บทที่ 5 การพัฒนาภาวะผู้นำของผบู้ รหิ ารสมู่ ืออาชีพ 87
2. นกั ธรุ กจิ หรือผ้ทู ่ีต้องการเตรียมความพรอ้ มสูค่ วามเป็นผ้นู ำแบบมอื อาชพี
เนอ้ื หาหลกั สูตร
1. กรณศี กึ ษาการไตบ่ ันไดผนู้ ำสู่ Top Leader ขององคก์ ร
เนอ้ื หาการบรรยาย :
- กรณีศึกษา CEO ที่ประสบความสำเรจ็ ทัง้ ในประเทศและต่างประเทศ
- บทเรียนความสำเร็จ & ความลม้ เหลว : ประโยชน์และคณุ ค่าทีไ่ ด้รบั
2. Real Success เพื่อการเตบิ โตทย่ี ง่ั ยนื สำหรับผู้นำ
เนื้อหาการบรรยายและกิจกรรม : - ความเหมือนและความต่างของ ผู้นำ & ผู้จัดการ - 5
ขั้นตอนของภาวะผู้นำ เช่น Persistence Leadership level, Permission Leadership level ,
Production Leadership level , People Development Leadership level ,People Hood
Leadership level
กจิ กรรม : การประเมินภาวะผู้นำ (Self Concept)
ท่านเป็นผู้นำแบบไหน ? ภาวะที่ท่านเป็นมีประโยชน์ต่อการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่าง
ยั่งยนื อย่างไร ? และทา่ นปรารถนาจะปรงุ ปรบั หรอื พัฒนาภาวะผู้นำ (Self Concept) ในเร่อื งใด ?
3. อุปนสิ ัยผ้นู ำทยี่ อดเยี่ยมและวิธีปฏิบตั ิ I: Proactive and Creative
เนื้อหาการบรรยายและกิจกรรม : -Proactive & Reactive – ผู้นำชี้ที่ตนเอง – ผู้นำคิด
บวกและนำการกระทำเชงิ บวกอยา่ งสร้างสรรค์ และผู้นำ นำการเปล่ยี นแปลง
กิจกรรม : แบบอย่างผนู้ ำสู่ความสำเรจ็
4. อปุ นิสัยผู้นำทย่ี อดเยี่ยมและวิธีปฏบิ ตั ิ II: Principle-Centered & Goal Setting
เนื้อหาการบรรยาย : - ตวั อย่าง : แรงบันดาลใจของผูป้ ระสบความสำเร็จโดยการมีแผนงาน
และเป้าหมาย – เป้าหมายชวี ิตและเปา้ หมายในงาน - SMART Goal
กิจกรรม : SMART Goal Setting - ผู้นำกับกลยุทธ์องค์กร & Mission, Vision, Core
Value Strategy - ผู้นำกบั การสอื่ สารแผนนโยบายและเป้าหมายองค์กร
5. อุปนสิ ยั ผนู้ ำที่ยอดเยีย่ มและวธิ ีปฏิบัติ III: Prioritization &Time Management
เนื้อหาของการบรรยายและกิจกรรม : - การจัดลำดับความสำคัญและแผนงาน - ผู้นำ &
การบริหารเวลา - วินัย & การส่งมอบงาน – การจัดลำดับความสำคัญและการบริหารเวลา - การ
บริหารเวลา & การจัดการเอกสาร - การบรหิ ารเวลาและการจัดการประชุม
88 ภาวะผ้นู ำและการทำงานเปน็ ทมี
6. อุปนสิ ยั ผนู้ ำที่ยอดเยยี่ มและวิธปี ฏิบตั ิ IV: Think Win-Win & Act Win-Win
เนอ้ื หาการบรรยายและกจิ กรรม :
กิจกรรม : Win-Win Game - คิดและทำงานแบบ win-win - โลกใบใหม่-เมตตาทุนนิยม
เพ่อื การเติบโตท่ีย่ังยนื - จาก CSR สู่ & CSV เพ่อื การเตบิ โตทางธรุ กิจที่ย่งั ยนื
7. อุปนิสัยผู้นำที่ยอดเยี่ยมและวิธีปฏิบัติ V : Understanding Human nature and
Communication
เนื้อหาในการบรรยายและกิจกรรม : - เข้าใจผู้อื่นก่อนให้ผู้อื่นเข้าใจเรา – ความเข้าใจใน
ความแตกต่างของบุคคล - ผู้นำกับการทำงานระหว่างหัวหน้า ลูกน้องและลูกค้าที่มีลักษณะท่ี
แตกตา่ งกนั -Clip VDO: การส่อื สารใหไ้ ด้ใจคน
8. อุปนิสยั ผนู้ ำที่ยอดเย่ยี มและวิธีปฏบิ ัติ VI: Team Dynamic
เนื้อหาในการบรรยายและกจิ กรรม : - ทีมและองค์ประกอบของทมี - ผนึกพลังการทำงาน
ประสานความแตกตา่ ง
กิจกรรม : การวเิ คราะหต์ นเองในการสร้างทีมระหว่าง งาน & คน
9. อปุ นสิ ัยที่ยอดเยยี่ มและวธิ ีปฏิบัติ VII: Stay Foolish-Stay Hungry
เน้ือหาในการบรรยายและกิจกรรม : - Stay Foolish, Stay Hungry - เติบโตเตม็ ศกั ยภาพ
พัฒนาขีดความสามารถอย่างต่อเนื่อง - Paradoxes of Leadership - Determination: ตัดสินใจ
ทำ ทนั ที
กิจกรรม : การประมวลความรู้ ความเข้าใจและทักษะต่าง ๆ เพื่อการใช้ประโยชน์สูงสุดใน
การปฏบิ ัตงิ านในองค์กร
กิจกรรม : แบ่งปนั ประสบการณ์และถาม/ตอบ
ส่ิงทีผ่ เู้ ขา้ อบรมได้รบั
1 สามารถค้นหาและดงึ ศกั ยภาพแหง่ ภาวะผู้นำมาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชนไ์ ด้
2. มีกระบวนการคิดและบริหารจัดการตัวเองได้อย่างเป็นระบบ รวมถึงการเป็นผู้นำทาง
ความคิด การกระทำ และนำการเปลีย่ นแปลง
3. มแี รงบนั ดาลใจและเหน็ คณุ คา่ ของการเป็นผนู้ ำในองค์กร
4. เพิ่มขีดความสามารถในการฟงั การสอ่ื สาร และการประสานงาน
5. เป็นผู้มีความเข้าใจในการทำงานกับบุคคลอื่น มีความรู้ความเข้าใจและมีทักษะการเป็น
หัวหน้างานท่ีดี สามารถการสร้างบรรยากาศในการ ทำงานเป็นทีม
บทท่ี 5 การพฒั นาภาวะผ้นู ำของผู้บรหิ ารสมู่ อื อาชพี 89
6. เปน็ ผูน้ ำในการพฒั นาและการเตบิ โตอยา่ งมาหยดุ ยัง้
7. เปน็ ทีย่ อมรบั นับถือของลูกน้อง เป็นทชี่ ่ืนชอบของเจ้านาย เป็นผู้นำทท่ี รงประสิทธิผลของ
องคก์ ร
โปรแกรมพฒั นาศกั ยภาพผู้นำรุ่นใหม่
โปรแกรมพัฒนาศักยภาพผู้นำรุ่นใหม่ เพื่อความสำเร็จของธุรกิจอย่างยั่งยืน (ออนไลน์,
http://ultimateleader.co.th/leadership-development-programs-2/ ,2563).
เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาภาวะผู้นำอย่างเป็นระบบมุ่งเน้นกระบวนการสร้าง
และพัฒนาภาวะผู้นำของตนเอง รวมถึงเทคนิคการจูงใจทีมงานในสถานการณ์ต่างๆ โดยผสมผสาน
ความรทู้ างวชิ าการ เช่น ภาวะผนู้ ำของผู้บรหิ ารยุคใหม่ กระบวนการปฏิบัติ และการแสดงภาวะผู้นำ
ที่เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ รวมทั้งความรู้เชิงจิตวิทยา อาทิ ความเข้าใจทางด้านบุคลิกภาพ
การสังเกตพฤติกรรม การสร้างความไว้วางใจ การปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมกับทีมงานแต่ละสไตล์
การสื่อสารและการจูงใจทีมงาน อันจะเป็นแนวทางให้ “ผู้จัดการ/หัวหน้างาน” สามารถนำไป
ประยุกต์ใช้ให้ตรงตามสถานการณ์ ลักษณะบุคคล และลักษณะขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สูงสุด
วตั ถุประสงค์
1. ผ้เู ข้ารับการอบรมมคี วามเขา้ ใจในการแสดงภาวะผนู้ ำไดเ้ หมาะสมกบั สถานการณ์ต่างๆ
เพื่อนำทีมไปสเู่ ปา้ หมายทตี่ ้องการร่วมกนั ได้
2. ผู้เข้ารับการอบรมสามารถคน้ หาจดุ แข็งจดุ เดน่ ของตนเอง และทมี งานเพอ่ื พฒั นาตอ่
ยอดได้ง่ายขึ้น พร้อมเรียนรู้หลักการสร้างแรงบันดาลใจให้ทีมงานช่วยเติมเต็มเสริมจุดแข็ง เพิ่มคนดี
คนเก่ง และมีความสุขในองคก์ รมากข้นึ
3. ผู้เข้ารับการอบรมสามารถบริหารงาน จูงใจ และพัฒนาทีมงานของตนเอง โดยการลด
ปญั หาความขัดแยง้ ด้านการบรหิ ารงานระหว่างผจู้ ัดการ/หวั หนา้ งานกบั ทีมงานได้
1. รายละเอยี ดหวั ข้อการบรรยาย
“โปรแกรมพฒั นาศักยภาพผูน้ ำรุ่นใหม่ เพือ่ ความสำเร็จของธุรกิจอยา่ งย่ังยนื ”
สำหรบั กลุ่มผจู้ ดั การและผ้ชู ว่ ยได้รับการออกแบบขน้ึ เพ่ือเสริมความรู้ และทกั ษะการบริหาร
จัดการที่เชื่อมโยง 4 ระดับ คือ องค์กร หน่วยงาน ทีมงาน ตนเอง และให้ความสำคัญกับ 2 ประเด็น
หลักคอื การบริหาร (Management) และการพฒั นา (Development)
90 ภาวะผ้นู ำและการทำงานเปน็ ทมี
ทั้งนี้ ในการกำหนดหัวข้อฝึกอบรมจะมุ่งเน้นความรู้ ทักษะ และความสามารถด้านต่างๆ ที่
จำเป็นของผู้นำยุคใหม่ เริ่มจากระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับสูง โดยระหว่างการฝึกอบรมจะมี
การอบรมและมอบหมายงานอย่างต่อเนื่อง และให้ผู้เข้าอบรมกำหนดโครงงานที่สนับสนุนทิศทาง
ขององคก์ ร โดยประมวลความรูจ้ ากการอบรมในโปรแกรมมาใช้งานจริง
ตัวอย่างหลักสูตร : ภาวะผู้นำกับการบริหารองค์กรยุคใหม่ (Leadership with Modern
Enterprise Management) (หลักสูตร 1 วนั )
องคก์ รทตี่ อ้ งการเติบโตอย่างต่อเน่ืองมีความจำเป็นในการพฒั นาบุคลากรให้มีความสามารถ
3 ดา้ นหลกั คือการคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking) การเสริมสรา้ งภาวะผู้นำ(Leadership) และ
การมีความสามารถในการบริหารจัดการ (Management) “ 3 เก่ง คือ เก่งคิด เก่งคน และเก่ง
จดั การ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้จดั การ/ผู้บริหารระดับกลางขององค์กรเพราะเปน็ กลุ่มบุคคลท่ีต้อง
คอยผลักดันองค์การเป็นหลักพร้อมกับการพัฒนาทีมงานไปควบคู่กัน ดังนั้นการพัฒนาทรัพยากร
มนุษย์ (Human Resources Development) ใหม้ คี วามสามารถทั้ง 3 ด้านจงึ มีความเปน็ อย่างย่งิ มี
ความสำคญั อยา่ งยิง่ ต่องานด้านการพฒั นาทรัพยากรมนุษย์ เพราะการจะช่วยให้ผรู้ ว่ มงานจดั การงาน
ไดเ้ ป็นไปตามเปา้ หมายขององค์กร
วตั ถุประสงค์ เพื่อใหผ้ ู้เรียนเข้าใจการทฤษฎีการบรหิ ารองค์กรสำหรบั ผบู้ รหิ ารยคุ ใหม่
1. เพ่อื ให้ผเู้ รยี นมเี คร่ืองมือและเทคนิคการแก้ปัญหาตา่ งๆ ทช่ี ว่ ยเสริมประสทิ ธภิ าพตอ่ การ
บริหารองค์กร
2. เพ่ือสง่ เสริมการพัฒนาพนักงานให้มคี วามสามารถในการเปน็ ผู้บริหารยุคใหม่อยา่ ง
แท้จรงิ และพัฒนาทมี งานเพือ่ ความสำเร็จขององค์กร
เนื้อหาหลักสูตรประกอบด้วย
1. การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรบั การเปน็ ผู้นำ และการบรหิ ารจดั การเวลาเพอ่ื สมดลุ ของ
การทำงานและชวี ิต
2. กบั ดกั ของความก้าวหนา้ และความคดิ ท่ีสกดั กนั้ ศักยภาพของตนเอง และคุณสมบัติของ
ผูน้ ำ ยทุ ธศาสตรก์ ารบรหิ ารเวลาเพื่อเร่งความสำเร็จในชวี ติ และการงาน
3. การบริหารเวลา เครอ่ื งมือท่ีทรงประสทิ ธภิ าพและการปรบั ประยกุ ต์ใชเ้ พ่อื สรา้ งสมดลุ
ของชีวติ
4. การประยุกต์ใช้ Smart Working plan กบั การทำงานและจัดสมดุลชวี ติ
5. การบรหิ ารเวลาอย่างมีประสิทธภิ าพดว้ ย Weekly Smart Working Plan
บทที่ 5 การพัฒนาภาวะผู้นำของผ้บู ริหารสมู่ ืออาชีพ 91
Workshop : ลงมือสร้าง Smart working plan เพื่อการพฒั นาการทำงานและดงึ ศกั ยภาพ
ที่ซ่อนอยู่มาใช้แนวทางปฏิบัติเพื่อการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิผล เช่น ทฤษฎี พาเรโต 80: 20
เพื่อการบริหารเวลาและผลลัพธ์ และทฤษฎี Time Matrix การบริหารการจดั ลำดับความสำคญั ของ
งาน ( Work Priority )
Workshop : ฝึกปฏิบตั พิ ฒั นาทักษะการลำดับความสำคัญ ด้วย Time Matrix
ผู้นำกับการตั้งเป้าหมาย หลักการตั้งวิสัยทัศน์, ภารกิจ และ การกำหนดเป้าหมายของ
หน่วยงานที่ตนเองรับผิดชอบ การตั้งเป้าหมายองค์กรและการกระตุ้นทุกคนในองค์กรให้ตอบสนอง
ต่อเป้าหมาย กรณีศึกษา : การตั้งเป้าหมายเพื่อการบริหารหน่วยงาน ผู้นำกับการบริหารทีมงาน
(Leadership with Management) บทบาทของผู้นำทีมงาน คุณลักษณะและองค์ประกอบของทีม
ที่มีประสิทธิภาพ การประเมินศักยภาพของสมาชิกทีมงาน วิธีการแปลงแนวคิดสู่ภารกิจย่างเป็น
รูปธรรม SOAR Model แนวทางในเขียนแผนงานธุรกิจภายในโดยคำนึงถึง ศักยภาพที่แท้จริงของ
ตนเองและทีมงาน เทคนคิ การเขยี นแผนงานธุรกิจใหต้ อบโจทยเ์ ป้าหมายองคก์ รและโดนใจผบู้ รหิ าร
Workshop : กิจกรรม “A4 Business plan” การวางกลยุทธ์การทำงานให้ประสบ
ความสำเร็จภายใต้ ปัจจัยการผลิตและศักยภาพท่ีมีอยู่จริง ผู้นำกับการจูงใจ ( Leadership with
motivation) เช่น หลักจิตวิทยาในการบริหารคนด้วยอำนาจ, อิทธิพล, ศรัทธา, บารมี , การ
ปรับเปลี่ยนทัศนคติและการสร้างความคิดเชิงบวก, อารมณ์และการจัดการกับอารมณ์, ความเข้าใจ
และการจัดการกับอารมณ์ผู้อื่น (ลูกค้า), การวิเคราะห์ทีมงานและการบริหารทีมในเชิงจิตวิทยา
ทักษะผู้นำกับการจูงใจทีมงาน เช่น ทักษะผู้นำกับการจูงใจทีมงาน หลักสำคัญของการจูงใจ ปัจจัย
สำคัญต่อทีมีประสิทธิผลของการจงู ใจ การกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่พึงปรารถนา การควบคุมหรือ
ลดพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา วิธีการแปลงกลยุทธ์การคิดเชิงบวกเพื่อการขับเคลื่อนทีมอย่างเป็น
รูปธรรม เข้าใจภาวการณ์กับพฤติกรรมของคนในที่ทำงาน เข้าใจลักษะการทำงานของแต่ละบุคคล
และความแตกต่าง เรียนรู้พฤติกรรมและอวัจนภาษา เพื่อเข้าใจความหมายที่แท้จริงด้วย โมเดล
PTFAR เทคนิคการการฟังเพื่อเข้าถึงความรู้สึก ความต้องการ คุณค่า เจตนา เทคนิค การ
สือ่ สารเพอื่ ทำงานร่วมกับคนทีแ่ ตกต่างและสรา้ งทมี ทที่ ำงานร่วมกันอยา่ งมคี วามสุข
Workshop : รจู้ กั ตวั เอง:เขา้ ใจตนเอง มองเห็นขอ้ ดใี นตนเอง เหน็ วธิ ีการคดิ การเรียนรู้
การตดั สนิ ใจของตนเอง
92 ภาวะผู้นำและการทำงานเปน็ ทมี
Workshop : รู้จักผ้อู ่นื :มองเห็นสาเหตขุ องความขดั แยง้ จากการใหค้ ุณคา่ ท่ตี า่ งกัน และฝึก
ปรบั มมุ มองให้เห็นข้อดผี ู้อืน่ เกิดการยอมรบั ความในความแตกต่าง ส่งผลให้มกี ารสอ่ื สารที่เปิดใจมาก
ขึน้
กรณศี กึ ษา : การจูงใจ ผนู้ ำกับการแก้ไขปัญหาและตัดสินใจ (Leadership with problem
solving and Decision-making), บทบาทของผู้นำกับการตัดสินใจ, กระบวนการวิเคราะห์ปัญหา
และตัดสินใจ, เครื่องมือสำหรับการคิดเชิงตรรกะและเทคนิคการแก้ปัญหาเชิงระบบ Fish bone
(Cause & Effect Diagram)
Workshop 1 : กจิ กรรมฝึกคดิ แก้ปัญหาด้วยการคิดเชงิ ตรรกะ ด้วย Fish bone (Cause &
Effect Diagram) “คำตอบที่ถูกต้องมีเพียงหนึ่งคำตอบ” กฎการตัดสินใจโดยเมื่อต้องคิดเรื่อง
“กำไร-ขาดทุน” P-Q Model เครื่องมือในการแก้ปัญหาและตัดสินใจ และการสื่อสารผลการ
ตัดสนิ ใจ
กรณีศึกษา : การวิเคราะห์ปัญหาและตัดสินใจ ผู้นำกับการให้คำปรึกษาและการสอนงาน
(Leadership with mentoring and coaching) บทบาทของผู้นำต่อการเปน็ ทปี่ รึกษาและการสอน
งาน หลกั ของการให้คำปรึกษาและการสอนงาน เทคนิคของการใหค้ ำปรึกษาและการสอนงาน การ
สร้างและพัฒนาศักยภาพทีมงานด้วยการโค้ช GROWTH Framework เทคนิคการให้ข้อมูล
ปอ้ นกลบั เชงิ บวก (Positive Feed forward)
บทสรุป
สมรรถนะ (Competency) ก็คือ ความรู้ (Knowledge), ทักษะ (Skill) ตลอดจน
คุณลักษณะส่วนบุคคล (Personal Characteristic of Attributes) ที่ส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรม
(Behavior) ซ่ึงจำเปน็ และมผี ลทำให้บุคคลนั้นปฎิบตั ิงานท่ีอยใู่ นความรับผดิ ชอบได้ดยี ิ่งข้ึน และเหนอื
ผู้อื่น หรือเหนือกว่าเกณฑ์รวมถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยสมรรถนะนั้นเกิดได้จาก 1) พรสวรรค์ที่
ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด 2) ประสบการณ์การทำงานที่สั่งสมมา 3) การฝึกอบรมพัฒนาต่าง ๆ
องค์ประกอบของสมรรถนะ ประกอบดว้ ย องคค์ วามรู้ ทักษะ และแนวความคดิ ส่วนบคุ คล ลักษณะ
อน่ื ๆ ของนกั บรหิ ารมืออาชีพ ไดแ้ ก่ การมมี นษุ ยสัมพันธ์ การพัฒนาตนเองให้เปน็ ผู้ใฝ่รู้ มีวิสัยทัศน์
ของนักบริหารมืออาชีพ มคี ุณสมบัติและทัศนคติพเิ ศษทจ่ี ำเปน็ ต่อการสนองประโยชนใ์ ห้แก่ส่วนรวม
รวมทั้งการปิดหู ปิดตา และปิดปาก ที่เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่น่าจะนำมาใช้ได้เป็นอย่างดีการเป็นมือ
บทท่ี 5 การพัฒนาภาวะผ้นู ำของผู้บรหิ ารสมู่ ืออาชีพ 93
อาชพี ด้านการบริหารได้มาจากการฝึกฝน อบรม และทำอย่างสม่ำเสมอจนเกิดความชำนาญ นิสัยรัก
ความรบั ผดิ ชอบต่อหนา้ ทแ่ี ละองคก์ าร
แบบฝกึ หัดทา้ ยบท
1. จงอธบิ ายถึงวิธกี ารพฒั นาผบู้ รหิ ารแบบมอื อาชีพที่สำคญั คอื อะไร จงอธิบาย
2. หลักการสำคัญของการทำงานตามแนวทางพระราชดำริ ของรัชกาลที่ 9 มี 14 ข้อ
อะไรบา้ ง
3. ทฤษฎีลงิ 3 ตัวน้ี เปน็ ทฤษฎีของขงจ้ือ มีอะไรบ้าง จงอธบิ าย
4. จงอธิบายแนวคดิ ในการพัฒนาตนเอง “แนวคิดการพัฒนาคณุ ภาพชีวิต” ว่าควรคำนึงถึง
คณุ สมบัตพิ ้นื ฐาน 7 ประการ มีอะไรบ้าง
5. จงเขยี นโครงการการพัฒนาสมรรถนะของผนู้ ำมา 1 โครงการ ตามหลักการทางวิชาการ
6. การพัฒนาสมรรถนะของผ้นู ำตอ้ งเนน้ เรือ่ งใดบา้ ง จงอธิบาย
7. การเสริมสร้างสมรรถนะ (Competency) ให้บุคลากรส่งเสริมการบริหารทรัพยากร
มนุษย์ในองคก์ รให้มปี ระสิทธิภาพ.ประกอบ ด้วยส่ิงใดบา้ ง
8. โปรแกรมพัฒนาศกั ยภาพผู้นำรนุ่ ใหม่ เพื่อความสำเรจ็ ของธรุ กิจอยา่ งยง่ั ยืน ประกอบด้วย
เรื่องใดบา้ ง
9. ทักษะที่คนทำงานและองค์กรชั้นนำต้องมีในการทำงานของพนักงานที่เหมาะสมในยุค
ปัจจบุ นั
10. ท่านเหน็ ด้วยกบั แนวทางพระราชดำริสู่การบริหารภาครัฐ ท่ีควรนำมาใช้กับการทำงาน
อย่างไร จงอธบิ าย
94 ภาวะผนู้ ำและการทำงานเปน็ ทีม
เอกสารอ้างองิ
ทกั ษะท่ีคนทำงานและองค์กรชน้ั นำ. สบื ค้นเม่ือ 20 กุมภาพันธ์ 2563. จาก
https://th.hrnote.asia/tips/10-future-skills-conicle/.
โปรแกรมพัฒนาศกั ยภาพผู้นำรนุ่ ใหม่ เพ่อื ความสำเรจ็ ของธุรกิจอย่างย่งั ยืน. สบื คน้ เมือ่ 20
กุมภาพันธ์ 2563. จาก http://ultimateleader.co.th/leadership-development-
programs-2/.
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์. (2549). แนวทางพระราชดำรสิ ู่การบริหารภาครัฐ. สืบคน้ เมื่อ 20
กมุ ภาพนั ธ์ 2563. จาก http://thainewdocument.blogspot.com/2008/11/blog-
post_5978.html.
เรวัติ ชาตรวี ิศษิ ฏ์. การบริหารองคก์ ารยุคใหม่. สบื ค้นเมือ่ 20 กมุ ภาพนั ธ์ 2563 จาก
http://thainewdocument.blogspot.com/2008/11/blog-post_5978.html#more
สถาบันฝกึ อบรม The Best Training. (2563). หลกั สตู ร “Essential Qualities and Skills for
Leadership.” สืบค้นเมื่อ 22 มกราคม 2563. จาก https://www.thebest-
บทที่ 5 การพัฒนาภาวะผู้นำของผ้บู ริหารสมู่ ืออาชพี 95
training.com.
สมรรถนะ. สืบคน้ เมอ่ื 12 ตุลาคม 2563. จาก http://competency.rmutp.ac.th/wp-
content/uploads/2011/01/aboutcompetency.pdf).
สมาคมสถาบนั การศึกษาการธนาคารและการเงินไทย. (2546). พฤติกรรมในองค์การ. กรุงเทพฯ :
เอราวณั การพมิ พ.์
สุภาส เครอื เนตร. (2541). แนวคิดการพัฒนาคณุ ภาพชีวติ . กรุงเทพ ฯ : โรงพมิ พเ์ ลีย่ งเชียง.
เสรมิ สรา้ งสมรรถนะ. สบื คน้ เมอ่ื 20 กมุ ภาพนั ธ์ 2563 จาก
https://th.hrnote.asia/orgdevelopment/190624-competency/.
McClelland, David C. (1973) . “Testing for Competence rather than Intelligence.”
American Psychologist. Retrieved December 11, 2005, from www.ei.
Haygroup.com.
บทท่ี 6 แนวคิดการทำงานเป็นทีม 97
บทท่ี 6
แนวคดิ การทำงานเปน็ ทีม
การทำงานเป็นทีมจะเห็นว่าเป็นการประสานงานหรือความร่วมมือซึ่งกันและกัน จะเห็นว่า
การทำงานให้บรรลผุ ลสำเรจ็ ตามเปา้ หมายของหน่วยงาน ตอ้ งมกี ระบวนความคดิ ทัศนคติ มมุ มองให้
เป็นไปในทางเดียวกันทั้งกลุ่ม หรือคนในทีม อย่าคิดแต่ว่าทำคนเดียวสำเร็จ ในปัจจุบันนี้หากสำเร็จ
ดังใจนึกไม่ได้อีกแล้วหากไม่มีทีม หรือเครือข่ายของการทำงาน ผู้ร่วมทีมงานต้องมีการเปิดใจกับ
การทำงาน ร่วมฟังความคิดเห็นของผู้อื่นในทีมด้วย เพื่อช่วยให้งานออกมามีประสิทธิภาพมากข้ึน
สร้างมิตรภาพร่วมกันในการทำงาน ดังนั้น การทำงานผ่านการสร้างทีมงาน จึงมีความสำคัญอย่าง
มาก ในบทนี้จะกล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับความหมายและความสำคัญของทีม องค์ประกอบของ
ทีม ประเภทของทีม ลักษณะของทีมที่มีประสิทธิภาพ การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพและ
ประสทิ ธิผล และทักษะการทำงานเปน็ ทีม
ความหมายของทีม
สำหรับการดำเนินงานขององค์การเพ่ือให้บรรลวุ ัตถุประสงค์และเป้าหมายท่ีกำหนดไว้อย่าง
มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ทุกคนในองค์การต้องร่วมกำลังกายและกำลังใจในการผลิตผลงาน
ร่วมกัน ผู้บริหารจึงต้องพยายามจะสร้างทีมงานที่เข็มแขง็ ใหเ้ กดิ ขึน้ ในองค์การ และกระตุ้นใหท้ ุกคน
มคี วามรูส้ ึกวา่ เปน็ ผ้มู สี ่วนร่วมในฐานะคนหน่ึงของทมี
มนี ักวิชาการใหค้ ำจำกดั ความของคำว่า ทมี ไว้ตา่ ง ๆ กัน สามารถสรปุ ไดด้ งั น้ี
สุนนั ทนา เลาหนันทน์ (2549 : 62) สรปุ ไวว้ ่าทีม หมายถึง กลุม่ ของบุคคลทีท่ ำงานร่วมกัน
มีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม ช่วยกันทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเดียวกันอย่างมี
ประสิทธิภาพ และผรู้ ่วมทมี ต่างมคี วามพอใจในการทำงานนัน้
สมคิด บางโม (2558 : 235) กล่าวว่า ทีม (Team) หมายถึง กลุ่มของคนที่ทำงานร่วมกัน
มุ่งมั่นในความสำเร็จของงานร่วมกัน ทีมงานจึงเป็นกลุ่มคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่รวมตัวกันอย่างจริงจังเพื่อ
ทำงานด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะในองค์การต่าง ๆ ที่มีขนาดใหญ่ งานจะประสบความสำเร็จตาม
เปา้ หมายไดจ้ ะตอ้ งมีทมี งานหรือมกี ารทำงานเปน็ ทมี มากกวา่ ทีท่ กุ คนจะทำงานไปตามลำดบั
สาโรจน์ โอพิทักษ์ชีวิน (2554 : 544) สรุปไว้ว่า ทีม (Team) หมายความถึง การฟอร์มตัว
ของบุคคล ซึ่งมีทักษะที่เกื้อกูลกัน (Complementary Skills) ผู้ซึ่งไว้วางใจกันและกันและมีคำม่ัน
98 ภาวะผูน้ ำและการทำงานเป็นทมี
สญั ญาตอ่ จดุ ประสงค์รว่ มกนั ต่อเปา้ หมายผลงานรว่ มกนั และตอ่ แนวทางรว่ มกัน ทีซ่ ่ึงพวกเขามีพนั ธะ
หนา้ ทีค่ วามรับผิดชอบรว่ มกนั (Mutually Accountable)
เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ (2556 : 4) สรุปไว้ว่า ทีมเป็นกลุ่มประเภทหนึง่ โดยทั่วไปเกี่ยวข้อง
กบั กฬี าหรือการทำงาน มีการกำหนดหน้าทใ่ี ห้ปฏิบตั ิและมีบทบาทของสมาชกิ ท่ีเกย่ี วกับหนา้ ที่
Moorhead and Griffin (2001 : 309) อธิบายว่า การศึกษาทีมมีหลายชื่อ เช่น ทีมกำกับ
ตนเอง (Self-Directed Teams) ทีมจัดการตนเอง (Self-Managing Teams) กลุ่มทำงานที่เป็น
อิสระ (Autonomous Work Groups) การจัดการแบบมีส่วนร่วม (Participative Management)
และชื่ออื่น ๆ อีกหลายชื่อ กลุ่มและทีมไม่ใช่เป็นสิ่งเดียวกัน แม้สองคำนี้นิยมใช้สลับกันตาม
พจนานุกรมอธิบายว่า “กลุ่ม” ตามปกติ หมายถึง การมาอยู่รวมกันของคน หรือนำสิ่งของมากอง
รวมกัน ขณะที่ “ทีม” ตามปกติหมายถึง คนหรือสัตว์ที่จัดเป็นกลุ่มมาทำงานด้วยกัน ดังนั้น คำว่า
“ทีม” จึงเน้นการกระทำที่มารวมกันมากกว่า “กลุ่ม” อย่างไรก็ตาม การใช้คำพูดในชีวิตประจำวัน
ท่วั ไป คำว่า “คณะกรรมการ” (Committee) “กลมุ่ ” (Group) “ทีม” (Team) และ “คณะทำงาน”
(Task Force) เปน็ คำท่มี ักถกู ใช้สลับทกี่ นั
Ivancevich and Matteson (2002 : 328) นิยามว่า ทีมถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่เจริญเติบโต
เตม็ ท่แี ลว้ ประกอบด้วยคนทพ่ี ง่ึ พาอาศัยกนั มีแรงจงู ใจ และมคี วามผกู พันรว่ มกันเพ่ือทีจ่ ะดำเนินการ
ใหบ้ รรลจุ ุดมงุ่ หมายทต่ี กลงกนั
Topchik (2007 : 2) นิยามว่า ทีมเป็นกลุ่มบุคคลที่ต้องการบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
ดว้ ยการทำงานพึ่งพิงกัน สอื่ สารอยา่ งมีประสิทธิผลและตัดสินใจที่มีผลต่อการทำงาน ทีมมีความเป็น
อิสระในระดับหนึ่งและพัฒนาขั้นตอนขึ้นมาเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ท้ัง
ทางด้านเทคนิคและทักษะทีม เป็นเครื่องหมายรับประกันคณุ ภาพอย่างหนึ่งของทีม เพื่อให้ผู้นำหรอื
ผู้บริหารทีมฝึกอบรมวิธีจัดการและนำทีม ทีมมีเป้าประสงค์หรือจุดมุ่งหมายร่วมกันและมีข้อความ
พันธกิจท่กี ล่าวถงึ เป้าประสงค์ดังกล่าวอย่างชดั เจน ทีมรู้ว่าผลลพั ธ์ทตี่ ้องการคืออะไร และสามารถวัด
ความก้าวหน้าตามจุดมุ่งหมาย จุดมุ่งหมายของทีมสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของฝ่าย แผนกหรือ
องค์การ และสมาชิกทีมมีความเข้าใจอย่างดี พอใจที่จะใช้ความพยายามของตนให้บรรลุจุดมุ่งหมาย
ขององค์การท่กี ว้างกว่าทมี
Biech (2008a : 1) นยิ ามว่า ทีมเป็นกลุ่มคนทพี่ ึ่งพาอาศัยกันเพื่อให้บรรลุจดุ ม่งุ หมาย
ร่วมกัน คำนยิ ามทมี บางแห่งกำหนดวา่ เปน็ กลุ่มทตี่ ้องทำงานตามหน้าท่ีได้ดดี ว้ ย
บทที่ 6 แนวคิดการทำงานเปน็ ทมี 99
Levi (2011 : 4) นยิ ามวา่ ทมี เป็นกลุ่มทโ่ี ครงสร้างการทำงานที่มจี ุดมงุ่ หมายรว่ มกัน ซ่ึงต้อง
มีปฏสิ มั พันธแ์ ละรว่ มมอื กันเพือ่ ให้งานกำหนดไวป้ ระสบความสำเรจ็
จากความหมายข้างต้น สรุปได้ว่าทีม หมายถึง การรวมกันของบุคคล ที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
ในการทำงาน และได้รบั การยอมรับจากกนั และกัน เพอื่ คุณภาพและปรมิ าณงานที่สงู ข้นึ
ความสำคญั ของทีม
การทำงานเป็นทีมนับว่ามีความสำคัญต่อองค์การ เนื่องจากทีมงานจะช่วยทำให้งานบรรลุ
วัตถปุ ระสงค์ มอี ิทธพิ ลตอ่ บรรยากาศในการทำงานของทีมงานในองค์กร สรุปไดด้ ังน้ี
1. งานทุกประเภทไม่สามารถทำสำเร็จได้ด้วยคนเพยี งคนเดียว จำเป็นต้องทำงานเปน็ กลมุ่
2. องค์กรจะมีงานเร่งด่วนที่เข้ามาไม่ไดน้ ัดหมายท่ีต้องการระดมบุคลากร เพ่ือให้ปฏิบัติงาน
เสร็จทันเวลาท่กี ำหนดและตามจำนวน
3. งานบางอยา่ งตอ้ งอาศัยความรูค้ วามสามารถ และความเชย่ี วชาญจากหลายฝ่าย
4. งานที่มีหลายหน่วยงานรับผิดชอบ ต้องการความร่วมมืออย่างจริงจังจากทุกฝ่ายท่ี
เกยี่ วข้อง
5. เพื่อระดมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สู่นวัตกรรมจากทีม จึงต้องแสวงหาแนวทาง วิธีการ
และเป้าหมายใหม่ ๆ จากทีมงาน
6. องค์กรต้องการสรา้ งบรรยากาศของความสามัคคีให้เกดิ ขึ้น
สรุปได้ว่า ความสำคัญของทีมก่อให้เกิดการระดมบุคลากรจะทำให้เกิดการทำงานที่สำเร็จ
และเสรจ็ ทันเวลาจากกลุ่มคนที่ไม่ไดท้ ำงานคนเดยี ว ตอ้ งใช้ความรู้ความสามารถและความเช่ียวชาญ
จากหลายฝ่าย โดยเฉพาะงานที่หลายหน่วยงานรับผิดชอบต้องมีความร่วมมือเพื่อระดมความคิด
นวัตกรรม แนวทาง วิธีการและเป้าหมายใหม่ของทีมงาน รวมทั้งบรรยากาศของความสามัคคีของ
สมาชิกดว้ ย
องค์ประกอบของทมี
สำหรับรายละเอียดของแต่ละองค์ประกอบ มีดังนี้ Certo (1994 : 415)
1. ขนาดของทมี งาน
ขนาดของทีมงาน (Size of Team) มีผลต่อประสิทธิผลของการทำงาน กล่าวคือ เมื่อ
ทีมงานมีจำนวนสมาชิกมากขึ้น ทีมงานจะมี “พลัง” ที่จะผลักดันให้ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น
หรือต่ำลงได้ Randolph (1985 : 398-399) จำนวนสมาชิกที่ต้องการสำหรับแต่ละทีมนั้นจะขึน้ อยู่
กับธรรมชาติของงานและวัตถุประสงค์ของทีม เช่น ทีมงานที่รับผิดชอบด้านการตรวจสอบหา
100 ภาวะผนู้ ำและการทำงานเปน็ ทีม
ข้อเท็จจริง จำนวนสมาชิกในอุดมคติที่คาดหวังประมาณ 14 คน ในขณะที่ทีมงานแก้ปัญหาควรมี
สมาชกิ มากทสี่ ดุ ไมค่ วรเกิน 7 คน Hellriegel and Slocum (1986 : 539-542)
2. ความเปน็ ปึกแผ่นของทีม
องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของทีมงาน คือ ระดับความเป็นปึกแผ่นของ
ทีมงาน ซึ่งเป็นแรงดึงดูดใจใหส้ มาชกิ มีความปรารถนาจะธำรงไว้ซึ่งสมาชิกภาพของทีมงาน ต้องการ
ให้กลุ่มคงที่ มีพลังที่แสดงถึงความแข็งแกร่งของความร่วมมือร่วมใจของสมาชิกในกลุ่ม จะเป็นเรื่อง
ความเหนียวแน่นของทีมที่มีอิทธิพลต่อบุคคล และต่อระดับปฏิกิริยาของทีมต่อกลุ่มอื่น ต่อองค์การ
หรือต่อหน่วยงานอื่น ทีมที่มีความเป็นปึกแผ่นภายในทีมสูง จะมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงกว่า
และมีแนวโน้มจะทำงานได้สำเร็จตามเป้าหมายได้ดีกว่าทีมที่ไม่ค่อยมีความเป็นปึกแผ่น ทีมใดที่
สมาชิกมคี วามรูส้ ึกท่ีดีต่อกนั และกนั มีแนวโนม้ ทจี่ ะผลิตผลงานไดส้ งู กว่าทีมทส่ี มาชิกแสดงความรู้สึก
ในทางลบตอ่ กัน
ตัวช้วี ัดท่ีแสดงถึงความเปน็ ปึกแผน่ ในระดับสงู ของทมี งาน แบ่งเป็นดังนี้
2.1 สมาชิกยอมรบั ขอ้ ตกลงเกีย่ วกับวัตถปุ ระสงค์ และเป้าหมายของกลมุ่ ทไ่ี ม่เปน็ ทางการ
2.2 การสื่อสารและการมปี ฏิสมั พันธ์ระหว่างสมาชกิ ปรากฏเปน็ ทป่ี ระจักษ์อย่างชัดเจน
2.3 สถานภาพทางสังคมและภูมิหลังของสมาชิก มีลักษณะคล้ายคลึงกันอยู่ในระดับที่น่า
พอใจ
2.4 สมาชิกได้รับอนุญาตให้มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ และมีส่วนในการกำหนดมาตรฐานของ
ทมี งาน
2.5 ขนาดของกลุ่มมีขนาดเหมาะสม ไม่ใหญ่มากจนปดิ บังความสนใจส่วนบุคคล โดยทั่วไป
ขนาดของกลมุ่ ทีไ่ ม่เป็นทางการจะมสี มาชกิ จำนวนระหว่าง 4-7 คน
2.6 สมาชิกเคารพและใหเ้ กียรตเิ พอ่ื นร่วมงาน
2.7 สมาชิกตอ้ งการผลประโยชน์รว่ มกัน และพทิ กั ษผ์ ลประโยชน์ของกลุ่ม
2.8 ทีมประสบผลสำเร็จในการปฏิบัติงานตามเป้าหมาย และรักษาคุณค่าที่สำคัญของ
ทมี งานไว้
ที่กล่าวมานี้สรุปได้ว่า เนื่องจากความเป็นปึกแผ่นของกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ มีอิทธิพลต่อ
ความเข้มแข็งของทีมงาน ดังนั้นฝ่ายบริหารควรช่วยให้กลุ่มพัฒนาความเป็นปึกแผ่นให้เกิดขึ้น โดย
ออกแบบโครงสร้างการทำงานที่เอื้อต่อการพัฒนาทีมงาน และขจัดอุปสรรคภายในหน่วยงานท่ี
ทำลายบรรยากาศการทำงานขององค์การ ซึ่งกรกนก บุญชูจรัส และภัทรพล มหาขันธ์ (2553) ได้
บทที่ 6 แนวคิดการทำงานเปน็ ทมี 101
กล่าวไว้ในรายงานวิจัยเรื่องปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการทำงานเป็นทีมของพัฒนากรในพื้นที่ ตาม
ความรับผิดชอบของศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชน จังหวัดเพชรบุรีว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการ
ทำงานเป็นทมี ของพัฒนากรในพนื้ ท่ีความรบั ผดิ ชอบของศูนยศ์ ึกษาและพัฒนาชุมชน จังหวัดเพชรบุรี
ได้แก่ การคิดเชิงบวก การรวมทีม การจัดการความรู้ สภาพแวดล้อมและบรรยากาศในการทำงาน
ความสมดุลของชีวิตกับการทำงาน โครงสร้างของทีม และการกำหนดภารกิจของหน่วยงานและกล
ยุทธ์ในการบรหิ ารงาน ของหน่วยงาน
3. ปทัสถานของทมี งาน
ปทัสถานของทีมงาน (Team Norms) เป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญอีกองค์ประกอบท่ี
ส่งผลต่อประสิทธิภาพของทีมงาน Luthans (1995 : 253) ได้อธิบายความหมายของปทัสถานว่า
หมายถึง แบบแผนหรือโครงสร้างของพฤติกรรมทางสังคมที่ได้รับการยอมรับจากสมาชิก ใช้เป็น
มาตรฐานชี้ว่าในแต่ละสถานการณ์บุคคลควรประพฤติ ปฏิบัติให้สอดคล้องกับวิถีการดำเนินชีวิตใน
สังคมนั้น ๆ ตามทส่ี มาชกิ ยอมรับ
ปทสั ถานแบ่งเป็น 2 ชนิดคอื ปทัสถานเชงิ นิมาน (Positive Norms) หมายถึง พฤติกรรม
ของทีมที่เอื้อต่อผลการปฏิบัติงานขององค์การ และปทัสถานเชิงนิเสธ (Negative Norms) ซึ่ง
หมายถึง พฤติกรรมที่จำกัดผลการปฏิบัติงานขององค์การ ตัวอย่างของปทัสถานเชิงนิเสธ เช่น การ
หยุดทำงาน 30 นาทีก่อนงานเลิก หยุดพักเกินเวลา หรือไม่รับทำงานให้เสร็จเนื่องจากเกรงว่าจะมี
งานเพิ่มมาอีก ตัวอย่างของปทัสถานเชิงนิมาน เช่น การทำงานให้ถูกต้อง และไม่ใช้วัสดุสำนักงาน
อย่างสน้ิ เปลอื ง
4. สถานภาพของสมาชกิ ทีมงาน
สถานภาพของสมาชิกทีมงาน หมายถึง ตำแหน่งของสมาชิกทีมงานในกลุ่มเมื่อ
เปรียบเทยี บกับสมาชกิ คนอื่น ๆ โดยท่ัวไปสถานภาพของแตล่ ะคนจะถูกกำหนดโดยคณุ ลักษณะ ทั้งที่
สัมพนั ธ์กบั การทำงานและบทบาทของสมาชิกภายในทีม และคุณลักษณะท่ีไมส่ ัมพนั ธ์กับงาน เป็นตัว
กำหนสถานภาพที่สัมพันธ์กับงาน ได้แก่ ตำแหน่ง ตารางการทำงาน และบางครั้งยังรวมถึงจำนวน
เงนิ เดือนทส่ี มาชกิ ได้รับด้วย Certo (1994 : 418)
ประเภทของทีม
ทีมงานในรปู แบบที่องค์การจัดให้มีตามความเหมาะสมและวตั ถุประสงค์เฉพาะในแต่ละเรื่อง
สามารถจัดได้ในลักษณะต่าง ๆ กนั ดงั ตอ่ ไปน้ี สุนันทา เลาหนันทน์ (2549 : 66-69)
102 ภาวะผนู้ ำและการทำงานเป็นทีม
1. คณะกรรมการ (Committee) ซง่ึ เป็นกลุ่มบุคคลทีร่ ับผิดชอบทำงานบางสง่ิ หรอื กิจกรรม
ใดกิจกรรมหนึง่ รว่ มกนั จึงเปน็ งานซ่ึงไมใ่ ชง่ านประจำ
2. คณะทำงาน (Task Force) ซ่ึงไดม้ ผี ู้ให้ความหมายไวห้ ลายความหมาย ดังน้ี
2.1 คณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นชั่วคราว ซึ่งสมาชิกถูกเลือกจากหลาย ๆ แผนกใน
องคก์ าร เพื่อทำงานเฉพาะกิจซง่ึ เก่ยี วกับวตั ถุประสงค์อย่างใดอย่างหน่ึง
2.2 กลุ่มทำงานช่ัวคราวซง่ึ ให้ข้อเสนอแนะเกย่ี วกับปัญหาเฉพาะอย่าง
3. คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ (Ad hoc Committee) หมายถึง คณะกรรมการที่แต่งตั้ง
เปน็ คร้ังคราวเพอ่ื กำหนดวตั ถุประสงค์ของงานใดงานหนงึ่ เม่อื ปฏบิ ตั ิงานเสรจ็ แลว้ ก็ถือว่าภาระหน้าท่ี
ส้นิ สุดลง
4. ทีมงานโครงการ (Project Team) หมายถึง ทีมงานที่ประกอบด้วยกลุ่มบุคคลท่ี
รับผดิ ชอบการปฏบิ ัตงิ านของโครงการ โดยมรี ะยะเวลาเริม่ ตน้ และสน้ิ สุดโครงการทีก่ ำหนดไว้ชัดเจน
5. กลุ่มหรือชมรมเฉพาะดา้ น (Special Groups and Clubs) หมายถึง กลุ่มทีป่ ระกอบด้วย
สมาชิกที่มีความสนใจเฉพาะเรอ่ื งใดเร่ืองหน่ึงมาร่วมกันจดั กิจกรรมต่าง ๆ ที่อยใู่ นความสนใจ
นอกจากการแบ่งประเภทของทีมตาม 5 แนวคิดข้างต้นแล้ว พบว่าการแบ่งทีมงานตาม
แนวคิดการพัฒนาองค์การ ที่มุ่งเน้นพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม โดยแบ่งทีมงานตามลักษณะ
กลุ่มเปา้ หมายของการเปลี่ยนแปลง ได้แก่
1. ทีมครอบครัว (Family Group) คือ ทีมที่ประกอบด้วยสมาชิกจากหน่วยงานเดียวกัน
ซึ่งประกอบดว้ ยผบู้ ังคบั บญั ชาและผใู้ ตบ้ งั คับบญั ชา
2. ทีมเครือญาติ (Cousin Group) คือ ทีมที่ประกอบด้วยสมาชิกจากองค์การเดยี วกัน แต่
อย่คู นละหน่วยงานกนั และไมไ่ ดม้ ีความสัมพันธก์ นั ในสายบริหาร
3. ทมี งานยอ่ ย (Cluster Group) คือ ทีมทส่ี มาชิกมาจากหน่วยงานต่าง ๆ ขององค์การ ใน
แต่ละทีมจะมีกลุ่มย่อย 2-3 กลุ่ม แต่ละกลุ่มย่อยจะมีสมาชิกที่มีความเกี่ยวข้องทางด้านการงาน แต่
ไม่มีความสัมพันธ์ทางด้านการบังคับบัญชาเช่น มาจากฝ่ายบัญชี ฝ่ายพัสดุ ฝ่ายการเงิน ฝ่ายละ
3 คน เป็นตน้
4. ทีมคนแปลกหน้า (Stranger Group) คือ ทีมที่ประกอบด้วยสมาชิกมาจากต่างองค์การ
และไม่เคยรู้จกั กนั มาก่อน
Woodcock and Francis (1994 : 34) ได้จำแนกทีมงานตามภารกิจหน้าที่ที่รับผิดชอบ
เป็น 6 ประเภท ได้แก่
บทท่ี 6 แนวคดิ การทำงานเป็นทีม 103
1. ทมี กลยุทธ์ (Strategic Team) เป็นทมี งานที่รับผิดชอบด้านการกำหนดกลยทุ ธ์ นโยบาย
โครงสรา้ ง และการจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ของหน่วยงานเป็นการมองไปข้างหนา้ ทำหน้าที่วางแผน
และแก้ปญั หาที่เกดิ ขนึ้
2. ทมี บรหิ าร (Management Team) เป็นกลุ่มผู้บริหารรับผดิ ชอบงานของหนว่ ยงาน
3. ทีมโครงการ (Project Team) เป็นคณะทำงานที่แต่งตั้งขึ้นปฏิบัติงานให้บรรลุ
วัตถุประสงคภ์ ายในระยะเวลาทก่ี ำหนด มลี กั ษณะเป็นทีมเฉพาะกิจหรือทีมช่วั คราว
4. ทีมประสานงาน (Coordination Team) ทำหน้าท่ีจดั กิจกรรมการประสานงานของฝ่าย
ต่าง ๆ ท่เี กย่ี วข้องกับการปฏิบตั งิ านทีม่ ีความยงุ่ ยากและสลบั ซับซ้อน
5. ทีมนักคิด (Think-Tank Team) เป็นคณะบุคคลที่เสนอแนะแนวคิดต่าง ๆ และเป็น
ผสู้ นบั สนุนการตัดสินใจเรอ่ื งต่าง ๆ
6. ทีมปฏบิ ตั กิ าร (Work Group) เปน็ ทมี งานท่รี ับผิดชอบการปฏบิ ัตงิ านโดยตรง มีบทบาท
ในการปฏบิ ัติงานทเี่ ป็นภารกจิ หลกั
จากคำกล่าวข้างตน้ สรุปไดว้ า่ ทีมงานแบ่งเป็นหลายประเภท โดยการจัดรูปแบบทมี ในแบบที่
เป็นทางการตามระบบการจัดองคก์ ารเป็นฝ่าย แผนก หน่วย สำนัก คณะกรรมการหรอื อนุกรรมการ
และทีมงาน พิจารณาจากเหตุผล ดงั นี้ คณะกรรมการท่ีรบั ผิดชอบทำงานบางส่ิงหรือกิจกรรมต่าง ๆ
ซึ่งไม่ใช่งานประจำร่วมกัน คณะทำงาน เป็นกรรมการที่จัดตั้งขึ้นชั่วคราวจากสมาชิกที่ถูกเลือกของ
หลายแผนกในองค์การ เพื่อทำงานเฉพาะกิจ และกลุ่มทำงานชั่วคราวสำหรับการให้ข้อเสนอแนะใน
ปัญหาเฉพาะอย่าง คณะอนุกรรมการ เฉพาะกิจที่แต่งตั้งเป็นครั้งคราว เพื่อทำงานเฉพาะและยุติ
เมื่อภาระหน้าที่ส้ินสุดลง ทีมงานโครงการเป็นกลุ่มบุคคลรับผิดชอบงานโครงการ ซึ่งเริ่มต้นและ
สิ้นสุดตามกำหนดของโครงการ กลุ่มหรือชมรมเฉพาะด้าน ประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสนใจ
เฉพาะเร่อื งรว่ มกบั จัดกิจกรรมของตน
ลกั ษณะของทีมท่มี ปี ระสทิ ธิภาพ
บทบาทและความรบั ผิดชอบของหวั หน้าทีมและสมาชิกของทีมในการปฏบิ ัตงิ านของทีมงาน
มีความแตกต่างกัน แต่ลักษณะและพฤติกรรมในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานน้ัน
ขึ้นอยู่กับความเจริญก้าวหน้าของทีมงานนั้น ๆ พฤติกรรมที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกันและขัดขวาง
การทำงานของทีมสามารถแยกได้เปน็ 3 ลกั ษณะ ดังนี้ Schermerhorn, Hunt and Osborn (1994
: 300–304)
104 ภาวะผูน้ ำและการทำงานเปน็ ทมี
1. พฤติกรรมท่ีสง่ เสรมิ การทำงานของทีมงาน
พฤติกรรมท่ีส่งเสริมการทำงานของทีมงาน เป็นพฤติกรรมทช่ี ่วยให้การทำงานของทีมงาน
บรรลุวัตถุประสงค์ กิจกรรมที่สามารถแสดงออกจะส่งผลต่อประสิทธิผลและประสิทธิภาพของ
กระบวนการทำงานของทมี งาน กิจกรรมสำคัญที่เก่ยี วขอ้ งได้แก่
1.1 การริเริ่ม (Initiating) เป็นการเสนอความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการวเิ คราะห์ปัญหา
และอปุ สรรคในการทำงาน รวมถงึ วธิ ีการแก้ไขปญั หาต่าง ๆ ช่วยใหเ้ พอ่ื นร่วมงานเกิดความคิดหรือมี
วธิ ีการใหม่ ๆ ในการพิจารณาปัญหา
1.2 การแสวงหาข้อมูล (Seeking Information) เป็นความพยายามในการซักถามเพื่อ
ใหเ้ กดิ ความกระจ่าง หรอื เพือ่ ใหไ้ ด้ข้อเสนอแนะและข้อเท็จจริงตา่ ง ๆ ท่ีชัดเจนมาใชใ้ นการแก้ปัญหา
กล่มุ
1.3 การให้ข้อมูล (Giving Information) เป็นการให้ข่าวสารข้อมูลที่สำคัญต่าง ๆ ซ่ึง
เปน็ ความเห็นที่พยายามให้ข้อคิดเหน็ ต่าง ๆ ด้วยความจริงใจ หรอื ใชป้ ระสบการณ์ของตนเป็นเกณฑ์
ในการพจิ ารณาปัญหาที่เกยี่ วข้องกบั การทำงานของกลุ่ม
1.4 การชี้แจงให้กระจ่าง (Clarifying) เป็นการสร้างความสัมพันธ์ของข้อเสนอแนะและ
ความเห็นตา่ ง ๆ ของสมาชกิ ใหป้ ระสานสอดคลอ้ งกนั โดยการรวบรวมความคิดเห็นของสมาชิกแต่ละ
คนเข้าดว้ ยกัน และนำความคดิ เหล่านนั้ มาใช้ใหต้ อ่ เปน็ ประโยชน์ทมี งาน สรา้ งความสามัคคีในกลุม่
1.5 การสรุป (Summarizing) เป็นการประเมินการทำงานของทีมว่าปฏิบัติงานหรือ
แก้ปัญหาได้ในระดับใด แนวทางการแก้ปัญหาที่ใช้สมเหตุสมผลและเป็นไปได้หรือไม่ เป็นการสรุป
ความก้าวหน้าในการทำงานของทมี งาน
2. พฤติกรรมธำรงรักษาความสัมพนั ธข์ องทมี งาน
พฤติกรรมธำรงรักษาความสัมพันธ์ของทีมงาน (Group Maintenance Activities) เป็น
พฤติกรรมที่ช่วยสร้างบรรยากาศท่ีดสี นับสนุนการทำงาน เป็นการธำรงไว้ซ่ึงสัมพันธภาพที่ดีระหว่าง
สมาชิกของทีมงาน และมีกำลังใจในการทำงานร่วมกัน เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายต่าง ๆ ร่วมกันได้
สำเรจ็ กจิ กรรมสำคญั ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง ดงั นี้
2.1 การสนับสนุนให้กำลังใจ (Encouraging) เป็นการให้คำยกย่อง ชมเชยหรือยอมรับ
ความคิดเห็นของสมาชกิ เป็นการแสดงออกถึงความเป็นปกึ แผ่น สร้างความอบอุ่นและผูกพันภายใน
ทมี งาน รวมถงึ การยอมรับสมาชกิ ทุกคนในกลุ่ม
บทที่ 6 แนวคดิ การทำงานเปน็ ทีม 105
2.2 การผสมผสาน (Harmonizing) เป็นการช่วยประสานแนวคิดที่แตกต่างกันของ
สมาชิก แสวงหาแนวทางประนีประนอมความคิดหรือความต้องการที่แตกต่างกันของสมาชิก เพื่อ
ป้องกนั ความขดั แยง้
2.3 การกำหนดมาตรฐาน (Setting standards) คือเป็นการแสวงหาเกณฑ์มาตรฐานใน
การปฏิบัติงานของทีมงาน หรือใช้ในกระบวนการประเมินผลการปฏิบัติงาน มาตรฐานที่กำหนดขึ้น
นำไปสู่เปา้ หมายการทำงานของกลมุ่
2.4 การปฏิบัติตาม (Following) เป็นการปฏิบัติตามแนวคิดของทีมงาน เห็นชอบและ
ยนิ ดีทจี่ ะทดสอบแนวปฏบิ ตั ิใหม่ ๆ ท่กี ลุ่มเสนอแนะ
2.5 การคุ้มครอง (Gate keeping) เป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสมาชิกป้องกัน
สมาชิกบางคนไม่ใหถ้ ูกครอบงำทางความคดิ
3. พฤติกรรมทข่ี ัดขวางการทำงานของทมี งาน
พฤติกรรมที่ขัดขวางการทำงานของทีมงาน (Disruptive Group Behaviors) เป็น
พฤติกรรมการแสดงออกของสมาชกิ ท่ีเปน็ อปุ สรรคขดั ขวางการปฏบิ ตั ิงานของทีมงาน พฤตกิ รรมกลุ่ม
นีค้ ุกคามประสิทธภิ าพการทำงานซงึ่ สมาชกิ ควรหลีกเล่ียง ดงั นี้
3.1 การก้าวร้าว (Being Aggressive) เป็นการคอยลดสถานภาพของผู้อื่น คอยทับถม
ขัดแย้ง เยาะเย้ย และโจมตีข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะของผู้อื่น โดยพยายามพูดถากถาง และ
พยายามให้ทมี เกดิ ความขัดแย้งมากกวา่ ทีจ่ ะศกึ ษาหาเหตุผลหรอื ทำความเข้าใจกบั ปัญหา
3.2 การถอยหนี (Withdrawing) เป็นการปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ ไม่สนใจใน
การรวมกล่มุ ซง่ึ อาจแสดงออกในรปู กาเยาะเยย้ ถากถาง เฉยเมย หรือพฤติกรรมไมเ่ หมาะสมอื่น ๆ
3.3 การขุดคุ้ยเรื่องจุกจิกหยุมหยิม (Nitpecking) เป็นการคอยเน้นในรายละเอียด
ปลกี ย่อยทไ่ี ม่ใช้เปน็ สาระสำคัญของปัญหานัน้ ๆ
3.4 การเรียกร้องการยกย่อง (Recogniting) เป็นการพยายามทำทุกวิถีทางเพ่ือ
เรียกร้องความสนใจให้กับตนเอง เช่น โดยการโอ้อวด พยายามทำทุกอย่างที่จะไม่ให้ด้อยกว่าผู้อื่น
ต้องการการยอมรับและผลตอบแทนเหนอื สิ่งอน่ื ใด
3.5 การเรียกร้องความเห็นใจ (Sympathy Seeking) คือการพยายามที่จะเรียกร้อง
ความสนใจจากสมาชิก โดยการแสดงความไม่มั่นคงหรือความสับสน มักอ้างถึงการถูกบังคับให้หมด
ความอดทน ให้เสียสละ ให้เผชญิ ปัญหาตา่ ง ๆ โดยถกู รบกวนและกล่ันแกล้ง เปน็ ต้น
106 ภาวะผูน้ ำและการทำงานเปน็ ทมี
3.6 การขัดขวาง (Blocking) เป็นความพยายามที่จะต่อต้าน ดื้อดึง มองโลกในแง่ร้าย
มีความขัดแย้งและไม่เห็นด้วยกับเหตุผลของผู้อื่น พยายามจะนำประเด็นที่กลุ่มปฏิเสธไปแล้วมา
พิจารณาใหม่ มีความคิดเหน็ เอนเอยี งไปข้างใดขา้ งหน่ึงเป็นพิเศษ ไม่มีการเดินสายกลาง หรือไม่มีวิธี
อ่ืนใดนอกจากวธิ ีของตนเองท่ีกลา่ วมาแล้ววิธเี ดยี ว
สรุปได้ว่า สมาชิกของทีมงานจะพบกับลักษณะและพฤติกรรมของทีมที่มีประสิทธิภาพ
ภายใต้ 3 กลุ่ม ได้แก่ พฤติกรรมที่ส่งเสริมการทำงานและพฤติกรรมธำรงรักษาความสัมพันธ์ของ
ทีมงาน เป็นพฤติกรรมที่ส่งผลในทางบวกต่อการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ และควรหลีกเลี่ยง
พฤติกรรมทข่ี ัดขวางการทำงานของทมี จะทำให้งานไมป่ ระสบผลสำเรจ็
ความหมายของการทำงานเปน็ ทีมท่ีมีประสิทธิภาพและประสทิ ธผิ ล
การทำงานเป็นทีม (Team work) คือ กลุ่มบุคคลที่มีการทำงานร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์กัน
ระหว่างสมาชกิ ในกลุ่ม เพื่อใหบ้ รรลุเป้าหมายเดยี วกนั อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
ความสำคัญของการทำงานเปน็ ทมี สรุปไดด้ ังนี้
1. งานบางประเภทไมส่ ามารถทำสำเร็จเพยี งคนเดยี ว จำเปน็ ต้องอาศัยทมี งาน
2. หน่วยงานมีงานเร่งด่วนท่ตี อ้ งการระดมบคุ ลากร เพอ่ื ปฏบิ ัติงานใหเ้ สร็จทันเวลาที่กำหนด
3. งานบางอยา่ งตอ้ งอาศัยความรู้ความสามารถ และความเช่ยี วชาญจากหลายฝ่าย ๆ
4. งานบางอย่างเป็นงานที่มีหลายหน่วยงานรับผิดชอบ ต้องการความร่วมมืออย่างจริงจัง
จากทกุ ฝา่ ยทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง
5 .เป็นงานที่ต้องการความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เพื่อแสวงหาแนวทาง วิธีการ และเป้าหมาย
ใหม่ ๆ
กลยุทธ์ในการทำงานเปน็ ทีม ประกอบดว้ ย 3 ประเดน็ หลัก ดังน้ี
1. ร่วมใจ (Heart) หมายถงึ ความรสู้ ึกของสมาชกิ ท่ีรักและศรทั ธาในหวั หนา้ ทีม งานที่
ทำ และเพื่อน ๆรว่ มทมี ว่าเป็นพวกเดียวกนั หรือทีเ่ รยี กวา่ Feel like a team มีความเอ้ือเฟ้ือห่วงใย
ซ่ึงกันและกัน มีความเคารพให้เกียรตซิ ึง่ กนั และกันและเกดิ ความไว้วางใจต่อกนั
2. ร่วมคิด (Head) หมายถงึ การใชค้ วามคดิ เหตผุ ลใหเ้ พอื่ นร่วมงานเช่ือม่ันว่า ทำแล้วดี มี
ประโยชน์ต่อตัวเขาเองต่อองค์กร โดยช่วยกันระดมสมอง กำหนดเป้าหมาย วางแผน แบ่งงาน แบ่ง
หนา้ ทห่ี รอื ทีเ่ รยี กวา่ Think like a team การทำงานจะราบรื่นถ้าสมาชิกในทมี มีความร้สู ึกทีด่ ตี ่อกัน
3. ร่วมทำ (Hand) หมายถงึ การรว่ มมือ ลงมือทำงานซง่ึ ไดม้ กี ารวางแผนไว้ หน้าท่ใี ครกร็ บั
บทท่ี 6 แนวคดิ การทำงานเปน็ ทมี 107
ไปทำ หรอื ท่ีเรยี กว่า Work like a team ซง่ึ ทุกคนมีพันธะสัญญาท่จี ะต้องทำแผนทุกคนเนื่องจากได้
มสี ่วนรว่ มในการคิดรว่ มกนั
การทำงานทม่ี ีประสทิ ธภิ าพของคุณลกั ษณะผนู้ ำทมี ทดี่ ี
คุณลักษณะผู้นำทีมที่ดี ที่ก่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพภายใต้ ลักษณะเฉพาะตัว
ประกอบดว้ ย
1. มีความสามารถในงานเฉพาะด้านของตน
2. มคี วามคดิ ริเรม่ิ สร้างสรรค์ มีความม่นั ใจในตนเอง
3. มคี วามกล้าทจ่ี ะตัดสินใจ
4. มคี วามเสยี สละเพือ่ ประโยชน์ส่วนรวม
5. เคารพในความคดิ ของคนอ่ืน ไม่ยดึ ถือความคดิ ของตนเองแตฝ่ า่ ยเดยี ว
6. มคี วามสามารถในการปรบั ตัว ยอมรบั ตนเอง และผอู้ ่ืน
ลักษณะการทำงาน ประกอบดว้ ย
1. แบง่ สรรงานให้กับสมาชกิ ตามความเหมาะสม
2. มรี ะบบการตดิ ตอ่ สื่อสารกับสมาชิกให้เข้าใจกันได้ทั้งกลมุ่
3. มกี ารตัดสินใจใหร้ างวัลหรือการลงโทษได้
4. ยอมรบั การกระทำของสมาชกิ ภายในกลุ่ม
5. มกี ารรเิ ร่มิ การทำงานของทีม วางระเบยี บในการทำงาน
6. ให้ข้อมูลและข้อคิดเห็นตา่ งๆแก่สมาชิกภายในทมี
7. ประเมนิ ผลการทำงาน
ลกั ษณะสัมพันธภาพกับกลุ่ม ประกอบด้วย
1. ร้จู กั ผู้ร่วมงานเป็นอยา่ งดี ให้เกยี รตแิ ก่สมาชิกทกุ คน
2. ใหค้ วามใกล้ชิดกบั สมาชกิ ในทีม
3. ปกปอ้ งผลประโยชนข์ องทีม
4. เสริมสรา้ งความสมั พันธ์อนั ดใี นกลุ่มสมาชกิ
ลกั ษณะของสมาชกิ
ภายในทีมนั้นจะต้องประกอบไปด้วยสมาชิกที่มีคุณลักษณะเอื้ออำนวยให้เกิดความสำเร็จ
ของงานเปน็ ส่วนใหญ่ ลกั ษณะเหลา่ นี้
108 ภาวะผู้นำและการทำงานเปน็ ทีม
1. มผี ู้ริเร่มิ หรือเสนอความคดิ วิธีการใหม่ๆ เพื่อใหท้ มี บรรลตุ ามความตอ้ งการ
2. มีผู้ตัง้ ขอ้ งสงสยั หรือคำถามเพอื่ ก่อใหเ้ กิดความกระจ่างในวธิ กี ารตา่ ง ๆ ทีท่ มี ใชอ้ ยู่
3. มผี ู้ใชข้ อ้ มูลเกย่ี วกับขอ้ เท็จจริง หรือขอ้ สรปุ เก่ยี วกับการพจิ ารณาปัญหาที่เกิดขนึ้
4. มผี ู้เชอ่ื มโยง ความคิดเห็นหรอื วธิ กี ารต่าง ๆ เข้าด้วยกนั
5. มีผกู้ ำหนดมาตรฐาน
6. มีผู้คอยประนีประนอม
7. มผี ผู้ อ่ นคลายความตงึ เครียด
และที่สำคัญที่สุด คือ ถ้าสมาชิกในทีมส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่มีสุขภาพจิตดี มีความ
กระตือรือร้น และประกอบไปด้วยคุณธรรมในการทำงานต่าง ๆ ก็จะประสบความสำเร็จได้ด้วยดี ท่ี
กล่าวมานี้สรุปได้ว่าคุณลักษณะผู้นำทีมที่ดี ประกอบด้วยลักษณะเฉพาะตัว ลักษณะการทำงาน
ลักษณะสัมพันธภาพกับกลุ่ม และลกั ษณะของสมาชิก
วธิ กี ารสร้างทีมงานใหป้ ระสบความสำเรจ็
1. ต้องเพิม่ โอกาสในการประสบความสำเรจ็
สาเหตหุ ลกั ๆ ท่ีทำใหก้ ารทำงานเปน็ ทมี ไมป่ ระสบความสำเร็จ ดว้ ยเหตผุ ลจากความ
จริงท่วี า่ สมาชกิ ในทมี ของการทำงานไม่มที ักษะในงานตามที่ไดร้ บั มอบหมาย ดงั น้ัน ส่ิงทจ่ี ะตอ้ งทำคือ
เลือกคนให้เหมาะกับงานในแต่ละส่วนหรือแผนกงาน และย้ำกับสมาชิกในทีมถึงเหตุผลที่คุณ
มอบหมายงานชิ้นนั้น ๆ ให้สมาชิกรับทราบอย่างชัดเจนทั้งวาจาและลายลักษณ์อักษร เพื่อให้ทราบ
ถึงว่าทุกคนต่างเป็นกลไกที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จของทีมด้วยกันทั้งสิ้น หัวหน้าอาจต้องจด
รายการปัญหาทั้งหมดที่พบรวมถึงวิเคราะห์ถึงสภาพของปัญหา และจับคู่กับทักษะที่สมาชิกในทีม
เพื่อให้ได้คนที่มีทักษะเหมาะสมในการจัดการกับปัญหาต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพ
ของงานทจี่ ะไดร้ ับ (JobDD.com, ม.ม.ป)
2. การแบ่งงานใหช้ ดั เจน
สาเหตุหนึ่งของความล้มเหลวของทีม คือ การแบ่งงานที่ไม่ชัดเจน ทำให้เกิดความสับสน
ในการทำงาน บางงานหรือบางตำแหน่งมีการก้าวก่ายงานกันอยู่ จนเกิดสภาพของการเกีย่ งงานและ
การทำงานแบบซ้ำซ้อน ในขณะที่งานสำคัญกลับถูกลืม โดยที่ทุกคนต้องพยามทำความเข้าใจถึง
วตั ถปุ ระสงค์ของทมี และตระหนักในสง่ิ ที่หวั หนา้ คาดหวังจากสมาชิก หาเวลาพบปะกบั สมาชิกในทีม
เพื่ออธิบายงาน และติดตามผลด้วยการส่งอีเมล์เพื่อยืนยันกับสมาชิกอีกครั้ง หากภายในทีมมี
บทที่ 6 แนวคดิ การทำงานเป็นทมี 109
การแบ่งลำดับขั้นของสมาชิก และต้องมั่นใจว่า ทุกคนมีความชัดเจน และเห็นด้วยกับการแบ่งงาน
เพื่อหลกี เลยี่ งความขดั แย้งทางอำนาจทอี่ าจเกดิ ขึน้
3. การจัดการกับทีม
ในการดำเนินโครงการใด ๆ ก็ตาม หัวหน้าควรมีหลักเกณฑ์ในการวัดความสำเร็จของ
สมาชิกแต่ละคนด้วย ซึ่งจะทำให้สามารถจัดการกับทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีคนไหนอยู่ต่ำ
กว่ามาตรฐาน จะได้ดำเนินการสับเปลี่ยนคนอื่นในทีมมาทำงานนั้นแทน เพื่อให้สามารถดำเนิน
โครงการไดอ้ ยา่ งราบรน่ื ต่อไป
4. ตอ้ งใหค้ ำติชมและแนะนำ
สิ่งสุดท้าย ซึ่งจำเป็นมากที่จะต้องทำ คือ การให้ รับฟัง และแบ่งปันข้อมูล ในระหว่างที่
โครงการกำลังดำเนินไปและเมื่อโครงการสิ้นสุดลง เพื่อให้สมาชิกในทีมรู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป อย่า
กลัวที่จะให้แสดงความคิดเห็นในทางลบ แต่ควรพยายามติดตามด้วยการให้คำแนะนำในเชิง
สร้างสรรค์เสมอจะเห็นได้ว่าการทำงานเป็นทีมนั้น ถือเป็นแรงจูงใจสำคัญที่จะผลักดันให้สมาชิกใน
ทีมเป็นผู้นำที่ดี ถ้าหัวหน้าประสงค์ที่จะนำทีมให้ประสบความสำเร็จในการทำงาน จึงจำเป็นต้อง
คน้ หาคณุ ลักษณะของการทำงานเป็นทีมให้พบ ระลึกไว้เสมอว่าทุกคนมีอสิ ระในตัวเอง ขณะเดียวกัน
ก็เป็นส่วนหนึ่งของทีม แล้วจึงนำเอากลยุทธใ์ นการสร้างทีมเขา้ มาใช้เพื่อให้ทุกคนทำงานร่วมกันและ
ประสบความสำเรจ็
ทักษะการทำงานเปน็ ทีม
ทักษะการทำงานเป็นทีม หมายถึง วิธีการที่จะทำให้คนหลาย ๆ คนทำหน้าที่เดียวกัน
ทำงานรว่ มกัน เพ่อื ไปถึงเป้าหมาย ซึง่ จะจะช่วยใหส้ มาชกิ แตล่ ะคนรูถ้ ึงขอ้ ผิดพลาด และพัฒนาตวั เอง
ได้ อยา่ งไรก็ตาม การทำงานเป็นทีม ก็ยากทจ่ี ะหลีกเลี่ยงความคิดท่ีขดั แย้งกัน ซงึ่ จะทำให้สมาชิกผิด
ใจกันได้ง่ายๆ ดังนน้ั สมาชิกแต่ละคนต้องฝึกฝนทักษะการทำงานเป็นทีมเพื่อสรา้ งทีมที่ดีและมีความ
สนทิ สนมกันภายในทีม ประกอบด้วยดังน้ี
1. ฟงั ผูอ้ ่ืน
เม่ือคุณอยู่ในทีม คณุ ควรท่จี ะเคารพและฟังความคิดของผ้อู ื่น เพราะว่าไม่มีใครสมบรู ณ์
แบบ ไมว่ า่ ความคดิ น้นั จะดแี ค่ไหนกต็ าม กย็ งั สามารถท่จี ะมขี ้อผดิ พลาดได้ เราเป็นผูฟ้ งั ที่ 2 ยอมรบั
ความผดิ พลาดน้ัน และนำไปสกู่ ารทำให้ความคดิ นัน้ ดีขึ้นกว่าเดมิ การฟังจะชว่ ยใหส้ มาชิกในทมี รู้ถึง
ขอ้ ด้อยและข้อเด่นของกันและกนั และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรงุ พฒั นามนั ไปด้วยกัน เพราะฉะนน้ั
เมอ่ื ทำงานเป็นทีม ต้องให้ความสำคญั กับข้อน้ีเปน็ อันดบั แรก ๆ
110 ภาวะผ้นู ำและการทำงานเป็นทมี
2. ทักษะการทำงานองคก์ ร
ทกั ษะการทำงานขององค์กรเป็นความรบั ผิดชอบหลักของหวั หนา้ ทมี หวั หน้าทมี ท่ีดี
จะตอ้ งมีความสามารถในการกำหนดงาน การมอบหมายงานที่ดี การแก้ปญั หาทีเ่ กดิ ขึ้นในทีมและให้
ความเป็นธรรมระหวา่ งสมาชิกในกลุม่ เพือ่ ให้งานดำเนินต่อไปได้ไมว่ ่าจะเกิดอะไรข้นึ นอกจากทกั ษะ
สำหรบั การทำงานเปน็ ทีมคือรู้จักวิธใี นการจัดการงาน เปน็ หน้าทที่ ีส่ มาชกิ ทกุ ๆ คนทำได้ดี เมอื่ มีการ
กำหนดงาน การมอบหมายงานให้สมาชกิ ทกุ คนจะตอ้ งรู้วา่ จะทำอยา่ งไรท่ีจะทำงานตามแนวทางทาง
วิทยาศาสตร์ อยา่ ทำงานช้ามากเกนิ ไปเม่ือเทยี บกับคนอน่ื ๆ และทำงานให้เสรจ็ ใหต้ รงตามเป้าหมาย
และตามกำหนดเวลา
3. ให้ความช่วยเหลอื และเคารพผู้อื่น
ในทีมเดียวกัน สมาชิกแต่ละคนต้องช่วยเหลือกันและกัน สมมุติว่ามีสมาชิกที่เกิด
ปัญหาขึ้น คุณควรเข้าไปช่วยเหลือปัญหา มันจะช่วยสร้างการติดต่อระหว่างสมาชิกมากกว่านั้น
สมาชิกแต่ละคนต้องเคารพกันและกัน คุณไม่ควรคิดว่าคุณดีกว่าคนอื่น หรือประเมินตนเองมาก
เกนิ ไปหรือประเมินคนอ่ืนน้อยเกินไป การชว่ ยเหลอื และเคารพกันและกันเปน็ การทำให้งานก้าวหน้า
ไปได้มากที่สดุ ดว้ ยเปา้ หมายเดยี วกัน หลกั การนี้ใชไ้ ด้กบั ทุกงาน
4. มีความรับผิดชอบต่อหนา้ ท่ีของคณุ
ไม่วา่ หน่วยงานของคุณจะทำงานส่วนตวั หรือทำงานเป็นทมี คุณต้องได้รับการฝกึ ฝน
ทกั ษะเกี่ยวกับความรับผดิ ชอบในสำหรับการทำงาน เมือ่ ทำงานสว่ นตัว หากผลลพั ธ์ออกมาไม่ดี คณุ
จะเป็นเพียงคนเดียวทร่ี บั ผดิ ชอบตอ่ มนั แต่หากการทำงานเปน็ ทมี น้นั จะเกิดความรูส้ ึกท่ีต่างกนั ถ้า
หากคุณไปข้นึ อย่กู ับคนอื่นหรอื ไม่ทำงานให้สำเรจ็ ในหนา้ ท่ีทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย มันหมายถึงการกระทำ
ทวี่ ่า การกระทำของคณุ ส่งผลกระทบต่อทั้งทมี จากน้นั ความไวว้ างทเี่ คยไดร้ ับ ก็จะเปลีย่ นไป จากนัน้
ผลลพั ธส์ ุดทา้ ยยงั เปน็ ตวั ช้ีวดั ที่สำคัญมากของงาน
5. การสง่ เสรมิ และการพฒั นาบุคคล
หวั หน้าทีมท่ดี ีน้ันจะตอ้ งมีสงิ่ ที่องค์การต้องการและมคี วามสามารถท่จี ะส่งเสริม สร้าง
แรงจูงใจ สรา้ งเง่อื นไขกับสมาชกิ ทุกคนในทีม เพื่อใหม้ ีพัฒนาการของแตล่ ะบคุ คล เม่อื สมาชิกแตล่ ะ
คนไดร้ บั การสนับสนุนและมโี อกาสท่ีจะพัฒนา ซึ่งเป็นแรงจูงใจและกระตุ้นในการทำงาน ทำให้พวก
เขาจะสามารถตระหนกั ได้ถึงคุณค่าของพวกเขาได้มากขนึ้
6. การมีการติดต่อสื่อสารกนั
แนวทางที่จะทำให้มีการติดต่อส่อื สารกับสมาชิกคนอน่ื ได้ ไม่เชน่ นนั้ คุณจะรูส้ กึ โดด
บทที่ 6 แนวคิดการทำงานเป็นทีม 111
เดย่ี ว บางเวลาคุณรู้สึกว่าคุณไม่คอ่ ยมีคา่ ในทมี แตน่ ่ันกเ็ ปน็ เพียงแค่ความคิดของคุณ ควรทจี่ ะเรยี นรู้
การใกลช้ ิดกับผู้คน การตดิ ต่อสื่อสารกบั ผอู้ ืน่ นนั้ ด้วยวธิ ีการตา่ ง ๆ จะทำใหเ้ กิดการทำงานของทมี ท่ี
ยอดเยย่ี ม เพราะว่าสมาชิกทุก ๆ คนจะเข้ากับคนอ่ืนไดง้ ่ายขนึ้ จากการแบ่งปันและชว่ ยเหลอื กนั ทงั้
ในเรอ่ื งงานและชีวิตประจำวัน
7. สรา้ งความเปน็ หนง่ึ เดยี ว
หากคณุ ไม่มีทกั ษะในการทำงานเป็นทีม มันจะเป็นการง่ายมากที่จะสร้างความ
แตกตา่ ง เพราะวา่ มีหลากหลายความคดิ เหน็ ระหวา่ งสมาชิกแตล่ ะคนในทีม จากคำทกี่ ล่าวมาขา้ งต้น
การรวมกนั เปน็ หน่งึ เดียวระหวา่ งสมาชกิ ของทุกคนในทีมเป็นสิง่ ท่ีสำคญั มาก ทจี่ ะทำให้การทำงาน
ของทมี ก้าวหนา้ ไปได้ในผลประโยชนเ์ ดียวกนั นี่ไมใ่ ชท่ ักษะทีง่ า่ ยในการรวมกนั เป็นหนง่ึ เดียว สมาชิก
ไม่เพียงแต่ให้ความคดิ เหน็ ของพวกเขา แต่รวมถงึ การที่จะต้องฟังและเคารพความคิดของผู้อื่น ล่วงรู้
วธิ ีการวเิ คราะห์วา่ สิ่งน้นั ถูกหรือผดิ และการโน้มน้าวใจคนในทีม
8. มีความเปน็ ธรรมและตรงไปตรงมา
เม่ือมีการทำงานในทมี คุณจะต้องปฏเิ สธความเห็นแกต่ ัวของคุณ ความไมพ่ อใจใน
สง่ิ เลก็ ๆ นอ้ ย ๆ ความอิจฉาสมาชกิ ในทมี และหลกี เลีย่ งความขดั แยง้ กบั สมาชกิ คนอ่ืน ถ้าหากคุณมี
ความรู้สึกวา่ สถานการณ์หนึง่ ๆไมม่ ีเหตผุ ล คณุ ควรจะจะให้คำแนะนำอยา่ งตรงไปตรงมาทนั ที หาก
คณุ สามารถทำเช่นนั้นได้ คุณจะทำใหส้ มาชิกคนอ่ืนยอมรบั และเช่ือถือในตวั คณุ ในเวลาเดยี วกนั กน็ ่ัง
นำไปสกู่ ารสรา้ งความเป็นหนึ่งเดียวในทีมและสร้างแรงจูงใจทจ่ี ะทำใหท้ มี กา้ วไปข้างหน้าได้
เมอ่ื มีหลากหลายคน การลงมตเิ อกฉนั ท์ในเรื่องสำคัญบางอย่าง ล้วนแนน่ อนวา่ ผลลพั ธ์
จะต้องเป็นผลลพั ธ์ทด่ี กี วา่ ผลลัพธข์ องคน ๆ เดยี ว การเป็นสมาชิกทมี่ คี วามกระตือรือร้น และมคี วาม
รบั ผิดชอบทจ่ี ะนำทีมไปสูเ่ ปา้ หมายทด่ี ที ี่สุดได้ ผู้นำทีมอย่าใส่ไปใส่ใจกับความไมพ่ อใจเลก็ ๆ น้อย ๆ
เพราะว่ามนั จะเป็นสิง่ ทำให้เราและสมาชิกไมส่ นิทใจกนั คุณควรจำไวว้ ่า "เมอ่ื ร่วมมือกนั เราสามารถ
เปลีย่ นโลกได"้ การอยดู่ ้วยกนั และแบ่งปันกนั เปน็ ทักษะท่สี ำคัญทีส่ ดุ สำหรบั การทำงานเป็นทีมที่ดี
บทสรุป
ทีม หมายถึงการรวมกันของบุคคลท่ีมปี ฏิสมั พันธ์ตอ่ กันในการทำงาน และได้รับการยอมรบั
จากกันและกัน เพื่อคุณภาพและปริมาณงานที่สูงขึ้น ความสำคัญของทีมคือเป็นการระดมบุคลากร
ให้ทำงานสำเรจ็ โดยใช้ความรู้ ความสามารถ และความเชย่ี วชาญจากหลายฝ่าย วิธกี ารและเปา้ หมาย
ของทีมงาน คำนึงถึงบรรยากาศของความสามัคคีกับสมาชิก ลักษณะและพฤติกรรมในการทำงาน
112 ภาวะผูน้ ำและการทำงานเปน็ ทมี
ร่วมกันของทีม แบ่งเป็นพฤติกรรมที่ส่งเสริมการทำงาน พฤติกรรมธำรงรักษาความสัมพันธ์ และ
พฤติกรรมทีข่ ัดขวางการทำงานของทีม สว่ นความหมายของการทำงานเป็นทีมหมายถึง กลุ่มบุคคลท่ี
มีการทำงานร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเดียวกัน อย่างมี
ประสิทธิภาพ คุณลักษณะผู้นำทีมที่ดี ประกอบด้วยลักษณะเฉพาะตัว ลักษณะการทำงาน
สัมพันธภาพกับกลุ่ม และลักษณะของสมาชิก วิธีการสร้างทีมงานให้ประสบความสำเร็จ
ประกอบด้วยการเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเรจ็ การแบ่งงานทชี่ ดั เจน การจัดการกับทีม และ
การให้คำติชมและแนะนำ ส่วนทักษะการทำงานเป็นทีมได้แก่การฟังผู้อื่น ทักษะการทำงานองค์กร
ให้ความช่วยเหลือและเคารพผู้อื่น มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของคุณ การส่งเสริมและการพัฒนา
บุคคล การมีการติดต่อส่อื สารกนั .สรา้ งความเป็นหนึ่งเดียว และมีความเปน็ ธรรมและตรงไปตรงมา
แบบฝึกหดั ท้ายบท
1. วเิ คราะหถ์ งึ การทำงานเปน็ ทีมจากชวี ติ ประจำวนั ทท่ี า่ นทปี่ ระสบผลสำเร็จมา 2 ตัวอยา่ ง
2. จากการวิเคราะห์คุณสมบัติผู้นำทีมที่ดี ให้ท่านพิจารณาตนเองว่าท่านมีคุณสมบัติ
ครบถ้วนหรอื ไม่ เพราะเหตุใด
3. จากบางเหตุการณ์ในทีมท่ีพบเพื่อนรว่ มงานเห็นแก่ตวั ทา่ นคิดว่าจะสร้างทัศนคติให้เพื่อน
ลดปญั หาความเหน็ แกต่ วั นนั้ อยา่ งไร จงยกตัวอย่างประกอบ
4. จงเปรยี บเทยี บนิยามความหมายของทีมกบั การทำงานเป็นทีม ตามทัศนคติของท่าน
5. จงอธบิ ายลักษณะและพฤติกรรมของทีมท่มี ปี ระสิทธิภาพ ประกอบดว้ ยอะไรบ้าง
6. วธิ ีการพฒั นาทกั ษะการทำงานเปน็ ทมี ของตวั ท่าน ท่านต้องพฒั นาในเรื่องใดบ้าง
7. จงอธิบายถงึ ความสำคญั ของทมี ที่มตี ่อตนเองหรือองค์การ
8. วธิ กี ารทำงานเปน็ ทมี งานใหป้ ระสบความสำเรจ็ ในปจั จุบัน ควรนำหลักการอย่างไร
9. ทกั ษะการทำงานเปน็ ทีม ประกอบดว้ ยเรอื่ งใดบ้าง จงอธบิ าย
10. ท่านเหน็ ด้วยหรอื ไม่วา่ ผูน้ ำต้องทำงานเป็นทีม จงวเิ คราะห์
บทท่ี 6 แนวคดิ การทำงานเป็นทีม 113
เอกสารอ้างอิง
กรกนก บญุ ชจู รสั และภทั รพล มหาขันธ.์ (2553). ปัจจยั ท่ีมคี วามสัมพนั ธต์ ่อการทำงานเป็นทีม
ของพฒั นากรในพ้นื ที่ความรับผิดชอบของศูนยศ์ ึกษาและพฒั นาชุมชน จังหวดั เพชรบุรี.
วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย. ปที ี่ 2 ฉบับที่ 1 (กรกฎาคม - ธันวาคม 2553).
ทักษะสำคัญสำหรับการทำงานเปน็ ทีม. สืบคน้ เมื่อ 17 สงิ หาคม 2563. จาก
https://www.careerlink.co.th/careertools/skills/8-essential-skills-for-teamwork.
เรืองวิทย์ เกษสวุ รรณ. (2556). การสรา้ งทมี งาน. กรุงเทพฯ : บพิธการพมิ พ.์
วาสนา เภอแสละ ประพันธ์ ชัยกิจอุราใจ และสุรี พฤกษ์ทวีศกั ด์ิ. (2561). การทำงานเป็นทีมที่มี
อทิ ธพิ ลต่อความผกู พนั ตอ่ องคก์ ารและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนกั งานกลุ่ม
อุตสาหกรรมยานยนต์. วารสารวิทยบริการ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์, 29 (3), 132.
สาโรจน์ โอพทิ กั ษช์ วี ิน. (2554). การจัดการและพฤติกรรมองค์กร : เพ่ือสร้างและรักษา
ความไดเ้ ปรียบเชิงแข่งขนั ไว้ให้ย่งั ยนื ในโกลบอลไลเซช่นั . กรงุ เทพฯ : ซวี แี อลการพิมพ.์
สุนนั ทนา เลาหนันทน์. (2549). การสร้างทมี งาน. (พมิ พ์คร้ังท่ี 3). กรงุ เทพฯ : แฮนเมดสตกิ
เกอร์แอนด์ดีไซน์.
สมคิด บางโม. (2558). องค์การและการจดั การ. (พิมพค์ รัง้ ท่ี 6). กรุงเทพฯ : วทิ ยพัฒน์.
Biech, Elaine. (2008a). What is teamwork? In Biech, Elaine, ed. The Pfeiffer book
of successful team-building tools. Best of the annuals. 2nd ed. California :
John Wiley & Sons.
Bruce Tuckman’s. (1965). Team Development Model. Retrieved from
https://www.lfhe.ac.uk/download.../3C6230CF-61E8-4C5E-
9A0C1C81DCDEDCA2 on 20 June, 2019.
Certo S.C. (1994). Modern Management : Diversity, Quality, Ethics and the Global
Environment. 6th ed. Englewood Cliffs. N.J. : Prentice.
Hellriegel D. and Slocum. (1986). Management. Reading, Mass : Addison-Wesley.
Ivancevich John M. and Matterson, Michael T. (2002). Organizational Behavior and
Management. Boston : McGraw-Hill Irwin.
114 ภาวะผนู้ ำและการทำงานเป็นทีม
JobDD.com (ม.ม.ป.). วิธีในการสร้างทมี ให้ประสบความสำเรจ็ . สบื ค้นจาก
https://th.jobsdb.com/thth/articles เมอ่ื วันท่ี 20 มกราคม 2562.
Levi, Daniel. (2011). Group Dynamics for Teams. 3rd ed. California : Sage
Publications.
Moorhead, Gregory, and Griffin, Ricky W. (2001). Organizational behavior :
Managing people and organizations. 6th ed. Massachusetts : Houghton
Mifflin.
Randolph, W.A. (1985). Understanding and Managing Organization Hill. Behavior.
Homewood. III : Richard D. Irwin.
Topchik, Gary S. (2007). The First-Time Mananger’s Guide to Team Building.
New York : AMACOM.
Woodcock, M. and Francis, D. (1994). Teambuilding Strategy. Ham shire : Glowers.
บทที่ 7 ทักษะการทำงานเป็น มนุษยสัมพันธ์ 115
บทท่ี 7
ทกั ษะการทำงานเป็นทีม มนษุ ยสัมพันธ์
องค์การใดท่ีปรารถนาจะสรา้ งทมี งานใหแ้ ข็งแกรง่ และมกี ารทำงานใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพสูงนั้น
ผูบ้ รหิ ารจำเปน็ จะต้องเสริมสร้างทักษะทจ่ี ำเป็นสำหรบั การทำงานร่วมกนั ให้แก่สมาชิกในทีมงานและ
หัวหน้าทีมด้วย เพื่อเป็นการสร้างกรอบแนวคิดเกี่ยวกับทักษะที่จำเป็น สำหรับการสร้างทีมงานที่มี
ประสิทธิผล ทักษะของการสร้างทีมงานเริ่มจากบุคคลสู่ทีมงานหรือกลุ่ม อันจะขาดส่วนใดส่วนหนึ่ง
เปน็ ไปไมไ่ ด้ แต่ทุกทักษะล้วนก่อให้เกิดการทำงานที่บรรลุผล มาจากคุณสมบตั ใิ นตัวบุคคลของผู้นำที่
มีประสบการณ์สูงและได้ผ่านการทำงานมามากมายในการพัฒนาตนเองของผู้นำนั้นๆ ในบทนี้จะ
กลา่ วถงึ ความหมายและความสำคญั มนุษยสัมพันธ์ การพฒั นาทักษะมนุษยสมั พนั ธ์ในการทำงานเป็น
ทมี ทักษะในการติดต่อการสอ่ื สาร และทักษะด้านมีการปฏิสมั พันธ์ การเป็นผู้นำทมี งาน
ความหมายมนษุ ยสัมพนั ธ์
คำว่า มนุษยสัมพันธ์ นั้นตรงกับภาษาอังกฤษคำว่า ( Human Relationships) ซึ่งมี
นักวชิ าการใหค้ วามหมายของคำว่ามนุษยสมั พนั ธ์ไว้มากมาย ผูเ้ รียบเรยี งสรปุ ไดด้ งั นี้
มนุษยสัมพันธ์จัดเป็นทั้งศาสตร์ (Science) และศิลป์ (Art) เนื่องจากมีหลักการ และทฤษฎี
ที่เป็นข้อความรู้ และการนำหลักการ หรือทฤษฎีไปปฏิบัติให้ประสบ ความสำเร็จได้นั้นต้องอาศัย
เทคนิควิธีการซึ่งถือเป็น ศิลปะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล จะสังเกตเห็นได้อย่างหนึ่งว่า คนแต่ละคน
มีความสามารถในการติดต่อกับผู้ อื่นไม่เท่ากัน บางคนเป็นที่พอใจของคนหมู่มาก มีเพื่อนมากหน้า
หลายตา และมีคนท่อี ยากพดู คุยติดต่อ หรอื ทำงานร่วมกบั เขามากมาย ในขณะท่ีบางคนไม่ค่อยมีใคร
อยาก จะเข้าใกล้ หรือทำงานร่วมด้วย นั่นเป็นเพราะเขาขาดศิลปะในการติดต่อกับบุคคลอืน่ ซึ่งอาจ
เป็นเพราะไม่รู้หลักการว่าควรทำอย่างไร หรือเป็นเพราะนำหลักการไปใช้ไม่ ถูกวิธี ดังนั้น การที่
คนเราจะมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎี และหมั่นฝึกฝนเพื่อให้
เกิดความเชย่ี วชาญ จนสามารถนำหลกั การท่ีเปน็ ขอ้ ความรู้ทางทฤษฎีไปใชไ้ ดอ้ ย่างเปน็ ธรรมชาติ
Aristotle (1962) นักปราชญ์ชาวกรีก ไดอ้ ธบิ ายวา่ มนุษย์เป็นสัตวส์ ังคม มนษุ ย์ไดใ้ ช้ชวี ิตอยู่
ร่วมกนั เปน็ หมเู่ ปน็ เหล่ามนษุ ย์ อยรู่ ่วมกนั เป็นกลมุ่ เป็นพวก มปี ฏสิ มั พันธร์ ว่ มกัน การท่ีมนษุ ย์จะอยู่
รว่ มกนั ทำใหพ้ วกเขารสู้ กึ ปลอดภยั ซ่งึ เปน็ สญั ชาตญาณของมนุษย์ ดังน้ันเราอาจกลา่ วได้ว่า การท่ี
มนุษยม์ สี มั พันธ์กัน มนุษยจ์ ึงเปน็ สัตว์สงั คม ดังทน่ี ักปราชญไ์ ดก้ ล่าวไว้
116 ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทมี
พจนานกุ รม ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ.2554 (2556) สรุปไว้ว่า มนษุ ยสมั พันธ์ (Human
Relation) แปลว่า ความสมั พันธ์ในทางสงั คมระหวา่ งมนุษย์ ซ่งึ จะก่อให้เกดิ ความเข้าใจอันดตี อ่ กนั
David, Keith (1977) กลา่ วว่า มนษุ ยสัมพนั ธ์ หมายถงึ กระบวนการจงู ใจของบคุ คลอย่างมี
ประสิทธผิ ล และมีประสิทธิภาพ โดยมีความพอใจ ในทางเศรษฐกจิ และสงั คม มนุษยส์ ัมพันธ์ จงึ เป็น
ท้งั ศาสตร์ และศลิ ป์ เพ่ือใช้ใน การเสรมิ สร้างความสมั พนั ธอ์ ันดี กับบคุ คล การยอมรบั นับถอื การให้
ความร่วมมือ และการใหค้ วามจงรักภักดี ในการตดิ ต่อสัมพันธก์ นั ระหว่างบคุ คล ต่อบคุ คล ตลอดจน
องค์กรตอ่ องค์กร
จากความหมายของมนุษยสัมพันธ์ สรุปไดว้ ่า มนษุ ยสัมพนั ธ์ หมายถึง กระบวนการจูงใจ ให้
ผู้ปฏิบัติงานภายใต้สถานการณ์ ที่เป็นอยู่ให้เกิดความพึงพอใจในงาน และความสามารถ ทำงาน ให้
ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายขององคก์ รได้
ความสำคญั มนษุ ยสมั พนั ธ์
มนุษยสัมพันธม์ ีความสำคัญต่อองคก์ ร หนว่ ยงานและบุคคล สรุปไดด้ ังน้ี
1. มนษุ ยสมั พนั ธ์ทำให้เกิดสร้างความสามัคคธี รรมใหเ้ กิดข้นึ ในกลุ่มสังคม ในหมคู่ ณะ
2. ทำให้การบริหารงานต่างๆ สามารถก่อให้เกิดการรวมพลัง เพื่อก่อให้เกิด ความร่วมแรง
รว่ มใจ เกดิ ความรักใคร่ สมัครสมานสามัคคีในการปฏิบตั ิงาน
3. ทำใหส้ ังคมปกติสุข คนในสงั คมน้นั ๆ อยดู่ มี ีสุข
4. สร้างความเขา้ ใจอนั ดีซง่ึ กัน และกนั เป็นการสรา้ งสรรคส์ งั คม
5. งานตา่ งๆ ประสบความสำเร็จเพราะเราอยู่คนเดยี วไม่ได้ เราทำงาน หลายอย่าง คนเดียว
ไม่ได้ ต้องอาศยั ความร่วมมอื ซง่ึ กัน และกนั งานจึงจะประสบความสำเรจ็
6. ทำใหค้ นแตกต่างจากสัตว์อ่ืน โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในด้านจิตใจดังนั้นใน การอยู่ร่วมกันจึง
ทำใหม้ นุษยร์ ถู้ งึ ความรกั ใคร่ และไมตรที ี่มีให้กนั รวมถึงความต้องการ ทจ่ี ะบรรลจุ ดุ หมายด้วยความ
ภูมใิ จ
7. ทำใหบ้ คุ คลยอมรับนบั ถือกัน ตระหนกั ในศกั ดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ คำวา่ "ศักดิ์ศรีของ
ความเป็นมนุษย์" (Human dignity) ต้องทำให้คนที่ทำงานร่วมกันรู้ และเข้าใจ ถึงการให้เกียรติกัน
เสมอมนุษยเ์ ฉกเช่นเดยี วกนั คือ การยอมรบั คณุ ค่า ความเปน็ มนุษย์นน่ั เอง
8. ทำให้งานทุกอย่างบรรลุเป้าหมายตามที่องค์กรต้องการ เพราะทุกคน เคารพในการแสดง
ความคิดเห็น และ พฤติกรรมการแสดงออกของแต่ละบุคคล อันจะนำไปสู่ความร่วมมือ พร้อมทั้ง
การประสานงานที่ดีน่นั เอง
บทที่ 7 ทกั ษะการทำงานเป็น มนษุ ยสมั พนั ธ์ 117
9. ทำให้คนคล้อยตามได้ หากทำให้จิตใจเขาคลอ้ ยตามได้บุคคลจะเกิดความ ชื่นชอบ และ
จะพัฒนา ความชื่นชอบ จนเกิด ความศรัทธา และเมื่อบุคคล เกิดความศรัทธาบุคคล ก็ยินดีที่จะ
ปฏบิ ตั ิตามซึง่ การทำให้คนอนื่ คล้อยตามต้องอยบู่ น เงือ่ นไขของความชอบธรรม
สรปุ ไดว้ ่าการจะสามารถสร้างมนุษยสัมพนั ธ์ถาวรได้แตห่ ากบุคคลกระทำทุกอย่างเพียง เพื่อ
ประโยชนแ์ ห่งตน มนุษยสัมพันธน์ ั้น ๆ ในกรณีเรื่องการสร้างมนุษยสัมพันธ์ มีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ทุก
คนมไี มตรีต่อกนั ทุกคน จงึ ควรคดิ และกระทำในส่ิงดดี ี ให้แกก่ นั เราก็จะไดส้ ่งิ ดี ๆ ตอบ
องค์ประกอบมนษุ ยสมั พันธ์
มนษุ ยสมั พันธเ์ กิดไดต้ อ้ งมอี งคป์ ระกอบ 3 ประการ คือตอ้ งมีความเขา้ ใจตนเอง ตอ้ งมีความ
เขา้ ใจบคุ คลอืน่ และต้องยอมรับความแตกต่างของบุคคลอนื่ ดังนี้
1. การเข้าใจตนเอง เป็นลักษณะการรู้จักตนเองอย่างแท้จริงว่าตนเองเป็นใคร มีความรู้
ความสามารถ ทกั ษะ ประสบการณแ์ ค่ไหนระดบั ใด มจี ดุ แข็งคือความเก่ง และจดุ อ่อนคือความไม่เก่ง
ในด้านใดบ้างเรื่องใดบ้าง การเข้าใจตนเอง ทำให้บุคคลเกิดการรู้สึกยอมรับในคุณค่าแห่งตน นับถือ
ตนเอง และรู้จักเข้าใจสิทธิ เสรีภาพ หน้าที่ ความรับผิดชอบของตนเอง สิ่งที่สำคัญในการเข้าใจ
ตนเองจะช่วยใหเ้ รารจู้ กั ปรบั ตัวเข้ากับบคุ คลอน่ื ได้ดมี าก
2. การเข้าใจบุคคลอื่น เป็นการเรียนรู้ธรรมชาติของคน ความแตกต่างระหวา่ งบุคคลความ
ต้องการของบุคคล แรงจูงใจของบุคคล สภาพสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดประโยชน์ ในการนำไปใช้ติดต่อ
สัมพันธ์กับบุคคลอื่นได้นานัปการ เมื่อเราต้องการ ไปติดต่อสัมพันธ์กับ บุคคลใด เราต้องทราบก่อน
ว่าบุคคลนั้นชื่อใดเป็นใคร มีความรู้ ความสามารถ ทักษะ ประสบการณ์ทางด้านใด อยู่ในระดับใด
ชอบสิ่งใด ไม่ชอบสิ่งใด โปรดปรานในสิ่งใดเป็นพิเศษ มีคุณลักษณะที่เด่นทางด้านใดบ้าง เมื่อเรา
นำเอาบุคคลอ่ืน ท่เี ราต้องการติดต่อ สัมพนั ธ์ มาพิจารณาดวู ่า เรามคี วามเข้าใจในตวั เขาอย่างไร เรา
ยอมรับในตัวเขาได้แค่ไหน เพื่อจัดระดับคุณค่า และความสำคัญของบุคคลที่เราจะต้องมีการติดต่อ
สมั พันธร์ วมทง้ั การทีเ่ รารจู้ ักปรบั ตวั ให้เข้ากบั บุคคลอนื่ ไดใ้ นการตดิ ตอ่ สมั พันธ์กัน
3. การเข้าใจสิ่งแวดล้อม เป็นการเรียนรู้ธรรมชาติของสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเรา และ
บุคคลอื่นซึ่งมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน และมีส่วนสัมพันธ์กับมนุษยสัมพันธ์ได้แก่
สภาพการณ์เหตุการณ์ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และในอนาคต ล้วนแต่มีอิทธิพลมาจาก
ส่งิ แวดลอ้ มท้งั ส้นิ ได้แก่ สถาบนั ครอบครวั สถาบันทเ่ี ป็นองคก์ าร สถาบนั การศกึ ษา หน่วยงาน บริษัท
ห้างรา้ น โรงงาน รฐั บาล ศาสนา องคก์ ารระหว่างประเทศ ความรจู้ ากการเขา้ ใจสง่ิ แวดลอ้ ม สามารถ
118 ภาวะผู้นำและการทำงานเปน็ ทมี
นำมาปรับใช้กับตัวเรา ในการเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์กับบุคคลอื่นได้ดีมากขึ้น อำนวย แสงสว่าง
( 2544 : 101)
นอกจากนี้แล้วองค์ประกอบของมนุษยสัมพันธ์ จะเกี่ยวข้องกับเรื่อง พฤติกรรม การจูงใจ
ขนบธรรมเนียมประเพณี ค่านิยม เจตคติ นิสัย ระบบสังคม สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยผสมผสานกันอย่าง
เหมาะสม เกิดเปน็ พฤตกิ รรมท่นี ่าพงึ พอใจแก่บคุ คลอ่ืน ๆ
อิทธพิ ลของมนษุ ยสมั พันธ์ตอ่ บคุ คล
อิทธิพลของมนุษยสัมพันธ์ต่อบุคคลในนั้น ในการอธิบายเรื่องนี้ผู้เขียนจะขอใช้แนวคิดเรื่อง
มนุษยส์ ัมพนั ธ์ ซ่งึ จะทำใหเ้ ห็นภาพว่า มนษุ ยสัมพนั ธ์มีความสำคัญ และความจำเป็นสำหรับเรื่องของ
การพบปะผู้คนในระดับต่าง ๆ รวมทั้งการมีอิทธิพลต่อมนุษย์มาก บุคคลจึงมีความจำเป็นใน
การเรียนรู้เรื่องมนุษย์สัมพันธ์ให้มากขึ้น ตลอดจนรักษาการวางตนอย่างเหมาะสมในเข้าสังคม
การอยู่กับผู้อื่น และปฏิบัติตนให้ดูดีในสายตาของผู้อื่นเสมอ มีความเป็นตัวของตัวเอง ให้โดยระลึก
เสมอว่า ใจคนอื่นกับใจเรา ก็ใจเหมือนกัน มีมิตรภาพ และ ความจริงใจให้ผู้อื่น พยายามเข้าใจผู้อื่น
เคารพศกั ดิ์ศรี ความเปน็ มนุษย์ให้มากที่สุด เมอ่ื เราอยู่ได้ สงั คมอย่ไู ด้ ชาตกิ เ็ จรญิ ร่งุ เรือง สังคมโลกก็
ปกติสุข การจะปฏิบัติตนเป็นผู้มีไมตรีจิตไมตรีกายอาจเรียกสั้นๆ ได้ว่า การมีมนุษย์สัมพันธ์นั่นเอง
และเมื่อเราทุกคน ยอมรับว่า อิทธิพลของมนุษยสัมพันธ์มีต่อบุคคล ดังที่กล่าวแล้ว บุคคลจึงควรจะ
ปฏิบัติตน เพื่อให้อยู่กับคนในสังคม อย่างมีความสุข แนวทางที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น อย่างมีความสุข
เราควรจะมีลักษณะบุคลกิ ภาพดังน้ี
1. จงพยายามเป็นคนท่ีงา่ ย ๆ ไม่เร่อื งมาก ไมม่ มี าดมากจนทำใหค้ นอน่ื ร้สู กึ เบอื่ รำคาญ
และมาอยากเข้าใกล้ เพราะเข้าใกล้ทีไร ร้สู กึ รอ้ นทกุ ครั้ง
2. จงพยายามเปน็ คนที่มอี ธั ยาศัยดี ยิม้ แย้มแจม่ ใส รา่ เรงิ สดชน่ื ใครเห็นใครรกั ย้ิม
ง่าย การยิม้ ของมนษุ ย์ใช้กลา้ มเนือ้ 14 มดั แต่ถ้าเราทำหน้างอ ป้ันหนา้ ใหก้ ลา้ มเน้ือต้ัง 72 มัด ใครไม่
ชอบย้มิ แก่เร็วกว่าอายุจริง และการยิ้มกไ็ มต่ อ้ งลงทุน เช้าขนึ้ มาก็มรี อยย้มิ ใหก้ นั
3. จงเป็นคนเปดิ เผย ไมม่ ีหน้ากากหลายชัน้ จริงใจ ไมเ่ สแสร้ง การท่เี ราเปิดตน ยอม
ให้คนอนื่ ร้จู ักตวั เราจะเป็นส่ิงท่ีคนอ่ืนชนื่ ชมเรา การเปดิ ตัวเปน็ การแสดงออกของความจริงใจ คบกัน
อย่างจริงใจไมม่ ีประโยชน์อนื่ ใดแอบแฝง สัมพันธภาพของคนดีถา้ รูจ้ กั เปิดเผยตน
4. ระมดั ระวงั ในการส่อื สาร ในการต้องสมั พนั ธ์กับคนอ่นื การสื่อสาร สำคัญมาก ไม่ใช้
คำสง่ั ข้อร้อง ขอคำแนะนำ ขอความชว่ ยเหลือดีกว่าการออกคำส่งั หรอื การพูดแบบเผชิญหน้าดีกว่า
การพดู ลับหลงั ในเรื่องคำพดู ตอ้ งพูดแบบเปดิ เผย พูดจริงใจ และพูดแบบตรงไปตรงมา
บทท่ี 7 ทักษะการทำงานเปน็ มนุษยสมั พนั ธ์ 119
5. การรจู้ ักให้กำลงั ใจคนอน่ื เพื่อให้คนอนื่ รู้สกึ ว่าเราสนใจเขา เห็นใจ การกระตนุ้ ให้
บคุ คลมกี ำลงั ใจ จะทำให้คนอน่ื มองเรา เป็นเพอื่ น ในความจรงิ คนทเี่ ราช่วยใหก้ ำลังใจ เขาสามารถทำ
กิจกรรมนั้นๆ ได้ด้วยตัวเขาเพียงแต่ ยังกล้าๆ กลัวๆ ถ้าเราให้กำลังใจบุคคล อาจจะทำในสิ่งที่เขา
ต้องการ จะทำไดต้ ามเปา้ หมาย ผลพลอยได้ เรากจ็ ะเปน็ ทช่ี ืน่ ชมของเพ่ือน
6. จงเคารพศักดศิ์ รีความเป็นมนษุ ย์ของบคุ คล ใหเ้ กียรติบคุ คล ใหก้ ารยอมรับนบั ถือ ส่ิง
เหล่านี้ จะทำให้ความรู้สึกของเพื่อนเราดี เราควรปฏิบัติกับคนอื่นโดยใชห้ ลักเกณฑ์เดียวกันหมด ไม่
วา่ เขาจะเป็นใคร ทำงานในตำแหน่งไหน เขาเป็นคนเช่นเดยี วกบั เรา จงปฏิบตั ติ อ่ คนอนื่ เช่นเดยี วกับท่ี
เราปฏบิ ตั กิ บั ตัวเอง
7. จงเป็นผู้มนี ำ้ ใจ นำ้ คำทด่ี ี รูจ้ ักช่วยเหลอื คนอ่นื พูดจากบั คนอน่ื ให้ฟังแลว้ รนื่ หู แบบมี
ความจรงิ ใจกำกบั เรากจ็ ะได้รับความจรงิ ใจตอบ
8. เป็นคนที่รู้จักฟังคนอื่น การฟังคนมาก ๆ เรียกว่าพหุสูตร มนุษย์เราธรรมชาติให้หู มา
สองอนั หนา้ ทข่ี องหคู ือฟังมาก ฟังแบบต้ังใจ ฟังแบบสนใจในคำพดู ไมใ่ ชฟ่ ังบา้ งไม่ฟังบ้าง จ้องจะพูด
แทรก หรือไมส่ นใจท่ผี ู้พูดพดู ถ้าเราไม่รจู้ ักฟงั เราจะไม่รู้อะไรเลย
9. ตรงต่อเวลา รบั ผดิ ชอบในงานท่ีทำ มีวินยั ในตนเองส่ิงเหลา่ น้ีไม่ต้องให้ใครชีน้ ำแต่ เราทำ
จนเป็นนสิ ัย มนั กจ็ ะเป็น เสน่ห์ทีเ่ กดิ กับตวั เรา
10. รู้จักให้อภัย ให้เวลา ให้โอกาสผู้อื่น ไม่ยึดติด ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้จนขาดความ
ยืดหยุน่ ตอ้ งการให้คนอน่ื รกั เรา ต้องรักคนอื่นกอ่ น
11. จงหลีกเลี่ยงการแข่งขัน การเอาชนะการชิงดีชิงเด่น ซึ่งจะนำมาซึ่ง การประจบสอพอ
การแตกแยก การแบ่งกลุ่มการเล่นเกม ถา้ เล่นเกมหลายๆ คนกห็ วงั ชนะ แต่ไม่วา่ แพ้ หรือชนะแล้วได้
อะไร ทา่ นมีความสุข หรอื ถ้าเห็นความล้มเหลวของผู้อื่น ถ้าทา่ นสขุ ต้องพจิ ารณาแลว้ ว่า ใจของท่าน
ปกติอยหู่ รือเปลา่
12. จงหลีกเลี่ยงการทำตนเหนือกว่าคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นฐานะ ตำแหน่ง สิ่งเหล่านี้ไม่ได้
สร้างสรรค์ ให้เกิดมนุษย์สัมพันธ์เลย ถ้าท่านอยู่ในตำแหน่งที่สูง ท่านพูดไม่รับผิดชอบคำพูด วางตน
ขามขู่คนอ่ืน พูดใหค้ นอ่ืนเสีย วางอำนาจ วนั หนึ่งไม่มใี คร ทำงานกบั ท่าน แน่นอน ด่าลูกน้องลับหลัง
ถามข้อมูลของคนอื่นกับคนใกล้เคียง ฟังความข้างเดียว หูทำด้วยสำลี ปากทาด้วย ตำแยเป็นประจำ
คนประเภทนี้ไม่สร้างมนุษย์สัมพันธ์ในงานเลย แต่กลับสร้างความแตกแยกในสังคมอีก ฉะนั้น จง
หลีกเลย่ี ง พฤตกิ รรมท่อี ยูเ่ หนอื คนอ่ืนเราก็จะเป็นท่รี ักใคร่ของใคร ๆ
120 ภาวะผนู้ ำและการทำงานเปน็ ทีม
สรุปวิธีการสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น จะช่วยให้บุคคลสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่น ได้
อย่างมีความสขุ ทั้งจากความสุขที่เกิดข้ึน ภายในครอบครัว ความสุขที่เกิดจาก การได้สัมพันธ์กบั คน
อื่น กลมุ่ เพอ่ื น กลมุ่ อาชีพ การท่บี คุ คลตอ้ งอยรู่ ว่ มกับคนอ่นื น้ีเอง จะทำใหบ้ ุคคล มีกัลยาณมิตร หรือ
มีเพอื่ นนั่นเอง และเพื่อนที่เรารูจ้ ักอาจมีอายุที่ต่างกนั เพศตา่ งกนั ระดบั การศึกษาต่างกัน ซ่ึงเราควร
จะต้องเข้ากับเขา ให้ได้ทั้งเพื่อนที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกับเรา เพื่อนมนุษย์ ที่อยู่ในโลกใบเดียวกับเรา
สังคมก็จะสะอาด เกิดสันติในโลก ทุกวันนี้มีการทะเลาะกันตั้งแต่จุดเล็ก ๆ ไปจนถึงกระบวนการก่อ
ความไม่สงบให้กับหลายประเทศ นั่นเป็นเพราะ มนุษย์ขาดการสัมพันธ์ที่ดี ขาดมิตรจิตมิตรใจขาด
ความรู้สึกของความเป็นมนุษย์เหมือนๆ กัน ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ตั้งแต่สังคมระดับย่อย และระดับ
ใหญ่จงึ วนุ่ วาย ดงั นัน้ เราจงึ ต้องศึกษาวิธีการสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอ่ืนให้สามารถอยู่ร่วมกับคน
อนื่ ได้อยา่ งมคี วามสุข และสรา้ งสังคมสะอาด และสงั คมสนั ตสิ ุขข้ึนมา
วธิ กี ารสร้างมนุษยสัมพันธ์
หลกั ในการสร้างมนุษยสัมพนั ธ์นัน้ เราควรคำนงึ ถงึ หลกั ต่อไปน้ี
1. การสำรวจตนเอง ในการสมาคมกับบุคคลอื่นในชีวิตประจำวันนั้น เราควรสำรวจตนเอง
วา่ เรามสี ่งิ ใดบกพรอ่ งมากไป หรอื ไม่ หากมคี วรหาทางแก้ไขปรับปรุงตนเอง การชมตนเองมากเกินไป
นน้ั มผี ลเสียมาก เชน่ ทำใหบ้ างคนลืมตัวคดิ ว่าตนเองดีแลว้ ไมต่ อ้ งปรับปรงุ แก้ไข เปน็ ตน้ แต่บางคร้ัง
คำชมก็จำเป็นเหมือนกัน ถา้ คำชมน้นั เป็นคำชมท่ีจริงใจจากผู้อื่น อยา่ งไรก็ตาม เราควรรู้จักประมาณ
ตน มองตนเองโดยไมล่ ำเอยี ง หรอื เช่อื คำชมของผู้อน่ื งา่ ยเกนิ ไป
การสร้างมนุษยสมั พันธ์กับบคุ คลอ่ืนนั้น เราควรมีความจริงใจตอ่ เขา เนื่องจาก ความจริงใจ
ต่อกันโดยไม่หวังผลประโยชน์แอบแฝงนัน้ จะก่อให้เจตคติที่ดีซึ่งกัน และกัน มีความไว้วางใจกัน อัน
จะนำไปสคู่ วามสัมพนั ธ์ท่ดี ี และแนบแนน่ ระหวา่ งเรากบั บคุ คลทสี่ มาคมดว้ ย
นอกจากน้ี เราควรสำรวจตนเองวา่ เรามักติเตียนปมด้อยของผู้อ่ืน หรือไม่ และมีมารยาทใน
สังคม หรือไม่ เช่น การใช้กิริยา และวาจาที่สุภาพ การปฏิบัติตนตามขนบธรรมเนียมประเพณี
วัฒนธรรม และค่านิยมของสังคม เป็นต้น หากเราปรารถนาจะสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่นให้มั่นคง
เราควรมองปมด้อยของผู้อื่นเป็นเรื่องธรรมดา และถ้าสามารถช่วยเหลอื เขาได้ควรช่วยเหลือเขาตาม
สมควร เชน่ เพอ่ื นตดิ สรุ าจนเปน็ โรคพิษสุราเรื้อรัง กห็ าทางตักเตือน และแนะนำดว้ ยความหวังดี ให้
กำลงั ใจแก่เขาให้กลบั มาทำงาน หรือศึกษาต่อตามปกติ เป็นตน้ การมมี ารยาทในสังคม นับว่าจำเป็น
ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์กับบุคคลอ่ืนเชน่ กนั เพราะชว่ ยให้คนเราปฏิบตั ิตนต่อกนั ได้อย่างเหมาะสม
ถกู ต้องตามกาละเทศะ และก่อใหเ้ กดิ ความสามัคคีขึ้นในสังคม
บทท่ี 7 ทกั ษะการทำงานเป็น มนุษยสัมพนั ธ์ 121
2. การศึกษาสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับบุคคล บุคคลโดยทั่วไปมักมีลักษณะที่คล้ายๆกันอยู่หลาย
ประการ หากเราได้ตระหนักถงึ ลักษณะเหล่านี้ ก็จะช่วยเสริมการสร้างมนษุ ยสัมพันธก์ ับบุคคลอื่นได้
งา่ ยขนึ้ และดำรงความสัมพนั ธอ์ ันดใี หม้ ่นั คงได้ ลกั ษณะตา่ ง ๆ เก่ียวกบั บุคคลดังกล่าว มดี งั นี้
2.1 ไมช่ อบให้ใครตำหนิ แม้ว่าความคิด หรือการกระทำนน้ั จะผิดก็ตาม เนื่องจากเรามัก
เข้าใจว่าสิ่งที่เราคิด หรือกระทำลงไปนั้นถูกต้องแล้ว คนเราจะกระทำสิ่งใดย่อมีเหตุผลของตนเอง
เสมอ แต่เป็นเหตุผลในแง่ความนึกคิดของแตล่ ะคน ฉะนั้น ความคิดของแต่ละบุคคลย่อมแตกต่างกัน
ได้ ด้วยเหตุนี้การตำหนิผู้อื่นเมื่อคิดว่าเขากระทำผิดนั้น นับว่าไม่มีประโยชน์ เนื่องจากความคิดเห็น
ของแต่ละบุคคลต่างกัน อาจทำให้ผู้ถูกตำหนิไม่พอใจ และรู้สึกว่าเป็นการทำลายเกียรติของตน
ฉะนน้ั เมือ่ ธรรมชาตขิ องมนุษย์ไมช่ อบให้ใครมาตำหนิตนเชน่ น้ี เราควรงดการตำหนิผู้อืน่ ควรรู้จักนำ
ใจเขามาใส่ใจเรา รจู้ กั ใหอ้ ภยั ซึ่งกัน และกนั
2.2 อยากมีชื่อเสียงเด่น คนเรามักชอบให้ผู้อื่นยกย่องสรรเสริญตนว่า เป็นคนเก่ง หรือมี
เกียรติ ดว้ ยเหตนุ จ้ี งึ ทำให้คนเราเกิดความคดิ สร้างสรรค์ในการประดิษฐ์ส่งิ ต่าง ๆ ที่อำนวยประโยชน์
แก่มวลมนุษย์ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้แก่ตน อย่างไรก็ตาม เราควรรู้จักประมาณตน และมีความมานะ
พยายามในทางท่ถี กู ไม่เอารดั เอาเปรียบผู้อน่ื ด้วย
2.3 ชอบคนที่อารมณ์ดีมากกว่าอารมณ์เสยี คนที่ยิ้มแยม้ แจ่มใส หรือมีนิสยั ร่าเริงอยู่เสมอ
นั้น เป็นบุคคลที่น่าคบหาสมาคมมากกว่าคนที่มีแต่ความทุกข์ อารมณ์ไม่มั่นคง หงุดหงิด และโกรธ
ง่าย การยิ้มของคนเรานั้น นับว่าสำคัญมาก ดังสุภาษิตของจีนกล่าวไว้ว่า "คนที่ยิ้มไม่เป็นจะค้าขาย
ขาดทุน" เพราะการยิ้มแสดงถึงการมีความสุข การต้อนรับ การมีน้ำใจโอบอ้อมอารี ทำให้ผู้ที่พบเห็น
อยากสมาคมด้วย ดังนั้น เราควรยิ้มแย้มแจ่มใสกับบุคคลที่เราสมาคมด้วยเสมอ เพื่อสร้าง
มนษุ ยสมั พันธก์ ับบุคคลนัน้
2.4 ไม่ชอบให้ใครโต้เถียง โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น ไม่ชอบให้ใครมาพูดขัดแย้ง หรือ
โต้เถียงตน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อหน้าที่ประชุม หรือในกลุ่มคน และหากผู้โต้เถียงเป็นบุคคลที่มี
ฐานะต่ำกวา่ ดว้ ยแล้ว ก็ยิ่งจะทำให้เกิดความไม่พอใจมากยงิ่ ขน้ึ
2.5 อยากใหบ้ คุ คลอ่นื เคารพนบั ถอื และยกยอ่ งตน คนเราสว่ นใหญ่ปรารถนาใหผ้ ู้อ่ืนเคารพ
นบั ถือ และยกยอ่ งวา่ ตนเป็นคนดี มนี ้ำใจโอบอ้อมอารตี อ่ ผู้อืน่ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่
2.6 ชอบเห็นการรบั ผิดเมื่อกระทำผิด ผู้ที่กระทำผิดแลว้ ยอมรับผิดนั้น เป็นบุคคลที่ควรให้
อภัย น่าสรรเสริญ เพราะการยอมรับผิดนั้น มิได้ทำให้ตนต้องเสียเกียรติ หรือแสดงถึงความบกพร่อง
122 ภาวะผู้นำและการทำงานเปน็ ทมี
และความอับอาย แต่เป็นการแสดงถึงความมีน้ำใจเป็นนักกีฬา เป็นบุคคลที่น่าเคารพนับถือของคน
ทว่ั ไป
2.7 ต้องการใหเ้ ปน็ กันเองกับทุกคน การปฏบิ ัติตนเป็นกนั เองกับผู้อื่น ไม่วางตัวข่มเหงผู้อื่น
จะชว่ ยสร้างมนษุ ยสัมพนั ธ์กับผู้อ่นื ได้ง่าย
2.8 ชอบให้ผู้อ่ืนพูดในเรื่องทตี่ นสนใจ คนเรามีความแตกตา่ งกันในด้านความคิด การศกึ ษา
การอบรม ฐานะ และความเป็นอยู่ จงึ ทำให้ความพอใจ และความสนใจของคนเราแตกตา่ งกัน ดังน้ัน
เรื่องที่เราจะสนทนากับบุคคลต่าง ๆ นั้น ควรสอดคล้องกับความพอใจ และความสนใจของเขาให้
มากทสี่ ดุ จงึ จะช่วยส่งเสริมความเข้าใจ และความสมั พันธ์ทีด่ ซี ึง่ กันและกัน
2.9 ชอบให้ผู้อื่นฟังเมื่อตนพูด การพูดคุย หรือการแสดงความคิดเห็นร่วมกันนั้น ควรเปิด
โอกาสให้ผู้อื่นพดู หรอื แสดงความคิดเห็นบ้าง โดยตนเปน็ ผสู้ นใจฟงั ควรตง้ั คำถามในเรื่องที่เขากำลัง
พูดจะช่วยส่งเสริมใหผ้ พู้ ดู เกดิ ความพอใจ เพราะมีผู้อื่นสนใจฟังขณะทต่ี นพูด
ลักษณะต่าง ๆ ของคนเราโดยทั่วไป ดังที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเรื่องที่ควรคำนึงถึงที่สำคัญ
สำหรับการสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือการคบมิตรเพื่อนแบบกัลยาณมิตร ดังคำให้สิ่งที่เขา
ต้องการแล้วทา่ นจะไดส้ ิ่งทีท่ ่านต้องการ เราควรต้องรู้จักการประยกุ ต์ใช้ใหเ้ หมาะสมกับชีวิตจริงเพ่ือ
จะชว่ ยสร้างมนุษยส์ มั พันธ์กับผูอ้ ่ืนให้ดีย่ิงข้ึน
3. การผูกมิตร หลักเบื้องต้นในการผูกมิตร เพื่อเสริมสร้างสัมพนั ธภาพทีด่ ีต่อกันให้ยั่งยืน มี
ดังนี้
3.1 ความจรงิ ใจต่อกนั นบั เปน็ เรื่องสำคัญอนั ดับแรกในการผูกมิตร เนื่องจากพบว่าเร่ือง
ความจริงใจต่อกันชว่ ยสรา้ งความไว้วางใจซึ่งกนั และกัน ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิบัติตนอย่างเป็นกันเอง
เปดิ เผย และไม่ระแวงกัน เมอื่ มีปัญหาเกดิ ขึ้นก็สามารถปรึกษากันได้ ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ให้
แนน่ แฟ้นยิง่ ขน้ึ
3.2 การช่วยเหลือกัน คนเราเมื่ออยู่ร่วมกันในสังคม จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกัน และ
กัน บางครัง้ เคนเราไม่สามารถทำงานบางอยา่ งให้สำเรจ็ ลุล่วงได้โดยลำพงั ดังนนั้ เราจึงควรช่วยเหลือ
กัน การช่วยเหลือกันช่วยทำให้คนเราได้มีโอกาสให้ชิดสนทิ สนมกัน และสร้างความ สัมพันธ์อันดีต่อ
กนั ซึง่ มคี วามสำคญั ยงิ่ ในการผูกมติ รกบั ผู้อน่ื
3.3 ความมีน้ำใจต่อกัน เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมีจิตเมตตากรุณาไม่เห็นแก่
ประโยชน์ส่วนตัว รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น และการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเพื่อน นับเป็นการแสดง
ความมนี ้ำใจที่ดตี ่อเพ่ือน ซง่ึ เราควรปฏิบตั ิเพอ่ื สรา้ งความสมั พันธอ์ นั ดีตอ่ กนั สืบไป
บทที่ 7 ทกั ษะการทำงานเปน็ มนุษยสัมพันธ์ 123
3.4 การให้เกียรตซิ ึ่งกัน และกัน ในการผูกมิตรเราควรให้เกียรติแก่เพื่อนตามสมควร ไม่
ควรลบหลู่ดูถูกกัน ไม่ควรเปิดเผยความลับของเพื่อนให้ผู้อื่นทราบ ไม่ควรล้อเลียนให้เพื่อนอับอาย
หรือแสดงความเป็นกันเองมากเกินไปจนขาดความ เกรงใจ ซึ่งทำให้เพื่อนเบื่อหน่าย ดังนั้น การให้
เกียรติซึง่ กนั และกันชว่ ยใหเ้ รารู้จกั ปฏิบัติตนตามฐานะเพือ่ นได้ อยา่ งเหมาะสม
มติ ิของการสรา้ งมนุษยสัมพนั ธ์ในองคก์ ร
ในองค์กรนอกจากจะมีคนหลากหลายแล้ว ระบบการบริหารงานก็ยังทำให้มีผู้คนหลาย
ระดับด้วยเช่นกัน ดังนั้น มิติการสร้างความสัมพนั ธ์กย็ อ่ มแตกต่างกนั ไปด้วย เราลองมาดูกันดีกว่าว่า
แต่ละมิตคิ วรจะเปน็ อยา่ งไร
1. มติ มิ นุษยสมั พันธ์กบั ผบู้ งั คบั บญั ชา
การสร้างมนษุ ยสมั พนั กับผู้บังคับบญั ชานนั้ อาจต่างจากการสรา้ งความสมั พันธ์กับ
เพื่อนร่วมงานในระดับเดียวกัน เราควรให้ความสำคัญในการใช้ภาษาให้ไพเราะ ถูกกาละเทศ การให้
ความเป็นกันเองระหว่างเจ้านายและลูกน้องนั้น จะมีผลดีต่อการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่ก็
ต้องดูให้ดีด้วยว่า ควรมีความเป็นกันเองระดับไหน เพราะเจ้านายแต่ละคนก็ซีเรียสเรื่องนี้ไม่
เหมือนกัน หากเจ้านายที่ไม่ต้องการสร้างความเป็นกันเองมากนัก เราก็อาจต้องให้ความเคารพมาก
เป็นพิเศษ การรู้จักกาละเทศะที่ดีย่อมสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บังคับบัญชาได้ดีกว่าการไม่รู้
กาละเทศะ
2. มติ ิมนษุ ยสมั พันธก์ ับเพอ่ื นรว่ มงาน
สำหรับผู้ที่ทำงานในระดับเดียวกัน การสร้างมนุษยสัมพันธ์ระหว่างกันนั้นต้องอยู่บน
พื้นฐานมอบความจรงิ ใจให้แกก่ ัน และสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกนั ไม่เอาเปรียบ
ซง่ึ กนั และกัน เปน็ ท่ปี รกึ ษาใหก้ ับและกัน และสรา้ งความสนิทสนมใหม้ ากท่สี ุด
3. มิตมิ นษุ ยสมั พนั ธ์กบั ผ้ใู ตบ้ ังคบั บญั ชา
การบริหารผู้ใต้บังคับบัญชาอาจเป็นเทคนิคของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน แต่การสร้าง
ความสัมพันธก์ ับคนท่ีอยู่ใต้การบังคบั บัญชาน้ันผู้ท่ีบังคบั บญั ชาควรจะต้องสร้างความไว้เน้ือเช่ือใจกัน
ใหไ้ ด้ แลว้ ก็ต้องรจู้ กั การบริหารคนให้เป็น ผูบ้ ังคับบัญชาทีด่ ีจะตอ้ งรจู้ ักการสงั่ การ ควบคมุ การทำงาน
ผู้ใต้บังคับบัญชาส่วนใหญ่มักต้องการผู้บังคบั บัญชาที่เก่ง เข้าใจงาน เข้าใจลูกน้อง สั่งงานเป็น ตรวจ
งานได้ และใหค้ วามเป็นธรรมในทกุ ๆ เรื่อง ส่อื สารกันใหเ้ ขา้ ใจ
124 ภาวะผนู้ ำและการทำงานเป็นทมี
ข้อดีของการมมี นุษยสัมพนั ธใ์ นองคก์ ร
เมื่อองค์กรสามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ให้กับบุคลากรได้สำเร็จ องค์กรนั้นก็มักจะ
ทำงานได้ราบรื่น ไม่ประสบปัญหาใด ๆ หรือเมื่อเจอปัญหาก็สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว ก้าวข้าม
ผ่านปัญหาไปได้ และทำใหอ้ งค์กรประสบความสำเร็จในที่สุด ซง่ึ ก่อใหเ้ กดิ ผลดกี ับองค์กรดงั น้ี
1. เกดิ ความสามคั คีในองคก์ ร
2. องคก์ รทำงานอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
3. บคุ ลากรเกดิ การพฒั นา
4. องค์กรประหยัดงบประมาณ มผี ลประกอบการท่ีดขี ้นึ
5. พนักงานเกิดความภกั ดใี นองคก์ ร
6. เกิดการถา่ ยทอดวฒั นธรรมทด่ี ีระหวา่ งกัน
7. เป็นเคร่ืองดึงดูดใจใหค้ นเกง่ และดีอย่างมาร่วมงานกบั องคก์ ร
ลกั ษณะของผมู้ ีมนษุ ยสมั พันธ์ที่ดี อาทเิ ชน่
1. ตอ้ งรจู้ กั ทกั ทายกับเพอ่ื นร่วมงาน ผูบ้ งั คบั บญั ชา และเพือ่ นบา้ น
2. ไมย่ กตนขม่ ท่านซง่ึ แมแ้ ตก่ ับใคร ๆ ก็ตาม
3. ตอ้ งเน้นการพูดจาทด่ี ี ร้จู กั การกล่าวขอบคุณ และขอโทษ ฯลฯ
4. ต้องพยายามจำชอื่ ใหไ้ ด้ และจำเรอ่ื งท่ีเขาพดู ถึงบ่อย ๆ เพ่อื จะได้มีเร่อื งในการสนทนา
5. การยกย่อง การชมเชยซง่ึ กันและกัน การหาสว่ นท่ดี มี าพดู ต่อกัน
6. การมมี ารยาททด่ี ี การร้จู ักการวางตัวใหด้ ีในสังคมทอี่ ยู่
7. มนี ำ้ ใจ เออ้ื เฟื้อเผ่ือแผ่
ทกั ษะในการติดตอ่ สอื่ สาร
ทักษะจำเป็นสำหรับการทำงานเป็นทีมนั้น ต้องมีแนวคิดและวิธีการพัฒนาของทักษะที่
สัมพนั ธก์ ับการสรา้ งทมี งาน ประกอบด้วย ดังนี้
Synder (1988 : 209) กล่าวว่า ความสามารถของทีมงานที่สามารถปฏิบัติงานได้บรรลุ
วัตถุประสงค์จะขึ้นอยู่กับศักยภาพของสมาชิกที่จะติดต่อสื่อสารระ หว่างกันและกันได้อย่างมี
ประสทิ ธิผล ดังนนั้ การติดต่อระหว่างบุคคลจึงเป็นพืน้ ฐานทสี่ ำคัญต่อการสรา้ งทีมงานท่ีมีประสิทธิผล
การแก้ปัญหาต่าง ๆ การปฏิบัตกิ าร การให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั และการประเมนิ ผล
บทท่ี 7 ทกั ษะการทำงานเปน็ มนษุ ยสมั พันธ์ 125
Thamhain (1990 : 16) กล่าวว่า การติดต่อสื่อสารที่ล้มเหลวอันเป็นอุปสรรคสำคัญของ
การปฏิบัติงานของทีมงานที่มีประสิทธผิ ล และการปฏิบัติงานในรูปแบบที่มคี วามคิดริเริ่มสรา้ งสรรค์
ทั้งนก้ี ารตดิ ตอ่ ส่อื สารอย่างทว่ั ถงึ ของทีมงานจึงเปน็ ส่งิ สำคญั
Wynn and Guditus (1984 : 74) ได้นิยามความหมายของการติดตอ่ สื่อสารว่า หมายถึง
กระบวนการแลกเปลี่ยนข่าวสาร ความเช่ือ ความรสู้ ึก ความปรารถนาและความเขา้ ใจระหว่างบุคคล
ท้ังภายในและภายนอกองค์การ รปู แบบการส่ือสารมีทง้ั ท่ีเปน็ คำพูด ขอ้ เขียน หรอื ไม่เป็นลายลักษณ์
อกั ษร ซึ่งทิศทางการไหลของข่าวสารจะเป็นทงั้ จากบนลงล่าง จากลา่ งขึน้ บน ระดับเดียวกัน หรือกับ
องค์การภายนอก ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน สามารถประสานงานให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้
ปฏิบัติงานตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน ยิ่งองค์การซับซ้อน
เพียงใด ความสำคัญของการติดตอ่ สอ่ื สารยิง่ เพมิ่ มากข้นึ เท่านน้ั
จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า การติดต่อสื่อสาร หมายถึง ช่องทางการประสานสัมพันธ์
ของบุคคล เพื่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจตรงกัน สามารถปฏบิ ัตงิ านรว่ มกันไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ
องค์ประกอบของกระบวนการติดต่อสื่อสาร ประกอบดว้ ยผสู้ ่งสาร บุคคล และผ้รู บั
สารสามารถอธิบายได้ดงั นี้
1. ผสู้ ่งสาร (Sender) หรอื แหล่งสาร (Source) หมายถงึ บุคคล กลมุ่ บุคคล หรอื
หน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการส่งสาร หรือเป็นแหล่งกำเนิดสาร ที่เป็นผู้เริ่มต้นส่งสารด้วยการแปลสาร
นั้นให้อยู่ในรูปของสัญลักษณ์ท่ีมนุษย์สรา้ งขึ้นแทนความคิด ได้แก่ ภาษาและอากัปกิริยาต่าง ๆ เพื่อ
สอื่ สารความคดิ ความรสู้ ึก ขา่ วสาร ความตอ้ งการและวตั ถปุ ระสงค์ของตนไปยังผู้รับสารด้วยวิธีการ
ใด ๆ หรือสง่ ผ่านช่องทางใดก็ตาม จะโดยตัง้ ใจหรอื ไมต่ ง้ั ใจกต็ าม เช่น ผู้พดู ผู้เขียน กวี ศิลปนิ
นักจัดรายการวิทยุ โฆษกรัฐบาล องค์การ สถาบัน สถานีวิทยุกระจายเสียง สถานีวิทยุโทรทัศน์
กองบรรณาธกิ ารหนังสอื พิมพ์ หนว่ ยงานของรัฐ บริษัท สถาบนั สอื่ มวลชน เป็นตน้
คุณสมบตั ิของผสู้ ่งสาร
1. เป็นผู้ที่มีเจตนาแน่ชัดที่จะให้ผู้อื่นรับรู้จุดประสงค์ของตนในการส่งสาร แสดงความ
คดิ เห็น หรอื วิจารณ์ ฯลฯ
2. เป็นผทู้ ่ีมีความรู้ ความเขา้ ใจในเน้อื หาของสารท่ตี ้องการจะสอื่ ออกไปเปน็ อย่างดี
3. เป็นผ้ทู ่มี ีบุคลกิ ลกั ษณะทด่ี ี มีความน่าเชื่อถอื ความแคลว่ คลอ่ ง มีการเปดิ เผยและจริงใจ
และมีความรบั ผิดชอบ ในฐานะเป็นผูส้ ง่ สาร
4. เป็นผูท้ ส่ี ามารถเข้าใจความพร้อมและความสามารถในการรับสารของผู้รับสาร
126 ภาวะผนู้ ำและการทำงานเป็นทีม
5. เป็นผ้รู ูจ้ กั เลอื กใชก้ ลวธิ ที เี่ หมาะสมในการส่งสารหรือนำเสนอสาร
2. สาร (Message) หมายถึง เรื่องราวที่มีความหมาย หรือสิ่งต่าง ๆ ที่อาจอยู่ในรูปของ
ข้อมลู ความรู้ ความคิด ความตอ้ งการ อารมณ์ ฯลฯ ซึ่งถ่ายทอดจากผู้สง่ สารไปยังผู้รับสารให้ได้รับ
รู้ และแสดงออกมาโดยอาศัยภาษาหรือสัญลักษณ์ใด ๆ ทีส่ ามารถทำให้เกดิ การรับรู้รว่ มกันได้ เช่น
ข้อความท่พี ูด ขอ้ ความที่เขยี น บทเพลงทร่ี ้อง รปู ที่วาด เรื่องราวทอี่ ่าน ทา่ ทางท่สี อ่ื ความหมาย
เปน็ ตน้ ประกอบด้วย
2.1 รหัสสาร (Message Code)ได้แก่ ภาษา สัญลักษณ์ หรือสัญญาณที่มนุษย์ใช้เพื่อ
แสดงออกแทนความรู้ ความคดิ อารมณ์ หรอื ความร้สู ึกตา่ ง ๆ
2.2 เนื้อหาของสาร (Message Content) หมายถึง บรรดาความรู้ ความคิดและ
ประสบการณ์ที่ผู้ส่งสารต้องการจะถ่ายทอดเพื่อการรับรู้ร่วมกัน แลกเปลี่ยนเพื่อความเข้าใจร่วมกัน
หรอื โต้ตอบกัน
2.3 การจัดสาร (Message Treatment) หมายถึง การรวบรวมเนื้อหาของสาร แล้วนำมา
เรียบเรยี งให้เป็นไปอยา่ งมีระบบ เพื่อให้ได้ใจความตามเนื้อหา ที่ต้องการดว้ ยการเลือก ใช้รหัสสาร
ทเ่ี หมาะสม
3. สื่อ หรือช่องทาง (Media or Channel) เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งใน
การสื่อสาร หมายถึง สิ่งที่เป็นพาหนะของสาร ทำหน้าที่นำสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร ผู้ส่ง
สารตอ้ งอาศัยสอ่ื หรอื ชอ่ งทางทำหนา้ ท่ีนำสารไปสผู่ ู้รบั สาร
4. ผู้รับสาร (Receiver) หมายถงึ บคุ คล กลมุ่ บุคคล หรือมวลชนทีร่ ับเรือ่ งราวขา่ วสาร
จากผู้ส่งสาร และแสดงปฏิกิริยาตอบกลับ (Feedback) ต่อผู้ส่งสาร หรือส่งสารต่อไปถึงผู้รับสาร
คนอื่น ๆ ตามจุดมุ่งหมายของผู้ส่งสาร เช่น ผู้เข้าร่วมประชุม ผู้ฟังรายการต่าง ๆ กับกลุ่มผู้ฟัง
การอภปิ ราย ผอู้ ่านบทความจากหนังสอื พมิ พ์ เป็นต้น
5. โครงสร้างการส่ือสารภายในทมี งาน
โครงสร้างการสื่อสารภายในทีมงาน หมายถึง กระบวนการแพร่กระจายข้อมูลข่าวสาร
ของสมาชิกทีม ซง่ึ มที ้ังเครือขา่ ยแบบไม่เป็นทางการ และแบบทเี่ ปน็ ทางการ เครือข่ายท่ีเป็นทางการ
ทสี่ มาชกิ ไดร้ บั มอบหมายให้ปฏิบัตงิ าน มีการวางแผน อนั เป็นประโยชน์ตอ่ การแกป้ ญั หา
เครือขา่ ยการส่ือสารในทีมงานแบง่ เป็น 5 ลกั ษณะ ซง่ึ ได้แก่ Bartol and Martin (1994
: 453-454)
บทท่ี 7 ทกั ษะการทำงานเป็น มนษุ ยสัมพนั ธ์ 127
5.1 แบบวงลอ้ (Wheel Network) เป็นเครือขา่ ยท่ีมีศนู ย์กลางอยู่ท่ีหัวหน้าเป็น
การรวบอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางของข่าวสารทุกอย่าง จะนำส่งไปถึงสมาชิกโดยผ่านหัวหน้าซึ่งอยู่ตรง
กลางวงล้อ
5.2 แบบลกู โซ่ (Chain Network) สมาชกิ ของทมี งานสามารถสื่อสารกบั สมาชิก
มากกวา่ หนึง่ คน แต่บุคคลทอี่ ยตู่ รงกลางจะเป็นผคู้ วบคุมข่าวสารทงั้ หมด
5.3 แบบตัว Y (Y Network) สมาชกิ ของทีมที่อยตู่ รงปากส้อมจะเป็นศูนย์กลาง
ของการสอื่ สารตดิ ตอ่
5.4 แบบวงกลม (Circle Network) สมาชิกแต่ละคนสามารถติดต่อกับสมาชิก
คนอื่น ๆ ไดท้ ง้ั 2 ข้าง แต่ถา้ จะตดิ ตอ่ กับคนอื่น ๆ จะตอ้ งติดต่อผา่ นคนอ่นื ในวงกลม
5.5 แบบดาว (Star or all Channel Network) เป็นรูปแบบที่กระจายอำนาจ
มากที่สดุ โดยสมาชกิ แต่ละคนสามารถติดตอ่ สื่อสารกับสมาชกิ คนอืน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นใครในทีมงาน
จากคำกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่าเครือข่ายการสื่อสารที่ดีที่สุดควรจะเป็นแบบรูปดาว
เพราะสมาชิกแต่ละคนสามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างอิสระกับสมาชิกคนอื่น ๆ ถ้าเส้นใดเส้นหนึ่ง
หายไปจะทำให้การติดต่อสื่อสาร ไม่สมบูรณ์และผิดพลาดได้ รูปแบบดาวเหมาะกับงานที่ยุ่งยาก
ซับซ้อน และต้องการความเชี่ยวชาญและปัจจัยป้อนเข้าจากหลาย ๆ ฝ่ายที่อาจแตกต่างกัน
นอกจากน้ีเครือข่ายแบบน้ียังช่วยให้มีการตรวจสอบ ข้อมูลและการตีความหมายให้เข้าใจตรงกันด้วย
และในที่สดุ จะนำไปสคู่ วามพงึ พอใจในงานและขวญั กำลงั ใจของทมี สูงข้นึ
6. การฟงั อยา่ งมีประสทิ ธผิ ล
การฟงั เป็นทักษะที่สัมพนั ธก์ ับการส่อื สารมากทีส่ ดุ ถา้ สมาชกิ ทีมงานไม่รับฟงั ซ่ึงกันและ
กนั ย่อมเป็นการยากท่ีจะรักษาไวซ้ ึ่งสัมพันธภาพที่ดี หรือวิธีการแกป้ ัญหาอย่างสร้างสรรค์ ขั้นตอน
แรกที่สำคัญคือสมาชิกต้องเรียนรู้ที่จะฟัง (Learning to Listen) ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่จะจดบันทึก
สิ่งที่ผูอ้ ื่นพูด นั่นคือ ต้องเรียนรู้ที่จะเปน็ ผู้ฟังอย่างตั้งใจ บางครั้งผู้ฟังอาจถามคำถามโดยเปน็ การย้ำ
ความเข้าใจ มีการใช้ภาษาร่างกายซึ่งสื่อสารความสนใจ มีการอธิบายประกอบจุดเป็นสำคัญ ๆ กับ
ผพู้ ดู
การฟังเป็นทกั ษะท่ีอาจฝึกฝนและปรบั ปรุงให้ดีข้นึ ได้ สรุปได้ดังน้ี
6.1 การฟังควรจะยึดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน และควรฟังทุกเรื่องที่ทุกคนพูด เพราะ
การฟังไมท่ ำให้ใครเสยี ประโยชน์ และบางคร้งั อาจมปี ระโยชนใ์ นอนาคต
128 ภาวะผูน้ ำและการทำงานเปน็ ทีม
6.2 รบั ฟงั ขอ้ มูลเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งหมดก่อนทีจ่ ะตดั สนิ ใจ ไมค่ วรเรง่ รบี การตดั สนิ ใจ
โดยรบั รู้ขอ้ มลู เพยี งครึ่ง ๆ กลาง ๆ อาจสง่ ผลเสยี หายได้
6.3 ให้ความสนใจกับบุคคลที่กำลังพูด ไม่ควรด่วน “ขัดคอ” หรือ “ขัดจังหวะ”
คอยให้เขาพดู ใหจ้ บกอ่ น แล้วจึงคอยโตแ้ ยง้ หรือหาขอ้ มูลเพม่ิ เตมิ
6.4 มกี ารตรวจสอบข้อมลู หรือตีความหมาย เพ่ือหาขอ้ สรุปท่ีเข้าใจตรงกันทุกคร้ังท่ี
มกี ารส่ือสาร
6.5 ควรยอมรับความรู้สึกของผู้พูด ในขณะที่ฟังควรพยายามปรับตัวให้เข้าใจถึง
แนวคิด รวมทง้ั ความรู้สึกของผพู้ ูดโดยเป็นการฟงั ทัง้ สาระและความรสู้ ึก
6.6 แสดงความสนใจและกระตือรือร้นที่จะฟัง จึงจะช่วยกระตุ้นให้ผูพ้ ูดมีกำลังใจท่ี
จะถ่ายทอดสงิ่ ท่เี ปน็ ประโยชนใ์ ห้เราฟงั
6.7 พยายามขจัดสิ่งรบกวนต่าง ๆ ที่จะเป็นเครื่องทำลายสมาธิในการฟังใหห้ มดไป
เพื่อใหก้ ารสอื่ ขอ้ ความเปน็ ไปโดยราบรืน่ และบรรจผุ ลของการฟัง
6.8 ควรฟังโดยสังเกตภาษาท่าทางประกอบด้วย เพราะภาษาท่าทางช่วยบอก
นัยสำคัญของการพดู นัน้ ๆ ดว้ ย
7. การให้ขอ้ มูลยอ้ นกลับ
การใหข้ ้อมลู ย้อนกลับ (Feedback) มีความสัมพันธ์อยา่ งใกล้ชดิ กับการติดต่อสื่อสารท่ี
มีประสิทธิผล Todryk (1990 : 19) สรุปไว้ว่า เมื่อใดที่ทีมงานปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ได้ไม่ดี การให้
ข้อมูลย้อนกลับจะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทีมงานนั้น ๆ ถ้าสมาชิกได้เรียนรู้วิธีการให้และ การรับรู้
ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั อย่างเหมาะสม จะช่วยให้สมั พันธภาพระหว่างสมาชกิ เป็นไปอย่างราบร่ืน และทมี งาน
สามารถปรับปรุงผลการปฏิบัติงานโดยใช้กระบวนการวิพากษ์วจิ ารณต์ นเอง (Self-Criticism)
สภาพเง่ือนไขทจี่ ำเป็นสำหรบั การให้ข้อมลู ยอ้ นกลบั ท่ีมปี ระสิทธผิ ล 3 ประการไดแ้ ก่
1. การทำความเข้าใจ (Understanding) กับข้อมูลย้อนกลับ การจะให้ผู้รับสารได้เข้าใจ
นั้น ข้อมูลย้อนกลับจะต้องชี้เฉพาะ สามารถอธิบายพฤติกรรมของบุคคลได้อย่างน่าเชื่อถือ และให้
ข้อมูลย้อนกลับทันที ยิ่งสมาชิกได้รับทราบผลการปฏิบัติงานหรือพฤติกรรมเร็วเพียงใด ยิ่งช่วยให้
สมาชิกแตล่ ะคนไดเ้ รยี นรเู้ รว็ ขึ้น จะช่วยให้มีการปรับปรุงหรือเปลย่ี นแปลงเร็วตามไปด้วย
2. การยอมรับ (Acceptance) ข้อมูลย้อนกลับเพื่อให้ผู้รับสารยอมรับ ข้อมูลย้อนกลับที่ให้
จะต้องสะท้อนให้เห็นความรับผิดชอบ โดยที่มีการแสดงความเอื้ออาทร ความห่วงใย ข้อความที่ใช้
ควรเป็นการอธบิ ายหรือบรรยายให้เข้าใจ มากกวา่ เปน็ การประเมนิ ผลการปฏิบตั ิงานของพนักงาน
บทที่ 7 ทักษะการทำงานเปน็ มนุษยสัมพนั ธ์ 129
3. ความสามารถในการปฏิบตั ิ (Ability to Act) คอื คุณคา่ ของการให้ข้อมูลย้อนกลับอยู่ท่ี
การนำข้อสังเกตไปปฏบิ ัติให้เกิดผล ดงั น้ันขอ้ มูลจะตอ้ งเนน้ พฤติกรรมท่ีตอ้ งการให้มีการปรับปรุงให้ดี
ขึน้ และจำกัดเฉพาะท่สี ำคัญๆ เทา่ นนั้
ทกั ษะด้านการมปี ฏสิ มั พนั ธ์
ทักษะในการตดิ ต่อสมั พันธ์ หรอื เรียกว่า ทกั ษะในการปฏิสัมพนั ธ์ (Interaction Skill) หรือ
ทกั ษะด้านมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations Skill) เปน็ เร่ืองทส่ี ำคัญมากในการสร้างทีมงาน คือ
ความสามารถในการทำงานร่วมกบั ผอู้ ่นื ได้อย่างดีนน้ั มีผลกระทบโดยตรงต่อกระบวนการทำงานเป็น
ทมี และศักยภาพในการปฏบิ ัตงิ านอย่างมีประสิทธผิ ลและประสิทธิภาพ
1. ปจั จัยท่ีมีอิทธิพลต่อการปฏสิ มั พันธ์อยา่ งมีประสิทธิผล ประกอบดว้ ย
1.1 ความไว้วางใจและการเปิดเผย (Trust and Openness) ในการติดต่อ
สัมพันธ์กับบุคคลอื่นนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความไว้วางใจซึง่ กันและกันและการเปิดเผย ทีมงานใดมี
ระดับความไว้วางใจระหว่างสมาชิกต่ำ พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมจะปรากฏเด่นชัด เช่น ความไม่
ซื่อสัตย์ การหลบเลี่ยง และความไม่อดกลั้น Johnson & Johnson (1991 : 465) กล่าวว่า ยิ่ง
สมาชิกทมี งานไว้วางใจกันมากเท่าใด ย่งิ ทำใหท้ ีมงานสามารถรว่ มมือกันทำงานไดม้ ีประสิทธิภาพมาก
ขึ้นตามไปด้วย ดังคำที่ว่า ประสิทธิผลของทีมงานเกิดจากการที่สมาชิกทุกคนแบ่งปัน ทรัพยากรกัน
คอยให้ความช่วยเหลือแก่กันและกัน และช่วยกันปฏิบัติงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน
พฤตกิ รรมเหลา่ นจี้ ะเกิดขึน้ เมื่อทีมงานมีความไวว้ างใจซึ่งกันและกัน จะพบวา่ เมอื่ ระดบั ความไว้ใจกัน
มสี งู สมาชิกจะแสดงความคดิ ความรสู้ ึก แลกเปล่ียนข้อมลู และความคดิ เห็นกนั อย่างเปิดเผย
ส่วนการเปิดเผย (Openness) หมายถึง ความเต็มใจและยินดีที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูล
ข่าวสารต่างๆ ความคิดเห็น แนวคิด รวมถึงความรู้สึกGeorge (1977 : 88) อธิบายว่าการเปิดเผย
ของทีมงานจะแสดงในหลายลักษณะ เช่น การยอมรบั ความคิดใหม่ๆ ของผรู้ ่วมงานแบบคนใหม่ โดย
การแลกเปลี่ยนสารสนเทศ และความเต็มใจในการแก้ปัญหาและเผชิญกับสิ่งท้าทายต่าง ๆ ร่วมกับ
สมาชิกคนอื่น ๆ ถึงแม้ว่าการเปิดเผยเป็นสิ่งที่ไม่ปรากฏอย่างชัดเจนในหลายทีมงาน และShutz
(1989 : 8) ได้ยืนยันว่าทีมที่สมาชิกเปิดเผยต่อกันจะมีประสิทธิผลการทำงานสูงกว่าทีมที่สมาชิก
ปดิ บงั ความรูส้ ึกตา่ ง ๆ
ดังนั้น ความไว้วางใจและการเปิดเผยของสมาชิกทีมงาน นับเป็นรากฐานที่สำคัญในเร่ือง
ของการปฏสิ มั พนั ธ์ระหว่างบุคคลซึ่งจำเป็นอย่างยง่ิ สำหรับการทำงานเปน็ ทีม
130 ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทมี
1.2 ความประทับใจครั้งแรก (First Impression) โอกาสแรกที่ทีมงานไดพ้ บปะ
กัน ความรู้สึกทสี่ มาชิกมีต่อกนั จะเกิดขน้ึ เปน็ การรับรู้ว่าบุคคลอืน่ เป็นคนเชน่ ใด มีความเช่ือ ทัศนคติ
ความรู้ ความสามารถอย่างไร เชื่อกันว่าถ้าหากความประทับใจครั้งแรกนี้เป็นความประทับใจ
ในทางบวก การปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลก็จะมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปในทางสร้างสรรค์แต่ถ้า
ความประทับใจแรกพบเป็นไปในทางลบ ความสมั พันธก์ อ็ าจไมด่ เี ท่าท่คี วร
กลวธิ ีในการปฏสิ มั พนั ธเ์ พื่อสร้างความประทบั ใจ อาจประมวลได้ดังน้ี
1. ยม้ิ แย้มแจม่ ใส พดู คยุ ดว้ ยอารมณ์เบกิ บาน
2. รับฟงั ความคิดเห็นของผู้อ่นื
3. แสดงกิรยิ าสภุ าพอ่อนน้อม ถ่อมตน
4. วางตัวเหมาะสมกบั กาลเทศะ และบุคคล
5. อดทนและควบคมุ อารมณไ์ ด้
6. รจู้ ักยกยอ่ งชมเชยผอู้ ืน่ ตามโอกาสอนั ควร
7. มีความจรงิ ใจต่อผู้อ่นื เป็นกนั เอง
8. มที ัศนคตทิ ดี่ ี มองโลกในแง่ดี
9. มีความมัน่ ใจในตนเอง
10. ร้จู ักให้ความช่วยเหลือ และมีนำ้ ใจต่อผ้อู น่ื
11. มีความรอบรู้ทที่ ันสมัย
12. รู้จกั ขอโทษเม่ือทำผดิ
13. ใหค้ วามสำคัญแกผ่ ู้อนื่ มากกว่าตนเอง
14. มคี วามเป็นกนั เองกับทุกคนท่ีส่ือสาร
1.3 ความคาดหวังที่มีต่อกันและกัน (Mutual Expectation) การที่บุคคลจะมีปฏิสัมพันธ์
ที่ดีต่อกันหรือไม่นั้น เชื่อกันว่าจะขึ้นอยู่กับความสามารถของบุคคลที่จะปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับ
ความคาดหวังของอีกฝ่ายหนึ่ง ความคาดหวังที่มีต่อกันของแต่ละฝ่ายจึงเป็นตัวชี้ที่ช่วยกำหนด
คุณภาพของปฏิสัมพันธ์ที่ทั้งสองฝ่ายพึงมีต่อกัน แนวปฏิบัติที่จะช่วยส่งเสริมสัมพันธ์ภาพที่ดีต่อกัน
ระหว่างสมาชิกของทีมงาน มีดังน้ี
1.3.1 ทั้งสองฝ่ายควรคาดหวังต่อกันและกันในระดับปานกลาง ไม่สูงหรือต่ำ
จนเกนิ ไป เพราะถ้าความคาดหวงั ท่มี ตี ่อกันตัง้ อยบู่ นพนื้ ฐานท่ีไกลจากความเป็นจรงิ ไมส่ ามารถปฏิบัติ
ได้ อาจจะสรา้ งความผดิ หวงั ซึง่ อาจทำลายความไวว้ างใจและสัมพันธภาพได้
บทท่ี 7 ทักษะการทำงานเป็น มนษุ ยสมั พันธ์ 131
1.3.2 ทั้งสองฝ่ายควรจะรับรู้และเข้าใจความคาดหวังของอีกฝ่ายหนึ่งให้ถ่องแท้
เพอื่ ใหส้ ามารถปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสม ช่วยใหเ้ กดิ ความสัมพันธ์ทดี่ ีและสร้างเสริมบรรยากาศท่ีดี
ในการทำงานร่วมกนั
1.3.3 ทั้งสองฝ่ายแสวงหาแนวทางในการพัฒนาความสัมพันธ์ พร้อมที่จะ
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับความคาดหวังของอีกฝ่ายหนึ่ง แรงจูงใจของแต่ละฝ่ายเพื่อให้
ได้ทราบว่าแต่ละฝ่ายมีจุดเด่นและข้อจำกัดด้านใดบ้าง ซึ่งจะช่วยไม่ให้ความคาดหวังที่มีต่อกัน
แตกตา่ งจากความเปน็ จริงมากเกินไป
1.3.4 รูปแบบในการปฏิสัมพันธ์ (Interaction Styles) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะ
พฒั นาไปในทางท่ดี ีหรือไมน่ ั้น ขึ้นอยกู่ บั ความคาดหวงั แลว้ ยังขน้ึ อยู่กับปจั จยั สำคญั อีก 2 ประการ คือ
ความพร้อมที่จะเปิดเผยตนเองให้อีกฝ่ายหนึ่งได้เข้าใจถึงความคาดหวังและความสามารถของตน
และความพร้อมที่จะรับฟังข้อมูลย้อนกลับจากผู้อื่น เพื่อให้เกิดความเข้าใจตนเอง และนำผลมา
ปรับปรุงให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง การพิจารณาระดับของการเปิดเผยตนเอง รวมถึงระดับของ
ความพร้อมในการรับฟังข้อมูลย้อนกลับจะช่วยให้สมาชิกทีมงานเข้าใจถึงรูปแบบของตนในการมี
ปฏสิ ัมพันธก์ ับผอู้ ่ืน ประกอบดว้ ยแนวคิดของ 2 ทฤษฎี ดงั นี้
1. ทฤษฎีหน้าต่างโจฮารี (The Johari-Window Theory) ผู้พัฒนาทฤษฎีนี้คือ
Joseph Luft & Larry Ingham (1970) นักจิตวิทยาทั้งสองได้เสนอทฤษฎีนี้ในปี พ.ศ. 1955 โดย
ใช้ชื่อว่าหน้าต่างโจฮารี่ : รูปแบบการตระหนักรู้ การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (The Johari-
Window : Graphic Model of Awareness in Interpersonal Relations) เพื่อใช้เป็นรูปแบบ
แสดงพฤติกรรมของบุคคลเมือ่ อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม และเพื่อให้ตระหนักรูถ้ ึงสัมพันธภาพระหว่าง
บคุ คลท่เี กิดข้นึ Luft (1970 : 56) รูปแบบของความสัมพันธข์ องบคุ คลแสดงได้ดังภาพท่ี 7.1
132 ภาวะผู้นำและการทำงานเปน็ ทมี ตนเองไมร่ ู้
ตนเองรู้ สว่ นที่เป็นจุดบอด
ส่วนทเี่ ปดิ เผย
ผู้อนื่ รู้
ผู้อน่ื ไมร่ ู้ ส่วนทซี่ ่อนเร้น ส่วนลึกลับ
ภาพท่ี 7.1 แบบพฤติกรรมตามแนวคิดทฤษฎีหนา้ ตา่ งโจฮาร่ี
ทมี่ า : ดดั แปลงจาก สนุ ันทา เลาหนันทน์ (2549 : 142)
จากภาพที่ 7.1 แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมเปรียบเหมือนหน้าต่าง 4 บาน บางทีเรียกว่า
“หนา้ ต่างหวั ใจ” จะสะท้อนให้เหน็ พฤตกิ รรมของบุคคล 4 แบบ ดังนี้
1. ส่วนที่เปิดเผย หมายถึง บริเวณพฤติกรรมภายนอกที่แสดงออกอย่างเปิดเผย เป็น
พฤติกรรมเจตนาที่บุคคลแสดงออกแล้วรูว้ ่าตนเองแสดงพฤติกรรมอะไร มีจุดมุ่งหมายอย่างไร ทำให้
ผู้อื่นรบั รู้พฤติกรรมและเจตนาของเรา ในขณะเดียวกนั เรากร็ ับรพู้ ฤติกรรมและเจตนาของผูอ้ น่ื ดว้ ย
2. ส่วนที่เป็นจุดบอด หมายถึง บริเวณพฤติกรรมที่ตนเองแสดงออกโดยไม่รู้ตัว ไม่มี
จุดมุ่งหมาย และไม่มีเจตนาที่จะแสดงออกไป แต่บุคคลอื่นสามารถรับรู้ได้ และสังเกตเห็นได้ เช่น
การพูดพร้อมกับยักคิ้วด้วยทุกครั้ง หรอื กระดิกเทา้ เปน็ ต้น
3. สว่ นซ่อนเรน้ หมายถึง ส่วนของบริเวณที่มีพฤติกรรมปกปิด ไม่ใหใ้ ครเหน็ เป็นพฤติกรรม
หรือความรสู้ ึก ความคิดบางอย่างท่ีบุคคลเก็บไวเ้ ปน็ ความลับสว่ นตวั ซ่อนไว้ในใจ ไม่แสดงให้อีกฝา่ ย
หนึ่งทราบหรอื เขา้ ใจ มเี พียงตนเองเทา่ น้ันทีจ่ ะรู้ เชน่ จุดอ่อน ปมดอ้ ย หรือความผดิ พลาด ในอดีต
เป็นตน้
4. สว่ นลกึ ลบั หมายถึง บริเวณที่มีพฤตกิ รรมหรือความรู้สึกบางอย่างทบ่ี ุคคลแสดงออก
โดยไม่รตู้ ัว ตนเองไมเ่ คยรูไ้ ม่เคยเข้าใจมาก่อน และบุคคลอื่นไม่เคยรู้ไม่เคยเขา้ ใจมาก่อนเชน่ กนั
2. กลวธิ ใี นการพฒั นาทกั ษะด้านการปฏสิ มั พนั ธ์
การพัฒนาทักษะดา้ นการปฏสิ ัมพันธ์ของทมี งาน อาจกระทำไดด้ ้วยวธิ กี ารต่อไปน้ี
บทที่ 7 ทักษะการทำงานเป็น มนุษยสัมพนั ธ์ 133
1. ทำความเข้าใจกับกลไกของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล โดยพิจารณาถึงปัจจัย
ต่าง ๆ ทม่ี คี วามสำคัญต่อคณุ ภาพความสัมพันธ์ เขา้ ใจอทิ ธิพลของปัจจัยเหล่านน้ั เชน่ ผลกระทบของ
ความประทับใจครง้ั แรก หรอื ความคาดหวังตอ่ กนั
2. ยอมเสย่ี งเพือ่ ใหไ้ ดม้ าซ่งึ สัมพันธภาพทีด่ ี โดยทำในส่ิงต่อไปน้ี
2.1 เปิดเผยตนเองให้อกี ฝ่ายได้รู้จักและเขา้ ใจในตัวเรา
2.2 ถ้าอีกฝา่ ยเป็นผรู้ ิเรม่ิ เปิดเผย เราควรเปิดเผยตนเองเป็นการตอบสนองด้วย
2.3 รับฟังและแสดงความสนใจ เม่ืออกี ฝา่ ยหน่ึงเปดิ เผยตัวของเขา
2.4 แสดงความจรงิ ใจต่อกนั
3. รู้จักแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์อย่างเหมาะสมและมีหลักการ
สัมพันธภาพท่ดี ีบนพ้ืนฐานที่ท้งั สองฝา่ ย การแก้ไขปัญหาอาจทำได้ ดังนี้
3.1 ลดความคาดหวังลงมาใหเ้ หมาะสมกบั ความสามารถของอีกฝา่ ย
3.2 หาทางทีจ่ ะปฏบิ ตั ติ ามความคาดหวังน้นั ๆ
3.3 ให้ข้อมูลย้อนกลับในทางสร้างสรรค์ที่ช่วยให้เกิดการยอมรับและนำไป
ปรบั ปรงุ แก้ไขพฤติกรรมให้เป็นไปในทางทีม่ ผี ลดีต่อความสมั พนั ธ์ในการทำงานรว่ มกนั
4. ใชบ้ ันได 6 ขน้ั เพอื่ สรา้ งมนุษยสมั พนั ธ์ในทีมงาน ดังนี้ ขัน้ ที่ 1 มี 6 คำ คือ
“ยอมรับผดิ ถ้าฉันผดิ ” (I Admit if I Make Mistake) ข้นั ท่ี 2 มี 5 คำ คอื “คณุ ทำงานดมี าก”
(You did a Good Job) ขัน้ ท่ี 3 มี 4 คำ คือ “คณุ คดิ อย่างไร” (What do you Think?) ขน้ั ที่ 4
มี 3 คำ คือ “ฉนั ชอบมัน” (I like it) ข้นั ท่ี 5 มี 2 คำ คือ “ขอบคุณ” (Thank you) และขน้ั ท่ี 6
มี 1 คำ คือ “เรา” (We)
บทสรุป
ทักษะการทำงานเป็นทีม มนุษยสัมพันธ์ หมายถึง กระบวนการจูงใจ ให้ผู้ปฏิบัติงานภายใต้
สถานการณ์ ทเ่ี ปน็ อยู่ให้เกิดความพงึ พอใจในงาน และความสามารถ ทำงาน ให้ประสบผลสำเรจ็ ตาม
เป้าหมายขององค์กรได้ องค์ประกอบมนุษยสัมพันธ์ต้องมีองค์ประกอบ 3 ประการ คือต้องมีความ
เข้าใจตนเอง ต้องมีความเข้าใจบุคคลอื่น และต้องยอมรับความแตกต่างของบุคคลอื่น วิธีการสร้าง
ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น จะช่วยให้บุคคลสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่น ได้อย่างมีความสุข ทั้งจาก
ความสุขที่เกิดขึ้น ภายในครอบครัว ความสุขที่เกิดจาก การได้สัมพันธ์กับคนอื่น กลุ่มเพื่อน กลุ่ม
อาชพี การทีบ่ ุคคลต้องอยรู่ ว่ มกบั คนอ่นื นีเ้ อง มติ ิของการสรา้ งมนุษยสัมพันธ์ในองค์กรมี 3 ระดับ คือ
134 ภาวะผู้นำและการทำงานเปน็ ทีม
มิติผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชา กลวิธีในการพฒั นาทักษะด้านการปฏสิ ัมพันธ์
อาจกระทำได้ดว้ ยวิธีการตอ่ ไปนี้ 1) ทำความเขา้ ใจกับกลไกของความสมั พันธ์ระหว่างบุคคล 2) ยอม
เสี่ยงเพื่อให้ได้มาซึ่งสัมพันธภาพที่ดี และรู้จักแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์อย่างเหมาะสม
และมีหลกั การ การใช้บันได 6 ขั้น เพอื่ สรา้ งมนษุ ยสัมพันธใ์ นทีมงาน
แบบฝึกหดั ท้ายบท
1. ทักษะที่มีประโยชน์ตอ่ การทำงานเป็นทีมอย่างมปี ระสทิ ธิภาพและประสิทธิผล มอี ะไรบ้าง
จงอธบิ ายพรอ้ มยกตัวอย่าง
2. องค์ประกอบของกระบวนการติดต่อสอื่ สาร ประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง
3. จงอธิบายถงึ เครอื ขา่ ยการสื่อสารในทมี งาน ท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพมากทส่ี ดุ คือแบบใด
4. ทักษะการฟังท่ีดีช่วยให้การสื่อสารของทีมมีประสิทธิผลเพิ่มขึ้น ให้ท่านยกตัวอย่างจาก
ชวี ติ ประจำวนั
5. สภาพเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการให้ข้อมูลย้อนกลับที่มีประสิทธิผล 3 ประการ
ประกอบดว้ ยส่ิงใด จงอธิบาย
6. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสมั พันธ์ระหว่างสมาชิกในทีมงาน ประกอบด้วยเรื่องใดบ้าง จง
อธิบายให้เหน็ อยา่ งเปน็ รปู ธรรม
7. กลวธิ ีในการปฏสิ มั พนั ธเ์ พอ่ื สร้างความประทับใจประกอบดว้ ยสง่ิ ใดบา้ ง
8. จงอธิบายถึงแนวคิดทฤษฎีหน้าต่างโจฮารี่สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมของบุคคล 4 แบบ
อะไรบ้าง จงอธิบาย
9. ผ้นู ำทีมงานท่มี ีประสิทธิผล ต้องมีเทคนคิ การบริหารเวลาทีด่ ี จงยกตัวอย่างในการบริหาร
เวลาของตนเอง
10. ทักษะสว่ นบุคคล มีความสำคญั อย่างไรตอ่ การทำงานเปน็ ทีมให้มปี ระสิทธภิ าพ
บทที่ 7 ทักษะการทำงานเป็น มนุษยสัมพนั ธ์ 135
เอกสารอ้างองิ
มนุษยสัมพนั ธ์. (2563). ค้นเม่ือ สิงหาคม 25, 25963, จาก
http://www.novabizz.com/NovaAce/HumanRelations.htm.
ราชบณั ฑิตยสถาน. (2556). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน. พ.ศ. 2554. กรงุ เทพฯ :
นานมบี ุ๊คส์.
วจิ ิตร อาวะกุล. (2542). เทคนคิ มนษุ ยสัมพันธ. (พิมพคร้ังที่ 8). กรุงเทพฯ: โอ.เอส.พริ้นต้งิ เฮาส.
สนุ นั ทา เลาหนันทน์. (2549). การสรา้ งทีมงาน. (พิมพค์ รั้งท่ี 3). กรุงเทพฯ : แฮนเมดสติกเกอร์
แอนด์ดีไซน์.
สมคิด บางโม. (2558). องคก์ ารและการจดั การ. (พิมพ์ครงั้ ท่ี 6). กรุงเทพฯ : วิทยพัฒน.์
อำนวย แสงสว่าง. ( 2544).จิตวทิ ยาอตุ สาหกรรม (Industrial Psychology)
(พมิ พค์ ร้งั ที่ 3). กรงุ เทพฯ : อักษราพิพัฒน์.
Aristotle. (1962). Nicomachean Ethics. translated by Martin Ostwald. Indianapolis :
Bobbs-Merrill.
Bartol, K.M. and Martin, D.C. (1994). Management. 2nd ed. New York : McGraw-Hill.
David, Keith. (1977). Human Behavior at Work. New York: McGraw-Hill.
George, W. (1977). Task Teams for Repid Growth. Harvard Business Review.
(March-April 1997) : 71-78.
Johnson, D.W. and Johnson, E.P. (1991). Joining Together. Englewood Cliffs, N.J. :
Prentice-Hall.
Luft, J. (1970). Group Process. 2nd ed. San Francisco, Cliff : State College.
Schutz, W. (1989). Real Teamwork Executive Excellence. 6 (October 1989) : 7-9.
Synder, K. (1988). Competency Training for Managing Productive Schools.
San Diego. Calif : Harcourt Brace Jovanovich.
Thamhain, H. (1990). Managing Technologically Innovative Team Efforts toward
New Product Success. Journal of Product Information Management. 7
(January 1990) : 5-18.
Todryk, L. (1990). The Project Manager as Team Builder : Creating and Effective
136 ภาวะผู้นำและการทำงานเปน็ ทีม
Team. Project Management Journal. 21 (April 1990) : 17-22.
Wynn, R. and Guditus, C. (1984). Team Management : Leadership by Consensus.
Columbus. Ohio : Charles. E. Merrill.
บทที่ 8 ทกั ษะการทำงานเป็นทมี การแก้ไขปัญหาและการตัดสนิ ใจ 137
บทที่ 8
ทกั ษะการทำงานเป็นทีม การแก้ไขปญั หาและการตดั สนิ ใจ
ปัจจุบนั จะพบวา่ การทำงานล้วนมีปัญหาและอปุ สรรคท่ีต้องคอยแก้ไขกันอย่างสม่ำเสมอ แต่
ทว่าผนู้ ำมีวธิ กี ารแก้ไขปญั หาและการตดั สินใจที่ดี ยอ่ มนำพาองคก์ รไปสูค่ วามสำเรจ็ ไดอ้ ย่างปลอดภัย
หรือแม้จะประสบปัญหาก็มีวิธีแก้ไขได้ทันท่วงที แต่ต้องอาศัยองค์ประกอบทั้งการคิดและ
กระบวนการในการตัดสินใจที่ดี และปัจจัยหลายด้านมาประกอบกันอย่างดีท่ีสุดภายใต้ข้อมูลที่มี
อย่างครบถ้วน สมบูรณ์ชัดเจน จากผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ผู้นำ
ต้องมีวิสัยทัศน์ที่ดีในการแก้ไขประเด็นปัญหา หรือใช้ทักษะวิธีการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในการ
ทำงานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ในบทน้ีกล่าวถึง ความหมายการแก้ปัญหาและตัดสินใจ
ความสำคัญ ประเภทของการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ กระบวนการและเทคนิคการแก้ปัญหาและ
การตดั สินใจ
ความหมายการแกป้ ัญหาและตดั สนิ ใจ
ปัญหา (Problem) ได้มีนักวิชาการให้ความหมายของการแก้ปัญหาและตัดสินใจ สามารถ
สรุปไดด้ งั นี้
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตย์สถาน (2556 : 733) ให้ความหมายคำว่า “ปัญหา” หมายถึง
ข้อสงสัย ข้อขัดข้อง เช่น ทำได้โดยไม่มีปัญหา คำถาม ข้อที่ควรถาม เช่น ตอบปัญหา ข้อที่ต้อง
พจิ ารณาแก้ไข เชน่ ปัญหาเฉพาะหนา้ ปญั หาทางการเมือง ปัญหาโลกแตก ปัญหาท่หี าข้อยตุ ิไมไ่ ด้
Kreitner (1998 : 242) กล่าววา่ “ปัญหา” คือความแตกตา่ งระหว่างสิ่งท่ีเกดิ ข้นึ จริงกับสงิ่ ท่ี
ปรารถนา
จุฑามณี ตระกูลมุทุตา (2544 : 253 - 261) ให้ความหมายปัญหาในการพัฒนาทรัพยากร
มนุษย์ หมายถึงอปุ สรรคหรือสิ่งขดี ขวางท่ีทำให้ไม่กอ่ ให้เกิดการทำกิจกรรมด้านการพัฒนาทรัพยากร
มนษุ ย์
ประเวศน์ มหารัตน์สกุล (2556 : 77) สรุปไว้ว่า ปัญหาหมายถึง ปัญหาในการทำงาน คือ
ชอ่ งวา่ งระหว่างความคดหวงั ความสำเรจ็ ในวัตถุประสงค์และความเป็นจรงิ ท่ีทำได้
สุนันทา เลาหนันทน์ (2549 : 153) กล่าวว่า ปัญหาที่นี้หมายถึง เหตุการณ์ทีเ่ บยี่ งเบนจากที่
ควรเป็น หรืออกี นัยหนึ่งคือ ความแตกตา่ งระหวา่ งสภาพที่เกดิ จริงกับสภาพท่ีกำหนดไว้ว่าควรจะเป็น