The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุภานัน นามวงษ์, 2024-03-13 04:02:22

การเป็นผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล ง33232

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6

Sitemap คืออะไร? คือ แผนที่เว็บไซต์ หรือแผนผังเว็บไซต์ เป็นส่วนที่อธิบายว่าเว็บไซต์ของเรามีโครงสร้างอย่างไร ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายขึ้น ลองนึกภาพว่า... เว็บไซต์เป็นหนังสือ Sitemap นั้นจะเป็นเหมือนกับสารบัญในหนังสือนั่นเอง เป็นส่วนที่บอกว่าหนังสือเล่มนี้มีกี่บท แต่ละบทชื่ออะไรบ้าง


Sitemap ต้องท าเมื่อไหร่ ? ต้องบอกว่าควรท าตั้งแต่ก่อนเริ่มท าเว็บไซต์ เพราะการท า Sitemap ถือว่าเป็นการวางแผนโครงการ เว็บไซต์ของเรา ท าให้เราเห็นภาพรวมทั้งหมดของเว็บไซต์ ว่าเว็บไซต์ของเราจะมีกี่หน้า กี่เมนู แต่ละหน้า แต่ละเมนู เกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง


ตัวอย่างการจัดเตรียม Sitemap ธุรกิจ : ร้านค้าออนไลน์จ าหน่ายเครื่องส าอาง


Wireframeคืออะไร https://www.youtube.com/watch?v=9_hkzVjbqA0


หากเปรียบการสร้างเว็บไซต์กับการสร้างบ้าน Wireframe ก็คือแปลนบ้าน ที่ก าหนดต าแหน่งของห้องต่าง ๆ ภายในบ้าน การสร้างเว็บไซต์ขึ้นนั้นมีรายละเอียดมากมาย โดยเฉพาะเว็บไซต์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลสลับซับซ้อน การออกแบบให้เสร็จสวยงามในครั้งแรกอาจจะต้องเสียเวลาแก้ไขกันนานเมื่อพบข้อผิดพลาด การร่างแบบเว็บไซต์ไว้คร่าว ๆ ก่อนว่าข้อมูลไหนจะอยู่ตรงไหนในหน้าเว็บ และช่วยให้เห็นข้อผิดพลาด อย่างข้อมูลที่อาจลืมใส่ไปได้ เมื่อได้ข้อมูลบนโครงสร้างครบถ้วนแล้วการออกแบบก็จะท าได้รวดเร็วขึ้น Wireframe ท าได้หลัก ๆ 2 วิธี คือ การวาดลงบนกระดาษ และการวาดในคอมพิวเตอร์ 1.วาด Wireframe ลงบนกระดาษ •สามารถท าลงกระดาษได้เลยโดยใช้ปากกาหรือดินสอก็ได้ในการออกแบบ •ข้อดี ของการท าลงกระดาษคือสามารถท าได้ทุกที่ แค่มีไอเดียก็สามารถร่างได้ง่ายๆแล้ว •ข้อเสีย อาจจะต้องน าไปสแกนเข้าคอมเพื่อมองเห็นภาพชัดขึ้น อาจระวังเรื่องตัวหนังสือ จางหรือเลือนหายไปได้


2.วาด Wireframe ในคอมพิวเตอร์ •มีหลายwebsiteให้เลือกใช้ในการท า wireframe ในคอมพิวเตอร์ เช่น MockFlow.com Wireframe.cc Visme.co เป็นต้น •ข้อดี คนวาดรูปไม่เก่งก็สามารถออกแบบwireframeได้ •สามารถออกแบบได้ฟรี อาจเสียตังค์ค่าเว็บหรือ element บางอัน •สามารถส่งให้ลูกค้าดูได้ง่ายๆ •ข้อเสีย ส่วนใหญ่มีการจ ากัด element เท่าที่เว็บมีให้เรา •เว็บใหญ่ๆดีๆในการออกแบบ wireframe มีการเสียตังค์หรือมีการให้ใช้ฟรีแบบลิมิต


การสร้าง Wireframe ท าให้ง่ายต่อการน าไปพัฒนาระบบต่อ และลดความผิดพลาดหรือเข้าใจผิดในการท างาน ซึ่งจะท าให้เสียเวลาในการปรับแก้ระบบเพิ่มขึ้นอีก Wireframe อาจจะถูกออกแบบด้วยวิธี... เขียนบนกระดาษ ออกแบบจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือจาก website online ซึ่งมีทั้งแบบฟรีและมีค่าใช้จ่าย Wireframe แบ่งเป็น 3 level ดังนี้ 1. Low-fidelity wireframes : เขียนบนกระดาษหรือบนโปรแกรม เขียนไอเดียคร่าวๆ 2. Medium-fidelity wireframes : มีการวางต าแหน่งต่างๆ ที่หน้าจอ 3. High-fidelity wireframes : มีรายละเอียดเสมือนจริง วางต าแหน่ง ก าหนด wording ต่างๆ ที่จะใช้หรือใกล้เคียงกับการใช้งานจริง


Wireframe (ไวร์เฟรม) คือ แผนผัง โครงสร้าง ภาพรวม พิมพ์เขียว การจัดองค์ประกอบของ Interface บางคนอาจเรียกว่า Mockup** เพื่อให้ผู้ออกแบบ ผู้เขียนโปรแกรมและผู้ใช้งาน มีความเข้าใจในภาพรวมของระบบตรงกัน โดยผู้ใช้งานสามารถออกความเห็นหรือปรับแก้หรือรวมไปถึงท าข้อตกลงกันก่อนที่จะลงมือพัฒนาโปรแกรมต่อไป Mockup** หรือ แบบจ าลองสมจริง คือ การน าเอาผลงานออกแบบของเราที่เป็นเพียงแค่ รูปธรรมดา ๆ มาใส่ลงบนพื้นที่งานจริง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้หรือลูกค้าเห็น ภาพที่สมจริง เห็นรายละเอียดขององค์ประกอบต่าง ๆ ในแต่ละส่วน ของผลิตภัณฑ์ได้ชัดเจนมากขึ้น ตัวอย่าง Mockup ในรูปแบบต่าง ๆ เราอาจจะเคยเห็น Mockup ในหลาย ๆ รูปแบบไม่ใช่แค่เพียง Digital Product เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า ของตกแต่ง หรือแม้กระทั่งปกหนังสือ ซึ่ง Mockup ในลักษณะนี้จะเป็นการช่วยตัดสินใจหรือเพิ่มแรงจูงใจให้กับลูกค้าหรือผู้ใช้ได้นั่นเอง


UX ย่อมาจาก User Experience แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ...“ประสบการณ์ของผู้ใช้งาน”... เป็นส่วนที่ออกแบบกระบวนการใช้ งานของสินค้าและบริการให้ผู้ใช้พึงพอใจ เช่น ใช้งานง่าย มีล าดับขั้นตอน ชัดเจน โดยสามารถทราบ Feedback ได้จากกลุ่มตัวอย่างที่ทดลองให้ใช้ สินค้าหรือบริการ เพื่อให้น ามาพัฒนาสินค้าหรือบริการได้ต่อไป UI ย่อมาจาก User Interface แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “ส่วนติดต่อ ระหว่างผู้ใช้กับระบบ” เป็นส่วนที่เติมเต็ม UX ให้มีความสวยงาม เช่น เรื่องการจัดวางองค์ประกอบ ในด้านการใช้งานเว็บไซต์ก็หมายถึงการ แสดงผลทุกอย่าง หรือ หมายถึงหน้าจอส าหรับผู้ใช้งาน เช่น เทคนิคการ วางตัวอักษรให้ดูโดดเด่น ช่องว่างระหว่างส่วนประกอบต่างๆ เช่น ปุ่ม Call to Action (CTA) ขนาดฟอนท์ของตัวอักษร เป็นต้น


UX = ประสบการณ์ของผู้ใช้ UI = ส่วนต่อประสานกับผู้ใช้


องค์ประกอบทั้งสองนี้มีความส าคัญอย่างมาก...ส าหรับการออกแบบผลิตภัณฑ์.... และท างานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งแม้จะมีความคล้ายคลึงกันและมีความสัมพันธ์ทางวิชาชีพ แต่บทบาทของ UX / UI นั้น มีความแตกต่างกันและมีเส้นกั้นของความเป็นเหตุเป็นผลกันอยู่ ท าให้หลายคนสงสัยและเกิดความเข้าใจผิดกันอยู่ว่า UX / UI แท้จริงแล้วคืออะไร และมีความแตกต่างกันอย่างไร UI และ UX มีความส าคัญมากขึ้นทุกวัน ตามการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น นอกจากการออกแบบสินค้าให้มีคุณภาพดี ใช้งานง่ายแล้ว ยังต้องสร้างความประทับใจ เพื่อให้ผู้บริโภคนึกถึงแบรนด์ของเราก่อนแบรนด์ของคู่แข่ง และครองใจลูกค้าให้กลับมาใช้งานซ้ าต่อไปได้เรื่อยๆ


UX หรือ User Experience การออกแบบประสบการณ์ของผู้ใช้งาน หลังจากออกแบบหน้าตาของสินค้า และ Landing Page ให้สวยงามใช้งานง่ายแล้ว การออกแบบ User Experience คือ การออกแบบประสบการณ์และความประทับใจ ที่ผู้ใช้งาน จะได้รับจากการใช้สินค้า หรือการเข้าชมเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น เช่น – ขยายดูภาพสินค้าขนาดใหญ่ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว – ระยะเวลาในการโหลดหน้าเว็บไม่นานเกินไป – ระบบตัดบัตรเครดิตอัตโนมัติที่สั้น กระชับ ไม่มีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน เป็นต้น UX ที่ดีควรสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน ท าให้ผู้ใช้งานเกิดความพึงพอใจ และได้รับประสบการณ์ที่ดีกลับไป ส่งผลให้อยากกลับมาใช้งานอีก และทาง ผู้ออกแบบก็จะสามารถเก็บข้อมูลการใช้งานเพื่อน ามาพัฒนาสินค้าและบริการ ต่อไป ตัวอย่างที่ดีของ UX เช่น นมข้นหวานแบบหลอดบีบ ที่ นอกจากใช้งานง่าย ยังสร้างประสบการณ์ การใช้งานที่สะดวกสบายกว่านมข้นหวาน แบบกระป๋ อง


UI หรือ User Interface การออกแบบหน้าตาของแพลตฟอร์ม หรือลักษณะทางกายภาพที่สามารถ มองเห็นได้ จับต้องได้ เป็นรูปธรรม เช่น ลักษณะทั่วไปของสินค้า หรือ Landing Page ของเว็บไซต์ แอปพลิเคชั่น และระบบปฏิบัติการต่างๆ ให้มีความชัดเจนและ เป็นมิตรกับผู้ใช้งานโดย User Interface ที่ดีควรจะมีคุณสมบัติ เช่น – สามารถมองเห็นสี รูปทรง ปุ่มและฟังก์ชั่นต่างๆ ได้ง่าย – ดีไซน์สะอาด สวยงาม ไม่กวนสายตา – องค์ประกอบต่างๆ ของหน้า Landing Page เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ก่อให้เกิด ความสับสนต่อผู้ใช้งาน เป็นต้น การออกแบบ UI ที่ดีจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานสินค้า หรือด าเนินการต่างๆ ในเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นโดยไม่เกิดความสับสน เพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ แอปพลิเคชั่น และสินค้า ทั้งนี้นักออกแบบก็ต้องท าความเข้าใจความต้องการ ของผู้ใช้งานก่อน เพื่อให้การออกแบบตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานมาก ที่สุด ซึ่ง UI ที่ดีจะเป็นพื้นฐานในการท า UX ต่อไป ตัวอย่างที่ดีของ UI เช่น นมข้นหวานกระป๋อง ที่มีดีไซน์เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน มีฉลากสินค้าที่ชัดเจน เป็นต้น


UX หรือ User Experience คือ ประสบการณ์ของผู้ใช้งานในด้านความรู้สึกที่ตอบสนองต่อการใช้งานผลิตภัณฑ์ หรือระบบต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ความสะดวกสบาย ใช้งานง่าย ความสนุกสนาน จนเกิดเป็นความพึงพอใจสูงสุด หรือเกิดประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้งานนั่นเอง ในอีกแง่นึง User experience หรือ UX มีการพัฒนามาจากผลของการปรับปรุง UI เมื่อมีบางอย่าง ให้ผู้ใช้ได้โต้ตอบกับประสบการณ์ของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นแง่บวก ลบ หรือเป็นกลาง สามารถเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้ รู้สึกเกี่ยวกับการโต้ตอบเหล่านั้น UX จึงเป็นจุดที่ต้องพยายามศึกษาและท าความเข้าใจว่าผู้ใช้งานต้องการอะไร แบบไหน พอใจไหม กลุ่มเป้าหมายมีใครบ้าง มีอะไรน่าสนใจบ้าง อย่างละเอียด เพื่อให้ตอบโจทย์กับผู้ใช้งานมากที่สุด เปรียบได้ว่า UX คือ “ศาสตร์แห่งความพยายามเข้าใจผู้อื่นเพื่อประโยชน์อันสูงสุด”


UI หรือ User Interface คือ ส่วนต่อประสานกับผู้ใช้งาน หรือ ส่วนที่ใช้ในการเชื่อมต่อกับผู้ใช้งาน กล่าวคือ ส่วนที่ให้ ผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบกับการใช้งานผลิตภัณฑ์ได้ ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของหน้าตา การออกแบบ และ การดีไซน์ ยกตัวอย่างเช่น หน้าจอ แพลตฟอร์ม เมนู ฟอร์มต่าง ๆ การวางภาพ ขนาดตัวอักษร ปุ่ม แป้นพิมพ์ เสียง หรือแม้แต่แสงไฟ เป็นต้น สิ่งส าคัญส าหรับ UI ก็คือ ดีไซน์ที่ดูสะอาด สวยงาม ดึงดูดใจ อีกทั้งต้องเข้าใจง่าย ใช้งานง่าย มีมาตรฐานและเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน นอกจากนี้ ยังต้องมีฟังก์ชันที่น่าสนใจ มีภาษาภาพที่ท าให้คนเกิดความรู้สึกอยากจะใช้งาน และที่ส าคัญจะต้องมีความเป็นเอกลักษณ์ โดดเด่น แต่ก็ไม่ล้นหรือต่างมากจนเกินไป เปรียบได้ว่า UI คือ “ศาสตร์แห่งความสวยความงาม” ที่จะมาเติมเต็มให้ UX ออกมาเป็นรูปร่าง จนเกิดเป็น first impression ที่ดีที่สุดส าหรับผู้ใช้งาน


ความแตกต่างระหว่าง UX / UI UX = ให้ความส าคัญกับอารมณ์และความรู้สึกของผู้ใช้ UI = ให้ความส าคัญกับความสวยงาม การติดต่อกับผู้ใช้ และข้อมูลทางด้านเทคนิคอื่น ๆ มองง่าย ๆ ก็คือ ส่วนที่ผู้ใช้มองเห็นและกระท าการบางอย่างกับมัน (interface และ interact) ยกตัวอย่างการออกแบบ UX ที่ยอดเยี่ยมมาก อีกสักตัวอย่างหนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านรู้จักหรือเคยใช้Zendesk หรือไม่? ตัวนี้เป็นซอฟต์แวร์ด้านการท า Customer Support แบบ Omnichannel โดยการออกแบบหน้าตาของแพลตฟอร์ม (UI) นั้นท าออกมาได้สวยงามและเรียบง่ายมาก เมื่อเอเจนต์ได้ใช้งานแล้วรู้สึก (UX) ใช้งานง่าย สะดวก และไม่ต้องใช้เวลานานในการท าความเข้าใจกับระบบ เพราะ Zendesk ค านึงถึงการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับทั้งเอเจนต์และลูกค้า (UX) ดังสโลแกนที่ว่า “The best customer experiences are built with Zendesk”


1. ท าให้เว็บไซต์ใช้งานง่าย ถ้าเราเคยเข้าเว็บไซต์ แล้วรู้สึกว่าใช้งานยาก หาสิ่งที่ต้องการไม่เจอ หรืองงกับล าดับขั้นตอนในการเข้าไปสู่หน้าเพจ ต่างๆ ในเว็บไซต์ แม้เว็บไซต์มีความสวยงามหรือไม่มีปัญหา เช่น ช้า หรือ ค้าง แต่กลับรู้สึกขัดใจเวลาใช้งาน แปลว่า เว็บไซต์นั้นไม่ได้ออกแบบ UX มาให้ดีนั่นเอง เพราะถ้าเว็บไซต์มีการออกแบบ UX ที่ดี ผู้ใช้งานก็จะรู้สึกสะดวก ใช้งานง่าย มีประสบการณ์การใช้งานที่ดีต่อเว็บไซต์ ความส าคัญของ UX/UI 2. เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย การออกแบบ UX จะช่วยจัดวางต าแหน่งช่องค้นหาข้อมูล หรือ Search Engine ได้ง่ายต่อการมองเห็น เช่น ด้านบนของเว็บไซต์ ท าให้ผู้ใช้ใช้งานได้ดีขึ้น 3. ท าให้เว็บไซต์มีความสวยงาม ถ้าเว็บไซต์มีการออกแบบ UX โดยไม่สนใจ UI หน้าเว็บไซต์ก็จะมีรูปแบบที่ไม่สวยงาม ไม่น่าสนใจ หรืออาจส่งผล ต่อการอ่านเนื้อหา เช่น ตัวอักษรอ่านยาก มีขนาดเล็กเกินไป เป็นต้น


5. ท าให้เว็บไซต์ดูน่าเชื่อถือ เว็บไซต์ที่มีการออกแบบทั้ง UX และ UI ย่อมออกมาดูดี ใช้งานง่าย และบ่งบอกถึงความใส่ใจต่อสินค้าและ บริการ รวมถึงผู้ใช้งาน ท าให้ดูมีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น 4. ตอบสนองความต้องการผู้ใช้ เมื่อผู้ใช้มีประสบการณ์การใช้งานที่ดี ผู้ใช้ก็อยากกลับมาใช้งานเว็บไซต์ของเราอีก จุดนี้จะท าให้เราได้เปรียบ เว็บไซต์อื่นๆ ที่ไม่ได้ออกแบบ UX และ UI UX และ UI เป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมากต่อการท าการตลาดออนไลน์ นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถติดต่อ ประสานงานระหว่างผู้ออกแบบหรือดีไซเนอร์ได้ง่ายขึ้น กล่าวคือ ถ้าออกแบบ UX มาก่อน จะเป็นการก าหนดกรอบ ว่า UI ที่อยากได้จะมีหน้าตาออกมาแบบไหน ท าให้ทุกฝ่ายท างานง่ายขึ้นนั่นเอง


หน่วยที่ 7 เรื่อง แนวทางการออกแบบสื่อดิจิทัลส าหรับวิสาหกิจเริ่มต้น ใบงาน 1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มๆ ละ 4-5 คน เพื่อจัดท าเว็บไซต์ขายผลิตภัณฑ์หรือสินค้า โดยใช้โปรแกรม WIX.COM หลังจากออกแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ท าการกดปุ่มเผยแพร่และน าลิงค์ที่ได้ส่งให้กับครู เพื่อให้คะแนน


ชั่วโมงการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง การเลือกกิจกรรมทางการตลาดผ่านช่องทางผสมผสาน (Omni-channels)


มี 7 หัวข้อ ดังนี้ 1. การจัดกิจกรรมทางการตลาด 2. การสื่อสาร ( Communication) 3. แนวความคิดการสื่อสารทางการตลาดแบบผสมผสาน 4. ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด(promotion mix) 5. Omni-Channel 6. รูปแบบกิจกรรมจาก Omni-Channel 7. ตัวอย่างการน าผลการส ารวจพฤติกรรมมาท าการสื่อสาร หว ั ข ้ อการเร ี ยนร ู ้


1.1 ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบการจัดกิจกรรมทางการตลาด 1.2 ก าหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของงาน 1.3 ก าหนดงบประมาณ 1.4 ก าหนดวันเวลาจัดงาน 1.5 สร้างสรรค์แผนงานหลัก 1.6 บริหารจัดการทีมงาน 1. การจัดกิจกรรมทางการตลาด


2. การสื่อสาร ( Communication) กิจกรรมของมนุษย์ที่ใช้เพื่อถ่ายทอดความคิด แลกเปลี่ยนข่าวสาร ความรู้ ประสบการณ์ ค่านิยม ทัศนคติและอื่นๆ ร่วมกัน เพื่อท าให้มีความเข้าใจและมีอิทธิพลต่อมนุษย์ด้วยกัน ดังนั้น การสื่อสารจึงจัดเป็นกระบวนการที่ถ่ายทอดความคิดและข้อมูลต่างๆ จากที่หนึ่งไปยัง อีกที่หนึ่ง โดยมีวัตถุประสงค์ต่างๆ กัน ได้แก่ การให้ความรู้ การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ การบอกเล่า เหตุการณ์เป็นต้น


3. แนวความคิดการสื่อสารทางการตลาดแบบผสมผสาน คือ การสื่อสารการตลาดให้เกิดประสิทธิผล ควรจะวางแผนเป็นโครงการรณรงค์ ทางการตลาด (Campaign)แคมเปญ ซึ่งเป็นการใช้เครื่องมือทางการตลาดทุกอย่างร่วมกัน เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ใน การสื่อสาร แนวความคิดนี้ เรียกว่า การสื่อสารทางการตลาดแบบผสมผสาน (Integrated Marketing Communication - IMC) การผสม หมายถึง การน าเครื่องมือทางการตลาด เช่น ผลิตภัณฑ์ ช่องทางการจัดจ าหน่าย การโฆษณา การใช้พนักงานขาย การประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการขาย การจัดกิจกรรมมาใช้ ในการสื่อสารโครงการรณรงค์ เช่น Prelaunch Campaign(สร้างฐานลูกค้า) พร้อมทั้งเพิ่มช่องทางจัด จ าหน่าย มีการโฆษณา การใช้พนักงานขาย ประชาสัมพันธ์ การจัดกิจกรรม โปสเตอร์ ใบปลิว Brochureโบรชัวร์การสนับสนุนกิจกรรม (Sponsorship) การจัดรายการเยี่ยมชม การออกงานแสดง สินค้า (Trade Shows) การสร้างเวบไซต์(Web Site)การส่งเสริมสังคม ตลอดจนการใช้ช่องทาง และสื่อต่างๆ ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม และไม่จ าเป็นจะต้องใช้สื่อทุกอย่าง


4. ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด(promotion mix) 2. การส่งเสริมการขาย (Sales Promotion) คือ การกระตุ้นความต้องการซื้อของลูกค้า และพัฒนาการท างานของคนกลาง เพื่อท าให้ผู้บริโภคเกิดการทดลองใช้ จูงใจลูกค้าใหม่ กระตุ้นลูกค้าปัจจุบันให้ใช้ผลิตภัณฑ์มากขึ้น กระตุ้นให้เกิดความต้องการอย่างทันที และลดสินค้าคงคลัง ประเภทการส่งเสริมการขาย ได้แก่ - มุ่งสู่ผู้บริโภค ลด แลก แจกสินค้าตัวอย่าง แถมสินค้า การชิงรางวัล การบริจาคเพื่อการกุศล - มุ่งสู่คนกลาง ส่วนลด ปริมาณ แถมสินค้า การให้โควตา การให้เครดิต - มุ่งสู่พนักงานขาย แข่งขันการขาย การให้รางวัล โบนัส ฝึกอบรม สัมมนา 1. การโฆษณา (Advertising) คือ การติดต่อสื่อสารโดยผ่านสื่อที่เข้าถึงลูกค้าจ านวนมาก โดยเจ้าของสินค้าหรือผู้อุปถัมภ์รายการต้องเสียค่าใช้จ่าย ประเภทของสื่อโฆษณา ได้แก่ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต การโฆษณากลางแจ้ง


5. การตลาดทางตรง (Direct Marketing) คือ เป็นการส่งเสริมการตลาดด้วยการสร้างความสัมพันธ์รายตัวกับลูกค้า โดยใช้ข้อความสั้น จดหมาย อิเล็กทรอนิคส์หรือทางโทรศัพท์ 3. การขายโดยพนักงานขาย (Personal Selling) โดยการเผชิญหน้าระหว่างผู้ขายและผู้มุ่งหวัง (การติดต่อสื่อสารแบบ 2 ทาง) หน้าที่ของพนักงานขาย คือ การสร้างค าสั่งซื้อ การรับค าสั่งซื้อ การให้การสนับสนุน 4. การให้ข่าวและประชาสัมพันธ์ (Publicity and Public Relation) คือ การให้ข่าว การตีพิมพ์เอกสารผลการด าเนินงาน การจัดกิจกรรมพิเศษ การกล่าวสุนทรพจน์ การจัด กิจกรรมบริการชุมชน การใช้สื่อเฉพาะของกิจการ ใช้การให้ข่าวและประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ (Image) ว่าเหนือกว่าคู่แข่ง ซึ่งคุณสมบัติอื่นๆ ไม่สามารถสร้างได้เหนือกว่าคู่แข่ง คุณสมบัติต่างๆ ของผลิตภัณฑ์เท่าเทียมกับคู่แข่ง ภาพลักษณ์จะเป็นสิ่งเดียว ที่จะสร้างความแตกต่างในผลิตภัณฑ์ได้ดี


5. Omni-Channel คือ การตลาดแบบผสานทุกๆ ช่องทางธุรกิจเข้าด้วยกัน เป็นการพัฒนามาอีกขั้น จากการค้าปลีกผ่านหลายช่องทาง (Multi-Channel) ซึ่งมีส่วนที่พัฒนาเพิ่มเติมมาจาก แบบ (Multi-Channel) คือการเชื่อมโยงในทุกๆ ช่องทางเข้าด้วยกัน เพื่อตอบสนองผู้บริโภค อย่างต่อเนื่อง ผ่านทุกช่องทางการขายที่เป็นไปได้ เช่น มือถือ คอมพิวเตอร์ สื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ จดหมายและเว็บไซต์ เป็นต้น การปรับตัวของธุรกิจ Omni-Channel ได้แก่ 1. ต้องน าข้อมูลของแต่ละช่องทางมาผสานเข้าด้วยกัน 2. ปรับกลยุทธ์ในการสื่อสารกับผู้บริโภค 3. การบริการจัดการทั้งการจัดสต็อกสินค้าและการขนส่ง แบบออนไลน์กับช่องทางการค้า แบบออฟไลน์ผสานกัน 4. การช าระเงินทางช่องทางต่างๆ


"Omni Channel" คือ ช่องทางการสื่อสารและบริการลูกค้าที่หลากหลายและเชื่อมโยงกันให้เป็นหนึ่งเดียว ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าทั้งหมดเอาไว้ เพื่อท าให้การเข้าถึงข้อมูลลูกค้า เป็นไปได้ง่ายและรวดเร็ว เช่น ลูกค้าคือใครและสนใจสินค้าประเภทไหน ซึ่งปัจจุบันช่องทางการสื่อสารออนไลน์ที่เป็น ที่นิยม ได้แก่ Email Direct Marketing, Website, Social Media, และ Programmatic Display ส่วนช่องทางออฟไลน์ก็คือร้านค้าที่เห็นกันได้ทั่วไป


6. รูปแบบกิจกรรมจาก Omni-Channel 1. สั่งของทางออนไลน์แต่...สินค้าจัดส่งจากหน้าร้านใกล้ๆ 2. สั่งสินค้าภายในร้านหรือสั่งผ่านมือถือ...แล้วสามารถสั่งให้ไปส่งที่บ้านได้ 3. ซื้อออนไลน์ จากนั้นลูกค้าไปรับของที่ร้านค้าที่เลือกเอาไว้ 4. ซื้อออนไลน์ แล้วไปรับของที่ร้านค้าที่ผู้ซื้อสะดวก 5. สั่งหรือรับได้ทุกที่ที่สะดวก Omni-Channel คือการเชื่อมต่อทุกช่องทางเป็นหนึ่งเดียว ให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ Shopping แบบไม่สะดุด


ตัวอย่าง...การท าการตลาดแบบ Omni Channel เช่น มีลูกค้าที่ต้องการซื้อนาฬิกา แต่ไม่มั่นใจในเรื่องของวัสดุที่ท า และยังไม่แน่ใจว่าจะเข้ากับตัวเองไหม จึงอยากไปดูของจริงก่อน ลูกค้าจึงติดต่อร้านผ่านทางเฟสบุ๊คแฟนเพจ เพื่อถามว่านาฬิการุ่นนี้มีขายที่สาขาใกล้บ้าน ไหม จากนั้นทางแอดมินเพจจึงท าการเช็คสต๊อกสินค้า โดยการสอบถามไปยังสาขานั้น ๆ ว่ามีนาฬิกาตามที่ลูกค้า ต้องการหรือไม่ โดยได้ให้ข้อมูลเบื้องต้นของลูกค้าไป เช่น ชื่อลูกค้า และนาฬิการุ่นที่ลูกค้าต้องการไปลอง เมื่อลูกค้าไปถึงสาขานั้นเพียงแค่บอกชื่อกับพนักงาน ก็จะมีพนักงานที่รับเรื่องไว้เข้ามาดูแลและให้ค าแนะน า เกี่ยวกับนาฬิกาแบบที่ลูกค้าต้องการ แต่ว่าลูกค้าก็ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อเดี๋ยวนั้น เพราะอยากหาข้อมูลเพิ่มเติมและรุ่น อื่น ๆ ที่ใกล้เคียง ทางร้านจึงแนะน าโปรโมชั่นให้ลูกค้าเพิ่มเพื่อนใน Line Official Account เพื่อที่จะได้รับคูปอง ส่วนลดและติดตามข่าวสารของร้านค้า และสามารถใช้คูปองได้กับทุกสาขาและทุกช่องทางการสั่งซื้อ จากนั้นเมื่อ ลูกค้าตัดสินใจได้แล้วว่าจะซื้อ จึงติดต่อและช าระเงินผ่านช่องทาง Line ในที่สุด


จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า ลูกค้าคนนี้ได้ใช้ช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ในการดูรายละเอียดข้อมูลของสินค้า และสอบถามพูดคุยกับทางร้าน จนถึงไปลองดูของจริงกับทางหน้าร้าน ซึ่งทางร้านก็มีการประสานงานกันของแต่ละสาขา และเชื่อมโยงข้อมูล ของลูกค้าจากออนไลน์ไปยังออฟไลน์หรือหน้าร้าน ท าให้การบริการไม่มีสะดุด สามารถสร้างความพอใจให้กับ ลูกค้าจนตัดสินใจซื้อได้ ซึ่งการที่เรามีช่องทางที่ลูกค้าสามารถเข้ามาดูข้อมูลได้หลากหลายด้วยการท าการตลาด แบบ Omni Channel นั้นเป็นเรื่องที่ดีต่อภาพลักษณ์ของร้านค้าอีกด้วย


Omni Channel ดีต่อผู้บริโภคอย่างไร?


7. ตัวอย่างการน าผลการส ารวจพฤติกรรมมาท าการสื่อสาร


หน่วยที่ 8 เรื่อง การเลือกกิจกรรมทางการตลาดผ่านช่องทางผสมผสาน (Omni-channels) ใบงาน 1. ให้นักเรียนอธิบายความหมายของค าว่า Omni-channels 2. รูปแบบกิจกรรมจาก Omni-channels


ชั่วโมงการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง การบริหารทรัพยากรและองค์กรที่มีความยืดหยุ่นและสร้างผลก าไรที่ยั่งยืน หัวข้อการเรียนรู้ 1. แนวคิด Lean (ลีน) 2. Lean Management ในธุรกิจออนไลน์ 3. Lean Business Model ในธุรกิจออนไลน์


การบริหารทรัพยากร? (ปัจจัยการผลิต) คือ การที่ผู้ประกอบการน าเอาปัจจัยการผลิตมาแปรรูปกลายเป็นสินค้าและบริการ องค์กร ? คือ คนที่ท างาน หรือมีหน้าที่แปรรูปทรัพยากรต่างๆ การท างานร่วมกันอย่างเป็นกระบวนการ เหตุผลที่ต้องบริหารทรัพยากรและองค์กรให้ยืดหยุ่น ? เพราะว่าบางครั้งองค์กรเชื่องช้า ปรับตัวไม่ทันต่อสถานการณ์ อะไรบ้างที่เป็นอุปสรรคของความยืดหยุ่น เมื่อองค์กรยืดหยุ่นได้ องค์กรก็จะสามารถปรับตัวเข้ากับโอกาส สร้างผลก าไรจากโอกาสนั้น และสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง


แนวคิดแบบลีน (Lean) คืออะไร?.. ค าว่า ลีน (Lean) แปลตรงตัวได้ว่า เพรียวหรือบาง หากอยู่ในบริบทของการออกก าลัง หมายถึงคนที่มีไขมันน้อย เมื่อน าแนวคิดแบบลีนมาใช้กับธุรกิจ จึงหมายถึง “การลด” ตั้งแต่ต้นทุน ลดคนท างาน ไปจนถึงลดขั้นตอนและกระบวนการท างานที่ไม่สร้างมูลค่า ตัดส่วนที่ไม่จ าเป็นออกไป ภายใต้เงื่อนไข เรื่องประสิทธิภาพ ที่ต้องได้เท่าเดิมหรือมากขึ้น แต่ไม่น้อยลง …แนวคิดแบบลีน… เริ่มเป็นที่รู้จักช่วงปี 1980 ในอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ของโตโยต้า โดยการเอาแนวคิด ของลูกค้าเป็นที่ตั้ง อะไรที่ลูกค้าไม่ต้องการก็เอาออก เพื่อเป็นการก าจัดความสูญเปล่า ลดต้นทุนการ ผลิตให้ต่ าที่สุดในระยะที่เร็วที่สุด โดยคงคุณภาพและการบริการเอาไว้ได้ดีเหมือนเดิม


ลีน (Lean)รีดไขมัน ในที่นี้เป็นผลลัพธ์ท าให้องค์กรยืดหยุ่นเป็นผลลัพธ์และวิธีการท าให้ลีน วิธีการที่ท าให้ลีน (Lean) ท ายังไงบ้าง ธุรกิจดิจิทัลหรือธุรกิจออนไลน์ เป็นธุรกิจที่มีต้นทุนต่ า เราสามารถลีนได้ต่ออีกไหม ยืดหยุ่นต่อไป ได้อีกอย่างไรบ้าง? โดยใช้แบบจ าลองธุรกิจหรือ Business Model เป็นแนวทาง


1. แนวคิด Lean (ลีน)/Lean Management เป็นกระบวนการด าเนินงานที่คัดแยกความสูญเปล่าหรือสิ่งที่สูญเปล่าและลดสิ่งที่สูญเปล่านั้น จากกิจกรรมที่ไม่เพิ่มคุณค่าใดๆ วิธีการคือ พัฒนาลูกจ้าง พัฒนากระบวนการอย่างต่อเนื่อง เป็นการปรับปรุงทีละเล็กละน้อยท าต่อเนื่อง และต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของลูกจ้างด้วย ลีน จึงเหมาะกับการใช้ในองค์กรที่จัดตั้งไปแล้ว องค์กรที่ไม่มีความยืดหยุ่นหรือไม่สอดคล้องกับ สถานการณ์ โดยบางครั้งต้องมีการปรับปรุง ลดขั้นตอน เปลี่ยนวิธีการท างาน เพื่อให้ท างานคล่องตัว รวดเร็วมากยิ่งขึ้น แต่ระบบ Lean สามารถน ามาใช้ในธุรกิจที่เริ่มต้น Start up ได้ โดยต้องคิดให้ลีนตั้งแต่ต้น อย่ายึดติดกับวิธีการท างานขององค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ให้มองที่ธุรกิจขนาดเล็ก ร้านขายของ ร้านอาหาร ขนาดเล็กมาใช้เป็นต้นแบบ แล้วสังเกตว่าร้านต่างๆ ดังกล่าว Lean ไหม


ระบบ Lean จะพิจารณาทุกขั้นตอน ทุกองค์ประกอบ เหล่านี้จึงเรียกว่าระบบ ในกระบวนการ ท างานที่มีคนเกี่ยวข้อง ซึ่งจะมองความสัมพันธ์ของทุกกระบวนการ ตั้งแต่ สั่งซื้อ ผลิต จัดเก็บ ขาย ทุกขั้นตอนเกี่ยวข้องกันหมด การที่เราส่งของให้ลูกค้าช้าอาจจะไม่ใช่ที่รถขนส่ง อาจเกิดจากการผลิต ไม่ทันต้องดูทุกกระบวนการ เป้าหมายคือ....ลูกค้าได้สินค้าเร็ว สินค้าดี มีคุณภาพสูง ดังนั้น ระบบ Lean จึงไม่ได้ครอบคลุมแค่กระบวนการผลิต แต่ยังรวมถึงกระบวนการอื่นด้วย ทั่วทั้งองค์กร เช่น การจัดการโซ่อุปทาน การพัฒนาคนในองค์กร และการจัดการคุณภาพให้มี ประสิทธิภาพสูง


1. ต้องเข้าใจกระบวนการท างาน ว่าอันไหนมีขั้นตอนที่ชักช้าท าให้ลูกค้าได้รับของไม่ทัน/ท าให้ของเสียหาย เกี่ยวข้องกับกระบวนการอะไรบ้าง ต้องท าความเข้าใจกระบวนการ 2. ควบคุมปัจจัยน าเข้าและปัจจัยน าออก ควบคุมต้นน้ า/คนที่น าวัตถุดิบมา และปลายทาง/ลูกค้า เราต้อง ควบคุมไปทั้งระบบ 3. เวลาเป็นผลของการเคลื่อนที่และกลายเป็นค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนที่ช้า ส่งมอบวัตถุดิบ ล่าช่า วัตถุดิบเสียหาย ท าให้ล่าช้า เวลาจึงเป็นสิ่งที่มีค่า 4. เวลาส่วนใหญ่เสียไปกับสิ่งที่ไร้คุณค่า ดังนั้น Lean จึงมุ่งที่จะพัฒนาการด าเนินงานให้มีมาตรฐาน กรณีที่ มีของสูญเปล่าเอาน ากลับมาใช้ซ้ าได้ไหม? หรือไม่ให้มีของสูญเปล่าเลย เน้นที่การแก้ไขปัญหานั้น ควบคุมคุณภาพ ให้มีของเสียน้อยแล้วก็ให้อ านาจตัดสินใจกับคนที่อยู่กลางทางกับปลายทาง ต้องเริ่มต้นยังไง?


เป้าหมายส าคัญของ คืออะไรบ้าง? ได้แก่ 3 ลด 5 เพิ่ม 3 พัฒนา 3 ลด -ลดค่าใช้จ่าย ด้านวัตถุดิบ/เปลี่ยนแหล่งวัตถุดิบ/ วิธีการจัดเก็บ/วิธีการค านวณต้นทุน คชจ.ของวัตถุดิบให้ส่งไปผลิตได้ทัน -ลดเวลารอคอย ไม่ว่าจะเป็นด้าน การผลิต การส่งของให้ลูกค้า -ลดของเสียหาย ช ารุดแตกหัก ท ายังไงให้เสียหายน้อยลง 5 เพิ่ม -ขวัญก าลังใจ -รอบหมุนเวียนคลังสินค้า/วัตถุดิบ -ความพึงพอใจและความภักดีจากลูกค้า เมื่อลูกค้าได้รับสินค้าคุณภาพไม่เสียหาย -ส่วนแบ่งตลาด เมื่อลูกค้าเพิ่มขึ้น ยอดขายส่วนแบ่ง ตลาดก็จะเพิ่ม ท าให้มี -ผลก าไร มากยิ่งขึ้น 3 พัฒนา -สภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้ร่วมกัน -ภาวะผู้น า ในที่นี้ผู้น าต้องดูแล ตรวจสอบเป้าหมายที่ท าให้ส าเร็จ ท างานและแก้ปัญหาร่วมกัน -การปรับปรุงอย่างยั่งยืน ทุกอย่างต้องท าอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน


ในระบบธุรกิจ -สร้างจิตส านึกและปรับพฤติกรรมในการท างานร่วมกัน เพื่อก่อให้เกิดคุณค่ากับบุคลากรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (ผู้จ าหน่ายวัตถุดิบ/สิ่งแวดล้อมที่ไม่มีของเสีย/ลูกค้าที่ได้รับประโยชน์) -บุคลากรได้รับการถ่ายทอดถึงวิสัยทัศน์ในการสร้างคุณค่าในระบบ -การพัฒนาทักษะในการปรับปรุงกระบวนการท างานให้ได้มาตรฐาน (สอนพนักงาน ช่วยให้เขาเรียนรู้ในการท างาน) -การท างานเป็นทีม การสื่อสารและการท างานใกล้ชิด -คุณภาพไม่ใช่หน้าที่แต่เป็นอุปนิสัย (วัฒนธรรมองค์การ)


วิธีการบริหารทรัพยากรและองค์กรให้ยืดหยุ่น เรียกว่า Lean Management “ Lean Management ” การบริหารแบบลีน เปลี่ยนความสูญเปล่า ให้กลายเป็นคุณค่า คืออะไร ? หลักการบริหารโครงการ ด้วยการค้นหา ความสูญเปล่า จากการท างาน พร้อมก าจัด ปรับปรุงกระบวนการท างานที่ไม่จ าเป็น ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ให้กลายเป็นคุณค่า ที่สร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าได้ 2. Lean Management ในธุรกิจออนไลน์


...ธุรกิจออนไลน์...ไม่มีหน้าร้าน...ประหยัดค่าใช้จ่าย.... การขนส่งมีระบบโลจิสติกส์คอยขนส่งให้เรา วัตถุดิบสั่งมาเฉพาะที่ลูกค้าสั่งเรา ก็ Lean อยู่ระดับหนึ่ง Lean ต่ออีกได้ไหม? ต้องมาพิจารณาว่า ธุรกิจออนไลน์ มีความลีนแค่ไหน ต้องพิจารณา 8 องค์ประกอบ โดยเว้น Value Proposition (การส่งมอบคุณค่า) ไว้ก่อน เพราะว่าต้องสะท้อนในอีกแบบองค์ประกอบที่เหลือ ลูกค้าที่อยู่ไกล ดูพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละคน เหมือนกันอะไรบ้าง ส่งมอบสินค้าตามลูกค้า ลูกค้าอยู่ไกลแค่ไหนก็ซื้อ ติดต่อกลุ่มลูกค้ากลุ่มนั้น ช่องทางไหนที่เขาใช้บ่อย ต้องใช้ช่องทางนั้นท าให้ลูกค้าเห็นและเข้าถึง ท าสื่อให้เหมาะสมกับพฤติกรรมลูกค้าและดึงดูด ความสนใจ ระบบลีนในธุรกิจออนไลน์ ท าให้เข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้น ไม่ต้องมีหน้าร้านไม่ต้องมีคนกลาง ขยายฐานลูกค้าไป ได้ไกล


Click to View FlipBook Version