เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน
ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวิทยาลยั มหาสารคามวิจยั ครั้งที่ 13
From Local to Global in the Context of Thailand 4.0
วนั ท่ี 7 - 8 กันยายน พ.ศ.2560
ณ คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม
“สาขาท�ำ นบุ ำ�รุงศิลปวฒั นธรรม”
กองสง่ เสริมการวจิ ยั และบรกิ ารวิชาการ
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เจ้าของ:
กองสง่ เสริมการวจิ ัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ทป่ี รกึ ษา:
ศาสตราจารย์ ดร.สัมพันธ์ ฤทธเิ ดช
รองศาสตราจารย์ ดร.ประยุกต์ ศรวี ไิ ล
รองศาสตราจารย์ ดร.ไพโรจน์ ประมวล
รองศาสตราจารย์วีณา วสี เพญ็
รองศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์
ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ราชันย์ นลิ วรรณาภา
ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ปราโมทย์ ด่านประดษิ ฐ์
ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์สมชาย นลิ อาธิ
อาจารย์ววิ ัฒน์ วอทอง
นางพรพิมล มโนชัย
นางฉววี รรณ อรรคะเศรษฐัง
เรียบเรยี ง:
นางเมษา ศรสี มนาง
นางสาวณฐั กฤตา ศรีสุพรรณ
นายบรรจง บุรนิ ประโคน
นายปรชี า ศรบี ญุ เศษ
คณะท�ำ งาน:
คณะกรรมการบริหารงานท�ำ นุบ�ำ รุงศลิ ปวฒั นธรรม มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
กองสง่ เสรมิ การวิจัยและบรกิ ารวชิ าการ
คำ�น�ำ
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานฉบับน้ีเป็นส่วนหนึ่งของงานประชุมวิชาการมหาวิทยาลัย
มหาสารคามวจิ ัย ครัง้ ท่ี 13 From Local to Global in the Context of Thailand 4.0 “สาขาท�ำ นบุ �ำ รงุ
ศิลปวัฒนธรรม” จัดทำ�ขึ้นเพื่อเป็นเอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานและเผยแพร่ผลงานโครงการ
ท่ีได้รับทุนสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 และเพื่อเป็นการ
แลกเปล่ียนเรียนรู้ความคิดเห็น ประเด็นปัญหา และหาวิธีการพัฒนาปรับปรุงแก้ไขการทำ�นุบำ�รุง
ศิลปวัฒนธรรม ของมหาวิทยาลัยมหาสารคามให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ท้ังน้ี หากมีข้อผิดพลาด
ประการใด ทางกองส่งเสริมการวจิ ยั และบรกิ ารวิชาการ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม พรอ้ มที่จะนอ้ มรับ
ขอ้ เสนอแนะดงั กลา่ วทกุ ประการ
กองส่งเสริมการวิจัยและบรกิ ารวชิ าการ
มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม
กนั ยายน 2560
สารบัญ 7
21
การอนุรกั ษ์และการสง่ เสรมิ อุตสาหกรรมในครวั เรือน ผลติ ภณั ฑ์จากครามเพือ่ ต่อยอด 32
การทอ่ งเที่ยวเชิงอนุรักษ์วฒั นธรรมวิถีครามวิถผี ไู้ ท 40
ปฐม หงษ์สุวรรณ, บัญญตั ิ สาล,ี อัจฉรี จนั ทมลู และนิ่มนวล จนั ทรุญ 51
สถาบันวิจยั ศิลปะและวฒั นธรรมอสี าน มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
60
การสร้างจิตส�ำ นกึ สาธารณะใหแ้ ก่เยาวชนชัน้ มธั ยมศกึ ษา ผา่ นละครร่วมสมัยเรื่อง “พญาคนั คาก” 71
กรณีศึกษาโรงเรียนนาสนี วนพิทยาสรรค์ จ.มหาสารคาม 81
สุวภทั ร พนั ธป์ ภพ 96
คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม
กลมุ่ ชาติพันธ์กุ บั ภมู ิปัญญากระตบิ ข้าวอสี าน
ปฐม หงษส์ วุ รรณ, ผศ.ดร.บัญญตั ิ สาลี, อัจฉรี จนั ทมลู และนมิ่ นวล จันทรญุ
สถาบนั วิจยั ศิลปะและวฒั นธรรมอีสาน มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
“ศิลปะการแกะสลักลายไทยแบบนูนต่ำ�เบ้ืองตน้ ” เพือ่ ส่งเสริมความรู้ ทกั ษะด้านศิลปะและวฒั นธรรม
สถติ ย์ เจก็ มา
สถาบันวจิ ัยศิลปะและวัฒนธรรมอสี าน มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
เรียนรู้ สบื สานศิลปะสถาปตั ยกรรมทอ้ งถนิ่ ผา่ นการออกแบบวหิ ารพระองคก์ าส
และการวางผังบริเวณวดั โพธ์ิกลาง ต.บา้ นทุม่ อ.เมือง จ.ขอนแกน่
รังสทิ ธิ์ ตนั สขุ ี, วิวัฒน์ วอทอง, วชิ าภรณ์ ชำ�นิก�ำ จร, ณฐั วฒั น์ จติ ศิลป,์ วรากุล ตันทนะเทวินทร,์
ปาริชาติ ศรีสนาม, จตรุ งค์ ประเสริ ฐสงั ข,์ กัญชญา จนั ทรงั ษี, ศรัทธาชาติ ศรสี งั ข์
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผงั เมอื งและนฤมติ ศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
การประกวดออกแบบลวดลายผา้ ไหมเชงิ สร้างสรรคส์ ู่สากล
ภานุวรรณ จนั หาญ, สราลี กจิ เจรญิ ศักด์กิ ุล
ศูนย์ความเปน็ เลศิ ทางนวตั กรรมไหม มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
สบื สานภมู ิปญั ญาอาหารหมักกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุอสี านตอนกลาง (ไทญ้อ ไทลาว ภูไท)
ศิรริ ัตน์ ดศี ีลธรรม
คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม
การสง่ เสรมิ บทบาทสภาวัฒนธรรมอ�ำ เภอกันทรวิชยั ในการอนรุ ักษ์โบราณสถาน
อมรเทพ เมืองแสน
คณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม
การพฒั นาผลติ ภัณฑ์การบรกิ ารนวดแผนไทยเพื่อการสบื สานมรดกวัฒนธรรมไทยสสู่ ากล
ของธรุ กิจการบรกิ ารนวดแผนไทยในจังหวัดมหาสารคาม
วีรยา ภทั รอาชาชยั
คณะการบญั ชีและการจดั การ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม
รักษ์ป่ารักษว์ ฒั นธรรม 102
ธรพร บศุ ยน์ �ำ้ เพชร
คณะสงิ่ แวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 109
โครงการพฒั นาวงดนตรลี กู ทงุ่ ม่งุ ส่คู วามเป็นเลศิ ด้านศิลปวฒั นธรรม: โรงเรยี นเทศบาลบา้ นส่องนางใย
วัชระ หอมหวล
วทิ ยาลยั ดุรยิ างคศิลป์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
สบื สานพิธที อดผา้ ป่าสามคั คดี ว้ ยขยะรีไซเคิลอย่างมสี ่วนรว่ มของชมุ ชนบ้านดอนยม อ�ำ เภอกันทรวิชัย จงั หวัดมหาสารคาม 115
รตั นา หอมวเิ ชยี ร, กฤต จนั ทรสมัย, ศตวรรษ ทวงชน และอธิวัฒน์ อุดมกา้ นตง
คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม 121
“สง่ เสริมสขุ ภาพจติ ชมุ ชนโดยกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม” ชุมชนบา้ นท่าสองคอน หมู่ 12 และหมู่ 17
เขมิกา สมบัตโิ ยธา, อดุ มศักดิ์ มหาวีรวัฒน,์ จินดาวัลย์ วบิ ูลย์อทุ ัย,
ชำ�นาญ มีนิยม, สวรรค์ ธิตสิ ุทธ,ิ ปัญญา คตี ศลิ ปเ์ ลศิ อนนั ต์
คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
การอนรุ ักษส์ ืบสานต�ำ นานผาแดงนางไอผ่ ่านศิลปะการแสดงหนงั ประโมทัย (หนงั บกั ตื้อ)
และการส่งเสริมกระบวนการพฒั นาส่ือสร้างสรรค์แก่ชมุ ชนเพอื่ การทอ่ งเท่ยี วเชงิ วฒั นธรรม 136
สมยั วรรณอุดร, อภริ าดี จันทรแ์ สง, วิรยา ตาสว่าง, ณัฐกฤตา นามมนตรี
คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม
ต้นแบบหุ่นฟางไดโนเสาร:์ ยอ้ นรอยเรอ่ื งราวดินแดนอู่ข้าวอู่น�้ำ 146
สริ ิภา พงษ์แสงทอง: ศูนย์วจิ ยั และการศกึ ษาบรรพชวี นิ วทิ ยา มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
สนั ติสุข แหลง่ สนาม และนสิ ติ สาขาประตมิ ากรรม: คณะศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม
อุทมุ พร ดศี รแี ละนสิ ติ สาขาชีววทิ ยา: คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
การพัฒนากจิ กรรมการเลา่ นทิ านพ้ืนบา้ นเพือ่ สบื สานวัฒนธรรมอิสาน ส�ำ หรบั นักเรยี นระดับปฐมวยั และประถมศกึ ษา 155
ประสงค์ สายหงษ,์ ธรินธร นามวรรณ, กาญจน์ เรืองมนตร,ี จิระพร ชะโน, มานติ ย์ อาษานอก
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยามหาสารคาม
การอนุรักษ์และการส่งเสริมอุตสาหกรรมในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์จากคราม
เพ่ือตอ่ ยอดการทอ่ งเท่ียวเชงิ อนรุ ักษ์วัฒนธรรมวิถคี รามวถิ ีผ้ไู ท
ปฐม หงษ์สวุ รรณ1, บญั ญตั ิ สาล2ี , อจั ฉรี จนั ทมลู และน่มิ นวล จนั ทรญุ 3
สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
บทคัดย่อ
วถิ คี ราม หรอื กระบวนการท�ำ ครามธรรมชาติ เปน็ วัฒนธรรมทส่ี บื ทอดต่อๆ กนั มาครามเปน็
นำ้�ย้อมผ้าให้สีนำ้�เงินที่อมตะสวยเย็นตา มีเสน่ห์ เป็นการย้อมเย็น ผ่านกระบวนการหมักเพ่ือให้เกิดสี
มีภูมิปัญญาท้องถ่ินในการทำ�ครามท่ีต่างกันเป็นเทคนิคเฉพาะของกลุ่มทำ�คราม สูตรก่อหม้อครามของ
กลุ่มตา่ งๆ ไมม่ กี ารจดบนั ทึกแตจ่ ะสบื ทอดโดยการสอนและฝกึ ปฏิบตั ิใหล้ กู หลานจดจำ�น�ำ ไปใช้ เมอ่ื ยคุ
สมัยเปล่ียน มีการพัฒนาสีเคมีเข้ามาทดแทนโดยยังไม่รู้ถึงผลกระทบท่ีตามมาภายหลัง และครามเคมี
ใช้ง่ายกว่า จึงเกิดการยอมรับเอานวัตกรรมใหม่ในยุคน้ันทันทีและนิยมใช้มาจนปัจจุบัน เม่ือผู้ใช้คราม
เคมีเป็นระยะเวลานานเกิดการสะสมสารโลหะหนักในร่างกายทำ�ให้สุขภาพอ่อนแอลง ผู้คนจึงกลับมา
สนใจครามธรรมชาติท่ีมีความปลอดภัยกว่า ดังนั้นจึงมีวัตถุประสงค์ในการอนุรักษ์วัฒนธรรมวิถีคราม
วถิ ไี ท เพอื่ ไดแ้ นวทางการอนรุ กั ษภ์ มู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ดว้ ยวถิ คี ราม ไดแ้ นวทางการสง่ เสรมิ อตุ สาหกรรมใน
ครวั เรือนผลติ ภัณฑค์ ราม ได้แนวทางและการพัฒนาการท่องเทยี่ วเชิงอนุรักษว์ ฒั นธรรมวถิ คี รามวิถผี ไู้ ท
ค�ำ สำ�คัญ: การอนรุ ักษ์ การส่งเสรมิ อุตสาหกรรมในครวั เรอื น ผลติ ภัณฑจ์ ากคราม การทอ่ งเท่ียวเชงิ
อนุรกั ษ์วฒั นธรรม วิถีครามวถิ ผี ไู้ ท
Abstract
The indigo or natural indigo process. Is a culture and inheritance. Indigo is cold dye.
Give the blue Immortal, beautiful, charming. Fermentation to color and smell. Indigo recipe
no notes but teach relatives. When the era changed chemical colors to choose. Everyone
chooses because chemistry is easier to use. When using chemicals for a long time heavy
metals accumulate in the body. Make weak health people return to use indigo nature. So it
has a purpose. Get guidelines conservation local wisdom with the indigo. Promote indigo,
have a travel, restore Indigo nature recovers again.
1 ผอู้ ำ�นวยการสถาบนั วจิ ยั ศลิ ปะและวัฒนธรรมอสี าน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
2 รองผู้อ�ำ นวยการฝ่ายวิจัยและวิชาการ สถาบันวิจัยศิลปะและวฒั นธรรมอีสาน มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
3 นักวิจัยชำ�นาญการ สถาบนั วิจยั ศิลปะและวฒั นธรรมอีสาน มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม
8 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน
ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวิจยั ครงั้ ที่ 13 : สาขาทำ�นุบำ�รงุ ศิลปวฒั นธรรม”
บทนำ� เก่ียว 3) การหมักใบคราม 4) การโยกครามกับ
ปูน 4) การกรองเน้ือคราม/ตักเก็บ 5) การก่อ
ครามธรรมชาติเป็นที่นิยมมากท่ัวโลก หมอ้ /เตรียมน�้ำ ยอ้ มคราม 6) การย้อมคราม และ
มานาน มากวา่ 6,000 ปี จนได้รบั ฉายาวา่ เปน็ 7) การรักษาหม้อคราม ดังน้ันครามจึงถือเป็น
ราชาแห่งสีย้อม”ในปัจจุบันประเทศอินเดียเป็น สีย้อมเย็น เป็นสีมีชีวิต ไม่ต้องต้มเหมือนแก่นไม้
แหล่งผลิตครามท่ีใหญ่ที่สุดในโลก ตลาดมีความ แต่ต้องผ่านการหมักโดยการก่อหม้อก่อนจึงจะ
ตอ้ งการเน้อื ครามอนิ ทรีย์สูงมาก แตผ่ ลผลิตกลบั ย้อมสีได้ ดังได้กล่าวข้างต้น ครามเป็นต้นพืช
ไมเ่ พยี งพอกบั ความตอ้ งการของตสาหกรรมคราม ตระกูลถ่ัวท่ีให้สีคราม/นำ้�เงิน โดยมีพืชตระกูลที่
ทเ่ี ปน็ วตั ถดุ บิ ส�ำ คญั ในการผลติ กางเกงยนี ส์ และไม่ ให้สี เดียวกันได้แก่ ต้นคราม (indigo) ต้นฮ้อม
เพียงพอกับความต้องการของคนท่ัวไป ประเทศ (hom) ตน้ อะวะ (awa) ตน้ โวด (word ยอ้ มรอ้ นแต่
เยอรมันกับประเทศฝรั่งเศสจึงเกิดการคิดค้นสี ใหส้ นี �้ำ เงนิ ) ตน้ เบอื ก ในประเทศไทยพบครามมาก
ครามเคมีสังเคราะห์และสีอื่นๆ ได้สำ�เร็จ เพ่ือ ทสี่ ดุ ในภาคอสี าน และจงั หวดั สกลนครเปน็ จงั หวดั
ตอบสนองความตอ้ งการของโรงงานอุตสาหกรรม หน่ึงท่ีมีครามมากท่ีสุด และมีกลุ่ม ชาติพันธุ์ผู้ไท
เหล่านั้น ในปี ค.ศ.1880 สินค้าต่างๆ กระจาย อาศยั อยู่ (อา้ งอิงมาจาก: https://en.wikipedia.
ไปตามเส้นทางสายเคร่ืองเทศ และเข้ามาใน org/wiki/Indigo) ในอดีตผ้าย้อมคราม
ราชอาณาจักรไทยด้วยเส้นทางสายไหมในสมัย นิยมใส่ในกลุ่มสามัญชน ไปทำ�ไร่ไถนา ตากแดด
รชั กาลที่ 3 จนถงึ ปจั จบุ นั ปรากฏวา่ ผใู้ ชส้ คี รามเคมี แต่ในปัจจุบันครามได้ขยายวงกว้างเป็นท่ีนิยม
สสี ังเคราะห์ และสเี คมี พบวา่ เกดิ มีสารโลหะหนัก ของกลุ่มคนทั่วไปมาจนถึงปัจจุบัน อาทิเช่น ผ้า
สะสมในร่างกายเป็นอย่างมากและเป็นเวลานาน หมอ้ ฮอ่ มของจงั หวดั แพรเ่ ปน็ แหลง่ ผลติ ทม่ี ชี อื่ เสยี ง
ทำ�ให้ป่วยด้วยโรคมะเร็งและเสียชีวิตเป็นจำ�นวน โดง่ ดงั และผา้ ยอ้ มครามธรรมชาตทิ ม่ี คี ณุ ภาพดอี ยู่
มาก ในปี พ.ศ. 2535 ผู้คนต่างเริ่มตระหนักถึง ทจ่ี งั หวดั สกลนครเพราะมกี ลนิ่ หอมเฉพาะตวั ดว้ ย
พิษภยั ของสคี รามเคมี สสี ังเคราะห์ และสีเคมี จน คุณสมบัติของครามธรรมชาติ เม่ือนำ�มาย้อม
กระท่งั ในปี พ.ศ. 2545 รัฐบาลจึงไดม้ นี โยบายใน เส้นฝ้ายและเส้นไหม จะให้สีฟ้าถึงสีน้ำ�เงินเข้ม
การสง่ เสริมสินค้า OTOP พรอ้ มทงั้ มีนโยบายให้ สวยเยน็ ตาและมกี ล่นิ หอมเฉพาะ จงึ เป็นเสน่หย์ ่งิ
กลุ่มผลิตสินค้าชุมชนเข้าร่วมการคัดสรรเพื่อหา และคุณค่าทางสมุนไพรผ้าย้อมครามคนโบราณ
อัตลักษณ์ของสินค้ากลุ่มทอผ้า ย้อมคราม หนึ่ง จะเอาผ้าย้อมครามห่อสมุนไพรลูกประคบ เพ่ือ
ในการเข้าร่วมการคัดสรรคือจังหวัดสกลนคร ท่ีมี ประคบผิวและประคบบริเวณท่ีรอยซ้ำ�ฮ้อเลือด
ความเขม้ แขง็ และไดฟ้ น้ื ฟภู มู ปิ ญั ญาการยอ้ มคราม จากการกระแทกหรืออบุ ตั เิ หตุ และผา้ ครามจะไม่
และพฒั นาจนเป็นทีย่ อมรบั ถึงปจั จบุ นั เกบ็ กลนิ่ เหงื่อไคล ทำ�ให้ผวิ พรรณผูส้ วมใสไ่ ม่เป็น
กลากเกล่อื น ป้องกันรงั สี UV ไดด้ ี เป็นตน้
สาเหตหุ นง่ึ ของครามธรรมชาตไิ ดห้ ายไป
จากวถิ ชี ีวติ ของคนพื้นบ้านอีสานนานกวา่ 100 ปี โ ค ร ง ก า ร อ นุ รั ก ษ์ แ ล ะ ก า ร ส่ ง เ ส ริ ม
น้ันหนงึ่ ในสาเหตุ อุตสาหกรรมในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์จากคราม
เพอื่ ตอ่ ยอดการทอ่ งเทยี่ ว เชงิ อนรุ กั ษว์ ฒั นธรรมวถิ ี
เกิดจากกระบวนการย้อมคราม ที่มีขั้น ครามวถิ ีภไู ททไี่ ด้จดั ทำ�ขนึ้ ในครัง้ น้ี จึงถอื เป็นการ
ตอนค่อนข้างยุ่งยากหลายอย่าง ครามมีกลิ่นแรง ฟ้ืนฟูกระบวนการทำ�ครามกลับคืนมา สืบสานใน
และทำ�ให้มือดำ� ซ่ึงขั้นตอนการได้ครามอินทรีย์
นั้นประกอบด้วย 1) การปลูกคราม 2) การเกบ็
เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน 9
ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวจิ ัย คร้งั ที่ 13 : สาขาท�ำ นบุ ำ�รงุ ศิลปวัฒนธรรม”
กระบวนการผลิตคราม ตามหาภูมิปัญญาที่หาย การดำ�เนินการ
ไป พรอ้ มกับสร้างความตระหนักให้กบั กลุ่มทอผา้
ให้หันมาผลิตและใช้ผ้าคราม เพ่ือนวัตกรรม ประกอบไปดว้ ย 3 ขนั้ ตอน คอื ขัน้ ตอน
ภมู ิปญั ญาในวถี คี ราม สรา้ งมลู ค่า สร้างงาน และ ท่ี 1 การวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้องในการ ทำ�
สรา้ งรายไดใ้ หช้ มุ ชนอยา่ งยงั่ ยนื อกี ทงั้ นา่ จะกอ่ เกดิ นำ้�ด่างเพ่ือใช้ก่อหม้อคราม ภูมิปัญญาในการ
เสน้ ทางทอ่ งเทยี่ วเชงิ อนรุ กั ษว์ ฒั นธรรมวถิ คี รามวถิ ี เผาต้นพืชเพ่ือทำ�ด่าง ขั้นตอนท่ี 2 สนทนากลุ่ม
ภไู ททม่ี กี ารอนรุ กั ษฟ์ นื้ ฟภู มู ปิ ญั ญาพน้ื บา้ นใหอ้ ยคู่ ู่ กับเจ้าของภูมิปัญญาในการทำ�นำ้�ด่าง เพ่ือใช้ก่อ
วถิ สี ังคมสืบต่อไป หมอ้ คราม ขนั้ ตอนที่ 3 ตรวจสอบขอ้ มลู เพอื่ ความ
น่าเชือ่ ถอื ของข้อมูล
วัตถุประสงค์
1 . วิ เ ค ร า ะ ห์ เ อ ก ส า ร ท่ี เ กี่ ย ว ข้ อ ง
1. ได้แนวทางการอนุรักษ์ภูมิปัญญา ประกอบด้วย ประวัติความเป็นมาของการ
ท้องถ่ินด้วยวถิ ีคราม ทำ�ครามกระบวนการผลิตคราม สารเคมีท่ีใช้
ในอุตสาหกรรมส่ิงทอ กระบวนการทำ�คราม
2. ได้แนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรม ประโยชน์ และภูมิปัญญาการทำ�คราม แบบครบ
ในครวั เรอื นผลิตภณั ฑ์คราม วงจร เทคนิคขั้นตอน วสั ดอุ ุปกรณใ์ นการทำ�คราม
ความเชอื่ ประเพณี
3. เพอ่ื ศกึ ษาแนวทางและการพฒั นาการ
ทอ่ งเทีย่ วเชงิ อนุรกั ษ์วัฒนธรรมวถิ ีครามวิถีผไู้ ท 2. การสนทนากลุ่มย่อยถอดองค์ความรู้
ร่วมกับเป้าหมายและกลุ่มเครือข่ายลุ่มท่ีเกี่ยวข้อง
ขอบเขตของการศึกษา กับการทำ�ครามแบบครบวงจร การปลูกคราม
การทำ�เน้ือคราม การก่อหม้อคราม การย้อมผ้า
กระบวนการทำ�ครามในกลุ่มทอผ้าย้อม คราม จากเจา้ ของภมู ปิ ญั ญา ทปี่ ฏบิ ัติลองผดิ ลอง
คราม กลุ่มทอผ้าบ้านลาดพัฒนา ตำ�บลศรีสุข ถูกจนช�ำ นาญ ดว้ ยความเคารพ และสภุ าพ และ
อำ�เภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม กลุ่มทอ ใหค้ วามมนั่ ใจ อา้ งองิ ทม่ี าของภมู ปิ ญั ญาใหเ้ กยี รติ
ผ้าย้อมสีธรรมชาติบ้านโนนแสบง ต.ขามเรียง และยกยอ่ ง ไม่กล่าวในทางเสียหาย
อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม กลุ่มทอผ้าบ้านนา
สนี วน ต�ำ บลนาสีนวน อ�ำ เภอกันทรวิชัย จังหวัด 3. การตรวจสอบข้อมูลท่ีได้จากการ
มหาสารคาม เครือข่ายผลิตครามกลุ่มทอผ้าย้อม วิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้องกับสาระความรู้ การ
คราม กลุ่มวิสาหกิจชุมชน OTOP/KBO กลุ่ม สนทนากลุ่มการถอดองค์ความรู้จากภูมิปัญญา
เครอื ขา่ ยทอผา้ ยอ้ มคราม บา้ นหนองผกั ตบ ต�ำ บล สามารถนำ�เอามาปฏิบัตไิ ดจ้ รงิ และให้ผล
นาหวั บอ่ อ�ำ เภอโพนสวรรค์ จงั หวดั นครพนม กลมุ่
ทอผ้าย้อมคราม บ้านกุดเรือใหญ่ ตำ�บลนาซอ ผ ล ก า ร บู ร ณ า ก า ร ง า น ทำ � นุ บำ � รุ ง
อ�ำ เภอวานรนิวาส จังหวดั สกลนคร กลุม่ ไทเทงิ ภู ศิลปวัฒนธรรมกับการเรียนการสอน/การวิจัย/
ทอผ้ายอ้ มคราม บา้ นนางเติง่ ตำ�บลโคกภู อำ�เภอ การบริการวิชาการ/กิจกรรมนิสิตวิถีครามเป็น
ภพู าน จังหวัดสกลนคร วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมายาวนานและยังติด
ในความทรงจำ�ของผู้สูงอายุท่ีเคยคลุกคลีอยู่กับ
ผ้ปู กครองทีเ่ คยทำ�ครามมากอ่ นถงึ แม้วา่ วิถคี ราม
จะหายไปในยุคคนเมืองในช่วงระยะเวลาหน่ึงน้ัน
แต่การเช่ือต่อด้วยการร้ือฟื้นให้กลับคืนมา โดย
10 เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน
ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวิทยาลยั มหาสารคามวจิ ยั ครง้ั ที่ 13 : สาขาท�ำ นบุ ำ�รุงศลิ ปวัฒนธรรม”
การเลา่ สกู่ นั ฟงั และฟน้ื กระบวนการผลติ ครามเรม่ิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ตงั้ แตก่ ารปลกู คราม การหมกั ใบครามท�ำ เนอ้ื คราม
การก่อหม้อครามและการย้อมคราม แม้ว่าคราม การจดั เวทชี มุ ชนแบบมสี ว่ นรว่ ม การถอด
มีหลายข้ันตอนแต่ทุกขั้นตอนหมายถึงวัฒนธรรม องคค์ วามรู้ การเสวนาแลกเปลี่ยนแนวคิด การฝึก
ท่ีเกิดขึ้นในวิถีชีวิตประจำ�วันของผู้คน เป็นความ ปฏิบัติการมัดหมี่และเทคนิคย้อมสี การศึกษาดู
สวยงามทน่ี า่ ภาคภมู ใิ จ เราสามารถผลติ เนอื้ คราม งาน การศกึ ษาเอกสาร การวิเคราะห์ สงั เคราะห์
กอ่ หมอ้ และยอ้ มไดเ้ องจนครบวงจร เปน็ การพงึ่ พา ข้อมลู การสรปุ ผล
ตนเองไดอ้ ยา่ งยงั่ ยืน และเป็นมรดกทค่ี วรมอบให้
กับนิสิต เข้ามาเรียนรู้กระบวนการเป็นทางเลือก การเก็บรวบรวมข้อมูล
ใหก้ บั ตวั เอง ในการด�ำ เนนิ ชวี ติ เพอื่ สรา้ งงาน สรา้ ง
อาชีพ และความสุขในอนาคต 1. ศึกษาเอกสารที่เก่ียวข้องกับการทำ�
คราม ประกอบดว้ ยประวตั คิ วามเปน็ มาของการท�ำ
เน้นบริบทชุมชนเป็นหลักในการดำ�เนิน คราม ประโยชนข์ องครามพนั ธคุ์ ราม กระบวนการ
การ นำ�ไปสกู่ ารเรยี นรูร้ ่วมกนั การสรา้ งเครือขา่ ย และขั้นตอนในการทำ�ครามภูมิปัญญาต่างๆ ใน
องค์ความรู้มีการแลกเปลี่ยน การทบทวนความรู้ การท�ำ คราม
ปัญหา ความต้องการ ร่วมกับกลุ่มเครือข่ายที่มี
ประสบการณ์สูงกว่า พัฒนาคน สร้างจิตสำ�นึก 2. วเิ คราะหเ์ อกสารและองคค์ วามรทู้ ถ่ี อด
เน้นการประหยัด พ่ึงพาทรัพยากรตนเองสร้าง ออกมาจากภมู ปิ ญั ญาและรวบรวมขอ้ มลู น�ำ มาจดั
มลู คา่ เพม่ิ ดว้ ยวถิ ชี ุมชนเพอ่ื ชว่ ยเหลอื ตนเองและ หมวดหมแู่ ละล�ำ ดับความส�ำ คญั ก่อนหลงั
พ่ึงตนเองได้อย่างถาวร การช่วยเหลือพ่ึงพากัน
กับเครือข่ายผู้ผลิตครามในจังหวัดสกลนครและ 3. บนั ทึกผลการสนทนาและการทดลอง
นครพนม การแลกเปล่ียนเรียนรู้ภูมิปัญญาการ ปฏิบัติโดยใช้แนวคำ�ถามที่ตรงประเด็นและกลุ่ม
ผลิตครามในกลุ่มและการศึกษาดูงานการผลิต เป้าหมายสามารถตอบคำ�ถามเราได้และกล้า
ครามในพื้นท่ีสกลนครและนครพนม ที่มีความ ที่จะขยายความหรือให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์
ชำ�นาญ และผลิตครามและทอผ้าย้อมครามอยู่ สามารถต่อยอดและนำ�ไปปฏิบัติแล้วบรรลุตาม
เปน็ ประจ�ำ วัตถุประสงคไ์ ด้
1. สามารถพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้เพื่อ การวิเคราะห์ข้อมูล
รองรบั กจิ กรรมการเรยี นการสอนใหก้ บั นสิ ติ เขา้ ไป
ศึกษาเรียนรู้เร่ืองครามและได้สัมผัสกับกลุ่มทอ เป็นการนำ�ข้อมูลท่ีสำ�คัญ มาทำ�การ
ผ้าเกิดความรัก ผูกพัน ให้ความอบอุ่นกับนิสิต วเิ คราะห์โดยมเี ทคนิค ดังน้ี
เหมือนญาติพี่น้อง
1. การน�ำ ขอ้ มูลทีได้นำ�มาจ�ำ แนกและจดั
2. สรา้ งผลติ ภณั ฑ์ แปรรปู ทแ่ี ตกตา่ งเพอื่ หมวดหมู่ออกให้เป็นระบบ ทั้งจากเอกสาร จาก
เช่ือมโยงเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมท่ีหลาก ปรากฏการณจ์ ริงที่ไดจ้ ากการปฏิบัตกิ ารท�ำ คราม
หลาย มีอาหารพ้ืนบ้าน ผักพ้ืนบ้าน วัฒนธรรม
การแตง่ กาย ฯลฯ 2. การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ทไี ดจ้ ากเหตกุ ารณ์
ตา่ งๆ ทเี่ กดิ ขนึ้ มาวเิ คราะหเ์ พอ่ื หาบทสรปุ รว่ มกนั
เชน่ ภูมปิ ญั ญาการท�ำ ครามของกลุ่ม
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน 11
ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวิจยั คร้งั ท่ี 13 : สาขาท�ำ นุบำ�รุงศลิ ปวัฒนธรรม”
3. การเปรยี บเทียบเหตกุ ารณ์ ข้อมูลทไ่ี ด้ ภูมิปญั ญาการเผาด่าง ทำ�น�้ำ ด่าง ไว้กอ่ หมอ้ คราม
มาไปเทยี บเคยี งหรอื เปรยี บเทยี บกบั เหตกุ ารณอ์ นื่ 2. การฝึกอบรมการมัดหมี่และเทคนิค
เพื่อหาความเหมือนและความแตกต่างกันท่ีเกิด
ขนึ้ เช่น ภูมิปัญญาการก่อหมอ้ ครามแต่ละกลุ่ม มี ย้อมสี วิทยากรบรรยายให้ความรู้เทคนิคการ
ความเหมือนและต่างกนั อย่างไร มัดหมี่ให้คมชัดและเทคนิคการมัดหม่ีย้อมคราม
ธรรมชาติ การก่อหม้อคราม ฝึกปฏบิ ัติการมัดหม่ี
4. นำ�ข้อมูลทีได้มาวิเคราะห์ออกให้เห็น การยอ้ มสี การก่อหม้อคราม พบวา่ กลมุ่ มีความ
เป็นสว่ นๆ เช่น กระบวนการท�ำ งาน วิเคราะหผ์ ล เข้าใจในเทคนิคการมัดหมี่ การย้อมสีการผสมสี
ทเี่ กดิ ขน้ึ ยอ้ นกลบั มาใหเ้ หน็ วา่ เกดิ มาจากเหตุ หรอื การก่อหม้อครามแบบต้มน้ำ�มะขามเปร้ียวร้อนๆ
วเิ คราะหเ์ หตไุ ปหาผล วเิ คราะหใ์ หเ้ หน็ วา่ เมอ่ื เหตนุ ้ี กลุ่มเขา้ ใจและสามารถกอ่ หม้อคราม มัดหมี่ ตาม
เกิดขึ้น การวิเคราะห์กระบวนการขั้นตอนการทำ� วิทยากรสอนได้เปน็ อยา่ งดี
คราม ภูมปิ ัญญาท่ีแตกตา่ งกัน
3. การศึกษาดูงานกลุ่มทอผ้าย้อมคราม
ผลการดำ�เนินงาน จงั หวัดสกลนครและนครพนม จดุ ศกึ ษาดูงานท่ี 1
กล่มุ ทอผ้ายอ้ มครามไทเทงิ ภู บ้านนางเต่ิง ตำ�บล
1. การศึกษาภูมิปัญญาการทำ�คราม โคกภู อำ�เภอภพู าน จงั หวัดสกลนคร พบวา่ กลุ่ม
ธรรมชาติ จากเอกสารทเี่ กยี่ วขอ้ ง ความเปน็ มาของ จะให้ความสนใจท่ีจะเรียนรู้มากเพราะมีกิจกรรม
การทำ�คราม ประโยชน์ กระบวนการและข้นั ตอน ท่คี รบถว้ น มแี ปลงปลกู คราม มีการหมกั ใบคราม
ในการทำ�ครามและ การจัดเวที่ถอดองค์ความรู้ เพอื่ ตโี ยกปนู มกี ารกอ่ หมอ้ มกี ารยอ้ มคราม ทอผา้
และภูมิปัญญาท่ีเคยทำ�ครามมาในอดีต ในเวที ย้อมครามและผลิตภัณฑ์คราม จึงมีคำ�ถาม
คราม ณ สารคาม พบว่า ครามในอดตี เคยมีการ มากมายที่เกิดความสงสัยจากการปฏิบัติในกลุ่ม
ทำ�ครามแบบครบวงจรเกือบทุกหมู่บ้านและทุก จุดศึกษาดูงานที่ 2 ศูนย์ศึกษาพัฒนาภูพานอัน
บา้ นในหมบู่ า้ นจะมหี มอ้ ครามวางอยใู่ ตถ้ นุ บา้ นทกุ เนื่องมาจากพระราชด�ำ ริ เรียนรกู้ ารย้อมครามผ้า
หลังคาเรือนจะทอผ้าย้อมครามและตัดเสื้อนุ่งใส่ ฝา้ ยและการทอผา้ ยอ้ มครามผา้ ไหม พบวา่ การกอ่
ในชวี ิตประจ�ำ วัน และในบุญประเพณีต่างๆ อย่าง หมอ้ มคี วามแตกตา่ งกนั เพราะเสน้ ไหมกบั เสน้ ฝา้ ย
แพรห่ ลาย แตป่ จั จบุ นั ไมเ่ หลอื รอ่ งรอยการท�ำ คราม มีความต่างกัน เพราะไหมเป็นเส้นไยจากสัตว์จะ
ในพื้นท่ีเลยแม้แต่สายพันธ์ุครามท่ีเคยปลูกและใช้ ใช้ความเปรีย้ ว สว่ นเส้นไยฝา้ ยเปน็ ไยพืชจะใชด้ า่ ง
ในการผลิตเนื้อคราม ปัจจุบัน มีสายพันธุ์คราม สูงกวา่ ความเปร้ยี ว จดุ ศกึ ษาดูงานท่ี 3 ศูนย์คราม
กลับคืนมาใช้ในการปลูกและผลิตเนื้อครามจาก สกลนคร ตั้งอยู่ท่ีมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
ญาตพิ น่ี อ้ งทอี่ ยู่ สปป.ลาว ยงั มกี ารปลกู ครามสง่ มา เป็นแหล่งเรียนรู้ครามท้ังด้านวิทยาศาสตร์และ
ให้ปลูกในพ้ืนท่ีจังหวัดสกลนครและนครพนม จึง ภูมิปัญญาท้องถ่ิน ที่สมบูรณ์ที่สุด การรวบรวม
แพร่หลายโดยท่ัวไปและค่อยๆ ฟ้ินคืนภูมิปัญญา เอาสูตรก่อหม้อครามจากภูมิปัญญาเปรียบเทียบ
เดิมท่ีเคยทำ�ร่วมกับผู้ปกครองในอดีตพัฒนาสูตร กบั วทิ ยาศาสตร์ พบว่า นำ้�ดา่ งท่ใี ช้ในการกอ่ หมอ้
ตามค�ำ บอกเล่าของคนแก่คนเฒ่าในหมูบ่ า้ น จนมี ครามมีความสำ�คัญสูงสุด และให้ฝึกปฏิบัติการ
สตู รเฉพาะกลมุ่ ตนไดแ้ ก่ การวปี นู (การเผาเปลอื ก มัดผ้าย้อมคราม เป็นจุดหน่ึงที่ให้ทักษะการมัด
หอยหรือหนิ ปูน) ใหเ้ ปน็ เนื้อปูนใชผ้ สมกบั นำ้�หมัก ยอ้ มได้ดกี ับกลมุ่ ดูงานเรยี นร้แู ละน�ำ ไปปรบั ใช้ จดุ
ใบครามเพื่อ ตีโยกปูนให้ได้เนื้อคราม ใช้ก่อหม้อ ศกึ ษาดงู านท่ี 4 ดกู จิ การรา้ นแมนคราฟ อ.เมือง
จ.สกลนคร เห็นการจัดร้านและจัดแสดงศิลปะ
12 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน
ในงานการประชุมวิชาการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวจิ ัย คร้งั ท่ี 13 : สาขาทำ�นุบ�ำ รงุ ศลิ ปวัฒนธรรม”
ครามสน้ิ คา้ ผลติ ภณั ฑค์ รามและการจ�ำ หนา่ ยสนิ คา้ เครือข่ายผู้รู้ท่ีมีความรู้ความชำ�นาญด้านการปลูก
จดุ ศกึ ษาดงู านท่ี 5 ถนนผา้ ครามหนา้ วดั ธาตเุ ชงิ ชมุ คราม การท�ำ เนอ้ื คราม การกอ่ หมอ้ การยอ้ มคราม
พบวา่ รา้ นคา้ ผา้ ครามมากมายจากกลมุ่ ทอผา้ คราม การทอผ้าย้อมคราม เพื่อการแลกเปล่ียนทักษะ
รอบๆ ตัวเมืองสกลนครและจังหวัดใกล้เคียงนำ� แนวคดิ การทำ�ครามแบบครบวงจร เพ่อื ค้นหาตัว
มาจัดจำ�หน่าย ตามถนน บริการนักท่องเที่ยว ตนของกลุ่มว่าเหมาะสมกับกิจกรรมใดมากท่ีสุด
เป็นโอกาสท่ีดีให้กลุ่มเข้ามาพบปะเรียนรู้กันและ เป็นการวิเคราะห์และค้นหาความเหมาะสมให้กับ
กัน จดุ ศกึ ษาดงู านท่ี 6 กล่มุ ทอผ้าย้อมครามบา้ น ตัวเองมากที่สุด โดยวิเคราะห์จากศักยภาพของ
หนองผักตบ ตำ�บลนาหัวบ่อ อำ�เภอโพนสวรรค์ กลุ่ม ชุมชน ส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรที่มี หรือ
จงั หวดั นครพนม มกี จิ กรรมการท�ำ ครามแบบครบ ทนุ ในชุมชน เพอ่ื ความยัง่ ยนื และ
วงจร ปลูกคราม ท�ำ เน้อื คราม ท�ำ น�ำ้ ด่าง กอ่ หมอ้
คราม ย้อมคราม ทอผ้า และจำ�หนา่ ยผลติ ภณั ฑ์ 2. ได้แนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรม
คราม พบว่า กลุ่มนี้มีสมาชิกจำ�นวนมากแต่ไม่ ในครัวเรือนผลิตภณั ฑ์คราม
คล่องด้านการตลาดจึงมอบให้ประธานในการนำ�
เอาผลิตภัณฑ์ออกไปจำ�หน่ายแล้วคืนส่วนแบ่ง 3. เพอ่ื ศกึ ษาแนวทางและการพฒั นาการ
กำ�ไรใหก้ บั สมาชิก ทอ่ งเทยี่ วเชงิ อนุรักษว์ ฒั นธรรมวถิ คี รามวิถผี ไู้ ท
4. การจดั นทิ รรศการณ์ โ ค ร ง ก า ร อ นุ รั ก ษ์ แ ล ะ ส่ ง เ ส ริ ม
5. การส่งเสริมเสน้ ทางทอ่ งเท่ยี วคราม อุตสาหกรรมในครัวเรือนผลิตภัณฑ์จากคราม
เพ่ือต่อยอดการท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรม
สรุปผล วิถคี รามวถิ ผี ไู้ ท เนื่องจากครามเป็นพืชที่ให้สีย้อม
ธรรมชาตทิ ปี่ ลอดภยั และใหส้ สี วยงามเยน็ ตาเปน็ สี
รวบรวมภูมิปัญญาท้องถ่ินในการ ทำ� ทค่ี นทวั่ โลกรจู้ กั กนั เปน็ อยา่ งดี และเปน็ วฒั นธรรม
น้�ำ ดา่ งเป็นแนวทางในการ อนรุ ักษ์ ฟน้ื ฟู เผยแพร่ การย้อมครามท่ีมีมาแต่โบราณและได้สืบทอดกัน
ภูมิปัญญาการทำ�นำ้�ด่าง ให้ผู้สนใจเลือกใช้นำ�ไป มายาวนาน ในสงั คมหมบู่ า้ นของภาคอสี านในอดตี
ปฏิบัติใช้ภูมิปัญญาให้เกิดประโยชน์ สร้างรายได้ ทกุ หมบู่ า้ นจะมหี มอ้ ยอ้ มครามวางใตถ้ นุ เรอื นเพอื่
สรา้ งงานสรา้ งอาชพี ตอ่ ไปการวเิ คราะหข์ อ้ มลู และ ใช้ย้อมผ้าตัดเสื้อไว้สวมใส่ในชีวิตประจำ�วันและ
การแปรผลขอ้ มูล งานพิธีต่างๆ พบเห็นประจำ�และสังเกตเห็นคน
มือดำ� ตอ่ มาครามธรรมชาตไิ ดห้ ายไปจากวถิ ีชวี ิต
1. ได้แนวทางการอนุรักษ์ภูมิปัญญา ประจ�ำ วนั ของคนไทยจนไมเ่ หลอื เคา้ เลย เมอื่ พ.ศ.
ท้องถิ่นด้วยวิถีครามนำ�กิจกรรมการจัดเวทีแลก 2545 รฐั บาลไดส้ ง่ เสรมิ ผลติ ภณั ฑช์ มุ ชน ใหค้ นใน
เปลีย่ นเรยี นรู้เวที “คราม ณ สารคาม” มารื้อฟนื้ ชุมชนคัดเลือกผลิตภัณฑ์เพ่ือมาคัดสรรดาว และ
ความทรงจ�ำ ด้านการท�ำ ครามในอดีต 1) ตามหา ผลิตเป็นสินค้าชุมชนการสร้างงานสร้างรายได้ มี
ผู้รู้ ร่องรอยภูมิปัญญา ค้นหาวิถีคราม ถอดองค์ การออกบูทร้านค้าจำ�หน่ายสินค้าที่มาจากชุมชน
ความรู้จากปราชญ์คราม ศึกษาเปรียบเทียบ โดยมีกระทรวงมหาดไทย มอบให้พัฒนาชุมชน
วิเคราะห์องค์ความรู้จากแหล่งท่ีมาของวิถีคราม จังหวัดรับผิดชอบเป็นผู้คัดสรรผลิตภัณฑ์สินค้า
2) คัดเลือกกลุ่มเป้าหมายเพื่อมีส่วนร่วมในการ OTOP ระดับตำ�บล คนผู้ไทในจังหวัดสกลนคร
ดำ�เนินกิจกรรม ศึกษาบริบทชุมชน การเช่ือมต่อ ได้ฟื้นคืนผ้าฝ้ายย้อมครามและนำ�มาคัดสรรจึงได้
รบั การยอมรับ และตลาดมคี วามตอ้ งการสูง ทาง
เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน 13
ในงานการประชมุ วิชาการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวจิ ยั ครง้ั ที่ 13 : สาขาทำ�นบุ �ำ รุงศิลปวฒั นธรรม”
โครงการฯไดจ้ ดั เวที แลกเปล่ียนเรยี นรู้ คราม ณ การนำ�ไปใช้ประโยชน์
สารคาม พบวา่ อดตี เคยมกี ารยอ้ มครามในจงั หวดั
มหาสารคามในทุกหมู่บ้าน ความทรงจำ�ของคน 1. เกิดการฟื้นฟู อนุรักษ์ วิถีครามกลับ
อายุ 50 ปีเล่าประสบการณ์ในอดีตว่า เคยไป คืนมา
เก่ียวครามกับแม่ เคยนำ�ใบครามไปหมัก ทำ�เน้ือ
ครามและเคยย้อมคราม แต่ในกลุ่มคนท่ีมีอายุ 2. เกิดอาชีพใหมใ่ นพ้นื ท่ี
ตำ�่ กว่า 30-50 ปี จะไมม่ ีความทรงจำ�ในเร่อื งของ 3. บูรณาการกิจกรรมทำ�เป็นศูนย์การ
ครามเลย เพราะครามหายไปจากวถิ ชี วี ติ ประจ�ำ วนั เรยี นรเู้ พอื่ สนบั สนนุ แหลง่ ทอ่ งเทยี่ วเชงิ วฒั นธรรม
และในบางพ้นื ที่หายไปนานถงึ 100 ปี สาเหตทุ ่ี 4. ช่วยเหลือผู้สูงอายุให้มีความสุข มี
ครามหายไป เพราะมสี ีสงั เคราะห์ หรือสีเคมี นำ� กจิ กรรมทางเลอื ก มงี าน มีรายได้
เขา้ มาจ�ำ หนา่ ยในเอเชยี เมอ่ื ประมาณปี พ.ศ. 2300 5. การทบทวน การสร้างประสบการณ์
สาเหตเุ พราะ ครามธรรมชาตทิ ผี่ ลติ ในอนิ เดยี และ การผลติ เนื้อครามและการย้อมคราม
นำ�เข้าไปจำ�หน่ายในยุโรปไม่เพียงพอกับความ 6. สร้างอัตลักษณ์ หาจุดเด่นให้กับ
ต้องการของผู้บริโภค และไม่ทันต่ออุตสาหกรรม ผลติ ภณั ฑ์
การยอ้ มผา้ ครามตดั กางเกงยนี ส์ ประเทศเยอรมนั 7. อุตสาหกรรมในครัวเรือนจากคราม
จึงคิดค้นสีสังเคราะห์ข้ึนมาทดแทนและผลิตเป็น เนือ้ คราม สมนุ ไพร เครื่องส�ำ อาง ยา ฯลฯ
ผลสำ�เร็จ ได้สีสดใส ย้อมง่าย ติดทนนาน ไม่มี
ข้นั ตอนท่ยี ่งุ ยากซับซอ้ น จงึ ได้รับความนิยมต้ังแต่ ผลกระทบที่เกิดขึ้น
นั้นเป็นต้นมา และผลจากการใช้สีเคมี สะสมมา
นานในปี พ.ศ. 2535 มีคนเป็นมะเร็งตายจากการ 1. กลมุ่ ทอผา้ บา้ นลาด ไมไ่ ดร้ ว่ มกจิ กรรม
สะสมของสารโลหะหนกั จ�ำ นวนมาก จงึ เกดิ กระแส ครบทุกข้ันตอนแต่มีศักยภาพสูงในด้านธุรกิจ
ตื่นกลัวสารเคมี ของคนทั่วโลก แล้วหันกลับมาสู่ จ�ำ หนา่ ยผลติ ภัณฑ์ ชว่ ยเหลอื กลมุ่ ท่อี ่อนกวา่ ได้
ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ดง่ั เดมิ อกี ครง้ั หนงึ่ และเนอ้ื คราม
เป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงมากของคนทอผ้า 2. กลุ่มบ้านหนองอุ่มและบ้านขามเรียง
ยอ้ มคราม และยอ้ มห้อมเพราะห้อมป่าธรรมชาติ ขาดผู้นำ�ที่มีศักยภาพและเข้มแข็งในด้านการ
ของภาคเหนือได้ถูกไฟป่าทำ�ลายไปจำ�นวนมาก ประสานงาน ทำ�ให้สมาชิกลังเลและไม่เปิดใจรับ
ทุกปี กลุ่มทอผ้าย้อมห้อมจึงต้องซ้ือครามไปก่อ การพัฒนาเพ่ือเปล่ียนแปลงตัวเอง ค่อนข้างยาก
หมอ้ ยอ้ มแทนเพราะครามกบั หอ้ มใหส้ นี �้ำ เงนิ หรอื และตอ้ งใชร้ ะยะเวลาและใชค้ วามพยายามสงู มาก
ครามเหมือนกันและมีกระบวนการก่อหม้อคล้าย ในการเปลย่ี นแนวคดิ ใหเ้ กดิ การพฒั นาตนเอง เพอื่
กัน ฉะน้ันคราม จึงเป็นทางเลือกให้ชุมชน ควร สร้างความพร้อม ให้เยาวชนได้สืบต่อวิสัยทัศน์
ฟ้ืนฟูการอนุรักษ์และส่งเสริมอุตสาหกรรมในครัว อาจเพราะเปน็ ชุมชนเมอื งท่มี ที างเลอื กอ่ืน
เรือน เช่น การผลิตเนอื้ คราม การรบั ยอ้ มผา้ คราม
และเสน้ ไย การทอผา้ ยอ้ มคราม ท�ำ ศนู ยก์ ารเรยี นรู้ 3. กลุ่มทอผ้าบ้านนาสีนวนและบ้าน
ครามเพอื่ การทอ่ งเท่ียว เปน็ ตน้ โนนแสบง มีผู้นำ�ท่ีเข้มแข็ง พร้อมรับการพัฒนา
ทกุ ดา้ น แตข่ าดเงนิ ทุน และก�ำ ลงั ใจในการพฒั นา
กลุ่มอย่างต่อเน่ืองแม้นว่าจะสิ้นสุดโครงการ ต้อง
กระตุน้ ให้เกิดกิจกรรม
14 เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน ภาพ
ในงานการประชุมวิชาการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวจิ ัย คร้ังท่ี 13 : สาขาทำ�นุบ�ำ รงุ ศิลปวฒั นธรรม” การย
ปฏบิ
4. เกิดเครือขา่ ยการทำ�งานกับกลุม่ คราม ภาพประกอบท่ี 1 เวทถี อดองคความรู คราม ณ สารคาม กลุม
สกลนครและนครพนม สามารถกระจายออเดอร์ และว
งานผ้าทอย้อมครามให้กบั กลุ่มเปา้ หมายได้ กิจกรรมจากกลมุ เปาหมายทีเ่ คยทาํ ครามหรอื เคยเหน็ มาต้งั แตวยั จากแ
รูปแ
เผเพลยณมูป้ืนาาหกทแวาคลี่จสมวระราทิถอเงิ ตเงยลาิมเากากบเปลติี่ยจันรม็ัยวกะวใกมสบริจันหบครัแยการมลสาาศะรมถาิลกณรอนัหปคต ดรกาาะอื องมอเแๆคนงลยเทคกะชี่จ์ีย่คววะวยพวัฒกสาาบั วไนมคนปธรรใดาดู้รงู มสารววนเมิถนคคอียหครชีานสรมว ่ึงาายใมนนมา ไดส ีอ
ภาพ
ทองเ
กนั ฟ
การพ
ความ
ภาพประกอบท่ี 2 อบรมเชิงปฏิบัติการมัดหมี่และเทคนิค
การยอ มสี กจิ กรรมสาธติ /กิจกรรมฝก อบรมเชิง
เผเจภกปกภยลเาูปาหาลฏาาากพณกน็รแควพุมกิบคปยลรม(ลมปสัตารสะร4าภอุมามาอเะรว่ติก5ามตเรเกงนะล้งัพปคาคเิมเสอแกคใากรปาานเดตีบปยอตหมีย่กรกส)่วทชระม็บวจมลยัิจ่วว่ะี่กใากานทมุเ1สยรกบกยอยนั หบวผเ่ีรคเากบทแป2วูป้มนกรวรลที่เลทก์า่งึามากคุ่อี่มะมรถีมหค1ยสับเกบาณาปอรทมานัเหคเอเรดลา้ตลวธาํารงหมณ่าอกทา่าคอืติยเปมงแงกเอถีรเะจชคๆรลาคย่ีานอ/ทะงัยคิงกมะวยเดทกสหทเปําใวหชิจอตจ่ีบีย่บางเี่ววรฏกงะคิมคมวกาือยคดัพรยเบิกรรานเตสค์ มรทาาูครบััตม็วจวคมไมณำ�หยคนาปิกการคฝเม์ตราหากใันดหาราดกม่าสรราูงแรสน็มู้งสือมอาาลมคมๆถณวเนรหเะบรคัดานคาคคการเตยรสหบยกหมอืรนัาชงั้มาช่ียาเนันมมแ่วรคเมวว ยึ่งคต่แีวชจยกยใมาวจิลนําิงบั ามัยัยนะเศวทนิลคปนะ3คิ ปฏบิ ัติการกลุมเปา หมายจงั หวัดมหาสารคามจํานวน 3
กลุม(45คน) รวมกับคณะทํางานจากสถาบนั วิจัยศิลปะ ภาพ
และวฒั นธรรมอสี าน มมส กลุมทอผาเคยทอผาสืบตอ มา อตุ ส
จากแม ยาย มานาน มาเรียนรูก ารมัดหมี่เพือ่ ธรุ กจิ นัน้ มี ยอด
รปู แบบหรอื วิธีการจัดการหวั หมีอ่ ยา งไรจึงจะยอ มสีสวย ผลงา
ไดสอี ม่ิ และใหสีเขม ชดั ลายหมค่ี มชดั
าม พแนื้ลทะวจี่ รัฒิงนกธอ่ รนรทม่ีจอะีสพาานไปดมงู ามนสครกาลมุมในทพอืน้ ผทา่ีจเรคงิ ยทอผาสืบตอ มา
วยั
ย จากแม ยาย มานาน มาเรียนรกู ารมัดหมีเ่ พื่อธรุ กจิ นัน้ มี
รปู แบบหรอื วิธกี ารจัดการหวั หมอ่ี ยางไรจึงจะยอ มสีสวย ภาพประกอบท่ี 3 กจิ กรรมการศึกษาดงู านครามและเสน ทาง
มา ไดส ีอมิ่ และใหส ีเขมชดั ลายหมค่ี มชัด ทองเทยี่ วคราม การเรยี นรูในตํารา การเรยี นรูโ ดยการเลาสู
น
กันฟง การเรยี นภรูโาดพยปกราะรกลองมบือทที่ 2ํา เอมบ่ือรเสมรเชมิ งิกปาฏรเิบรตัียนิ รดู ว ย
ภาพปกราะรกพอาบไปทด่ี 2ูไปอสบัมรผกมัสาเกชรับมิงผปัดเู หฏชยี่มิบวแี่ัตชลกิ าะาญเรทใมนคัดสนหถิคามกนี่แาทลร่ีจยะรอ้เทิงมคทนําใิคหเ กิด
การยอ คมวาสมี กเขจิ ากใจรรไดมแ สลาะธสจิตี ดกจ/ิจกํากจิเอรกรารมสรวสมนาฝทธกิตี่ขอา/บดกรแิจมลกเะชรเรกงิ มินฝไกึ ด
จภาากพกปลรภุมะาเกเภปสพอา้นาปบพหททรปมาะ่ีรงา1ะกทยกเอ่อทวองบ่เีทบเคททถี ทย่ียอี่ี่ท3ว3ดาํคกอคกรงจิราิจคกามกคมรรกวหรราามมรรมือกกเรรเาาูคียรครยนศศรเกึราหึกใู้ษมน็นษาตมณดา�ำ ดางู รตาสูงานัง้าาแกครนคตารคราาว รเมมยัราแยี มลนแะรลู้ ะเสน ปกแจทาลลฏกะามุบิ วแง(ตั 4ฒัมิก5นยคาธรานรกย)รลมมุมรอาวเนสีปมาาากนนหับจมอ(คอมสัง4มบาหณสีถา5ยมรเวาาะมรจสนดับคทียงัเมันชนกหนาํมหงิว)งลวรมปจิาาุมูกรดั สฏยัสนว่าทมศาิบมจรกหอริลตัามกลคผากปกิบัดัุม่สาาสะาคหทมเารแถคณมรจอกลายค�ำเ่ีผะละบพทนา้าทุ่มวันมวออื่เัฒำ�เควนจผธปงยนิจําาุราา้ ท3ยันกนธสหอรศจิวจืบมกรผนนิลาตาลมก้าปนั้ยอุ่มะ3มมีา
เผเพลยูปื้นาากทแวคลี่จมระรทกกคาอเิงตันาเวอผงลรามิเฟงูเ้ ากชพมเเปเโงที่ยตี่ยมเดารขวม็วี่ยกไือ่ยะชปใากวกเาสาบสใันคดราบญจครรเแูรไมิกไรใรจเปลาดลนาากยีดมะส่าแรสมานจกสณัมรถล�ำกรนัหกู่เาผเะรตโูาอันรนยีดัสจการอืาฟทนงยดกอเสเรจ่ีังๆรคนกบัจว่ ดู้ียรยเนกาาํทผิงกว้นชรเาทจีู่เย่ยีอทรรลชว่ีขะกวเาใู�ำยงี่ยพารากนสใมดสยีวราหับตววแนืพอชไ้เคนนลําปกรทาารระโู้ทดิใดไญําดาดาปเคูง่ขีกมยใสดเาวกินานกมวนาไูเดาาปสนคมื่อคไรรแสดถยเหเรลเขสลมั้ชารานงา้ ระมนผยีวมใง่ึ ิมเจยใัสนทมอืกนไกกทาร่ีจดินาบัูโ�ำร้แรด ไลิงเดยะรทกยี ําานใรรหเูดลเ รไกวาดปู ิดยสสแู ีอบิม่อผยภบแตุอลาหลพดงสราะากือปนใหาวรหกรกธิะสทิจกรีกเีกรออขามรงรบมรเใจททชนมดัอดั่ีสมีย่กคก4ยืบวรีลรเ่าลารูปเกวัตุมงรชายีใเแาไอ่หเหยรนงิรปรบมืออวัหส้จรอาบาหนนู้กีเงึมนหขจหจามรุ่คีุร้มมผาระรักอี่ักมกชือลมายษยษแชัดยวิต้อดั วามิธแัดใมภหงลัฒนกี่ลสไมณัยาโาะนรสียเ่ีคารกฑจพธยวหรจางึร่อืยจงัดมรจมรไธากสกค่ีะมดากุรางายมวน้สกรคเรอชิถสอีาิจรหดัมนคีริ่มนาัวิสมมรแั้นหมาสีลเมพมาวะี่ วยือ่ ถิตีผอูไท
ภาพประกอบท่ี 3 กจิ กรรมการศกึ ษาดูงานครามและเสน ทาง
ทองเทย่ี วคราม การเรยี นรูในตํารา การเรียนรโู ดยการเลาสู
กันฟง การเรียนรโู ดยการลงมือทํา เม่ือเสรมิ การเรยี นรูด วย เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน 15
13 : สาขาท�ำ นบุ �ำ รงุ ศิลปวฒั นธรรม”
การพาไปดูไปสมั ผสั กับผูเ ช่ยี วชในางญานใกนารสปถระาชนุมวทชิ าี่จกรารงิ มหทาําวิทใหยาเลกยั มิดหาสารคามวจิ ัย ครัง้ ที่
ความเขาใจไดแ ละจดจาํ เอาสวนทข่ี าดและเกิน ได
เก่ากอ่ นหลายชั่วอายคุ น แบบครบวงจร ตามเส้น
ทาง ดังนี้
เร่ิมจากจังหวัดมหาสารคาม เคยปลูก
ครามย้อมผ้ามานานและต่อมาการย้อมผ้าด้วย
ครามธรรมชาติก็หมดไปตามกระแสนิยมสีเคมี
ภาพประกอบท่ี 4 การอนรุ กั ษ์และการส่งเสริม
ผยอภุตอลอาอพดงสุตดาสากปกนหาาารหกรรกผะกททจิกลรรอ่กรองอรงามรงบมเนรเใทใททนกมนี่ยี่จิ่ียกคคว4กวเลรรชรเกวััวมุ งิรชเเาอรเมรงิ ปรอืนกือออนาุรลนนนหกั ุม่ ผรุ ษรุมผเักลปักว์ ลาติษ้าัฒษยติภหว นแใภัณมัฒนธลัณาฑรโะนยครจ์กฑใธมรานารจวงกรโรถิคากคสมีคกรรางวงรารคเกาถิมสรมาเีคราพรวิมมริถือ่ าเผีตพมูไ้่อวทื่อยถิตีผอูไทเผ2นโพแยมกอปนูสบอ้.ลกหายนกงูนมมบุ่มนาเอนัาวแ.คลแผ2เยเาทสทถทปคสไยกูลสูรากาอึรปนงแีรบะหมุาูงมมรวลผผเือทอมาลงกว2เลแผฟคช.ิกาา้5ารปญาาบทูกลสูยไัลยไวเ้ืานงอกทนน0ปปแีหาะ้หาูงมมุมุ่.มมคจอี่มผกเลนอลทตมมลากว..ืน.กทีย่ีาานัแรมานเิีพปานัทสช2ไยไเวงนภรนสทหอาืน้ปทีปแีหามยีุมงคูมอสรมรทลาําผลทงจกมมงากว.้าวงนีสิ่ียปป่ีเก้ันาารานพีางชารมิชนสาวืัลญวเงนมทยคนถยี้ืนปัยปรคน.าูกมรํา้ใแผวงออญคมทลวัคูถหจเงกยไบาก.ู้ปสาาม่ยีาราป่ีเาาคปันจืนมบมชลมรนานูงยนกลํคาุทบทถมรสเยีอมุ่แกทปคลกูคูถหเราํปใัุขงบาลนาทปอรวรคับหางาาย่รเุมงึยบกดือนาอยหปาระงคคมืนทษุเมมญภกานทมผจค็นนําืนอบอามรลูมาอแาาา้ปรเ่ดูถวผมเุม.ณปร้ติปดือยกาบวเปราาายวทชาิญภรทญอ้นมึบกนนสทยมีะอยงมูมแีาหษ1เรญกโกทีม่มกผาคกตงิปาลนคาาาลแีงอาาาลนยงริันญรกวดราใสุมรนทณดคอืทุ่มืนหนาขทิงทาเรญท่ีมวญภแปองมทนากอยำ�าแีทอาผูมงสลาับ1บกอเมางใงรนผคอาตปิปหย่ีบงลาาาส้ผรงยผวาิงญร็กนนนนุขัยัาฐ้าาสงทอาาทบันมฝมนรญี่มอสาา แีทาผงยขุ ใรคอาหงยผวงกาอาาบัมฝมนสา ยขุ
ลคแปคสเปกูลรวาลาะห็นมามูกผลมอาคปไคาาดรรยไรอนรหู้ถาถเ่งาาปมคม่ามใงมปคนไหยาํดพี ปรดอสอแท้คี้ืนาเางรยสปมำ�อสมทคะนา นปไดามํางี่ปมดรอปแดรภลาาถยเึกีสรูกชณูมปสใาะนษคิกหมิปนธงราดคก1าาอัญปานดชีําลยมสรงญปกิก้าุ่ะามมปาลรนกธงาานรึกุมลดากใชะ1ษมุหนีมิกทาส0าก้การกอ1มดณทลลบั0ผาาคุมุมอลนช้าคนผ1ูกกฝิ1น้0าาหา้กงมมรยยาลคทนีนี้นอแมุนาอาลมานทผง1มงะคปอา0นีปผมรยผราครา้ะาอาพีงไะไมนฝมปพื้นหไาไรพมทมยดะไีน้่ พางประไพ
ปปอ อ้ งงคคําำ�แแสสนนปรปะรธะานธากนลุมกลุม่
เเคคชไตคสภสสมถมุรรรอานนซาาบพงาชทมมกบทีดวนปธางาไนัามรเเไคคตชคสภไเเคคชคตสภงรจรมกเมคทท2ทสสงสสวะมมีเปถรถรรรุมขอรรรุมอราาจาทรเนจิกวนาออ่ี่มนนซบาามซาบาเพงาพชทองาชร็น่อืวายัสตอทมมาอผงทมมกบีกชีดทวกบทงนทีดวงปย่ีงนันปวมนศบามเธงางาภาค้ธนไันาาลเงาาาํไนัทมวรา่ามมลิงรรจลทเรทมากตยงตานรจรงผมวั้นกะช1ุ่มทีเผงณวระขยเ่ีปราเีขพจาราข่ีทริอ้เิจรกทส้าอจมามุมทรเิจกเเ5ขเเทอ่ีย้าวงรื่อะมาอเเยัรสตยทอปอทอมนรค่ือเเาสี่ีมชชงยัสสรตทผสองแงาอวยี่ง่ิมสสชกงนศบทอางียงรเง่ยีี่ยทงนคืนมิ่คกนนาถาเนศลบาาาํผคีวสงผจมะคนจิิล้นมา้ลทเนเทนตําวแวนใยาผารจม้ันสะาชิลททลเทาการน้ตเปก้านาจยผค้นัวาท่ีบงติชาวททอทสราาืบรมกเมุปยาา5อเขีย่ายี่ศรงิะิถทลรทสาัฒมยมเกันู้ชทมุมนขา5สี่จเขดมีต่ยีาชมงบผระแอากวาึ้อกยวไีทกนอาวุมี่สจงมีธคชย่ีทงัอนนมงผังนนแอาามลวาททาสผมถิษกมอจิิจมงหท่ยีทงันนรรวแผนนชาใยานกธลงกาสะผี่ยีผวาคัยจิกมหจายคารวควคตงวแ5่อว้ีใยเอคนรา้าืบันสะอิทยยาศากมศรทกิถมจรัดลยรควัฒวรวงตเรมวชอยงนบืดตนมยรรยอกลิสรากึกามวศรไีมิถาลดัยาี่รชัฒเเมคมรนมม้ังออหากมอะดตทาปมทริจถิทมอมกษดาอึหมกาวีไมวศนรหบนีเคกธกมนมมลงักอามะยผีเคทาวีสมโตี่ิถพ่ยาสใชษาาคกห้ีรปมันนอวิทราคปรรแนสกธกาากคมสารมวุยผีิวรนค่ือามชายนาารนูบคนมทลเผยรร้ีนรรนัรอทิาไามรรผาทตากมชมสมชรรีเามใกหะารวามอะามรแชำ�มณมนามอรยร้าศจอมนนราหย่ีาบน่วัมวเีคสาามลาผกซ่มเื่อรมวสีมโพหายอะรบกัฒอคศทิรมวมปีคมาทขวอาคปศา2้าีดรหายบงีเคทมอ้อ่ืาลมารสวยนรึรกูบเนอวีสนผโรี่พมนรยมกเไรลปยมาาตรวมาคอปถนาวิมชากงลาาาามธษแีกมเณ้อือ่าศมมทยุคนมวอันมูบผนผผนว่ัรอไคีีสเนารคร่าาลกรก่จตามพถิทนบสชอาอคกรารางาคียทามขแณขรณเมุ2ร1ากาอมทยมวยคผีารนัว่คสงคยสารปื่ออา่ีาามกรมเงยาบอเรออวออคนารวครแา้คียรงทขลนณมตีกท2นรมชทุคมสมทะานัยีมผีสผายรบนืสอารปกูอ่ีลมโสมอมค์มี่ยน้ันดสอยนาาบาามงอนาอว้ปบณคงมุล1กีรืบนยมบวยหวคทใงคุมรมนัผผวมรอรกูเาสลยอเอูวตครแนมาสสอามนีมาคแงทคณคุมสมาียม1มบนื่อยวยคบู่นงกวากมยี่รรดนเยบยอเอกวครแแาาราา้อวใารทอสมาียมสมันนมมบนืตูรงมมยี่ดนยบ่ วใรอสูมขรเอศว.ยกรมาษันกยฐททขรเอนัพศกว.ยราํปนื้กรมจิวงาลษันทกากพชิยขทรเอูกทฐนป่ีลนัยัพศอว.ยคกํารมุลกปรเ้นืมจงรจิาวพตูกทษันลทากา.กยพิชียาไูกอมทฐนป่ีลันมยัพอมดงผคกใมุรลหปเคน้ืนจราพิจสมวกูทตาลวาย.ทพกชิพวีสียไสอาามูกอมนดป่ี้นืลัยมงาอมผใมคหอรุมทนลาถเาคสมจครคาพิม่ชยกูทพีนววีสาส.ร3ากิสอียไนัอด้นืามมาามมขุดมงงมมอผรทา2ใหเเาคคน่ิมชถบร0าปีสมมนาร3า่มิกิยสพนานวีสศีาสคแมจขุนองนัมด้ืนจมนู2ลานาเามนุดบอ0รปทะายกมนเคาแคอศม่ิชานรกปีีศคแสบรนน3าูนิ่มิกสจาลูนลนีนามงนายรจุขุดูกะงยมหวค2เารแาอศเาครกนบ0ตปสนวกบมนนูนยีรามนีสาานปงาศีนยรคแทนตากหวมคเจลรนูรลนรมน.ลี่กนเตนวุูดูกนะียยกามุนัมสาาแอศนคาบ็กรทตสากบสนนูถรรใามนี.ล่กีนีูบางานยราุมนัหวมควเคารรรนนสเตนรวถียกานีมสานม็บวทตากรในม.ลกี่ ูบนามุันคารสรถาีนมวน
16 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน
ในงานการประชมุ วิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวจิ ัย ครัง้ ท่ี 13 : สาขาท�ำ นุบ�ำ รงุ ศลิ ปวัฒนธรรม”
ก ลุ่ ม ท อ ผ้ า ย้ อ ม ค ร า ม บ้ า น น า สี น ว น จังหวัดสกลนคร กลุ่มทอผ้าไทเทิงภู
ต.นาสีนวน อ.กันทรวชิ ยั จ. มหาสารคาม มีศูนย์ บ้านนางเต่ิง ต.โคกภู อ.ภูพาน กลุ่มทอผ้าย้อม
การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง สวนอิ่มสุขเป็นจุด ครามบ้านเชิงดอย ต.หนองสะไน อ.กุดบาก กลมุ่
ศูนย์รวมกลุ่มร่วมกันปลูกครามในพ้ืนที 3 งาน ทอผ้าย้อมครามบา้ นโคกภู ต.โคกภู อ.ภพู าน ศูนย์
และอนาคตสามารถขยายพ้ืนที่ปลูกได้ มีสมาชิก การเรยี นรคู้ ราม ศนู ยพ์ ฒั นาภพู านอนั เนอื่ งมาจาก
20 คน แบ่งหนา้ ทีก่ ันท�ำ งาน ตามความถนดั เร่มิ พระราชดำ�ริบ้านนานกเค้า อ.เมือง ศูนย์คราม
จากปลูกครามเก็บใบครามมาหมักทำ�เนื้อคราม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร รา้ นแมนคราฟ ถนน
การเผาด่าง ค้นเครือหูกและหม่ี ย้อมครามและ คนเดนิ ผ้าครามสกลนคร
ทอผ้า ได้ท้ังผ้าไหมและผ้าฝ้าย สมาชิกบางกลุ่ม
ปลูกหม่อนเล้ียงไหมไทยพ้ืนบ้าน ประธานกลุ่ม เริ่มเดินทางจากจังหวัดมหาสารคาม
คอื นางส�ำ รวย อนิ ทา ออกเดินทางประมาณ 05.30 น. ผ่านจังหวัด
กาฬสินธุ์ ถึงสันเขาภูพาน เวลาประมาณ 9.00
น. เลี้ยวซา้ ยที่สแี่ ยกเข่ือนวงั สะพงุ เข้าไปประมาณ
7 กม. แวะที่กลุ่มทอผ้าย้อมครามไทเทิงภู บ้าน
นางเต่ิง ต.โคกภู อ.ภูพาน จ.สกลนคร เป็นกลุ่ม
ลาวจืด มีสมาชิกกลุ่ม 50 คน มีนางอุ่นเรือน
จันใด เปน็ ประธานกลุม่ พ้ืนทีศ่ นู ย์การเรียนรู้ 14
ไร่ มีแปลงปลูกคราม โรงทอผ้า หม้อย้อมคราม
และบรรยากาศสดชน่ื สามารถกางเตน้ นอนกลาง
ปา่ ครามได้
ศูนยก ารเรียนรูคราม ศูนยพฒั นาภพู านอันเนื่องมาจาก
พระราชดํารบิ านนานกเคา อ.เมือง ศนู ยศ ึกษาการ
พัฒนาภูพาน อนั เน่ืองมาจากพระราชดาํ ริ จังหวัด
สกลนคร พระบาทสมเดจ็ พระเจา อยูหัว ทรงพระกรุณา
พระราชทานพระราชดํารใิ หจ ัดต้ังศนู ยศ กึ ษาการพฒั นาภ
จงั หวดั สกลนคร กลุม ทอผาไทเทงิ ภู บานนาง พานขนึ้ เม่ือพทุ ธศกั ราช 2525 เพ่ือพฒั นาอาชพี ความ
เติง่ ต.โคกภู อ.ภพู าน กลมุ ทอผายอมครามบา นเชงิ ศูนยการเรเปยี นนรอูคยรูแาลมะศคูนุณยภพาฒั พนชาวี ภิตพู ขาอนงอชนั าเวนไือ่ ทงยมใานจาภกาค
ดอย ต.หนองสะไน อ.กดุ บาก กลุมทอผา ยอมครามบาน พระราชดํารติบะาวนนั นอาอนกกเเฉคยีางอเห.เมนอื อื งมศีพูนน้ื ยทศโ่ีกึ คษรางกกาารรท้งั หมด 13,300ไร
พัฒนาภูพาแนบอง ันเปเนน ่ืองพมน้ื าทจาีพ่ กัฒพนระารกาาชรดเํากรษิ จตังรหปวรัดะมาณ 2,300ไร
โคกภู ต.โคกภู อ.ภพู าน ศูนยก ารเรยี นรูคราม ศนู ย สพกรละรนาคชรทพานเรพะพบ่อื รากะทราาสรชพมดเัฒดํารจ็นิใพาหรปจ ะาดั เไจตมา ง้ั อปศยนูรหู ะยมัวศ าึกทณษรงาพ1ก1าร,ระ0พก0รฒั 0ุณไนารา ภู พ้ืนท
พัฒนาภพู านอันเน่ืองมาจากพระราชดาํ ริบานนานกเคา
เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน 17
ในงานการประชุมวชิ าการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวจิ ยั ครัง้ ท่ี 13 : สาขาท�ำ นบุ �ำ รงุ ศลิ ปวัฒนธรรม”
อศนั ูนเนยอก่ื างรมศเราูนียจนยาร์กกูคาพรรราเมะรรียศานนู ชรยดู้คพ �ำ รัฒราบิ นมา้านภศพูนูนาายนน์พอกันัฒเคเนนา้ ือ่ าองภม.เูพามจาอื านงก ยผรอ ลามนิตคแภรมาัณนมครฑทรา้ ์ผ่คีานฟ้ราแบยมเถ้อปนว มน คนรครใา ารนนฟาตเมอัวเกเปมชทน็อื น่ีครงทจา้ รี่นงันบหําเถอเวส้ัดวกนสนชอกนใผนลทลนตน่ีติ คัวภ�ำ รเเัณสมมฑนือผี ผอางหา อม
พศูรนะยรา์ศชึกดษําราบิ กานานราพนัฒกเนคาาภอ.ูพเมาือนง ศอูนันยเศนกึ ื่อษงากมาารจาก สจังมหนุ วไัดพสรจกาํ ลหนนคา ยรแลมะีผอ้าน่ื หๆออมกี สมมากุนมไาพยรจคำ�ณุ หปนร่าชยญแล นะิยมคา
พัฒระนราาภชูพดานำ�รอิ ันจเันงห่ืองวมัดาสจากกลพนรคะรราชพดาํรระิ จบังาหทวสัดมเด็จ หผอนู้ร่ืกือๆ่อคตุณอั้งกีแแมมลานะกเผมจกู า้าอ ยขตอคง้ั แงณุ แลปะบรเรจานาชขญดอ์ ์งนMแยิบaมรnคนnา้ดหMCรrอืaanคftnณุ Cหแrมรaนือft
นาง สพกรละนเคจร้าอพยระู่หบัวาททสมรเงดพ็จรพะรกะเรจุณาอายพูห รวั ะทรรางชพทระากนรพุณราะ หผรลอื ิตผภลัณติ ภฑัณ์ผฑ้าผยา้อยมอคมครราามมจจาากเเมมือืองงสสกกลลนนครครดว ยด้วย
ชงิ พเพรเเอปปมาอราน็น่ือชะนกอรดพอขเายฉน้ึำ�ยชุทูแ รยีู่แทลเธิใมงลาะศหเือ่นคะหัก้จพุณพคนรัดุทรุณภาอืะตธาชรภศั้พงามกัาศชช2ีพพรดูนีวา5้นืํชาติชยร2ีวขท์ศใิ2ิตอ5หีโ่ึก5งคขจ2ชษอรดัเ5าพงาตงวเกชกงั้ื่อไพศาาทาพือ่ รนูวยรพทัฒไยใพฒัทนศ้งั นัฒภหยนึกาาษใามนอนคอาดาาาภกภชชาา1พีูพรีพค3พคาตค,ัฒวน3ะวาน0ขวามา้ึันนม0ภู อคบชคดุววีววาติมากมกมกครารสูัวบรู้สาณกึอึกมหทุดหสลีอ่มลรงยกา้รงางกัรากสักใรจนรณใะรนงสค์ทางืบน์า่ีอแทศนยลอิลศาะดปิลกภศะปจมูลิ แะะปปิ ลสะญั ะแืบวงญลาทิถะนาชีอขงอวี ดาออติ นศงกภอิลคแมูอวบปาลิกบะม�ำแบเบววนกบิถากี บั
บาน ตไระ่วันแอบอ่งกเเปฉยี็นงเหพน้ืนอื ทมี่พีพัฒ้นื ทน่โี าครกงากราเรกทษ้ังหตมรดป1ร3ะ,3ม0า0ณไร สทรอ้ างงถสิน่ รรขคองแตลนะภเอมู งปิ ตญ รญาาสขนิ อคงภา้ มู MิลาํaเnนnาทCอ rงaถf่ินt สขอาขงตาน: เอง
แ2บ,3ง เ0ป0น พไ้นืร่ทพ่ี ฒั้ืนนทา่ีเกพา่ือรเกกาษรตพรปัฒรนะมาาปณ่าไ2ม,3้ป00รไะรม พาื้นณที่ ตสรกาลสนินคครา Mann Craftาขา : สกลนคร
ย เ1พ1ือ่ ,ก0า0ร0พัฒไนร่าปา ไมประมาณ 11,000ไร ป(ขรอะงเภใทช้)สปถทาร่ีอนะยทเภู่:่ี :ท1ราส5นถ7ขา6อนงทฝถา่ี:.สกุทขรเ้าอ กนงษถขน่ิมอง(ขตฝอ.าธงกาใชตท)ุเ้อชทงิงอ่ี ถชย่ินุมู :
เคา 1อ5.เ7ม6ืองถส.สกขุ ลเกนษคมรตจ.ธ.สาตกุเลชงินชคุมรอ.4เม7อื 0ง0ส0กลนโทครรศจัพ. ท์:
ราน
ส0ก8ล-1น0ค5ร54-76030001โทเวร็บศไัพซทต :์:0h8t-t1p0:/5/5w-6w3w01.maเวnบ็nไ- ซต :
hctratpft:./c/owmww.manncraft.com ดูแผนที่
งสนั
กเข่อื น
อม
นาง ศศูนูนยยค ค์รารมามหมหามวาทิ วยิทาลยัยารลาัยชรภาฏั ชสภกัฏลสนคกรลนเปคนร
เศปูนน็ ยศก ลนู ายงก์ขลอมางลู ขดอ้า นมคลู รดาา้มนทคง้ั ทราางมวททิ ง้ั ยทาาศงาวสทิตรยแาลศะาภสูมติ ร์
ยนรู แปญละญภากูมาิปรผัญลิตญคารกามารตผิดตลอิตอคาจราารมย สตายิดสตรุ ่อียอเชาื้อจวางั คราํย์ ถนนคนเดถินนผนา คครนามเดถินนผน้าคคนรเดาินมแหถงนเดนียควในนเดปิรนะแเทหศ่งไทย
และ สเปาน ยผสบู ุรรรียย์ าเยชแื้อละวสังาคธำติ� กเาปรม็นัดผยู้บอมรครรยาามยและสาธิต ทเดี่เนียนวใขนายปสรนิ ะคเทา ทศผี่ ไลทิตยจาทก่ีผเนา ค้นรขาามยอสนั ินเปคน้าทสัญี่ผลกัิตษจณากของ
ามได การมัดยอ้ มคราม
จจผผถงาั ้้าานกแเหยคคบนผ็วรรบาดัๆคาาคใสมนมคหรกํา่าสมเๆลมดตอกนสผาินันลมาคกคนผเแรลปรฟ้คานา็นชมครถคน่ั สทรนรน่ขีถัญานิยาถนมมยลคนกนแนักในันหผหเษดกผเ้าลล็มณนิา คอืีท่คงผ์ขกรง้ัรขาซอาแาคาบ้ือมมงรยใบจตตาสผลมัั้งง้ังห าอลหแอยรยหิตวดยือทู ั้ังลดซู่ทภ่ีเง้ือดหสี่ัณขเิมนปกหาฑแนาลยนลวซผ์จน้าะัดื้อลาวคพิตัดกรรภะณั ฑ
ธพอทาา้ังรขหตแทะอุเนชบิตธงา งิฝบวายชาดัตล์กมุ พกุเตาวชนัรยรอิงะดวถนธชหินั้งาุมเตเานยดวเุรนช็นิมริงซ้ีอๆวชยง่ึ ิุมหูบแจรละคาิเมระวำ่�ณีทแๆซุกยบา่ึงวบนผจนั เใ้ามะเหสคอื มมางรีทเร่ตากแุกมาาลสมวทะกันแี่อขลฟเานาสทยคชาติรกั่นรยหันน์แ ตรกิยลืออ็มมะนี
ให้เลือกซื้อใส่หรือซ้ือเป็นซ้ือของฝากกัน ถนน
นี้อยู่บริเวณย่านเมืองเก่าสกลนคร หรือหน้าวัด
พระธาตเุ ชิงชมุ
รา นแมนคราฟ เปน รา นเอกชนท่ีนําเสนอผลิตภัณฑผา
ยอมคราม ท่คี รบถว นในตัวเมอื งจังหวดั สกลนคร มีผา หอม
สมนุ ไพรจาํ หนายและอนื่ ๆอีกมากมาย คุณปราชญ นิยมคา
เยน็ ๆ ค่ําๆ ผาครามท่ีขายกนั ก็มที งั้ แบบลายด้งั เดิม และ ห
แบบใหมตามแฟชน่ั นยิ ม ใหเลอื กซื้อใสหรอื ซอ้ื เปนซอื้ 1.
ของฝาก1ก8ัน ถนเใอนนกงาสนนากร้ีอปารรยปะรกูบะอชรบมุ เิกววาิชรณานกำ�ายเรสมา นหนอาผวเมิทลยงอื าานลงยั เมกหาาสสากรคลามนวจิ คยั รครหงั้ ทร่ี 1ือ3 : สาขาท�ำ นบุ �ำ รงุ ศลิ ปวัฒนธรรม” 2.
หนาวดั พระธาตุเชิงชมุ 3.
อ
อม
คา
บ
อง
บกา ลนมุ่ หทนออผงบา้ ผบ้ากันอ้ ตหมบนคอรางจมผงั บกั หตา้ วนบดั ห นจนคงั อหรงพวผดั นกั นมตคบรศพอกึ น.กษมสุากศมุ ลกึาลมุษยทา์อผาบอ ม
คจรังาหมวบัดา นนคหรนพอนงมผกั พตบบวอ่า.กปสุ รมุ ะาธลายน จกังลหุ่มวนัดานงครันรพดนร ม พบวา
ปผเหรละลิตธินภาตนัณ้ากฑยล์กซมุ ล้านยุ่มางมไรดีคนั ้แวดการ่ มเเคนหล้ือล่อคินงรตแาา มคยอลซอ้วา ยกสจมำ�าคี หมวนาารม่าถยคทนลั่ำว�อ งแคลว
ต : สปารมะาเรทถศนปาํ ีลผะลหติ ลภาณั ยฑตกันลุมพัฒไดนแ ากผ ้าเนท้อื อคแรลาะมออออกกบจูทําหนายท่วั
ตปกผนผถรตลลบรึงลร�ำ้าัติบะปงผกนบเภขครทลำ�อ้า้าัณืนะไติศนมารมฑปภรกทหหา1ัณะลผลณานาย.ะางับฑอระจหเคไ5งข์ผแทาลกผนืา้ก0้านาา่ยศักจสงะยก่นูรตาานมตจมะกงบยำ�าานั ยลส์ศชปกะำม�ึกพกิตรทดาะษไัวฒั าชมวปเามงนกิ นาฯจอืาไณําจปผภงหาถสาจพู5กนท.ำ�กสาต0าหอลนกยวั แนนกเลแลม่ามคฯลยะือร-ะองถกแมสอึงาลีปกกฬบะลบน มสานทูผนิปีนคลนหั่นธรกํานุ์ ําอไรงผ4อc3N3ทร2ศ1....าักoูน.2ี่พเยนขไเmมย31ลากักาอศยือศิ47ยวตแึากงร,เ.า 1๊ิกหนกษสงป05ราNละา21ไยีนลรฯ8าํ7ข..บแาดำ�8ก1ภเเปนวผ0ร2ด7ูพแนาาะะ48อ.กาทอนห1ถ2น°ะหะนาํ5ท,.2มสมา7สกEาถอส15เลป.รกสจ09ฯะ1าขุลสพ-ร820กเตีสงัก9°4าท,ิคษฬถ.ซ1อwมEส.งอ5สคินwอยถ2กู1ธเ.เw.เ0ลเปุม0มรต.8นรืaือ4อือรม7tงคงง.sง1สปข°รaวร4าkีสัด0ม7ถอoาดท2.n.7ค์ิ4าเอh2ูเงม.2oม8เอเมืข7tอ.ือ0eอืเา1มงง°lง.อื ง
2. เลิศรส ไข่กระทะ ถ.สขุ เกษม อ.เมือง 05. ส4ะ2บ7นั 3งา 3ถ7.ร7าษ1ฏ-3รพ wัฒwนwา อ.m.เมaือjeงstichotel-sakon-
ทย 3. ข้าวเกรียบปากหม้อปารีส ซอยเปรม nทa่พี kกั hแoนnะ.นcําom
ง ปรดี า 7 อ.เมือง
ณฑ 4. ยายติ๊กปลาเผา หน้าสระพังทอง 1. แอทสกล ถ.คเู มอื ง อ.เมือง N 17.157828°, E
ถ.เรอื งสวสั ด์ิ อ.เมอื ง 104.152087° 0 4271 3234, 08 0422 5929
www.atsakonhotel.com
5. สะบันงา ถ.ราษฏรพ์ ฒั นา อ.เมอื ง
2. เดอะมาเจสติค สกลนคร ถ.คูเมอื ง อ.เมือง N
17.157108°, E 104.1472280° 0 4273 3771-3
www.majestichotel-sakonnakhon.com
หมายเลขโทรศัพทสาํ คญั
1.ทาอากาศสกลนคร 0 4271 3918 เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน 19
13 : สาขาทำ�นบุ ำ�รงุ ศลิ ปวัฒนธรรม”
2.การทอ งเท่ยี วแหง ประเทศไทยนครในพงนานมก0ารป4ร2ะ5ช1ุมว3ชิ า4ก9า2รมหาวิทยาลยั มหาสารคามวิจยั คร้ังที่
3.สถานีขนสง สกลนคร 0 4271 2860 (อางตอ จาก
อินเตอรเนต)
หมายเลขโทรศัพท์สำ�คัญ
1. ท่าอากาศสกลนคร 0 4271 3918
2. การท่องเท่ียวแห่งประเทศไทย
นครพนม 0 4251 3492
3. สถานขี นสง่ สกลนคร 0 4271 2860
(อ้างต่อจากอินเตอรเ์ นต)
ขา
อ.เมอื ง
มอื ง
1-3
20 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน
ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวิทยาลยั มหาสารคามวจิ ัย คร้งั ท่ี 13 : สาขาทำ�นุบำ�รุงศิลปวัฒนธรรม”
เอกสารอ้างอิง
คลังนานาวิทยา. สุพจน์ สอนสมนกี . (2545, พฤษภาคม 23). ครามสธี รรมชาต:ิ ภูมิปัญญาชาวบ้านที่
กำ�ลังถกู ลืม. ขา่ วสด. หนา้ 28.
ชลธชิ า เตียวไพรชั และอนนั ต์เสวก เห่วซ่ึงเจริญ. (2550). การย้อมสเี สน้ ใยสาด้วยคราม. จดั พมิ พเ์ นื่อง
ใน งานการประชมุ ทางวชิ าการ เสนอผลงานวจิ ยั ระดับบัณฑิตศึกษา ครง้ั ท่ี 9 (19 มกราคม
2550). ขอนแก่นมหาวิทยาลยั ขอนแกน่ .
พรี ศกั ด์ิ วรสนุ ทโรสถ และคณะ. (2544). ทรพั ยากรพชื ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 3: พืชให้สยี ้อมและ
แทนนนิ . กทม. สถาบันวจิ ัยวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี หง่ ประเทศไทย. หน้า 99-100.
ยาใจ พงษ์บริบรู ณ์. (2537). การย้อมสีไหมดว้ ยวัสดธุ รรมชาติในภาคอีสานของไทย. กรุงเทพฯ: สมาคม
เทคโนโลยีทีเ่ หมาะสม.
ผ้าครามธรรมชาติ ศาสตร์และศลิ ป์แหง่ การสัมผัส. วารสารสารคด.ี 18 (205) : 106-108.
สมศักดิ์ ศรีสันติสขุ . (2536). การเปล่ยี นแปลงทางสงั คมและวฒั นธรรม: แนวทางศึกษาวเิ คราะห์ และ
วางแผน. ขอนแกน่ .
ศนู ยศ์ กึ ษาการพฒั นาภพู าน. (2551). โครงการศกึ ษาการพฒั นาเสน้ ไหมตามแนวพระราชด�ำ ร.ิ จ.สกลนคร.
ศนู ยส์ ง่ เสรมิ อตุ สาหกรรมภาค ที่ 5 กรมสง่ เสรมิ อตุ สาหกรรม. กลมุ่ ทอผา้ บา้ นถ�ำ้ เตา่ . (2551). กลมุ่ อาชพี /
ผลติ ภณั ฑช์ มุ ชนและทอ้ งถน่ิ (OTOP). สกลนคร: ส�ำ นกั งานพฒั นาชมุ ชนอำ�เภออากาศอ�ำ นวย
จงั หวัดสกลนคร.
อนรุ ตั น์ สายทอง. (2550). โครงการศกึ ษาการพฒั นาสยี อ้ มผา้ จากคราม. สกลนคร: มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั
สกลนคร.
การสร้างจิตส�ำ นกึ สาธารณะให้แก่เยาวชนชน้ั มัธยมศกึ ษา ผ่านละครรว่ มสมัย
เรอื่ ง “พญาคนั คาก” กรณศี กึ ษาโรงเรยี นนาสนี วนพทิ ยาสรรค์ จ.มหาสารคาม
สวุ ภทั ร พันธป์ ภพ
คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม
มหาสารคามเปน็ จงั หวดั หนง่ึ ในภาคอสี าน ทป่ี ระกอบไปดว้ ยชมุ ชนทมี่ ศี ลิ ปะ ประเพณี วฒั นธรรม
วถิ กี ารดาํ รงชวี ติ แบบพนื้ บา้ น และขนบธรรมเนยี มทดี่ งี ามหลากหลาย ควรคา่ แกก่ ารอนรุ กั ษ์ ฟน้ื ฟู ปกปอ้ ง
และเผยแพร่ ศลิ ปะและวฒั นธรรมทดี่ งี ามใหค้ งอยอู่ ยา่ งยง่ั ยนื อยา่ งไรกต็ ามสงิ่ ทขี่ าดหายไปคอื การรว่ มมอื
ร่วมใจของเยาวชนคนรุ่นใหม่ เนื่องด้วยการหล่ังไหลของกระแสนิยมในวัฒนธรรมต่างชาติ อีกท้ังระบบ
การศึกษาก็ผลักดันให้เยาวชนมุ่งแสวงหาความรู้ และทำ�งานตามแนวคิดตะวันตก ท่ีนำ�ไปสู่การพัฒนา
ความเจรญิ ดา้ นวตั ถมุ ากกวา่ การพฒั นาจติ ใจมนษุ ย์ เยาวชนจงึ ขาดการพฒั นาดา้ นคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม
อยา่ งจรงิ จงั และตอ่ เนอ่ื ง จติ ส�ำ นกึ สาธารณะที่มตี อ่ ส่วนรวมเรมิ่ ลดลง เยาวชนล้วนไดร้ บั อิทธพิ ลจากสอ่ื
ทันสมัยรับรู้กระแสความนิยมของโลก แต่ในทางกลับกันก็ได้พาตนห่างไกลออกจากวิถีชุมชน
ขนบธรรมเนียมดั้งเดิม และศลิ ปวัฒนธรรมอันงดงามดว้ ยเชน่ กัน
การสร้างจิตสำ�นึกสาธารณะให้แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่จึงมีความจำ�เป็นอย่างยิ่ง เพ่ือให้เยาวชน
ไดร้ ู้จักหนา้ ทข่ี องตนเอง ได้ตระหนกั ถงึ ความรบั ผิดชอบตอ่ ส่วนรวมมากกว่าตนเอง มีคุณธรรมจริยธรรม
มีความเออ้ื อาทรตอ่ กนั ไม่คิดทำ�ลายและเบยี ดเบยี นผ้อู ื่น มจี ติ คิดสรา้ งสรรคส์ ง่ิ ดๆี ให้เกิดขึน้ ในชุมชน
และสงั คม ถา้ หากผ้คู นสว่ นใหญ่มีจติ ส�ำ นึกสาธารณะก็จะส่งผลใหป้ ญั หาตา่ งๆ ลดลง กลายเป็นสังคม
ท่ีเข้มแขง็ สงบสขุ และเปน็ การพฒั นาอยา่ งยง่ั ยืน ซึ่งการสรา้ งจติ สาธารณะนัน้ ควรต้องปลกู ฝังกันต้งั แต่
วยั เด็ก เพอื่ ใหเ้ ขาไดร้ จู้ กั หน้าทีข่ องตนเอง มีความรักในถิ่นฐานชมุ ชนของตนเอง และมองเหน็ ว่าตนเอง
เป็นส่วนหนึ่งของสังคม กล้าพูดกล้าทำ�ในส่ิงที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง เพราะ
สิ่งเหลา่ นีจ้ ะตดิ ตัวเขาไปจนเตบิ โตเปน็ ผูใ้ หญท่ ด่ี ีในสังคม เป็นทรัพยากรมนษุ ยท์ ่มี ีคุณภาพ และร่วมกนั
สรา้ งสงั คมทอ่ี ยรู่ ว่ มกนั อยา่ งมคี วามสขุ เพอื่ เปน็ พลงั อนั น�ำ ไปสกู่ ารพฒั นาสงั คมใหเ้ จรญิ กา้ วหนา้ ทดั เทยี ม
นานาอารยประเทศ
แม้ว่าท่ีผ่านมาจะมีความพยายามให้ความสำ�คัญกับจิตสำ�นึกสาธารณะในหลักสูตรการศึกษา
เช่น ในหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ไดก้ ำ�หนด “จติ สาธารณะ” ไวเ้ ปน็
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน โดยท่ีสถานศึกษาต้องมีช่ัวโมงให้เด็กทำ�กิจกรรมสาธารณะ รวม
165 ชวั่ โมง แตก่ ป็ รากฏผลส�ำ เรจ็ ในสว่ นของการจดั การการเรยี นรใู้ นระบบโรงเรยี นนอ้ ยมาก และยงั เกดิ
ปญั หาหลายอย่าง ดังที่ เกียรติศกั ดิ์ แสงอรณุ (2551) ได้อธบิ ายไวว้ ่า ปัญหาดา้ นกระบวนการพฒั นา
คุณธรรมในระบบการศึกษา ไดแ้ ก่ ผู้ปกครองและชุมชนไม่มีส่วนร่วมในการพัฒนาคณุ ธรรม ไม่จัดสภาพ
แวดลอ้ มใหเ้ ออื้ อ�ำ นวยตอ่ การการพฒั นาคณุ ธรรม ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาและครอู าจารยไ์ มใ่ หค้ วามส�ำ คญั
กับการพัฒนาคุณธรรม การจัดโครงสร้างของหลักสูตรไม่เอื้อต่อการพัฒนาคุณธรรม นอกจากน้ี
ผลการวจิ ยั เรอื่ ง คณุ ภาพวยั รนุ่ กรณศี กึ ษานกั เรยี นสายสามญั และสายอาชพี โดยสรุ ยิ าเดว ทรปี าตี (คมชดั ลกึ ,
22 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน
ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวจิ ยั ครั้งที่ 13 : สาขาทำ�นบุ �ำ รงุ ศลิ ปวฒั นธรรม”
2549) พบว่า วัยรุ่นไทยขณะนี้ขาดจิตสำ�นึก ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2555) ได้ให้ความ
สาธารณะ ชุมชนอ่อนแอไม่สนใจกัน และขาด หมายของคำ�ว่าจิตสาธารณะ หมายถึง จิตสำ�นึก
กิจกรรมส่วนร่วมห่างเหินศาสนา และขาดความ เพื่อส่วนรวมเพราะคำ�ว่า “สาธารณะ” คือสิ่ง
ซ่ือสัตย์ ส่ิงเหล่าน้ีเป็นตัวกัดกร่อนเศรษฐกิจพอ ที่มิได้เป็นของผู้หนึ่งผู้ใด จิตสาธารณะจึงเป็น
เพียงและความสมานฉันท์ของผู้คนในสังคม เด็ก ความรู้สึกการเป็นเจ้าของในสิ่งท่ีเป็นสาธารณะ
ถูกหล่อหลอมจากครอบครัวให้เน้นเร่ืองการเรียน ในสิทธิและหน้าท่ี ท่ีจะดูแลและบำ�รุงร่วมกัน
เป็นหลัก เพราะเป็นสิ่งที่ทำ�ให้พ่อแม่พอใจ แต่ เช่น การดูแลรักษาส่ิงแวดล้อม โดยไม่ท้ิงขยะลง
ไม่มีจิตสำ�นึกสาธารณะ ท้ังน้ี สุริยาเดว ได้เสนอ ในแหล่งนำ้� การดูแลรักษาสาธารณะสมบัติ เช่น
แนวทางการแกไ้ ขไวว้ า่ ครอบครวั ชมุ ชน และสงั คม โทรศัพท์สาธารณะ หลอดไฟฟ้าท่ีให้ความสว่าง
ต้องหันกลับมาเน้นใน 3 เร่ือง คือการมีมุมมอง ตามถนนหนทาง แม้แต่การประหยัดนำ้�ประปา
เชิงบวกกับเยาวชน ไม่ใช่มองว่าเด็กยุคนี้มีแต่เด็ก หรือไฟฟ้าที่เป็นของส่วนรวม โดยใช้ให้เกิดอย่าง
เกเร มีแต่ปัญหา การมจี ิตสำ�นกึ สาธารณะ ไม่ใช่ คุ้มค่า ตลอดจนช่วยกันดูแลรักษาให้ความช่วย
เพยี งแตช่ มุ ชนจะตอ้ งท�ำ อะไรใหเ้ ยาวชนเพยี งอยา่ ง เหลอื ผตู้ กทกุ ขไ์ ดย้ าก หรอื ผรู้ อ้ งขอความชว่ ยเหลอื
เดียว เยาวชนต้องคิดว่าจะทำ�อะไรให้ชุมชนบ้าง เท่าท่ีจะทำ�ได้ ตลอดจนร่วมมือกระทำ�เพ่ือไม่ให้
เพอ่ื เกดิ พืน้ ที่ทางสงั คมแทนที่จะเนน้ แต่เรอ่ื งเรียน เกิดปัญหา หรือช่วยกันแก้ปัญหา แต่ต้องไม่ขัด
ซึ่งเป็นพ้ืนท่ีส่วนตัว และสุดท้ายคือการมีส่ือดี กฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม
ช่วยเสริมแรงบวกให้
หฤทยั อาจปรุ (2544) กลา่ ววา่ จติ ส�ำ นกึ
แนวคิดเรื่องจิตสำ�นึกสาธารณะและ สาธารณะเป็นคุณธรรมของพลเมือง ส่งเสริม
แนวทางในการปลูกฝังจิตสำ�นึกสาธารณะ ทำ�ให้สังคมเข้มแข็งมีศักยภาพในการแก้ไขปัญหา
ให้กับเยาวชน เนอื่ งจากการทพี่ ลเมอื งตระหนกั ถงึ ปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ
ในสังคม มีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือสังคม
คำ�ว่า จิตสำ�นึกสาธารณะ (Public เชื่อม่ันในความสามารถของตนเองและการ
Consciousness) มผี เู้ รยี กค�ำ นแ้ี ตกตา่ งกนั ออกไป รวมกลุ่มปฏิบัติเพ่ือแก้ไขปัญหาท่ีเกิดข้ึนตาม
เชน่ จติ สาธารณะ จติ อาสา จติ บรกิ าร จติ ส�ำ นกึ ตอ่ แนวทางที่ได้กำ�หนดไว้ จะทำ�ให้เป็นพลเมืองที่มี
สว่ นรวม จติ ส�ำ นกึ ทางสงั คม จติ ส�ำ นกึ เพอื่ มวลชน คุณภาพรบั รู้สิทธคิ วบคไู่ ปกบั หนา้ ท่ีของพลเมอื ง
รวมไปถงึ ค�ำ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง เชน่ การเหน็ ประโยชนส์ ว่ น
รวม ความส�ำ นกึ ทางสงั คมเปน็ ตน้ ความหมายของ จากความหมายของจิตสำ�นึกสาธารณะ
จิตสำ�นึกสาธารณะ มีผใู้ ห้ความหมายหลากหลาย ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงสรุปความหมายของ
กนั ไป ดงั ต่อไปน้ี จิตสำ�นึกสาธารณะได้ว่า จิตสำ�นึกสาธารณะ
หมายถึง คุณลักษณะของบุคคลท่ีแสดงว่าเป็น
ราชบัณฑิตยสถาน (2525) ได้ให้ ผู้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม โดยเร่ิมจากการมี
ความหมายของจิตสำ�นึกทางสังคมหรือจิต นิสัยชอบแบ่งปัน พร้อมท่ีจะช่วยเหลือผู้อื่น ไม่
สาธารณะ คือ การตระหนักรู้และคำ�นึงถึงส่วน เห็นแก่ตัว พร้อมท่ีจะเสียสละเพ่ือส่วนรวมตาม
รวมร่วมกัน หรือการคำ�นึงถึงผู้อ่ืนที่ร่วมสัมพันธ์ ก�ำ ลงั ความสามารถของตนโดยไมห่ วงั ผลตอบแทน
เป็นกลุ่มเดยี วกนั รู้จักรับผิดชอบในสิทธิและหน้าท่ีในฐานะการเป็น
พลเมืองของสังคม เคารพและหวงแหนในสมบัติ
การใชล ะครกระบวนการ (Drama Process) เพ่อื สรา งจติ สํานึกส
การใชละครกระบวนการ (Drama Process) ตามกลวิธ
ในงานการประชมุ วิชาการมหาวิทยาลยั มหกาสลารา ควาคมวอื จิ ยั กคาร้งัรทปี่เ1อร3กะส:ยาสรุกาปขรตาะทใกำ�ชอนบล บุ กำ�ะารครุงนศริล�ำ เปสเวพนฒั อ่ือนผธกลรงราามรน”พัฒน23าคน การศึกษา ชุมชน
การสื่อสาร การแลกเปลีย่ นความคิดเห็น และเกิดกา3รมสี วนรวมระห
ส่ือที่ทําหนาท่ีสะทอนปญหาแลว ก็ยังมุงสรางกระบวนการท่ีให
เทลเ่ี ็งปเหน็ น็ขอวางตสนว่ เนอรงวนม้ันกม็สคี าวมาามรปถทราํ รปถรนะโายทชจ่ี นะใใหหแ ส้ กงัสคังมคมได กตคออณใงหะมศเีคกลิวิดาปกมกาครดิเรปใมนลศเี่ยชานสิงแบตปวรลก์ มงทขห่ีออายงวาชทิ กมุ ยจชาะนลเแขยั ลามะไหปสามังสคีสามวรนคซราึ่งวเมมปนเคร่ืองมือหน
กกทคอจปเกลาิตกจี่วลิดราาะเสกู กใหวมกำฝ�ชคา็นอผนังลอืรใใูนกึเะกหกจปกดพคิสสเาผาลกัรงยััรนาู้อริดกี่ยนทใธรป่ืนชกรนั้ันไ่ีบาระลามแระผบรคะป่เณยพิดกหวควลกุ ฒันชาะา็นรตงอมกรกแนแใปาบรจชปกาลระลึแงตลต่ระบคะลา่(อูัวกพDควระวสฝฒันถรเrกร่วปัaงนกตนาเนmลเพรา้าอายรยี่รรอื่จไaงาวนู้จปกะเมว(แกัPรDใาชชป่ินมrใร่วroแหนaลพทตยลcm้งใัฒา้เนeคสหะหงaจsนงัวก้ทเลsคาปาาา)ี่ดือPมกมคร็นขีผเrใรนกเพoหึ้นหผู้อู้จาcื่อเกู้ื่น็นมักรปeสาีsนรรsาไศ)ปงึกลชเสจใพเจ1จตยษรน้นัะาิตำ�ะาฤาิ่มาธทคชมสนวเมหาตัว่รนาธัชาํชวกรงัสโั้ยงน้นุนมนคณลมทแมบกึรชณไวงี่ดะจตศะดสปนิธค8ใใขีะา่ึกเดาีนหีขแทรดกศน้ึ ษับธใอก่ึงลแกคิลี่ือกนาาชงับะตาปนนเารนั้เลรปสทเ่ลกวณรมยมไะัง่ีโ็นลพรดะรากรัธคะครเว่วาทคงัยฒรรวมมชเมดมราปลรศนน1้ัลเเงศคียาราปปไา4ขอึกนมะสดน็นผ2องษ.นยต0ใกู้มสงาุการชพ0เรก่วสีดสตลท.ะมศนีนาือ่ะวี่ม-บห(ร.วคหนนAตีวทาน1รน2pร้ังนวกพำ�5แ่วp่ึ5งิทกรกทิต.มขl63ยาะiิยจรeอรบา00ะาdกทงลเวสดพกรัี่ยชนทนรับริจ่ืTอมวกรชุก.มกยhคหาพน้ัๆวใรลeราัฒหจันรaมสะ(.เDมtมวนล.าคกr1rัรนนeหะาิรด-aค)มา้ีmาส.6มaารจPจคาํ rําานoนมวcวนeซนsงึ่1sไ80)ด
กเสาียรสสื่อลสะาเรพกื่อาสร่วแนลกรเวปมลี่ยผนู้ทค่ีวมาีจมิตคสดิ ำ�เหน็นึกสแลาะธเากริดณกาะรมสี วตจนงั้ติ รแใว ตจมเ ดรคะือวหนาวมา มกงรนั่ผาใแู คจสมดสงพรกา้.ศับง.คผ2วูช5าม6ม0ทเข่ีนทา้ อกุใจกๆตจวานั กเพอลฤงะหคเัสปรบจน็ ะดกเี ปาในรน เวลา 14.00 -
สสกตเไสสหด่อืาวอ่ัง้ น็ธ้คนใทงหาวตมรเ่ีทรา่เกว่้อใกณําตมหิดงดิหนะจ้เมจทกปนใาเาีคหอาจี่กน็ากรงกะวกทไเนกกาับปาป่ีสนม้ัาอร่เลใะยไรใกนคีย่ดทาหรส็นิทดวทับอเ้ าแชกใาดนรมนปนงดิลู้ถปาทเไลกอชึดงรญ่ีดงางถคิงขรใขีหบทุชณพอน้ึ าลว�ำงฒัคแชปะก่านลมุครทใวาะรช่ีอนแกโนกยยตลรแ็ชยาะะนลนักงบเเะปมใ์อจวสหลุงนะงังยแส้่ีกแเคกนขราลม้าสา่รแะงไปงัซ(เปกคDลลึ่งรมมrเ็งงaปะี mบนวเaคนตเสจกทปมPดรรนกจาิพีำญั่ืr�ออื าoเากกกงนน้ืองหรcรมกครงททeารือวาะขsใี่มม่ีใารหนบsใหออสมร)นนกวงงทเาับเแขึ่งตเานพมุกหฟตทารนกาื่อคน็ลใคี่สังรเจสานะทอดิผาถตรรคชมง้ัวงู้อมานลปรวเิาง่ืนอคผเัง้ะญยรจอขงร้อูถคกติงหเอาเน่ืหนัสรนกะาเงํปานเํา็กขหิหดแพนมนคอาาก์ลกึื่วารอกงณุทะาใพทิสตาฝชารชคานราําึกงแใมุธาก่ทกเนอลใอาตชจิาํษกหอรงกนนกกณา์้กผวรรเเผรปอเระรู้ะจิมูอกสงมวบใลาีส่ืนดิรหมลรวมี่ยา่วกแณนะกแอนงนากคักนจลง์แรเรรราิตเะยเนวห่่วอรรสชจามลวมน็ัียนุํมาวะคกะนทในจชเชคนนิันดรงึน้ัะกนรนู้ เไเพปกอื่ ิทดฝกกี่ ก าาใรรหพเผรัฒียูมนนสี
ชน้ั มัธยมศ ึกษา ท่ีโรงเรียนนาสีนวนพทิ ยาสรรค จ.มหาสารแหคนาาวมวคิธซิดีแ่งึ ไมกดีพ้ไเรขื้น่ิมปทตัี่ญในนเหขกาาไรทปค่ีทเิดกดวิดลิเอคขงรึ้นทาใําะนกหิจช วุกมิพรชรานมกลอษะยคว่าิรจงกามับรีณ รวมกันหา
ลเกเยพะาาคื่อรวรชสใชนครล้รณ้าะะะคงดศบัรจลิ ชกิตปนั้รสกมะรำ�บัธรนยวมมึกนศศากสึกสาาษตรธารา ท(มรD่ีมหณตีrาa้ังวะแmิทตยaร าะลPดัยบัrมoชหc้นั าeมสs.าs1ร)-คมา.6มวจรวจิจาํับิจําานฟานรวรณวังนณนญเ1กญ8า0ิดณาคกคณนานเกรรโิดแเดวพลกยมกิน้ืดมเเทปพีนปี่ปนสิื้นลลสิตทย่ี อวชนี่ปดนั้นเภลหปรยัยีอนท ทนด่ึง่ี 3ีจ่ขรภะ้เูอวัยพไงชิ ดท่ือกาเ ่ีจิเกจปอกะาดกรรไใศพจดรลิรม้เฒั ปบั นนะฟิดี้ กเางใราจ่ิมเรกดิ การแลกเปล
ต้ังแตเดอื นกมากรรใาชค้ลมะพค.ศร.ก2ร5ะ6บ0วทนกุ กๆวาันรพฤ(หDสั rบaดmี ใaนเวลา 14.00 - 15.30 น. วันละ 1 ช่ัวโมงคร่ึง เปนเวลา 2
เPดrอืoนcess) ตามกลวธิ ขี องละครประยกุ ต์ (Applied
Theatreใ)นกแลตา่ล วะคคือรั้งกขาอรงปการระทยาํกุ กติจ์ใกชรล้ ระมคลระคเพร่อื จกะาเนรน ไปท่กี ารพัฒนาผมู สี ว นรวม เพ่อื พฒั นาจติ ใจ ความมนั่ ใจ
สแตบคพผรนนู้ววแัฒาเนวาสองนคมกคดงาิดาวคงคมราิดกอนมมทัเบงีพเี่ชหขเกผ้ื่หวนา็นยาู้ช็นใทจรใมท่ีใหศตแน้งั นึก้เลปกกทเษะญอาิดี่นาเงรหกกอคาาเิดชปิกดขรุมกนสอวจชิากงเื่อาคนตราสกรนรแมาลทาเลีรสอะะําะ่วงกหคสกนรผรัางะวรูอคจริบพ่วื่แนมะวมาลเนแกปรกเกลษปะเ็นาปะ็นหรสวชลลกวิจุื่มอ่ียะ่ราาชนทคะงรนรี่ ณเเพกรื่อิดวฝกมกากใรหันเผรหียมู านีสววริธนูจีแารกกว มไกขใานปรกรญจิับหกฟารงรทผมี่เูอกสื่นิาดมขเาก้ึนริดใถกนมาชอรุมงแชเลหนก็นอเคปยุณลาี่ยงคนมาี
วทจิ ำ�าหรณนญ้าาทณ่ีสเะกทิด้พอ้นืนทปป่ี ัญลอหดาภแัยลท้่จีวะไกด็เยปังด มใจุ่งรสบั รฟ้างงเกิดการแลกเปลี่ยนเรยี นรเู พ่อื การพฒั นา
กระบวนการทใ่ี หท้ กุ คนชว่ ยกนั หาทางออกรว่ มกนั ภาพท่ี 1 กิจกรรมเกมละครเพือ่ ละลายพฤตกิ รรม
อันจะก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงของชุมชนและ ภาพท่ี 1 กิจกรรมเกมละค(Iรcเeพ่ือbลrะeลaายkพinฤgต)ิกรรม (Ice breaking) ภาพท
ค
สังคม ซึ่งเป็นเคร่ืองมือหน่ึงที่สามารถนำ�มาใช้ใน
การสรา้ งจิตส�ำ นึกสาธารณะใหก้ ับเยาวชนได้
สาํ หรบั การออกแบบกิจกรรม จะเนนไปท่ีการเรียนรูผานก
จากการได้ทดลองใช้ละครกระบวนการ
(Drama Process) เพ่อื สร้างจิตสำ�นึกสาธารณะ รวมที่ตองมกี ารทาํ รว มกนั เปนกลุม ตองเกดิ การสรางวินยั ใหมใหเ กิด
ให้แก่เยาวชนชั้นมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนนาสีนวน
พิทยาสรรค์ จ.มหาสารคาม ซ่ึงได้เร่ิมต้นเข้าไป
ทดลองทำ�กิจกรรมละครกับเยาวชนระดับชั้น
มัธยมศกึ ษา ทีม่ ีต้งั แตร่ ะดบั ชน้ั ม.1-ม.6 จำ�นวน
1ภ0าพคทน่ี 1โกดจิ ยกรมรมนี เกสิ มติ ลชะคน้ั รปเพทีอื่ ลี่ ะ3ลาวยชิ พาฤเตอกิ กรรศมลิ (Iปceะbกreาaรkลinะg)คร ภาพภทาพี่ 2ที่ ก2ิจกกิจกรรรรมมเเกกมมลละะครคเรพเอ่ื พฝื่อกกฝากึ รใกชาจรินใตชน้จานิกาตรนาการ
ควคาวมามเเชช่ืออื่ แแลละะกการาเรคเลค่ือลนือ่ไหนวไสหรา วงสสรรร้าคง สรรค์
สําหรบั การออกแบบกิจกรรม จะเนนไปท่ีการเรียนรูผานการเลนสนุก เปนกิจกรรมที่เนนการมีสวน
24 เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน
ในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวจิ ยั ครง้ั ที่ 13 : สาขาท�ำ นบุ �ำ รุงศลิ ปวฒั นธรรม”
สำ�หรับการออกแบบกิจกรรม จะเน้น การพัฒนาสมาธิและความร่วมมือร่วมใจ
ไปท่ีการเรียนรู้ผ่านการเล่นสนุก เป็นกิจกรรมท่ี เพื่อนำ�ไปสู่การพัฒนาจิตสำ�นึกสาธารณะ
เน้นการมีส่วนร่วมท่ีต้องมีการทำ�ร่วมกันเป็นกลุ่ม ผ่านการเล่นบทบาทสมมติ (Role Play)
ตอ้ งเกดิ การสรา้ งวนิ ยั ใหมใ่ หเ้ กดิ การฟงั การสอื่ สาร จากเรื่องราวนิทานพื้นบ้านอีสานเรื่อง
และกล้าแสดงความคดิ และแสดงออกเพ่ือพัฒนา พญาคันคาก
งานร่วมกัน โดยใช้การเล่นเกมและกิจกรรมเพ่ือ
พัฒนาทักษะในดา้ นตา่ งๆ จากงา่ ยไปหายาก เริม่ การเล่นบทบาทสมมติช่วยให้เด็กได้
ต้นจากการละลายพฤติกรรม (Ice breaking) ทำ�ความเข้าใจกับประสบการณ์ชีวิตและความ
เพื่อให้ผู้มีส่วนร่วมได้ปรับตัว ให้เกิดการไว้เน้ือ สัมพันธ์ในครอบครัว เป็นการเล่นท่ีช่วยให้เด็ก
เชือ่ ใจกัน สรา้ งความเชื่อม่ันระหวา่ งผนู้ ำ�กิจกรรม สามารถขยายขอบเขตของการสมมติจากโลกแห่ง
และผู้มีส่วนร่วม ฝึกสมาธิ (concentration) ความเปน็ จรงิ ไปสโู่ ลกแหง่ จนิ ตนาการทไี่ รข้ อบเขต
ผ่านกระบวนการเล่น ฝึกการใช้จินตนาการ ในการเล่นแบบน้ีเด็กจะสามารถกระโดดเข้าไป
(imagination) ความเชื่อ (magic if) นำ�ไปสู่ “แก้ไข” ปัญหาในโลกสมมติได้ตามท่ีตนต้องการ
ความคิดสร้างสรรค์ (creativity) แบบฝึกหัดท่ี นอกจากนยี้ ังเป็นสิ่งชว่ ยพัฒนาทักษะการคดิ การ
เน้นการเคลื่อนไหว การทำ�ท่าทางลีลาเพื่อสื่อ ใช้ตรรกะเหตุผลในการทำ�ความเข้าใจกับเร่ืองใด
ความหมาย การเคลื่อนไหวอย่างสร้างสรรค์ เร่ืองหน่ึง ยังเป็นการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์
(creative movement) การพูดด้นสด (verbal นอกจากน้ียังมีนักจิตวิทยาหลายคนยืนยันว่า
improvisation) กิจกรรมท่ีเน้นการร่วมมือกัน การเล่นบทบาทสมมติช่วยพัฒนาการจำ� พัฒนา
ทำ�งานเป็นกลมุ่ การสร้างวนิ ยั ทางการละคร การ การใชภ้ าษา พฒั นาสตปิ ญั ญา พฒั นาการเขา้ สงั คม
แสดงออกในการวิเคราะห์วิจารณ์อย่างมีเหตุผล และพัฒนาการรับรู้ที่เกี่ยวข้องกับสังคมและเร่ือง
(discussion) เกดิ การฟงั การสอ่ื สารและกลา้ แสดง รอบตวั (ปาริชาติ จงึ ววิ ฒั นาภรณ์ , 2546)
ความคดิ และการแสดงออก เพื่อพฒั นางานรว่ ม
กนั เพอื่ น�ำ ไปสกู่ ารสวมบทบาทสมมติ (role play) นอกจากนี้การเล่นบทบาทสมมติยัง
ภายใตเ้ รอื่ งราวหรอื สถานการณท์ กี่ �ำ หนด ทงั้ หมด สามารถนำ�มาใช้ในการพัฒนาการเรียนรู้เฉพาะ
น้ีก็เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้ผู้มีส่วนร่วม ด้าน เพ่ือให้เด็กๆ ผู้มีส่วนร่วมได้แสดงบทบาท
ได้มีความพร้อมทั้งร่างกาย จิตใจและความคิด ร่วมกันและสามารถรับผิดชอบบทบาทหรืองาน
เพียงพอที่จะสามารถนำ�ไปสู่การแสดงออกทาง ท่ีได้รับมอบหมายอย่างดี โดยการเลือกสรรเร่ือง
ความคิด ความรู้สึก ผ่านการแสดงท่ีเป็นการเล่า หรอื นทิ านทจี่ ะน�ำ มาท�ำ ละครผา่ นการเลน่ บทบาท
เร่ืองความขัดแย้ง การแบ่งปนั ความทุกข์ ความสขุ สมมติ ควรจะต้องมีเนื้อหาพ้ืนฐานท่ีช่วยให้การ
ด้วยการทำ�ละครภาพ (Image Theatre) การ เรียนรู้ง่ายขึ้น และช่วยให้เด็กจดจำ�รายละเอียด
เล่นบทบาทสมมุติ (Role play) หรือแสดงสด ต่างๆ ได้ดี เป็นบทละครที่เน้นคุณค่าทางจิตใจ
(Improvisation) ในสถานการณต์ ่างๆ ปลูกฝังเร่ืองความถูกต้อง ศีลธรรม หรือปลูกฝัง
ค่านิยมในเรื่องที่ดีให้กับเด็ก (พรรัตน์ ดำ�รุง,
2547)
เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน 25
ในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย คร้ังท่ี 13 : สาขาท�ำ นบุ ำ�รุงศิลปวัฒนธรรม”
5
เป็นการกดข่ีทางความคิด เป็นการปลดปล่อยให้
ผู้ร่วมกิจกรรมเป็นอิสระ ช่วยให้ผู้เรียนเกิด
จติ สำ�นกึ ในตวั ผเู้ รียนเอง มีความเชอ่ื มนั่ ในตนเอง
และยอมรับฟังผู้อ่ืน (สุนทร สุนันท์ชัย, 2523)
ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ที่ไม่มีความรู้ เกิด
การเรียนรู้ เกิดความเข้าใจในตนเองและสภาพ
แวดล้อมรอบตัว สามารถวินิจฉัยสภาพและ
สง่ิ แวดลอ้ มของตนเองได้ เพอ่ื ปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลง
ตนเองภแาพลทะ่ี 4สกงั าครเมลน (บอทบนุ่ าตทสามมนตพิ (Rคoุณle ,pl2ay5) 27)
ภาพภทา่ีพ3ท่ี ฝ3 กึฝกกกาารรพดูดดดน้นสสดด(Ve(Vrbearlbimalpirmovpisraotivoins)ation) 5 ภาใยนใตกเริจือ่ งกรารวหรรมือสคถารนั้งกนาร้ีจณึทง่ีกไาํ ดห้นเลด ือกหยิบเอา
นิทานพ้ืนบ้านอีสาน เรื่อง พญาคันคาก มาใช้
การไดท ดลองสวมบทบาทเปนผอู ่ืนและไดแสดงควเานมื่อคงดิ จเหาก็นมขอีเรงื่อตนงรในาวเหแตลุกะามรีตณัวสลมะมคตริผทา่ีมนีคกวาารแมสเชดื่องม
และเม่ือการแสดงจบลงเด็กๆผมู ีสวนรว ม จะไดพ ดู คุยแสดงโคยวงากมับคดิวเิถหีช็นีวิตวิเขคอรงาชะหาวถองึ เีสหาตนุการเพณื่อต ใา หงๆ้ผู้มทงั้ีสใ่วนนเรรอื่ ่วงม
คเแหลวตากมุกเปเาปลรน ณี่ยไนปหคไรวดือา ปคมวญคาดิ หมเหาสตน็มาเรหงะๆตหทสุ วม่ีเา กงผิกดลนัขส้ึโนดงิ่ ใทยนด่เี ชดงึ ีว็กปิตๆญ ปไหดรเาะรสจียังํานควรมันูจเไขาดาก มเซไไอสราดดึ่งัานื่อขเ้ก้ลธรงจบาาอรยีะครรางนนดิเณวสปรรำ�ดวไู้ะะดไังปมหปโกเอบวปสลกา ทาู่เรงาปวยีบผส้าบนูาแใหหเทาํลทกมผะยีจิาูสรแบกยวาลรหมมเะรรรกานมื่ออืริจแำ�งถเกลทเกนรระยีาําื่อรเรบไดมงปพเ็กรไคเดัฒาๆทยีมวผียนงีขกูมบกาอาีสบัเจรงควชิตพลียนวี สูะดงรติ กำ�คควจับนมุรยรทึกงิ ่ี
ถือเปน หน่ึงในแนวคิดกระบวนการสรางจติ สํานึกของ เปาโล แฟร (Freire) ท่ีตอ งการใหเ กดิ การศกึ ษาอยา งเสรี
tion) ไผมูเรเภปยี านนพกเทอา่ี งภ4รากภมเพกราดทคี ยอ่ืาข่ีวใร4งตท่ีาเรกเลมราาา่นอื่วงรเงชเบหครลอ่ืาทรวน วือมบาบหทมสั่นราบือถคทใาสนาดิสทถนตสมาเกนมนมปกมาเตนาตรอริณิกณง((RRแา์ททooรล่ีกlกี่ elปําะำ�eหpยหลนlpอaนดดlyaมดป)yรล)ับอภฟยางยใผหใตูอผ้่นื ูรว(สมนุกทินแจกรนิทรสวารนุนคมนั เพิดปทื้นนชจบัยอิต,ิส้า2สรน5ะำ�อ2ชน3ีสว)ึกายซนใสึ่งหจาผะเธูรเเรปื่าอียน รงนเคเณกรพ่ืิอดะงจญทมิตีื่อแสาทําฝคน่ีชันงึกวคยใอนใายหตกู่ผัวในู
นและไดแ สดงทสค่งิ่ีไวมแาวมมดีคคลวิดอาเหมมกร็นขาูอขรเกงอไตดิดงนตก้ทนาเดอรใลงเนรไอเดยีหงนตเสพรุกวูอื่ าเมปกรบณิดรทับคสบปวมารามมุงทตเเปเขิผปลาา็นใ่ียนจนผกใแู้อนาปร่ืนตแลนแสงลเตอดะนงงแเอลงะแเสลรภ่ืะอาสงพงัรคแามววดนท(ลอิที่บนุอารมตนรารพพอน้ืนบบพบตุรคัุวษ้าณุ นแส,ตา2เม่ง5ปาแ2็นร7ลถร)ะวูปเินแลิจบ่าฉสบัยืบขสอทภงาอกพดาแตรล่เอะลๆ่า
จะไดพ ดู คุยแสดไงดค้แวสาดมงคในคิดกวเหจิาน็กมรควรเิดมคเครหรา็นง้ัะนหข้จีอถงึึงไเตดหเนตลใกุือนากรเหหณยตตบิ ุกา เงอาๆรานณทิทง้ั์สใานมนเมพรอ่ืต้นื งิบานอกสีันามนาเรม่ือีจงุดพปญราะคสนั งคคา์เกพม่ือาสใรช้า เงนคื่อวงาจมาบกมันีเเรทื่อิงงรทาว่ียัง
ชลตวอมกปปใีย่ีวสิตารจๆิลญตนาํนปบัใไนอขแนหทิดฟรกึยปอเตาาะงรขใลงสนนจผหียอชงงัพําูอเนผตงคาอวน่ืน้ื ูรรวนมงันเบูจวปอแเเ(ไอขสมาาีสาลจแเแมอเอดกไเปกกคถสแผ(นางรคกุนโติาะลนจียพรFดแลมือ่นึััิา่วร่อจนเบงวรทซิจน่ืสอสดุาrะวรยล้มาง่ือนนวเะีสกeาึ่งกรโเแงําภป่ือมคงรหขะพงหคดีกกจาเกรiมดรนรฟราrิดงีารมบตสสพนตยว่ดิำe�ายรตีราาวึกาสระพรจัือุนังวคไ่ืมอรวาุมมร)กรขกดนนุาวกสสมคเมิตลแหันดิ(เยแนใพรอวรเแดึาิาทิงงFทาปมวจสวทหะปรนเทถอ่ืสะดงคธไปลรrูดัารงาหดะาะดาํคลง่ึ่ีิตผนeดงนบชาดัง(เจนณกณัะญคนไนหลอทพโตรระiกูยัม้ออ้วงพะดrพอลเนุุณอึกทคยวพ่มี์คอื่์eตุห,ลสหีินซสดสงเพ้ญก้ืน่าาสมตว่ีแบีรป)สแม2ื้ก่านะ่ึางรวม็กกางาวบทดูาาาราล5รวลททีนกคืะอางนผสบาๆสผมธคอาาไ่ีค2ะกรๆ่ตีบวากนรนูปรังแดาใงนาแชนัเล3บใยุเราสอเาาหพวคาํชคนลเรัญมหวอล)คปผมเตแรทรงกมรื่ณวอผคมะปยทีส่อื้ซะาเียกดู้สมัสา้วเลหใจิาเไกูแุณสรใกเชาิดนั้ะนึง่กสงงาป้ินดมด่ิกี่ีสงยหขาวลินดาสจื่ทจอรใ,กรโาาบรลทนรงม้ตา่นมวมผะาเอนะใกติไูม่แี2รามคนรปนัอมหาน่ีร่ปูเมากาเเคครกแา5สเฝโมรปใดวตาูนงเรปเงาิจเราขรยวรว2ชสาทกี�งำยแาปรสอ็นถๆกวขร่ื่วอดัศกาแง7าอสนดดิลมิงนถรรวสนเถเบมมกๆเ)รบึกมงยนคใกงะกึยีรกคเมนูเทวําัเรบคหคกทษใูจพบรคเื่อณาบขลลินดิไบำ่ียด�มนถว่ืิิอดรว้ดบผปง่ีิเอื่าดไอาขเื่อกิเจงัไ็ทกนไิกศถทจืองาจดหนู้อรรลเงเปแอเดมรฉๆทิีมทกึอบิชาดียห่มวตะเ้ิสยเน็งฝรมงัยเเใปกผษีืราาอวบีมยาสขปหเทัย็มนเ่าสงกีสกดชีินตูมยมปว็ททนาบ้ึหไํนาขกงทาศวียราภาวน็กอเิีพีเขสนนเี่็อชโรเนหิ่จาใ่สีะรครบรดรสาแคลยะๆอวอืนึกงนื้วังรทกเะ่ือหนพไรวพรเีาลยภเนลเยงู้ผใบจปทชแคายดงรธทีงู่ึงวแดนงะชัยรใาผู้ะรีนฟาวราขเอา็กียใไไ่กายีหลคานวตธสเานหนมิ้มูมใตอดกนๆำ�รงงบับรวมระุผยันํววราอคี์์่้ใแื่ออรเีูหพีสคิดลมีงสเียราแะรชหานะงเลากแแวมตคชศคสานน็ยกพะวตฒัาฝหราะ่วนอาเาถับุครททเิวง้ัรวทงาึง้สสุษงนพชอ่อืตอขชอี่ไธวมบ้แอู้เวีนัธนยื่งอวิธัดดนถิศีสพิตเรลนร์้ไดรใาชีมาชตีเพารจด่ืรหอ้กรงใน้ีววสื่าอจนญพรมหนแมเผลติตยิทนกนิงแอไกต้เบทิกูทามาั้งขาาหดลคาถาอคแาุ่น่ีเีราส้อานคว้รกเ็ชนะงึงันตกนัุษรวิสปนคาวจปย่ีๆยนคคถจาคทนมแาัย็ินดพึงึวัจรดะรวะึงามเรำตข�เอขแองั้ยจปนื้วกนาภปถวแอมงออนัลึดิถบุยํามนมืับ็นยหอแงดงาไเะถ่ีชาอนัเไปปเธ้งกเลาตีขหลืคอีงดดวคยแรัสนบน็จะนดิ่ืตขอตขูา็ลกรลรเูนเชมอีอนป่ืบกอิมอธๆลงมถีวีรสงไคิาบงรงนใธาิชตงึกดสมหมสรสาวธสปราแมาังก่วมมนวาือรศืบจตรคลกรน่ทามมาทรหเรจทมมิทะุาษจยปาบมเัทีุ่บเนชําเอรปเเอยะกง็เยนทรมนัานธึ่งอัภนน็นเด่ียอ่ืาวบวนาทปาียีพมูยตไวออวงหริใทาี่ม็นดมมกปขิชอีสยยนราทาีบ้แก้าปอนาญัู่ๆปขกณพพนรนกทางรแอมินรจญพยรกไกรก่ะบลงาะึดงะ้ัฒาดัรเับาคนสตะาเเกพเพยปริ้นปังวนนทชมพ้ังเาณมปถุนคทนแาีรวําราาใณิ่ทนน็นนมมิตีตธี่ี่
ยบหรือเทียบเควียัฒงกนบัธรชรีวมติ ตจารงิ ๆออันันจเะปนนํามไปรดสกเู ปทา หงภมมูายปิ เญ รือ่ญงากาเปรนพเัฒอกนลากั ษณข องแตละทอ งถิ่นที่จดจาํ สบื ทอดกันมาจากยคุ หนึ่ง
ไปสอู กี ยุคหน่ึง พญาคนั คาก ยังเปน วรรณกรรมทใ่ี ชเ ทศนในพธิ ขี อฝนและใชเทศนในพิธีแหบ ้ังไฟ การเทศนเพื่อ
ทานพ้ืนบานอสี ขาอนฝนเรมอ่ื ี ง2พลญักษาณคันะคาอื กเม่ือเกดิ ฝนแลง จึงจัดพธิ ีเพ่ือขอใหฝนตก อกี ประการหนึ่งไมวาจะเกิดฝนแลง หรอื ไมก ต็ าม
26 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน
ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวจิ ยั คร้งั ที่ 13 : สาขาทำ�นุบำ�รงุ ศลิ ปวัฒนธรรม”
เอกลกั ษณข์ องแตล่ ะทอ้ งถนิ่ ทจ่ี ดจ�ำ สบื ทอดกนั มา แห่งฝนมีหน้าท่ีควบคุมให้นาคลงเล่นนำ้� ทำ�ให้
จากยุคหนึ่งไปสู่อีกยุคหน่ึง พญาคันคาก ยังเป็น เกิดฝนแก่มนุษย์หากแถนไม่ให้นาคลงเล่นน้ำ�ฝน
วรรณกรรมที่ใช้เทศน์ในพิธีขอฝนและใช้เทศน์ใน ฝนกจ็ ะไมต่ ก โลก ก็จะเกิดความ แห้งแลง้ มีความ
พิธีแห่บั้งไฟ การเทศน์เพ่ือขอฝนมี 2 ลักษณะ ทกุ ข์ยาก อดอยาก
คือ เม่ือเกิดฝนแล้งจึงจัดพิธีเพื่อขอให้ฝนตก
อีกประการหนึ่งไม่ว่าจะเกิดฝนแล้งหรือไม่ก็ตาม - ความเชื่อเร่ืองพระโพธิสัตว์ เชื่อว่า
ก็จัดให้มีการเทศน์ก่อนเพื่อการขอฝนล่วงหน้า พระโพธิสัตว์คือผู้ที่จะเข้าถึงพุทธภาวะตรัสรู้เป็น
จึงน่าจะสันนิษฐานได้ว่าจุดมุ่งหมายในการแต่ง พระพุทธเจ้าในอนาคต พระโพธิสัตว์ตามความ
พญาคนั คาก กเ็ พือ่ น�ำ ไปเทศนใ์ นพธิ กี ารขอฝน เชอ่ื ของชาวอสี านทปี่ รากฏในเรอื่ งนค้ี อื เปน็ เทพอยู่
บนสวรรค์ เนรมติ กายเป็นคางคก จตุ ิลงมาเกิดใน
“พญาคันคาก” วรรณกรรมทอ้ งถิน่ อสี าน ครรภน์ างมเหสเี ทวี เพอื่ จะบ�ำ เพญ็ บารมชี ว่ ยเหลอื
ท่ีสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ความ ใหช้ าวโลกหลดุ พน้ ภัยแล้ง
เช่ือ และวัฒนธรรมประเพณีของคนอีสานตั้งแต่
ครัง้ อดีตจนถึงปัจจุบนั ซ่งึ ชาวอีสานเชอ่ื กันวา่ เป็น - ความเชอ่ื เรอื่ งนาค ชาวอีสานเชอื่ วา่ น�้ำ
นทิ านชาดก เนอื่ งจากพญาคนั คากคอื พระโพธสิ ตั ว์ ฝนเกิดจากการเล่นน้ำ�ของนาค และเสียงฟ้าร้อง
เสวยพระชาติเป็นคางคก บำ�เพ็ญบารมีเพ่ือช่วย เกดิ จากการทน่ี าคเอาหางตนี าค น้�ำ จะกระเซน็ ไป
เหลือมนุษย์โดยไปรบพญาแถนได้ชัยชนะพญา ถูกเขาพระสุเมรุเกิดเสียงดัง เรียกว่าฟ้าร้อง และ
แถนจึงปล่อยน้ำ�ฝนให้มนุษย์ได้ทำ�นา จึงถือเป็น ตอ่ มาก็จะท�ำ ใหฝ้ นตก
วรรณกรรมเพ่ือการสั่งสอนตามหลักพุทธศาสนา
ท่ีสอนให้มนุษย์ประพฤติแต่สิ่งท่ีดีงาม และยังมี - ประเพณบี ญุ บง้ั ไฟ หรอื บญุ เดอื น 6 ชาว
การสอดแทรกแนวคดิ เรอ่ื งความสามคั คี ดงั เช่นท่ี อสี านมคี วามเชอื่ วา่ การจดั งานประเพณบี ญุ บงั้ ไฟ
พญาคันคากเป็นผู้ประกาศให้คนและสัตว์รวม เพื่อเป็นการเตือนพญาแถนให้ทราบว่าชาวบ้าน
ตัวกันสร้างถนนหนทาง จับอาวุธขึ้นไปสู้รบกับ ชาวเมืองกำ�ลังเดือนร้อน ต้องการนำ้�ฝนเพ่ือการ
พญาแถนท่ีสวรรค์เทวโลก จนได้รับชัยชนะและมี ปลกู พชื และถงึ ฤดกู าลท�ำ นาแลว้ ชาวอสี านจงึ ตอ้ ง
ฝนตกลงมายังโลกมนุษย์ น่ันก็เป็นเพราะความ ท�ำ บง้ั ไฟ จดุ ใหพ้ งุ่ ขนึ้ ไปบนฟา้ เสมอื นหนง่ึ เปน็ การ
สามัคคี ท่ีสะท้อนให้เห็นว่าแม้สังคมชาวอีสาน ส่ือสารระหว่างมนุษยก์ บั พญาแถน
จะดำ�รงชีพอยู่ได้เพราะการพึ่งพาธรรมชาติ แต่
หากทุกคนในสังคมร่วมมือร่วมแรงช่วยกันคิด - อาชีพหลักของชาวอีสานคือการทำ�นา
ช่วยกันทำ� ปัญหาต่างๆ แม้แต่ปัญหาที่เกิดจาก การทำ�นาต้องอาศัยนำ้�ฝนลักษณะของฝนตก
ภยั ธรรมชาตอิ ยา่ ง ฝนแลง้ กย็ งั บรรเทาลงได้ ซง่ึ ถอื ไม่สมำ่�เสมอบางปีน้อย บางปีมาก บางปีก็ท่วม
เป็นคติธรรมท่ีสอดคล้องกับหลักการมีจิตสำ�นึก เม่ือฝนตกดี สม่ำ�เสมอเป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน
สาธารณะต่อสงั คม ชาวอีสานก็มคี วามอุดมสมบูรณ์เมด็ ข้าวทไ่ี ดก้ ็เม็ด
ใหญ่ เมอ่ื ฝนแลง้ เมด็ ขา้ วกเ็ ลก็ ไมส่ มบรู ณเ์ พราะฝน
ความเชื่อ ประเพณีและพิธีกรรมที่ปรากฏ ทิ้งช่วงต้นกล้าเกิดการชะงักการเจริญเติบโต และ
ในนิทานพื้นบ้านอีสานเรื่อง พญาคันคาก อีสานน้ันมสี ภาพแล้งมาตลอดจนถึงปจั จบุ ัน ชาว
อีสานเช่ือว่าเดิมคนอีสานสามารถติดต่อกับแถน
- ความเชื่อเรื่องแถน เช่ือว่าแถนคือเทพ ได้ ปัจจุบันติดต่อไม่ได้เพราะชาวอีสานประพฤติ
ปฏิบัติส่ิงที่แถนไม่พอใจ อีสานจึงประสบความ
แหง้ แลง้ จงึ พากนั จดั พธิ บี วงสรวงออ่ นนอ้ มตอ่ แถน
การสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมท่ีเลาขานตอกันมา นิทานพื้นบานอ
หายไปตามกาลเวลากเ็ ปนได
ในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลยั มหจาสาากรคมามุมวมิจเัยอมคงอื่ รง้ั ไแทด่ีลเ1อข3ะกอสท:มาสรัศาูลปขนรปาะทคกญ �ำ อตนหบุบิขกำ�าาอรดรงุ งนศงั ลิเำ�กเยปสวลานฒั าอวนผวชธลมรนงราามคนแ”นลยว ุค2กป7็มจาจสุบขู ัน้นั 7ตนอํานเขร่ือองงกเกาารมสาร
สามารถสือ่ สารกับผคู นในยคุ ปจ จุบันไดอยางเขาใจ โดยตั้งประเด็น
แมวานิทานพื้นบานอีสาน เร่ือง พญาคันคาทกี่ตจอะงถกูการเลใหาผสชูืบมตไอดกร ันบมหาลชังาจนากาชนมเลปะนคนริทอาอนกทเปี่มีนคว3ามประเดน็ ดวยกัน
ตสไbดlืบ่าพเใo้ปทกงคgิทๆลนำ�้นsยชจนpเาิดาํมมสาoนก่อืรมtาวับ.รcกีขน2วคo้มานิถ3mกวชีาอ็เกยวีกย/ปิติ2มเน.นคพขา0ท.อก่ือ0(6ี่นงทใบ8ชา0หี่มแาา/)้แวง0ปารถอล9:าสีนก/ยาhพ2ใไนจมt5อtมวเp4คาใา:จเกย2/ยไท-/าด5ชี่สcวย8าชดุhนิ ว8นaมแออ-l1ตาiีสสี0กจ.าhา7อานนtกน0mรจก1ุนบlาะ/ใ.ราหงสรมาํ จูรในสสเกัวกจพปว่ังิดสคนญจอสมหจาบิ่งุบคนไดถันันด321ง่ึ าีๆค...3ขต้ มกเเอาเ.รนพพพลกเงะขพกั่ือ่อืั่ือบสห้ึนไเอใสื่ใเมงัรนหหใคืบใคียรนหักรยเูจนสมยูจสไถเ้ักาชายดักัทงงึนพว้ั ายทหคชส่ีเญมวินรี่มมนนาชัธอื่าไามมยไ้านดแงทดทมจีาฟรมถ่ไี้รศิตาี่ขปนงจี ถวเกึสอติขพหนเรษํางอสปูทิจนรรตาง�ำน็ือักาึานปนโรนะหวสรเรกึูจาอหพงนะมสักเธงน้ืาเงึ่รีพปาานกกบียใรธรณิทน�ำนทาณาะาลนกบีรุกเะนงัอาพณุญาคตทเรสีณรอะบนเ�ำาีน่ือปตสีบัง้ใในวงไหนน็งัอุ่ญเนฟนคร้ ี้อ่ืมงไพดตญราะคหนั นคักา
บัง้ ไฟ เพอ่ื แหขอฝน แตไมเคยไดไปเห็นดวยตา และไมเคขยสอรังงูถคสงึ มังทครม่ี ่วมามททม่ีไ่สี ปือาขรมอ่วางมรกถแาเรปงจนใัดจหปกนรันง่ึะกเพาํสลณังังคีนทมขี้ ําึน้แใหมลเาะกชซดิ ุมง่ึสหชิ่งานดกีๆขไขอมนึ้งมใีนสังคมได เพร
กากรารสสรืบ้าสงานสมรรรดคกท์ลาะงควรฒั รน่วธรมรสมมทัยี่เลาเขราื่อนงตอพกญันมาา นิทสาตังนนคพกม้ืน็จแบะลาแะนชขอ็งุมีสแชรานนงขเอรงื่อตงน“กพจ็ ญะแาขคง็ันแครางก” ก็อาจจะเลือน
คันหาคยาไปกตามกาลเวลากเ็ ปน ได
แเมมว้อ่ื ่าไดนขทิ อ ามนลู พปื้นญ บหา้ านดอังกสี ลาานวมเรา่อืแงลว พกญม็ าาคสนัขู นั้ ตอนของการสรางสรรคบทละครเร่อื ง พญาคันคาก ท่ีเลา
คาจกากจมะุมถมูกอเงล่าแสลืบะทตั่อศนกคนั ตมิขาอชงา้ เนยานวชเนปค็นนนยทิุคาปนจทจุบ่ีมันี นําเรื่องเกามาเรียบเรียงเลาใหมใหมีความรวมสมัย คือ
ควสาามมใากรลถสช้ ือ่ดิ สกาบั รวกถิ ับชี ผวี ูคติ นขใอนงยชคุ าปวจอจสี ุบาันนไมดาอกยทางสี่ เดุขาแใตจ่ โดยตั้งประเด็นใหญในการเลาเร่ือง หรือสาร (Message)
ไโจวรด่าาทงฟ้เกเยี่ตรังกาอียาวงหนรชกรนสนาือร21าำ�อรใส..รีสหู้จเเวนี พพาผักจวนูชอื่่ือนสนมรใสิทอหพ่นุไบื าดบรทิใสนรูจหถายบักัเมนาราหทม่ือเใ่สรลมี่นงนรื่องัานปรักจงทคี้ัจราเ่ีไเา์รจกปปวียกชบุขน็นนมเ็อันปทิจลชงำ�าน็ปะั้นกนนคทรลมพวะรี่นับัธน้ืนเอา่พเยบนคแอณมา้อปยกนศีบยไเลอปึดุญกมกสีน้ยษาบใานิกจาั้ง3นไเฟปร่ือระงเพดน็ญดาวคยันกคันาก
แถบไมหึงาสข่รทง่ของั ู้จรอคี่มงกัาสมฝายพงัแนทไคญลมี่ไม3ะปแ่เาช.คตทแขมุเย่ไถอ่ีสพชมไานงอ่ืดนเ่มกใคย้ขหารายอนิรจู้เรยไถงักมจดตาเวาัปดวไ้นา่กปชนปกม่อนเหจ็รหปีนมะนะ็นรจีแเ่งึ บะพิตดกขา้เสาํ็งว้ณพงแลาํยรณีนรนังตจู้ ทงกึ้ีขบีากั าํส้ึนุญพใาแหมธญบลเาาก้งัะารดิไไคณซฟมสนั่ึงะิ่งเ่ หคคตเดพาอาีๆย่ือกกสขรู้งั้นึ คในมสไังดคภตมารไพะดทห บเ่ีนพ5ทักรนลราถทิภ่วะะาาึงมนพคอหหกพทรสีานน้ื่ีนัเาก5ปบาวนทราทเิดวนคกุเี่ขมเอรรรคกีสอื่อาอื่นันาะงงนวงใหตเิดพนคเโ์นรรวคญส่อืาเยรงังะอางขหคพคงเโบมญรนัคใือ่วรารคนงคงนว าเันกรมแกนคื่อามหงาิทรกอื ปาเรปนรว พนะมเ้ืนสแพบวรณงน้าในหบีจกนญุ นั่ึงบั้งไฟภาพโดทย่ี 6มรชีว มาก
ไม่มีการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมที่เล่าขานต่อ
กันมา นิทานพื้นบ้านอีสานเรื่อง “พญาคันคาก” กบั หลานเซียง เดนิ รงั้ ทายขบวน เดก็ ชายเซียงเกดิ สงสัย และตง้ั คําถา
ก็อาจจะเลอื นหายไปตามกาลเวลาก็เป็นได้ ไฟ ทําไมถงึ ตอ งมาแหขอฝน แลวทําไมตอ งมาบูชาพญาแถน และพญ
เร่อื งราวของพญาคนั คาก ทมี่ เี หตจุ ะตอ งขึน้ ไปรบกับพญาแถนบนสร
เมอื่ ได้ขอ้ มูลปัญหาดงั กล่าวมาแลว้ ก็มา ชาวเมืองลืมสักการะบูชาตนเอง จึงปดปลองน้ําไมใหนาคไดขึ้นไป
สู่ขั้นตอนของการสร้างสรรค์บทละครเร่ือง พญา เวลานานถึง 7 ป 7 เดือน 7 วัน สรางความแหงแลง เดือดรอนไ
คนั คาก ทเ่ี ลา่ จากมมุ มอง และทศั นคตขิ องเยาวชน ประกาศทารบกับพญาคันคาก วาหากสามารถทําใหพญาแถนตกลงจ
คนยุคปจั จบุ ัน น�ำ เร่อื งเก่ามาเรยี บเรยี งเล่าใหมใ่ ห้
มคี วามร่วมสมัย คือสามารถสอื่ สารกบั ผคู้ นในยุค
เปลัจา่ จเรุบือ่ ันงไดห้อรยือน่าทิภสงาาานพเขรพท้า้ืน่ี 5(บใMจรา วนมeอโกสีsดนัาsนวยaิเคตเgรรอื่ั้งาeงะป)หพรโญทคะราีต่เงคดเันอ้ร็นค่ืองงาใกกหาญรใ่ใหน้ผกู้ชามร โลภกาภพมาทนพ่ี 6ษุ ทรยี่ว6มดกงั รันเว่ สดมริมากงันสพรสญรรคา้าบงคทสลันะรคครราครก์บวมจทสงึลมระัยบั คเครร่ือรําง่วทพมา ญสาแมคลยัันะคเาเรกรอ่ื ียงกรวมบรรดาบริวา
พญาคันคาก
กอบไดันสีญุกไเเช้รรวฟาาับบับื่อลนวหทงั้งหาเเรลไมนํารลฟาาไอื่ือาังวม21นนงงจขบถเ.ล.ถอาซงึพทืมึงกตงเยีเลญพสพพงชอ7ะักญ่ืมองา่ือเคมกดคปลสารใานิาันคเะืหบแปร7รนัคค้สรหะ้ังดคราู้ทจบขาเเากรดัาอูนกชกออื่ือยฝาทเองขนทตรนด่ีมกบ่ือมี่นว7แเาวงีเเยปหลอนทรขว็นวตงาี่บไัเนทุจวดปจว3ําะน็กสนึงขไตชปิมทรแอปอาาตดหางงยรงอปปนขปคเะงซลึ้นรพเวมรยีะดอไาื้าะนปเงน็มงพบเเรบนกแดพชูณบ้ํา้าิดห้วาณกไีบนสยพงมบัญุแงีญใสพลหบาัยญงนั้งแไแาบสเทแถเาฟดดแลคนหนุ�ำญือ็กถะไโ่ขกุ ดแดดตมนชบอสลขยรง้ัาบถั้งฝนคึ้ะอนมยงึนไพาํนนาีชไเตฟสถปบซนาญไ้อราปวียเทแางวลมบมงทโลคลมงนกดาเยีุกนัสะ้กวปีับนนายหวคคทิดมรย้ํายรมัาวระำฝ�าสากรกรเียชรเไนงปคับะพคมววาสจแิดือหมาณเตวึัยงหหเใเลไท้บรอซคบีงตมาื่อํา้ิงแ้งราุญุเตนไแพงมพลนมซกดหเบราะรซถึ่มงล้วออั้งบาตยีงึไงยไยามะดตูั้งชงมฟาขรพกนอคาาง่บเวันงญําำพ�ดยสทมมวไนถังนินาปญนีปำ�ี้โพเแาุกรสลไซรแามถญ้งัมสูกะกิ้หงแนทกนถเาามแถ่ปพไา้ับแราึงนมหนยณรยนถตยุษพะ่ขออนอ้ีบายมเอบแนยยยงพญุ เียใลวมังเ่ปวาจณบลาไนะ่าางนทดยา้ังี ่ี
ประกาศทา รบกบั พญาคนั คาก วา หากสามารถทาํ ใหพ ญาแถนตกลงจากหลงั ชา งได กจ็ ะยอมปลอยฝนใหตกยัง
โลกมนษุ ยด ังเดิม พญาคันคากจงึ รบั คําทา และเรยี กรวมบรรดาบริวารสตั วนอ ยใหญ เชน นก หนู ปลวก มด ผึ้ง
สามัคคีรวมแรงรวมใจตอตัวเปนสะพานใหพญาคันคาก ข้ึนไปรบ
ภายหลังจากท่ีพญาแถนพา ยแพ ก็ไดสัญญาวา จะเปด ปลอ งใหนาคไ
28 เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน จุดบั้งไฟเพอ่ื เปน เคร่ืองสกั การะ และเปน สญั ญาณวา ฤดูฝนไดมาถึงแ
ในงานการประชุมวิชาการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวิจัย ครงั้ ที่ฝ1น3 :แสาลขะาทบ�ำ นูชบุ าำ�พรุงญศลิ าปวแัฒถนนธรนรมน่ั ”เอง ซึ่งถอื เปนกศุ โลบายอยางหน่ึงท่ีทําใหช
มาเปนอนั หนึ่งอนั เดียวกนั เพอ่ื ใหว ัฒนธรรมประเพณีอนั ดงี ามนี้สําเร
8
พญาคันคากคือใคร ซึ่งไดน้ �ำ ไปสกู่ ารยอ้ นเล่าเร่ือง
ราใหวขม อารงวพมญพาลคกันนั เคพา่อื กสรทา งี่มสีเะหพตาุจนะใหตพ้อญงขา้ึนคไนั ปคราบกขก้ึนับไปรบยงั สวรรค แตบรรดาสัตวนอยใหญตางก็มีความรักตัว
มพปไมาทสกลญ่พยลา่าอางัมงัวองแโสตัคในลถจําาคำ้�กยเทนีรไรมวี่ชมบจ็จนมางึ่ในทพวษุหแสเั้งาร้ยนมรสกงเ์าือวปรันัตคงวงลวน็ ไลสมแงัเดืมเใววลล้ขจลรสะท้ึนตราคักจี่อไคนนกปะต์าใาชเัวนนเรลวหเเะถยป่นมตบเงึนนืหอุเูชสพ7งล้ำ�ากะฝือรต็ปตพนานแอีะาจตเ7งนพอึงก พใไงญ็มเหามดีคกพา่ตจือวันแญึงกนาเถปมลาจน7คิดคง็บดิันปทคว่ีวายากลหมขาตกึ้นาสไยปัตวรเนมบื่ออกยคับใิดพหไญดญดาตแังานถงั้นนเหบจ็นนรแรไกดดตราัับวสัตชกัวยาตชรารนงบะๆคใกนร็ร้ัทงวนี่สมี้กุดพ็ไมลซมั่ึงงี
วนัภาสยรห้าลงังคจวาากมทแีพ่ หญง้ าแแลถ้งนเพดา อื ยดแรพอ้ กนไ็ ไดปสทัญกุ ญหาวั วรา ะจแะหเงปด ปลองใหนาคไปเลนน้ําทุกๆเดือน 6 โดยที่มนุษยจะตอง
พจรุด้อบม้งักไันฟนเพี้พ่อื ญเปาน แเถครน่อื ยงังสไกั ดก้ปาระกแาลศะทเป้านรบสัญกับญพาณญวาา ฤดูฝนไดมาถึงแลว อันเปนท่ีมาของประเพณีแหบ้ังไฟขอ
คบมหคดนัันัดงฝมรลเรนาคคังดดเชผาาปิแมา้าึ้งกกนลบงขอะไใพวรนึ้ ดหบันิว่าญไู้ชม้หหาปการนาาารพส็จรคึ่งกบญวะอัตันสยมยนัวาาคงั อพเแ์นมสดาถม้อลาวยีกนปยรกรวจนถรใกลนั ึงหคน่ัทัน่อเรเ์พญ�ำัยบแอเใพื่อตฝ่งคหสือ่เนบ่ำซ�้พชใรใรทง่ึ่นหญ้าหรถ้าวงดอื้ตาฒัสนาเกแแปะกสนถยลนพตธั นังะกรหาวโตรศุเลนน์นรมกโกใอ้ียูลปลหมยปบกรงพ้นใลาะรจหญยุษเววาพญอมกกยาณย่์ า อี งันหวตดนภัฒคี ีงภา่ึงวาพนทามาทพธ่ีทมน่ี ร7ทาํเสี้ รทใฉ่ี สาํห7มายี เํากชดรบสฉหจ็า้ังัตเาวรคลเกดบนับลุยี สอิมางวกตัยนกงขใาวหไผบัอน์รแปญคูสงสอ้ลยร นชถยวระังมใุมสใาาคนพหนรงชงลชญวสอกนตงุม่รยอารสชวตรไสูรวมัวมนณบืครเพปตวรลไป นคาลปอะสญจ์ตงะคมะ่อหพราเตาปรนรวัทไววนเปี่เปมมกยกน็แังสิดาสสรมขรระงวนึ้นัยรพงสํจาวาวเตมรนรรงิรําใื่อคจในนงาปนพจญจเรุบาื่อคันงันภเเลาคพพาาือ่ทก
ตา่ งกม็ คี วามรกั ตวั กลวั ตาย จงึ พากนั ลงั เลทจ่ี ะชว่ ย ผูชม อีกทง้ั ยังไดน าํ อัตลกั ษณของชมุ ชน และงานศิลปวฒั นธรรมทอง
เหลือ แต่ก็มีความคิดที่ว่าหากสัตว์น้อยใหญ่ต่าง พดู ทใี่ ชภ าษาอสี าน ซ่งึ เปน ภาษาทอ งถิ่น การนํากลอนลาํ พนื้ บานมาใ
เห็นแก่ตัว การรบครั้งน้ีก็ไม่มีทางสำ�เร็จ ท้ังสัตว์
และคนในเมืองก็ต้องพากันเจ็บป่วยล้มตาย เม่ือ เซงิ้ บัง้ ไฟ การใชเ สยี งดนตรีพ้ืนบานอสี านมาประกอบการแสดง การ
คิดได้ดังน้ันบรรดาสัตว์ต่างๆ ก็รวมพลังสามัคคี ละคร มีการเซ้ิงบัง้ ไฟ การฟอ นรําหนา ขบวนบุญบง้ั ไฟ การใชผ า ฝาย
ขร่ว้ึนมภไาปแพรรทบง่ี 7รกฉ่วับามกพสใตั จญวตน าอ่อแยตใถหัวนญเรจปวนม็นพไสลดตะ้รอ พับตวั ชาเปัยนน ชใสหะนพ้พะานใญไนปาทยงัค่ีสสันรุดวคงสาซวกร่ึงรค นักแสดง รวมไปถึงการนําแรงบันดาลใจที่ไดจากภาพวาดฮูปแตมอ
นภําเาอพาทสภี่ ่ือา8พพทฉืน้ ี่ า8บกฉาพานกญพมญาาแาเแถชถน่อืนมรรบโบยกกับงบั พเพพญอ่ืญาคชานั วคคยานั กเคบพานิม่กหเบลสงั นชนหา หงล ังทชาํา้ ใงหการแสดงละค
ภจขบอเอนมปอะันันนวเพผตนลนผ่ั้นาาซ็นัเฒงนยชูะีคูชัาํดกษดูุเหปงิ้ อปสเคมมวหแทีงผนบยอนิดางรัใญารสใ่ีลู้คจ์ัธงาอนึ่มปงชมะไดสมระังนญีกอชเซฟภลเนรงื่อทกีตจทพุมัใ่ึงนสา่อามพ้สีายีนาอ้กถรั้งชษําณณเงรดบื้น�ำกยาวงดชนือหาใเ้ังเรจังมเบีแซวทุหมอีไยเรรคเไใปดดุไ่า้ิงหาดสี็จั่ีดชพบ้นชวยี ปบดนฤบ็นิามเล่นบนกงกาญถสยีั้งมนดง้ักกขุลาํคัั้นตงาไึงีย่ิงไาอาบัูฝฟอุศไว่รไกซข้ฟองเแฟัตปสงชนสงโด้นึ่ึงาเงเกลลถชถอ่ืเพเรรพขนไมแปลาุักมบามนดนาอต่ืออ่ืราลน่นนษงชโาํ้ามพรฝฟรเใะยภสกนนณแยปพี ่หวานอ่างคาารรอ�้ำ น็้นืมถขเน้ยวษรไงรงพทยอมบึเงแณัรฒอแบแคาคอื่ ุ่กางแําวารทยพลลันปรชชนงหนๆาลงอู่สะะอ่ืหด้ญวมุ จรนอธ้วงบืคยบงาชก่วนเะหีสราถดสเลรไนูมชเ็ขไราึ่งพนิาอปปือกรัใดานบททมใม่ิจันแวนกนจกพ้สมวเ่ี่ีทปทเลมเกาากสนัาญญปำ�6ะี่ไรสรรดิ ปามนบดใง็นะนะญมขารหรหโาาุญจเํานแดน้ึทัยะนแเพาา้ชกบปทถํจกายี่มลศกวาลเณงั้ตรอาํ็นทนลิะ่รภวาาไอิงใําบื่ฟอปี่ี าหในนกนพงวกลากาัฒปวาํานพผราารจศกอจสสมจตเพนรแชูญรดแจะเละีิา้ใถราืน้ธกนส่ืมอรสชฮุบาเร้ราเปสาบดื่ทอปใทงดผูปปคนรันงนนรวางง้ัน็างุมงันนแค็นำ�้นาฒัชเกลพฝเยทกบตลกควพทงมุกมะาานัญองมาทเลาาอ่ืชยาสคาารปธงไกอมพอใสนารรนงณำจ�ถดรผ็ชนีสสรรนคนไวดูิทําหิ่นรใา้ น์ดปาาลู้สาันัลนอฒำลมท�ขามรงนดมำัะึญ�กัอนตคนำา�คทคใี่าับียมนาคอชวใงพใรไำ�พวาหอ้รงิ่าชกดกมภเ้ธั้ัรงาตนกถื้ขนื้นองวาใแามนาลารเถนึ้นลาาาบทบขขกษรรโี้ร้ชดพน่ิกนใั กอดมาี่าู้สาเสมิาดนเากบิมธนถงนีึกแยษปอรรดแคีทแิงึดทาเในมจ้นสีแาณรจลมั้กหรใองขผะวาสางฉ่ืชอิตั้ลงาเงะบ้ึน์ญขคในตสใด้าดวนถสงชเชั้งนิอจดกญิีงคาขิ่นิเรรมดิี้ไ้ซลกดลรอใ้ฟงารามวแญมอขง่ึนิง่าวีาะสงชถคาลามเีแอันาใรยกเปคาุเมึม์งะลาปนณปแนงไนานรน็หเเไเชะดนสปนขรชวขทมิทภัวซแนคด้แลาุใคเมอันจวียสาใาชึ่งลถกะงรงิดาจสจชษบถอ้ืนตึดงะชค่จรแุวใบนขือผหาบเนมุวพ้่บรนวะนลคอัาทนเัวยชททเมป้ืทนกหสโียะปงใอ้ไนุกดนไจนสาําผนบผงมงนงเมาหยขรทแพกญึ่กงมู้ถา้ชา่บวพว่จใรอลใาาับนนนิ่มัื่อย่ชาาาท่นบัยะะรงง้
อีสาน และบทกาพย์เซิ้งบ้ังไฟ การใช้เสียงดนตรี
พื้นบ้านอีสานมาประกอบการแสดง การจำ�ลอง
เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน 29
ในงานการประชมุ วิชาการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวิจยั คร้ังท่ี 13 : สาขาทำ�นุบ�ำ รุงศิลปวัฒนธรรม”
ภาพท่ี 9 ฉากละครท่ไี ดแ รงบนั ดาลใจจากภาพวาดฮปู แตม อีสาน ภาพท่ี 10 การใชผ า ฝาย ผาขาวมาของทอ งถ่ิน
มาเปนเสื้อผา สําหรับนกั แสดง
เอาพิธีแห่บ้ังไฟมาเป็นส่วนหน่ึงในละคร มีการ
เซงิ้ บ้ังไฟ การฟ้อนร�ำ หน้าขบวนบุญบ้งั ไฟ การใช้ 9
ผา้ ฝา้ ย ผา้ ขาวมา้ ของทอ้ งถนิ่ มาเปน็ เสอื้ ผา้ ส�ำ หรบั
นักแสดง รวมไปถึงการนำ�แรงบันดาลใจที่ได้จาก
ภาพวาดฮูปแต้มอีสานมาวาดเป็นฉากละคร ซ่ึง
ถือเป็นการนำ�เอาสื่อพื้นบ้านมาเชื่อมโยงเพื่อช่วย
เพิ่มเสน่ห์ ทำ�ให้การแสดงละครสามารถเข้าถึง
จติ วญิ ญาณของชมุ ชน และผชู้ มในชมุ ชนไดด้ ยี ง่ิ ขน้ึ
ภาพท่ี 11 การจําลองพธิ ีแหบ้ังไฟมาเปน สว นหน่งึ ในละคร ภาพท่ี 1ภ2ากพาทรเี่ซ1้งิ บ1ง้ั ไกฟากราจร�ำฟลอนอรงําพหธินาแี ขหบ่บวนั้งบไฟญุ บงั้ ไฟ ภาพ
ภาพที่ 9 ฉากละคมราทเ่ีไปดแน็ รสงบ่วนันดหาลนใงึ่จใจนากลภะาคพรวาดฮปู แตมอสี าน
สรุปผลการดาํ เนินกิจกรรม
หลงั จากที่ไดบ ทละครมาเปน ทเี่ รยี บรอ ย กเ็ ขาสูข้ันตอนของการฝกซอม ขัดเกลาบทพูด จัดพื้นท่ีการ
เคล่ือนไหวบนเวที เพ่ือใหการแสดงออกมาสมบูรณแบบมากที่สุด และเปดใหผูชมซึ่งเปนนักเรียน คณะครู
อาจารยโ รงเรียนนาสีนวนพิทยาสรรค ไดรับชมผลงานการสรา งสรรคละครรวมสมัย เรื่อง พญาคันคากในครั้งนี้
ท่ีก็ไดผ ลตอบรบั เปน อยา งดี จากการตอบแบบสอบถามของผูชมจํานวน 48 คน พบวาสาร หรือขอคิดที่ไดรับ
หลงั จากการชมละคร กค็ ือไดท ราบถงึ ประวตั ิความเชือ่ ของประเพณีแหบ ้ังไฟ ไดทราบถึงตํานานนิทานพื้นบาน
ปสพภงัราญคพะาทมโคี่ยน9ชันภาฉนคาอกพใายลหทกแูะจกค่ีลา9ไบัระกดทสมภฉี่ไขดังคีาาแอคกพวรคมงลาวบิดแมะานั ลใดคสดนะฮราขุ ลทเชูปรใ่ไีุมจแื่อดจตชาง้แม้กนกรภองขาาบีสรอพาันวไงนามดตดาเนฮหลูปเใ็นแอจตแงม กอแีสปลารนะะกโา9ยรชรนวสมมวนือภตราวพนภมทาี่ใ1พมจ1ทชอกี่ก1มวางา0ารยเรเจหภกปฟเําาหนา็ลนร้อเพอใลสวนชง้อืทือพาผรผ่ีาธิหกำ�า1ฝีแหสันนาห2าํ ยนบขาหา้ัง้กผรทอไับขาาฟ่ีงขขนบรมคาอกัเวาวซแนเงมนปสง้ิ าพใบนบดขนสงลญุอั้งสวงไเนบทฟังมหองั้คือนงไมถฟึง่งใิ่นจคนละือะเกคปรานรผสลรใาหง
ภาพที่ 1
แพศจลลระิลิภทิยคะปายพธดระทารํากที่สรเ1านมจ่ี1รตรินพะรกแลานคกื้นสอริําจจฐดดซไํากางรปลึ่งนรอะสคเงรยปสพกูณมะิธาานระแีเมรวโหวศตาลรบมิลรรง้งัากปไถะรเฟันรหดกวมียใมํารานนเรรนปกั 2งดมนรรตสาศะูใเนวดนนาดนใอืสศหหัหบนตนิลนอมง่ึรปาใขยัธนทะโอูใลยดนีข่กะงมยอคคกาครศรงณุานตึลกรธนจใะษรนัดเคราอชกรมใงุมิจนทรชกมจดี่ะนรคีังงีหรวสหเอทสพมเกาห(คมวปนามารล่ีก็เวารนื้าลมกขจกัปุ็นงั็ไัภดงสมทุื่ปรอร้าดาเจผานนมระบัีครสมพนผี่กาผลักียักบยทหวผกู่ขลไาบกนลเี่โาหเวิดั้นการตห1รรูารรมชนห2กเชวสาีอยตงลรียคณ้ันรกรอบกเลานบาดงัอนสูรลชามาบรจ์นังแราํรรรียนกึรม่ือธัคเจาตบัะเเบซนดลรขยนลคกนวาอ้ิงดเักนะอมบบะทปินำ�ทณกมไสับใคัง้าศคงหกีนมเไ่ีนทไวชสระเนกฟดึรกจิวนอถพา่ีไ้ันีนคาบษินักยบบกดยรนิ่กก่ือมวรารทาังวรากนค็้คบฐรนใฝทัธูทอ)มรงฟลาหือณเทิจพยึกดมไ่ีอําาสนวะไกดเนมใลทิีซกจาดทคกุชดจหรมาศจอ้ะยทาราํิดมุรีารสีเหึกคาามเรมกกกชแรพนวแสรษยาาานกิดสานมลขรยบเื่อ์มโรขาาขกปดรรรดับเแใถะราอรวรงคนโวงหเตึงลเเระนียมงอกเทปปป้กอตงบไะรบนใอลดเ่ี็รนเญุนบาีิยนดรรวกราะรรบกทแดนยีูเินสีใยมบบัวอแ้ังรบาบหี่เไินนตกตัาชงสทฟรนะบร้าสผนภิคามียบดคพออรสมวสู้าาชผบณุงวกียเูดาอสคบีนลอรมนรทมธีบนีกยวงูร้ออกวจรซั้งเาิวเ็ถชนณชรนายดักย่ึขงนนามา่ือรรังแากมูขสบาขอูขรบอง้ันสมปงรตผาราอูกชะงนเมทสพขรจี่สณอรําุดคงนแี
ปแตม อีสาน ภาพภทา่ี พ1ท0ี่ 10กากรารใใชช้ผผ้า ฝฝาา้ ยยผผา ขา้ าขวามวาขมอา้ งขทอ งงถทิน่ อ้ งถนิ่ กเ็ ขา สูข้ันสปพจรรพบวั่ตังร�ำญิทคมะนอเายปมโสนวคยานน็นมขชันสาออยันรคอ4ยงรใายเก8า่หรคกูแงาอ่ืก์ลดครงไบัไะฝีดนดจสพมกข้รางัคีญพซอับคกวอคบมากชามิคดแวมมาลในั่ารสผขนตสะขุคลัดเชอาารเงุมรกบกื่อาชลในแงหนนากบกรบคขาบอืารอรทรสขงั้ไงสพ้ออมนตรูดคบเี้น้าหทิดถเจง็นกี่อทาสัดแไ็งม่ีไรพดกดรขแื้นผ้ปร้คอลทลบั์ลรงะ่ีตกผะหะกาอโชู้คลายรบมรรังชรนวสมมวนือตรวนมใมจชอ
สรปุ ผลการดมาํ ามเเนาปเนิป็นน กเสิจือ้อกผผรา า้สรสํามห�ำ รหบั รนบักแนสกั ดแงสดง
หลังจากที่ไดบทละครมาเปน ทเี่ รียบรอย
เคลื่อนไหวบนเวที เพื่อใหการแสดงออกมาสมบูรณแบบจมาากกกทาี่สรุดตชลมแอลลดะะรคเะปรยดกะใเค็หวอืลผไาูชดรมท้วซมร่ึงา2เบปเถนดงึนอื ปักนรเะรขีวยอตันงกคิ คาวรณาจมะดั เคกชริจอ่ื ู กรรมกระบวนก
อาจารยโ รงเรียนนาสีนวนพิทยาสรรค ไดร ับชมผลงานการสแขรลอาะงงดปสํารเะรนคเินพลกะณิจคกีแรรหรรว่บมมั้งรสไวมฟมัยกไเันรดใอื่ ้ทนงดรพา บญนศถาิคลึงันตปคำ�ะานกกาใรนนลนคะิทรคั้งารนนี้ระหวางนักเรีย
ท่ีก็ไดผ ลตอบรับเปน อยางดี จากการตอบแบบสอบถามขอพพงิทผนื้ ูชยบมาา้ จสนํารนรพวคญน ซา4ึ่คง8เนั ปคคนนาโกรพงไบเดรวข้ียาอ้สนคารรดิะใดหนับรเือรม่ือขัธองยกคมาิดศรทึกไี่ไมษดเ่ารหใับน็นจังหวัดมหาส
หลงั จากการชมละคร ก็คอื ไดท ราบถงึ ประวตั คิ วามเชอื่ ของศปลิ รปะะเพกณารีแแหสบ ดง้ั ไฟคณไดะทศิลราปบกถรึงรตมําศนาาสนตนริทโดายนคพนื้นใบนาชนุมชน (นกั เรยี นชั้น
พญาคันคาก ไดขอคิดในเรื่องการไมเห็นแกประโยชนสวลนะตคนร ทม่จี อะนงเาํ หไป็นสวูกาหารนตารทะ่ีขหอนงกั พรลใู นเมหือนงาคทือขี่ กอางตรสนรเอาง มคี วามรับผดิ ชอ
30 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน
ในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลยั มหาสารคามวจิ ยั ครัง้ ท่ี 13 : สาขาทำ�นบุ ำ�รงุ ศลิ ปวัฒนธรรม”
แกป่ ระโยชนส์ ว่ นตน มองเหน็ วา่ หนา้ ทขี่ องพลเมอื ง ส�ำ หรับนสิ ติ ช้ันปที ี่ 3 วชิ าเอกศิลปะการ
คือการสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและชุมชนของ ละคร ภาควิชาศิลปะการแสดง คณะศิลปกรรม
ตนเอง และการร่วมมือร่วมใจช่วยเหลือกันของ ศาสตรเ์ อง กไ็ ดเ้ รยี นรกู้ ลวธิ กี ารสรา้ งละคร (Drama
คนในสงั คมจะเปน็ ผลใหส้ งั คมนา่ อยแู่ ละมคี วามสขุ Process) ตามแนวคดิ ของละครประยกุ ต์ (Applied
Theatre) ท่ีได้ใช้กระบวนการทางการละคร
ตลอดระยะเวลาร่วม 2 เดือน ของ มาเป็นเคร่ืองมือในการเรียนรู้ ทั้งทักษะพ้ืนฐาน
การจัดกิจกรรมกระบวนการละคร ยังทำ�ให้เกิด ดา้ นการแสดง ทกั ษะการสร้างละครเบอ้ื งต้น และ
กระบวนการเรียนรู้และดำ�เนินกิจกรรมร่วมกันใน ยังได้ฝึกเร่ืองการอยู่ร่วมกัน การมองเห็นความ
ด้านศิลปะการละคร ระหว่างนักเรียนระดับช้ัน แตกตา่ ง การยอมรบั ซง่ึ กนั และกนั อนั เปน็ พนื้ ฐาน
มธั ยมศกึ ษา โรงเรยี นนาสนี วนพทิ ยาสรรค์ ซงึ่ เปน็ สำ�คัญของการมีจิตสำ�นึกสาธารณะ นอกจากน้ี
โรงเรียนระดับมัธยมศึกษาในจังหวัดมหาสารคาม นสิ ติ ยงั ไดม้ องเหน็ คณุ คา่ ของการใชว้ ชิ าความรดู้ า้ น
กับคณาจารย์และนิสิตภาควิชาศิลปะการแสดง ศลิ ปะการละคร ไปสร้างประโยชน์ใหก้ ับเยาวชนผู้
คณะศลิ ปกรรมศาสตร์ โดยคนในชุมชน (นกั เรียน ดอ้ ยโอกาสในการเขา้ ถงึ งานศลิ ปะ ทจ่ี ะน�ำ ไปสกู่ าร
ชนั้ มธั ยมศกึ ษา) ไดม้ สี ว่ นรว่ มในกระบวนการ ละคร มองเห็นวิถีทางในการใช้ศิลปะการละครไปสร้าง
ท่ีจะนำ�ไปสู่การตระหนักรู้ในหน้าท่ีของตนเอง ประโยชน์ให้กับชมุ ชนและสังคมต่อไปในอนาคต
มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เกิดการเรียนรู้
ด้านคุณธรรมจริยธรรมพ้ืนฐาน สามารถดำ�รงตน แ ล ะ ถึ ง แ ม้ ใ น เ รื่ อ ง ก า ร มี จิ ต สำ � นึ ก
ใหอ้ ยใู่ นคณุ ธรรมทด่ี งี าม มคี วามรสู้ กึ รกั ในถน่ิ ฐาน สาธารณะต่อชุมชนอาจจะยังไม่สามารถวัดผล
ชุมชนของตนเอง อีกทั้งยังเกิดความภาคภูมิใจใน ได้ในระยะเวลาอันส้ัน แต่เชื่อว่าการเริ่มต้นให้
รากวัฒนธรรมของตนเอง และท�ำ ใหท้ ้งั เยาวชนใน เยาวชนได้ตระหนักถึงหน้าท่ีของตนเอง ในฐานะ
ชุมชน และนิสติ ไดร้ ว่ มกนั สืบสานนทิ านพื้นบ้าน เป็นส่วนหน่ึงของสังคม ก็น่าจะนำ�พาให้เกิดการ
อีสานเรอื่ ง “พญาคนั คาก” เขา้ ใจถึงท่ีมาทไี่ ปและ เปลยี่ นแปลงของชุมชนและสังคมได้ในอนาคต ซงึ่
ความสำ�คัญของประเพณีบุญบั้งไฟ อันเป็นมรดก ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการดำ�เนินโครงการกับ
ทางวัฒนธรรมท่ีทรงคณุ ค่าใหค้ งอยู่ ชุมชนทเ่ี ปน็ สถานศกึ ษา
เอกสารอ้างอิง
เกียรติศกั ด์ิ แสงอรณุ . (2551). แนวทางการพัฒนาจติ สำ�นึกสาธารณะสำ�หรบั เยาวชนไทย: กรณศี ึกษา
กลุม่ และเครอื ขา่ ยเยาวชนทีท่ �ำ งานด้านจิตสำ�นึกสาธารณะ. วทิ ยานพิ นธ์ ปรญิ ญาครศุ าสตร์
มหาบณั ฑิต สาขาวชิ าพฒั นศกึ ษา ภาควิชานโยบาย การจัดการ และความเป็นผนู้ ำ�ทางการ
ศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั
คมชดั ลกึ . (2549). ผลวจิ ยั พบเดก็ ไทยไรส้ �ำ นกึ สาธารณะถว่ ง “เศรษฐกจิ พอเพยี ง”. คมชดั ลกึ . 18 ธนั วาคม
2549.
ชยั วัฒน์ สทุ ธิรตั น.์ (2555). สอนเด็กให้มีจิตสำ�นกึ สาธารณะ. กรงุ เทพฯ: บริษัท วี พรนิ ท์ (1991) จำ�กัด
นิทานพ้ืนบ้าน เรื่อง พญาคันคาก. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://chali0701.blogspot.
com/2008/09/2542-588-1.html สืบคน้ เมอื่ 23 กรกฎาคม 60
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน 31
ในงานการประชุมวชิ าการมหาวิทยาลยั มหาสารคามวจิ ยั คร้ังท่ี 13 : สาขาทำ�นุบ�ำ รุงศิลปวัฒนธรรม”
ปารชิ าติ จงึ ววิ ฒั นาภรณ.์ (2546). รายงานผลการวจิ ยั เรอื่ ง การใชล้ ะครสรา้ งสรรคใ์ นการพฒั นาผเู้ รยี น.
กรุงเทพฯ: พัฒนาคุณภาพวิชาการ.
พรรตั น์ ดำ�รุง. (2547). การละครส�ำ หรับเยาวชน. กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
ราชบณั ฑติ ยสถาน. (2525). พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542. พมิ พค์ รงั้ ที่ 17. กรงุ เทพฯ:
ส�ำ นักพิมพอ์ กั ษรเจริญทศั น์.
หฤทยั อาจปรุ. (2544). ความสัมพนั ธ์ระหว่างปจั จัยส่วนบุคคล ภาวะผูน้ �ำ รูปแบบการด�ำ เนนิ ชวี ิต และ
ความสามารถในการเรยี นรูต้ นเอง กับการมจี ิตสำ�นกึ สาธารณะของนกั ศกึ ษาพยาบาล ในเขต
กรงุ เทพมหานคร. วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญามหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการพยาบาลศกึ ษา คณะพยาบาล
ศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
อุ่นตา นพคุณ. (2527). การเรียนการสอนผู้ใหญ่เพ่ือพัฒนาทรัพยากรมนุษย์. กรุงเทพฯ: กรุงสยาม
การพมิ พ.์
กล่มุ ชาติพนั ธุก์ ับภมู ปิ ญั ญากระติบข้าวอสี าน
ปฐม หงษส์ วุ รรณ1, บญั ญตั ิ สาล2ี , อัจฉรี จันทมูล3 และน่ิมนวล จนั ทรญุ 3
สถาบันวจิ ยั ศลิ ปะและวฒั นธรรมอสี าน มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม
บทคัดย่อ
การดำ�เนินโครงการครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ ศึกษาภูมิปัญญาการผลิตกระติบข้าวในกลุ่ม
ชาติพันธุ์โส้ กะเลิง และภูไท กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเจาะจงคือ 1. กลุ่มชาติพันธ์ุไทโส้ บ้านบอน
บ้านโคกม่วง ตำ�บลนาโพธิ์ อำ�เภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร 2. กลุ่มชาติพันธ์ุไทกะเลิง บ้านกุดแฮด
ต�ำ บลกดุ บาก อ�ำ เภอกดุ บาก จังหวัดสกลนคร และ 3. กลุ่มชาติพนั ธุภ์ ูไท บา้ นกุดบอด ตำ�บลสงเปลือย
อำ�เภอเขาวง จงั หวัดกาฬสนิ ธ์ุ เคร่อื งมือเกบ็ รวบรวมข้อมูล คือ แบบสมั ภาษณ์ และน�ำ เสนอข้อมลู แบบ
พรรณนาวเิ คราะห์
ผลการวิจัย พบว่า กระติบข้าวของกลุ่มชาติพันธุ์ไทโส้ ไทกะเลิง และภูไท เป็นมรดกแห่ง
ภมู ิปัญญาดัง้ เดิมทางศิลปหัตถกรรมพื้นบา้ นทท่ี รงคณุ ค่า ต้ังแตก่ รรมวิธกี ารสาน ลวดลาย และรูปทรง
ท่ีเป็นเอกลักษณ์ สืบสานผูกพันกับวิถีชีวิตการบริโภคข้าวเหนียวของคนอีสานมาอย่างยาวนาน
ส่วนประกอบของกระติบขา้ วประกอบดว้ ย สว่ นฐาน ส่วนกน้ ส่วนตวั และสว่ นฝา วสั ดอุ ปุ กรณ์ในการท�ำ
กระตบิ ข้าว ไดแ้ ก่ ไม้ไผ่ไร่ ไม้ไผ่บ้าน เสน้ หวาย มีดโต้ เลื่อย เหล็กซี เชือกไนลอ่ น กรรไกร ดินสอ คมี ตัด
ไม้ก้านตาล เครื่องเหลาตอก ถังอบกระติบข้าว ขเ้ี ลอ่ื ย ข้นั ตอนการสานกระตบิ ข้าว เลอื กไม้ไผไ่ ร่ อายุ
ประมาณ 10 เดือน ถงึ 1 ปี ใช้เล่ือยตัดข้อปลอ้ งหวั ทา้ ยออก แล้วผา่ ไม้ไผ่ออกเปน็ ซีก แล้วจกั ตอกก่อน
นำ�ไปเหลาด้วยเคร่ืองเหลาตอกให้เรียบและบางที่สุด เริ่มสานขึ้นรูปทรงตัวกระติบข้าว จากน้ันสานฝา
และก้นกระตบิ ข้าวด้วยไม้ไผ่บ้าน แลว้ ตดั เป็นวงกลมและน�ำ ไปร้อยเย็บเข้ากบั ตัวและกน้ กระติบขา้ วด้วย
เส้นหวาย เสร็จแล้วนำ�มาเจาะรูที่ฐานของกระติบข้าว เพ่ือทำ�หูร้อยด้วยเชือกไนล่อน นำ�ไปอบรมควัน
เพือ่ เคลอื บผวิ กระตบิ ข้าวจนเป็นสีน�้ำ ตาลอ่อน ท้ังนเี้ ป็นการปอ้ งกนั มอด แมลง และเช้อื ราได้เป็นอยา่ งดี
ขั้นตอนสุดท้ายนำ�กระติบข้าวออกจากถังอบรมควัน จะได้กระติบข้าวท่ีสำ�เร็จเรียบร้อยสวยงาม พร้อม
ใช้งาน
วถิ วี ฒั นธรรมภมู ปิ ญั ญากระตบิ ขา้ วของกลมุ่ ชาตพิ นั ธโ์ุ ส้ บา้ นบอน บา้ นโคกมว่ ง อ�ำ เภอกสุ มุ าลย์
ชาตพิ นั ธก์ุ ะเลงิ บา้ นกดุ แฮด อ�ำ เภอกดุ บาก จงั หวดั สกลนคร และภไู ท บา้ นกดุ บอด อ�ำ เภอเขาวง จงั หวดั
กาฬสินธุ์ ได้ร่วมถ่ายทอดความเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตนให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ แม้ว่าในสังคม
ปัจจุบันกระติบข้าวจะถูกนำ�มาประยุกต์ดัดแปลงอย่างหลากหลายรูปแบบ เพ่ือให้สอดคล้องกับความ
1 ผอู้ �ำ นวยการสถาบนั วิจยั ศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม
2 รองผอู้ ำ�นวยการฝ่ายวิจัยและวิชาการ สถาบันวจิ ยั ศิลปะและวัฒนธรรมอสี าน มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม
3 นักวิจัยชำ�นาญการ สถาบนั วิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน 33
ในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวจิ ัย ครั้งท่ี 13 : สาขาทำ�นบุ �ำ รุงศิลปวฒั นธรรม”
ต้องการของคนในยุคดิจิทอล แต่รากเหง้าของวิถีวัฒนธรรมภูมิปัญญาด้ังเดิม จะยังคงสืบสานคุณค่า
เอกลกั ษณอ์ นั งดงามนไ้ี ว้ ใหส้ ามารถด�ำ รงคงอยสู่ อดรบั กบั การเปลย่ี นแปลงของสงั คมในปจั จบุ นั ไดอ้ ยา่ ง
ลงตวั
ค�ำ ส�ำ คัญ: กลุม่ ชาติพนั ธ,์ุ ภูมปิ ญั ญา, กระติบขา้ ว
บทนำ� แต่ละท้องถ่ินเท่านั้น แต่ยังได้สะท้อนให้เห็นถึง
สภาพทางภูมิศาสตร์ ฮตี คองประเพณี ความเชอ่ื
ไม้ไผ่เป็นหัตถกรรมเก่าแก่ของไทยที่ ถือ และวัฒนธรรม-สังคมของแต่ละท้องถิ่นความ
ทำ� สืบต่อกันมานานหลายร้อยปี เอกลักษณ์ งดงามทสี่ ะทอ้ นถงึ วถิ ชี วี ติ ของสงั คมนนั้ ไมส่ ามารถ
ภูมิปัญญาในการสร้างสรรค์รูปแบบและลวดลาย สร้างขึ้นได้ในเวลาอันส้ัน วัฒนะ จูฑะวิภาต
ในงานจักสานไม้ไผ่ เป็นงานท่ีมีคุณค่าแต่ราคา (2545: 81) กลา่ วไวว้ า่ การท�ำ เครอ่ื งจกั สาน เปน็
ไม่แพง เพราะวตั ถุดบิ หาไดต้ ามท้องถิ่น และไมม่ ี งานฝมี อื ทตี่ อ้ งอาศยั ทง้ั ความอดทน ประสบการณ์
ข้ันตอนและกรรมวิธีที่ยุ่งยากซับซ้อนเหมือนงาน และความคิดสร้างสรรค์ เป็นงานฝีมือท่ีมีคุณค่า
หัตถกรรมประเภทอ่ืน แต่กลับทำ�ให้งานจักสาน ต่อการใช้สอย มีความงดงามให้คุณค่าทางศิลปะ
ไมไ้ ผเ่ ปน็ งานหตั ถกรรมทมี่ คี ณุ คา่ ทางจติ ใจเพราะ โดยอาศยั วสั ดธุ รรมชาติ ลวดลาย และการก�ำ หนด
สร้างสรรค์ด้วยมือเป็นหลัก สะท้อนให้เห็นความ รูปทรง ทำ�ให้เคร่ืองจักสานซึ่งเป็นงานศิลปะพ้ืน
รสู้ กึ นึกคิด ความ สามารถ และรสนยิ มความงาม บ้านท่ีเรียบง่าย แต่มีเสน่ห์ แสดงให้เห็นถึงความ
ของชา่ งอยา่ งงดงาม แตแ่ มว้ า่ ขอ้ มลู ของดา้ นเครอื่ ง ประณีต และความคิดสร้างสรรค์ เป็นผลงานที่
จักสานไม้ไผ่ที่ใช้ประกอบการข้ึนทะเบียนเป็น เกิดจากภูมิปัญญาของผู้สร้าง และมีคุณค่าในตัว
มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมแล้วน้ัน แต่พลวัติ ของมันเอง ปัจจุบันสถานการณ์และสถานภาพ
และการเปล่ียนแปลงของสภาพเศรษฐกิจ สังคม เครื่องมือเครื่องใช้บางอย่างทางภาคอีสาน ใกล้
และวัฒนธรรมของประเทศในระยะเวลา 15-30 สูญหายไปแล้ว แม้แต่ในชนบทยังเหลือน้อยหรือ
ปที ี่ผา่ นมา ท�ำ ใหช้ มุ ชนมกี ารปรบั เปล่ียนตาม โดย แทบไม่หลงเหลืออยู่เลยนอกจากในพิพิธภัณฑ์
เฉพาะวถิ กี ารด�ำ เนนิ ชวี ติ ของคนในภาคภาคอสี าน เม่ือวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมค่อยๆ ถูกกลืน
ท่ีมีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ และภูมิ ทีละน้อยๆ จากค่านิยมใหม่ๆ อันเนื่องมาจาก
นิเวศที่แตกต่างกัน ส่งผลให้วิถีการดำ�เนินชีวิตท่ี ความเจริญก้าวหน้าก้าวลำ้�ทางเทคโนโลยีต่างๆ
เป็นองค์ความร้แู ละภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรมเรอื่ ง ซงึ่ ความภาคภมู ใิ จของบรรพบรุ ษุ ตอ้ งมาเลอื นหาย
ตา่ งๆ ของมรดกทางวฒั นธรรมเรอ่ื งเครอื่ งจกั สาน ไปอยา่ งไมย่ อ้ นคนื มา เพอื่ เปน็ การรวบรวมความรู้
ไม้ไผ่ ย่อมเกิดความแตกต่างในวิถีปฏิบัติและ ใหแ้ ก่เยาวชนรุ่นหลังได้ศกึ ษา จงึ ควรทจ่ี ะให้มีการ
ขนบธรรมเนียมและจารีตของแต่ละกลุ่มชาติพันธ์ุ สืบทอดองคค์ วามรนู้ ้นั ไวต้ ่อไป รวมถงึ พฒั นาการ
ทก่ี ระจายตวั อยใู่ นภาคอสี าน สร้างรายได้จากการต่อยอดทุนและมรดกทาง
วฒั นธรรมในชุมชนทอ้ งถน่ิ
การจักสานไม้ไผ่ หมายถึง การนําไม้ไผ่
มาทําให้เป็นเส้น เป็นแฉกหรือเป็นร้ิว และนํามา ต า ม ยุ ท ธ ศ า ส ต ร์ ม ห า วิ ท ย า ลั ย
สานประดิษฐ์ให้เป็นลวดลายและและผลิตภัณฑ์ มหาสารคาม ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 4 คือ อนรุ กั ษ์ ฟนื้ ฟู
ต่างๆ (ภสั สรา ชมแกว้ . 2546) เครือ่ งจักสานไม่ และส่งสริม ศิปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม
เพียงแต่สะท้อนความสามารถของช่างแต่ละคน
34 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน
ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวิทยาลยั มหาสารคามวิจัย ครง้ั ที่ 13 : สาขาท�ำ นุบำ�รุงศิลปวัฒนธรรม”
ประเพณี และ ภูมปิ ัญญาท้องถิน่ ในฐานะทุนทาง ออกแบบสัมภาษณ์ และแนวทางปฏิบัติ
วัฒนธรรมที่สามารถนำ�ไปใช้ประโยชน์ต่อสังคม ในการใช้แบบสัมภาษณ์ ท้ังน้ีผ่านผู้เช่ียวชาญ
ทางคณะทำ�งานได้ประชุมหารือระหว่างกลุ่ม ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง
อาจารย์และนักวิจัยด้านความหลากหลายทาง
ชวี ภาพของสถาบนั วจิ ยั วลยั รกุ ขเวช ดา้ นวฒั นธรรม 2. ขัน้ ด�ำ เนนิ การ
ศึกษาและคติชนศึกษาของสถาบันวิจัยศิลปะและ 2.1 เก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนาม โดย
วัฒนธรรมอีสาน ด้านวัสดุศาสตร์และอุณหภาพ ทีมวิจัยออกเก็บข้อมูลภาคสนามในแต่ละพื้นที่
ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ และด้านภาษาศาสตร์ โดยใช้แบบเก็บข้อมูลที่เตรียมไว้ ทั้งนี้โดยอาศัย
และอรรถศาสตรช์ าตพิ นั ธ์ุ ของคณะมนษุ ยศาสตร์ แนวทางการเกบ็ ข้อมลู ดา้ นคตชิ นวทิ ยา
และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม เพอื่ 2.2 สังเคราะห์ข้อมูล หลังจากเก็บ
ดำ�เนินการการโครงการทำ�นุศิลปวัฒนธรรมแบบ ข้อมูลแล้วทีมวิจัยนำ�ข้อมูลมาแบ่งเป็นหมวดหมู่
มุ่งเป้า ของมหาวิทยาลัย ในการดำ�เนินโครงการ สังเคราะห์อย่างเป็นระบบ
แบบบูรณาการสหสาขา เรื่อง ภูมิปัญญากระติบ 2.3 วเิ คราะหเ์ นอ้ื หา ทมี วจิ ยั จะใชแ้ นวคดิ
ข้าวกับวิถีชาวอีสานในกลุ่มชาติพันธ์ุภาคตะวัน ทฤษฎีทางด้านคติชนวิทยามาศึกษาวิเคราะห์
ออกเฉียง เหนอื ใน 3 กลุม่ ชาติพันธ์ุ คือ 1) กลมุ่ ข้อมลู ท่ีไดจ้ ากการเก็บรวบรวมขอ้ มูลภาคสนาม
ชาติพนั ธ์ไุ ทโส้ บา้ นบอน บา้ นโคกมว่ ง ต�ำ บลนา 3. ขน้ั สรุปผล
โพธ์ิ อำ�เภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร 2) กลุ่ม 3.1 ทีมวิจัยสรุปผลการปฏิบัติงานท้ัง
ชาติพันธ์ุไทกะเลิง บ้านกุดแฮด ตำ�บลกุดบาก กระบวนการ ตง้ั แต่การเก็บข้อมูล การสังเคราะห์
อ�ำ เภอกดุ บาก จังหวัดสกลนคร 3) กลุ่มชาติพนั ธ์ุ ข้อมูล และการวเิ คราะห์ข้อมูล
ภูไท บ้านกุดบอด ตำ�บลสงเปลือย อำ�เภอเขาวง 3.2 น�ำ เสนอรายงานฉบบั สมบรู ณ์
จงั หวัดกาฬสินธ์ุ ตวั ชวี้ ดั ความส�ำ เรจ็
เชิงปริมาณ
วัตถุประสงค์ 1. มีส่ือวีดิทัศน์สำ�หรับการเรียนรู้
ภูมิปัญญาการผลิตกระติบข้าวของกลุ่มชาติพันธ์ุ
ศึกษาภูมิปัญญาการผลติ กระตบิ ขา้ วของ โส้ ไทกระเลงิ และภูไท
กล่มุ ชาตพิ นั ธ์โุ ส้ กระเลิง และภูไท 2. มีหนังสือเล่มเล็กสำ�หรับเผยแพร่ให้
ผู้สนใจได้ศกึ ษาค้นควา้
วิธีดำ�เนินการ เชงิ คุณภาพ
1. ได้กระบวนการดำ�เนินการบูรณาการ
1. ขัน้ เตรียมการ องค์ความรู้แบบสหสาขาวิชา เพ่ือใช้ทำ�นุบำ�รุง
1.1 เตรียมทีมวจิ ัย ศลิ ปวัฒนธรรม
ประชมุ ทมี วจิ ยั เพอื่ ท�ำ ความเขา้ ใจในหลกั 2.ไดแ้ นวทางการอนรุ กั ษม์ รดกภมู ปิ ญั ญา
การ ทฤษฎี และพ้ืนที่ในการเก็บข้อมูลวิจัยภาค ด้ังเดิมในงานศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านของกลุ่ม
สนาม การเตรียมการวิเคราะห์ข้อมูลภาคสนาม ชาติพนั ธ์ุ
และกำ�หนดการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ภาคสนาม
2.2 เตรียมแบบสอบถาม
เพร าะ มีความ เหนี ยว เบา และ ไม แตกง
ไมก านตาลที่ดี ตองตรง ไมคดเบ้ียวเอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน 35
ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวจิ ัย คร้ังที่ 13 : สาขาทำ�นุบำ�รุงศิลปวฒั นธรรม”
สว นกน กระตบิ ขา ว
กลมุ่ เป้าหมาย/ผู้เขา้ รว่ มโครงการ เรยี กวา 3.“สอว่ ดันตตวั ุ” จะใชไ มไผบาน ผาและ
1. เปนซีคณะทำ�งานและทีมวิจยั 5 คน ป4สร่ว. นสะ่วฐมนานฝาการณะตบิ ข0้าว.05
2. กบา งๆ เซนติเมตร กว
นิสิต 3 คน
โสเคคกรกลอื มนข่วคา่ งยร341สตถ...ำ�ชากบเนมุ คลลชทรุ่มนน่ดีือชา�ำ ขา3โเพ่ตนากิยธพนิ ล์ิภักนุม่อาาธำ�รย์ุไเทนภโออสกก้ ุสปทบแุมล้าาร่ีเนะลหบภะยอาม์ลนยจใาสาังนบหณใว ้าวหน5ัดนสบ 1ตาาวัจเปตนพนงัการกรละเทิว้ปเามทระป็นา่ีดสี่มะซแณี คีนตกีดุเสเตวลรรบ้อ1่วียาียรงานบิวมกกนตใงูปกเววๆรว้ิสชหขน้า่่างนทแกปาปา“ไ“ียลรตรมอนวะว้วระนีร่คัดตสมเตงดตใะบาบิาบิเุ๋”นหกณาขบมขใา้ย้ีจแา้หเวร0วะาวล้เป.ปใ”0ะะณช็นไ5ทน้ไตมมแำ�เ่แผซด้ไแิบตผนน่1ว้ ก่บผยตแข0งไ้าบิเา่มมนนนา0ย้กตวแ้ารผ2ไ-มน่า1กบแ้กตแวดผ5ล้าาา้ น่นนละง0วย2เเสสแนผนนตห
ส่วนตัวกระติบขา้ ว
สานเป็นรูปทรงกระติบข้าว
2. กลุ่มชาติพันธุ์ไทกะเลิง บ้านกุดแฮด ดเ้วซยนเส้นตเิ มตร
สานใหม คี วามยาวประมาณ 53-55ตำ�บลกุดบาก อำ�เภอกดุ บาก จังหวดั สกลนคร
3. กลมุ่ ชาตพิ นั ธภุ์ ไู ท บา้ นกดุ บอด ต�ำ บล ตอกที่เหลาให้บางท่ีสุด ใช้ประมาณ 100-150
สวนฝากระติบขา วสงเปลอื ย อำ�เภอเขาวง จังหวดั กาฬสินธุ์
เส้น หรือสานให้มีความยาวประมาณ 53-55
ผ25ล6ก0ารศรวะนัึกยทษะ่ี า1เวลพาฤดษ�ำ ภเนาินคกมา2ร56สก0-าร1ม5ะตสาิงรบิหาถขคมสาฝววมาใกเแซหรกกน้สะตตาตับรมเิิบใมาะตขหตร้าสฝรถตวัว่วมาสนกกิวบแขีฝรมตราะก่ในขกตหะบั ริบ้มตาตะาีขขวัตดน้กวาบิิบรวาขใะจดจข้าหตใะวหะาบิ สญญขวาสา้ ่กนวไวกาเไชด่าด่เนนว้พลพเอ็กาดเดนีอยเชี้อวลดยกน็กับีเพตเน่ือัวดอียยวเกพับื่อ
กระตบิ ข้าวกลมุ่ ชาตพิ ันธุ์ไทโส้ บ้านบอน
บา้ นโคกมว่ ง ต�ำ บลนาโพธ์ิ อ�ำ เภอกสุ มุ าลย์ จงั หวดั
สกลนคร ไทกะเลิง บ้านกุดแฮด ตำ�บลกุดบาก
อำ�เภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร และภูไท บ้าน
กุดบอด ตำ�บลสงเปลือย อำ�เภอเขาวง จังหวัด
กาฬสินธุ์ มีการดำ�รงวถิ ีวฒั นธรรมภูมิปัญญาและ
สบื ทอดการทำ�กระตบิ ข้าวได้อย่างงดงาม และคง
ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ ไว้ให้
อนุชนร่นุ หลงั ไดเ้ ข้ามาศกึ ษาเรียนร้อู ย่างเข้มแข็ง
ภาพ 1 กระตบิ ขาวกลุม ชาตพิ ันธุไทโสส่วนประกอบของกระติบข้าว ประกอบ
ภาพ 1 กระตบิ ขา้ วกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุไทโส้
ดว้ ย
1. ส่วนฐาน
2. ส่วนก้น
00าาซเเนนอาา00เเชชเเภนลลววแแซซด--นน11า็็กกภตบบีนนดดพ55เเนนาิเนนตตดด00ววมพออิิเเ2ยยีียย22มมตยยเเ1เเสสกววตตรสสแแนนเเรกกกรรผผนนพพะกภัั3รบบานนตตต6หห่ื่ืพออวะตตบิออ2ตใใรราหหกเใััืืกกออขอนววิบงรกงะาสนาาตขกรบิปาวรรขาปะา้กรกวะวอชกบมุลกกลวาิชุม่รมุานลกช�ำาาเรชสตุมมนหพิ อาาชผนัวคคแแชชแแปปิทลตธยงาไ์ุาามมลลัั่่ววววรรทนลิพตัยกะะมะะลลโโาาะหิพนัเามมมมลงงสมม11าิงธร23344าาันคงงสส66าแแณณไุม.....ธวะะลลิจทเเซซยัไุใใใพพออคะะใใกทชช22รชกีกี้ังรรทชชาา่ื่ื--ะออี่มมโเ1ปซทแชาา333ดดเลสั่มวีกมม�รำใใดดีี:ดดลแแโะคลสหหมแ่ืแแอมมมาวีีงําาํงิดดขลลลโโงาาาแะทลลยเเิลิลมณตตววำ�เลจจนนนสพ1423ลละววบุตขขะผผ26..่ื�ำอ.ััรกก้ื้ืรอออ-ิเิเาุงใเเใ3ัใดดูดูใซศาาาหชดมมชชลิรรดีกไไม้ไไ้ปเม้�ำเ้มเเขไไลนแวีีตตีดยยลิแัฒมมปปีดล่ือผผื้อมมโลนลอว้ตจยไรรธงง้วิเลลไไรเมั้ผกตมไไรซซรขปม้ไ่าใใยัีดตผผไดูอือื”ผผผไผงขรีีเสสมลกก่มปใ่ซกก้อมมส้ไไไีคลีกปหหผห่อสสวใใอืีีรรคคใ่ไลมาหรก้องหหมมีีเเอม้ออ่อส้เววงขขบตตปนอหเีหออออขม้ก็เเิ่าามนีียยัวอียาเัวเปปปแกกปวมมตตสงปววกลอรน็้แน้อะะเเทอนนมมนนออจตมงทปปก4ลกา5อ่สี้ใออา่่ิิะมมณเเัหนยกซนนะ.ปปไุดกกห้มอสสกีบ1ทดมออาเปปรรใใ-28ดดกนนง44ดหชหหาะะออวยิดตตลหหมมซซงงยกาอมมออาากกีีกกเไนัอคณณดดัันนกกมภก88รแมมบบไอ่ื า
อดี
ภา
ภาพ 4 การจกั ตอก
ตพิ นั ภธาไุ พทโ3ส กรภาะพต3ิบกรขะติบาขวา้ วกกลล่มุ ชุมาตชิพันาธ์ุภตไู ทิพ5ัน.ธเุภหไู ลทาไมภ5ไา.ผเพหทลภาี่4าจไพมัก้ไ4กผเก่ทาาป่ีจรรักจนกัเจปต็นอกัตสกตตอออกอกใงหกใ้เรเห6ียมบ.เแื่อรลเีสระยม่ิาบนสแาเลสนะรขอ็จ
ตพิ ันธไุ ทโส วสั ด--อุ ไเปุ สมกน้้ไรผหณไ่วร์ใา่นย ก ารทำ�กรบบต--ะไมตมอาาดีิบ้ไโงงผกขต้าบ่ทท้ วจ้าน5่สีสี่ะ.ไดุดุ ดเดดหช ววิดลสอสยย่วอากายนนเเไงันเบคคาสมาม้นงรรแทตไื่อ่ือี่สอผลุดกงงะจทเเดะมหห้วไ่ีจยดคีลลเ้ชักคิดวาารเกื่อาตตปันงมเหออนแลลลกกาตะะตแมออเเเีคลกอพพวกะายีเพมรรใจดรลหาาาุมะะสะะเเเอนววรเเียลววํ้ีดยายาลลใงบหาาาแสสมนลาาิ่มะนนอเเแ
- เล่ือย ต-- กดอรินรสกไอกจร ะไดชิดกนั และมคี วามละเอยี ดสวยงาม
- เหล็กแหลม
- เชือกไนลอ่ น - คีมตดั
พนั ธุไทกะเลิง - ไม้กา้ นตาล - ข้เี ลอื่ ย
- เคร่ืองเหลาตอก - ถงั อบรมควัน
พนั ธไุ ทกะเลงิ ขนั้ ตอนการสานกระตบิ ขา้ ว
1. เลือกไม้ไผ่ไร่ มีข้อปล้องยาวและตรง ภาพ ภ5าพก5 าการรเเหหลาตลอกาตอก
มีผวิ เรียบเปน็ มนั อายปุ ระมาณ 10 เดอื น ถงึ 1
ปี เพราะเนื้อจะมีความเหนียวกว่าไม่ไผ่ชนดิ อื่นๆ
6. เริ่มสานภขาพึน้ ร5ูปทการรงเตหัวลการตะอตกิบขาว ดวยล
ม
ท
ม
ขจึงอพบับกรตะลัวาตกยิบสรอขะงาต6วเิบ.มใเื่อหรขิม่สแาาสวนนานเทนสขรบนึ้ ็จรคแูปลรท้วึ่ใงรนงงนาตพนำ�กวั มารกรปาอรรพะะมชับตมุ วิบคกิชารขับกึ่งา้ารใวใมหชหด้เาปวไ้วทิ ็นยยมาลทยั มหุบภาสราารพิมคาม7วจิ กยัตคาวั รร้งักทเยรี่เ1อะบ็3กตส:ฝาบิสราดาปขขกราาะาทรกวน�ำะอนไบตุบบวก�ำิบารไ1นรุงขมนศ2ลิำ�าฝใ เป.สหววนาฒั ขอขโกนผดยธลั้นรรับยงรามะใกเน”ขชตายส ิบรื้อา3ยนท7แยไําปาลงหมวราูแัดรอลยะเหชูดือว กยหเศคสบอ
พับตัวกระติบขาวทบครึ่ง พรอมกับใชไมทุบริม 12. ขั้นการทํา2 ชั้น และจุ่มนำ้�ให้นิ่ม แล้วมัดรูดเอวให้ก่ิว
เจาะฐานกระตบิ ขา วใหต รงกับหูฝถ
นพมอบรบาปยดกะใไบรบเนตสหตปตรอสกกกแทนไขาาวะขิบั7ว19มวมนบรับาํรนนแงตาย.ดั0ะใไข.กะบเทกกหหหมเติบปส.บัตเตาขปาภรัจลบขิบส719วลวทนขนวาอเบิ ยะ.0ัดนมข.าาแแแขแไเพในใาขหวมี่าสลชม.จา้หนลับตเตขาอชพภดกรจลไ้ยฝวใ่สทวยวผะล่นปมะวจ็หอเาเากิาาแมไนแบทววาขแร้ทนี่เลข้าอ้ืาจสก้นพบะกลดกว6ลนยยุบมยยผยเ3ะแมาศกบับวข้นั้ ทับนรนรววอในเ้อืา791านรก็เขทบลมิ6าเสลยภูนสยเห็3ณจะ ไศข.า0.�ำา้านั้เั้นนนนขใอาน้ตยาไ็มจบล.ุาสบประสอพูนตแฝยปวจแไชาหบิเ้ันอื้ใาทใยบาแ่องนึาสิรปวมกฝยกวนน6ขชลมรชก่ีลนาไพใลยกจดัสนิาม้านนไมชกะาสข้วนิรบาัสเยเมแวปวตวาไ3ลน้ัสนขาะเเแกาตเาไ3ลตข3มอนายนน้ึ้ใมขดตลนาึน้มวัลอชาาาขอยบ็ เผยว้บิหกาหั้นาส้สึ้นฝะงรไะงรไรยา่กขกราร้นใกยากยมิกผรรศูลปกผรระูา้ปูปชยแตเนูอืัศตัวาบา้ไนทบขยอืัศัทเลบานอบยใมบิยทเรา้ลพมางหะตทากงกร์ล้พกไขมงง3กตาทก้แารเีผน่ืรารอ้ลบงััวี่ตเปร้นนยาวัด่ับพรเีดานื่กอตะหงใัวต่ีแทดั่นทปตง้นายตตอื่สัวัหรดตรรกบ่ีใตวันบิลไแแใอืัดาศัาวะปดเไรเอนตหกสคมขััดหลววลตระมนแจชงต้ารรลม้นไสมะไาีคาาวกเออาวีกงะ่ึะวกหกคีมปายเใับิาว้ือวต้ะนลคพวนแปนน้นชงวรตตนลง็ นละใขิบีคาเรกกาเากวชะกอนเมกวหบกปขมอวเใ้บิฐพแางร้เมหตา้วหปมก็นหะหนชรฝ11นันลรวันานลวกขหตลเลกลลินลฝบาะไาะ23สนนเมบมใบิัร็กกมววาาว็กฝนาตลงแมหขน้รต..อ กฝแรวอาิลบา็จิ่ านหเลถิยขจแหบระะกดแาขวสพเแเตนแเอไเเเขไดหแสแปเบ็นหรชกกจคปนงัจปะาลแนั้ตปลลนลแิ้เีนึบ่ไงายล้าาารรขยีรรนลาานน็็ลนื่อวะนดนงนอะยตนม่ากน่ืแขอแะววลบวะะวะาิ่ือตลบๆใยีก็นสจ่องมบพวกบาตฐใาชตรแเยดเิ1บมิํ้าวตนีนนะแหํายัาหนาานูดวาิดมรแะคเีลแเานขว1ีไภณน�ำ้สรรปไมน้ฝลมมม้วจกตะลป.ขิบนภั้กตตน้อโอลปรนาก111ลา็นยวไ้าโโนัีไคคราาดเใพิายนัมนบกคัดน้รก2อห3งเ31สเาพชทวนนวมลือหนยฟชแะนววรว่งทํ้.�านำข0งรว..ัแนาว8ขใท้ะืออตลลทงไ8เําจ็ก้้ิงาานั้ํบาแมปหนํ้ัเใตาเจเอ่หอบะิม็กไลแํยจเัใากนวพสพนกนนชกป่ีวบาิลมเนหเขาแลลกจรผหาารมหป่ืลถใ้นอํากาวงเ่ึาเา้ัดะปเไอมรใจมทหอรวาร็แหจโลกไรดรอังปวนรงชนใตนะเูชแรใเนดยนวิมกลลตรทปยะแ้แหว่อืออลรวตในย้หรดิเีอั้วะยนียอื้มเบ็เวหยม้าํงไลหม�ะำยนไยลคน้่ิกอเลงง็บพ้ำเ้�งงงนรวรมชมกนดรหัดรดตทาแ้ไิ้วเต้งดดวแคคมตกบอกอกแ้กว่อืีอย้นียาพยแแำลรใกู�ะรงนนำตดร�ลว้ือัยมกันลนหกนเนแใิษบจณุ11วบนัลนงลกนัะาทำคจ�ิดกนัะบรสะกหลเลาํกหมลแ�ท้ำะแกานแรว้ใินร3ถรม4ลไดใวารฐะไม ชดูบัชตบอฐเค้อลกนงลนลงะี่เา�ำปฟส่ีบันชฝตยือากะ.ากขเอพาีู.ด้เวว้้ัหปดไเรอเะยมรอตะำ�นนงจอืาานสิ่อลรขใือสยบนจาตไยิบฝอถื่จชเแหยไจัไฝกูฒโสาิหบนากะ้ัาม้ตนนดขอมวกระลนาเพเาผปนคออปลารเาิ้ึนสะบด่กฐหคังดดาแยขาตกิลขดหร้ือ้นะกิวดวก้องใบอ้ยระํนนะลคูน้ฝาาายตอ่ื้วินาิ้ะพษงชกตดิแ่อืบกงกลนวข้ำวะราู�ดงนเเหงินหตาเวโเั้าบิวมอกโทายเธรชะตกเฐัาอนานกวไมํ้าบนปโะวัาดาฐพนกพเปกววิบคแขะยตเื้นแวแ์สปอภงนขั่กีปรมยิ้ตยรมวปดา้าทวลป11ันนรต้ัิลบลรนขันลๆลท้ึบิานบรลโนรกนนไธวิกเยดเจรา็าดลนนะ้อะันบิจมดัวะ้ระะทงาาหขาิ้งุม3ยน4วอืนฝาฟ์ิใลรตพวมจใยมนใาแะวตไไรตขฝโนอไขาโใอทลงลชฝดหห่ีสสาะนงดาชิมหบมบแ.ลา้วดงํบิอาวหใ.ดภเกเ้็จกิหรกอกอบดําอยม้วยาชเีป่ดัดหใํ่ิาวาขเยขา9านลกาผชูศปวถแนลเ2อหย้จอเเอืจแรวูะีตณค้ามนาใปร้ายเใลกตดขรนารภะพ็ืหรอนหนนม้ัวกวิกกยอิชแววววัรรวาถขํลาตาคังิะาแะลปยีเพิตะู้้งลารหกนเาอไ็จใ3ํชยาอดังิ่อืนปตดีี้หกนปเแมมตบจลญ0วงดววะรันกเอเ้ือสลิษกกเรทิะบรมบิ้ําอหานตะุสัใธปีบนญรคจียตอฐื่ีภอน่ีชมขกะุรมอุมัโาลบิขรั้ตนขยบลาิบนไไาสไย้ําาามรกาะรเันัดงึ้นากถดกปรขือนวฟชลพูะตคกเจตแบวใอทเราเ2กปยนตบแอืโวปํอางสกเเนดดาหปาละา
วตนแัดทลไภาวะานพกในช7เกกตหารวั ภลรกะาเพ็กยรตตะ7็บแวัิบตกกฝรหาบิ ะขราตเขลยกบิา็บาขรมฝวา้วะาวไกตไวรว้ไบิะมไตใ่ขมิบหขาข้ใา้ยหววบั ขเโโขดยดยย้ือใบัยชนส้ ไใเาปขชยมยยสาา้อืางรยนัดยไปางมราัด ภาพภ9าสบพกถา9นลถงั ังกนออุดบคบรแรมจใรคฮชวแมะดนั ลงไคาตะดวภนํากันบูไรทละกบตุดาบิบนาขกกุาดอวบําทอเภดี่ส
14. นํ ากระติบคอขําวาเาภมวอเอปเขอนาอกวัตงจลจาักวังกษหิถถณวีวััดงเัฒฉกอพานบฬาธะรสตรินมนรธคใมุ หทวภ
38 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน
ในงานการประชุมวชิ าการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวจิ ัย ครง้ั ท่ี 13 : สาขาทำ�นบุ ำ�รุงศลิ ปวฒั นธรรม”
14. น�ำ กระตบิ ขา้ วออกจากถงั อบรมควนั และมรดกทางวัฒนธรรมในชุมชนท้องถิ่น อีกทั้ง
จะไดก้ ระติบข้าวทสี่ �ำ เร็จเรียบร้อยสวยงาม พร้อม การดำ�เนินโครงการสอดคล้องตามยุทธศาสตร์
ใช้งาน ที่ 4 ของมหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม คอื อนุรักษ์
ฟนื้ ฟู และสง่ สริมศิลปวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียม
วิถีวัฒนธรรมภูมิปัญญากระติบข้าว อัน ประเพณี และ ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิน่ ในฐานะทนุ ทาง
เปน็ มรดกดงั้ เดมิ ทางศลิ ปหตั ถกรรมพน้ื บา้ นทที่ รง วัฒนธรรมท่ีสามารถนำ�ไปใช้ประโยชน์ต่อสังคม
คณุ คา่ ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธโุ์ ส้ บา้ นบอน บา้ นโคกมว่ ง ประกอบกับเกิดตัวชี้วัดความสำ�เร็จ มีสื่อวีดิทัศน์
ตำ�บลนาโพธิ์ อำ�เภอกุสุมาลย์ ชาติพันธุ์กะเลิง สำ�หรับการเรียนรู้ภูมิปัญญาการผลิตกระติบข้าว
บา้ นกุดแฮด ตำ�บลกุดบาก อ�ำ เภอกุดบาก จงั หวัด ของกลุ่มชาติพันธุ์โส้ กระเลิง และภูไท และมี
สกลนคร และภไู ท บ้านกุดบอด ต�ำ บลสงเปลือย หนงั สือเลม่ เล็กส�ำ หรับเผยแพรใ่ หผ้ สู้ นใจไดศ้ ึกษา
อำ�เภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธ์ุ ท่ีได้ร่วมถ่ายทอด ค้นควา้
ความเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตนให้อนุชนรุ่นหลังได้
ศกึ ษาเรยี นรู้ แม้วา่ ในสังคมปัจจุบันกระติบขา้ วจะ กิตติกรรมประกาศ
ถูกนำ�มาประยุกต์ดัดแปลงอย่างหลากหลายรูป
แบบ เพอ่ื ใหส้ อดรบั กบั ความตอ้ งการของคนในยคุ ขอขอบคณุ กลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทโส้ บา้ นบอน
ดิจิทอล แต่รากเหง้าของวิถีวัฒนธรรมภูมิปัญญา บ้านโคกม่วง ต�ำ บลนาโพธ์ิ อ�ำ เภอกุสมุ าลย์ กลมุ่
ดง้ั เดมิ จะยงั คงสบื สานคณุ คา่ เอกลกั ษณอ์ นั งดงาม ชาติพันธ์ุไทกะเลิง บ้านกุดแฮด ตำ�บลกุดบาก
นี้ไว้ ให้สามารถดำ�รงอยู่ได้อย่างสอดรับกับการ อำ�เภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร และภูไท บ้าน
เปลย่ี นแปลงของสังคมในปจั จบุ ันได้อย่างลงตวั กุดบอด ตำ�บลสงเปลือย อำ�เภอเขาวง จังหวัด
กาฬสินธ์ุ ทุกท่าน ท่ีได้ให้ความรู้ให้ข้อมูล และ
การเกิดประโยชน์และสร้างคุณค่าทาง อำ�นวยความสะดวกในด้านต่างๆ ตลอดระยะ
สังคม เวลาศึกษาค้นคว้า ขอขอบคุณปราชญ์ชาวบ้าน
และผมู้ สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งทกุ ทา่ น ทที่ มุ่ เทก�ำ ลงั ใจก�ำ ลงั
ด้ ว ย ค ว า ม ต ร ะ ห นั ก ใ น คุ ณ ค่ า ค ว า ม กายอย่างเต็มที่ อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการ
สำ�คัญของงานด้านทำ�นุบำ�รุงศิลปวัฒนธรรม อนุรักษ์วิถีวัฒนธรรมภูมิปัญญาและสืบทอดการ
ท้องถิ่น ความมุ่งมั่นสร้างสรรค์และปณิธานท่ี ทำ�กระติบข้าวได้อย่างดงาม และคงความเป็น
ต้ังไว้ สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน เอกลกั ษณเ์ ฉพาะกลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ ไวใ้ หอ้ นชุ นรนุ่ หลงั
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ดำ�เนินโครงการ ไดเ้ ข้ามาศึกษาเรยี นรอู้ ยา่ งเข้มแข็ง
ศึกษาค้นคว้ารวบรวมความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญา
การผลิตกระติบข้าวของกลุ่มชาติพันธ์ุไทโส้ ขอขอบคุณ กองส่งเสริมการวิจัยและ
บ้านบอน บ้านโคกม่วง ตำ�บลนาโพธิ์ อำ�เภอ บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ได้
กุสุมาลย์ กลุ่มชาติพันธุ์ไทกะเลิง บ้านกุดแฮด อนุมัติงบประมาณสนับสนุนการดำ�เนินโครงการ
ต�ำ บลกดุ บาก อ�ำ เภอกดุ บาก จงั หวดั สกลนคร และ และเป็นหน่วยงานหลักในการประสานให้สำ�เร็จ
ภูไท บ้านกุดบอด ตำ�บลสงเปลือย อำ�เภอเขาวง ลุล่วงไปด้วยดี เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ประโยชน์
จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้แก่เยาวชนรุ่นหลังได้ศึกษา ตอ่ การรวบรวมองคค์ วามรใู้ นมรดกภมู ปิ ญั ญาดา้ น
และมีการสืบทอดองค์ความรู้น้ันไว้อย่างย่ังยืน ศลิ ปหตั ถกรรมพนื้ บา้ นของกลมุ่ ชาตพิ นั ธใุ์ นอสี าน
รวมถึงพัฒนาการสร้างรายได้จากการต่อยอดทุน อยา่ งย่งั ยนื
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน 39
ในงานการประชมุ วิชาการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวจิ ยั คร้ังท่ี 13 : สาขาท�ำ นุบ�ำ รุงศิลปวฒั นธรรม”
เอกสารอ้างอิง
ภัสสรา ชมแก้ว. (2546). อาชีพการจักสานไม้ไผ่และการสร้างเครือข่ายการค้า ตำ�บลบ้านใหม่อำ�เภอ
บา้ นแพรก จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา. เชียงใหม:่ บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม.่
วัฒนะ จูฑะวิภาต. (2545). การออกแบบเคร่ืองประดับ. กรุงเทพฯ: สำ�นักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
“ศลิ ปะการแกะสลักลายไทยแบบนูนตำ่�เบอ้ื งต้น” เพื่อส่งเสริมความรู้ ทกั ษะ
ด้านศลิ ปะและวัฒนธรรม
สถิตย์ เจ็กมา1
สถาบนั วจิ ัยศิลปะและวัฒนธรรมอสี าน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
การจดั โครงการ การอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร “ศลิ ปะการแกะสลกั ลายไทยแบบนนู ต่ำ�เบอ้ื งตน้ ” เพอ่ื
สง่ เสรมิ ความรู้ ทกั ษะทางดา้ นศลิ ปะและวฒั นธรรม มวี ตั ถปุ ระสงค์ เพอื่ จดั อบรมถา่ ยทอดความรู้ ศลิ ปะ
การแกะสลักลายไทยแบบนูนตำ่�เบ้ืองต้น เพื่อจัดทำ�หนังสือเล่มเล็กและวีดิทัศน์ เร่ือง “ศิลปะการแกะ
สลกั ลายไทยแบบนูนตำ�่ เบอื้ งตน้ ” ในวนั ศกุ ร์ท่ี 14 กรกฎาคม 2560 ณ หอ้ งโถงสถาบนั วจิ ัยศลิ ปะและ
วัฒนธรรมอีสาน มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม การอบรมในครั้งนม้ี กี ลุ่มเป้าหมาย คอื ครู นักเรียนระดบั
มัธยมศกึ ษา นิสิต นกั ศึกษา และบุคลากร จำ�นวนรวม 40 คน
ผลการดำ�เนินงานที่บรรลุวัตถุประสงค์การดำ�เนินงานคือ มีการดำ�เนินงานฝึกอบรมเชิงปฏิบัติ
การถ่ายทอดความรู้และทักษะศิลปะการแกะสลักลายไทยแบบนูนต่ำ�เบ้ืองต้น มีผลงานศิลปะการแกะ
สลักลายกรอบรูปจากการฝึกอบรมของกลุ่มเป้าหมาย ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถนำ�องค์ความรู้ท่ีได้ไป
พัฒนาตอ่ ยอดเปน็ ผลติ ภัณฑห์ รอื น�ำ ไปประยุกตใ์ ชก้ บั กิจกรรมต่างๆ ในโรงเรยี นหรือชุมชนได้ บรรลเุ ป้า
หมายอกี ประการหนงึ่ คอื ตง้ั กลมุ่ เปา้ หมายเขา้ รว่ มโครงการไมต่ �ำ่ กวา่ 40 คน ผลปรากฏวา่ มกี ลมุ่ เปา้ หมาย
เข้าร่วมโครงการมากกว่าทีต่ ้งั ไว้ รวมทง้ั สน้ิ 87 คน อีกทง้ั บรรลผุ ลประเมินตวั ชีว้ ัดความส�ำ เร็จ ในเชิง
ปรมิ าณจ�ำ นวนผเู้ ขา้ รว่ มโครงการมคี วามพงึ พอใจตอ่ การจดั โครงการ รอ้ ยละ 99.00 เกดิ องคก์ รเครอื ขา่ ย
1 องค์กร คณะวัฒนธรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม มีวดี ิทศั น์ และหนงั สอื เลม่ เลก็ เรอื่ ง “ศลิ ปะ
การแกะสลักลายไทยแบบนนู ต่�ำ เบ้อื งตน้ ” มกี ารจดั แสดงนทิ รรศการหรอื น�ำ เสนอผลงาน ในการประชมุ
วชิ าการ มีช้นิ งานทเี่ กดิ จากการอบรมตามจ�ำ นวนการแบ่งกลุม่ รวม 6 ชน้ิ งาน ในเชิงคณุ ภาพ เกดิ ความรู้
และทักษะสามารถลงมือปฏิบัติแกะสลักลายไทยแบบนูนตำ่�เบื้องต้นได้ และมีเจตคติที่ดีต่อกิจกรรม
รกั และภูมิใจงานดา้ นศลิ ปวัฒนธรรม
สรปุ ผลการด�ำ เนนิ โครงการ “ศลิ ปะการแกะสลกั ลายไทยแบบนนู ต�่ำ เบอ้ื งตน้ ” ครู นกั เรยี น นสิ ติ
และบคุ ลากร มคี วามรแู้ ละทกั ษะ เกย่ี วกบั ความเปน็ มา วสั ดอุ ปุ กรณข์ น้ั ตอนการแกะสลกั ลายไทยแบบนนู
ต�ำ่ ผ่านกระบวนการ การบรรยายและและลงมอื ปฏิบัติซงึ่ จะเปน็ พนื้ ฐานในการน�ำ ไปประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ
อยา่ งถกู วธิ ี แตถ่ า้ จะใหเ้ กดิ ทกั ษะยอ่ มตอ้ งอาศยั การฝกึ ฝนอยอู่ ยา่ งสม่ำ�เสมอ การด�ำ เนนิ งานโครงการดงั
กลา่ วมีความสอดคลอ้ งกบั ยทุ ธศาสตรข์ องกระทรวงวฒั นธรรมที่มกี ารรกั ษา สืบทอดวัฒนธรรมของชาติ
1 รองผูอ้ ำ�นวยการฝา่ ยวจิ ยั และวชิ าการ สถาบันวจิ ัยศิลปะและวฒั นธรรมอีสาน มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน 41
ในงานการประชมุ วิชาการมหาวิทยาลยั มหาสารคามวจิ ัย ครัง้ ที่ 13 : สาขาท�ำ นุบ�ำ รุงศิลปวฒั นธรรม”
และความหลากหลายของวัฒนธรรมท้องถ่ินให้อยู่อย่างมั่นคง อีกทั้งได้นำ�ทุนทางวัฒนธรรมของชุมชน
มาสรา้ งคุณคา่ ทางสังคมและเพ่มิ มลู ค่าทางเศรษฐกจิ ต่อไป
คำ�ส�ำ คัญ: การแกะสลกั , วัฒนธรรม
บทนำ� ผลติ ดว้ ยมอื และเทคโนโลยพี นื้ บา้ น เพอ่ื ประโยชน์
ใช้สอยในวิถีชีวิต ขนบประเพณี ความเชื่อ และ
จากแผนแม่บทวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. วัฒนธรรมของกล่มุ ชนที่มีลักษณะเฉพาะถิน่
2550-2559 มเี ปา้ หมายทส่ี �ำ คญั คอื พฒั นาสงั คม
ไทยให้เป็นสังคมที่มีความเข้มแข็งและมั่นคงทาง คำ�ว่า “ลายไทย” หมายถึง เส้นท่ีเขียน
วัฒนธรรม คนไทยมีความภาคภูมิใจในความเป็น หรอื แกะสลกั ใหเ้ ปน็ รปู ตา่ งๆ บง่ บอกถงึ ภมู ปิ ญั ญา
ไทย มคี วามเปน็ น�้ำ หนงึ่ ใจเดยี วกนั ทา่ มกลางความ ของคนไทย ชา่ งไทย ทม่ี ีจินตนาการ Imagination
หลากหลายทางวัฒนธรรม มีความรู้ คู่คุณธรรม ในเชิงสร้างสรรค์ท่ีมีแบบอย่างเฉพาะตัวนับเป็น
สามารถดำ�รงภูมิปัญญาของสังคมไทย ตลอด งานประดิษฐ์กรรม Invention ในเชิงศิลปะชั้นสูง
จนสามารถปรับเปล่ียนวิถีชีวิตได้อย่างเหมาะสม โดยช่างมองเห็นความงามของธรรมชาติท่ีต้องมี
และเท่ากันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก การเสื่อมสลายไปตามกาลเวลาจึงเกิดแรงจูงใจ
ปัจจุบันและอนาคต ซึ่งแสดงถึงการมีภูมิคุ้มกัน Motivation ที่จะเก็บความงามของธรรมชาติไว้
และสามารถด�ำ รงตนไดอ้ ยา่ งมเี หตุ มผี ล พอดี พอ ให้คงอยู่โดยใช้วิธีการทางศิลปะ เช่น จิตรกรรม
ประมาณ ตามปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง อนั จะน�ำ ประตมิ ากรรม เปน็ ตน้ ปจั จบุ นั เมอ่ื วฒั นธรรมขา้ ม
ไปสู่การพัฒนาประเทศให้เกิดความสมดุล ม่ันคง ชาติได้เผยแพร่เข้ามาอย่างรวดเร็ว และได้รับการ
และย่ังยืนสืบไป (สำ�นักนโยบายและยุทธศาสตร์ ยอมรับในทางปฏิบัติในสังคมอย่างสูง ภูมิปัญญา
สำ�นกั งานปลัดกระทรวงวฒั นธรรม. 2550) ไทยบางสว่ นจงึ คอ่ ยๆ ออ่ นแรง และถกู ลมื เลอื นไป
ตามกาลเวลาและอายุของปราชญพ์ นื้ บา้ น ศลิ ปะ
ประเทศไทย ดินแดนท่ีมีความหลาก การแกะสลักลายไทยก็เช่นกัน แนวทางหน่ึงที่จะ
หลายทางด้านเช้ือชาติ ศาสนา ขนบประเพณี มสี ว่ นชว่ ยอนรุ กั ษ์ ปกปอ้ ง และสบื ทอดภมู ปิ ญั ญา
ศลิ ปวฒั นธรรม และมวี ถิ กี ารด�ำ เนนิ ชวี ติ เฉพาะของ ของท้องถ่นิ ไดก้ ็คอื การรวบรวมองค์ความรตู้ า่ งๆ
แต่ละชุมชนท้องถิ่นต่างๆ อันมีภูมิปัญญาท่ีผ่าน และนำ�มาเผยแพร่ต่อสาธารณชน ในรูปแบบ
การบ่มเพาะ เลือกสรรและได้รับการยอมรับแล้ว เอกสารและการจัดอบรมถ่ายทอดเชิงปฏิบัติการ
วา่ เปน็ องคค์ วามรขู้ องปราชญช์ าวบา้ นแทรกอยใู่ น “ศลิ ปะการแกะสลกั ลายไทย” เพือ่ สง่ เสริมความรู้
แนวคดิ และแนวปฏบิ ตั ทิ ส่ี บื ทอดตอ่ กนั มารนุ่ ตอ่ รนุ่ ทักษะด้านศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นการ
มรดกทางภมู ปิ ญั ญาทท่ี รงคณุ คา่ นเี้ ปน็ การแสดงถงึ ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา
อัตลักษณ์ของความเป็นไทย และเอกลักษณ์ของ ขั้นตอนการเขียนลายไทย ขั้นตอนการแกะสลัก
ความเป็นท้องถ่ินอย่างเด่นชัด ในวิถีการดำ�เนิน ข้ันพื้นฐานจนถึงข้ันนำ�ไปใช้ประโยชน์ได้ ซ่ึง
ชีวิตแต่ละท้องถิ่นน้ันมีภูมิปัญญาท้องถิ่นประเภท สามารถต่อยอดและนำ�ไปประยุกต์ใช้ในกิจกรรม
หนึ่งทถ่ี อื ไดว้ ่าเปน็ มรดกทางวฒั นธรรมทส่ี ำ�คญั ก็ ตามประเพณีต่างๆ ของมหาวิทยาลัยและของ
คือ งานช่างฝมี อื พนื้ บา้ น ซ่งึ หมายถงึ ผลงานของ ชุมชนไดเ้ ป็นอยา่ งดีในสภาวะสงั คมปจั จุบนั
ผชู้ �ำ นาญในงานฝมี อื หรอื ศลิ ปะดา้ นใดดา้ นหนงึ่ ที่
42 เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน
ในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลยั มหาสารคามวจิ ยั คร้ังท่ี 13 : สาขาทำ�นบุ ำ�รงุ ศลิ ปวฒั นธรรม”
การจัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ สำ�เรจ็ ของโครงการ
“ศิลปะการแกะสลักลายไทยแบบนูนต่ำ�เบื้องต้น” 3. ผู้รับผิดชอบหลัก วิเคราะห์และ
เพื่อส่งเสริมความรู้ ทักษะด้านศิลปะและ
วัฒนธรรมขน้ึ เป็นการอนุรักษ์ ส่งเสริม เผยแพร่ สงั เคราะหห์ าวธิ กี ารและกระบวนการในการด�ำ เนนิ
และสืบทอดความงดงามในงานทางด้านศิลปะ งานให้บรรลุตามเป้าหมายและระดับความสำ�เร็จ
และวัฒนธรรม ให้คงอยู่อย่างยั่งยืน และเพ่ือให้ ของโครงการทกี่ �ำ หนดไว้
นักเรียน นิสิต นักศึกษา และบุคลากรตระหนัก
ถึงความสำ�คัญ ตลอดจน มีความรักความเข้าใจ ขนั้ ด�ำ เนินการ (D)
ในองคค์ วามรแู้ ละสามารถน�ำ ไปใชป้ ระโยชนไ์ ดจ้ รงิ แตง่ ตง้ั คณะกรรมการด�ำ เนนิ งาน
2. ประชุม จัดเตรยี ม ติดต่อประสานงาน
วัตถุประสงค์ 2.1 ประสานงานกบั วทิ ยากรและจดั
ทำ�หนงั สอื เชญิ
1. เพอื่ จดั อบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร “ศลิ ปะการ 2.2 จดั ท�ำ หนงั สอื ราชการสง่ ไปตาม
แกะสลกั ลายไทยแบบนูนต�่ำ เบ้อื งต้น” มหาวิทยาลัยและโรงเรียนในกลุ่มเป้าหมายเพื่อ
ประชาสัมพันธใ์ ห้ผทู้ ี่สนใจสมคั รเขา้ อบรม
2. เพ่ือส่งเสริมความรู้ ทักษะทางด้าน 3. ขนั้ ตอนการจดั การอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร
ศิลปะและวัฒนธรรม 3.1 จัดเตรียมสถานท่ี ในจัดการ
อบรม
3. เพื่อจัดทำ�หนังสือและทำ�วีดิทัศน์ 3.2 จัดเตรียมคู่มือและจัดอบรม
“ศิลปะการแกะสลกั ลายไทยแบบนูนตำ่�เบือ้ งตน้ ” ตามเน้อื หาและกระบวนการเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย
เน้ือหาและการลงมอื ปฏิบตั ดิ งั นี้
กลุ่มเป้าหมาย/ผู้เข้าร่วมโครงการ 1) ประวัติความเปน็ และววิ ฒั นาการ
ลายของลายไทย
1. บุคลากร (คณะทำ�งาน) จ�ำ นวน 5 คน 2) ประเภทของลายไทย
2. นสิ ิต นกั ศกึ ษา นกั เรยี นระดบั มัธยม 3) เทคนิคการเขียนลายไทย
จ�ำ นวน 35 คน 4) วัสดุอปุ กรณ์
3. ภาคี/องค์กรท้ังภายนอกและภายใน 5) เนื้อหาและขั้นตอนการแกะสลัก
จำ�นวน 1 เครอื ขา่ ย ไดแ้ ก่ คณะวัฒนธรรมศาสตร์ ลายไทยแบบนูนต�ำ่
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กลุ่มเป้าหมายรวม 4. ด�ำ เนนิ การจดั ท�ำ วดี ทิ ศั น์ โครงการ โดย
40 คน สรุปเนื้อหาขั้นตอนการดำ�เนินงาน และกิจกรรม
ต้ังแต่เร่ิมต้นจนเสรจ็ สิน้ โครงการ
การดำ�เนินโครงการ พื้นที่ด�ำ เนนิ การ
การดำ�เนินงานกิจกรรมโครงการ การ
กิจกรรมและวิธีด�ำ เนนิ งาน อบรมเชิงปฏิบัติการ “การแกะสลักลายไทย
ขน้ั วางแผน (P)
1. เสนออนมุ ัติโครงการ
2. กำ�หนดเป้าหมายและระดับความ
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน 43
ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวจิ ัย คร้งั ที่ 13 : สาขาทำ�นบุ �ำ รงุ ศลิ ปวัฒนธรรม”
แบบนูนต่ำ�เบื้องต้น” เพ่ือส่งเสริมความรู ทักษะ ดำ�เนินกิจกรรมโครงการอ่ืนๆ อย่างเป็นรูปธรรม
ทางด้านศิลปะและวัฒนธรรม ในคร้ังน้ีเน้นการ ชดั เจนมากขนึ้
อบรมเชิงปฏิบัติการ ใช้สถานท่ีในการอบรม
ข อ ง ส ถ า บั น วิ จั ย ศิ ล ป ะ แ ล ะ วั ฒ น ธ ร ร ม อี ส า น สรุปได้ว่า กระบวนการเรยี นรู้แบบมสี ่วน
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และมีกลุ่มเป้าหมาย ร่วมเกิดจากสองประเดน็ ดังนี้ 1) การไดป้ ระชมุ
ของผูเ้ ข้าอบรมท่เี ปน็ นิสติ นกั ศกึ ษา และนักเรียน ปรึกษาหารือ ตลอดจนการจัดประชุมเตรียม
ระดับมัธยม ในเขตพ้ืนท่ีจังหวัดมหาสารคามเป็น ความพร้อม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การวางแผน
หลัก พื้นท่ีจังหวัดต่างๆ ในภาคอีสานเป็นพ้ืนท่ี การทำ�งานร่วมกันของคณะทำ�งานจนสามารถ
เปา้ หมายรองลงมา แกป้ ัญหาและดำ�เนินกจิ กรรมไปได้ดว้ ยดี ซึ่งผู้เข้า
อบรมสามารถนำ�ไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับยุคสมัย
กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 2) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบ
มีส่วนร่วมอันเกิดจากการได้ปฏิบัติจริงระหว่าง
กระบวนการเรยี นรแู้ บบมสี ว่ นรว่ มในการ ผเู้ ขา้ อบรมกบั วทิ ยากรผใู้ หค้ วามรู้ ตง้ั แตต่ น้ จนจบ
จดั อบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร “การแกะสลกั ลายไทยแบบ กระบวนการ เรม่ิ จากเรยี นรเู้ รอื่ งการเขยี นลายไทย
นนู ต�ำ่ เบอ้ื งตน้ ” เพอ่ื สง่ เสรมิ ความรู ทกั ษะทางดา้ น วัสดุอุปกรณ์ ข้ันตอนการแกะสลักลายไทยแบบ
ศิลปะและวัฒนธรรมในคร้ังนี้ เนื่องจากลักษณะ นูนต่ำ�เบ้ืองต้น ตลอดจนเทคนิควิธีการต่างๆ ที่
ของโครงการมีกลมุ่ เปา้ หมายที่เป็น นกั เรียน นสิ ติ วิทยากรถา่ ยทอดให้
นักศึกษา และครู เป็นกลุ่มเปา้ หมายหลกั โดยใช้
วิธีการประชาสัมพันธ์ส่งไปยังกลุ่มเป้าหมาย การจัดการความรู้
โดยตรงและให้ส่งแบบตอบรับเข้าร่วมโครงการ
กลับมา ผ่านทางไปรษณีย์ อีเมลล์ และกล่อง การจัดการความรู้ที่มีอยู่กระจัดกระจาย
ขอ้ ความเฟสบคุ๊ กระบวนการเรยี นรแู้ บบมสี ว่ นรว่ ม มาประยกุ ตใ์ ชโ้ ดยการตอ่ ยอดทางปญั ญาท�ำ ใหค้ น
กอ่ นการจดั อบรมจงึ เกดิ ขน้ึ ในรปู แบบการประสาน สามารถเรียนรู้ง่ายข้ึนมีความรู้และทักษะมากข้ึน
งานและการสอบถามข้อสงสัย แต่ก็ถือว่ามีความ การจดั การความรจู้ งึ เปน็ เรอื่ งทคี่ วรใหค้ วามรว่ มมอื
สนใจจากกล่มุ เปา้ หมายจำ�นวนมาก และพร้อมท่ี และให้ข้อเสนอแนะในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อให้มี
จะเขา้ รว่ มโครงการทจ่ี ะจดั ขนึ้ การจดั กจิ กรรมมที งั้ การแบ่งปันความรู้ผ่านกระบวนการของการให้
ภาคบรรยายและภาคปฎบิ ตั ิ ซง่ึ จะไดร้ บั ค�ำ แนะน�ำ ค�ำ ปรึกษาระหวา่ งวิทยากรและผู้เขา้ อบรม
จากวทิ ยากรและแลกเปลย่ี นเรยี นรใู้ นกระบวนการ
ดังกล่าวจนจบส้ินกระบวนการ แน่นอนว่าผู้ที่เข้า การจัดการความรู้ในการจัดอบรมเชิง
อบรมจะได้รับประโยชน์ต่อตนเองและสามารถ ปฏิบัติการ “การแกะสลักลายไทยแบบนูนตำ่�
ถา่ ยทอดใหก้ บั ผอู้ นื่ ไดเ้ มอื่ ผา่ นการอบรมเชงิ ปฏบิ ตั ิ เบื้องต้น” เพ่ือส่งเสริมความรู ทักษะทางด้าน
การในคร้ังน้ี อีกท้ังคณะทีมงานได้เรียนรู้บริบท ศิลปะและวัฒนธรรมในคร้ังน้ี ไดเ้ ขา้ ไปมีสว่ นรว่ ม
หลายๆ ประการจากผู้เขา้ อบรม ได้ประสบการณ์ เป็นส่วนหนึ่งในการอบรม โดยเป็นวิทยากรร่วม
ในการทำ�งาน อันก่อให้เกิดความเข้าใจในการ ใ น ก า ร ใ ห้ คำ � แ น ะ นำ � ช้ี แ น ะ ใ น เ รื่ อ ง ข อ ง วั ส ดุ
บริหารจัดการโครงการได้ดีขึ้น และเกิดแนวคิด อปุ กรณ์ ขนั้ ตอน”การแกะสลกั ลายไทยแบบนนู ต�ำ่
ในการที่จะนำ�ประสบการณ์ เหล่าน้มี าพฒั นาการ เบ้ืองต้น” อันเป็นการเปิดโอกาสให้มีปฏิกิริยา
โต้ตอบกัน ทำ�ให้เกิดบรรยากาศในการสร้างความ
เขา้ ใจและความสัมพนั ธ์ท่ีดี
44 เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน จัดทําสื่อวีดิทัศน รายงานผลโครงการ นําเสนอ
ในงานการประชมุ วิชาการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวิจัย ครั้งผทล่ี 1ง3า:นสาขใานทร�ำ นูปบุ ข�ำ รองุ ศงิลเปลวมฒั นสธมรรบม”ูรณและนําเสนอในการประชุม
วชิ าการ
ขั้นตอนการดำ�เนินงานและกิจกรรมที่
ดำ�เนินการ
ขั้นตอนการดำ�เนินงานและกิจกรรมที่
ดำ�เนนิ การดังต่อไปนี้
1. ระยะต้นน�ำ้
มกี ารด�ำ เนนิ การขออนมุ ตั ดิ �ำ เนนิ โครงการ
จากหัวหน้าหน่วยงาน ดำ�เนินการจัดทำ�คำ�ส่ัง
แต่งต้ังคณะกรรมการดำ�เนินงานโครงการ จัดทำ�
หนังสือประชาสัมพันธ์สง่ ไปยงั กลมุ่ เป้าหมาย จัด ภาพจดั เตรียมสานท่ใี นการจัดโครงการ
ท�ำ หนงั สอื เชญิ วทิ ยากรใหค้ วามรกู้ บั กลมุ่ เปา้ หมาย ภาพจัดเตรียมสานท่ใี นการจัดโครงการ
จัดทำ�หนังสือเชิญประธานเปิดโครงการอบรมฯ 3. ระย3ะ.ปรละายยะนปาํ้ ลายน�้ำ
จัดทำ�หนังสือเรียนเชิญกองส่งเสริมการวิจัยและ 3.13.1ผลผกลารกดาาํ รเนดิน�ำ งเนานินงาน
บริการวิชาการ เพื่อให้เกียรติเข้าร่วมกิจกรรม
โครงการอบรมฯ จัดทำ�ก�ำ หนดการในการอบรมฯ 3.1.31.1ก.1ารบกรารลรวุบตั รถรปุ ลรุวะัตสงถคุปกราระดสํางเนคิน์กงารน
จัดทำ�คำ�กล่าวรายงาน และคำ�กล่าวเปิดงาน จัด ด�ำ เนนิ งาน 1) มีการดําเนินงานฝกอบรมเชิงปฏิบัติการ
เตรยี มเครอื่ งมอื วสั ดุ อปุ กรณท์ ใ่ี ชใ้ นการจดั อบรมฯ ถา ยทอดควา มรู “1ก)ารแมกีกะาสรลดักลำ�าเยนไินทยงแาบนบฝนึกูนอตบํ่าเรบมื้อเงชติงน”
จัดทำ�ใบลงทะเบียนกลุ่มเป้าหมายผู้เข้าร่วม เพป่ือสฏงบิ เตัสรกิ ิมาครถวา่ มยรทู อทดักคษวะาทมารงู้ ด“กาานรศแิลกปะะสแลลกั ะลวาัฒยนไทธรยรม
โครงการอบรมฯ จัดทำ�แบบประเมินผลโครงการ เรยี แบบรบอยนแูนลตว่ำ�เบ้ืองต้น” เพ่ือส่งเสริมความรู้ ทักษะ
อบรมฯ และจดั ทำ�เอกสารประกอบการอบรมฯ ทางดา้ นศิล2ป)ะแลมะีผวลฒั งานนธทร่ีเรกมิดเรจยีาบกกรอ้ารยฝแกลอว้ บรมของ
ทกกิจลไ่ี ดปแขกมุ อไลรรเปปรงะะพมากยชหขฒัลมุุกมอมุ่นตชงาานเใ์โ ยปตรชขเงอ้ใา้ก3อเนยหิดร)2ง3อยีกเมผตป))ดนจิ เูานผนใขกยมนมเาเู้ผรอเขกหีผรลกรา้งจิวาลงมดิไรกวมางดเวทิข่รโนาปคม้รอยทนน็มรางโ่ีสทคตงลโผากรายัร่ีเลมงกงางแงๆเารกิดลรารสะาจียไนถาดรชานนมทสุมกาําสี่ชากรมไมนาปถาหมขาปนราอราํฝารวถงรอะึกติทถนงยอนยคน�ำุกเบาคออต�ำ ลรวไงงใปไชมาคยั ดมใ์ นรู
2. ระยะกลางน้�ำ กนลักซกคุเมร่ึงวลเยี ไาปุ่มนดมาเ้แรนปหกู้ทิส้มา่ติไ่ี หาดน 3ยนม้ไ.ัก1รักปกา.เ3กวศ2าพยรมร.กึาีย1รัฒจโษรก่วน.คดั2จานามโรรัดคาคกโนบงตรรโคการิสงค-ูอ่รรราอกิตรลยบงราางเุกจไอรรปมกนดารดาารตังลาักรใหยก่ํนารไเุศมลปมกดบกึกาา้าว่ัุคตยงจิวษหาลกจำ่ก�ามะากลร4กตาร่วา0ครอยม่าวงรคตผจมู-นอล่า4ีะงปา0ตซๆจร้อ่ึงาาคไกไงรดดฏนมยแ้วี์ กา ผล
มี ก า ร ว า ง แ ผ น เ ต รี ย ม ก า ร จั ด อ บ ร ม มีกบลุมคเลปาากหรมาผยเลขปารรวามกโฏครวง่ากมาีกรมลาุ่มกเกปว้า หท่ีตม้ังาไยวเรขว้ามรท่วั้งมสิ้น ศิล
ประเมินแบบตอบรับในการเข้าอบรม ตรวจสอบ บคุ
ความพร้อมของวัสดุอุปกรณ์ท่ีจำ�เป็นต้องใช้ ให้
สอดคลอ้ งกบั ผเู้ ขา้ อบรม วางแผนเตรยี มการ เรอ่ื ง
ของสถานที่ เวที โตะ๊ เกา้ อี้ ใหส้ อดคลอ้ งกบั จ�ำ นวน
ผู้เข้าอบรม
จัดอบรมเชิงปฏิบัติการฯ ในวันท่ี 14
กรกฎาคม 2560 ณ หอ้ งโถงชัน้ 1 สถาบันวิจยั
ศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม
จดั ท�ำ สอ่ื วดี ทิ ศั น์ รายงานผลโครงการ น�ำ 87โคนรงการมากกว่าทีต่ งั้ ไว้ รวมท้ังส้นิ 87 คน
เสนอผลงาน ในรปู ของเลม่ สมบรู ณแ์ ละนำ�เสนอใน
การประชุมวชิ าการ
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน 45
ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจยั คร้งั ท่ี 13 : สาขาทำ�นบุ ำ�รุงศลิ ปวัฒนธรรม”
นนนชชุุมมอออ ภูมิปัญญาท้องถ่ิน มีความรู้ เกิดทักษะ สามารถ
ชุม น�ำ ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นงานประเพณแี ละกจิ กรรมของ
หน่วยงาน และถ่ายทอดความรูใ้ หก้ บั บคุ คลอนื่ ได้
1 กจิ กรรม
3. มีการเช่ือมโยงกับการเรียนการสอน
และการวิจัย เช่น การต่อยอดพัฒนาเป็นหนังสือ
ต�ำ รา หรอื งานวจิ ยั อยา่ งนอ้ ย 1 เร่อื ง
4. มีวีดิทัศน์การแกะสลักลายไทยแบบ
นูนต่�ำ เบอื้ งตน้ 1 เรอื่ ง
การบูรณาการภารกิจ (4 In 1)
1. ดา้ นการจดั การเรียนการสอน
ตอ่ ยอดสวู่ ดี ทิ ศั นเ์ รอื่ ง “การแกะสลกั ลาย
ไทยแบบนูนตำ่�เบ้ืองต้น” ในรายวิชาศิลปะและ
น หตั ถกรรมพน้ื บา้ น
กกกนนนนนรราาามม”””รรร ภภภาาาพพพกกกิจจิ จิ กกกรรรรรรมมมอออบบบรรรมมม“““กกกาาารรรแแแกกกะะะสสสลลลักักกั ลลลาาายยยไไไทททยยยเเเบบบือ้้ือ้อื งงงตตต้นนน ””” 2. ดา้ นการวิจัย
ขรอมง ภาพกจิ กรรมอบรม “การแกะสลักลายไทยเบื้องตน ” ต่อยอดการวิจัย เรื่อง “ช่างอีสาน:
ขขชชชาาดดดมมออใใในนนรรงงูู
ภมู ปิ ัญญาด้านศลิ ปะการแกะสลกั ไม้”
3. ด้านการบริการวชิ าการแกส่ งั คม
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “การแกะสลัก
ลายไทยแบบนูนต่ำ�เบื้องต้น” เพื่อส่งเสริมความรู้
ทักษะทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมถือเป็น
กจิ กรรมทถี่ า่ ยทอดความรแู้ ละทกั ษะโดยการลงมอื
ปฏิบัติจริง และเพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถ
ามรู พัฒนาต่อยอดนำ�ความรู้ท่ีได้จากการอบรมไป
ประยุกต์ใช้ได้หลากหลายวิธีให้สอดคล้องกับ
ภภาาภพพาผผพูเูเ ผขข้เูาาขออ้าบบอรรบมมรรรมับับรฟฟับงงฟกกงั าากรราบบรรรบรรรยยราายยยาจจยาาจกกาววกทิิทวิทยยาายกการรกร ยุคสมัยปจั จบุ ัน
ฏฏฏสสแแแวววิิ้้นนกกกาาา บบผศศศผผลิิิลลคุุคลลลกผแปปปลลทททลับลาาะะะภ่ี่คค่คีีะศกกกกกทาบาาาลิาาารรพี่คดดดคุรรรปผเเ111222แแแวววาลกกะูเ......กกกขาาาาด21ิดดิกนนนจจจผผผาะะะกคค..วาอสสสะะะัััูููกกกเเเรผววนรบขขข่าลลลไไไเเเาาเู้แเดดดักรรรรกกัักัาาาขจกมมกีีีมยยยรรรเรรรลลลา้ ตตดะิระัััรบบบนนนบับัับราาาไยีรรคับดสบัยยยกกกะะนวฟไไไลก้รหหาาานนนาทททงกัรรรานนับนมิิิสสสกยยยอออรลักกัิิิาตตตตสิแแแอบบบารถถรติบบบบบยรรรนนนึงึงะบบบมมมรไรคคััักกกหนทรนนนมเเเุณุณศศศนยักกกกยููนนูนเึึึกกกาคคกิิิศกดดดัแตตตยษษษาาดิกึอออถบ่าํา่่ําํจททาาาองงงงษึาบาาคคคคงก444าคคคงงนคณุคคคว000ดดรรรูนิทคค์วววููู///าาคชชชอออยตราาาวนนิ้น้ินนิ้า่าาาาู/มมมาำ�่ ทกอจจจ มรรร4ราาาาาูููเเเรงรรรกกก0จเู้ ดยยยก่ีี่่ียยยาชา้ยี่รวววแแแนนิ้ยวกกกลลล์ััับบบะะะ 4. ด้านการทำ�นบุ ำ�รุงศลิ ปวัฒนธรรม
ส้ิน นกั เรยี น นสิ ติ นกั ศกึ ษา ครู และบคุ ลากร
มสี ว่ นรว่ มในการท�ำ นบุ �ำ รงุ ศลิ ปวฒั นธรรม ความรู้
ความเข้าใจและเกิดทักษะโดยนิสิตมหาวิทยาลัย
มหาสารคาม มีส่วนร่วมในงานทำ�นุบำ�รุง
ศิลปวัฒนธรรม ภายใต้โครงการอบรมเชิง
บคุ ลากร เกดิ ความตระหนักถึงคุณคาทางดาน
46 เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน
ในงานการประชมุ วิชาการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวจิ ัย ครั้งท่ี 13 : สาขาทำ�นบุ ำ�รุงศลิ ปวัฒนธรรม”
นาําไไปป ปฏิบัติการ “การแกะสลักลายไทยแบบนูนต่ำ� เครือข่ายภายนอกที่ให้การหนุนเสริมหรือ
ยงงาานน สทสภแเืืบบาบลมูงสสอ้ื ดะดปิาางาวนาญัตนนัฒนภน้ภญศศูนม”ิูลมาิลิปธเปิปดพปญระา้ญะรอื่แญนแมสลญศาละง่ ดาลิวะเซสดัาฒวปึ่งรนัาฒถหนมินศือธนตั คิลศรเถธวปปริลรกามห็นปรมรัตมกหซรรถมาู่ึงัตทซกถรขถกั่ึงเรืออรกถษรเงียปมรือะชนรนขเทาปมรกอตาู้แนขงาอิงลรชกดอกี เาะาง้ารทตสียนรชาิอเืนบาศงรีกตรสลิหียทูแิอปานนลาีนกะรง่ึงะทูแลางะ ให้ความร่วมมือในการดำ�เนินโครงการ
คณะวัฒนธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม อนุเคราะห์วิทยากรและนิสิตช่วย
หหนนึง่ึง่ งานและเข้าร่วมโครงการ และโรงเรียนระดับ
ะกกาารร มธั ยมศกึ ษา ทส่ี ง่ เสรมิ สนบั สนนุ ครแู ละนกั เรียน
เข้าร่วมกิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัติการ “ศิลปะ
การแกะสลักลายไทยแบบนูนต่ำ�เบื้องต้น” เพื่อ
ส่งเสริมความรู้ ทักษะทางด้านศิลปะและ
นนตตํ่า่ํา วัฒนธรรม จึงทำ�ให้การดำ�เนินงานเป็นไปด้วย
ความเรียบร้อย และเกิดประสิทธิภาพสงู สุด
ภภภาาาพพพผผผลลลงงงาาานนนผผผเู เู้ขขเู าขา้ ออา บอบรบรมมรททมีเ่ เี่ทกกิด่เีิดกจจิดาากจกโาโคคกรรโงงคกกราางรรกฯฯารฯ ผลสัมฤทธิ์ของโครงการ
บทบาทขอบงนทสิบิตาททม่ี ขตีอองกนาิสริตททําง่ีมาีตน่อรวกมากรบัทอำ�างจาานรรย่ว ม
สลัก บกทับบอาาทจขานรอิสยงิต์นมิสหติาวทิทีม่ ยตี าอลัยกมารหทาสําางราคนารมวมมีสกวับนอราวจมาใรนย กระบวนการเรยี นรแู้ ละการจดั การความรู้
แบบมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายในการจัดอบรม
ะสแลลักะ เชิงปฏิบัติการ “การแกะสลักลายไทยแบบนูนต่ำ�
เบอื้ งตน้ ” เพอ่ื สง่ เสรมิ ความรู ทกั ษะทางดา้ นศลิ ปะ
และ
าน : การดําเนินนนงิสาสิ ิตนติ มใมนหหโาคาวรวิงททิ กยาารลฯัยไมดหแากสสจาาัดรรคเคตาารมีมยมมมเสี คีสว่ รวนื่อนรงว่รมมวือมใน และวัฒนธรรม ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2560
กวใัาสนรดกดุอาํ ุปรเนดกินำ�รเงณนาินในงในากนโาคใรนรจงโัดกคอารบรงฯกรามไรเดฯชแิงกไปดจฏ้แัดิกบเั่ตตจิรกีัดยาเมรตเรคกียรา่ืมอรงมือ ณ หอ้ งโถง ชน้ั 1 สถาบนั วจิ ยั ศลิ ปะและวฒั นธรรม
น: ปบวปบตกเััรสัรคนนาดิะะดรทสรทสต่ือุาอึากึ่อกนกงุนปภปมงภางากรารืาอานะบพนรวพสนัณัสกากทดานใาึกรุอนงรอภุปากอบนากาบพรรรมกรณจามั์ดใรนกออกาบกบารรารรจมรมจัดจัดเทกัดชอําาิงทบรหปจํรานดัมฏหังทเิ บนสชำ�ัืัิงตองหปิตสกนฏิืดอาังิบสตรตัตอืิอดกิ ตา อร อีสาน มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม ในครัง้ น้ี พบวา่
กลุ่มเป้าหมายเกิดการต่ืนตัวที่จะได้รับความรู้ มี
ความพรอ้ มในเขา้ รว่ มในกจิ กรรมโครงการทจี่ ดั ขน้ึ
คณะทีมงานเกิดการเรียนรู้ ได้ประสบการณ์ใน
กา ร การทำ�งานร่วมกัน อันก่อให้เกิดความเข้าใจและ
สัมพันธภาพอันดีต่อกัน ส่งผลให้โครงการเกิด
วามรู ผลสมั ฤทธด์ิ ังนี้
กรามรที่
าแมลระู 1. การบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคก์ ารด�ำ เนนิ งาน
ดมนทําี่ 1.1 มกี ารด�ำ เนนิ งานฝึกอบรมเชงิ ปฏิบตั ิ
การ “การแกะสลักลายไทยแบบนูนตำ่�เบื้องต้น”
าแยลวะิธี ภาพนสิ ิตบันทึกภาพเคล่ือนไหวและภาพน่งิ เพ่ือส่งเสริมความรู้ ทักษะทางด้านศิลปะและ
ดนํา วัฒนธรรม
ยวิธี
เครือขภาายพภนาิสยสิติตนบบอันันกทททกึ ึกี่ใภหภากพาพาเครเลคห่อื ลนนอ่ื ุนไนหเไสวหแรลวิมะแหภลราะือพภในาหิง่พคนวง่ิ าม 1.2 มีผลงานท่ีเกิดจากการอบรมเชิง
และ ปฏิบัติการ “ศิลปะการแกะสลักลายไทยแบบ
ธรรม รวมมอื ในการดาํ เนินโครงการ นูนตำ่�เบ้ืองต้น” ของกลุ่มเป้าหมายท่ีสามารถนำ�
ไปประยุกต์ใช้ในกจิ กรรมขององคก์ รหรอื ชุมชนได้
ยกแธารกาลลรรลษลราัมยะัมยยะ เครือขาคยณภาะยวนั ฒอนกธทรี่ใรหมกศารา หส ตนุรน เมสหริมาหวิ รทือยใาหลคั ยวาม
รเมสขวงหาเมาสรสมรวาิมอืมรสใโคนนคคาับรมกณงสาอกนระนาุดนวุเรคัาํ ฒคเแรนราลนูแะนิะลหธโโะวรครนิทงรรักเยงมรเากีรยกศียานรรนารแเสะลขดะตาันบรริสวม ิมตัธมกชยิหวจมยกศางรึกวารษนิมทแกายลาทะราี่ ลั ย
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน 47
ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครงั้ ที่ 13 : สาขาท�ำ นบุ ำ�รงุ ศลิ ปวัฒนธรรม”
1.3 ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถนำ�องค์ เพ่ือส่งเสริมความรู้ ทักษะทางด้านศิลปะและ
ความรู้ท่ีได้ไปประยุกต์ใช้และพัฒนาต่อยอดเป็น วัฒนธรรม ให้กับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียน
ผลติ ภัณฑใ์ หม่ได้ นิสิต นักศึกษา ครู/อาจารย์ และบุคลากร รวม
ทงั้ สนิ้ 87 คน ผลการประเมนิ ระดบั ความพงึ พอใจ
2. การบรรลเุ ป้าหมาย ต่อการจัดโครงการอบรม เชิงปฏิบัติการ “ศิลปะ
การจัดโครงการดังกล่าวจะต้องมีกลุ่ม การแกะสลักลายไทยแบบนูนตำ่�เบ้ืองต้น” เพ่ือ
เป้าหมายร่วมโครงการไม่ตำ�่ กว่า 40 คน ซงึ่ ได้แก่ ส่งเสริมความรู้ทักษะด้านศิลปะและวัฒนธรรม
นกั เรยี น นสิ ติ นกั ศกึ ษา คร/ู อาจารย์ และบคุ ลากร ผู้ตอบแบบประเมินอยู่ในเกณฑ์พึงพอใจมากท่ีสุด
ผลปรากฏว่ามีกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมโครงการ 8 ขอ้ และอยใู่ นเกณฑ์พึงพอใจมาก 2 ข้อ หาก
มากกวา่ ทต่ี งั้ ไว้ รวมทัง้ สิน้ 87 คน พิจารณาภาพรวมเป็นรายด้าน พบวา่
3. การบรรลุผลประโยชน์ตัวชี้วัดความ
สำ�เร็จ ด้านประเด็นคุณภาพ มีค่าเฉล่ียสูงสุด
1) เชิงปรมิ าณ 4.60 อยใู่ นเกณฑพ์ งึ พอใจมากทส่ี ดุ หากพจิ ารณา
- จำ�นวนผู้เข้าร่วมโครงการมีความ เป็นรายขอ้ เรยี งจากมากไปหานอ้ ย 3 อนั ดบั แรก
พึงพอใจตอ่ การจัดโครงการ ร้อยละ 99.00 พบว่า ผู้ตอบแบบประเมินมีระดับความพึงพอใจ
- เกิดองค์กรเครือข่าย 1 เครือ คือ ต่อการจัดโครงการฯ อันดับที่ 1 คือ พึงพอใจที่
ค ณ ะ วั ฒ น ธ ร ร ม ศ า ส ต ร์ ม ห า วิ ท ย า ลั ย จะสามารถนำ�ความรู้จากการเข้าร่วมโครงการฯ
มหาสารคาม ไปใช้ประโยชน์ มีค่าเฉล่ียเท่ากับ 4.64 อันดับ
- มวี ดี ทิ ศั น์ เรอื่ ง “ศลิ ปะการแกะสลกั ที่ 2 คือ พึงพอใจต่อวิทยากรมีความสามารถใน
ลายไทยแบบนูนต�่ำ เบื้องตน้ ” การถ่ายทอดความรู้เป็นอย่างดี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ
- มีการจัดแสดงนิทรรศการหรือ 4.62 และอันดบั ที่ 3 คือ พงึ พอใจตอ่ เจา้ หนา้ ที่
น�ำ เสนอผลงานในการประชมุ วิชาการ ที่บริการด้วยความสุภาพ และด้วยไมตรีจิต มีค่า
- มีคู่มอื และหนงั สือเล่มเลก็ เผยแพร่ เฉลี่ยเท่ากบั 4.58 และหากพจิ ารณา
เรื่อง “ศิลปะการแกะสลักลายไทยแบบนูนตำ่�
เบื้องต้น” ภาพรวมเฉลยี่ ทัง้ 5 ดา้ น พบว่า ผตู้ อบ
2) เชิงคณุ ภาพ แบบสอบถามมีระดับความพึงพอใจมากที่สุด
- เกดิ ความรแู้ ละทกั ษะสามารถลงมอื เฉล่ีย 4.51
ปฏบิ ตั ติ ามขนั้ ตอนของการเขยี นศลิ ปะลายรดน�้ำ ได้
- มีเจตคติท่ีดีต่อกิจกรรม รักและ ประโยชน์และสร้างคุณค่าต่อสถาบัน
ภมู ิใจงานดา้ นศลิ ปวัฒนธรรม
4. ร้อยละความพึงพอใจของผู้เข้าร่วม บทบาทของนิสิตท่ีมีต่อการทำ�งานร่วม
โครงการ กับอาจารย์/ผู้รับผิดชอบโครงการ โดยนิสิต
จากการจัดการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามและ มีส่วนร่วมในการ
“ศิลปะการแกะสลักลายไทยแบบนูนตำ่�เบื้องต้น” ด�ำ เนนิ งานในโครงการฯ ไดแ้ ก่ จดั เตรยี มเครอ่ื งมอื
วัสดุอุปกรณ์ในการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ การ
บันทึกภาพการประชุม การจัดทำ�หนังสือติดต่อ
ประสานงาน และรว่ มเป็นพ่เี ล้ยี งในการอบรมกับ
ผรู้ บั ผดิ ชอบโครงการ เพอื่ ถา่ ยทอดความรบู้ ทบาท
48 เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน
ในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครงั้ ท่ี 13 : สาขาท�ำ นุบำ�รุงศลิ ปวฒั นธรรม”
ของนสิ ติ ทมี่ ตี อ่ การท�ำ งานรว่ มกบั อาจารย/์ ผรู้ บั ผดิ การนำ�ผลไปปรับปรงุ การดำ�เนนิ งาน
ชอบโครงการ โดยนสิ ติ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม การจัดโครงการการแกะสลักลายไทย
และ มีส่วนร่วมในการดำ�เนินงานในโครงการฯ แบบนนู ต�ำ่ เบอื้ งตน้ เพอ่ื สง่ เสรมิ ความรู้ ทกั ษะดา้ น
ได้แก่ จัดเตรียมเคร่ืองมือวัสดุอุปกรณ์ในการจัด ศิลปวฒั นธรรม ในวันศกุ รท์ ี่ 14 กรกฎาคม 2560
อบรมเชิงปฏิบัติการ การบันทึกภาพการประชุม ณ หอ้ งโถงสถาบนั วจิ ยั ศลิ ปะและวฒั นธรรมอสี าน
การจดั ท�ำ หนงั สอื ตดิ ตอ่ ประสานงาน และรว่ มเปน็ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีข้อคิดเห็นและข้อ
พี่เล้ียงในการอบรมกับผู้รับผิดชอบโครงการ เพ่ือ เสนอแนะของผู้เข้าร่วมโครงการ เป็นข้อมูลท่ีเป็น
ถา่ ยทอดความรู้ “ศลิ ปะการแกะสลกั ลายไทยแบบ ประโยชน์อย่างย่ิงต่อผู้ดำ�เนินการจัดงาน ท่ีจะนำ�
นนู ตำ�่ เบือ้ งตน้ ” ใหก้ บั กล่มุ เป้าหมาย ฯลฯ ไปบรรจุเป็นวาระการประชุม เพื่อร่วมกันปรึกษา
หารอื ปรับปรงุ แกไ้ ขการดำ�เนินงานจัดงานฯ ใหม้ ี
ระดับสงั คมและชมุ ชน ประสทิ ธภิ าพสงู สดุ ในการจดั โครงการในครง้ั ตอ่ ไป
นสิ ติ คณะวฒั นธรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั
มหาสารคามและคณะครู นักเรียน โรงเรียนระดับ สรุปผลการดำ�เนินงาน
มัธยมศึกษาในภาคอีสาน ซ่ึงมีความรู้และทักษะ
ด้านศิลปะเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ซ่ึงหากนำ�ความรู้ การจัดโครงการ การอบรมเชิงปฏิบัติ
เดิมบวกกับความรู้ใหม่ที่ได้จากการอบรมมา การ “ศิลปะการแกะสลกั ลายไทยแบบนนู ต�่ำ เบ้อื ง
ประยุกต์ใช้และพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือผลงานใหม่ ต้น” เพื่อส่งเสริมความรู้ ทักษะทางด้านศิลปะ
ที่เพ่ิมคุณค่าภูมิปัญญาด้านศิลปะและวัฒนธรรม และวฒั นธรรม ในวันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2560
และยงั สามารถถา่ ยทอดความรทู้ ไี่ ดร้ บั ใหก้ บั บคุ คล ณ หอ้ งโถงสถาบนั วจิ ยั ศลิ ปะและวฒั นธรรมอสี าน
อื่นได้ เป็นการขยายขอบเขตความรู้เร่ืองการแกะ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีข้ันตอนการดำ�เนิน
สลักลายไทยเบอื้ งตน้ ให้กวา้ งขวางขนึ้ งานและกิจกรรมท่ดี ำ�เนินการ ในระยะต้นน้ำ� เรม่ิ
การเกิดประโยชน์และสร้างคุณค่าทาง ตงั้ แตด่ ำ�เนินการขออนมุ ัตดิ �ำ เนินโครงการ ด�ำ เนิน
สงั คม การจัดทำ�คำ�ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการดำ�เนินงาน
ด้วยความตระหนกั ในคุณค่าความสำ�คญั ดำ�เนินการประสานกับฝ่ายต่างๆ ดำ�เนินการจัด
ของงานด้านทำ�นุบำ�รุงศิลปวัฒนธรรมท้องถ่ิน ทำ�หนังสือราชการที่เกี่ยวข้อง ดำ�เนินการจัดทำ�
อีสาน ความมุ่งม่ันสร้างสรรค์และปณิธานท่ี รายละเอียดตารางอบรม ดำ�เนินการจัดทำ�คำ�
ต้ังไว้ สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน กลา่ วรายงานและค�ำ กลา่ วเปดิ งาน ดำ�เนนิ การจดั
มหาวิทยาลยั มหาสารคาม ได้ด�ำ เนินกจิ กรรมงาน เตรียมเคร่ืองมือ วัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดอบ
อนรุ ักษ์ ส่งเสรมิ ทำ�นุบำ�รุง และเผยแพรง่ านดา้ น รมฯ ดำ�เนินการจัดทำ�ใบลงทะเบียน ดำ�เนินการ
ศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นอีสานอย่างต่อเนื่อง จดั ทำ�แบบประเมินผลโครงการอบรม ดำ�เนนิ การ
เพื่อให้งานศิลปะและวัฒนธรรมของชาติไทยได้ จัดทำ�เอกสารประกอบการอบรมฯ ระยะกลาง
ดำ�รงคงเอกลักษณ์และสืบทอดให้เป็นท่ีประจักษ์ นำ้� วางแผนเตรียมการ ดำ�เนินการจัดอบรมเชิง
แกบ่ รรพชนสบื ไป โดยการจัด โครงการการอบรม ปฏิบัติการฯ จดั นทิ รรศการการ จัดท�ำ ส่อื วดี ิทศั น์
เชิงปฏิบัติการ “ศิลปะการแกะสลักลายไทยแบบ รายงานผลโครงการ นำ�เสนอผลงาน ในรูปของ
นูนตำ่�เบื้องต้น” เพ่ือส่งเสริมความรู้ ทักษะทาง เล่มสมบูรณ์และนำ�เสนอในการประชุมวิชาการ
ดา้ นศลิ ปะและวัฒนธรรม และระยะปลายน้ำ� มีผลการดำ�เนินงานที่บรรลุ
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน 49
ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวทิ ยาลัยมหาสารคามวิจัย ครง้ั ท่ี 13 : สาขาทำ�นบุ �ำ รุงศิลปวัฒนธรรม”
วัตถุประสงค์การดำ�เนินงานคือ มีการดำ�เนินงาน และวฒั นธรรม ในวันศุกร์ท่ี 14 กรกฎาคม 2560
ฝกึ อบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารถา่ ยทอดความรแู้ ละทกั ษะ ณ หอ้ งโถงสถาบนั วจิ ยั ศลิ ปะและวฒั นธรรมอสี าน
ศิลปะการแกะสลักลายไทยแบบนูนตำ�่ เบือ้ งต้น มี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สำ�เร็จลุล่วงได้ด้วยดี
ผลงานศิลปะการแกะสลักลายกรอบรูปจากการ ด้วยความร่วมมือและอำ�นวยความสะดวกในด้าน
ฝึกอบรมของกลุ่มเป้าหมาย ผู้เข้าร่วมโครงการ ต่างๆ จากทกุ ท่านเป็นอยา่ งดี
สามารถนำ�องค์ความรู้ท่ีได้ไปพัฒนาต่อยอดเป็น
ผลิตภัณฑ์หรือนำ�ไปประยุกต์ใช้กับกิจกรรมต่างๆ ขอขอบคุณอาจารยป์ ระเทศ ปัจจังคะตา
ในโรงหรือชุมชนได้ บรรลุเป้าหมายอีกประการ วทิ ยากรผเู้ ชยี่ วชาญดา้ นการแกะสลกั ลายไทย และ
หนึ่งคือตั้งกลุ่มเป้าหมายร่วมโครงการไม่ต่ำ�กว่า อาจารยท์ ศพร ปอศริ ิ วทิ ยากรผเู้ ชยี่ วชาญดา้ นลาย
40 คน ผลปรากฏว่ามีกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วม ไทย ทไี่ ดก้ รณุ าเสยี สละเวลามาถา่ ยทอดองคค์ วามรู้
โครงการมากกว่าทีต่ ั้งไว้ รวมท้งั ส้ิน 87 คน อกี ทง้ั ด้าน “ศิลปะการแกะสลักลายไทยแบบนูนตำ่�
บรรลผุ ลประเมนิ ตวั ชว้ี ดั ความส�ำ เรจ็ ในเชงิ ปรมิ าณ เบื้องต้น” ให้กับผู้เข้าร่วมโครงการในครั้งน้ีเป็น
จำ�นวนผู้เข้าร่วมโครงการมีความพึงพอใจต่อการ อยา่ งสูง
จัดโครงการ ร้อยละ 99.00 เกดิ องค์กรเครอื ข่าย
1 องค์กร คณะวัฒนธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย ข อ ข อ บ คุ ณ ค ณ ะ ผู้ บ ริ ห า ร แ ล ะ
มหาสารคาม มีวีดิทัศน์ เร่ือง “ศิลปะการแกะ บุคลากรสถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน
สลักลายไทยแบบนูนตำ่�เบ้ืองต้น” มีการจัดแสดง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ส่งเสริมสนับสนุน
นิทรรศการหรือนำ�เสนอผลงาน ในการประชุม และอ�ำ นวยความสะดวกในดา้ นตา่ งๆ ตลอดระยะ
วิชาการ มีหนังสือเล่มเล็กและวีดิทัศน์เผยแพร่ การด�ำ เนนิ งานโครงการ
เรอ่ื ง “ศลิ ปะการแกะสลกั ลายไทยแบบนนู ต�่ำ เบอ้ื ง
ตน้ ” มชี ิ้นงานที่เกดิ จากการอบรมตามจำ�นวนการ ขอขอบคุณ ผู้บริหารสถานศึกษา
แบง่ กลมุ่ กลมุ่ รวม 6 ช้นิ งาน ในเชิงคุณภาพ เกิด ท่ีอนุญาตุให้ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ครู/
ความรู้และทักษะสามารถลงมือปฏิบัติอบรมเชิง อาจารย์ เข้าร่วมโครงการและขอบคุณกลุ่มผู้เข้า
ปฏิบัติการ “การแกะสลักลายไทยแบบนูนต่ำ� ร่วมโครงการทุกทา่ น ท่ที ุ่มเทก�ำ ลังใจก�ำ ลังกายใน
เบ้ืองต้น” มีเจตคติท่ีดีต่อกิจกรรม รักและภูมิใจ จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ “ศิลปะการแกะสลัก
งานดา้ นศลิ ปวฒั นธรรม ลายไทยแบบนูนต่ำ�เบ้ืองต้น” เพ่ือส่งเสริมความรู้
ทักษะทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมให้เกิดขึ้น
อย่างเตม็ ที่
ประกาศคุณูปการ ขอขอบคุณ กองส่งเสริมการวิจัยและ
บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ท่ี
การจดั โครงการท�ำ นบุ �ำ รงุ ศลิ ปวฒั นธรรม ได้กรุณาสนับสนุนทุนอุดหนุนโครงการ อัน
“โครงการหน่ึงคณะหน่ึงศิลปวัฒนธรรม” ประจำ� เป็นประโยชน์อย่างย่ิงต่อการอนุรักษ์สืบทอด
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เรื่อง การอบรมเชิง ภูมิปัญญาของชาติโดยเฉพาะด้านศิลปะ อบรม
ปฏบิ ตั กิ าร “ศลิ ปะการแกะสลกั ลายไทยแบบนนู ต�ำ่ เชิงปฏิบัติการ “ศิลปะการแกะสลักลายไทยแบบ
เบอื้ งตน้ ” เพอื่ สง่ เสรมิ ความรู้ ทกั ษะทางดา้ นศลิ ปะ นนู ต่ำ�เบ้อื งตน้ ”
50 เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน
ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวจิ ยั ครั้งท่ี 13 : สาขาทำ�นบุ �ำ รุงศิลปวัฒนธรรม”
เอกสารอ้างอิง
จีรพนั ธ์ สมประสงค์. (2532). ศิลปะประจำ�ชาติ. กรุงเทพฯ: โอ. เอส.พร้นิ ติ้ง.
พระเทวาภินมิ มิต. (2486). ตำ�ราลายไทย. กรุงเทพฯ: นคร เขษมบุ๊คสโตร์.
ภญิ โญ สุวรรณคีร.ี (2545). ลายไทย. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ.์
เศรษมันตร์ กาญจนกุล. เส้นสายลายไทย (ชดุ ฐานเบือ้ งตน้ การเขยี นลายไทย). กรุงเทพฯ.