org/detail.php?id=58843
ทพิ วัลย์ กาญจนนมิ มาน. (2560). การศึกษาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนวชิ การเป็นผปู้ ระกอบการโดยใช้
บทเรยี นคอมพวิ เตอร์ผ่านเว็บไซต์ด้วยโปรแกรม Google Site ของนกั เรยี นระดบั ประกาศนยี บตั ร
วิชาชีพชน้ั ปที ่ี 2 ห้อง 11 สาขาธุรกิจค้าปลกี ร้านสะดวกซ้ือวทิ ยาลัยเทคโนโลยีปญั ญาภวิ ัฒน์.
สบื ค้นเมือ่ 15 ตุลาคม 2564, จาก https://www.google.com/url?sa=t&rct
=j&q=&esrc=s&source=web&cd=&cad=rja&uact=8&ved2ahUKEwjJqvWgoLPzAhV2
IbcAHTqwDwoQFnoECAQQAQ&url=http%3A%2F%2Facademicptc.panyapiwat.ac.th%
2Flibrary%2Findex.php%2F2018-08-08-07-13-04%2Fcategory%2F91-teacher-inno-2560-
retail%3Fdownload%3D1181%3At-inno-2560-rt-su-tip&usg=AOvVaw1svSeeRRnnjFTAQz-
R3vz2
บญุ ญานี เพชรสีเงินรฐั พร กลิ่นมาลี และธณัฐชา รัตนพันธ์. (2561). การพฒั นาบทเรียนคอมพิวเตอร์ผา่ นเวบ็
ดว้ ย Google site รายวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร สำหรับนกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี
3. การปะชุมหาดใหญว่ ิชาการระดบั ชาติ ครั้งที่ 9 มหาวิทยาลยั หาดใหญ.่
บรรณานกุ รม (ตอ่ )
บุญรตั น์ ฐติ ยานวุ ฒั น์. (2552). การพัฒนาผลการเรยี นรเู้ รอื่ ง การแกโ้ จทย์ปัญหาการบวก สำหรบั
นักเรยี นท่ีมีความบกพรอ่ งทางการได้ยนิ ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ท่ีจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้
เทคนิค STAD ร่วมกบั เทคนคิ KWDL. ค้นหาเมื่อ 18 สงิ หาคม 2564 จาก fulltext.pdf
ปาณิสรา สงิ หพงษ์. (2560). การจัดการเรียนรผู้ ่านบทเรียนออนไลน์ด้วยโปรแกรม Google site
เพ่อื พัฒนาผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น รายวชิ าโครงงานคอมพิวเตอร(์ ง31231) ของนักเรยี นช้นั
มัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรยี นสายปัญญารังสิต. ผลงานวจิ ยั ของคุรุสภา ประจำปี 2562.
ปรณี าพรรณ พมิ พ์พิศาล.(2562) การพฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ผ่านเวบ็ ไซต์ด้วยโปรแกรม Google site
รายวิชา ฟิสิกสเ์ พมิ่ เติม 3 เรื่อง คลื่นเสยี ง รหัสวชิ า ว30203 สำหรบั นักเรยี นระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปี
ท่ี 5 สายการเรยี นวิทยาศาสตร์ - คณติ ศาสตรโ์ รงเรยี นธรรมโชตศิ ึกษาลัย. สุพรรณบุร.ี
ปรีดา หล๊ะ ประภาศ ปานเจยี้ ง และกนกวรรณ วัตกินส์. (2558) การสร้างบทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน
เร่อื ง การสรา้ งตารางคำนวณดว้ ยโปรแกรมสำเร็จรปู สำหรบั นกั ศกึ ษาระดับประกาศนียบตั รวิชาชพี
ชัน้ ทปี่ ี 2. การปะชมุ หาดใหญ่วิชาการระดบั ชาติ ครั้งท่ี 6 มหาวทิ ยาลยั หาดใหญ่.
พงษว์ ภิ า เทวลี าภรณ.์ (2563). การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น โดยใช้ส่อื การสอนออนไลน์ Google
Site รายวชิ าการประมาณราคางานก่อสร้าง ของนักศึกษาระดับประกาศนยี บัตรวิชาชพี ชั้นปีที่ 3
สาขาวชิ าสถาปัตยกรรม วิทยาลัยเทคโนโลยีเมโทร. เชียงใหม่.
พพิ รรธ ซ่ือสัตย์ (2551). การพฒั นาการแก้โจทย์ปญั หา การบวก การลบโดยใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะของ
นกั เรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปี ที่ 3. ค้นหาเมื่อ 18 สงิ หาคม 2564 จาก research8 - 1.pdf
ภคพจ ไกรลพ และ ณฐั พงษ์ แตงเลย้ี ง. (2560). สือ่ การเรยี นรู้ เร่ือง เวบ็ ไซตบ์ รกิ ารGoogle site.
ค้นหาเมอ่ื 19 สิงหาคม 2564. จาก http://a - techbanchang.aksorn.ac.th/
ยอดชาย ขนุ สังวาลย.์ (2553). การพฒั นาบทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน เรื่อง ภาษาซเี บ้อื งต้นสำหรับ
นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาทีป่ ี 4 โรงเรยี นสงวนหญิง. คน้ หาเมื่อ 19 สิงหาคม 2564. จาก
http://www.thapra.lib.su.ac.th/thesis/
ลัดดาวรรณ ศรฉี มิ และบัญชา สำรวยรนื่ . (2559). การพฒั นาบทเรียนคอมพิวเตอรผ์ ่านเวบ็ ด้วยโปรแกรม
Google site ตามแนวทฤษฎสี รา้ งสรรค์ความรู้ เร่อื ง หลกั การทำโครงงานคอมพิวเตอร์ สำหรับชน้ั
มัธยมศึกษาปีท่ี 3. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ราชภฏั พิบูล
สงคราม.
สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. (2564). การคูณเลขยกกำลัง ตอนท่ี 1. สบื คน้ วนั ท่ี 15
กนั ยายน 2564, จาก https://youtu.be/RHt0WcXxN0E
บรรณานุกรม (ต่อ)
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2564). การคณู เลขยกกำลงั ตอนที่ 2. สืบคน้ วันที่ 15
กันยายน 2564, จาก https://youtu.be/2ahTKQVbPCg
สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2564). การคูณเลขยกกำลัง ตอนที่ 2. สืบค้นวนั ที่ 15
กนั ยายน 2564, จาก https://youtu.be/ - umj7rw8xdA
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2564). การคณู เลขยกกำลงั ตอนท่ี 2. สบื คน้ วนั ท่ี 15
กันยายน 2564, จาก https://youtu.be/vJXD7pmqzuM
สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี (2564). การคณู เลขยกกำลงั ตอนท่ี 2. สืบคน้ วนั ที่ 15
กันยายน 2564, จาก https://youtu.be/fxfVSc3AFjE
สหรฐั ทองยงั และจุฑามาศ ชัญญะพิเชฏฐ์. (2561). การพัฒนาบทเรยี นออนไลน์ เร่ือง ระบบลงทะเบียน
การศึกษาของนักศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี ชน้ั ปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏพบิ ูลสงคราม. รายงานวิจัย
สถาบัน มหาวทิ ยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม.
การวิเคราะหก์ ระบวนการในการแก้ปญั หาคณิตศาสตรเ์ รอ่ื งอัตราส่วนและสดั ส่วนของนักเรยี นในระดับช้ัน
มัธยมศึกษาปที ี่ 1. สบื ค้นเมอื่ 5 ตลุ าคม 2564, จาก http://www.ska2.go.th/reis/data
/research/25630904_214716_2167.pdf?fbclid=IwAR3d0nx48TwakkG2DGOJLYmsGQIASIa
WUkrMZdkL0cIQZdPws05e3Cg-_dk
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก
หนงั สอื ขอความอนุเคราะห์ผู้เช่ยี วชาญ
ที่ อว ๐๖๓๙.๐๗/ พิเศษ สาขาวชิ าการวดั ผลการศกึ ษา
คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สงขลา
อาเภอเมือง จงั หวดั สงขลา ๙๐๐๐๐
๑๘ ตลุ าคม ๒๕๖๔
เร่อื ง ขอความอนุเคราะห์เป็นผ้เู ชี่ยวชาญ
เรยี น นายนนทวัฒน์ อาหมาน
สิ่งที่สง่ มาด้วย ๑. เค้าโครงวิจยั จานวน ๑ ไฟล์
๒. แผนการจดั การเรยี นรู้ เรื่อง การคณู และการหารเลขยกกาลัง จานวน ๑ ไฟล์
๓. แบบทดสอบ จานวน ๑ ไฟล์
๔. แบบฝึกทักษะ จานวน ๑ ไฟล์
๕. เอกสารเกี่ยวกับวดิ ีโอการสอน เร่ือง การคูณและการหารเลขยกกาลัง จานวน ๑ ไฟล์
๖. เอกสารตัวอย่างเก่ียวกับบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ผา่ นเวบ็ Google site จานวน ๑ ไฟล์
ด้วยนักศึกษาชั้นปีท่ี ๓ คณะครุศาสตร์ สาขาวิชา คณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา จะทา
การวิจยั ในชั้นเรียน เร่ือง การคณู และการหารเลขยกกาลงั ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๑ โดยใช้วิดีโอการสอนร่วมกับ
แบบฝกึ ทกั ษะ ในบทเรียนคอมพิวเตอรผ์ า่ นเว็บ Google site
เพื่อให้การดาเนินการงานในครั้งน้ีดาเนินไปด้วยความเรียบร้อย จึงใคร่ขอความอนุเคราะห์จาก
ท่านตรวจสอบความสมบูรณ์ของแผนการจัดการเรียนรู้ ตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมของแบบฝึกเสริม
ทักษะ เอกสารรวบรวมเกี่ยวกับวิดีโอการสอน เอกสารตัวอย่างเกี่ยวกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บ
Google site รวมทง้ั ข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพ่ือให้งานวิจัยเกิดความสมบรู ณแ์ ละมปี ระสิทธิภาพ ตามเอกสารท่ี
ส่งมาพรอ้ มหนงั สอื น้ี
จงึ เรยี นมาเพือ่ โปรดพิจารณาอนุเคราะห์ และขอขอบคุณเปน็ อย่างสงู มา ณ โอกาสน้ี
ขอแสดงความนับถือ
(อาจารย์ ดร.มนตรี เดน่ ดวง)
อาจารย์ประจาวิชาวิจยั และพฒั นานวตั กรรมการเรียนรู้
ผปู้ ระสานงาน
นางสาวสุภาวดี ศรวี ะปะ โทร. ๐๖๕-๒๑๔๒๙๑๔
บนั ทึกข้อความ
ส่วนราชการ สาขาวชิ าการวัดผลการศกึ ษา คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา
ท่ี คคศ.
พิเศษ /๒๕๖๔ วันที่ ๑๘ ตลุ าคม ๒๕๖๔
เรื่อง ขอความอนเุ คราะหเ์ ป็นผเู้ ช่ยี วชาญ
เรยี น นายณัฐพงค์ จันทรเ์ พชร
ดว้ ยนักศกึ ษาช้ันปีที่ ๓ คณะครุศาสตร์ สาขาวิชา คณติ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สงขลา จะทาการ
วิจัยในช้ันเรยี น เร่อื ง การคูณและการหารเลขยกกาลัง ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๑ โดยใช้วดิ ีโอการสอนรว่ มกับแบบ
ฝึกทกั ษะ ในบทเรียนคอมพิวเตอรผ์ ่านเวบ็ Google site
เพ่อื ให้การดาเนนิ การงานในครง้ั นี้ดาเนนิ ไปดว้ ยความเรยี บร้อย จงึ ใครข่ อความอนเุ คราะหจ์ ากทา่ น
ตรวจสอบความสมบูรณ์ของแผนการจัดการเรียนรู้ ตรวจสอบความถกู ตอ้ งเหมาะสมของแบบฝกึ เสริมทกั ษะ
เอกสารรวบรวมเก่ียวกับวิดีโอการสอน เอกสารตวั อย่างเกี่ยวกบั บทเรียนคอมพวิ เตอร์ผา่ นเวบ็ Google site
รวมท้งั ข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพ่ือใหง้ านวจิ ัยเกิดความสมบูรณ์และมปี ระสิทธิภาพ ตามเอกสารท่ีสง่ มาพร้อม
หนังสอื นี้ ไดแ้ ก่
๑. เค้าโครงวจิ ยั จานวน ๑ ไฟล์
๒. แผนการจดั การเรียนรู้ เร่ือง การคณู และการหารเลขยกกาลัง จานวน ๑ ไฟล์
๓. แบบทดสอบ จานวน ๑ ไฟล์
๔. แบบฝึกทักษะ จานวน ๑ ไฟล์
๕. เอกสารเกีย่ วกบั วิดีโอการสอน เรือ่ ง การคูณและการหารเลขยกกาลงั จานวน ๑ ไฟล์
๖. เอกสารตัวอยา่ งเก่ียวกบั บทเรยี นคอมพิวเตอรผ์ ่านเว็บ Google site จานวน ๑ ไฟล์
จงึ เรียนมาเพือ่ โปรดพจิ ารณาอนเุ คราะห์ และขอขอบคณุ เป็นอยา่ งสงู มา ณ โอกาสนี้
(อาจารย์ ดร.มนตรี เดน่ ดวง)
อาจารย์ประจาวิชาวิจยั และพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้
ผู้ประสานงาน
นางสาวเกษรนิ คีรี โทร.๐๙๐-๒๑๓๐๕๕๓
บนั ทกึ ข้อความ
สว่ นราชการ สาขาวิชาการวัดผลการศึกษา คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสงขลา
ที่ คคศ.
พิเศษ /๒๕๖๔ วนั ท่ี ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๔
เร่ือง ขอความอนเุ คราะห์เป็นผ้เู ชย่ี วชาญ
เรียน นายภูริทตั จิตตร์ ตั น์
ดว้ ยนักศกึ ษาชนั้ ปีท่ี ๓ คณะครศุ าสตร์ สาขาวชิ า คณติ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา จะทาการ
วิจยั ในช้นั เรยี น เรอื่ ง การคณู และการหารเลขยกกาลัง ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยใชว้ ิดโี อการสอนรว่ มกับแบบ
ฝึกทกั ษะ ในบทเรยี นคอมพวิ เตอรผ์ า่ นเว็บ Google site
เพอื่ ให้การดาเนนิ การงานในคร้ังนดี้ าเนินไปด้วยความเรียบร้อย จงึ ใคร่ขอความอนเุ คราะหจ์ ากท่าน
ตรวจสอบความสมบรู ณ์ของแผนการจดั การเรียนรู้ ตรวจสอบความถูกตอ้ งเหมาะสมของแบบฝกึ เสรมิ ทกั ษะ
เอกสารรวบรวมเกย่ี วกบั วดิ ีโอการสอน เอกสารตัวอย่างเก่ยี วกับบทเรียนคอมพิวเตอรผ์ า่ นเว็บ Google site
รวมท้งั ขอ้ เสนอแนะต่าง ๆ เพื่อใหง้ านวิจัยเกิดความสมบรู ณ์และมีประสิทธิภาพ ตามเอกสารทีส่ ่งมาพร้อม
หนังสือน้ี ได้แก่
๑. เคา้ โครงวิจยั จานวน ๑ ไฟล์
๒. แผนการจดั การเรียนรู้ เรอ่ื ง การคณู และการหารเลขยกกาลงั จานวน ๑ ไฟล์
๓. แบบทดสอบ จานวน ๑ ไฟล์
๔. แบบฝกึ ทักษะ จานวน ๑ ไฟล์
๕. เอกสารเก่ยี วกบั วดิ ีโอการสอน เรือ่ ง การคณู และการหารเลขยกกาลัง จานวน ๑ ไฟล์
๖. เอกสารตัวอย่างเกี่ยวกบั บทเรียนคอมพิวเตอรผ์ า่ นเวบ็ Google site จานวน ๑ ไฟล์
จึงเรยี นมาเพอ่ื โปรดพจิ ารณาอนุเคราะห์ และขอขอบคณุ เปน็ อยา่ งสงู มา ณ โอกาสน้ี
(อาจารย์ ดร.มนตรี เด่นดวง)
อาจารยป์ ระจาวิชาวจิ ยั และพฒั นานวัตกรรมการเรยี นรู้
ผู้ประสานงาน
นายธนาวฒุ ิ จิโสะ โทร.๐๘๒-๙๒๑๐๒๕๕