The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดเชียงราย หนังสือที่รวบรวม กลุ่มชาติพันธ์ต่างๆในพื้นที่จังหวัดเชียงราย มีวิถีชีวิต วัฒนธรรม การอยู่ การกิน การแต่งกาย ภาษา เป็นอย่างไร มาศึกษาเรียนรู้กัน จะได้เข้าใจ ชาวเขา ชาวเรา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

กลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดเชียงราย

กลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดเชียงราย หนังสือที่รวบรวม กลุ่มชาติพันธ์ต่างๆในพื้นที่จังหวัดเชียงราย มีวิถีชีวิต วัฒนธรรม การอยู่ การกิน การแต่งกาย ภาษา เป็นอย่างไร มาศึกษาเรียนรู้กัน จะได้เข้าใจ ชาวเขา ชาวเรา

ชาติพันธุ์ “ลีซู” เต้นราตลอดวัน และตลอดคืน วันที่สามสาหรับงานปี มีการสรา้ งเครือ่ งดนตรขี องตนเอง ซ่ึงมอี ยู่ ๓ ชนดิ คือ
ใหม่ หรือที่กลุ่มชาติพันธ์ุลีซูเรียกว่า “อำพูวส่ำงี”
ในวนั นชี้ ่วงเชา้ จะไปยงั บรเิ วณศาลเจ้า “อด๊ิ า่ มอ” หรอื ฝู่หลู เป็นเคร่ืองเป่าประเภทเดียวกันกับแคนน้าเต้า
“ม๊ึว กวูกัว” เพ่ือขอศีลขอพรจากเทพ “อิ๊ด่ามอ”
ซึ่งเป็นเทพผู้ย่ิงใหญ่ที่ปกป้องดูแลไม่ให้เกิดส่ิงชั่วร้าย ซึ่งมีอยู่ ๓ ประเภท คือ ฝู่หลูปาลิหรือปาลิฝู่หลู ฝู่หลู
สาหรับคน เม่ือทาพิธีขอพรแล้วก็เต้นรา ร้องเพลง
จากนั้นจะมกี ารดาหวั ผู้นาคนอ่ืนๆ ตามแต่ชาวบ้านจะ แลแล และฝหู่ ลนู าอู่ ชอื บือ เป็นเคร่ืองดนตรีประเภท
เห็นสมควร และอยากทาพิธีดาหัว เช่น ผู้ช่วย
ผู้ใหญ่บ้าน เปน็ ต้น สาย ท่ีใชก้ ารดีดเพื่อให้เกิดเสียง มี ๓ สาย ตวั เคร่ืองทา

พธิ ดี าหัวผนู้ าชุมชนในวันปใี หมต่ รุษจีน มาจากไม้เนอื้ แข็ง เชน่ ไม้ซอ้ ไม้สกั ไม้ตะเคยี น เมื่อทา

ภาพจาก ชัชวาล หลียา พ.ศ. ๒๕๖๔ การแยกชิ้นส่วนของเครอื่ ง จะมีส่วนประกอบที่สาคัญ

กิจกรรมและเต้นราตลอดวันตลอดคนื ในวนั ปีใหม่ตรุษจนี อยู่ ๒ ส่วนหลักคือ ส่วนตัวเครื่อง และส่วนกล่องเสยี ง

ภาพจาก ชชั วาล หลยี า พ.ศ. ๒๕๖๔ และหย่ีลุ เป็นเครื่องดนตรีที่ทามาจากไม้ไผ่รวก หรือ

เครือ่ งดนตรขี องกลุ่มชำตพิ นั ธล์ุ ีซู วัสดุดัดแปลงเป็นรูปท่ออื่นๆ ได้ มี มีรูเป่าเพื่อปรับ
จะเห็นได้ว่าในประเพณีของกลุ่มชาติพันธ์ุลีซู
น้ันมีการเต้นรา ร้องเพลง กันอย่างสนุกสนาน ดังนั้น ระดบั เสียง ๕ รู
เคร่ืองดนตรีจึงเป็นสิ่งสาคัญที่เป็นส่วนหน่ึงของ
กิจกรรมการเต้นรา ร้องเพลง และยังสามารถนามา ๔.๔ ภาษา
เลน่ ไดใ้ นทุกโอกาส ยกเว้นงานศพ กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ลีซูจึง ภาษาพูดของชาติพันธุ์ลีซู มีภาษาพูดในกลุ่ม
๔๔ | กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ในจังหวดั เชียงราย
หยี (โลโล) ตระกูลทิเบต-พม่า ชนเผ่าลีซูร้อยละ ๓๐

ใช้ภาษาจีนฮ่อ ส่วนภาษาเขียนของชาติพันธ์ุลีซู ไม่มี

ภาษาเขียนเป็นของตนเอง ต่อมากลุ่มมิชชั่นนารี

ที่ เ ผ ย แ พ ร่ ศ า ส น า ค ริ ส ต์ ก็ ไ ด้ น า เ อ า อั ก ษ ร โ ร มั น ม า

ดัดแปลงเปน็ ภาษาเขียนของลซี ู

๔.๕ การแต่งกาย
ในอดีตที่ผ่านมาการ แต่งกายของ ผู้ชาย ชา ติ
พันธ์ุลีซู จะสวมกางเกงขากวา้ งยาวเลยเข่า สที ่นี ยิ มคือ
สีฟ้าเขียวอ่อน หรือสีอ่ืน ๆ (ท่ีเป็นสีโทนเยน็ ) ส่วนเส้ือ
นั้นเสื้อจะคล้ายเสื้อแจ็คเก็ต สีด้าท้าด้วยผ้าใยกัญชา
ประดับด้วยแผ่นโลหะเงินรูปคร่ึงวงกลมเย็บติดกับเสอ้ื
เรียงเป็นแถวทั้งข้างหน้าและข้างหลัง แต่ในปัจจุบัน
รูปแบบของเส้ือจะเปล่ียนเป็นผ้าก้ามะหยี่ (เสื้อ
กา้ มะหยี่น้จี ะสวมเฉพาะวันปีใหม่ และวนั แต่งงานของ
ตนเองเท่านน้ั ) และจะสวมผ้าโพกศีรษะท้าด้วยผ้าไหม
สีแดง ฟ้า เหลอื ง และด้า สว่ นการแต่งกายของผู้หญิง
ชาติพันธ์ุลีซู พบว่าเครื่องแต่งกายหญิงลีซูไมว่ ่าจะเป็น
เด็กหญิงสาว หญิงแต่งงานแล้ว หรือคนชรา จะแต่ง
กายเหมือนกันหมด โดยทุกวัยจะแต่งกายด้วยผ้าสี
สดใส ประกอบด้วย กางเกงจะเป็นสีด้ายาวเลยเข่า
สวมใส่เสื้อตัวหลวมแขนกระบอก ส่วนหน้าของเส้ือ
ยาวเท่าเข่า นิยมสีน้าเงิน เขียว ฟ้า และม่วง ท่ีปกคอ
ติดแถบผ้าสีด้ายาวประมาณ ๑ คืบ ช่วงต้นแขนและ
หน้าอกตกแต่งด้วยผ้าหลากสีเย็บติดกันเป็นแผ่น

คาดเข็มขัดซึ่งเป็นผ้าด้าผืนใหญ่ กว้างขนาดฝ่ามือ ชาติพันธุ์ “ลีซู”

ผู้หญิง สูงวัยโพกหัวด้วยผ้าสีด้ายาวพันหัวหลาย ๆ การแต่งกายของชาติพันธล์ุ ีซูในปัจจุบัน
รอบแล้วเก็บชาย หญิงสาวจะสวมหมวกโดยประดับ
ประดาดว้ ยลูกปดั หลากสี ภาพจาก กมลลกั ษณ์ ชัยดี พ.ศ. ๒๕๖๔

ในปัจจุบันการแต่งกายของผู้ชายชาติพันธลุ์ ซี ู ๔.๖ องค์ความรแู้ ละภูมปิ ัญญา
ในจังหวัดเชียงรายน้ัน จะเห็นได้ว่ายังคงคล้ายคลึงกับ ความสามารถในงานด้านหัตถกรรมกลุ่มชาติ
พันธุ์ลีซูนั้น ชาติพันธุ์ลีซูมีความสามารถในการทา
ในอดีต โดยยังมีการสวมกางเกงขากว้างยาวเลยเข่า เครื่องจกั รสานเพ่อื นามาใชเ้ อง ซึง่ ในปัจจุบนั ยังพบเจอ
ส่วนเส้ือน้ันยังคงใช้สีด้า โดยใช้ผ้าจากท้ังผ้าใยกัญชา การจักรสานเหล่าน้ีในกลุ่มชาติพันธ์ุลีซู ดังเช่นที่บ้าน
และผ้าก้ามะหยี่ และการแต่งกายของผู้หญิงชาติพันธุ์ ปางสา อาเภอแม่จัน ที่ยังมีการสานตะกร้าสาหรับ
สะพายหลัง เอาไว้ใช้ประโยชน์เมื่อต้องไปทาไร่
ลีซูในจังหวัดเชียงรายในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่ายังคง ทาสวน เป็นต้น หรือแม้กระท่ังการความสามารถใน
คล้ายคลึงกับในอดีต คือการแต่งกายด้วยผ้าสีสดใส เย็บปักถักร้อย ที่สะท้อนออกมาผ่านการแต่งกายของ
ชาวลีซู ท่ีมีความประณีต สวยงาม คงความเป็น
สวมใส่เส้ือตัวหลวมแขนกระบอก ส่วนกางเกงมีการ เอกลักษณ์ และอตั ลักษณ์ท่ีชดั เจน
เปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตโดยหันมาใช้ผ้าที่มีสีสัน
สดใสมากข้นึ

ชดุ ชาตพิ ันธ์ุลีซู ตะกรา้ ของชาวลซี ู

ภาพจาก ชัชวาล หลียา พ.ศ. ๒๕๖๔ ภาพจาก กมลลกั ษณ์ ชัยดี พ.ศ. ๒๕๖๔

กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ในจังหวัดเชยี งราย | ๔๕

ชาติพันธุ์ “ลีซู” ๕. แหลง่ อ้างอิง Perve, E. (๒ ๐ ๐ ๖ ). The Hill Tribes Living in
Thailand, Alligator Service Company.
กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดกิ าร
สงั คม. (๒๕๖๒). ผา้ ชาวเขา. สมั ภาษณ์
นายชัชวาล หลียา บ้านปางสา ต.ป่าตึง
เครือข่ายสื่อชนเผ่าพ้ืนเมือง Indigenous Media
Network – IMN ภายใต้เครือข่ายชนเผ่า อ.แมจ่ นั จ.เชียงราย (๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔). สมั ภาษณ์
พื้นเมืองแห่งประเทศไทย (คชท). (ม.ป.ป.).
คู่มือปฏิบัติการสาหรับคนทาสื่อกับชนเผ่า
พื้นเมืองในประเทศไทย. เชียงใหม่: โรงพิมพ์
AIPP จ้ากดั .

ชัยยุทธ ถาวรานรุ กั ษ์ และกรณุ า ใจใส. (๒๕๖๒). ชาย
ชาวลซี ูกับการปรบั เปล่ียนสถานภาพภายใต้
การขยายตัวของนักท่องเที่ยวจีนในพ้ืนท่ี
อาเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน. วารสาร
สังคมสงเคราะห์ศาสตร์. ๗(๒). ๔๘-๗๐.

วิสุทธร จิตอารี และกฤษณา รัตนพฤกษ์. (๒๕๕๐).
การศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนา
หัตถกรรมท้องถิ่นและการตลาดในพ้ืนท่ี
โครงการหลวง : กรณีศึกษาผ้าทอชาติพันธ์ุ
ลีซอ. เชียงใหม่: สถาบันวิจัยและพัฒนา
พน้ื ทส่ี ูง (องคก์ ารมหาชน).

วีระพล ทองมา และนวนจันทร์ ทองมา. (๒๕๕๑).
กลยุ ทธ์ กา รบ ริหา รจัดกา รธุรกิ จ ก า ร
ท่องเท่ียวโดยชุมชนบนพื้นท่ีสูงในจังหวัด
เชียงใหม่. เชียงใหม:่ มหาวทิ ยาลยั แมโ่ จ.้

สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพ่ือการพัฒนาชนบท
มหาวิทยาลัยมหิดล. (๒๕๔๗). กลุ่มชาติพันธุ์
ในประเทศไทย. กรุงเทพ: สถาบันวิจัยภาษา
แ ล ะ วั ฒ น ธ ร ร ม เ พ่ือ ก า ร พัฒ น า ช น บท
มหาวทิ ยาลัยมหิดล.

สุวิไล เปรมศรีรัตน์. (๒๕๔๑). สารานุกรมกลุ่ม
ชาตพิ ันธุ์. กรุงเทพฯ : สหธรรมกิ .

ศนู ยม์ านุษยวทิ ยาสิรินธร. (๒๕๖๑). กลุ่มชำติพนั ธล์ุ ซี ู.

วันเดือนปีท่ีเข้าถึง ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔.

https://www.sac.or.th/databases/ethni

c-groups/ethnicGroups/๙๖.

องอาจ อินทนิเวศ. (๒๕๕๖). ดนตรีของกลมุ่ ชาติพันธ์ุ
ลีซู., โครงการจัดเก็บและรวบรวมมรดกภูมิ
ปัญญาทางวัฒนธรรม กรมสง่ เสรมิ วัฒนธรรม.

๔๖ | กลุ่มชาติพนั ธุ์ ในจังหวัดเชียงราย

ชาติพันธุ์ “อาข่า”

ชาติพันธ์ุ “อาขา่ ”
Akha

“อาขา่ ในประเทศไทย พมา่ ลาว เรียกตนเอง ซือเหมาใจกลางของแคว้นยูนนานตอนใต้ และอีกสาม
ว่า อาข่า (Akha) สาหรับในประเทศจีนและประเทศ พื้นท่ี คือ เขตปกครองตนเองของชาวไตในแคว้น
เวียดนามจะ เรียกตนเองว่า ซานี (Za-ni) ยานี (Ya-ni) สิบสองปันนา ทางตอนเหนือของประเทศลาว และ
หรือฮาหนี่ (Ha-ni) โดยมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ตะวนั ออกเฉยี งเหนือของประเทศพมา่ เขตการปกครอง
“ฮาหน่ี” (Haniq) นอกจากนั้นในบทเพลง บทซอ ตนเองปูเออ ทางตะวันตกเฉียงเหนอื ของเมอื งคนุ หมิง
คาสุภาษิต หรือการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ของชาว และเขตปกครองตนเองของลาหู/ว้าท่ีเมืองหลานซาง
อาข่าทุก ปร ะ เทศ เรียก ตน เอง เหมือน กั น ว่ า ทางตะวันออกเฉียงเหนือของชายแดนประเทศพม่า
“หญา่ หน่ีหญ่า” (Zaqnyiqzaq)” สาหรับประเทศไทยกลุ่มชาติพนั ธุ์อาข่าส่วนมากอาศยั
อยู่ในจังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลาปาง
๑. ประวัติศาสตรค์ วามเปน็ มาของชาติพันธ์ุ จังหวัดแพร่ จังหวัดตาก และจังหวัดกาแพงเพชร
(ปนัดดา บณุ ยสาระนยั และหมยี่ ุม้ เชอมือ, ๒๕๔๗)
กลมุ่ ชาติพันธอุ์ าข่า (Akha) เปน็ กลุ่มชาติพันธุ์
ที่กระจายตัวอยู่ตามแนวชายแดนจีนตะวันตกเฉียงใต้ ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธ์ุอาข่าในประเทศไทย
และบางประเทศในเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ท่ีอยู่ติดกับ เป็นกลุ่มชาติพันธ์ุท่ีมีภาษาพูด ความเช่ือ วิถีชีวิต
ประเทศจีน จัดอยู่ในตระกูลจีน-ธิเบต สายธิเบต – อัตลักษณ์เป็นของตนเอง อาศัยอยู่กระจายอยใู่ นพ้ืนท่ี
พมา่ แขนงชนชาติโลโล(สานกั งานกองทุนสนบั สนุนการ ๗ จังหวัดทางภาคเหนือของไทย ได้แก่ จังหวัด
วิจยั , ๒๕๔๖) อันมปี ระเทศพมา่ ประเทศลาว ประเทศ เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา ลาปาง แพร่ ตาก และ
เวียดนาม และประเทศกัมพูชา ในประเทศจีนเขตที่มี เพชรบูรณ์ โดยอาศัยอยู่มากที่สุดในจังหวัดเชียงราย
กลุ่มชาติพันธ์ุอาข่าหรือฮาหนี่ กระจายตัวอยู่มากใน กลุ่มแรกท่ีเข้ามาอยู่ในพนื้ ที่ดอยตุง และบ้านดอยแสน
เขตการปกครองตนเองหงเหอบริเวณแม่น้าแดงตอน ใจ อาเภอแม่ฟ้าหลวง แต่เดิมในประเทศไทยชาว
เหนือของชายแดนระหว่างจีน - เวียดนาม ในเขตเมือง อาข่ามีอยู่ ๘ กลุ่มย่อย ซ่ึงมีความแตกต่างกันด้านการ

กลุ่มชาติพนั ธุ์ ในจงั หวดั เชยี งราย | ๔๗

ชาติพันธุ์ “อาข่า” แต่งกายและการเรียกชื่อกลุ่ม แต่มีความเชื่อและ เชียงตุง เข้าสู่ประเทศไทยเน่ืองจากเกิดปัญหาทาง
ประเพณีท่ีคล้ายคลึงกัน ประกอบด้วย กลุ่มอู่โล้อาข่า การเมือง ด้านฝ่ังเขตอาเภอแม่จัน ทางหมู่บ้าน
กลุม่ อมู่ อี้ าข่า กลมุ่ ผาหมีอาขา่ กล่มุ เปี๊ยะอาขา่ กลมุ่ อ่า พญาไพร (ปัจจุบันเป็นอาเภอแม่ฟ้าหลวง) โดยการนา
เค้อ อาข่า กลุ่มหน่าค้าอาข่า กลุ่มอู่พีอาข่า และกลุ่ม ของแสนอุ่นเรือน ชื่อภาษาอาข่าว่า "หู่ลอง จูเปาะ"
อาจอ้ อาข่า และ เข้ามาอาศัยอยู่ในเขตบนดอยตุงจนกระท่ัง
เสียชีวิต ส่วนแสนพรหม ชื่อภาษาอาข่าว่า "หู่ปอ
ภาพแสดงการแบ่งกลุม่ ชาวอาขา่ ในประเทศไทย ๘ กลมุ่ ย่อย เจ่วปอ" ซึ่งเป็นน้องของแสนอุ่นเรือน ได้อพยพมาตั้ง
หมู่บา้ น อาขา่ ทางฝ่ังอาเภอแม่สาย เขตบริเวณบ้านผา
ภาพจาก พนาภรณ์ ศรีมลู อา้ งองิ ในประสิทธิ ลีปรชี าและคณะ, ๒๕๔๙ หมีและหมู่บ้านอาข่าเขตอาเภอเชียงแสน หรือบ้าน
ดอยสะโง้ ส่วนแสนใจ มีภาษาอาข่าเรียกว่า "ถู่แช
การต้ังถิ่นฐานอยใู่ นจงั หวัดเชียงรายของกลุม่ ชาตพิ ันธุอ์ าขา่ เจ่วปอ" เป็นหลานของแสนอุ่นเรือน อีกคนหนึ่งได้มา
ต้ังหมู่บ้านแสนใจ ในเขตอาเภอแม่จัน ปัจจุบันเป็น
ภาพจาก https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC๔๗๔๖๘๑๕/figure/Fig๑/ อาเภอแมฟ่ ้าหลวง (๒๕๖๔)

กลุ่มชาตพิ ันธอ์ุ าข่าไดอ้ พยพเข้าสปู่ ระเทศไทย ๒. โครงสรา้ งทางสังคม
เน่ืองจากเกิดสงครามและถูกกดข่ีคุกคามโดยกลุ่มชน
รอบข้างที่มีกาลังอานาจเหนือกว่าอาข่าและกลุ่มชาติ ๒.๑ การปกครอง
พนั ธอุ์ ่ืน ๆ (ไพโรจน์ คงทวีศักด์ิ, ๒๕๕๐: ๔๒ อ้างถึงใน ในอดีตกลุ่มชาติพันธุ์ชนเผ่าอาข่ามีรูปแบบ
Goodman, ๑๙๙๖: ๒๙-๓๐) โดยมีเส้นทาง ๒ การปกครองเป็นของตนเอง ผู้นาก็คือหัวหน้าหมู่บ้าน
เสน้ ทางคือ เส้นทางแรก อพยพจากประเทศพม่าแควน้ ทาหน้าท่ีควบคุมดูแลชุมชนให้อยู่ในกฎระเบียบ
๔๘ | กล่มุ ชาติพนั ธุ์ ในจังหวดั เชยี งราย ธ ร ร ม เ นี ย ม ท่ี ดี ง า ม ข อ ง สั ง ค ม ร่ ว มกั บ ค ณ ะ ผู้ อ า วุ โส
ดังนั้นชนเผ่าอาข่าจะให้เกียรติกับผู้อาวุโสมากเพราะ
ถือว่ามีอานาจในการตัดสินคดีข้อพิพาทและร่วมใน
พิธีกรรมต่าง ๆ การสืบทอดตาแหน่งเป็นการสืบต่อ
ตามสายบรรพบุรุษ นอกจากน้ียังมีคณะกรรมการ
หมบู่ ้าน ซ่ึงประกอบด้วยหวั หน้าหมู่บ้าน ผชู้ ว่ ยหวั หน้า
หมู่บ้าน หวั หน้าพธิ กี รรม ชา่ งตีเหล็ก หมอผี ผู้รู้ และผู้
อาวุโส ซ่ึงคณะกรรมการหมู่บ้านดังกล่าวมีหน้าที่
พิจารณาตัดสินใจในกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน
(สานักงานวัฒนธรรมจังหวดั ลาปาง,๒๕๖๓)
ปัจจุบันระบบการปกครองของชุมชนอาข่า
เป็นการปกครองแบบผสมผสานระหว่างการปกครอง
แบบจารีตประเพณีและแบบทางการ โดยมีกฎหรือขอ้
ห้ามของเผา่ อาข่า อาทเิ ช่นห้ามล่วงประเวณกี ับภรรยา
ผู้อ่ืนหรือที่เรียกว่าห้ามผิดลูกผิดเมียผู้อื่น ในกรณีถ้ามี

ภรรยาแล้ว ห้ามไปถูกเน้ือต้องตัวหรือแตะต้องภรรยา งำนต่ำง ๆ ที่เก่ียวกับชีวิต เช่น เกิด แก่ เจ็บ ชาติพันธุ์ “อาข่า”
ตำย แต่งงำน ตำแหน่งนี้มีควำมสำคัญ
ของคนอืน่ ถา้ หากผดิ ลูกผิดเมียผ้อู น่ื จะตอ้ งโดนลงโทษ เช่นเดยี วกบั หมอ (แพทย์)
• พิหย่า (ผู้ช่วยพิมำ) อยู่ในช่วงที่กำลังศึกษำ
ด้วยการปรับเงิน เสียหมู ๑ ตวั และเหล้า ถา้ ไมม่ ีเงินก็ เรียนรู้และเป็นผู้ช่วยของพิมำ และในอนำคต
กส็ ำมำรถข้นึ มำเป็นพมิ ำได้
ต้องยืมคนอ่ืนมาเสียค่าปรับ มิฉะน้ันจะถูกไล่ออกจาก • ซามา (หมอดู) ทำหน้ำท่ีคล้ำยผู้วินิจฉัยโรค
ภัยแต่ไมส่ ำมำรถทำกำรลงมอื รกั ษำได้
บ้าน /ห้ามจับต้องสิ่งของต่าง ๆ เช่น ประตูผี บ่อน้า • ญี้ผ่า (หมอยำ) เป็นหมอยำสมุนไพรประจำ
หมูบ่ ้ำน
ศักด์ิสิทธ์ิ ศาลเจ้า ชิงช้า ที่ตีเหล็กเพราะถ้าแตะต้อง • ขะมา/หละจ่า (คณะผู้อำวุโส) เป็นกลุ่ม
ผู้ทรงคุณวุฒิของหมู่บ้ำน มีควำมสำคัญท้ัง
หรือจับแล้วจะเกิดเหตุร้าย ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนก็จะต้องเสีย ด้ำนกำรปกครองชุมชน กำรประกอบพิธกี รรม
และกำรตัดสินคดีควำมต่ำง ๆ ของชุมชน
หมู ๑ ตัวและเหล้าเพ่ือใช้ในการทาพิธีกรรมขอขมาที่ ปัจจุบันระบบกำรปกครองของชุมชนอำข่ำ
เป็นกำรปกครองแบบผสมผสำนระหว่ำงกำร
ล่วงเกิน โดยไม่ลว่ งรู้มากอ่ นหรอื ลว่ งร้มู ากอ่ นกต็ าม ปกครองแบบจำรีตประเพณีและแบบทำง
รำชกำร
๒.๒ ผนู้ า/บคุ คลสาคญั ๒.๓ ระบบครอบครัวและเครือญาติ
บุคคลสำคัญท่ีดำรงตำแหน่งทำงวัฒนธรรม ในสังคมอาข่า สมาชิกครอบครัวจะมีสัมพันธ์
ของชำวอำข่ำ ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่ำงย่ิง
ของหมู่บ้ำน ซ่ึงจะต้องทำกำรสรรหำบุคคลเพ่ือดำรง กนั แบบเครือญาติ ความเปน็ ญาตเิ กดิ ขน้ึ ทางสายบรรพ
ตำแหน่งบุคคลดังกล่ำวน้ีจะทำหน้ำที่สำคัญในกำร
ประกอบพธิ ีกรรมของหมู่บ้ำน เพือ่ ให้เป็นไปด้วยควำม บุรุษ คนอาข่าจะถือการสืบสกุลสายบิดาเป็นหลัก
สงบเรียบร้อย ซึ่งในอดีตนั้นชำวอำข่ำมีตำแหน่งทำง
วัฒนธรรมอยู่หลำยตำแหน่งด้วยกันได้แก่ (โครงกำร บุตรชายคนโตถือว่าเป็นผู้สืบสกุลและเป็นผู้รักษาสืบ
พพิ ธิ ภณั ฑช์ นเผำ่ ออนไลน,์ ๒๕๕๔)
ทอดประเพณี บุตรชายเม่ือแต่งงานแล้วต้องนาภรรยา
• โจ่วมา (ผู้นำพิธีกรรมของหมู่บ้ำน) เป็น
ตำแหน่งท่ีมีควำมสำคัญมำกที่สุดในหมู่บ้ำน มาอยู่กับบิดามารดาของตน หญิงอาข่าท่ีเป็นหม้าย
ชำวอำข่ำ หน้ำท่ีคือผู้นำกำหนดวันสำคัญ
เกี่ยวกับพิธีกรรมต่ำง ๆ รวมท้ังเป็นผู้ริเริ่ม จากการเสียชีวิตของสามีจะแต่งงานใหม่หรือไม่แต่งก็
กิจกรรมต่ำง ๆ ภำยในชุมชนชำวอำข่ำ เป็น
บุคคลที่จะต้องลงมือทำก่อน เช่น กำรทำ ได้ ส่วนหญิงหม้ายท่ีหย่ากับสามี ต้องแต่งงานให้เร็ว
ประตูหมู่บ้ำน กำรปลูกข้ำว หรือแม้แต่
พธิ ีกรรมในรอบปีของชำวอำขำ่ กต็ อ้ งเปน็ คนท่ี ท่ีสุด ไม่เช่นน้ันอาข่าจะถือว่าหญิงคนนั้นจะนาพา
เรมิ่ ทำก่อนน่ันเอง
ความช่ัวร้ายมาให้กับครอบครัวและหมู่บ้าน ลักษณะ
• โจ่วหย่า (ผู้ช่วยหยื่อมะ) เป็นตำแหน่งที่
รองลงมำจำกหยื่อมะ ครอบครัวเป็นครอบครัวขยาย ผู้ชายทุกคนสามารถ

• คามา (ผู้ใหญ่บ้ำนหรือทนำยควำม) เป็น ท่องช่ือบรรพบุรุษต้ังแต่เริ่มต้นจนถึงช่ือบิดาตัวเองได้
ตำแหน่งตัวแทนหมู่บ้ำน ติดต่อส่ือสำรกับ
สงั คมภำยนอก มีคากล่าวว่าอาข่าทุกคนเป็นญาติพ่ีน้องกันหมด และ

• จบิ ่า/บาจ่ี (ชำ่ งตีเหลก็ ) เปน็ ตำแหน่งท่ีสำคัญ สงั คมอาข่าถอื ว่าผ้หู ญิงเปน็ แรงงานหลักของสังคมต้อง
มำกเพรำะทำหน้ำท่ีตีเหล็กซึ่งเป็นอุปกรณ์ใน
กำรทำกำรเกษตรให้กบั ชำวบำ้ นในชมุ ชน รับผิดชอบงานในไร่ตั้งแต่ยังเด็ก ส่วนผู้ชายในวัยเด็ก

• พิมา/เบ้วหมอ่ (ผนู้ ำด้ำนบทสวด) ผทู้ ำหน้ำที่ อาจมภี าระเลย้ี งน้องบ้างแต่เวลาจะหมดไปกับการเล่น
ในกำรประกอบพิธีกรรม เหมือนพระสงฆ์ใน
พระพุทธศำสนำ ทำหน้ำที่ในกำรสวดพิธีตำม สนุกสนานและหัดล่าสัตว์จะเป็นแรงงานเมื่อเข้าสู่ช่วง

วัยรุ่นจนถึงแต่งงานจนลูกๆ แบ่งเบาภาระได้ เมื่ออายุ

กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ ในจงั หวัดเชียงราย | ๔๙

ชาติพันธุ์ “อาข่า” ๔๐ ปขี น้ึ ไปจะอยบู่ า้ นเลีย้ งลกู เลี้ยงหลาน อยบู่ า้ นดูแล อนญุ าตจะต้องหาพืน้ ทจ่ี ดั ตงั้ หมู่บา้ นใหม่ ซ่งึ จะสะท้อน
สัตว์เล้ียง ผู้ชายเม่ือจะเลือกผู้หญิงมาเป็นภรรยาไม่ได้ ให้เห็นถึงทรรศนะในการจัดวางผังหมู่บ้านของชาวอา
เลือกที่ความสวยงาม แต่จะเลือกคนท่ีขยันทางานมา ข่า ในความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ และคน
จากตระกูลท่ีดี ชุมชนอาข่ามีผู้นาที่ชุมชนยอมรับนับ กับสิ่งเหนือธรรมชาติ รวมถึงการแบ่งบทบาทหน้าที่
ถือดัง ๑) โจ่วมา ๒) พิมา ๓) จิบ่า ๔) ญี้ผ่า ๕) ขะมา และระบบความสมั พนั ธข์ องสมาชิกในชุมชน ชาวอาข่า
และ ๖) คามา (ปนัดดา บุณยสาระนัย และหมี่ยุ้ม ได้มีการแบ่งพื้นท่ีที่แตกต่างจากกลุ่มชาติพันธ์ุอื่น ๆ
เชอมือ, ๒๕๔๗) เช่น “มิโอ” คือ โลกของบรรพบุรุษ “มิตะ” คือ โลก
ของมนุษย์ปจั จุบนั ภายในบา้ น นอกบา้ น ดงั นั้นจงึ อาจ
๓. วิถีชวี ิตความเป็นอยู่ กล่าวได้ว่าถึงแม้จะไม่มีคาเรียกรวมท่ีตรงความหมาย
กับคาว่าพื้นที่ แต่ในทรรศนะของอาข่ามีการจัดวาง
๓.๑ ทอ่ี ยู่อาศยั สถานที่ต่าง ๆ ทั้งในโลกสวรรค์และโลกปัจจุบัน หรือ
ก า ร เ ลื อ ก พ้ื น ท่ี ต้ั ง ห มู่ บ้ า น แ ล ะ ป ลู ก ส ร้ า ง บริเวณที่ผีอยู่กับบริเวณที่คนอยู่ ความคิดดังกล่าว
บ้านเรือนในอดีตกลุ่มชาติพันธ์ุอาข่ามักต้ังถ่ินฐานในท่ี ส่งผลให้ชาวอาข่ามีการถือสร้างบ้านตามแบบแผนของ
ห่างไกลเหนือพื้นที่ราบและหุบเขา ดังน้ันพื้นที่ที่ต้ัง ชาวอาข่า โครงสร้างหมู่บ้านสะท้อนถึงโลกทัศน์ของ
หมู่บา้ นจะเต็มไปดว้ ยทรัพยากรปา่ ไม้ ทต่ี ง้ั ของหมบู่ า้ น ชาวอาขา่ ระหวา่ งสองสิ่งท่ีสมั พนั ธก์ นั เสมอ การจดั การ
จะต้องเป็นพ้ืนที่กว้างขวางเพียงพอสาหรับเด็ก ๆ พนื้ ท่ดี งั กล่าวมลี กั ษณะท่ีน่าสนใจเพราะมีของสองส่ิงท่ี
วิ่งเล่นและใช้เป็นท่ีชุมนุมของชาวบ้านในพธิ ีกรรมตา่ ง สัมพันธ์กัน เช่น ประตูหมู่บ้าน (โตมาลกข่อ,ลกค่อ
ๆ หมู่บ้านต้องอยู่ไม่ไกลจากแหล่งน้ามากนัก ปกติ หรือลอกค่อง), ศาลผี (หมิซาลอเอ๊อะ) ของชาวอาข่า
แหล่งน้าจะอยู่ในบริเวณหุบเขาใกล้หมู่บ้าน กลุ่มชาติ เปน็ การจัดการพนื้ ทเี่ ชิงสัญลกั ษณท์ ี่บง่ บอกถึงขอบเขต
พันธุ์อาข่าไม่นิยมต่อรางน้าเข้ามาใช้ในหมู่บ้านเหมอื น ระหว่างโลกของมนษุ ยภ์ ายในและภายนอกโลกของจิต
กลุ่มชาติพันธุ์มูเซอหรือกลุ่มชาติพันธุ์เม่ียน เน่ืองจาก วิญญาณ และการจัดวางพื้นที่ภายในบ้านสัมพันธ์กับ
กลุ่มชาติพันธ์ุอาข่าจะมีความเชื่อเร่ืองผีน้าอาจจะ การแบ่งบทบาทหน้าที่ระหว่างชายและหญิงของ
นามาซึง่ อันตรายมาสู่หมู่บ้านได้ กลมุ่ ชาติพนั ธุ์อาข่าถือ สมาชิกในครัวเรือน ซ่ึงเห็นได้จากการจัดวางพื้นท่ี
ห ลั ก นิ ย ม ว่ า ภู เ ข า ที่ เ ลื อ ก ตั้ ง ห มู่ บ้ า น ค ว ร เ ป็ น ภู เ ข า ภายในบ้านของชาวอาข่า ท่ีแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ
ลูกกลางท่ีล้อมรอบด้วยภูเขาสูง คุณลักษณะภูเขา “ยุ้มมา” เป็นพื้นที่ของผู้หญิง และ “บอลอ”
ประเภทนน้ี ่าจะมีผลต่อการเลือกตาแหน่งท่ีตั้งหมบู่ ้าน เป็นพื้นท่ีของผู้ชาย ฯลฯ เป็นต้น (ฐานข้อมูลกลุ่ม
แหล่งน้า หรือภูมิอากาศ กระแสลมท่ีเหมาะที่สามารถ ชาตพิ ันธ์ุในประเทศไทย, ๒๕๖๔)
ตัง้ บา้ นเรือนได้ สันนิษฐานว่าภเู ขาสูงท่ีลอ้ มรอบจะเป็น
ปราการป้องกันภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะลมพายุได้ ประตหู มบู่ า้ นหล่อชา อ.แมจ่ นั (ประตูหมู่บา้ นอาขา่ )
อย่างดี (พนาภรณ์ ศรีมูล, ๒๕๕๕) จากความเช่ือการ
เ ลื อ ก พื้ น ที่ ตั้ ง ห มู่ บ้ า น แ ล ะ ก า ร ป ลู ก ส ร้ า ง จ ะ มี พิ ธี ภาพจาก https://travel.mthai.com/region/๑๗๒๖๖๒.html
กรรมการเส่ียงทายร่วมด้วย โดยมี “โจ่วมา” เป็นผู้
ประกอบพิธีกรรม ซึ่งจะเส่ียงทายขอพื้นท่ีจากผีเจ้าที่
โดยใชไ้ ขไ่ กต่ ามคติความเช่ือว่าหากโยนไข่แตกในพื้นที่
ใดแสดงว่าสามารถสร้างบ้านได้ ผีเจ้าที่อนุญาต
แต่หากโยนไข่ไม่แตกภายใน ๓ คร้ังแสดงว่าผีเจ้าที่ไม่
๕๐ | กลุ่มชาติพันธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย

ส่วนการต้ังบ้านเรือนของคนอาข่ามีสอง ๓.๒ การประกอบอาชีพ ชาติพันธุ์ “อาข่า”
ลักษณะ ลักษณะที่หนึ่งปลูกบ้านติดดินไม่ยกพ้ืน เดิมทีกลุ่มชำติพันธ์ุอำข่ำจะมีวิธีกำรเลือก
ลักษณะที่สองปลูกบ้านแบบยกพื้น จะเห็นได้ว่า พืน้ ที่ทำกนิ ทีเ่ ชือ่ มโยงกับควำมเชื่อและพิธกี รรมเข้ำมำ
ชาวบ้านส่วนใหญ่นิยมปลูกบ้านติดดินแบบไม่ยกพื้น
หลังคามงุ หญ้าคา ฝาบ้านสานด้วยไมไ้ ผ่ และใช้ไม้ไผ่ เกี่ยวข้องในกำรตัดสินใจเลือกพื้นท่ีทำกิน เนื่องจำก
ในการก้ันห้องการก้ันห้องจะกั้นเฉพาะห้องผู้หญิงกับ ชำวอำข่ำเช่ือวำ่ ทุกที่มเี จำ้ ของปกป้องดูแลรักษำ ดงั นน้ั
ห้องนอนผู้ชาย ภายในบ้านมีเตาไฟสองแห่ง แห่งหนึ่ง
สาหรับทาอาหารและแห่งท่ีสองสาหรับผิงไฟไว้ต้อนรับ ก่อนจะดำเนินกำรใด ๆ ต้องทำพิธีขออนุญำตจำก
แขก การจัดแบ่งอาณาเขตระหว่างตระกูลชัดเจน เจ้ำของท่ีแห่งนั้นเสียก่อน เพ่ือให้กำรเพำะปลูกเปน็ ไป
มักจะมีการปลูกบ้านเป็นกลุ่มตระกูลเหตุผลเพราะว่า อย่ำงรำบร่ืนและพืชผลจะได้เจริญงอกงำม จึงจะ
มีความรู้สึกปลอดภัยมีความอบอุ่นมากกว่าไปอยู่รวม
กบั ตระกูลอนื่ บริเวณพ้นื ท่ีมีมากพอสาหรบั การทาสวน สะท้อนให้เห็นว่ำชนเผ่ำอำข่ำส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชนที่
ครัวหลังบ้าน หน้าบ้านจะมีสวนขนาดเล็กสาหรบั ปลกู ทำอำชีพทำงกสิกรรม เช่น กำรปลูกข้ำว ข้ำวโพด ถ่ัว
ไม้ผล อ้อย เผือก มัน และสร้างยุ้งฉางข้าว เลี้ยงสัตว์
ประเภทหมู ม้า วัว เป็ด ไก่ เป็นต้น ชาวอาข่าจะมี ตำ่ ง ๆ และพืชผักเพอ่ื กำรบรโิ ภคในกำรยังชีพแต่หำกปี
ความเช่ือทางฮวงจุ้ย ต้องมีการทานายทิศทางผ่าน ไหนได้ผลผลิตเยอะก็จะนำไปแบ่งขำย นอกจำกน้ี
พิธกี รรมก่อนลงมอื สรา้ งบา้ น ชนเผ่ำอำข่ำยงั นยิ มเล้ียงสัตว์จำพวก หมู เปด็ ไก่ แพะ

บา้ นเรอื นอาข่าในปัจจบุ นั ของหมู่บ้านดอยชา้ ง จ.เชียงราย และสุนัขฯลฯ เพ่ือใช้บริโภคและใช้ในพิธีกรรมทำง
ศำสนำ ส่วนสัตว์ท่ีเลี้ยงไว้ใช้งำน ได้แก่ วัว ควำย ม้ำ
ภาพจาก https://travel.kapook.com/view๒๒๙๗๐๕.html
เปน็ ตน้ และถ้ำหำกมีเวลำว่ำงก็จะรบั จำ้ งทั่วไป ลำ่ สตั ว์
และหำของป่ำ ซ่ึงในปัจจุบันชนเผ่ำอำข่ำยังได้รับกำร
สนับสนุนส่งเสริมจำกโครงกำรต่ำง ๆ ในกำรประกอบ

อำชพี ทำให้รู้จักกำรผลติ แบบก้ำวหนำ้ กำรลงทุน มีพชื
หลำยชนิดท่ีชำวอำข่ำรับเข้ำไปปลูกในชุมชนภำยใต้

กำรส่งเสริมของหน่วยงำนท้ังองค์กรระหว่ำงประเทศ
และโครงกำรควำมช่วยเหลือจำกประเทศอื่นตลอดจน
กำรนำเขำ้ ไปปลกู ในชุมชนด้วยตนเอง พชื เหลำ่ น้ีได้แก่

กำแฟ ล้ินจ่ี ถ่ัวนำงแดง ถ่ัวเหลืองพันธุ์ สับปะรด มัน
ฝรั่ง ข้ำวโพดเล้ียงสัตว์ ข้ำวสำลี ถ่ัวลิสง มะม่วง พริก

ขิง มะเขอื เทศ มะระหวำน ชำ กะหล่ำปลี ผักกำดขำว
ถ่ัวแขก ฯลฯ ไม้ผลเมืองหนำว เช่น ท้อพลับ บ๊วย
เปน็ ตน้

ซ้าย : บ้านอาขา่ ดอยแม่สลอง จ.เชียงราย การประกอบอาชพี ปลกู กาแฟของชาวอาข่า
ขวา : บา้ นอาข่า ดอยหลอ่ โย จ.เชยี งราย
ภาพจาก https://www.freepik.com/jcomp
ภาพจาก http://www.chiangrai-tour.com/ และ
https://www.chillpainai.com/scoop/๑๐๑๑๖/ กลุ่มชาติพันธุ์ ในจังหวัดเชยี งราย | ๕๑

ชาติพันธุ์ “อาข่า” เช่น ผงปรุงรส น้ำปลำ น้ำตำล ซอสปรุงอำหำรต่ำง ๆ
บำงครอบครัวก็ทำนกะปิหรอื ปลำร้ำบำ้ งแลว้

การประกอบอาชีพปลกู กาแฟของชาวอาขา่ อาหารของชาวอาขา่

ภาพจาก https://www.freepik.com/jcomp ภาพจาก https://readthecloud.co/doi-phamee

๓.๓ อาหาร ๔. วัฒนธรรมและประเพณี
อำหำรที่เป็นหลักของกลุ่มชำติพันธุ์อำข่ำ คือ
ข้ำว ผักและเน้ือ ส่วนข้ำวที่ชำวอำข่ำบริโภคจะเป็น ๔.๑ ศาสนา
ข้ำวจ้ำวเมล็ดส้ันป้อมมีสีขุ่นลำยแดง ด่ำง เวลำหุงสุก กลุ่มชำติพันธ์ุอำข่ำในอดีตถือได้ว่ำเป็นกลุ่มท่ี
จะมียำงเหนียวเล็กน้อย ผักท่ีบริโภคมีหลำยชนิดทั้ง ไ ม่ มี “ ศ ำ ส น ำ ” แ ต่ มี ค ำ ว่ ำ “ บั ญ ญั ติ อ ำข่ำ ”
ท่ีปลูกเองและเก็บเอำจำกป่ำ เช่น ผักกำดไร่ แตงกวำ ซ่ึงครอบคลุมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณีและพิธี
ฟักทอง ฟักเขียว มะเขือ หน่อไม้ ผักกูด ผักหนำม กำรทุกอย่ำงในกำรดำเนินชีวิต มีควำมเช่ือในเร่ืองผี
ชะอม ผักกำด ผักกวำงตุ้ง กระเทียม ฯลฯ ผักเหล่ำนี้ โชคลำง และกำรเสี่ยงทำย คำว่ำ “ผ”ี หรือ “แหนะ”
จะนำมำแกง ตม้ ผดั แอ๊บ ปรุงรสด้วย เกลอื ชูรส และ ได้เข้ำมำมีบทบำทในวิถีชีวิตของชำวอำข่ำและชนเผ่ำ
พริก ตำมต้องกำร ส่วนกำรบริโภคเน้ือสัตว์มีเป็นครั้ง อำข่ำมคี วำมเชอื่ ถือผแี ละสิ่งเรน้ ลับในธรรมชำติ ดงั นน้ั
ครำว เช่น เมื่อมีกำรเล้ียงประกอบพิธีกรรมต่ำง ๆ ก่อนทำส่ิงใดชำวอำข่ำมักจะทำพิธีกรรมเสี่ยงทำยเพื่อ
โดยใช้หมูหรือเป็นเครื่องเซ่น มีงำนแต่งงำน งำนศพ ตรวจโชคลำงเสียงก่อน นอกจำกนี้ยังพบว่ำกลุ่ม
มีแขกพิเศษมำเย่ียมเยือน และเม่ือมีกำรลงทุนกันซื้อ ชำติพันธ์ุอำข่ำยังนับถือผีบรรพบุรุษ โดยทุกครัวเรือน
หมู วัว ควำย มำแบ่งกัน เพื่อบริโภคนำน ๆ ครั้ง จะมีหิ้งผีบรรพบุรุษไว้เซ่นไหว้ปีละ ๙ ครั้ง รองลงมำ
ล่ำสัตว์ป่ำมำได้ เช่น นก ไก่ป่ำ หมูป่ำ กระรอก หนู ไดแ้ ก่ ผีใหญ่ ซงึ่ ถือว่ำเป็นหัวหน้ำผที ั้งปวง และเปน็ ตน
อีเก้ง เม่น อีเห็น หมี กวำง ฯลฯ เม่ือหำหนอนแมลง เดียวท่ีอยู่บนสวรรค์มีหน้ำที่ดูแลควำมทุกข์สุขให้แก่
ได้มำ เช่น หนอนไม้ไผ่ แมลง ปลำ โดยมีวิธีกำรปรุง ลูกหลำนชำวอำข่ำ ซึ่ง “ผี” ตำมควำมเชื่อของอำข่ำ
อำหำร ดังน้ี ต้ม ผัด ทอด แอ๊บ ย่ำง น่ึง แล้วปรุงรส ประกอบด้วยดังนี้
โดย เกลือ พริก ชูรส และจะทำอำหำรมื้อใหญ่ ๒ ม้ือ
คือ ม้ือเช้ำกินก่อนไปทำงำนและม้ือค่ำหลังจำกเสร็จ • ผเี รือน หรอื ผบี รรพบรุ ษุ ชำวอำขำ่ ถือวำ่ เป็นผี
ภำรกิจประจำวัน ชำวอำข่ำจะกินกันพร้อมหนำ้ พร้อม ที่ดีที่สุด เพรำะเป็นวญิ ญำณบรรพบุรษุ ที่คอย
ตำทง้ั ครอบครวั ใหพ้ ่อแมห่ รือผอู้ ำวโุ สได้ตกั อำหำรก่อน คุ้มครองดูแลครอบครัวมำโดยตลอดหลำยชัว่
ถือเป็นกำรแสดงควำมกตัญญูต่อผู้ใหญ่ หำกมีแขกมำ อำยคุ น
เยี่ยมจะใหต้ กั อำหำรกอ่ นถอื เปน็ กำรให้เกยี รติแขก
อำหำรกลมุ่ ชำตพิ นั ธ์ุอำข่ำในปัจจุบนั ในชุมชน
อำข่ำที่อยู่บนพ้ืนท่ีสูงยังคงมีวิถีกำรประกอบอำหำร
กำรหำอำหำรและกำรรับประทำนอำหำรยังคงมีควำม
ด้ั ง เ ดิ ม อ ยู่ เ พี ย ง แ ต่ ว่ ำ มี เ ค รื่ อ ง ป รุ ง ร ส ท่ี เ พิ่ ม ม ำก ขึ้ น

๕๒ | กล่มุ ชาติพันธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย

• ผีหมู่บ้ำน คือ ผีท่ีอำศัยอยู่ในหมู่บ้ำนคอย พธิ กี รรมปลูกสร้ำงประตหู มบู่ ้ำน พธิ โี ล้ชงิ ชำ้ ประเพณี ชาติพันธุ์ “อาข่า”
ปกป้องรักษำคนในชุมชนให้อยู่เย็นเป็นสุขจะ ไข่แดง เป็นต้น นอกจำกนี้ชำวอำข่ำยังมีควำมเช่ือ
สถิตอยู่ที่ศำลผีประจำหมู่บ้ำน บริเวณทิศ เกี่ยวกับบ่อน้ำศักด์ิสิทธิโ์ ดยพบว่ำเมื่อก้ำวเข้ำสู่หมู่บ้ำน
ตะวันออกของหมู่บ้ำนซ่ึงศำลนี้จะต้องสร้ำง อำข่ำ ส่ิงแรกที่เรำพอเห็นคือ ประตูหมู่บ้ำนหรืออำข่ำ
กอ่ นทีจ่ ะต้ังหมบู่ ้ำน เรียกว่ำ “ล้อข่อง” เพื่อป้องกันส่ิงเลวร้ำยเข้ำมำใน
หมู่บ้ำนทำไว้ท้ังทำงทิศเหนือและทิศใต้ของหมู่บ้ำน
• ผีท่ัวไป เป็นผีที่สิงอยู่ประจำที่ต่ำง ๆ ท่ัวไป ห่ำงออกไปจำกประตูหมู่บ้ำนก็จะเป็นชิงช้ำ ซึ่งจะมี
นอกจำกผที บ่ี อกมำในเบอ้ื งต้นแลว้ กย็ งั มี ผไี ฟ กำรละเลน่ ปีละครัง้
ผดี ิน ผนี ้ำ ผดี อย ผีฟ้ำผำ่ ผจี อมปลวก เป็นตน้
๔.๓ ประเพณี
• ผีเร่ร่อน คือ ผีตำยทั้งกลมกับผีตำยโหง ตำม ประเพณีของชนเผ่ำอำข่ำมีอยู่หลำกหลำย
ควำมเชื่อของอำข่ำถือว่ำท้ังสองประเภทน้ี ประเพณีแต่ละประเพณีจะมีควำมผูกพันเก่ียวโยงกับ
เป็นผีที่ไม่ดี เป็นผีท่ีไม่มีท่ีอยู่ ร่อนเร่ไปท่ัว ธรรมชำติและส่ิงแวดล้อมแทบท้ังส้ิน และประเพณีท่ี
บำงคร้งั คอยหลอกหลอนคนท่ีจติ ใจไมเ่ ข้มแข็ง เป็นทรี่ ู้จกั ของบุคคลทั่วไป อำทิเชน่
แต่ในปัจจุบันกลุ่มชำติพันธุ์อำข่ำเร่ิมมีกำร พิธีกรรมโล้ชิงช้า หรือ “แยะขู่ อ่าโผ่ว
จาแบ” พิธีนี้ทำหลังจำกพธิ ปี ลูกขำ้ วครงั้ แรก เพื่อเปน็
นั บ ถื อ ศ ำ ส น ำ ท่ี ห ล ำ ก ห ล ำ ย แ ต ก ต่ ำ ง กั น อ อ ก ไ ป กำรฉลองและระลึกถงึ และยกย่องวีรบุรุษชำวอำขำ่ คือ
โดยเฉพำะ ศำสนำคริสต์นิกำยคำทรอลิก ศำสนำพุทธ “แยะขู่” ผู้สร้ำง หรือ “อ่ำโผ่ว หมี่แยะ” ผู้ซ่ึงได้ยอม
และศำสนำอิสลำม ตำมลำดับ สำเหตุท่ีชำวอำข่ำ สละชีวิตเพื่อชำวอำขำ่ ในอดตี เพ่ือตอ่ สกู้ ับแมลงศัตรูพืช
บำงส่วนเปลี่ยนกำรนับถือศำสนำเน่ืองมมี ิชชนั นำรเี ขำ้ ในพิธีน้ีมีกำรสร้ำงและโล้ชิงช้ำขนำดใหญ่เรียกว่ำ
มำเผยแพรศ่ ำสนำศริสต์ และจำกวิถกี ำรดำเนนิ ชีวิตได้ “หล่ะเฉอ” เพ่ือเป็นกำรฉลองชยั ชนะของชำวอำข่ำท่ีมี
เปล่ียนไปตำมควำมเจริญท่ีเข้ำมำในชุมชน ประกอบ ต่อแมลงศัตรูพืช ดังนั้นจึงมีช่ือเรียกอีกอย่ำงหน่ึงว่ำ
พิธีกรรมของอำข่ำมีข้ันตอนซับซ้อนหลำยข้ันตอน ประเพณีโล้ชิงช้ำ ซึ่งจัดข้ึนหลังจำกกำรถำงหญ้ำในไร่
ท้ั ง ยั ง มี ค่ ำ ใ ช้ จ่ ำ ย แ ล ะ ง บ ป ร ะ ม ำ ณ จ ำ น ว น ม ำ ก นำเสร็จส้ินลง พิธีน้ีจะมีกำรสร้ำงและโล้ชิงช้ำขนำด
นอกจำกนี้ผู้รู้เร่ืองข้ันตอนกำรประกอบพิธีกรรมใน ใ ห ญ่ ซ่ึ ง พิ ธี น้ี จ ะ เ ป็ น พิ ธี ท่ี ส นุ ก ส น ำ น แ ล ะ ทุ ก ค น ร อ
ประเพณีและวัฒนธรรมต่ำง ๆ เริ่มเสียชีวิตไปไม่มีใคร คอย สว่ นหญิงสำวชำวอำข่ำก็จะแต่งตวั อยำ่ งสวยงำม
สืบทอด แต่ก็ยังมีชำวอำข่ำบำงกลุ่มที่ยังคงนับถือ ตำมประเพณีมำรว่ มโล้ชงิ ช้ำ รอ้ งเพลง งำนนี้ถือวำ่ เป็น
บรรพบุรุษแบบดั้งเดิมอยู่บ้ำง ยังคงมีควำมเช่ือเร่ือง กำรยกย่องผู้หญิงด้วยทำให้ผู้หญิงมีกำลังใจ และถือ
กำรกรำบไหว้บรรพบุรุษ ให้ควำมสำคัญกับวิญญำณ เปน็ ประเพณที ย่ี ิ่งใหญอ่ กี ประเพณหี นงึ่ ของชำวอำข่ำ
บรรพบุรุษ รวมถึงกำรให้ควำมเคำรพต่อสรรพสิ่งที่
จำเปน็ ตอ่ กำรดำเนนิ ชีวติ เช่น กำรทำพิธีเซน่ ไหว้ใหก้ ับ ประเพณีโลช้ งิ ช้าของชาวอาขา่
ผีน้ำ ผีเจ้ำท่ี ผีเจ้ำป่ำเจ้ำเขำ เช่น ท่ีดิน ป่ำ ไร่ ต้นไม้
สตั ว์ป่ำ และก้อนหนิ ฯลฯ ภาพจาก https://www.๗๗kaoded.com/news/big/๑๙๑๙๕๕๒

๔.๒ พิธีกรรม ความเชื่อ กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจังหวดั เชียงราย | ๕๓
ง ำ น พิ ธี ก ร ร ม ป ร ะ จ ำ ปี ข อ ง ช ำ ว อ ำ ข่ ำ แ ล ะ
พิธีกรรมเกี่ยวกับกำรบูชำบรรพบุรุษเรียกว่ำ “อ่ำโผ่ว
ล้อ-เออ” ชำวอำข่ำทำพิธีบูชำบรรพบุรุษ ในทุก
ข้ันตอน/ช่วงท่ีทำกำรเกษตร (โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งกำร
ปลูกขำ้ ว) เพ่ือแสดงควำมเคำรพนับถอื บรรพบรุ ษุ และ
หวังให้บรรพบุรุษปกป้องคุ้มครองและให้พร พิธีกรรม
บูชำบรรพบุรุษประจำปี ชำวอำข่ำจะมีควำมเช่ือ
เกี่ยวกับพิธีกรรม คือ พิธีอยู่กรรมวันหมู พิธีอยู่กรรม
วันแซย้ ์ พิธอี ยกู่ รรมไม่จุดไฟเผำป่ำ พิธีกรรมเรยี กขวัญ

ชาติพันธุ์ “อาข่า” ประเพณไี ข่แดง (ขม่ึ สึ ขม่ึ ม๊อี ่าเผว่ ) ซึ่งมีกำร ประเพณีไหวบ้ รรพบรุ ุษ หรือ “โยลา (โวลา)
ทำพิธีในวันสุดท้ำยของเดือนจันทรคติท่ีสำมเป็นกำร
เฉลิมฉลองกำรสิ้นสุดของกำรพัก และกำรเริ่มเข้ำสู่ฤดู อ่าโผ่ว” เป็นพิธีท่ีทำจำกเทศกำลโล้ชิงช้ำ ซ่ึงเป็นวนั ท่ี
ใบไม้ผลิ คำว่ำ “ข่ึม” หมำยถึงฤดูใบไม้ผลิ และ “ซึ” ผู้ช่วยหัวหน้ำหมู่บ้ำน ทุกคนจะทำกำรฆ่ำหมูและจัด
หมำยถึงใหม่ ประเพณีน้ีจึงเป็นกำรส่งท้ำยปีเก่ำ งำนเลี้ยงให้กับชำวบ้ำนทุกคน ชำวอำข่ำเรียกพิธีน้ีว่ำ
ต้อนรับปีใหม่ หรือเรียกอีกอย่ำงว่ำ ประเพณีปีใหมช่ น
ไข่ เน่ืองจำกประเพณีนี้มีกำรนำไข่มำใช้ประกอบพิธี “โจ่วหญ่ำ ยองล้อ-เออ” หมำยถึง งำนเลี้ยงของผู้ช่วย
เด็ก ๆ จะมกี ำรเล่นชนไข่ โดยกำรยอ้ มเปลือกไข่ใหเ้ ป็น หัวหน้ำหมู่บ้ำนในสมัยก่อน มักมีกำรฆ่ำควำยเพ่ือ
สีแดง และใส่ตะกร้ำห้อยไปมำ เป็นประเพณีท่ีมีมำ
ชำ้ นำน โดยจะมที งั้ หมด ๔ วนั สังเวยให้บรรพบุรุษในเทศกำลน้ีประเพณีน้ีเกิดขึ้น
เนื่องจำกในชุมชนอำข่ำนอกจำกจะมีผู้นำศำสนำแล้ว
ภาพบน : การตาขา้ วปุก๊ ในชุมชน อำขำ่ กย็ งั มรี องผู้นำศำสนำเปน็ บุคคลท่ีเคย
ภาพลา่ ง : ตัวอย่างไขแ่ ดงทใ่ี ช้ในประเพณไี ข่แดง
ดำรงตำแหน่งเปน็ ผู้นำศำสนำในอดตี ดงั นน้ั ประเพณีน้ี
ภาพจาก https://readthecloud.co/doi-phamee จึงจัดข้ึนมำเพื่อเชิดชูอดีตผู้นำศำสนำ ฉะนั้นประเพณี
ภาพจาก https://www.facebook.com/ABU
นี้ถือเป็นประเพณีของอดีต ผู้เคยดำรงตำแหน่งผู้นำ
๕๔ | กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย ศำสนำมำก่อนก็ว่ำได้ ดังนั้นบรรดำผู้เป็นรองผู้นำ
ศำสนำก็จะมีกำรประกอบพิธีกรรมเพ่ือไหว้ครูและมี

กำรเล้ยี งอำหำร เรียกว่ำ “โจ่วยองล้อเออ”
พิธีกรรมไล่ผีออกจากชุมชน หรือ “ค๊องแย๊

อา่ เผว่ ” ถอื เป็นเทศกำลท่ีจัดขนึ้ ประมำณเดือนตุลำคม
ของทกุ ปี ซ่งึ จะตรงกับช่วงทีพ่ ชื พันธุ์ท่ีปลูกลงไปในไร่มี
ผลผลิตละเร่ิมที่จะเก็บเกี่ยวได้แล้ว เทศกำลนี้จัด

ข้ึนมำเพ่ือขับไล่สิ่งไม่ดีออกจำกชุมชน เช่น ภูตผีปีศำจ
ที่มำอำศัยอยู่ในชุมชน อำข่ำเรียกว่ำ “แหนะ” รวมไป

ถึงโรคภัยไข้เจ็บต่ำง ๆ โดยมีกำรแกะสลักไม้เนื้ออ่อน
เป็นดำบ หอก ปืน อำข่ำเรียกอุปกรณ์เหล่ำนีว้ ่ำ “เตำะ
มำ” เป็นเครื่องหมำยที่ใช้ในกำรขับไล่สิ่งไม่ดีออกจำก

ชุมชนมีกำรส่งเสียงตะโกนร้องให้ดัง คำว่ำ “โช้ โช้
ลโิ ลๆ” เพือ่ ให้สิ่งไม่ดีตำ่ ง ๆ ทีอ่ ยใู่ นบ้ำนหวำดกลวั และ

ออกไปจำกบ้ำน โดยเด็กในหมู่บ้ำนจะมีกำรแต่งหน้ำ
โดยใช้สีให้ดูน่ำกลัวท่ีสุด ส่วนในมือน้ันถือดำบหรือ
หอกที่ทำจำกไม้ท่ีมีลวดลำยตบแต่งอย่ำงละเอียด

ข ณ ะ ที่ เ ด็ ก เ ข้ ำ ไ ป ใ น บ้ ำ น ค้ น ห ำ ผ ล ไ ม้ ต่ ำ ง ๆ
มำรบั ประทำนได้ บำงครอบครวั ก็จะนำแตงกวำมำวำง

ไว้ให้เด็กได้ล้ิมลอง จำกน้ันเด็กก็จะเดินออกทำงหลัง
บ้ำน ระหว่ำงที่ออกไปก็จะมีกำรจุดปะทัดและยิงปืน
เทศกำลนี้อำจถือเป็นเทศกำลท่ีนำไปสู่ฤดูกำลใหม่อีก

ฤดูกำลหน่ึง คือ จะเริ่มเข้ำหน้ำหนำวและหลังจำก
เทศกำลนี้เสร็จก็ยังสำมำรถทำกิจกรรมต่ำง ๆ

ได้หลำกหลำย ไดแ้ ก่ กำรแต่งงำน กำรละเล่นเป่ำแคน
กำรออกไปลำ่ สัตว์ เสมอื นกำรออกพรรษำของไทย

ประเพณีกินข้าวใหม่ (ยอพูนองหมอื่ เชเ้ ออ)

หมำยถึงเทศกำลข้ำวใหม่ ทำเพ่ือแสดงควำมสำนึกใน

พระคุณของบรรพบุรุษชำวอำข่ำที่ช่วยดูแลพืชผล • ภ า ษ า ข อ ง ก ลุ่ ม อู่ โ ล้ อ า ข่ า ถือ ว่ าเป็น ชาติพันธุ์ “อาข่า”
(ข้ำว) เป็นอย่ำงดี ในพิธีมีกำรมอบข้ำวรวงแรกและ ภาษากลางของทุกกลุ่มอาข่า ด้วยการออก
ผลไม้ผลแรกให้กับบรรพบุรุษ จัดขึ้นก่อนกำรเก็บ เสียงระดับเดียวกันฟังออกจะแข็งๆ การออก
เกีย่ วข้ำว เสียงไม่ค่อยมีความสลับซับซ้อน ดังนั้นจึงมี
ความงา่ ยในการพูดออกเสียง จงึ ทาให้ภาษาอู่
ปีใหม่ลูกข่าง (ค๊าท้องอ่าเผ่ว) เป็นประเพณี โล้เป็นภาษากลางในการส่ือสารไปโดยปริยาย
เปล่ียนฤดูกำลทำมำเลี้ยงชีพ จัดข้ึนประมำณเดือน และสามารถพบเห็นกลุ่มอาข่าต่าง ๆ มาใช้
ธันวำคมของทุกปี ตรงกับเดือนอำข่ำ คือ “ท้องลำบำ ภาษาอ่โู ลใ้ นการสอื่ สารทวั่ ไป
ลำ” คนทั่วไปนิยมเรียกประเพณีนี้ว่ำ ปีใหม่ลูกข่ำง
ประเพณีน้ีมีประวัติเล่ำกันมำว่ำ เป็นประเพณีที่แสดง • ภาษากลุ่มผะหมี๊อาข่า ภาษาพูดของกลุ่ม
ให้เห็นถึงกำรเปล่ียนแปลงฤดูกำลทำมำหำกิน ซึ่ง ผะหมี้อาข่า จะไม่พูดดัง เสียงจะมีความ
ภำยหลังจำกท่ีมีกำรเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์จำกท้องไร่นำ นุ่มนวล ไพเราะและมีสาเนียงการพูด
เสร็จแล้วก็จะเข้ำสู่ฤดูแห่งกำรพักผ่อน ถือเป็น เหมือนกับลอมี้อาข่าอย่างมาก ซงึ่ สายสมั พันธ์
ประเพณีของผู้ชำย โดยผู้ชำยทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะมี ด้านภาษาและคาพูด ตลอดถึงวัฒนธรรม
กำรทำลูกข่ำง “ฉ่อง” แล้วมีกำรละเล่นแข่งตีกันเพื่อ ความเป็นมาของกลุ่มลอม้ีและผะหม้มี ีส่วนทา
ฉลองกำรเปล่ียนแปลงวัยท่ีมีอำยุมำกขึ้น พร้อมทั้ง ใหส้ องกลมุ่ อาข่ามีความคล้ายคลงึ กนั
ชมุ ชนแตล่ ะครวั เรือนกจ็ ะมีกำรแลกเปล่ียนด่ืมเหล้ำกัน
ในชุมชน ดังสุภำษิตที่ว่ำ “ค๊ำท้องจ้ีฉ่ี” แปลว่ำ • ภาษากลุ่มหน่าค๊าอาข่า อาข่ากลุ่มนี้มีภาษา
ประเพณียกเหล้ำ ฉะน้ัน หำกประเพณีนี้ถ้ำมีคนเมำ ของตนเอง จัดอยู่ในสาขาพม่า-โลโล กลุ่ม
เหลำ้ ก็ถือวำ่ เป็นเร่ืองปกติ และเปน็ กำรเริ่มต้นกินข้ำว ตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า มีความสัมพันธ์
ท่ีเก็บไว้ในฉำงข้ำว ส่วนผู้หญิงก็จะมีกำรเล่นสะบ้ำใน ทางภาษากบั พวกมเู ซอและชาวลซี อ มีบางคา
ลำนชมุ ชน ท่ยี มื มาจากภาษาจีน

ปีใหม่ลกู ข่าง (ค๊าทอ้ งอา่ เผ่ว) • ภาษากลุ่มเป๊ียะอาข่า มีลักษณะการพูดเร็ว
เสียงสั้น และดัง การพูดคุยสาเนียงจะ
ภาพจาก https://jobschiangrai.com เหมือนกบั กลุ่มอู่โลอ้ าขา่ ทั่วไป แม้ว่ามสี าเนียง
การพูดจาเหมือนกับกลุ่มอู่โล้ท่ัวไป แต่มี
๔.๔ ภาษา ค า พู ด ห ล า ย ค า ท่ี มี ก า ร ใ ช้ ค า ห มายไ ม่
ภาษาของเผ่าอาข่าจัดอยู่ในสาขา ยิ (โลโล) เหมอื นกนั เช่นคาว่า ตัด กัด เป็นต้น
ของตระกูลพม่า - ธิเบต มีภาษาพูดตระกูล Tibeto-
Burman ภาษาอาข่ารียกว่า “ยิ” อาข่า แต่ไม่มีความ • ภาษากลุ่มอ้าเค้ออาข่า กลุ่มอ่าเค้ออาข่ามี
เป็นมาและต้นกาเนดิ ของตวั อกั ษรเขยี นทแ่ี น่ชัดแต่เป็น ภาษาต่างจากคนอาข่าท่ัวไปอย่างสิ้นเชิง จน
การเล่าสืบทอดต่อ ๆ กันมา โดยแต่ละกลุ่มมภี าษาที่มี ไม่สามารถสื่อสารกันได้ อย่างไรก็ตามอ้าเค้อ
ลักษณะแตกต่างกนั ดงั ตอ่ ไปน้ี อ า ข่ า มี ลั ก ษ ณ ะ ค า พู ด ค ล้ า ย กั บ ก ลุ่ ม อ า ข่ า
ที่อาศยั อยทู่ ี่หงเหอ ในประเทศจนี

• ภาษากลุ่มอ้าจ้ออาข่า มักพูดเร็ว รวนและดู
เหมือนพูดภาษาอาข่าไม่ชัด หากไม่ต้ังใจฟัง
อาจจะฟังไม่ออก อ้าจ้ออาข่าได้รับอิทธิพล
กลุ่มชาตพิ ันธุ์ ในจังหวดั เชยี งราย | ๕๕

ชาติพันธุ์ “อาข่า” ทางด้านภาษาไทใหญ่ อย่างไรก็ตามปัจจุบัน
กลุ่มเยาวชน และเด็กรุ่นใหม่โดยเฉพาะเด็กท่ี
ผ่านการศึกษาในสถานศึกษา มักปรับเปล่ียน การแต่งกายขชาวอาข่า
ภาษาพูดแบบอู่โล้อาข่าเพราะได้ปฏิสัมพันธ์
กบั กลมุ่ อาขา่ กลุ่มน้ี และมีแนวโนม้ ท่ภี าษาอ้า ภาพจาก http://www.localnews๒๐๑๐.com/archives/๗๓๓๗
จ้ออาจหายเพราะเดก็ รนุ่ ใหมไ่ มค่ ่อยพดู คยุ กนั
• ภาษากลุ่มอูพอี าข่า ภาษาพูดอาข่ากลุ่มน้ีมกั ๔.๖ องค์ความรแู้ ละภมู ปิ ัญญา
พดู เสยี งนมุ่ แต่ดัง แต่สาเนยี งจะเหมอื นกับล่อ ด้วยควำมเจริญของวัฒนธรรมชนเผ่ำท่ีนิยม
เม๊ียะอาข่าทุกประการ มีการออกเสียง และให้ควำมสำคัญกับกำรสวมใส่เคร่ืองประดับเงิน
เหมือนกับไม่ชัด มีความต่างในด้านการออก จึงก่อให้เกิดกำรถ่ำยทอดทำงภูมิปัญญำในกำรผลิต
เสียง เชน่ เรียกชอ่ื ไก่ เสาบ้าน เป็นตน้ เคร่ืองประดับเงินจำกรุ่นสู่รุ่น จนปัจจุบันนบั ได้ว่ำเป็น
๔.๕ การแต่งกาย อุตสำหกรรมในครัวเรือนที่สำมำรถสร้ำงรำยได้ให้แก่
ก า ร แ ต่ ง ก า ย ข อ ง ก ลุ่ ม ช า ติ พั น ธุ์ อ า ข่ า ใ น ชุมชน นอกจำกน้ียังมีกำรปักลำยเสื้อผ้ำ เคร่ืองใช้
ประเทศไทยจะมีความคล้ายคลึงกัน มีจุดเด่นท่ีหมวก ต่ำง ๆ เป็นลวดลำยของตนเองเพ่ือสร้ำงเอกลักษณ์
โลหะสีเงินและเครื่องประดับบนศีรษะของผู้หญิงชาว ให้กับกลุ่มของตนเองจึงมีกำรปักลวดลำยบนเส้ือผ้ำ
อาข่า ท้ังท่ีเป็นผ้าคลุมปักสีสันลวดลายสดใส และ กระเป๋ำและของใช้ต่ำง ๆ ซ่ึงทำให้เกิดเป็นทุนทำง
เครื่องเงิน หรือโลหะที่ประดับประกอบในรูปแบบ ปัญญำของคนในชุมชนในกำรปักกระเป๋ำผ้ำอำข่ำ
ต่าง ๆ ชาวอาข่าจะสวมเส้ือสีดาตัวยาว ด้านหลังตัว ท่ีนำส่งออกขำยให้กับหลำกหลำยพ้ืนที่ในจังหวัด
เส้ือจะมีการ ปักลวดลายท่ีหลากหลาย มีสีสันสวยงาม เชียงรำย และยังรวมไปถึงตลำดของต่ำงประเทศ
ลวดลายสสี นั ท่ีปักบนเสอ้ื ก็จะแตกต่างออกไปตามกลุ่ม เช่น อเมรกิ ำ เปน็ ตน้
อาข่า ซ่ึงจะมีกระโปรงสั้นสีดามีจีบเล็กด้านหลัง
ข้างหน้าเป็นผ้าเรียบไม่มีจีบรอบ คาดเข็มขัด สวมผ้า
พันน่องท้ังสองข้าง ผู้หญิงชาวอาข่ามักจะสร้างสรรค์
ลวดลายบนผืนผ้าด้วยการปักเป็นหลัก เพ่ือใช้ตกแต่ง
ประดับบริเวณด้านหลังเส้ือ แขนเส้ือ ผ้าพันรอบ
กระโปรง และผ้าพันน่อง โดยเฉพาะด้านหลังของตัว
เส้ือจะมีการปักลวดลายหลายๆ ลวดลายเต็มแผน่ หลัง
หรือเกือบเต็มแผ่นหลังของตัวเส้ือนับเป็นเอกลักษณ์ที่
โดดเด่นของชาวอาข่าแต่ถึงอย่างไรก็ตามการแต่งกาย
ของชนเผา่ อาข่าในแต่ละกลุ่มจะการแตง่ กายที่โดดเด่น
แตกต่างกนั

๕๖ | กล่มุ ชาติพันธ์ุ ในจงั หวัดเชยี งราย

๕. แหลง่ อ้างองิ ชาติพันธุ์ “อาข่า”

พนาภรณ์ ศรมี ลู . (๒๕๕๕). พลวัตรทางสถาปตั ยกรรม
พ้ืนถิ่นของกล่มุ ชาติพนั ธอุ์ าขา่ : กรณีศึกษา
ชุมชนอาข่าบ้านเหมืองแร่ ตาบลแม่คะ
อาเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่. วิทยานิพนธ์,
มหาวทิ ยาลัยศิลปากร.

ไพโรจน์ คงทวีศักด์ิ. (๒๕๕๔). อาข่าไนท์บาซาร์
การค้ากับความเป็นชาติพันธุ์. เชียงใหม่:
คณะสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม.่

สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย. (๒๕๔๖). อาข่า
พิธีกรรม ความเชื่อ และความงาม กุศโล
บายดารงวถิ แี ห่งชนเผ่า. กรงุ เทพฯ.

ฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธ์ุในประเทศไทย. สไลด์และ
ภาพถ่ายอาข่า. สืบค้นเม่ือวันท่ี ๑๐สิงหาคม
๒๕๖๔,https://www.sac.or.th/databases
/anthroarchive/collection_search.php

ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). กลุ่ม
ชาติพันธุ์ : อาข่า [อินเตอร์เน็ต]. สืบค้นเมื่อ
วั น ที่ ๑ ๐ สิ ง ห า ค ม ๒ ๕ ๖ ๔ , จ า ก
https://www.sac.or.th/databases/
ethnic-groups/ethnic Groups/๙๙

สมั ภาษณ์
นายลูกา เฌอหม่ือ บ้านห้วยส้านพลับพลา

ตาบลโป่งแพร่ อาเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย
(๒๑ กรกฎำคม ๒๕๖๔). สมั ภำษณ์

การปกั ลายผ้าและเครื่องประดบั ของอาข่า

กล่มุ ชาติพนั ธ์ุ ในจังหวัดเชียงราย | ๕๗

ชาติพันธ์ุ “อ้ิวเมี่ยน”

ชาตพิ ันธุ์ “อว้ิ เมย่ี น”

Iu Mien

“อิ้วเมี่ยน (Iu - Mien) เป็นคนกลุ่มหน่ึงท่ีจัด กับบางส่วนที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานในประเทศตะวันตก
อยู่ในกลุ่ม “เมี่ยน” โดย พูเรต์ พบว่า กลุ่มที่อาศัยอยู่ ภายหลังจากสงครามอินโดจีน โดยชาวอ้วิ เมีย่ นที่อยู่ใน
ในประเทศไทยปัจจุบันนั้นเป็นกลุ่มท่ีเรียกตน เอง ว่ า ประเทศไทยไดอ้ พยพเขา้ มาสดู่ ินแดนล้านนาเมอ่ื ๒๐๐
“อิ้วเมี่ยน” และมีภาษาคล้ายคลึงกับกลุ่มกิมมุนมาก ปีก่อน ซ่ึงเป็นช่วงที่อานาจของระบบจักรวรรดินิยม
ท่สี ุด (Pourret, 2002: 1) โดยคาวา่ “อวิ้ เมย่ี น” ตามท่ี ต ะ วั น ต ก แ ล ะ รั ฐ ไ ท ย ไ ด้ แ ผ่ ข ย า ย เ ข้ า ม า บ ริ เ ว ณ น้ี
องไหน เตรียมพนา ต่ังจ่ันย่าน (มปป.: 75) ซึ่งเป็นคน ชาวอ้ิวเมี่ยนเลือกต้ังถ่ินฐานบริเวณไหล่เขาห่างไกล
อ้ิวเมี่ยน ได้ให้ความหมายของคาน้ีว่าหมายถึง “ชน จากชุมชน เพราะเป็นพ้ืนที่ท่ีเหมาะสมกับการปลกู ฝ่ิน
ชาติมนุษย์” หรือ “คน” โดยคาว่า “อิ้ว” ในภาษา โดยต้ังถิ่นฐานอย่างกระจัดกระจายในจังหวัดเชยี งราย
อิ้วเม่ียน น้ันแปลว่า “ชนชาติ” ส่วนคาว่า “เมี่ยน” เชยี งใหม่ พะเยา ลาปาง นา่ น สุโขทยั ตาก
แปลว่า “มนุษย์หรือคน” ฉะน้ันเม่ือรวมสองคาน้ีแล้ว
จงึ หมายถึง “ชนชาติมนษุ ย์หรือคน” ชาวอิ้วเมี่ยนถูกจัดอยู่ในเช้ือชาติมองโกลอยด์
(Mongoloid) และมีภาษาพูดของตนเอง คือ ภาษา
๑. ประวตั ศิ าสตร์ความเป็นมาของชาติพันธุ์ เมี่ยน ซ่ึงถูกจัดอยู่ในกลุ่มท่ีพูดภาษาแม้ว-เย้า ซ่ึงเป็น
กลมุ่ ภาษาย่อยในตระกูลภาษาจีน - ธิเบต โดยมีอักษร
กลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกตนเองว่า “เม่ียน” หรือ เขียนทีด่ ัดแปลงมาจากภาษาจีน แต่อา่ นออกเสียงเป็น
“อ้ิวเมี่ยน” มักเป็นที่รู้จักกันในนามว่า “เย้า” ซึ่งเป็น ภาษาเมี่ยน เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่เด่นชัดของชาว
คาที่คนอื่นใช้เรียกพวกเขา อิ้วเมี่ยนเป็นหนึ่งในกลุ่ม อิ้วเมี่ยน คือ การแต่งกายด้วยเส้ือผ้าตามจารีต
ชาติพันธุ์บนที่สูงที่ต้ังชุมชนกระจายอยู่ทางภาคเหนือ ประเพณี โดยผหู้ ญิงจะมีผ้าโพกศีรษะ ผ้าคาดเอว สวม
ตอนบนของประเทศไทย นอกจากนั้นแล้วยังพบใน เสื้อคลุมยาวถึงเอวซ่ึงติดไหมพรมสีแดง และกางเกง
บริเวณรอยตอ่ ของประเทศจนี เวียดนาม ลาว และไทย ขาก๊วยสีดา ซ่ึงเส้ือผ้าของชาวอิ้วเมี่ยนมีความโดดเดน่

๕๘ | กลุม่ ชาตพิ นั ธุ์ ในจังหวัดเชยี งราย

ท่ีลวดลายปักที่ประณีตงดงาม อีกท้ังความโดดเด่นใน ๓) กลุ่มเชียงรายตอนบน เป็นกลุ่มท่ีมีถิ่น ชาติพันธ์ุ “อ้ิวเมี่ยน”
การสวมเคร่ืองประดับเงินซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าของ ฐานเดิมอยู่ในแขวงห้วยซา้ ย ประเทศลาว อพยพเข้าสู่
ชาวอว้ิ เมีย่ น สว่ นผูช้ ายสวมเสอื้ ตวั ส้นั คอกลมสีดาและ ประเทศไทยทางเขตอาเภอเชียงแสน อาเภอเชียงของ
กางเกงขาก๊วยสีดา ไม่มีการปักลวดลาย สาหรับ และอาเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย เมื่อประมาณ
วัฒนธรรมส่วนใหญข่ องชาวอิ้วเม่ียนได้รับอิทธิพลจาก ๙๐ ปที ี่ผ่านมา อิว้ เม่ียนกลมุ่ นตี้ ้งั ถน่ิ ฐานกระจายอยู่ใน
วัฒนธรรมจีน โดยเฉพาะการนับถือระบบเครือญาติ เขตอาเภอแม่จัน อาเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
แบบแซ่ตระกูล รวมถึงการรบั อักษรจีนมาดดั แปลงเป็น อาเภอวังเหนือและอาเภองาว (บางหมู่บ้าน) จังหวัด
ภาษาของตนเอง และยอมรับในอิทธิพลของลัทธิเต๋า ลาปาง อาเภอคลองลาน จังหวัดกาแพงเพชร
มาผสมผสานกับความเช่ือเร่ืองสิ่งศักดสิ์ ทิ ธใ์ิ นธรรมชาติ และอาเภอพบพระ จงั หวัดตาก
และผบี รรพบรุ ุษ นอกจากนี้ ลทั ธิเต๋ายังกลายเป็นแบบ
แผนทางการปกครองของชาวอิว้ เมยี่ นอีกด้วย ๔) กลมุ่ ผู้อพยพ เป็นกลุ่มท่ลี ี้ภยั ทางการเมอื ง
จากเมอื งสงิ แขวงหลวงน้าทา ประเทศลาว โดยอพยพ
การย้ายถ่ินฐาน อพยพเข้ามาในประเทศไทย มาอยู่ท่ีบ้านห้วยขุนบง อาเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
ของชาวอ้ิวเมี่ยน เมื่อพิจารณาจากเส้นทางการอพยพ เมื่อเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา นอกจากท่ีบา้ นห้วยขุนบง
และช่วงระยะเวลาแล้วจะพบว่า ทุกกลุ่มมเี ส้นทางการ แล้วยังมีอิ้วเมี่ยนที่อพยพลี้ภัยทางการเมืองจากที่
อพยพมาจากประเทศลาว ซ่ึงพอจะแบ่งออกได้เป็น ต่าง ๆ ในประเทศลาวเข้ามาอยู่กับญาติในหมู่บ้าน
๔ กล่มุ คอื ต่าง ๆ ในประเทศไทย และมีบางส่วนท่ีลี้ภัยไปต้ัง
ถิ่นฐานในประเทศอ่ืน
๑) กลุ่มเชียงราย – น่าน ถือเป็นกลุ่มแรกท่ี
อพยพเข้ามา ประมาณ ๑๕๐ ปที ีแ่ ล้ว เปน็ ชาวอิ้วเมย่ี น ๒. โครงสร้างทางสงั คม
ทอี่ พยพมาจากหลวงพระบาง เขา้ มาตามแนวชายแดน
ไทย – ลาว ต้ังแต่ทางทิศตะวันออกของจังหวัดน่าน ๒.๑ การปกครอง
จนถึงเขตอาเภอเชียงคา จังหวัดพะเยา และได้ต้ังถ่ิน เน่ืองด้วยชาวอิ้วเม่ียน นิยมเลือกที่ต้ังชุมชน
ฐานอยู่บนภูเขาสูงในบริเวณดังกล่าว จากนั้นจึง อยู่บนเทือกเขาสูงในเขตทุรกันดารที่อยู่ห่างไกลจาก
กระจายตัวไปต้ังถ่ินฐานในท่ีต่าง ๆ โดยในยุคที่การ ชุมชนอ่ืน ๆ จึงมีความอิสระอย่างสูงในการดารงชีวิต
ปกครองในล้านนายงั เปน็ ระบบเจ้าเมืองน้ัน ศนู ย์กลาง และจัดการความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชน ตามจารีต
การปกครองอยู่ท่ีดอยผาช้างน้อยและดอยภูลังกา ประเพณีของตน โดยมีระบบโครงสร้างทางสังคมของ
อาเภอปง จังหวัดพะเยา ในปจั จุบัน ชาวอ้ิวเมยี่ น ดังตอ่ ไปน้ี
๑) ผู้ปกครองหรือหัวหน้าหมู่บ้าน (ต้าว
๒) กลุ่มดอยอ่างขาง เป็นกลุ่มที่อพยพมา เม่ียน, ล่างโก๋ หรือล่างเจี้ยว) อาจเป็นผู้ท่ีได้รับการ
จากลาว เข้าสู่ประเทศไทยทางเขตอาเภอเชียงของ แต่งตั้งจากทางราชการหรือไม่ก็ได้ โดยทั่วไปหัวหน้า
จังหวัดเชียงราย - น่าน โดยต้ังถิ่นฐานบริเวณดอย หมู่บ้านจะเป็นผู้มาจากกลุ่มแซ่สกุลท่ีใหญ่ท่ีสุดใน
อ่างขาง อาเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และบริเวณ หมู่บ้าน หรืออาจเป็นผู้นาในการอพยพมาตั้งหมู่บ้าน
ใกล้เคียงกันทั้งในเขตประเทศไทยและประเทศพม่า แห่งใหม่ก็ได้ หัวหน้าหมู่บ้านมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของ
รวมทง้ั ในเขตบรเิ วณอาเภอฝาง อาเภอแม่อาย จงั หวัด ชาวบ้านและเป็นผไู้ กล่เกล่ียคดีหรือข้อผิดพลาดต่าง ๆ
เชียงใหม่ เขตอาเภอเมือง และอาเภอแม่จัน จังหวัด ทีเ่ กิดขึน้ ทง้ั ภายในชุมชนและระหวา่ งชุมชน
เชียงราย
กล่มุ ชาติพนั ธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย | ๕๙

ชาติพันธ์ุ “อ้ิวเมี่ยน” ๒) กลุ่มผู้อาวุโส เป็นกลุ่มท่ีมีความสาคัญใน ต้องเป็นผู้ท่ีมีความรู้ในด้านสมุนไพรและสามารถดูแล
หมู่บ้านมาก โดยเฉพาะด้านการปกครองและดูแล หญิงหลงั คลอดและเด็กได้อย่างปลอดภยั
หมู่บ้าน ยามเมื่อชาวบ้านมีปัญหาหรือมีคดีความ
ต่าง ๆ กลุ่มผู้อาวุโสจะทางานร่วมกับหัวหน้าหมู่บ้าน ๘) ชาวอ้ิวเมี่ยน มีการแบ่งหน้าท่ีสังคม
ในการตัดสินหรือไกล่เกล่ีย ชาวอิ้วเมี่ยนถือว่าผู้อาวโุ ส ระหว่างหญิงกับชายอย่างชัดเจน โดยชายทาหน้าที่
เปน็ ผู้ทมี่ ีความรู้ มีประสบการณ์มากกวา่ ดังนน้ั จงึ เป็น เป็นผู้นาทางสังคม ประเพณี พิธีกรรม รวมทั้งเป็นผู้
ผทู้ น่ี ่านับถือและมีความสามารถ ตัดสินช้ีขาดปัญหาสาคัญทุกอย่างในบ้าน ส่วนหญิงมี
สถานภาพทางสังคมต่ากว่าชาย มีหน้าที่เลี้ยงลูก
๓) ผู้ประกอบพิธีกรรม (ซบิ เม้ียนเม่ยี น) เป็น ทางานบ้าน ปรนนิบัติผู้สูงอายุ ทั้งนี้ รวมถึงงานในไร่
ผู้ท่ีมีบทบาท และได้รับความนับถือในเผ่าอ้ิวเม่ียน นาอีกด้วย
เพราะเป็นผู้ที่เป็นคนกลางในการติดต่อกับเมี้ยนหรือ
วิญญาณดีให้ช่วยปกป้องคุ้มครองตน และควบคุม ปัจจุบัน โครงสร้างทางสังคม และความ
วิญญาณร้ายไม่ให้ทาอันตรายหรือก่อให้เกิดส่ิงไม่ดีแก่ สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง ส ม า ชิ ก ใ น ค ร อ บ ค รั ว ดั ง ก ล่ า ว ไ ด้
มนุษย์ ผู้ประกอบพิธีกรรมได้น้นั นอกจากจะต้องรู้ตัว เปลี่ยนแปลงไปตามบริบทและสภาพแวดล้อมของ
หนังสือภาษาจีน ซ่ึงอ่านออกเสียงเป็นภาษาเมี่ยน แต่ละชุมชน บางชุมชนท่ีอยู่ห่างไกลเมือง และยังมีวิถี
ยงั จะตอ้ งผ่านพิธีบวช (กว๋าตัง) มาแลว้ การผลิตแบบพึ่งพาการเกษตรเป็นหลักก็จะยังคง
สภาพดังกล่าวเอาไว้ให้เห็นมาก แต่ในบางชุมชนที่
๔) ช่างตีเหล็ก เน่ืองจากสังคมอิ้วเม่ียนเป็น ปรับตัวเข้าสู่ระบบการตลาดและอาชีพนอกเหนือ
สังคมเกษตรกรรม และอุปกรณ์การเกษตรบางอยา่ งมี การเกษตรแล้วนั้นแทบจะไม่เห็นภาพดังกล่าวอีกแล้ว
ลักษณะเฉพาะ ต่างจากอุปกรณ์ของคนพื้นราบ ดังน้นั ในชวี ิตประจาวนั
ช่างตีเหล็กเพื่อทาอุปกรณ์การเกษตร เช่น จอบ เสียม
มดี ขวาน จงึ มีความสาคญั มาก โครงสร้างทางการเมือง
ด้วยทัศนคติท่ีนิยมความเป็นอิสระของชาว
๕) ช่างเงิน ในสังคมอ้วิ เม่ียนเงินเป็นทรพั ย์สิน อิ้วเม่ียน ประกอบกับการตั้งหมู่บ้านอยู่อย่าง กระจัด
ท่ีมีค่ามาก เพราะนอกจากจะใช้เป็นตัวแลกเปล่ียน กระจายเปน็ ผลใหร้ ะเบยี บการปกครองแบบเดิมก่อนท่ี
ส่ิงของ การปรับไหมแล้ว ยังนามาเป็นเคร่ืองประดับ จะใช้ระบบการปกครองจากรัฐส่วนกลางยังเป็นระบบ
ตา่ ง ๆ โดยเฉพาะเคร่อื งประดบั ของผูห้ ญงิ ซึ่งมีกรรมวิธี ที่นิยมยึดถืออยู่อย่างยืดหยุ่น ชุมชนระดับหมู่บ้านเป็น
การทาที่ละเอียด ประณีต และสลักลวดลายท่ีงดงาม หน่วยการปกครองท่ีใหญ่ท่ีสุดของชาวอิ้วเมี่ยนใน
ช่างเงนิ จงึ เป็นตาแหนง่ ทีม่ คี วามสาคญั อกี ตาแหน่งหนึ่ง ประเทศไทย ไม่มีผู้นาชาตพิ ันธท์ุ ่ีมีอานาจสูงสุด ดังนน้ั
ในด้านศลิ ปหตั ถกรรม ในสังคมอ้ิวเม่ยี น ชุมชนอ้ิวเมี่ยนจึงต่างเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกัน ในแต่ละ
ชุมชนจะมีหัวหน้าหมู่บ้าน ผู้ประกอบพิธีกรรมและ
๖) หมอยาสมุนไพร (เดียไซ) เป็นผู้ที่ คณะผู้อาวุโส เป็นผู้นาที่มีอานาจทางการเมืองการ
เช่ียวชาญทางด้านพฤกษาศาสตร์และการใช้สมุนไพร ปกครอง โดยผู้ใหญ่บ้านทาหน้าท่ีปกครองดูแลความ
ในการรักษาผู้ป่วยเป็นพิเศษ หมอยาสมุนไพรมีท้ัง สงบเรียบร้อย ตัดสินคดีความ และเป็นตัวแทนของ
ผูห้ ญงิ และผูช้ าย ชุมชนในการติดต่อกับสังคมภายนอก ผู้ประกอบ
พิธีกรรมทาหน้าที่ตามคติความเช่ือและเป็นผู้ช้ีขาด
๗) หมอตาแย หมอตาแยกับหมอยาสมุนไพร ด้านวัฒนธรรมประเพณีและพิธีกรรม ส่วนคณะผู้
อาจเป็นคน ๆ เดียวกัน เพราะคนที่เป็นหมอตาแยได้

๖๐ | กลุ่มชาติพันธ์ุ ในจังหวดั เชียงราย

อาวุโส เป็นผู้อาวุโสที่หัวหน้าหมู่บ้านมักจะเชิญมา ของตระกูล บางตระกูลมี ๔ รุ่น บางตระกูลก็มีถึง ชาติพันธ์ุ “อ้ิวเมี่ยน”
ปรึกษาหารือเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชน ๕ รุ่น การนบั รุ่นจะนบั ตง้ั แตร่ ุน่ แรกไปเรอื่ ย ๆ จนครบ
ส่วนกลุ่มผู้อาวุโสจะไม่จากัดจานวนและหัวหน้า ๔ หรือ ๕ รุ่น (ข้ึนอยู่กับแต่ละตระกูล) แล้วก็จะเวียน
ครอบครัว แม้อายุไมม่ ากแตถ่ ้ามีความคดิ ดีก็อาจเป็นที่ กลับมานับที่รุ่นแรกใหม่ เวียนไปเช่นน้ีเรื่อย ๆ
ปรกึ ษารว่ มกบั กลมุ่ ผอู้ าวโุ สได้ หากต้องการทราบว่าคน ๆ นั้นเป็นญาติหรือไม่ ก็ต้อง
ทราบก่อนว่ามาจากตระกูลไหน เมื่อทราบว่ามาจาก
๒.๒ ผูน้ า/บคุ คลสาคญั ตระกูลเดียวกัน นั่นก็หมายความว่าเป็นญาติกัน ก็
ชาวเมยี่ นมีผนู้ าทางวฒั นธรรม เปน็ ผปู้ ระกอบ มักจะถามต่อเพ่ือให้ทราบว่าเป็นลูกของใคร การถาม
พิธีกรรมตามความเช่ือ เทียบเท่ากับผู้ใหญ่บ้าน เช่นน้ีจะทาให้ทราบว่าเป็นรุ่นไหน และเป็นญาติกัน
ชาวเมี่ยน เรียกว่า “ล่างเจ๊ียว” คอยดูแลความ อย่างไร จะเรียกกันแบบไหน เช่น เป็นปู่ ลุง ป้า อา
ประพฤติของชาวบ้าน คอยส่งเสริมให้เกดิ ความรักใคร่ หลาน หรอื รุ่นเดยี วกนั
สามัคคี รู้จักประนีประนอม เป็นผู้ให้ความเป็นธรรม
ค อ ย ไ ก ล่ เ ก ล่ี ย เ ว ล า ท่ี เ กิ ด ก ร ณี พิ พ า ท ห รื อ มี เ ร่ื อ ง ๓. วถิ ชี วี ติ ความเปน็ อยู่
บาดหมาง โดยใช้กฎและระเบียบของสังคมชาวเม่ียน
ตามจารีตประเพณีเป็นเกณฑ์ตัดสิน คล้ายกับเป็น ๓.๑ ท่อี ยู่อาศยั
ผู้รักษากฎระเบยี บการอย่รู ว่ มกันของสงั คม ในอดีตจะปลูกบ้านคร่อมดิน ใช้พื้นดินเป็น
พื้นบ้าน วัสดุที่ใช้ได้จากไม้ไผ่ ไม้สักและไม้เนอ้ื แข็ง ใช้
ตาราของผู้นาจิตวญิ ญาณของชนเผ่าอ้ิวเมยี่ น สาหรับทาเสาเท่าน้ัน บ้าน มีลัก ษณะ เป็น รู ป
ส่ีเหลี่ยมผืนผ้า หลังคาอาจมุงด้วยหญา้ คา ไม้เกล็ด ไม้
๒.๓ ระบบครอบครัวและเครอื ญาติ สกั ซ่ึงนามาถากเป็นแผน่ ๆ ใบหวายและไม้ไผ่ ฝาบา้ น
ค ร อ บ ค รั ว ข อ ง เ มี่ ย น น้ั น ส่ ว น ม า ก จ ะ เ ป็ น อาจเปน็ ไมเ้ น้อื อ่อนแลว้ ถากให้เรียบ การกัน้ ฝาบา้ นจะ
ครอบครัวขยาย คือ มีคู่สมรสในครอบครัวหลายคู่ กั้นเป็นแนวตั้ง บางทีก็ใช้ไม้ไผ่สานขัดแตะ จะมุง
เช่น ปู่ - ย่า พ่อ - แม่ ลูกชาย - ลูกสะใภ้ และหาก หลังคาเทลาดต่าลง เป็นการออกแบบป้องกันภายใน
ครอบครัวใดมีลูกชายหลายคน ก็อาจจะมีคู่สมรสมาก บ้านจากลมและฝน พ้ืนโล่ง นอกจากที่สาหรับนอน
ขึ้น สมาชิกในครอบครัวก็อาจจะมีตั้งแต่ ๒ - ๒๐ คน จะมีท้งั พ้ืนและผนังกนั้ หอ้ งตา่ ง ๆ จะถูกแบง่ ดว้ ยไม้ไผ่
ซึ่งประกอบด้วย ปู่ ย่า บิดา มารดา ลูกชาย ลูกสะใภ้ สานขัดแตะ หรือไม้เนื้ออ่อนเป็นแผ่น จะมีประตูทาง
ลูกสาวที่ยังไม่แต่งงาน หลาน (ลูกของลูกชาย) ใน หน้าบ้าน หลังบ้าน และด้านข้างซ่ึงถือกันว่าเป็น
ครอบครัวก็จะมีหวั หน้าครอบครัว ทกุ คนจะตอ้ งเคารพ ประตูผี ขนาดของบ้านขึ้นอย่กู ับสมาชิกในครอบครัว
เชื่อฟังหัวหน้าครอบครัว และแต่ละคนในครอบครัวก็ ปัจจบุ ัน การปลูกบ้านจะมี ๒ ลักษณะ คือ จะ
จะเคารพกันตามศักดิ์ ให้ความเคารพแก่ผู้อาวุโส การ ปลกู ยกพน้ื เหมือนบา้ นคนพ้ืนราบ วสั ดทุ ่ใี ช้อาจเป็นไม้
นับญาติจะเกิดขึ้นทางฝ่ายชาย ในแตล่ ะตระกูลจะมีรุ่น สักทั้งหลัง หลังคามุงด้วยกระเบ้ืองหรือสังกะสี
ออกแบบปลูกสร้างโดยช่างไม้ท่ีจ้างจากพื้นราบ อีก
ลักษณะหนง่ึ ปลูกครอ่ มดนิ ซึง่ พัฒนามาจากบ้านแบบ
ดงั้ เดมิ แต่ไดเ้ ปล่ียนวัสดุในการปลกู สร้าง ซ่ึงเปน็ ไมไ้ ผ่,

กลมุ่ ชาติพันธ์ุ ในจังหวัดเชียงราย | ๖๑

ชาติพันธ์ุ “อ้ิวเมี่ยน” ใบหวาย, หญ้าคา มาเป็น ไม้สักท้ังหลัง หลังคามุง สาหรับอาหารแต่ละชนิด เม่ือร้อนได้ที่แล้วกเ็ ติมน้าลง
กระเบอื้ งหรอื สงั กะสี ไป ใส่เกลือ ตั้งไฟไว้ประมาณ ๕ – ๑๐ นาทีก็ใส่
เน้ือสัตว์และผัก หลังจากปรุงสุกก็ยกลงวางไว้บนหิ้ง
ลักษณะการสร้างบ้านของอิว้ เมี่ยน ข้างฝา ซ่ึงนิยมทาเป็นที่รองเป็นขดกลม ๆ ด้วยฟาง
ข้าว บางทีก็วางบนเตาไฟ ชาวอิ้วเมี่ยนนิยมปรุงรส
๓.๒ การประกอบอาชีพ อาหารด้วยรสเค็มจากเกลือเพียงอย่างเดียว ไม่นิยม
ชาวเมีย่ นในอดตี ทามาหากนิ โดยการทาไร่พืช รสชาตอิ น่ื เกลอื จงึ มีความสาคญั กับวัฒนธรรมของชาว
หลักที่ปลูกได้แก่ ฝิ่น ข้าว ข้าวโพด มันฝร่ัง พริก ฝ้าย อ้ิวเมี่ยนเป็นอย่างมาก เพราะมิเพียงแต่จะเป็น
มันเทศ เป็นต้น ไร่ข้าวของเม่ียนจะไม่ มีต้นไม้ใหญ่ เคร่ืองปรุงรสหลักในอาหารเท่านั้น เกลือยังถูกใช้ใน
เหมือนพวกกะเหร่ยี ง ไร่ข้าวจะอยู่รอบหมู่บ้านในรัศมี การเชิญแขกฝ่ายเจ้าสาวในการแต่งงานอีกด้วย
เดนิ ไมเ่ กินสองช่ัวโมง ฤดูปลกู ข้าว เร่ิมปลกู ปลายเดือน ในอดีต ชาวอ้ิวเมี่ยนนิยมนาฝ่ินดิบหรือข้าวเปลือกไป
พฤษภาคม และมิถุนายน ข้าวที่เกี่ยวและนวดแล้วจะ แลกซื้อเกลือกับพ่อค้าชาวจีนฮ่อที่เดินทางมาใน
เก็บไว้ในยุ้งในไร่ ไม่นิยมนากลับมาบ้าน นอกจาก หมู่บา้ น หรอื ซ้ือเกลือจากตลาดในพ้นื ราบ โดยนิยมซ้ือ
เพาะปลูกแล้ว ชาวเมี่ยนยังเล้ียงสัตว์ เช่น ม้า หมูและ เกลือครั้งละมาก ๆ อาจเป็นกระสอบ เพื่อแบ่งปันกัน
ไก่ มา้ ใชส้ าหรับข่ี เดนิ ทางหรอื ตา่ งของ หมแู ละไกเ่ ล้ียง ได้ด้วย ท้ังนี้ นอกจากรสเค็มแล้ว อาหารอ้ิวเม่ียนยังมี
ไว้เพ่ือเซ่นสังเวยผีในพิธีกรรม ชาวเม่ียนยังมีฝีมือใน รสเผ็ดดว้ ย แต่เปน็ การปรงุ รสเผด็ ดว้ ยการใสพ่ รกิ เม่ียน
การทาเคร่ืองประดับเคร่ืองเงิน เย็บปักถักร้อย ทามีด จานวนเพียงเล็กน้อยลงในอาหาร ชาวอ้ิวเม่ียนนิยม
จอบ ขวาน เคียว เป็นตน้ รับประทานอาหารท่ีสุกแล้วทุกชนิด ยกเว้นอาหาร
ในปัจจุบัน ชาวเม่ียนก็ประกอบอาชีพ ประเภทลทู่ ี่ทาจากเลือดสด ๆ ปรงุ ดว้ ยเครอ่ื งเทศท่ีทา
เกษตรกร ทาไร่ ทาสวน และรับจ้าง สว่ นผ้หู ญิงท่ีไม่ได้ จากตะไคร้ หอมดว่ น ผกั ไผ่ และถ่วั พนู ก ซึง่ หาไดใ้ นปา่
ทางานก็จะดูแลลูก หรอื งานบ้านและเย็บปกั ถักรอ้ ยอยู่ นามาสบั ให้ละเอยี ดแล้วนาลงกวนกับเน้อื ซ่งึ สับแล้วใน
ทบ่ี ้าน เลือด จนเลือดจับเป็นก้อน อาหารประเภทนี้เป็นท่ี
๓.๓ อาหาร นยิ มมากสาหรับผู้ชายในวัยกลางคนข้ึนไป สาหรบั การ
กรรมวิธีการประกอบอาหารของอิ้วเม่ียนใน ข้าวท่ีชาวอ้ิวเม่ียนหุงรับประทานเป็นข้าวซ้อมมือโดย
อดีตไม่มีความซับซ้อนเท่าใดนัก เร่ิมต้นจากการตั้ง ใชค้ รกกะเดอื่ งตาขา้ ว จากนน้ั กก็ อ่ ไฟต้งั หมอ้ หงุ ขา้ ว
กระทะบนไฟใส่น้ามันหมู (หรือใช้น้ามันงาสาหรับผู้ที่
รับประทานอาหารเจ) พอสมควรตามความจาเป็น เมนอู าหารดง้ั เดมิ ของชาวอิ้วเมย่ี น
๖๒ | กลุม่ ชาตพิ นั ธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย
• แกงผักกาดเม่ียน : โดยนาผักยอดกาดเม่ียน
ไปลวกน้าร้อน ใส่หมูหรือไม่ก็ได้เวลาแกงจะ
ใส่เกลือกบั นา้ มนั นิดหน่อย

• ผัดหวาย : โดยคัดเลือกหวายชนิดหวาน
นาหวายมาเซาะเปลือกแข็งขา้ งนอกออก แล้ว
นาเน้ือหวายอ่อนข้างในมาฝาน ผัดแบบแห้ง
ใสเ่ กลือกบั พรกิ เมย่ี น

• น้าพริกเมยี่ น : นาพรกิ เมี่ยน ผกั ชี ตาส่วนผสม สามารถยกไปเปล่ียนได้โดยสะดวก แต่สาหรับชุมชน ชาติพันธ์ุ “อ้ิวเมี่ยน”
ใหเ้ ขา้ กัน ใส่เกลอื และบีบมะนาวตามนิดเดยี ว บ น ด อ ย ท่ี อ ยู่ ห่ า ง ไ ก ล จ า ก เ ส้ น ท า ง ค ม น า ค ม ห ลั ก
บางสว่ นอาจยงั คงใช้ฟนื ประกอบอาหาร เพราะคนเฒ่า
• ผัดผักข้ีฮูด : โดยผัดน้ามันแห้ง ๆ ใส่พริกและ คนแก่ชอบใช้ฟนื หุงข้าวซงึ่ ใหร้ สชาติที่ดกี ว่าใช้แก๊ส แต่
เกลือ ลูกหลานของชาวบ้านส่วนใหญ่น่าจะลงมาทางานใน
เมืองใหญ่หรือกรุงเทพฯ และหาซื้ออุปกรณ์ทาครัว
• แกงหวาย : โดยนาหวายชนดิ หวานมาแกงกับ สมัยใหม่ไปให้พ่อแม่บนดอยใช้บ้างแล้ว แต่พ่อแม่อาจ
มะเขือยาว หัวปลี ใส่หมูหรือไก่ก็ได้ จากนั้น ไม่ค่อยสะดวกจะใช้ เช่น กรณีที่เตาแก๊สหมดก็ยกไป
ทุบพริกเม่ียนกับตะไครเ้ ป็นเครื่องแกงผสมใส่ เปล่ยี นไมส่ ะดวก เปน็ ตน้
ในน้าต้มทีเ่ ดือด
วิธีการรับประทานอาหารของชาวอ้ิวเม่ียนใน
• ต้มยอดฟักทอง : เม่ือตั้งหม้อให้เหยาะน้ามัน ปัจจุบันว่า ครอบครัวชาวอ้ิวเม่ียนส่วนใหญ่ยังนิยม
นิดหน่อย พอหม้อร้อนให้เทน้าลงไปให้มีกลนิ่ รับประทานอาหารแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะในกลุ่มวัย
หอม ทบุ พริกเม่ียน ตะไคร้ ใบขงิ ออ่ น ใส่ลงไป ผ้ใู หญท่ ีย่ งั เคยชนิ กับรสชาติอาหาร
ตามด้วยเกลือ เมื่อน้าเดือดก็ใส่ยอดฟักทอง
เกลือ อ้ิวเมี่ยน แม้ว่าจะย้ายมาอาศัยในเมืองไม่
สามารถหาผักของอิ้วเมยี่ นได้ก็จะประยุกต์ใช้ผักอื่น ๆ
• ผักกาดดองเม่ียน : นาผักกาดมาหั่นฝอย ขยา ท่ีพอจะหาได้ในเมืองมาประกอบอาหารแทน แต่เมื่อ
ด้วยเกลือ หมักกับน้าตาลทรายและน้าซาว ออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน คนวัยผู้ใหญ่
ข้าว ทิ้งไว้ ๑ สัปดาห์ให้มีรสเปร้ียว เม่ือนามา สามารถรับประทานอาหารไทยได้ แตต่ อ้ งรสชาติไม่จัด
ยาจะนาผักกาดมายาใส่หวั ไชเท้าฝานลงไป ใส่ รวมทัง้ ไม่รับประทานเมนูที่ใส่ปลาร้าและกะทิ ในขณะ
พรกิ และผกั ชโี รยหนา้ ที่คนรุ่นใหม่ซึ่งย้ายไปเรียนหนงั สือและทางานในเมอื ง
มักจะนิยมรับประทานอาหารแบบคนเมืองภาคเหนือ
• แกงไก่ใส่วุ้นเส้น : โดยตั้งหม้อใส่น้า ไก่ เมื่อ หลายคนนิยมรับประทานปลาร้าตามเพอื่ น ๆ คนเมอื ง
ต้มจนเดือดก็ใส่วุ้นเส้น เกลือ กับพริกไทย นอกจากน้ียังนยิ มรับประทานอาหารตะวนั ตกตามสมัย
เยอะ ๆ นยิ ม แต่ก็ยังไมน่ ยิ มรบั ประทานอาหารรสจดั ท่เี ผ็ดร้อน
เชน่ เดยี วกบั คนไทย
• แกงไก่ใส่หน่อไม้ดอง : ใส่ไก่หรือหมู ทุบ
ตะไคร้และพริกลงไป เมือ่ นา้ เดือดก็ใส่หน่อไม้ “หย่วั เจยี๊ ะ” ขนมดาอว้ิ เม่ียน
ดองและเกลือ
ปัจจบุ นั ชาวอวิ้ เมยี่ นท่อี าศยั ในพื้นราบหรอื ใน ภาพจาก https://www.gourmetandcuisine.com/stories/detail/128

เมือง รวมถึงชุมชนบนดอยที่มีถนนเส้นใหญ่ตัดผ่าน กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย | ๖๓
มักจะนิยมใช้อุปกรณ์ทาครัวแบบสมัยใหม่ในการ
ประกอบอาหารและถนอมอาหาร ปัจจุบัน ชาว
อวิ้ เมีย่ นทส่ี ว่ นใหญ่ใช้ตเู้ ยน็ หม้อหุงขา้ วไฟฟ้า และเตา
แก๊สกันหมด เพราะเป็นชุมชนบนดอยท่ีถนนเส้นใหญ่
ตัดผ่าน การคมนาคมสะดวก มีรถโดยสารออกไปยัง
ตลาดในอาเภอเชยี งคาทุกวนั จงึ สามารถหาซ้อื อปุ กรณ์
ทาครัวสมัยใหม่ได้ง่าย และเม่ือใช้เตาแก๊สหมดก็

ชาติพันธ์ุ “อ้ิวเมี่ยน” ๔. วฒั นธรรมและประเพณี ได้รับการถ่ายทอดจากระบบการศึกษาส่วนกลางและ
การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่จะค่อย ๆ มีอิทธิพลต่อการ
๔.๑ ศาสนา เปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ต่อชีวิตและสังคมของชาว
ชาวอิ้วเมยี่ นมคี วามเช่ือเก่ียวกับธรรมชาติและ อ้ิวเมี่ยนรุ่นใหม่ ในทิศทางท่ีตรงกันข้ามโดยส้ินเชิงกับ
สิ่งศักด์ิสิทธ์ิมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่ในปัจจุบันหลาย โลกทัศน์ของคนรุ่นเก่าที่นับถือผี อาทิเช่น กรณีของ
ชุมชนได้อพยพลงมาอยู่ในพ้ืนท่ีราบหรือในเมืองทาให้ คาสอนเก่ียวกับเร่ืองบาปบุญ ซ่ึงศาสนาพุทธและ
วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ศาสนาคริสต์มีการบัญญัติเกี่ยวกับศีลและธรรมอย่าง
และส่ิงศักดิ์สิทธ์ิมากนัก นอกจากน้ีแล้วยังมีกลุ่มชาว ชัดเจน ในทางตรงกันข้าม คนเฒ่าคนแก่ชาวอ้วิ เมี่ยน
อวิ้ เมี่ยนทห่ี นั ไปนับถอื ศาสนาอื่น ๆ เชน่ ชาวอ้วิ เมีย่ นที่ รุ่นเก่าที่นับถือผีไม่ค่อยจะสอนลูกหลานวา่ การกระทา
นับถือศาสนาคริสต์ต้ังแต่เด็ก เมื่อประมาณ 50 กว่าปี ใดเป็นบาป บางกรณีพบว่า เมื่อบุตรหลานกระทาผิด
ก่อน โดยนับถือตามบิดามารดาท่ีเข้ารีตเป็นคริสเตียน กฎหมาย ผใู้ หญใ่ นครอบครวั ก็จะแก้ปญั หาดว้ ยการฆ่า
จากการชักชวนของคณะมิชชันนารีที่เข้ามาเผยแพร่ สัตว์เพ่ือทาพิธีบนบานสานกล่าวขอให้ผีบรรพบุรุษ
ศาสนา และมีบางกลุ่มเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม คุ้มครองบตุ รหลาน มใิ หต้ ารวจจบั ไปได้ เป็นต้น
เป็นกลุ่มท่ีเลิกนับถือผี รวมท้ังเลิกความเชื่อที่ว่าชาว
อิ้วเมี่ยนทงั้ หมดล้วนสืบเชื้อสายมาจากเปี้ยนฮ่งู ในส่วน ๔.๒ พิธกี รรม ความเชื่อ
ของกล่มุ ทีน่ ับถือศาสนาพุทธ บางครอบครัวผสมผสาน พิธีกรรมของอ้ิวเมี่ยนจะสอดคล้องกับความ
ความเช่ือเร่ืองผีกับศาสนาพุทธได้อย่างไม่ขัดแย้งกัน เช่อื โดยจะมีพิธีกรรมดงั น้ี
กล่าวคือ ไม่ได้ยึดถือความเชื่อเรื่องผีหรือเปี้ยนฮู่งมาก การเกิดและการตั้งช่ือ เมื่อมีสมาชิกเกิด
เท่ากบั กลุ่มท่ีนับถือผี แต่ยังคงนับถอื ผีบรรพบุรุษและ ขึ้นมาใหมใ่ นบา้ นจะให้คนนอกบ้านเห็นกอ่ นไมไ่ ด้ ตอ้ ง
ประกอบพิธีกรรมการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษตามโอกาส บอกให้ผีรู้ก่อนโดยการทาพิธีของเข้าผี (ทิม เมี้ยน คู้)
สาคัญต่าง ๆ ในขณะที่กลุ่มชาวอ้ิวเม่ียนที่นับถือผี หมอผีทาพิธีทิมเม้ียนคู้และต้ังชื่อให้เด็กภายใน ๑ – ๓
ยงั คงมีความเชือ่ เกี่ยวกับเปีย้ นฮู่งอย่างเคร่งครัด วัน หลังคลอด แต่ต้องเป็นวันดี หากเป็นวันไม่ดีก็ต้อง
กลุ่มชาวอวิ้ เมีย่ นรุน่ แรก ๆ ที่หันมารับอิทธพิ ล เลื่อนไป โดยปกติแล้วชายเย้าจะมีชื่ออย่างนอ้ ย ๓ ชื่อ
ของศาสนาพุทธน้ัน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นท่ีอายุ คือช่ือเล่น หรือชื่อเด็ก ช่ือจริงหรือชื่อใหญ่ และชื่อผี
ประมาณ ๕๐ – ๖๐ ปีขึ้นไป เพราะสมัยก่อนเด็ก ๆ ชือ่ เลน่ หรอื ชื่อเด็กจะใช้ในตอนท่ีเป็นเด็กอยู่ โดยทัว่ ไป
ชนเผา่ บนดอยมฐี านะยากจนไม่มีทนุ ศกึ ษาเล่าเรียนต่อ ชื่อเดก็ จะมี ๒ คา คอื คาแรกเปน็ คาท่ีแสดงลาดบั ท่ีเกิด
จึงนิยมไปบวชเรียนท่ีวัด อย่างไรก็ตาม แม้จะบวช ของผู้ชายตามลาดบั ดงั นคี้ ือ เกา๊ โหล ซาน สู อู หลู่ ฉี่
เรียนเป็นพระหรือเณร แต่เด็กชายอ้ิวเมี่ยนเหล่านี้ก็ ป่า เจ๊าะ เสียบ หรือคาแรกอาจต้ังชื่อตามเหตุการณ์
มิได้เลิกนับถือผีตามความเช่ือดั้งเดิมของครอบครัว ตอนท่ีคลอด ส่วนคาที่สองจะเป็นคาที่ ๒ ของพ่อ เช่น
ยังคงประกอบพิธีกรรมเซน่ ไหวผ้ บี รรพบุรษุ แบบดง้ั เดิม บุตรชายคนแรกของนายจ้อยว่าจะตั้งชื่อเก๊าว่า แต่ถ้า
และมีผเู้ สยี ชวี ติ ก็ยังคงจดั พิธศี พแบบดัง้ เดมิ เกิดในขณะที่มีแขกก็อาจจะต้ังชื่อว่า แคะว่า (แคะ
ทั้งน้ีแม้ว่าในปัจจุบัน ชาวอิ้วเม่ียนท่ีหันไปรับ หมายถึงแขก) ส่วนลูกท่ีไม่มีพอ่ ใช้ช่ือแม่ตามท้าย ส่วน
อิทธิพลจากศาสนาและความเช่ืออื่นบางส่วนยังมิได้ ช่ือจริงหรือชื่อใหญ่นั้นมี ๔ คาด้วยกันคือ คาแรกเป็น
ล้มเลิกความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษโดยสิ้นเชิง แต่ใน ชื่อเรียกตามแซ่ คาที่ ๒ เป็นชื่อเรียกตามรนุ่ ของแตล่ ะ
ระยะยาว คาสอนจากศาสนาอื่นที่ชาวอ้ิวเม่ียนรุ่นใหม่ แซ่ เช่น แซ่เต๋ิน คาแรกเป็นชื่อเรียกตามแซ่ คาท่ี ๒

๖๔ | กลุม่ ชาติพนั ธ์ุ ในจงั หวัดเชยี งราย

เป็นชื่อเรียกตามรุ่นของแต่ละแซ่ เช่น แซ่เต๋ิน พธิ เี รียกขวญั ของชาวอ้ิวเมีย่ น ชาติพันธ์ุ “อ้ิวเมี่ยน”
(ภาษาจีน เรียกว่าต้ัง) มีช่ือเรียกรุ่น ๔ รุ่น คือ ว่าน ฟุ
จ้อย จั่น คาที่ ๓ เป็นช่ือตัว ส่วนคาท่ี ๔ เป็นชื่อพ่อ พธิ ีแต่งงาน ชายหญิงมอี สิ ระอยา่ งมากในการ
ตวั อย่างเชน่ นายตัง้ ว่านจ่อย เมง้ ลกู จะมีช่ือเรยี กวา่ ต้ัง เลอื กคู่ครองและสามารถมเี พศสัมพนั ธก์ นั ก่อนแต่งงาน
ฟู จ่ัน จ้อย แต่ท่ีนิยมเรียกกันโดยใช้จริงเพียง ๒ คา ได้ เมือ่ ท้ังสองฝา่ ยเกดิ ความพอใจ ฝา่ ยชายจะมาขอวัน
กลางเท่านั้น เช่น ว่าน จ้อย และฟูจ่ัน แต่เมื่อต้องการ เดือน ปี เกิด ของสาวไปดูว่าจะอยู่ด้วยกันดีหรือไม่
บอกแซก่ ใ็ ชแ้ ซน่ าหน้าเปน็ ตง้ั วา่ ยจ้อย, ตัง้ ฟจู ั่น ในกรณี หากดีก็จะทาการหม้ันและตกลงกันเพื่อกาหนดวัน
ที่กลัวซ้ากันก็ใช้ช่ือตามพ่อตามท้ายอีกเป็นต้ังฟุ จั่น แต่งงานกัน โดยปกติแล้วการแต่งงานมี ๒ แบบ คือ
จ้อย การตง้ั ชื่อจรงิ จะทาเม่อื ลกู ท้ังหมดโตแล้ว และจะ แบบใหญแ่ ละแบบเล็ก การแต่งงานแบบใหญป่ ระกอบ
ใช้เรียกเฉพาะในการประกอบพธิ กี รรมเทา่ น้ัน ชอ่ื ผนี ั้น พธิ ีทกุ อย่างท่ีบ้านเจ้าบา่ ว ซง่ึ จะใช้เวลาทงั้ หมด ๓ – ๔
มี ๓ คา คือคาที่หนึ่งแสดงลาดับรุ่นของแซ่ คาที่ ๒ วัน เจ้าสาวจะปิดหน้าด้วยผ้าสีแดงที่ห้อยลงมาจาก
จะเป็นชื่อท่ีหมอผีต้ังให้ คาที่ ๓ แสดงลาดับท่ีของ โครงไม้บนศีรษะ ส่วนการแต่งงานเล็กน้ันจะลด
ครอบครัว ส่วนผู้ที่เคยผ่านพิธีโตโซมาแล้วก็จะมีคาวา่ ขั้นตอนลงมา โดยจะประกอบพิธีที่บ้านเจ้าสาวก่อน
ล่อง ต่อท้ายชื่อผีอีกคาหน่ึง ช่ือผู้หญิงนั้นมีชื่อเพียงชื่อ จึงไปประกอบพิธที ่ีบ้านเจ้าบ่าว ซ่ึงใชเ้ วลาทั้งหมดรวม
เดียว โดยจะใช้ระบบเดียวกันกับการต้ังช่ือเด็กผู้ชาย ๒ วัน ในกรณีท่ีฝ่ายชายไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่าตัว
แตค่ าแรกของผู้หญิงน้ัน เรียกตามลาดับดังนคี้ ือ หมวง เจ้าสาวได้ก็จะต้องไปอยู่ช่วยทางานที่บ้านฝ่ายหญิง
ไหม ฟาม เฟย ฝัน เอียด ลิว แบ๊ด จั๊วะ เช่นลูกผู้หญิง เป็นค่าตัวเจ้าสาวตามระยะเวลาท่ีตกลงกัน มี ๓ ปี
คนโตของนายจ้อยว่ามีชื่อ หมวงว่า ผู้หญิงจะใช้ชื่อน้ี ๖ ปี และ ๑๒ ปี โดยปกติแล้วอ้ิวเมี่ยนจะแต่งงานกับ
ตลอดไป แต่เม่ือแต่งงานแล้วจะต้องใช้แซ่ของสามี อิ้วเม่ียนด้วยกัน มีนิยมท่ีจะแต่งงานกันภายในกลุ่มแซ่
และถ้าสามีผ่านพิธีโตโซมาแล้วก็มีคาว่า ซี ต่อเชื่ออีก เดียวกัน แต่ถ้าเป็นกลุ่มแซ่ย่อยเดียวกันจะต้องห่างกัน
คาหนึง่ ซงึ่ จะใชเ้ รียกในพิธีเท่านน้ั อย่างน้อย ๓ รุ่นขึ้นไป อ้ิวเม่ียนสามารถมีภรรยาได้
หลายคน แต่การแต่งงานครั้งใหม่จะต้องได้รับความ
พิธีเรียกขวัญ เม่ือเจ็บไข้ได้ป่วยหรือได้รบั ภัย เห็นชอบจากคนแรกเสียก่อน ส่วนมากคนท่ีมีฐานะดี
อันตรายก็จะทาพิธเี รยี กขวัญ นอกจากน้ีแล้วยังนิยมที่ เท่าน้ันที่จะมีภรรยาหลายคนได้ การหย่าร้างน้ันไม่
จ ะ เ รี ย ก ข วั ญ อ ย่ า ง น้ อ ย ค น ล ะ ห นึ่ ง ค รั้ ง ต่อ ปี ค่อยปรากฏ แต่ตามประเพณีน้ัน หากฝ่ายภรรยาคบชู้
แ ต่ เ ค รื่ อ ง เ ซ่ น ไ ห ว้ ที่ ใ ช้ ใ น ก า ร ท า ข วั ญ แ ล ะ พิ ธี ท่ี ท า ส า มี อ า จ ข อ ห ย่ า แ ล ะ เ รี ย ก ป รั บ ช า ย ชู้ แ ล ะ ภ ร ร ย า
จะต้องต่างกันตามช่วงอายุ โดยปกติแล้วจะใช้ไก่และ แต่ถ้าหากสามีต้องการหย่าโดยท่ีภรรยาไม่มีความผิด
หมู เมื่อมีอายุครบ ๑๒ ปี ๓๐ ปี ๓๕ ปี และ ๕๐ ปี จะเรียกคา่ ปรับไมไ่ ด้
ส่วนเด็กที่มีอายุต่ากว่า ๑๒ ปี นั้นจะใช้ไข่ ๑ ฟองกับ
ไก่ ๑ ตวั กลุ่มชาติพนั ธ์ุ ในจังหวัดเชียงราย | ๖๕

พธิ เี รียกขวัญของชาวอ้ิวเมีย่ น

ชาติพันธ์ุ “อ้ิวเมี่ยน” เด็กที่มีอายุต่ากว่า ๑๒ ปี ศพที่ตายจากเหตุไม่ปกติ
และศพของผู้ชายที่ไม่เคยผ่านพิธีกว่าต้ังมาก่อน
พธิ แี ต่งงานของชาวอว้ิ เม่ียนในปจั จบุ นั ก็ไม่จาเป็นที่จะต้องเลือกท่ีฝังมากนักอาจฝังที่ใดก็ได้
หรือเผาเลยก็ได้ สาหรับศพของผู้ที่เคยผ่านพิธีโตโซ
พธิ ที าบญุ (กวา่ ต้งั ) คาว่า “กว่าตง้ั ” ในภาษา และภรรยาจะทาพธิ ีส่งวญิ ญาณให้ขึ้นสวรรค์ และต้อง
เยา้ มีความหมายว่าแขวนตะเกียง ซ่ึงนา่ จะหมายความ มีการเล้ียงผีใหญ่ ในพิธีศพนั้นจะต้องนาภาพผีใหญ่
ว่า เป็นการทา บุญเพื่อใหเ้ กดิ ความสวา่ งขน้ึ และถือว่า มาแขวนดว้ ย
ผู้ที่ผ่านพิธีนี้แล้วจะมีตะเกียง ๓ ดวง แต่อ้ิวเม่ียน
พยายามที่จะแปลความหมายว่าการบวชเพื่อให้ชาว วิญญาณท่ีชาวอ้ิวเมี่ยนนับถือ สามารถแบ่ง
พุทธเข้าใจความรู้สึกได้ดขี ้ึน พิธีน้ีได้รับอิทธิพลมาจาก ไดเ้ ปน็ ๓ กล่มุ อันได้แก่
ลักธิเต๋า จะเห็นได้ว่า ในการประกอบพิธีกว่าต้ังนี่
จะต้องนาภาพผีใหญ่ท้ังหมดแขวนเพ่ือเป็นสักขีพยาน วิญญาณบรรพบุรุษ และวิญญาณพระเจ้า
ว่าบุคคลเหล่านี้ได้ทาบุญแล้ว และจะได้ขึ้นสวรรค์เมือ่ ผินหวาง (เปย้ี นฮูง่ ) : ชาวอว้ิ เมีย่ นนบั ถอื วญิ ญาณของ
ตายไป จุดสาคญั ของพธิ ีน้คี อื การถ่ายทอดอานาจบารมี บรรพบุรุษท่ีตายไปแล้วเพียง ๔ รุ่นเท่านั้น โดยเชื่อว่า
จากหมอผี ซ่ึงขณะที่กาลงั ทาพิธีน้หี มอผีจะมีฐานะเป็น วิญญาณบรรพบุรุษจะสิงสถิตบนสวรรค์และคอย
อาจารย์ของผู้เข้าร่วมพิธอี ีกฐานะหน่งึ และผู้ผ่านพิธนี ี้ ปกป้องลูกหลานของตน รวมทั้งเป็นตัวแทนผู้ติดต่อ
จ ะ ต้ อ ง เ รี ย ก ผู้ ท่ี ถ่ า ย ท อ ด บุ ญ บ า ร มี น้ี ว่ า อ า จ า ร ย์ ระหว่างคนที่มีชีวิตอยู่กับเทพเจ้า นอกจากนี้ยังนับถอื
ตลอดไป (ผู้ท่ีเป็นอาจารย์ไม่จาเป็นต้องเป็นหมอผี เปี้ยนฮู่งซึ่งชาวอ้ิวเมี่ยนถือว่า เป็นผู้ให้กาเนิดชนเผ่า
เสมอไปแต่ต้องผ่านการทาพิธี “กว่าตั้ง” หรือโตโซ) ของตนด้วย การเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษมี
ส่วนพธิ ที าบุญแขวนตะเกียงในระดับท่ีสูงขึน้ ไปเรียกว่า วัตถุประสงค์เพ่อื ขอให้ท่านช่วยคุ้มครองดูแลลูกหลาน
โตโซ ผู้ที่ผ่านพิธีโตโซน้ีจะมีตะเกียงทั้งหมด ๑๒ ดวง และช่วยดูแลเร่ืองการทามาหากิน แต่ถ้าหากท่ีฝังศพ
โตโซนี้จะใช้หมอผีอย่างน้อย ๑๒ คน และต้องมีภาพ หรือกระดูกของบรรพบุรุษถูกรบกวนหรือขาดการ
ผีใหญ่ทงั้ ๑๒ ชุด ใช้เวลาประกอบพธิ ที ้งั หมด ๗ วนั เซ่นไหว้ก็จะทาให้ลูกหลานเจ็บป่วยด้วยเช่นกัน ดังน้นั
บ้านของชาวอิ้วเม่ียนทุกบ้านจึงมีการตั้งหิ้งบูชา
พิธีศพ ศพนั้นจะฝังหรือจะเผาก็ได้ ข้ึนอยู่กับ (เม้ียนป้าย) ซ่ึงเป็นที่สิงสถิตของวิญญาณบรรพบุรุษ
ความประสงคข์ องญาตผิ ู้ตายและสภาพพ้นื ทขี่ องแต่ละ โดยเม่ือปูแ่ ละพ่อตายไป ลกู หลานจะตอ้ งทาบุญเพ่ือให้
หมู่บ้าน ส่ิงที่สาคัญคือความสะดวกในการฝังหรือเผา วิญญาณบริสุทธิ์ ปีละคร้ังเป็นเวลา ๓ ปี แล้วจึงเชิญ
และศพหรือกระดูกของผู้อาวุโสทีฝังไว้จะต้องไม่ถูก วิญญาณท่านมาสิงสถิตได้ ในแต่ละปี ชาวอ้ิวเมี่ยน
รบกวนจากผู้อื่น ในปัจจุบันนี้เย้านิยมเผาก่อนแล้วจึง จะต้องเซ่นไหว้บรรพบุรุษ (ซิบ อง ไถ เม้ียน)
นากระดูกไปฝังในที่ท่ีปลอดภัยปราศจากการรบกวน ตามเทศกาลต่าง ๆ อย่างน้อยปีละ ๔ คร้ัง และแต่ละ
ใด ๆ ศพท่ตี ายดจี ะต้องนาศพหรือกระดกู ไปฝงั ส่วนศพ ครอบครัวจะเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษตัวเองเพื่อ
เรียกขวัญตัวเอง (โจ่ว เว่ิน) อย่างน้อยปีละครั้ง เมื่อมี
๖๖ | กลุ่มชาติพนั ธุ์ ในจังหวดั เชียงราย การประกอบพิธีกรรมที่สาคัญ เช่น งานศพและงาน
แต่งงาน ก็จะเชิญวิญญาณบรรพบุรุษของ ตน
และเปี้ยนฮู่งมาสิงสถิตที่บ้าน จนกระทั่งเสร็จพิธีจงึ จะ
เชิญกลับ นอกจากนี้เม่ือประสบกับความทุกข์ยาก

หรือเจ็บป่วย ชาวอิ้วเม่ียนก็จะประกอบพิธเี ซ่นไหวใ้ ห้ พวกเขายังมีความเชื่อเร่ืองโชคลางและการทานาย ชาติพันธ์ุ “อ้ิวเมี่ยน”
บรรพบุรษุ มาช่วย ความเชอ่ื เร่ืองฤกษ์ยาม รวมทงั้ ความเช่อื เร่อื งขวัญ

เทพยดา : ชาวอ้ิวเมี่ยนเช่ือว่า เทพที่มี ขวัญ : ชาวอ้ิวเมี่ยนเชื่อว่าในร่างกายของ
ระดับสูงและมีอานาจมาก มีประมาณ ๘๐ กว่าองค์ คนเรามีขวัญ (ว่น) อยู่ตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของ
แต่เทพองค์ท่ีชาวอิ้วเม่ียนนับถือมากท่ีสุด คือ “หยุด ร่างกายท้ังหมด ๑๒ แห่ง ได้แก่ ตา หู ปาก คอ แขน
ต๋าย ฮู่ง” ซึ่งเป็นประมุขของเทพเจ้าที่สถิตอยู่บน หน้าอก ท้อง ขา ข้างหัวด้านซ้าย ข้างหัวด้านขวา เท้า
สวรรค์ชนั้ สงู สุด และทาหน้าท่ีคอยดูแลมนษุ ย์โลกที่ทา และมอื แตข่ วัญของเด็กอายุต่ากวา่ ๑๒ ขวบ นน้ั ยงั ไม่
พิธีรอ้ งเรยี นและขอความเป็นธรรมจากเทพดา ในกรณี แน่นอนว่าจะอยู่กับตัวเด็กตลอดไปหรือไม่ จึงเรียกว่า
ท่ีวิญญาณบรรพบุรุษไม่สามารถช่วยเหลือลูกหลานได้ “เปย้ี ง” เมือ่ ขวญั แห่งใดแหง่ หนงึ่ ตกใจหรืออกจากร่าง
นอกจากนี้ยงั นับถือเทพเจา้ (ต้ม ตอ้ ง เม้ียน) ซงึ่ ปรากฏ ไป จะทาให้เจ้าของร่างกายเจ็บป่วยขึ้น ดังน้ัน
อยู่ในเทวภาพท้ัง ๑๘ เปน็ เทพท่ีมีอิทธิฤทธิ์มาก เทพที่ การเรียกขวัญของอ้ิวเม่ียนจึงเป็นวิธีหน่ึงที่สามารถ
ชาวอ้ิวเมี่ยนให้ความนับถือสูงสุด คือ “เล่งสี่ เล่งปู๊ รกั ษาอาการเจ็บปว่ ยได้
โต้ต๊ะ” ซ่ึงรวมเรียกว่า “ฟ่ามชิง” โดยชาวอิ้วเม่ียนจะ
เชิญเทพเจ้ามาเลี้ยงเฉพาะในพิธีที่เก่ียวข้องกับการ โชคลางและการทานาย : ชาวอ้วิ เม่ยี นเชือ่ ว่า
สร้างบุญบารมีให้แก่ตนเองท้ังในชาติน้ีและชาติหน้า ถ้าเจอสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ ตามทต่ี นเชอ่ื และนับถอื เช่น มีงู
เทพเจา้ ท่อี ้วิ เมี่ยนจาลองมากราบไหว้น้นั มีทั้งแกะสลกั เข้าบ้าน เก้งพลัดหลงเข้ามาในหมู่บ้านกระรอกโดด
จากไม้ หรือหิน และเป็นรูปภาพท่ีวาดโดยช่างจีน แต่ ผ่านหน้า และต้นไม้ล้มขวางทาง นกถ่ายอุจจาระใส่
ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะพบแค่รูปเทวภาพท่ีมีประมาณ ฯลฯ จะเป็นลางไม่ดี หรือลางบอกเหตุล่วงหน้า ซ่ึง
๒๔ รูป ใน ๑ ชุด ถูกเก็บไว้อย่างดีในห่อผ้าหรือกรุ เรียกว่า “เป๋นไกว๋” ซึ่งอาจจะเป็นการกระทาของ
ซ่งึ เรียกวา่ เม้ยี นคับ วิญญาณทีไ่ ม่ดี ถา้ หากเจอเหตุการณต์ ่าง ๆ นจ้ี ะตอ้ งมี
การทาพิธีสะเดาะเคราะห์ เพ่ือให้ส่ิงท่ีไม่ดีต่าง ๆ
เทพทั่วไป : ชาวอ้ิวเม่ียนเชื่อว่า ทุกหนทุก ผ่านพ้นไป และต้องอยู่กรรม หรือ “เก่” ๓ วัน
แห่งมีเทพหรือเจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าที่ ฯลฯ สิงสถิต แต่มี นอกจากนี้ ชาวอ้ิวเม่ียนยังมีความเช่ือในเรื่องการ
ทั้งดีและร้าย เทพที่ดีจะสิงสถิตอยู่บนสวรรค์ ส่วน ทานาย โดยดูจากกระดูกไก่จึงจะดาเนินกจิ กรรมต่าง ๆ
วิญญาณท่ีชั่วร้ายมักจะอยู่ตามต้นไม้และมักจะทา ด้วย ถ้าหากผลการทานายออกมาไม่ดีก็จะงดการทา
อนั ตรายผ้อู ่นื จงึ มกี ารประกอบพิธีกรรมทีเ่ กีย่ วกับเทพ กจิ กรรมนัน้ ๆ
และวญิ ญาณเหล่าน้ี โดยเฉพาะการทาพธิ ีเล้ียงเทพเจ้า
ป่าเจ้าเขา เพื่อขอบคุณท่ีได้ดูแลรักษาพืชไร่ สัตว์เล้ียง วันดีและการหาฤกษ์ยาม : ในวิถีชีวิตของ
ตลอดจนทุกคนในหมบู่ ้าน โดยการจดั พิธเี ลยี้ งวิญญาณ ชาวอ้ิวเมี่ยนอาจพูดได้ว่า กิจกรรมทุกอย่างที่สาคัญ
นี้จะทาพร้อมกันท้ังหมู่บ้าน อีกทั้งยังมีการประกอบ จะต้องเกี่ยวข้องกับฤกษ์ยามเกือบจะทุกกิจกรรม
พธิ กี รรมไล่วิญญาณชั่วร้าย (จ้นุ ฮ๋าว) อีกด้วย เพราะเร่ืองของพิธีกรรมเป็นสิ่งสาคัญและเป็นเรื่อง
ใหญ่ที่เก่ียวข้องกับการดาเนินชีวติ ประจาวนั ดังน้ันจึง
นอกจากชาวอิ้วเม่ียนจะมีความเชื่อเกี่ยวกับ จะต้องมกี ารเลอื กวนั ดีวนั มงคลก่อน ชาวอว้ิ เมย่ี นจงึ จะ
วิญญาณที่สิงสถิตในสถานที่ต่าง ๆ อาทิเช่น ป่า ภูเขา กล้าทากิจกรรมทสี่ าคัญต่าง ๆ แตห่ ากไม่เช่ือก็จะทาให้
หนองน้า แม่น้า จอมปลวก นรก และสวรรค์ ฯลฯ เกดิ ผลเสียตามมาภายหลัง

กลุ่มชาตพิ ันธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย | ๖๗

ชาติพันธ์ุ “อ้ิวเมี่ยน” ๔.๓ ประเพณี ดนตรีของอ้ิวเม่ียนค่อนข้างจากัด คือ ดนตรีของเม่ียน
ชนเผ่าอิ้วเมี่ยนจะนับ วัน เดือน ปี ตามแบบ จะมีโอกาสนาออกมาเล่นได้ก็โดยเฉพาะ เพ่ือใช้เป็น
ปฏิทินของจีนคือในรอบ ๑ ปี จะมีเดือนทั้งหมด ๑๒ ส่วนประกอบในการดาเนินพธิ ีกรรมใหญ่ ๆ หรอื สาคัญ
เดือน เดือนใหญ่มี ๓๐ วัน และเดือนเล็กจะมี ๒๙ วนั ตามที่ตาราพิธีกรรมระบุไว้ว่า ต้องใช้เคร่ืองดนตรี
เย้าไม่มีการนับวันเป็นสัปดาห์แต่จะนับเป็นรอบ ๑๒ ประกอบเท่าน้ัน เช่น การแต่งงาน พิธีบวช พิธีงานศพ
วัน โดยเรียกช่ือวัน เป็นสัตว์ ๑๒ ชื่อเหมือนกันรอบ พิธกี รรมดงึ วิญญาณคนตายจากนรก (เชวตะหยวั่ ) และ
๑๒ ปี เทศกาล และประเพณีท่ีสาคัญของเยา้ มดี งั นี้ ในบางพิธีกรรมเหล่านี้ การใช้เครื่องดนตรีร่วม
เทศกาลปีใหม่ ตรงกับวันตรุษจีน มีการ ประกอบพิธีกรรมยังไม่อาจใช้เคร่ืองดนตรีครบทุก
ประกอบพธิ ีท้ังหมด ๓ วนั โดยวนั แรกถือวา่ เปน็ วันส้ิน ประเภทอีกด้วย ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับชนิดของพิธีกรรมและ
ปเี ก่า จะเตรียมของใช้ที่ใช้ทุกอยา่ งให้เรียบร้อย วันสน้ิ คุณสมบตั ขิ องบุคคลที่เป็นเจ้าของพิธีกรรม เช่น ดนตรี
ปีนี้ เขาจะชักผ้า ทาความสะอาดบ้าน วันนี้จะเป็นวัน ประกอบพิธีกรรมแก่ผู้ตายที่ไม่เคยผ่านการบวชใหญ่
สดุ ทา้ ยทจี่ ะทาการเซน่ ไหวผ้ บี รรพบุรษุ ซึ่งบางบา้ นอาจ จะใช้ปี่ไม่ได้ หรือพิธีดึงวิญญาณคนตายข้ึนจากนรก
ไดท้ ามาก่อนแลว้ ภายใน ๑ สปั ดาห์ วันที่ ๒ ซงึ่ ตรงกบั จะใช้เคร่ืองดนตรีเพียงแค่ฉาบและกลองเท่านั้น
วนั ตรษุ จีนนัน้ ถือวา่ เป็นวันปีใหม่ หรือวันถอื เย้าจะทา นอกจากกรณีเพื่อเป็นส่วนประกอบทางพิธีกรรม
แต่สิ่งที่เป็นมงคลเท่านนั้ เช่น สอนให้เด็กเรียนหนังสือ ดังกล่าวแล้ว ดนตรีของอ้ิวเม่ียนไม่มีโอกาสส่งเสียง
หัดให้เด็กทางาน นาส่ิงท่ีดีขา้ งบ้านและจะไม่ทาบางสิ่ง สาเนียงใหผ้ ู้อ่นื ไดย้ ินอกี แมแ้ ตก่ ารฝกึ ซ้อม
บางอย่างที่ถือว่าเร่ืองไม่ดี เช่น จ่ายเงิน ทางานหนัก
ส่วนวันที่ ๓ นั้น ตามประเพณีแล้ว เย้าจะไปทาความ ประเภทของเครือ่ งดนตรีอว้ิ เม่ียน ได้แก่
เคารพบุคคลท่ีเคารพนับถือ แต่ในปัจจุบันน้ีทากันใน ปี่ ภาษาเม่ียนเรียกว่า “จยัด” โดยชาว
บางหมบู่ า้ นเทา่ นัน้ อ้ิวเมี่ยนมีปี่เพียง ๑ ชนิด ทาด้วยทองแดง ทองเหลือง
เทศกาล เชง็ เม้ง ตรงกับวนั เซ็งเม้งของคนจีน เจาะรูตามลักษณะของป่ีโดยทั่ว ๆ ไป มีความยาว
เย้าจะทาพิธีเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษและหยุดงาน ๑ วัน ประมาณไม่น้อยกว่า ๕๐ ซม.
เทศกาล เจียะ เจียบ เฝย ตรงกับวันที่ ๑๔ เดือน ๗ กลอง ภาษาเมี่ยนเรียกว่า “โฌย๋, ล่อโฌย๋”
(ตรงกับสารทจีน) ตามปฏิทินจีน เทศกาลนี้เย้าถือว่า เ ป็ น ก ล อ ง ส อ ง ห น้ า หุ้ ม ด้ ว ย ห นั ง โ ค มี ข น า ด
เป็นวันปีใหม่ของผีทั้งหลายและเป็นเทศกาลที่สาคัญ เส้นผา่ ศนู ยก์ ลางตั้งแต่ ๓๐ – ๖๐ ซม. ไม้ทใ่ี ชท้ ากลอง
ก่อนท่ีจะถึงวันที่ ๑๔ หน่ึงวัน เขาจะเตรียมส่ิงของ ต้องเป็นไม้ (ตะจูงกง) และจะมีไม้ท่ีมีขนาดเล็กเสียบ
ต่าง ๆ ท่ีจะใช้ในพิธีกรรม เช่น กระดาษ ขนม เม่ือถึง อยู่รอบ ๆ กลองทง้ั หมด ๓๐๐ อัน
วันท่ี ๑๔ จะทาการเซ่นไหว้ผีต่าง ๆ ท้ังหมด วันที่ ๑๕ ฆ้อง ภาษาเม่ียนเรียกว่า “มัง” ทาด้วยโลหะ
เดอื น ถอื วา่ เปน็ ปลอ่ ยผี จะไมไ่ ปทางานในไร่ ผสมทองแดง มีรูปร่างเหมือนฆ้องไทยโดยท่ัว ๆ ไป
นอกจากน้ีแล้ว ยังมีวันหยุดตามประเพณี มีเสน้ ผา่ นศูนยก์ ลางต้ังแต่ ๑๕ – ๒๕ ซม.
เรียกว่าวันกรรม ซ่ึงมีวันกรรมเสือ วันกรรมนก ฉาบ ภาษาเมี่ยนเรียกว่า “เฉาเจ้ย, ฉาว” ทา
วันกรรมหนู วันกรรมฟ้า และวันกรรมเซ็งเมง้ เปน็ ตน้ จากทองเหลือง (ต่งแปะ) มีลักษณะกลมเช่นเดียวกับ
เครื่องดนตรีของอิ้วเม่ียนมีลักษณะเป็นการ ฉาบของชาวไทยและมสี องอนั ใช้ตีประกบเข้าด้วยกนั
เล่นดนตรีแบบง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน โอกาสในการเล่น

๖๘ | กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย

การละเล่นของกลมุ่ ชาติพนั ธุอ์ ้ิวเมยี่ น ชาติพันธ์ุ “อ้ิวเมี่ยน”
ในชวี ิตประจาวนั ของชาวอิว้ เม่ียน การละเล่น
เคร่ืองดนตรขี องชนเผ่าอ้ิวเม่ียน ที่แสดงออกถึงความร่ืนเริงตามประเพณี และเทศกาล
ต่าง ๆ กล่าวได้ว่าในปัจจุบันแทบจะไม่มีโดยสิ้นเชิง
ภาพจาก facebook มลู นิธอิ ้วิ เมี่ยนไทย Iu Mien Thai Foundation โดยเฉพาะการละเลน่ ในวัยผใู้ หญ่หรอื วัยหนุ่มสาว สว่ น
การละเล่นของเดก็ ๆ มเี พียงไมก่ อี่ ยา่ ง เชน่ การเล่นไล่
เพลงของกลุ่มชาตพิ ันธ์ุอิว้ เม่ยี น จับกัน ซึ่งเล่นรวมกันทั้งเด็กชายและหญิง การเล่น
ลักษณะเพลงท่ีชาวอิ้วเมี่ยนนิยมขับร้องกัน ลูกข่าง การเดินไม้โกงกาง ชาวอ้วิ เมยี่ นไม่มกี ารละเล่น
เป็นเพลง อิ้วเม่ียนสมัยใหม่ท่ีนาทานองเพลงดังของ ต า ม ป ร ะ เ พ ณี ป ร ะ จ า เ ท ศ ก า ล ที่ มี รู ป แ บ บ ชั ด เ จ น
ไทยมาใส่ภาษาเมี่ยนเป็นเนือ้ รอ้ ง โดยทานองเพลงมที ้ัง โดยเฉพาะการละเลน่ ของอ้ิวเมี่ยน มกั เป็นการละเล่นท่ี
เพลงลูกทุ่งและลูกกรุง ต่อมาศิลปินชาวอ้ิวเม่ียนจึง อาศัยเล่นในโอกาสของงานพิธีกรรมต่าง ๆ และก็
นิยมไปเล่นดนตรีตามงานประเพณีต่าง ๆ ของชาว มักจะเป็นพิธีแต่งงานกับวันปีใหม่เท่านั้น ที่สามารถ
อิ้วเม่ียน และทาเพลงเป็นอัลบ้ัมวางขายให้แก่ชาว แสดงการละเล่นไดอ้ ย่างสนุกสนานเต็มที่
อ้ิวเม่ียนท่ีสนใจมารับชมดนตรีในงานด้วย ปัจจุบัน หนังสต๊ิก (ถางกง) ทามาจากไม้ ชาวอ้ิวเม่ียน
เยาวชนอิ้วเม่ียนยังได้จัดต้ังวงดนตรีอิ้วเม่ียนไปเล่น จะนาไม้ประมาณเท่ากับแขนท่ีปลายแยกออกจากกัน
ตามงานประเพณีเช่นกัน โดยนาทานองเพลงดังของ นามาแต่งให้สวยงามและพอกับมือจับ เอาหนังยางมา
ไทยมาใส่เนื้อร้องเป็นภาษาเม่ียน แต่มีรูปแบบดนตรี มัดให้สามารถดึงแล้วยิงได้ วิธีการเล่น คือ นาก้อนหนิ
ทหี่ ลากหลายท้ังเพลงร็อคและเพลงป๊อบตามสมัยนิยม มาวางตรงท่ีเป็นยาง ดึงแลว้ ปลอ่ ยใชเ้ ล่นยิงแขง่ กัน
การเตน้ ราของกลุม่ ชาตพิ นั ธอ์ุ ิ้วเมย่ี น ปืนไม้ไผ่ (พ้าง พ้าง) เป็นของเล่นที่เด็กนิยม
การราถาด การแสดงราถาดมักจะจัดแสดง เล่นกันมาก วิธีการทา คือ เอาไม้ไผ่ลาใหญ่ ขนาดเส้น
ขึ้นเพ่ือเป็นต้อนรับและอวยพรแขกในงาน โดยการ ผ่านศูนย์กลาง ๑ – ๒ เซนติเมตร มาทาเป็นกระบอก
เลือกใช้ถาดเปน็ อุปกรณป์ ระกอบการแสดงก็เพอ่ื ส่ือถึง ปนื และเหลาไม้อกี อนั มาใช้สาหรับเปน็ ตวั ยิง จะนาผล
ธรรมเนยี มการตอ้ นรบั แขกของชาวอ้วิ เมี่ยนท่ีมกั จะนา ของต้นไม้ชนิดหน่ึงมาเป็นกระสุนในการเล่น ชาว
ถ้วยน้าชาวางบนถาดและยกไปตอ้ นรบั แขก อ้ิวเมย่ี นเรียกวา่ พา้ ง พา้ ง เป้ียว
กระบอกสูบน้า (เฮ้าดงแฟะ) เป็นการละเล่น
เครอื่ งดนตรขี องชนเผา่ อิ้วเมี่ยน อีกอย่างหนึ่งที่ทามาจากไม้ไผ่ โดยใช้ไม้ไผ่ท่ีค่อนข้าง
แก่มาทาเป็นตัวกระบอก และทาท่ีสูบโดยการตัด
ภาพจาก facebook เสนห่ ์นา่ นวนั นี้ รองเทา้ แตะเกา่ หรือเอายางมามดั เปน็ วงกลมเสียบกับ
ท่ีสูบ การละเล่นจะใชก้ ระบอกสบู น้าข้ึนมาแลว้ กด็ ันน้า
ออกใส่กับเพื่อน ๆ ท่ีเล่นด้วย โดยจะละเล่นกระบอก
น้าในช่วงฤดูรอ้ น
ไม้โกงกาง (ม่าเกะเฮ้า) ไม้โกงกางทามาจาก
ไม้ไผ่ที่มคี วามสงู ประมาณ ๒ เมตร ตรงขาเหยียบจะสูง
ข้ึนมาจากพื้นประมาณ ๕๐ ซม. หรือสูงกว่านี้ก็ได้

กลุ่มชาติพนั ธ์ุ ในจงั หวัดเชยี งราย | ๖๙

ชาติพันธ์ุ “อ้ิวเมี่ยน” แล้วแต่ความตอ้ งการของแตล่ ะคน ซง่ึ เปน็ การละเลน่ ท่ี ภาษาเขียน
ถือว่าสนุกสนานมากในวัยเด็ก สามารถเล่นได้ทุก ในอดีตชนเผ่าอ้ิวเม่ียนไม่มีภาษาเขียน จึงได้
ฤดูกาล วธิ กี ารเล่น คือ ขึ้นไปเหยียบแล้วกว็ ิ่งแข่งกนั นาเอาภาษาเขียนของภาษาฮ่ันมาดัดแปลงใช้ แต่อ่าน
ออกเสียงเป็นภาษาเมี่ยน ในปจั จุบนั ใช้ภาษาจีนในการ
ขาหยัง่ เชอื ก (ม่าเกะฮาง) เป็นขาหยั่งท่ีทามา เขยี น
จากเชือก การละเล่นก็จะนาไม้ไผ่มาตัดเหลือไวแ้ ค่ข้อ ๔.๕ การแต่งกาย
ต่อทกี่ ัน้ ระหว่างปอ้ งเท่าน้ัน เจาะรูแลว้ นาเชือกสอดท้ัง เครื่องแต่งกายของชาวเม่ียนในอดีต จะทา
๒ ข้าง การเล่นก็เหมือนกันขาหยั่งธรรมดาเพียงแค่ใช้ การผลิตข้ึนมาใช้เองตั้งแต่กระบวนการแรก คือ ปลูก
ขาหนบี ท่เี ชอื กเท่านนั้ เอง ฝา้ ย ป่ันด้าย ทอผา้ และนามาปักลวดลายก่อนเยบ็ เป็น
เคร่ืองแต่งกาย ผู้หญิงเม่ียนทุกคนจะต้องหัดปักผ้า
ลูกข่าง (ตะโหลย) การละเล่นลูกข่างเป็น ตง้ั แตอ่ ายุ ๘ ขวบ พอเร่ิมเปน็ สาวรนุ่ อายุ ๑๓ - ๑๔ ปี
การละเล่นที่ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน และเป็น ก็จะปกั ลวดลายสาหรับตวั เอง แตล่ ะคนจะปักลวดลาย
การละเล่นของผูช้ าย โดยเมื่อถงึ เวลาทีว่ า่ งเว้นจากการ อยา่ งประณตี
ทาไร่ทาสวน ผู้ชายจะออกจากบ้านต้ังแต่เช้า เพื่อจะ เครอื่ งแตง่ กายของผูห้ ญิงเมี่ยน
ไปตัดไมเ้ นอื้ แข็งสาหรบั มาทาเป็นลูกข่างเมื่อกลบั มาถึง ประกอบดว้ ย
บ้านกจ็ ะเรมิ่ ทาลูกข่างโดยเหลาไปปลายไม้ให้แหลม ๆ ๑. กางเกง (โหว) กางเกงของผู้หญงิ มลี กั ษณะ
บางคนจะใสเ่ หลก็ ตรงปลาย เพอ่ื ใหล้ กู ขา่ งหมนุ ได้นาน คล้ายกางเกงขาก๊วย แต่จะปักด้วยลวดลายที่สวยงาม
จากนั้นก็จะมาเล่นกันโดยแบ่งเป็นสองฝ่าย ๆ ละก่ีคน มาก วิธีนุ่งก็คล้ายกับนุ่งกางเกงขาก๊วย บางทีก็อาจใช้
ก็ได้ สายผ้ารดั ใหแ้ น่นอีกชัน้ กอ่ นจะพนั ทับดว้ ยผ้ามัดเอว
๒. เส้ือ (อลุย) ตัวเส้ือเป็นสีดายาวคลุมถึงเทา้
ลูกแก้ว (ปู้สี่) ลูกแก้วนี้ถือว่าเป็นของเล่นอีก ผ่าหน้าตลอด สาบเส้ือด้านในจะปักด้วยลวดลายรอบ
อย่างหนึ่งของเด็กอิ้วเมี่ยน เมื่อถึงช่วงฤดูกาลหน่ึงเดก็ คอลงมาถึงเอว และติดด้วยไหมพรมสีแดงรอบคอ
อวิ้ เมีย่ นก็จะเปลีย่ นของเล่นไปตามฤดกู าลนนั้ การเล่น จนถงึ เอวเชน่ กัน ตวั เส้อื ชน้ิ หนา้ และชิ้นหลงั จะแยกกนั
ลูกแก้วนี้ก็ถือว่าเป็นอีกอย่างหน่ึงของการละเล่น โดยด้านข้างจะผ่าต้ังแต่ชายจนถึงเอวท้ังสองข้างและ
การเล่นลูกแก้วน้ีจะนาลูกแก้วมาตีแข่งกันโดยใช้มือ ติดพู่สีแดง ส่วนด้านหลังเป็นผ้าผืนเดียวยาวคลุมส้น
เล่น จะมีหลุมอยู่หลมุ หนึง่ เพ่อื การเล่น เท้า แขนยาว รอบปลายแขนจะขลิบด้วยผ้าสีขาว แดง
ดา และเดนิ ดว้ ยดา้ ยทีส่ านขนึ้ เองสีขาว - แดง (อาจมีสี
ก้านกล้วย (น้อมจิวแฝด) จะนาก้านกล้วยมา อน่ื ด้วย) กระดมุ เสอื้ จะทาด้วยเงนิ เป็นแผน่ ส่ีเหลี่ยมทา
ตัดใบทิ้ง ตัดก้านให้เป็นแฉก ๆ ให้ตั้งข้ึนหลาย ๆ ที่เกี่ยวด้านใน เสื้อตัวหน่ึงจะใช้กระดุม ๑๒ อัน
อัน แล้วใช้มือปัดลงเร็ว ๆ ก็จะมีเสียงเกิดขึ้นมาอย่าง ส่วนมากจะติดเฉพาะเส้ือที่ใช้ในงานสาคัญ ๆ เท่าน้ัน
ไพเราะ การเล่นชนิดนี้เป็นการละเล่นท่ีมีความ โดยท่วั ไปจะใชเ้ ข็มกลัด
ปลอดภยั มากทสี่ ดุ เด็ก ๆ จะนยิ มเล่นมาก ๓. ผ้าโพกศีรษะ (ฆ่องเป่ว) จะเป็นผ้าสีดา
มีความยาวประมาณ ๔ - ๕ วา กว้างประมาณ ๑ ฟุต
๔.๔ ภาษา ป ล า ย ผ้ า ทั้ ง ส อ ง ข้ า ง จ ะ ปั ก ด้ ว ย ล ว ด ล า ย ส ว ย ง า ม
ภาษาพดู
ในอดีตชนเผ่าอ้ิวเมี่ยนมีภาษาพูดเป็นของ
ตนเองคือ ภาษาแม้ว - เย้า ซึ่งเป็นกลุ่มภาษาย่อยจัด
อยูใ่ นตระกูลจนี - ทเิ บต ปจั จุบันใช้ภาษาเยา้

๗๐ | กลมุ่ ชาติพนั ธุ์ ในจังหวดั เชียงราย

การโพกศรี ษะของเม่ียนมี ๒ แบบ คอื แบบหน่ึงจะโพก ชาติพันธ์ุ “อ้ิวเมี่ยน”
แบบวนรอบ ๆ ศีรษะ แลว้ ปลอ่ ยให้ชายผ้าท่ีมีลวดลาย
โผล่มาสองข้างซ้าย - ขวา ส่วนอีกแบบหน่ึงนั้น การแตง่ กายของชนเผา่ อวิ้ เมีย่ น
มีลกั ษณะคลา้ ยกากบาท จะไมป่ ลอ่ ยชายออกมาแต่จะ
มีการปักลวดลายเม่ือโพกศีรษะแล้วลายจะอยู่กลาง ภาพจาก facebook มลู นิธอิ ิว้ เมยี่ นไทย Iu Mien Thai Foundation
หน้าผากพอดี
๔.๖ องคค์ วามรแู้ ละภูมปิ ัญญา
๔. ผ้าพันเอว (หละ ซิน) จะมีลักษณะ การย้อมผา้ และการปักผา้ ของชาวอิ้วเม่ียน
เชน่ เดยี วกับผ้าโพกศีรษะวธิ ีการนุ่ง จะสวมกางเกงกอ่ น ชาวอ้ิวเม่ียนนิยมย้อมผ้าด้วยสีเดียวเป็นสีดา
แล้วโพกศีรษะ จากนั้นสวมเสื้อ แล้วพันด้วยผ้าพนั เอว ปนกับสีแดง โดยเริ่มจากการซื้อผ้าดิบสีขาวจากเมือง
โดยมัดแล้วปล่อยชายท้ังสองข้างไว้ข้างหลัง ส่วนเสื้อ เชียงคา (บางคร้ังก็ซื้อผ้าดิบสีดามาย้อมสีแดงเลย)
สองแผ่นหน้าก็จะม้วนแล้วผูกเอวไว้ เพ่ืออวดลวดลาย นามาผสมกบั น้าปนู ขาว แชผ่ า้ ทิง้ ไว้ตอนกลางคนื ตอน
ท่สี วยงามของกางเกง เช้านาผ้าไปต้มและกรองด้วยนา้ ข้ีเถ้า จากน้ันนาผ้าไป
ตากให้แห้ง เมื่อย้อมสีดาเสร็จแล้วก็ย้อมด้วยสีแดง
เครอ่ื งแตง่ กายของผูช้ ายเมี่ยน ประกอบดว้ ย ต่อไป โดยใช้ไม้ไผ่และเปลือกไม้มะดู่มาให้สีแดง โดย
๑. การเกง (โหว) กางเกงของผู้ชายมีลักษณะ นาเปลือกไม้เหล่าน้ีมาต้มกับแป้งข้าวเหนียว เพื่อให้สี
แบบกางเกงขาก๊วย ไม่ปักลวดลาย ใช้ผ้าสีดา หรือสี แดงทีส่ กัดจากตน้ มะดู่สามารถยอ้ มตดิ ผา้ และแชผ่ า้ ทิ้ง
กรมทา่ ไว้ จากน้ันจึงนาผ้าท่ีย้อมมาต้มและกรองด้วยน้าขี้เถ้า
๒. เส้ือ (อลุย) ตัวเส้ือจะเป็นผ้าทอสีดาหรือสี และน้าปูนใส โดยย้อมสีไปเร่ือย ๆ จนครบ ๕ ครั้ง
กรม แขนยาว ปลายแขนกุ้นดว้ ยผ้าสีขาว – แดง - ดา เพ่ือให้ได้สีท่ีสวย ติดทนนาน ผ้าท่ีย้อมจะค่อย ๆ
เชน่ เดียวกบั ชายเส้ือ มีกระเปา๋ ๒ ขา้ งปักด้วยลวดลาย เปล่ียนสีจากสีดาสนิทกลายเป็นสีดาปนสีแดงเร่ือ ๆ
ตวั เส้ือผา่ คล้ายเสือ้ คนจีน ใช้กระดงิ่ เงนิ ติดเปน็ กระดุม จากนั้นให้ล้างด้วยน้าสะอาด และตากให้แห้ง ม้วนผ้า
วิธีการนุ่ง สวมกางเกงก่อน แล้วสวมเสื้อทับ และห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ เพื่อนาไปปักผ้า
ในสมัยก่อนผู้ชายก็โพกศีรษะด้วยเช่นกัน แต่ใน ต่อไป
ปจั จุบนั นี้ ไมน่ ยิ มโพกกันแลว้ อาจเพราะยุ่งยากและไม่ ภายหลงั จากยอ้ มผา้ เสรจ็ สิ้นแลว้ กรรมวิธกี าร
สะดวก ประดิษฐ์เครื่องแต่งกายที่สาคัญท่ีสุดของชาวอิ้วเมี่ยน
ในปัจจุบันการแต่งกายของชนเผ่าอ้ิวเม่ียน คือ การปกั ผ้า โดยหญงิ ชาวอว้ิ เมีย่ นขึน้ ชือ่ ว่า เป็นผ้ทู ่ีมี
น้ันจะแต่งกายชุดลาลองปกติ หากมีงานหรอื ประเพณี ความสามารถในการปกั ผ้าเปน็ อย่างยิ่ง แม้ว่าพวกเธอ
ตา่ ง ๆ ของชนเผ่าก็จะแต่งกายชุดประจาเผ่า หรือว่ามี จะต้องสาละวนกับภารกิจในชีวิตประจาวันท่ีเป็นงาน
การไปรว่ มงานของหน่วยงานราชการ กจ็ ะสวมชุดของ หนัก ท้ังงานในบ้านและไร่นาก็ตาม แต่ก็ยังสรรหา
ชนเผา่ เช่นเดียวกัน
กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ในจังหวดั เชียงราย | ๗๑

ชาติพันธ์ุ “อ้ิวเมี่ยน” เวลาว่างเท่าที่พอจะมีในแต่ละวันมารวมกลุ่มกันปกั ผา้
ช่วงเวลาน้ี แม่ ญาติผู้ใหญ่ หรือผู้อาวุโสที่เป็นผู้หญิง
มักจะสอนลูกสาวหรือหลานสาวให้สามารถปักผ้าได้ การปักผา้ ของชนเผา่ อิว้ เมี่ยน
ตง้ั แตย่ งั เยาวว์ ัย โดยเร่ิมสอนจากการปักลายพน้ื ฐานที่
ง่าย ตามที่ผู้ใหญ่แสดงลายผ้าตัวอย่างให้ดูเพ่ือให้ปัก ภาพจาก https://www.chiangraifocus.com/tatchiangrai
ตามนั้น พร้อมท้ังคอยให้คาแนะนาระหว่างที่เด็กหญงิ
ปักผ้า ทั้งนี้ การอบรมสั่งสอนให้ผู้หญิงชาวอ้ิวเมี่ยนมี ๕. แหลง่ อา้ งอิง
ความเช่ียวชาญในการปกั ผา้ เป็นเร่ืองที่สาคญั เปน็ อย่าง
มาก เพราะเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของกุลสตรีท่ีดีและ ประสิทธ์ิ ลีปรีชา และคณะ. (๒๕๔๗) เมี่ยน :
พวกเธอจะต้องปักชุดแต่งงานของตนเองและแม่ ใน ห ล า ก ห ล า ย ชี วิ ต จ า ก ขุ น เ ข า สู่ เ มือ ง.
ยามที่ต้องเข้าสู่พิธีแต่งงานอีกด้วย ทั้งน้ี การปักลาย มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ : เชียงใหม่.
ของชาวอ้ิวเมย่ี นจะจับผ้าและเข็มแตกตา่ งกับเผา่ อื่น ๆ
กลา่ วคือ ปกั ผ้าจากดา้ นหลงั ผา้ ขึ้นมางด้านหน้าของผ้า ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. (๒๕๖๔). กลุ่มชาติพันธ์ุ :
ดังนั้น จึงตอ้ งจับผ้าใหด้ ้านหน้าคว่าลง เมอ่ื ปักเสร็จแต่ อิ้วเม่ียน [อินเทอร์เน็ต]. สืบคืนเมื่อ ๑๕
ละแถวแล้วก็ม้วนและใช้ผ้าห่อไว้อีกช้ันหนึ่งเพื่อ ก ร ก ฎ า ค ม ๒ ๕ ๖ ๔ . ไ ด้ จ า ก :
ป้องกันส่ิงสกปรก ท้ังน้ี สาหรับการปักลายเสื้อผ้าเพ่ือ https://www.sac.or.th/databases/ethni
ใช้ทาเปน็ เคร่ืองแตง่ กายและของใช้ตามจารีตประเพณี c-groups/ethnicGroups/๘๕
นน้ั ชาวอิ้วเมี่ยนมวี ิธกี ารปกั ลายผา้ ๔ แบบ ไดแ้ ก่ การ
ปกั ลายเส้น (กิว่ ก่วิ ) การปักลายขัด (โฉง่ เกยี ม) การปกั
ลายแบบกากบาท (โฉ่งทิว) และการปักไขว้ (โฉ่ง ดับ
ยับ) เวลาปกั ลายจะต้องจดจาชื่อและวิธกี ารปกั ลายไป
พรอ้ ม ๆ กนั หากเป็นเสื้อผ้าของผู้หญิงจะนิยมปักลาย
ดอกไม้และลายเลอื่ ยท่ีเปน็ ซ่ี แตเ่ สื้อผ้าของผู้ชายจะไม่
ค่อยมีลายปัก หากมีก็จะมีลวดลายเพียงเล็กน้อย
ส่วนใหญ่เป็นลายนกหรือต้นไม้ ในอดีตสมัยที่การ
คมนาคมและการค้าขายยังไปไม่ถึงบนดอย ชาว
อ้วิ เมยี่ นสว่ นใหญน่ ิยมใชส้ ีปักลายเพยี ง ๕ สเี ท่านน้ั คือ
สีแดง เหลือง น้าเงิน เขียว และสีขาว ทว่านับตั้งแต่
ช่วง ๒ ทศวรรษท่ีผ่านมา ชาวอิ้วเมี่ยนนิยมปักลายผ้า
เพมิ่ มากขึน้ และใช้สีตา่ ง ๆ เพ่มิ ข้นึ

๗๒ | กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ในจังหวดั เชียงราย

ศูนย์ศิลปชนแห่งประเทศไทย. (๒๕๕๑). ชนเผ่าใน ชาติพันธ์ุ “อ้ิวเมี่ยน”
ประเทศไทย ชนเผ่าอิ้วเม่ียน (Iu Mien)
[อินเทอร์เน็ต]. สืบคืนเม่ือ ๑๕ กรกฎาคม
๒๕๖๔. ได้จาก: http://www.openbase.
in.th/node/๓๔๕๐

สัมภาษณ์
นายกุเฉง อภิญญาวิศาล ผู้นาจิตวิญญาณชน

เผ่า บ้านห้วยแม่ซ้าย ตาบลแม่ยาว อาเภอเมือง
เชียงราย จังหวัดเชียงราย. (๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔).
สัมภาษณ์

นายบุญศรี อภญิ ญาวศิ าล ประธานวฒั นธรรม
ชนเผ่าอ้ิวเม่ียน บ้านห้วยแม่ซ้าย ตาบลแม่ยาว อาเภอ
เมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย. (๒๗ กรกฎาคม
๒๕๖๔). สัมภาษณ์

นางชนัญพร อภิญญาวิศาล องค์ความรู้ด้าน
ปักผ้าชนเผ่าอ้ิวเมี่ยน บ้านห้วยแม่ซ้าย ตาบลแม่ยาว
อาเภอเมืองเชยี งราย จังหวัดเชยี งราย. (๒๗ กรกฎาคม
๒๕๖๔). สมั ภาษณ์

นางเฉงคจร อภิญญาวิศาล องค์ความรู้ด้าน
การทาอาหาร บ้านห้วยแม่ซ้าย ตาบลแม่ยาว อาเภอ
เมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย. (๒๗ กรกฎาคม
๒๕๖๔). สมั ภาษณ์

กลมุ่ ชาติพนั ธุ์ ในจงั หวัดเชยี งราย | ๗๓

ชาติพันธุ์ “ลัวะ”

ชาตพิ นั ธุ์ “ลวั ะ”
Lua

“ลัวะ หรือ ละว้า หรือ ละเวือะ คือชนเผ่า ชาวลัวะได้เข้ามาตั้งถ่ินฐานอยู่ในเขตเมือง
พื้นเมืองก่อนชาติพนั ธุ์ไท เป็นเจ้าของพ้ืนท่ีดั้งเดิมก่อน เชียงใหม่ เม่ือประมาณ ๙๐๐ ปีมาแล้ว ชาวมอญจาก
การสร้างชาตริ ัฐล้านนา ในอดีตลวั ะเคยมีววิ ฒั นาการท่ี ลพบุรีซึ่งเป็นผู้สร้างเมืองล้าพูนและล้าปาง ได้รุกราน
เจริญรุ่งเรือง มีการสร้างบ้านแปลงเมอื ง มีระบอบการ ชาวลัวะจนต้องหนีไปอยู่บนภูเขากลายเป็นชาวเขาไป
ปกครอง มีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตเป็นอัตลักษณ์เป็น ต่อมาในพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ ชนชาตไิ ทยได้อพยพเข้าสู่
ของตนเอง” ดินแดนแถบนี้ และตีชาวมอญแตกพ่ายไปและมี
สัมพนั ธไมตรีกบั ชาวลวั ะ
๑. ประวตั ศิ าสตรค์ วามเป็นมาของชาติพันธุ์
ชาวลัวะเองก็เชื่อว่า บรรพบุรุษของเขาเคย
ประมาณ ๑,๓๐๐ ปีมาแล้ว ก่อนท่ีชาวมอญ อาศัยอยู่ในเชียงใหม่ และเป็นผู้สร้างวัดเจดีย์หลวง
จะน้าความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เขตลุ่มน้าปิง บรรพบุรุษ ก่อนท่ีไทยจะเข้าสู่ดินแดนแถบน้ี ลัวะมีกษัตริย์ของ
ของละว้า ได้มีการตั้งถ่ินฐานอยู่แล้ว ละว้าหรือที่คน ตนเอง และองค์สุดท้ายคือขุนหลวงวิลังก๊ะ ซึ่งถูกพระ
ไทยภาคเหนือเรียกว่า “ลัวะ” นั้น เป็นกลุ่มชน นางจามเทวี กษัตรยิ ์แหง่ นครหรกิ ุญชยั (ล้าพูน) ตีแตก
ออสโตรนีเซียนและเรียกตัวเองว่า “ละเวียะ” ถ่ิน พา่ ยไปอย่บู นป่าเขา
ก้าเนิดที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เป็นที่เช่ือกันว่า
อพยพมาจากทางตอนใต้ของไทย มลายา หรือ เขมร มีลัวะบางสว่ นท่อี าศัยอย่พู ืน้ ราบ แต่กลุ่มนี้รับ
เม่ือประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแลว้ บางคนเชอ่ื ว่า ชาวลวั ะ วฒั นธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีตา่ ง ๆ จากคนไทย
เป็นเช้ือสายเดียวกับชาวว้าที่อยู่ทางภาคเหนือของ จนสูญเสียเอกลักษณ์ของตัวเองไปเกือบหมดแล้วลัวะ
เมียนมารแ์ ละตอนใต้ของมณฑลยนู นานในประเทศจีน หรือละวา้ เป็นเจ้าของถ่นิ เดิมภาคเหนือ กอ่ นทไ่ี ทยเรา
เพราะมีความคล้ายคลึงกันทางด้านภาษา ลักษณะ จะอพยพลงมาสู่แคว้นสุวรรณภูมิ ตามต้านานของ
รปู รา่ งและการแต่งกาย เชียงรายได้บันทึกไว้ว่า ชาวละว้า เคยมีอ้านาจ
ปกครองไทยสมัยหนึ่งเป็นเวลาพอสมควร แต่ต่อมา
๗๔ | กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ ในจังหวดั เชยี งราย

ภายหลังได้เกิดการต่อสู้รบพุ่งกัน ไทยประสบชัยชนะ น้าเอาเศษพระภูษาของพระนางมาท้าเป็นหมวก ชาติพันธุ์ “ลัวะ”
ได้ฆ่าฟันขับไล่และท้าลายล้างชาติละว้า ชาวละว้า ส้าหรบั ผชู้ าย น้าเอาใบพลูมาทา้ หมากสา้ หรับเคยี้ วโดย
หรือลวั ะ เปน็ จา้ นวนไมน่ ้อยทห่ี นกี ระจัดกระจายไปอยู่ เอาปลายใบพลูมาจ้ิมเลือดประจ้าเดือนของพระ นาง
ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ล้าพูน ล้าปาง อาศัยอยู่ใน แล้วให้ทูตน้าของสองสิ่งน้ีไปถวายแด่ขุนหลวง ขุน
บริเวณห่างไกลจากเขตเจรญิ โดยตั้งบ้านเรือนรวมกนั หลวงได้รบั ของฝากจากพระนางเปน็ ที่ปลาบปล้ืมอย่าง
เป็นหมู่บ้านเฉพาะชาวของเขาครั้นบ้านเมืองย่างเข้าสู่ ย่ิง น้าหมวกใบนั้นมาสวมลงบนศีรษะ และกินหมากที่
ความเจริญ โดยมีถนนหนทางติดต่อไปมาท่ัวถึงกัน พระนางท้ามาถวาย ซึ่งของท้ังสองส่ิงน้ีชาวล้านนาถือ
รัฐบาลไทยได้ขยายการศกึ ษาแพรห่ ลายออกไป บรรดา ว่าเป็นของต้่า ทา้ ให้อ้านาจและพลังของขุนหลวงเสื่อม
ลูกหลานชาวลัวะซึ่งนบั ถือศาสนาพุทธมาตั้งแต่ด้ังเดิม ลง เมื่อพุ่งเสน้าอกี ครง้ั ต่อมาแรงพุ่งลดลงเสน้ามาตกที่
แ ล ะ มี ข น บ ธ ร ร ม เ นี ย ม ป ร ะ เ พ ณี ค ล้ า ย ค ลึ ง ค น ไ ท ย บริเวณเชิงดอยสุเทพ ชาวบ้านเรียกว่า หนองสะเหนา้
เผ่าอ่ืน ๆ ก็กลายเป็นชาวเหนือมากข้ึนทุกที ซึ่งอาจ เช่นเดียวกัน ขุนหลวงเมื่อเสื่อมวิทยาคุณเช่นน้ัน ก็หนี
ทา้ นายไดว้ ่า อนาคตอันใกลน้ ้ชี าวละวา้ หรือลัวะจะตอ้ ง ออกจากบ้านเมืองไป ก่อนสิ้นชีวิต ขุนหลวงวิรงั คะได้
สิ้นสูญชาตพิ ันธ์ไุ ปอย่างแนน่ อน ขอให้เสนาอ้ามาตย์น้าศพของท่านไปฝังไว้ ณ สถานท่ี
ท่ีขุนหลวง จะสามารถมองเห็นเมืองหริภุญไชยได้
๒. โครงสรา้ งทางสงั คม ตลอดเวลา ทหารได้จัดขบวนศพของขุนหลวงจากเชิง
ดอยสุเทพข้ึนสู่บนดอยสุเทพเพื่อหาสถานที่ ฝังตาม
๒.๑ การปกครอง ค้าส่ัง ขบวนแห่ศพได้ลอดใต้เถาไม้เล้ือยชนิดหนึ่ง
เดิมชาวลัวะมีการปกครองโดยผู้น้าชนเผ่า เรียกว่า เครือเขาหลง ซ่ึงเชื่อว่าถ้าผู้ใดลอดผ่านจะท้า
หรือหัวหน้าเผ่า และมีผู้ช่วยผู้น้าชนเผ่า ที่คอย ให้พลัดหลงทางกันได้ ขบวนแห่ศพขุนหลวงได้พากัน
ควบคุมดูแลชาวบา้ นเผ่าลวั ะ ตอ่ มาเมอ่ื ได้อพยพมาต้ัง พลัดหลงกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง นักดนตรี
ถิ่น ฐาน ซึ่ง อยู่ใน พ้ืน ที่หมู่บ้าน ปาง เก าะ ทร า ย บ า ง ค น พ ลั ด ห ล ง ไ ป พ ร้ อ ม กั บ เ ค รื่ อ ง ด น ต รี ข อ ง ต น
การปกครองจงึ ต้องอยภู่ ายใตก้ ารปกครองโดยของผู้น้า นิทานเล่าว่าภูเขาที่นักดนตรีผู้นั้นหลงจะปรากฏมี
ชุมชน (พ่อหลวงบ้าน) บ้านปางเกาะทราย ต. ป่าหุ่ง รูปร่างคล้ายเครื่องดนตรี นั้น ๆ บนยอดเขาสุเทพ-ปุย
อ. พาน จ. เชียงราย และจะมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ๑ คน จะมีภูเขาช่ือต่าง ๆ ดังนี้ ดอยฆ้อง ดอยกลอง ดอยฉิ่ง
ที่เป็นคนในหมู่บ้านใหม่สามัคคีธรรม (บ้านลัวะใหม่) ดอยสว่า บางแห่งเป็นที่แคบและฝาครอบโลงศพปลิว
เพื่อคอยท้าหน้าที่ควบคุมดูแลและคอยประสานงาน ตก บริเวณน้ันเรียกว่า กิ่วแมวปลิว (ค้าว่า แมว
ให้กับผูน้ า้ ชมุ ชน หมายถึง ฝาครอบโลงศพท่ีท้าด้วยโครงไม้ไผ่ใช้ตกแต่ง
๒.๒ ผู้นา/บุคคลสาคญั ดา้ นบนของฝาโลงศพ) เสนาอามาตย์ท่ีหามโลงศพของ
ขุนหลวงวิรังคะ เป็นผู้ทรงพลังและชา้ นาญใน ขนุ หลวงไดเ้ ดินทางไตต่ ีนเขาไปทางทศิ เหนอื ถึงบริเวณ
การพุ่งเสน้า (เสน้า หมายถึง หอกด้ามยาวมีสองคม) แหง่ หนึง่ โลงศพไดค้ ว่้าตกลงจากที่หาม เสนาอามาตย์
ขุนหลวงพุ่งเสน้าคร้ังแรกตกท่ีนอกกา้ แพงเมืองหรภิ ญุ จึงได้ฝังศพของขุนหลวงไว้ ณ สถานที่บนภูเขาแห่งน้ี
ไชยด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ปัจจุบันเรียกว่า หนอง ซึ่งจะสามารถมองเห็นเมืองหริภุญไชยได้ตลอดเวลา
เสน้า พระนางจามเทวีเหน็ วา่ จะเปน็ อนั ตรายยิง่ ถ้าขนุ ยอดภูเขานี้ชาวบ้านเรียกว่า ดอยคว่้าหล้อง (หล้อง
หลวงวิรังคะพุ่งเสน้ามาตกในก้าแพงเมืองตามสัญญา หมายถงึ โลงศพ)
พระนางจึงใช้วิชาคุณไสยกับขุนหลวงวิรังคะ โดยการ
กล่มุ ชาติพนั ธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย | ๗๕

ชาติพันธุ์ “ลัวะ” ปัจจุบันชาวบ้านยงั เรียกชื่อภูเขาลูกน้วี ่า ดอย แตค่ งยากท่ีจะเคียงขา้ ง
คว้่าหล้อง ต้ังอยู่บนภูเขาบริเวณเหนือน้าตกแม่สา เปน็ นางคูพ่ ระบารมเี จา้ ลวั ะ…แลเฮย
อ้าเภอแมร่ ิม จงั หวัดเชียงใหม่ ยอดเขาเปน็ รปู สี่เหลี่ยม งามเจ้างามโอ้แมเ่ อ๋ย เลยอา่ นเหตกุ ารณ์งานเมอื ง
ตัดลักษณะคล้ายโลงศพ บนยอดเขามีศาลของ จ้าแต่งเครือ่ งไปคารวะ เปน็ บรรณาการ ผลงานพ่เี จา้
ขุนหลวงวิรังคะต้ังอยู่ ชาวบ้านบริเวณเชิงเขาเล่าว่า แมน้ มมี หาเวทฤทธิ์ไกร จูงพเ่ี จ้าแหลงสะเหน้ามา
กลางคืนเดือนเพ็ญบางครั้งจะได้ยินเสียงดนตรีบรรเลง ยงั กลางใจเมอื ง แยบยลจนสนั่นธรณี
บนยอดเขา เชอื่ กันว่าวิญญาณของขนุ หลวงสถิตอยู่บน
ดอยควา่้ หลอ้ ง เจา้ แม่เทวมี กี ลศึกแยบคาย
ใส่หมายไวท้ ีป่ ลายใบปูผ้าหัวผืนงาม
บริเวณเชิงเขา มีหมู่บ้านลัวะหมู่บ้านหนึ่งชื่อ ขุนศึกหนุ หนั บท่ นั คิด มนต์ฤทธ์ิจึงเสือ่ มสลาย
วา่ บ้านเมอื งก๊ะ มาจากชือ่ ของขุนหลวงวิรงั คะ เช่อื กัน สะเหนา้ ท่ีพงุ่ มาหมายจงึ วายเสียทีน่ อกเมือง
ว่า ชาวลัวะเหล่าน้ีเป็นเชื้อสายของขุนหลวงวิรังคะ เจา้ ลัวะจึงตรอมใจตาย วายชนม์เสยี ท่ีบนดอย
ที่หมู่บ้านแห่ง น้ีมีศาลที่สถิตวิญญาณของขุนหลวง
และทหารซ้ายและขวาของขุนหลวงอีก ๒ ศาล เผา่ ลัวะเลยล่มสลายแต่นน้ั มา”
ชาวบ้านจะเซ่นสรวงดวงวญิ ญาณขุนหลวงและทหารปี ๒.๓ ระบบครอบครวั และเครอื ญาติ
ละคร้ัง ชาวบ้านเล่าว่า ดวงวิญญาณของขุนหลวงจะ ชาวลัวะน้ันเป็นครอบครัวขยายแต่ปลูกสร้าง
สถิตอยู่ ๓ แห่งได้แก่ บนดอยคว่้าหล้อง ศาลท่ี เรือนพักอาศัยในพ้นื ท่ีเดียวกนั กับ บ้านที่เป็นหลังหลัก
บ้านเมืองก๊ะ อ้าเภอแม่ริมและอีกแห่งหน่งึ คือ บริเวณ ของพ่อแม่จะให้ลูกชายคนเล็กเป็นผู้ถือครอง และเป็น
ดอยค้า อ้าเภอเมือง ซึ่งตั้งอยู่ทิศใต้ของดอยสุเทพ ผู้ที่จะ ต้อง อยู่กับพ่ อแ ม่ไ ป ต ลอ ดไ ม่ว่ า จะ แ ต่ง ง า น มี
ปจั จุบนั บนยอดดอยมวี ัดชื่อว่า วัดพระธาตดุ อยค้า บน ครอบครัวแล้วก็ตาม ส่วนลูกชายคนอื่น ๆ นั้นจะ
วัดแห่งนี้มีอนุสาวรียข์ ุนหลวงวริ งั คะประดิษฐานที่ลาน จัดแบ่งพืน้ ทใ่ี นบริเวณขอบเขตเดียวกันให้ไปสร้างบ้าน
วัดใกล้เจดีย์ และที่ดอยค้าแห่งน้ีเป็นที่สถิตดวง ตามแต่อัตภาพ และกา้ ลังอันพึงมี
วิญญาณของหัวหน้าลัวะซ่ึงเป็นบรรพบุรุษของขุน ลวั ะมีระบบการแตง่ งานแบบผัวเดียวเมยี เดียว
หลวงวิรังคะ ชื่อว่า ปู่แสะ ย่าแสะ ซึ่งจะมีการเลี้ยงผปี ู่ โดยฝ่ายหญิงจะเข้าไปอยู่ฝ่ายชายและนับถือผีบรรพ
แสะย่าแสะ ดว้ ยควายทุกปี หรือ ๓ ปีครั้ง บุรุษฝ่ายชาย บุตรที่เกิดมา อยู่ในส่วนเครือญาติของ
ฝ่ายพอ่ ในครัวเรอื นหน่ึง ๆ โดยทั่วไปประกอบดว้ ยสามี
“ต้านานนกั รบเจนจบมหาเวท ภรรยา บุตร บุตรชายคนโตต้องไปสร้างใหม่เม่ือ
เป็นใหญ่อยูย่ ั้งเขตลุม่ น้าระมิงค์ แต่งงาน บตุ รชายคนสุดท้ายจะตอ้ งเปน็ ผู้ทีไ่ ดร้ ับมรดก
มีนามวา่ ขนุ วริ ังคะทรงฤทธ์ิเดชเดชา และเลี้ยงดูพ่อแม่ตลอดชีวิต หน้าท่ีในครัวเรือนจะแบง่
ปกป้องบา้ นเมอื งลุม่ ฟ้าประชารม่ เยน็ สบื มา ออกตามอายุ และเพศ กล่าวคือ ผู้หญิงมีหน้าท่ี
เมื่อเอ่ยเมอ่ื ได้มาเห็น เชงิ รบบ่เคยยากเขญ็ รับผิดชอบหาฟืน ตักน้า ต้าข้าว ท้าอาหาร และทอผ้า
แต่เชิงรักสิมนั ยากเย็น…บเ่ ป็นใจแท้ ผู้ชายมีหน้าที่ซ่อมแซมบ้าน ท้ารั้ว ไถนา และล่าสัตว์
เมอ่ื มาต้องใจเจา้ แม่…จามเทวี สว่ นงานในไรเ่ ปน็ หน้าท่ีของทงั้ สองฝา่ ย ตอ้ งชว่ ยกนั ท้า
ขัตติยะนารี พระนามน้ีลอื ไกล รวมทั้งสมาชิกวัยแรงงานทุกคนในครอบครัวด้วยงาน
วริ งั คะเปงิ ใจ ใครไ่ ด้มาเปน็ คูข่ ้าง ด้านพิธีกรรมถือเป็นหน้าท่ีรับผิดชอบของผู้ชายเกือบ
เจา้ แม่ชาตขิ ัตตยิ ะ จามเทวบี ม่ หี มองหมาง ทั้งหมด

๗๖ | กล่มุ ชาติพันธ์ุ ในจงั หวดั เชียงราย

๓. วถิ ชี วี ิตความเปน็ อยู่ ๓.๒ การประกอบอาชพี ชาติพันธุ์ “ลัวะ”
ชาวลวั ะ บา้ นใหม่สามคั คีธรรม (บา้ นใหม่ลัวะ)
๓.๑ ทีอ่ ยอู่ าศยั เดิมท่ีเคยต้ังถ่ินฐานรกรากอยู่ที่บ้านห้วยน้าขุ่น อ้าเภอ
บ้านพักอาศัยนิยมสร้างโดยมีคติท่ีว่าไม่คว ร แม่ฟ้าหลวง เมื่อมีประชากรเพ่ิมข้ึนประกอบกับการ
หันหน้าบ้านไปในทางทิศใต้เพราะเป็นทิศของคนตาย ห้ามตัดไม้ท้าลายป่าเพ่ือขยายพ้ืนท่ีท้ากิน จึงส่งผลให้
ลักษณะเรือนเคร่ืองสับหลังคามุงหญ้าคาคลุมด้านบน ชาวลัวะต้องอพยพย้ายถนิ่ ฐานเพ่อื หาทีท่ า้ กนิ ใหม่ ในปี
ยอดหน้าจ่ัวมีการติดไม้แกะสลักลักษณะคล้าย กาแล ๒๕๒๗ จึงชักชวนกันมาอยู่ที่บ้านแม่ต๋อง ต้าบลป่าหุ่ง
ดา้ นลา่ งบริเวณใตถ้ นุ เรือนใชเ้ ปน็ คอกสัตวแ์ ละเก็บฟืน อ้าเภอพาน แต่ก็ต้องเจอปัญหาเรื่องที่ท้ากินไม่
ปัจจุบันมีการปรับเปล่ียนรูปทรงบ้านใหม่ท่ีมี เพยี งพอตอ่ จ้านวนประชากรท่ีเพม่ิ ขนึ้ ทกุ ๆ ปี ต่อมาใน
ความทันสมัย ทั้งรูปทรงและวัสดุอุปกรณ์ที่มีหลาย ปี ๒๕๓๙ จึงตัดสินใจย้ายมาหาที่อยู่ใหม่ โดยมาซ้ือ
แบบ เช่น บ้านชั้นเดียวจะสร้างด้วยอิฐบล็อกและ สวนของคนพ้ืนเมืองเพื่อสร้างบ้านเริ่มต้นมีคนย้ายลง
หลังคากระเบ้ือง ส่วนบ้านสองชั้นนน้ั ชั้นล่างจะเปน็ อิฐ มาประมาณ ๓๙ หลังคาเรือน และต้ังชุมชนชนข้ึนมา
บลอ็ กชัน้ บนสร้างด้วยไม้ และบา้ นชั้นเดยี วท่ีท้าด้วยไม้ เรียกว่า บ้านลัวะใหม่ ซ่ึงอยู่ในเขตความรับผิดชอบ
ไผ่ยกสูงมใี ตถ้ นุ บา้ น ของบ้านปางเกาะทราย ต้าบลป่าหุ่ง อ้าเภอพาน
จงั หวัดเชียงราย
บ้านชาวลวั ะสมยั อดีต ท่ียังคงใช้พักอาศัยในปจั จุบนั ชาวลวั ะบ้านใหม่สามคั คีธรรม (บ้านลัวะใหม่)
บา้ นใหม่สามัคคีธรรม (บา้ นลวั ะใหม่) ต.ปา่ หุง่ อ.พาน ประชากรส่วนใหญ่ประอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น ท้า
ไร่ ท้าสวน จึงมีการเลือกพ้ืนท่ีท้ากินที่ยังคงเป็นพื้นท่ี
เชิงเขาท้าไร่ข้าวโพด และปลูกข้าวไร่ ปีละครั้ง ต่อมา
ช า ว ลั ว ะ ไ ด้ มี ก า ร ป ลู ก ข้ า ว ไ ร่ น้ อ ย ล ง พ้ื น ท่ี จึ ง ถู ก
เปลี่ยนเป็นท้าไร่ข้าวโพด สับปะรด และสวนล้าไย
ตลอดจนท้าสวนผสมกันมากข้ึน พ้ืนที่ข้างสวนหรือ
ข้างๆ ไร่ ก็จะปลกู ผกั สวนครัวไว้ทานและขายในตลาด
หรือมีพ่อค้าเข้ามารับซ้ือในหมู่บ้าน เช่น ผักกาด
คนื่ ช่าย ผักชี ตน้ หอม และสะระแหน่ เป็นต้น

บ้านชาวลัวะสมัยปจั จุบันท่มี กี ารปรับเปล่ียนตามยุคสมัย
บา้ นใหม่สามคั คีธรรม (บา้ นลัวะใหม่) ต.ปา่ หงุ่ อ.พาน

กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ ในจังหวัดเชยี งราย | ๗๗

ชาติพันธุ์ “ลัวะ” เป็นเครื่องจิ้มสาหรับผักและข้าวเหนียว ประเภท
เนือ้ สตั วจ์ ะกนิ ในโอกาสพเิ ศษ หรือยามเซน่ ผี
ลกั ษณะพน้ื ทท่ี า้ กินและการประกอบอาชีพของชาวลัวะ
ชาวลัวะบ้านใหม่สามัคคีธรรม มีอาหาร
บา้ นใหม่สามัคคีธรรม (บา้ นลวั ะใหม่) ต.ป่าหุ่ง อ.พาน พ้ืนบ้านที่ได้รับการสืบทอดวิธีการปรุง วิธีการกินมา
จากคนรุ่นก่อนบางอย่างมีปารปรับเปล่ียนไปตามยุค
ชาวลัวะ มีอาชีพทางเกษตรกรรม ทานา ไร่ สมัย อาหารส่วนใหญ่อาศัยวัตถุดิบที่เก็บหาตาม
สวน เล้ียงสัตว์จาชาว วัว ควาย หมู ไก่ หมูโดยจะ บริเวณบ้านในป่า ลาห้วย ในสวน ในไร่ มีบางอย่างท่ี
ปล่อยให้หากินตามบริเวณบ้าน ถ้าฤดูข้าวเหลืองจึง ต้องหาซ้ือจากตลาดโดยเน้นวิธีการปรุงท่ีไม่ยุกยาก
นามาขังไวใ้ นคอกเวลาว่างกท็ อผ้า ตาข้าว จักสาน เชน่ เช่น เกิดตู๋ก่าเลอะ (แกงตู๋กาเลอะ) เกิดก๋าใส่ปี๋ (แกง
กระบุง ตะกร้า ฯลฯ ฤดูแล้งชอบเข้าป่าล่าสัตว์ เมื่อได้ ปลาใส่ตู๋ป๋ี) โต๊ะสังกะอังวะ (น้าพริกมะเขือพวง) โต๊ะขุ
สัตว์ป่ามาหนึ่งตัวผู้ล่าแบ่งเอาไว้ครึ่งหน่ึงอีกครึ่งหน่ึง ปนั (น้าพริกหมูสามช้นั ) เป็นตัน
นาไปมอบให้แกผ่ ู้ใหญบ่ ้านผู้ใหญ่บ้านตีเกราะสัญญาณ
เรียกชาวบ้านมาแบ่งกันไปจนท่ัวทุกหลังคาเรือน โต๊ะขปุ นั
การปลูกสร้างบ้าน เรือนชาวบ้านช่วยกันท้ังหมู่บ้าน (น้าพรกิ หมูสามชนั้ )
ไม่ตอ้ งจา้ ง
เกิดก๋าใส่ปี๋
ปัจจุบันชาวลัวะได้หันมาทาสวนกันมากข้ึน (แกงปลาใส่ตู๋ป)๋ี
จากเดิมน้ันจะมุ่งการปลูกข้าวไร่เป็น ส่วนใหญ่
แต่เนอ่ื งจากปัจจบุ นั วิถีชวี ิตเปล่ยี นรายไดม้ ีสว่ นต่อการ เกดิ ตู๋กา่ เลอะ
ดารงชีพ ชาวลัวะจึงหันมาทาสวนข้าวโพด สวนลาไย (แกงตู๋กาเลอะ)
สวนผัก โดยใช้แนวคิดท่ีว่าจะต้องมีรายได้ตลอดทั้งปี
โดยจะปลูกผักพ้ืนบ้านขายให้แก่พ่อค้าคนกลาง ซึ่งจะ โตะ๊ สังกะองั วะ
ได้รับรายได้ในทุก ๆ วัน ผักท่ีปลูกขายน้ัน ได้แก่ (น้าพริกมะเขอื พวง)
ผักแพว ผักหอมด่วน เป็นต้น ซึ่งจะมีรายได้ต่อวันๆ
ขั้นต่าวันละ ๓๐๐ บาท ขึ้นอยู่กับปริมาณผักที่มีและ ภาพจาก หนงั สอื พชื และอาหารชาวลวั ะ มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชยี งราย
เก็บขายได้นั่นเอง และทาสวนและปลูกข้าวโพดโดย
เปล่ียนเชิงเขาที่เคยปลูกข้าวไร่มาเป็นปลูกข้าวโพด
แ ท น เ พื่ อ เ ป็ น ร า ย ไ ด้ ป ร ะ จ า ปี ห รื อ ร า ย ไ ด้ ใ น แ ต่ ล ะ
ฤดูกาล และปัจจุบันชาวลัวะได้หันมาทาสวนผสมกัน
มากขน้ึ เพือ่ ใหม้ รี ายได้ตลอดทั้งปนี ัน่ เอง

๓.๓ อาหาร
อ า ห า ร ก า ร กิ น นิ ย ม กิ น ข้ า ว เ ห นี ย ว น่ึ ง ใ ส่
“แอ๊บ” (กระต๊ิก) ไว้กินทั้งสามมื้อ มีเกลือและพริก
เป็นเครื่องชูรสท่ีขาดไม่ได้ อาหารยอดนิยมคือน้าปู

๗๘ | กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย

๔. วัฒนธรรมและประเพณี ชาติพันธุ์ “ลัวะ”

๔.๑ ศาสนา ประเพณีเล้ยี งผชี าวลัวะ
ชาวลัวะมีการนับถือศาสนาพุทธ และนับถือ
ศาสนาคริสต์อยู่บ้าง ๒-๓ ครัวเรือน อีกท้ังยังนิยมนับ ภาพจาก Facebook เครอื ขา่ ยพพิ ธิ ภณั ฑ์กลางเวียงเชียงใหม่
ถือผี มีการถือผีเส้ือบ้าน ส่งเคราะห์ ผูกเส้นด้ายข้อมอื โดย Nuttapong Punjaburi
ถือขวัญ เวลาเจ็บป่วยใช้ยารากไม้สมุนไพร เสกเป่า
และทาพธิ ฆี ่าไกเ่ ซน่ ผี เปน็ ต้น ๔.๔ ภาษา
๔.๒ พิธีกรรม ความเชื่อ ในอดตี ภาษาของชาวลวั ะไม่เหมือนภาษาไทย
ชาวลัวะแตเ่ ดิมมีการนับถอื ผี โดยเฉพาะผีเส้ือ หรือที่เรียกว่าภาษาปลัง คนปลังเรียกตนเองว่า ปลัง
บ้าน และผีบรรพบุรุษ โดยเม่ือแต่งงานแล้วฝ่ายหญิง คาปลัง สามเต้า แต่คนส่วนใหญ่รู้จักคนกลุ่มนี้ในนาม
จะนบั ถือสายผีตามสามี และบุตรชายคนเลก็ จะได้สิทธิ์ ว่า ลัวะ เพราะคาว่า “ลัวะ” เป็นคาที่มีความหมาย
ในการรับมรดกและดูแลสายผี ภายหลังเมื่อมี กว้าง เป็นคาเรียกกลุ่มคนด้ังเดิมของดินแดนสุวรรณ
ป ฏิ สั ม พั น ธ์ กั บ ค น พ้ืน ร า บ จึ ง ไ ด้ มี ก า ร นับถือ ภูมิ และเปน็ ชื่อทีท่ างราชการไทยใชเ้ รียกกลมุ่ ชาติพันธุ์
พระพุทธศาสนาควบคู่ไปกับความเชื่อดั้งเดิม และ ต่างๆ เช่น มัล ปรัย บีซู เป็นต้น การที่คนปลังยอมรบั
ซึมซับรับวัฒนธรรมจากกลุ่มชาติพันธุ์ไทยเข้าไปใช้ใน ช่ือลัวะ เน่ืองจากเม่ือแรกอพยพเข้ามาอยู่ท่ีจังหวัด
ชวี ิตประจาวัน เชียงรายนั้น เพ่ือไม่ให้ถูกจับและเพื่อให้คนอื่นรู้จัก
๔.๓ ประเพณี ตนเองจงึ บอกกบั คนไทยว่าเปน็ “ลัวะ” และไดร้ ับการ
ชาวลัวะมีวัฒนธรรมประเพณีพ้ืนฐานจาก เรียกอย่างเป็นทางการว่า “ลัวะ” เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๙
เป็นต้นมา (ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ และคณะ ,
การนับถือผี ความเชอ่ื เรือ่ งผี แมส้ ว่ นใหญ่ถือพทุ ธ แต่ก็ ๒๕๕๕)
ลักษณะภาษาปลัง ถูกจัดอยู่ในภาษาออสโตร
ไมท่ ้งิ การนับถือผี พิธีกรรมทปี่ ฏิบัติตามกลุ่มเครือญาติ เอเชียติก (Austro - Asiatic) กลุ่มเหนือ สาขาย่อยปะ
หล่องตะวันออก (East-Palaungic) ในกลุ่มว้า (Waic)
“ผีตระกูล” สอนในเร่ืองความเชื่อ บางกลุ่มไม่กินเนื้อ สาขาย่อยบูหลัง/ปูหลัง (Bulang) ภาษาปลังมีหลาย
สาเนียง เช่น ปลังซุน ปลังลู่ ปลังกนเลซ กอนตอย จง
กวาง เพราะเช่ือว่าเป็นสัตว์ที่ให้ต้นตระกูลตนเอง มอย สะแตง แพมยอง กอนมาก ปังโลชิ และกอนกาง
จิงแมน มันเวง แม้ว่าจะมีหลายสาเนียงแต่คนปลังก็
ดูดนม ถ้าฝืนความเช่ือกินเข้าไป ต้องรีบออกไปท้าพิธี สามารถสื่อสารกันได้เข้าใจลักษณะภาษาปลังในท่ีนี้

เซ่นไหว้การเล้ียงผี เป็นความเช่ือท่ีสืบทอดกันมามี กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจงั หวัดเชยี งราย | ๗๙

เหนยี วแน่นมาก ดังน้ี

• การเล้ียงผีหลักเมือง(โนก สไปต) เป็น
การเล้ียงผเี จา้

• การเลี้ยงผีตะตู(โนก ตะตู) ซ่ึงเป็นการ
เลี้ยงผขี องแต่ละบ้านใหค้ ุม้ ครองหมู่บา้ น

• การเล้ียงผีหวั บันใด (โนกไกญโบง) เปน็
การเลย้ี งผขี องแตล่ ะหลังคา

• การเล้ียงผีเรียกขวัญ (โนก รบุก) เป็น
การเลย้ี งผเี พ่ือเรยี กขวัญเด็กที่ชอบปว่ ย

• การเลี้ยงผีไร่,นา การเลี้ยงซึ่งเช่ือว่าจะ
ทาให้ผลติ ผลทางการเกษตรมผี ลดี

ชาติพันธุ์ “ลัวะ” ขอเสนอสาเนยี ง ปลังซุน ซง่ึ เป็นสาเนียงทีอ่ าจนับได้ว่า “วนั นคี้ ณุ ไดย้ ิ้มหรือยัง”
เป็นสาเนียงปลังมาตรฐาน เน่ืองจากมีการทาระบบ
ตัวเขียนทั้งอักษรไทยและอักษรโรมัน เพ่ือใช้ในการ เซอแงน - ปนุ - มิริ - ร่ังมึซ - ฮอจอ
ถา่ ยทอดภาษาไปสคู่ นรนุ่ ต่อไป
ปัจจุบันชาวปลังหรือชาวลัวะที่อพยพมาจาก
พยัญชนะต้นภาษาปลงั ได้แก่ /p (ป), t (ต), ประเทศพม่าและจีนน้ันยังคงสามารถพูดภาษาปลังได้
c (จ), k (ก), (อ), ph (พ), th (ท), ch (ช), kh (ค), b อย่างคล่องแคล่วและชัดเจน ถ้ามาจากหมู่บ้าน
(บ), d (ด), (ยฺ), g (กฺ), m (ม), mh (มฮ), n (น), nh เดียวกันก็จะสามารถส่ือสารด้วยภาษาปลังได้ดี แต่ถ้า
ม า จ า ก ต่ า ง ห มู่ บ้ า น กั น บ า ง ค ร้ั ง ก็ จ ะ ใ ช้ ภ า ษ า ไ ท
(นฮ) (ญ), ŋ (ง), r (ร), f (ฟ), s (ซ), x (ฅ), h (ฮ), l ใหญ่ หรือ ภาษาลาหู่ เป็น ภาษาก ลาง ใ น ก า ร
(ล), lh (ลฮ), v (ว), j (ย)/ ตัวอย่าง เชน่ ปลิปา่ ว = ลกู สื่อสาร เมื่อเข้ามาอยู่ในประเทศไทย แวดล้อมด้วย
ม ะ พ ร้ า ว , บี ซ = ไ ม้ ก ว า ด , ญ่ ะ = บ้ า น , ภาษาไทย คนปลังจึงซึมซับรับภาษาเพื่อประโยชน์ใน
ม ฮี น = นั บ ยึ ก = เ ก่ี ย ว ใ ห้ โ น้ ม ล ง ม า , การสื่อสาร สภาวะแบบน้ีสะท้อนถึงความหลากหลาย
ลเฮะ = ฝน วจั่ = ดาบ เป็นต้น ของภาษาปลงั คอ่ นขา้ งสูง โดยเฉพาะลกู หลานชาวปลัง
ที่เกิดในประเทศไทย เมื่ออยู่ที่บ้านจะใช้ภาษาปลัง
พยัญชนะท้ายท่ีมีรูปปรากฏ ได้แก่ / p (บ), ร่วมกับภาษาไทย แต่เมื่ออยู่ภายนอกจะใช้ภาษาไทย
กลางเป็นหลัก และมีแนวโน้มว่าในอนาคตจะไม่ใช้
t (ด), c (จ), k (ก), m (ม), n (น), (ญ), ŋ (ง), s (ซ), h ภาษาปลังอกี ตอ่ ไป
(ฮ), l (ล), j (ย), w (ว)/ ตัวอย่าง เช่น ฟุ่บฟ่ับ = ปอด
, อิด = นอน, ล่ิจ = หมู, บุ่ก = จอบ, ซีม = นก ๔.๕ การแตง่ กาย
ฮาน = รังนก, โม่ญ = ปาก, ร่อง = ม้า, โรงตืซ = เห็ด สตรีชาวลัวะนิยมสวมเสื้อสีขาวหรือสีด้าแขน
, ร่าฮ = น้าตก, เอล = ไก่, งาย = ตา, มาว = ฟา้
สั้นกุ๊นด้วยด้ายสี นุ่งซิ่นส้ันครึ่งเข่าสีด้ามีลายคั่นเป็น
สระ
ภาษาปลังมีสระเสียงสั้นและเสียงยาวที่ทา แถบสีแดง ชมพู และน้าเงินแซมขาว ซ่ึงได้จากการ
ให้คามีความหมายแตกต่างกัน ได้แก่ / i (◌ิ), ii (◌)ี , e
มัดย้อมหรือป่ันไก พันแขนด้วยผ้าปอเต๊ะ พันขาด้วย
(เ-ะ), ee (เ-), ε (แ-ะ), εε (แ-), (◌)ึ , (◌ื), (เ-
อะ), (เ-อ), a (-ะ), aa (-า), u (◌ุ), uu (◌)ู , o (โ-ะ), ผ้าปอซวง สตรีชาวลัวะนิยมแสกกลางศีรษะมวยต้่าไว้
oo ( โ - ) , ( เ - า ะ ) , ( - อ )
/ ตัวอย่าง เช่น บู่ฮ = หน้า โซะ = สุนัข กะ = ปลา ท้ายทอย ประดับมวยผมด้วยป่ินขนเม่น สวมสร้อยเงิน
ชิ = ฟนื เปอะ = เปยี ก ฮึก = ผม เป็นตน้
เม็ด สร้อยลูกเดือย สร้อยลูกปัดสีแดง สีส้ม สีเหลือง
วรรณยุกต์ภาษาปลัง ได้แก่ วรรณยุกต์เสียง
สูง กลาง และเสียงตก เช่น ญะ = ต้นยางพารา และใส่ตุม้ หไู หมพรมยาวถึงไหล่ ส่วนบรุ ษุ นยิ มสวมเสื้อ
, ญะ่ = บา้ น, รอง = เสา, ร่อง = มา้ , ปาว = ประกาศ
แขนยาวสีขาวผ่าหน้า นุ่งกางเกงสะดอขาว เคียนหัว
คาในภาษาปลัง ได้แก่ ติ = มือ, ชุก = หู,
ซ า ล่ิ = ข้ า ว โ พ ด , เ ต ญ เ ต า = แ ต ง โ ม , มั ก ซั ง ด้วยผา้ สีแดงหรือชมพู และพกมีดดา้ มงาชา้ ง
พ่อ = มะละกอ, อามวล = ไส้เดือน, เกอตมั = ปู

การเรียงคาในประโยคพ้ืนฐาน

ไดแ้ ก่ ประธาน – กรยิ า - กรรม ตัวอย่างเช่น

“แม่เลีย้ งไก่”

อะม่ะ – อืย – กะ – เอล้

“ปอู ย่ใู นรู”

เกอตมั – อุด – คะแนย - เกอตึ.

๘๐ | กลุ่มชาติพนั ธุ์ ในจังหวดั เชียงราย

ภาพจาก http://www.tonklanetwork.org

๕. แหล่งอา้ งองิ ชาติพันธุ์ “ลัวะ”

สัมภาษณ์

นายเก้า ค้านวย ผู้น้าชนเผ่า อายุ ๖๔ ปี

ท้าหน้าที่ควบคุมดูแลชาวลัวะ บ้านใหม่สามัคคีธรรม

การแต่งกายของชาวลวั ะ (บ้านลัวะใหม่) ต.ป่าหุ่ง อ.พาน จ.เชียงราย (๑๙

ภาพจาก https://www.facebook.com/profile.php?id=๑๐๐๐๐๗๖๐๗๗๔๔๖๖๙ กรกฎาคม ๒๕๖๔) สัมภาษณ์
และ
นายยอด ฟองดี หัวหน้าเผ่า (รองผู้น้าเผ่า)
https://www.facebook.com/profile.php?id=๑๐๐๐๑๔๙๖๘๓๒๗๑๗๔

บ้านใหม่สามัคคีธรรม (บ้านลัวะใหม่) ต.ป่าหุ่ง อ.พาน

จ.เชยี งราย (๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๔) สมั ภาษณ์

นายเต๋า บริสุทธิ์ ผู้ช่วยผู้น้าเผ่า และผู้ช่วย

ผู้ใหญ่บ้าน บ้านใหม่สามัคคีธรรม (บ้านลัวะใหม่)

ต.ป่าหุ่ง อ.พาน จ.เชียงราย (๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๔)

สมั ภาษณ์

การแต่งกายของชาวลวั ะปลงั
บา้ นใหม่สามัคคีธรรม (บา้ นลวั ะใหม่) ต.ป่าหุ่ง อ.พาน

๔.๖ องค์ความรแู้ ละภูมปิ ัญญา
ชาวลัวะมีภูมิปัญญาในเรื่องของการแต่งกาย
ภาษาที่ใช้ภาษาปลังที่เป็นของชนชาวลัวะ อาชีพ และ
อาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แต่ปัจจุบันส่ิงท่ี
ยังคงอนุรักษ์ในเร่ืองขอภูมิปัญญาท่ีโดดเด่นเห็นได้ชัด
นัน่ คอื ภาษาที่ใชใ้ นการสือ่ สาร และการแต่งกายทย่ี งั คง
อนุรักษ์ความเป็นเอกลกั ษณข์ องชนชาวลวั ะ ถึงแม้จะมี
การดัดแปลงกนั ไปบ้างตามยุคตามสมยั

สร้อยลวั ะ เคร่อื งประดบั ทเ่ี กิดจากภมู ปิ ัญญาชาวลัวะ

กลุม่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจงั หวดั เชียงราย | ๘๑

ชาติพันธ์ุ “ขมุ”

ชาตพิ นั ธุ์ “ขม”ุ
Khamu

“ขมุ เป็นชาวเขากลุ่มเลก็ ๆ ในภาคเหนอื ของ อานาจมากกว่า “ขมยุ วน” หมายถงึ กลุ่มชนขมุท่ีขึ้นอยู่
ประเทศไทย บรเิ วณชายแดนจงั หวดั เชียงรายและน่าน กับคนไทยวนภายใต้ดินแดนของสยาม ขณะที่กลุ่มชน
เป็นกลุ่มชาติพันธ์ุท่ีมีถ่ินฐานบริเวณตอนเหนือของ ขมุล้ือจะขึ้นอยู่กับเขตสิบสองปันนา ส่วนชน “ขมุ
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายาวนาน ต้ังแต่บริเวณทาง ร็อก” และ “ขมุยิ้ม” จัดได้ว่าเป็นชนกลุ่มน้อยและ
ใต้ของประเทศจีน ทางภาคเหนือของประเทศไทย ขึ้นอยู่กับเมืองหลวงพระบาง คนเหล่าน้สี ว่ นใหญ่จะตั้ง
ประเทศเวียดนาม จนถึงสาธารณรัฐประชาธิปไตย ถิ่นฐานอยบู่ ริเวณปากทาหรือบริเวณท่ีน้าทาจรดแม่น้า
ประชาชนลาว ซ่ึงมชี าวขมุอยูเ่ ป็นจานวนมากท่สี ดุ ” โขง (ดู Evrard, ๒๐๑๑)

๑. ประวัตศิ าสตร์ความเป็นมาของชาติพันธ์ุ ขมุในประเทศไทยแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มย่อย
คอื ๑.ขมุมกพลาง หรือขมุฮอก ๒.ขมุล้ือ โดยแยกตาม
กลุ่มชาติพันธุ์ขมุ (Khamu) ถือเป็นชนกลุ่ม ความแตกต่างทางภาษาทอ้ งถ่นิ และลักษณะทางสังคม
หน่งึ ท่อี าศัยอย่อู ย่างกระจดั กระจายทางตอนเหนือของ และวัฒนธรรมกล่าวคือชาวขมุล้ือค่อนข้างจะเป็นกลุ่ม
สาธารณรฐั ประชาชนลาวและจัดอยู่ในกล่มุ “ลาวเทิง” ท่ไี ดร้ บั อิทธิพลจากภายนอกมากกว่าภาษาทใ่ี ชพ้ ูดจะมี
คนขมุที่อยู่ในลาวน้ันสามารถจาแนกออกเป็นหลาย ภาษาไทยเหนือปะปนอยู่มากการยึดถือจารตี ประเพณี
กลุ่มด้วยกัน ตามความสัมพันธ์ทางภูมิศาสตร์และ และความเชื่อด้ังเดิมก็ค่อนข้างจะเปลี่ยนแปลงไป
การเมอื ง เป็นตน้ ว่า ขมุแกว่น ส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ มากกว่าขมุมกพลาง
ระหว่างชายแดนล้านช้าง สิบสองปันนาและสยาม ถือ
เปน็ กล่มุ ทมี่ ีสถานภาพสูงกวา่ ชนขมุกลุ่มอ่นื เพราะเดิม หลังสงครามโลกครั้งท่ีสองยุติลง ช่วงปี
ในกลุ่มขมุแกว่นมีเจ้าแคว้นคอยคุมเส้นทางการค้า ค.ศ. ๑๙๔๕ ตามคาบอกเล่าเบื้องต้นของผู้เฒ่าและ
บริเวณชายแดน ดังนั้นการผ่านเขตแดนต้องได้รับ ลูกหลานรุ่นท่ี ๒ ได้กล่าวว่า นายฮ้อยคัด หัวหน้าคน
อนุญาตจากเจ้าแคว่นก่อน ขณะที่ขมุยวน และขมุล้ือ ขมุซึ่งเป็นท่ีรู้จักกันดีในฐานะผู้ท่ีมปี ระสบการณ์ในการ
ไม่สามารถกระทาเชน่ น้นั ได้เนอื่ งจากขึ้นอย่กู บั เมืองทีม่ ี เดินทางและเครือ ข่ายก าร ทาง าน ในประเทศไ ทย ไ ด้
นาพาครวั เรือนและเครอื ญาติข้ามฝง่ั เขา้ มายังชายแดน
๘๒ | กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ในจังหวัดเชียงราย

ไทยบนเส้นทางเดินเท้าเล็ก ๆ บริเวณแจมป่อง สู่บ้าน ประกอบด้วย บ้านห้วยเย็น ตาบลริมโขง บ้านทุ่ง ชาติพันธ์ุ “ขมุ”
โล๊ะในเขตตาบลปอ อาเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย พฒั นา บ้านทุ่งทราย ตาบลเวียง อาเภอเชียงของ และ
โดยนายฮ้อยคัดเขา้ มาอาศัยอย่ใู นหมบู่ ้านร่วมกับคนไท บ้านห้วยวังผา บ้านป่าตึง บ้านห้วยส้าน ตาบลท่าข้าม
ลื้อ นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นต้นมา เมื่อครัวเรือน บ้านห้วยเอียน ตาบลหล่าวงาว บ้านห้วยจ้อ ตาบล
ของนายฮ้อยได้โยกย้ายลูกหลานเข้ามาตั้งถ่ินฐานอยู่ ม่วงยาย อาเภอเวียงแกน่
เวียงแก่น จึงมีการหักร้างถางพง จับจองพ้ืนที่ทากิน
การรวมตัวกันจึงเกิดขึ้นเป็นหมู่บ้านขมุอย่างเป็น ๒. โครงสรา้ งทางสงั คม
ทางการแหง่ แรก ชือ่ วา่ หมูบ่ า้ นห้วยเอียน เม่อื มีจานวน
ประชากรเพิ่มมากข้ึนส่งผลให้พื้นที่ทากินไม่เพียงพอ ๒.๑ การปกครอง
ราวปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ครวั เรือนขมบุ างกลมุ่ จึงเดนิ ทางมา ชาติพันธ์ุขมุเป็นสังคมที่ยอมรับระบบอาวุโส
บุกเบิกพ้ืนที่แห่งใหม่บริเวณลาน้าห้วยกอก ในเขต โครงสร้างอานาจในสังคมจึงประกอบไปด้วยตัวแทน
ตาบลเวียง อาเภอเชียงของปัจจุบัน ครัวเรือนที่ ของทุกสายตระกลู หรอื คณะผ้อู าวุโส ซ่ึงเปน็ ผู้ท่เี ข้าถึง
ข ย า ย ตั ว ม า ก ขึ้ น นี้ น อ ก จ า ก จ ะ เ ป็ น ลู ก ห ล า น ข อ ง ท่ีมาของอานาจสาคัญในชุมชน และมีบทบาทในการ
ครัวเรือนแรกๆท่ีเข้ามาต้ังถิ่นฐานแล้ว ยังมีคนขมุจาก ตัดสินใจแทนคนในชุมชนได้ นอกจากกลุ่ม ผู้อาวุโสใน
เวียงภูคา ในแขวงหลวงน้าทาที่ถูกเกณฑ์มาเป็นทหาร ระดับท่ีเป็นกลุ่ม ในสังคมขมุยังมีผู้นาในระดับปัจเจก
ประจาการในศูนย์อพยพเข้ามาต้ังถ่ินฐานด้วย ซึ่งตอน บุคคล ได้แก่ ขะจ้า หมอผี หมอคาถา หมอเมื่อ และ
น้ันหมู่บ้านชาวขมุท่ีต้ังอยู่ในเขตอาเภอเชียงของ ลาม เป็นผู้มีความสามารถเฉพาะบุคคลในด้านการ
บางส่วนยังอยู่ในสถานะกลุ่มบ้านบริวารของหมู่บ้าน ประกอบพิธีกรรมสาคัญในชุมชน ซึ่งเป็นท่ียอมรับนับ
คนไทลอื้ ถือวา่ เปน็ บคุ คลสาคญั การตัดสินใจหรือมตขิ องคณะผู้
อาวโุ สเปน็ สิ่งท่ที ุกคนในชมุ ชนจะตอ้ งปฏบิ ตั ิตาม
บ้านห้วยกอก เป็นอีกหมู่บ้านที่เป็นกลุ่มชาติ ปัจจุบันภาครัฐได้จัดระเบียบการปกครอง
พันธ์ุขมุ ที่แยกตัวออกมาจากบ้านห้วยเอียน อาเภอ โดยให้เป็นไปตามกฎหมายปกครอง จึงมีการปกครอง
เวียงแก่นมาก่อน แต่เน่ืองจากพื้นที่ทางการเกษตรไม่ ที่เป็นรูปแบบทางการ กล่าวคือ มีผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วย
เพียงพอ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ผู้นาครวั เรือน ๗ ครัวเรอื น และคณะกรรมการหมู่บ้าน จึงมีผลทาให้เกิดการ
ได้ปรึกษาหารือกันและอพยพเคล่ือนย้ายลงมาตั้ง เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอานาจแบบใหม่ จากรูปแบบ
หมู่บ้านในเขตตาบลเวียง อาเภอเชียงของ โดยมาต้ัง เดิม ทีเ่ คยประกอบด้วยตวั แทนของทุกสายตระกูลหรือ
บ้านเรือนบนลาน้าห้วยกอก ณ เวลานั้น เป็นเพียง คณะผู้อาวุโส เป็นบคุ คลทมี่ ีอานาจในการตัดสนิ ใจแทน
หมู่บ้านท่ีข้ึนอยู่กับหมู่บ้านไทลื้อห้วยเม็ง แต่ระยะ คนในชุมชนไดม้ าเป็นการปกครองอย่างเปน็ ทางการซ่ึง
ต่อมาเมื่อมีการขยายครอบครัวและการอพยพเข้ามา มีโครงสร้างแบบลาดับช้ัน แต่ในสังคมขมยุ ังคงมีระบบ
ของชาวขมหุ ลากหลายพื้นท่ี จึงรวมตัวกนั ขอจดั ตัง้ เป็น ความเช่ือเร่ืองผี และอานาจเหนือธรรมชาติมี
หมู่บ้าน ได้รับการจัดต้ังอย่างเป็นทางการเม่ือปี พ.ศ. ความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของขมุอย่างแนบแน่น และ
๒๕๔๕ ปจั จบุ ันคอื บา้ นห้วยกอก หม่ทู ่ี ๑๔ ตาบลเวยี ง ส อ ด แ ท ร ก อ ยู่ ใ น ทุ ก ส ถ า บั น ท า ง สั ง ค ม นั บ ตั้ ง แ ต่
อาเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย นอกจากบ้านห้วย ครอบครัว การปกครอง การอบรมสั่งสอน การบาบัด
กอกแล้ว ยังพบกลุ่มชาติพันธ์ุขมุ กระจายตัวอยู่ใน โรคภยั ไข้เจบ็ ตลอดจนการประกอบอาชีพ และยงั คงมี
อาเภอเชียงของ และอาเภอเวียงแกน่ อกี หลายหมู่บ้าน อทิ ธิพลตอ่ วธิ ีคดิ ของขมุมาจนถึงปัจจุบนั

กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ในจงั หวดั เชียงราย | ๘๓

ชาติพันธ์ุ “ขมุ” ๒.๒ ระบบครอบครัวและเครอื ญาติ หน้าที่ในการดาเนินการทาพิธีบอกกล่าวแก่แม่ธรณี
กลุ่มชาตพิ นั ธขุ์ มุมโี ครงสร้างทางสังคมที่มีฐาน หรอื ทาพิธีฮอดเงาะกอ่ น สว่ นการทาพิธกี รรมเซน่ ไหวผ้ ี
มาจากระบบครอบครวั และเครอื ญาติผ่านการสืบทอด ไร่เป็นบทบาทหน้าที่ของผู้ชาย ซึ่งอาจจะแตกต่างจาก
และการแต่งงาน ลักษณะของครอบครัวของชาวขมุ การเก็บเกี่ยวข้าวแบบรูดหรือฮอดเงาะที่ผู้หญิงจะมี
ส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเป็นครอบครัวเด่ียว โดยเม่ือ บทบาทนา
หนุ่มสาวท่ีแต่งงานแล้วก็จะลงหลักปักฐานสร้างเรือน
ของตัวเอง แต่ส่วนใหญก่ ็จะอยู่ภายในบรเิ วณบ้านของ ๓. วถิ ีชีวติ ความเปน็ อยู่
พ่อแม่หรือท่ีดินท่ีพ่อแม่แบ่งให้ การสร้างครอบครวั จะ
เริ่มต้นเม่ือมีการแต่งงานเกิดขึ้น สาหรับชาวขมุแล้ว ๓.๑ ทอ่ี ย่อู าศัย
การที่หนุ่มสาวจะเร่ิมต้นใช้ชีวิตคู่กันจะผ่านการศึกษา จากการอพยพของชาติพันธุ์ขมุ จาก สปป.
ดใู จหรือการเกี้ยวพาราสี ลาว มายังประเทศไทยในเขตพื้นท่ีจังหวัดเชียงราย
ระบบเครือญาติของชาวขมุ อาจจาแนกได้ โดยเรม่ิ มาอยู่ในเขตตาบลปอ อาเภอเวียงแก่น จังหวัด
เป็น ๒ ลักษณะคือ ประการแรกระบบเครือญาติบน เชียงราย และขยับขยายย้ายถิ่นฐานมาอยู่บ้านห้วย
ความสัมพันธ์ทางสายโลหิต เป็นความสัมพันธ์ท่ีเกิด เอียน และแยกตัวออกมาตั้งหมู่บ้านใหม่อาเภอเชียง
จากการสืบทอดทางสายเลือดจากปู่ย่าตายายไปสู่ ของ คือบ้านห้วยกอก ตาบลเวียง และบ้านห้วยเย็น
ลูกหลาน หรือเรียกว่าญาติสายตรงที่เกี่ยวพันกันทาง ตาบลริมโขง โดยเหตุผลหลักที่มีการย้ายถิ่นฐานก็คือ
ทางสายเลือดและประการท่ีสองระบบเครือญาติบน การหาแหล่งทากินใหม่ท่ีเพียงพอต่อการดารงชีวิต ซึ่ง
ความสัมพันธ์ทางการแต่งงาน หรือเป็นความสัมพันธ์ ส่วนใหญ่จึงตั้งบ้านในระดับความสูงที่ต่ากว่า๑,๐๐๐
ของเครอื ญาตผิ า่ นการเกีย่ วดองกนั เมตรเหนือระดับน้าทะเลและท่ีต้ังหมู่บ้านส่วนใหญจ่ ะ
บทบาทชายหญิงในสังคมวัฒนธรรมขมุนั้นเรา นิยมพ้ืนที่ราบระหว่างหุบเขา และมีลาน้าไหลผ่าน
จะพบเห็นวิถีชีวิตประจาวันท่ีชายหญิงมีบทบาทที่ หมู่บ้าน อย่างเช่นบ้านห้วยกอก ก็จะมีลาน้าห้วยกอก
แตกต่างกันเกี่ยวกับการปฏิบัติภารกจิ ต่าง ๆ ในแต่ละ ไหลผ่าน โดยการประกอบอาชพี ของชาวขมุที่ส่วนมาก
วัน โดยบทบาทของผู้หญิงขมุคือผู้ท่ีทาหน้าท่ีดูแล นิยมประกอบอาชีพทาไรข่ ้าวโพด ทาสวน ทานา จึงให้
ครอบครัวเกีย่ วกบั กิจกรรมต่าง ๆ ในครัวเรือนทัง้ เรือ่ ง การเลือกท่ีตั้งในการอยู่อาศัย และทามาหากินจึงต้อง
การหุงหาอาหารทากับข้าว การซักเส้ือผ้า เย็บปักถัก เ ลื อ ก ท า เ ล ท่ี ต้ั ง เ พื่ อ ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ก า ร ด า ร ง ชี วิ ต
ร้อย การเล้ียงดูบุตรและอบรมสั่งสอนเป็นหน้าท่ีของ นอกจากนี้ยังนิยมต้ังหมู่บ้านที่มีทางเข้าหมู่บ้านหันไป
แม่ที่ต้องคอยดูแล และดูแลคนในครัวเรือนเมื่อยาม ทางทิศตะวันออกซึ่งขมุถือว่าจะนาความร่วมเย็นเป็น
เจ็บป่วย ส่วนผู้ชายจะมีหน้าท่ีในการหารายได้เข้า สุขมาให้แก่คนในหมู่บ้าน
ครอบครัวและการหาอาหารทั้งการล่าสัตว์ หาของป่า
และการเป็นแรงงานรับจ้าง อย่างไรก็ตามบทบาท ภาพทางเข้าหม่บู า้ นหว้ ยกอก
เหล่าน้ีในปัจจุบันมีได้มีการจากดั แบบตายตัวแต่หากมี
การสลับกันไปมาได้แล้วแต่สถานการณ์ที่เกิดข้ึนใน
ชีวิตประจาวันซ่ึงเป็นการปรับตัวให้เข้ากับ อย่างการ
เก็บเกี่ยวข้าวน้ันต่างก็ช่วยกันโดยผู้หญิงจะมีบทบาท

๘๔ | กลมุ่ ชาตพิ ันธุ์ ในจังหวัดเชียงราย

ชาวขมุส่วนใหญ่ หาเล้ียงชีพโดยการทาไร่บน ไม้ครึ่งปูน ท่ีมีความมั่นคงแข็งแรง และมีการแบ่งพนื้ ที่ ชาติพันธ์ุ “ขมุ”
ภเู ขา โดยใช้ระบบการประกอบเกษตรกรรมที่เรียกว่า บ้านอย่างเป็นสัดส่วน เช่น ห้องนอน ห้องครัว
ไร่หมุนเวยี น กล่าวคือ เมอื่ ได้ทาการตดั โค่นต้นไม้และ ห้องรับแขก เป็นต้น พร้อมกับทาการตบแต่งแบบชน
เผาเพื่อใช้พื้นที่เป็นที่เพาะปลูกแล้ว ก็จะใช้พื้นที่แห่ง พ้ืนเมืองพื้นท่ีราบ หรือตบแต่งแบบสมัยนิยมมากขึ้น
น้ันประมาณ ๑ – ๓ ปี แล้วจะปล่อยให้พืน้ ท่ีนั้นพักตัว เปน็ ไปตามฐานะของแต่ละครอบครัว
ให้ต้นไม้ขึ้นเป็นป่าใหม่ เพื่อให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์
เพ่ิมขึ้นแล้วจึงแผ้วถางกลับไปใช้พื้นท่ีน้ันใหม่ ส่วนพืช ๓.๒ การประกอบอาชีพ
ทป่ี ลูกน้ัน ไดแ้ ก่ขา้ วสาหรับบรโิ ภคและขา้ วโพดสาหรับ ด้ังเดิมน้ันชาวขมุจะมีวิถีการผลิตแบบยังชีพ
เลยี้ งสัตว์ นอกจากนี้ยังมีการปลูกพืชสวนครัว ซึ่งเปน็ มกี ารปลูกข้าวไร่ เพราะพื้นทีท่ ่ีอยูอ่ าศัยก็เอือ้ ให้ทาการ
พืชจาพวกเครื่องเทศ เช่น พริก หอม กระเทียม เพ าะ ปลูก ข้าว ไ ร่ โ ดยใช้ร ะ บบก าร ปร ะ ก อ บ
ตะไคร้ ข่า ขมิ้น เป็นต้น ซ่ึงการประกอบอาชีพของ เกษตรกรรมท่ีเรียกว่า ไร่หมุนเวียน การปลูกพืช
ชาวขมุกเ็ พ่ือการยังชพี เป็นหลัก พาณิชย์เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หรือรับจ้างทาไร่
ทาสวน ปลูกนา เช่นรบั จา้ งทาไร่ หรือรบั จ้างทานาจาก
ลกั ษณะบ้านของขาวขมุท่มี ีมาตั้งแตอ่ ดีต – ปัจจบุ ัน คนในพ้ืนท่อี ่นื
ปัจจบุ ันชาวขมุส่วนมากยงั คงทาอาชีพด้ังเดิม
ในอดีตบ้านเรือนส่ิงปลูกสร้างจะสร้างด้วยไม้ อยู่ คือการทาไร่ ทาสวน ทานา แต่ก็ยังมีลูกหลานรุ่น
ไผ่ ยกเว้นเสาและขื่อรองรบั หลังคาใชไ้ มแ้ ผ่นประกอบ หลังมักจะทางานภายในพ้ืนที่และต่างจังหวัด เพื่อหา
ยกสูงประมาณ ๑ – ๒ เมตร หลงั คาใช้ใบจาก ฝาบ้าน รายได้มาจุนเจือครอบครัว อีกท้ังภายในหมู่บ้านยังมี
ใช้แฝก มีระเบียงและชานหน้า บันไดข้าง มีเพียงห้อง ร้านค้าขายของชา ด้วยสภาพสังคมท่ีเปล่ียนไป จึงทา
เดียว ไม่มีหน้าต่าง เตาไฟอยู่ตรงกลางใช้ทาอาหาร ที่ ให้พวกเขาต้องปรับตัวเองและยกระดับคุณภาพชีวิต
นอนใช้เสอ่ื นอนรอบเตาไฟ ข้างฝามีเครอื่ งใช้ เชน่ จอบ ของครัวเรือน ที่ไม่ได้ยึดติดกับอัตลักษณ์เดิม แต่ชาว
เสยี ม หนา้ ไม้ มีด ใต้ถนุ บ้านเป็นทีเ่ ก็บฟนื เลา้ ไก่ เลี้ยง ขมุยังมีการแสวงหารายได้จากหลากหลายช่องทาง
หมู เป็นตน้ หรือ “ความหลากหลายในการดารงชีพ” เป็นต้น โดย
มีอาชีพหลักท่ีชาวขมุส่วนใหญ่ยังทาอยู่คือการทาไร่
ปัจจบุ ันน้มี ีบางครวั เรือนยังคงอยู่อาศัยในบา้ น ข้าวโพดการทาข้าวไร่ หรือทานา และการทาสวนผัก
ท่ีใช้ไม้ฟาก บางหลังคาเรือน ใช้ไม้กระดานและ สวนผลไม้
ปัจจุบันนเ้ี นอ่ื งจากกลุ่มหนุ่มสาวในหมูบ่ ้านต่างออกไป ๓.๓ อาหาร
ทางานกจ็ ะมกี ารสรา้ งบา้ นแบบสมัยใหม่ทห่ี ลอ่ เสาด้วย อาหารชาติพันธุ์ขมุมีเอกลักษณ์ด้านรสชาติที่
ปูน ตวั เรือนเป็นปูนมากขึ้น หรือมีการทาบา้ นแบบคร่ึง แตกต่างไปจากชาติพันธ์ุพ้ืนเมือง ซึ่งแม้จะมีวัตถุดิบท่ี
คล้ายคลึงกัน แต่การใช้เครื่องปรุงรสมีความแตกต่าง
กัน โดยชาวขมจุ ะไม่นิยมใส่เครอื่ งปรงุ รสสมยั ใหม่ เช่น
ปลาร้า กะปิ ผงชูรส รสดี เป็นต้น ส่วนวัตถุดิบท่ีนามา
ประกอบอาหารจะเป็นวัตถุดิบที่ได้จากธรรมชาติเช่น
ไก่ ปลา หมู หนูนา สัตว์น้าตามลาธาร ผักกาด หนอ่ ไม้
บอน หวั ปลี ท่ีหาได้จากชุมชนและผนื ป่า โดยมีอาหาร

กลุม่ ชาตพิ นั ธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย | ๘๕

ชาติพันธ์ุ “ขมุ” ทีน่ ิยมรบั ประทาน หรือทาตอ้ นรับแขกในงานประเพณี
ตา่ ง ๆ มดี งั นี้
แกงปลี
๑. หลามบอน มีวัตถุดิบหลักใบบอน หรือใบ
เผือก และเครื่องปรุงจะประกอบดว้ ย ตะไคร้ พริกแห้ง ภาพจาก www.facebook.com/hotsiatrips
ข่า มะแขว่น มะขามดิบหรือส้มป่อย กระเทียม
ใบแมงลัก ใบมะกรูด และจะคา่ น โดยมขี นั้ ตอนการทา ๔. วัฒนธรรมและประเพณี
คือ การนาใบบอน ใบเผือก มานึ่งให้สุก และนา
เครื่องปรุงมาโขลกรวมกันให้ละเอียด จากน้ันนาใบ ๔.๑ ศาสนา
บอนท่ีน่ึงสุกแล้ว มาตากับเครื่องปรุงให้ละเอียด และ ชาติพันธ์ุขมุยงั ยดึ ถือขนบธรรมเนยี มประเพณี
น า ไ ป ใ ส่ ก ร ะ บ อ ก ไ ม้ ไ ผ่ ม า เ ผ า ใ ห้ สุ ก จ น มี ก ล่ิ น ห อ ม ภายในกล่มุ บนความเชอ่ื ๒ รูปแบบดว้ ยกัน ดังนี้
ซ่ึงวิธีการน้ีเรียกว่า “หลาม” ปัจจุบันได้มีปรับเปลี่ยน ๑. ความเช่ือเก่ียวกับบรรพบุรุษหรือสิ่ง
กรรมวิธีการทาจากที่นาไปใส่กระบอกไม้ไผ่ ก็จะ เหนือธรรมชาติ นับเป็นความเชื่อด้ังเดิมของคนขมุที่
เปล่ียนมาทาในหม้อแกงแทน ซึ่งทาให้ได้ปริมาณมาก มีการจาแนกไดเ้ ปน็
ในการทาตอ่ ครั้ง - ความเชื่อในเร่ืองของบรรพบุรุษ ความเชื่อ
เก่ียวกับพญาเจือง วีรบุรุษผู้กล้าหาญ โดยจะมีการ
หลามบอน ประกอบพิธกี รรมในช่วงเทศกาลปีใหม่ขมุ
- ความเชื่อในเร่ืองของจิตวญิ ญาณบรรพบรุ ษุ
ภาพจาก http://lannainfo.library.cmu.ac.th ในระดับครอบครัว เช่น ผีปู่ ผีย่า ซึ่งคนขมุเช่ือว่ามี
อิทธิพลที่จะช่วยคุ้มครองลูกหลาน สมาชิกใน
๒. แกงปลี (กองยน) แกงปลีของชาวขมุ ครอบครวั จงึ มีการแสดงออกผ่านการเซน่ ไหว้ ในยามที่
บ้านห้วยกอกจะมคี วามแตกต่างจากแกงปลีทั่วไปของ สมาชกิ ในครอบครวั เกดิ การเจ็บปว่ ย
กลุ่มชาติพันธุ์อ่ืน หรือคนพ้ืนเมือง โดยวัตถุดิบหลักก็ - ความเชอ่ื ในเรื่องของสิ่งเหนือธรรมชาติ เชน่
จะมี หัวปลี หางหวาย และหยวกกล้วย ซ่ึงมีกรรมวิธี ขวัญ เจ้าท่ี จะมีการประกอบพิธีกรรมเช่นการเรียก
ในการปรุง คือ นาหัวปลีมาหั่นเป็นช้ินแล้วนาลงต้ม ขวญั การส่ขู วัญ การเล้ียงผตี ้นน้า เปน็ ตน้
จากนั้นในหางหวาย และหยวกกล้วยในปริมาณที่นอ้ ย ๒. ความเช่ือในเรื่องศาสนาสากล ปัจจุบัน
กว่าหัวปลี และปรุงรสด้วยเกลือ ซ่ึงจะไม่ใส่เน้ือสัตว์ ชาวขมุหันมานับถือศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์มากขึ้น
หรือเครื่องปรุงอย่างอื่น ถือได้ว่าเป็นกรรมวิธีแบบ และลดการประกอบพิธีกรรมรูปแบบเดิม การ
ธรรมชาติท่แี ท้จริง ปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ทางความเช่ือจึงถือเป็นความ
หลากหลายในการดารงชีพแบบหนึ่งและมีลักษณะท่ี
๘๖ | กลุ่มชาตพิ ันธ์ุ ในจงั หวัดเชยี งราย ผสมผสานกัน เช่น เม่ือมีการข้ึนบ้านใหม่ ก็จะเอา
พระสงฆ์ ปู่จารย์หรือมัคนายก ประกอบพิธีบ้านใกล้

เรอื นเคียง หรอื ที่ตนรจู้ ักมาประกอบพธิ กี รรมดว้ ย และ เดือนสาม ชาวขมุจะเซน่ ไหวเ้ พอ่ื ให้ชวี ิตอยู่อยา่ งรม่ เย็น ชาติพันธ์ุ “ขมุ”
เมื่อมีคนเสียชีวิตในหมบู่ ้านก็จะทาพิธีฝงั ศพ โดยมีผู้นา เป็นสขุ การเซน่ ไหว้จะจัดเม่อื ถงึ วันข้นึ ปใี หม่ เพอื่ ขอให้
ศาสนาคริสตม์ าประกอบพธิ ีกรรมให้ นอกจากนี้แลว้ ใน ความโชคร้ายต่างืๆให้หมดไปในปีเก่า และขอให้เจริญ
พิธีกรรมแต่งงานก็จะมกี ารนาเอาผอู้ าวโุ สในหมูบ่ ้านมา ในหน้าท่ีการงาน ฝนตกต้องตามฤดูกาล ผลผลิตในไร่
เป็นผูป้ ระกอบพธิ ี นาไดผ้ ลมาก ส่วนของเซ่นไหวม้ หี ลายอยา่ ง ดังนี้ กรวย
ดอกไม้ห้าอัน ธูปสามดอก ข้าวสุก ไข่ต้ม ขนม ผลไม้
โดยชาวขมุบ้านห้วยกอก ส่วนใหญ่นับถือ นา้ ขมิ้น สรุ าและอืน่ ๆ
ศาสนาพทุ ธ และความเชอื่ ตามบรรพบุรษุ ร้อยละ ๙๐
และนับถือศาสนาศริสต์ ร้อยละ ๑๐ ชาวขมุท่ีนับถือ การเซ่นไหว้ศาลเจ้าบ้านขึ้นหกค่า เดือนหก
ศาสนาพุทธและความเช่ือตามบรรพบุรุษ ยังคงจัด ชาวขมจุ ะทาพธิ กี อ่ นที่จะทากิจกรรมในไรน่ า เมื่อเข้าสู่
พิธีกรรมด้ังเดิมท่ีสืบทอดมาต้ังแต่บรรพบุรุษและให้ หน้าฝน เน่ืองจากเชื่อว่า การเซ่นไหว้ศาลเจ้าบ้านจะ
ความสาคญั ในการจดั พิธีกรรมต่าง ๆ ในทกุ ช่วงวัยของ ทานายได้ว่า ฝนจะตกต้องตามฤดูกาลหรือไม่ จะเกิด
การดารงชีวติ เหตุการณ์ร้ายในหมู่บ้านหรือในครอบครัวหรือไม่
ดังนั้นจึงจัดเครื่องเซ่นไหว้ เพ่ือดูกระดูกไก่เส่ียงทาย
๔.๒ พิธีกรรม ความเชอื่ รวมท้ังเมล็ดพืชท่ีจะปลูกได้แก่ ข้าว ถั่ว แตงโม และ
ชาวขมุมีความเชื่อที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมา อ่ืนๆ ซึ่งชาวขมจุ ะให้ความสาคญั กบั การทาพิธีเซ่นไหว้
จากบรรพบุรุษคือการนับถือผีบรรพบุรุษและผีท่ีมี ศาลเจ้าบ้าน ก่อนจะทาไร่ เนื่องจากว่าถ้าผลของการ
อานาจเหนือขึ้นไป คือผีเจ้านาย โดยผีเจ้านายนั้นมา เส่ียงทายที่ทานายจากการดูคางไก่เป็นไปด้วยดี
จากความเชื่อและความศรทั ธาท่มี ีต่อเจ้าของชาวขมุใน ย่ อ ม จ ะ ท า ใ ห้ ช า ว ข มุ อุ่ น ใ จ ใ น ก า ร เ พ า ะ ป ลู ก ม า ก
อดีตที่สืบทอดกันมาเมื่อตายลงไปชาวขมุก็ยังให้ความ ตามลาดับ
เคารพและนาชื่อมาบวงสรวงเซ่นไหว้ด้วยความเชื่อ
และความหวังว่าวิญญาณหรือผีเจ้านายเหล่านี้จะทา พิธีกรรมเก่ียวกับการเจ็บป่วย เมื่อมีสมาชิก
หน้าท่ีเป็นผู้ท่ีคอยปกปักรักษาชุมชนให้คนภายใน ในครอบครัวเจ็บป่วยโดยหาสาเหตุไม่ได้หรือเจ็บป่วย
ชุมชนอยู่ดีมีสุข นอกจากน้ีชาวขมุยังมีความเช่ือหลาย เป็นระยะเวลาต่อเน่อื งยาวนานไปรักษาดว้ ยการแพทย์
ประการท่ีมีความเกี่ยวเนื่องในวิถีชีวิต เช่น เร่ืองขวัญ แผนไทยแล้วอาการยงั ไม่ดีข้นึ ชาวขมุจะมีความเชื่อว่า
ท่ีเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตมีขวัญเป็นสารัตถะของชีวิต ร่างกาย มีสาเหตมุ าจากสง่ิ ศักดส์ิ ิทธห์ิ รือบรรพบรุ ษุ ของตน ต้อง
ของคนเราเองก็ประกอบไปด้วยขวัญ หากขวัญหายก็ มกี ารประกอบพธิ ีกรรมเพอ่ื เซ่นไหว้ และมกี ารใช้ควาย
จะทาให้เกิดความเจ็บป่วยต้องมีพิธีกรรมเรียกขวัญ หมู และไก่ เป็นเครื่องเซน่ ไหว้เปน็ หลกั นอกจากน้ันยัง
และผูกข้อมือ ส่วนพืชเองก็มีขวัญ เช่น ข้าวก็มีขวัญ มี เ ห ล้ า แ ล ะ ด้ า ย ส า ย สิ ญ จ น์ ท่ี ใ ช้ ใ น ก า ร ป ร ะ ก อ บ
ข้าว ขณะเดียวกันก็มีความเช่ือในเรื่องของผี หรือขมุ พิธกี รรม โดยในการประกอบพธิ กี รรมน้นั จะมี๓ ระดับ
เรียกว่า “โร๊ย” ท่ีเป็นจารีตปฏิบัติหรือเป็นกฎเกณฑ์ ข้ึนอยู่กับอาการของผู้ป่วยว่าเป็นหนักเพียงใดและ
ควบคุมความสัมพันธ์ทางสังคมของครอบครัว และ ฐานะของครอบครัวว่าจะสามารถจัดหาสิ่งของใดมา
ชมุ ชน เซน่ ไหว้
พิธีกรรมเลี้ยงผีบ้าน หรือไหว้ศาลเจ้าบ้าน
ศาลเจ้าปู่ ชาวขมุเรียกว่า “ศาลเจ้าบ้าน” ศาลตั้งอยู่ ๔.๓ ประเพณี
ทางทิศเหนือของ การเซ่นไหว้ศาลเจ้าบ้านข้ึนสามค่า ประเพณีปีใหม่ขมุ (บุญเกรอ) คือบุญปีใหม่
ของกลุ่มชาติพันธุ์ขมุ โดยมีความหมายเก่ียวข้องกับ

กลมุ่ ชาตพิ ันธุ์ ในจังหวดั เชยี งราย | ๘๗

ชาติพันธ์ุ “ขมุ” การผลิต เช่นการปลูกข้าว ปลูกมัน และอ่ืน ๆ ดังนัน้ จะทาข้าวตม้ ขนม เตรียมผลไม้ กล้วย ออ้ ย และอืน่ ๆ
ขมุจะเรียก “บุญส้ินปี” หรือ “บุญส่งปีเก่าเข้าปีใหม่” ส่วนข้าวของเครื่องใช้ในการทาพิธีจะประกอบด้วย
บุญเกรอจะจัดขึ้นทุกปีในเดือนเจียง - เดือนยี่ เหล้าไห สองไห ไกส่ องตัว(ไก่ตวั ผู้กบั ไก่ตัวเมยี อย่างละ
(ธันวาคม-มกราคม) หลังจากท่ีเก็บเก่ียวข้าวไร่ และ ตัว) นอกจากน้ีจะมีขันหมาก ตะกร้าขวัญข้าว และ
ขนข้าวขึ้นยุ้งในแต่ละครอบครัวจะทาบุญเกรอ เพราะ อุปกรณ์เช่นมีด เคียว จอบ และส่ิงของเครื่องใช้เช่น
มีความเชื่อว่า ถ้าหากยังไม่ทาบุญเกรอก็ไปทางาน เงนิ ทอง และอื่น ๆ
อย่างอ่ืนไม่ได้ เพราะว่าการทาบุญเกรอจะทาในช่วง
เดือนเจียง - เดือนย่ี เน่ืองจากว่าเดือนเจียง - เดือนยี่ ปัจจุบันชาวขมุ บ้านห้วยกอกได้มีการจัด
เป็นเดือนดับและเป็นเดือนเกิดของขุนเจือง ในเวลา ประเพณีปีใหม่ขมุ หรือบุญเกรอ ได้อย่างยิ่งใหญ่
ต่อมาได้มีการเรียกที่เปลี่ยนไปเพราะเพ้ียนเสียงจาก คึกคัก โดยจัดให้มีการแสดงโชว์ทางศิลปวัฒนธรรม
เสียงเจือง เป็นเสียงเจียง เดือนเจียงหมายถึงเดือนดับ ของชาวขมุ มีการจาลองวิถีชีวิต พิธีกรรมความเช่ือ
ของขุนเจือง เป็นเดือนท่ีขุนเจืองสิ้นลมหายใจ ฉะนั้น ของชาวขมุ รวมท้ังมีการจัดเล้ียงอาหารท้องถ่ินของ
จึงทาพิธใี นเดือนนี้เพื่อระลกึ ถึงการจากไปของขุนเจือง ชาวขมุ เปน็ ต้น
ฉะนั้นความเป็นมาของบุญเกรอ จุดเริ่มแรกก็เพื่อเป็น
การทาบุญอุทิศส่วนกุศลให้ขุนเจือง ท่ีเป็นบรรพชน ประเพณปี ีใหม่ขมุ (บุญเกรอ) บา้ นห้วยกอก
ของชาวขมุ รวมทง้ั ยงั เปน็ ผรู้ เิ รมิ่ ประเพณีต่าง ๆ ให้แก่
ชาวขมุในอดีต ซึ่งเมอ่ื ถงึ เดอื นเจียง - เดอื นย่ี กลุม่ ชาติ ภาพจาก www.facebook.com/hotsiatrips
พนั ธ์ขุ มุจะจัดงานเพื่อระลึกถึงขนุ เจอื ง
นอกจากประเพณีปีใหม่ขมุแล้ว ชาวขมุยังมี
เมื่อเวลาผ่านไปจากที่เคยจัดพิธีเพ่ือระลึกถึง ศิลปะการแสดงของชาติพันธุ์ตนเอง ซึ่งประกอบไป
ขุนเจือง กลมุ่ ชาติพันธุ์ขมไุ ด้เปลยี่ นมาทาบญุ เพอื่ ระลึก ด้วย เคร่ืองดนตรี ถือได้ว่าเป็นสุนทรียด้านหนึ่งของ
ถึง พ่อแม่ที่ล่วงลับ ดังน้ันการทาบุญเกรอ ของกลุ่ม ชีวิต บทเพลงที่ขับขานออกมาสะท้อนความรู้สึกของ
ชาติพันธุ์ขมุจึงทาพิธีภายในครอบครัวชาวขมุเท่านั้น คนขมุ และบทเพลงทุกบทมีความหมายและคุณค่าตอ่
ดังน้ันการทาบุญจึงไม่จัดอย่างคึกคักเพราะถือว่าจัด ชวี ิตของกลุ่มชาตพิ นั ธไุ์ มแ่ ตกตา่ งกนั แมว้ ถิ ีชวี ิตของคน
แบบครอบครัว นอกจากน้ีการทาบุญเกรอยังขึ้นอยู่ ขมุจะปรับเปลี่ยนไปเพื่อให้มีอัตลักษณ์ท่ีสอดรับกับ
กับการเก็บเก่ียวผลผลิตของแต่ละครอบครัว หาก ผู้คนที่อยู่รายล้อม แต่ว่าอัตลักษณ์ทางด้านดนตรีของ
ครอบครัวใดเก็บเก่ียวข้าวแล้วขนข้าวข้ึนยุ้งฉาง
เรียบร้อยก่อน จึงจะสามารถจัดพิธีบุญเกรอได้ ท้ังนี้
บุญเกรอจะทาได้กต็ ่อเม่ือ การเกบ็ เก่ียวผลผลิตในไร่นา
และขนข้าวข้นึ ย้งุ เสรจ็ เท่าน้นั จงึ จะจัดบุญนไ้ี ด้

การประกอบพธิ ี กลุม่ ชาตพิ ันธ์ขุ มุ โดยมากจะ
จัดพิธีบุญเกรอ ในช่วงบ่ายของวัน ที่ไม่ใช่วันท่ีพ่อ แม่
เสียชีวิต และจะจัดถึงบ่ายสามโมงเย็นของวันถัดไปจงึ
จะทาพิธีเรียบร้อย ในวันก่อนที่จะทาบุญเกรอชาวขมุ
จะกู้เผือก กู้มันและฟักทอง เพื่อเอาไว้นึ่ง นอกจากน้ี

๘๘ | กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ ในจังหวดั เชียงราย

พวกเขา ถือเป็นเคร่ืองบ่งชี้ว่า พวกเขายังมีความรู้สึก ๔.๕ การแต่งกาย ชาติพันธ์ุ “ขมุ”
ผูกพันอยู่กับเครือญาติ พ่ีน้อง ชุมชนและอะไรท่ีผ่าน เครื่องแต่งกายของคนขมุน้ันส่วนใหญ่แล้ว
มาในชีวิตถือเป็นประสบการณ์ ดังน้ันพวกเขาจึง ยังคงมีความเช่ือท่ีเช่ือมโยงกับถ่ินฐานบ้านเกิดเดิมอยู่
พยายามท่ีจะสื่อสารบทเพลง เสียงดนตรีเหล่านั้นผา่ น นน่ั คอื สาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาว พนื้ ผ้า
พื้นทแ่ี ห่งชีวิต ของเคร่ืองแต่งกายไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ผู้ใหญ่
หรือเด็ก จะเป็นพ้ืนสีดา สาบเสื้อจะเป็นผ้าแถบสีแดง
นอกจากเครือ่ งดนตรีในชีวติ ประจาวนั ของคน บ้างหรือประดับโดยใช้เหรียญเงินบ้าง เหรียญน้ันเป็น
ขมุแล้ว คนขมุยังมีการขับร้องเป็นชีวิตจิตใจด้วยบท เงินท่ตี ขี ึน้ เองหรือเหรยี ญท่ีมีตราของฝรั่งเศสเมอื่ คร้ังท่ี
ร้องของคนขมุจะแตกต่างจาก “ทา” บทขับร้องของ อยทู่ ี่ลาว ส่วนเคร่ืองประดบั อ่ืน ๆ กจ็ ะเป็นผ้าโพกหัวสี
คนขมุเติม่ ในความหมายของคนขมุนน้ั เป็นบทรอ้ งท่ีมี แดงเป็นสัญลักษณ์ของคนขมุท่ีมาจากแถบห้วยทราย
การเปล่งเสียงออกมาคล้ายกับการท่องบทกลอนหรือ หลวงพระบาง ในแง่ความหมายของสัญลักษณ์สีแดง
ทานองเพลง ซง่ึ มหี ลากหลายรูปแบบ น้นั หมายถงึ การรวมเลอื ดเนอ้ื ความสามคั คีกนั นั่นเอง
ในท่ีน่ีลักษณะเครื่องแต่งกายของผู้ชายชาวขมุจะมี
๔.๔ ภาษา ลักษณะดังนี้
กลุ่มชาติพันธุ์ขมุน้ันนักวิชาการด้านชาติพันธ์ุ เสอื้ เสื้อของชายน้ันจะเนน้ โทนสี
วทิ ยาและภาษาศาสตร์ ไดจ้ าแนกกลุ่มชาตพิ นั ธ์ขุ มุโดย ดาท้งั ผนื ยาวเลยเอว
ใช้ ภ าษ าเ ป็ น เ ก ณฑ์ แ ละ จั ด ใ ห้ ข มุ อ ยู่ ใน ก ลุ่ ม ภ า ษ า กางเกง กางเกงของคนขมุนั้น แต่
ตระกูลมอญ-เขมร มีช่ือทางชาติพันธุ์วิทยาว่ า เดิมจะใส่สีดา แต่ปัจจุบันใช้กางเกงแบบคนพ้ืนเมือง
“ออสโตรเอเซียติก” (Austroasiatic) โดยภาษาพูดท่ี และ แบบสมัยใหม่
นิยมใช้กัน คือ ภาษา ขมุ ซ่ึงชาวขมุจะมีภาษาพูดเป็น ผ้าโผกหวั ดั้งเดิมน้ันชายจะใช้สีขาว
ของตนเองตามสาเนยี งเสียงท้องถ่นิ และจะแตกต่างกัน ปัจจบุ ันนีใ้ ชส้ ีแดง
ไปในแต่ละกลมุ่ ส่วนใหญ่แลว้ จะสามารถส่ือสารกันได้ ผา้ คาดเอว เป็นผา้ สแี ดงคาดเอว
อย่างเข้าใจเพราะมีการเรียนรู้ทางภาษาระหว่างกัน ลักษณะเครื่องแต่งกายของผู้หญิงชาวขมุน้ัน
แต่เดิมชาวขมุมภี าษาเขียนและว่าตามตานานเรือ่ งเลา่ ในอดีตมักจะถูกสอนให้มีฝีมือในด้านการเย็บปัก การ
แลว้ ตวั อักษรทใ่ี ชเ้ ขียนเลือนลางจางหายไป แต่ปัจจุบัน ทอผ้า ในหมู่บ้านขมุแต่ด้ังเดิมเมื่อคร้ังท่ีอยู่ในลาว มี
คนขมุบางกลุ่มได้ทาการประดิษฐ์คิดค้นภาษาเขียน การทอผ้าใชเ้ อง แต่เม่ือข้ามเขา้ มาสู่ “พ้นื ทใี่ หม่” ด้วย
ของชาวขมุขึน้ ใหม่แต่ยงั ใช้ไมแ่ พร่หลายนัก วสั ดุท่ีหาไดย้ าก และปัจจุบันน้ีสามารถสงั่ ซือ้ ชุดท่ีมีคน
ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธ์ุขมุ ท้ังผู้ใหญ่และเด็ก เยบ็ สาเร็จแล้ว พวกเขาก็สามารถซ้ือหามาเป็นเจ้าของ
ยังคงมีการใช้ภาษาพูดเป็นภาษาขมุอยู่ แต่จะมีการใช้ ได้ ผู้หญิงขมุจะสวมเส้ือสีดากับผ้าซ่ินหรือผ้าถุงสีดามี
ภาษาอ่ืนบ้างตามสถานการณ์เช่น ภาษาคาเมือง และ ลายเหมือนผ้าซิ่นคนลาว นอกจากนี้แล้วกระดุมเสื้อ
ภาษาไทย เนื่องจากในพ้ืนท่ีมีกันอยู่ร่วมกันกับกลุ่ม ของผู้หญิงนั้นเดิมเป็นเงินแท้ และผ้าโพกหัวสีแดง
ชาติพันธ์ุอื่น เช่นไทล้ือ หรือคนพ้ืนเมือง เป็นต้น และ เคร่ืองประดับของผู้หญิง ประกอบไปด้วย ซังปะกะ
ในปัจจุบันไม่มีการใช้ภาษาเขียนแล้ว และไม่สามารถ (ตุ้มหู) ซังโกย (ปลอกคอ) ซังติ (กาไลเงิน) ปัจจุบัน
หาหลกั ฐานท่ีแสดงถงึ กาใช้ภาษาเขียนของชาว ขมุ ใน ผ้าซิ่นที่ชาวขมุยังคงนิยมใส่แบบเดิม แต่จะมีการ
บ้านห้วยกอกได้
กลุ่มชาติพนั ธุ์ ในจังหวดั เชยี งราย | ๘๙

ชาติพันธ์ุ “ขมุ” เปล่ียนแปลงไปบ้างตามถ่ินท่ีอยู่อาศัย เช่นบ้านห้วย ๔.๕ องค์ความรูแ้ ละภมู ปิ ัญญา
กอก ก็จะมีลักษณะการนุ่งผ้าซ่ินท่ีมีลายขวางเหมือน องค์ความรู้ด้านสมนุ ไพร นบั เปน็ องคค์ วามรู้ที่
ผา้ ซน่ิ ของชาวไทล้อื
สาคัญอีกประการหนึ่งของคนขมุ เน่ืองจากว่าในอดีต
แม้ว่าปัจจุบันนี้การแต่งกายทั้งชายและหญิง
ของคนขมจุ ะเปลย่ี นแปลงไป โดยแต่งกายตามรูปแบบ คนขมุมักจะใช้สมุนไพรในการรักษาโรค สมุนไพรเป็น
คนพ้ืนเมือง เพราะพวกเขาเป็นคนขมุในไทย
แต่ “อัตลักษณ์” การแสดงออกของพวกเขาท่ียัง ส่ิงท่ีสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของคนขมุกับการ
ปรากฏให้เห็นกันอยู่และปฏิบัติสืบต่อกันมา เช่น การ
แตง่ กาย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทพ่ี วกเขาจัด ดารงชีพและสะท้อนการปรับตัวของผู้คนในการดารง
ข้ึนในช่วงปลายเดือนธันวาคมของทุกปี พ้ืนที่การ
แสดงออกอย่างเด่นชัดในช่วงเทศกาลนั้นกลายเป็น วิถีเพ่ือความอยู่รอด ทั้งน้ีในวงจรของการดาเนินชีวิต
พื้นท่ีทางสังคมของคนขมุ พวกเขาได้นาเอาวัฒนธรรม
ดั้งเดิมออกมานาเสนออีกท้ังยังเลือกท่ีจะนาออกมา การเจ็บป่วยถือเป็นเร่ืองท่ีเกิดข้ึนตามภาวะทาง
บางสถานการณ์ เพ่ือเป็นการส่งเสริมให้เกิดความ
สามัคคีและการไม่ลืมรากเหง้าตัวตนของตัวเอง หรือ ร่างกายและกลายเป็นความทุกข์ท่ีมนุษย์ต้องแสวงหา
แม้กระทั่งในโรงเรียนถึงถึงแม้จะมีการเรียนร่วมกับ
กลุ่มชาวไทยล้ือ แต่ทุกวันศุกรโ์ รงเรียนกย็ ังคงให้มกี าร ทางออก กระบวนการในการปรับตัวของคนขมุในการ
แตง่ กายตามชาตพิ ันธ์ขุ องตนเองอยู่
เรียนรู้การรักษาโรค โดยส่ังสมประสบการณ์นี้
การแต่งกายของชาวขมุ บา้ นห้วยกอก
กลายเป็นส่ิงท่ีสะท้อนตัวตนคนขมุอยู่ แม้ว่าการใช้
ภาพจาก www.facebook.com/hotsiatrips
สมุนไพรในการรักษาโรคแบบดั้งเดิมนั้นจะเข้าขั้น
๙๐ | กล่มุ ชาติพนั ธุ์ ในจงั หวัดเชยี งราย
“วิกฤต” เน่ืองจากปราชญ์ผู้เก็บงาองค์ความรู้ด้านน้ี

เริ่มทยอยลับโลกน้ีไป(งานหัตถกรรมปักผ้า/มรดกทาง

วฒั นธรรม

๕. แหลง่ อา้ งอิง

เลหล้า ตรีเอกานุกูล และณัฐธิดา จุมปา. (๒๕๖๑).
องค์ความรู้ทรัพยากรทางวัฒนธรรมของ
ก ลุ่ ม ช า ติ พั น ธุ์ ข มุ ใ น ห มู่ บ้ า น ห้ ว ย เ อี ย น
อ า เ ภ อ เ วี ย ง แ ก่ น จั ง ห วั ด เ ชี ย ง ร า ย .
มหาวิทยาลยั ราชภัฎเชยี งราย

เสถียร ฉันทะ. (๒๕๕๘). กลุ่มชาติพันธ์ุสองฝั่งโขง :
กรณีศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ขมุ ในแขวงบ่อ
แก้ว ประเทศลาว และขมุในจังหวัด
เชียงราย ประเทศไทย. มหาวิทยาลัยราชภฎั
เชียงราย

สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วจิ ัยและ
นวัตกรรม (สกสว.). (๒๕๖๔). กลุ่มชาติพันธุ์
ไทย งานวิจัยและความท้าทาย. กระทรวง
อดุ มศึกษา วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม

อภิชาต ภัทรธรรม. (๒๕๕๔). ขมุ. วารสารการจดั การ
ป่าไม้ ภาควิชาการจัดการป่าไม้ คณะวน
ศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์

องอาจ อินทนิเวศ. (๒๕๖๒). องค์ความรู้ภูมิปัญญา
ด้านดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ขมุในจังหวัด

เชียงราย. วารสารวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัย ชาติพันธ์ุ “ขมุ”
เชียงใหม่
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). กลุ่ม
ชาติพันธ์ุ : ขมุ. สืบค้นเมื่อ ๒๒ กรกฎาคม
๒๕๖๔. แหล่งที่มาhttps://www.sac.or.th/
databases/ethnicgroups/ethnicGroups/
๕๘
สมั ภาษณ์
นายสมศักดิ์ เนาวฤทธิ์ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ ๑๔
บ้านห้วยกอก ต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย.
(๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔). สมั ภาษณ์

กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย | ๙๑

ชาติพันธ์ุ “ดาราอ้ัง”

ชาตพิ ันธ์ุ “ดาราอัง้ ”
Dara-ang

“ปะหล่อง เป็นชาติพันธ์ุที่อพยพจากเมียน ประเทศเมียนมาร์ เม่ืออังกฤษคืนอิสรภาพ มีผลทาให้
มาร์เข้าสู่ไทย เรียกตัวเองว่า “ดาราอั้ง” คาว่า เกิดความระส่าระสายไปท่ัว เกิดการขัดแย้งและสู้รบ
ปะหล่องเป็นภาษาไทใหญ่ ซ่ึงใช้เรียกชนกลุ่มนี้ กนั ตลอดเวลา ระหวา่ งกองกาลงั ชนกลมุ่ นอ้ ย ท่ีรวมตวั
นอกจากน้ันยังมีคาเรียกท่ีแตกต่างกันออกไปอีก เช่น กันจัดตั้งองค์กรแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติกับ
ชาวเมียนมาร์เรียกปะหล่องว่า “ปะลวง” และไทใหญ่ ทหารรัฐบาลเมียนมาร์ที่ดาเนินการอยู่ในพ้ืนท่ีต่าง ๆ
บางกลุ่มก็ใช้คาว่า “คนลอย” ซ่ึงมีความหมายว่าคน สงครามสง่ ผลตอ่ ชาวปะหล่องทัง้ ทางตรงและทางอ้อม
ดอยหรอื คนภูเขาแทนคาว่า “ปะหลอ่ ง”” ชาวปะหล่องมีการรวมตัวตั้งเป็นองค์กร ช่ือองค์กร
ปลดปล่อยรัฐปะหล่อง มีกองกาลังติดอาวุธประมาณ
๑. ประวตั ศิ าสตรค์ วามเป็นมาของชาติพันธุ์ ๕๐๐ คน องค์กรดังกล่าวร่วมเป็นพันธมิตรอยู่ในแนว
ร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรหลักท่ีรวม
ราวปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้มีปะหล่องจานวน เอาองค์กรต่อสู้เพ่ือสิทธิ์ในการปกครองตนเองของชน
ประมาณ ๒,๐๐๐ คน อพยพมารวมกันที่ชายแดน กลมุ่ น้อยทง้ั หมดไว้ ในแตล่ ะครัง้ ทก่ี าร สู้รบหรือปะทะ
ไทย-เมียนมาร์ บริเวณดอยอ่างขาง อาเภอฝาง กันระหว่างองค์การปลดปล่อยรัฐปะหล่องกับทหาร
จังหวัดเชียงใหม่ ที่หมู่บ้านนอแล ซ่ึงเป็นหมู่บ้านใกล้ รัฐบาล ชาวบ้านประสบความเดือดร้อนมากต้อง
กับพื้นท่ีรับผิดชอบของโครงการหลวงดอยอ่างขาง สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน นอกจากน้ันพ้ืนท่ีที่ชาว
สถานการณ์ครั้งนั้นนาความลาบากใจมาสู่เจ้าหน้าที่ ปะหล่องอาศัยอยู่ก็ยังเป็นพื้นท่ีเคลื่อนไหวปฏิบัติงาน
ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่อย่างยิ่ง เนื่องจากกลุ่มผู้อพยพ มวลชนของพรรคคอมมิวนิสต์เมียนมาร์ ทหาร
คร้งั นี้ เป็นชาวปะหลอ่ งจากดอยลาย อยรู่ ะหว่างเมือง ฝ่ายรัฐบาลจะเข้าไปปฏิบตั ิการโจมตเี พอื่ สกัดกั้นความ
เชยี งตองกบั เมอื งป่นั เขตเชยี งตุง ฉะน้ันบคุ คลเหล่าน้ี เคล่ือนไหวอยู่ตลอดเวลา การปฏิบัติการเหล่านี้ มีผล
จึงถือว่าเป็นบุคคลที่อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
สาเหตุของการอพยพ สบื เนื่องมาจากสถานการณ์ใน
๙๒ | กลุ่มชาตพิ ันธุ์ ในจงั หวัดเชยี งราย

ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวปะหล่องท่ีอาศัยอยู่ดอย ชาติพันธุ์ของตัวเอง ข่าวสารต่าง ๆ จากทางราชการ ชาติพันธ์ุ “ดาราอ้ัง”
ลายเป็นอยา่ งมาก และการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ก็จะมีการสื่อสารผ่าน
ทางผู้นาชุมชนหรือผู้นาชาติพันธ์ุ เพราะชาติพันธุ์
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสดจ็ ปะหล่องก็ต้องมีการปรับตัวใหเ้ ขา้ กบั สังคมทต่ี นเองเข้า
เยี่ยมเยียนราษฎรชาวเขาเผ่ามูเซอที่บ้านขอบด้งใน มาร่วมอาศัยอยู่
พ้ืนท่ีโครงการหลวงดอยอ่างขาง ปะหล่องคนหน่ึงจึง
ได้นาความกราบบังคมทูลของอนุญาตอาศัยอยู่ใน ๒.๒ ผู้นา/บุคคลสาคัญ
ประเทศไทย ซ่ึงเป็นผลให้โปรดเกล้าฯ จัดท่ีอยู่ให้ใน ๑. ผู้นำชำติพันธุ์ หรือ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน
ฐานะผู้อพยพท่ีบา้ นอแล จนถึงปัจจบุ ัน มีหน้าที่ดูแลคนในหมู่บ้านและสื่อสารเร่ืองต่าง ๆ
จากทางการและเปน็ ผนู้ ากิจกรรมทีจ่ ะทาร่วมกับสังคม
ราวปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ดาราองั้ หรอื ปะหลอ่ ง ได้ และหนว่ ยงานของรัฐ
อพยพมาจาก จังหวัดเชียงใหม่ เข้ามาใน จังหวัด ๒. ประธำนวัฒนธรรมชำติพันธุ์ มีหน้าที่
เชียงราย ซ่ึงกระจายตัวอยู่ตามบ้านของนายจ้าง และ จัดเตรียมงานประเพณีต่าง ๆ ร่วมกับหัวหนา้ ชาตพิ ันธุ์
ได้มีการรวมกลุ่มเพื่อหาท่ีดินในการปลูกบ้านที่อยู่ พระสงฆ์ และคนในหมู่บ้าน รวมทั้งการเผยแพร่
อาศัย โดยการลงขันรวมเงินกันซ้ือท่ีดิน ในท่ีอาศัย วัฒนธรรมของชาติพันธุ์ในเทศกาลหรืองานต่าง ๆ
ปัจจุบัน ในพื้นท่ี หมู่บ้านโป่งเหนือ ตาบลโป่งงาม ทท่ี างชนเผ่า และทางหนว่ ยงานราชการจดั ขึ้น
อาเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และมีการแต่งงานกนั ๓. พระสงฆ์ จะเป็นศูนย์รวมจิตใจของ
ในชาติพันธุ์ ทาให้มีประชากรของชาติพันธุ์ดาราอั้ง ชาวบ้านและประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ในช่วงเทศกาล
เพิ่มมากขึ้น ซ่ึงปัจจุบันมีประมาณ ๑๐๐ หลังคาเรือน และงานบุญ ซ่ึงชาวปะหล่องจะให้ความเคารพนับถือ
มีประชากรประมาณ ๗๐๐ คน นอกจากในพืน้ ท่ีตาบล พระสงฆ์เปน็ อยา่ งมาก
โป่งงาม อาเภอแม่สาย ยังพบชาวปะหล่อง ในจังหวัด ๒.๓ ระบบครอบครวั และเครือญาติ
เชียงราย ที่อาศัยอยู่ในพ้ืนที่อื่นอีกหลายหมู่บ้าน ร ะ บ บ ค ร อ บ ค รั ว ห รื อ เ ค รื อ ญ า ติ ข อ ง ช า ว
ประกอบด้วย บ้านป่าสักน้อย บ้านป่าแดด อาเภอ ปะหลอ่ งน้ัน ก็จะมกี ารอยู่กันเปน็ ครอบครวั เหมือนชน
เชียงแสน และบ้านห้วยน้าราก บ้านสันทราย พื้นราบทั่วไป ในระบบเครือญาติก็จะรู้กันเองว่าใคร
บ้านแหลว อาเภอแม่จัน เป็นเครือญาติใคร จะดูท่กี ารตง้ั นามสกุลในแตล่ ะเครือ
ญาติ ชาวปะหล่องจะให้ผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัว
๒. โครงสร้างทางสงั คม เหมือนเช่นชาตพิ ันธุ์อื่น ๆ ในการเลอื กคู่ครองนั้นก็อยู่
ท่ีความพึงพอใจของทั้งท้ัง ๒ ฝ่าย และจะมีการ
๒.๑ การปกครอง แต่งงานกันในชาติพันธุ์ ไม่มีการข้ามชาติพันธ์ุ ซ่ึงจะ
ในอดีตชาวปะหล่อง จะมีผู้นาท่ีจะดูแลคนใน เป็นการเลือกคู่ครองเองโดยครอบครัวไม่มีการบังคับ
ชาติพันธุ์ท่ีเรียกว่า “พ่อใหญ่” จะมีหน้าท่ีเหมือน หรอื คลุมถุงชนให้มีการจับแต่งงาน
หัวหน้าชาติพันธุ์ ทุกคนในชาติพันธุ์ในกลุ่มน้นั ๆ ต้อง
เช่ือฟังคาสั่งทุกอย่างท่ีพ่อใหญ่ได้บอก แต่หลังจากที่มี ๓. วิถีชีวติ ความเป็นอยู่
การอพยพย้ายถิ่นฐาน เข้ามาอยู่ในชุมชนของคน
พ้ืนเมือง วัฒนธรรมการปกครองก็มีการเปล่ียนแปลง ๓.๑ ทอี่ ยู่อาศยั
ปัจจบุ ันชาตพิ นั ธุ์ปะหลอ่ งก็จะมีหัวหน้าชาตพิ นั ธ์ุที่เป็น ชาวดาราอ้งั หรอื ปะหล่อง มกั เลือกเลอื กพืน้ ที่
ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ที่รับคาส่ัง และดูแลชาวบ้านใน ในการดารงชีวิต ท่ีเป็นภูเขาหรือพื้นที่ราบสูง

กลุ่มชาตพิ นั ธุ์ ในจังหวัดเชยี งราย | ๙๓


Click to View FlipBook Version