The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มอดขี้ขุยในประเทศไทย-Bostrichidae of Thailand

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by AJ Wisut, 2023-05-25 23:25:38

มอดขี้ขุยในประเทศไทย-Bostrichidae of Thailand

มอดขี้ขุยในประเทศไทย-Bostrichidae of Thailand

สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 44 ห้วยขาแข้ง) เชียงใหม่ (อุทยานแห่งชาติผ้าห่มปก) ล าพูน (อุทยานแห่งชาติแม่ปิง) ระดับประชากรของ มอดขี้ขุยสูงสุดในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ในขณะที่ในป่าเบญจพรรณในจังหวัดเชียงใหม่ (เขตรักษา พันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว) ระดับประชากรของมอดขี้ขุยสูงสุดในเดือนมกราคม-มีนาคม และจังหวัดเลย (เขต รักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง) ระดับประชากรของมอดขี้ขุยสูงสุดในเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ในพื้นที่ป่าดิบ เขาในจังหวัดเชียงใหม่ (อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์) น่าน (อุทยานแห่งชาติดอยภูคา) และจังหวัด ชัยภูมิ (เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว) ระดับประชากรของมอดขี้ขุยสูงสุดในเดือนพฤศจิกายน-มกราคม ศัตรูธรรมชำติ (natural enemies) ในธรรมชาติพบศัตรูธรรมชาติของมอดขี้ขุยหลากหลายกลุ่ม ได้แก่ ด้วงกระดูกสัตว์วงศ์ Cleridae ด้วงขี้ควายวงศ์Histeridae มอดแป้งตัวห้ าบางชนิดในวงศ์Tenebrionidae มวนตัวห้ าวงศ์ Anthocoridae, Reduviidaeและแตนเบียนหลายชนิดในวงศ์ Bethylidae, Epyrinae, Pteromalidae เป็นต้น ในมอดขี้ขุยศัตรูส าคัญทางการเกษตรมีการทดลองใช้ศัตรูธรรมชาติหลายชนิดในการควบคุม ประชากรของมอดขี้ขุยทั้งตัวห้ าและตัวเบียนและชีวภัณฑ์โดยศัตรูธรรมชาติที่มีการวิจัยและทดลองใช้ มากที่สุดได้แก่ ด้วงขี้ควายชนิด Teretrius nigrescens เชื้อรา Beauveria bassiana, Metarhizium anisopliae แบคทีเรีย Bacillus thuringiensis อย่างไรก็ตามเป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ยังไม่น าไปใช้งานจริงในการควบคุมมอดขี้ขุยในโรงเก็บ ในประเทศไทยจากการส ารวจมอดท าลายไม้ยางพาราแปรรูปของผู้เขียนพบตัวห้ าและตัวเบียน หลากหลายกลุ่ม กลุ่มที่พบมากที่สุด ได้แก่ แตนเบียนในวงศ์ Braconidae, Chalcididae และวงศ์ Pteromalidae โดยพบการเบียนทั้งระยะหนอนและดักแด้ แตนเบียนเหล่านี้มีความสามารถในการใช้ ประสาทสัมผัสของอวัยวะส าหรับวางไข่ (ovipositor) ในการค้นหาตัวอ่อนของมอดที่เหมาะสมต่อการ วางไข่ของแตนเบียนจากภายนอกไม้และสอดอวัยวะส าหรับวางไข่ผ่านเนื้อไม้เข้าไปเพื่อวางไข่ในตัวอ่อน ของมอด ระยะของตัวอ่อนของมอดที่แตนเบียนเบียนคาดว่าเป็นระยะตัวหนอนระยะที่ 2-3 เนื่องจาก เมื่อผ่ารังของมอดออกมาดูพบว่าแตนเบียนส่วนใหญ่ออกจากตัวหนอนมาเข้าดักแด้บริเวณที่มอดเข้า ดักแด้จากการสังเกตอัตราการเบียนต่อตัวหนอนของมอดหนึ่งตัว พบดักแด้ของแตนเบียนขนาดเล็ก มากกว่าหนึ่งตัว ในขณะที่แตนเบียนขนาดใหญ่จะพบเพียงตัวเดียว เมื่อแตนเบียนโตเป็นตัวเต็มวัยแมลง จะเจาะรูทะลุไม้ออกมาสู่ภายนอก โดยลักษณะรูทางออกของแตนเบียนมีลักษณะกลม ขนาดเล็กกว่ารู ทางออกของมอด ศัตรูธรรมชาติที่พบรองลงมา ได้แก่ ด้วงกระดูกสัตว์วงศ์ Cleridae ด้วงกระดูกสัตว์ ทั้งตัวหนอนและตัวเต็มวัยล่ามอดขี้ขุย โดยตัวเต็มวัยดักรอเหยื่อภายนอกและกัดเนื้อไม้เพื่อหาเหยื่อใน ขณะที่ตัวหนอนจะชอนไชเข้าไปในรังหรือทางเดินของตัวหนอนของมอดขี้ขุยที่มีขุยอัดแน่นอยู่เพื่อหา เหยื่อและจับตัวหนอนเป็นอาหาร ตัวห้ ากลุ่มอื่น ๆ ที่พบบ้างแต่มีปริมาณไม่มากนัก ได้แก่ ด้วงในวงศ์ Brentidae, Cucujidae, Tenebrionidae และมวนเพชฌฆาตในวงศ์ Reduviidae เป็นต้น


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 45 ทที่ 4 ลักษณะสัณฐำนวิทยำและ ค ำส ำคัญในกำรจ ำแนกชนิด บ ในการจ าแนกกลุ่มทางอนุกรมวิธานของมอดขี้ขุยใช้ “ลักษณะสัณฐำนวิทยำ” บางลักษณะในการ จ าแนกที่ส าคัญ ได้แก่ หนวดและปลายหนวดปล้องที่ขยายใหญ่ด้านหน้าของหัว ต าแหน่งของการ เชื่อมต่อของหัวกับอกปล้องแรกและลักษณะของลาดปลายปีก เพื่อให้ง่ายต่อการจ าแนกชนิด ผู้ใช้ หนังสือควรศึกษาลักษณะสัณฐานวิทยาและค าส าคัญในการจ าแนกชนิดเสียก่อน


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 46


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 47


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 48


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 49


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 50


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 51


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 52


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 53


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 54 ดัชนีค ำศัพท์ทำงสัญฐำณวิทยำที่ส ำคัญในกำรจ ำแนกชนิดมอดขี้ขุย ค ำศัพท์ ค ำภำษำไทย ค ำบรรยำยเพิ่มเติม abdomen ท้อง ส่วนปลายสุดของล าตัวมอดขี้ขุย มองเห็น 5 ปล้อง ปล้องที่ 1 ของมอดในวงศ์ย่อย Lyctinae และปล้องที่ 4 และ 5 ของมอดบางชนิดในเผ่า Xyloperthini อาจมี รูปร่างเปลี่ยนแปลงจากเดิม acute แหลม ใช้บรรยายลักษณะปลายของหนาม ปุ่ม เกล็ด ที่มี ลักษณะแหลม ไม่มนหรือทู่ angled มุม บริเวณที่ขอบเส้นล าตัวสองเส้นมาบรรจบกัน เช่น มุม ด้านหน้า/หลังของอกปล้องแรกเมื่อมองจากด้านบน มุม ของปีกที่เส้นขอบปีกล่างมาเชื่อมกับขอบลาดปลายปีก เป็นต้น antennal club หนวดปล้องที่ ขยำยใหญ่ ปลายหนวด 2 หรือ 3 ปล้องสุดท้ายของมอดขี้ขุยมีการ ขย ายใหญ่แบบลูกตุ้ม (capitate) กึ่งใบไผ่ (sublamellate) หรือใบไผ่ (lamellate) รูปแบบ ขนาด รูปร่าง รูปแบบของการขยายใหญ่ สัดส่วนของความยาว แต่ละปล้อง สัดส่วนความกว้างต่อความยาวของปล้องที่ ขยายใหญ่เป็นลักษณะส าคัญที่ใช้จ าแนกชนิดมอดขี้ขุย antennal fossa เบ้ำฐำนหนวด แอ่งตื้นบนส่วนหัวของแมลงที่รองรับการเชื่อมต่อกับ ปล้องฐานหนวด antennal fossa insertions ต ำแหน่ งขอ ง เบ้ำฐำนหนวด ต าแหน่งของเบ้าฐานหนวดบนส่วนหัวของมอดขี้ขุย ส่วนใหญ่อ้างอิงจากต าแหน่งเมื่อเทียบกับตารวมว่าอยู่ ด้านหน้า มุมล่าง หรือล่างตา antennomere ปล้องหนวด ส่วนประกอบย่อยแต่ละหน่วย (ปล้อง) ของหนวด anterior angle มุมหน้ำ (อกปล้องแรก) มุมด้านหน้าของอกปล้องแรกเมื่อมองจากด้านบน คือ บริเวณที่เส้นขอบด้านหน้ามาเชื่อมกับเส้นขอบด้านข้าง มีลักษณะแหลมหรือมน มักมีหนามหรือหนามคล้าย เกล็ด ในบางเผ่า เช่น Bostrichini หนามมีขนาดใหญ่ และยื่นคล้ายตะขอในเพศผู้หรือทั้ง 2 เพศ anterior margin ข อ บ ห น้ ำ (อกปล้องแรก ม อ ง จ ำ ก ด้ำนบน) ขอบด้านหน้าของปล้องอกปล้องแรก มีลักษณะเป็น ขอบตรง โค้งออก หรือเว้าเข้า ลักษณะของขอบ เช่น เว้าเข้าลึกรูปตัว U หรือ V ตรง โค้งออก แหลม หรือมี หนาม (medial teeth) ใช้เป็นลักษณะในการจ าแนก วงศ์ย่อย สกุล หรือชนิดได้เช่น มอดในวงศ์ย่อย Dinoderinae เผ่า Bostrichini เป็นต้น


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 55 ค ำศัพท์ ค ำภำษำไทย ค ำบรรยำยเพิ่มเติม anterior slope ลำดด้ำนหน้ ำ (อกปล้องแรก) พื้นที่ด้านบนของอกปล้องแรกส่วนที่ลาดเอียงด้านหน้า ถัดจากยอดกึ่งกลางปล้องอก (summit) มักมีพื้นผิว ขรุขระ มีกลุ่มขน หรือมีลักษณะเป็นหนามคล้ายเกล็ด พบในมอดขี้ขุยเทียมบางวงย่อย เช่น Bostrichinae, Dinoderinae เป็นต้น apical spur หนำมบริเวณ ปลำย (สุดของ หน้ำแข้ง) หนามขนาดใหญ่บริเวณส่วนปลาย อาจพบบริเวณปลาย สุดของปล้องรยางค์หรือส่วนอื่นของแมลง เช่น ปลาย สุดของหน้าแข้ง appressed ร ำ บ แ น บ กั บ ล ำตัว ลักษณะของขนบนปีกและล าตัวของมอดที่เอียงแนบชิด กับล าตัวและปีก มักเป็นเส้นขนเรียวบาง bituberculate หนำมคู่ ลักษณะของส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของมอดขี้ขุย ที่ มีหนามหรือสัน 1 คู่ หนามแต่ละอันมักมีขนาดและ ต าแหน่งเดียวกันในแต่ละด้านของแมลง เช่น บริเวณ ด้านหน้าของมอดสกุล Apate หรือขอบลาดปลายปีก ของมอดหลายกลุ่ม body length ควำมยำว ล ำตัว ความยาวทั้งหมดเมื่อวัดจากมุมมองด้านบนล าตัว จาก จุดปลายสุดด้านหน้า (ปลายสุดของกรามคู่บนในมอด ขี้ขุยแท้หรือขอบหน้าสุดของอกปล้องแรกในมอดขี้ขุย เทียม) ถึงปลายปีกไม่รวมหนาม broadly round กลมกว้ำง ใช้บอกรูปร่างของขอบหน้าของอกปล้องแรกที่มี ลักษณะโค้งออกยื่นไปด้านหน้าลักษณะกว้างเสมือน เป็นส่วนหนึ่งของเส้นรอบวงกลม canaliculae ร่องเล็ก (ขนำด เล็กมำก) ร่องขนาดเล็กบนส่วนของล าตัว ในมอดขี้ขุยใช้เรียกร่อง ประสาทสัมผัสบนหนวดปล้องที่ขยายใหญ่ที่มีลักษณะ เป็น ร่องขน านต ามค ว าม ย า ว พบในมอดส กุ ล Heterobostrychus capitate ห น ว ด แ บ บ ลูกตุ้ม หนวดของมอดขี้ขุยที่มีปล้องปลาย 2 หรือ 3 ปล้อง สุดท้ายขยายใหญ่กว่าปล้องอื่น ๆ ปล้องที่ขยายใหญ่ ขยายไปด้านปลาย ด้านข้างทั้งสองข้างมีลักษณะกว้าง สมดุลหรือเกือบสมดุล เส้นหนวดมีขนาดเล็กและปล้อง ที่ชยายแต่ละปล้องมีขนาดเท่าๆ กัน หรือใกล้เคียงกัน carina (carinated) สันคม รอยนูนยาวเป็นสันบนส่วนแข็งของล าตัว สันมีความ ยาวหรือความเด่นชัดแตกต่างกัน สันที่มีความคมชัด น้อยกว่าขอบมนไม่ชัด เรียก สันมน (costa/costated)


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 56 ค ำศัพท์ ค ำภำษำไทย ค ำบรรยำยเพิ่มเติม carinule ปุ่มเรียงเป็นสัน นูน ปุ่มขนาดเล็กเรียงเป็นแถวลักษณะแคบยาวเป็นสัน ใน มอดขี้ขุยใช้บรรยายลักษณะปุ่มนูนขนาดเล็กมากบน ฐานอกปล้องแรก (pronotal base) ของมอดสกุล Sinoxylon บางชนิด clypeo-frontal suture ร่องเหนือฐำน ริมฝีปำกบน แนวเส้นหรือร่องตื้น ๆ ตามขวางเหนือริมฝีปากบน ด้านหน้าส่วนหัวของมอดขี้ขุย clypeus ฐำนริมฝีปำก บน พื้นที่ระหว่างหน้ากับริมฝีปากบน มักมีลักษณะเป็นแผ่น แบน labrum ริมฝีปำกบน แผ่นแบนปิดด้านบนปากของแมลง concave เว้ำเข้ำ - contiguous แนบชิดติดกัน มักใช้กับการเรียงตัวของปล้องฐานขา (coxae) สองข้าง ที่มีลักษณะเรียงชิดติดกัน convex นูน (ออก) - cowled - ใช้บรรยายลักษณะของอกปล้องแรกของมอดขี้ขุยวงศ์ ย่อย Bostrichinae และ Dinoderinae ที่มีลักษณะ ขยายใหญ่โป่งออกจนคลุมส่วนหัวทั้งหมด มีลักษณะ คล้ายสวมหมวกคลุมศรีษะ (hooded) coxa (coxae) ปล้องฐำนขำ ปล้องขาปล้องแรกที่ยึดขากับปล้องอก coxal carvity เบ้ำฐำนขำ ช่องเปิดลักษณะค่อนข้างกลมบนด้านท้องของปล้องอก ที่ใช้เชื่อมต่อกับปล้องฐานขา cryptonephridism - ระบบทางเดินอาหารของหนอนที่มีโครงสร้างดูดซับและ สร้างสมดุลความชื้นบริเวณส่วนปลายของทางเดิน อาหาร curved denticle ห น ำ ม ป ล ำ ย แหลมโค้ง - cylindrical ทรงกระบอก - declivital face หน้ำลำดปลำย ปีก พื้นที่ด้านบนทั้งหมดของลาดปลายปีก (declivity) ล้อมรอบด้วยขอบลาดปลายปีก declivital margin ขอบลำดปลำย ปีก เส้นหรือสันที่ล้อมรอบลาดปลายปีก declivital teeth/spines หนำมลำด ปลำยปีก หนามรูปแบบและขนาดต่าง ๆ บริเวณลาดปลายปีก อาจมีต าแหน่งบริเวณขอบ หรือด้านหน้าลาดปลายปีก Declivital margin teeth/spines หนำมขอบ ลำดปลำยปีก หนามรูปแบบและขนาดต่าง ๆ บริเวณลาดปลายปีก เป็นรูปแบบหนึ่งของหนามลาดปลายปีก


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 57 ศัพท์ ค ำภำษำไทย ค ำบรรยำยเพิ่มเติม depressed บุ๋มลง ใช้บรรยายลักษณะของพื้นผิวภายนอกของมอดขี้ขุยที่ มีลักษณะบุ๋มหรือยุบลงตื้นๆ ส่วนที่ยุบลงขอบบนมัก กว้างกว่าขอบก้นหลุม diffuse กระจำยห่ำง ใช้บรรยายต าแหน่งการกระจายของขน บุ๋ม ปุ่ม หนาม ฯลฯ บนล าตัวแมลง dorsal view ด้ำนบน มุมมองจากด้านหลังหรือด้านบนล าตัวของแมลง dull ด้ำน ใช้บรรยายลักษณะของพื้นผิวที่ด้าน ไม่มัน แวววาว หรือสะท้อนแสง ellipsoidal ทรงรี - elytra ปีกคู่หน้ำ ปีกคู่ที่ 1 ของมอดขี้ขุย มีลักษณะเป็นแผ่นแข็ง elytral base ขอบหน้ำ(ปีก) ขอบหน้าสุดของปีกที่ติดกับอกปล้องแรก elytral declivity ลำดปลำยปีก ส่วนที่ลาดโค้งลงของปลายปีก มักมีลักษณะโค้งหรือ ตัด (truncate) ขอบมักมนหรือมีสันครึ่งหนึ่งบริเวณ ด้านล่างหรือมีสันล้อมรอบ elytral wide ควำมกว้ำงปีก วัดจากส่วนที่กว้างที่สุดของปีก (ด้านบน) elytral length ควำมยำวปีก วัดจากขอบหน้าของปีกถึงขอบปลายสุดของปีก (ไม่ รวมหนาม) (มุมมองจากด้านบนล าตัว) elytral medien suture ตะเข็บกึ่งกลำง ปีก บริเวณที่ขอบบนของปีกคู่หน้าทั้งสองด้านมาบรรจบ กันบริเวณกึ่งกลางล าตัว เมื่อแมลงหุบปีกในท่าพัก enlarged ขยำยใหญ่ ลักษณะของอวัยวะหรือส่วนต่าง ๆ ของมอดขี้ขุยที่มี ขนาดใหญ่กว่าปล้องอื่น ๆ หรือส่วนอื่น ๆ หรือใหญ่ กว่าขนาดปกติ epistoma อีพิสโตมำ พื้นที่ส่วนหน้าของแมลงบริเวณเหนือฐานริมฝีปากบน ในมอดขี้ขุยเป็นแถบแคบ ๆ บริเวณเหนือฐานริมฝีปาก บน epistomal teeth หนำมเหนือ อีพิสโตมำ หนามขนาดเล็ก แหลมเหนือร่องเหนือฐานริมฝีปาก บน (clypeo-frontal suture) มีจ านวน 2-4 อัน เรียง ตัวตามแนวขวางของหน้า จ านวนและขนาดใช้ ประกอบในการจ าแนกชนิดของมอดขี้ขุยสกุล Sinoxylon excavated มีลักษณะเป็น ร่อง - femur ต้นขำ ปล้องที่ 3 ของขาแมลงถัดจากปล้องฐานขาและข้อต่อ ขา flovea - รอยหรือร่องบุ๋มกว้างขนาดเล็ก


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 58 ค ำศัพท์ ค ำภำษำไทย ค ำบรรยำยเพิ่มเติม flat แบน ลักษณะของพื้นผิวที่ราบไม่บุ๋มลงหรือนูนขึ้น frons หน้ำ (แมลง) หน้าและหน้าผากของแมลง หมายถึง บริเวณเหนือ ปากของแมลงจนถึงกระหม่อม (vertex) frontal angles มุมหน้ำ (อกปล้องแรก) มุมด้านหน้าอกปล้องแรกบริเวณที่ขอบด้านหน้าปล้อง อกมาบรรจบกับขอบด้านข้างปล้องอก funicle เส้นหนวด ส่วนของเส้นหนวด 4-5 ปล้องถัดจากปล้องฐานหนวด และข้อต่อหนวดส่วนปลายเชื่อมกับหนวดปล้องที่ ขยายใหญ่ (club) granule ปุ่ม (ขนำด เล็ก) ลักษณะพื้นผิวที่มีลักษณะนูนขึ้นเป็นปุ่มนูนขนาดเล็ก gular กูลำร์ พื้นที่ (มักเป็นรูปสามเหลี่ยม) ด้านใต้ของหัวบริเวณถัด จากริมฝีปากล่าง (มักลดรูปในมอด) gular suture เส้น/ร่องกูลำร์ เส้นหรือร่องตื้นที่ยื่นเป็นแนวจากกูลาร์(gular) มา ทางด้านหลัง hair-like setae ขนคล้ำยเส้น ผม รูปแบบขนที่ปกคลุมร่างกายของแมลงรูปแบบหนึ่งที่มี ลักษณะคล้ายเส้นขน/ผม (hair) head insertion position แนวเชื่อมส่วน หัว รูปแบบการเชื่อมส่วนหัวกับอกปล้องแรกของมอดขี้ขุย มี 3 รูปแบบหลัก ได้แก่ เชื่อมด้านหน้า เชื่อมกึ่ง ด้านหน้า และเชื่อมด้านล่างอกปล้องแรก hooded =cowled - hook-like teeth หนำมคล้ำย ตะขอ ลักษณะหนามขนาดใหญ่บริเวณมุมหน้าของอกปล้อง แรก มีลักษณะยื่นไปด้านหน้ามีปลายแหลมโค้งขึ้น คล้ายตะขอ hypognathous เชื่อมด้ำนล่ำง (หัว) รูปแบบการเชื่อมส่วนหัวกับอกปล้องแรกที่เชื่อมจาก ด้านล่าง อกปล้องแรกขยายใหญ่คลุมส่วนหัวมิด เป็น ลักษณะส าคัญของมอดวงศ์ย่อย Bostrichinae และ Dinoderinae inquilines - พฤติกรรมของมอดเผ่า Cephalotomini ที่อาศัยอยู่ ในรังของมอดและแมลงท าลายไม้ชนิดอื่น ๆ intercoxal processes อินเตอร์คอก ซอลโปรเซส ติ่ง/แผ่นขนาดเล็กของปล้องอกหรือปล้องท้องที่ยื่นมา ปิดช่องว่างระหว่างปล้องฐานขาทั้งสอง อาจพบขยาย ใหญ่ขี้น หรือนูนขึ้นในบางชนิด


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 59 ค ำศัพท์ ค ำภำษำไทย ค ำบรรยำยเพิ่มเติม interstriae อินเตอร์สเตรีย พื้นที่บนปีกคู่หน้าระหว่างแถบหลุมตื้นตามความยาว ปีก มักพบเป็นพื้นที่เรียบไม่เป็นหลุมและไม่มีขน แต่ อาจมีลักษณะอื่น เช่น ขรุขระ เป็นร่องหรือมีขนขนาด เล็กกว่าขนบนสเตรียได้ inwardly ยื่นเข้ำไปด้ำน ใน (ลำดปลำย ปีก) ใช้บรรยายลักษณะของหนามขอบลาดปลายปีกทั้ง สองข้างที่โค้งหรือชี้เข้าหากันและชี้เข้าด้านในลาด ปลายปีก lamellate หนวดแบบใบ ไผ่ หนวดปล้องที่ขยายใหญ่มีลักษณะกว้างมากกว่ายาว ปล้องแบนแผ่ออกกว้างคล้ายใบไม้หรือใบไผ่ lateral carina สันด้ำนข้ำง สันนูนด้านข้างของล าตัว ในมอดขี้ขุยมักใช้บรรยาย ลักษณะด้านข้างของอกปล้องแรก lateral margin ขอบด้ำนข้ำง ขอบนอกสุดด้านข้างล าตัว lateral teeth หนำมด้ำนข้ำง หนามบริเวณขอบด้านข้างและมุมด้านหน้าของอก ปล้องแรกของมอดขี้ขุย lateral view ด้ำนข้ำง มุมมองของล าตัวมอดขี้ขุยเมื่อมองจากด้านข้างล าตัว Leaf-like setae ขนแบนแบบ ใบไม้ ขนสั้นรูปแบบหนึ่ง มีลักษณะคล้ายใบไม้ พบในมอด สกุล Minthea leg ขำ ส่วนขาของมอดประกอบด้วยส่วนหลัก 5 ส่วน ได้แก่ ปล้องฐานขา (coxa) ข้อต่อขา (trocanter) ต้นขา (femur) หน้าแข้ง (tibea) และตีน (tarsi) Mandible(s) กรำมบน กรามด้านหน้าหรือด้านบนของมอดขี้ขุย มีขนาดใหญ่ รูปสามเหลี่ยมปลายแหลมหรือตัด Maxilla(e) กรำมล่ำง กรามด้านล่าง ในมอดขี้ขุยลดรูปมีขนาดเล็กมาก maxillary palp รยำงค์กรำม ล่ำง เส้นรยางค์บริเวณกรามล่าง median depression บุ๋ม (กึ่งกลำง อก) พื้นผิวที่มีลักษณะบุ๋มลงกว้างและตื้น ในมอดขี้ขุยแท้ มักพบลักษณะดังกล่าวบริเวณกึ่งกลางด้านบนอก ปล้องแรก median line เส้นกึ่งกลำง (อก) แนวเส้นเรียบหรือนูนตามยาว มักเป็นมันวาว ไม่มีขน ปกคลุม พบด้านบนกึ่งกลางอกปล้องแรกในมอดขี้ขุย บางชนิด median teeth หนำมกึ่งกลำง ขอบหน้ำ หนามรูปสามเหลี่ยมคล้ายฟันเลื่อยบริเวณกึ่งกลาง ขอบหน้าของอกปล้องแรก พบในมอดวงศ์ย่อย Dinoderinae ขนาด ต าแหน่ง และจ านวนของหนาม ใช้จ าแนกชนิดได้


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 60 ค ำศัพท์ ค ำภำษำไทย ค ำบรรยำยเพิ่มเติม mentum คำง แผ่นแบนกึ่งกลางด้านล่างปาก เป็นส่วนหนึ่งของ ริมฝีปากล่างที่ลดรูปในด้วง มักพบเป็นรูปสามเหลี่ยมมี ขนาดและรูปแบบต่าง ๆ เช่น อาจแบนราบ บุ๋มลงหรือ นูนขึ้น mesosternum ด้ำนล่ำงอก ปล้องที่2 - mesothorax อกปล้องที่ 2 หรือปล้อง กลำง - metasternum ด้ำนล่ำงอก ปล้องที่3 - metathoracic femur ต้นขำของขำคู่ ที่ 3 หรือคู่หลัง - metathorax อกปล้องที่ 3 หรือปล้องหลัง - metepimeron อีพิเมอรอน ของขำคู่ที่ 3 แผ่นแข็งด้านท้องของด้วงมีต าแหน่งเหนือปล้องฐาน ขา ในมอดขี้ขุยมีต าแหน่งอยู่บนด้านท้องและด้านข้าง เยื้องด้านท้อง ประกอบด้วยแผ่น 2 ชิ้น ชิ้นในเรียก อีพิสเตอนัม ชิ้นนอกเรียกอีพิเมอรอน metepisternum อีพิสเตอนัม ของขำคู่ที่ 3 แผ่นแข็งด้านท้องของด้วงมีต าแหน่งเหนือปล้องฐาน ขา ในมอดขี้ขุยมีต าแหน่งอยู่บนด้านท้องและด้านข้าง เยื้องด้านท้อง ประกอบด้วยแผ่น 2 ชิ้น ชิ้นในเรียก อีพิสเตอนัม ชิ้นนอกเรียกอีพิเมอรอน molar ฟันบด ฟันที่ท าหน้าที่เคี้ยวบดอาหารของมอดขี้ขุย มักพบ บริเวณฐานด้านในของกราม พบในมอดขี้ขุยบางกลุ่ม เท่านั้น mycangium ไมแคนเจียม อวัยยวะเฉพาะที่ท าหน้าที่เก็บราที่อยู่ร่วมกับแมลง (มอด) แบบพึ่งพาอาศัย พบในกลุ่มมอดแอมโบรเซีย nomen nudum - ชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตที่ตั้งและตีพิมพ์เผยแพร่ โดยไม่มีการบรรยายลักษณะรูปร่าง notum แผ่นแข็งคลุม ส่วนบนปล้อง อก แผ่นแข็งหุ้มปล้องอกชิ้นบนซึ่งคลุมด้านบนและ บางส่วนของด้านข้างของปล้องอก obliquely attached เชื่อมในแนว เฉียง ใช้บรรยายลักษณะการเชื่อมต่อระหว่างข้อต่อขาและ ต้นขา


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 61 ค ำศัพท์ ค ำภำษำไทย ค ำบรรยำยเพิ่มเติม oblong รูปขอบขนำน ใช้บรรยายรูปร่างของอกปล้องแรก ที่มีลักษณะขอบ ด้านข้างตรงขนานกัน ด้านหน้าโค้งมน ocellate punctures หลุมตื้นท้องรูป ตำ ลักษณะของหลุมตื้นบนปีกคู่หน้าลักษณะหนึ่ง ที่ก้น หลุมไม่เรียบแต่มีสันเป็นวงกลมหรือค่อนข้างกลม ล้อมรอบพื้นที่ตรงกลางที่มีลักษณะกลมนูนขึ้นคล้าย ตา พบในมอดขี้ขุยวงศ์ย่อย Dinoderinae หลายชนิด และเป็นลักษณะหนึ่งที่ใช้จ าแนกชนิดได้ ovipositor อวัยวะวำงไข่ - Papilla(e) ปุ่มนูน ปุ่มลักษณะกลมขนาดเล็ก นูนขึ้นเล็กน้อย ใช้บรรยาย ลักษณะพื้นผิวของมอดขี้ขุย pedicel ข้อต่อหนวด ปล้องที่ 2 ของหนวดต่อกับปล้องฐานหนวดและเส้น หนวดปล้องที่ 1 phloemo-phagous insects มอดเจำะ เปลือก ด้วงหรือแมลงที่เจาะเข้าท าลาย สร้างรังและกัดกินใน เปลือกของต้นไม้ pilosity ปกคลุมด้วย ขน ลักษณะการปรากฏ หรือปกคลุมด้วยขนบนส่วนต่าง ๆ ของล าตัวมอด แบ่งเป็น 3 ระดับใหญ่ ๆ ได้แก่ ไม่ ปรากฏ (none) เบาบางกระจัดกระจาย (sparse) หนาแน่น (abundant) point แหลมตรง ใช้บรรยายลักษณะของหนามที่มีลักษณะปลายแหลม ชี้ตรง postcoxal carina สันด้ำนหลัง ปล้องฐำนขำ แนวสันนูนตามขวางบนปล้องท้องถัดจากปล้องฐานขา Posterior angles of pronotum มุมหลังอก ปล้องแรก มุมด้านหลังอกปล้องแรกเป็นต าแหน่งที่เกิดจากเส้น ขอบด้านข้างของอกปล้องแรกบรรจบกับขอบด้านหลัง ของอกปล้องแรก อาจมีลักษณะแหลม มน หรือมี หนามยื่นออกมา posteroir margin ขอบหลัง ขอบหลังของปล้องต่าง ๆ ของมอดขี้ขุย มักใช้กับอก ปล้องแรก postero-lateral angles มุมล่ำงขอบ ลำดปลำยปีก มุมด้านข้างของปีกบริเวณที่ขอบลาดปลายปีกมา บรรจบกับขอบล่างของปีกคู่หน้า postero-lateral carana สันเฉียงขอบ ลำดปลำยปีก ขอบลาดปลายปีกบริเวณด้านข้างของปีก มักมี ลักษณะเฉียง เป็นสันนูนขึ้นอย่างชัดเจน สันมักเริ่ม จากขอบล่างปีกทแยงขึ้นตามขอบลาดปลายปีกจนถึง ครึ่งหนึ่ง (อินเตอร์สเตรียที่ 7) ของด้านข้างปีก


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 62 ค ำศัพท์ ค ำภำษำไทย ค ำบรรยำยเพิ่มเติม produced ยื่นออก ใช้บรรยายลักษณะของร่างกายที่ขยายยื่นออกไปจาก สัดส่วนปกติ เช่น ลักษณะขอบหน้าของอกปล้องแรก ของมอดสกุล prostephanus ที่ยื่นออกเป็นรูปกรวย สามเหลี่ยม prognathous เชื่อมด้ำนหน้ำ รูปแบบการเชื่อมส่วนหัวกับอกปล้องแรกที่เชื่อมจาก ด้านหน้า อกปล้องแรกแบนหรือทรงกระบอกไม่ขยาย ใหญ่คลุมส่วนหัว เป็นลักษณะส าคัญของมอดวงศ์ย่อย Lyctinae prominent เด่นชัด ใช้บรรยายลักษณะทางสัณฐานวิทยาของมอดขี้ขุยบาง ลักษณะที่มีความโดดเด่น เด่นชัดกว่าในมอดชนิดหรือ บริเวณอื่น ๆ เช่น มีลักษณะเป็นสันเด่นชัด ไม่โค้งมน หรือเป็นสันลาง ๆ ไม่เด่นชัด pronotal base/pronotal disc ฐำนด้ำนบน อกปล้องแรก พื้นที่ด้านบนของอกปล้องแรกหลังจุดยอดกึ่งกลาง (summit) ส่ วนใหญ่มีลักษณะแบนห รือโค้งขึ้น เล็กน้อย พื้นผิวมีลักษณะเรียบ ขรุขระ หรือมีหลุมตื้น มีหรือไม่มีขน ด้านหรือมันวาว ลักษณะสัณฐานของ ส่วนนี้เป็นลักษณะส าคัญลักษณะหนึ่งที่ใช้ในการ จ าแนกชนิดมอดขี้ขุย posterior angle มุมหลัง (อกปล้องแรก) มุมด้านหลังอกปล้องแรกบริเวณที่ขอบด้านข้างมา บรรจบกับขอบด้านหลัง posterior margin ขอบหลัง ขอบหลังของอกปล้องแรก pronotum แผ่นแข็ง ด้ำนบนอก ปล้องแรก (อกปล้องแรก) แผ่นแข็งคลุมด้านบนอกปล้องแรก ในมอดขี้ขุยแผ่นนี้ มีขนาดใหญ่คลุมอกปล้องแรกเกือบทั้งหมด ทั้ง ด้านบน ด้านข้างและบางส่วนของด้านล่าง รูปร่าง ลักษณะของแผ่นคลุมด้านบนอกปล้องแรกใช้เป็น ลักษณะส าคัญในการจ าแนกกลุ่มของมอดขี้ขุยระดับ ต่าง ๆ หลายระดับ เนื่องจากแผ่น “pronotum” มองเห็นเด่นชัดและคลุมอกปล้องแรก (prothorax) เกือบทั้งหมด ในหนังสือเล่มนี้จึงเรียก อกปล้องแรก แทนแผ่นแข็งด้านบนอกปล้องแรก และใช้ค าเฉพาะ “prosternum” เรียกแผ่นแข็งด้านล่างอกปล้องแรก ซึ่งมีขนาดเล็กและไม่ใช่ลักษณะส าคัญในการจ าแนก กลุ่มในมอดขี้ขุยแทน prosternal lobe - บริเวณขอบโค้งกึ่งกลางด้านท้องของอกปล้องแรก


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 63 ค ำศัพท์ ค ำภำษำไทย ค ำบรรยำยเพิ่มเติม prosternum แผ่นแข็งล่ำง อกปล้องแรก แผ่นแข็งคลุมด้านล่างอกปล้องแรก prothorax อกปล้องแรก - protibia แข้งของขำคู่ แรก - pubescence ขนเล็กบอบ บำง ขนลักษณะหนึ่งที่ปกคลุมล าตัวแมลง มักมีขนาดเล็ก บอบบางและสั้น punctulated เป็นหลุมตื้น/ ปกคลุมด้วย หลุมตื้น ลักษณะพื้นผิวบนล าตัวของมอดขี้ขุยที่มีหลุมตื้นปก คลุม puncture หลุมตื้น หลุมตื้น ๆ บนล าตัวของแมลง มักใช้เรียกหลุมตื้นบน ปีกคู่หน้า มักมีลักษณะกลม ขอบด้านบนมนกว้างกว่า ก้นหลุม หลุมอาจเรียงเป็นแถวตามความยาวปีก (สเต รีย) หรือกระจายไม่เรียงเป็นแถว ก้นหลุมอาจเรียบ หรือขรุขระ มีขนสั้นหรือไม่มีขน quadret รูปสี่เหลี่ยม - reticulate คล้ำยร่ำงแห ลักษณะพื้นผิวที่ปกคลุมด้วยหลุมตื้นและสันที่เรียงต่อ กันลักษณะคล้ายร่างแห robust ก ำย ำ/ล่ ำสัน/ แข็งแรง ใช้บรรยายลักษณะรูปร่างโดยรวมของมอดขี้ขุยที่มี ล าตัวอ้วนป้อมแข็งแรง round กลม - scape ฐำนหนวด หนวดปล้องที่ 1 scutellum สคิวเทลลัม แผ่นแข็งขนาดเล็กอยู่ระหว่างฐานปีกทั้งสองข้างของ แมลง มักเป็นรูปสามเหลี่ยมหรือครึ่งวงกลม semi-prognathous เชื่อมกึ่ง ด้ำนหน้ำ (หัว) เชื่อมต่อด้านหน้าท ามุม 30-45 องศา หรือเชื่อมต่อ ด้านหน้าและส่วนหัวโค้งลงด้านล่าง sensory impressions บุ๋มประสำท สัมผัส บ ริเ วณที่มีเส้นขนป ระส าทสัมผัสรวมกลุ่มกัน หนาแน่น ส่วนใหญ่มักพบเป็นรอยบุ๋มรูปร่างต่าง ๆ เช่น ขีด กลม ครึ่งวงกลม มีขอบล้อมรอบเป็นสันชัด/ ไม่ชัด sensu lato อย่ำงกว้ำง การตีความ (จัดกลุ่ม) อย่างกว้าง sensu stricto อย่ำงแคบ การตีความ (จัดกลุ่ม) อย่างแคบ serrations หนำมแบบฟัน เลื่อย ลักษณะหนามรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็กปลายแหลม คล้ายเกล็ดปลาหรือฟันเลื่อย มักพบบริเวณลาดด้าน หน้าอกปล้องแรกของแมลงกลุ่มมอด


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 64 ค ำศัพท์ ค ำภำษำไทย ค ำบรรยำยเพิ่มเติม seta (setae) ขน ขนปกคลุมร่างกายของมอดขี้ขุยรูปแบบต่าง ๆ เช่น คล้ายเส้นขน เป็นแผ่นแบน คล้ายใบไม้เป็นต้น smooth and shining เกลี้ยงและมัน วำว ใช้บรรยายลักษณะพื้นผิวที่เกลี้ยงไม่มีขนปกคลุมและ เป็นมันวาว spines หนำมยำว แหลม - spinule หนำมเล็กสั้น ปลำยแหลม - striae สเตรีย ลักษณะหลุมตื้นที่เรียงตัวเป็นแถวในแนวตามยาวบน ปีกคู่หน้าของด้วงและมอด sternum ด้ำนท้อง ด้านล่าง/ด้านท้องของแมลง sub-quadrate กึ่งสี่เหลี่ยม - subround กึ่งกลม - half-round ครึ่งวงกลม - summit กึ่งกลำง/ยอด จุดกึ่งกลางหรือสันแบ่งส่วนลาดด้านหน้า-ด้านหลัง ของมอด เช่น ปล้องอกเมื่อมองจากด้านข้างและ ด้านบนคั่นระหว่างลาดด้านหน้าและฐานอกปล้อง แรก มักเป็นจุดหรือเส้นแบ่งพื้นที่ขรุขระมีหนามคล้าย เกล็ดฟันเลื่อยของลาดด้านหน้ากับพื้นที่ค่อนข้างเรียบ ของฐานปล้องอก และระหว่างปีกและลาดปลายปีก suture ร่องตื้น ร่องตื้น ๆ หรือตะเข็บที่เชื่อมระหว่างแผ่นแข็งสอง แผ่นบนล าตัวแมลง tall and robust ด้ำนข้ำงสูง ขนำดใหญ่โป่ง ออก ใช้บรรยายลักษณะของอกปล้องแรกที่ขยายใหญ่โป่ง คลุมส่วนหัวทั้งหมดมองไม่เห็นส่วนหัวจากด้านบน tarsus (tarsi) ตีน ส่วนประกอบส่วนที่ 5 ของขาแมลง มักมี 4-5 ปล้อง และมีส่วนปลายสุดเป็นกรงเล็บ Teeth (tooth) หนำม ใช้เรียกหนามบนล าตัวของมอดขี้ขุยทั่ว ๆ ไป มักใช้ กับหนามบนปล้องอกมากกว่าหนามบนลาดปลายปีก thorax อก - transverse ขวำง แนว ขวำง - trapezoidal รูปสี่เหลี่ยมคำง หมู -


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 65 ค ำศัพท์ ค ำภำษำไทย ค ำบรรยำยเพิ่มเติม truncate ตัด (เฉียง) ในแมลงกลุ่มมอดใช้บรรยายลักษณะของลาดปลาย ปีก tubercles หนำมป้อมสั้น หนามรูปแบบหนึ่งมักใช้เรียกหนามลักษณะเป็นตุ่ม/ ปุ่มสั้น มีฐานขนาดใหญ่ อ้วน tuberculated มีหนำมป้อมสั้น ส่วนของล าตัวที่มีตุ่มหนามป้อมสั้นปกคลุม tufe of hair กลุ่มขน/พู่ขน ลักษณะขนยาวรวมตัวหนาแน่นเป็นกระจุกหรือแถบ uncinate tooth หนำมโค้งขึ้น - upwardly ปลำยโค้งขึ้น - ventrites ด้ำนล่ำงล ำตัว ใช้เรียกปล้องด้านท้องของปล้องอกและปล้องท้อง vestitures กำรปกคลุม ของพื้นผิว รูปแบบการปกคลุมล าตัวหรือพื้นผิวรูปแบบใด รูปแบบหนึ่ง เช่น เกล็ดหรือขน


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 66 ทที่ 5 สัณฐำนวิทยำ และอนุกรมวิธำน ภาพ ที่มา:1/https://www.britannica.com/biography/Pierre-Andre-Latreille 2/ https://www.wikidata.org/wiki/Q19059751 3/ Németh et al (2015) บ มอดขี้ขุยในวงศ์ Bostrichidae ประกอบด้วย มอดที่มีสัณฐานภายนอกแตกต่างกัน 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ด้วยกัน ได้แก่ กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่มีล าตัวแบนถึงแบนมาก ปล้องอกแบนไม่คลุมส่วนหัว ปลายหนวด ขยายใหญ่เด่นชัดเพียง 2 ปล้อง ได้แก่ มอดในวงศ์ย่อย Lyctinae กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่มีล าตัวรูป ทรงกระบอก มองจากด้านข้างล าตัวโค้งขึ้นเล็กน้อย อกปล้องแรกทรงกระบอกไม่โป่งสูงและไม่คลุม ส่วนหัวหรือคลุมเพียงบางส่วน มองจากด้านบนเห็นส่วนหัวทั้งหมดหรือบางส่วน ปลายหนวด 3-4 ปล้องขยายใหญ่ ได้แก่ มอดในวงศ์ย่อย Dysidinae Psoinae และ Polycaoninae และกลุ่มที่ 3 กลุ่มที่มีอกปล้องแรกขยายใหญ่มาก โค้งโป่งออกคลุมส่วนหัวทั้งหมด มองไม่เห็นส่วนหัวจาก ด้านบน หนวด 3 ปล้องสุดท้ายขยายใหญ่ ล าตัวอ้วนป้อมส่วนใหญ่ปลายปีกตัดมีหนามขนาดและ รูปร่างแตกต่างกัน ได้แก่ มอดในวงศ์ย่อย Bostrichidae และ Dinoderinae


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 67 มอดขี้ขุยวงศ์ Bostrichidae มีสมาชิกประมาณ 700 ชนิด กระจายทั่วโลก มอดชนิดแรกที่ ตีพิมพ์อย่างเป็นทางการ ได้แก่ Bostrichus capucinus ตีพิมพ์โดย Linnaeus ในปี ค.ศ.1758 โดย ตีพิมพ์ภายใต้สกุล (generic) Dermestes กลุ่ม Coleoptera (Insecta)3 ต่อมา Geoffroy (1762) จัด มอดชนิดนี้ให้อยู่ในสกุล Bostrichus (กลุ่ม Le Bostriche) ตามลักษณะการเชื่อมของหัวและอกปล้อง แรก ภายหลังมีการทบทวนอนุกรมวิธานของมอดกลุ่มนี้ตามหลักการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์สัตว์สมัยใหม่ [(International Code of Zoological Nomenclature (ICZN)] และใช้ชื่อสกุล Bostrichus ตามการ ตั้งชื่อของ Geoffroy (1762) จนถึงปัจจุบัน ในส่วนของชื่อวงศ์ Bostrichidae Latreille, 1802 ถูกจัด กลุ่มครั้งแรกในระดับกลุ่มวงศ์ (family-group name 1 ) Bostrichini Latreille โดยนักสัตววิทยาชาว ฝรั่งเศส “ปีแอร์ อ็องเดร ลาตรอยล์” โดยมีมอดสกุล Bostrichus Geoffroy, 1762 เป็นสกุลต้นแบบ (type genus) ชื่อวงศ์ของมอดขี้ขุยอาจสะกดผิดโดยใช้ “y” แทน “i” เป็น “Bostrychidae Wollaston, 1867 (synonym)” การสะกดแบบนี้ถูกยกเลิกและถือเป็นการใช้อย่างผิดหลักการตั้งชื่อ วิทยาศาสตร์ของสัตว์ (ICZN) เนื่องจากชื่อวงศ์ตั้งโดยใช้สกุลต้นแบบ (type genus) สกุล Bostrichus Geoffroy (1975) การสะกดที่ถูกต้องตามกฎ ICZN จึงต้องใช้ “i” เป็น “Bostrichidae” การศึกษาอนุกรมวิธานของมอดขี้ขุยมีความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดเมื่อ ปีแอร์ เลส์[(Pierre Lesne (1871-1949)] นักกีฏวิทยาชาวฝรั่งเศสเริ่มตีพิมพ์ผลงานทางอนุกรมวิธานของมอดขี้ขุยในปี ค.ศ. 1894 และตีพิมพ์ผลงานทั้งชนิดใหม่และทบทวนอนุกรมวิธานอย่างต่อเนื่องมากว่า 100 ผลงาน รวม ตีพิมพ์มอดชนิดใหม่ในวงศ์นี้จ านวนมากกว่า 320 ชนิด จากทุกทวีปรวมทั้งจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเวียดนาม นักกีฏวิทยาคนอื่น ๆ ที่มีบทบาทส าคัญในการตีพิมพ์มอดชนิดใหม่ใน ยุคแรก ๆ ได้แก่ จอห์น ลอว์เรนซ์ เลอคอง (John Lawrence LeConte) นักกีฏวิทยาชาวอเมริกัน ตีพิมพ์ชนิดที่พบจากทวีปอเมริกา ไรเดก (Vrydagh, J. M.) นักวิทยาศาสตร์ชาวเบลเยียม ตีพิมพ์มอด ขี้ขุยจากทวีปแอฟริกา ออสเตรเลียและจากตัวอย่างที่เก็บในพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ในทวีปยุโรป และ มิชิโอะ ชูโจ (Michio Chûjô) นักกีฏวิทยาชาวญี่ปุ่นตีพิมพ์มอดชนิดที่พบในประเทศญี่ปุ่นและเอเชียตะวันออก เฉียงใต้รวมทั้งประเทศไทย หลังจากนั้นไม่พบการตีพิมพ์ชนิดใหม่เพิ่มเติมมากนักจนถึงปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งถือเป็นยุคใหม่ในการศึกษาอนุกรมวิธานของมอดขี้ขุยวงศ์ Bostrichidae โดยในยุคใหม่นี้มีนักกีฏ วิทยาที่ท างานทางด้านอนุกรมวิธานที่ส าคัญ ได้แก่ ไมเคิล ไอวี (Michael Ivie) นักกีฏวิทยาชาวอเมริกา ผลงานที่ส าคัญ ได้แก่การศึกษาอนุกรมวิธานระดับเหนือวงศ์(superfamily) Bostrichoidea ไอวีพบว่า ด้วงขนสัตว์วงศ์ Dermestidae และด้วงวงศ์Nosodendridae มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมอดขี้ขุยและ ควรจัดมอดทั้งสองวงศ์นี้อยู่ในเหนือวงศ์เดียวกับมอดขี้ขุย (Bostrichoidea) นอกจากการจัดหมวดหมู่ใน ระดับเหนือวงศ์แล้ว ไมเคิล ไอวี ยังตีพิมพ์การจัดหมวดหมู่ในระดับวงศ์ย่อยอีกหลายชิ้น นักอนุกรมวิธาน 3 จัดล าดับตามหลักการจัดหมวดหมู่ของสัตว์ยุคก่อนการน ากฎ ICZN มาบังคับใช้(ยังไม่มีการจัดล าดับสกุล วงศ์ ฯลฯ)


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 68 คนส าคัญต่อมา ได้แก่ เจอซี่ บอรอฟสกี (Jerzy Borowski) นักกีฏวิทยาชาวโปแลนด์ที่รวบรวมและ ปรับปรุงบัญชีรายชื่อ (faunal list) ชนิดของมอดในวงศ์ Bostrichidae ที่พบทั่วโลก (World cataloque) รวมทั้งการตีพิมพ์สกุลย่อย (subgenus) รวมทั้งชนิดใหม่หลายชนิด และหลานยู่ เหลียว (Lan-Yu Liu) นักกีฏวิทยาชาวไต้หวันที่ริเริ่มทบทวนและสอบทาน (review) อนุกรมวิธานของมอดขี้ขุย ในระดับวงศ์ วงศ์ย่อย เผ่าและสกุล โดยใช้ลักษณะทางสัณฐานวิทยาที่หลากหลายมากขึ้นมาใช้ในการจัด หมวดหมู่ รวมทั้งจัดท าบัญชีรายชื่อของมอดขี้ขุยที่พบในแต่ละประเทศและตีพิมพ์สกุลและชนิดใหม่ เพิ่มขึ้นจ านวนมาก การจัดหมวดหมู่โดยใช้ลักษณะสัณฐานภายนอกในระดับวงศ์ย่อยของมอดวงศ์Bostrichidae มีความยุ่งยากและไม่ชัดเจน รวมทั้งมักเกิดปัญหาในการน าไปใช้อยู่เสมอ มอดวงศ์ Bostrichidae มี วิวัฒนาการร่วมกับมอดในวงศ์Ptinidae วงศ์ย่อย Anobiinae และด้วงวงศ์ขนาดเล็กสมาชิกน้อยชนิด อื่น ๆ หลายวงศ์ได้แก่ Endecatomidae และ Euderiidae ในทางอนุกรมวิธานมีการยุบรวมและแยกวงศ์ ต่าง ๆเหล่านี้ทั้งระดับเหนือวงศ์วงศ์และวงศ์ย่อยเสมอ ๆ ตั้งแต่ยุคการศึกษาแมลงในกลุ่มนี้ในระยะ เริ่มแรกจนถึงการจัดหมวดหมู่ในยุคปัจจุบัน เกิดการถกเถียงโต้แย้งและไม่น าไปประยุกต์ใช้ในการจัด หมวดหมู่มากมายจนยากในการจะยึดแนวทางของนักอนุกรมวิธานคนใดคนหนึ่งเป็นการเฉพาะหรือยึด ตามล าดับก่อนหลังในการตีพิมพ์เนื่องจากนักอนุกรมวิธานหลักทั้ง 3 กลุ่มหลัก (อเมริกา-ยุโรป-เอเชีย) มักยึดตามแนวทางของตน ผลงานการจัดหมวดหมู่ทางอนุกรมวิธานของมอดวงศ์ Bostrichidae ที่ส าคัญ ได้แก่ Horn and LeConte (1800), Fall (1905), Ivie (1985), Lawrence and Newton (1995), Borowski and Wegrzynowicz (2007) และ liu and Schonitzer (2011) การจัดหมวดหมู่ทั้งหมดใช้ ลักษณะสัณฐานภายนอก (external morphology) ของระยะตัวหนอนและตัวเต็มวัยในการจัด หมวดหมู่ และ Hunt et al. (2007), McKenna and Farrell (2009) และ Bell and Keith (2011) ใช้ ความสัมพันธ์ทางชีวโมเลกุล ผลการศึกษาให้ผลแตกต่างกันขึ้นอยู่กับต าแหน่งดีเอ็นเอที่ใช้และวิธี วิเคราะห์ประกอบกับตัวแทนจ านวนชนิดที่ใช้ในการวิเคราะห์ค่อนข้างน้อยท าให้ไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด และเป็นที่ถกเถียงจนถึงปัจจุบัน (แผ่นภาพที่ 5.1) วงศ์ Bostrichidae มีจ านวนสมาชิกวงศ์ย่อยไม่คงที่ ในระยะแรก lesne (1938a) จ าแนกมอด ขี้ขุยวงศ์ Bostrichidae ออกเป็น 6 วงศ์ย่อย ได้แก่ Bostrychinae (=Bostrichinae), Dinoderinae, Dysidinae, Euderiinae, Hendecatominae (=Endecatominae) และ Lyctinae ต่อมา Crowson (1968) ยกระดับเผ่า Psoini ขึ้นเป็นวงศ์ย่อยPsoinae และ Lawrence and Newton (1995) ยกระดับ เผ่า Polycaonini ขึ้นเป็นวงศ์ย่อย Polycaoninae และ Ivie (2002) ยืนยันการจัดหมวดหมู่ของ Lawrence and Newton (1995) ท าให้มอดวงศ์ Bostrichidae ประกอบด้วยสมาชิก 8 วงศ์ย่อย (Bostrichinae, Dinoderinae, Dysidinae,Endecatominae,Euderiinae,Lyctinae,Polycaoninae และ Psoinae) Borowski and Wegrzynowicz (2007) ยกระดับมอดเผ่า Apatini ขึ้นเป็นวงศ์ย่อย Apatinae ท าให้มอดวงศ์นี้มีสมาชิก 9 วงศ์ย่อย liu and Schonitzer (2011) ลดระดับวงศ์ย่อย


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 69 Apatinae กลับสู่ระดับเผ่า และ Zahradník and Háva (2014) ยกระดับมอดเผ่า Apatini ขึ้นเป็นวงศ์ ย่อย Apatinae และยกระดับวงศ์ย่อย Endecatominae ขึ้นไปเป็นระดับวงศ์ Endecatomidae แยก จากวงศ์ Bostrichidae ตามล าดับ เนื่องจากยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ในการจัดหมวดหมู่ในระดับวงศ์ย่อย หนังสือเล่มนี้จึงใช้การ จัดหมวดหมู่ของมอดวงศ์ Bostrichidae โดยยึด 2 แนวทางเพื่อไม่ให้ขาดสาระส าคัญของการจัด หมวดหมู่ระดับวงศ์ย่อยในภาพรวม ได้แก่ การจัดหมวดหมู่อย่างแคบ (sensu stricto) มอดวงศ์ Bostrichidae ประกอบด้วย 7 วงศ์ย่อย ได้แก่ Bostrichinae, Dinoderinae, Dysidinae, Euderiinae, Lyctinae, Polycaoninae และ Psoinae และการจัดหมวดหมู่อย่างกว้าง (sensu lato) ประกอบด้วย 9วงศ์ย่อยได้แก่ Apatinae,Bostrichinae, Dinoderinae, Dysidinae,Endecatominae,Euderiinae, Lyctinae, Polycaoninae และ Psoinae


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 70 ล ำดับหมวดหมู่ทำงอนุกรมวิธำน (taxonomic treated) ของมอดขี้ขุย เหนือวงศ์ (Superfamily): Bostrichoidea Latreille, 1802 วงศ์(Family): Bostrichidae Latreille, 1802 สกุลต้นแบบ (Type genus): Bostrichus Geoffroy, 1762 ชื่อพ้อง (Family synonyms): Apatidae Billberg, 1820; Lyctidae Billberg 1820; Endecatomidae LeConte, 1861; Psoidae Blanchard, 1851; Bostrychidae Wollaston, 1867 วงศ์ย่อย (Subfamily): (sensu stricto) Bostrichinae Latreille, 1802; Dinoderinae Thomson, 1863; Dysidinae Lesne, 1921; Euderiinae Lesne, 1934; Lyctinae Billberg, 1820; Polycaoninae Lesne, 1896; Psoinae Blanchard, 1851 (sensu lato: + Apatinae Billberg, 1820; Endecatominae LeConte, 1861) ในประเทศไทยมีรายงานชนิดมอดขี้ขุยวงศ์ Bostrichidae อย่างเป็นทางการครั้งแรกโดย Lesne (1906) รายงานมอดชนิด Sinoxylon crassum จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต่อมา Chujo (1961, 1964) ตีพิมพ์และรายงานมอดขี้ขุยเพิ่มเติมจ านวน 3 ชนิด ได้แก่ Megabostrychus imadatei (=Phonapate fimbriata), Octodesmus kamoli (=paraxylion bifer) แ ล ะ R. dominica จาก กาญจนบุรีและเชียงใหม่ตามล าดับ หลังจากนั้น พายัพ ก าเนิดรัตน์ และคณะ (2513) รายงานการ ส ารวจแมลงท าลายไม้ซุงในประเทศไทย ในจ านวนนี้รวมมอดขี้ขุยจ านวน 8 ชนิด ได้แก่ H. hamatipennis, H. pileatus, H. unicornis, Minthea rugicollis, S. anale, S. crassum, Trogoxylon spinifrons และ X. flavipes ตามล าดับ ในปี 2538 และ 2550 ฉวีวรรณ หุตะเจริญ และ นพชนม์ ทับทิม (2538) และ ฉวีวรรณ หุตะเจริญ นพชนม์ ทับทิม และ ชุติมา ดอกไม้ (2550) ได้จัดท า บัญชีแมลงศัตรูป่าไม้และแมลงที่พบในประเทศไทยจากการทบทวนข้อมูลผลงานวิจัย รวมทั้งการ จ าแนกชนิดตัวอย่างที่จัดเก็บในห้องเก็บตัวอย่างของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช โดย ผู้เขียนข้างต้นได้รายงานมอดขี้ขุยที่พบในประเทศไทยทั้งหมด 8 ชนิด ได้แก่ Apoleon edax, Amphicerus anobioides, A. malayanus, L. brunneus, P. truncatus (รายงานในประเทศไทย เพียงครั้งเดียว), S. atratum, S. ruficorne (=S. atratum อาจจ าแนกชนิดผิด S. ruficorne พบ แพร่กระจายในทวีปแอฟริกา) Trogoxylon auriculatum ตามล าดับ อย่างไรก็ตามเนื่องจากการท า บัญชีไม่ได้ใส่อ้างอิงแหล่งที่มาในแต่ละชนิด ท าให้การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในภายหลังท าได้ ยาก และมีความไม่ชัดเจนในชนิดที่พบบางชนิด ท าให้รายงานชนิดของมอดขี้ขุยที่พบในประเทศไทยของ ผู้เขียนบางส่วนยังต้องตรวจสอบอีกครั้ง


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 71 จากการศึกษาตัวอย่างแห้งที่เก็บในห้องเก็บตัวอย่างของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์ พืช และพิพิธภัณฑ์แมลงของกรมวิชาการเกษตรของผู้เขียนพบว่าในประเทศไทย มีการเก็บตัวอย่างมอด ขี้ขุยตั้งแต่ปีพ.ศ. 2479 (คศ. 1936) แต่ไม่มีการตีพิมพ์รายงานอย่างเป็นทางการแต่อย่างใดโดยตัวอย่าง ดังกล่าวเก็บโดยพระยาอนุวัฒน์วนรักษ์ เก็บมอดชนิด D. minutus (Fabricius) (40 ตัวอย่าง) (20.x.1936)] จากไม้ไผ่แห้งไม่ระบุชนิดและสถานที่เก็บ ต่อมาในปี พ.ศ. 2491 ประเสริฐ (ไม่ระบุ นามสกุล) ได้เก็บตัวอย่างมอดชนิด A. edax จากกิ่งไม้ยาง (Dipterocarpus) (คาดว่าเป็นไม้ยางนา) จาก อ.บางขุนเทียน (เขตบางขุนเทียน) และในปี 2502 จาก อ.มีนบุรี (เขตมีนบุรี) จากไม้เต็งแปรรูป หลังจากนั้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกันมีนักวิทยาศาสตร์อีก 3-4 ท่านได้เก็บตัวอย่างเพิ่มเติมจากพื้นที่ภาค กลาง ที่ส าคัญ ได้แก่ ดร.องุ่น ลิ่ววานิช (บันทึกในชื่อภาษาอังกฤษ A. Lewvanich) เก็บตัวอย่างมอด ขี้ขุย 4 ชนิด ระหว่างปี พ.ศ. 2501-2514 Duffy E.A.J. (Evelyn Arthur Joseph Duffy) เก็บตัวอย่าง มอดขี้ขุย 4 ชนิด ระหว่างปี พ.ศ. 2505-2506 และ สุรชัย (ไม่ทราบนามสกุล) เก็บตัวอย่างมอดขี้ขุย 6 ชนิด จาก อ.งาว จังหวัดล าปาง และ จันทบุรี การศึกษาในยุคหลังส่วนใหญ่ท าโดยผู้เขียน (Beaver et al., 2011; Kangkamanee et al., 2011; Sittichaya and Beaver, 2009; Sittichaya et al., 2009; Sittichaya et al., 2013; Liu and Sittichaya, 2021; วิสุทธิ์สิทธิฉายา และ วิสุทธิ์สิทธิฉายา และคณะ, 2552-2564; วิสุทธิ์ สิทธิฉายา, 2565) ภายใต้การสนับสนุนการจ าแนกชนิดและยืนยันการจ าแนกชนิดโดย Roger A. Beaver, Liu Lan-Yu และ Jerzy Borowski หรือศึกษาโดย สุนิศา สงวนทรัพย์(Lui et al., 2016; 2021) ลักษณะทั่วไปของแมลงในวงศ์ Bostrchidae ล าตัวยาว (elongate) รูปทรงกระบอก (cylindrical) หรือแบน (depressed) ความโค้งของ ส่วนบนของล าตัว (ปีกและล าตัว) มีความแตกต่างกันระหว่างวงศ์ย่อย ล าตัวยาว 1.0-50.0 มม. เล็ก ที่สุดในวงศ์ย่อย Lyctinae และใหญ่ที่สุดในวงศ์ย่อย Bostrichinae ส่วนใหญ่มีขนาดล าตัวยาวระหว่าง 2.0-20.0 มม. มีสีน้ าตาล น้ าตาลแดง น้ าตาลด า เทาและด า น้อยมากที่พบสีแดงหรือเหลืองหรือมีแต้มสี สดใส ยกเว้นสมาชิกในวงศ์ย่อย Psoinae ซึ่งมักพบมีสีสันสดใสและมีขนยาวปกคลุมล าตัวคล้ายด้วง กระดูกสัตว์ (วงศ์ Cleridae) ผู้ล่าที่ส าคัญของมอดขี้ขุย หัว (head) ส่วนหัวเชื่อมด้านล่างของปล้องอก (hypognathous) มองไม่เห็นส่วนหัวจาก ด้านบน หรือหัวเชื่อมกับด้านหน้าปล้องอก (prognathous) สามารถมองเห็นส่วนหัวได้ชัดเจนจาก ด้านบน หน้า (frons) แบน (flat) หรือเว้าลงเล็กน้อย (depress) หรือโค้งขึ้นเล็กน้อย (slightly convex) หรือโค้ง (convex) มีหรือไม่มีร่องเหนือฐานริมฝีปากบน (clypeo-frontal suture) หน้ามีหรือไม่มี กระจุกขนยาว (tuft of long erect hairs/tuft of setae) หนวด (antenna) 8-11 ปล้อง หนวดตรง ไม่หักข้อศอก 2-3 ปล้องสุดท้ายขยายใหญ่แบบไม่สมมาตร (asymmetric) หนวดแบบลูกตุ้ม (capitate) ถึงกึ่งใบไผ่ (sub-lamellate) ยกเว้นมอดเพศผู้บางสกุลในวงศ์ย่อย Psoinae (เช่น มอดใน


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 72 สกุล Stenomera, Coccographus)และสกุล Tetrapriocera ในวงศ์ย่อย Bostrichinae ที่มีหนวด 4 ปล้องสุดท้ายขยายใหญ่ (เพศเมียมีหนวด 3 ปล้องสุดท้ายขยายใหญ่เหมือนสมาชิกส่วนใหญ่ของวงศ์ Bostrichidaeอื่น ๆ) หนวดปล้องที่ขยายใหญ่แยกจากกัน (loosely club) มีหลากหลายรูปแบบ ทั้ง ขยายมากตามความยาวของเส้นหนวด (elongate) หรือขยายกว้างมากตามแนวขวางเส้นหนวด (transverse) หนวดเชื่อมกับหัวด้านข้างระดับเดียวกับตาเหนือฐานของริมฝีปากบน (mandibles base) ด้านหน้าของตา หรือต าแหน่งด้านล่างของมุมด้านหน้าของตา (frontal angles) ริมฝีปากบน (labrum) มีขนาดเล็กเป็นแถบบาง ๆ ตามแนวขวางของหน้า (transverse) กรามบน (mandibles) ขนาดใหญ่ แข็งแรง รูปสามเหลี่ยมโค้งปลายแหลมหรือตัด รยางค์ปากบน (maxillary palpi) มี 4 เส้น รยางค์ปาก ล่าง (labial palpi) 3 เส้น รูปทรงกระบอกกลม ไม่ขยายแบนออกเป็นรูปแตร (พบในวงศ์ด้วงกระดูก สัตว์วงศ์ Cleridae) กูลาร์(gular) เล็ก ร่องกูลาร์ (gular sutures) ชัด แยกจากกันหรือเชื่อมติดกัน บริเวณด้านหลังเป็นรูปตัว Y ลักษณะการเชื่อมของร่องกูลาร์เป็นหนึ่งในลักษณะที่ใช้จ าแนกวงศ์ย่อย Polycaoninae ออกจากวงศ์ย่อยอื่น ๆ คาง (mentum) รูปสี่เหลี่ยมคางหมู ตากลมหรือรี ขนาดใหญ่ โป่งนูนออก อก (thorax) (แผ่นภาพที่ 5.2) อกมี 3 ปล้อง ได้แก่ ปล้องแรก (prothorax) ปล้องกลาง (mesothorax) และปล้องท้าย (metathorax) อกปล้องแรกมีขนาดใหญ่เด่นชัด (prominent) แผ่น แข็งคลุมด้านบนปล้องอกปล้องแรก (pronotum) มีขนาดใหญ่ คลุมอกปล้องแรกเกือบทั้งหมดทั้ง ด้านบน ด้านข้างและบางส่วนของด้านท้อง (ดังนั้นในหนังสือเล่มนี้จะใช้ค าว่า อกปล้องแรกแทน pronotum เพื่อให้กระชับในการบรรยายลักษณะ) แผ่นแข็งคลุมด้านล่างอกปล้องแรก (prosternum) มีขนาดเล็กไม่เด่นชัด อกปล้องแรกมี 3 รูปแบบ ได้แก่ แบบที่ 1 แบน (flat) มีขอบด้านข้างเป็นสันตลอด ความยาว แบบที่ 2 ทรงกระบอก (cylindical) อาจมีส่วนโป่งออกเล็กน้อยบริเวณด้านหน้า กึ่งกลาง หรือด้านหลัง ขอบด้านข้างโค้งมนไม่มีสัน แบบที่ 3 โป่งขยายใหญ่คลุมส่วนหัวทั้งหมด (hooded) ขอบ ด้านข้างมีสันเพียงบางส่วน สันสั้นพบเฉพาะส่วนหลังของอกปล้องแรก ขอบหน้า (anterior margin) ของอกปล้องแรกเป็นสันมน (พบในอกปล้องแรกแบบที่1 และ 2) หรือโค้งมน (แบบที่ 3) ขอบหน้ามีหนามคล้ายเกล็ดหรือฟันเลื่อย (median teeth) หรือเรียบไม่มี หนาม ขอบหน้าแหลม (acute) โค้งออก (convex) กลม (round) กลมกว้าง (broadly round) ตรง (stright) หรือเว้าเข้า (concave) บริเวณมุมด้านข้าง (anterior angles) มีหนามคล้ายเกล็ด (lateral teeth) และหรือมีหนามยื่นไปด้านหน้าคล้ายตะขอ (hook-like teeth) ลาดด้านหน้า (pronotal anterior slope) ปกคลุมด้วยหนามขนาดเล็ก (asperities) รูปสามเหลี่ยมคล้ายเกล็ดปลา (serrations) หรือเป็นมันวาว มีหรือไม่มีขน (vestitures) ปกคลุม ขนรูปร่าง ความยาว ต าแหน่งและความหนาแน่น ต่างกัน ฐานด้านบนอกปล้องแรก (pronotal base) ถัดจากยอดปล้องอก (summit) โค้ง (convex) หรือแบน (flat) มองจากด้านบนมีรูปร่างแตกต่างกันมากขึ้นอยู่กับเผ่าและสกุล ตั้งแต่กลม (round) กึ่ง กลม (sub-round) สี่เหลี่ยมคางหมู(trapezoidal) รูปสี่เหลี่ยม (quadret) หรือรูปทรงกระบอก


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 73 (cylindrical) ด้านบนปล้องอกอาจมีร่องตื้นบริเวณกึ่งกลาง (median depression/ flovea) หรือสัน ตามความยาว (median line) ลักษณะรูปร่างของอกปล้องแรกทั้งมุมมองจากด้านบน (dorsal view) และด้านข้าง (lateral view) รวมทั้งลักษณะพื้นผิวและหนามบนอกปล้องแรกเป็นลักษณะที่ใช้จ าแนก มอดขี้ขุยในหลายระดับ ทั้งระดับวงศ์ย่อย (subfamily) เผ่า (tribe) สกุล (genus) และชนิด (species) อกปล้องแรกด้านล่าง (prosternum) ด้านหน้าปล้องฐานขา (coxa) ยาว หรือค่อนข้างยาว เบ้าฐานขา (coxal cavities) ของขาคู่หน้าด้านหลังเปิด (open behind) หรือปิด (closed behind) อกปล้องที่ สองด้านล่าง (mesosternum) ยาวปานกลาง ปล้องที่สาม (metasternum) กว้างและยืดยาวไป ด้านหลัง ขำ (Legs) ปล้องฐานขา (coxa) ของขาคู่หน้ารูปทรงกระบอก-กลม ของขาคู่กลางกลม ปล้อง ฐานขาเรียงชิดติดกัน (contiguous) หรือเกือบติดกัน (nearly contiguous) ปล้องฐานขาคู่หลังยาวตาม


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 74 ขวาง (transverse) ติดกัน (contiguous) หรือแยกห่างจากกัน (widely separate) ข้อต่อขา (trochanter) เชื่อมติดกับต้นขา (femur) ในแนวเฉียง (obliquely attached) หรือตั้งฉาก (squarely attached) ต้นขาบอบบาง-หนา หน้าแข้ง (tibia) เรียวบาง (slender) เรียบ ด้านข้างไม่มีหนาม มีเฉพาะ หนามบริเวณปลายสุด (apical spur) ตีน (tarsus) ของขาคู่หน้า-กลาง-หลัง มี 5-5-5 ปล้อง (ยกเว้น สกุล Psoa เป็นแบบ 4-4-4 ปล้อง) ปีก (elytra) มีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันมากตามกลุ่มย่อยทางอนุกรมวิธาน (วงศ์ย่อย-ชนิด) มีลักษณะตั้งแต่ด้านบนบุ๋มลงเล็กน้อย (depressed) หรือแบน (flat) หรือโค้งขึ้นเล็กน้อย (slightly convex) ถึงโค้งมาก (convex) มองจากด้านหน้า หน้าตัดแบน-ด้านบนโค้งขึ้นเล็กน้อย (almost flatconvex) รี(biconvex) รีเกือบกลม (elliptic) กลมหรือเกือบกลม (round) ปีกมีลักษณะพื้นผิวแตกต่าง กันตั้งแต่เรียบเป็นมันวาว (smooth and shining) ด้าน (dull) ขรุขระเป็นหลุมตื้น (punctures) หลุม ตื้นแบบร่างแหไม่เรียงเป็นแถว (reticulate) หลุมตื้นเรียงเป็นแถว (สเตรีย/striae) สลับกับบริเวณที่ไม่มี หลุมตื้น (อินเตอร์สเตรีย/ interstriae) ตามความยาวของปีก จนถึงปีกมีร่องและสันตามความยาว (ridge and furrow) ปีกมีปุ่ม (tubercles) ขน (setae) หรือกระจุกขน (tufe of hair) รูปแบบและ ขนาดต่าง ๆ ปกคลุม เบาบางหรือหนาแน่นแตกต่างกันในแต่ละชนิด ปลายปีกมีลักษณะลาดลงเรียกว่า “ลาดปลายปีก (elytral declivity)” ลาดปลายปีกมีรูปร่างแตกต่างกันตั้งแต่โค้งมนไม่มีสันด้านข้าง มี สันด้านข้าง (postero-lateral carinated) สันเริ่มต้นตั้งแต่ขอบปีกจนถึงอินเตอร์สเตรีย 7 จนถึง ปลายปีกตัดมีขอบล้อมรอบตลอดความยาวของลาดปลายปีก (declivital margin carinated) ลาด ปลายปีกมักมีหนาม หนามมีต าแหน่ง ขนาดและลักษณะต่าง ๆ กัน แตกต่างกันตามชนิดและหรือเพศ มอดสกุล Amphicerus, Heterobosthicus, etc. ในเผ่า Bostricichini หรือสกุลในเผ่า Xyloperthini หนามมีลักษณะแตกต่างกันระหว่างเพศผู้และเพศเมีย ท้อง (abdomen) ท้องมี 5 ปล้อง ส่วนน้อยที่มี 6 ปล้อง ปล้องท้องของมอดในวงศ์ย่อย Lyctinae ปล้องที่ 1 ยาวกว่าปล้องอื่น ๆ เป็น 2 เท่า ในเผ่า Xyloperthini ท้อง 1-2 ปล้องสุดท้ายมีการ เปลี่ยนรูปและมีความแตกต่างกันระหว่างเพศผู้และเพศเมีย และเป็นลักษณะที่สามารถใช้เป็นลักษณะใน การจ าแนกชนิดได้ หนอน (larva) หนอนของมอดขี้ขุยมีลักษณะภายนอกเหมือนกับหนอนของแมลงท าลายไม้ และหนอนของแมลงที่กัดกินภายในเนื้อเยื่อพืชทั่ว ๆ ไป กล่าวคือ หนอนมีลักษณะอ่อนนุ่ม มีขาแท้สั้นไม่ แข็งแรง แต่มีขากรรไกรที่แข็งแรง หนอนเป็นรูปตัวซี (c-shape) 3-20 มม. (ส่วนน้อยที่มีขนาดถึง 60 มม.) สีขาว-ขาวครีม หัวเชื่อมกับด้านหน้าปล้องอก (prognathous) ส่วนใหญ่อยู่ภายในปล้องอก มองเห็นเด่นชัดเฉพาะส่วนกรามบน (mandibles) ริมฝีปากบน (labrum) และฐานริมฝีปากบน (clypeus) มองเห็นชัด กรามสมมาตรเป็นร่องคล้ายสิ่ว อาจมีหรือไม่มีส่วนส าหรับบดเคี้ยว (molar) กรามล่าง (maxillae) เป็นแถบ มีรยางค์เป็นเส้น 2-3 เส้น ตาเดี่ยวหากมีเป็นแบบอย่างง่าย (simple) อกมีขนาดใหญ่ (enlarged) ย่น ขาสั้น 3 คู่ ขามี 5 ปล้อง ปล้องท้อง 10 ปล้อง ย่น แต่ละปล้องมีรู


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 75 หายใจ (spiracles) ลักษณะกลม รูหายใจบริเวณอกปล้องแรกมีขนาดใหญ่และปล้องท้องปล้องที่ 1-8 ขนาดเล็กกว่า หนอนของวงศ์ย่อย Lyctinae รูหายใจบนปล้องท้องปล้องที่ 8 มีขนาดใหญ่กว่าบนปล้อง อื่น ๆ ควำมแตกต่ำงของขนำดและรูปร่ำง (body size variations) ตัวเต็มวัยของมอดขี้ขุยมี ขนาดล าตัว ขนาดของหนามปลายปีก และบางครั้งมีลักษณะของหนามปลายปีกแตกต่างกันภายในชนิด ความแตกต่างเหล่านี้มีความมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละชนิด ลักษณะของความแตกต่างดังกล่าวอาจ ส่งผลต่อความแม่นย าในการจ าแนกชนิดได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ในการจ าแนกชนิดที่ผิดพลาด ดังกล่าว จึงไม่ควรใช้ขนาดของล าตัวในการจ าแนกชนิด แต่ควรหลีกเลี่ยงไปใช้สัดส่วนของร่างกายในการ จ าแนกชนิดแทน เนื่องจากมีความแตกต่างกันภายในชนิดน้อยกว่า ความแตกต่างของขนาดล าตัวภายใน ชนิดของมอดขี้ขุยส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากปัจจัยอาหารทั้งปริมาณและคุณภาพอาหาร รวมทั้ง สภาพแวดล้อมที่มอดเจริญเติบโต ในสภาพที่ปัจจัยเหล่านี้ไม่เหมาะสมส่งผลให้มอดเข้าดักแด้เร็วกว่า ปกติ ท าให้มีขนาดล าตัวและขนาดของหนามปลายปีกเล็กกว่าปกติจากการวิจัยของผู้เขียนพบว่าการ เลี้ยงมอดในสภาพอากาศที่ร้อนเกินกว่าค่าเฉลี่ยปกติส่งผลต่อการเร่งวงจรชีวิตของมอดชนิด H. aequalis และ S. anale วงจรชีวิตของมอดจะสั้นลงและมอดมีขนาดและหนามปลายปีกเล็กลงมาก และจาการเก็บตัวอย่างมอดขี้ขุยของผู้เขียนพบว่ามอดชนิด D. ocellaris, H. aequalis, L. africanus, L. dentatum, M. humericosta และ T. spinifrons มีขนาดแตกต่างกันมาก มอดที่มีขนาดล าตัวเล็ก สุดและใหญ่สุดมีขนาดล าตัวแตกต่างกันมากได้ถึง 40% ในขณะที่มอดชนิด S. anale มีขนาดต่างกัน น้อยกว่า (20%) อย่างไรก็ตามมอดเหล่านี้มีสัดส่วนของล าตัว เช่น ความยาวต่อความกว้าง ความยาว ของอกปล้องแรกต่อความยาวของล าตัวทั้งหมด หรือต่อความยาวของปีกมักคงที่ มอดสกุล Sinoxylon บางชนิด เช่น S. unidentatum, S. anale อาจมีขนปกคลุมร่างกายแตกต่างกันตั้งแต่ล าล าตัวเกลี้ยงไม่ มีขนไปจนมีขนยาวปกคลุม มอดบางชนิด เช่น S. anale และ X. ensifer หนามลาดปลายปีกมีขนาด รูปร่าง และความโค้งแตกต่างกันมาก หรือมีขอบลาดปลายปีกที่แตกต่างกันมากตั้งแต่ขอบไม่ชัดไปจน ขอบเป็นสันนูนอย่างชัดเจน ความแตกต่างภายในชนิดเหล่านี้มีขอบเขตของความแตกต่างในแต่ละชนิด ไม่เท่ากัน การจ าแนกชนิดควรดูภาพรวมจากตัวอย่างที่มากพอสมควรจึงจะเห็นขอบเขตของความ แตกต่างภายในชนิด การจ าแนกชนิดโดยมีตัวอย่างไม่มากอาจน าไปสู่การจ าแนกชนิดที่คลาดเคลื่อนได้


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 76 ลักษณะสัณฐำนที่ใช้จ ำแนกกลุ่มและชนิด (diagnostic characters) ❖ ลักษณะล ำตัวโดยรวม (apparent) มอดขี้ขุยมีลักษณะล าตัวโดยรวมแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ใหญ่ ได้แก่ กลุ่มแรก มอดขี้ขุยแท้ในวงศ์ย่อย Lyctinae มอดในวงศ์ย่อยนี้มีรูปร่างแบน มอดเผ่า Cephalotomini ล าตัวแบนมาก บางชนิดมีล าตัวบริเวณกึ่งกลางโค้งลง มอดในเผ่านี้จัดเป็นมอดขี้ขุยที่มี ล าตัวแบนที่สุด ลักษณะล าตัวแบนดังกล่าวคาดว่าเป็นการปรับตัวของมอดเผ่านี้ที่อาศัยในรังของแมลง ท าลายไม้ชนิดอื่น ๆ มอดเผ่า Lyctini และ Trogoxylini ล าตัวแบน หรือโค้งขึ้นเล็กน้อย ส่วนท้องแบน ส่วนหลังโค้งขึ้นเล็กน้อย (almost flat-convex) กลุ่มที่สอง ได้แก่ มอดขี้ขุยเทียมในวงศ์ย่อยอื่น ๆ ของ วงศ์ Bostrichidae มีล าตัวรูปทรงกระบอก อ้วนป้อม (robust-cylindrical shapes) ไม่แบน รูปร่าง แตกต่างกันค่อนข้างมากตามกลุ่มทางอนุกรมวิธาน ตั้งแต่ระดับวงศ์ย่อย-ระดับสกุล มอดในวงศ์ย่อย Dysidinae, Psoinae และ Polycaoninae ภาพหน้าตัดล าตัวรูปวงรี ล าตัวโค้งขึ้นน้อยกว่าวงศ์ย่อยอื่น ๆ ในขณะที่มอดในวงศ์ย่อย Bostrichinae และ Dinoderinae ล าตัวรูปทรงกระบอกโค้งขึ้นค่อนข้างมาก บางสกุล เช่น Sinoxylon Xylopsocus และ Xylothipes มีภาพหน้าตัดล าตัวเป็นวงกลม ควำมยำวของล ำตัวโดยรวม (body length) มอดแต่ละเผ่าและแต่ละสกุลมีความยาวล าตัว โดยรวมแตกต่างกัน มอดเผ่า Cephalotomini มีล าตัวสั้นกว่ามอดเผ่า Lyctini และ Trogoxylini มอด สกุล Dinoderus (วงศ์ย่อย Dinoderinae) ล าตั วสั้นม าก รูปแคปซูล มอดเผ่ า Xyloperthini, Sinoxylonini ส่วนใหญ่มีล าตัวอ้วนป้อม สั้น ในขณะที่มอดในวงศ์ย่อย Dysidinae, Psoinae และ Polycaoninae เผ่า Apatini และ เผ่า Bostrichini ในวงศ์ย่อย Bostrichinae มีล าตัวรูปทรงกระบอก ยาวถึงยาวมาก หัว (head) ต าแหน่งของส่วนหัวที่เชื่อมต่อกับปล้องอก (head insertion positions) ลักษณะและการเชื่อมของอีพิสโตมา (epistoma) กับหน้า (frons) ต าแหน่งและรูปร่างของตาเป็น ลักษณะทางอนุกรมวิธานที่ใช้จ าแนกกลุ่มของมอดขี้ขุยในระดับวงศ์ย่อยและเผ่า ต าแหน่งของหัวที่เชื่อม กับปล้องอกใช้แบ่งมอดขี้ขุยในระดับวงศ์ย่อยได้ โดยทั่วไปมักมีการแบ่งการเชื่อมต่อเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่การเชื่อมด้านหน้าตรงและเชื่อมด้านล่าง ในหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนแบ่งเป็นรูปแบบย่อยระหว่าง 2 รูปแบบหลักเดิมอีกหนึ่งรูปแบบเพื่อให้ง่ายต่อการแบ่งกลุ่มมากยิ่งขึ้น โดยมีการเชื่อมต่อ 3 รูปแบบ ดังนี้ แบบที่ 1 เชื่อมต่อด้านหน้าตรง (prognathous insertion) มองจากด้านบนเห็นส่วนหัวได้ทั้งหมด รวมทั้งส่วนกรามบน (mandibles) ได้แก่ มอดทุกชนิดในวงศ์ย่อย Lyctinae แบบที่ 2 เชื่อมต่อด้านหน้า ท ามุม 30-45 องศา หรือเชื่อมต่อส่วนหน้าและส่วนหัวโค้งลงด้านล่าง (semi-prognathous insertion) อกปล้องแรกไม่โป่งใหญ่คลุมสวนหัว สามารถมองเห็นส่วนหัวทั้งหมดรวมทั้งกรามหรือมองเห็นส่วนหัว บางส่วนจากด้านบน ได้แก่ มอดในวงศ์ย่อย Polycaoninae Psoinae และ Dysidinae แบบที่ 3 เชื่อมต่อด้านล่างของอกปล้องแรก (hypognathous insertion) อกปล้องแรกขยายใหญ่มากบังส่วนหัว มิด มองไม่เห็นส่วนหัวจากด้านบน ได้แก่ มอดในวงศ์ย่อย Bostrichinae และ Dinoderinae


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 77 ลักษณะและการเชื่อมของอีพิสโตมา (epistoma) กับหน้า (frons) ใช้ในการจ าแนกมอดเผ่า Cephalotomini (Lyctinae) ออกจากเผ่า Trogoxylini และ Lyctini มอดเผ่า Cephalotomini หน้า แบน เชื่อมต่อเป็นระนาบเดียวกับอีพิสโตมา ในขณะที่อีกสองเผ่าที่เหลือส่วนหน้าโค้งขึ้นเล็กน้อย (slightly convex) ท าให้การเชื่อมต่ออยู่คนละระนาบกับอีพิสโตมา อีพิสโตมามักมีขน (hair-like setae) และหนามขนาดเล็ก (epistomal teeth) จ านวน ความ หนาแน่น ขนาดของกลุ่มขนและหนาม สามารถใช้จ าแนกมอดขี้ขุยระดับชนิดได้ (เช่น มอดสกุล Acantholyctus, Sinoxylon เป็นต้น) หน้า (frons) มีลักษณะแตกต่างกันระหว่างแบนมาก (flat) ใน เผ่า Cephalotomini (วงศ์ย่อย Lyctinae) จนถึงโค้งนูนขึ้น (convex) ในวงศ์ย่อย Bostrichinae ส่วน หน้าอาจมีกลุ่มขน (tuft of setae) ขนาดใหญ่ขนตรงยาวทั้งสองเพศหรือพบเฉพาะในเพศผู้ ลักษณะ และการปรากฎของกลุ่มขนสามารถใช้ในการจ าแนกสกุลหรือเพศได้ ❖ หนวด (antenna) หนวดเป็นลักษณะส าคัญที่สุดลักษณะหนึ่งที่ใช้ในการจ าแนกกลุ่มในมอด ขี้ขุย สัดส่วนความยาวของหนวด (antennal length) (เมื่อเทียบกับอกปล้องแรก) จ านวนปล้องหนวด (antennomeres) จ านวนปล้องสุดท้ายที่ขยายใหญ่ (antennal club/2-4 ปล้อง) ลักษณะของปล้องที่ ขยายใหญ่ (ทิศทางของด้านที่ขยายจากแกนหนวด) (club types) ลักษณะของอวัยวะรับสัมผัส (sensory impressions) ต าแหน่งของฐานหนวด (antennal fossa insertions) ใช้จัดจ าแนกมอดขี้ขุย ในหลายระดับ ทั้งระดับวงศ์ย่อย เผ่า สกุล จนถึงระดับชนิด ความยาวของหนวด (length) มอดเผ่า Xyloperthini แต่ละสกุลมีสัดส่วนความยาวของหนวดต่อความยาวของอกปล้องแรกแตกต่างกัน สามารถน าลักษณะดังกล่าวมาใช้จ าแนกมอดระดับสกุลได้เช่น สกุล Calonistes และ Octomeristes มีหนวดยาวมากกว่าสกุลอื่น ๆ ในเผ่าเดียวกัน จ านวนปล้องหนวด (antennomeres) เป็นลักษณะหนึ่ง ที่ใช้จ าแนกชนิดและสกุล มอดไม้ไผ่สกุล Dinoderus แต่ละชนิดมีจ านวนปล้องหนวดไม่เท่ากัน (D. brevis, D. japonicus มี 10 ปล้อง D. minutus, D. speculifer, D. ocellaris, D. bifoveolatus มี 11 ปล้อง เป็นต้น) มอดเผ่า Xyloperthini มีหนวด 8-10 ปล้อง จ านวนปล้องหนวดสามารถใช้เป็นหนึ่ง ในลักษณะในการจ าแนกสกุล เช่น มอดสกุล Octodesmus และ Octomeristes มีหนวด 8 ปล้อง (Octo=8) มอดสกุล Psicula มีหนวด 9 ปล้อง และสกุล Xylocis, Xylodrypta, Xylothrips, Infrantenna, Paraxylion และมอดสกุล Dysides, Strenomera (เพศเมีย) มีหนวด 10 ปล้อง ต าแหน่งของฐานหนวด (antennal fossa insertion) ใช้จ าแนกมอดเผ่า Xyloperthini บางสกุลออก จากกัน เช่น สกุล Infrantenna ฐานหนวดต่ ากว่าสกุล Xylocis จ านวนปล้องสุดท้ายที่ขยายใหญ่ (number of club segments) มอดขี้ขุยส่วนใหญ่มีหนวดขยายใหญ่ 3 ปล้อง ยกเว้น มอดสกุล Strenomera Tetraprioceraและ Tetrapriocera มีหนวดขยายใหญ่ 4 ปล้อง และมอดวงศ์ย่อย Lyctinae เกือบทุกชนิดมีหนวดปล้องสุดท้ ายขย ายใหญ่ 2 ปล้อง ยกเ ว้นสมาชิกของเผ่า


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 78 Cephalotomini ที่ขยายใหญ่ 3 ปล้อง ลักษณะการขยายใหญ่ของหนวด (club types) เป็นหนึ่งใน ลักษณะที่ส าคัญในการจ าแนกวงศ์ย่อย เผ่าและสกุลของมอดขี้ขุย มอดวงศ์ย่อย Lyctinae มีหนวดขยายด้านหน้าเพียงเล็กน้อย 2 ปล้อง (หากขยาย 3 ปล้อง ปล้องที่ 3 มีขนาดเล็กไม่เด่นชัด) วงศ์ย่อยอื่น ๆ ของวงศ์ Bostrichidae มีหนวดขยายใหญ่ 3 ปล้อง และ ทั้ง 3 ปล้องขยายใหญ่เด่นชัดและมีรูปร่างและขนาดเท่า ๆ กัน หรือปล้องที่ 1 และ 2 เท่ากัน ปล้องที่ 3 มีรูปร่างและขนาดแตกต่างจากปล้องที่ 1 และ 2 มอดวงศ์ย่อย Dinoderinae และเผ่า Sinoxylini (Bostrichinae) หนวดขยายใหญ่เพียง 1 ด้านของแกนหนวด (หนวดแบบ lamellate หรือ sublamellate) ในขณะที่วงศ์ย่อยหรือเผ่าอื่น ๆ หนวดขยายใหญ่ทั้ง 2 ด้านของแกนหนวดในลักษณะเท่าๆ กัน ทั้ง 2 ด้าน (สมมาตร) หรือด้านใดด้านหนึ่งใหญ่กว่าอีกด้านหนึ่งเพียงเล็กน้อย (กึ่งสมมาตร) ลักษณะของส่วนรับประสาทสัมผัสบริเวณหนวด (บุ๋มรับประสาทสัมผัส/sensory impression) เป็นอีกลักษณะที่มักใช้ในการจ าแนกมอดขี้ขุยในระดับสกุล มอดแต่ละสกุลจะมีรูปร่างของ ส่วนรับสัมผัสบนปล้องหนวดส่วนที่ขยายแตกต่างกัน เช่น มอดสกุล Amphicerus มีลักษณะเป็นร่องลึก ตลอดความยาวของปล้อง (canaliculae) มอดสกุล Octodesmus มีลักษณะเป็นหลุมกลมบริเวณขอบ ด้านหน้าของปล้องหนวด มอดสกุล Heterobostrychus และ Bostrychopsis ไม่พบบุ๋มรับสัมผัสที่ ชัดเจน เป็นต้น ❖ อก (Thorax) ในแมลงกลุ่มด้วงรวมทั้งมอดขี้ขุยมักใช้ลักษณะของส่วนต่าง ๆ ของปล้องอกทั้ง 3 ปล้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอกปล้องแรกมาใช้จ าแนกกลุ่มในระดับต่าง ๆ ในมอดขี้ขุยมักใช้ส่วนบนของ อกปล้องแรก (pronotum) โดยรูปร่างและลักษณะของอกปล้องแรกในมอดขี้ขุยวงศ์ย่อย Bostrichidae และ Dinoderinae มีลักษณะโป่งคล้ายมีผ้าคลุมศรีษะ (cowled/hooded)คลุม อกปล้องแรกมองจาก ด้านบนมีรูปร่าง กลม (round) ครึ่งวงกลม (sub-round ขอบด้านข้างขนานด้านหน้าโค้งกลม) กึ่ง สี่เหลี่ยม (sub-quadrate) ด้านหน้ามีหนาม (median teeth) (วงศ์ย่อย Dinoderinae) หรือไม่มีหนาม (วงศ์ย่อย Bostrichidae, Dysidinae, Lyctinae, Polycaoninae, Psoinae) มุมด้านหน้ามีหนาม (lateral teeth) (วงศ์ย่อย Bostrichinae) หรือไม่มีหนาม (วงศ์ย่อย Dinoderinae, Dysidinae, Lyctinae, Polycaoninae, Psoinae) หนามด้านข้างมีขนาดใหญ่ยื่นไปด้านหน้าคล้ายตะขอ (hooklike) (เช่น เพศผู้ของสกุล Amphicerus, Apate, Heterobostrycus, Lichenophanes, etc.) หรือ หนามมีขนาดเล็กคล้ายฟันเลื่อย (serrations) ไม่ยื่นไปด้านหน้าคล้ายตะขอขนาดใหญ่ เช่น เผ่า Xyloperthini, Sinoxylini, แ ล ะ เ พ ศ เ มี ย ข อง ส กุ ล Amphicerus, Apate, Heterobostrycus, Lichenophanes เป็นต้น ลักษณะของลาดด้านหน้า (anterior slope) ของอกปล้องแรก จ านวน รูปร่างและขนาดของหนามสามารถใช้ในการจ าแนกระดับสกุลและชนิดได้ ลักษณะของขอบด้านข้างของอกปล้องแรก (lateral view) ด้านข้างแบน โค้งออกเล็กน้อย หรือขยายใหญ่โป่งออก (tall and robust) ขอบด้านข้างกลม มน ไม่มีสัน หรือมีสัน (carinated/


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 79 lateral carina) หากมีสัน สันยาวตลอดความยาวปล้องอก หรือสันสั้นพบเฉพาะส่วนท้ายของด้านข้าง ปล้องอก ลักษณะและความยาวของสัน ลักษณะเหล่านี้เป็นลักษณะที่ใช้ในการจ าแนกระดับชนิดและ สกุลของมอดขี้ขุยได้ มอดวงศ์ย่อย Dysidinae, Polycaoninae และ Psoinae มีอกปล้องแรกรูปทรงกระบอก (cylindrical) ด้านบนโค้ง (convex) อกด้านข้างกลม มน ไม่มีสัน ขอบด้านข้างส่วนหน้าและหลังตรง หรือเว้าเข้าเล็กน้อยเป็นรูปกระสวยหรือสี่เหลี่ยมคางหมูความกว้างของฐานอกปล้องแรกแคบกว่าขอบ หน้าของปีก (elytral base) ด้านหน้ามีขอบเป็นสัน มอดวงศ์ย่อย Lyctinae มีอกปล้องแรกแบน ด้านข้างมีสัน (carina) เด่นชัดตลอดความยาวปล้องอก รูปร่างของอกปล้องแรกมองจากด้านบนเป็นรูป เหลี่ยมจัตุรัสมักพบในสกุล Trogoxylon รูปทรงกระบอกคอดเล็กลงด้านหลังในสกุล Lyctus, Minthea, Lectoxylon เป็นต้น ลักษณะความโค้งของด้านบนอกปล้องแรก (pronotal disc) ใช้จ าแนกมอดวงศ์ ย่อยนี้ในระดับสกุลได้เช่น เว้าลง (depressed) ในสกุล Cephalotoma โค้งขึ้นเล็กน้อย (slightly convex) ในสกุล Trogixylon, Lyctus และ Minthea เป็นต้น ลักษณะของร่อง (depression, flovea) บริเวณกึ่งกลางปล้องอก รูปร่างและความลึกที่แตกต่างกันใช้จ าแนกชนิดได้ลักษณะของผิว (surface) การปกคลุมด้วยขน (vestitures) ลักษณะรูปร่างความยาวของขนที่ปกคลุมด้านบนปล้องอกและจ านวน ของกลุ่มขนบริเวณด้านข้างของปล้องอก (สกุล Minthea) ลักษณะเหล่านี้เป็นลักษณะที่ใช้จ าแนกมอด ชนิดและสกุลต่าง ๆ ของมอดวงศ์ย่อย Lycninae ❖ ปีกคู่หน้ำ (elytra) ความยาวของปีก (สัดส่วนระหว่างความยาวกับความกว้าง สัดส่วนความ ยาวของอกปล้องแรกและปีก) ความโค้งของปีกด้านบน ลักษณะของพื้นผิว การเรียงของหลุมตื้น การเรียงและการปกคลุมด้วยขน (vestitures) ลักษณะของลาดปลายปีก (declivity) เป็นลักษณะที่ใช้ ในการจ าแนกกลุ่มในระดับต่าง ๆ ของมอดขี้ขุย ความยาวของปีก (elytral length) มอดวงศ์ย่อย Dinoderinae มีปีกคู่หน้าสั้นมาก ยาวกว่าอกปล้องแรกเล็กน้อย มอดขี้ขุยในวงศ์ย่อย Lyctinae เผ่า Cephalotomini ปีกสั้นกว่าเผ่า Trogoxylini และ เผ่า Lyctini ในขณะที่เผ่า Xyloperthini, Sinoxylini มีปีกสั้นกว่าเผ่า Bostrichini และ Apatini มอดเผ่า Bostrichini และ Apatini มีปีกโค้งน้อยกว่ามอดใน เผ่า Xyloperthini และ Sinoxylini เป็นต้น ลักษณะของพื้นผิวปีกและการปกคลุม (vestitures) มอด ขี้ขุยในวงศ์ Bostrichidae ส่วนใหญ่มี striea เป็นหลุมตื้น (punctures) เรียงหรือไม่เรียงเป็นแถวขนาน กับปีก ยกเว้นมอดในเผ่า Cephalotomini และ Trogoxylini ที่ไม่มีหลุมตื้นและการเรียงของเส้นขนไม่ มีลักษณะเป็นแถว ขนาด ความลึก การเรียงของหลุมตื้นบน striae การมีปุ่ม (granules, tubercles) หรือมีหนาม (spines, teeth) หรือกระจุกขน (tuft of setae) เป็นลักษณะที่ใช้จ าแนกสกุลและชนิด ของมอดขี้ขุย


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 80 มอดขี้ขุยสกุล Lichenophanes ปีกมีกลุ่มขนลักษณะพิเศษคล้ายไลเคน (“Licheno”=ไลเคน “phanes”=ลักษณะคล้าย/เหมือน) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของมอดสกุล Lichenophanes ความยาว จ านวนและการเรียงตัวของกลุ่มขนเหล่านี้เป็นลักษณะที่ใช้จ าแนกชนิดของมอดสกุลนี้ ลาดปลายปีก (declivity) เป็นลักษณะส าคัญที่ใช้จ าแนกมอดขี้ขุยระดับสกุล มอดบางกลุ่ม ลาดปลายปีกมีขอบเป็นสันบางส่วนหรือมีสันล้อมรอบทั้งหมด ความชันของลาดปลายปีก การมีหนาม/ ไม่มีหนาม ต าแหน่ง จ านวน ขนาด รูปร่างของหนามเป็นลักษณะที่ใช้จ าแนกชนิดของมอดสกุล Heterobostichus, Sinoxylon และเผ่า Xyloperthini เป็นต้น ❖ ด้ำนท้อง (sternum/ventrite) ในการจ าแนกมอดขี้ขุยวงศ์ Bostrichidae ใช้ลักษณะของ ส่วนต่าง ๆ ด้านท้องไม่มากนัก ลักษณะของร่องกูลาร์ (gular sutures) ใช้ในการจ าแนกวงศ์ย่อย Dysidinae และ Psoinae (ร่องกูลาร์ขนาน “I I” ไม่เชื่อมเป็นร่องเดียวกันบริเวณด้านหลัง)ออกจากวงศ์ ย่อย Polycaoninae (เชื่อมเป็นรูป Y) ลักษณะรูปร่างของอินเตอร์คอกซอลโปรเซส (intercoxal processes) และลักษณะการเชื่อมของปล้องฐานขา-ข้อต่อขา-หน้าแข้ง ใช้จ าแนกเผ่าต่าง ๆ ในวงศ์ ย่อย Bostrichinae ความยาวของปล้องท้องปล้องที่ 1 (first abdominal ventrite) ที่ยาวกว่าปล้องที่ 2 อย่างชัดเจนเป็นลักษณะเด่นของมอดวงศ์ย่อย Lyctinae ที่แตกต่างจากมอดวงศ์ย่อยอื่น ๆ ในวงศ์ Bostrichidae และลักษณะดังกล่าวยังใช้ในการจ าแนกมอดวงศ์ย่อย Lyctinaeออกจากมอดวงศ์อื่น ๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียง รูปร่างของปล้องท้อง (abdominal ventrites/sternums) สองปล้องสุดท้าย สามารถใช้เป็นลักษณะในการจ าแนกชนิดของมอดหลายสกุลในเผ่า Xyloperthini ได้ ยกตัวอย่างเช่น สกุล Xylopertha และสกุล Octomeristes เป็นต้น ❖ ควำมแตกต่ำงระหว่ำงเพศ (sexual dimorphism) มอดขี้ขุยในวงศ์ย่อย Lyctinae, Dinoderinae มอดบางกลุ่มในวงศ์ย่อย Bostrichinae เช่น เผ่า Sinoxylini สกุล Xylopsocus (เผ่า Xyloperthini) มีความแตกต่างระหว่างเพศน้อยมาก ไม่สามารถสังเกตความ แตกต่างระหว่างเพศได้ชัดเจนจากรูปร่างภายนอก ในขณะที่สมาชิกกลุ่มอื่น ๆ ของมอดขี้ขุยวงศ์ Bostrichidae มีความแตกต่างระหว่างสองเพศอย่างชัดเจน (sexual dimorphisms) ส่วนใหญ่ เพศผู้จะมีหนามลักษณะต่าง ๆ (spines, teeth, serration, tubercles) ขนาดใหญ่กว่าเพศเมีย ห รือเพศเมียไม่มีหน าม เช่น สกุล Amphicerus, Heterobostrichus, Xylopertha และ Xylodectes เป็นต้น มอดบางสกุลในเผ่า Xyloperthini เพศผู้และเพศเมียมีขอบปลายปีกและ ปล้องปลายท้อง (ปล้องที่ 3-5) แตกต่างกัน ในเพศเมียมักจะมีการเปลี่ยนรูปร่างหรือมี ลักษณะเฉพาะโดดเด่นกว่าเพศผู้ เช่น สกุล Infrantenna, Psicula, Xylocis, Xylopertha เป็น ต้น มอดหลายสกุลในเผ่า Apatini,Bostrichini และ Xyloperthini บริเวณด้านหน้า (frons) มีพู่ ขนขนาดใหญ่ (tuft of long erect hair-like setae) ขนยาวแบบเส้นขน ในขณะที่เพศผู้ไม่มีขน ดังกล่าว เช่น สกุล Apate, Heterobostrychus, Calophagus, Xylothrips เป็นต้น มอดบางสกุล เพศผู้มีจ านวนปล้องหนวดที่ขยายมากกว่าเพศเมีย เช่น สกุล Coccographis มอดวงศ์ย่อย


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 81 Polycaonini สกุล Melagus เพศผู้มีปีกคู่หน้าเรียบเป็นมันวาว ลาดปลายปีกขนาดใหญ่และขอบ ลาดปลายปีกมีสันชัดเจน ในขณะที่เพศเมียปีกขรุขระมีหลุมตื้นชัดเจน ลาดปลายปีกเล็กกว่าและ ขอบเป็นสันน้อยกว่า เป็นต้น


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 82 ทที่ 6 อนุกรมวิธำน บระดับเหนือวงศ์ย่อย เหนือวงศ์ (Superfamily): Bostrichoidea Latreille, 1802 ว ง ศ์ ( Families): Dermestidae Latreille, 1804; Bostrichidae Latreille, 1802 Endecatomidae LeConte, 1861); Ptinidae Latreille, 1802 วงศ์ (Family): Bostrichidae Latreille, 1802 Bostrichidae Latreille, 1802: 202. สกุลต้นแบบ (Type genus): Bostrichus Geoffroy, 1762: 301. ชื่อพ้อง (Family synonyms): Apatidae Billberg 1820; Lyctidae Billberg 1820; Endecatomidae LeConte 1861; Psoidae Blanchard 1851; Bostrychidae auctorum วงศ์ย่อย (Subfamilies): Bostrichinae Latreille, 1802; Dinoderinae Thomson, 1863; Dysidinae Lesne, 1921; Lyctinae Billberg, 1820; Polycaoninae Lesne, 1896; Psoinae Blanchard, 1851


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 83 เหนือวงศ์ (Superfamily): Bostrichoidea Latreille, 1802 Bostrichoidea Latreille, 1802: 202. วงศ์(Families) 4 : Dermestidae Latreille, 1804; Bostrichidae Latreille, 1802 Endecatomidae (LeConte, 1861); Ptinidae Latreille, 1802 เหนือวงศ์ (Superfamily): Bostrichoidea Latreille, 1802 ตามหลักการจัดกลุ่มด้วง โดย Lawrence and Britton (1991, 1994) สมาชิกประกอบด้วย 5 วงศ์ย่อยด้วยกัน ได้แก่ วงศ์ Dermestidae (ด้วงขนสัตว์/ด้วงหนังสัตว์) วงศ์Endecatomidae [มอดขี้ขุย มีสมาชิกเพียง 1 สกุล (Endecatomus) 4 ชนิด)] (เดิมจัดอยู่ในวงศ์ย่อยของวงศ์ Ciidae หรือบางครั้งในวงศ์Bostrichidae) วงศ์ Bostrichidae (มอดขี้ขุย) และวงศ์Ptinidae (มอดยาสูบ/มอดเฟอร์นิเจอร์/มอดขี้ขุย/ด้วงแมงมุม) [(วงศ์Ptinidae รวมด้วงและมอดในวงศ์ย่อย Ptininae และวงศ์ Anobiidae เข้าด้วยกัน (Anobiidae ถูกยุบรวมกับมอดในวงศ์ย่อย Ptininae และใช้ชื่อวงศ์ใหม่ตามกฎการตั้งชื่อ ICZN เป็น Ptinidae)] ลักษณะของด้วงในเหนือวงศ์Bostrichoidea ตัวเต็มวัย: ตีน (tarsi) ของขาคู่หน้า-กลาง-หลัง มี5 ปล้อง (5-5-5) หนวด 3 ปล้องสุดท้ายขยายใหญ่ (club) เป็นรูปร่างต่าง ๆ แตกต่างจากปล้องอื่น ๆ ที่เหลือก่อนหน้าอย่างชัดเจน ปล้องที่ขยายใหญ่แยกจากกัน อกปล้องแรกขยายใหญ่โค้งคลุมส่วนหัว (hood-like) บางส่วนหรือทั้งหมด ขาส่วนข้อต่อขา (trochanter) ยาว หนอน: ระบบทางเดินอาหารมี โครงสร้างที่ท าหน้าที่ดูดซับและสร้างสมดุลความชื้น (cryptonephridism) บริเวณส่วนปลายของ ทางเดินอาหาร โครงสร้างดังกล่าวในระยะตัวหนอนมีการเปลี่ยนแปลง (modified cryptonephridism) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับน้ าจากล าไส้และภายในช่องว่างของล าตัว การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เป็นการปรับตัวของแมลงที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้ง ด้วงทั้ง 4 วงศ์มีลักษณะอวัยวะสืบพันธุ์ (aedeagus) คล้ายคลึงกัน หนอนล าตัวอ่อนนุ่ม (ยกเว้น Dermestidae) รูปตัวซี (c-shape) มีขนปก คลุมเบาบางไม่หนาแน่น กรามบน (mandible) ของระยะตัวหนอนไม่มีส่วนที่ท าหน้าที่บดอาหาร (ฟัน บด/ basal mandibular mola) 4 ยึดตามวิธีการจัดกลุ่มอย่างแคบของ Ivie (2002) Lawrence et al. (2011) และ Liu and Schonitzer (2011)


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 84 รูปวิธำนระดับวงศ์ของเหนือวงศ์ Bostrichoidea Latreille, 1802 1. ด้านหลังของปล้องฐานขาของขาคู่หลัง (hide coxae) เป็นร่อง (excavate) หนวดสั้น แบบ ลูกตุ้มรวมกันแน่น (strongly clubbed) ส่วนหัวมีตาเดี่ยวบริเวณกึ่งกลางของหน้าผาก (vertex) ด้านบนของล าตัวมีขนหรือขนคล้ายเกล็ดปกคลุมหนาแน่น มุมด้านหลังของอกปล้องแรก มอง จากด้านบนเป็นมุมแหลม ปล้องฐานขาของขาคู่กลางชิดไม่แยกห่างจากกัน ล าตัวอ้วนป้อมโค้ง ขึ้น รูปไข่ รูปไข่กว้าง หรือรี หรือรูปกระสวย ไม่เป็นรูปทรงกระบอกยาวไปด้านหลัง (posteriorly elongated) ล าตัวยาว 3-10 มม. ……………..……..........................Dermestidae - หากด้านหลังของปล้องฐานขาของขาคู่หลังเป็นร่อง ล าตัวจะสั้นกว่า 1.5 มม. อกปล้องแรกขยาย ใหญ่ กลม โค้ง โป่งออก (hooded) ปกคลุมหัวบางส่วนหรือทั้งหมด มุมด้านหลังของอกปล้อง แรกไม่แหลม ข้อต่อขา (trochanters) ยาว ตีน (tarsi) ของขาทั้ง 3 คู่ มีจ านวนปล้อง 5-5-5 ปล้อง ด้านล่างของปล้องท้องมองเห็นชัดเจนทั้ง 5 ปล้อง...........................................................2 2. อกปล้องแรกมองจากด้านข้างโค้งขึ้น (convex) มองจากด้านบนรูปสามเหลี่ยมขอบด้านหน้ามน ขอบด้านข้างมีลักษณะเป็นสันตลอดความยาวอย่างชัดเจน (explanate) ด้านข้างมีขนยาวตรง หรือโค้งขึ้นตลอดทั้งความยาว ปีกคู่หน้ามีกลุ่มขนลักษณะกระจุกเป็นปุ่มขนาดเล็กกระจายทั่วไป เป็นร่างแห (reticulate) พื้นที่ระหว่างปุ่มเรียบ........................................... Endecatomidae - อกปล้องแรกขยายใหญ่ กลม โค้ง โป่งออก (hooded) คลุมหัวบางส่วนหรือทั้งหมด ขอบ ด้านข้างกลม ไม่มีสัน หรือสันสั้นพบเฉพาะส่วนท้าย (Bostrichinae-group) หรืออกปล้องแรก แบนหรือโค้งขึ้นเพียงเล็กน้อย ไม่โป่งออก ขอบด้านข้างอกปล้องแรกเป็นสันยาวตลอดด้านข้าง สันไม่หนานูนคมชัด ปีกเรียบ หรือมีปุ่มขนาดเล็ก หรือมีหลุมตื้น หรือขรุขระ (lyctinaegroup)......................................................................................................................................3 3. ข้อต่อขาของขาคู่หลัง (metatrochanter) รูปทรงกระบอก ยาวแตกต่างกัน ข้อต่อขาเชื่อมต่อ กับต้นขาโดยตรง ข้อต่อขาแยกออกจากต้นขา (femur) และหน้าแข้ง (tibia) อย่างชัดเจน หน้า แข้งไม่มีหนาม .............................................................................................................Ptinidae - ข้อต่อขาของขาคู่หลังสั้น รูปสามเหลี่ยม เชื่อมต่อกับต้นขาแนวเฉียง ต้นขาห่างกันเล็กน้อย หน้า แข้งไม่มีหนาม........................................................................................................Bostrichidae


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 85 วงศ์(Family): Bostrichidae Latreille, 1802 Bostrichidae Latreille, 1802: 202. สกุลต้นแบบ (Type genus): Bostrichus Geoffroy, 1762: 301. ชื่อพ้อง (Family synonyms): Apatidae Billberg, 1820; Lyctidae, Billberg 1820; Psoidae Blanchard, 1851; Bostrychidae auctorum วงศ์ย่อย (Subfamilies): Bostrichinae Latreille, 1802; Dinoderinae Thomson, 1863; Dysidinae Lesne, 1921; Lyctinae Billberg, 1820; Polycaoninae Lesne, 1896; Psoinae Blanchard, 1851 การจัดหมวดหมู่ในระดับวงศ์ย่อยของวงศ์ Bostrichidae ในหนังสือเล่มนี้ยึดตามวิธีการจัดกลุ่มของ Borowski and Wegrzynowicz (2007) ร่วมกับการแก้ไขข้อผิดพลาดในการจัดหมวดหมู่ของ Borowski and Wegrzynowicz (2007) โดย Ivies (2010) และการวิเคราะห์ลักษณะสัณฐานวิทยา เพิ่มเติมโดย Liu and Schonitzer (2011) โดยไม่ใช้การจัดหมวดหมู่ในระดับสกุลย่อย (subgenus) เนื่องจากมีความจ าเป็นน้อย และลักษณะที่ใช้จัดหมวดหมู่ในระดับสกุลย่อยไม่ชัดเจนและไม่แตกต่างกับ ลักษณะที่ใช้จ าแนกระดับสกุลหรือชนิดมากนัก อีกปัจจัยหนึ่งที่น ามาพิจารณาไม่จัดหมวดหมู่ในระดับ สกุลย่อย คือ จ านวนชนิดในแต่ละสกุลของมอดขี้ขุยวงศ์Bostrichidae มีไม่มากนัก การจ าแนกเฉพาะ ระดับสกุลและชนิดเพียงพอส าหรับการจัดกลุ่มมอดในวงศ์นี้ และผู้เขียนมีความเห็นว่าบางครั้งมีการแยก สกุลมากเกินความจ าเป็น ใช้ลักษณะเพียงลักษณะใดลักษณะหนึ่งในการจ าแนกสกุล เช่น ต าแหน่งของ ฐานหนวด มีสกุลจ านวนมากที่มีสมาชิกในสกุลเพียง 1 หรือ 2 ชนิด (monotypic/oligotypic taxon) ผู้เขียนเห็นว่าการจ าแนกในระดับสกุลย่อยยังไม่มีความจ าเป็น และในอนาคตการใช้ข้อมูลทางชีวโมเลกุล มาช่วยในการจัดหมวดหมู่ของมอดวงศ์นี้มีความจ าเป็นและแก้ปัญหาเหล่านี้ได้มากขึ้น รูปวิธำนระดับวงศ์ย่อยของมอดขี้ขุยวงศ์Bostrichidae Latreille, 1802 ในประเทศ ไทย 1. หัวเชื่อมกับปล้องอกบริเวณด้านหน้า (prognathous) หรือเอียงลงด้านล่างท ามุมเล็กน้อย (semi-prognathous) สามารถมองเห็นหัวจากด้านบนได้ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด (Dysidinae, Lyctinae, Polycaoninae, Psoinae).......................................................................................2 - หัวเชื่อมใต้ปล้องอก (hypognathous insertion) อกบังส่วนหัวจากด้านบนมิด หัวมองไม่เห็น จากด้านบน (Bostrichinae, Dinoderinae)……………….……………………………………..……….…..5


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 86 2. ล าตัวรูปทรงกระบอกแบน (flat) ถึงแบนมาก (depresse) อกปล้องแรกแบน ด้านข้างมีขอบเป็น สันตลอดความยาวเด่นชัด (lateral margin carinated) ปีกแบนหรือโค้งขึ้นเล็กน้อย หนวดรูป ลูกตุ้ม (capitate) กึ่งสมมาตร ส่วนของลูกตุ้มมี 2 ปล้อง หากมี3 ปล้อง ปล้องที่ 1 มีขนาดเล็ก ขยายไม่เด่นชัดและมีล าตัวแบนมาก ปล้องท้องปล้องแรก (first abdominal ventrite) ยาวกว่า ปล้องที่ 2 อย่างชัดเจน............................................................................................Lyctinae - ล าตัวรูปทรงกระบอก กลม โค้ง อกปล้องแรกโป่งออกเล็กน้อยไม่คลุมส่วนหัวหรือคลุมไม่มิด ไม่ แบน ด้านข้างอกปล้องแรกกลม มน ไม่มีสันตามความยาว หากมีสัน สันสั้นปรากฏเฉพาะด้าน ท้ายปล้อง ปีกโค้งขึ้น ปลายหนวดขยายใหญ่ (club) 3 ปล้อง ปล้องที่ขยายมีรูปร่างแตกต่างกัน ปล้องท้องปล้องแรกยาวเท่า ๆ กับปล้องที่ 2.............................................................................3 3. ร่องกูลาร์ (gular sutures) บริเวณด้านล่างของปากขนาน แยกออกจากกันไม่บรรจบเชื่อมติดกัน เป็นรูปตัว Y ………………………….………………………………………………………………..…………….……4 - ร่องกูลาร์บรรจบกันเป็นรูปตัว Y (Polycaoninae)……….……………….…..Melalgus batillus 4. ด้านล่างของท้องปล้องแรก (First abdominal ventrite) คั่นด้วยโพสค๊อคซอลคารินา (postcoxal carina) ทั้งสองด้าน ตลอดทั้งความกว้างเชื่อมต่อกับอินเตอร์ค๊อคซอลโปรเซส (intercoxal process) อินเตอร์ค๊อคซอลโปรเซสกว้าง (Dysidinae)..............Apoleon edax - อินเตอร์ค๊อคซอลโปรเซสไม่มีโพสค๊อคซอลคารินา อินเตอร์ค๊อคซอลโปรเซสเป็นสันแคบ ๆ ตามยาวรูป “lamiform” หรือปล้องฐานขาแนบชิดติดกัน ไม่พบอินเตอร์ค๊อคซอลโปรเซส (Psoinae)………………………………………..…………………………………….………Sawianus ornatus 5. ปลายของหน้าแข้งของขาคู่หน้า (protibia) มีหนาม (apical spine) 1 อัน กึ่งกลางขอบด้านหน้า ของอกปล้องแรกมีหนามรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็ก (medial teeth) มุมหน้า (anterior angles) ไม่มีเกล็ดคล้ายหนาม หรือไม่มีหนามยื่นคล้ายตะขอ (hooked tooth) ตีนปล้องแรก (first tarsomere) ยาวเท่า ๆ กับปล้องที่ 2 ................................................................. Dinoderinae - ปลายของหน้าแข้งของขาคู่หน้ามีหนาม (apical spine) 2 อัน ขอบหน้าของอกปล้องแรกไม่มี หนาม หากมีหนามบริเวณขอบหน้าปล้องอกล าตัวเรียวยาวมาก ยาวมากว่ากว้าง มากกว่า 3.5 เท่า (สกุล Parabostrychus) มุมด้านหน้ามีหนาม (lateral teeth) หรือมีหนามยื่นคล้ายตะขอ ปล้องแรกของตีนสั้นกว่าปล้องที่ 2 อย่างชัดเจน..………………………………………..…Bostrichinae


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 87 บัญชีรำยชื่อมอดขี้ขุยวงศ์ Bostrichidae ในประเทศไทย วงศ์ย่อย Bostrichinae Latreille, 1802 เผ่ำ Apatini Jacquelin du Val, 1861 สกุล Apate Fabricius, 1775 1. Apate submedia Walker, 1858 สกุล Phonapate Lesne, 1895 2. Phonapate fimbriata Lesne, 1909 เผ่ำ (Trib) Bostrichini Latreille, 1802 สกุล (genus) Amphicerus LeConte 1861 3. Amphicerus anobioides (Waterhouse, 1888) 4. Amphicerus caenophradoides (Lesne, 1895) 5. Amphicerus malayanus (Lesne, 1898) สกุล Bostrychopsis Lesne, 1899 6. Bostrychopsis parallela (Lesne, 1895) สกุล Heterobostrychus Lesne, 1899 7. Heterobostrychus aequalis (Waterhouse 1884) 8. Heterobostrychus hamatipennis (Lesne, 1895) 9. Heterobostrychus pileatus Lesne, 1899 10. Heterobostrychus unicornis (Waterhouse, 1879) สกุล Lichenophanes Lesne, 1899 11. Lichenophanes carinipennis (Lewis, 1896) สกุล Micrapate Casey, 1898 12. Micrapate simplicipennis (Lesne, 1895) สกุล Parabostrychus Lesne, 1899 13. Parabostrychus acuticollis Lesne, 1913 เผ่ำ Sinoxylonini Lesne, 1899 สกุล Sinoxylon Duftschmid, 1825 14. Sinoxylon anale Lesne, 1897 15. Sinoxylon atratum Lesne, 1897. 16. Sinoxylon birmanum Lesne 1906


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 88 17. Sinoxylon crassum Lesne, 1897 18. Sinoxylon cucumella Lesne, 1906 19. Sinoxylon flabrarius Lesne,1906 20. Sinoxylon mangiferae Chûjô, 1936 21. Sinoxylon marseuli Lesne, 1932 22. Sinoxylon pachyodon Lesne, 1906 23. Sinoxylon parviclava Lesne, 1918 24. Sinoxylon pygmaeum Lesne, 1897 25. Sinoxylon tignarium Lesne, 1902 26. Sinoxylon unidentatum (Fabricius, 1801) เผ่ำ Xyloperthini Lesne, 1921 สกุล Calonistes Lesne, 1936 27. Calonistes antennalis Lesne, 1936 สกุล Infrantenna Liu and Sittichaya, 2022 28. Infrantenna fissilis Liu and Sittichaya, 2022 สกุล Octodesmus Lesne, 1901 29. Octodesmus episternalis Lesne, 1901 30. Octodesmus parvulus (Lesne, 1897) สกุล Octomeristes Liu and Beaver, 2016 31. Octomeristes pusillus Liu and Beaver, 2016 สกุล Paraxylion Lesne, 1941 32. Paraxylion bifer (Lesne, 1932) สกุล Psicula Lesne, 1941 33. Psicula heterogama Lesne, 1941 สกุล Xylocis Lesne, 1901 34. Xylocis tortilicornis Lesne, 1901 สกุล Xylodectes Lesne, 1901 35. Xylodectes ornatus (Lesne, 1897) สกุล Xylodrypta Lesne, 1901 36. Xylodrypta bostrichoides Lesne, 1901


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 89 37. Xylodrypta lanna Liu and Beaver, 2021 สกุล Xylopertha Guerin-Meneville, 1845 38. Xylopertha praeusta (Germar, 1817) สกุล Xyloperthella Fisher, 1950 39. Xyloperthella crinitarsis (Imhoff, 1843) สกุล Xylopsocus Lesne, 1901 40. Xylopsocus acutespinosus Lesne, 1906 41. Xylopsocus capucinus (Fabricius, 1781) 42. Xylopsocus ensifer Lesne, 1906 43. Xylopsocus intermedius Damoiseau, 1993 44. Xylopsocus radula Lesne, 1901 สกุล Xylothrips Lesne, 1901 45. Xylothrips flavipes (Illiger, 1801) วงศ์ย่อย Dinoderinae Thomson, 1863 สกุล Dinoderopsis Lesne, 1906 46. Dinoderopsis serriger Lesne, 1923 สกุล Dinoderus Stephens, 1830 47. Dinoderus bifoveolatus (Wollaston, 1858) 48. Dinoderus brevis Horn, 1878 49. Dinoderus exilis Lesne, 1932 50. Dinoderus favosus Lesne,1911 51. Dinoderus minutus (Fabricius, 1775) 52. Dinoderus ocellaris Stephens, 1830 53. Dinoderus aff5 . punctatissimus Lesne, 1897 54. Dinoderus speculifer Lesne,1895 สกุล Orientoderus (Borowski and Wgrzynowicz, 2011) 55. Orientoderus orientalis (Borowski and Wgrzynowicz, 2011) 5 aff.= affirmative ใช้ก ากับมอดที่มีลักษณะใกล้คียงกับชนิดที่ระบุแต่จ าเป็นต้องยืนยันชนิดอีกครั้งเมื่อมีข้อมูลเพิ่มขึ้น


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 90 สกุล Prostephanus Lesne, 1897 56. Prostephanus truncatus (Horn, 1878) สกุล Rhyzopertha Stephans, 1830 57. Rhyzopertha dominica (Fabricius, 1792) วงศ์ย่อย Dysidinae Lesne, 1921 สกุล Apoleon Gorham, 1885 58. Apoleon edax Gorham, 1885 วงศ์ย่อย Lyctinae Billberg, 1820 เผ่ำ Cephalotomini Liu, 2011 สกุล Cephalotoma Lesne, 1911 59. Cephalotoma coomani (Lesne, 1932) 60. Cephalotoma singularis Lesne, 1911 เผ่ำ Lyctini Billberg, 1820 สกุล Lyctoxylon Reitter, 1879 61. Lyctoxylon dentatum (Pascoe, 1866) สกุล Lyctus Fabricius, 1792 62. Lyctus africanus Lesne, 1907 63. Lyctus aff. parallelocollis Blackburn, 1888 64. Lyctus tomentosus Reitter, 1879 สกุล Minthea Pascoe, 1866 65. Minthea humericosta Lesne, 1936 66. Minthea reticulata Lesne, 1931 67. Minthea rugicollis (Walker, 1858) เผ่ำ Trogoxylini Lesne, 1921 สกุล Trogoxylon LeConte, 1862 68. Trogoxylon auriculatum Lesne, 1932 69. Trogoxylon punctipenne (Fauvel, 1904) 70. Trogoxylon spinifrons Lesne, 1910 วงศ์ย่อย Polycaoninae Lesne, 1896 สกุล Melalgus Dejean, 1833


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 91 71. Melalgus batillus (Lesne, 1902) วงศ์ย่อย Psoinae Blanchard, 1851 เผ่ำ Psoini Blanchard, 1851 สกุล Sawianus Zahradník and Háva, 2015 72. Sawianus ornatus Zahradník and Háva, 2015


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 92 ทที่ 7 อนุก รมวิ ธ ำนขอ งว งศ์ย่อยDinoderinae บDysidinae Polycaoninae Psoinae “Dinoderinae” ล าตัวอ้วนป้อม รูปร่างคล้ายแคปซูล ปีกสั้น ยาวกว่าอกปล้องแรก เล็กน้อย ปีกมีหลุม (punctures) ลึก ลักษณะแตกต่างกัน ขอบหน้าของอกปล้อง แรกมีหนาม (medial tooth) ขนาดและจ านวนของหนามแตกต่างกัน “Dysidinae” ล าตัวรูปทรงกระบอกยาว-ยาวมาก หัวเชื่อมกับด้านหน้าปล้องอก แบบ semi-prognathous อกด้านบนมีกลุ่มขนและหนามเป็นกระจุกขนาดใหญ่ “Polycaoninae” มอดขี้ขุยที่มีล าตัวรูปทรงกระบอกเรียวยาว อกรูปทรงกระบอก ไม่ขยายใหญ่ สามารถมองเห็นส่วนหัวจากด้านบน (semi-prognathous) กราม ขนาดใหญ่-ใหญ่มาก “Psoinae” ลักษณะแตกต่างจากมอดขี้ขุยทั่ว ๆ ไป ล าตัวมีขนยาวปกคลุม หนาแน่น มีแต้มและสีสันสดใส ลักษณะโดยทั่วไปคล้ายด้วงกระดูกสัตว์


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 93 วงศ์ย่อย Dinoderinae Thomson, 1863 มอดวงศ์ย่อย Dinoderinae เป็นมอดขนาดเล็ก ส่วนใหญ่ล าตัวสั้น ป้อม คล้ายแคปซูล มอด วงศ์ย่อยนี้มีความส าคัญในทางเศรษฐกิจมากที่สุดเนื่องจากเข้าท าลายผลผลิตทางการเกษตรในโรงเก็บ ผลผลิต เช่น ธัญพืช มันสัมปะหลัง และมักพบเข้าท าลายและเป็นศัตรูส าคัญของไม้ไผ่ หวาย และ ผลิตภัณฑ์ มอดวงศ์ย่อยนี้แตกต่างจากวงศ์ย่อยอื่น ๆ ดังนี้ ปล้องอกโป่งออกคลุมส่วนหัวมิด มองจาก ด้านบนเป็นรูปครึ่งวงกลม กึ่งครึ่งวงกลม หรือสามเหลี่ยม ด้านหน้าโค้งกลมกว้าง ๆ (brordly round) ในส กุล Dinoderus, Rhyzopertha แล ะ Stephanopachys ห รือยื่นแหลม ออกไปด้ านหน้ า (projecting/ produced) ปลายสุดป้าน (trancate) ในสกุล Dinoderopsis, Orientoderus และ แหลม (attenuate) ในสกุล Prostephanus กึ่งกลางด้านหน้าประดับด้วยหนามแบบฟันเลื่อย (medial tooth/ medial serrations) ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง มุมด้านหน้าไม่พบโครงสร้างหนามคล้าย เขา (horned) ยื่นออกมาด้านหน้า หนวดขยายใหญ่ 3 ปล้อง ปล้องที่ขยายใหญ่ขยายด้านเดียว ยาว เท่ากับกว้าง (รูปสามเหลี่ยมด้านเท่า) หรือสัดส่วนต่างจากนี้เล็กน้อย ปลายหน้าแข้งของขาคู่แรกมีหนาม 1 อัน ตีนปล้องแรกยาว ยาวพอ ๆ กับปล้องที่ 2 ทั่วโลกพบ 8 สกุล 55 ชนิด ในประเทศไทยพบ 5 สกุล 12 ชนิด รำยชื่อมอดวงศ์ย่อย Dinoderinae Thomson, 1863 ในประเทศไทย สกุล Dinoderopsis Lesne, 1906 1. Dinoderopsis serriger Lesne, 1923 สกุล Dinoderus Stephens, 1830 1. Dinoderus bifoveolatus (Wollaston, 1858) 2. Dinoderus brevis Horn, 1878 3. Dinoderus exilis Lesne, 1932 4. Dinoderus favosus Lesne, 1911 5. Dinoderus minutus (Fabricius, 1775) 6. Dinoderus ocellaris Stephens, 1830 7. Dinoderus aff. punctatissimus Lesne, 1897 8. Dinoderus speculifer Lesne, 1895 สกุล Orientoderus (Borowski and Wgrzynowicz, 2011) 1. Orientoderus orientalis (Borowski and Wgrzynowicz, 2011) สกุล Prostephanus Lesne, 1897


Click to View FlipBook Version