ชาติพันธุ์ “ไตหย่า” ไมว่ า่ จะเป็นมนุษย์ สตั ว์ หรอื ส่ิงใด ๆ ทส่ี ามารถกระทา
คุณให้ ได้แก่ ประเพณีโกย่าง เป็นประเพณีปีใหม่ของ
ชาวไตหย่า ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๓ เป็นวันท่ี ประเพณีหวูเย่
ลู ก ห ล า น แ ล ะ ญ า ติ พ่ี น้ อ ง ใ น ต ร ะ กู ล ซ่ึ ง อ อ ก ไ ป มี
ครอบครัวหรือไปทางานต่างถ่ินได้กลับมาบ้านเพื่อ ท่ีมา : Northpublicnews.
ระลกึ ถึงบรรพบรุ ุษร่วมกนั ประเพณ“ี กนิ ขา้ วใหม่” สบื สานความม่ันคงทางอาหารของชนเผ่า.
ประเพณีหวูเย่ คือประเพณีทานข้าวใหม่ ศิลปะและการแสดง ชาวไตหย่าได้ยอมรับ
ตรงกบั วันขึ้น ๕ คา่ เดอื น ๕ เป็นประเพณที ท่ี าหลงั จาก และปฏิบัติตามวัฒนธรรมของพื้นที่ใหม่อย่างส้ินเชิง
การเก็บเกี่ยวข้าวเรียบร้อยแล้ว เพ่ือเป็นการขอบคุณ เ นื่ อ ง จ า ก วั ฒ น ธ ร ร ม ด้ า น นี้ ไ ม่ ป ร า ก ฏ ชั ด เ จ น ใ น
บรรพบุรุษที่คุ้มครองชีวิตชาวไตหย่าให้มีชีวิตยืนยาว วัฒนธรรมเดิมของชาวไตหย่า และขาดการสืบทอดสู่
จนสามารถทามาหากนิ ได้อยา่ งมีความสุข นอกจากน้ัน ลูกหลาน จึงเหน็ ไดว้ ่า เม่อื วฒั นธรรมของชาวไตหยา่ ได้
ยังเป็นการขอบคุณผีไร่ผีนา ที่ช่วยดูแลไร่นาจนทาให้ ผ ส ม ก ล ม ก ลื น กั บ วั ฒ น ธ ร ร ม ใ ห ม่ ท่ี แ ข็ ง แ ก ร่ ง ก ว่ า
พืชผลในไร่นาอุดมสมบูรณ์ ขอบคุณวัวควาย และ ทาให้วัฒนธรรมไตหย่าบางอย่างสูญหายไป และ
ขอโทษท่ีได้เฆ่ียนตีขณะที่ไถคราด การแสดงความ บาง อ ย่าง มีก าร ปะ ปน กั บวั ฒ น ธร ร มใหม่เพิ่ม
กตัญญูและการขอโทษทาด้วยการไหว้ผีบรรพบุรุษ การละเล่นของชาวไตหย่าในด้านดนตรีและเพลง
ไหวผ้ ไี ร่ ผีนา และเรียกขวญั วัว ขวญั ควาย พื้นบ้านที่มีลักษณะคล้ายกับล้านนาและกลุ่มชาติพนั ธ์ุ
ไทอื่น ๆ คือมีการเล่นดนตรีและร้องเพลงขณะออกไป
ประเพณีป๋าเย๋ คือการไหว้พระจัน ทร์ แอ่วสาว ชาวไตหย่าเรียกว่า ฮ่อนสาว ผู้ที่เล่นดนตรี
ตรงกับวนั ขน้ึ ๑๕ คา่ เดอื น ๘ ในวันน้ีญาตพิ ีน่ อ้ งจะมา มักจะเป็นชายหนุ่ม ส่วนผู้ร้องน้ันจะมที ้ังหนุ่มและสาว
รวมกันเพ่ือระลึกถึงบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้วอีกครั้ง เครือ่ งดนตรีทีใ่ ช้เล่นประกอบทาจากวัสดุทห่ี าไดง้ ่ายใน
หนึ่ง ก่อนถึงวันไหว้พระจันทร์หน่ึงวันบรรดาญาติพี่ หมู่บ้าน ได้แก่ ติ่งเซ มีลักษณะคล้ายซอด้วงเป็นดนตรี
น้องจะมารวมกันท่ีบ้านพ่อ-แม่ เพื่อทาขนมสาหรับใช้ ประเภทสี ติ้งต่องมีลักษณะเหมือนพิณของชาวเขา
เซ่นไหว้ ในเวลากลางคืนซ่ึงเป็นคืนที่พระจันทร์เต็ม หรือซึงแต่มีขนาดเล็ก เป็นเครื่องดนตรีประเภทดีด
ดวง หนุ่มสาวในหมู่บ้านจะมารวมกันเพ่ือพูดคุย และขลุ่ย การขับหรือการร้องเพลงของชาวไตหย่าน้ัน
เล่นดนตรี ร้องราทาเพลงกันเป็นที่สนกุ สนาน ในคืนน้ี เรียกว่า ฮ้องกา เป็นการร้องเพลงเก้ียวพาราสีขณะท่ี
จะมีการทานายด้วยว่าจะเป็นปีที่ไร่นามีความอุดม ฮ่อนสาว หรือร้องโตต้ อบของหนุม่ สาวขณะเขา้ ป่าเพ่ือ
สมบูรณ์ หรือมีโชคลาภหรือไม่ด้วยการดูว่าพระจันทร์ ไปเก็บฟืน (รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์ และจินตนา
เต็มดวงมีแสงสุกใส ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ขนมท่ีทาใน มัธยมบุรษุ ๒๕๔๑ : ๗๔-๗๕)
ตอนเช้าสุกดี และมีญาติพี่น้องท่ีอยู่ทั้งใกล้และไกลมา
พร้อมหนา้ พรอ้ มตา หากเป็นไปตามนแี้ สดงว่าปนี ้จี ะได้
ผลผลิตขา้ วมาก (รุจพร ประชาเดชสวุ ัฒน์ และจนิ ตนา
มธั ยมบรุ ษุ ๒๕๔๑ : ๕๑-๕๔)
๑๙๔ | กลุ่มชาตพิ ันธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย
๔.๔ ภาษา ชาติพันธุ์ “ไตหย่า”
ชาวไตหย่า มีภาษาพูดเป็นของตัวเอง
ราไตหย่า ท่ี ฟั ง แ ล้ ว จ ะ ค ล้ า ย ค ลึ ง กั บ ภ า ษ า ไ ท ลื้ อ ห รื อ ไ ท ย อ ง
แต่จากการที่ไม่มีตัวอักษรในการจดบันทึก จึงทาให้
การละเลน่ ของชาวไตหย่า เพ่อื ตอ้ นรับแขกเขา้ สู่หมบู่ ้าน ภาษามีการเปล่ียนแปลงและสูญหายไปมาก จากการ
ศึกษาของเรืองเดช ปนั เข่ือนขัติย์ (๒๕๓๔ : ๑๗ - ๒๙)
ภาพจาก อารีย์ หนิ โชค. ถา่ ยเมอ่ื สิงหาคม 2563. สรุปว่า ภาษาไตหย่า เป็นภาษาถิ่นหนึ่งของภาษา
ตระกูลไทย หรือตระกูลไต เช่นเดียวกับภาษาไทย
นนั ทนาการของชาวไตหย่าในจงั หวัดเชียงราย กรุงเทพฯ และภาษาไทยถิ่นอ่ืน ๆ ระบบคาของภาษา
ไมป่ รากฏชดั เจน ในกล่มุ ผู้ชายจะพบว่ามีเพยี งการเล่น ไตหย่าจะมีลักษณะคล้ายกับภาษาไทยถ่ินต่าง ๆ
ลกู ขา่ งไม้ซึ่งเป็นลกู ข่างทท่ี ากนั เอง นยิ มทาจากไม้ข่อย จากการศึกษาถึงระบบคาของภาษาไตหย่าโดยอาศัย
หนาม มีขนาดใหญ่ น้าหนักมากและใช้เชือกป่านพัน รปู คาตา่ ง ๆ ท่ีใช้ในชีวติ ประจาวนั เปน็ หลักแล้ว พบว่า
รอบมีไม้เปน็ ด้ามจับเพือ่ ช่วยในการเหวีย่ งให้ลูกข่างไป เป็นภาษาคาโดด (monosyllabic language) เพราะ
ได้ไกลและหมุนได้นาน การละเล่นจะจัดในบาง มีระบบคาท่ีมีพยางค์เดียวใช้มากกว่าคาท่ีมีหลาย
เทศกาลเท่าน้ัน เช่น ในวันประชุมใหญ่ชมรมไตหย่า พยางค์ จากการสรุปลักษณะทั่วไปของภาษาไตหย่า
ดงั น้นั นนั ทนาการของชาวไตหย่าในปัจจุบนั จึงเหมือน ที่ศึกษาถึงระบบเสียง ระบบคา และระบบประโยคใน
คนพ้ืนเมืองทั่วไป เช่น การฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ ภาษาพดู ไวด้ งั นี้
อ่านหนังสอื หรือทาการฝมี อื เย็บปักถกั ร้อยต่าง ๆ
• ภาษาไตหย่า เป็นภาษาคาโดด จึงมีคาโดดใช้
วรรณกรรม ชาวไตหย่าไม่มีภาษาเขียน ในชวี ติ ประจาวนั มากกวา่ คาหลายพยางค์
วรรณกรรมจึงถูกถ่ายทอดเป็นบทกวี ลานา การเล่า
นิทานปรากฏในบทขับลานาต่าง ๆ คล้ายเพลงพื้นบ้าน • ภาษาไตหย่า มีระบบเสียงรวมกันทั้งหมด
ของไทย เน้ือหาเป็นการใช้สานวนอุปมาอุปมัย ๔๑ หน่วยเสียง คือ หน่วยเสียงพยัญชนะ
โดยใช้ส่ิงแวดล้อมใกล้ตัวเปรียบเทียบ ราพึงราพัน ๑๘ หนว่ ย
ตั ดพ้ อ ต่ อว่ า หรื อแสดง คว ามอาลั ยอาว ร ณ์
(นงนชุ จันทราภยั . ๒๕๒๔: ๑๓) • เสียง หน่วยเสียงสระ ๑๘ หน่วยเสียง และ
หนว่ ยเสียงวรรณยุกต์ ๕ หน่วยเสียง
• ภาษาไ ตหย่า มีก าร แตก ตัว ขอ ง เ สี ย ง
วรรณยุกต์เป็นสองทาง คือ ระหว่างอักษรสูง
กบั อกั ษรกลาง
• รวมกบั อักษรต่า แบบ A / -๒๓๔
• ภาษาไตหย่าไมม่ หี นว่ ยเสียง / b d r และ eh /
(บ ด ร และ ช) ในภาษาไตหย่าเหมือนกับ
ภาษาไทย
• กลาง จะใช้หนว่ ยเสียง ว แทน บ หน่วยเสียง ล
แทน ด หน่วยเสียง ฮ แทน ร และ หน่วยเสียง
จ แทน ช
กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ในจงั หวัดเชียงราย | ๑๙๕
ชาติพันธุ์ “ไตหย่า” • ภาษาไตหย่ามีคายมื มาจากภาษาอน่ื นอ้ ยมาก ในส่วนของภาษาเขียน ชาวไตหย่าเป็นชน
คาท่ียืมมาใช้สว่ นใหญ่ยมื มาจากภาษาจีนฮอ่ กลุม่ ไตท่ีมแี ตภ่ าษาพูดไมม่ ภี าษาเขยี น แมว้ า่ มชิ ชนั นารี
ซึ่งได้เข้าไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในหยวนเกียงจะ
• ภาษาไ ตหย่า มีจาน ว น คาท่ีใช้ใน ชีวิต พยายามประดิษฐ์อักษรสาหรับชาวไตหย่าข้ึนมาใช้ก็
ประจาวนั น้อยกว่าภาษาไทยถ่ินอน่ื ๆ ทีม่ กี าร ตาม แต่ก็ไม่สาเร็จ ดังนั้นการเขียนของชาวไตหย่า
พฒั นาและไดร้ บั จึงใช้อักษรของจีนเขียนตามภาษาพูด (กาญจนา
เงารังษี. ๑๙๘๓ : ๓๗ )
• อิทธพิ ลจากภาษาอืน่ หลายภาษา
• ภาษาไตหย่าไม่มีการทาคากริยาให้เป็น ปัจจบุ นั นี้ชาวไตหย่าส่วนหน่ึงยงั คงพูดกันด้วย
ภาษาไตหย่า แต่เป็นภาษาไตหย่าท่ีเริ่มมีภาษาอ่ืน ๆ
คานามเหมือนกบั ภาษาไทยกลาง โดยเฉพาะภาษาไทยเหนือและไทยกลางเข้ามาปะปน
• ไมม่ เี สยี งควบกล้าใช้ในภาษาไตหย่า คาทุกคา เพิ่มมากขึ้น โดยใช้สาเนียงภาษาไตหย่าในการออก
เสยี งคาภาษาอืน่ ๆ เหตุที่เปน็ ดังนี้เพราะในยุคแรกน้ัน
จะมีหน่วยเสยี งเดยี วเปน็ พยญั ชนะต้นคา ชาย หญงิ ชาวไตหย่าที่เขา้ มาส่วนใหญ่ยังเปน็ หนุ่มโสด
• ไม่มีสระประสมใช้ในภาษาไตหย่า กล่าวคือ บางคนจึงได้แต่งงานอยู่กินกับคนพื้นเมือง แต่ก็มีบาง
คนท่ีแต่งงานกับชาวไตหยา่ ด้วยกนั การแตง่ งานจึงเป็น
สระเอีย เอือ อัว ท่ีมีในภาษาไทยถนิ่ อ่นื ภาษา สิ่งสาคัญท่ีทาให้เกิดการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม
ไตหย่า เม่ือมีลูก ในครอบครัวส่วนใหญ่จะพูดภาษาพ้ืนเมือง
• จะใช้สระเดี่ยว คือ สระ เอ เออ และ โอ เหนือกับลูก จึงทาให้ลูกพูดภาษาไตหย่าไม่ได้
ตามลาดับ แม้แต่บางครอบครัวท่ีเป็นไตหย่าก็ไม่ใช้ภาษาไตหย่า
• เสียงวรรณยุกต์ตรี (high tone) ของภาษา ในบ้าน เน่ืองจากไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นความแปลก
ไ ต ห ย่ า จ ะ มี เ สี ย ง ต่ า ก ว่ า ร ะ ดั บ เ สี ย ง ภ า ษ า แยก การใชภ้ าษา ไตหย่าจึงลดน้อยไปมาก โดยเฉพาะ
ไทยกลาง และภาษาไทยลา้ นนามาก ในกลุ่มเด็กท่ีได้รับการศึกษา การไปโรงเรียนทาให้อยู่
• ภาษาไตหยา่ มคี าคุณศัพท์เปรียบเทียบข้ันกว่า ในกลุ่มเพ่ือนคนพื้นเมือง จึงใช้ภาษาพื้นเมืองใน
และข้ันสูงสุดใช้ดังนี้คือ ใช้คาว่าหลาย แทน ชีวติ ประจาวนั เปน็ ส่วนใหญ่
คาว่า กวา่ และ หลายเป้ิน แทนคาว่า ที่สุด
• มีคาอุปสรรคเติมหนา้ คาอยู่บ้าง แตไ่ ม่มากนัก ดั ง ข้ อ มู ล ท่ี ไ ด้ จ า ก ก า ร ส น ท น า ก ลุ่ ม ดั ง น้ี
เชน่ อา เป็นต้น (เลหลา้ ตรเี อกานุกลู และจุไรรตั น์ วรรณศริ ิ. ๒๕๕๒ :
• มีคาสรรพนามใช้อย่างจากัดเพียง ๗ คา คือ ๔๗)
บุรุษท่ี ๑ เฮา เกา บุรุษที่ ๒ เมอ สู บุรุษท่ี ๓
มัน เขา เปิ้น นอกจากนั้นใช้คาเครือญาติเป็น “ยะหยงั เฮาต้องอกู้ าเมอื งกับลกู เพราะว่าเฮา
คาสรรพนาม ก็อยากอู้กาเมืองเก่ง ๆ เลยเฮียนกับลูก ๆ เลยบะได้อู้
• หน่วยเสียง ง จะไม่เกิดขึ้นต้นคาของภาษาไต กาไตหย่าใส่เขา แหมอย่าง เฮาบะอยากฮื้อลูกอู้บะ
หย่า ในกรณีที่ภาษาไทยมีเสียง ง ต้นคา จะ ถอบเหมอื นป้อแม่ กาเดยี วจะก๋ายเปน็ ตัวตลกฮ้ือคน
แทนดว้ ย อื่น ๆ ไขห้ วั ”
• หน่วยเสียง ญ เช่น งาม (ญาม) งู (ญิว)
เปน็ ต้น ( ท า ไ ม เ ร า ต้ อ ง พู ด ภ า ษ า พ้ื น เ มื อ ง กั บ ลู ก
เพราะว่าเราก็อยากพูดภาษาพ้ืนเมืองเก่ง ๆ เลยเรียน
๑๙๖ | กลมุ่ ชาติพนั ธุ์ ในจงั หวัดเชียงราย
ไปพร้อมกับลูก ๆ ทาให้ไม่ได้พูดภาษาไตหย่ากับลูก อย่างยิ่งเครื่องแต่งกายของสตรีที่จะสวมผ้าซิ่น ๒ ผืน ชาติพันธุ์ “ไตหย่า”
อีกประการหน่ึงเราไมอ่ ยากให้ลูกพูดภาษาพ้ืนเมืองไม่ ซอ้ นกนั เป็นผา้ พืน้ สีดา ประดับดว้ ยร้ิวผ้าสีต่าง ๆ เย็บ
ชัดเหมือนพ่อแม่ เพราะจะกลายเป็นตัวตลกให้คน เป็นแถบรอบชายซิ่น ขณะสวมใส่จะปล่อยชาย
อนื่ ๆ หวั เราะ) ด้านขวาห้อยต่าลงมา นอกจากชายเส้ือและผ้าซ่ินจะ
ประดับด้วยร้ิวผ้าสีต่าง ๆ แล้ว ยังใช้แผ่นแร่เงนิ บาง ๆ
ชาวไตหย่าสามารถสื่อสารกับชาวพื้นเมือง ขนาดเท่าเม็ดกระดุมเสื้อปกติ สอยเย็บติดกับชายเสื้อ
ได้ดี อีกทัง้ ชาวพ้นื เมอื งบางคนคิดวา่ น่ีเป็นภาษาไทยอง สาบเสื้อ และขอบแขน เปน็ ลวดลายตา่ ง ๆ เสือ้ จะมี ๒
หรือไทลื้อ เพราะสาเนียงและคาบางคาจะมีความ ตวั คือ เสื้อนอ้ ย เปน็ เสอ้ื ทีไ่ มม่ แี ขน คอต้งั และตัวยาว
คล้ายคลึงกนั เชน่ ด้านหน้าของเสื้อประดับด้วยเม็ดเงินทั้งตัว และมีเส้ือ
ตัวท่ีสวมทับเรียกว่าเสื้อหลวง ท่ีเป็นเส้ือเอวลอย
เข่า หมายถงึ ข้าว แขนยาว เปิดหน้าอกคล้ายเส้ือกั๊ก ขอบของเสื้อบริเวณ
หน้า หมายถึง นา้ คอ แขน และเอว จะประดับด้วยแพรสีต่าง ๆ ส่วนชุด
หนั่ง หมายถงึ นงั่ แต่งกายของผู้ชายไตหย่านั้น จะสวมกางเกงขายาวสี
ฟืน หมายถงึ ฟืน ไม้ท่เี ตรียมไว้ ดา หรือสีครามคลา้ ยกางเกงสะดอ เสอ้ื สีดา คอจีนแขน
ยาวผา่ หน้าแตป่ า้ ยขา้ งตดิ กระดมุ สีดา ตัวปลอ่ ย ยาวถงึ
ทาเชอ้ื เพลิง ข้อเท้าแหวกข้างเรียกว่าเส้ือฮี้ (นงนุช จันทราภัย.
เสอ่ หมายถึง เส้ือ ๒๕๒๔: ๙, รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์ และ จินตนา
หน้อื หมายถงึ เนื้อ เช่น หน้ือหมู มัธยมบรุ ุษ ๒๕๔๑: ๔๐-๔๑)
คอื เนอ้ื หมู เคร่ืองแตง่ กายของบรุ ุษและสตรีชาวไตหย่า
หากในพื้นท่ีที่มีชาวไทใหญ่ หรือไทลื้อ อาศัย
อยู่ด้วยกัน ภาษาจะไม่เป็นอุปสรรคในการส่ือสารเลย กลุ่มชาตพิ นั ธุ์ ในจงั หวัดเชยี งราย | ๑๙๗
เ พ ร า ะ ส า ม า ร ถ เ ข้ า ใ จ กั น ไ ด้ แ ม้ จ ะ มี บ า ง ค า ท่ี อ า จ
แตกต่างกันไปอยู่บ้างก็ตาม ด้วยเหตุน้ีเอง ทาให้ชาว
ไตหย่าสามารถเรียนรู้ภาษาพื้นเมืองได้อย่างรวดเร็ว
และใช้ติดต่อสื่อสารกับชาวพ้ืนเมืองได้ง่ายยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาศัพท์ใหม่ ๆ หรือคาที่ใช้เรียก
ตา่ ง ๆ ท่ีไม่มใี นภาษาไตหย่า ชาวไตหย่ากจ็ ะใชค้ าศัพท์
ตามภาษาน้ัน ๆ โดยมีการปรับเสียงให้เป็นเสียงใน
ภาษาไตหย่าแทน เช่น คาว่า โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์
มหาวิทยาลัยและไปรษณีย์ เป็นต้น นอกจากน้ีการ
แ ต่ ง ง า น กั บ ค น พื้ น เ มื อ ง ห รื อ ค น ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง
ทาให้ชาวไตหย่าพัฒนาทางด้านภาษาได้ดียิ่งขึ้น จนทา
ให้บางคน หรือบางครอบครัวมีการใช้ภาษาพ้ืนเมือง
หรือภาษาไทยกลางแทนภาษาไตหยา่ ไปในท่สี ุด
๔.๕ การแตง่ กาย
ในอดีต เครื่องแต่งกายของชาวไตหย่าจะมี
ลักษณะแตกต่างจากชนเผ่าไทกลุ่มอื่น ๆ โดยเฉพาะ
ชาติพันธุ์ “ไตหย่า” หย่า ทาให้เป็นอุปสรรคต่อการสวมใส่ ดังท่ีผู้ร่วม
สนทนากลุ่มกลา่ วว่า
เครอ่ื งแต่งกายของบุรุษและสตรชี าวไตหยา่
“ชุดไตหย่าใส่แล้วซักยาก มันเป็นผ้าทอ
ภาพจาก https://www.facebook.com/maesai10tribes มีลวดลายการปัก สีก็ตกตวย แหมอย่าง ใส่ก็ยากมี
หลายผนื หลายจนั้ ซอ้ นกนั ยะกา๋ นกบ็ ะถนดั ”
แม้ว่าชาวไตหย่าจะนาเคร่ืองแต่งกายติดตัว
มาดว้ ยแตก่ ลบั ไม่คอ่ ยมีใครสวมใส่ เนือ่ งจากในอดีตคน (ชุดไตหย่าใส่แล้วซักยากเพราะเป็นผ้าทอมี
พ้ืนเมืองส่วนใหญ่ยังแยกไม่ออกและเหมารวมว่า ลวดลายการปัก ผ้าก็สีตกด้วย อีกอย่าง ใส่ก็ลาบาก
ไตหย่าเป็นคนชาวเขา ทาให้ไม่มีคนอยากมาคบค้า เพราะมีหลายผืนสวมทับซ้อนกัน ทาให้ทางานไม่ค่อย
สมาคม จึงนิยมสวมใส่เสื้อผ้าเหมือนคนพ้ืนเมืองท่ัวไป สะดวก)
คนหนุ่มสาวแทบจะไม่มีใครสวมใส่ชุดไตหย่าเลย
มีแต่เพียงผู้หญิงสูงวัยที่ยังคงชอบนงุ่ ผ้าถุงแบบไตหยา่ ปจั จุบัน ในด้านการแต่งกาย ชาวไตหย่า
แม้จะนุ่งผ้าถุงของคนพื้นเมืองก็ตาม คือมีการรั้งชาย จะแต่งกายตามสมยั นิยม และจะแตง่ กายในชุดประจา
ผา้ ถงุ ด้านซ้ายขน้ึ เคร่ืองแตง่ กายที่นาติดตัวมา กจ็ ะถูก กลุ่มชนในงานประเพณี เช่น งานชุมนุมประจาปี
เก็บไว้ บางครั้งก็มีรื้อของที่ประดับเสื้อผ้าไตหย่า เครื่องแต่งกายของสตรีชาวไตหย่าจะประกอบด้วย
โดยการแกะเอาเม็ดเงินที่ตกแต่งออกมาทาเป็น ผ้าซิ่น ๒ ผืนซ้อนกัน ผืนแรกเรียกว่า ผ้าไต่เซิน
เครื่องประดับต่าง ๆ แทน เพราะไม่มีใครสวมใส่ชุด เป็นผ้าพื้นสีดา ประดับด้วยร้ิวผ้าสีต่าง ๆเย็บเป็นแถบ
ไตหย่า ด้วยเกรงว่าจะถูกเรียกว่าเป็นพวกชาวเขา ชายซนิ่ ส่วนผา้ ผืนท่ี ๒ เรียกว่า ผ้าเซิน เป็นผา้ พนื้ สีดา
และสาเหตุท่ีไม่สวมใส่ชุดไตหย่าอีกประการหน่ึงก็คือ ประดับชายผ้าด้วยริ้วผ้าสีแต่ไม่เย็บด้านข้างให้ติดกัน
สภาพอากาศในประเทศไทยทร่ี ้อนกวา่ บ้านเดิมในเมือง ใช้สวมทับผืนแรกโดยพันรอบตัวให้ชายผ้าขนานผืน
แล้วคาดเข็มขัดทับ ส่วนช่วงเอวข้ึนไปมีผ้า ๓ ชิ้น
๑๙๘ | กลุ่มชาตพิ นั ธุ์ ในจงั หวดั เชยี งราย คอื ผ้าไวใ้ ชค้ าดเอวจะประดบั ดว้ ยรว้ิ ผ้าสีตา่ ง ๆ ทั้งผืน
จากน้ันสวมทับด้วยเส้ือตัวท่ีสอง เรียกว่า ซื่อแย่ง
ซึ่งเป็นเส้ือไม่มีแขน คอปิด ไม่มีปกผ่าหน้าเฉียงมา
ทางซ้าย ส่วนเสื้อตัวท่ีสาม เรียกว่า ซื่อหลุง มีลักษณะ
เป็นเสื้อสวมทับแขนยาว ไม่มีปก ผ่าหน้าตรง
ความยาวของเส้ือจะยาวประมาณ ๒ ใน ๓ ของความ
ยาวชว่ งบนของผู้สวมใส่
น อ ก จ า ก น้ี ส ต รี ไ ต ห ย่ า มั ก นิ ย ม ไ ว้ ผ ม ย า ว
เกล้าเป็นมวยสูงกลางศีรษะ และจะพันศีรษะด้วย
ผ้าสีดา ๒ ผืน คือ ผ้าแหแย่ง และผ้าหว่างโห
ส่วนเคร่ืองประดับ หญิงไตหย่าทุกคนจะเจาะหูและ
สวมตุ้มหูซ่ึงมีลักษณะเป็นวงขนาดใหญ่ สวมกาไล
ข้อมือและแหวน ท่ีเป็นเงินซ่ึงสามารถบ่งบอกให้ผู้อื่น
ทราบถึงฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้สวมใส่
เด็กหญงิ ชาวไตหย่าจะเริม่ สวมใส่เครื่องแตง่ กายประจา
กลมุ่ เมอื่ อายคุ รบ ๑๒ ปี และผู้หญงิ ไตหยา่ ท่ีมีอายุ ๔๐ ให้เจ็บปวด มีเลือดออก และเส่ียงต่อการติดเชื้อโรค ชาติพันธุ์ “ไตหย่า”
ปจี ะไม่สวมใส่เครือ่ งประดบั อะไรอกี ตา่ ง ๆ ได้
การแต่งกายแบบประยกุ ต์ของหญิงสาวชาวไตหยา่ ในปจั จุบนั ๒) การทอเสื่อกกหรือสาดไตหย่า ท่ียังคงมี
บางครอบครัวได้ปลูกเส่ือ และทอเสื่อเพื่อใช้ใน
ภาพจาก https://www.facebook.com/maesai10tribes ครัวเรือนโดยเฉพาะเส่ือลายสอง ท่ีเป็นเอกลักษณ์เด่น
อย่างหน่ึง ที่จะทอกันในครัวเรือนชาวไตหย่าเท่าน้ัน
ชาวไตหย่าป้องกันตนเองจากการถูกรังเกียจ แ ม้ ว่ า ใ น ปั จ จุ บั น น้ี ช า ว ไ ต ห ย่ า ส่ ว น ใ ห ญ่ จ ะ ไ ม่ ไ ด้
หรือการไม่คบค้าสมาคมด้วยความเข้าใจผิดของคน ประกอบอาชพี ดา้ นการทาเสือ่ กกดังเช่นท่ีผ่านมาแล้วก็
พื้นเมืองทว่ี ่าเปน็ ชาวเขา ดว้ ยการนิยมแต่งกายแบบคน ตาม แต่การบันทึกข้อมูลประวัติความเป็นมาของเสื่อ
พน้ื เมือง ใสผ่ ้าถุง สวมเสือ้ เหมอื นคนทวั่ ไปทงั้ หญิงและ กก ทาให้คนรุ่นหลังได้รับทราบว่าบรรพบุรุษชาว
ชาย ชุดแต่งกายไตหย่าจึงถูกละเลย หรือเก็บไว้จน ไตหยา่ เปน็ ผู้นาเสือ่ กกเขา้ มาสู่ประเทศไทย จนปัจจบุ ัน
ใช้การไม่ได้ หรือบางคร้ังก็นาใส่โลงศพให้แก่ผู้อาวุโส ได้แพร่กระจายไปยังพื้นท่ีต่าง ๆ มากข้ึน จนเป็นพืช
ชาวไตหย่าท่ีเสียชีวิตและฝังไปพร้อมในโลงศพ ดังนน้ั เ ศ ร ษ ฐ กิ จ ท่ี ส า คั ญ อ ย่ า ง ห นึ่ ง ข อ ง จั ง ห วั ด เ ชี ย ง ร า ย
รุ่นต่อมาจึงไม่มีใครเคยเห็นชุดแต่งกายไตหย่าชุดจริง และพ้ืนที่ใกล้เคียง เป็นส่ิงท่ีชาวไตหย่าทุก คน
ๆ เห็นจากภาพถ่ายเท่าน้ัน และคนไตหย่าก็สวมใส่ชุด ภาคภูมิใจ
เหมือนคนท่ัวไปในชีวิตประจาวัน ในการทางานต่าง ๆ
แทน เพราะชุดท่ัวไปของคนพื้นเมืองหาง่าย การสวม เสื่อกกของชาวไตหยา่
ใส่สะดวกสบายและง่ายต่อการดูแลรักษามากกว่า
ดังนั้นชาวไตหย่าในปัจจุบันส่วนใหญ่จึงยังไม่มีเคร่ือง ง า น หั ต ถ ก ร ร ม แ ล ะ ม ร ด ก ท า ง วั ฒ น ธ ร ร ม
แตง่ กายชดุ ไตหยา่ การแสดงออกผ่านศิลปะของชาวไตหย่าที่พบและ
สังเกตได้ คือ รูปแบบท่ีเป็นทรงเรขาคณิตของการ
๔.๖ องคค์ วามรแู้ ละภมู ปิ ัญญา ประดิษฐ์ลวดลายประดับเส้ือผ้าสตรี ซึ่งประดิษฐ์เป็น
๑) การรักษาโรค วธิ กี ารรกั ษาโรคของชาวไต รูปสามเหลี่ยม และสี่เหลี่ยมต่าง ๆ เป็นลักษณะของ
หย่าที่ยังคงมีให้เห็นคือการก่าแล้ง หรือการขูดหลัง การนาเส้นตรงมาบรรจบกัน ความงามของรูปแบบ
เนื่องจากสามารถทาได้ในทุกเพศทุกวัย ประหยัด ศิลปะที่ปรากฏคือความเป็นระเบียบ และการนามะ
สะดวก เพราะสามารถทาการกา่ แลง้ หรอื ขูดหลังได้ทุก ลาว คือ เม็ดทาด้วยแร่เงินมาวางลงบนผืนผ้าสีดา
ท่ี ทุกเวลา ไม่มีค่าใช้จ่าย อุปกรณ์รักษาไม่ยุ่งยาก ทาให้ความมันวาวของแรเ่ งินสะท้อนมากข้ึน ส่วนด้าน
ส่วนวธิ รี ักษาแบบอ่ืน ๆ ทท่ี าให้เกิดแผล เลือดออกหรอื
มีความเจ็บปวด ไม่ค่อยมีใครนิยมรักษาแล้วเพราะทา กลมุ่ ชาติพันธ์ุ ในจังหวัดเชียงราย | ๑๙๙
ชาติพันธุ์ “ไตหย่า” สถาปัตยกรรม รูปทรงมีลักษณะเป็นทรงเรขาคณิต ๕. แหลง่ อ้างอิง
เช่นกัน ดังเห็นได้จากหลังคาอาคารและสิ่งก่อสร้าง
ต่าง ๆ แม้แต่การกองฟางข้าวก็มัดกองเป็นทรง กริช สอิ้งทอง. ศักยภาพและแนวทางในการพัฒนา
สี่เหลยี่ ม ชุมชนไตหย่า หมู่บ้านน้าบ่อขาวให้เป็น
เคร่ืองจักสาน อุปกรณ์เครื่องใช้โดดเด่นท่ีชาว แหล่งท่องเท่ียวทางวัฒนธรรม. เชียงใหม่ :
ไ ต ห ย่ า ยั ง ค ง ส า ม า ร ถ ท า ไ ว้ ใ ช้ ง า น คื อ ข อ น กู ล่ า น ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการ
ทเ่ี ป็นภาชนะเอนกประสงค์ ใชบ้ รรจสุ ่ิงของเพอ่ื หาบไป
ยงั ท้องนา ไร่ สวน ไตหย่ารุ่นแรกยังคงมีความสามารถ อุ ต ส า ห ก ร ร ม ก า ร ท่ อ ง เ ที่ ย ว
ในการสานขอนกูล่านไว้ใช้ในครัวเรือน และจาหน่าย มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่, 2545.
ในหมู่ชาวไตหย่าด้วยกัน เน่ืองจากไม่เป็นที่นิยมของ ขวัญชีวัน บัวแดง และคณะ. วิถีชีวิตชาติพันธุ์ใน
คนพ้ืนเมืองที่อยู่ใกล้เคียง สาเหตุจากขอนกูล่านมี
ขนาดใหญ่เพราะส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ชายท่ีหาบ เมอื ง. เชยี งใหม่ : โรงพมิ พ์มิ่งเมือง, 2546.
ต่างจากคนพ้ืนเมืองท่ีผู้หาบกระบุงส่วนใหญ่จะเป็น งานวิจัยการส่งเสริมวัฒนธรรม (2541). วิถีชีวิตชาว
ผูห้ ญงิ ขนาดของกระบงุ จงึ ไมใ่ หญ่มากนกั
ไตหย่า: ศึกษากรณีซินผิงและหยวนเจียง
ภาพบนซา้ ย : ขอนกูล่าน (เครื่องจกั สานที่ใช้บรรจสุ ิง่ ของ) มณฑลยูนนานประเทศ สาธารณรัฐ
ภาพบนขวา : ตบซา่ (ตะแกรงสานด้วยไม้ไผ่) ประชาธิปไตยประชาชนจีน. สืบค้นเมื่อ 16
ภาพกลางซา้ ย : กุบ (หมวกสาน)
ก ร ก ฎ า ค ม 2 5 6 4 , เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก :
ภาพกลางขวา : หยัง (ตะกร้าโดยผกู ไว้ท่เี อวของผู้หญงิ ) http://research.culture.go.th
ภาพล่างซ้าย : การทอผา้ ล่างขวา : การปกั ผ้า
ช า ญ วิ ท ย์ เ ก ษ ต ร ศิ ริ แ ล ะ อั ค ร พ ง ษ์ ค่้ า คู ณ .
ภาพจาก เลหล้า ตรเี อกานุกูล และจุไรรตั น์ วรรณศริ ิ. การดา้ รงอยูข่ องอัตลักษณ์ (บรรณาธิการ). เอกสารสรุปการสัมมนา
ชาตพิ นั ธ์ไุ ตหยา่ ในประเทศไทย :กรณีศึกษาจังหวัดเชียงราย. 2552 วิชาการ แม่น้าโขง: ความหลากหลายทาง
๒๐๐ | กล่มุ ชาตพิ ันธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย ชาติพันธ์ุ ภาษา และวัฒนธรรม กับกระแส
ข อ ง ค ว า ม เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง . ส มุ ท ร ป ร า ก า ร :
มูลนิธิโตโยตา้ ประเทศไทย, 2552.
ฐ า น ข้ อ มู ล ง า น วิ จั ย ท า ง ช า ติ พั น ธ์ ใ น ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย .
( 2556) . รู้ จั ก ไ ต ห ย่ า . สื บ ค้ น เ ม่ื อ 16
ก ร ก ฎ า ค ม 2564, เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก :
https://www.sac.or.th/databases/ethni
credb
บุญชว่ ย ศรีสวัสดิ์. 30 ชาติในเชยี งราย. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 2.
กรงุ เทพมหานคร : ศยาม, 2547.
ยศ สันตสมบัติ. (บรรณาธกิ าร). อา้ นาจ พนื ที่ และอตั
ลักษณ์ทางชาติพันธุ์: การเมืองวัฒนธรรม
ของรัฐชาติในสังคมไทย. กรุงเทพมหานคร :
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน),
2551.
เลหลา้ ตรเี อกานกุ ลู และจไุ รรัตน์ วรรณศิริ. การด้ารง
อยู่ของอตั ลักษณ์ชาติพันธไ์ุ ตหย่าในประเทศ
ไทย : กรณีศึกษาจังหวัดเชียงราย. เชยี งราย
: คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ
เชียงราย, 2552.
วาสนา แสงสิทธิ์ และคณะ. เอกสารประการประชุม ชาติพันธุ์ “ไตหย่า”
วิชาการ ประจ้าปี 2552. การปรับตัวของ
ชาวจีนฮ่อในจังหวัดเชียงราย. มหาวิทยาลัย
ราชภฏั เชยี งราย, 2552.
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). (2564).
กลุ่มชาติพันธ์ุ: ไตหย่า. สืบค้นเม่ือ 16
ก ร ก ฎ า ค ม 2564, เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก :
https://www.sac.or.th/databases/ethni
c-groups
สมั ภาษณ์
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เลหล้า ตรีเอกานุกูล
รองประธานชมรมไตหย่าในประเทศไทย บ้านน้าบ่อ
ขาว ต้าบลห้วยไคร้ อ้าเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
(๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔) สมั ภาษณ.์
นายบุญทวี สทิ ธวิ งค์ ศาสนาจารย์ บา้ นน้าบ่อ
ขาว ต้าบลห้วยไคร้ อ้าเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
(๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔) สัมภาษณ์.
ดร.สิลาส ตรีเอกานุกูล มัคนายก บ้านน้าบ่อ
ขาว ต้าบลห้วยไคร้ อ้าเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
(๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔) สัมภาษณ.์
นางอารี หินโชค บ้านน้าบ่อขาว ต้าบล
ห้ ว ย ไ ค ร้ อ้ า เ ภ อ แ ม่ ส า ย จั ง ห วั ด เ ชี ย ง ร า ย
(๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔) สัมภาษณ.์
กลมุ่ ชาตพิ ันธุ์ ในจังหวดั เชียงราย | ๒๐๑
ชาติพันธุ์ “ไทยวน”
ชาติพันธุ์ “ไทยวน”
Tai Yaun
“ภาษาและวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ของชาว .................................................................................
ไ ทยว น ที่พ บว่ าก าร ใช้ชื่อของอาณาจักรเดิม สุวรรณโคมคำ ได้กล่าวถึงการอพยพย้ายถ่ินฐานของ
คือ “ล้านนา” เป็นตัวแทนในการแสดงขอบเขตของ กล่มุ ชาติพันธุ์ไทยวน ว่ามีการอพยพเข้าส่บู ริเวณท่ีราบ
ภูมิภาคหรือบ่งช้ีวัฒนธรรมของภูมิภาคดังกล่าว ลุ่มแม่นํ้าโขงตอนกลาง (ในเขตจังหวัดเชียงราย) โดย
ซ่ึงในปัจจุบันไม่ได้เรียกตนเองว่า “คนยวน” แล้ว การนําของพระเจา้ สิงหนวัติกมุ ารที่นําผ้คู นเข้ามาสร้าง
แต่นิยมเรียกตนเองว่า “คนเมือง” ซึ่งการเปล่ียนชื่อ บ้านแปงเมืองในบริเวณดังกล่าว พร้อมกับนํา
เรียกจาก คนยวน มาเป็น คนเมือง จึงเร่ิมต้นมาจาก วัฒนธรรมการทํานาทดน้ําเข้ามาด้วย และต่อมาได้
เมืองเชยี งใหม่เป็นครั้งแรก” สถาปนาพ้ืนท่ีอาศัยในบริเวณดังกล่าวเป็นเมืองโยนก
นครไชยบุรีศรีช้างแสนที่เป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม
๑. ประวตั ิศาสตรค์ วามเป็นมาของชาติพนั ธ์ุ ไทยวน ต่อมาเกิดการล่มสลายของเมืองโยนกฯ และมี
กลุ่มคนจากเทือกเขาบริเวณดอยตุง อําเภอแม่จัน
ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธ์ุ จังหวัดเชยี งราย จากการนําของผ้นู ําในราชวงศ์ลวจังก
ไทยวนน้ันยังคงคลุมเครือ ท้ังน้ีจากตำนานพงศาวดาร ราชไดส้ รา้ งเมอื งหิรัญนครเงินยางเชยี งแสน และมกี าร
ล้านนาหลายเร่ือง เช่น พงศาวดารเมืองเงินยาง ขยายอํานาจการปกครองไปโดยรอบซ่ึงเป็นที่รู้จักใน
เชียงแสน ตำนานสิงหนวัติกุมาร และตํานานเมือง ช่ืออาณาจักรล้านนา โดยได้หลอมรวมพลเมืองใน
๒๐๒ | กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ ในจังหวัดเชียงราย
บรเิ วณโดยรอบมีศูนย์กลางอํานาจ อยทู่ ี่เมอื งเชียงราย ถิ่นฐานเดิมของชาวไทยวนท่ีเมืองเชียงแสนทางตอน ชาติพันธุ์ “ไทยวน”
เวยี งฝาง เวียงกุมกาม และเชียงใหม่ ตามลาํ ดับ และมี
ชาวไทยวนเป็นชนกลุ่มใหญ่ท่ีมีภาษาและวัฒนธรรมท่ี เหนือของประเทศไทย ในปีพ.ศ. ๒๑๐๑ พระเจ้า
โดดเด่นเป็นของตนเองและได้เส่ือมอํานาจลง แต่
อย่างไรก็ตามส่ิงสิ่งที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันน้ันคือ บุเรงนอง กษัตริย์พม่า ได้ยกทัพมาตีเมืองฝ่ายเหนือ
ภาษาและวัฒนธรรมท่ีเป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยวน
ท่ีพบว่าการใช้ชื่อของอาณาจักรเดิมคือ “ล้านนา” ทํ า ใ ห้ พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ พุ ท ธ ย อ ด ฟ้ า จุ ฬ า โ ล ก
เป็นตัวแทนในการแสดงขอบเขตของภูมิภาคหรือบ่งช้ี
วฒั นธรรมของภูมภิ าคดงั กล่าว ซ่งึ ในปัจจุบนั ไม่ได้เรยี ก มหาราช โปรดฯ ใหท้ พั หลวงเข้าตีพม่าเพอ่ื ให้ออกจาก
ตนเองว่า “คนยวน” แล้ว แต่นิยมเรียกตนเองว่า
“คนเมอื ง” ซ่ึงการเปลี่ยนชอื่ เรียกจาก คนยวน มาเปน็ เมืองเชียงแสน เมื่อพม่าพ่ายแพ้ พระองค์จึงโปรดฯ
คนเมือง จึงเริ่มต้นมาจากเมืองเชียงใหม่เป็นครั้งแรก
เนอื่ งจากเปน็ ศนู ย์กลางการปกครองในหัวเมอื งล้านนา ให้ทําลายเมือง และรวบรวมผู้คนชาวเมืองเชียงแสน
ที่ ต้ อ ง เ ผ ชิ ญ กั บ ก า ร คุ ก ค า ม ท า ง อํ า น า จ แ ล ะ ก า ร
เปล่ียนแปลงโครงสร้างอาํ นาจ วัฒนธรรมท่ีถูกดแู คลน จํานวน ๒๓,๐๐๐ คน โดยแบ่งออกเป็น ๕ กลุ่ม
รวมทั้งการจัดเก็บภาษีอากรใหม่จากข้าราชการสยาม
ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ทําให้คนไทยวนหรือคนท้องถ่ิน เพอ่ื ไปประจาํ ตามหวั เมืองต่าง ๆ คอื เชียงใหม่ ลําปาง
เกิดความไม่พอใจต่อพฤติกรรมและการปกครองของ
ข้าราชการสยาม เนื่องจากข้าราชการสยามและ น่าน เวียงจันทน์ และสระบุรี ปัจจุบันพบว่ามีการ
กรุงเทพนิยามลา้ นนาว่าเป็น “ลาว” ทมี่ คี วามหมายใน
เชิงดูถูกชาวไทยวน โดยชาวสยามเรียกชาวไทยวนว่า กระจายตัวออกไปตั้งบ้านเรือน เพิ่มเติมในจังหวัด
“ลาวพงุ ดาํ ” และเรยี กเจา้ เชียงใหม่ว่า “เจ้าลาว” ดว้ ย
เหตุนี้การใช้คําว่า “คนเมือง” จึงเป็นการตอบโต้การ ต่าง ๆ ได้แก่ แพร่ อุตรดิตถ์ น่าน นครราชสีมาและ
นิยามของชาวสยาม ทําให้ชาวไทยวนได้นิยามตนเอง
วา่ คนเมอื ง ทีไ่ มใ่ ช่คนไทยและไม่ใช่ลาว ส่วนกลุม่ ชาติ ราชบรุ ี ซึง่ ชาวไทยวนแตล่ ะจงั หวดั ยังคงรกั ษาเร่ืองราว
พันธุ์ไทยวนที่ต้ังถิ่นฐานอยู่นอกเขตภาคเหนือของ
ประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มชาวยวนเชียงแสนน้ัน ความเป็นมาในอดีตและคงไว้ซ่ึงอัตลักษณ์ และความ
ยังคงเรียกตนเองว่า “คนไทยวน” อยู่เช่นเดิม กลุ่ม
ชาตพิ นั ธุ์ไทยวน (Yuan; ไตยวน ไทยวน ยน โยน โยนก เป็นชาตพิ ันธุไ์ ทยวนอยา่ งเด่นชดั
คนเมือง ไทยเหนือ หรือ ไทยล้านนา และในอดีตเคย
ถูกเรียกว่า ลาว ลาวยวน ลาวพุงดํา และ ลาวเฉียง) ๒. โครงสรา้ งทางสังคม
เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทกลุ่มหน่ึง ท่ีพูดภาษาตระกู ลไ ท -
กะได กลุ่มภาษาเชียงแสน ใช้ภาษาถิ่นภาคพายัพ (ไทย ๒.๑ ระบบครอบครวั และเครือญาติ
ถิ่นเหนอื - คาํ เมอื ง) ชุ ม ช น ช า ว ไ ท ย ว น เ ป็ น สั ง ค ม เ ค รื อ ญ า ติ อ ยู่
รวมกันเป็นกลุ่ม มีการสร้างบ้านอยู่ในรั้วเดียวกัน
มีการปลูกบ้านสามารถเชื่อมต่อกันไปมาได้ สามารถ
เรียกระบบครอบครัวเช่นนี้ว่า “แบบครอบครัวรวม”
และในแต่ละบา้ นประกอบดว้ ยพอ่ แม่ พน่ี อ้ ง ปู่ ยา่ ตา
ยาย ลูกหลานอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน มีความผูกพัน
กนั อย่างใกลช้ ิดสนิทสนม หากมีการแต่งงานเกิดข้ึนจะ
มีการปลูกบ้านเรือนใกล้เคียงกับบ้านเดิม ภายในบ้าน
ผู้หญิงจะมีอานาจในการตัดสินใจ ส่วนเรื่องนอกบ้าน
พ่อจะเป็นผู้ตัดสินใจ แต่บางเรื่องจะต้องได้รับความ
เห็นชอบจากแม่เสียก่อน อาจกล่าวได้ว่าในสังคมชาว
ไทยวน แม่จะมีอานาจบังคับบัญชาสมาชิกใน
ครอบครัว
ในระบบเครอื ญาติ ชาวไทยวนจะถอื ญาติฝ่าย
แม่เป็นสาคัญ ดังท่ีกฎจารีตของการแต่งงานต้องเข้า
บ้านฝ่ายหญิงและลูกหลานต้องนับถือญาติฝ่ายหญิง
ทาให้ระบบเครือญาติเนน้ ความสมั พนั ธท์ างฝา่ ยแม่เป็น
หลัก ถึงแม้ว่าในปัจจุบันโดยหลักทางกฎหมายจะให้
สิทธิทางฝ่ายชายในการตัดสินใจและให้บทบาทสาคัญ
กล่มุ ชาตพิ นั ธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย | ๒๐๓
ชาติพันธุ์ “ไทยวน” กับหน้าที่ฝ่ายชาย ซ่ึงทาให้ระบบความสัมพันธ์ชาย เล้ือย เช่น ตําลงึ รางจืด อัญชนั ในบริเวณรอบ ๆ บ้าน
หญิงมีการเปลยี่ นแปลงท่เี น้นความเสมอภาคกนั ในทาง จะมกี ารแบง่ สรรพ้ืนทเี่ ปน็ ส่วน ๆ คอื
สงั คมแล้วก็ตาม แตช่ าวไทยวนยงั คงให้ความเคารพกับ
ญาติฝ่ายหญงิ มากกวา่ ฝ่ายชาย ๑.พ้ืนทีแ่ ปลงพชื สวนครวั จะปลูกพริก ตะไคร้
ขิงขา่ หอม โหระพา
ใ น ปั จ จุ บั น นี้ เ ค รื อ ญ า ติ ช า ว ไ ท ย ว น มี ก า ร
ขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีการแต่งงานข้ามชาติพันธ์ุ ๒. พ้นื ท่ีหลังบ้านจะมตี น้ หมาก ต้นกลว้ ย และ
ข้ามศาสนา ทาให้ความสัมพันธ์ในรูปแบบเดิม ไกลออกไปจะปลูกต้นไผเ่ พ่อื ใช้ประโยชนใ์ นการจกั สาน
เปลี่ยนแปลงไปมาก และในสังคมปัจจุบันท่ีมีการ
เคล่ือนไปมาในทห่ี ่างไกลได้สะดวก ทาให้มีการแตง่ งาน ๓. พ้ืนท่ีผามวัวผามควายหรือ “คอก” ไว้ผูก
ยา้ ยถ่ินฐานไปยงั เมืองอน่ื ๆ จานวนมาก อย่างไรกต็ าม ววั ควายของชาวเจา้ ของบ้าน
กม็ บี างครอบครัวยงั คงสร้างบา้ นอยู่ใกล้เคียงกับพ่อแม่
แต่กระนั้นแม้วา่ จะมกี ารเปลี่ยนแปลงเคล่ือนย้ายสร้าง ๔. พื้นที่ส่ิงก่อสร้าง เช่น ยุ้งข้าว (หลองข้าว/
ครอบครัวท่ีห่างไปจากบ้านเดิม แต่ความสัมพันธ์ เล้าข้าว/เยียข้าว) เป็นที่เก็บข้าวเปลือกไว้บริโภคเป็น
ระหว่างพ่อแม่ลูกยังคงมีอยู่อย่างใกล้ชิดผ่านกิจกรรม เรือนช้ันเดียวท่ีมีใต้ถุนสูง มักจะสร้างไว้ใกล้บ้าน
วันสาคัญ เช่น วันสงกรานต์ ท่ีเป็นวันรวมตัวของ และภายหลังได้การสร้างห่างจากตัวบ้าน การสร้างยุ้ง
ครอบครวั วันสงกรานตจ์ ึงถอื วา่ เปน็ เคร่อื งมือสาคัญใน ดังกล่าวยังมีความเช่ือตามประเพณีท่ีว่า “ยุ้งข้าวอยู่
การดารงระบบเครือญาติของชาวไทยวนได้ระดับหนงึ่ เหนือ โรงเกลืออยใู่ ต้” คือ ยุ้งข้าวอยู่ทิศเหนอื ของเรือน
ถึงแม้ว่าการเปล่ียนแปลงจากความทันสมัยทาให้เกิด นอน ส่วนครัวหรือที่เรียกวา่ โรงเกลืออยู่ทิศใต้ และยัง
การแยกตวั สร้างครอบครัวเดยี วมากขึน้ กต็ าม เช่ืออีกว่า ยุ้งข้าวที่ดีต้องยกสูงข้ึนกว่าเรือนนอน
เพราะโรงยุง้ ขา้ วเป็นที่อยู่ของ “พระแม่โพสพ”
๓. วถิ ชี วี ิตความเปน็ อยู่
ส ภ า พ บ ริ เ ว ณ บ้ า น เ รื อ น ข อ ง ช า ว ไ ท ย ว น
๓.๑ ท่อี ยู่อาศัย จึงมีการแบ่งสัดส่วนของพื้นที่ต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ
บ้านเรือนของชาวไทยวน จะเป็นทรงบ้านที่ ระเบียบ ในบริเวณลานหน้าบ้านท่ีกว้างและสะอาดตา
เจา้ บ้านมกี ารปัดกวาดเปน็ งานประจาํ เชา้ เยน็ โดยผู้เฒ่า
สัมพันธ์กับลักษณะภูมิอากาศ และมีลักษณะร่วมใน ผู้แก่ในบ้าน และจะมีการรดนํ้าต้นไม้พืชพันธ์ุ โดยนํา
น้ําจากบ่อน้ําข้าง ๆ ตัวบ้าน ลานบ้านยังสามารถวิ่ง
กลุ่มวัฒนธรรมไทต่าง ๆ ในพื้นท่ีทางภาคเหนือ เลน่ ตากผ้าหรอื ตากอาหารแหง้ ท้งั นร้ี อบ ๆ จะเตม็ ไป
ด้วยต้นไม้และพืชสวนครวั ท่ีมีประโยชนเ์ พอื่ บรรยากาศ
กล่าวคือ บ้านเรือนของชาวไทยวนจะสร้างบ้านให้ ที่ร่มเย็นของบ้าน และยังมีสัตว์เล้ียงเฝ้าบ้านสุนัขท่ีทํา
หน้าที่ดูแลภัยและส่งสัญญาณเมื่อมีคนแปลกหน้าเข้า
เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมธรรมชาติท่ีมีฝนตกและ มาในอาณาบรเิ วณบ้าน
ร้อนชื้น ตัวบ้านจึงมีการสร้างข้ึนมาจากวัสดุ เช่น ไม้ สาํ หรับในตัวบา้ น จะมีการจดั สรรพน้ื ท่ีใช้ คือ
๑. ด้านหน้าเมื่อข้ึนบันไดจะเจอกับ “ชายคา
และไม้ไผ่ โดยเฉพาะคนล้านนานิยมสร้างบ้านจากไม้ หนา้ เรอื น” เปน็ ชานโล่งรับแดดและฝน
๒. พื้นที่ท่ีเรียกว่า “เต๋ิน” เป็นพ้ืนที่รับแขก
สักท่ีมีสภาพคงทนถาวร และมีการสร้างโครงบ้านท่ีมี หรอื ที่พักผ่อนของครอบครัวซึง่ อยหู่ น้าหอ้ งนอนใหญ่
ลักษณะทรงบ้านเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เรียกว่า
“เรือนกาแล” ซ่ึงเป็นทรงบ้านตามวัฒนธรรมของ
ชาวยวนในอดีต
เมอื่ กลา่ วถงึ บา้ นเรอื นของชาวไทยวน จะนิยม
สร้างบ้านในพ้ืนท่ีกว้างตั้งอยู่ระหว่างพ้ืนท่ีร่มไม้และ
สวนผลไม้รอบบ้าน และรอบบ้านจะมีร้ัวท่ีทํามาจาก
ไม้ไผ่ เรียกว่า “รั้วสะลาบ” บริเวณรั้วจะปลูกพืชผัก
๒๐๔ | กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ ในจงั หวัดเชยี งราย
๓. หอ้ งนอนใหญ่ ตง้ั ในดา้ นทิศตะวนั ออก โดย ชาติพันธุ์ “ไทยวน”
ปกติสมาชกิ จะนอนรวมกันแตแ่ ยกมงุ้
ลักษณะบา้ นเรือนของชาวไทยวนในอดีต
๔. ห้องนอนเล็กดา้ นตะวันตก จะเป็นห้องเก็บ
ของ บางครง้ั จะปรับเป็นหอของลูกสาวกับลกู เขย ภาพจาก https://mgronline.com/travel/photo-gallery/9640000053643
๕. ห้องครัว จะแยกออกเป็นเรือนเล็ก ๆ ๓.๒ การประกอบอาชีพ
ตดิ ชานหลังบา้ น ด้านหลังบา้ นจะมบี นั ไดลงหลังบา้ น สาหรับการประกอบอาชพี ของกลุม่ มชาติพันธุ์
ไทยวน โดยส่วนใหญ่มีอาชีพทานา ทาสวน เช่น
๖. หิ้งพระ มักจะไว้ด้านตะวันออกของพ้ืนที่ การทาสวนลาไย มะมว่ ง และการเล้ียงสัตว์ในครัวเรอื น
เติ๋น เช่น วัว ควาย หมู ยามว่างจากอาชีพหลักก็ออกไปหา
ของป่าล่าสัตว์ จับปลาตามท้องทุ่ง เก็บผักเก็บฟืนเพอ่ื
๗. ใต้ถุนบ้าน จะมีลักษณะโล่ง เพื่อใช้ใน ใช้ในครัวเรือน ทาเคร่ืองจัดสานตะกร้า กระบุง
กิจกรรม เช่น ทอผ้า ท่ีเก็บของเคร่ืองใช้ต่าง ๆ และการทอผา้ จากฝ้ายและใช้สีธรรมชาติ การประดิษฐ์
และเป็นท่ีพักผ่อนในช่วงกลางวนั หรือผลิตปัจจัยต่าง ๆ เหล่าน้ีเพื่อใช้ในการยังชีพใน
ระดับครัวเรือน แต่หากวัตถุดิบและปัจจัยเหล่านี้
ลกั ษณะของการสรา้ งบา้ นเรือนทอ่ี ยู่อาศยั หลงเหลือจากการบริโภคในครัวเรือนก็จะเป็นสินค้าที่
สร้างรายไดจ้ านวนหนง่ึ เชน่ จะมกี ารขายสนิ ค้าเล็ก ๆ
ภาพจาก อาจารย์อรศริ ิ ปาณนิ น้อย ๆ ในตลาด พื้นท่ีตลาดจึงเป็นพ้ืนที่กลางของชาว
ไทยวนที่มักมาพบปะกัน สังสรรค์ และร่วมค้าขาย
แลกเปลี่ยนระหว่างกัน ฉะนั้นเศรษฐกิจของชาวยวน
ในอดตี จึงเปน็ เศรษฐกิจแบบกงึ่ ยังชพี
ภายหลังทศวรรษ ๒๕๐๐ หลังเร่ิมใช้นโยบาย
การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นต้นมา ทาให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ดา้ น เชน่ การเพมิ่ จานวน
ของจานวนประชากรมากขึ้น จึงมีการขยายตัวออกไป
บุกเบิกพื้นใหม่ ๆ อย่างกว้างขวาง มีการตั้งบ้านใน
บริเวณเขตเมืองและชนบท ทาให้ปัจจุบันมีการ
ประกอบอาชีพที่หลากหลายมากยิ่งข้ึน ทาอาชีพ
ค้าขาย รับราชการ และเป็นพนักงานรับจ้างต่าง ๆ
โดยเฉพาะในด้านการเกษตรมีการเปล่ียนสภาพท่ีนา
มาปลกู ลาไย มันสาปะหลัง ไร่ส้ม นอกจากนก้ี ารเขา้ มา
ลงทุนทางอุตสาหกรรมในพ้ืนที่ ย่ิงเร่งให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการถางป่าเพ่ือปลูกพืช
เศรษฐกิจมากขึ้น เช่น จาพวกถั่ว อ้อย ข้าวโพด
มันสาปะหลัง ล้ินจี่ และการปลูกผักหลากหลายชนิด
กลุม่ ชาตพิ ันธุ์ ในจังหวดั เชยี งราย | ๒๐๕
ชาติพันธุ์ “ไทยวน” เพ่ือส่งขายไปยังแหล่งอุตสาหกรรมและตามความ เครื่องปรุงประเภท หอมแดง หอมใหญ่ กระเทียม
ต้องการของตลาดในพ้ืนที่ต่าง ๆ ในประเทศไทย
หรือแม้แต่อาชีพการเลี้ยงสัตว์ของชาวไ ทยวน ถ่ัวเน่า ส้มมะขาม เกลือ พริกไทย พริกขี้หนู ปลาร้า
ได้ถูกปรับเปล่ียนให้เป็นการเลี้ยงสัตว์เชิงพาณิชย์มาก น้าตาล น้าปลา และอ่นื ๆ นอกจากเมนูอาหารและสิ่ง
ข้นึ มีการลงทนุ จากนายทุนภายนอกเพอื่ เป็นสินค้าแปร ที่พบในครัวของชาวไทยวนแล้ว ส่ิงท่ีชาวไทยวนนิยม
รูปเนอ้ื สตั ว์ เช่น ไก่ วัว หมู และในชว่ งสามสบิ ปีท่ีผ่าน
มา นอกจากการเปล่ียนสินค้าเกษตรสู่อุตสาหกรรม บริโภคและนามาทาเป็นเมนูอาหาร คือ พืชผักของปา่
แล้ว สินค้าประเภทหัตกรรม จักสาน ทอผ้า แกะสลัก พืชพันธ์อาหารจากป่า จะมีขายที่ตลาดในหมู่บ้านและ
และการประดิษฐ์ของชาวบ้านในท้องถ่ิน ได้รับการ
สง่ เสริมให้การผลิตเชงิ อตุ สาหกรรมขนาดกลาง เพอ่ื สง่ ในเขตเมือง ซ่ึงจะมีการนามาขายในตลาดประจา
ขายในตลาด หลักจากการพัฒนาเมืองให้เป็นเมือง สัปดาห์หรือพืชพันธ์เหล่าน้ีจะมีขายเฉพาะฤดู เช่น
ท่องเท่ียวหรือที่เรียกว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เห็ดเผาะ เห็ดลม เห็ดหูลิง เห็ดโคน หรือจะเป็นพวก
ทาให้สินค้าประเภทที่มีจากวัฒนธรรมทอ้ งถ่นิ เหล่านั้น
ไดร้ บั ความสนใจและเปน็ ทีต่ อ้ งการของนกั ทอ่ งเทย่ี ว หนอ่ ไม้ มะระ ผกั หวาน นอกจากนย้ี งั มอี าหารประเภท
สัตว์ป่า เช่น กระต่าย นก หนู หมูป่า อย่างไรก็ตามได้
๓.๓ อาหาร
ชาวไทยวนนิยมบรโิ ภคข้าวเหนียวเป็นอาหาร แบ่งรูปแบบการประกอบอาหารของชาวไทยวน
หลัก และมีการเพาะปลูกข้าวเหนียวหลากหลายสาย ไดด้ ังนค้ี ือ
พันธ์ุ ซึง่ จะมีการปลกู ประจาปีในฤดกู าลเพาะปลูกตาม
ต้องการอย่างเพียงพอ หลังจากนั้นจะมีการเพาะปลูก ๑. อาหารประเภทแกง ที่ใช้เคร่ืองปรุง เช่น
ข้าวเจา้ ไว้สว่ นหนงึ่ ตามวิถีชวี ติ ของชาวไทยวนเกี่ยวกับ
การบรโิ ภคนัน้ จะมคี วามคล้าย ๆ กับชาวไทยท่วั ไป คอื แกงพริก กระเทียม หอมแดง ถ่วั เน่า กะปิ ปลารา้ และ
การบริโภคอาหารสามเวลา แต่ละเวลาจะมีคาเรียกที่ สามารถแยกออกเป็นแกงผัก แกงเน้ือสัตว์ เช่น กลุ่ม
แตกต่างกันในภาษาคาเมือง คือ ม้ือเช้า จะเรียกว่า
“กิ๋นข้าวงาย” มื้อกลางวันเรยี ก “ก๋ินข้าวต๋อน ม้ือเย็น แกงส้ม กลุ่มแกงค่ัว กล่มุ แกงเลยี ง หรือกลุ่มแกงออ่ ม
จะเรียกว่า “กิ๋นแลง” และจะมีม้ือพิเศษในงานเลี้ยง ๒. อาหารประเภท ปิ้ง ย่าง เป็นอาหารที่มี
ขันโตก ซ่ึงมีเตรียมสารับอาหารเฉพาะ แต่การบริโภค
เมนูอาหารต่าง ๆ น้ันข้ึนอยู่กับสถานะทางเศรษฐกิจ ลักษณะแห้ง โดยนาอาหารมาคลุกเคล้ากับส่วนผสม
โดยปกติชาวไทยวนจะนิยมรสชาติอาหารที่ไม่รสจัด
จะมีรสนาสามรส คือ เค็ม เปรี้ยวและเผ็ด ไม่นิยมรส เช่น เกลือ ขม้ิน กระเทียมท่ีโขลกเข้าด้วยกัน เช่น
หวาน หมปู ง้ิ ไกย่ า่ ง
สาหรับกับข้าว ชาวไทยวนล้านนาจะมี
เมนูอาหารประจาและพบได้บ่อย เช่น แกงอ่อม ๓. อาหารประเภทค่ัวหรือผัด เป็นอาหารที่
แกงโฮะ แกงจ้ินเน้ือ และเมนูชนิดต้มจาพวกผักต้ม นาไปผัด คั่วในกระทะ ในภาคเหนือเรียกว่า “จ่าว”
ต้มปลา นอกจากนี้ยังนิยมบริโภคเมนูผัด เช่น ผัดผัก หรือโซ่น้ามัน เช่น ค่ัวยอดฟักแก้ว ค่ัวผักโคมหนาม
ผัดแตง และตามด้วยเมนชู นดิ น้าพรกิ น้าพรกิ ออ่ ง และ
ของดอง เช่น ปลาร้า แหนม จ้ินส้ม สาหรับของแห้ง คั่วเหด็ ถอบ คว่ั ลาบ
เช่น แคบหมู หนังปอง น้าหนัง ปลาแห้ง ปลาร้ิว ๔. อาหารประเภทลาบ อาหารประเภทน้ีจะ
นอกจากนี้ยังมีอาหารจาพวกไข่เป็ด ไก่ ท่ีมีเล้ียงใน
ครัวเรือนหรือปัจจุบันมีการซ้ือขายตามห้างร้าน ใช้เน้ือสัตว์ เช่น เน้ือหมู เน้ือปลา จากน้ันจะนา
ส่วนเครื่องปรุงในครัวของชาวยวน จะพบเห็น เคร่ืองเทศมาคลุกเข้ากัน คนไทยวนมักจะนิยมบริโภค
ลาบ ประเภท ลาบหมู ลาบปลาตอง (ปลากราย)
๒๐๖ | กลุม่ ชาตพิ นั ธุ์ ในจงั หวัดเชยี งราย
๕.อาหารประเภทออ่ ม การอ่อม คือ การเคย่ี ว
เน้ือสัตว์ให้เปื่อยนุ่มด้วยไฟอ่อน ๆ และใช้เวลานาน
อ่อมเป็นอาหารรสเผ็ดและหอมเครือ่ งเทศ โดยมากจะ
ทาเปน็ แกงออ่ มเนือ้ แกงออ่ มควายหรือไก่
๖. อาหารประเภทน้าพริก เปน็ ทั้งอาหารและ
เครื่องปรุง โดยมีส่วนประกอบ คือ พริก กระเทียม
เกลือ หอม หรืออาจจะมีส่วนผสมอื่น ๆ เข้าไปเพ่ิมได้
โดยมักจะเรียกช่ือน้าพริกตามส่วนประกอบ เช่น
นา้ พริกขิง น้าพรกิ ปลา น้าพริกออ่ ง นา้ พริกปู
๗. อาหารประเภทยา ต๋า และส้า เป็นการปรุง
อาหารที่มลี กั ษณะการคลุกส่วนประกอบหลายชนิดเข้า
ด้วยกัน โดยเน้นรสชาติเปร้ียวนา เค็ม หวานเล็กน้อย ชวี ติ และพฤติกรรมของชาวไทยวนในล้านนา อยา่ งไรก็ ชาติพันธุ์ “ไทยวน”
ซ่ึงเมนูประเภทนี้จะมีหลากหลาย เช่น ยาหน่อไม้
ยาผกั ยาไข่มดสม้ ฯลฯ ตาม ความเชื่อและจิตวิญญาณที่สําคญั ของชาวไทยวน
๘. อาหารประเภทห่อหน่ึง เป็นอาหารท่ีมี นั้น สามารถแยกความเชื่อหลัก ออกเป็น ๒ ส่วน
ลักษณะห่อหมกของภาคกลาง จะนิยมบริโภคเช่น
หอ่ นง่ึ หน่อ หอ่ นงึ่ ไก่ หอน่งึ ปลี ด้วยกันคือ ความเชื่อเรื่องการนับถือผี ความเช่ือเร่ือง
๙. อาหารประเภทแอ๊บ (แหนบ) เป็นเมนูห่อ การนบั ถอื พุทธศาสนา
ใบตอง แล้วนาไปปงิ้ หรือย่างไฟให้เคร่ืองปรงุ ข้างในสุก
อาหารประเภทนี้ได้แก่ แอ๊บปลา แอ๋บอ่องสมองหมู ชาวไทยวนสว่ นมากนับถือศาสนาพทุ ธร้อยละ
แอ๊บจิ้นหมู หรือเครอ่ื งในหมู
๙๐ ท้งั หมดในภาคเหนือ ตามประวัตศิ าสตร์ได้กล่าวถึง
๑๐. อาหารประเภทจ๋ิน อาหารที่ใช้น้ามัน
ปริมาณมากในการทอด หรือเป็นการทอดแบบน้ามัน การรับนับถือศาสนาพุทธมาอย่างยาวนาน โดยมี
ท่วม นิยมใช้ในการทอดหนังหมู เช่น แคบหมูจื๋น
แคบไขจ๋นื และหนงั ปองจื๋น ตํานานระบุการรับพุทธศาสนามายังล้านนาท่ีเก่าแก่
อาหารชาวไทยวน คอื ตาํ นานสงิ หนวัติและตํานานเมืองเงนิ ยางเชียงแสน
ภาพจาก https://archiehaugen.com และ https://reviewchiangmai.com ตามตํานานทั้งสองได้กล่าวถึงพุทธศาสนาท่ีเข้ามาใน
๔. วฒั นธรรมและประเพณี ล้านนาไทยต้ังแต่ พ.ศ.๑ ซึ่งจะแตกต่างไปจากท่ีว่าคน
๔.๑ ศาสนา ไทยรับพุทธศาสนามาจากจีนเม่ือ พ.ศ. ๖๑๒ สําหรับ
ชาวไทยวนมคี วามเช่อื พนื้ ฐานเป็นอัตลักษณ์ที่
โดดเด่น เช่น ความเช่ือพื้นบา้ นท่ีสืบทอดมาจากบรรพ ตํานานสิงหนวัติได้กล่าวถึงการสร้างเจดีย์ พระธาตุ
บรุ ษุ ความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ ความเช่ือในศาสนา
พุทธ ทัง้ สามความเชื่อน้ไี ด้ถกู บรู ณาการผสมผสานเป็น ดอยตุง อันเป็นปฐมเจดีย์ในล้านนาและกล่าวถึงการ
ชดุ ความเชื่อในวัฒนธรรม ศาสนา และมีบทบาทต่อวิถี
สร้างพระเจดีย์อ่ืน ๆ เช่น การสร้างพระธาตุดอยตุง
ในช่วง พ.ศ.๑ ประวัติการสร้างพระธาตุดอยกู่แก้ว
ถูกสร้างข้ึนมาใน พ.ศ.๒ สร้างเพ่ือถวายให้กับพระเจ้า
อชุตราช ยังมีประวัติการ สร้างพระธ าตุอื่น ๆ
อีกมากมายทีแ่ สดงถึงการรบั นบั ถือศาสนาพุทธ
๔.๒ พธิ ีกรรม ความเชอื่
ชาวไทยวน มีภาษา ขนบธรรมเนียม จารีต
ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิต และความเชื่ออัน
เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน ในสังคมของชาวไทยวนมี
ความคิดในเร่ืองผีผสมพุทธศาสนา โดยเฉพาะผีปู่ย่า
(ผีบรรพบุรุษ) จะมีบทบาทในการควบคุมพฤติกรรม
ของลูกหลานชาวไทยวนให้ประพฤติตนถูกต้องตาม
จารีตประเพณีและกรอบที่ดีงามของสังคม อีกทั้งมี
ความเชื่อเร่ือง “ขึด” คือข้อห้าม หรือข้อปฏิบัติท่ี
ถูกต้อง ท่ีควรปฏิบัติไม่ให้เกิดสิ่งไม่ดีข้ึนกับตัวเองและ
ครอบครัว
เรอื น หรอื ผีประจำตระกูล หรอื ผบี รรพบรุ ษุ
คนยวนเรียก ผีปู่ย่า คนไทยวน ๑ ตระกูล จะมีศาลผี
หรือห้ิงผีอยู่ที่บ้านของคนใดคนหน่ึงเมื่อลูกหลานใน
ตระกลู น้ี เม่ือลกู หลานคนใดแตง่ งานก็จะพากันมาไหว้
ผีปู่ย่าท่ีบ้านน้ี หรือในช่วง เทศกาลสงกรานต์ก็จะพา
กันมาไหว้ผีปู่ย่าเช่นกนั
กลุ่มชาตพิ ันธ์ุ ในจังหวัดเชียงราย | ๒๐๗
ชาติพันธุ์ “ไทยวน” ผีประจำหมู่บ้ำน ทุกหมู่บ้านจะมีศาลผี ด้วยเช่นกัน ผ้าได้มีส่วนเก่ียวข้องกับพิธีกรรมในการ
ประจาอยู่ บางหมูบ่ ้าน อาจจะมีมากกวา่ หนงึ่ ศาล เช่น บวชต้ังแต่การเป็นนาค อดีตผู้เป็นมารดาจะทอผ้าฝา้ ย
ท่ี บ้านไผ่ล้อม อาเภอเสาไห้ มีศาลเจ้าช่ือ ปู่เจ้าเขา ท่ีย้อมด้วยครามให้นาคนุ่ง นอกจากน้ี ยังทอสบง
เขียวโปร่งฟ้า มีเร่ืองเล่าต่อ ๆ กันมาว่า เดิมปู่เจ้าอยู่ท่ี ผ้าจีวร ย่าม ไว้ให้ลูกชายของตนใช้ ตอนบวชเป็น
เชียงดาว เชียงใหม่ ในคร้ังที่มีการอพยพ ได้มีคนเชิญ พระสงฆ์ ผ้าปรกนาค เป็นผา้ จกท่ีใช้คลุมหวั นาค
ให้ร่วมทางมาดว้ ย เพ่ือคุ้มครองลกู หลานยวนที่เดินทาง
มาในคร้ังน้ัน และได้ปลูกศาลให้ท่านอยู่ เช่ือกันว่า พิธีแต่งงำน เกี่ยวข้องกับการแต่งงานโดยใช้
เจา้ ปู่ น้ีมกั จะกลับไปอยทู่ ่ีเชียงดาว เม่ือถึงวนั สงกรานต์ เป็นผ้าไหวท้ ฝี่ ่ายหญงิ จะทอผ้าไว้เปน็ ผา้ ไหวเ้ พ่อื แสดง
กจ็ ะมาเยยี่ มลกู หลานของทา่ นทุก ๆ ปี ความเคารพหรือขอขมาในพธิ แี ตง่ งาน ผ้าไหวฝ้ ่ายหญงิ
จะเตรียมไว้ก่อนวันแต่งงานเพ่ือขอขมาพ่อ - แม่สามี
ผีประจำวัด เรียกว่า เส้ือวัด ทุกวัดจะมีศาล ญาติ ผใู้ หญ่ฝ่ายชาย
เส้ือวัดประจาอยู่ทุก ๆ วัด บางวัดมีมากกว่า ๒ ศาล
เวลามีงานวัด จะตอ้ งจุดธูปบอกเสอ้ื วดั เสียก่อน ง ำ น ศ พ อ ดี ต ผ้ า ท อ พ้ื น เ มื อ ง ไ ท ย ว น
ท่ีเกีย่ วขอ้ งกับพธิ ศี พ คือ ผา้ ที่ทอไว้สาหรบั หอ่ ศพ ผา้ ท่ี
ผีประจำนำ เรียกว่า เส้ือนา ความเช่ือเร่ือง สวมใส่ศพ และใช้สาหรับเป็นสายจูงโลงศพของ
เส้ือนามีมานาน ดังทปี่ รากฏในหนังสอื กฎหมายมังราย พระสงฆ์น้าหนา้ ขบวนแห่ ผ้าไทยวนก็ยงั เก่ียวข้องเป็น
ศาสตร์ ฉบับวัดเสาไห้ กล่าวไว้ตอนหน่ึงว่า “ผู้ใดข้ีใส่ เครอื่ งนงุ่ ห่มสาหรับกลุ่มคนท่ีมาร่วมงานศพเปน็ การไว้
นาแรกท่าน ตั้งแต่ตอนหว่านกล้าไปจนถึงตอนจะยา้ ย อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตและเป็นการให้เกียรติเจ้าภาพ
ปลกู จะเก็บเก่ียวให้ มันหาเหล้า ๒ ไห ไก่ ๒ คู่ เทยี น ๒ จงึ นิยมใส่สดี าท้งั ชุดที่ทอเอง นอกจากนี กลุ่มชาติพันธุ์
เล่ม ข้าวตอกดอกไม้ มาบูชาขวัญข้าว และเสื้อนาผิด ไทยวนมีความเช่ือในการเก็บรักษาบูชาผ้าโบราณ
เพยี งแตเ่ ย่ียว ไมไ่ ด้ขี้ ให้ มนั หาไก่คู่หน่งึ เหล้าขวดหนึ่ง เพื่อใชใ้ นพิธกี ารพิเศษ เชน่ จงั หวัดน่าน มีการนาผา้ ซ่นิ
เทียนคู่หนึ่ง้าวตอกดอกไม้บูชาเส้ือนา..” ความเช่ือ สามดูกของกลุ่มไทยวน ซ่ึงเป็นซิ่นลายขวางใช้ผ้า
เรื่องเส้ือนาน้ี เมื่อถึงเดือนหก แม่บ้านจะทาขนมบัว ๓ ช้ิน เย็บ ๓ ตะเข็บ ออกมาจากที่เก็บรักษาทุกปี
ลอยไปวางเซน่ ท่ีนาเพอ่ื เลีย้ งเส้ือนาของตนทุกปี เพื่อใช้ในการบูชาผบี รรพบุรษุ ของตระกูล
พธิ ีข้ึนทำ้ วท้งั ๔ ชาวไทยวนเรียก “ต๊าวตงั ส่ี” ภาพบน พิธีขนึ้ ขันท้าวท้ัง ๔ ภาพล่าง พธิ ีเลยี้ งผีบ้าน
หมายถงึ ท้าวจตโุ ลกบาล ซง่ึ เปน็ เทวดาประจาทิศท้ังสี่
กอ่ นท่ีจะมงี านใดๆ จะทาการเลอื กสถานทีๆ่ เหมาะสม ภาพจาก https://sites.google.com/site/wathanathamthai/-khwam-cheux-1
เอาไม้ ๕ ท่อนมา ปักเป็นเสา ๔ มุม เสาต้นกลางสูง
กว่าเสาสี่มุม บนเสาน้ีจะวางเคร่ืองเซ่น เช่น หมาก
บุหร่ี ดอกไม้ธูปเทียน กระทงอันกลาง เป็นของพระ
อินทร์ ผู้รู้พิธีจะเป็นคนกล่าวเชิญเทพท้ัง ๔ มารับ
เครื่องเซ่นและมาช่วนปกป้องคุ้มครองงานของตนให้
ดาเนินไปดว้ ยความเรยี บรอ้ ย
พิธีกรรมเก่ียวกับผ้ำทอไทยวน พิธีกรรม
เกี่ยวกับการเกิด ในอดีตมีการทอผ้าพ้ืนเมืองไทยวนไว้
ใช้เป็นของกานัลสาหรับคนทาคลอดหรือหมอตาแย
เพ่ือแสดงถึงความขอบคุณ หลังจากคลอดเด็กแล้วแม่
จะน้าท่เี ตรียมไวห้ ่อเมอ่ื เดก็ คลอดออกมา
พิธีบวช คนไทยวนมีความเช่ือเล่ือมใสใน
พระพุทธศาสนาว่ามารดาผู้ที่ทอผ้าให้นาคได้สวมใส่
ในพิธีจะได้รับอานิสงส์ไมน่ ้อยไปกว่าลูกชายที่มีโอกาส
ได้ออกอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
๒๐๘ | กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ ในจังหวดั เชยี งราย
๔.๓ ประเพณี เช่น เสือ้ ผ้า หมอ้ ข้าวหมอ้ แกง และของทีผ่ ู้ตายชอบใส่ ชาติพันธุ์ “ไทยวน”
การกําหนดประเพณีปฏิบัติในชีวิต โดยมี ลงไปในเรอื และมีการสวดภาวนาอุทิศให้ผู้ตายรอดพ้น
ในภพใหม่ นอกจากนี้ยังมีการทาบุญอุทิศส่วนกุศลที่
จารีต (ฮีตเมือง) ท่ีเป็นเร่ืองเก่ียวกับศีลธรรมใน ทากันโดยทั่วไป จะเรยี กวา่ “ทานขันข้าว”
ครอบครัวและชุมชน มีประเพณี (ปาเวณีเมือง) ประเพณีกำรแต่งงำน ในอดีตการแต่งงาน
ก่อนจะมีการแต่งงานฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะต้องมี
ท่ีปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านานและจะทําทกุ ปี พิธบี อกกล่าวผปี ระจาตระกูลให้รบั รู้ โดยท้ังสองตอ้ งไป
ไหว้ขอพรที่บ้านหลักของผีอยู่ คือ ที่บ้านของหัวหน้า
เป็นเทศกาลหรือประเพณีประจําเดือน เช่น ประเพณี ตระกูลผีน้ัน ๆ ท่ีได้รับสืบทอดกันมา หรือ กรณีฝ่าย
หญงิ มแี มเ่ ป็นหวั หน้าตระกูลสบื ทอดผี ก็จะทาท่ีบา้ นได้
ปีใหม่สงกรานต์ ประเพณีอินทขีล ประเพณีสืบชะตา ทันทีการแต่งงานตามวัฒนธรรมของชาวไทยวนแล้ว
ผู้ชายจะแตง่ เข้าบ้านฝา่ ยหญิง และฝา่ ยชายจะต้องหัน
เมือง ประเพณีลอยโขมดหรือลอยกระทง ประเพณี มารบั นบั ถอื ผใี นตระกูลฝ่ายหญงิ แต่ตามกฎหมายแล้ว
ผู้หญงิ จะตอ้ งเปล่ยี นนามสกุลตามฝ่ายชาย และลกู ต้อง
เข้าพรรษา ออกพรรษา และยังมปี ระเพณีท่ีทํากันเปน็ นบั ถือผฝี า่ ยแม่
ครั้งคราว เช่น ประเพณีการแต่งงาน ประเพณีการขน้ึ ประเพณีกำรตำย ในหมู่บ้านชาวไทยวนใน
อดตี เม่ือมีผูเ้ สยี ชีวิต ชาวบ้านจะบอกต่อ ๆ กนั เพ่ือให้
บ้านใหม่ หรือประเพณีท่ีเกี่ยวข้องกับชีวิตในสังคม คนในหมู่บ้านรับทราบ และเรียกญาติมิตรมาร่วม
พบปะให้กาลังใจและร่วมช่วยงานอย่างพร้อมหน้า
ไทยวน พร้อมตา เพราะการจดั งานศพ เปน็ หนา้ ท่ขี องสงั คมใน
การดาเนนิ ทาพิธี
ประเพณีปอย สาหรับกิจกรรมในชุมชนชาว
ไทยวนท่ีเห็นได้ชัด คือ เทศกาลปอย (งานฉลอง) ประเพณีเลี้ยงผีปู่ยำ ผีปู่ย่า ตายาย คือผี
งานปอยสามารถแบ่งเป็น สามรูปแบบด้วยกันคือ ประจาตระกูลหรือผีบรรพบุรุษ เกือบทุกบ้านของชาว
ปอยหลวง ปอยนอ้ ย ปอยเขา้ สังฆ์ ไ ท ย ว น มั ก จ ะ มี หิ้ ง ผี ท่ี ตั้ ง อ ยู่ ใ น ห้ อ ง น อ น ด้ า น ทิ ศ
ตะวันออก บนห้งิ จะมีเครื่องบูชา เชน่ พานดอกไม้ ธปู
๑. ปอยหลวง หรืองานมหกรรมฉลองสมโภช เทียน น้าต้น โดยเช่ือว่าผีปู่ย่าจะคอยดูแลช่วยเหลือ
สงิ่ ปลูกสร้าง เช่นโรงเรยี น กาแพงวดั ศาลา โบสถ์วิหาร คุ้มครองสมาชิกในครอบครัว ถ้าสมาชิกในครอบครัว
ไม่ทาผิดจารีต ผีปู่ย่าจะช่วยให้เจริญรุ่งเรือง สมัยก่อน
๒. ปอยน้อย เป็นงานบวชสามเณร หรือเรียก จะมีการส่งอาหารให้ทุกม้ือ เดือนละคร้ังและจะเป็น
อีกช่ือว่า “บวชลูกแก้ว” เป็นการบวชเด็กผู้ชายอายุ หน้าท่ีของลูกผู้หญิงโดยเฉพาะลูกสาวคนหัว ปี
ไมเ่ กนิ ๒๐ ปี ชาวเหนอื นิยมบวชลูกแกว้ เพ่ือให้เดก็ ได้ การกาหนดเลี้ยงผีปู่ย่ามักจะมีเล้ียงระหว่างเดือน
เรียนรู้หลักธรรม จริยธรรมทางศาสนาพุทธ และด้าน เมษายน พฤษภาคม มิถุนายน แต่จะยกเว้นวันพระ
การอา่ นภาษาและอักษรพืน้ เมอื งในเบ้ืองต้น สิ่งเหลา่ นี้ และวันพุธที่เช่ือว่าผีประชุม ผีไม่กิน สาหรับในพิธีจะมี
เพื่อสร้างให้เด็กได้เข้าใจและดารงตนในหลักพุทธ การเตรียมเครื่องไหว้ผี คือ ไก่ต้ม 2 ตัว ข้าวสุก น้า
ศาสนา ก่อนการทาพิธีบวชลูกแก้ว จะมีการพิมพ์ใบ สุราและดอกไม้ธูปเทียน จากนั้นลูกหลานในบ้านจะ
“แผ่นาบุญ” เพื่อบอกกล่าวเชื้อเชิญมาร่วมงานบุญ ช่วยกันยกเครื่องเซ่นไหว้ไปตั้งท่ีมุมห้องนอน และจะ
ในงานจะมีพิธีซอ เพ่ือดึงดูดและสร้างบรรยากาศใน ทาการขอพร ให้ผีปู่ย่าช่วยคุ้มครอง ช่วยเหลือให้มี
งานบุญ ความสุขความเจริญ หากมีใครทาเสียผีที่ไม่ร้ายแรง
เช่น เคยให้ผู้ชายแตะเน้ือต้องตัว จะต้องมีการทาพิธี
๓. ปอยเข้าสังฆ์ คือ เปน็ งานบญุ เพ่อื อทุ ศิ ส่วน ขอขมาดว้ ย ปจั จบุ นั บางครอบครวั ทีน่ บั ถอื ศาสนาพุทธ
กุศลให้กับผู้ตาย โดยส่วนใหญ่จะจัดข้ึนกรณีผู้มีฐานะ
บารมใี นหมู่บา้ นเสียชีวิต หรอื กรณีมีผูเ้ สียชวี ิตจากการ กลุม่ ชาตพิ นั ธ์ุ ในจังหวดั เชียงราย | ๒๐๙
คลอดบุตร ที่เรียกว่า “การตายพราย” หรือตายกลม
การตายพรายน้ีคนหมู่บ้านจะถือว่าเป็นการตายท่ีมี
บาปกรรมและต้องเสวยทุกขเวทนา ความเช่ือเช่นน้ี
จึงทาให้ชาวบ้านร่วมมือกันทาบุญอุทิศส่วนกุศลเพื่อ
ช่ ว ย เ ห ลื อ ด ว ง วิ ญ ญ า ณ ข อ ง ผู้ ต า ย ใ ห้ ร อ ด พ้ น จ า ก
บาปกรรมเหล่านน้ั ในพิธกี รรมอุทิศสว่ นกุศล ชาวบ้าน
จะทาเรือบรรจุส่ิงของไทยทานให้ผู้ตาย จะใช้ส่ิงของ
ชาติพันธุ์ “ไทยวน” ท่ีเคร่งครัดก็จะไม่มีการทาพิธีดังกล่าว แต่ส่วนใหญ่ เสร็จ จะมีการผูกข้อมือให้เจ้าของบ้านชายหญิงพร้อม
แล้วก็ยังมีการนับถือผีกันอยู่และมีการผสมกับความ
เช่ือทางพุทธศาสนา ทาให้พิธีเล้ียงผีมีการนาประเพณี ประพรมน้าพุทธมนต์ หลังจากนั้นเจ้าภาพถวาย
พุทธศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การนิมนต์พระสงฆ์ ภตั ตาหารและไทยทานเปน็ เสรจ็ พิธี
ไปสวดมนต์ เช่น การเลี้ยงผปี ู่แสะย่าแสะ
ประเพณีปีใหม่สงกรำนต์ สงกรานต์ถือว่า
ประเพณีฟ้อนผีมด - ผีเม็ง ผีมดผีเม็งเป็น
ความเช่อื ทสี่ บื ทอดมาจากชาวมอญ มกั จะทาพิธีในชว่ ง เปน็ วนั ตรษุ ขึ้นปีใหม่ ระหวา่ งวนั ที่ ๑๓ - ๑๕ เมษายน
เดอื น 8 หรอื 9 (พฤษภาคม - มถิ นุ ายน) จะทาการสืบ ของทุกปี เป็นการเริ่มต้นศักราชใหม่ ชาวไทยวน
ทอดโดยผู้หญิง ผู้เลี้ยงจะต้องดูแลเอาใจใส่ให้ดี
หากดูแลไม่ดี ผีดังกล่าวจะกลายเป็น “ผีกะ” รวมท้ังชาวไทยทั่วไปจะเฉลิมฉลองปีใหม่ มีการรดน้า
เท่ียวออกอาละวาดเข้าสิงร่างผู้หญิง ฉะนั้น การเลี้ยง ดาหัวกันอย่างสนุกสนาน เป็นประเพณีทนี่ ิยมมากท่ีสุด
ผีมดผีเม็งจะต้องทาพิธีฟ้อนเพ่ือเป็นการสังเวยให้กับ ของคนไทยตลอดมา โดยช่วงสงกรานต์ทุกคนจะ
บรรพบุรุษและวงศ์ษาคณาญาติในตระกูล การทาพิธี
น้ันเจ้าภาพจะต้องเชิญญาติ ๆ ให้รวมตัวกัน จะมีการ รวมตัวกันในครอบครัว ทาความดีต่อชุมชน บ้านเมือง
จัดผาม (ปะราพิธี) ขึ้นกลางลานบ้าน มีสารับพิธีเช่น ในช่วงสามวันของเทศกาลสงกรานต์ จะมีกิจกรรมของ
หมู ไก่ เหล้า ข้าวต้ม ขนม น้าอ้อย พานข้าวตอก
ดอกไม้ ธูปเทียนต่าง ๆ ในพิธีประกอบด้วยเครื่อง แต่ละวันแตกต่างกัน ชาวไทยวนจะเรียกวันท่ี ๑๓
ดนตรีพ้นื เมือง กลอง ระนาด ฉ่ิง ฆอ้ งวง ฯลฯ เมษายน วา่ วันสงขานลอ่ ง ท่หี มายถงึ การก้าวล่วงของ
พระอาทติ ยจ์ ากราศีมนี สู่ราศีเมษ กจิ กรรมในวนั น้ีจะมี
ประเพณีสืบชะตำ พิธีสืบชะตานี้ ได้แบ่ง
ประเพณีสืบชะตาออกเป็น ๓ ประเภท ด้วยกันคือ พิธีส่งสังขาร จัดขบวนแห่สรงน้าพระพุทธรูปสาคัญ
๑.ประเพณีสืบชะตาคน ๒.ประเพณีสืบชะตาบ้าน ประจาเมือง แต่ปัจจุบันน้ีจะมีการจัดกิจกรรมตั้งแต่
๓.ประเพณีสืบชะตาเมือง พิธีสืบชะตา ชาวไทยวนมัก
นิยมจัดในวาระการข้ึนบ้านใหม่ ที่ถือเป็นการเร่ิมต้น วันที่ ๑๑ เมษายน จะมีการนดั เลน่ นา้ ที่เรียกว่าวันลอง
ใหม่การสร้างชีวิตในพื้นที่ใหม่ คนในครอบครัวจะ ไฟ ส่วนวันที่ ๑๔ เมษายน เรียกว่าวันเน่า จะเป็นวัน
รวมตัวเพ่ือจัดพิธีกันบนบ้านหรือห้องโถง ในพิธีกรรม ขึ้นของพระอาทติ ย์จากราศมี นี และอยูก่ ึ่งกลางระหว่าง
จะมีเครื่องเซ่นไหว้บูชา ๒๐ กว่าชนิด โดยแต่ละชนิด
จ ะ มี ค ว า ม ห ม า ย ที่ แ ส ด ง ถึ ง ก า ร ใ ห้ เ จ้ า ช ะ ต า มี อ า ยุ ราศีมีนกับราศีเมษ ในวันน้ีเชื่อว่าเป็นวันท่ีไม่ค่อยดี
ยืนยาว เช่น กระบอกน้า กระบอกทราย บันไดชะตา ฉะนั้นจะห้ามการกระทาท่ีไม่ดีต่าง ๆ ที่ไม่เป็นมงคล
ไม้ค้า ขัวไต่ (สะพานข้ามน้า กล้ามะพร้าว เสื่อ หมอน
หมอ้ ใหญ่ และอื่น ๆ ในพธิ กี รรม เจา้ ภาพจะตอ้ งนิมนต์ ทาให้วนั นี้ชาวบ้านจะทาดี พดู จาดไี มด่ ่าทอกัน และใน
พระ ๙ รูปข้ึนไปตามประเพณี พระสงฆ์จะทาพิธีสวด วันเน่าน้ี จะเรียกว่า “วันดา” ชาวบ้านจะนิยม
หลังจากเจ้าภาพจุดเทียนบูชาพระรัตนตรัย เจ้าภาพ ท า อ า ห า ร ข อ ง ค า ว ข อ ง ห ว า น เ พ่ื อ ไ ป ท า บุ ญ ท่ี วั ด
และครอบครัวต้องมาน่ังในพิธีด้านเคร่ืองเซ่นไหว้
และใช้ด้ายสายสิญจน์เวียนรอบศีรษะของผู้เข้าพิธี และเป็นวันท่ีดีสาหรับการ เริ่มสร้างบ้าน ให ม่
โดยนั่งประนมมือเพ่ือรอฟังการสวดมนต์ หลังจากนั้น เช่นเดียวกันวันนี้จะเป็นที่คนหนุ่มสาวจะขนทรายเข้า
พระผู้นาพิธี นาไหว้พระอาราธนาศีล พระสงฆ์ให้ศีล
อาราธนาพระปริตร แล้วจึงสวดบทชุมนุมเทวดา วัดเพ่ือก่อเจดีย์ทราย สาหรับวันท่ี ๑๕ เมษายน
หลังจากจบการสวดมนต์ ผู้สืบชะตาจุดเทียน น้ามนต์ เรียกว่าวันพญาวัน พระอาทิตย์เข้าสู่ราศีเมษ เป็นวัน
จุดฝ้ายค่าคิง (ยาวเท่าตัวผู้สืบชะตา) และเทียนสืบ เร่ิมต้นของปีนักกษัตรใหม่ โดยตอนเช้าชาวบ้านจะไป
ชะตา หลังจากสวดจบมีเทศน์ ๑ กัณฑ์ เมื่อพิธีแล้ว
ท่ีวัดเพ่ือถวายอาหารแก่พระภิกษุสงฆ์ และถวายทาน
๒๑๐ | กลมุ่ ชาตพิ ันธุ์ ในจงั หวัดเชยี งราย อุทิศแต่บรรพชน เมื่อทาบุญที่วัดเสร็จ จะเตรียม
อาหารไปให้แก่ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ เช่น พ่อแม่
ปู่ย่า ตายาย วันน้ีจึงอาจถือว่าเป็นวันรวมญาติ
และในช่วงเที่ยงจะมีการนาน้าส้มป่อยไปเทรวมกลาง
วิหาร ท่ีเรียกว่า พิธีทานตุง และพิธีสรงน้า อีกทั้งจะมี
การปล่อยนกปล่อยปลา และช่วงสุดท้ายของวันจะมี
การทาพิธดี าหวั พ่อแม่ ปยู่ า่ ตายายและผใู้ หญ่ที่เคารพ
นบั ถืออีกด้วย
ฝ่ายใน ปัจจุบันจะไม่ค่อยได้พบเห็นมากนัก แต่จะพบ ชาติพันธุ์ “ไทยวน”
เห็นได้เฉพาะในงานพระราชพิธีหรือวันสาคัญทาง
ศาสนา ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองชาวต่างชาติ
ภาพซ้ายบน : งานปอยขา้ วสงั ฆ์ ภาพขวาบน : พิธีสบื ชะตา ฟ้อนเล็บ
ภาพซา้ ยกลาง : ฟ้อนผมี ด ผีเม็ง ภาพขวากลาง : งานปอยหลวง
ภาพจาก https://www.facebook.com/OldChiangmaiCulturalCenter
ภาพล่าง : การรดนา้ ดาหัวปีใหม่เมอื ง
๔.๔ ภาษา
กำรฟ้อนเล็บ จะสามารถพบเห็นได้บ่อยใน กลุ่มชาติพันธุ์ไทยวน มีภาษาพูดภาษาเขียน
งานแสดงในโอกาสต่าง ๆ ถือว่าเป็นศิลปะที่มีความ เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง อักษรของชาวไทยวนมใี ช้มา
งดงามจะแสดงกันเป็นหมู่ โดยจะสวมเล็บยาวทุกน้ิว เป็นเวลานาน เมื่อได้อพยพมาอยู่ที่ประเทศไทยก็
ยกเว้นน้ิวแม่มือ เป็นการโชว์ลีลาการฟ้อนเล็บท่ีอ่อน นาเอาอกั ษรเหลา่ นนั้ จึงถูกนามาใช้ดว้ ย โดยใชเ้ ขยี นลง
ช้อยความพร้อมเพรียงในการฟ้อนร่วมกันของผู้แสดง ในสมุดข่อยหรือจารบนใบลาน ชาวไทยวนเรียกอักษร
นอกจากนี้การโชว์ความสวยงามนอกจากการฟ้อนรา น้ีว่า “หนังสือยวน” เร่ืองที่บันทึกลงใบข่อยหรือสมุด
แล้ว ท่ีสาคัญรวมด้วยคือ ชุดการแต่งกายของผู้แสดง ไทยมักจะเป็นตาราหมอดู ตาราสมุนไพร เวทมนต์
โดยจะนุ่งผ้าซ่ินเชิงยาวถึงเท้า สวมเส้ือแขนยาวสี และคาถาต่าง ๆ ส่วนเรื่องท่ีจารลงใบลานส่วนใหญ่
เดียวกันทั้งวง ห่มสไบ เกล้าผมมวยสูง ติดดอกไม้ เป็นพระธรรมเทศนา ภาษาเขยี นและภาษาพูดของชาว
ห้อยอุบะ ปลอ่ ยชายลงขา้ งแกม้ ความสวยงามของการ ไทยวนมีรูปแบบเป็นของตนเอง ซ่ึงในปัจจุบันก็ยังพบ
ฟ้อนกับชุดในวัฒนธรรมจึงทาให้งานแสดงฟ้อนเล็บ เป็นการใช้ภาษาเขียนในพระธรรมคัมภีร์พุทธศาสนา
เป็นท่ีนยิ มจดั แสดงมากที่สุด และปั๊บสา ใบลาน ทั้งนี้ภาษาเขียนของไทยวน
หรือเรียกว่า “อักษรล้านนา หรือ อักษรธรรม”
กำรฟ้อนเทียน เป็นการฟ้อนท่ีมีลักษณะ ยังใช้ในกล่มุ ชาวไทล้ือ เชยี งรงุ่ และไทเขิน เชยี งตงุ ดว้ ย
ศลิ ปะทอ่ี ่อนชอ้ ยงดงาม มีลกั ษณะการแสดงไม่ต่างจาก เน่ืองจากในอดีตชาวล้านนาได้นาพุทธศาสนาเข้าไป
การแสดงฟ้อนเล็บ ถ้าเป็นการแสดงฟ้อนเทียน เผยแพร่ยงั สองดนิ แดนน้ี
นิยมแสดงในเวลากลางคืนเพ่ือเน้นความสวยงามของ คำเมือง เป็นภาษาท่ีจัดอยู่ในกลุ่มตระกูล
แสงเทียนระยิบระยับสว่างไสว จุดเด่นของการแสดง ภาษาไต-กะได มีผู้พูดกระจายตัวในภาคใต้ของจีน
ชนิดน้ี จึงอยู่ท่ีแสงเทียนที่ผู้แสดงถือในมือข้างละหนึ่ง ประมาณ ๖ ล้านคน บริเวณภาเหนือและหลายหม่ืน
เล่ม เดิมทีการฟ้อนเทียนใช้เป็นการแสดงบูชาส่ิง คนในประเทศลาว ภาษาคาเมืองยังมีความใกล้ชิดกับ
ศักด์สิ ิทธเ์ิ พ่ือเปน็ การสักการะเทพเจา้ ทเ่ี คารพนบั ถือใน ภาษาไทยกลาง แต่นักมานุษยวิทยาชื่อ ริชาร์ด เดวิส
งานพระราชพิธหี ลวง ผู้ฟ้อนมกั ใชเ้ จ้านายเช้ือพระวงศ์ ได้ศึกษาเปรียบภาษาไทเหนือกับไทยกลาง โดยใช้
ร า ย ก า ร ค า ศั พ ท์ ข อ ง ส ว า เ ด ซ ( Swadesh List)
เปรียบเทียบ ๒๐๐ คา ถ้าภาษาพ้องกัน ร้อยละ ๘๐
ถือว่า เป็นภาษาเดียวกัน แต่เม่ือริชาร์ดได้ศึกษา
กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ในจังหวดั เชียงราย | ๒๑๑
ชาติพันธุ์ “ไทยวน” เปรียบเทียบกลับพบว่า ภาษาไทเหนือมีความพ้องกับ คัมภีร์ใบลานทางศาสนา ตาราโหราศาสตร์ ตารา
ภาษาไทยกลางเพียง ร้อยละ ๖๐ เท่านั้น จึงถือว่า แพทย์ บทกวีนิพนธ์ แต่การใช้อักษรธรรมล้านนาได้
ภาษาไทเหนือหรือคาเมืองมอี ิสระจากภาษาไทยกลาง หยุดชะงัก เนื่องจากการแพรข่ ยายของภาษาไทยกลาง
และเป็นภาษาเฉพาะในกลุ่มชาตพิ ันธ์ตุ นเอง ท่ีมีพร้อมกับการปกครอง การสื่อสาร และระบบ
การศกึ ษา ทาให้อักษรธรรมจึงเส่ือมลงตามลาดับ
ภาษาไ ทยว น หรือท่ีเรียก ว่ า ค ำ เ มือ ง
นน้ั มพี ยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ โครงสรา้ งประโยคของ การศึกษาวรรณยุกต์ไทยวนเชิงภูมิศาสตร์
ภาษาไทยวนไม่ได้แตกต่างไปจากภาษาไทยกลาง พบสัทลักษณะของวรรณยุกต์ที่แปรไปตามภูมิภาค
จ ะ มี ค ว า ม แ ต ก ต่ า ง เ ฉ พ า ะ บ า ง ค า ศั พ ท์ ท่ี เ ป็ น ศั พ ท์ เช่นกัน ทา ให้จัดภาษาไทยวนในประเทศไทย ลาว
ท้องถน่ิ และการออกเสยี งวรรณยุกตเ์ ท่านัน้ เช่น พดู ว่า และพม่า ไดเ้ ปน็ ๔ กลุ่ม ภาษาไทยวนท่ีแขวงหลวงน้า
ไปเท่ียวมำสนุกไหม ในภาษาคาเมือง จะพูดว่า ทา ประเทศลาว เป็นตัวอย่างท่ีแสดงให้เห็นถึงการ
“ไปแอ่วมำม่วนก่อ” คาพูดว่า “ทำอะไร” ภาษาคา สัมผัสภาษาอย่างแท้จริง รัฐบาลลาวจัดให้กลุ่มชาติ
เมืองว่า “เญียะอิหยัง” หรือ คาว่า กิ๋นเข้ำบ่ลำ พนั ธ์ุหนึ่งท่เี รียกว่า “กะลอม” อยใู่ นกลุ่มไทยวน ดังนนั้
ท่หี มายถงึ กินข้ำวไม่อร่อย ในภาษาไทยกลาง ชาวกะลอมจึงเรยี กตัวเองว่าไทยวน แต่ภาษาจะคล้าย
กับทั้งไทลื้อและไทยวน การศึกษา วรรณยุกต์ของ
สาหรับหน่วยเสียงพยัญชนะในภาษาไทยวน ภาษากะลอมที่หมู่บ้านเวียงเหนือ หมู่บ้านเวียงใต้
หรือคาเมือง พบว่า มีท้ังหมด ๒๐ หน่วยเสียง คือ ป/ และหมู่บ้านขอน พบว่าภาษากะลอมมีระบบ
พ/บ/ต/ท/ด/จ/ก/ข/อ/ฟ/ส/ห/ม/น/ญ/ล/ว/ย/ วรรณยุกต์ที่มีลักษณะเด่นของภาษาไทลื้อ รวมทั้งมี
สาหรับภาษาคาเมืองกับภาษาไทยกลางจะมีคาอ่านที่ การใชค้ าศพั ท์ภาษาไทลอื้ เป็นจานวนมากและมีคาไทย
สามารถเปรียบเทยี บคาเหมอื นในบางรูปคา เชน่ วนปะปน อยู่บ้าง สรุปได้ว่าท่ีแขวงหลวงน้าทามีการ
สัมผัสภาษาระหว่างไทยวนและไทลื้ออย่างเห็นได้ชดั
ในภาษาไทยกลางตัว /ค/ มักจะออกเสียง /
ก/ ในภาษาคาเมือง เชน่ “คาง” จะอ่านว่า “กาง” ในทางภาษาศาสตร์ ชาวยวนพดู ภาษาตระกูล
ไท-กะได กลุ่มภาษาเชียงแสนซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับ
ในภาษาไทยกลางตัว /ช/ จะออกเสียง /จ/ ภาษาไทยและภาษาไทล้ือ นอกจากน้ีภาษายวนยังมี
ในภาษาคาเมือง เชน่ “ช้อน” จะอา่ นวา่ “จ๊อน” ความคลา้ ยและใกล้เคยี งกบั ภาษาลาว (กลุ่มภาษาลาว
- ผู้ไท) อยู่มาก ในอดีตชาวไทยภาคกลางและ
ในภาษาไทยกลางตัว /พ/ จะออกเสียง /ป/ ชาวตะวันตกจึงมักเข้าใจว่าชาว ยวนเป็น ลาว
ในภาษาคาเมือง เชน่ “พ่อ” จะอ่านวา่ “ป้อ” อีกท้ังภาษายวนยังคล้ายกับภาษาไทเขิน (กลุ่มภาษา
ไทพายัพ) ต่างเพียงแค่สาเนียงและการลงท้ายคา
ในภาษาไทยกลางตัว /ร/ จะออกเสียง /ฮ/ และตวั อกั ษรไทยวน ยังส่งอทิ ธพิ ลโดยตรงต่อตวั อักษร
ในภาษาคาเมอื ง เช่น “เรอื น” จะอ่านวา่ “เฮอื น” ไทเขินผ่านความสัมพนั ธท์ างพทุ ธศาสนามาแตโ่ บราณ
นอกจากน้ี ในคาเมืองยังมีเสียงสระ ๒๑ ๔.๕ การแตง่ กาย
หน่วยเสียง สระเดี่ยว ๑๘ เสียง สระประสม ๓ เสียง การแต่งกายของชาวไทยวนจะนิยมนุ่งซ่ินผ้า
แต่สระบางคามีความคล้ายกับภาษาไทยกลาง เช่น ฝ้ายทอด้วยกี่ทอมือ เป็นลายแบบโบราณ ท่ีมีการยก
เสียง /เอ/ เป็นเสียง /แอ/ ดังเช่น ภาษาไทยกลาง มุกเป็นลวดลายดอกและมีสีสันสวยงาม การแต่งกาย
คาว่า /เอว/ ภาษคาเมือง อ่านว่า /แอว/ หรือ ของสตรีชาวไทยวนในอดีต จะนุ่งผ้าซ่ินแบบตะเข็บ
ในภาษาไทยกลาง เสียง /อุ/ ในภาษาคาเมือง อ่านวา่ เดียวลายขวางลาตัว ซ่ึงประกอบด้วย หัวซ่ิน ตัวซ่ิน
/โอะ/ ดงั เช่น คาว่า “ตกุ๊ แก” ในคาเมืองอ่าน “ตก๊ โต” และตีนซ่ิน นิยมใช้ผ้าสีอ่อน คล้องคอ ใช้ผ้าแถบคา
และคาว่า “ถุง” ในคาเมอื งอา่ นวา่ “ถง” ดอก ปลอ่ ยชายข้างหนงึ่ ลงมา หรือห่มเฉียงไหล่ ต่อมา
นยิ มสวมเส้อื แขนกระบอก เสื้อแขนกุด เสอื้ คอกระเช้า
ตัวอักษรที่ใช้เขียน: ตัวอักษรธรรมล้านนา
อักษรฝักขาม อักษรธรรมล้านนา อักษรธรรมล้านนา
หรือตัวเมือง พัฒนามาจากอักษรมอญโบราณ อักษร
ธรรมล้านนาได้แพร่กระจายไปพร้อมกับการขยายตัว
ของศาสนาพุทธทั้งในเขตอาณาจักรล้านนาและ
อาณาจกั รลา้ นชา้ ง อักษรดังกลา่ วจะพบมากในเอกสาร
๒๑๒ | กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย
ห่มสไบเฉียง ไว้ผมยาวเกล้ามวย ปักปิ่นและประดับ ชาติพันธุ์ “ไทยวน”
ด้วยดอกใม้หอม ส่วนผู้ชายชาวไทยวน นิยมไว้ผมทรง
มหาดไทย มีท้ังสวมเสอ้ื และไม่สวมเสื้อ นงุ่ ผ้าเตีย่ วหรือ
ผ้าต้อยสีเข้ม โดยนิยมถกชายผ้าขึ้นมาเหน็บเอวจน
เหมอื นกับกางเกงขาสน้ั เรยี กว่า “เค้ดหมา้ ม” เพือ่ อวด
ลวดลายสักท่ีสวยงามบนรา่ งกายแล้วใช้ผ้าพาดบ่าหรือ
คลุมตัว ต่อมานิยมนุ่งกางเกงแบบชาวไทใหญ่
ที่เรียกว่า “เตยี วสะดอ” และ “สวมเสือ้ คอกลม”
ตวั อย่างการแต่งกายของชาวไทยวน เคร่อื งประดบั ถนิมพมิ พาภรณ์ แบบลา้ นนาโบราณ
มมี า้ วใส่แขน แหวนใส่ก้อย สร้อยสังวาลย์ ปน่ิ ประดับเกลา้
ป่ินหยง่ั แบบชาวเชียงแสน มรี ูปทรงหกเหลีย่ มทาจากทองคา
ประดบั อญั มณี ท่ลี บั แลเรยี กป่ินชนิดน้ีว่า “ปน่ิ หัวห้าง” และดอกไม้บูชาขวัญ
๔.๖ องค์ความรูแ้ ละภมู ปิ ญั ญา
การผสมผสานองค์ความรู้ องค์ประกอบของ
ภูมิปัญญา การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชุมชน
ความเด่นชัดของภูมิปัญญา เช่น ด้านเกษตรกรรม
อุตสาหกรรม หตั ถกรรม การบาบดั รักษา การกอ่ สร้าง
การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ศิลปกรรม ภาษา
กลุม่ ชาตพิ นั ธุ์ ในจงั หวดั เชียงราย | ๒๑๓
ชาติพันธุ์ “ไทยวน” ศาสนา ประเพณี อาหารและเ คร่ืองแต่งก าย กลางคืนจะเป็นการบูชาเทวดาท่ี รักษาบ้านช่อง
และอาชีพ “โคมลอย” จะประดิษฐ์ด้วยการใช้วัตถุแบบเดียวกัน
ชาวไทยวนนิยมสร้างบ้านเรือนริมน้าป่าสัก กับโคมแขวน แต่โคมลอยนั นจะท้า พิเศษให้สามารถ
ลอยข้ึนสู่ท้องฟ้าได้เหมือนบอลลูน ถือเป็นการปล่อย
และสร้างตามรูปแบบของวัฒนธรรมเดิม คือการสร้าง เคราะหป์ ลอ่ ยโศกทตี่ ิดตามตัวเรา ให้ออกไปใหห้ มด
บ้านเรือน แบบทรงกาแล มีไม้ไขว้ อยู่บนหลังคาหน้า
จั่วเรือน ส่วนบนผายออก เรยี กวา่ เรอื นอกโต เอวคอด
การทอผ้า ภูมิปญั ญาทสี่ ืบทอดมาต้ังแต่อดตี ถึงปัจจบุ นั
การสรา้ งบา้ นเรอื นของชาวไทยวน โคมและตงุ
กำรแสดงออกผ่ำนศิลปะ ชาวไทยวน ยังคง ภูมิปัญญำ ศิลปะกำรแสดง การแสดงชุด
สืบทอดการทอผ้า และมีการประกอบอาชีพทอผ้า โยนกนาคพันธุ์สิงหวัตินคร เป็นการแสดงเพื่อราลึกถงึ
เพ่ือการขาย และการอนุรักษ์ให้คงอยู่ ผ้าท่ีนิยมทอ เมืองโยนกนาคนคร ท่ีเดิมเป็นที่อาศัยของชาว
ได้แก่ ย่าม หมอน ผ้าห่ม ผ้าซ่ิน ผ้าขาวม้า ผ้าปรก ไทยวนในอดีต ในการแสดงชุดน้ี สะท้อนให้เห็น
หัวนาค ผ้าห่อ คัมภีร์ ตุง กลุ่มทอผ้าบ้านต้นตาล เอกลักษณ์ อตั ลกั ษณ์ทีโ่ ดดเด่นของชาวไทยวน ทง้ั การ
ที่มีการออกแบบลวดลายอย่างเป็นเอกลักษณ์ประจา แตง่ กาย เสอ้ื ผา้ ประกอบกับอุปกรณก์ ารเเสดง เชน่ รม่
ถ่นิ ผา้ ทอมอื ผางประทีป และโคม ที่บ่งบอกถึงศิลปะของชาว
ไทยวน การแสดงชุดนี้ แสดงข้ึนเพ่ือให้เห็นความงาม
ภู มิ ปั ญ ญ ำ ใ น ก ำ ร ท ำ เ ค ร่ื อ ง ใ ช้ บู ช ำ และความเจริญรุ่งเรอื งของเมืองโยนกนาคนครในอดีต
ชาวไทยวนได้สืบทอดความเชื่อความศรัทธาในเร่ือง ใช้ประเพณีความเชื่อร่วมเข้ามาในการแสดง ทั้งน้ี
ของพุทธศาสนา และการนับถือ “ผี” จึงได้ทา การแสดงนี้ จะรวบรวมไว้ซ่ึงคุณค่าของชาวไทยวน
เคร่ืองมือไว้บูชา คือ ตุง และ โคม ตุง เป็นส่ิงท่ีทาขึ้น เอกลักษณ์ และอัตลักษณ์คงไว้ซึง่ วัฒนธรรมไทยวน
เพื่อใช้ในงานพิธีทางพุทธศาสนา ถวาย เป็นพุทธบูชา
ถือว่าเป็นการท้าบุญอุทิศให้แก่ผู้ท่ีล่วงลับไปแล้ว หรือ
ถวายเพ่ือเป็นปัจจัยส่งกุศลให้แก่ตน ไปในชาติหน้า
ด้วยความเช่ือว่าเม่ือตายไปแล้วจะได้เกาะยึดชายตุง
ข้ึนสวรรค์ โคม สามารถแบ่งได้ ๒ ประเภท ได้แก่
“โคมแขวน” จะประดิษฐ์ข้ึนเพื่อประดับประดา
มักจะทาเป็นรูปทรงต่าง ๆ ทั้งทรงกลม ทรงเหลี่ยม
ทาจากกระดาษชนิดต่าง ๆ เช่น กระดาษสา กระดาษ
แก้ว กระดาษว่าว หรือผ้าดิบ ข้ึนโครง ด้วยไม้ไผ่เอี๊ยะ
ที่มีลักษณะพิเศษ คือ ลาปล้องยาว ตาห่าง เหมาะแก่
การดัดท้าเป็นโครงรูปทรงต่าง ๆ ข้างในประกอบด้วย
หลอดไฟ แต่เดิมมีความเชื่อว่า หากจุดโคมในเวลา
๒๑๔ | กลุม่ ชาตพิ ันธุ์ ในจังหวดั เชียงราย
การแสดงชุด โยนกนาคพันธุส์ งิ หวัตินคร สงวน โชติสุขรัตน์. ๒๕๖๑. ไทยยวน คนเมือง. พิมพ์ ชาติพันธุ์ “ไทยวน”
คร้งั ท่ี ๒ นนทบุร:ี ศรปี ัญญา.
๕. แหลง่ อ้างอิง
สัมภาษณ์
กรวรรณ ชีวสันต์ แล ะธิตินัดดา จินาจันทร์. ๒๕๔๖. นายบุญสง่ สกุล บา้ นเวียง ตําบลเวียง อาํ เภอ
ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง ล้ า น น า - ล้ า น ช้ า ง
การศึกษาเปรียบเทียบประเพณี ๑๒ เดือน. เชียงแสน จังหวัดเชียงราย (๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔)
สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สมั ภาษณ.์
เชยี งใหม:่ นพบุรกี ารพมิ พ.์
กลุ่มชาติพนั ธุ์ ในจงั หวดั เชียงราย | ๒๑๕
เฉลียว ปยิ ะชน. ๒๕๕๒. เรือนกาแล. กรุงเทพฯ : เมือง
โบราณ.
ฐาปนีย์ เครือระยา. ๒๕๖๐. เรือนล้านนากับวิถีชีวิต
เชียงใหม่ : สาํ นักส่งเสรมิ ศิลปวฒั นธรรม.
ระวิวรรณ โอฬารัตน์มณี. ๒๕๕๘. รูปแบบบ้านเรือน
ของกลุ่มชาติพันธ์ุในอุษาเคเนย์. เชียงใหม่ :
สํานักพิมพ์เชยี งใหม่.
ณรงค์ ศิชิรัมย์. ๒๕๕๗. อาหารในวิถีล้านนา ใน
ล้านนาคดีศึกษา. โครงการล้านนาคดีศึกษา
เชียงใหม่ :มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สุเทพการ
พมิ พ์.
นพคุณ ตันติกุล. ๒๕๔๘. ล้านนาในมิติกาลเวลา.
เชยี งใหม:่ The Knowledge center.
เรณู เหมือนจันทร์เชย. ๒๕๔๘. สารานุกรมกลุ่มชาติ
พันธุ์ในประเทศไทย: ไทยวน. กรุงเทพฯ:
สถาบันวิจัย ภาษาและวัฒนธรรมเพ่ือพฒั นา
ชนบทมหาวิทยาลยั มหิดล.
ลมลู จนั ทรห์ อม. ๒๕๔๗. ประเพณีความเช่ือการปลกู
เรือนในล้านนาและเรือนกาแล. เชียงใหม่:
มง่ิ ขวญั .
วิถี พานิชพันธ์. ๒๕๔๘. วิถีล้านนา. เชียงใหม่ :
สํานักพมิ พ์ซลิ ค์เวอรม์ .
สุเทพ สุนทรเภสัช. ๒๕๔๘. ชาติพันธ์ุสัมพันธ์:
แ น วคิดพื้น ฐ า น ทา งมา นุษ ย วิทย าใน
ก า ร ศึ ก ษ า อั ต ลั ก ษ ณ์ ก ลุ่ ม ช า ติ พั น ธ์ุ
ประชาชาติ และการจัดองค์กรความสัมพันธ์
ทางชาตพิ ันธ์ุ. กรงุ เทพฯ: เมอื งโบราณ.
ชาติพันธุ์ “ไทยอง”
ชาตพิ นั ธุ์ “ไทยอง”
Tai Yong
“กลุ่มชาติพันธุ์ไทยองนั้น เดิมมีถ่ินฐานอยู่ท่ี ..................................................................................
“เมืองยอง” ซ่ึงต้ังอยู่สุดเขตการปกครองของรัฐฉาน ศาสนาน้ันยึดม่ันในพระพุทธศาสนาแบบจารีตล้านนา
ด้านตะวันออก ห่างจากอาเภอแม่สาย จังหวดั เชยี งราย หรือ พุทธศาสนานิกายเถรวาท ทาให้ชาวไทล้ือและ
ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือราว ๑๕๗ กิโลเมตร ไทยวน ครอบคลุมทั่วท้ังบริเวณแม่น้าคงคา แม่น้าโขง
ปัจจุบันเป็นอาเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงตุง ประเทศ ตอนกลาง แม่น้ากก และแม่น้าปิงตอนบน ท้ังนี้
เมยี นมาร์” สันนิษฐานว่าเมืองยองนั้น สร้างขึ้นราว ๆ พุทธ
ศตวรรษที่ ๑๙ สมัยพระเจ้าสุนันทะ สถาปนาอานาจ
๑. ประวัติศาสตรค์ วามเปน็ มาของชาตพิ นั ธ์ุ ของไทล้ือเชียงรุ่งในเมืองยอง ในอดีตเป็นอิสระ
ปกครองตนเองมีเจ้าหลวงเมืองยองเป็นผู้ปกครอง
กลุ่มชาติพันธุ์ไทยองน้ัน เดิมมีถิ่นฐานอยู่ที่ แต่เน่ืองจากสภาพภูมิประเทศท่ีเป็นพื้น ที่ร าบ
“เมืองยอง” ซึ่งตั้งอยู่สุดเขตการปกครองของรัฐฉาน ล้อมรอบด้วยภูเขา แต่ไม่ได้ต้ังอยู่ในเส้นทางการค้าท้ัง
ด้านตะวันออก หา่ งจากอาเภอแม่สาย จงั หวดั เชียงราย ทางบกและทางน้า จึงไม่สามารถขยายตัวและพัฒนา
ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือราว ๑๕๗ กิโลเมตร เป็นเมืองที่เข้มแข็งและมั่นคงพอที่จะสถาปนาตนเอง
ปัจจุบันเป็นอาเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงตุง ประเทศ เป็นศูนย์กลางอานาจได้ ต่อมาเกิดจุดเปลี่ยนที่สาคัญ
พม่า คนในเมอื งยองมีเช้อื สายทางชาตพิ นั ธุ์ไทลื้อท่ี มา เนื่องจากการเส่ือมอานาจของประเทศพม่า ทาให้ทาง
จากเมืองเชียงรุ่ง สิบสองปันนา ประเทศสาธารณรัฐ ล้านนาได้พัฒนาฟื้นฟูหัวเมือง ในปี พ.ศ. ๒๓๔๘
ประชาชนจีน แต่เรียกตัวเองว่า “ไทเมิงยอง” ถือเป็น ซึ่งในช่วงเวลานั้นเต็มไปด้วยสงครามและการกวาด
การจาแนกตัวตนในถิ่นฐานบ้านเกิด ประเพณีและ ต้อนผู้คน โดยเฉพาะการรื้อฟื้นเมืองเชียงใหม่และ
พิธีกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ นับถือ ลาพูนในสมัยการปกครองของพระเจ้ากาวิละ ที่มีการ
๒๑๖ | กลุ่มชาตพิ ันธ์ุ ในจงั หวัดเชียงราย
กาหนดนโยบายที่นาไปสู่การอพยพชาวยองจากเมือง ข้ึน มาปก คร อ ง ห มู่บ้ าน คือ น ายอู น วิ เตก า ศ ชาติพันธุ์ “ไทยอง”
เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก และต่อมาอีก 7 คน ทั้งนี้
ยองมาจังหวัดลาพูน จังหวัดเชียงใหม่ และกระจายไป นายอูน วิเตกาศ ได้ต้ังชอื่ หมบู่ า้ นว่า บา้ นสันทางหลวง
เม่ือมีชาวไทยองย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้น
ยังจังหวัดเชียงราย และจังหวัดน่าน ตามลาดับ เรื่อย ๆ จึงได้มีการพัฒนาปรับปรุงพ้ืนท่ี จากท่ีมี
ลักษณะเป็นป่ารกร้าง ให้กลายเป็นพ้ืนท่ีอยู่อาศัย
ตามนโยบายที่ว่า “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” ครัวเรอื น และทาไร่ ทานา เม่ือมีผู้คนเพมิ่ มากขึ้นเรื่อย
ๆ จึงได้มีการสร้างวัด และสร้างโรงเรียนขึ้นมาใน
ซ่ึงในการอพยพคร้ังนี้เจ้าเมืองยองกไ็ ดอ้ พยพมาพรอ้ ม หมู่บ้าน โดยมีชื่อว่า วัดบ้านสันทางหลวง เพ่ือเป็น
สถานท่ียึดเหนี่ยวจิตใจให้แก่ชาวบ้าน และโรงเรียน
ด้วยบุตรภรรยา น้องทั้ง ๔ ญาติพี่น้อง ขุนนาง บ้านสันทางหลวงเพื่อให้ลูกหลานได้ศึกษาหาความรู้
ชาวไทยองบ้านสันทางหลวง ส่วนใหญ่ ร้อยละ 90
พระสงฆ์และไพร่พลจากเมืองยอง จานวน ๒๐,๐๐๐ ใช้ภาษาพูด คือ ภาษายอง โดยมีเช้ือชาติ ตระกูล
ดง้ั เดมิ เป็นชาวไทยอง
คน ซ่ึงถือเป็นชาวไทยองกลุ่มใหญ่ท่ีเข้ามาแผ้วถาง
ในปัจจุบันผู้นาชุมชนไทยอง บ้านสันทาง
เมืองลาพูนท่ีร้างอยู่ ต้ังบ้านเรือนตามลุ่มน้าแม่ทา หลวง ประกอบไปด้วย ผู้ใหญ่บ้าน ประธานชุมชน
คุณธรรมต้นแบบบ้านสันทางหลวง เจ้าอาวาสวัด
น้าแม่ปิง ทาให้ผู้คนท่ัวไปในแถบนั้นจึงเรียกคนที่มา สันทางหลวง และผู้อานวยการโรงเรียนไทยรัฐวิทยา
๘๖ (บ้านป่าสกั หลวง)
จากเมืองยองวา่ ชาวไทยอง
๒.๒ ระบบครอบครวั และเครือญำติ
ในคร้ังนั้นผู้คนท่ีอพยพมาจากต่างเมืองมาอยู่ กลุ่มชาติพันธ์ุไทยองบ้านสันทางหลวง ตาบล
จันจว้าใต้ อาเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย มีบ้านเรือน
ร่วมกัน จะเรียกขานคนที่มาจากอกี เมืองหนงึ่ ตามนาม อยู่ประมาณ ๑๒๘ หลังคาเรือน มีประชากรราว
๔๖๙ คน ด้วยความโดดเด่นด้านประวัติศาสตร์ และ
ของคนเมืองเดิม เช่น คนเมืองเชียงใหม่ คนเมือง วัฒนธรรมประเพณีไทยองท่ีเป็นเอกลักษณ์ ทาให้
หมู่บ้านน้ีถูกคัดเลือกให้เป็น หมู่บ้านวัฒนธรรม
ลาปาง คนเมืองแพร่ คนเมืองน่าน คนเมืองเชียงตุง สร้างสรรค์ จากกระทรวงวฒั นธรรม และปัจจบุ นั ได้รับ
การสง่ เสริมเป็นแหล่งท่องเท่ียวเชิงเกษตรกับวิถีชุมชน
เปน็ ต้น แต่สาหรับคนเมืองยองนน้ั ตอ่ มาคาวา่ เมืองได้ โดยชุมชนเป็นผูบ้ ริหารจัดการการทอ่ งเทีย่ วเอง ที่บา้ น
สั น ท า ง ห ล ว ง มี บ้ า น พั ก แ บ บ โ ฮ ม ส เ ต ย์ ไ ว้ บ ริ ก า ร
หายไป คงเหลืออยู่คาว่า คนยอง ดังน้ัน ยอง จึงมิใช่ นกั ท่องเทีย่ ว นอกจากนนั้ กย็ งั มีกิจกรรมต่าง ๆ ทแ่ี สดง
ถงึ วิถีคนยองให้นกั ท่องเท่ียวไดเ้ ข้ามาสัมผัสและเรียนรู้
เป็นเผ่าพันธ์ุ และเม่ือวิเคราะห์จากพัฒนาการ เชน่ เมนูอาหารคนยอง การฟ้อนราสไตลย์ อง เปน็ ตน้
ประวัติศาสตร์ของเมืองยองแล้ว ชาวไทยอง ก็คือ กลุ่มชาตพิ ันธุ์ ในจงั หวัดเชยี งราย | ๒๑๗
ชาวไทล้ือ น่ันเอง
๒. โครงสร้างทางสังคม
๒.๑ ผู้นำ/บุคคลสำคญั
กลุ่มชาติพันธุ์ไทยองในหมู่บ้านสันทางหลวง
ตาบลจันจว้าใต้ อาเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
เดิมเป็นที่ดินว่างเปล่า ในอดีตยังใช้เป็นเส้นทางของ
กองทัพหลวง จงึ สนั นิษฐานวา่ เคยเปน็ ท่ีตัง้ เมอื งโบราณ
ในยุคสมัยเชียงแสนจากหลักฐานที่ได้ขุดพบซากเศษ
เครือ่ งมือ เครือ่ งใช้ต่าง ๆ ทเี่ ปน็ ดนิ เผาลวดลายโบราณ
ในบริเวณวัดสนั ทางหลวง
หมูบ่ า้ นสนั ทางหลวง อดตี มผี ู้คนย้ายมาตั้งถ่ิน
ฐานอยู่บริเวณหม่บู ้านนี้ประมาณ 7 หลังคาเรอื น และ
ต่อมามีชาวไทยองอพยพมาจากต่างถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่
อพยพมาจากจงั หวัดลาพูน จากบา้ นป่างวิ้ บา้ นสนั คายี
บ้านเหมืองลึก และบ้านป่าตัน เข้ามาตั้งถ่ินฐานอยู่ใน
หมู่บ้านแห่งน้ี ในปี พ.ศ. 2468 ได้มีการแต่งต้ังผู้นา
ชาติพันธุ์ “ไทยอง” ๓. วิถชี วี ติ ความเปน็ อยู่ ผักนึ่ง เป็นต้น ซ่ึงเป็นอาหารท่ีกล่าวได้ว่าเป็น
เอกลักษณ์ของอาหารล้านนา รับประทานกับข้าว
๓.๑ ที่อยอู่ ำศัย เหนียว ส่วนอาหารเดิมของชาวเมืองยองประเทศพมา่
วิถีชีวิตของชาวไทยอง พบว่า ลักษณะท่ียังคง ที่สืบทอดต่อมาถึงปัจจุบันเป็นอาหารประเภทผักที่หา
ได้ตามฤดูกาลในท้องถ่ิน เช่น ผักกูด เตา ใช้ยาหรือ
ดาเนินกิจกรรมในวิถีชีวิตของชาวไทยอง ซ่ึงถือได้ว่า แกง เปน็ ต้น
เป็นอัตลักษณ์เฉพาะถ่ินแต่คล้ายคลึงกบั กลุ่มชาติพันธ์ุ
ไท หรอื ไต ทัง้ ไทลอื้ ไทขึน ไทยวน ไทยใหญ่ เป็นตน้
บา้ นของชาวไทยอง บ้านสันทางหลวง อ.แม่จนั อาหารของชาวไทยอง
๓.๒ กำรประกอบอำชีพ ภาพจาก http://www.forzanu.com/review/thaitravel/thai-yong.html
ส่ ว น ใ ห ญ่ ป ร ะ ก อ บ อ า ชี พ ท า น า เ ป็ น ห ลั ก
โดยทาปีละ ๒ ครั้ง และมีอาชีพเสริมอ่ืน ๆ เช่น ๔. วัฒนธรรมและประเพณี
รับเหมาก่อสร้าง, รับจ้างทั่วไป, รับราชการ, ค้าขาย
และเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น สินค้าท่ีสาคัญ คือ ข้าว ๔.๑ ศำสนำ
และผ้าทอ เช่น ผา้ ทอยกดอก, ผา้ ฝ้ายทอมือ, กลุ่มชาติพันธ์ุไทยองส่วนใหญ่จะนับถือพุทธ
ศาสนา ในรูปแบบของความเช่ือดังกล่าวได้ผสมผสาน
วิถีชีวติ ท้องทุ่งนา ชาวไทยองบ้านสนั ทางหลวง ระหว่างการนับถือผีกับความเช่ือทางพระพุทธศาสนา
รปู แบบประเพณพี ธิ กี รรมจึงกลายเป็นรูปแบบพธิ ีกรรม
ภาพจาก https://www.youtube.com/watch?v=xF6_hTr9AcU ผีและพุทธศาสนา โดยเฉพาะผีอารักษ์บ้านเมืองที่
ปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนในความเช่ือเร่ืองใจบ้าน
๓.๓ อำหำร ลักษณะเป็นเสา ๕ ตน้ มเี สาขนาดใหญอ่ ยูใ่ จกลางล้อม
กลุ่มชาติพันธุ์ไทยองนิยมอาหารประเภท ด้วยเสาขนาดเล็กทั้งส่ีมมุ หัวเสานิยมทารูปดอกบวั ตมู
น้าพริก แกง ต้ม นึ่ง ป้งิ หมก ยา่ ง ท่ที าจากพืชผักสัตว์ หรือยอดแหลม ทาจากไมแ้ ละหนิ ต่อมาในช่วงหลังเป็น
เลี้ยงในบริเวณบ้านเช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธ์ุไทยวน ปูน โดยเช่ือว่าเป็นท่ีสถิตของอารักษ์หรือผีบ้านผีเมือง
เช่น แกงแคไก่ แกงหยวกกล้วย แกงอ่อม น้าพริก คอยปกปักรักษาคนในหมู่บ้าน ฉะนั้นพิธีกรรมจึงเป็น
๒๑๘ | กลุม่ ชาตพิ นั ธุ์ ในจงั หวดั เชียงราย ตัวเช่ือมโยง และตอกย้าความมั่นคงของชุมชน
นอกเหนือจากบทบาทในการทานุบารุงพุทธศาสนา
ซึ่งเป็นหลักในการควบคุมความประพฤติของคนแล้ว
วรรณกรรมและพิธีกรรมยังมีบทบาทในการเชื่อมโยง
ความสัมพันธ์ฉันเครือญาติของคนในชุมชนและชุมชน ประเพณีปีใหม่เมือง เม่ือใกล้ถึงเดือน ชาติพันธุ์ “ไทยอง”
ใกล้เคียงซ่งึ ต้องพงึ่ พากนั ในฤดูกาลหรอื เทศกาลต่าง ๆ เมษายนของทุกปีชาวบ้านในหมู่บ้านทุกครอบครัวจะ
เตรียมการฉลองปีใหม่ดว้ ยการตระเตรียมเงิน และขา้ ว
๔.๒ พธิ ีกรรม ควำมเชือ่ ของต่าง ๆ เพ่ือทาบุญ บริโภค และแบ่งปันกันในหมู่
ประเพณีของชาวไทยองที่ยังคงมีการปฏิบัติ เครอื ญาติ ในชว่ งวนั ปใี หม่เมอื งชาวบา้ นจะถือเป็นการ
อยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างไป พบปะเยี่ยมเยียนกันระหว่างญาติ มิตร และเพ่ือนฝูง
จากเดิมมากนัก เพียงแต่ความเข้มข้นในความเชื่อถือ ด้วย เพราะถ้าไม่ใช่ช่วงวันปีใหม่ชาวบ้าน ส่วนใหญ่ก็
และความพิถีพิถันเร่ิมลดลง อันเน่ืองมาจากความ จ ะ ท า ง า น โ ด ย ไ ม่ ค่ อ ย มี เ ว ล า ไ ป พ บ ป ะ สั ง ส ร ร ค์ กั น
เปลี่ยนแปลงทางสังคมในหลากหลายรูปแบบ ดังนั้น แต่พอช่วงวันปีใหม่ทุกครอบครวั จะหยุดงานนาน ๗ –
ด้านประเพณีพธิ ีกรรม ที่ยงั คงมอี ยูไ่ ด้แก่ การปฏิบตั ิพธิ ี ๑๐ วัน หรือนานกว่าน้ัน เพ่ือไปเยี่ยมเยียนญาติมิตร
ท า ง พุ ท ธ ศ า ส ต ร์ บ น พ้ื น ฐ า น แ บ บ พ ร า ห ม ณ์ ผู้เฒ่าผู้แก่ หรือเพื่อนฝูงที่อยู่ห่างกันออกไปในหมู่บา้ น
อันประกอบด้วย ความเช่ือด้านไสยศาสตร์ การนับถอื ตาบล อาเภอ หรือจงั หวัดอ่ืน
ผี การสักการะเทวดาประจาบ้าน ประจาเมือง เทวดา
ประจา พระธาตุ ผีปู่ย่า หรือแม้กระทั่งการเรียกขวัญ ประเพณีย่ีเป็ง เป็นประเพณีสาคัญของชาว
สู่ขวั ญ ส่ง เคร าะ ห์ เป่าคาถา เป่าก ร ะ หม่อม ไทยองท่จี ดั ในวนั เพญ็ (ขน้ึ ๑๕ ค่า) เดอื นสอง ซึง่ เดอื น
การประกอบพิธีก็จะมีผู้เฒ่าผู้แก่ หรือ อาจารย์วัด สองทางจันทรคติของล้านนา จะตรงกับเดือนสิบสอง
(ปูจ่ ารย)์ เปน็ ผทู้ าพธิ ี รวมท้ังความเชอื่ เร่ืองการทานาย ของภาคกลาง ในภาษาคาเมืองของทางเหนือ “ยี่”
โดยวิญญาณของชุมชน เช่น ผีหม้อน่ึง การดูเมื่อ แปลว่า สอง และคาว่า “เป็ง” หมายถึง เพ็ญ หรือ
ดูหมอ การทรงเจ้า การบนบานศาลกล่าวต่อศาลเจ้า พระจันทร์เต็มดวง ในพงศาวดารโยนกและจามเทวมี ี
พ่อ/เจ้าแม่ ท่เี ปน็ ทเ่ี คารพนบั ถอื ในชุมชนเพอื่ ร้องขอใน บันทึกว่าคร้ังหนึ่งได้เกิดอหิวาตกโรคข้ึนในแคว้น
สง่ิ ที่ตอ้ งการ และมกี ารเซ่นไหว้เพ่อื แกบ้ นเมือ่ ได้รบั ใน หริภุญไชย ทาให้ชาวเมืองต้องอพยพไปอยู่เมือง
สิ่งทีต่ ้องการ เป็นต้น หงสาวดี นานถึง ๖ ปี จึงจะเดินทางกลับมายัง
๔.๓ ประเพณี บา้ นเมืองเดมิ ไดเ้ มอื่ เวลาเวียนมาถงึ วันท่ีจากบ้านจาก
งานประเพณีและกิจกรรมในรอบปีของชาว เมืองไป จึงได้มีการทากระถางใส่เคร่ืองสักการะ บูชา
ไทยองที่อยู่ตามชนบท แสดงถึงวิถีชีวิตและสังคม ธูปเทียน ลอยตามน้า เพ่ือให้ไปถึงญาติพนี่ ้องที่ล่วงลับ
เกษตรที่หลงเหลืออยู่ ทั้งการทานา ทาสวนลาไย ไป เรียกว่า การลอยโขมด หรือลอยไฟ ประเพณีใน
การแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณที่ผ่าน เทศกาลวันเพ็ญ เดือน ๑๒ ซง่ึ แตเ่ ดิมนน้ั พิธีสาคัญของ
ป ร ะ เ พ ณี ท า ง ศ า ส น า ก า ร ส ร ง น้ า พ ร ะ ธ า ตุ เทศกาลนี้อยู่ที่พิธีกรรมต้ังธรรมหลวงหรือฟังเทศน์
และพระพุทธรูป การตานสลากภัต ส่วนประเพณี มหาชาติชาวบ้านจะมีการประดับประดาวัดวาอาราม
ท่ีเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตในการแสดงความกตัญญูต่อ บ้านเรือน ด้วยประทีป โคมไฟ โคมระย้า ทาอุบะ
บรรพบุรุษ บุพการี ผู้ใหญ่ที่นับถือ เช่น การฟ้อนผี ดอกไม้ไปถวายวัด ทาซุ้มประตูป่าด้วยต้นกล้วย อ้อย
การรดน้าดาหัว พิธีเล้ียงบูชาใจบ้าน จัดข้ึนในช่วง ก้านมะพร้าว เตรียมข้าวปลาอาหารเป็นพิเศษ เช่น
สงกรานตป์ ระมาณวนั ท่ี ๑๖ เมษายน พิธกี รรมที่เสาใจ ห่อน่ึง แกงอ่อม แกงฮังเล ลาบ และขนมต่าง ๆ
บ้านเป็นการทาบุญอุทิศส่วนกุศล และทาให้ลูกหลาน ไปทาบุญ บางแห่งมีพิธีกวนข้าวมธุปายาสหรือบ้าง
กบั คนเฒา่ คนแกไ่ ด้พบปะกนั เรียก ข้าวพระเจ้าหลวง ถวายเป็นพุทธบูชาในตอน
กลุม่ ชาติพนั ธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย | ๒๑๙
ชาติพันธุ์ “ไทยอง” เช้ามืดของวนั เพญ็ เดอื น ๑๒ นด้ี ว้ ย จากนนั้ กจ็ ะมกี าร ๔. เครื่องสังเวยตามวัตถุประสงค์ เช่น ดิน
ทานขันข้าวหรือสารับอาหาร ไปถึงบรรพชนคนตาย หรือแปง้ ที่ป้นั เป็นรปู สตั วต์ า่ ง ๆ
ถวายอาหาร และกัณฑ์เทศน์แด่พระภิกษุสงฆ์ และมี
การฟังธรรมมหาชาติต้ังแต่เช้าถึงกลางคืน บางแห่งก็ ๕. เครื่องทานประกอบ เช่น สัตว์สาหรับ
จะมกี ารสบื ชะตาดว้ ย จะมกี ารปล่อยโคมลอย เรียกว่า ปล่อยเพอื่ สะเดาะเคราะห์ หนอ่ กลว้ ย หนอ่ อ้อย ไม้ค้า
“ว่าวฮม” หรือ “ว่าวควัน” ในช่วงพลบค่าจะมีการ ตน้ โพธิ์ เป็นตน้
เทศน์ธรรมช่ือ "อานิสงส์ผางประทีป" และชาวบ้านจะ
มีการจุดประทีสหรือประทีปโคมหูกระต่าย โคมแขวน ๖. การจัดชุดและตาแหน่งของเคร่ืองสังเวย
เป็นพุทธบูชากันทุกครวั เรือนสว่างไสว หนุ่มสาวกจ็ ะมี ตลอดถงึ การจดั วางเครื่องบชู าเมอ่ื เสรจ็ สิ้น พธิ กี รรม
การเล่นบอกไฟแข่งขันบอกไฟ และปล่อยว่าวไฟ
กนั อย่างสนุกสนาน ๗. คาโอกาสหรอื คากล่าวในการสังเวยอนั เปน็
การแสดงเจตนารมณ์ในการสงั เวย
พิธีกรรมส่งเคราะห์ การส่งหรือพิธีกรรมใน
การสงั เวยตามแบบล้านนา เมื่อมเี หตกุ ารณ์ไมด่ ีเกิดข้ึน ๘. เครื่องคานับครูของอาจารย์ (มัคนายก)
เช่น ความเจ็บป่วยที่รักษาไม่หาย ประสบเหตุ เช่น ผู้ประกอบพิธี ซึ่งมักจะประกอบด้วยดอกไม้ธูปเทียน
ไฟไหม้บ้าน หรือมีเคราะห์ร้ายต่าง ๆ บ่อยคร้ัง ซึ่งเชื่อ หมากพลู เมี่ยง บุหร่ี และเงินตามอัตรา ท้ังน้ีการจัด
กนั ว่าอาจมสี าเหตุเน่ืองจากถกู ผีหรอื อานาจอน่ื กระทา อุปกรณ์ในพิธีอาจจัดวางบนจานสังกะสี ใส่พาน
การแก้ไขอย่างหนึ่งคือ การส่งหรือการสังเวยแก่เทพ ใส่ควัก คือ กระทง ใส่สะทวง คือ กระบะบัตรพลีทา
หรือผีน้ัน ๆ โดยตรงเพ่ือจะได้พ้นจากสภาพที่เลวร้าย ด้วยกาบกล้วยหรือวางบนตะแกรงไม้ไผ่สานก็ได้
นั้น ๆ ได้ ซ่ึงพิธีส่งมีหลายชนิด เช่น ส่งขึด ส่งกิ่ว ส่งผี เมื่อทาพิธีเสร็จแล้วก็จะนากระบะไปวางตามทางแยก
ส่งเทวดา ส่งเคราะห์ส่งแถน เป็นต้น ซึ่งในพิธีกรรม หรือทางแพ่ง ซึ่งเชื่อเป็นสถานท่ีท่ีมีผีมาชุมนุมกัน
ก า ร ส่ ง จ ะ มี เ ค ร่ื อ ง ป ร ะ กอ บ พิ ธีก ร ร มแ ล ะ ค า สั ง เวย ชนิดของพิธีส่ง เช่น ส่งพญานาค, ส่งไฟไหม้หรือปูชา
แตกต่างกันไปแล้วแต่ชนิดของการส่ง โดยท่ัวไปที่ต้อง ส่งไฟไหม้, ส่งแม่เกิด, ส่งวานเกิด, ส่งโลกาวุฑฒิ,
เตรยี มมดี งั น้ี สง่ หาบ, สง่ หาบสง่ ฮาม, สง่ ฮ่า, สง่ อุบาทว์ ๘ ประการ,
สง่ เคราะห์, สง่ ขึด, ส่งก่ิว, ส่งไข้
๑. เคร่ืองแสดงความยกย่อง อนั ประกอบด้วย
ข้าวตอกดอกไม้ ธปู เทียน พิธีสืบชะตา ความเช่ือแต่โบราณว่า การเกิด
เมืองหรือการสร้างเมืองน้ัน สร้างตามฤกษ์ยามที่เป็น
๒. เครอื่ งประกอบยศ ซึง่ มี ชอ่ (ธงสามเหล่ยี ม มหามงคลตบะ เดชะ เหมือนกบั การเกิดของประชาชน
ขนาดเล็ก) และตุงตะขาบ (ธงตะขาบ) ทม่ี ีความสขุ ความเจริญ ความสุขสมหวัง และบางครั้ง
ท้ังน้ีอาจมีฉัตรด้วยก็ได้ เทียนค่าฅิง (เทียนสูงเท่ากับ ก็เส่ือมโทรมอับเฉาเศร้าหมอง นานัปการ เม่ือประสบ
ความสูงของเจ้าชะตา) สีสายหรือสายน้ามันค่าฅิง กับปัญหาเหล่าน้ีชาวไทยองไทยมีความเชื่อว่า หากได้
(ไส้ประทปี ยาวเทา่ ตวั เจา้ ชาตา) ผา้ ขาว ผ้าแดง หอ่ เงิน ทาบุญสืบชะตาจะ ช่วยให้ทุก ส่ิงทุกอ ย่าง ดีข้ึน
หอ่ ทอง ฯลฯ เหมือนเดิมหรือยิ่งกว่า จึงปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน
สืบชะตา ได้แก่การสืบชะตาการเกิด, สืบอายุ, สืบชีวิต
๓. อาหารและเครือ่ งขบเคยี วอันประกอบด้วย ให้ยืนยาวออกไปนานเท่านาน ผู้ใดปรารถนาจะมีอายุ
แกงส้ม แกงหวาน ข้าว ขนม มะพร้าว กล้วย อ้อย ยืนต้องประกอบพิธีสืบชะตาเสมอ จึงจะมีความสุข
หมาก พลู บุหร่ี การสืบชะตา แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ สืบชะตา
คน และสตั ว์ สบื ชะตาบา้ น และสืบชะตาเมือง
๒๒๐ | กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย
พิธีเรียกขวัญ หรือพิธีสู่ขวัญ เป็นความเช่ือ พิธีการข้ึนท้าวทั้งสี่ คือ การ “ข้ึน” หรือ ชาติพันธุ์ “ไทยอง”
สะท้อนการผสมผสานเร่ืองของขวัญกับพุทธศาสนา เร่ิมต้นพิธีกรรมอันเป็นมงคล โดยจะเร่ิมท่ีการบอก
และอานาจลี้ลับเหนือธรรมชาติ พธิ กี รรมลกั ษณะนี้อยู่ กล่าว “ท้าวท้ังส่ี” คือมหาเทพท้ัง ๔ พระองค์ซ่ึงเป็น
บนรากฐานความเชื่อทางวัฒนธรรมในวิถีชีวิตของคน ผู้ดูแลโลกท้ังในการสารวจดูผู้ประกอบกุศลกรรมต่าง
ไทยในทุกท้องถิ่น แต่มีการปรับเปลี่ยนไปตาม ๆ ท้ังป้องกันภัยและอานวยความสุขความเจริญแก่
วัฒนธรรมเฉพาะของท้องถ่ินน้ัน สิ่งของท่ีต้องเตรียม มนุษย์ ในทิศทั้งสี่ของศูนย์กลางของจักรวาลคือเขา
ในพิธีฮ้องขวัญ ได้แก่ เคร่ืองบายศรี (ทาจากใบตอง พระสุเมรุซ่ึงในวันข้ึนหรือแรม ๑๕ ค่า มหาเทพท้ังส่ี
และดอกไม้การทาข้ึนอยู่กับภูมิปญั ญาและวัสดุของแต่ พระองค์นจี้ ะไปตรวจตราโลกด้วยตนเอง และทรงเป็น
ละทอ้ งถนิ่ ) ไข่ตม้ ข้าวเหนยี ว กลว้ ย ใบพลู หมากเมย่ี ง หัวหน้าของเทพในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิก ซึ่งตั้งอยู่
บุหรี่ ด้ายมัดข้อมือ หรืออาจจะมีเสื้อผ้า เคร่ืองใช้ของ บนทิวเขายุคลธรอันสูงกึ่งหนึ่งของเขาพระสุเมรุ
เจ้าของขวัญ ขันต้ังครู (ดอกไม้ ธูปเทียน ค่าขึ้นครู) ทุกพระองค์มีอายุกาหนด ๕๐๐ ปีทิพย์ ท้าวทั้งส่ี
ท้ังหมดน้ีนาจัดใส่พาน หรือ ขันโตก หรือ สลุง ไว้ให้ พระองคน์ ี้ ไดแ้ ก่ ทา้ วกุเวร, ทา้ วธตรฐะ, ท้าววริ ุฬหกะ
เรียบร้อย ขั้นตอนของพิธีกรรมฮ้องขวัญ คือ ผู้ฮ้อง และทา้ ววริ ปู ปกั ขะ
ขวัญจะทาพิธี ตามฤกษ์ยามท่ีกาหนดไว้ให้เหมาะตาม
ลักษณะของขวัญ โดยเร่ิมจากเจ้าของขวัญมอบขันต้ัง ประเพณีจุดบ้องไฟ ภาษาถ่ินเรียกชื่อ
ให้กับผู้ฮ้องขวัญ หลังจากน้ันผู้ฮ้องขวัญจะกล่าวคา ประเพณีน้ีว่า “จิบอกไฟ” บอกไฟ คือ กระบอกไม้ไผ่
อัญเชิญเทวดา ตามด้วยบทเรียกขวัญ จากน้ันผู้ฮ้อง อัดดินปืนข้างในใช้ไมไ้ ผ่ยาวท้ังล าผูกเป็นหาง รอบหัว
ขวัญจะเอาน้ามนต์มาพรมให้เจ้าของขวัญ และใช้ด้าย ของบอกไฟติดกระบอกไม้ไผ่ขนาดเล็กหลายขนาด
ผูกข้อมือ พร้อมกับญาติพ่ีน้องและแขกผู้ร่วมงานเข้า ลดหลนั่ กัน ยาวประมาณ ๑ ฟุตเรยี กวา่ “โหว้” เพือ่ ให้
ร่ ว ม ใ น ก า ร ผู ก ข้ อ มื อ แ ล ะ อ ว ย พ ร ใ ห้ อ ยู่ เ ย็ น เ ป็ น สุ ข เกิดเสียงเม่ือบอกไฟขึ้นและลง การประดิษฐบ์ อกไฟแต่
มีความเจริญ พ้นจากทุกข์ภัยต่าง ๆ หลังจากเสร็จพิธี ละคร้ังใช้เวลาตั้งแต่ ๗ วัน ถึง ๑ เดือนแต่เดิม การจุด
แล้วก็จะร่วมกันรับประทานอาหาร ญาติจะนาบายศรี ไฟจะอยูใ่ นช่วงเดอื นพฤษภาคม – มิถนุ ายน คือก่อนท่ี
ไปต้ังไว้บนหวั นอนของเจา้ ของขวัญ จะมีการทานา คงจุดเพ่ือบูชาเทวดาท่ีช่ือปัชชุน
คือ เทวดาแห่งฝน เพื่อเป็นการขอฝนให้ตกต้องตาม
พธิ เี รียกขวัญ หรอื บายศรีสขู่ วัญ ฤดูกาล เช่ือว่าฝนจะตกหรือตกมากตกน้อยข้ึนอยู่กับ
เทวดาองค์นี้ ต่อมาจุดกันในช่วงต้ังแต่เดือนมีนาคม –
ภาพจาก Facebook วิถไี ทย วิถยี อง บ้านสันทางหลวง เดือนมิถุนายน ความมุ่งหมายของการจุดเดียวมีความ
เชื่อว่าจะทาให้หมู่บ้านเจริญรุ่งเรือง และมีฝนตกตาม
ฤดูกาล นยิ มจุดกนั ในเวลาพลบคา่ ถึงกลางคืน
ประเพณีทาบุญทอดผ้าป่า คือ ผ้าท่ีผู้ถวาย
นาไปวางพาดไว้บนก่ิงไม้เพื่อให้พระชักเอาไปเอง
โดยไม่กล่าวคาถวายหรือประเคนเหมือนถวายของ
ท่ัวไป ผ้าป่า เรียกดังนี้เพราะถือคติโบราณ คือสมัย
พุทธกาลผา้ หายาก ภกิ ษตุ ้องแสวงหาผ้าทเี่ ขาทง้ิ ไว้ตาม
ป่าช้าบ้าง ตามทางเดินในป่าบ้างมาทาจีวรนุ่งห่ม
กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ในจงั หวดั เชียงราย | ๒๒๑
ชาติพันธุ์ “ไทยอง” คนใจบญุ สมยั น้นั จงึ นาผ้าไปแขวนไวต้ ามตน้ ไม้ขา้ งทาง หรือชาวไทล้ือมีภาษาใช้เป็นของตนเอง และมีความ
ที่พระเดินผ่าน ทานองว่าท้ิงแล้วพระไปพบเข้าจึงหยบิ แตกตา่ งทีจ่ ัดเปน็ ภาษาหนึ่งในภาษาตระกูลไท ท้งั เร่อื ง
ไปทาจวี ร โดยถอื วา่ เป็นผ้าไม่มเี จ้าของ ผ้าชนิดนั้นเลย เสียง คา และประโยค แต่ไม่มากจนเป็นภาษาคนละ
เรียกว่า ผ้าป่า ทอดผ้าป่า คือกริยาท่ีถวายผ้าแบบน้ัน กลุ่ม จึงจัดภาษาไทล้ือ ไทยกลาง ในภาคเหนือไว้ใน
และนิยมจัดของใช้เป็นบริวารผ้าปา่ เหมือนบริวารกฐนิ กลุ่มเดียวกันภาษาไทลื้อและไทยอง มีภาษาคล้ายคลงึ
ด้วย และนิยมทากันในเดือนย่ี การทอดผ้ามี กันมาก ทั้งในเรื่องเสียง คาและประโยค จะแตกต่าง
๓ ลักษณะ คือ ๑) ผ้าป่าหางกฐิน คือ เม่ือทอดกฐิน กันในระดับท่ีเป็นภาษาย่อยของกันและกัน เช่น บิน
แล้วก็เลยทอดผ้าป่าตามไปด้วย ๒) ผ้าป่าโยง แดง ดาว ภาษาไทลื้อจะออกเสียงว่า บ๋ิน แด๋ง ด๋าว
เ ป็ น ผ้ า ป่ า เ จ้ า ภ า พ เ ดี ย ว บ้ า ง ห รื อ ห ล า ย เ จ้ า ภ า พ ภาษายองจะอ่านออกเสียง บน้ิ แดง้ ด้าว เปน็ ตน้
บ้างจัดทารวมกันหลายกอง ๓) ผ้าป่าสามัคคี เป็นการ
แจกฎีกาบอกบุญไปยังท่ีต่าง ๆ ให้ร่วมทาบุญตามแต่ ในภาษาไทยอง มักจะพบเห็นการเขียน
ศรัทธา มักจัดข้ึนเพ่ือหาทุนเพ่ือสร้างเสนาสนะในวัด ตัวอักษรตัว “ร” หรือ “ย” ในหนังสือป๊ับสาเวลาอ่าน
ปัจจุบันผ้าป่าบางครั้งก็ไม่มีการทานผ้าอาจเป็นสง่ิ ของ มักจะเป็นเสียงอักษรตัว “ฮ” เสมอ ส าหรับตัว “ย”
อื่น เช่น หนงั สือ ขา้ ว ตามแต่สะดวกหาได้ บางคร้ังอ่านคงเสียงเดิมไว้ ก็มีจะมีเป็นเสียง “ฮ”
ก็มีบ้าง เช่น รู้ เป็น ฮู้และ ร้อง เป็น ฮ้อง ฯลฯ
ประเพณีเล้ียงผีปู่ย่า ถือเป็นผีประจาตระกูล ยังมีศัพท์อีกมากมายเวลาเขียนในรปู เดมิ ตามอกั ษรเก่า
ซึง่ สืบทอดมาทางฝ่ายผู้หญงิ นอกจากลกู หลานจักต้อง และใหม่เวลาอ่านมักจะเปล่ียนเป็นเสียงอื่นได้ เช่นกัน
ใหค้ วามเคารพ โดยจดั ทาหอผีไว้ทางทศิ หวั นอนและให้ “ค” อ่านเป็นเสียง “ก” , “ด” เป็นเสียง “ล” , “ช”
ความเคารพโดยไม่กระทาส่ิงไม่ควรแล้วเมื่อถึงโอกาส เป็นเสียง “จ”, “บ” เป็นเสียง “ว” , “ก” เป็นเสียง
เช่น สงกรานต์ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน หรือวันกาหนด “อ” และ “พ” เป็นเสียง “ป” เช่น คน เปล่ียนเสียง
เลี้ยงผี (มักกาหนดกัน ในช่วงเดือน ๗-๘-๙ เหนือ) เป็น กุน และ ช้าง เปล่ียนเสียงเป็น จ่าง และ เชียงร่งุ
ก็ควรจะมีการทาพิธีอย่างสม่าเสมอตามประเพณีท่ีสืบ เปลี่ยนเสียงเป็น เจียงฮุ่ง ฯลฯ อักษรไทยอง หรือ
ทอดกันมาในแต่ละตระกูล โดยจะมีการนาเครื่อง ไทลอื้ กบั อักษรไทยวน (ลา้ นนา) ใช้ร่วมกัน บางคร้ังจะ
สักการะ เช่น ไก่ เหล้า หรือข้าวปลาอาหารอื่น ๆ สะกดเหมอื นกัน แตอ่ อกเสยี งต่างกันโดยเฉพาะอักขระ
แลว้ แต่จะมีการกาหนดกันมา ไปสงั เวยแกผ่ ปี ยู่ า่ ที่หอผี และสระ เพราะอักษรและสระของไทยองมีน้อยกว่า
เ พื่ อ ผี ปู่ ย่ า จ ะ ไ ด้ คุ้ ม ค ร อ ง ใ ห้ ลู ก ห ล า น ไ ด้ อ ยู่ ดี มี สุ ข ไทยวน แต่อักษรธรรมจารในคัมภีร์จะเป็นอักขระ
ตลอดไป ลักษณะคล้ายกัน แต่แตกต่างตรงการออกเสียง
อั ก ษ ร ไ ท ย อ ง ห รื อ ไ ท ลื้ อ มี พ ยั ญ ช น ะ ส ร ะ
๔.๔ ภำษำ และวรรณยุกต์มีลักษณะคล้ายและเหมือนชาวไทยวน
ภาษายอง หรือ ภาษาล้ือ เป็นภาษาหน่ึงใน มาก ซ่ึงเม่ือเปรียบเทียบกับภาษาไทยปัจจุบัน จะเห็น
ภาษาตร ะ กู ลไ ท ( Tai Language family) สา ข า ว่าอักษรไทยอง หรือ ไทล้ือได้รับการประยุกต์
ต ะ วั น ต ก เ ฉี ย ง ใ ต้ ( Southwestern branch) เปน็ ภาษาล้านนาในปัจจุบัน
เช่นเดียวกับภาษาไทยเหนือ หรือ คาเมือง(Northern
Thai) ภาษาไทลื้อและไทยอง ความจริงเป็นภาษาท่ีมี
ความคล้ายคลึงกันมากท้ังเร่ืองเสียง คา และประโยค
จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นภาษาเดียวกัน ชาวไทยอง
๒๒๒ | กลุ่มชาติพนั ธุ์ ในจงั หวดั เชยี งราย
๔.๕ กำรแตง่ กำย ชาติพันธุ์ “ไทยอง”
การแต่งกายของชาวไทยองในอดีต จะสวมใส่
ผ้าฝ้ายที่ท่อขึ้นเองจากด้ายธรรมชาติ การทอผ้ายกด การแต่งกายของผ้หู ญงิ ชาวไทยอง
อกของชาวยองนั้น อาศัยฝีมือ อุปกรณ์และทักษะ
พื้นฐานของการทอผา้ แบบพื้นเมือง การทอผ้ายกนนั้ ใช้ ภาพจาก Facebook วถิ ีไทย วิถยี อง บ้านสันทางหลวง
เ ท ค นิ ค ก า ร ขิ ด ( Continuous Supplementary
Weft) ซึ่งเป็นเทคนิคที่ชาวไทยองคุ้นเคยและทอสืบ ๔.๖ องค์ควำมรู้และภมู ปิ ัญญำ
ทอดกันมานาน เหมือนกับการทอลายขิดผ้าหลบ ด้านการแพทย์พ้ืนบ้าน ในชุมชนยังให้มีการ
ด้วยเทคนคิ การทอผา้ ท่ีคุ้นเคย แตป่ รบั เปลย่ี นลวดลาย ยอมรับและเช่ือถือในภูมิปัญญาพื้นถิ่นในการดูแล
และวสั ดใุ หด้ หู รหู รามากข้ึน สุขภาพ ท้ังในตัวหมอเมือง (แพทย์ แผนโบราณ หรือ
ผ้หู ญงิ ชาวไทยอง ที่ได้รับการถา่ ยทอดการทอ แพทย์พื้นบ้าน ) ซึ่งเป็นท่ีพึ่งของชุมชน ไม่ว่าจะเป็น
ผ้ายกดอกมาจากคุ้มหลวงจึงสามารถทอผ้ายกดอกได้ แพทย์ที่รักษาด้วยการใช้สมุนไพร ยาต้ม เป่าคาถา
อย่างงดงาม มีคุณภาพและสร้างช่ือเสียงจนเป็นที่ ยา่ ขาง ควากสุ่ยรวมทง้ั หมอนวดแผนโบราณ
ประจักษ์ไปทั่วประเทศ ซึ่งการแต่งกายของผู้ชาย ด้านหัตถกรรมชุมชนชาวไทยอง มีการจัก
และผหู้ ญิงไทยองนั้นมีลักษณะท่ีเปน็ เอกลกั ษณ์เฉพาะ สานไมไ้ ผ่ เปน็ ของใช้ประจาครวั เรือน เช่น การสานเข่ง
คือ การแต่งกายของผู้ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จะแต่ง แห ส่มุ ไก่ หมวก ไซดักปลา ข้อง แซะ ซ้าหวด สวิง แห
ดว้ ย ชดไต คอื จะสวมเสอ้ื แขนยาวผ่าหน้า คอกลมหรือ และต้มุ เป็นต้น นอกจากน้ยี งั มีงานแกะสลกั ไม้ ช่างป้นั
คอตั้ง สวมเตี่ยวสะดอ เคียนหัวด้วยผ้าสีอ่อน ช่างทาขลุ่ย สะล้อ ซอ ซึง รวมท้ังช่างไฟ ช่างไม้
ส่วนผู้หญิงชาวยองจะสวมเสื้อแขนยาว ป้ายตรง ช่างเฟอร์นิเจอร์ ช่างปูน ช่างตีมีด ในบางชุมชนมีงาน
ด้านหน้า เรียกว่า “เสื้อปั๊ด” ตัดเย็บด้วยผ้าฝ้าย ประดิษฐ์ดอกไม้แห้ง ทาบายศรีสู่ขวัญ กระทงใบตอง
ชาวยองนิยมสีอ่อนเช่น สขี าว สีฟา้ หรือสีชมพใู นโอกาส และดอกไม้สด สาหรับงานทอในชุมชน ได้แก่ การทอ
พิเศษจะ สว มเส้ือป๊ัดที่ตัดเย็บด้ว ยผ้าแพ ร จี น ผา้ พนื้ เมอื ง ผ้าไหมมัดหม่ี ผา้ ทอ (จ๊กดอก) รวมทงั้ การ
ในฤดูหนาวจะสวมเส้ือกามะหย่ีสีดา บุนวม เรียก ทอเสื่อ และสง่ิ ที่เปน็ งานหตั ถกรรมของชุมชน อกี อยา่ ง
“เส้ือปุก”หญิงไทยองจะเกล้าผมมวยสูง ใช้ผ้าโพก หนงึ่ คอื การทาฟกู ด้วยมอื แบบยัดนุน่
ศีรษะ เคียนหัว เวลาออกนอกบ้าน ผ้าเคียนหัวใช้ผ้า ด้านศิลปกรรม เป็นผลงานท่ีต้ังใจแสดงออก
สีออ่ น เปน็ ผ้าฝา้ ย หรอื ผ้าแพรจีน ถึงความสวยงาม ประณีต ซึ่งมีรูปแบบ แนวคิดและ
พ้ืนที่ท่ีมีความเก่ียวข้องกับอาณาจักรล้านนา ซึ่งเป็น
การแต่งกายของผชู้ ายและผู้หญงิ ชาวไทยอง ผลงานสร้างสรรค์ของชาวไทยอง ซึ่งอาจแยกออกเปน็
๓ ประเภท คือ ประเภทจิตรกรรม ประเภท
ภาพจาก Facebook วิถไี ทย วถิ ยี อง บา้ นสันทางหลวง สถาปัตยกรรม และประเภทประติมากรรม
กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ในจังหวดั เชียงราย | ๒๒๓
ชาติพันธุ์ “ไทยอง” ด้า น ศิลป ะกา รแ ส ด ง ภูมิปัญ ญ าด้าน ๕. แหลง่ อา้ งอิง
ศิลปะการแสดง ที่ยังคงมีอยู่ ได้แก่ การฟ้อนและการ
แสดงพ้ืนบ้านในชุมชน เช่น การแสดงการขับร้อง เจษฎา สอนบาลี และคณะ. ๒๕๕๖. การศึกษาอัต
ซอ ค่าว มีการฟ้อนเล็บ ฟ้อนดาบ ฟ้อนเทียน ลักษณ์ของชาวไทยอง จังหวัดลาพูน ผ่าน
และฟ้อนเล็บ การเป่าขลุ่ย ป่ี การดีดซึง การตี ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม และพิธีกรรม.
กลองยาว และกลองปู่จา การสีซอ และสะล้อ กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยราชภัฎ
เชียงราย.
การจักสาน และทอผ้า ของชาวไทยอง บ้านสันทางหลวง
ทวี สว่างปัญญางกูร. ๒๕๔๗. ตานานเมืองยอง.
ภาพจาก Facebook วิถไี ทย วิถยี อง บ้านสันทางหลวง เชียงใหม่: สถาบนั วจิ ยั สงั คม.
https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_3887089
แสว ง มาละ แซ ม. ๒ ๕ ๔ ๔ . ค น ย อ ง ย้ า ย ถิ่น .
ก รุ ง เ ท พ ม ห า น ค ร : โ ร ง พิ ม พ์
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
อาทิตยา จันทิมา. ๒๕๕๒. ความเป็นยอง: การฟ้ืนฟู
วั ฒ น ธ รรมท้ อ งถ่ิ น แ ล ะ กา รเ ป ล่ี ย น แ ป ล ง
ของอตั ลักษณ์ในภาวะสมัยใหม่. วทิ ยานพิ นธ์
ศศ.ม. (วัฒนธรรมศึกษา) เชียงราย :
มหาวิทยาลัยแมฟ่ ้าหลวง.
รีวิวเที่ยวไทย: บ้านสันทางหลวงวิถีไท -ยอ ง.
http://www.forzanu.com/review/thaitr
avel/thai-yong.html
ศูนย์เรียนรู้ชาติพันธุ์ไทในล้านนา สถาบันวิจัยสังคม
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ http://site.sri.cmu.
ac.th/~lelc/index.php/2015-11-18-16-
02-21
ศิลปะการแสดงของชาวไทยอง
ภาพจาก http://www.forzanu.com/review/thaitravel/thai-yong.html
๒๒๔ | กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย
ชาติพันธุ์ “ไทล้ือ”
ชาตพิ นั ธ์ุ “ไทลือ้ ”
Tai Lue
“กลุ่มชาติพันธุ์ไทล้ือ อดีตตั้งถ่ินฐานอยู่ท่ี ...............................................................................
เมืองอู เหนือแค้วนสิบสองปันนา ประเทศสาธารณรัฐ (บ้านริมน้าดุก) อาเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
ประชาชนจีน มีการดารงชีพท่ียากลาบาก ขัดสน จนกระท่ังมกี ารอพยพย้ายถ่ินฐานอกี คร้ังหนง่ึ มาอยู่ท่ี
เพราะมีประชากรจานวนมากและถูกรุกร่านจากกลุ่ม บริเวณบ้านใหม่ทุ่งหมด หมู่ที่ ๗ ตาบลสถาน อาเภอ
จีนฮอ่ ในปี พ.ศ. ๒๔๒๘” เชยี งของ จังหวดั เชยี งราย โดยกลุม่ ชาติพนั ธุไ์ ทลื้อกลุ่ม
ดงั กล่าว ไดก้ ระจายตวั แยกยา้ ยกนั เป็น ๓ กลุ่ม ดงั นี้
๑. ประวตั ศิ าสตร์ความเป็นมาของชาติพันธ์ุ
กลุ่มที่ ๑ อพยพไปตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณริม
กลุ่มชาติพันธุ์ไทล้ือ อดีตต้ังถิ่นฐานอยู่ท่ี ห้วยเม่ียง เรียกว่า บ้านห้วยเม็ง หมู่ท่ี ๖ ตาบลเวียง
เมืองอู เหนือแค้วนสิบสองปันนา ประเทศสาธารณรัฐ อาเภอเชียงของ จังหวัดเชยี งราย
ประชาชนจีน มีการดารงชีพที่ยากลาบาก ขัดสน
เพราะมีประชากรจานวนมากและถูกรุกร่านจากกลุ่ม ก ลุ่มที่ ๒ อ พ ยพ ย้าย ก ลับไ ปปร ะ เ ท ศ
จีนฮ่อ ในปี พ.ศ. ๒๔๒๘ ประชากรบางส่วน ได้อพยพ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว บริเวณ
ย้ า ย ถิ่ น ฐ า น จ า ก แ ห ล่ ง ท่ี อ ยู่ เ ดิ ม โ ด ย ก า ร น า ข อ ง บ้านโป่ง และบ้านซาง (ท่าฟ้า) โดยการนาของ พญา
พญาแก้ว มาพักอาศัยอยู่ที่ดอยหลักคา เขตติดต่อ จนั ตะ๊ ผดั ดี
ชายแดนระหว่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
และประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กลุ่มที่ ๓ อพยพเคลื่อนย้ายไปอยู่ท่ีบริเวณ
เป็นเวลา ๑ ปี ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๒๙ กลุ่มชาติพันธ์ุ บ้านทา่ ข้าม ตาบลมว่ งยาย ก่งิ อาเภอเวียงแก่น จังหวดั
ไทลื้อกลุ่มดังกล่าว ได้อพยพย้ายถิ่นฐานต่อมาอยู่ เชียงราย ท้งั น้ใี นปี พ.ศ. ๒๔๙๒ เริ่มมจี านวนประชาก
บรเิ วณริมแมน่ า้ โขงใกล้ ๆ กับโรงบ่มใบยาบ้านหาดไคร้ เพ่ิมมาก ขึ้น ทาให้ พ้ืน ที่ประก อบสัมมาอาชีพ
ไม่เพียงพอ พ่อกานันเสนา วงศ์ชัย อดีตกานันตาบล
ม่ว ง ยาย อ าเภอ เวี ยง แก่ น จัง หวั ดเชียง ร า ย
จึงอพยพย้ายถิ่นฐานอีกครั้ง โดยพ่อกานันเสนา
กลุ่มชาติพันธ์ุ ในจังหวดั เชียงราย | ๒๒๕
ชาติพันธุ์ “ไทล้ือ” วงศ์ชัย ได้พาลูกบ้านจานวนหนึ่งย้ายถ่ินทามาหากิน ศรีดอนชัย อาเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย มีพื้นท่ี
และมาตง้ั รกฐานอยู่ตามหัวไร่ปลายนา (บรเิ วณบ้านศรี สว่ นใหญแ่ บง่ เป็น ๒ ตอน คือ
ชัยมงคลปัจจบุ นั ) ในครั้งแรกเข้ามาอยู่เพียง ๘ หลงั คา
เรือนเท่าน้ัน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ชาวบ้าน ๑. พ้ืนท่ีราบตอนบน ประชากรส่วนใหญ่ใช้
บ้ า น ท่ า ข้ า ม แ ล ะ บ้ า น ก้ อ น ตื่ น จ า น ว น ห นึ่ ง เ ดิ น ท า ง เปน็ ที่อยอู่ าศยั
อพยพย้ายยมาสมทบและสร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณ
ทางหลวงเทิง-เชียงของ ซ่ึงบ้านลุง หมู่ที่ ๘ ตาบล ๒. พ้ืนท่ีราบลุ่มตอนล่าง พ้ืนที่ลาดเอียงสู่
สถาน อาเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายปกครองดูแล แม่น้าอิงเป็นป่าไม้ธรรมชาติ และประกอบการเกษตร
อยูใ่ นขณะน้ัน ทาไร่ ทาสวน
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ กระทรวงมหาดไทย ลกั ษณะความสมั พันธท์ างครอบครวั และเครือ
ได้ประกาศจัดต้ังเป็นหมู่บ้านศรีดอนชัย หมู่ที่ ๑๓ ญาติ เป็นระบบอาวุโส การปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ
ตาบลสถาน อาเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย มีผู้นา จะรับฟงั คาแนะนาของครอบครวั และผู้อาวุโสเป็นหลัก
ชุมชนคือ นายทองดี วงศ์ชัย เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก ครอบครัวของกลุ่มชาติพันธ์ุไทล้ือเป็นครอบครัวแบบ
ที่มาของชื่อ หมู่บ้านศรีดอนชัย มาจากสภาพภูมิ ขยาย หากมกี ารแตง่ งาน ฝ่ายชายจะยา้ ยเขา้ อย่ใู นบ้าน
ประเทศเป็นท่ีราบลุ่ม และมีต้นโพธิ์จานวนมาก ของครอบครัวฝ่ายหญิงเพื่อเป็นแรงงานแก่ครอบครัว
และในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ จึงแยกการปกครองหมู่บ้าน ฝ่ายหญิงต่อไป กลุ่มชาติพันธุ์ไทล้ือมีกลุ่มองค์กรทาง
ศรีดอนชัย เป็น ตาบลศรีดอนชัย จนถึงปัจจุบัน สังคมต่าง ๆ ได้แก่ กลุ่มเหมืองฝาย มีหน้าท่ีบริหาร
ซ่ึงแยกการปกครองออกจาก ตาบลสถาน และท่ีมา จัดการน้าเพื่อใช้สาหรับการอุปโภค บริโภค และการ
ของนามสกุล “วงศ์ชัย” มาจาก ในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ ผลิต ส่วนกลุ่มทอผ้า เป็นการรวมกลุ่มเครือญาติ
รัฐบาลได้กาหนดให้คนไทยมีนามสกุล และขณะน้ัน และเพื่อนบ้านเพื่อป่ันฝ้าย สาหรับใช้ในงานประเพณี
ชาวบ้านศรีดอนชัย สรา้ งท่พี กั อาศัยอยู่บริเวณหมู่บ้าน “แอ่วสาวหรือการลงข่วง” ซึ่งปัจจุบันเริ่มสูญหายไป
ท่าขาม ตาบลม่วงยาย อาเภอเวียงแก่น จังหวัด แล้ว ส่วนกลุ่มแม่บ้านนั้นเป็นการรวมตัวกันของ
เชียงราย และ มีผู้ใหญ่บ้านชื่อ นายชัย โดยนายชัย แม่บ้านแบบกึ่งทางการ เพ่ือช่วยเหลือในกิจกรรมต่าง
ตั้งนามสกุลว่า “วงศ์ชัย” ชาวบ้านเหล่าน้ันจึงมี ๆ เช่น งานฌาปณกิจ งานขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น
ความเห็นตรงกันใช้นามสกุล “วงศ์ชัย” เพ่ือแสดงถึง ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุ เป็นการรวมกลุ่มของผู้อาวุโส
ความเป็นเชื้อสายเดียวกัน ดังนั้นชาวบ้านทุกคนที่อยู่ ในอดีตน้ันมีบทบาทในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ
หมู่บ้านท่าขาม และ ศรีดอนชัย จึงใช้นามสกุล และสาหรับกลุ่มหมอพ้ืนบ้าน เป็นกลุ่มในระบบเครือ
“วงศ์ชยั ” เหมือนกันท้ังหมด ญาติ เพื่อนบ้าน เพ่ือรักษาความเจ็บป่วยให้คนใน
ชมุ ชน
๒. โครงสร้างทางสังคม
๓. วถิ ีชวี ิตความเป็นอยู่
๒.๑ ระบบครอบครวั และเครือญาติ
หมู่บา้ นศรีดอนชยั หมู่ท่ี ๗ อยู่ในเขตปกครอง ๓.๑ ทีอ่ ยอู่ าศัย
ของเทศบาลศรีดอนชัย เป็นหมู่บ้านหน่ึงในตาบล หมบู่ า้ นศรดี อนชัย หมทู่ ี่ ๗ ส่วนใหญ่ชาวบ้าน
จะใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ประกอบอาชีพการทา
๒๒๖ | กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย การเกษตรเป็นหลัก โดยมีพ้ืนท่ีทาการเกษตร ๕,๐๐๐
กว่าไร่ อาชีพอื่น ๆ ของชาวบ้าน ได้แก่ ทาสวน ทาไร่
ปลูกมันสาปะหลัง การรับจ้างต่าง ๆ แต่อาชีพท่ีเป็น ชาติพันธุ์ “ไทล้ือ”
เอกลักษณ์ของหมู่บ้านไทลื้อศรดี อนชัย คือ การทอผ้า
ไทล้ือ ซ่ึงสังเกตได้ว่าทุกบ้านจะมีก่ีสาหรับทอผ้า รูปแบบบ้านของชาวไทลื้อ
เน่ืองมาจากชาวไทล้ือน้ันนิยมทอผ้าเพ่ือสวมใส่เอง
ต่อมาจึงเกิดการรวมกลุ่มนาเอกลักษณ์การทอผ้ามา ๓.๒ การประกอบอาชพี
ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ออ กจ า ห น่า ย แก่ บุ ค ค ลท่ัวไ ป ก ลุ่ ม ช า ติ พั น ธ์ุ ไ ท ลื้ อ ป ร ะ ก อ บ อ า ชี พ
เกิดการสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน จนทาให้ชุมชนไท เกษตรกรรมเป็นหลัก มีการทานา ทาไร่ ทาสวน
ลื้อมีชอื่ เสยี งในการทอผ้าไทลอื้ จนถงึ ปัจจุบนั และเล้ียงสัตว์ เพื่อการบริโภค ท้ังนี้อาศัยแรงงานจาก
ค ว า ม สั ม พั น ธ์ แ บ บ เ ค รือ ญ า ติ แล ะ เพื่อ น บ้าน
ชุมชน ไ ทลื้อศรีดอน ชัย ปร ะ ก อบด้วย หรือที่เรียกว่า ลงแขก สาหรับการทาไร่ของชาวไทล้ือ
๔ ห มู่ บ้ า น คื อ บ้ า น ศ รี ชั ย ม ง ค ล ห มู่ ที่ ๑ ๒ , เป็นระบบการผลิตท่ีควบคู่กบั การทานา โดยการทาไร่
บ้านศรีมงคล หมู่ท่ี ๑๔, บ้านศรีดอนชัย หมู่ท่ี ๑๕ ของไทลื้อนน้นั มีการเพาะปลูกท่ีหลากหลาย เช่น แตง
และบ้านศรีดอนชัย หมู่ที่ ๗ โดยหมู่ที่ ๗ เป็นหมู่บ้าน ฟัก ข้าวสาลี งา ฝ้าย ส่วนการทานาข้าวมีหลายสาย
หนึ่งของชุมชนไทลื้อท่ีมีการวางผังหมู่บ้านไว้อย่าง พันธ์ุเช่นกัน ได้แก่ ข้าวแพร่ขาว ข้าวแพร่แดง ข้าวซิม
สวยงาม เป็นระเบียบเรยี บรอ้ ย สะอาดสะอา้ น มีแม่น้า ขา้ วแกน่ ฝ้าย ฯลฯ นอกจากนยี้ ังมีการปลกู พืชสมุนไพร
อิงที่เป็นแม่น้าสายหลักสสาหรับใช้ในการเกษตรของ อีกหลายชนิดเช่นกัน การเพาะปลูกข้าวจะเป็นการ
หมู่บ้านและเป็นแหล่งสาหรับอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้า เพาะปลูกแบบด้ังเดิม แต่เร่ิมมีการเปล่ียนแปลงในปี
ด้านกิจกรรมของหมู่บ้านนั้นมีกิจกรรมหลายอย่าง พ.ศ. ๒๕๑๘ เมื่อมีการคมนาคมสะดวกมากขึ้น
เช่น กิจกรรมการทอผ้าไทล้ือของครัวเรือน, กิจกรรม มีการส่งเสริมการปลูกพืชพาณิชย์จากรัฐบาล ส่งผลให้
แปรรูปผลิตภัณฑ์จากผ้าทอ, กิจกรรมการแสดงของ ชาวบ้านบางส่วนหันไปปลูกข้าวโพดแทนการปลูกขา้ ว
ก ลุ่ ม เ ย า ว ช น สื บ ส า น ป ร ะ เ พ ณี วั ฒ น ธ ร ร ม ไ ท ลื้ อ , และมีการขยายพื้นที่ทาไร่ข้าวโพดมากขึ้น มีการใช้
กิจกรรมทาปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพ, กิจกรรมจักสาน แรงงานจากควายเป็นหลักในการเพาะปลูก ส่วนการ
ผสู้ งู อายุ เปน็ ตน้ หวา่ นกลา้ ถอนตน้ กล้า และนาไปปลูกในทีน่ าเป็นการ
กล่มุ ชาตพิ ันธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย | ๒๒๗
ชาติพันธุ์ “ไทล้ือ” ใช้แรงงานจากการเอามื้อเอาวันตามระบบเครือญาติ นิดหน่อย ตามด้วยรสเค็มนิดหน่อย และอีกเมนูหน่ึงท่ี
ชาวไทล้ือนิยมรับประทานท่ัวไปคือ “จอผักกาด” โดย
ตลอดช่วงการปลกู ข้าว จะมกี ารบอกกลา่ วต่อเจา้ ท่ีเจ้า จอผักกาดแบบไทล้ือโบราณน้ันจะใช้ขิงต้มน้าและใส่
เกลือจนน้าเดือด แล้วเติมผักกาดพ้ืนเมืองปรุงรสแล้ว
ทาง เช่น ในช่วงเริ่มต้นการเพาะปลูกจะมีพิธีแฮก จงึ พรอ้ มเสิร์ฟ
ใช้ข้าวเหนียวป้ัน กล้วย อ้อย บอกกล่าวต่อแม่ธรณี อาหารชาวไทลือ้
มีการสานตะเหลวไม้ไผ่ มีกรวยใบตองใส่ดอกไม้ธูป ๔. วัฒนธรรมและประเพณี
เทียนไปปักกับต้นเอี้ยงหมายนา เป็นสัญลักษณ์ของ ๔.๑ ศาสนา
กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อศรีดอนชัย นับถือศาสนา
ความอุดมสมบูรณ์ ซ่ึงในปัจจุบันรูปแบบการทานาน้นั พุทธนิกายเถรวาทโดยประยุกต์เข้ากับวัฒนธรรม
ตนเอง เช่น การนับถือผี ข้อห้ามส้าหรับแขก หรือ
เปลี่ยนแปลงไปมีการเคร่ืองยนต์ เครื่องจัก รถไถแทน บุคคลที่ไม่ได้นบั ถือบรรพบุรุษเดียวกนั คือ ห้ามบุคคล
ที่นับถือผีต่างกันหรือแขกท่ีมาเยี่ยมเข้าห้องนอกของ
ควาย และปรบั เปล่ียนระบบการผลิตเพ่ืออานวยความ เจ้าบา้ นโดยเดด็ ขาด เพราะถือวา่ หอ้ งนอนของเจ้าบ้าน
นั้นเปน็ สถานทสี่ ถติ ของผีครูและผเี รือน
สะดวกต่อการเพาะปลูกมากขึ้น ระบบน้าเหมืองฝาย วัฒนธรรมของชาวไทล้ือน้ันเก่ียวเน่ืองกับ
พุ ท ธ ศ า ส น า อ ย่ า ง ม า ก ซึ่ ง ค ล้ า ย กั บ ท า ง ล้ า น น า
สาหรับการเกษตรน้ัน ชาวไทล้ือมีการทาเหมืองฝาย โดยแสดงออกให้เห็นรูปของ สถาปัตยกรรม วัดวา
อาราม วรรณกรรม ชาดก คมั ภรี ์ใบลาน และใช้วดั เป็น
มีแกฝ่ ายเป็นคนดแู ลรบั ผดิ ชอบเหมอื งฝาย มรี ะบบการ ศูนย์กลางของชุมชนและเป็นแหล่งสะสมวรรณกรรม
มากมาย และมีวรรณกรรมร่วมกับทางล้านนาจ้านวน
บริหารจัดการน้าเหมืองฝายโดยเม่ือใกล้ช่วงฤดูทานา มาก เช่น ลังกาสิบโห โบระวง จ้าปาส่ีต้น หุงผาค้า
(หงส์ผาทองค้า) เจ้าสุธน เป็นต้น อย่างไรกต็ าม ความ
จะมีการรวมกลุ่มประชุมสมาชิกผู้ใช้น้าเพ่ือช่วยกัน เช่ือเกี่ยวกับพระอุปคุตของชาวไทล้ือนั้นค่อนข้าง
โดดเดน่ อีกด้วย
ดูแลเหมืองฝาย จากนั้นจะมีการทาพิธีเล้ียงผีฝายโดย
ปจู่ ารย์หรือข้าวจ้าเพื่อขอให้มนี ้าเพียงพอ เมอ่ื ถงึ ฤดูทา
นาจะมีการจัดสรรน้าให้แก่กลุ่มสมาชิกผู้ใช้น้า โดยมี
ระบบการวดั ระดบั นา้ เพ่ือให้เกิดความเป็นธรรมซ่ึงเป็น
กลไกในการควบคุมและจัดสรรทรัพยากรน้าในชุมชน
ปั จ จุ บั น มี ก า ร ท า ฝ า ย จ า ก ค อ น ก รี ต ส่ ง ผ ล ใ ห้
ความสัมพันธ์ทางสังคมในกลุ่มผู้ใช้น้าเปล่ียนแปลงไป
และเกิดปัญหาตะกอนทับถมจากฝายคอนกรีตจึง
จาเป็นต้องมีระบบการดูแลและบารุงรักษาระบบน้า
เหมอื งฝายต่อมา
๓.๓ อาหาร
“อาหารไทลื้อ” เป็นเสนห่ แ์ ละอตั ลกั ษณ์อย่าง
หนึ่งของชาวไทล้ือ อาหารไทล้ือนั้นคล้ายกับอาหาร
ของทางภาคเหนือของไทย เช่น น้าพริกน้าปู, น้าพริก
ถ่ัวเน่า, หนอนรถด่วน, ส่าจิ้น, ลาบ, แกงอ่อม, จิ้นส้ม
หนัง, แกงหน่อไม้, หลามบอน, หลามปลากระบอก,
ปลาอบสมุนไพร และอ่ืน ๆ เป็นต้น นอกจากน้ียังมี
อาหาร “ลูกอ๊อดเขียดคั่วไทลื้อโบราณ” เป็นเมนูหา
รับประทานยาก โดยเป็นการปรุงแบบไทล้ือโบราณ
ซ่ึงจะต้าพริกแห้ง, กระเทียม, หอม และ เกลือให้เข้า
กัน จากน้นั นา้ ไปค่ัวให้มกี ลิน่ หอม แล้วใสล่ กู อ๊อดลงไป
คั่วให้สุกจนแห้ง ปรุงรสด้วยมะนาวให้มีรสเปรี้ยว
๒๒๘ | กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย
๔.๒ พธิ กี รรม ความเชื่อ พิธกี รรมสืบชะตา ชาติพันธุ์ “ไทล้ือ”
พิธีกรรมแห่พระอุปคุต การแห่พระอุปคุต การสืบชะตาเป็นจารีตประเพณีของหมู่บ้าน
มักจะมีขึ้นก่อนพิธีการส้าคัญ เช่น หากจะมีงานระดับ ไทล้ือและชาวล้านนาในภาคเหนือ มีวัตถุประสงค์
เพื่อให้เป็นศิริมงคล และขับไล่สิ่งช่ัวร้ายที่เป็นเสนียด
ชุมชน เช่น “ตานหลวง” หรืองานฉลองวิหาร ศาลา จัญไรให้ออกไปจากบุคคลหรือสถานที่ พิธีสืบชะตา
กฎุ ิ ก้าแพงวัด ฯลฯ ชาวไทลื้อจะมีการแห่อญั เชิญพระ เป็นประเพณีท่ีได้รับอิทธิพลจากธรรมเนียมของ
พราหมณ์ ซ่ึงได้นามาผสมผสานกับพิธีกรรมของพุทธ
อุปคุตเพื่อมาช่วยห้ามมาร ช่วยรักษางานไม่ให้มาร ศาสนาไดอ้ ยา่ งกลมกลนื สืบชะตาในหมบู่ า้ นไทลอื้ มี ๒
ท้ังหลาย หรือส่ิงช่ัวร้ายทั้งหลายมารบกวน ลักษณะ ประเภท คือ สบื ชะตาคนและสืบชะตาหมู่บา้ น
อุปคุตเป็นหินแกะสลัก หรือบางวัดเป็นหินลูกกลม ๆ พธิ ีสืบชะตาคน จะจดั ในโอกาสต่าง ๆ กัน เชน่
ข้ึนบ้านใหม่ ภายหลังจากการเจ็บป่วย หรือทาให้
ไม่ได้แกะสลัก โอกาสทีห่ มอดูทานายทายทักวา่ ดวงชะตาไม่ดี บางครัง้
ตามต้านานอุปคุต เล่าว่า ในสมัยพุทธกาลมี ก็ทาเพ่ือสะเดาะเคราะห์ ภายหลังจากปะสบเคราะห์
กรรม เม่ือสืบชะตาแล้วเชื่อว่าจะช่วยเสริมสร้างดวง
พระภิกษุรูปหน่ึงท่ียังไม่ส้าเร็จอรหันต์ แต่ใกล้จะหมด ชะตาใหด้ ขี นึ้ อีกท้งั เปน็ การบารงุ ขวัญและกาลังใจของ
กิเลสอาสวท้ังปวง ขณะจ้าวัดอยู่น้าอสุจิก็ไหลโดยไม่ ผู้ท่ีประสบจากเคราะห์กรรมหรือผู้เจ็บปว่ ย ใหก้ ลับคืน
ร้ตู ัว พระภิกษุนนั้ กน็ า้ ผา้ สบงไปซกั ทแี่ มน่ ้า ปลาซิวว่าย สู่สภาพปกติ สถานที่ประกอบพิธีใช้บริเวณบ้านของผู้
เข้าในพิธีสืบชะตา โดยใช้ห้องโถง ห้องรับแขก ลาน
น้ามาบริเวณน้ันพอดี จึงกินน้าอสุจิพระภิกษุรูปนั้น บ้าน หรอื บริเวณบันได สาหรบั ส่ิงของเคร่ืองใช้ในพิธีมี
ป ล า ซิ ว เ กิ ด ตั้ ง ท้ อ ง แ ต่ เ ป็ น ท้ อ ง ท่ี ไ ม่ ไ ช่ ป ล า ไม้ง่ามขนาดเล็กนามามัดรวมกนั มีจานวนมากกวา่ อายุ
ผู้เข้าพิธีสืบชะตา ๑ อัน นอกจากน้ีมีกระบอกข้าว
กลับกลายเป็นหิน บรรดาปลาทั้งหลายในแม่น้าจึงได้ กระบอกทราย กระบอกน้า สะพานลวดเงิน สะพาน
ต้ังชื่อว่า “อุปคุต” ต้ังแต่น้ันมาอุปคุตก็เป็นใหญ่ใน ลวดทอง เบ้ียแถว (ใช้เปลือกหอยแทน) หมากแถว
แม่นา้ โดยท่ไี มม่ สี ิ่งใดทีจ่ ะไปรบกวนได้ มะพรา้ วอ่อน กล้วย ออ้ ย หมอน เสื่อ ดอกไม้ ธูปเทยี น
และมีเทียนชัยเล่มยาว ๑ เล่ม การจัดสถานที่ใช้ไม้ต้ัง
การแห่อุปคุตจะเริ่มข้ึนก่อนงานฉลอง ๑ วัน เป็นกระโจมสามเหลี่ยม ตรงกลางเป็นท่ีว่างสาหรับส่ง
โดยท่ีกรรมการน้าลูกหิน หรืออุปคุตไปท้ิงไว้ในน้าแลว้ สะตวงและส่ิงของเครื่องใช้ในพิธี จัดที่ว่างใกล้ๆ
กระโจมให้เป็นท่ีนั่งสาหรับผู้เข้าไปรับการสืบชะตา
ท้าเครื่องหมายไว้เป็นที่เรียบร้อย ขบวนแห่เชิญอุปคุต แล้ววนด้ายสายสิญจน์ ๓ รอบ โยงกับเสา กระโจมทัง้
ซ่ึงประกอบด้วย ฆ้อง กลอง ชาวบ้านจ้านวนหน่ึงและ สามขา แล้วนาไปพันรอบพระพุทธรูปและพระที่สวด
พระอีก ๔ รูปแท่นส้าหรับใส่อุปคุตเป็นลักษณะคร่ึง ทาพิธี โดยปกติการสบื ชะตาคนในภาคเหนือโดยทั่วไป
ใช้พระสงฆ์ประกอบพิธี ๙ รูป แต่ที่หมู่บ้านไทลื้อใช้
วงกลม ผ่ากลางยาวประมาณ ๒ ฟุต มีคานไม้ไผ่ พระเพียง ๑ รูป สาหรับการท่องคาถาและบทสวดจบ
๒ เล่ม และมีคน ๒ คน ส้าหรับหาม เมื่อไปถึงยังท่ี แล้วใช้ด้ายสายสิญจน์ผูกข้อมือผู้ป่วยเป็นเสร็จพิธี
หมายแล้วก็จะมีคนอาสาประมาณ ๔ - ๕ คนเพ่ือลง กล่มุ ชาตพิ ันธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย | ๒๒๙
ค้นหา ลักษณะการหาคล้ายกับการจับปลา อาจจะมี
ลูกเล่นเข้าประกอบด้วย ท้าให้เกิดความสนุกสนาน
เ ม่ื อ พ บ แ ล้ ว ก็ จ ะ จั บ พ ร้ อ ม กั น แ ล้ ว โ ห่ ร้ อ ง อ ย่ า ง
สนุกสนาน แล้วน้าข้ึนมาบนฝ่ัง พระจะให้ศีลและสวด
ชัยมลคลคาถาเสรจ็ แล้วกน็ า้ อุปคุตขึน้ แทน่ แห่นา้ ไปยัง
บริเวณงาน น้าไปต้ังไว้ในสถานท่ีเหมาะสม เพ่ือเป็น
ประธานรักษาความสงบเรียบร้อยของงาน เม่ือเสร็จ
งานขบวนแห่กจ็ ะแหก่ ลับไปท่ีเดิม เป็นเสร็จพธิ ี
จะเห็นว่าการแห่อุปคุตท้าเพ่ือเป็นการสร้าง
ขวัญและก้าลังใจในการจัดงาน เช่ือว่าเม่ือเชิญอุปคุต
มาเปน็ ประธานรักษาความสงบเรยี บรอ้ ยแลว้ จะไมม่ ีส่ิง
ชวั่ ร้ายหรือมารรบกวนตลอดงาน
ชาติพันธุ์ “ไทล้ือ” ส่วนการสืบชะตาคนพร้อมกับข้ึนเรือนใหม่ ใช้พระ ผีเจ้าเมือง ท้าหน้าท่ีดูแลปกปักรักษาบ้าน
๕ รูปข้ึนไป เพ่อื สวดพระปรติ สวดชยนั โต ใหศ้ ลี ให้พร
ฟงั เทศน์สงั คหะ และเทศน์สืบชะตา ตัวแทนท่ีเขา้ ไปนั่ง เมือง โดยจะมีการบวงสรวงด้วยวัว ควาย หมู เป็ด ไก่
ในสายสิญจน์คือผู้นาครอบครัวหรือผู้อาวุโสสูงสุดใน ข้อห้ามคือ ห้ามผู้หญิงเข้าร่วมเขตบวงสรวงน้ีโดย
ครอบครวั เพอ่ื เป็นศิริมงคลแก่บ้านและครอบครวั เดด็ ขาด
พิธี สืบ ชะ ตาบ้าน ก าร สืบชะ ตาบ้า น มี ผีเรือน มีทั้งผีเรือนฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่
จุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเป็นศิริมงคลให้แก่หมู่บ้าน การสืบผีน้ันผู้หญิงจะท้าหน้าที่สืบผีเรือน คือต้องท้า
โดยจะประกอบพิธีท่ีหอเสื้อบ้านหรือศาลากลางบ้าน
อั น เ ป็ น ศู น ย์ ร ว ม ใ น ก า ร ป ร ะ ก อ บ พิ ธี ข อ ง ห มู่ บ้ า น หน้าที่ผีเซ่นไหว้ไม่ให้ขาด การบวงสรวงผีเรือนจะท้า
ก่อนถึงวันประกอบพิธีชาวบ้านจะช่วยกันประดับ หลังจากบวงสรวงผีเจ้าเมือง การบวงสรวงด้วยไก่สีดา้
ตกแต่งหอเสื้อบ้าน หรือศาลากลางบ้านให้สวยงาม และไขไ่ ก่ ฝา้ ย เทยี นเหลือง หรือข้ีผ้ึงโดยผู้หญิงจะเป็น
ทาความสะอาดบริเวณรอบ ๆ แล้วขัดราชวัตร ปกั ฉตั ร
และธงทิว ใช้ต้นกล้วย ต้นอ้อยประดับโดยรอบ วงด้าย คนกระท้า
สายสิญจน์รอบบริเวณพิธี ทาแท่นบูชาท้าวทั้งสี่และ ผีเตาไฟและผีหม้อน่ึง มีหน้าท่ีดูแลรักษา
เทพารักษ์ในบริเวณน้ันมีสิ่งของท่ีนามาประกอบพิธี
ได้แก่ ข้า พริกแห้ง เกลือ ขนม ข้ามต้ม ดอกไม้ ธูป บ้านเรือนไม่ใหเ้ กดิ ไฟไหม้และอาหารเป็นพิษ อันจะทา้
เทียน หมาก พลู บุหรี่ เมี่ยง ซ่ึงได้มาจากการบริจาค ให้เกิดโรคภัยตา่ ง ๆ นอกจากน้ียงั มหี น้าท่ีตรวจตราว่า
ของชาวบ้าน ในวันประกอบพิธีจะมีการทาบุญ เกิดส่ิงร้ายอันใดข้ึนกับบุคคลในครอบครัวและผู้อื่น
ตักบาตรในตอนเชา้ ในบรเิ วณพิธี หลังจากนนั้ พระสงฆ์
สวดชัยมงคลคาถา และสวดพระปริต เทศนาธรรมใบ กล่าวคือเมื่อมีคนไม่สบายในบ้านเรือน จะใช้ข้าว
ลานเจด็ คัมภีร์ และเทศนาธรรมสืบชะตา เพอ่ื ขบั ไล่สิ่ง เ ห นี ย ว จ้ า ท้ า พิ ธี เ สี่ ย ง ท า ย ห า ส า เ ห ตุ จ า ก ห ม้ อ น่ึ ง
ชั่วร้ายและเสนียดจัญไร หรือส่ิงอัปมงคลทั้งหลายให้
ออกไปจากหม่บู า้ น เมอื่ จบพธิ ีแลว้ ก็จะปะพรมน้ามนต์ การทรงผีหม้อนึ่ง ผู้ท้าหน้าท่ีจะต้องเป็นผู้หญิงเท่าน้นั
แก่ผู้มาร่วมพิธีทุกคนกาหนดวันประกอบพิธีสืบชะตา และจะต้องสืบทางสายเลือด การทรงน้ันจะน้าน้าเต้า
ข อ ง ห มู่ บ้ า น ไ ท ล้ื อ จ ะ ท า ห ลั ง ส ง ก ร า น ต์ ข อ ง ทุ ก ปี และไหข้าวมาผูกกับไม้คานให้เป็นรูปคน เขียนหูเขียน
ประเพณีสืบชะตาบ้านเป็นการรวมน้าใจของชาวบ้าน
ให้มีความสามัคคี โดยการกิจกรรมทาบุญร่วมกัน ตา จมูกใส่เส้ือผา้ แลว้ นา้ ขา้ วสารใสก่ ระดง้
เป็นการสร้างขวัญและกาลังใจให้แก่คนในหมบู่ า้ น และ ผีก๊ะผีห่า คือผีไม่มีญาติ หรือสัมภเวสีต่าง ๆ
สื บ ท อ ด ม ร ด ก เ กี่ ย ว กั บ ป ร ะ เ พ ณี ใ ห้ แ ก่ ลู ก ห ล า น
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า การประกอบพิธีในระยะหลัง ๆ ที่คอยมารังควานท้ารา้ ยชาวบ้าน เม่ือเจ็บป่วยหมอจะ
ผู้เข้าร่วมกิจกรรมมักจะเป็นผู้สูงอายุ ส่วนคนรุ่นหลัง ท้าพิธีเส่ียงทายและจะให้น้าของไปเซ่นไหว้ ตามผล
มักจะไมใ่ หค้ วามสนใจมากนกั เสยี่ งทายออกมา
นอกจากน้ีชาวไทล้ือยังมีความเชื่อและนับถือ ผีครู คือผีครูบาอาจารย์ ซึ่งมีหน้าที่ปกปัก
ผี อันไดแ้ ก่ รกั ษาศษิ ย์ ผ้เู รยี นคาถาเวทมนต์ต่าง ๆ
๒๓๐ | กลุ่มชาตพิ ันธ์ุ ในจงั หวัดเชยี งราย ระบบความเชื่อและศาสนาด่ังเดิมของชาว
ไทล้ือ มีพิธีไหว้ผีเรือน ผีตระกูล พิธีบูชาย่าขวัญข้าว
พิธไี หวใ้ จ บ้าน-ใจเมอื ง พธิ บี วงสรวงเส้ือบา้ น เส้อื เมือง
พิธีบายศรีสู่ขวัญ พิธีสืบชะตา นอกจากนี้ไทลื้อบ้าน
ศรีดอนชัย ยังนับถือไตเฮือนขาม ไตเฮือนน้าห้วย
ไตเฮอื นนาย ไตเฮอื นเถื่อน และไตเฮอื นกลาง ซง่ึ แตล่ ะ
ไตเฮือนมีความหมายชวนให้ค้นหาและบ่งบอกให้เห็น
ว่าคนไทลื้อมีความผูกพันและคติความเชื่อท่ีแนบแนน่
กับผีบ้านผีเรือนซึ่งเป็นหลักยดื เหนี่ยวจิตใจใหอ้ ยูอ่ ยา่ ง
ย้าเกรงตอ่ ธรรมชาติ และเมือ่ มีการล่วงล้าก้าเกินท้าให้
ผบี รรพบรุ ุษกจ็ ะมีพิธถี อื กรรม (เขา้ กรรม) ปลี ะ ๓ คร้งั
ไดแ้ ก่ กรรมปลาในเดอื นย่ี คือผู้ชายในหม่บู ้านจะไปหา
ปลาในช่วงเช้าแล้วนา้ มาท้าอาหารในชว่ งบ่ายเสร็จแล้ว
จะนา้ ไปถวายเจ้าพอ่ พญาค้า กรรมหมู โดยจะมีการฆ่า
หมูเพื่อท้าอาหารถวายเจ้าพ่อพญาค้า และหมูนั้น 15 ค่า เดือน 11 ของทุกปี เมื่อทาพิธีวันออกพรรษา ชาติพันธุ์ “ไทล้ือ”
จะต้องเป็นหมดู า้ ปลอด และจะทา้ ๒ ครั้งต่อปี แล้วพระภิกษุสงฆ์สามารถจาริกไปในสถานท่ีต่าง ๆ
หรอื ค้างคืนทอ่ี ่นื ไดโ้ ดยไม่ผดิ พระพทุ ธบญั ญัติ
พิธกี รรม ความเชอ่ื
จุลกฐิน เป็นกุศลแรง เพราะเป็นกาลทาน
๔.๓ ประเพณี ทาได้ปีละครัง จะจัดขึนหลังช่วงออกพรรษา ชาวบ้าน
เขา้ พรรษา ในช่วงเชา้ ของเทศกาลงานบุญวัน จะพร้อมใจกันร่วมแรงร่วมใจทอผ้ากฐิน โดยเริ่มตังแต่
เข้าพรรษา ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันออกไปทาบุญตัก เกบ็ ฝ้าย กรอฝ้ายเป็นเส้น นาเสน้ ฝ้ายไปย้อมสี แลว้ นา
บาตรฟังเทศน์ท่ีวัด จะนาเคร่ืองไทยทาน ผา้ อาบนาฝน มาทอ และตัดเย็บเป็นผ้าไตรจีวร โดยทุกขันตอน
เทียนพรรษามาถวาย พอถึงช่วงค่าชาวบา้ นก็จะพากนั จะต้องทาให้เสร็จภายในวันเดียว จึงเป็นการทาบุญที่
ออกมาเวยี นเทียนรอบพระอุโบสถ ซึ่งถอื เปน็ ประเพณี ย่ิงใหญ่ และต้องใช้กาลังคนจานวนมากในการช่วยกัน
สาคัญท่ีสืบทอดมาตังแต่โบราณกาล โดยพระภิกษุ ทาผ้ากฐิน เพื่อท่ีจะจะถวาย ไตรจีวร พร้อมทังเคร่ือง
จะต้องอยู่ประจาท่ีตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน คือ บริขารอื่น ๆ แก่พระภิกษุสงฆ์ มีการละเล่นมหรสพ
เรม่ิ ตังแตว่ ันแรม 1 คา่ เดือน 8 ของทุกปี ครึกครืนสนุกสนาน ญาติพ่ีน้องและมิตรสหายกม็ ักจะ
นอกเหนือจากการทาบุญตักบาตรและการ มาร่วมอนโุ มทนา
เวียนเทียนแล้ว การถวายเทียนเข้าพรรษาก็เป็นสิ่ง
สาคัญ จุดประสงค์เพื่อให้พระสงฆ์ได้ใช้จุด ในช่วง ตานก๋วยสลาก เป็นประเพณีที่จัดขึน
เข้าพรรษาเท่านัน ในช่วงเช้าของวันเข้าพรรษา เพ่ืออุทิศส่วนกุศลไปให้คนที่ล่วงลับไปแล้ว จะจัดช่วง
ชาวบา้ นจะไปทาบญุ อุทิศส่วนกุศลให้กบั ญาติทล่ี ่วงลับ เดือน 10 ถึงเดือน 11 ประเพณีนีกิจกรรมที่ทาคือ
หรือใหก้ บั แม่พระธรณี เจ้าทีเ่ จ้าดิน เรียกว่า ตานขัน แต่ละหมู่บ้านจะทาก๋วยสลาก ในก๋วยสลากจะมีข้าว
ขา้ วขนั นา้ เปน็ ประเพณีหนึง่ ของคนในภาคเหนือที่สืบ ปลาอาหารแห้ง พร้อมเคร่ืองไทยทานและจตุปัจจัย
ทอดกันมาเป็นเวลานาน การตานขันข้าวขันนา คือ เพ่ือนาไปถวายที่วัด โดยท่ีวัดก็จะมีพระภิกษุที่นิมนต์
การทาบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ท่ีเสียชีวิต ช่วยให้ มาจากหลายทอ้ งถ่นิ แล้วจะมกี ารจบั ฉลากว่าใครจะได้
วญิ ญาณมอี าหารกิน และมีส่ิงของเครอ่ื งใช้ไม่อดอยาก ถวายก๋วยสลากแด่พระภิกษุองค์ใด เวลาท่ีจัดหมู่บ้าน
หรือเป็นการทาบุญล่วงหน้าให้กับตนเอง เพ่ือให้มีกิน ไหนหมู่บ้านนันก็จะต้องเป็นเจ้าภาพเลียงข้าวปลา
มีใช้ มีความเปน็ อยูส่ ุขสบายในชาติหนา้ อาหารแก่มิตรสหายต่างบ้านต่างอาเภอ ที่จะมาร่วม
ออกพรรษา เม่ือเทศกาลเข้าพรรษาได้ผ่าน ทาบุญด้วย มาในระยะหลังชาวบ้าน ได้วิเคราะห์ว่า
พน้ ไปถึง 3 เดือน กจ็ ะเป็นชว่ งเวลาของวนั ออกพรรษา เป็นที่สินเปลืองมาก จึงปรับเป็นการจัดทาขึน
ซ่ึงถือเป็นการสินสุดระยะการจาพรรษา หรือออกจาก ครอบครัว เป็นก๋วยสลากเล็ก ๆ แล้วนาไปถวายท่ีวัด
การอยู่ประจาที่วัด ในช่วงฤดูฝนตลอด 3 เดือนของ ไม่ต้องจัดเอิกเกริกเหมือนเมื่อก่อน จุดนีวิเคราะห์ดู
พระภิกษุสงฆ์ โดยวันออกพรรษา ตรงกับวันขึน แล้ว การจัดในสมัยก่อนหน้าจะเป็นโอกาสอันดีของ
การได้พบปะกับคนต่างพืนท่ี เป็นการสร้างเครือข่าย
ท า ง บุ ญ กุ ศ ล แ ต่ ก็ เ ป็ น โ อ ก า ส ข อ ง ก า ร ส ร้ า ง
ความสัมพันธ์ทางสังคมไปด้วย และระยะหลังท่ีมีการ
ปรับตัวแล้วนันอาจเปน็ ไปไดว้ า่ ชุมชนแหง่ นีเห็นคณุ ค่า
ของเงินทองและมีความประหยัด ย่ิงมีเร่ืองระบบการ
ออมทรัพย์ขึนมาด้วยแล้ว ดูจะขัดแย้งกับความ
ฟุ่มเฟือยท่ีจะเกิดขึน จึงปรับกิจกรรมไปดังกล่าว
ข้างต้น และชุมชนเองอาจเห็นว่า มีวิธีที่จะสร้าง
ความสมั พนั ธ์ โดยอาศัยกระบวนการอยา่ งอืน่ ได้
กล่มุ ชาตพิ นั ธุ์ ในจังหวดั เชียงราย | ๒๓๑
ชาติพันธุ์ “ไทล้ือ” สรงน้าพระ/รดน้าด้าหัวผู้สูงอายุ จะจัดขึน
ในวันที่ 15 เมษายน มีการแห่พระพุทธรูปประจา
หมู่บ้านรอบหมู่บ้าน มีการรดนาพระพุทธรูป จากนัน
ช า ว บ้ า น ก็ ช่ ว ย กั น แ ห่ เ ข้ า วั ด กั น อ ย่ า ง ส นุ ก ส น า น
มีผู้สูงอายุในหมู่บ้านจานวนมาก มายังบริเวณอาคาร
อเนกประสงค์ของหมู่บ้าน จะมีการแจกขันนา ของใช้
ต่าง ๆ ให้แก่ผู้สูงอายุ และจะมีลูกหลานมาดาหัว
มกี ารเล่นฉลองสาดนากนั
ประเพณีตานธรรมหลวง และประเพณจี ลุ กฐิน สรงนา้ พระ
ปะเพณีสงกรานต์ หรือปีใหม่ ถือเป็น ลอยกระทง (เดือนย่ีเป็ง) จะจัดขึนในเดือน
ประเพณีสาคัญของชาวล้านนา เพราะถือว่าเป็น พฤศจกิ ายนของทุกปี ซ่งึ คนในหมู่บา้ นได้ปฏิบตั ิมาเป็น
เทศกาล แห่งความสุขสนุกสนานและการกลับมาสู่ ระยะเวลานานท่ีบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ในชุมชน
อ้อมอกของบรรพบุรษุ กจิ กรรมท่ที า ได้แก่ การทาบุญ “ลูกแม่นาอิง” ที่มีความสมัครสมาน สามัคคีของ
ที่วัด ขนทรายเข้าวัด ถวายเจดีย์ทราย การรดนาดา ประชาชนทุกหมู่คณะ ทังเยาวชน ผู้สูงอายุ ต่างก็มี
หัว และขอสุมาคาราวะผู้เฒ่าผู้แก่ การสรงนาพร กิจกรรมท่ีแสดงออกถึงความสุขที่ได้มสี ่วนร่วม ในการ
ส่งเคราะห์หลวงเป็นการทาพิธีกรรมร่วมทังหมู่บ้าน อนุรักษป์ ระเพณวี ัฒนธรรมของชาวลา้ นนา การเทศนา
ประเพณีนีถือว่ามีความสาคัญของชาวบ้าน จะเป็น ธรรมของพระสงฆ์ การจุดก๋องหลัว (กองฟืน) การทา
เทศกาลท่ปี ล่อยวางภารกิจทุกอย่าง เงินทท่ี างานได้มา สะตวงปัดเคราะห์ของผู้สูงอายุ ตามความเช่ือที่
ทงั ปกี ็จะดูเหมือนจะถูกนามาใช้ในช่วงนี กิจกรรมที่ทา ต้องการให้สมาชิกครอบครัว ได้อยู่เย็นเป็นสุข การขอ
มที ังในระดบั ครอบครวั กล่มุ ญาติพน่ี ้อง และกลุ่มใหญ่ ขมาแม่นาอิง ท่ีให้ประโยชน์ต่อการเลียงชีพของลูก
ระดบั ชุมชน แมน่ าองิ นอกจากนันกศุ โลบายในการจัดงานประเพณี
ลอยกระทงของชมุ ชน ยงั เป็นการป้องกนั ไม่ให้เยาวชน
๒๓๒ | กลมุ่ ชาติพันธุ์ ในจงั หวัดเชยี งราย ในหมูบ่ ้านออกไปเท่ียวในชมุ ชนอ่ืน ๆ หรอื การปอ้ งกัน
การเกิดอุบัติเหตุของประชาชน โดยจัดให้มีงานร่ืนเริง
ภายในหมู่บ้าน และยังถือว่าเป็นระยะเวลาท่ีชาวบ้าน
จะได้มีโอกาสสร้างความสุขให้กับตนเองและสมาชิก
ของครอบครัว หลังจากที่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการ
ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีการประดิษฐ์กระทงอนั
สวยงามโดยภูมิปัญญาของท้องถิ่นการจัดขบวนที่บ่ง
บอกถึงวิถีชีวิตของชมุ ชนไดอ้ ยา่ งลงตัว
ภาษาตระกูลไท (ไต) ลักษณะเด่นของภาษาไทล้ือ คือ ชาติพันธุ์ “ไทล้ือ”
การแปลงเสียงสระภายในคา โดยการเปล่ยี นระดับของ
ล้ิน ภาษาพูดของชาวไทลื้อนั้น เสียงบางเสียงจะ
แตกตา่ งไปจากภาษาไทยวน เช่น สระเอีย เปน็ เอ เช่น
เมยี เปน็ เม สระอัว เปน็ โอ เชน่ ผวั เป็น โผ สระเอือ
เป็น เออ เช่น เกลือ เป็นเกอ เสียงวรรณยกุ ต์ของไทลอ้ื
มี ๖ เสียง เหมือนภาษาไทยวนแต่มีลักษณะแตกต่าง
ไป คาศัพท์ที่ใช้ในภาษาไทลื้อมักเป็นภาษาถิ่นตระกูล
ไทหรอื คาศัพทไ์ ทด้งั เดิมเปน็ ส่วนใหญ่ ไมม่ ีความหมาย
ซับซอ้ นมากนัก
ประเพณลี อยกระทง ตัวอยา่ งตัวอกั ษรภาษาไทลือ้
บวชเณร เป็นการบวชภาคฤดูร้อนของเด็ก ๔.๕ การแต่งกาย
นักเรียน จะมีขึนในช่วงปิดเทอมพอ่ แม่ผปู้ กครองจะพา ผู้ชาย สวมเส้ือคล้ายเส้ือหม้อฮ้อม ลักษณะ
บุตรหลานของตน เข้ามาศึกษาพระธรรมทางศาสนา เป็นเสื้อแขนยาวสีดาหรือสีคราม บางคร้ังอาจเป็นเอว
เพื่อปลกู ฝงั ให้เด็กมีจิตใจท่ดี งี าม ฝกึ ความเปน็ ระเบียบ ลอย แขนเส้ือขลิบด้วยแถบผ้าสีต่าง ๆ มีผืนผ้าต่อจาก
วินัย ฝึกสมาธิ และความอดทน ทาให้จิตใจสงบ สายหนา้ ปา้ ยมาตดิ กระดมุ เงินบรเิ วณใกล้รกั แร้และเอว
สามารถดาเนนิ ชีวติ ไดอ้ ยา่ งถกู ต้องเหมาะสม กางเกงเป็นกางเกงก้นลึก เรียกว่า “เต่ว ๓ ดูก”
สีเส้ือผ้าของผู้ชายไทล้ือส่วนใหญ่จะเป็นสีเทา สีดา
พิธีเลียงผีเจ้าท่ี ผีไร่ ผีนา ผีสาน ประเพณี ถ้ามีงานบุญจะใส่สีขาว หรือสีดา ผ้าขาวม้าคาดพุง
นีประชาชนยังไม่ได้ละเลย เพราะการได้อยู่ท่ามกลาง ผา้ โพกศรี ษะดว้ ยผา้ สีน้าตาล สขี าว สีดา
ธรรมชาติ และได้อาศัยธรรมชาติมาเป็นแหล่งที่อยู่
แหล่งทามาหากิน ชาวบ้านถือว่าเป็นการอยู่ร่วมกัน กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ในจงั หวัดเชียงราย | ๒๓๓
และธรรมชาตินันมีบุญคุณต่อมนุษย์ ถึงแม้จะ
ปรับเปลี่ยนวิถีการผลิตเป็นแบบใหม่ไปบ้างแล้ว
ชาวบ้านกย็ ังคงมีการเซ่นไหว้ผที ุกอย่าง โดยลงมือกอ่ น
ทาการผลิต จะมีการบอกเจ้าท่ีขอให้ช่วยทากิจกรรม
สาเรจ็ และเมือ่ ผลผลิตออกมาแล้ว ก็จะเลียงขอบคุณ
ผีทังหลายท่ีช่วยดูแล ทุกจุดที่เป็นแหล่งธรรมชาติ
ชาวบ้านเช่ือถือว่า มีผีคุ้มครองดูแล การจะทาอะไร
ควรจะขออนุญาต
๔.๔ ภาษา
กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อศรีดอนชัยน้ันมีภาษาพูด
และภาษาเขียนเป็นของตัวเอง ภาษาไทลื้ออยู่ในกลุ่ม
ชาติพันธุ์ “ไทล้ือ” ผู้หญงิ สวมเส้อื ทมี่ ลี กั ษณะเฉพาะเรยี กว่าเส้ือ ๔.๖ องคค์ วามรู้และภูมปิ ญั ญา
ป๊ัด แขนยาวตัดเส้ือเข้ารูป เอวลอยมีสายหน้าเฉียงผูก องค์ความรู้และภูมิปัญญาในอดีตของชาว
ติดกนั ด้วยด้ายฟนั่ หรือแถบผ้าเลก็ ๆ ทีม่ มุ ซา้ ยหรอื ขาว
ของลาตวั ชายเสือ้ นยิ มยกลอยขึ้นทัง้ สองข้าง สาบเส้ือ ไทลือ้ จะทอผา้ โดยใช้สีเพียงไมก่ ี่สี ซง่ึ จะทอเปน็ กางเกง
ขลิบด้วยแถบผ้าสีต่าง ๆ ประดับด้วยกระดุมเม็ดเล็ก ผ้าซ่ิน ผ้าโพกศีรษะ หมอน มุ้ง ผ้าปูที่นอน ผ้าม่าน
เรียงกัน สวมซ่ินไทลื้อท่ีมีลวดลายกลางตัวซ่ิน ส่วนหัว ประตู ถุงย่าม สีหลัก ๆ ท่ีใช้ในการทอผ้าคือ สีดา
ซ่ินเป็นผ้าฝ้ายสีดาหรือสีน้าตาล ขาว ส่วนตีนซิ่นเป็น สีแดง สีขาว สีน้าตาล สีชมพู สีน้าเงิน แต่สาหรับชาว
ผ้าพ้ืนสีดา สีเสื้อผ้าของผู้หญิงไทล้ือจะใช้ในโอกาสท่ี ไ ท ล้ื อ ท่ี มี ฝี มื อ ท า ง ก า ร ท อ ผ้ า เ ป็ น ไ ท ลื้ อ ท่ี มี ถิ่ น ฐ า น
แตกต่างกนั ออกไป เชน่ ถา้ มงี านบุญจะใสเ่ สอ้ื ป๊ัดสีขาว ใกล้ชิดกับแหล่งธรรมชาติ คือ “ไทล้ือบ่อ” อยู่ใกล้กับ
โพกหัวด้วยผ้าสีขาว ส่วนเส้ือผ้าสีดาจะสวมใส่ในงาน แหล่งทองคา เงิน เกลอื ซงึ่ เดิมจะมลี วดลายไม่สวยงาม
ประเพณหี รืองานแต่งงาน ความละเอียดอ่อนไม่เท่าที่ควร ผ้าถุงจะออกมาทีละ
ขั้นที่เรียกว่า “ซ่ินตางอย” ตรงหัวผ้าถุงจะมีสีแดง
น้าตาล ส่วนที่เรียกว่า “ตีนซ่ิน” หรือส่วนปลายจะมสี ี
ดา สีครามเป็นส่วนมาก ที่กล่าวมานี้จะเป็นของ
ชาวบ้านธรรมดาท่ัวไป แต่ถ้าเป็นระดับชุมชนหรือคน
สาคัญ จะมีการทอเสริมลวดลาย ความสวยงาม
ประณีตข้ึนมา เรียกว่า “จก” หรือเกาะลวดลายตาม
ผา้ เชน่ ลายนา้ ไหล ลายดอกกาบ เกาะยอด เกาะเครือ
ผสมกับลายออกงูลอย ลายดอกอีแปง (ลายดอกตุ้ม
มะจับ) การทอลวดลายน้ันจะแบ่งลวดลายของผ้า
ชนิดของผ้าที่จะใช้ประโยชน์ เช่น ผ้ารองท่ีนั่ง หรือผ้า
เชด็ จะมลี วดลายอีกแบบหนงึ่ ผา้ ปทู ี่นอน ปลอกหมอน
ผ้าถุง ลายแถบเส้ือ กางเกง และยังแบ่งลวดลาย
สาหรับผู้ชาย ผู้หญิง จะไม่ปะปนกัน ลวดลายสีสัน
ของใช้ของนงุ่ หม่ จะบง่ บอกฐานะของผู้ใช้ ลวดลายที่มี
ความสวยงามมกั จะทอเป็นผ้าม่านประตู ซึ่งระยะหลงั
นี้จะเห็นว่าลวดลายผ้าไตล้ือด้ังเดิมถูกเลียนแบบหรือ
ดัดแปลง ผสมผสานเป็นลายข้ามสมัยไป จึงไม่ค่อยรู้
ลายไหนเปน็ ดั้งเดมิ
๒๓๔ | กลุม่ ชาตพิ นั ธ์ุ ในจงั หวัดเชียงราย
ชาติพันธุ์ “ไทล้ือ”
การทอผา้ ของชาวไทล้ือ ลวดลายผา้ ทอของชาวไทล้ือ อ.เชยี งของ จ.เชียงราย
งานจักสานผู้สูงอายุชุมชนไทล้ือ หมู่ที่ ๗
ตาบลศรีดอนชัย อาเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
เร่ิมก่อตั้งคร้ังแรกเม่ือปี ๒๕๕๕ โดยมีนายคาทอน
วงค์ชัย เป็นประธานกลุ่ม ซ่ึงมีแนวคิดว่ากลุ่มผู้สูงอายุ
ในชุมชนไทลื้อ น่าจะมีการร่วมกลุ่มกัน จะได้ออกมา
พบปะเพือ่ นฝงู และหารายได้เสรมิ จากการทาไร่ ทานา
จึงได้รวมกลุ่มผู้สูงอายุทั้ง ๔ หมู่บ้าน ที่มีความรู้เร่ือง
การจักสาน งานช่างไม้ ร่วมจัดตั้ง “กลุ่มจักสาน
ผู้สูงอายุ” ขึ้น เพื่อแก้เหงา สร้างคุณค่าในตัวเอง
สรา้ งจิตใจเบกิ บานมคี วามสขุ แถมยงั ไดอ้ อกกาลังกาย
ได้ออกมาพบปะเพ่ือนฝูง และเพ่ิมความสามัคคีกันใน
กลุ่มอีกด้วย ทาให้ผู้สูงอายุในหมู่บ้านมีรายได้มากขึ้น
ไม่ต้องเหงาอยู่กับบ้าน และไม่ต้องเป็นภาระให้กับ
ลูกหลาน
ปัจจบุ ัน มีสมาชิกกลุม่ จานวน ๙ คน มีสนิ ค้า
ที่ผลิตออกมาจาหน่ายและยอดสั่งจอง สร้างรายได้
อย่างต่อเนื่อง เช่น การทากระปุกออมสินไม้ไผ่,
ไมก้ วาดทางมะพร้าว, เกา้ อีไ้ ม้ไผ่, พัดไทลื้อ และเครือ่ ง
จกั สานอุปกรณจ์ ากไมไ้ ผม่ ากมาย
กลมุ่ ชาติพันธุ์ ในจงั หวดั เชียงราย | ๒๓๕
ชาติพันธุ์ “ไทล้ือ” การแสดงของชาวไทลอ้ื
เครอื่ งจกั สานชาวไทลื้อ ๕. แหล่งอ้างองิ
ในดา้ นของศลิ ปะการแสดงสงิ่ ที่ชาวไทล้ือบ้าน เกษฎาวัลย์ ตันริยงค์. ๒๕๕๖. แนวทางการจัดการ
ศรีดอนชัยยังคงสืบทอดมาจนถงึ ปัจจุบนั คือ การฟอ้ น ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (ไทลื้อ) โดยการมี
ดาบ ฟ้อนเจิง, ตีกลองสะบัดจัย การแสดงเหล่านี้ยัง ส่วนร่วมของชุมชนบ้านลวงเหนือ ตาบล
ส า ม า ร ถ พ บ เ ห็ น ไ ด้ ท่ี ชุ ม ช น แ ห่ ง น้ี ก า ร แ สดง ล วงเ หนือ อ า เ ภอ ดอ ส ะเ ก็ด จังหวั ด
ศิลปวัฒนธรรมไตล้ือถือเป็น ประเพณีวัฒนธรรมอันดี เชียงใหม่. รายงานฉบับสมบูรณ์ สานักงาน
งาม ท่ีมีมาแต่โบราณ ควรค่าแก่การอนุรักษ์ สืบทอด กองทุนสนับสนุนการวิจัย ฝ่ายวิจัยเพ่ือ
ผู้น้าในชุมชนเห็นพ้องต้องกันว่า ในชุมชนต้องมีจุด ทอ้ งถนิ่ .
เรียนรู้โดยให้นักเรียนและเยาวชนในชุมชน หรือ
ผู้สนใจ สามารถเข้ามาร่วมศกึ ษาเลา่ เรียนในวนั เสาร์ – ชูศักดิ์ วิทยาภัค.๒๕๔๔. ประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อ
อาทิตย์ หรือหลังเลิกเรียน โดยจะมีพระอาจารย์และ การเข้าถึงทรัพยากรของคนเมืองน่าน.
ปราชญ์ในชุมชนศรีดอนชัย เป็นผู้ฝึกสอน ซึ่งกิจกรรม รายงานวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ สานักงานกองทุน
เล่านี้สามารถแสดงให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเย่ียม สนับสนนุ การวจิ ยั .
เยอื นชุมชนไทลือ้ ได้อยา่ งตอ่ เน่อื ง
ม่ิงกมล หงษาวงศ์. ๒๕๕๗. ไทล้ือ : วิถีชีวิตและอัต
๒๓๖ | กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจังหวัดเชยี งราย ลักษณ์ทางวัฒนธรรม. ในวารสารศิลปกรรม
ศาสตร์วิชาการ วิจัย และงานสร้างสรรค์
ราชมงคลธัญบรุ ี. ๑(๒):๑-๒๐.
สุภัทณี เป่ียมสุวรรณกิจ และคณะ. ๒๕๖๑. การดารง
อยู่ของผ้าทอไทล้ือในจังหวัดเชียงราย: บท
วิเคราะห์เศรษฐกิจวัฒนธรรม. วารสาร
สังคมศาสตรว์ ิชาการ. ๑๑(๑): ๔๓-๕๒.
วสันต์ ปัญญาแก้ว.๒๕๖๓. กลุ่มชาติพันธ์ุ ไทล้ือ
https://www.sac.or.th/databases/ethni
c-groups/ethnicGroups/143
จกั รพงษ์ คาบญุ เรือง. ๒๕๖๒. “บ้านหนองบวั ”ชมุ ชน
ไทล้ือเมืองน่าน ๒๐๐ ปี https://www.
chiangmainews.co.th/page/archives/1 1
35872/
สานักงานสถิติแห่งชาติ.๒๕๕๓.http://service.nso.
go.th/nso/nsopublish/districtList/pag1 .
htm?fbclid=IwAR0_57hpflqfIcEGHZ39Z
_U0NUCJCtT7j8mkhesei5KHWjWI9SdnR
EYgy-I)
คณะทำงำนจัดทำองค์ควำมรูม้ รดกภมู ปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรมกล่มุ ชำติพนั ธ์ุในจงั หวดั เชียงรำย
ทป่ี รกึ ษำ จนั ทร์ศลิ ป์ วฒั นธรรมจังหวัดเชียงราย
๑. นายพสิ ันต์ สร้อยสุวรรณ ผชู้ ่วยอธิการบดี
๒. ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ธนากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา เชยี งราย
มหาวิทยาลัยแม่ฟา้ หลวง
๓. ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.พลวฒั ประพัฒน์ทอง ประธานเครอื ขา่ ยชาติพนั ธุ์จงั หวัดเชียงราย
๔. อาจารย์จมุ พล กิตติสาร
คณะทำงำนฝ่ำยอำนวยกำร จันทร์ศลิ ป์ วฒั นธรรมจงั หวดั เชียงราย
๑. นายพิสันต์ รตั นเจริญชยั รองคณบดี คณะบริหารธรุ กิจและศิลปศาสตร์
๒. ดร.ชไมพร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา เชียงราย
โอภาพ ผ้อู านวยการกลุ่มยุทธศาสตร์ และเฝา้ ระวงั ทางวัฒนธรรม
๓. นางสิริรัตน์ บุญเทพ ผอู้ านวยการกลุ่มสง่ เสรมิ ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม
๔. นางเบญ็ จมาส ดอนเนตร์ ผอู้ านวยการกล่มุ กจิ การพเิ ศษ
๕. นางสาวทศั นีย์ ช่มุ มะโน หวั หนา้ ฝา่ ยบรหิ ารท่ัวไป
๖. นางสาวสุพิชชา สทุ ธสม นักวิชาการวฒั นธรรมปฏบิ ัติการ
๗. นายยทุ ธนา
คณะทำงำน ฝ่ำยดำเนนิ งำน ๑๘ ชำตพิ ันธ์ใุ นจังหวดั เชียงรำย
การจัดเก็บข้อมูล ๑๘ ชาติพันธุ์ในจังหวัดเชียงราย ดาเนินงานโดย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
ล้านนา เชียงราย ประกอบดว้ ยคณะทางานดังน้ี
๑. ดร.ชไมพร รัตนเจริญชยั ๒. ดร.พนั ทพิ า ปัญสวุ รรณ
๓. ดร.ก่งิ กาญจน์ ปวนสรุ นิ ทร์ ๔. ดร.รจนา บญุ ลพ
๕. ดร.ณัฐรกานต์ คาใจวฒุ ิ ๖. ดร.ณชิ พัณณ์ ปติ นิ ยิ มโรจน์
๗. ดร.เดือนเพญ็ มะโนเรอื ง ๘. นางกมลลักษณ์ ชัยดี
๙. นางพทิ ธนิ ันท์ สมไชยวงค์ ๑๐. นางสาวอวยพร ตะ๊ วนั
๑๑. นางสาวบญุ ญรัตน์ อา่ สรุ า ๑๒. นางสาวศิรนิ าฎ จนั ทนะเปลิน
๑๓. นางกุลพรภัสร์ ภราดรภิบาล ๑๔. นางกนกอร จิตจานงค์
๑๕. นางสุจิตตา หงษท์ อง ๑๖. นายกวนิ วฒุ ิ สุทธนะ
กลุ่มชำตพิ นั ธุ์ในจงั หวัดเชยี งรำย
จัดทำโดย
สานักงานวฒั นธรรมจงั หวดั เชยี งราย ร่วมกับ
มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย
สนับสนนุ โดย
ศนู ย์มานษุ ยวิทยาสิรินธร (องคก์ ารมหาชน)
ลิขสิทธิ์
สานกั งานวฒั นธรรมจังหวัดเชยี งราย
อาคารศาลากลางจงั หวดั เชียงราย
เลขที่ ๖๓๒ หมู่ ๓ ถนนแม่ฟา้ หลวง ตาบลริมกก อาเภอเมืองเชยี งราย จงั หวดั เชยี งราย
โทรศัพท์ ๐ ๕๓๑๕ ๐๑๖๙ โทรสาร ๐ ๕๓๑๕ ๐๑๗๐
www.m-culture.go.th/chiangrai
พุทธศักราช ๒๕๖๔
ภาพการลงพื้นท่ี
จัดเกบ็ ขอ้ มลู กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ
กล่มุ ชาตพิ นั ธุ์ ในจงั หวัดเชยี งราย | ๒๓๗
“กล่มุ ชาตพิ นั ธ์ุลาหู่” “กลุม่ ชาติพนั ธ์ุอาข่า”
บ้านทา่ ฮ้อ ตาบลทรายขาว อาเภอพาน บา้ นห้วยสา้ นพลบั พลา ตาบลโป่งแพร่
จังหวดั เชียงราย อาเภอแมล่ าว จงั หวดั เชยี งราย
“กล่มุ ชาตพิ ันธุ์ลซี ”ู “กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุลวั ะ”
บ้านปางสา ตาบลป่าตงึ อาเภอแมจ่ ัน บ้านใหมส่ ามัคคีธรรม ตาบลป่าหุ่ง
จงั หวัดเชยี งราย อาเภอพาน จังหวัดเชยี งราย
๒๓๘ | กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ในจงั หวดั เชียงราย
“กล่มุ ชาตพิ ันธุ์ขม”ุ “กลมุ่ ชาติพันธุ์ไตหยา่ ”
บา้ นห้วยกอก ตาบลเวยี ง อาเภอเชยี งของ บ้านนา้ บอ่ ขาว ตาบลห้วยไคร้ อาเภอแมส่ าย
จังหวดั เชียงราย จงั หวัดเชยี งราย
“กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุดาระอง้ั ” “กลุ่มชาติพนั ธุ์ไทใหญ่”
ตาบลโป่งงาม อาเภอแม่สาย จงั หวัดเชยี งราย บ้านผาแตก ตาบลเวียงพางคา อาเภอแม่สาย
จงั หวดั เชยี งราย
กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ในจงั หวดั เชียงราย | ๒๓๙
“กลุ่มชาติพันธ์ุจีนยูนนาน” “กลุม่ ชาติพนั ธ์ุไทยวน”
บ้านสนั ติครี ี ตาบลแมส่ ลองนอก บ้านนา้ บอ่ ขาว ตาบลหว้ ยไคร้ อาเภอแมส่ าย
อาเภอแม่ฟา้ หลวง จังหวดั เชียงราย จงั หวัดเชียงราย
“กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุมง้ ” “กลมุ่ ชาตพิ ันธุ์ไทอสี าน”
บ้านธารทอง ตาบลแมเ่ งนิ อาเภอเชยี งแสน บ้านนาเจรญิ ใหม่ ตาบลแม่เปา
จงั หวัดเชยี งราย อาเภอพญาเมง็ ราย จังหวดั เชยี งราย
๒๔๐ | กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ ในจงั หวดั เชยี งราย
“กลุ่มชาติพนั ธ์ุไทเขิน”
บา้ นปา่ ยางผาแตก (บา้ นผาคา)
ตาบลเวยี งพางคา
อาเภอแมฟ่ า้ หลวง จงั หวัดเชียงราย
กล่มุ ชาติพนั ธ์ุ ในจงั หวดั เชียงราย | ๒๔๑