The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มอดขี้ขุยในประเทศไทย-Bostrichidae of Thailand

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by AJ Wisut, 2023-05-25 23:25:38

มอดขี้ขุยในประเทศไทย-Bostrichidae of Thailand

มอดขี้ขุยในประเทศไทย-Bostrichidae of Thailand

สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 94 1. Prostephanus truncatus (Horn, 1878) สกุล Rhyzopertha Stephans, 1830 1. Rhyzopertha dominica (Fabricius, 1792) รูปวิธำนของมอดวงศ์ย่อย Dinoderinae Thomson, 1863 ในประเทศไทย 1. ขอบด้านหน้าของอกปล้องแรก (anterior margin) มองจากด้านบนแหลม..............................2 - ขอบด้านหน้าของอกปล้องแรกกลมกว้าง กึ่งกลางโค้งออกหรือเว้าเข้าเล็กน้อย.........................4 2. ปล้องฐานขาของขาคู่กลางห่างกันเล็กน้อย คู่หน้าชิด ลาดปลายปีกโค้ง มีหนามขนาดกลาง 2 คู่ .........................................................................................................Orientoderus orientalis - ปล้องฐานขาของขาทั้งสองคู่ชิด ลาดปลายปีกตัด (truncate)....................................................3 3. หน ว ด 11 ป ล้ อง หน า มบ ริเ วณ ข อบด้ านหน้ าอ กป ล้อง แ รกเ รี ยง ตั วห่ างจ ากกัน ...............………………………………………………….…….……………..….………Dinoderopsis serriger - ห น ว ด 1 0 ป ล้ อ ง ห น า ม บ ริ เ ว ณ ข อ บ ด้ า น ห น้ าอ ก ป ล้ อ ง แ ร กเ รี ย ง ตั ว ชิ ด .......................................................................................................Prostephanus truncatus 4. หนวดปล้องที่ 1 และ 2 ยาวใกล้เคียงกัน ขอบด้านข้างของอกปล้องแรกหยักมนถี่ ๆ ฐาน ด้านบนอกปล้องแรก (pronotal disc) เป็นปุ่มขนาดเล็ก (granules) สคิวเทลลัม (scutellum) รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส (rectangular)......................…………………….……Rhyzopertha dominica - หนวดปล้องที่ 2 สั้นกว่าปล้องที่ 1 ขอบด้านข้างของปล้องอกเรียบ ฐานด้านบนอกปล้องแรกเป็น หลุมตื้น (punctured) สคิวเทลลัมรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า (transvers) (Dinoderus) …..……..…….5 5. หนวดมี 11 ปล้อง........................................................................................................................6 - หนวดมี 10 ปล้อง .......................................................................................................................7 6. ล าตัวอ้วนป้อม หนามบริเวณขอบหน้าอกปล้องแรก 8-10 อัน ขนาดใหญ่ คู่กลางใหญ่กว่าคู่อื่น ๆ ปีกกลม สั้น ยาวกว่าปล้องอก 1.5 เท่า หลุมตื้นบนปีกขนาดเล็ก เรียงกระจาย ก้นหลุมมีปุ่มนูน (ocellate punctures)…………………………….……………………………………….Dinoderus brevis - ล าตัวทรงกระบอกยาวกว่า หนามขอบหน้าอกปล้องแรก 14-16 อัน ขนาดเล็กไม่แตกต่างจาก หนามบนลาดด้านหน้าปล้องอก หนามคู่กลางมีขนาดใกล้เคียงกับหนามอื่น ๆ ปีกทรงกระบอก ยาว ยาวกว่าปล้องอก 1.85 เท่า หลุมตื้นบนปีกขนาดใหญ่ บริเวณใกล้ปลายปีกเรียงเป็นแถวตาม ความยาว หลุมขอบมน ก้นหลุมเรียบ (simple punctures)…………………Dinoderus favosus 7. ลาดปลายปีกบริเวณกึ่งกลางมีแถบเรียบเป็นมันวาวไม่มีหลุมตื้น………..Dinoderus speculifer - ลาดปลายปีกปกคลุมด้วยหลุมตื้น ไม่มีแถบเรียบเป็นมันวาวบริเวณกึ่งกลางลาดปลายปีก..........8


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 95 8. ฐานหนวดและ/หรือเส้นหนวดมีกลุ่มขนสีน้ าตาลทองยาว ขนยาวกว่าฐานหนวด ล าตัวอ้วนป้อม อกด้านหน้ากลมกว้าง ขอบด้านหลังตรง อกมองจากด้านบนเป็นรูปครึ่งวงกลมหรือรูปครึ่ง วงกลมฐานด้านหลังยาว (ขอบหน้าโค้งกลมขอบด้านข้างขนาน).............Dinoderus ocellaris - ขนบริเวณฐานหนวดและ/หรือเส้นหนวดสั้นหรือไม่ปรากฏ.......................................................9 9. อกมองจากด้านบนยาวยื่นไปทางด้านหลัง (posteriorly elongated) ขอบด้านข้างขนานกัน ด้านหน้าโค้งครึ่งวงกลม ขอบหน้าของอกปล้องแรกมีหนามฐานแคบปลายแหลมขนาดใหญ่ 1 คู่ หนามชิดติดกัน ปีกยาวกว่าปล้องอกมากกว่า 1.8 เท่า หลุมบนปีกตื้น ผิวขรุขระ มองเป็นรูปตา ข่าย (reticulated).........................................................................................Dinoderus exilis - อกปล้องแรกมองจากด้านบนสั้น ไม่ยาวไปทางด้านหลัง (not elongated) อกรูปสามเหลี่ยม ด้านหน้าโค้ง ขอบด้านข้างปล้องอกไม่ขนาน กว้างสุดบริเวณใกล้ฐานด้านหลัง ด้านหน้า และ หลังจุดที่กว้างที่สุดสอบเว้าเล็กลงไปทางด้านหน้าและด้านหลัง............................……..…..…….10 10. หนามบริเวณขอบหน้าของอกปล้องแรกมี14 อัน ขนาดเล็ก หนามคู่หน้าสุดขนาดเท่า ๆ กับ หนามในล าดับถัดไป หนามชิดมีระยะห่างระหว่างหนามแต่ละอันเท่า ๆ กัน ปีกยาว ยาวกว่า ปล้องอกมากกว่า 1.8 เท่า...............................................................Dinoderus bifoveolatus - หนามบริเวณขอบหน้าของอกปล้องแรกขนาดใหญ่ เด่นชัด หนาม 8-10 อัน คู่หน้าใหญ่กว่าคู่อื่น ๆ หนามคู่หน้ามีต าแหน่งห่างจากกัน ปีกสั้น ปลายปีกโค้งกลม ปีกยาวกว่าอก 1.45-1.6 เท่า .................................................................................................................Dinoderus minutus


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 96 วงศ์ย่อย Dinoderinae Thomson, 1863 Dinoderinae Thomson, 1863: 201. Type genus: Dinoderus Stephens, 1830: 352. สกุล Dinoderopsis Lesne, 1906 Dinoderopsis Lesne, 1906a: 400. Type species: Dinoderopsis escharipora Lesne, 1906a: 401. Dinoderopsis serriger Lesne, 1923 Dinoderopsis serriger Lesne, 1923: 56. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยเทียม auger beetle, false powderpost beetle ชื่อพ้อง:- ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ล าตัวยาว 3.0-5.0 มม. เป็นมันวาว สีน้ าตาล-น้ าตาลแดง หนวดมี 11 ปล้อง ขนบริเวณเส้นหนวดและปล้องที่ขยายใหญ่สั้น ปล้องที่ขยายใหญ่ขยายทางด้านข้างน้อยกว่าสกุล Orientoderus และ Prostephanus รยางค์กรามล่าง (labial palp) ปล้องที่ 1 ปล้องที่ 2 แบนอย่าง เห็นได้ชัด ขยายใหญ่มากกว่าปกติปล้องที่ 3 เล็กมาก อกปล้องแรกยื่นไปด้านหน้า (produced) ขอบ ด้านหน้ามีหนามขนาดกลาง หนามแหลมโค้งขึ้น (curved denticles) ด้านละ 3 อัน โคนหนามแยกห่าง จากกันเล็กน้อย ลาดด้านหน้าอกปล้องแรกปกคลุมด้วยหนามคล้ายเกล็ด (serrations) ขนาดใหญ่ ปีก ยาวกว่าอกปล้องแรก 2 เท่า ยาวกว่ากว้างเล็กน้อย ด้านบนของปีกเป็นหลุมตื้น หลุมเรียงเป็นแถว หนาแน่น ปลายปีกมีปุ่มและหนามแหลมเรียงต่อเนื่องไปยังหนามบริเวณขอบลาดปลายปีก หนามมี 3 อัน (กลุ่ม) ระยะห่างระหว่างต าแหน่งของหนามเท่ากัน หนามขนาดใหญ่บริเวณโคนมี ปุ่มขนาดเล็กโดยรอบ ขอบด้านข้างลาดปลายปีกขรุขระ ประกอบด้วยปุ่มขนาด แตกต่างกัน ลาดปลายปีกมีปุ่มขนาดกลาง กระจายอย่างไม่เป็นระเบียบ ต้นขาของขา คู่หน้าและคู่กลางชิด พืชอำหำร: - กำรกระจำย: แอฟริกาใต้และตะวันออก เยเมน ลาว กำรกระจำยในประเทศไทย: แม่ฮ่องสอน


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 97 สกุล Dinoderus Stephens, 1830 Dinoderus Stephens, 1830: 352. Type species: Dinoderus ocellaris Stephans, 1830: 352. Desig. Fisher, 1950: 24. ชื่อพ้อง: Patea Casey, 1898: 66. Syn. Lesne, 1901a: 78. Dinoderus bifoveolatus (Wollaston, 1858) Rhyzoperta bifoveolata Wollaston, 1858: 409. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยเทียม มอดไม้ไผ่ auger beetle, false powderpost beetle ชื่อพ้อง: Dinoderus perpunctatus Lesne, 1895: 170. Syn. Lesne, 1897a: 147. ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ล าตัวยาว 2.0-3.4 มม. ทรงกระบอก เรียวยาว ปีกมองจากด้านข้างโค้ง ขึ้นเล็กน้อย สันปีกตรง ยาวมากกว่ากว้าง 2.57 เท่า อกปล้องแรกรูปสามเหลี่ยมปลายมนฐานแคบ ขอบ ด้านหน้ากลมแคบ (round) ขอบด้านหน้าอกปล้องแรกมีหนาม 14 อัน ขนาดเล็ก หนามคู่หน้าสุดขนาด เท่า ๆ กับหนามอื่น ๆ หนามชิดมีระยะห่างเท่ากัน หนามคล้ายเกล็ด (serrations) บริเวณลาดด้านหน้า เรียงเป็นระเบียบตามแนวรัศมี ฐานปล้องอกโค้งขึ้นเล็กน้อย ปกคลุมด้วยหลุมตื้น บริเวณใกล้ขอบ ด้านหลังมีบุ๋ม (depression) 1 คู่ หนวดมี11 ปล้อง สคิวเทลลั่มรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ปีกยาว (elongated) ยาวกว่าปล้องอก 1.9 เท่า ปีกปกคลุมด้วยหลุมตื้นแบบปกติ หนาแน่น หลุมกว้างเชื่อมติดกันด้วยขอบมน ลาดปลายปีกมีขนสั้น ตรง ปกคลุม


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 98 พืชอำหำร: มันส าปะหลังแห้ง แป้งหลายชนิด ไม้ไผ่ หวาย รากหางไหล เมล็ด โกโก้แห้ง ข้าวโพด ธัญพืช ทางปาล์ม เนื้อเมล็ดในปาล์ม ม ันเทศแห้ง กำรกระจำย: ทั่วโลก (พบมากในเขตโซนร้อน) กำรกระจำยในประเทศไทย:ตาก เชียงใหม่ พะเยา น่าน เพชรบุรี กาญจนบุรี อุทัยธานี ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช Dinoderus brevis Horn, 1878 Dinoderus brevis Horn, 1878: 549. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยเทียม มอดไม้ไผ่ auger beetle, false powderpost beetle, bamboo borer ชื่อพ้อง: - ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ล าตัวยาว 2.0-3.4 มม. ลักษณะล าตัวโดยทั่วไปอ้วนป้อม ยาวมากกว่า กว้าง 2.14 เท่า ปีกมองจากด้านข้างโค้งกลม สั้น ปีกโค้งขึ้นมากเกือบกลม ลาดปลายปีกโค้งกลม อก ปล้องแรกกลมฐานกว้าง ขอบหน้ากลมกว้าง (broadly round) ขอบด้านหน้ามีหนามเด่นชัด 8 อัน หนามสั้น ฐานกว้างเรียงห่าง หนามคู่หน้ามีขนาดใหญ่เด่นชัด ลาดด้านหน้าปกคลุมด้วยเกล็ดเด่นชัด หนาแน่น ฐานปล้องอกปกคลุมด้วยหลุมตื้นขนาดเล็ก (fine punctures) บริเวณใกล้ขอบด้านหลังมีบุ๋ม (depression) 1 คู่ บุ๋มคั่นด้วยสันตามความยาว ปีกปกคลุมด้วยหลุมตื้นขนาดเล็ก หลุมตื้นกึ่งกลางหลุม


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 99 มีปุ่มกลมมนขนาดเล็ก (ocellate punctures) ลักษณะทั่วไปคล้าย D. minutus แต่ล าตัวสั้นป้อมกว่า หนวดมี 11 ปล้อง พืชอำหำร: ไม้ไผ่หลายชนิด ข้าว มันส าปะหลังแห้ง แป้งสาคูก้านใบยาสูบ กำรกระจำย: ทั่วโลก (พบมากในเขตโซนร้อน) กำรกระจำยในประเทศไทย: ตาก แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ นครสวรรค์ Dinoderus exilis Lesne, 1932 Dinoderus exilis Lesne, 1932: 653. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยเทียม มอดไม้ไผ่ auger beetle, false powderpost beetle ชื่อพ้อง: -


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 100 ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ล าตัวยาว 2.16-2.80 มม. เรียวยาว ทรงกระบอก ปีกมองจากด้านข้าง โค้งขึ้นเล็กน้อย สันปีกตรง ยาวมากกว่ากว้าง 2.58 เท่า อกมองจากด้านบนยาวยื่นไปทางด้านหลัง (posteriorly elongated) ขอบด้านข้างขนานกัน ด้านหน้าโค้งครึ่งวงกลม ขอบด้านหน้ามีหนามฐาน แคบปลายแหลม 12-14 อัน หนามคู่กลางขนาดใหญ่เด่นชัดหนามชิดติดกัน ลาดด้านหน้ามีเกล็ดขนาด เล็กหนาแน่น ฐานปกคลุมด้วยหลุมขนาดเล็กลักษณะเชื่อมเป็นร่างแห บริเวณใกล้ขอบด้านหลังมีบุ๋ม (depression) 1 คู่ บุ๋มคั่นด้วยสันสั้น ปีกยาวกว่าปล้องอก 1.8 เท่า ปกคลุมด้วยหลุมตื้นหนาแน่น หลุม ตื้นมาก ผิวขรุขระ เชื่อมต่อกันเป็นตาข่าย (reticulate) ลาดปลายปีกแบนมีตุ่มขนาด เล็กปกคลุมกระจาย พืชอำหำร: ไม้ทุเรียน (Durio zibethinus) กำรกระจำย: อินเดีย (เบงกอลตะวันตก) กำรกระจำยในประเทศไทย: เพชรบุรี ชุมพร สุราษฎร์ธานี Dinoderus favosus Lesne, 1911 Dinoderus favosus Lesne, 1911a: 397. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยเทียม มอดไม้ไผ่ auger beetle, false powderpost beetle, bamboo borer ชื่อพ้อง:-


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 101 ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ล าตัวยาว 2.80-3.00 มม. ทรงกระบอก ล าตัวอ้วนป้อม (robust) ปีก มองจากด้านข้างโค้งขึ้นเล็กน้อย สันปีกตรง ยาวมากกว่ากว้าง 2.33 เท่า อกปล้องแรกมองจากด้านบน ฐานกลมด้านหน้ายืดออก (การยื่นไปด้านหน้าของอกมีความแตกต่างกันในแต่ละตัวท าให้ลักษณะของ ปล้องอกมองจากด้านบนมีรูปร่างตั้งแต่กลมไปจนถึงรูปสามเหลี่ยมด้านข้างโค้งออก ด้านหน้าโค้งกว้าง (trapezoidal) ขอบด้านข้างโค้งออก ด้านหน้าสอบเข้าจากกึ่งกลางปล้องอกไปด้านหน้า ขอบด้านหน้า กลมกว้าง มีหนามขนาดเล็กขนาดเท่าๆ กัน 14-16 อัน ลาดด้านหน้าปกคลุมด้วยเกล็ดขนาดกลาง เรียง เป็นระเบียบแนวรัศมี ฐานปล้องอกปกคลุมด้วยหลุมลึกขอบมน บริเวณใกล้ขอบด้านหลังมีบุ๋ม 1 คู่ บุ๋ม กลมลึก หนวดมี 11 ปล้อง สคิวเทลลั่มรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือสี่เหลี่ยมคางหมูยาว มากกว่ากว้าง ลักษณะทั่วไปคล้าย D. bifoveolatus แต่ล าตัวป้อมสั้นกว่า หนวดมี 11 ปล้อง และสคิวเทลลั่มรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พืชอำหำร: - กำรกระจำย: อินเดีย พม่า เวียดนาม จีน (ตอนใต้) กำรกระจำยในประเทศไทย: เชียงใหม่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี Dinoderus minutus (Fabricius, 1775) Apate minutus Fabricius, 1775: 54. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยเทียม มอดไม้ไผ่ auger beetle, false powderpost beetle, bamboo borer ชื่อพ้อง: Apate pumila Dejean, 1833: 309. (nomen nudum) Apate umbilicatus Mannerheim in Dejean, 1833: 309. (nomen nudum) Bostrichus vertens Walker, 1859: 260. Syn. Lesne, 1897b: 330. Xylopertha bambulae Gemminger and Harold, 1869: 1790. (nomen nudum) Rhizopertha sicula Baudi di Selve, 1873: 1873a: 336. Syn. Waterhouse, 1888: 349.


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 102 ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด:ขนาดล าตัวยาว 2.0-3.8 มม. ทรงกระบอก ป้อม ปีกสั้น สีน้ าตาลด า อก ปล้องแรกรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ขอบหน้ากลมกว้าง ขอบหน้ามีหนามคล้ายเกล็ด 6-8 อัน หนามคู่กลาง แยกห่างจากกัน มีขนาดใหญ่กว่าหนามด้านข้างเล็กน้อย (อาจมีหนามขนาดเล็กคั่นกลางหนามคู่กลางใน บางตัว) หนวด 10 ปล้อง อกปล้องแรกมองจากด้านบนกว้างสุดใกล้ขอบหลังและค่อย ๆ สอบเข้าสู่ ด้านหน้า มุมด้านหลังปล้องอกกลมกว้าง ๆ ด้านบนของปล้องอกตรงกึ่งกลางใกล้ฐานมีบุ๋ม 1 คู๋ บุ๋มเป็น หลุมเว้าลงกว้างๆ ปีกปกคลุมด้วยหลุมตื้น เรียงตัวเกือบเป็นแถวตามความยาว ปีกยาวกว่าปล้องอก 1.5 เท่า ขนบริเวณลาดปลายปีกสั้น ตรง สีน้ าตาลอมเหลือง พืชอำหำร: ไม้ไผ่ ผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ หวายและผลิตภัณฑ์ ศัตรูส าคัญของผลผลิตหลัง การเก็บเกี่ยว เช่น ข้าวเปลือก มันส าปะหลังแห้ง อ้อย ไม้สน และไม้ยางพารา กำรกระจำย: ทั่วโลก ทั้งในเขตร้อนชื้นและเขตอบอุ่น กำรกระจำยในประเทศไทย: แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สมุทรสงคราม ระยอง ชลบุรี จันทบุรี ชุมพร พังงา กระบี่ ตรัง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 103 Dinoderus ocellaris Stephens, 1830 Dinoderus ocellaris Stephens, 1830: 352. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยเทียม มอดไม้ไผ่ auger beetle, false powderpost beetle, bamboo borer ชื่อพ้อง: Dinoderus pilifrons Lesne, 1895: 170. Syn. Lesne, 1905: 249. Dinoderus australiensis Lesne, 1897c: 184. Syn. Lesne, 1899a: 638. ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ขนาดล าตัวยาว 2.88-4.20 มม. ล าตัวอ้วนป้อม (robust) ปีกมองจาก ด้านข้างโค้งขึ้นชัดเจน ฐานริมฝีปากบนปกคลุมด้วยขนยาวสีเหลืองทองหนาแน่น หนวดปล้องที่ 1-7 มีพู่ ขนหนาแน่น อกปล้องแรกมองจากด้านบนกลม ขอบด้านข้างโค้งกลม กว้างสุดใกล้ขอบหลัง ขอบ ด้านหน้ากลมกว้าง มีหนาม 10-14 อัน หนามคู่หน้าสุดมักมีขนาดเล็ก ฐานปล้องอกปกคลุมด้วยหลุมตื้น ขนาดเล็กมาก ผิวเรียบเป็นมันวาว บริเวณใกล้ขอบด้านหลังมีหรือไม่มีบุ๋ม สคิวเทลลั่มรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ปีกโค้งกลมปกคลุมด้วยหลุมตื้นขนาดเล็กหนาแน่น หลุมตื้นบริเวณฐานมีปุ่มนูนมน ขนาดเล็ก ลาดปลาย ปีกมีขนสั้นหนาปกคลุม ตะเข็บปีกบริเวณหน้าลาดปลายปีกนูนเป็นสันชัดเจน (keel-like) ฐานหนวด และ/หรือเส้นหนวดมีกลุ่มขนสีน้ าตาลทองยาว ขนยาวกว่าฐานหนวด พืชอำหำร: ไม้ไผ่แห้ง ไผ่ตง (Dendrocalamus asper) ตัวที่มีขนาดใหญ่มักพบท าลายส่วนข้อของล าไผ่


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 104 กำรกระจำย: อินเดีย ศรีลังกา ลาว เวียดนาม ฟิลิปปินส์อินโดนีเซีย ยุโรป ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ กำรกระจำยในประเทศไทย: ตาก เชียงใหม่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ กาญจนบุรี เพชรบุรี กรุงเทพมหานคร (ตัวอย่างเก่ามาก) สุราษฎร์ธานี Dinoderus aff. punctatissimus Lesne, 1897 Dinoderus punctatissimus Lesne, 1897b: 329. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยเทียม มอดไม้ไผ่ auger beetle, false powderpost beetle, bamboo borer ชื่อพ้อง:- ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ขนาดล าตัวยาว 2.37 มม. มอดขนาดเล็ก ล าตัวป้อมสั้น ขรุขระ ปีกมอง จากด้านข้างโค้งขึ้น ล าตัวยาวมากกว่ากว้าง 2.35 เท่า อกปล้องแรกรูปสามเหลี่ยมฐานกว้าง ขอบหน้า กลม มีหนาม 16 อัน หนามขนาดเท่า ๆ กัน เรียงชิด ลาดด้านหน้าปกคลุมด้วยเกล็ด ขนาดใหญ่หนาแน่น ฐานอกปกคลุมด้วยหลุมตื้นขนาดใหญ่ บริเวณใกล้ขอบหลังมีบุ๋ม 1 คู่ ปีกปกคลุมด้วยหลุมตื้นขนาดใหญ่กว้าง ขอบมน หลุมเรียงเป็นแถวขนานตามความ ยาวล าตัว พืชอำหำร: - กำรกระจำย: อินเดีย กำรกระจำยในประเทศไทย: ตาก


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 105 Dinoderus speculifer Lesne, 1895 Dinoderus speculifer Lesne, 1895: 169. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยเทียม มอดไม้ไผ่ auger beetle, false powderpost beetle, bamboo borer ชื่อพ้อง:- ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ล าตัวยาว 3.50-4.00 มม. ล าตัวทรงกระบอกยาว ยาว มากกว่ากว้าง 2.60 เท่า ปีกมองจากด้านข้างโค้งขึ้นเล็กน้อย อกปล้องแรกรูป สามเหลี่ยม ขอบด้านข้างโค้งออกเล็กน้อย ขอบหน้ากลม มีหนามขนาดเล็ก 10-12 อัน หนามเรียงห่าง ฐานปล้องอกปกคลุมด้วยหลุมตื้นขนาดเล็กมาก บริเวณใกล้ขอบ ด้านหลังมีบุ๋ม 1 คู่ บุ๋มตื้นไม่ชัดเจน ปีกปกคลุมด้วยหลุมตื้นแบบพื้นฐาน (พื้นหลุม เรียบ) ขนาดกลาง กระจายหนาแน่น เรียงกระจายไม่เป็นแถว ลาดปลายปีก แคบ กลม ชัน กึ่งกลางลาดปลายปีกมีแถบเรียบ ไม่มีหลุมตื้น 1 คู่แถบเป็นมันวาว พืชอำหำร: - กำรกระจำย: ญี่ปุ่น จีน อินโดนีเซีย กำรกระจำยในประเทศไทย: เลย (ภูหลวง 900msl.)


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 106 สกุล Orientoderus (Borowski and Wgrzynowicz, 2011) Orientoderus (Borowski and Wgrzynowicz, 2011). Liu and Beaver, 2013: 261. Orientoderus Borowski and Wgrzynowicz, 2011: 255. Subgenus Type species: Orientoderus orientalis (Borowski and Wgrzynowicz, 2011) Orientoderus orientalis (Borowski and Wgrzynowicz, 2011) Prostephanus (Orientoderus) orientalis Borowski and Wgrzynowicz, 2011 ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยเทียม auger beetle, false powderpost beetle ชื่อพ้อง:- ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ล าตัวยาว 4.6-5.0 มม. เป็นมันวาว สีน้ าตาลแดง-น้ าตาลเข้ม ล าตัวรูป ทรงกระบอกยาว อกปล้องแรกยื่นไปด้านหน้าเล็กน้อย (not strongly produced) ขอบด้านหน้ามี หนามขนาดกลาง ด้านละ 2-3 อัน หนามแหลมโค้งขึ้น (curved denticles) หนามแยกห่าง ไม่ชิดติดกัน สคิวเทลลัมรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ปีกยาวกว่าอกปล้องแรก 2 เท่า ยาวกว่ากว้างเล็กน้อย ด้านบนของปีก เป็นหลุมตื้น หลุมหนาแน่นกระจายไม่เป็นระเบียบ หลุมบริเวณลาดปลายปีกลึกกว่าบนปีก ระหว่างหลุม มีปุ่มขนาดเล็ก ลาดปลายปีกมีหนามรูปกรวย (conical) ปลายแหลม 2 คู่ ฐานของหนามมีตุ่ม (papilla) ขนาดเล็ก หนามคู่บนเล็กกว่าคู่ล่างมาก หนามคู่ล่างมีต าแหน่งบริเวณกึ่งกลางลาดปลาย ปีก พืชอำหำร: - กำรกระจำย: จีน (ยุนนาน; 2,010 msl) ลาว (แขวงหัวพัน แขวงอุดมไซ 1,100msl.) กำรกระจำยในประเทศไทย: แม่ฮองสอน (ปาย 1,500msl.) น่าน (ดอยภูคา 1,300 msl.) (กระจายในพื้นที่เขาสูง) สกุล Prostephanus Lesne, 1897 Prostephanus Lesne, 1897c: 342. Type species: Apate punctata Say, 1826: 258. Syn. Fisher, 1950: 36. Prostephanus truncatus (Horn) Dinoderus truncatus Horn, 1878: 547. ชื่อสำมัญ: larger grain borer ชื่อพ้อง: -


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 107 ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ล าตัวยาว 3.5-5.5 มม. ล าตัวทรงกระบอกยาวสีน้ าตาลด า-ด า ยาว มากกว่ากว้าง 2.92 เท่า อกปล้องแรกรูปสามเหลี่ยม ขอบด้านข้างใกล้มุมหลังโค้งออกด้านข้างเล็กน้อย ขอบด้านหน้ายื่นแหลมรูปกรวย (projected) ขอบด้านหน้ามีหนามแหลม 8-10 อัน หนามคู่หน้าสุด เด่นชัดใหญ่กว่าหนามคู่อื่น ๆ หนามคู่หน้าเรียงชิดกันห่างจากหนามด้านข้าง ฐานปล้องอกปกคลุมด้วย หลุมขนาดเล็กมาก ลาดปลายปีกตัดขอบด้านข้างเป็นสันนูนถึงอินเตอร์สเตรีย 7 ไม่มีหนามหรือสันนูน บริเวณด้านหน้าลาดปลายปีก พืชอำหำร: หลากหลายชนิด ทั้งไม้ป่าและผลผลิตทางการเกษตร ธัญพืชหลากหลายชนิด ข้าวโพด มัน สัมปะหลังแห้ง ถั่วเขียว ถั่วแขก เมล็ดโกโก้แห้ง เมล็ดกาแฟ ข้าวเปลือก ไม้ไผ่ เป็นต้น กำรกระจำย: เบนิน น าเข้าสู่สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมัน อิสราเอล อิรัก และจีน กำรกระจำยในประเทศไทย: (รายงานในประเทศไทยไม่ระบุสถานที่) สกุล Rhyzopertha Stephans, 1830 Rhyzopertha Stephans, 1830: 354. Type species: Synodendron pusillum Fabricius, 1798: 156. Guuerin-Meneville, 1845: XVII. Rhyzopertha dominica (Fabricius, 1792) Synodendron dominicum Fabricius, 1792: 359. ชื่อสำมัญ: มอดหัวป้อม มอดข้าวเปลือก Lesser grain borer, american wheat weevil, australian wheat weevil, grain weevil, stored grain eater ชื่อพ้อง: Synodendron pusillum Fabricius, 1798: 156. Syn. Lesne, 1896a: 334. Ptinus fissicornis Marsham, 1802: 82. Syn. Jacquelin du Val, 1861: 167. Ptinus piceus Marsham, 1802: 88. Syn. Stephens, 1830: 354. Apate castanea Ulrich in Dejean, 1833: 309. (nomen nudum) Apate rufa Hope, 1845: 17. Syn. Lesne, 1897b: 332. Apate frumentaria Nördlinger, 1855: 189. Syn. Nördlinger, 1869: 238. Bostrichus moderatus Walker, 1859: 260. Syn. Blair, 1928: 97.


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 108 ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ล าตัวยาว 3.5-4.2 มม. รูปทรงกระบอกเรียวยาว สีน้ าตาล-น้ าตาลแดง ยาวมากกว่ากว้าง 2.61 เท่า อกปล้องแรกมองจากด้านบนกลมกว้าง กลม หรือด้านหน้าเรียวแคบรูป สามเหลี่ยม ขอบหน้าโค้งกลม หรือเว้าเข้าเล็กน้อย ลาดปลายปีกโค้งมนไม่มีหนาม พืชอำหำร: เข้าท าลายธัญพืชหลากหลายชนิด เป็นศัตรูส าคัญของข้าวเปลือก ข้าว สาลีถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดงหลวง ข้าวฝ่าง ข้าวโพด ถั่วลิสง เป็นต้น กำรกระจำย: พบทั่วโลก กำรกระจำยในประเทศไทย:อุทัยธานี เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 109 วงศ์ย่อย Dysidinae Lesne, 1921 มอดขี้ขุยกลุ่มขนาดเล็ก มีสมาชิกทั่วโลกเพียง 2 สกุล 3 ชนิด ได้แก่สกุล Apoleon Gorham, 1885 จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Indo-malayan sub-region) 1 ชนิด และสกุล Dysides Perty, 1832 จากทวีปอเมริกาใต้ 2 ชนิด มอดในวงศ์ย่อยนี้มีล าตัวรูปทรงกระบอกกลมปีกโค้งขึ้นปานกลาง อก ปล้องแรกโป่งเล็กน้อยคลุมส่วนหัวไม่มิด ส่วนหัวเชื่อมกับปล้องอกทางด้านหน้าท ามุมก้มลงเล็กน้อย (semi-prognathous insertion) ส่วนหัวมองเห็นจากด้านบนเพียงบางส่วน อกปล้องแรกมองจาก ด้านบนกลม กว้างมากกว่ายาว ด้านบนมีหนาม หรือปุ่มหนามและกระจุกขนปกคลุมเป็นกลุ่ม ๆ กระจาย ไม่เป็นระเบียบ อกด้านข้างไม่มีสัน ปล้องฐานขาของขาคู่หลังชิดหรือเกือบชิด อินเตอร์คอกซอลโปรเซส กว้าง ปลายหน้าแข้งของขาคู่หน้ามีหนาม 3 อัน ด้านนอกขนาดใหญ่ยาว ด้านในเล็กกว่า วงศ์ย่อย Dysidinae Lesne, 1921 Dysididae Lesne, 1921b: 286. Type genus: Dysides Perty, 1832. สกุล Apoleon Gorham, 1885 Apoleon Gorham, 1885: 51. Type species: Apoleon edax Gorham, 1885: 52, by monotypy6 . Apoleon edax Gorham, 1885 Apoleon edax Gorham, 1885: 52. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุย auger beetle, false powderpost beetle ชื่อพ้อง: Dysides spineus (Chen and Yin, 2003: 113). Borowski and Węgrzynowicz, 2007: 369. ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ล าตัวยาว 9.0-21.0 มม. ยาวมากกว่ากว้าง 3.1 เท่า ล าตัวสีน้ าตาลแดงด า ล าตัวโดยเฉพาะอกปล้องแรกปกคลุมด้วยขนยาวสีน้ าตาลหนาแน่น ส่วนหัวยื่นออกไปด้านหน้าเฉียง ลงเล็กน้อย สามารถมองเห็นจากด้านบนได้ชัดเจน หนวดสั้น ปล้องที่ขยายใหญ่แคบขยายด้านกว้างน้อย ขยายด้านยาวมาก ปล้องที่ 1 และ 2 สั้น ปล้องที่ 3 ยาวกว่าปล้องก่อนหน้ามากกว่า 2 เท่า ขยาย ด้านข้างแคบ ๆ กว้างกว่าเส้นหนวดประมาณ 1-1.5 เท่า อกปล้องแรกรูปคนโททรงเตี้ย กว้างมากกว่า ยาวมาก ขอบด้านข้างปล้องอกและลาดด้านหน้ามีหนามขนาดใหญ่ อกด้านบนมีปุ่มหนามสั้นหนาและมี 6 สกุลที่ตั้งขึ้นใหม่จากสมาชิกเพียง 1 ชนิด


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 110 ขนสั้นปกคลุม 4 จุด ฐานปล้องอกแคบกว่าขอบหน้าของปีก ปีกรูปทรงกระบอกยาวปลายปีกโค้ง มีขน ยาวปกคลุม ลาดปลายปีกโค้งลาดลง ด้านบนของปีกมีสันเป็นเส้นตามความยาวด้านละ 6 เส้น ขาคู่หน้า ส่วนปลายของหน้าแข้งมีหนามขนาดใหญ่ 3 อัน หนวด 10 ปล้อง 3 ปล้องสุดท้ายขยายใหญ่ พืชอำหำร: ไม้ยางพารา (Hevea brasiliensis) เต็ง (Shorea obtusa) ไม้ยางหลาย ชนิดในสกุล Dipterocarpus ไม้ฟืนแห้ง (ไม่ทราบชนิด) กำรกระจำย: เมียนมาร์ กัมพูชา ลาว เวียดนาม มาเลซีย อินโดนีเซีย จีน (น าเข้า, ท่าเรือมณฑลกวางตุ้ง) กำรกระจำยในประเทศไทย: แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ น่าน กรุงเทพมหานคร (ตัวอย่าง เก่ามาก)


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 111 วงศ์ย่อย Polycaoninae Lesne, 1896 มอดขี้ขุยในวงศ์ย่อย Polycaoninae (และวงศ์ย่อย Psoinae) มีลักษณะทั่วไปแตกต่างจาก มอดขี้ขุยในวงศ์ย่อยอื่น ๆ รวมทั้งวงศ์ย่อย Bostrichinae ชัดเจน การแบ่งกลุ่มทางอนุกรมวิธานโดยใช้ ลักษณะสัณฐานภายนอกของตัวเต็มวัยในอดีตเคยแยกมอดในวงศ์ย่อยนี้เป็นวงศ์ต่างหาก อย่างไรก็ตาม ในการจ าแนกมอดในระดับเหนือวงศ์ Bostrichpidea ในปัจจุบันใช้ลักษณะทางสัณฐานวิทยาภายใน และภายนอกของระยะตัวหนอน มอดสองวงศ์ย่อยนี้จึงจัดอยู่ในวงศ์ Bostrichidae มอดในวงศ์ย่อย Polycaoninae แตกต่างจากมอดในวงศ์ย่อยอื่น ๆ ดังนี้ ล าตัวทรงกระบอกยาวโค้งเล็กน้อย อกไม่คลุม ส่วนหัว ส่วนหัวเชื่อมกับปล้องอกทางด้านหน้า (prognathous insertion) มองเห็นส่วนหัวทั้งหมด หรือ ส่วนหัวเชื่อมกับปล้องอกทางด้านหน้าท ามุมก้มลงเล็กน้อย (semi-prognathous insertion) อก ทรงกระบอกหรือทรงกระบอกยื่นไปด้านหน้า (anteriorly elongate) ด้านบนค่อนข้างแบนโค้งขึ้น เล็กน้อยอาจมีร่องบริเวณกึ่งกลางปล้องอก อกด้านข้างกลมไม่มีขอบ ฐานปล้องอกไม่มีปุ่มขนาดเล็กปก คลุม อินเตอร์คอกซอลโปรเซสของขาคู่หน้ากว้าง ปล้องฐานขาของขาคู่หน้ากลม ด้านล่างแบนเชื่อมต่อกับข้อ ต่อขาด้านข้าง(laterally directed) โดยตรง วงศ์ย่อย Polycaoninae Lesne, 1896 Polycaoninae Lesne, 1896a: 96. Type genus: Polycaon Castelnau, 1836: 30. สกุล Melalgus Dejean, 1833 Melalgus Dejean, 1833: 309. Type species: Apate femoralis Fabricius, 1792: 361. Des. Fisher, 1950: 6. ชื่อพ้อง: Heterarthron Guérin-Méneville in Dejean, 1837: 334. (The name published as Synonym). Syn. Borowski and Wegrzynowicz, 2007: 51. Heterarthron Guérin-Méneville, 1844: 186. Syn. Fisher, 1950: 6. Exopioides Guérin-Méneville, 1844: 187. Syn. Lesne, 1896a: 114. Exopsoides Guérin-Méneville, 1845: XVII. Syn. Borowski and Wegrzynowicz, 2007: 51.


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 112 Melalgus batillus (Lesne, 1902) Heterarthron batillus Lesne, 1902: 223. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุย auger beetle, false powderpost beetle ชื่อพ้อง: - ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: (เพศเมีย) ล าตัวยาว 7.5-11.0 มม. สีน้ าตาลเข้ม-น้ าตาลด า รูป ทรงกระบอกยาว ล าตัวยาวมากว่ากว้าง 3.5 เท่า ล าตัวปกคลุมด้วยขนยาวสีน้ าตาลอ่อน-เทาหนาแน่น บริเวณหัวและอกหนาแน่นกว่าปีก ส่วนหัวเชื่อมกับอกด้านหน้า หัวโค้งลงด้านล่าง ตากลมโตเด่นชัด หนวด 11 ปล้อง 3 ปล้องสุดท้ายขยายใหญ่ ปีกเป็นมันวาว ปกคลุมด้วยขนยาวและปุ่มมนกระจายไม่ เป็นระเบียบ ลาดปลายปีกแบน บริเวณยอดลาดปลายปีก (summit) ด้านข้างมีสันนูนมนไปเชื่อมกับ ขอบด้านข้างลาดปลายปีก สันด้านข้างลาดปลายปีกมีลักษณะเป็นขอบคม ลาดปลาย ปีกแบน เรียบเป็นมันวาว มีปุ่มมนปกคลุมกระจัดกระจาย เพศผู้: ไม่พบตัวอย่าง พืชอำหำร: - กำรกระจำย: อินเดีย จีน เวียดนาม กำรกระจำยในประเทศไทย: ตรัง สตูล สงขลา


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 113 วงศ์ย่อย Psoinae Blanchard, 1851 เช่นเดียวกับวงศ์ย่อย Polycaoninae มอดขี้ขุยในวงศ์ย่อย Psoinae มีลักษณะทั่วไป แตกต่างจากมอดขี้ขุยในวงศ์ย่อยอื่น ๆ รวมทั้งวงศ์ย่อย Bostrichinae อย่างชัดเจนในอดีตเคยแยกมอด ในวงศ์ย่อยนี้เป็นวงศ์ต่างหาก มอดในวงศ์ย่อย Psoinae ประกอบด้วยสกุลต่าง ๆ 9 สกุล มักมีสีสัน ฉูดฉาดหรือมีแต้มที่มีลักษณะโดดเด่นกว่าวงศ์ย่อยอื่น ๆ มอดในวงศ์ย่อย Psoinae มีรูปร่างคล้ายกับด้วง กระดูกสัตว์วงศ์ Cleridae ซี่งเป็นผู้ล่าที่ส าคัญของแมลงกลุ่มมอด แตกต่างที่ทาร์ไซด์ด้านข้างไม่แบน ขยายใหญ่ (lobed) และรยางค์กรามบน (maxilary palps) ไม่ขยายเป็นรูปกรวยดั่งที่พบในวงศ์ด้วง กระดูกสัตว์มอดขี้ขุยในวงศ์ย่อย Psoinae มีลักษณะแตกต่างจากวงศ์ย่อยอื่น ๆ ดังนี้ ล าตัวทรงกระบอก เล็กเรียวยาว หรืออ้วนป้อมน้อยกว่าวงศ์ย่อยอื่น ๆ ปีกแบนโค้งขึ้นเพียงเล็กน้อย ล าตัวปกคลุมด้วยขน ยาวหนาแน่น อกทรงกระบอกด้านหน้ากว้างกว่าด้านหลัง อกด้านหลังแคบลงหรือรูปกระสวยโป่ง เล็กน้อย ด้านข้างกลมไม่มีสัน ฐานปล้องอกไม่มีปุ่มขนาดเล็กปกคลุม ส่วนหัวเชื่อมกับปล้องอกด้านหน้า งุ้มโค้งลงเล็กน้อย สามารถมองเห็นจากด้านบน (semi-prognathous insertion) ส่วนหัวเหนือตาคอด ปล้องท้องปล้องแรกอินเตอร์คอกซอลโปรเซสลดรูปหรือไม่ปรากฏ และไม่มีส่วนสันหลังปล้องฐานขา (postcoxal carina) ต้นขาของขาคู่หน้ารูปกรวยแคบ มอดในวงศ์ย่อยนี้มีความแตกต่างระหว่างเพศ เพศผู้หนวดขยายใหญ่ 4 ปล้อง (สกุล Stenomera) หรือหนวด 3 ปล้องขยายใหญ่เท่ากันแต่มีลักษณะ แตกต่างจากหนวดของเพศเมีย (สกุล Euderia) วงศ์ย่อย Psoinae Blanchard, 1851 Psoinae Blanchard, 1851: 434. Type genus: Psoa Herbst, 1797: 214. เผ่ำ Psoini Blanchard, 1851 Psoitas Blanchard, 1851: 434. Type genus: Psoa Herbst, 1797: 214. สกุล Sawianus Zahradník and Háva, 2015 Sawianus Zahradník and Háva, 2015: 2. Type species: Sawianus ornatus Zahradník and Háva, 2015. (Sawi= อ.สวี จ. ชุมพร) Sawianus ornatus Zahradník and Háva, 2015 Sawianus ornatus Zahradník and Háva, 2015: 2. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุย auger beetle, false powderpost beetle ชื่อพ้อง: -


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 114 ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: (เพศเมีย) ขนาดล าตัวยาว 6.5-8.75 มม. ยาวมากกว่ากว้าง 3.25-3.31 เท่า สีน้ าตาลด า ล าตัวรูปทรงกระบอกเล็กเรียวยาว ปกคลุมด้วยขนหนาแน่น เพศเมียหนวดมี9 ปล้อง ขนปกคลุมปล้องอกยาวหนาแน่น ประกอบด้วยขน 2 ชนิด ขนตั้งมีลักษณะหนายาว สีน้ าตาลด ากระจาย สม่ าเสมอ และขนเอนนาบกับผิวสีน้ าตาลทองกระจายเป็นกระจุกไม่สม่ าเสมอ ด้านหน้าปล้องอกมี กระจุกขนสีด าชี้ขึ้นหนาแน่นสองกระจุก ท าให้มีลักษณะคล้ายเขา บริเวณกึ่งกลางระหว่างเขามีลักษณะ เป็นร่องตามความยาว อกกว้างมากว่ายาว (1:0.9) ด้านบนโค้งนูนกลม (transversely convex) ปก คลุมด้วยหลุมตื้นกลมลึกหนาแน่น หลุมตื้นชิดติดกัน ฐานอกปล้องแรกบริเวณใกล้มุมหลังมีบุ๋มตื้น ๆ ขนาดใหญ่ 1 คู่ ปีกโค้งลาดจากด้านหน้าสู่ด้านหลัง ลาดปลายปีกโค้งเป็นส่วนหนึ่งของปีก ปีกปกคลุม ด้วยปุ่มขนาดเล็กกระจายหนาแน่นทั่วปีก ปุ่มด้านขอบปีกใหญ่กว่าสันด้านบนปีก ปีกปกคลุมด้วยขนสั้น สีน้ าตาลแดงหนาแน่น ขอบด้านในหน้าแข้งไม่มีหนาม ตีนมี 4 ปล้อง ด้านล่างอกปล้อง ที่ 2 (metathoracic ventrite) บริเวณกึ่งกลางเยื้องมาทางขอบหลังมีบุ๋มขนาดใหญ่ รูปหยดน้ า เพศผู้: ไม่พบตัวอย่าง พืชอำหำร: - กำรกระจำย: ปัจจุบันมีรายงานเฉพาะในประเทศไทย ชุมพร พังงา


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 115 ทที่ 8 บวงศ์ย่อย Lyctinae “มอดขี้ขุยแท้” true powderpost beetles ในวงศ์ย่อย Lyctinae มีล าตัวแบนถึงแบนมาก อก แบน ด้านข้างมีขอบตลอดความยาว มองจากด้านบนเห็นส่วนหัวทั้งหมด หนวดรูปกระบอง ปลาย หนวด 2-3 ปล้องสุดท้ายขยายใหญ่สมดุลหรือกึ่งสมดุล ประกอบด้วย 3 เผ่า ได้แก่ Cephalotomini Liu, 2011; Trogoxylini Lesne, 1921 และ Trogoxylini Lesne, 1921 แต่ละเผ่าแยกจากกันโดย ใช้ลักษณะของหนวด ทิเบีย การเรียงของขนและหลุมบริเวณด้านบนปีกคู่หน้า


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 116 ว ง ศ์ ย่ อ ย L yct inae มอดขี้ขุยแท้วงศ์ย่อย Lyctinae เป็นกลุ่มมอดที่มีสายวิวัฒนาการเดียวกัน (monophyly) ทั้ง วงศ์ย่อย เดิมมอดวงศ์ย่อยนี้มีสถานะในระดับวงศ์ (วงศ์Lyctidae) ก่อนถูกลดระดับเป็นวงศ์ย่อยหนึ่ง ของมอดขี้ขุยวงศ์Bostrichidae ซึ่งเป็นวงศ์ที่มีสายวิวัฒนาการหลายสาย (polyphyly) เนื่องจากรูปร่าง ลักษณะของระบบสืบพันธุ์และทางเดินอาหารของหนอนมีลักษณะเช่นเดียวกับมอดขี้ขุยเทียม จึงจัดเป็น วงศ์ย่อยหนึ่งของมอดขี้ขุยวงศ์ Bostrichidae มอดขี้ขุยแท้ไม่เจาะเข้าไปในเนื้อไม้ในการวางไข่แต่จะ วางไข่จากภายนอกซึ่งเป็นลักษณะทางชีววิทยาที่บ่งชี้ว่ามอดกลุ่มนี้ไม่ได้มีลักษณะทางสัณฐานวิทยา ปรับตัวเพื่อท าลายไม้เช่นเดียวกับมอดในวงศ์ย่อย Psoinae หัวของมอดขี้ขุยแท้เชื่อมกับปล้องอก บริเวณด้านหน้า (pronathous) ล าตัวแบนถึงแบนมาก ปลายปีกโค้ง หนวดแบบลูกตุ้มสองปล้องสุดท้าย ขยายใหญ่แบบสมมาตรหรือกึ่งสมมาตร (ยกเว้นมอดในเผ่า Cephalotomini มีหนวด 3 ปล้องขยาย ใหญ่แต่ปล้องที่ 1 มีขนาดเล็กมาก ใหญ่กว่าเส้นหนวดเพียงเล็กน้อย) ช่องเปิดของปล้องฐานขาคู่หน้า (procoxal carvities) ชิดกัน ปล้องฐานขาคู่แรกกลมไม่ยืดออก ปล้องท้องปล้องแรกยาวกว่าปล้องอื่น ๆ อย่างชัดเจน ลักษณะข้างต้นเป็นสัณฐานวิทยาเฉพาะที่ใช้แบ่งมอดขี้ขุยแท้ออกจากมอดขี้ขุยเทียม รำยชื่อมอดวงศ์ย่อย Lyctinae Billberg, 1820 ในประเทศไทย เผ่ำ Cephalotomini Liu, 2011 สกุล Cephalotoma Lesne, 1911 1. Cephalotoma coomani (Lesne, 1932) 2. Cephalotoma singularis Lesne, 1911 เผ่ำ Lyctini Billberg, 1820 สกุล Lyctoxylon Reitter, 1879 3. Lyctoxylon dentatum (Pascoe, 1866) สกุล Lyctus Fabricius, 1792 4. Lyctus africanus Lesne, 1907 5. Lyctus aff. parallelocollis Blackburn,1888 6. Lyctus tomentosus Reitter, 1879 สกุล Minthea Pascoe, 1866 7. Minthea humericosta Lesne, 1936 8. Minthea reticulata Lesne, 1931 9. Minthea rugicollis (Walker, 1858) เผ่ำ Trogoxylini Lesne, 1921


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 117 สกุล Trogoxylon LeConte, 1862 10. Trogoxylon auriculatum Lesne, 1932 11. Trogoxylon punctipenne (Fauvel, 1904) 12. Trogoxylon spinifrons Lesne, 1910 รูปวิธำนกำรจ ำแนกชนิดของวงศ์ย่อย Lyctinae Billberg, 1820 ในประเทศไทย 1. ล าตัวรูปทรงกระบอกยาว ปีกโค้งขึ้นเล็กน้อย (slightly convex) ตารวมขนาดปกติ ร่องกูลาร์ (gular suture) ชัดเจน กูลาร์แคบ หัวด้านหน้าโค้งขึ้นเล็กน้อย (slightly convex) ร่องเหนือ ฐานริมฝีปากบน (clypeo-frontal suture) ชัดเจน หน้า (frons) และริมฝีปากบน (clypeus) โค้งขึ้นเล็กน้อยเชื่อมต่อกันต่างระนาบ ปล้องฐานขาคู่กลางชิด แยกห่างจากกันน้อยกว่า 1 เท่า ของขนาดปล้องฐานขา (Lyctini, Trogoxylini).....................................................................2 - ล าตัวแบนมาก ปีกแบน ล าตัวกว้างสั้น (less elongate) ตารวมขนาดใหญ่ชี้ไปด้านข้าง ร่องกูลาร์ไม่ชัด กูลาร์กว้าง หัวด้านหน้าแบน ร่องเหนือฐานริมฝีปากบนชัดเจน หน้าและริม ฝีปากบนแบนเชื่อมในระนาบเดียวกัน เชื่อมได้สนิทต่อเนื่อง ปล้องฐานขาคู่กลางห่างกันมาก มากกว่า 2 เท่าของขนาดปล้องฐานขา (Cephalotomini)...........…………………………..……..3 2. ต้นขาของขาคู่ที่ 3 (metathoracic femur) เรียวเล็กบอบบาง (slender) ไม่กลมหรือคล้าย รูปไข่ ขนปกคลุมปีกคู่หน้าเรียงตัวเป็นแถว (seriated) ขนแนบกับปีก (appressed) (Lyctini)…………………………………………………………………………………………………………………4 - ต้นขาของขาคู่ที่ 3 แบน (compressed)รูปร่างค่อนข้างกลม (subglobose) หรือรูปไข่ (ellipsoidal) ขนปกคลุมปีกคู่หน้ากระจายทั่วไป (diffuse) ไม่เรียงเป็นแถว (Trogoxylini).......................10 3. ขอบหน้าของปีกเป็นสันนูนขึ้นชัดเจน ปีกเป็นมันวาว มีขนปกคลุมล าตัวเบาบาง ขอบด้านข้าง ของอกปล้องแรกมองจากด้านบนตรงไม่โค้งออก ด้านหน้ากว้างที่สุด ขอบเรียวไปทางด้านหลัง ด้านหลังแคบที่สุด ฐานปล้องอกมีขนาดเล็กกว่าขอบหน้าชัดเจน ด้านบนอกปล้องแรกเรียบ บริเวณ กึ่งกลางมีเส้นตามความยาวบริเวณกึ่งกลางปล้องอก (median line)…………..Cephalotoma coomani - ขอบหน้าของปีกเป็นสันเรียบไม่นูน ปีกมีขนบางปกคลุมหนาแน่น ขนเอนราบกับปีก อกปล้อง แรกมองจากด้านบนขอบด้านข้างบริเวณกึ่งกลางโค้งออกเล็กน้อย อกปล้องแรกกว้างที่สุด บริเวณกึ่งกลาง ขอบเรียวไปทางด้านหน้าและหลัง ด้านบนอกปล้องแรกแบนกว้าง โค้งลง (depressed) เล็กน้อย อกด้านบนไม่มีเส้นกึ่งกลาง.......……..…….Cephalotoma singularis 4. หนวดแบบลูกตุ้มสองปล้องสุดท้ายขยายใหญ่ ปล้องที่ขยายใหญ่ยืดยาวเป็นรูปทรงกระบอกทั้ง สองปล้องและป้องแรกยาวกว่าปล้องที่ 2 เล็กน้อย..........….………….Lyctoxylon dentatum - หนวดแบบลูกตุ้มสองปล้องสุดท้ายขยายใหญ่ ปล้องที่ขยายใหญ่ทั้งสองปล้องไม่ยืดยาวเป็นรูป ทรงกระบอก (Lyctus, Minthea)…………………………………………………………..………………..5


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 118 5. หนวดปล้องสุดท้ายรูปสี่เหลี่ยม ปลายมน ขนปกคลุมล าตัวแบนกว้างแบบใบไม้(leaf-like setae) ขนปกคลุมหนาแน่น (Minthea)................................................................................6 - หนวดปล้องสุดท้ายรูปไข่-กึ่งรูปไข่ด้านปลายเรียว ขนปกคลุมล าตัวเป็นเส้นขน (hairs) บาง ยาว หรือหนาแต่ไม่แบนคล้ายเกล็ด (Lyctus).......................................................................8 6. ด้านข้างของอกปล้องแรกมีกระจุกขนน้อยกว่า 10 กลุ่ม ปีกคู่หน้า สเตรียมีขนเรียง 1 แถว อินเตอร์สเตรียประกอบด้วยหลุมตื้น ๆ 2 แถว และไม่มีขนระหว่างแถว.................................... .........................................................................................................Minthea humericosta - ด้านข้างของอกปล้องแรกมีกระจุกขนมากกว่า 10 กลุ่ม ปีกคู่หน้า สเตรีย (striae) มีขนเรียง 1 แถว อินเตอร์สเตรีย (interstriae) ประกอบด้วยหลุมตื้น ๆ 2 แถว และมีขนบาง (fine pubescence) ระหว่างแถว 1 แถว.........................................................................................7 7. บริเวณกึ่งกลางด้านบนอกปล้องแรกมีรอยบุ๋มลึก (median fovea) ชัดเจน หลุมตื้นด้านบน ปล้องอกเชื่อมกันเป็นรูปตาข่าย (reticulate) ขอบด้านข้างปล้องอกมีกระจุกขนน้อยกว่า 14 กลุ่ม.......................................................................................................Minthea reticulata - รอยบุ๋มบริเวณกึ่งกลางด้านบนอกปล้องแรกตื้นไม่ชัดเจน หลุมตื้นด้านบนปล้องอกไม่เชื่อมกัน เป็นรูปตาข่าย ขอบหลังอกปล้องแรกแคบกว่าโคนปีกเล็กน้อย ขอบด้านข้างปล้องอกมีกระจุก ขนมากกว่า 14 กลุ่ม…………………………………………………………………...Minthea rugicollis 8. ขนปกคลุมล าตัวหนาแน่น สีขาวเทาอมเขียว ขนขนาดใหญ่กลมหนามาก ขนแนบกับล าตัว (appressed) ………………………………..………………………………………... Lyctus tomentosus - ขนปกคลุมล าตัวบาง ขนาดปกติไม่หนา สีน้ าตาล-น้ าตาลด า...............................................9 9. มุมด้านหน้าของอกปล้องแรก (anterior angles) แหลมเป็นมุม (angled) ไม่กลม ขอบ ด้านข้างอกปล้องแรกขนาน (parallel) หรือเกือบขนาน.................Lyctus parallelocollis - มุมด้านหน้าของอกปล้องแรกเป็นมุม (angled) ไม่กลม ขอบด้านข้างกึ่งขนาน (sub-parallel) ด้านหลังเรียวเล็กกว่าด้านหน้าอกยาวมากกว่ากว้างเล็กน้อย.....................Lyctus africanus 10. หน้าบริเวณกึ่งกลางมีหนามเป็นปุ่มขนาดเล็ก (spinule) 1 ปุ่ม........Trogoxylon spinifrons - หน้าบริเวณกึ่งกลางไม่มีปุ่มหนาม.....................……………..……………………………..………..…….11 11. หนวดปล้องสุดท้ายแหลม (point) อกด้านบนบุ๋มลง บุ๋มกว้างและลึกมากขึ้นจากด้านหลังไป ด้านหน้า.....................................................................................Trogoxylon punctipenne - หนวดปล้องสุดท้ายกลม (round) ) อกด้านบนบุ๋มลงเป็นรูปตัววาย (Y)………………………………. ……………………………………….…………………………..…...…………….Trogoxylon auriculatum


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 119 วงศ์ย่อย Lyctinae Billberg, 1820 Lyctinae Billberg, 1820: 48. Type genus: Lyctus Fabricius, 1792: 502. เผ่ำ Cephalotomini Liu, 2011 Cephalotomini Liu, 2011: 120. Type genus: Cephalotoma Lesne, 1911b, 207. สกุล Cephalotoma Lesne, 1911 Cephalotoma Lesne, 1911b: 204. Type species: Cephalotoma singularis Lesne, 1911b: 207. ชื่อพ้อง: Lyctoderma Lesne, 1911b: 204. Syn. Borowski and Wegrzynowicz, 2012. Cephalotoma coomani (Lesne, 1932) Lyctoderma coomani Lesne, 1932: 622. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยแท้ true powderpost beetles ชื่อพ้อง: Lyctoderma coomani Lesne, 1932: 622. Syn. Liu and Geis, 2019: 6.


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 120 ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ขนาดล าตัวยาว 3.12-3.14 มม. ยาวมากกว่ากว้าง 2.27 เท่า ล าตัวแบน สีน้ าตาล-น้ าตาลแดง เป็นมันวาว รูปขอบขนานกว้าง ขอบด้านข้างปีกโค้งออกเล็กน้อย ปีกแบน ปก คลุมด้วยขนขนาดเล็กมาก ขนสั้น บางและแนบกับปีก หนวดขยายใหญ่ชัดเจนเพียง 2 ปล้อง (ปล้องที่ 2- 3) ปล้องที่ 3 กลม-ค่อนข้างกลม (ยาวมากกว่ากว้างเล็กน้อย) ปล้องที่ 1 ขยายไม่ชัดเจน กว้างกว่าปล้อง เส้นหนวดเล็กน้อย ส่วนหัวแบน หน้าส่วนร่องเหนือฐานริมฝีปากบนเป็นร่องลึกโค้งขึ้นตัดขวางตลอด ด้านหน้าชัดเจน อกปล้องแรกมองจากด้านบนรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ขอบด้านข้างตรง กว้างที่สุดบริเวณมุม ด้านหน้า แคบที่สุดบริเวณมุมด้านหลัง อกด้านหน้ากว้างกว่าด้านหลังอย่างชัดเจน อกมองจากด้านข้าง หนา อกด้านบนแบนราบไม่บุ๋มลง ปกคลุมด้วยหลุมตื้นขนาดใหญ่ หลุมลึก ขอบด้านข้างปล้องอกเป็นสัน ชัดเจน ขอบตรงไม่เว้าเข้าหรือนูนออก ขอบหลังปล้องอกเล็กกว่าโคนปีกเล็กน้อย ขอบหน้าของปีกหน้า นูนขึ้นเป็นสันชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณกึ่งกลางใกล้สคิวเทลลัม หลุมตื้นบนปีก ขนาดเล็กมากมองเห็นไม่ชัดเจน พืชอำหำร: พบในรังของ H. hamatipennis ที่ท าลายไม้ไผ่ ในประเทศไทยพบในไม้ ยางพาราที่เข้าท าลายโดย S. anale ในจังหวัดระยอง กำรกระจำย: จีน เวียดนาม กำรกระจำยในประเทศไทย: อุทัยธานีแม่ฮ่องสอน สกลนคร สมุทรสงคราม ระยอง Cephalotoma singularis Lesne, 1911 Cephalotoma singularis Lesne, 1911b: 207. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยแท้ true powderpost beetles ชื่อพ้อง:- ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด:ขนาดล าตัวยาว 2.08-2.28 มม. ยาวมากกว่ากว้าง 2.75 เท่า ล าตัวแบน สีน้ าตาล ค่อนข้างด้าน แวววาวน้อยกว่า (เมื่อเปรียบเทียบกับ C. coomani) ล าตัวสั้นกว่าปีกรูปไข่ยาว ปีกแบน ปกคลุมด้วยขนขนาดเล็กมาก ขนสั้น บางและแนบกับล าตัว หนวดขยายใหญ่ 3 ปล้อง ปล้อง สุดท้ายรูปไข่ยาวมากกว่ากว้างชัดเจน ส่วนหัวแบน หน้าส่วนร่องเหนือฐานริมฝีปากบนเป็นร่องโค้งขึ้น ร่องตื้นบริเวณกึ่งกลางไม่ชัดเจน (obsolete) อกแบนกว้าง มองจากด้านบนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขอบ ด้านข้างโค้งออกเล็กน้อย กว้างสุดบริเวณกึ่งกลาง สอบเข้าด้านหน้าและด้านหลังเล็กน้อย อกด้านบน แบนบุ๋มลงเล็กน้อย ปกคลุมด้วยหลุมตื้นขนาดเล็ก อกมองจากด้านข้างแบน บางกว่า C. coomani ปีก ด้าน ไม่มันวาว หรือมันวาวเล็กน้อยปกคลุมด้วยขนบางสั้นหนาแน่น โคนปีกมีสันไม่ชัดเจน ไม่คมชัด


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 121 กำรกระจำย: มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ไต้หวัน กำรกระจำยในประเทศไทย: สกลนคร กระบี่ พังงา นครศรีธรรมราช หมำยเหตุ: Sittichaya and Beaver (2009) และ Sittichaya และคณะ (2009) รายงานมอดชนิดนี้เข้าท าลายไม้ยางพาราแปรรูป โดยจ าแนกเป็นมอดชนิด Cephalotoma tonkinea Lesne


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 122 เผ่ำ Lyctini Billberg, 1820 Lyctinae Billberg, 1820: 48. Type genus: Lyctus Fabricius, 1792: 502. สกุล Lyctoxylon Reitter, 1879 Lyctoxylon Reitter, 1879: 196. Type species: Lyctoxylon japonum Reitter, 1879: 199. Lyctoxylon dentatum (Pascoe, 1866) Minthea dentata Pascoe, 1866: 141. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยแท้ true powderpost beetles ชื่อพ้อง: Lyctoxylon dentata Pascoe, 1866: 141. Lyctoxylon Japonum Reitter, 1879: 199. Syn. Vrydagh, 1958: 44. Lyctus seriehispidus Kiesenwetter, 1879: 316. Syn. Chujo, 1958: 14. ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ล าตัวรูปทรงกระบอกด้านบนโค้งขึ้นเล็กน้อย สีน้ าแดง-น้ าตาลเข้ม ขนาด 1.5-3.5 มม. ล าตัวปกคลุมด้วยขนสั้นเป็นและหนาสีน้ าตาลเทา ขนบนปีกหนาแน่นไม่เรียงตัวเป็นแถว


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 123 หนวดสองปล้องสุดท้ายขยายใหญ่ปล้องแรกยาวกว่าปล้องที่สองเล็กน้อย มุมด้านหน้าอกปล้องแรกมน และยื่นออกด้านข้างเล็กน้อยท าให้ด้านข้างปล้องอกไม่ขนาน ด้านหน้ากว้างกว่าด้านฐานเล็กน้อย พืชอำหำร: มีความจ าเพาะต่อพืชอาหารต่ า ท าลายไม้ได้หลากหลายวงศ์ รวมทั้ง Anacardiaceae, Combretaceae, Fagaceae, Lauraceae, Leguminosae, Magnoliaceae, Malvaceae, Arecacae, Simaroubaceae, หวายและไผ่หลายชนิด กำรกระจำย: อินเดีย จีน ญี่ปุ่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ น าเข้าสู่อเมริกา ยุโรป แอฟริกาเหนือและแอฟริกาใต้ (ผ่านการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ) กำรกระจำยในประเทศไทย: แม่ฮ่องสอน น่าน ระยอง พังงา ตรัง สตูล สุราษฎร์ธานี สงขลา สกุล Lyctus Fabricius, 1792 Lyctus Fabricius, 1792: 502. Type species: Lyctus canaliculatus Fabricius, 1792: 504. Des. Blanchard, 1845: 94. ชื่อพ้อง: Xylotrogus Stephens, 1830: 116. Syn. Erichson, 1847: 88. Eulyctus jakobson, 1915: 896. Borowski and Wegrzynowicz, 2007: 29. Lyctus africanus Lesne, 1907 Lyctus africanus Lesne, 1907c: 302. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยแท้ true powderpost beetles ชื่อพ้อง: Lyctus politus Kraus and Hopkins, 1911: 118. Syn. Lesne, 1914: 332. ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ขนาดล าตัวยาว 1.7-5.0 มม. รูปทรงกระบอกยาว ล าตัวยาวมากกว่า กว้าง 3.11 เท่า ปีกยาวมากกว่าอกปล้องแรก 2.72 เท่า ล าตัวสีน้ าตาล-น้ าตาลแดง มีขนบางปกคลุมเบา บาง ปีกมีหลุม (punctures) เรียงเป็นแถวตามความยาว หลุมมี 2 ขนาด ด้านบนใกล้เส้นกึ่งกลางปีก (1 ส่วนใน 4 ส่วนของปีก) มีขนาดเล็ก ส่วนอื่นๆ ของปีกหลุมลึก รูปรียาว หรือรูปไข่ยาว ส่วนที่กว้าง ที่สุดของอกปล้องแรกกว้างเท่ากับปีก ขอบด้านข้างของอกปล้องแรกขนานหรือเว้าเข้าเล็กน้อยบริเวณ กึ่งกลางปล้องอก ขอบมีปุ่มหนามขนาดเล็กตลอดแนว ส่วนหัวด้านหน้าเหนือกรามและฐานริมฝีปากบน (clypeus) มีร่องตื้น ๆ


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 124 พืชอำหำร: ไม้แห้ง มีความจ าเพาะต่อพืชอาหารต่ า เข้าท าลายไม้ฟืนแห้ง ไม้ก่อ (Quercus sp.) ไม้ยางพารา (Hevea brasiliensis) ไม้มะฮอกกานี (Swietenia sp.) รากของสมุนไพรและเครื่องเทศแห้ง กำรกระจำย: แหล่งแพร่กระจายเดิมพบในแอฟริกาและเอเชีย แพร่กระจายทั่วโลกผ่าน การขนส่งสินค้า ยุโรป (เบลเยียม) กำรกระจำยในประเทศไทย: แม่ฮ่องสอน น่าน ตราด สงขลา


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 125 Lyctus aff. parallelocollis Blackburn, 1888 Lyctus parallelocollis Blackburn, 1888: 266. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยแท้ true powderpost beetle ชื่อพ้อง:- ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ขนาดล าตัวยาว 1.7-5.0 มม. ล าตัวแคบยาว ยาวมากกว่ากว้าง 3.62- 3.67 เท่า ปีกยาว ยาวกว่าอกปล้องแรก 3.3 เท่า ขอบด้านข้างปล้องอกขนาน หรือเกือบขนาน (parallel) ต้นขาของขาคู่หน้ากว้าง เกือบเป็นรูปรี (near elliptic) ขอบหลังของปล้องท้องปล้องที่ 4 ไม่ มีพู่ขนยาว ล าตัวและปีกยืดยาว (elongate) มากกว่า L. africanus พืชอำหำร: Carya illinoinensis, Carya pecan, Carya sp., Dalbergia sissoo, Franinus sp., Quercus sp., Ligustrum ovalifolium กำรกระจำย: คอสตาริกา กำรกระจำยในประเทศไทย: แม่ฮ่องสอน


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 126 Lyctus tomentosus Reitter, 1879 Lyctus tomentosus Reitter, 1879: 198. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยแท้ true powderpost beetle ชื่อพ้อง: Lyctus griseus Gorham, 1883: 212. Syn. Vrydagh, 1962: 4. ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ขนาดล าตัวยาว 2.8-3.0 มม. รูปทรงกระบอกยาว ล าตัวสีน้ าตาลแดง ปก คลุมด้วยขนหนาอ้วนสีเทาอมเขียว ขนบนปีกมีรูปแบบเดียว หนวดปล้องที่ขยายใหญ่ปล้องแรกรูปครึ่ง วงกลม ด้านหน้าตัด ปล้องที่สองยาวกว่าปล้องแรก อกปล้องแรกด้านบนมีเส้นกึ่งกลางวางตัวตามแนว ยาวจากขอบหลังถึงกึ่งกลางปล้อง โคนปีกปกคลุมด้วยหลุมตื้นขนาดใหญ่ หลุมตื้นคั่น ด้วยผิวขรุขระ ล าตัวปกคลุมด้วยขนหนายาว แตกต่างจากมอดชนิดอื่น ๆ ในสกุล Lyctus ที่พบในประเทศไทย ที่มีขนปกคลุมล าตัวแบบเส้นขนบอบบาง พืชอำหำร: ไม้ยางพาราแปรรูป (H. brasiliensis) กำรกระจำย: ฟิลิปปินส์ กัวเตมาลา แมกซิโก กำรกระจำยในประเทศไทย: ระยอง สมุทรสงคราม


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 127 สกุล Minthea Pascoe, 1866 Minthea Pascoe, 1866: 97. Type species: Minthea squamigera Pascoe, 1866a: 97. ชื่อพ้อง: Lyctopholis Reitter, 1879: 196. Syn. Arrow, 1904: 35. Eulachus Blackburn, Blackburn and Sharp, 1885: 141. Syn. Arrow, 1904: 35. Minthea humericosta Lesne, 1936 Minthea humericosta Lesne, 1936: 131. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยแท้ true powderpost beetle ชื่อพ้อง:- ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด:สีน้ าตาลแดง-น้ าตาลแดงเข้ม ขนาด 2.5-3.0 มม. หนวดปล้องที่ขยาย ใหญ่ทั้งสองปล้องมีความยาวใกล้เคียงกัน อกปล้องแรกสั้น ยาวเท่ากับกว้าง อกปล้องแรกแคบกว่าปีก ด้านบนมีหลุมตื้นเรียงต่อกันคล้ายตาข่าย (reticulate) หลุมมีความลึกใกล้เคียงกันทั้งปล้องรวมทั้ง บริเวณเส้นกึ่งกลาง ด้านข้างอกปล้องแรกมีกลุ่มขนแบนยาวแบบใบไม้เรียงกัน 7-10 กลุ่ม (<14) ล าตัว โดยรวมปกคลุมด้วยขนหนาแน่นน้อยกว่า M. rugicollis ปีกมีอินเตอร์สเตรียมีหลุมตื้นเรียงกันตามความ ยาวปีก 2 แถว ระหว่างแถวไม่มีขน


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 128 พืชอำหำร: คาดว่ามีความจ าเพาะต่อพืชอาหารต่ าเช่นเดียวกับมอดขี้ขุยชนิดอื่น ๆ พบเข้าท าลายไม้รัง (Shorea eximia), Eusideroxylon zwageri และไม้ยางพาราแปรรูป กำรกระจำย: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีน น าเข้าสู่สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร กำรกระจำยในประเทศไทย: แม่ฮ่องสอน ตราด กระบี่ พังงา ตรัง สตูล ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ยะลา หมำยเหตุ: Sittichaya and Beaver (2009) และ Sittichaya และคณะ (2009) รายงานมอดชนิดนี้เข้าท าลายไม้ยางพาราแปรรูป โดยจ าแนกเป็นมอดชนิด Minthea reticulata Minthea reticulata Lesne, 1931 ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยแท้ true powderpost beetle ชื่อพ้อง:- ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ขนาดล าตัวยาว 2.37 มม. สีน้ าตาลแดง-น้ าตาลแดงเข้ม หนวดปล้องที่ขยายใหญ่ ปล้องที่ 2 (ปล้องปลาย) ยาวเท่ากับหรือยาวกว่าปล้องที่ 1 น้อยกว่าสองเท่า ปล้องอกยาวมากกว่ากว้าง ปกคลุมด้วยขนแบนหนาเอนราบสี น้ าตาล ด้านข้างมีกลุ่มขนแบนแบบใบไม้ 9-14 กลุ่ม ปล้องอกด้านบนมีหลุมตื้นเรียง ต่อกันคล้ายตาข่าย (reticulate) บริเวณกึ่งกลางปล้องอกมีร่องบุ๋ม (median fovea)


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 129 บุ๋มลึก อินเตอร์สเตรีย มีหลุมตื้นเรียงกันตามความยาวปีก 2 แถว ระหว่างแถวมีขนกลมบาง (fine pubescence) 1 แถว พืชอำหำร: คาดว่ามีความจ าเพาะต่อพืชอาหารต่ าเช่นเดียวกับมอดขี้ขุยชนิดอื่น ๆ กำรกระจำย: กระจายทั่วโลก กำรกระจำยในประเทศไทย: แม่ฮ่องสอน Minthea rugicollis (Walker, 1858) Ditoma rugicollis Walker, 1858a: 206. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยแท้ hairy powderpost beetle ชื่อพ้อง: Minthea similata Pascoe, 1866b: 141. Syn. Arrow, 1904: 35. Lyctopholis foveicollis Reitter, 1879: 199. Syn. Arrow, 1904: 35. Eulachnus hispidus Blackburn, 1885: 141. Syn. Arrow, 1904: 35. ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ขนาดล าตัวยาว 2.5-3.0 มม. รูปทรงกระบอกแบน สีน้ าตาลแดง-น้ าตาล แดงเข้ม หนวดสองปล้องสุดท้ายขยายใหญ่ ปล้องที่สองยาวกว่าปล้องแรกเล็กน้อย อกปล้องแรกแคบ กว่าปีก อกปล้องแรกด้านบนมีหลุมตื้นเรียงต่อกันคล้ายตาข่ายไม่ชัดเจน หลุมตื้นด้านบนอกปล้องแรกมี ความลึกไม่เท่ากัน ด้านข้างลึกกว่าด้านบน บริเวณเส้นกึ่งกลางตื้นและไม่มีลักษณะการเชื่อมโยงเป็นตา ข่าย ปล้องอกด้านข้างมีกลุ่มขนแบนเรียงกันมากกว่า 14 กลุ่ม ปีก อินเตอร์สเตรียมีหลุมตื้นเรียงกันตาม ความยาวปีก 2 แถว ระหว่างแถวมีขนบาง 1 แถว ล าตัวโดยรวมปกคลุมด้วยขนหนาแน่นกว่า M. humericosta และ M. reticulata


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 130 พืชอำหำร: มีความจ าเพาะต่อพืชอาหารต่ า มีรายงานเข้าท าลายพืชมากกว่า 11 วงศ์ได้แก่ Anacardiaceae, Apocynaceae, Burseraceae, Combretaceae, Dipterocarpaceae, Leguminosae, Malvaceae, Meliaceae, Moraceae, Phyllanthaceae, Proteaceae รวมทั้งหัวมันเทศ ไผ่ และหวาย ก ำ ร ก ร ะ จ ำ ย: ก ร ะ จ า ย ทั่ ว โ ล ก ใ น เ ข ต ร้ อ น แ ล ะ กึ่ ง เ ข ต ร้ อ น กำรกระจำยในประเทศไทย: นครราชสีมา เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 131 เผ่ำ Trogoxylini Lesne, 1921 Trogoxylini Lesne, 1921: 231. Type genus: Trogoxylon LeConte, 1862: 209. ชื่อพ้อง: Tristariini Lesne, 1921: 287. Syn. Borowski and Wegrzynowicz, 2007: 38. สกุล Trogoxylon LeConte, 1862 Trogoxylon LeConte, 1862: 209. Type species: Xylotrogus parallelipipedus Melsheimer, 1846: 112. Trogoxylon auriculatum Lesne, 1932 Trogoxylon auriculatum Lesne, 1932: 654. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยแท้ true powderpost beetle ชื่อพ้อง: - ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ล าตัวยาว 2.4 มม. ล าตัวค่อนข้างป้อมเมื่อเทียบกับมอดในเผ่าเดียวกัน ส่วนหัว หน้าแบนไม่มีปุ่มหนาม หนวดปล้องสุดท้ายกลมไม่แหลม อกปล้องแรกรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง มากกว่ายาว ขอบหน้าโค้งออกเล็กน้อย มุมด้านหน้าแหลมแต่ไม่มีหนามยื่นออกไป ด้านบนอกปล้องแรก


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 132 โค้งขึ้นเล็กน้อย (convex) ด้านหน้าบุ๋มลงกว้าง ๆ แนวขวาง บริเวณเส้นกึ่งกลางเป็นร่องลึก ท าให้บริเวณ ที่บุ๋มลงมองเป็นรูปตัว Y ปีกโค้งขึ้นไม่แบน ปกคลุมด้วยขนบาง พืชอำหำร: เข้าท าลายและท ารังในไม้แห้ง มีความจ าเพาะต่อพืชอาหารต่ า เข้าท าลาย ไ ม้ ห ล า ก ห ล า ย ร ว ม ทั้ ง ไ ม้ ใ น ส กุ ล Acacia, Albizzia, Bauhinia, Cassia, Cinnamomum, Combretum, Dalbergia, Dendrocalamus, Erythrina, Kydia, Garuga, Mallotus, Prosopis, Shorea กำรกระจำย: ปากีสถาน อินเดีย กำรกระจำยในประเทศไทย: เชียงใหม่ Trogoxylon punctipenne (Fauvel, 1904) Lyctus punctipenne Fauvel, 1904: 155. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยแท้ true powderpost beetle ชื่อพ้อง: - ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ขนาดล าตัวยาว 2.87 มม. ยาวมากกว่ากว้าง 3.6 เท่า หน้าแบนไม่มีปุ่ม หนาม หนวดปล้องสุดท้ายรูปไข่ยาว อกปล้องแรกรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวมากว่ากว้างเล็กน้อย ขอบ ด้านข้างขนาน ขอบหน้าโค้งออกมาก ด้านหน้าบุ๋มลงกว้างและตื้น เส้นกึ่งกลางปล้องอกบุ๋มลงเล็กน้อยไม่ เป็นร่อง บุ๋มบริเวณด้านหน้าปล้องอกลึกและกว้างกว่าด้านหลัง ด้านบนอกปล้องแรก ปกคลุมด้วยหลุมตื้นขนาดใหญ่ พืชอำหำร: - กำรกระจำย: เอเชีย (เขตสัตว์ภูมิศาสตร์ออเรียลทอล) ออสเตรเลีย ปาปัวนิวกินี นิว คาลิโดเนีย กำรกระจำยในประเทศไทย: แม่ฮ่องสอน อุทัยธานี


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 133 Trogoxylon spinifrons Lesne, 1910 Lyctus spinifrons Lesne, 1910: 303. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยแท้ true powderpost beetle ชื่อพ้อง: - ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ขนาดล าตัวยาว 1.46-2.68 มม. ล าตัวรูปทรงกระบอกเรียวยาว ล าตัว แคบ ยาวมากกว่ากว้าง 4.58 เท่า สีน้ าตาล-น้ าตาลเข้ม หน้าบริเวณกึ่งกลางมีหนามเป็นปุ่มขนาดเล็ก (spinule) 1 ปุ่ม พืชอำหำร: เข้าท าลายและท ารังในไม้แห้ง มีความจ าเพาะต่อพืชอาหารต่ า เข้าท าลายไม้และไม้ไผ่ ห ล า ก ห ล า ยช นิ ดร ว ม ทั้งไ ม้ใ น ส กุ ล Acacia, Alstonia, Anogeissus, Bombax, Boswellia, Buchanania, Canarium, Careya, Casuarina, Cedrela, Clerodendrum, Dalbergia, Dendrocalamus, Dipterocarpus, Garuga, Lannea, Litsea, Mallotus, Mangifera, Machilus, Pithecellobium, Phoebe, Phyllanthus, Prosopis, Pueraria, Semecarpus, Shorea, Soymida, Spondias, Sterculia, Terminalia และ Xylia กำรกระจำย: อินเดีย เวียดนาม ปาปัวนิวกินี กำรกระจำยในประเทศไทย: แม่ฮ่องสอน นครราชสีมา


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 134 ทที่ 9 อนุกรมวิธำนของวงศ์ย่อย บBostrichinae “มอดขี้ขุยเทียม” false powder post beetles วงศ์ย่อยที่มีจ านวนสมาชิกและสัณฐานภายนอก แตกต่างกันมากที่สุดในวงศ์มอดขี้ขุย ประกอบด้วยสมาชิก 5 เผ่า ได้แก่ Apatini Billberg, 1820; Bostrichini Latreille, 1802; Dinapatini Lesne, 1910; Sinoxylonini Lesne, 1899 และ Xyloperthini Lesne, 1921 มีลักษณะแตกต่างจากมอดวงศ์ย่อยอื่น ๆ ดังนี้ขอบด้านหน้าอก ปล้องแรกไม่มีหนาม (medial teeth) มุมด้านหน้าปล้องอกมีหนามขนาดใหญ่ (lateral teeth/ hocklike teeth) หัวเชื่อมกับปล้องอกด้านล่าง (Hypognathous) ปลายของทิเบียมีหนาม 2 อัน ตีนปล้องแรกสั้น


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 135 วงศ์ย่อย Bostrichinae Latreille, 1802 มอดวงศ์ย่อยที่มีสมาชิกและความหลากหลายของรูปร่างมากที่สุด มอดวงศ์ย่อยนี้ประกอบด้วย สมาชิก 5 เผ่า ได้แก่ Apatini Billberg, 1820; Bostrichini Latreille, 1802; Dinapatini Lesne, 1910; Sinoxylonini Lesne, 1899 และ Xyloperthini Lesne, 1921 กระจายทั่วทุกเขตสัตว์ภูมิศาสตร์ และบางชนิดแพร่กระจายทั่วโลก พบมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตร้อนและกึ่งร้อนชื้น บางชนิดกระจาย ทั่วโลกผ่านการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ลักษณะเด่นที่ใช้จ าแนกมอดขี้ขุยในวงศ์ย่อย Bostrichinae จากวงศ์ย่อยอื่น ๆ ได้แก่ ขอบหน้าของอกปล้องแรก (anterior magin) ตรง หรือโค้งออกกลม-กลม กว้าง ด้านหน้าแบน หรือเว้าเข้าตื้น ๆ หรือเว้าเป็นร่องลึก หนามบริเวณมุมด้านข้างอกปล้องแรก (lateral teeth) มีขนาดใหญ่ หนามด้านหน้า (medial tooth) ไม่ปรากฏ ในบางเผ่าหนามด้านข้างอาจ ขยายใหญ่จนมีลักษณะยื่นออกไปด้านหน้าตรงหรืองุ้มลงลักษณะคล้ายตะขอ (hook-like teeth) ปลาย ของหน้าแข้งมีหนาม 2 อัน ตีนปล้องแรกสั้น รำยชื่อมอดขี้ขุยวงศ์ย่อย Bostrichinae ในประเทศไทย เผ่ำ Apatini Jacquelin du Val, 1861 สกุล Apate Fabricius, 1775 1. Apate submedia Walker, 1858 สกุล Phonapate Lesne, 1895 2. Phonapate fimbriata Lesne, 1909 เผ่ำ (Trib) Bostrichini Latreille, 1802 สกุล Amphicerus LeConte 1861 3. Amphicerus anobioides (Waterhouse, 1888) 4. Amphicerus caenophradoides (Lesne, 1895) 5. Amphicerus malayanus (Lesne, 1898) สกุล Bostrychopsis Lesne, 1899 6. Bostrychopsis parallela (Lesne, 1895) สกุล Heterobostrychus Lesne, 1899 7. Heterobostrychus aequalis (Waterhouse 1884) 8. Heterobostrychus hamatipennis (Lesne, 1895) 9. Heterobostrychus pileatus Lesne, 1899 10. Heterobostrychus unicornis (Waterhouse, 1879)


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 136 สกุล Lichenophanes Lesne, 1899 11. Lichenophanes carinipennis (Lewis, 1896) สกุล Micrapate Casey, 1898 12. Micrapate simplicipennis (Lesne, 1895) สกุล Parabostrychus Lesne, 1899 13. Parabostrychus acuticollis Lesne, 1913 เผ่ำ Sinoxylonini Lesne, 1899 สกุล Sinoxylon Duftschmid, 1825 14. Sinoxylon anale Lesne, 1897 15. Sinoxylon atratum Lesne, 1897. 16. Sinoxylon birmanum Lesne, 1906 17. Sinoxylon crassum Lesne, 1897 18. Sinoxylon cucumella Lesne, 1906 19. Sinoxylon flabrarius Lesne, 1906 20. Sinoxylon mangiferae Chûjô, 1936 21. Sinoxylon marseuli Lesne, 1932 22. Sinoxylon pachyodon Lesne, 1906 23. Sinoxylon parviclava Lesne, 1918 24. Sinoxylon pygmaeum Lesne, 1897 25. Sinoxylon tignarium Lesne, 1902 26. Sinoxylon unidentatum (Fabricius, 1801) เผ่ำ Xyloperthini Lesne, 1921 สกุล Calonistes Lesne, 1936 27. Calonistes antennalis Lesne, 1936 สกุล Infrantenna Liu and Sittichaya, 2022 28. Infrantenna fissilis Liu and Sittichaya, 2022 สกุล Octodesmus Lesne, 1901 29. Octodesmus episternalis Lesne,1901 30. Octodesmus parvulus (Lesne,1897) สกุล Octomeristes Liu and Beaver, 2016 31. Octomeristes pusillus Liu and Beaver, 2016 สกุล Paraxylion Lesne, 1941


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 137 32. Paraxylion bifer (Lesne, 1932) สกุล Psicula Lesne, 1941 33. Psicula heterogama Lesne, 1941 สกุล Xylocis Lesne, 1901 34. Xylocis tortilicornis Lesne, 1901 สกุล Xylodectes Lesne, 1901 35. Xylodectes ornatus (Lesne, 1897) สกุล Xylodrypta Lesne, 1901 36. Xylodrypta bostrichoides Lesne 37. Xylodrypta lanna Liu and Beaver, 2021 สกุล Xylopertha Guerin-Meneville, 1845 38. Xylopertha praeusta (Germar, 1817) สกุล Xyloperthella Fisher, 1950 39. Xyloperthella crinitarsis (Imhoff, 1843) สกุล Xylopsocus Lesne, 1901 40. Xylopsocus acutespinosus Lesne, 1906 41. Xylopsocus capucinus (Fabricius, 1781) 42. Xylopsocus ensifer Lesne, 1906 43. Xylopsocus intermedius Damoiseau, 1993 44. Xylopsocus radula Lesne, 1901 สกุล Xylothrips Lesne, 1901 45. Xylothrips flavipes (Illiger, 1801)


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 138 วงศ์ย่อย (Subfamily): Bostrichinae Latreille, 1802 Bostrichini Latreille, 1802: 202. Type genus: Bostrichus Geoffroy, 1762: 301. รูปวิธำนระดับเผ่ำของมอดวงศ์ย่อย Bostrichinae Latreille, 1802 ในประเทศไทย 1. อินเตอร์คอกซอลโปรเซสบนปล้องท้องปล้องที่ 1 กว้าง มองเห็นได้ชัดเจนและมีส่วนขยาย ด้านล่าง (ventral face) หน้าตัด (cross section) ของอินเตอร์คอกซอลโปรเซสเป็นรูปตัว U/V หรือ T-หัวกลับ อีพิสเตอนัมของขาคู่ที่ 3 (metepisternum) ปลายตัดกว้าง ๆ ขอบด้านหลัง ของอีพิเมอรอลของขาคู่กลาง (metepimeron) แยกจากเมตต้าสเตอนัมกว้าง.........................2 - อินเตอร์คอกซอลโปรเซสบนปล้องท้องปล้องที่ 1 แคบ เป็นสันบาง ๆ หรือไม่ปรากฏ ไม่มีส่วน ขยายด้านล่าง หน้าตัดแหลม (ขอบขนานแคบปลายแหลม) หรือมองไม่เห็น อีพิสเตอนัมของขาคู่ ที่ 3 คอดลงไปทางด้านหลัง ส่วนใหญ่มีปลายแหลม ขอบด้านหลังของอีพิเมอรอลของขาคู่กลาง ยาวใกล้แตะเมตต้าสเตอนัม........................................................................................................3 2. กรามบน (mandibles) ยาว ปลายแหลม สามารถซ้อนกันได้ (แบบกรรไกร) ด้านนอกไม่มีร่อง หยักตามความยาว ส่วนใหญ่มีล าตัวรูปทรงกระบอกยาว........................................Bostrichini - กรามบนกว้าง สั้น ปลายตัด ไม่สามารถซ้อนแบบกรรไกรได้ เมื่อกัดปลายจะสัมผัสกันบริเวณ กึ่งกลาง ด้านนอกบริเวณใกล้ปลายมีร่องหยักตามความยาว 2 ร่อง ส่วนใหญ่มีล าตัวอ้วนป้อม ล าตัวสั้น..................................................................................................................... Sinoxylini 3. อินเตอร์คอกซอลโปรเซสของปล้องท้องปล้องแรกแบน (plane) มองเห็นตลอดความยาว ส่วนใหญ่มีล าตัวรูปทรงกระบอกอ้วนป้อม ล าตัวสั้น............................................. Xyloperthini - อินเตอร์คอกซอลโปรเซสของปล้องท้องปล้องแรกโค้งลง (declivous) ส่วนใหญ่มองไม่เห็นหรือ มองเห็นเฉพาะส่วนฐาน ส่วนใหญ่มีล าตัวรูปทรงกระบอกยาว........................................Apatini


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 139 เผ่ำ Apatini Jacquelin du Val, 1861 Apatites Jacquelin du Val, 1861: 228. Type genus Apate Fabricius, 1775: 54. การจัดล าดับหมวดหมู่ทางอนุกรมวิธานของเผ่า Apatini เดิมจัดอยู่ในระดับเผ่า ในวงศ์ย่อย Bostrichinae ต่อม า Borowski and Wegrzynowicz (2007) ยก ระดับมอดเผ่ านี้เป็นวงศ์ย่อย Apatinae โดยไม่ได้ระบุเหตุผลประกอบ อย่างไรก็ตามจากการศึกษาความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการโดย ใช้ลักษณะทางสันฐานภายนอกของ Liu and Schönitzer (2011) พบว่ามอดเผ่านี้อยู่ในสายวิวัฒนาการ เดียวกับมอดสกุล Bostrychopsis (เผ่า Bostrichini) ยืนยันการจัดแมลงในกลุ่มนี้เป็นเพียงสมาชิกระดับ เผ่าในวงศ์ย่อย Bostrichinae เท่านั้น มอดเผ่า Apatini เป็นมอดกลุ่มเล็กมีสมาชิกเพียง 3 สกุล กระจาย ในทวีปแอฟริกาและเอเชีย (Apate Fabricius, 1775; Phonapate Lesne, 1909 และ Xylomedes Lesne, 1902) มีสมาชิกทั้งหมด 33 ชนิด ส่วนใหญ่เป็นมอดขี้ขุยขนาดใหญ่ ทรงกระบอกยาว อ้วน ปีก ยาวมากว่ามอดในวงศ์ย่อยอื่น ๆ อกปล้องแรกโป่งออกงุ้มไปด้านหน้า หัวเชื่อมกับปล้องอกด้านล่าง มอง ไม่เห็นจากด้านบน เพศเมียด้านหน้าของหัวมีพู่ขนรวมเป็นกลุ่มขนาดใหญ่หนาแน่น อกด้านข้างมีสัน เฉพาะส่วนหลัง หนวดสามปล้องสุดท้ายขยายใหญ่ หนวดปล้องที่ขยายปล้องที่ 2 และ 3 ขยายยื่นออก ด้านข้างมาก ขยายด้านหน้าน้อยมาก (ปล้องสั้นมาก) ปลายขาปล้องที่ 2 ยาวกว่าปล้องที่ 1 และ 3 ปล้องท้องปล้องแรก (first ventrite) ไม่มีโพสคอกซอลไลน์ อินเตอร์คอกซอลโปรเซสโค้งลง (declivous) ในประเทศไทยพบมอดเผ่านี้2 สกุล 2 ชนิด รูปวิธำนระดับสกุลของมอดเผ่ำ Apatini Jacquelin du Val, 1861 ในประเทศไทย 1. หน้า ขอบหน้าบริเวณอีพิสโตมา (epistoma) แบน (flate) หรือนูนขึ้นเล็กน้อย (convex) ไม่ เว้าลึก อีพิสโตมามีหนามขนาดใหญ่ 1 อัน หรือ 1 คู่ (Apate)......……Apate submedia - หน้า ขอบหน้าบริเวณอีพิสโตมา (epistoma) เว้าลึก (concave) อีพิสโตมาไม่มีหนาม (Phonapate)……………………..……………………………………….Phonapate fimbriata สกุล Apate Fabricius, 1775 Ligniperda Pallas, 1772: 7. Type species: Ligniperda terebrans Pallas, 1772: 7. Apate submedia Walker, 1858 Apate submedia Walker, 1858b: 286. Apate submedia Walker, 1859: 260. Apoleon edax ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยเทียม false powderpost beetle


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 140 ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ล าตัวรูปทรงกระบอกยาว สีน้ าตาล-น้ าตาลด า หน้าบริเวณกึ่งกลาง อีพิสโตรมา มีหนามเป็นสัน 1 สัน หรือสันเว้าเข้าแบ่งหนามเป็นสองส่วน อกปล้องแรกมองจากด้านบน ขอบด้านหน้าตรง มุมด้านหน้ามีหนามขนาดใหญ่ ปลายแหลมโค้งขึ้น หนามไม่ยื่นเลยขอบปล้องอก และ ไม่ยื่นขยายใหญ่คล้ายตะขอ หนวดสั้น ปีกมีสันนูนเตี้ย ๆ ลักษณะเป็นเส้นตามความยาว 3 คู่ ขอบลาด ปลายปีกมีสันนูน 3 คู่ ลาดปลายปีกชัน โค้งลง ด้านล่างแบน เพศผู้: มุมด้านหน้ามีหนามขนาดใหญ่ ปลายแหลมโค้งขึ้น หน้าไม่มีกระจุกขน หนวดปล้องที่ขยายใหญ่ไม่มีบุ๋มประสาทสัมผัส เพศเมีย: มุมด้านหน้าไม่มีหนามขนาดใหญ่ หน้ามีพู่ขน (กระจุกขน) หนวดปล้องที่ขยาย ใหญ่มีบุ๋มประสาทสัมผัส พืชอำหำร: - กำรกระจำย: อินเดีย ศรีลังกา กำรกระจำยในประเทศไทย: นครปฐม สมุทรปราการ


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 141 สกุล Phonapate Lesne, 1895 Phonapate Lesne, 1895: 178. Type species: Apate uncinate Karsch, 1881: 46. Phonapate fimbriata Lesne, 1909 Phonapate fimbriata Lesne, 1909: 568. Megabostrichus Chujo, 1964: 206. ชื่อสำมัญ: มอดขี้ขุยเทียม false powderpost beetle ลักษณะเด่นที่ใช้จ ำแนกชนิด: ขนาดล าตัวยาว 11-13.5 มม. ล าตัวทรงกระบอกยาว (elongated) สี น้ าตาลด า-ด า อกปล้องแรกขนาดใหญ่มองจากด้านบนเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หนวดปล้องที่ขยายใหญ่สี น้ าตาลแดง หน้า (frons) กึ่งกลางอีพิสโตมามีกระจุกขนยาวสีน้ าตาลแดง อีพิสโตมาไม่มีหนาม ขอบลาด ปลายปีกมีสันนูน 3 คู่ ลาดปลายปีกชันมาก ด้านบนกึ่งกลางแบน ด้านข้างโค้งนูนขึ้น ด้านล่างแบน พืชอำหำร: ไม้มะฮอกกานี (S. mahagoni), กิ่งแห้งของ Dysoxylon sp. กำรกระจำย: อินเดีย จีน (ตอนใต้) เวียดนาม อินโดนีเซีย กำรกระจำยในประเทศไทย: เลย กาญจนบุรี (รายงานในชื่อ Megabostrichus imadatei (Chujo, 1964))


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 142 เผ่ำ Bostrichini Latreille, 1802 Bostrichini Latreille, 1802: 202. Type genus: Bostrichus Geoffroy, 1762: 301. Bostrychopsini Lesne, 1921: 288. มอดขี้ขุยเผ่า Bostrichini Latreille, 1802 มีสมาชิกมากเป็นอันดับสองรองจากเผ่า Sinoxylonini Lesne, 1899 พบกระจายทุกทวีป บางชนิดกระจายทั่วโลกผ่านการขนส่งสินค้าระหว่าง ประเทศ ลักษณะเด่นที่ใช้ในการจ าแนกมอดเผ่านี้ได้แก่อินเตอร์คอกซอลโปรเซสมีขอบตลอดความยาว ของปล้องท้องปล้องแรก อินเตอร์คอกซอลโปรเซสแบน กรามบนยาวปลายแหลม สามารถซ้อนทับกัน แบบกรรไกร หนวดแบบลูกตุ้ม ขยายด้านหน้ามากว่าด้านข้าง หนวดขยายด้านข้างแบบสมดุลเท่ากันทั้ง สองด้านของแกนหนวดหรือกึ่งสมดุล ในประเทศไทยพบมอดเผ่านี้ 6 สกุล 11 ชนิด รูปวิธำนระดับสกุลของมอดเผ่ำ Bostrichini Latreille, 1802 ในประเทศไทย 1. หนวดแบบลูกตุ้ม ปล้องที่ขยายใหญ่มีร่อง (canaliculae) ตลอดทั้งความยาวของปล้อง ทั้งสอง ด้านของเส้นหนวด (ด้านละ 1 ร่อง)…………………………………………………...…Amphicerus – หนวดแบบลูกตุ้ม ปล้องที่ขยายใหญ่ไม่มีร่อง...............................……………………..……………….2 2. ล าตัวรูปทรงกระบอกยาว ล าตัวยาวมากกว่ากว้าง 4-5 เท่า ขอบหน้าของอกปล้องแรกมีหนาม หนามด้านหน้าใหญ่กว่าด้านข้าง ปล้องอกรูปหยดน้ าขอบด้านหน้าแหลมมีหนาม (median teeth) ขนาดใหญ่………………………..……………………….………Parabostrychus acuticollis - ล าตัวอ้วนป้อม ยาวน้อยกว่า 3 เท่าของความกว้าง ขอบหน้าอกปล้องแรกไม่มีหนาม ขอบ ด้านหน้าโค้งกว้าง เว้าเข้า หรือเป็นร่องลึก..............................................................................3 3. ลาดด้านหน้าปล้องอกบริเวณกึ่งกลางบุ๋มลงเล็กน้อย………..…………….…Heterobostrychus - ลาดด้านหน้าปล้องอกบริเวณกึ่งกลางไม่บุ๋มลง……………………….………………………………..…….4 4. ล าตัวปกคลุมด้วยปุ่มและพู่ขนคล้ายไลเคนกระจัดกระจายไม่มีรูปแบบ บริเวณโคนปีกถัดจาก สคิวเทลลัมมีสันนูน แคบ เรียงตัวในแนวยาวชัดเจน ด้านละ 1 สัน.................... ....................……………………………………………………….………Lichenophanes carinipennis - ล าตัวเป็นมันวาวหรือปกคลุมด้วยขนยาวบางหรือปกคลุมหนาแน่นด้วยขนเรียงเป็นแถวหรือ ปกคลุมหนาแน่นแต่จะไม่รวมกันเป็นกระจุกคล้ายไลเคน.........................................................5 5. ส่วนหัว หน้า (frons) เหนือร่องเหนือฐานริมฝีปากบนโค้งตามขวางหรือโหนกขึ้น (projecting) อีพิสโตมา (epistoma) แบนหรือบุ๋มลงไม่โค้งขึ้น ขนาดกลาง (6-21 มม.)…….Bostrychopsis - ส่วนหัว หน้าโค้งออกสม่ าเสมอ (evenly convex) ไม่แบนหรือบุ๋มลง มองจากด้านข้างเป็นเส้น โค้งสม่ าเสมอ ขนาดเล็กมาก-ขนาดเล็ก (3-6.5 มม.)……………………………….……….Micrapate


สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจัดการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.ดร.วิสุทธิ์ สิทธิฉายา มอดขี้ขุยในประเทศไทย (Bostrichidae of Thailand) 143 สกุล Amphicerus LeConte 1861 Amphicerus LeConte 1861: 208. Type species: Apate bicaudatus Say, 1824: 320. Caenophrada Waterhouse, 1888: 350. Schistoceros Lesne, 1899: 502. รูปวิธำนระดับชนิดของมอดสกุล Amphicerus LeConte 1861 ในประเทศไทย 1. หัวด้านหน้าแบน ด้านล่างร่องเหนือฐานริมฝีปากบนแบนราบและบุ๋มลงกว้าง หน้าด้านบนร่อง เหนือฐานริมฝีปากบนแบนหรือโค้งขึ้นเล็กน้อย ไม่มีสันนูน ด้านหน้ามีขนยาวปกคลุมหนาแน่น หน้าปกคลุมด้วยหลุมตื้นขนาดเล็กทั้งสองเพศ เพศเมียเส้นหนวด (funicles) มีขนาดใหญ่กว้าง พอ ๆ กับหนวดปล้องแรกที่ขยายใหญ่.........................................Amphicerus anobioides - หัวด้านหน้าโค้ง ด้านล่างร่องเหนือฐานริมฝีปากบน (clypeo-frontal suture) โค้งขึ้นเล็กน้อย หรือแบนไม่บุ๋มลง ด้านบนร่องเหนือฐานริมฝีปากบนเป็นสันนูนขึ้นอย่างชัดเจนและปกคลุม ด้วยหลุมตื้นและขนหนาแน่น เพศเมียสันนูนสูงกว่าเพศผู้และมีขนปกคลุมเบาบางกว่าและปก คลุมด้วยปุ่มขนาดเล็กหนาแน่น...............................................................................................2 2. อกปล้องแรกปกคลุมด้วยขนสีน้ าตาลแดงหนาแน่นกว่า หัวด้านหน้าปกคลุมด้วยปุ่มขนาดเล็ก (ในเพศเมียมีขนาดใหญ่กว่าเพศผู้) ด้านข้างลาดปลายปีกบริเวณที่เชื่อมกับขอบล่างปีกหยัก (sinuated) เพศเมียไม่มีหนามลาดปลายปีกและหนามคล้ายตะขอบริเวณมุมด้านหน้าอกปล้อง แรก หน้าบริเวณเหนือร่องเหนือฐานริมฝีปากบนนูนเป็นสันสูง................ ......... ………………….………….…………………………………….…………..………Amphicerus malayanus - อกปล้องแรกปกคลุมด้วยขนสีน้ าตาลแดงหนาแน่น หัวด้านหน้าปกคลุมด้วยปุ่มขนาดเล็ก ปุ่มมี ขนาดใหญ่กว่า ด้านข้างลาดปลายปีกบริเวณที่เชื่อมกับขอบล่างปีกโค้งปกติ เพศเมียไม่มีหนาม ลาดปลายปีกและหนามคล้ายตะขอบริเวณมุมด้านหน้าอกปล้องแรก หน้าบริเวณเหนือร่อง เหนือฐานริมฝีปากบนนูนเป็นสัน สันต่ ากว่าชัดเจน……….Amphiceruscaenophradoides


Click to View FlipBook Version