ชาติพันธ์ุ “ดาราอ้ัง” ใกล้แหล่งน้า เพอื่ ทาการเกษตร การเลอื กทาเลที่ต้ังถ่ิน
ฐานในอดีตน้ัน ชาวปะหล่องจะเลือกการตั้งหมู่บ้าน
ทางทศิ ตะวนั ตกตอ้ งติดภูเขาโดยสว่ นมากชาวปะหล่อง ลักษณะบ้านเรอื นของชาวดาราอง้ั
ก็จะตั้งถิ่นฐานได้ทุกท่ี ขอให้มีพื้นท่ีทาการเกษตร
และทาไร่ ทานาทาสวน ไม่ยึดติดว่าแต่ละทิศจะต้อง ลักษณะบา้ นของชาวปะหลอ่ งพบเห็น ๒ แบบ คือ
ตดิ กบั อะไร จะดทู าเลการทามาหากินมากกวา่ ๑. บ้านสาหรบั ครอบครวั เดี่ยว จะมีขนาดเล็ก
ในปัจจุบัน ชาวปะหล่อง ยังคงเลือกทาเลการ เพียงพอแก่การอาศัย จานวนของห้องต่าง ๆ จะมี
ตั้งถิ่นฐานที่ติดภูเขา และพื้นท่ี ท่ีมีแหล่งน้า เพ่ือ ไม่เยอะ ประกอบด้วย ชานบ้าน ห้องอเนกประสงค์
สามารถทาการเพาะปลูก ทาการเกษตรได้ ซ่ึงปัจจุบัน และห้องนอนเพียงห้องเดียวเทา่ นัน้
การตงั้ ถนิ่ ฐาน ก็จะใกล้ๆ กบั ชนพ้นื เมอื งในท่ีราบ เพื่อ
สะดวกในการเดินทาง และการสือ่ สารที่ทนั สมยั ทาให้ ๒. บ้านสาหรับครอบครวั รวม ขนาดของบา้ น
ชาติพันธุ์ปะหล่องต้องปรับตัวเข้าเทคโนโลยีต่าง ๆ ครอบครัวรวมจะใหญ่ขึ้นมาและมีลักษณะเป็นบ้าน
ซึ่งจะมีแค่บางหมู่บ้านเท่าน้ันที่ต้ังถิ่นฐานในหุบเขา หลงั ยาว ภายในตวั บ้านน้ันจะแบง่ ซอยหอ้ งให้เป็นห้อง
แต่ก็เหลือน้อยมาก เพราะในยุคนี้มีเทคโนโลยีทีชาว เล็ก ๆ โดยเรียงกันไปเร่ือย ๆ ตามความยาวของตัว
ปะหล่องต้องมีการปรับตัวเพ่ือให้เข้าถึงเทคโนโลยี บ้าน จานวนห้องกม็ เี ท่ากบั จานวนครอบครัวที่อาศัยใน
ในยุคปจั จุบนั เช่นกัน บ้าน แต่ละครอบครัวเล็กก็จะมีเตาไฟแยกต่างหากใน
แต่ละห้อง
ด้วยการประกอบอาชีพทานา และทาสวน
เป็นหลัก จึงเลือกพ้ืนที่ทากินใกล้กับแหล่งท่ีพักอาศัย บ้านพกั ของชาวปะหล่องส่วนมากจะมบี ริเวณ
ซึ่ ง บ า ง ค ร อ บ ค รั ว ต้ อ ง เ ช่ า ที่ ข อ ง น า ย ทุ น เ พื่ อ ท า รอบบ้าน ซ่ึงมักจะต่อเติมเพื่อทามาหากิน เช่น มียุ้ง
การเกษตร ส่วนมากจะเป็นพ้ืนท่ี สปก.หรือพ้ืนที่ สาหรบั เกบ็ ข้าว หรือขา้ วโพด บางครอบครัวก็จะมีครก
จัดสรรเพื่อการทามาหากินให้ชาวบ้านจากทางรัฐ กระเด่ืองไว้ใต้ถุนบ้าน หรือบางหลังก็จะมีเป็นเล้าไก่
ปัจจุบันจะมีการทาไร่ข้าวโพด สวนสับปะรด กันเป็น หรอื คอกหมู แยกเอาไวเ้ ป็นสัดสว่ นอกี ดว้ ย
ส่วนใหญ่ ซ่ึงจะมนี ายทุนมารบั ซ้ือผลผลิตของชาวบ้าน
หลงั จากเก็บเก่ียวผลผลิต
ลักษณะบ้านเรือนของชาวปะหล่องในอดีต
จะปลูกแบบยกพื้นโดยมีความสงู จากพื้นประมาณ ๑-๓
เมตรยึดติดไปกับไหล่เขา โดยความสูงจะยึดลักษณะ
ความลาดชนั ของไหล่เขาเป็นหลัก ลกั ษณะของบ้านจะ
ประกอบด้วย เสาไม้ พื้นและฝาบ้านจะใช้ฟากไม้ไผ่
หลังคาจะใช้หญ้าคาในการมุง แยกพ้ืนท่ีใช้สอยออก
จากกัน โดยมหี ้องนอน ห้องอเนกประสงค์ซึง่ จะใช้เป็น
ห้องสาหรับรับแขกและเป็นห้องครัว มีชานบ้าน มีเตา
ไฟอยกู่ ลางหอ้ ง และหงิ้ พระท่หี ัวนอน
๙๔ | กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ ในจังหวัดเชยี งราย
ปัจจุบัน ชาวปะหล่องมีการปลูกสร้างบ้าน เจริญเข้ามามีบทบาทในทุกสังคม การปรุงอาหารของ ชาติพันธ์ุ “ดาราอ้ัง”
ตามแบบสมัยใหม่ หลังคามุงด้วยกระเบ้ือง และ ชาวปะหล่องก็เหมือนกับชนพื้นราบหรือคนภาคเหนือ
ก่อสร้างด้วยอิฐและปูน มีลักษณะเหมือนบ้านของคน ในปจั จบุ ัน
พ้ืนราบเกือบท้ังหมด มีท้ังลักษณะบ้านช้ันเดียว และ
๒ ช้ัน ซึ่งกข็ ้ึนอยู่กบั ฐานะของแต่ละครอบครัว แตก่ ็ยัง การถนอมอาหารของชาวดาราอัง้
มบี างสว่ นที่ยังคงทาบ้านแบบดั้งเดมิ ในอดีต หรือยงั คง
อยบู่ า้ นที่มมี าแต่อดตี ๔. วัฒนธรรมและประเพณี
๓.๒ การประกอบอาชพี ๔.๑ ศาสนา
ในอดีตน้ัน ชาวดาราอั้ง ส่วนมากประกอบ การนับถือศาสนาของชาติพันธ์ุดารอั้ง คือ
อาชพี เกษตรกรรม ทาไร่ ทานา ทาสวน และเล้ียงสัตว์ ศาสนาพุทธ จะมีการทาพิธีหรือทาบุญต่าง ๆ จะ
ซ่ึงเป็นการประกอบอาชีพเพื่อการยังชีพ หรือการ ประกอบท่ีวัด ซึ่งมีเจ้าอาวาสเป็นผู้นาในการประกอบ
ประกอบอาชีพเพอื่ เลี้ยงครอบครวั เป็นหลกั พิธี แต่ถ้าหากเป็นพิธีกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา
ปัจจุบัน ชาวดาราอั้ง ยังคงประกอบอาชีพ จะมผี ู้นาทเี่ รียกว่า “หมอเมอื ง” ในการประกอบพธิ ี
เกษตรกรรม ทาไร่ ทานา ทาสวน เป็นหลักอยากเช่น ชาติพันธ์ุดาราอ้ัง มีการเลื่อมใสในพระพุทธ
ใน อดีต แต่ด้ว ยสภาพ สังคมท่ีเปลี่ ยนไป ก าร ศาสนาตั้งแต่อดีต มีการเข้าวัดทาบุญ ตามวันสาคัญ
เจริญเติบโตของสังคม และการท่ีชุมชนอยู่ใกล้เมือง ทางพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับคนไทยท่ีนับถือ
มากยงิ่ ขึน้ ตลอดจนการไดร้ บั การศึกษาท่ีทั่วถงึ มากข้ึน ศาสนาพุทธ เช่นวันสงกรานต์ วันเข้าพรรษา
ทาใหช้ าวดาราอัง้ ประกอบอาชีพอน่ื ทน่ี ักเหนอื จากการ ออกพรรษา ซึ่งปัจจุบันชาวดาราอ้ัง ในบ้านโป่งเหนือ
ทาการเกษตรเพม่ิ มากขนึ้ เชน่ การรบั จา้ ง รวมทงั้ เป็น ตาบลโป่งงาม อาเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีการ
ลกู จา้ งของห้างร้าน หรือหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ตามยุคสมัย นบั ถือศาสนาพุทธ ๑๐๐ %
และสภาพสังคมทเ่ี ปล่ียนไป
๓.๓ อาหาร กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจังหวัดเชียงราย | ๙๕
อาหารของชาติพันธุป์ ะหล่อง ส่วนมากจะเปน็ ประเภท
ผัก ซึ่งชาวปะหล่องจะทาสวนปลูกผักไว้ทานเอง
ส่วนมากจะนาผักทป่ี ลูกมาทาเป็นอาหาร และจะนาผัก
ที่ปลูกไปตากแห้ง และดอง เรียกว่า”ผักอีเมด” เพ่ือ
เป็นการถนอมอาหาร และอาหารส่วนมากจะเป็น
ประเภทต้ม และแกง ส่วนเน้ือสัตว์ก็มีบ้างถ้าหัวหน้า
ครอบครัวออกไปล่าสัตว์ หรือหาปลา แต่ส่วนมากจะ
เปน็ ประเภทผักสว่ นใหญ่
ในปัจจุบัน อาหารของชาติพันธุ์ปะหล่อง ท่ี
ยังคงมีอยู่นัน่ ก็คอื “ผกั อเี มด” ซ่ึงเปน็ ภูมปิ ญั ญาในการ
ถนอมอาหารของชาวปะหล่อง ที่มีการสืบทอดกันมา
ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ด้วยเทคโนโลยีและความ
ชาติพันธ์ุ “ดาราอ้ัง” ๔.๒ พิธกี รรม ความเชือ่ ในหมู่บ้านชาวปะหล่องจะมีสถานที่ศักดิ์สิทธ์ิและ
ชาวปะหล่อง ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มชนที่ยึดถือคติ สาคัญท่ีสุดของหมู่บ้าน คือ ใจบ้าน ซ่ึงเป็นท่ีสิงสถิต
ธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด วิถีชีวิต ของผีหรือวิญญาณที่คุ้มครองหมู่บ้าน บริเวณศาลจะ
ของชาวบ้านอยู่กันอย่างสุขสงบ ปราศจากอบายมุข อยู่เหนือหมู่บ้าน ศาลจะได้รับการก่อสร้างอย่าง
มปี ระเพณพี นื้ บา้ นทเ่ี กยี่ วพนั กับพุทธศาสนาอย่างแน่น ประณีต มีร้ัวล้อมรอบ สะอาดเรียบร้อย เน่ืองจาก
แฟ้น ทุกหมู่บ้านจะมีวัดเป็นศูนย์กลางหากหมู่บ้านใด ช า ว บ้ า น จ ะ ช่ ว ย กั น ดู แ ล แ ล ะ ซ่ อ ม แ ซ ม ต ล อ ด เ ว ล า
ไม่มี ชาวบ้านก็จะพากันไปทาบุญยังวัดใกล้หมู่บ้าน นอกจากน้ันแล้ว ชาวปะหล่องยังมีพิธีกรรมท่ียังคง
ทกุ หลงั คาเรือนจะมหี งิ้ พระบูชาเป็นท่ีเคารพสักการะ ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน
วันพระ ช่วงเทศกาลเข้าพรรษา ชาวบ้านจะ ซง่ึ ได้แก่
พากันไปใส่บาตรและทาบุญที่วัดและจะมีพิธีเฉลิม
ฉลองเม่ือถึงวันสาคัญทางศาสนา เช่น วันเข้าพรรษา ๑. พิธีทำขวัญข้ำว จะทาช่วงเดือน ม.ค.-
วันออกพรรษา วันอาสาหบชู า วนั วิสาขบูชา รวมทงั้ วัน ก.พ. ของทกุ ปี หลงั จากเก็บเกย่ี ว หลงั การทานา ทาไร่
ปีใหม่ และวันสงกรานต์ด้วย ในวันเหล่าน้ีนอกจากมี จะมีการประกอบพิธีที่วัด โดยการสร้างซุ้มไม้ไผ่
การทาบญุ ดว้ ยขา้ ว อาหาร ดอกไม้ใส่ขนั ดอก แล้วยงั มี ใส่ข้าวเปลือก ข้าวสาร รวมทั้งพืชผลต่าง ๆ ล้อมด้วย
การฟ้อนรา ร้องเพลง บรรเลงฆ้อง กลอง ฉ่ิงฉาบ ทงั้ ท่ี ด้ายสายสิญจน์ และจะมีพระสงฆ์เป็นผู้ทาพิธี
วัดและลานหมู่บ้านด้วย พ่อแม่ชาวปะหล่องยึดถือ เพ่ือขอบคุณส่ิงศักด์ิสิทธิ์ และเทวดา ที่ให้ผลผลิตทาง
ธรรมเนียมปฏิบัติเช่นเดียวกับชาวพุทธโดยทั่วไป คือ การเกษตรในปที ่ผี า่ นมา
การสนับสนุนให้ลูกชายบวชเณรเพื่อเล่าเรียนธรรมะ
และบวชพระ เพื่อแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่บิดา ๒. พิธีปิดประตูหมู่บ้ำน จะทาช่วงเดือน
มารดา มถิ ุนายน สถานท่จี ะทาที่ซุ้มประตูเข้าหมู่บ้าน โดยการ
ด้านความเช่ือ ชาวปะหล่องยังคงมีความเชื่อ สร้างซุ้มไม้ไผ่เล็ก ๆ เพื่อใช้ในการประกอบพิธี ส่วน
เร่ืองวิญญาณควบคู่ไปกับการนับถือศาสนาพุทธโดย เครื่องเส้นไหว้จะมี ไก่ต้ม ผลไม้ ขนมหวาน ข้าวสวย
เช่ือว่าวิญญาณโดยท่ัวไปจะมี ๒ ระดับ ระดับหน่ึง ขา้ วเหนียว อาหารคาว ดอกไม้ ธูปเทียน จะต้องทาพิธี
เรียกว่า “กาบู” เป็นวิญญาณของสิ่งมีชีวิต อีกระดับ ให้เสร็จก่อนเท่ียง หลังจากเสร็จพิธีจะรว่ มรับประทาน
หน่ึงคือ “กานา” เป็นวิญญาณที่สิงสถิตอยูใ่ นสิ่งทไ่ี ม่มี อาหารร่วมกัน ซึ่งการทาพิธีปิดประตูบ้านนี้ เพื่อให้
ชีวิต เช่น ต้นไม้ ภูเขา แม่น้า และเช่ือว่าบุคคลแต่ละ ทราบว่าในช่วงนี้ห้ามมีการประกอบพิธีแต่งงาน
คนจะมวี ิญญาณ ๒ ระดบั นีใ้ หค้ วามคุ้มครองอยู่ นั่นคอื จนกว่าจะออกพรรษา และเพ่ือให้คนในหมู่บ้านรักษา
วญิ ญาณของตนเองและวิญญาณท่ีสงิ สถิตอย่โู ดยทั่วไป ศีลในชว่ งเทศกาลออกพรรษาดว้ ย
เช่น บา้ น หมบู่ า้ น ทางเดิน ไรข่ ้าว ฯลฯ
ชาวบา้ น จะมีพิธเี ซ่นสรวงบูชาผี หรือวญิ ญาณ ประเพณที าขวญั ขา้ ว ของชาติพันธุ์ดาราอั้ง
ควบคู่ไปกับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธอยู่
เสมอ เช่น พิธีแต่งงาน พิธีศพ หรือการข้ึนบ้านใหม่ ภาพจาก https://www.facebook.com/maesai10tribes
โดยมีหวั หน้าพิธีกรรมท่เี รียกว่า “ด่าย่าน” หรือ “หมอ
เมอื ง” เปน็ ผูป้ ระกอบพธิ ี
๙๖ | กลุ่มชาติพันธ์ุ ในจังหวัดเชยี งราย
๔.๓ ประเพณี ชาติพันธ์ุ “ดาราอ้ัง”
ประเพณีของชาติพันธ์ุดาราอง้ั หรอื ปะหลอ่ ง ก็
จะเหมือนกับชาวพทุ ธทั่วไป ซึ่งจะมีประเพณี เทศกาล พธิ ีแตง่ งานของชาติพนั ธุ์ดาราองั้
ต่าง ๆ ตามวนั สาคญั ของพระพทุ ธศาสนาหลกั ๆ ดังน้ี
๑. ประเพณขี ้นึ ปใี หม่
๒. ประเพณีสงกรานต์
๓. ประเพณเี ข้าพรรษา
๔. ประเพณอี อกพรรษา
๕. ประเพณแี ต่งงาน
๖. ประเพณีบวช
จากการสัมภาษณ์กลุ่มผู้นาชุมชน และ
ปราชญช์ าวบ้าน พบว่าการแสดงของชาติพันธุ์ดาราอั้ง
จะมีการแสดงท่ีเป็นเร่ืองเล่าและสืบทอดมาจากอดีต
นน่ั ก็คอื การแสดง “นางดอยเงนิ ” โดยไมท่ ราบที่มาแน่
ชัด บอกได้แต่เพียงว่าเป็นการสืบทอดมาจากบรรพ
บุรุษตามท่ีได้ถ่ายทอดมา ซึ่งเป็นการแสดงท่ีเปรียบ
ผู้หญิงชาวปะหล่องสวยเหมือนนางดอยเงิน หรือนาง
มโนราห์ ในความเชื่อของชาวปะหล่อง จะมีการจัด
แสดงในงานเทศกาลต่าง ๆ ของชาติพันธุ์ เช่นงาน
ฉลองวนั ข้ึนปใี หม่ ประเพณสี งกรานต์ เป็นต้น
ประเพณีบวชของชาติพันธุ์ดาราองั้ พิธแี หผ่ ้าป่ารอบใจบ้าน ของชาติพันธ์ุดาราอั้ง
๔.๔ ภาษา
ชาวปะหล่องจะมีภาษาพดู เป็นของเผ่าตนเอง
โดยนักภาษาศาสตร์บาง ท่านได้จัดให้ภาษาปะหล่อง
อยู่ในกลุ่มของ “ภาษาปะหล่อง-วะ” แต่ชาวปะหล่อง
ส่วนมากมักจะพูดภาษาฉานและภาษาไทใหญ่เพื่อใช้
ในการติดต่อกับคนต่างเผ่าได้ นอกจากนั้นแล้ว
นกั ภาษาศาสตร์ทไี่ ด้ศกึ ษาภาษาปะหล่องยงั ได้เปิดเผย
ว่า ภาษาปะหล่อง มีการหยิบยืมคาต่าง ๆ มาจาก
ภาษาอ่ืน ๆ เช่น ภาษาพม่า ภาษาดะฉ่ิน ภาษาฉาน
และภาษาลซี อ เป็นต้น
กลมุ่ ชาติพันธุ์ ในจงั หวดั เชยี งราย | ๙๗
ชาติพันธ์ุ “ดาราอ้ัง” ภาษาไทใหญ่และภาษาฉาน จะเป็นภาษา และโพกศรษี ะดว้ ยผ้าผืนยาว ๆ ในปจั จบุ นั ผ้าโพกนิยม
หลักที่ชาวปะหล่องใช้ในการติดต่อกับคนต่างถ่ิน ชาว ใช้เปน็ ผ้าขนหนู
ปะหลอ่ งท่อี าศยั อยูใ่ นประเทศไทยสว่ นใหญโ่ ดยเฉพาะ
เด็ก ๆ จะสามารถสื่อสารภาษาไทยภาคเหนือได้บ้าง ส่ิงที่โดดเด่นมากในการแต่งกายของชาว
แตถ่ ้าเป็นการส่อื สารกบั ชาวปะหลอ่ งผหู้ ญงิ จาเป็นต้อง ปะหล่องผู้หญงิ คือ การสวมเอวดว้ ยวงหวาย บางคนก็
อาศัยล่าม เพราะผู้หญิงชาวปะหล่องจะสามารถฟงั ได้ ใช้เป็นโลหะสีเงิน ตัดออกมาเป็นแถบยากตอกลาย
แต่ไมก่ ลา้ ทจ่ี ะโต้ตอบกลับมาเปน็ ภาษาไทย แล้วก็ขดเป็นวง เอามาสวมใส่ปน ๆ กัน ซ่ึงเรียกว่า
“หน่องวอ่ ง” แตว่ า่ ในปจั จุบนั เราอาจจะไม่ได้เห็นหญิง
ปัจจุบันยังคงมีการใช้ภาษาปะหล่อง หรือ ชาวปะหล่องที่แต่งกายและมีเครื่องประดับครบทุก
ภาษาดาราอ้ัง และภาษาไทยใหญ่บ้างแต่ด้วยมี ชนิดที่กล่าวมา แต่จะเห็นเป็นเพียงการนุ่งกางเกง
เทคโนโลยี และการสื่อสารที่ทันสมัยเข้ามา ทาให้ สะดอสีน้าเงนิ สวมเสื้อ
ภาษาที่ใช้ในปัจจุบันส่วนมากจะเป็นภาษาเหนือ และ
ภาษาไทย แต่ยังมีการใช้ภาษาปะหล่องในการสนทนา ส่วนของชายชาวปะหล่องนั้น การแต่งกาย
ในในกลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ของตนเองอยู่ โดยเฉพาะผ้สู งู อายุท่ี ค่อนข้างเรียบง่าย มีสวมเสื้อก๊ักสีขาวหรือกรมท่า
ไมส่ ามารถพูดภาษาไทย หรอื ภาษาเหนอื ได้ กางเกงขายาว ขาบาน นอกจากน้ียังโพกศีรษะด้วยผา้
ขาวหรือดา ในบางท้องถ่ิน ชาวปะหล่องยังนิยมสักบน
ตวั อยา่ งอกั ษรของชาติพนั ธุ์ดาราอง้ั ร่างกายเปน็ รูปเสอื นก หรือดอกไม้
๔.๕ การแต่งกาย ผู้หญิง ชาวปะหล่องในปัจจบุ ัน การแตง่ กายมี
ก า ร แ ต่ ง ก า ย ข อ ง ช า ว ป ะ ห ล่ อ ง ผู้ ห ญิ ง นั้ น การเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ชุดประจาชาตพิ ันธ์นุ ้นั
ค่อนข้างจะมีองค์ประกอบเยอะกว่าชาย โดยการแต่ง ในชวี ิตประจาวันจะมแี ต่คนแก่ หรอื คนสงู อายุทใ่ี ส่เป็น
กายจะเป็นเส้ือนา้ เงิน เขียว หรือสีดา เป็นเอวลอย ผ่า ประจาทุกวันอยู่ ส่วนผู้หญิงส่วนมากก็จะแต่งตัวตาม
ด้านหน้า แขนกระบอก ตัวเส้อื จะตกแตง่ เปน็ แถบผ้าสี สมยั นิยม แต่งกายเหมอื นคนไทยทว่ั ๆ ไป นอกจากจะ
แดง มีการประดับประดาด้วยลูกปัดหลากสี มีผ้าซ่ินสี มีพิธีกรรม หรือมีประเพณีของขนเผ่า กะจะมีการ
แดงลายริ้วขาว เล็ก ๆ พาดขวางลาตัว ยาวกรอมเท้า แตง่ กายชุดประจาชาตพิ นั ธ์ุ
ผู้ชาย มีการแต่งกายตามสมัยนิยมปัจจุบัน
แต่หากเทศกาลหรือประเพณีของชาติพันธ์ุ ก็จะแต่ง
กายประจาชาติพันธุเ์ ชน่ เดียวกับผหู้ ญิง
๙๘ | กลุม่ ชาติพันธุ์ ในจังหวดั เชยี งราย
๕. แหลง่ อา้ งอิง ชาติพันธ์ุ “ดาราอ้ัง”
การแต่งกายของชาวดาราอ้ัง นนทวรรณ แสนไพร. ๒๕๕๔. “กำรเคลื่อนย้ำย กำร
ต้งั ถิน่ ฐำน และกำรเปล่ยี นแปลงวถิ ีชีวติ ด้ำน
๔.๖ องค์ความรแู้ ละภูมปิ ัญญา เศรษฐกิจของชำวดำรำอั้งในอำเภอเชียง
ภูมิปัญญาท่ีสืบทอดมาต้ังแต่บรรพบุรุษของ ดำว จังหวัดเชียงใหม่”. วิทยานิพนธ์วิทยา
ชาติพันธุ์ดารอั้งคือ การทอผ้า และการถนอมอาหาร ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา ภูมิศาสตร์
ซ่ึงการทอผ้าน้ัน ผู้หญิงชาวปะหล่อง ต้องทอผ้าเป็น บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
เกือบทุกคน ซ่ึงจะถ่ายทอดการทอผ้าจากบรรพบุรุษ
และถ่ายทอดสืบต่อให้กับลูกหลาน และอีกส่ิงหนึ่งที่ บญุ ชว่ ย ศรีสวัสด.์ิ ๒๔๙๓. ๓๐ ชำตพิ ันธุ์ในเชียงรำย.
เป็นภูมิปัญญาของชาวปะหล่อง ที่สืบทอดกันมาจนถึง กรุงเทพฯ: สานักพมิ พศ์ ยาม.
ปัจจบุ นั คือ การถนนอมอาหาร โดยการนาผกั ที่ปลกู มา
ถนอมอาหารโดยการ นามาตากแห้ง และนาไปดอง เพ็ญพิศ ชงักรัมย์. ๒๕๖๐. “จินตนำกำรชุมชนของ
เพอ่ื เกบ็ ไวท้ านไดเ้ ป็นปี ๆ ชำวดำรำอ ำงภำยใ ต้บ ริบ ท รัฐ ชำ ติไ ท ย ” .
ชาวดาราอ้ัง จะมีฝีมือในการทอผ้า ซึ่งเกือบ วทิ ยานพิ นธศ์ ิลปศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชา
ทุกหลังคาเรือนจะมีการทอผ้า เพ่ือเอามาใช้ในการตัด สั ง ค ม ศ า ส ต ร์ บั ณ ฑิ ต วิ ท ย า ลั ย
เสื้อและผ้าซ่ิน ในการสวมใส่เป็นชุดประจาถ่ิน การทอ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่
ผา้ จะเน้น สีแดง เขยี ว ขาว นา้ เงิน ตามสีทีน่ ิยมในชาติ
พันธ์ุ และจะทอผ้าเพื่อนามาทากระเป๋า เพื่อใช้ใส่ สกุณี ณัฐพูลวัฒน์. ๒๕๔๔. “กลยุทธ์ในกำรเข้ำถึง
ส่งิ ของและเพอื่ นาไปจาหนา่ ยใหน้ ักท่องเที่ยว หรอื เปน็ ทรัพยำกรของชุมชน ต้ังถิ่นฐำน ใ ห ม่:
ของทีร่ ะลกึ ท่ำมกลำงบริบทของกำรปิดล้อมพ้ืนที่ป่ำ”.
วิทยานิพนธศ์ ิลปศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชา
การแต่งกายของชาวดาราอ้ัง ก า ร จั ด ก า ร ม นุ ษ ย์ กั บ สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม บั ณ ฑิ ต
วทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม.่
สุจริตลักษณ์ ดีผดุง. ๒๕๕๑. ปะหล่อง. วารสารภาษา
และวัฒนธรรม. ปีที่ ๒๗ ฉบับท่ี ๑ (มกราคม-
มถิ นุ ายน). หน้า ๙๙-๑๑๒.
อภชิ าต ภทั รธรรม. ๒๕๕๗. ชำตพิ นั ธุ์ดำรำอ้ัง หรอื ปะ
หล่อง. วารสารการจัดการป่าไม้. ปีที่ ๘ ฉบับ
ท่ี ๑๖. หน้า ๘๐-๘๙. คณะวนศาสตร์
มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
ศูนยพ์ ฒั นาราษฎรบนพื้นท่ีสงู จังหวัดแม่ฮ่องสอน “ปะ
ห ล่ อ ง PALONG” http://www.mhsdc.
org/interest๑๑๒.htm (สบื คนวันท่ี ๑๗ ก.ค.
๒๕๖๔)
สัมภำษณ์
นายหลง สามนวล ประธานวัฒนธรรมชาติ
พันธุ์ดาราอ้ัง จังหวัดเชียงราย บ้านโป่งเหนือ ตาบล
กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ในจังหวัดเชยี งราย | ๙๙
ชาติพันธ์ุ “ดาราอ้ัง” โปง่ ผา อาเภอแม่สาย จงั หวัดเชียงราย. (๑๗ กรกฎาคม
๒๕๖๔). สัมภาษณ์
นายสาม ไทยอ่อน หมอเมืองประจาชาติพนั ธุ์
บ้านโป่งเหนือ ตาบลโป่งผา อาเภอแม่สาย จังหวัด
เชียงราย. (๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔). สมั ภาษณ์
นางทอน นาโย บ้านโป่งเหนือ ตาบลโป่งผา
อาเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย. (๑๗ กรกฎาคม
๒๕๖๔). สมั ภาษณ์
นางแป้ง นาโย บ้านโป่งเหนือ ตาบลโป่งผา
อาเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย. (๑๗ กรกฎาคม
๒๕๖๔). สัมภาษณ์
๑๐๐ | กลุ่มชาติพนั ธุ์ ในจังหวดั เชยี งราย
ชาติพันธ์ุ “ม้ง”
ชาตพิ ันธุ์ “ม้ง”
Hmong
“มง้ (อังกฤษ : Hmong) เป็นกลุ่มชาติพันธุใ์ น ..............................................................................
ภูเขาของเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ และมีประวัตศิ าสตร์ นโยบายเป็นการปราบปราม เพราะเห็นว่าม้งท่ีเป็น
อนั ยาวนาน ชาวมง้ อพยพลงมาทางใต้ตัง้ แต่ศตวรรษท่ี ผู้ชายส่วนใหญ่แล้วรูปร่างหน้าตาคล้ายกับคนรัสเซีย
๑๘ เน่ืองจากสถานการณท์ ไ่ี มส่ งบทางการเมืองและหา ทา้ ใหค้ นจนี คิดว่า มง้ เป็นคนรัสเซีย จงึ เปน็ เหตุใหม้ ีการ
พ้ืนท่ีท่ีเหมาะสมกับการเพาะปลูก ปัจจุบันมีชาวม้ง ปราบปรามม้งเกิดข้ึน โดยให้ชาวม้งยอมจ้านน และ
อาศัยอยู่ในประเทศจีน ไทย เวียดนาม ลาว และ ยอมรับวัฒนธรรมของจีน และอีกประการหนงึ่ คือเหน็
สหรัฐอเมรกิ า” ว่า ชนเผ่าม้งเป็นพวกอนารยชนแห่งขุนเขา (คนป่า
เถ่ือน) จึงได้มีการต่อสู้กันอย่างรุนแรงในหลายแห่ง
๑. ประวตั ิศาสตร์ความเป็นมาของชาติพนั ธ์ุ เช่น ในเมืองพังหยนุ ในปี พ.ศ.๒๐๐๙ และการต่อสู้ใน
มณฑลไกวเจาในระหวา่ ง พ.ศ. ๒๒๗๖ – ๒๒๗๘ และ
ยังไม่ปรากฏหลักฐานใดสามารถสรุปได้ว่าชน การต่อสู้ในมณฑลเสฉวนในระหว่าง พ.ศ. ๒๓๐๖ –
ชาติม้งมาจากที่ไหน บ้างก็สันนิษฐานกันว่าชนเผ่า ๒๓๑๘ จนกระท่ังในที่สุด ชาวม้งประสบกับความ
ม้งคงจะอพยพมาจากท่ีราบสูงธิเบต ไซบีเรีย และ พ่ายแพ้ สูญเสียพลรบและประชากรเป็นจ้านวนมาก
มองโกเลีย เข้าสู่ประเทศจีน และตง้ั หลักแหล่งอยู่แถบ ในที่สุดม้งก็เร่ิมอพยพถอยร่นสู่ทางใต้ และกระจาย
ลุ่มแม่น้าเหลือง (แม่น้าฮวงโห) เมื่อราว ๓,๐๐๐ ปี เป็นกลุ่มย่อย ๆ กลับข้ึนอยู่บนท่ีสูงป่าเขาในแคว้นสิบ
มาแล้ว ซึ่งชาวเขาเผ่าม้งจะตั้งถิ่นฐานอยู่ในมณฑลไกว สองจุไทย สิบสองปนั นา และอกี กลุม่ ได้ อพยพไปตาม
เจา ฮุนหนา กวางสี และมณฑลยูนาน ม้งอาศัยอยู่ใน ทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือของราชอาณาจักรลาวบริเวณ
ประเทศจีนมาหลายศตรรษ จนกระทั่งประมาณ ทุ่งไหหินเดียนเบียนฟู โดยมีหัวหน้าม้งคนหน่ึง คือ
คริสตศตวรรษที่ ๑๗ ราชวงค์แมนจู (เหม็ง) มีอ้านาจ นายพลวังปอ ได้รวบรวมม้ง และอพยพเข้าสู่ประเทศ
ในประเทศจีน กษัตริย์จีนในราชวงค์เหม็งได้เปล่ียน ไทยเมอ่ื ประมาณ พ.ศ. ๒๔๐๐ เศษ เปน็ ต้นมา
กลุ่มชาติพนั ธ์ุ ในจงั หวัดเชยี งราย | ๑๐๑
ชาติพันธ์ุ “ม้ง” อ ย่ า ง ไ ร ก็ ต า ม ภ า ย ห ลั ง มี ก า ร ศึ ก ษ า จีนเข้ามายังพ้ืนที่บริเวณแถบอินโดจีนเพื่อการตั้งถ่ิน
ประวัติศาสตร์เก่ียวกับแหล่งต้นก้าเนิดของชาวมง้ โดย ฐานและการท้ามาหากินใหม่ ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศ
การสันนษิ ฐานจากการตีความต้านาน เรื่องเล่า บันทึก เวียดนาม ลาว พม่า และไทย (ประสิทธ์ิ ลีปรีชา
ความเช่ือกับพิธีกรรม และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมท่ี ๒๕๔๙) ส้าหรับประเทศไทยในปัจจุบัน ชาวม้งส่วน
สัมพนั ธก์ บั ตวั พืน้ ท่กี ายภาพและคน เผยใหเ้ หน็ ถงึ สาม ใหญ่ต้ังถิ่นฐานอยู่ตามภูเขาสูง หรือที่ราบเชิงเขาทาง
แนวคิดหลัก ได้แก่ แนวคิดแรกสันนษิ ฐานวา่ ม้งน่าจะ ตอนเหนือของประเทศไทย
มตี น้ กา้ เนดิ มาจากดนิ แดนขั้วโลกเหนือ โดยอพยพผา่ น
ไซบีเรียและมองโกเลียเข้ามายังดินแดนทางตอนเหนือ ปัจจุบันชนเผ่าม้งได้มีการอพยพและตั้งถิ่น
ของจีน จากน้ันลงมายังทางใต้ของจีน และต่อมา ฐานกระจายตัวอยู่ในพื้นที่สูงตามเชิงเขาในเขต ๖
ภายหลังส่วนหนึ่งเดินทางออกไปตั้งถิ่นฐานทางตอน อ้าเภอของจังหวัดเชยี งราย ได้แก่
เหนือที่ปัจจุบันเป็นประเทศเวียดนาม ลาว พม่า และ
ไทย ดังสะท้อนอยู่ในงานของมิชชันนารีตะวันตกช่ือ ๑. อำเภอเวียงปำ่ เปำ้ ตำบลสนั สลี
Savina ซ่ึงแนวคิดน้ีมีอิทธิพลต่อการศึกษาของ บ้านโปง่ นก หมู่ ๖
นกั วิชาการร่นุ หลังอยา่ ง Quincy และคนอ่ืน ๆ อยา่ ง บา้ นแมต่ ะละ หมู่ ๗
ม า ก ท่ี พ ย า ย า ม อ ธิ บ า ย ว่ า ตั ว ต น ม้ ง ผ่ า น ลั ก ษ ณ ะ บ้านโปง่ นกเหนือ หมู่ ๑๓
กรรมพันธุ์ท่ีคล้ายกับคนผิวขาวในยุโรปท่ีมีผมสีบรอน
และนัยน์ตาสีฟ้า แนวคิดท่ีสอง สันนิฐานว่าต้นก้าเนิด ๒. อำเภอเวยี งเชียงรงุ้ ตำบลดงมหำวัน
ของม้งอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศมองโกเลียปัจจุบัน บา้ นป่าสักงาม หมู่ ๙
โดยอา้ งอิงจากต้านานทเี่ ป็นเรื่องเลา่ เก่ียวกบั เด็กผหู้ ญิง
ม้งคนหน่ึงช่ือ “เม่าเก้าเลีย” หรือ “มองโกเลีย” ท่ีไม่ ๓. อำเภอเวยี งแกน่
กลัวส่ิงอันตรายใด ๆ จนเป็นที่น่ายกย่องและน้ามาสู่ ตำบลมว่ งยำย
ก า ร เ รี ย ก ชื่ อ พ้ื น ที่ ที่ เ ด็ ก ห ญิ ง ม้ ง ค น น้ั น อ ยู่ ว่ า บ้านหลู้ หมู่ ๑, บ้านห้วยลึก หมู่ ๔
“มองโกเลยี ” เหตุนีจ้ ึงมีการสนั นิฐานว่ามง้ มถี ิ่นก้าเนิด บา้ นไทยสามคั คี หมู่ ๖
ในประเทศมองโกเลียปัจจุบัน และแนวคิดสุดท้าย บ้านไทยเจริญ หมู่ ๘
สันนิษฐานว่า ม้งเป็นชนด้ังเดิมในจีน (aboriginal บ้านไทยสมบูรณ์
Chinese) โดยแรกเริม่ ตั้งถนิ่ ฐานอยทู่ างดา้ นตะวันออก ตำบลปอ
ของทะเลเหลือง จากนนั้ ได้เคลือ่ นยา้ ยท้ามาหากินตาม บา้ นพทิ ักษ์ศรี, บา้ นเจดยี ท์ อง,
แม่น้าฮวงโหเข้ามาสู่บริเวณท่ีเป็นภาคกลางของจีน บ้านทรายทอง หมู่ ๗
ต่อมาถูกรุกรานจากชาวมองโกลจึงได้อพยพลงมายัง บ้านห้วยคุ หมู่ ๘
ทางตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งปัจจุบันเป็นมณฑลเสฉวน บ้านห้วยหาน หมู่ ๙
กวางสี และยูนนาน ทั้งนี้ ภายหลังช่วงกลางศตวรรษ บา้ นร่มโพธ์เิ งนิ , บา้ นรม่ ฟา้ หลวง,
ท่ี ๑๘ เกดิ สงครามการต่อต้านรัฐบาลส่วนกลางปักกิ่ง บา้ นฟา้ ไทยงาม, บ้านรม่ ฟ้าผาหม่น,
ที่ท้าการขูดรีดและการเก็บภาษีสูงจากกลุ่มผู้มีอ้านาจ บ้านร่มฟา้ สยาม, บ้านศิลาแดง,
ในจีน สง่ ผลให้มง้ สว่ นหน่งึ ได้อพยพออกจากดินแดนใน บา้ นหว้ ยปอ, บ้านห้วยกุ๊ก,
บ้านรม่ ฟ้าทอง
๑๐๒ | กลมุ่ ชาติพันธุ์ ในจังหวดั เชยี งราย ตำบลทำ่ ข้ำม
บ้านหว้ ยแลง้ หมู่ ๒, บา้ นป่าตงึ ,
บ้านหว้ ยต้วิ
๔. อำเภอเทิง ตำบลตับเตำ่ กลุ่มม้ง เพราะแซ่สกุลเดียวกันไม่ว่าจะเป็นม้งเขียว ชาติพันธ์ุ “ม้ง”
บา้ นร่มโพธ์ิไทย หมู่ ๙ หรือม้งขาวถือว่าเป็นญาติพี่น้องกัน และแต่งงานกกนั
บา้ นราษฎรภักดี หมู่ ๑๐ ไม่ได้ ในอดีตเม่ือยังมีการท้าการเกษตรเพื่อการยังชีพ
บ้านขนุ ต้า หมู่ ๑๑ ควบคู่กับการปลูกฝ่ินเพ่ือขายน้ัน ครอบครัวและเครือ
บา้ นแผ่นดินทอง หมู่ ๑๒ ญาติมีความส้าคัญในการผลิตมาก ชนเผ่าม้งจึงมักจะ
บ้านขุนห้วยไคร้ หมู่ ๑๔ ตั้งชุมชนตามกลุ่มเครือญาติของตนเองเป็นหลักเพ่ือ
บา้ นรกั แผ่นดนิ หมู่ ๑๕ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในระดับครัวเรือนก็เช่นกัน
บ้านไทยสามัคคี หมู่ ๑๖ อาศัยอยู่กันแบบครอบครัวขยาย ที่สมาชิกทุกคน
บ้านราษฎร์ กั ษา หมู่ ๑๗ ประกอบดว้ ย ปู่ ย่า พอ่ แม่ พ่นี อ้ ง และลูกหลานอาศัย
บา้ นร่มโพธท์ิ อง หมู่ ๑๙ อยู่ในชายคาเดียวกัน และท้ามาหากินร่วมกันโดยมีปู่
บ้านพทิ ักษ์ไทย หมู่ ๒๐ หรอื ชายที่อาวโุ สท่ีสุดในบ้านเปน็ หวั หน้าครวั เรอื น การ
บ้านเล่าตาขาว หมู่ ๒๑ มีความสัมพันธ์ท่ีดีในเครือญาติและครอบครัวจึงมี
บา้ นพญาเลาอู หมู่ ๒๓ ความส้าคัญต่อความมั่นคงของชีวิตในยุคก่อนที่พวก
บา้ นร่มฟา้ ไทย หมู่ ๒๔ เขาจะถูกนับรวมเป็นพลเมอื งของรัฐใดรฐั หนงึ่
บ้านประชาภักดี หมู่ ๒๕
อย่างไรก็ตาม ในช่วงประมาณสามทศวรรษท่ี
๕. อำเภอเชยี งแสน ตำบลแมเ่ งนิ ผา่ นมาท่ีคนมง้ ไดห้ นั มาสรู่ ะบบการเกษตรเพ่ือจา้ หน่าย
บา้ นธารทอง หมู่ ๑๑ เป็นหลักแล้ว ได้ท้าใหร้ ะบบความสมั พันธ์ในครอบครัว
และเครือญาติน้ันเปลี่ยนแปลงไป เพราะระบบการ
๖. อำเภอเชยี งของ ผลติ ดงั กลา่ วมกี ารแข่งขนั และช่วงชงิ ทรัพยากรเกิดการ
ตำบลรมิ โขง ช่วงชิงที่ดินท้ากินท้ังในระดับครัวเรือนและเครือญาติ
บ้านกวิ่ กาญจน์, บ้านก่วิ ดอยหลวง, พ่ีน้องในสายเลือดเดียวกันหรือในตระกูลเดียวกันจึง
บ้านมว่ งกาญจน์, บา้ นพนาสวรรค์ กลายเป็นคู่แข่งของกันและกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
ตำบลเวียง เงินได้กลายมาเป็นของมีค่าที่ทุกคนต้องการมากกว่า
บ้านท่งุ ทรายพฒั นา ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ดังนั้นคนม้งส่วนใหญ่ใน
บ้านท่งุ นาน้อย หมู่ ๑๑ ปจั จบุ นั เมือ่ แตง่ งานและสามารถตง้ั ตวั ได้แล้วจึงมักจะ
ไปสร้างบ้านอีกหลังหน่ึงเพื่อให้ตนเองมีอิสรภาพมาก
๒. โครงสร้างทางสังคม ขึ้นในการจัดการตนเอง ในบางครัวเรือนถึงกับละท้ิง
พ่อแม่ของตนเองที่แก่ชราให้ดิ้นรนท้ามาหากินโดย
๒.๑ การปกครอง ล้าพัง ฉะนั้นตราบใดท่ีเรื่องปากท้องหรือเงินทองมี
ชนเผ่าม้งในประเทศไทยแบง่ ออกเป็น ๒ กลุ่ม ความสา้ คัญเหนือความสัมพันธข์ องสมาชกิ ในครวั เรือน
ย่อย คือ ม้งขาว(ม้งเด้อ) ม้งเขียว (ม้งจั๊ว) และโดย ย่ิงอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่หรือครอบครัวขยายก็ยิ่ง
จ้าแนกตามลักษณะเส้ือผ้า การแต่งกายและส้าเนียง ก่อให้เกิดปัญหาความไม่ลงรอยกันได้ง่าย จึงน้ามาสู่
ภาษาพูดท่ีแตกตา่ งไม่มากนัก ชนเผ่ามง้ มกี ารแบ่งกลุ่ม การปรับเปลย่ี นลกั ษณะของการใชช้ ีวิตอยู่รว่ มกันแบบ
หรือจัดองค์กรทางสังคมเป็นแซ่ หรือสกุล แบบ ครอบครัวขนาดใหญ่มาสู่ครอบครัวขนาดย่อยในที่สุด
เดียวกับชาวจีน โดยอาจจะกล่าวได้ว่าแซ่สกุลของชน
เผ่าม้งนั้นมีความส้าคัญมากกว่าการจัดประเภทของ กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ ในจังหวดั เชียงราย | ๑๐๓
ชาติพันธ์ุ “ม้ง” เพ่ือสร้างความมั่งค่ังให้กับครอบครัวตนเองมากที่สุด ในเร่ืองพิธีกรรมและด้านอ่ืน ๆ ในชีวิตประจ้าวันที่
และลดบทบาทความรับผิดชอบของตนเองท่คี วรต่อพ่อ
แม่หรือพี่น้องของตนเองให้น้อยลง ความสัมพันธ์ใน แตกต่างกันออกไปด้วย
ระดับเครือญาติก็เช่นกัน แม้บรรพบุรุษจะได้น้าไปผูก
โยงกับระบบความเชื่อก็ตาม แต่เม่ือกระแสของทุน ปั จ จุ บั น ค ว า ม ผู ก พั น แ ล ะ ค ว า ม ส้ า คั ญ ข อ ง
นิยมเข้ามาปะทะประสานกับสังคมม้งแล้ว ระบบ
ความสัมพันธ์ทางเครือญาติก็ถูกสั่นคลอนไปด้วย ระบบแซ่ตระกูลในสังคมม้งในไทยเริ่มเปล่ียนไป
เช่นกนั
โดยเฉพาะในกลุ่มของคนรุ่นใหม่ที่มีวถิ ีชีวิตแบบคนใน
สังคมม้งเป็นระบบสังคมท่ีสืบทอดผีเรือนและ
มรดกผ่านฝ่ายผู้ชายเป็นหลัก เป็นระบบแซ่ตระกูล เมอื ง และคนทีเ่ ปลย่ี นไปนับถอื ศาสนาอ่ืนแลว้ ทส่ี า้ คัญ
ความสัมพันธ์ผ่านระบบแซ่ตระกูลดังกล่าว มีสาม
ระดบั ด้วยกัน คอื ระดับพน่ี ้องท่รี ่วมสายโลหิตหรอื ร่วม คือชื่อแซ่ของม้งได้เปลี่ยนมาเป็นระบบนามสกุล
ผีเรือนเดียวกัน เป็นกลุ่มพ่ีน้องท่ียังสามารถสืบทอด
กลบั ไปหาบรรพบุรุษคนเดยี วกันได้ และมีรายละเอียด ม้งแบบไทยมากข้ึน คนแซ่เดียวกันกลายเป็นคนที่มี
ของพิธีกรรมส้าคัญเป็นแบบเดียวกัน ระดับที่สองเป็น
พี่น้องร่วมแซ่ตระกลู จากต้านานและนิทาน เชื่อกันวา่ นามสกุลหลากหลายตามระบบกฎหมายและเอกสาร
คนท่ีมีแซ่เดียวกันคือพ่ีน้องร่วมสายเลือดเดียวกัน
แม้พวกเขาจะไม่รู้จักกันมาก่อนหรือไม่ได้มีความเกีย่ ว การขึน้ ทะเบยี นของทางราชการ จึงอาจเปน็ การยากที่
โยงกันใด ๆ มาก่อน เพียงแตเ่ ป็นคนในแซ่ที่เหมือนกัน
และระดับที่สาม เป็นความสัมพันธ์ระหว่างแซ่ น่ันคือ ลูกหลานในรนุ่ ตอ่ ๆ ไป จะรูแ้ ซ่ตระกูลมง้ ท่ีแท้จริงของ
คนท่ีไม่มีแซเ่ ดียวกันก็สามารถเป็นเครือญาติกนั ได้โดย
ผ่านการแต่งงาน ดังค้าพูดของชาวม้งในพิธีแต่งงาน ตนเอง และนา้ ไปส่กู ารแต่งงานของคนม้งรนุ่ ใหม่ท่ีอยู่
ที่ว่า “การแต่งงาน ไม่ใช่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์
ระหว่างหญิงกับชายเพยี งสองคน หรือระหว่างสมาชิก ในแซ่เดียวกันโดยไม่รู้ตัว๒.๓ ระบบครอบครัวและ
ในสองครอบครัวเท่านัน้ แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง
สองตระกูล” ท้ังน้ี ข้อห้ามที่ส้าคัญคือไม่ให้หนุ่มสาวท่ี เครือญาติ
ร่วมแซ่เดียวกันแต่งงานกัน อย่างไรก็ตาม ผู้ท่ีจะสืบ
เช้ือสายของแต่ละตระกูลต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น ดังนนั้ ๓. วถิ ชี ีวติ ความเปน็ อยู่
เม่ือแต่งงานกันแล้วฝ่ายหญิงจะย้ายเขา้ ไปอยู่บ้านของ
ฝ่ายชายและนับถือผีเรือนกับเป็นสมาชิกของตระกูล ๓.๑ ท่ีอย่อู าศยั
ฝ่ายชายระบบสายสัมพันธ์ทางเครือญาติดังกล่าวจะ สมยั กอ่ นชมุ ชนชาวม้งต้ังอยู่บนภูเขาสงู อยู่กับ
เป็นตัวก้าหนดหรือตัวจัดวางต้าแหน่งแห่งท่ีของคนม้ง ธรรมชาติและมีการโยกย้ายถิ่นฐานบ่อย ภายหลังจาก
ในสังคมเป็นส้าคัญ ความสัมพันธ์ในสามระดับข้างต้น ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่ใช้ในการเพาะปลูก
จะนา้ มาสคู่ วามรับผดิ ชอบและชว่ ยเหลือกันและกันท้ัง ลดน้อยลง ลักษณะบ้านเรือนของชาวม้งจึงมักปลูก
คร่อมอยู่บนพ้ืนดิน บ้านชาวม้งในอดีตใช้วัสดุท่ีได้จาก
๑๐๔ | กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย ธรรมชาติในการสร้างบ้าน เช่น ไม้ ไม้ไผ่ หญา้ คาหรือ
ใบจาก แต่เสาจะเป็นไม้เน้ือแข็ง ตัวบ้านไม่มีหน้าต่าง
เน่ืองจากอยู่ในที่อากาศหนาวเย็น ใกล้กับประตูหลัก
จะมีเตาไฟเล็ก และแคร่ไม้ไผ่สาหรับนั่งหรือนอนเล่น
หรอื เอาไว้รบั แขก กลางบา้ นจะเป็นท่ีทางาน เขา้ ไปใน
สุด ด้านซ้ายจะเป็นเตาไฟใหญ่สาหรับทาอาหารเลี้ยง
แขกจานวนมาก และเอาไวต้ ม้ อาหารหมู บางบา้ นจะมี
ครกไม้ใหญ่สาหรับตาขา้ วเปลอื ก มีลูกโม่หนิ สาหรับบด
ข้าวโพด แป้ง ถ่ัวเหลือง ใกล้กับท่ีทางานจะมีกระบอก
ไม้ใผ่รองน้าตง้ั อยู่ สาหรับมุมบ้านฝั่งซ้ายมักจะกั้นเปน็
ห้องนอนของพ่อแม่กับลูก โดยชาวม้งมีความเช่ือว่า
หลังคาบา้ นเปรยี บเสมอื นกับโลกของสวรรค์ พื้นดินลง
ไปเป็นพ้ืนที่อยู่ของโลกธรรมชาติ ส่วนระหว่างหลังคา
กับพน้ื ดนิ นั้นเป็นโลกของมนษุ ย์หรือโลกของชีวติ สังคม
แทบจะทุกสว่ นและทกุ มุมบ้านเป็นท่ีสถติ ของเทพเทวา
โดยภายในบ้านจะมีสถานท่ีศักด์ิสิทธ์ิ อยู่ ๔ แห่ง คือ
ประตูทางเข้าหลัก เสากลางบ้าน ผนังบ้านที่ตรงข้าม แต่ละหยอ่ มจะมบี ้าน ๗ - ๘ หลังคาเรือน โดยที่มเี รอื น ชาติพันธ์ุ “ม้ง”
กับประตูหลกั ซง่ึ มหี ง้ิ บูชาติดผนงั อยู่ และเตาไฟใหญ่ ใหญ่ของคนส้าคัญอยู่ตรงกลาง ส่วนเรือนท่ีเป็นเรือน
เล็กจะเป็นลูกบ้านหรือลูกหลาน แต่ละหย่อมน้ันจะ
หมายถึงตระกูลเดียวกัน หรือเป็นญาติพี่น้องกัน
การตั้งถิ่นฐานในเชิงภูมิศาสตร์ ณ ปัจจุบัน ชาวม้ง
อาศัยอยู่ตามภูเขาต่าง ๆ เช่น ดอยช้าง ดอยผาหม่น
ดอยหลวง ในจังหวดั เชยี งราย
บา้ นชาวม้ง ลักษณะของการเลือกท้าเลทตี่ งั้ ทีอ่ ยู่อาศยั ของชนเผ่าม้ง
ภาพจาก http://www.ourweb.info/๐๑/photos/laos/๐๑๑/index๑๐.shtml ภาพจาก https://goo.gl/๑loqdM
ปัจจุบันลักษณะบ้านของชาวม้งส่วนใหญ่ ลักษณะของการเลอื กพ้ืนทเ่ี พาะปลกู พืน้ ทท่ี ้า
เปลี่ยนแปลงไปมาก ท้ังหมู่บ้านท่ีอยู่บนภูเขาสูงและ กิน ในอดีตนั้นชาวม้งอาศัยอยู่ตามภูเขาอยู่ตาม
หมู่บ้านที่อยู่ในพื้นราบ บ้านมีลักษณะคงทนถาวร มี ธรรมชาติ ชาวม้งต้องตรากตร้าท้างานหนักอยู่แต่ในไร่
การวัสดุก่อสร้างที่สามารถซ้ือมาจากในเมือง ดังนั้น เท่าน้ัน ท้าให้ไม่มีเวลาที่จะดูแลตัวเองและครอบครัว
ส้าหรับครัวเรือนท่ีพอมีฐานะก็ได้สร้างบ้านใหม่ที่ ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวม้งจึงเป็นแบบเรียบง่าย
เปล่ียนไปท้ังรูปทรง ขนาด และวัสดุท่ีใช้สร้างก็ เ พ ร า ะ ค ลุ ก ค ลี กั บ ธ ร ร ม ช า ติ เ ป็ น ส่ ว น ใ ห ญ่
เปลย่ี นไปตามยุคสมยั แบบคนพื้นราบ แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม ชวี ติ ประจา้ วนั ของชาวมง้ คือ จะท้าไร่ ท้าสวนบนดอย
มมุ ต่าง ๆ ของบ้านจากเดิมทีเ่ ป็นสว่ นหนง่ึ ท่ีสมั พันธ์กับ หรือพ้ืนท่ีราบสูง พืชที่นิยมปลูกได้แก่ ข้าวเจ้า ข้าว
ความจ้าเป็นในการใช้ประโยชน์ภายในบ้าน ปัจจุบัน เหนียว ข้าวโพด ถ่ัว ฟักทอง ผักกาดพริก หอม
แม้จะกิจกรรมและพ้ืนท่ีใช้สอยภายในบ้าน จะ กระเทียมและปอ เป็นต้น มีการปลูกไร่ข้าวบนดอย
เปล่ียนไป แต่คนม้งที่นับถือบรรพบุรุษและผีเรือนก็ยงั และในปัจจุบันมีการปลูกข้าวในนาด้วยเพราะยังมี
คงไว้ซ่ึงสัญลักษณ์บางอย่างเอาไว้ เช่น ปัจจุบัน ชาวม้งบางส่วนที่ได้อพยพมาตั้งรกรากในพ้ืนท่ีราบล่มุ
ครวั เรือนชาวมง้ หันมาใช้แก๊สเพื่อหุงหาอาหาร แตก่ ็ยัง และสามารถท้านาได้ นอกจากน้ันชาวม้งยังได้รับการ
ต้ อ ง น้ า เ ต า ไ ฟ ไ ป ว า ง ต้ั ง ไ ว้ เ พ่ื อ เ ป็ น ที่ ส ถิ ต ข อ ง สิ่ ง พัฒนาส่งเสริมให้ปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการหา
ศักดิ์สิทธ์ิและใชเ้ ปน็ ทปี่ ระกอบพิธกี รรมด้วย รายได้เพิ่มให้กับครอบครัว พืชท่ีนิยมปลูกส่วนมาก
ได้แก่ มะม่วง ล้าไย ล้ินจ่ี มะขาม และการเล้ียงไหม
ลักษณะของการเลือกทา้ เลท่ตี งั้ รกรากถิ่นฐาน ส่วนผกั ทนี่ ยิ มปลกู มาเปน็ รายไดเ้ สริม ได้แก่ กะหล่า้ ปลี
ที่อยู่อาศัย ในอดีตชนเผ่าม้งมีการปลูกฝิ่นเป็นพืชหลกั ขิง ฝ้าย มะเขือเทศ มันส้าปะหลัง นอกจากน้ันยังมี
จึงนยิ มสรา้ งบ้านอยูบ่ นภูเขาสูง แตใ่ นปจั จุบนั น้ี ชาวม้ง
ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากพระบาทสมเด็จพระ กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย | ๑๐๕
เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ให้อพยพมาต้ังรกรากอยู่ในพื้น
ราบลุ่มเขา และยังมีชาวม้งบางกลุ่มก็ยังคงตั้งรกราก
อยู่บนดอย แต่ไม่ลึก การคมนาคมพอที่จะเข้าไปถึงได้
หมู่บ้านม้งจะประกอบด้วยกลุ่มเรือนหลาย ๆ หย่อม
ชาติพันธ์ุ “ม้ง” ชาวม้งบางส่วนปลูกดอกไมเ้ มืองหนาวขาย ไดแ้ ก่ ดอก เกิดปัญหาแรงงานในครอบครัวและชุมชนไม่เพียงพอ
จึงมีการว่าจ้างแรงงานข้ามชาติจากประเทศเมียนมาร์
คาเนชนั่ ดอกกหุ ลาบ เป็นต้น หรือประเทศลาวเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตพืชผล
ทางการเกษตรอีกด้วย นอกจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ
๓.๒ การประกอบอาชพี การเกษตรแล้ว ชาวม้งบางส่วนก็ผันตนเองมาทาการ
ชาวม้งส่วนใหญ่ทามาหาเลี้ยงชีพด้วยการ ค้าขายกับสินค้าหัตถกรรม เช่น ผ้าปัก เสื้อผ้าม้ง
เพาะปลูกพืชพื้นบ้านและเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก ในอดีต ประยกุ ต์ และเครอ่ื งประดบั ตา่ ง ๆ ใหท้ งั้ กบั ชาวม้งดว้ ย
นอกจากการปลูกข้าว พืชผัก และขา้ วโพดเล้ยี งการยัง กนั เองและคนนอกวัฒนธรรมอกี ดว้ ย ชาวม้งรนุ่ ใหม่ทีม่ ี
ชีพแล้ว ชาวม้งยังมีการปลูกฝ่ินท่ีเป็นพืชท่ีนามาซึ่ง โอกาสได้ได้รับการศึกษาสูงขึ้น บางคนจบปริญญาตรี
รายได้หลกั ของชาวมง้ และแมร้ ัฐบาลจะมีการประกาศ ขน้ึ ไปก็เข้าไปสู่การประกอบอาชีพทางราชการ เช่น ครู
ให้ฝ่นิ เปน็ พชื ผิดกฎหมายมาต้งั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๑ แล้ว อาจารย์ แพทย์ พยาบาล ตารวจ ทหาร เป็นต้น
ก็ตาม แต่ชาวม้งส่วนใหญ่ก็ยังคงปลูกมาเรื่อย ๆ บางส่วนท่ีได้รับการศึกษาในระดับสูงแต่ก็เลือกทจ่ี ะไม่
จนกระทั่งทางหน่วยงานราชการเริ่มมีความเข้มงวด เข้าไปส่อู าชีพรับราชการ และหันมาประกอบอาชีพท่ีมี
มากข้ึนในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ และมีโครงการพัฒนาพันธ์ุ ความเป็นอิสระมากขึ้น อย่างเช่น การเป็นนักวิชาการ
พืชทดแทนฝิ่นต่าง ๆ เร่ิมเข้าไปนาเสนอให้กับชุมชน ทนายความ และนักธุรกิจข้ามชาติ เป็นต้น สาหรับ
ชาติพันธุ์บนพ้ืนที่สูงด้วย ทาให้ชาวม้งค่อย ๆ เริ่มหัน ชุมชนชนเผ่าม้งที่อยู่ใกล้ตามแหล่งท่องเที่ยวท่ีมี
มาปลูกพืชผักและไม้ผลอย่างอื่นเข้ามาแทนที่ฝิ่นตาม ช่ือเสียง ชาวม้งบางส่วนหันมาประกอบอาชีพด้านการ
การส่งเสริมขององค์กรต่าง ๆ และตามกลไกลของ ท่องเท่ียว เช่น ขายของที่ระลึกชนเผ่า ผู้ประกอบการ
ตลาดนับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตามในช่วง ท่ีพักและไกด์ท้องถ่นิ เป็นตน้
๑๐-๒๐ ปมี านี้ ยังคงมชี าวมง้ บางกลุม่ ท่ีหันไปประกอบ
อาชีพอน่ื ๆ ทนี่ อกเหนอื จากการทาการเกษตรอีกด้วย สวนกุหลาบของชาวม้ง ดอยพญาพทิ ักษ์ อ้าเภอขุนตาล
เช่น ผู้ประกอบการธุรกิจต่าง ๆ ข้าราชการ นัก
กิจกรรม นักวิชาการ และรับจ้างทั่วไป แต่ถึงอย่างไร การประกอบอาชพี เกษตรกรรมของชาวมง้
สังคมม้งส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นสังคมเกษตรกรรมชาวม้ง
จงึ ไมม่ ีวันหยดุ ตามประเพณี นอกจากวนั พธิ ปี ีใหม่ หรอื ภาพจาก https://goo.gl/๒gHA๔V
อาจจะหยุดตามเหตุการณ์สาคัญต่าง ๆ เช่น มี
ผู้เสียชีวิตในหมู่บ้าน พิธีแต่งงาน หรือการประกอบ
พิธีกรรมของแต่ละครัวเรือน ดังนั้นกิจกรรมด้าน
การเกษตรตามกาหนดเวลาในรอบปีที่เกี่ยวกับไร่ข้าว
ข้าวโพด พืชผกั ต่าง ๆ โดยในปัจจบุ ันชนเผ่ามง้ ได้เริ่มมี
การทาเกษตรผสมผสานมากขึ้น ส่วนใหญ่หลังการทา
ไรข่ า้ วและขา้ วโพดแล้วจะทาสวนผลไมแ้ ทนและอาจมี
อาชพี อืน่ มาเสริม เชน่ การปักผ้า การทาเคร่อื งประดับ
ทองขาว การทาเคร่ืองเงนิ การจักสาน เป็นต้น
การทาการเกษตรของชาวม้งในไทยปัจจุบัน
ส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพื่อจาหน่ายเป็นหลัก ไม่ได้มุ่ง
ผลติ เพื่อการบริโภคในครัวเรือนเพยี งอย่างเดียวมีเพียง
ส่วนน้อยเท่าน้ันที่ยังคงทาการผลิตข้าวไว้บริโภคเอง
แต่สว่ นใหญน่ ้ันได้หนั มาปลกู พืชเชิงพาณิชย์กนั มากข้ึน
แล้วนาเงนิ รายได้น้ันมาซื้อขา้ วและพืชผักต่าง ๆ เพือ่ ใช้
ในการบริโภคในครัวเรือน มีการทาการเกษตรเพื่อมุ่ง
ทาการผลิตและขายให้กับตลาดมากข้ึน จนบางครั้ง
๑๐๖ | กลมุ่ ชาติพันธ์ุ ในจงั หวัดเชียงราย
๔. วฒั นธรรมและประเพณี กับโลกอีกมิติหน่ึงผ่านการท้าพิธีกรรม ความเชื่อและ ชาติพันธ์ุ “ม้ง”
พธิ ีกรรมตา่ ง ๆ ได้รบั การสบื ทอดโดยพ่อหมอเป็นหลัก
๔.๑ ศาสนา และมีการสืบทอดความเชื่อและพิธีกรรมดังกล่าวรุ่น
การนับถือศาสนาของชาวม้งมี ๒ ลักษณะ สูร่ นุ่
ได้แก่ มีการนับถือศาสนาคริตส์ตามพ่อแม่ ปู่ย่า ตา
ยายที่ได้รับการเผยแพร่ศาสนาของมิชันนารีในอดีต ๔.๒ พธิ ีกรรม ความเช่อื
วันอาทิตย์มีการร่วมท้ากิจกรรมในโบสถ์ และการ พิธีกรรมส้าคัญของชาวม้ง เป็นพิธีกรรมท่ี
นบั ถอื ศาสนาพทุ ธซง่ึ มีการร่วมท้ากิจกรรมในวันส้าคัญ ส้าคัญต้ังแต่การเกิดไปจนถึงความเจ็บป่วยและการ
ต่าง ๆ ทางศาสนา เช่น วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา ตาย
วันมาฆบูชา วนั วสิ าขบชู าและวันอาสาฬหบชู า เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตามชนเผ่าม้งท้ังสองศาสนายังคงมีการ • พธิ ี ฮู ปลี่ (Hlu plig) เปน็ พธิ ีกรรมเรียกขวัญ
นับถือผีบรรพบุรุษ โดยมีการยึดถือและปฏิบัติสืบต่อ ให้กับเด็กแรกเกิดท่ีมีอายุได้ ๓ วัน ซึ่งใน
กนั มาตงั้ แตอ่ ดีตจนถงึ ปจั จบุ ัน พิธีกรรมดังกล่าวก็จะมีการต้ังชื่อเด็กไปด้วย
การนับถือผีหรือส่ิงศักด์ิสิทธิ์ที่ชาวม้งนับถือ ท้าเพ่ือเรียกขวัญสะใภ้ใหม่ในเช้าวันท่ีสาม
ประกอบด้วยสองส่วน คือ ผบี ้าน และผปี า่ มีช่ือเรียกผี เป็นพิธีกรรมเรียกขวัญให้กับคนที่ไม่สบาย
เหลา่ นี้ว่า ด๊า สว่ นจะเปน็ ด๊ะอะไรนั้นขึน้ อย่กู ับประเภท หรือขวัญหาย และเป็นพิธีกรรมหนึ่งที่ท้าใน
ของผี ในส่วนของผีบ้านประกอบด้วยผีบรรพบุรุษ วันข้ึนปีใหม่ เพื่อเรียกขวัญของสมาชิกทุกคน
กบั ผเี รอื น โดยผเี รอื นเป็นส่ิงศักดต์ิ ามจุดต่าง ๆ ภายใน ในบ้านให้อยู่กับตัวตลอดปีใหม่ ผู้น้าพิธีกรรม
บ้าน เป็นผีประตู ผีเสา ผีเตาไฟใหญ่ ผีเตาไฟเล็ก คือ หวั หนา้ ครอบครัวหรือชายท่อี าวุโสท่ีสุดใน
เป็นต้น ผีบ้านเป็นผีที่คอยปกป้องคุ้มครองสมาชิกใน ครวั เรือน หรอื อาจใหผ้ ู้อาวุโสทา่ นใดกไ็ ด้ที่ตน
ครัวเรือน แต่หากขาดการดูแลหรือสักการะตาม ไวว้ างใจเปน็ ผูป้ ระกอบพธิ ี
ประเพณี ผีบ้านก็อาจไม่คุ้มครองหรือส่งผลต่ออาการ
เจ็บป่วยของสมาชิกในบ้านได้ ส่วนผีป่าเป็นสิ่ง • พิธี น่อ ช้ง (Noj tshoob) เป็นพิธีแต่งงาน
ศักด์ิสิทธ์ิประจ้าท้องถ่ินหรือเมือง ขุนเขา ล้าห้วย และกินเล้ียง ผู้น้าพิธีกรรม คือ ตัวแทนฝ่าย
จอมปลวก แอ่งน้า ป่าเขา รวมถึงผีฟ้าด้วย ความเช่ือ ชายและฝา่ ยหญิง ทา้ ท่ีบา้ นของพอ่ แมเ่ จา้ สาว
ต่อผีเหล่าน้ีก็คือหากคนไปล่วงละเมิดก็จะท้าให้เกิด
อาการเจ็บป่วยและตายได้ ความสัมพันธ์ระหว่าง • พิธี ตี่ เป่ เหล่ำ ( Tim npe laus) เป็น
มนุษย์กับผีหรือส่ิงศักดิ์สิทธ์ิเหล่าน้ีแฝงอยู่ในกระบวน พิธีกรรมเปล่ียนผ่านที่จัดข้ึนเพื่อต้ังชื่อใหม่
ความคิดของคนม้ง นั่นคือโลกที่มนุษย์เราและ ให้กับชายวัยกลางคนที่แต่งงานและ มี
ธรรมชาติอาศัยอยู่ในน้ีเป็นโลกแห่งความสว่าง หรือ ครอบครัวแล้ว จากท่ีเคยใช้ช่ือท่ีพ่อแม่ผู้ให้
หยาง ส่วนโลกในอีกมิติหนึ่งท่ีเป็นโลกแห่งความมืด ก้าหนดเป็นคนตั้ง พิธีนี้จะให้พ่อแม่ของฝ่าย
หรอื หยนิ เป็นทอ่ี ยอู่ าศัยของวญิ ญาณตา่ ง ๆ โดยคนมง้ ภรรยาเป็นผู้ตั้งให้และใช้ไปตลอดชีวิต ผู้น้า
เชื่อว่าแต่เดิมนั้นมนุษย์และวิญญาณเหล่านี้สามารถ พิธีกรรมคือ ลูกเขยและลูกสาวที่แสดงต่อพ่อ
พูดคุยสื่อสารกันได้ แต่ภายหลังไม่สามารถส่ือสารกัน แม่ของฝา่ ยหญงิ
ได้ จึงต้องอาศัยส่ือกลางคือ พ่อหมอ ในการเช่ือมต่อ
• พิธี ปะ ตั่ว (pam tuag) เป็นพิธีกรรมใน
ขน้ั ตอนต่าง ๆท่ีประกอบระหว่างงานศพ ผู้น้า
พิธีกรรม คือ ผู้ชายท้าหน้าที่หลักเกือบทุก
อย่าง
กลมุ่ ชาติพันธ์ุ ในจงั หวดั เชียงราย | ๑๐๗
ชาติพันธ์ุ “ม้ง” • พิธี อัว เน้ง (Ua neeb) เป็นการท้าหน้าท่ี ให้ท้าอะไร เม่ือพ่อหมอสั่งลงมา คนท่ีเป็นตัวแทนต้อง
รักษาอาการป่วย โดยคาดว่าสาเหตุการป่วย บอกกบั คนในครอบครวั ให้ท้าตามค้าบอกกล่าวของพ่อ
น้ั น เ กิ ด จ า ก ก า ร ก ร ะ ท้ า ข อ ง ผี ห รื อ หมอ เมื่อสั่งให้ห่าหมูก็ต้องน้าหมูมาฆ่าแล้วจะน้ากัวะ
วิญญาณ ผนู้ า้ พธิ ีกรรม คอื จ๋ีเน้ง หรือหมอเนง้ มาจุมกับเลือดหมู พร้อมกับมาปะที่หลังคนไข้ แล้วพ่อ
(shaman) ทง้ั ชายและหญงิ หมอจะเป่าเวทมนต์ให้ จากน้ันจะน้ากัวะไปจุ่มเลือด
หมู เพื่อไปเซ่นไหว้ที่ผนังที่เป็นที่รวมของของบูชา
• พธิ ี กำรดูหมอ (saib yaig) เป็นพิธีทีพ่ ่อหมอ เหล่านน้ั
ท้าเพื่อวินิจฉัยถึงสาเหตุของอาการเจ็บป่วย
หรือเหตุเลวร้ายต่าง ๆ ท่ีเกิดกับสมาชิกใน การรักษาคนตกใจ (การไซ่เจง) ของคนมง้ จะ
บ้าน ผู้น้าพิธีกรรม คือ ใครก็ได้ที่เป็นพอ่ หมอ กระทา้ เมอ่ื มีคนป่วยท่ีตวั เยน็ เท้าเยน็ ใบหูเยน็ มือเย็น
(shaman) ซ่งึ ม้งเชื่อว่าการท่ีเท้าเย็น มือเย็น หรอื ตวั เยน็ เกดิ จาก
ส้าหรับการรักษาอาการป่วยของคนม้งมี ๒ ขวัญในตัวคนได้หล่นหายไป หรือไปท้าให้ผีกลัว แล้วผี
ก็แกล้งท้าให้บุคคลนั้นไม่สบาย มีวิธีการรักษาดังน้ี
รูปแบบ ได้แก่ การรักษาด้วยคาถาและพิธีกรรมการ พ่อหมอจะน้าเอาขิงมานวดตามเส้นประสาท ได้แก่
เยียวยา (เช่น การเข้าทรงหรืออัวเน้ง การฮูพลีหรือ บริเวณปลายจมูกตรงไปท่ีหน้าผาก นวดแล้วย้อนกลับ
เรียกขวัญ ) และการรักษาโดยใช้ยาสมุนไพรในการ ไปที่ใบหู แล้ว นวดบรเิ วณหน้าผากไปที่ใบหูซ้า ๓ ครง้ั
เยียว ยารัก ษา แต่ใน ปัจจุบัน นิยมไปรัก ษาใน จากน้ันเปล่ียนเป็นการนวดที่เส้นประสาทมือ คือ
สถานพยาบาลมากขึ้น จะนวดท่ีปลายน้ิวมือไล่ไปที่ข้อมือท้าซ้าทุกน้ิวมือ
แล้วรวมกนั ท่ขี อ้ มอื นวด และหมุนรอบทขี่ อ้ มือ ซง่ึ ขณะ
การรักษาด้วยการท้าผี หรือการลงผี (การ นวดต้องเป่าคาถาด้วย และบริเวณฝ่าเท้าให้นวด
อั๊วเน้ง) แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ การอั๊วเน้งข่อย เหมือนกัน ต้องท้าซ้ากัน ๓ คร้ัง ซ่ึงการรักษาไซ่เจงนี้
ชั๊วะ การอั๊วเน้งเกร่ท่ัง และการอั๊วเน้งไซใย่ ซึ่งแต่ละ จะท้าการรักษา ๓ วัน เม่ือเสร็จจากการรักษาแล้ว
อ๊ัวเน้งมีความแตกต่างกันออกไป การรักษาก็แตกต่าง ถา้ อาการไมด่ ีขึ้นก็หาวิธอี ืน่ ๆ มารักษาตอ่ เช่น อัว๊ เนง้
กันไปด้วย การจะอั๊วเน้งได้เม่ือมีคนในครอบครัว หรือการฮปู รี เป็นต้น
เจ็บป่วยโดยไมร่ ้สู าเหตุ เป็นการรักษาอีกประเภทหน่งึ
ดังนั้นม้งมักจะนิยมอ๊ัวเน้งเพื่อการเรียกขวัญที่หายไป การรักษาด้วยการเป่าด้วยน้า (การเช้อแด้ะ)
หรือมีผีพาไปให้กลับคืนมาเท่านั้น ซ่ึงม้งเชื่อว่าการ เป็นการกระท้าเมื่อมีคนในครอบครัวที่ป่วยร้องไห้ไม่
เจ็บป่วยเกิดจากขวัญที่อยู่ในตัวหายไป มีวิธีการรักษา หยุด และตกใจมากเป็นพิเศษโดยไม่รู้สาเหตุ หรือ
ดังน้ี เวลาอ๊ัวเน้งหรือท้าผีนั้น คนที่เป็นพ่อหมอจะเริ่ม เหมือนวา่ คนปว่ ยเหน็ อะไรสกั อย่างที่ทา้ ใหเ้ ขากลัวมาก
ไปน่ังบนเก้าอี้ แล้วร่ายเวทมนต์คาถาต่าง ๆ พร้อมกับ มวี ิธกี ารรกั ษาดงั นี้ คนที่เปน็ พ่อหมอหรือแม่หมอจะให้
ติดต่อ สื่อสารกับผีแล้วไปคล่ีคลายเร่ืองราวต่าง ๆ กับ คนป่วยอาการดังกล่าวไปน่ังใกล้กับกองไฟหรือเตาไฟ
ผี ถ้าคล่ีคลายได้แล้วจะมีการฆ่าหมู แต่ก่อนจะฆ่าหมู แล้วเอาถ้วยหนึ่งใบใส่น้าให้เรียบร้อยมาต้ังไว้ข้าง ๆ
น้ัน จะต้องให้คนไข้ไปนั่งอยู่ข้างหลังพ่อหมอ แล้วผูก พ่อหมอหรือแม่หมอ คือ ผู้ท่ีจะท้าการรักษาจะใช้
ข้อมือ จากน้ันน้าหมูมาไว้ข้างหลังคนไข้ แล้วพ่อหมอ ตะเกียบคู่หนึ่งหนีบก้อนถ่าน ที่ก้าลังรุกไหม้เป็นสีแดง
จะสง่ั ใหฆ้ า่ หมู การท่จี ะฆ่าหมไู ด้นน้ั จะต้องมีคนหนึง่ ซ่ึง ข้ึนมา แล้วเป่าก้อนถ่าน จากน้ันเริ่มท่องคาถา แล้วน้า
เป็นตัวแทนของพ่อหมอ และสามารถฟังเร่ืองราวของ กอ้ นถา่ นก้อนนน้ั ไปวนบนหวั ของคนปว่ ย ขณะวนนนั้ ก็
การอั๊วเน้งได้ รู้ว่าตอนน้ีพ่อหมอต้องการอะไร หรือส่ัง
๑๐๘ | กลมุ่ ชาติพันธุ์ ในจังหวัดเชียงราย
สวดคาถาด้วย เมือ่ วนเสรจ็ ก็จะเอากอ้ นถา่ นก้อนนนั้ ไป ความเช่ือเรื่องหมูประตูผี (อัวะบั๊วจ๋อง) ชาติพันธ์ุ “ม้ง”
ใส่ในถ้วยท่ีเตรียมไว้ พร้อมกับปิดฝาด้วย ให้ท้าซ้ากัน เป็นพิธีกรรมที่ม้งกระท้าเพ่ือรักษาคนท้ังหมดในบ้าน
แบบนี้สามรอบเม่ือเสร็จแล้วจับมือคนป่วยข้ึนมาเป่า หลังนั้นให้ปราศจากโรคภยั โดยมีวธิ ีการรกั ษา ดังนี้ ซึ่ง
พรอ้ มทอ่ งคาถา เมอ่ื เสรจ็ สิ้นแลว้ จะเอามือชุบน้าท่ีอยู่ การประกอบพิธีกรรมหมูประตูน้ันจะท้าในตอน
ในถ้วยขึ้นมาลูบหน้าของคนป่วย หรือลูบแขนคนป่วย กลางคืนเท่าน้ัน อันดับแรกคือจะมีการกล่าวปิด และ
เมือ่ ทา้ เสรจ็ แล้วอาการของคนป่วยจะทุเลาลง ม้งจะน้า กล่าวเปิดประตู จากนั้นจะมีการฆ่าหมูแล้วต้มให้สุก
วิธีรักษาน้ีมาใช้ในการรักษาคนไข้ที่ตกใจมาก และ จากน้ันก็กล่าวปิดประตู แล้วน้า หมูที่ต้มสุกนั้นมาหั่น
ปัจจบุ นั นม้ี ้งก็ยังคงยดึ ถือ และปฏบิ ตั ิกันอยู่ แต่กม็ บี ้าง ให้เป็นช้ินเล็ก ๆ จัดไว้ตามจานที่วางไว้ ๙ จาน ซึ่ง
ท่ีอาการหนักมากจนไม่สามารถท่ีจะรักษาให้หายขาด แต่ละจานจะใส่ช้นิ เนือ้ ไม่เหมือนกัน โดย
ได้ แล้วจงึ จะนา้ ไปรกั ษาทโ่ี รงพยาบาลตอ่ ไป
จานที่ ๑ ใส่มือซ้ายหมแู ละหวั ขา้ งซ้าย
การปัดกวาดส่ิงท่ีไม่ดีออกไป (การหรือซู้) จะ จานที่ ๒ จะใสข่ าขวาหมูกบั หัวขา้ งขวา
ปฏิบัติในช่วงข้ึนปีใหม่เท่านั้น คือในหน่ึงรอบปีท่ีผ่าน จานที่ ๓ จะใส่ขาซา้ ยหมกู บั คางซา้ ยหมู
มาครอบครัวจะเจอสิ่งท่ีไม่ดี ดังนั้นจึงมีการหรือซู้เพื่อ จานที่ ๔ ใสม่ ือขวาหมูกบั คางขวาหมู
ปัดเป่า หรือกวาดส่ิงที่ไม่ดีให้ออกไปจากบ้าน และตัว จานที่ ๕ ใส่มอื ซ้ายหมู
บคุ คลหรอื เปน็ การปัดเปา่ กวาดโรคภยั ไข้เจบ็ ออกจาก จานที่ ๖ ใสข่ าขวาหมู
ตัวบุคคล หรือออกจากบ้านให้หมด เพื่อที่จะรับปีใหม่ จานท่ี ๗ ใส่ขาขวาหมกู ับใบหู ๕ ชน้ิ
ที่เข้ามา และต้อนรับส่ิงดี ๆ ท่ีก้าลังจะมาในปีถัดไป จานที่ ๘ ใสม่ อื ขวาหมู
พธิ ีกรรมนี้ม้งจะทา้ ทกุ ปี และคนในครอบครัวตอ้ งอยู่ให้ จานที่ ๙ ใสจ่ มกู และหางหมู
ครบทุกคน ไม่ให้ขาดคนใดคนหน่ึง หากคนใน จากข้อมูลข้างต้นแสดงให้เห็นถึงสังคมชาวม้ง
ครอบครวั นน้ั ไปทา้ งานต่างจงั หวดั และไมส่ ามารถท่จี ะ เป็นสังคมท่ีสืบทอดความเช่ือ พิธีกรรมและมรดกผ่าน
กลบั มาร่วมพธิ กี รรมน้ีได้ ผู้ปกครองของครอบครัวต้อง ทางฝา่ ยผู้ชายเป็นหลกั โดยเฉพาะการท้าพิธีสึก๊า หรือ
น้าเส้ือผ้าของคน ที่ไม่อยู่มาร่วมพิธีกรรมให้ได้ หาก ผีเรือน ซึง่ มสี ัญลกั ษณ์เปน็ แผน่ กระดาษติดท่ีฝาบ้านซ่ึง
ไมไ่ ด้เขา้ ร่วมพิธีกรรมนี้ คนม้งเชือ่ ว่า สิ่งท่ไี ม่ดจี ะติดตัว อยู่ตรงข้ามกับประตูพิธีกรรม กับการบูชาบรรพบุรุษ
ไปยงั ปถี ัด ๆ ไป และท้าอะไรก็ไมเ่ จริญ และการรับมรดกท่ีเป็นท่ีดิน บ้านเรือนที่อยู่อาศัยและ
ของมีค่าอื่น ๆ กระนั้นก็ตาม ความเช่ือและพิธีกรรม
หมอผกี บั พธิ ีกรรมความเช่อื ดั้งเดมิ ในการปัดเปา่ ความชัว่ ร้ายภายในบา้ น อย่างอื่นก็สามารถสืบทอดผ่านทางผู้หญิงด้วย เช่น
การเข้าทรง ผียาสมุนไพร และพิธีกรรมย่อยอ่ืน ๆ
ภาพจาก https://www.chiangraifocus.com ส่ว น ก าร สืบทอ ดมร ดก ในปัจจุบันก็เปล่ียนไป
โดยเฉพาะทรัพย์สินท่ีเป็นเงินทอง หากพ่อแม่มีมากก็
จะแบ่งให้ลูกสาวซ่ึงแต่งงานและออกไปเป็นสมาชิกใน
แซ่ตระกูลของสามีแล้ว ส้าหรับกรณีที่เป็นคริสเตียน
การสืบทอดมรดกยังคงคล้ายกับครอบครัวที่นับถือผี
บรรพบุรุษ แต่การสืบทอดความเช่ือและพิธีกรรม
แบบมง้ นน้ั เร่ิมไม่มีแลว้
กล่มุ ชาตพิ ันธ์ุ ในจงั หวัดเชียงราย | ๑๐๙
ชาติพันธ์ุ “ม้ง” ขอ้ ห้ำม ๑๒. ห้ามคู่รักที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน หรือคู่
๑. ห้ามไม่ให้คนม้งแซ่เดียวกันแต่งงานกัน สมรสที่เป็นแขกผู้มาเยือนมีเพศสัมพันธ์กันในบ้านท่ี
เป็นบ้านประกอบพิธีกรรม เพราะเช่ือว่าจะท้าให้เกิด
เพราะถือว่าเปน็ พ่ีน้องร่วมตระกูลกนั แมต้ า่ งคนจะตา่ ง กาลกณิ ตี อ่ เจา้ ของบ้าน
ไม่รู้จกั กนั ก็ตาม ขอ้ ปฏิบตั ิ
๒. ห้ามไม่ให้หญิงหลังคลอดที่อยู่เดือนไป ๑. ก่อนก้าวเท้าเข้าไปในบา้ นของชาวม้ง ต้อง
งานศพ ถามก่อนวา่ เจา้ ของบ้าน “จ๋าย” หรอื ไม่
๓. ห้ามบคุ คลใดพูดหรือเรียนเก่ียวกบั บทสวด ๒. หากเป็นคนมง้ ด้วยกนั เอง การถามแซ่และ
ในงานศพในบา้ นและในหม่บู า้ น นับญาติผ่านความสัมพันธ์ในการแต่งงาน จะเป็นการ
เริ่มต้นท่ีดีในการสร้างความสัมพันธ์ไปสู่เร่ืองอ่ืน ๆ ที่
๔. ห้ามให้หญิงสาวน้าบุคคลใดเข้ามาร่วม จะตามมา
หลบั นอนในบ้านของพ่อแม่ตนก่อนแตง่ งาน
๓. การเดินทางออกไปในป่าหรือสถานที่อ่ืน
๕. ห้ามให้ผู้หญิงท้าการก้มค้านับ หรือ นอกหมู่บ้าน ต้องให้อาหารเพ่ือสักการะและขอขมา
ภาษามง้ คอื เป บุคคลใด เจ้าทเี่ จ้าทาง กอ่ นการรบั ประทานอาหาร
๖. การตักข้าวให้คนรับประทาน ต้องตักใส่ ๔. การถ่ายรูปผู้คนหรือจับต้องสิ่งสักการะ
ถ้วยท่ีจะรับประทานอย่างน้อย ๒ ช้อนข้ึนไป เพราะ ตอ้ งขออนญุ าตก่อนเสมอ
เชื่อวา่ การตดั ข้าวแค่ ๑ ชอ้ นนนั้ เป็นการตักใหก้ ับสิ่งท่ี
เป็นอมนุษย์ เช่น ในการท้าพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เป็นการ ๕. การขอบคุณเจ้าของบ้านก่อนกินข้าว
เชิญชวนผู้ล่วงลับหรือวิญญาณต่าง ๆ มารับประทาน นบั เปน็ มารยาทท่ีดีงาม
จึงมกั จะตกั ใหค้ นละชอ้ นเดียวเทา่ น้นั
๖. เวลากินข้าวหรือพิธีกรรม ท่ีนั่งด้านเหนือ
๗. ห้ามเดินเข้าไปในบ้านท่ีมีการปัก “ตา ข้นึ ไปเปน็ ทส่ี า้ หรบั คนที่ไดร้ ับเกยี รตอิ ย่างสูงสง่
แหลว” ไว้นอกบ้าน ซ่ึงตาแหลวเป็นเครื่องหมายบ่ง
บอกว่าเจ้าบ้านก้าลังอยู่ในช่วงของการ “จ๋าย” หรือ ๔.๓ ประเพณี
หยดุ กจิ กรรมทกุ อยา่ งทีเ่ กย่ี วกับคนขา้ งนอก ประเพณีเซ่นไหว้บรรพชน คนม้งมีความเช่ือ
ว่าแม้พอ่ แม่หรือปูย่ ่าเสยี ชวี ิตแลว้ แต่วญิ ญาณหน่งึ ของ
๘. ห้ามสวมรองเท้าหรือน้ากระเป๋าหิ้วเข้าไป บรรพบุรุษเหล่านั้นยังคงอยู่กับลูกหลานท่ีบ้าน โดย
ในบ้านท่ีก้าลังมีผู้หญิงอยู่ไฟระหว่างหลังคลอดบุตร เฉพาะท่ีเสาใจกลางบ้าน กับท้ังอยู่ติดตัวลูกหลานแต่
ใหม่ เพราะเชื่อว่าจะท้าให้น้านมของแม่เหือดแห้งไม่ ละคน ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม ดังน้ัน ในโอกาสส้าคัญ
พอเล้ยี งลกู ของรอบปจี งึ ต้องมีการเซ่นไหว้บรรพบรุ ุษ เช่น การกิน
ข้าวใหม่ ข้าวโพดใหม่ แตงกวาใหม่ การต้าจั๋วหรอื ขา้ ว
๙. ผู้หญิงท่ีต้ังครรภ์โดยไม่มีสามี ห้ามคลอด ปุกตอนปีใหม่ เทศกาลปีใหม่ รวมท้ังการที่จะออกเดนิ
ลูกในบ้านของพ่อแม่ตน เพราะจะน้ามาซ่ึงความเส่ือม ทางไกลซงึ่ ต้องการก้าลังใจหรือการคุม้ ครองจากบรรพ
เสียใหก้ ับวงศ์ตระกูล พอ่ แม่จึงมกั สร้างบ้านหลงั เล็ก ๆ บุรุษ ชาวม้งจะท้าพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ด้วยการ
ขา้ งบ้านของตนใหล้ กู สาวอยแู่ ละคลอดลกู เตรียมอาหารใหม่ท่ีมีข้าวสุกและเนื้อไก่ต้ม หรือ
ข้าวโพดใหม่ แตงกวาใหม่ กับจ๋ัว เป็นต้น แล้วเชิญ
๑๐. ห้ามส่งเสียงดังในยามค่้าคืน โดยเฉพาะ วิญญาณบรรพบุรุษให้มาร่วมกินดื่ม โดยอาจมีเหล้า
การรอ้ งร้าทา้ เพลงในวงเหลา้
๑๑. ไม่แตะต้องห้งิ บชู าหรอื สว่ นประกอบของ
เครอ่ื งบูชาอ่ืน ๆ ในบา้ น
๑๑๐ | กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย
เป็นส่วนประกอบในการเซ่นไหวด้ ้วย นอกจากนนั้ ยงั มี ใกล้เคยี งกันมาเป็นเครอื ข่าย แล้วชาวบา้ นจากหมู่บ้าน ชาติพันธ์ุ “ม้ง”
การเผาธูปและกระดาษเงินกระดาษทองไปให้บรรพ ในกลุ่มเครือข่ายมาร่วมงานเฉลิมฉลองด้วยกนั หนึ่งวัน
บุรุษด้วย เช่นเดียวกับคนจีน คนม้งก็มีพิธกี รรมในการ ด้วยการเวียนกันเป็นเจา้ ภาพในแต่ละปี และในระดบั
เซน่ ไหวบ้ รรพบุรษุ ท่ีเรียกว่า “เช็งเมง้ ” คนม้งมักจะท้า จังหวัด อย่างของจังหวัดเชียงรายท่ีมีการจัดให้
พธิ ดี งั กลา่ วในช่วงเวลาประมาณเดอื นมนี าคมของทุกปี เครือข่ายหมู่บ้านม้งต่าง ๆ เข้ามาร่วมกิจกรรมกัน
ลูกหลานแต่ละคนไม่ว่าจะเป็นชายในครอบครัวหรือ เพือ่ เฉลมิ ฉลองในสามวนั สุดทา้ ยของเทศกาลปใี หม่
หญิงท่ีแต่งงานออกจากครอบครัวเดิมของตนแล้วก็
ตาม เป็นช่วงเวลาท่ีลูกหลานน้าอาหารและผลไม้ กับ พิธีกรรมท่ีเก่ียวข้องกับเทศกาลปีใหม่ ส่วน
ท้าการเผากระดาษเงินกระดาษทองและธูปให้บรรพ ใหญ่เป็นพิธีกรรมในระดับของครัวเรือนและระดับ
บุรุษ ณ สุสาน พร้อมกับการขอพรจากพบบรรพบุรุษ ชุมชน กล่าวคือ ในระดับครัวเรือน ในวันส่งท้ายปีเก่า
เพ่ือให้อยู่ดีมีสุขและประสบผลส้าเร็จในการท้ามาหา คือวันแรม ๑๕ ค่้าเดือน ๑๒ (หรือบางหมู่บ้านเป็น
กิน ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูกในฤดูการผลิตต่อไป เดือน ๑) ในกลุ่มของม้งเด๊อมีพิธีหลื่อไก๊ หรือหลื่อซู้
หรอื การเรียนและการค้าขาย เป็นตน้ เพอ่ื ปดั เป่ารังควานให้หมดสิน้ ไปกบั ปีเก่า ขณะทีม่ ้งท้ัง
สองกลุ่มมีการฮูปล่ี หรือเรียกขวัญสมาชิกในครวั เรอื น
ประเพณีกำรข้ึนปีใหม่ เทศกาลปีใหม่ม้งจัด ขวัญพืชพันธ์ุธัญญาหาร ขวัญเงินขวันทองให้กลับเข้า
ขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองภายหลังฤดูการเก็บเกี่ยว มาบ้านเพ่ือร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ กรณีของ
ข้าวโพดและข้าวไร่ และกิจกรรมการละเล่น ก่อนที่จะ ครัวเรือนท่ีมีหมอเน้งหรือหมอทรง ก็จะท้าพิธีปล่อย
เริ่มฤดูการเพาะปลูกในปีต่อไป ดังน้ัน ขึ้นปีใหม่ของ ทหารเน้งไปฉลองปีใหม่ในวันดงั กล่าวด้วย นอกนนั้ ทุก
ม้งจึงเป็นวันขึ้น ๑ ค้่า เดือน ๑ ในทางจันทรคติ ซ่ึง ครัวเรือนจะท้าพิธีจีส่ือก๊า หรือสักการะผีเรือนซึ่งแทน
ปกติแล้วมักจะตรงกับช่วงต้นถึงกลางเดือนธันวาคม ด้วยแผ่นกระดาษท่ีติดไว้ท่ีฝาบ้าน การสักการะบรรพ
ทั้งนี้ บางปียังไม่เสร็จการเก่ียวเก่ียวข้าวในช่วงเวลา บุรุษและผีเรือน กับทั้งการเช้อเซี่ยเม่ง หรือการ
ดังกล่าว ดังน้ัน ผู้น้าม้งในประเทศไทยจึงตกลงกันให้ สักการะผีธรณีประตู การสักการะบรรพบุรุษด้วยจั๋ว
จัดงานขึ้นปีใหม่กันในวันข้ึน ๑ ค่้า เดือน ๒ ซึ่งอยู่ หรือข้าวปุกที่ต้าใหม่ เป็นต้น ส่วนวันข้ึนหนึ่งค้่า เป็น
ระหว่างปลายเดือนธนั วาคมหรือต้นมกราคมของทุกปี การสักการะผตี งเซง้ หรอื ผีเจา้ ที่ซง่ึ ได้เชิญให้มาประจ้า
กระน้ันก็ตาม หลายหมูบ่ ้านที่เคยจัดวันข้ึน ๑ ค่า้ เดือน ท่ีต้นไม้ใหญ่เหนือหมู่บ้าน โดยตัวแทนของแต่ละ
๑ ก็ยังคงยึดตามแบบเดิมอยู่ นอกจากนั้นแล้วหลาย ครัวเรือนจะน้าอาหารและธูปเทียนกับกระดาษเงิน
หมู่บ้านยังได้เปล่ียนมาจัดช่วงวันหยุดยาวในช่วงปีใหม่ กระดาษทองไปร่วมท้ากับผู้น้าพิธีกรรมของหมู่บ้าน
สากล เพราะเป็นโอกาสที่ลูกหลานซ่งึ ส่วนใหญ่ออกไป นอกน้ันเป็นการเปเจ๊ีย หรือการด้าหัวผู้อาวุโส กับการ
เรียนหนังสือและท้างานในเมืองได้หยุดยาวและ ไปเคารพบรรพบุรุษที่หลุมฝังศพ และในเช้าวันขึ้น ๓
กลับมาเยี่ยมบ้าน ดังน้ัน ความไม่เป็นอันหนึ่งอัน ค้่าจะมีพิธีสักการะผีบรรพบุรุษกับผีเรือนเพ่ือเป็น
เดยี วกนั ในการจัดงานปีใหม่ตรงกนั จึงยงั คงพบเห็นใน สัญลักษณ์ของการส้ินสุดเทศกาลปีใหม่อย่างเป็น
ชุมชนม้งต่างๆ ในประเทศไทยในยคุ ปัจจุบนั โดยมีการ ทางการ แต่ในส่วนของงานเฉลิมฉลองท่ีเป็นงานละ
เฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ในหลายระดับ ต้ังแต่ระดับ เล่นร่วมกันของหมู่บ้านนั้นยังคงด้าเนินต่อไป ซึ่งจะก่ี
หมู่บ้านที่สมาชิกในหมู่บ้านร่วมเล่นสนุกสนานกัน วันนั้นขึ้นกับว่าเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่
ระดับเขตพ้ืนท่ีที่เป็นการรวมเอาหมู่บ้านที่ต้ังอยู่ และข้อตกลงร่วมกนั ของผู้น้ากับชาวบ้าน
กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ในจังหวดั เชียงราย | ๑๑๑
ชาติพันธ์ุ “ม้ง” การละเล่นกลางลานหรือสนามของหมู่บ้าน พื้นบ้านหลายอย่าง เช่น ขบวนพาเหรดย้อนยุค การ
เป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งของการจัดงานเฉลิมฉลองการ แข่งขันตีลูกข่าง การแข่งขันยิงหน้าไม้ การแข่งขัน
ขึ้นปีใหม่ม้ง เพื่อให้หนุ่มสาวได้มีพ้นื ท่ีในการพบปะหา ล้อเลื่อนไม้ หรือม้งฟอร์มูล่า การแข่งหาบน้า ฝัดข้าว
คกู่ ันผา่ นกิจกรรมการโยนลกู ช่วงเป็นส้าคัญ ผู้หญิงเป็น เยบ็ ผ้า เป็นตน้ เพือ่ ชาวม้งได้มสี ่วนร่วมกันถว้ นหนา้
ฝ่ายท่ีเย็บและเตรียมลูกช่วงมา จะเป็นฝ่ายท่ีเร่ิมชวน
ชายต่างแซ่ที่ตนพึงพอใจจะโยนลูกช่วงด้วย (ขึ้นอยู่กับ การละเลน่ โยนลกู ช่วง ในประเพณีปีใหม่มง้
ความพงึ พอใจของฝา่ ยชายดว้ ย ถา้ ฝ่ายชายไมช่ อบฝ่าย
หญงิ เขากส็ ามารถปฏิเสธทจี่ ะไมโ่ ยนก็ได้) ระหว่างการ ภาพจาก https://www.m-culture.go.th/th/article_view.php?nid=92356
โยนลูกช่วงก็จะเป็นโอกาสที่ท้ังคู่ได้สนทนากันและกัน
หากมีความพึงพอใจกันก็จะโยนลูกช่วงกันยาวนาน ๔.๔ ภาษา
หรือตลอดวัน แต่หากไม่ชอบพอกันก็โยนพอเป็น ภาษาม้งเป็นหน่ึงภาษาในประเทศไทยที่ใช้ได้
มารยาทสักครู่ก็แยกย้ายกันไป แต่การเล่นโยนลูกช่วง ในกลุ่มคนบางกลุ่มคนเทา่ นัน้ เนอ่ื งจากว่า ภาษาม้งจะ
ไม่ได้หมายความว่าจะต้องแต่งงานหรือเป็นคู่รักกัน ใช้ได้เฉพาะคนท่ีเป็นชนเผ่าม้งเป็นส่วนใหญ่ ซ่ึงนับวนั
เสมอไป แต่เป็นการร่วมสนุกสนานและได้รู้จักกัน ลูกหลานม้งเริ่มท่ีจะเห็นคุณค่าของภาษาม้งของตัวเอง
มากกว่า ในอดีตนั้นยังมีการร้องเพลงโต้ตอบกัน น้อยลง เนอ่ื งจากการเปล่ียนแปลงของสังคมเปลี่ยนไป
ระหว่างการโยนลูกช่วงด้วย ฉะน้ัน ไม่ว่าจะเป็นชาย ทาให้ชนเผ่าม้งไม่ค่อยได้ใช้ภาษาของตัวเองแต่จะใช้
หนุ่มหรือหญิงสาวก็ตาม ต่างก็ต้องสวมใส่เส้ือผ้าและ ภาษากลางเป็นหลัก ดังนัน้ อีก ๑๐ ปขี ้างหนา้ เยาวชน
เครื่องแต่งกายท่ีดูดีและมีราคาเพื่อดึงดูดความสนใจ มง้ รุน่ ต่อไปอาจไม่สามารถส่ือสารด้วยภาษาของตัวเอง
จากเพศตรงข้าม ขณะท่ีพ่อแม่และญาติพี่น้องของท้ัง ไดแ้ ละไม่สามารถท่ีจะเขยี นได้
ฝ่ า ย ช า ย แ ล ะ ห ญิ ง เ อ ง ต่ า ง ก็ มี ค ว า ม ตื่ น เ ต้ น ใ น วั น ภาษาม้งจัดอยู่ในสาขาม้ง (เม้ียว) - เย้า
ดังกล่าว เพราะพวกเขาเองก็จะได้ภาคภูมิใจท่ีได้เห็น (เม่ียน) ของตระกูลจีน - ธิเบต ม้งในไทยแบ่งออกเป็น
ลูกหลานแต่งชุดสวยงาม รวมท้ังอาจช่วยลูกๆ ของ สองกลุ่มหลักตามสาเนียงภาษาและการแต่งกายคือ
พวกเขาหาคู่ชีวิตด้วย ในกรณีที่ลูกพร้อมที่จะแต่งงาน มง้ เดอ๊ (Hmoob dawb) และมง้ จ้วั (Hmoob ntsuab)
แล้ว อย่างไรก็ตาม เม่ือยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป หนุ่ม โดยท้ังสองกลุ่มแม้จะมีสาเนียงและคาศัพท์บางส่วนท่ี
สาวชาวม้งรุ่นใหม่มิได้ใช้การโยนลูกช่วงดังกล่าวเป็น แตก ต่าง กั น แต่สามาร ถสื่อ สาร เข้า ใจ กั น ไ ด้
ส่ือกลางในการพดู คุยอกี ต่อไป มีเพียงส่วนน้อยท่ยี ังคง เช่นเดียวกันกับภาษาคาเมืองกับภาษาไทย หรือภาษา
ท้าการโยนลูกช่วงอยู่บ้าง แต่ความหมายของการโยน ลอื้ กบั ภาษาคาเมอื ง เป็นต้น นอกจากนน้ั ภาษาม้งยังมี
นั้นไม่ได้เป็นเหมือนกับในอดีตแล้ว หนุ่มสาวเพียงแค่ การใช้คาท่ีมาจากภาษาของชนกลุ่มอ่ืนปะปนอยู่ เช่น
ต้องการโยนในเวลาส้ันกับคนที่รู้จักกันแล้วเพื่อเป็น ภาษายูนนาน ลาวไทยเหนือ กะเหร่ียง ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับ
ความสนุกสนานเท่าน้ัน ในอดีตมีการละเล่นอ่ืนๆ ที่ ว่าจะไปตั้งถ่ินฐานอยู่ใกล้กับชนกลุ่มใด ภาษาของม้ง
นอกเหนือไปจากการโยนลูกช่วงในเทศกาลปีใหม่ม้ง ขาวกับมง้ เขยี วมคี วาม แตกตา่ งกันมาก
เช่น การตีลูกขนไก่กับการตีลูกข่าง ต่อมาเม่ือมีการ
ส่งเสริมการท่องเที่ยวในชุมชนมง้ จึงมีการจัดกิจกรรม
แ ส ด ง แ ล ะ ก า ร ล ะ เ ล่ น เ ห ล่ า น้ี ข้ึ น ป ร ะ ก อ บ กั บ กี ฬ า
๑๑๒ | กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจงั หวัดเชียงราย
สาหรับภาษาเขียนน้ัน แต่เดิมชาวม้งไม่มี พยัญชนะ อกั ษรภาษาม้ง เทยี บอักษร ชาติพันธ์ุ “ม้ง”
ภาษาไทย
ระบบการเขียนของตนเอง แม้จะมีการกล่าวอ้างว่า
ลวดลายผ้าปักของชาวม้งเป็นระบบการเขียนรูปแบบ พ ยั ญ ช น ะ ค วบ tsh nth txh nts ช ด ช จ จ ภ ฌ
หน่ึงของม้งในอดีต แต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าระบบ
ก ล้ า ๓ ตั ว มี nph nrh hml หมล หนล ฆ ฆ
ล ว ด ล า ย ดั ง ก ล่ า ว เ ป็ น ร ะ บ บ ก า ร อ่ า น แ ล ะ เ ขี ย น ไ ด้
อยา่ งไร ลวดลายผ้าปักม้งจงึ มีความหมายต่อชาวม้งใน ท้ังหมด ๑๔ ตัว hnl nkh nqh ฌ จ บล พล หญ
ฐานะที่เป็นเพียงส่วนประกอบท่ีใช้ตกแต่งเสื้อผ้าและ nch ntx npl plh
เคร่อื งแตง่ กายของม้งมากกว่าท่ีจะเป็นระบบการเขียน
ที่บนั ทกึ เรอื่ งราวและเหตุการณ์ตา่ ง ๆ โดยมีการกล่าว hny
อ้างรูปแบบถงึ ภาษาม้งดั้งเดมิ ดังภาพต่อไปน้ี พ ยั ญ ช น ะ ค วบ ntsh ntxh nplh ฌ ฌ ภล
ก ล้ า ๔ ตั ว มี
ท้งั หมด ๓ ตัว
สระ ๑๔ ตวั
สระอา (a) สระอี (i) สระ เอ (e)
สระออ (o)
สระอื (w) สระอู (u) สระเอง (ee)
สระเอา (au)
สระโอง (oo) สระอาง (aa)
สระเออ (aw) สระเอยี (ia)
สระอวั ( ua) สระ ไอ (ai)
ภาพแสดงภาษาชนเผา่ มง้ ดั้งเดิม วรรณยุกต์ มที ั้งหมด ๗ รูป ๘ เสยี งดังตอ่ ไปนคี้ ือ
ที่มา: https://banmuangkarn.wordpress.com ชอื่ วรรณยุกต์ ตวั อักษรแสดงเสียงสระ
สว๊ั บวั (suab npua) เสยี งสามญั ลงท้ายด้วยสระ
ภาษาม้งก็มีพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ สัว๊ นือ (suab nws) ใช้ตวั s
เชน่ เดยี วกันกบั ภาษาไทย กล่าวคือ มีพยัญชนะท้ังหมด สั๊วก้อ (suab koj) ใชต้ วั j
๕๗ ตัว สระ ๑๔ ตัว และวรรณยุกต์ ๗ รูป ๘ เสียง สว๊ั เป๊ (suab peb) ใชต้ วั b
ซงึ่ ตอ้ งยอมรับว่าอกั ษรภาษาไทยนัน้ ไม่สามารถท่ีจะใช้ ส๊ัวกู๋ (suab kuv) ใชต้ ัว v
แทนเสียงในภาษาม้งได้ตรงตามเสียงในภาษาม้งอยา่ ง สั๊วป่อ(suab pom) ใช้ตวั m
ครบถ้วนและถูกต้อง จึงเป็นการยากพอควรท่ีผู้เขียน สั๊วยอห์ (suab yog) ใชต้ ัว g
จะนาเสนอภาษาม้งผ่านอักษรภาษาไทย สาหรับ ส๊วั เตอ๋ (suab ntawd) ใช้ตวั d
ลักษณะตัวอักษรโรมันท่ีใช้เป็นพยัญชนะ สระ และ ไวยากรณภ์ าษาม้ง
ก า ร ใ ช้ ภ า ษ า ม้ ง มี ก า ร เ รี ย ง ค า เ ป็ น แ บ บ
เสียงวรรณยุกต์ มดี งั น้ี ประธาน-กริยา-กรรม เช่น เด๋เตาะหมี (หมากัดแมว)
พยัญชนะ ในภาษาม้งมีทั้งหมด ๕๗ ตัว สระ ไม่มีการเปล่ียนรูปคาเพ่ือแสดงกาล แต่ใช้การเติมคา
บอกกาลเช่นเดียวกับภาษาไทย อดีตเติมคาว่าเหลอะ
ดังตารางต่อไปน้ีคอื
ไว้ท้ายประโยค เช่น เด๋เตาะหมีเหลอะ (หมากัดแมว
พยญั ชนะ อกั ษรภาษาม้ง เทียบอักษร แล้ว) อนาคตใช้คาว่าหยัววางไว้หน้ากริยา เช่น
ภาษาไทย เดห๋ ยวั เตาะหมี (หมาจะกัดแมว)ประโยคปฏิเสธเติมคา
พ ยั ญ ช น ะ ตั ว t k p s x l n h ต ก ป ซ ซ ล น ฮ ว่าไม่ (จ่ี หรือ ทจ่ี) หน้าคากริยา เช่น เด๋ทจ่ีเตาะหมี
(หมาไม่กัดแมว) ประโยคคาถามเติมคาว่าปั่วหรือหลอ
เดียว มีทั้งหมด m g q v r z y c ม ก ว จ ย ย จ ฟ
เข้าในประโยค คาว่าหลอนิยมวางไว้ท้ายประโยค ส่วน
๑๘ f d ด คาว่าปั่วนิยมวางไว้หน้ากริยา เช่น เด๋เตาะหมีหลอ
หรือ เดป๋ ่ัวเตาะหมี (หมากดั แมวหรอื )
พ ยั ญ ช น ะ ค วบ kh qh ch ts ny ค ค ช จ ญ หน ท
ก ล้ า ๒ ตั ว มี hn th nt np ph ด บ พ จ ซ หล ก
ท้งั หมด ๒๒ ตัว tx xy hl nk nr จ ธ ช จ ปล หม
dh rh nc pl hm หน มล นล
hn ml nl
กล่มุ ชาติพันธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย | ๑๑๓
ชาติพันธ์ุ “ม้ง” ภาษาม้งมีการใช้คาลักษณนามโดยจะเรียงคา สองข้างลงมาตลอดแนว สายเสื้อลงไปยังชายเสื้อ
แบบ จานวนนับ-ลักษณนาม-นาม เช่น อ๊อตู่แหน่ง ด้านหลัง มักจะปักลวดลายสวยงามด้วย ปัจจุบันนิยม
(สอง-ตัว-ม้า) คาลักษณนามท่ีสาคัญคือ ตู่ใช้กับ ใส่ซิปลงขอบ สาบเสื้อ เพ่ือสะดวกในการใส่ ส่วน
สิ่งมีชีวิตท้ัง สัตว์และต้นไม้ ส่วนคนน้ันใช้ เล่ง เช่น กางเกงจะสวมใส่กางเกงขากว๊ ย หรอื กางเกงจนี เป้าตื้น
อ๊อเล่ง (คนสองคน) ตร๊า ใช้กับเครื่องมือ เครื่องใช้ ขาบาน มีลวดลายน้อย และใส่ผา้ พนั เอวสีแดง คาดทับ
อาวุธ ได่ ใช้กับสง่ิ ที่มีลกั ษณะเปน็ แผน่ แบน ๆ แส้ฮ ใช้ กางเกง และอาจมเี ขม็ ขดั เงินคาดทับอีกช้ันหนึ่งได้
กับส่ิงที่เป็นเส้นยาวหรือเวลานาน ๆ ลู้ใช้กับคานาม
ทั่วไป จ๋อใช้กับคานามที่มีมากกว่าหนึ่ง เช่น จ๋อแหน่ง ผู้หญิง ตัวเสื้อจะเป็นผ้าก้ามะหยี่ เส้ืออาจจะ
(ม้าหลายตวั ) เป็น สีน้าเงิน เข้มหรือ ด้า แต่ปัจจุบัน ก็ มี ก าร
เปล่ียนแปลงใหม้ หี ลากสีมากขน้ึ เปน็ เสอ้ื แขนยาว ซึ่งท่ี
แม้ม้งจะมีภาษาเขียนแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ ปลายแขนนี้มีการปักลวดลายใส่ด้านหน้ามีสาบเสื้อ
หมายความว่าม้งทุกคนจะอ่านออกและเขียนภาษาม้ง สองข้างลงมา และมีการปักลวดลายใส่ด้วย การแต่ง
ได้ เพราะภาษาม้งไม่ได้มีสอนตามโรงเรียนหรือตาม กายของหญิงม้งขาวเดิมจะสวมกระโปรงจีบรอบตัวสี
ชุมชนท่ัวไป ยกเว้นชุมชนท่ีมโี บสถ์คริสต์ ชาวม้งท่ีเปน็ ขาวลว้ นไม่มีการปกั ลวดลายใด ๆ เมือ่ สวมใส่จะปล่อย
คริสต์เตียนก็พลอยได้เรยี นรูไ้ ปด้วยในขณะท่ีเรียนรอ้ ง รอยผ่าไว้ด้านหน้าพร้อมกับมีผ้าสี่เหล่ียมยาวปัก
เพ ลง สร ร เสริญ พ ร ะเจ้าหรือเรียน พร ะคัมภีร์ ลวดลาย ปิดทับรอยผ่า มีผ้าแถบสีแดงคาดเอวไว้
ขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าม้งทุกคนจะพูด ช้ันหนึ่ง โดยผูกปล่อยชายเป็นหางไว้ด้านหลัง ปัจจุบัน
ภาษาม้งอีกต่อไป โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ท่ีอยู่ใน นิยมใส่กระโปรงสีขาวเฉพาะงานส้าคัญเท่าน้ัน เพราะ
สิ่งแวดลอ้ มท่ีใช้ภาษาไทยมาต้ังแตเ่ ด็ก พวกเขาก็จะใช้ กระโปรงขาวเปรอะเป้ือนได้ง่าย จึงหันมานิยมสวม
ภาษาไทยในการสื่อสารในชีวติ ประจาวนั เป็นหลกั และ กางเกงทรงจีนกับเสื้อแทนกระโปรง และมีผ้าส่ีเหล่ียม
ใช้ได้อย่างถูกต้องและม่ันใจ ในขณะที่กลับไม่มีความ ผืนยาวห้อยลงทั้งด้านหน้าและหลัง ผ้านี้มักจะปัก
มน่ั ใจและรู้สึกยุง่ ยากมากที่จะสือ่ สารกับชาวมง้ ด้วยกัน ลวดลายสวยงามมีผ้าแถบสีแดงคาดเอว ส้าหรบั เครื่อง
เปน็ ภาษาของตนเอง ปรากฏการณ์เช่นนี้นาไปสู่ความ โพกผมของหญิงม้งขาวน้ัน นิยมพันมวยผมคล้อยมา
กังวลของผู้อาวุโสม้งที่ภาษาม้งอาจเพ้ียนและไม่ได้รับ ดา้ นหนา้ และใชผ้ ้าสีดา้ โพกผมเปน็ วงรอบศีรษะ โดยมี
การสืบทอดก็ได้ แต่ปัจจุบันมีกลุ่มคนในวัฒนธรรมอื่น การปักลวดลายไว้ด้วย นอกจากน้ียังมีเคร่ืองประดับ
ก็สามารถใช้ภาษาม้งได้อย่างเจ้าของภาษาและดีกว่า อ่ืนประกอบเพ่ิมเติม ซ่ึงมักจะสวมใส่กันในงานส้าคัญ
เจ้าของภาษาด้วยซ้า โดยเฉพาะฝรั่งที่เป็นมิชชันนารี จ้าพวกเคร่ืองเงิน ก้าไลคอ ก้าไลข้อมือ ตุ้มหู แหวน
และนักวิชาการท่ีศึกษาเรื่องม้ง ซ่ึงสร้างความ รวมท้ังเหรียญเงินขนาดต่าง ๆ ท้ังรูปวงกลม และ
ประทับใจให้กับผู้อาวุโสม้งได้มากเลยทีเดียว และ สามเหล่ียม ท่ีประดับตามเสื้อผ้าแพรพรรณ รวมท้ัง
สามารถฉุดความคิดของคนรุ่นใหม่ให้กลับมาสนใจ สายสะพายปักลวดลายสวยงาม เวลาใชจ้ ะสะพายไหล่
ภาษามง้ ของตนเองอีกคร้ังได้เปน็ อย่างดี เฉยี งสลับกันสองขา้ ง
๔.๕ การแต่งกาย ลักษณะการแต่งกายของและมง้ จั้ว (ม้งเขียว)
ชนเผา่ ม้งในประเทศไทย สามารถจ้าแนกตาม หรอื ม้งดา้ และม้งกวั๊ มะบา
ลักษณะการแต่งกายได้เป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่ ม้งเด๊อ ชำย : เส้ือแขนยาวจรดข้อมือ แต่ชายเส้ือ
ระดับเอว ปกสาบเสื้อด้านขวาจะป้ายเลยมาทับซีกซ้าย
หรอื มง้ ดา๊ ว (มง้ ขาว) และม้งจวั้ (ม้งเขยี ว) โดยการแต่ง
กายของสองกลุ่มนีม้ ีความแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะ
ในส่วนของลายผา้ ปกั และสีของเสอ้ื ผ้า
ลกั ษณะกำรแต่งกำยของมง้ ขำว
ผชู้ ำย ตวั เส้อื จะเป็นผ้ากา้ มะหย่ี เสื้อแขนยาว
จรดข้อมอื ชายเสื้อจะยาวคลมุ เอว ด้านหนา้ มีสาบเสื้อ
๑๑๔ | กลมุ่ ชาติพันธุ์ ในจังหวัดเชียงราย
ของตัวเสื้อตลอดจนแนวสาบเสื้อจะใช้ด้ายสี และผ้าสี ปล่อยชายห้อยลงมาต่้ากว่าหัวเข่า ทั้งด้านหน้าและ ชาติพันธ์ุ “ม้ง”
ปักลวดลายต่าง ๆ สะดุดตา กางเกงสีเดียวกับเสื้อ มี ด้านหลัง ในขณะท่ีผู้ชายสวมกางเกงขาทรงกระบอก
ลักษณะขากว้างมากแต่ปลายขาแคบลง ส่วนที่เห็นได้ เป้าสั้น มีเพียงผ้าคาดเอวที่ห้อยชายลงมาส้ันเหนือหัว
เด่นชัด คือ เป้ากางเกงจะหย่อนลงมาจนต่้ากว่าระดับ เข่า เฉพาะด้านหน้าเท่านั้น เช่นเดียวกันกับ
เข่า รอบเอวมผี ้าสีแดงพันทับกางเกงไว้ซ่ึงชายผ้าทั้งสอง ชายม้งจ้วั สีกางเกงและเสอ้ื ของชายม้งจว้ั ส่วนใหญ่เป็น
ข้างปักลวดลายสวยงามอยู่ด้านหน้า และนิยมคาดเข็ม สีด้า เป้ายาว ขากางเกงทรงเรยี วลงมาหุ้มถงึ ตาตมุ่ ผ้า
ขดั ทบั ผ้าแดงไว้ คาดเอวปล่อยชายลงด้านหน้าถึงเหนือหัวเข่าเช่นกัน
ส่วนกระโปรงหญิงม้งจั้วส่วนใหญ่เป็นสีน้าเงินท่ีได้มา
หญงิ : ปจั จบุ ันเส้อื ม้งเขยี วหรอื มง้ ด้าจะท้าให้ จากคราม บ้างจึงเรียกม้งจ้ัวว่า “ม้งน้าเงนิ ” หลังจาก
มหี ลากหลายสีมากข้นึ เหมือนกัน ชายเสอื้ ยาวจะถกู ปิด การยอ้ มครามแล้วก็เอาผ้าสีสนั ต่าง ๆ มาเย็บตดิ กับผ้า
ด้วยกระโปรงเวลาสวมใส่ สาบเสื้อท้ังสองข้างจะปัก ครามนี้จนเกิดเป็นกระโปรงท่ีมีลวดลายและสีสัน
ลวดลาย หรือขลิบด้วยผ้าสี ตัวกระโปรงจีบเป็นรอบ หลากหลายตระการตา จนคนนอกกลุ่มชาติพันธ์ุนิยม
ทา้ เป็นลวดลายต่าง ๆ ทัง้ การปัก และย้อมรอยผ่าของ เรียกม้งเขียวว่าเป็น “ม้งลาย” ตามสีสันของกระโปรง
กระโปรงอยู่ด้านหน้า มีผ้าเหลี่ยมผืนยาวปักลวดลาย ผ้หู ญิง
ปิดรอยผ่า และมีผ้าสีแดงคาดเอวทับอีกทีหนึ่ง โดยผูก
ปล่อยชาย เป็นหางไว้ด้านหลัง ส้าหรับกระโปรงนี้จะ การแต่งกาย ของชาวมง้ ขาว
ใส่ในทุกโอกาส และในอดีตนิยม พันแข้งด้วยผ้าสีด้า
อย่างประณีตซ้อนเหล่ือมเป็นชั้น ๆ ปัจจุบันก็ไม่ค่อย การแต่งกายของชาวม้งเขียว บา้ นธารทอง ต้าบลแมเ่ งนิ
นยิ มใสก่ ันแลว้ ผ้หู ญงิ ม้งด้านยิ มพนั ผมเปน็ มวยไวก้ ลาง อ้าเภอเชยี งแสน จังหวัดเชียงราย
กระหม่อม และมีช้องผมมวยซึ่งท้ามาจากหางม้าพัน
เสริมให้มวยผมใหญ่ข้ึนใช้ผ้าแถบเป็นตาข่าย สีด้าพัน กล่มุ ชาตพิ ันธุ์ ในจงั หวดั เชยี งราย | ๑๑๕
มว ยผมแล้ว ปร ะ ดับด้ว ยลูก ปัดสีสว ย ๆ ส่ว น
เครื่องประดับเพิม่ เตมิ นนั้ มลี ักษณะเหมือนกับม้งขาว
ความแตกต่างในแง่ของลายผ้าปัก งานฝมี ือใน
ด้านนี้ของม้งเดอ๊ จะเนน้ ท่กี ารตัดและตอ่ ผ้าเปน็ รูปทรง
ต่าง ๆ ควบคู่กับการใช้ด้ายสอยตกแต่งเป็นลวดลาย
ต่าง ๆ ที่มีความละเอียดและประณีตมากกว่าม้งจ้ัว
รวมท้งั ยงั มกี ารปกั แบบ cross stick เชน่ เดียวกับมง้ จ้ัว
ลวดลายต่าง ๆ ท่ีถูกสอยและปักลงบนผืนผ้าช้ินส่วน
ต่าง ๆ น้ี จะน้าไปประกอบกับชุดเสื้อผ้าท่ีเป็นหมวก
เสื้อ กางเกง กระโปรง ผ้าคาดเอว ผ้าบังหน้าและหลัง
ฯลฯ
หากเป็นม้งเด๊อ หญิงจะใส่กระโปรงสีขาว
(ท่ีมาของ “ม้งเด๊อ” หรือม้งขาว) และนิยมใส่กางเกง
ขายาวสีน้าเงินเช่นเดียวกันกับผู้ชาย มีผ้าคาดเอวท่ี
ชาติพันธ์ุ “ม้ง” อย่างไรก็ตาม หลายปีที่ผ่านมาน้ีเครื่องแต่ง เคร่ืองมือของการสื่อสารในวัฒนธรรมม้ง ซึ่งรูปแบบ
กายของชาวม้งสองกลุ่มค่อนข้างเปลี่ยนไปมาก อาจ การสื่อสารดังกล่าวไม่เพียงแต่ใช้ติดต่อส่ือสารกับคน
เกดิ ความสบั สนั ไม่สามารถระบุประเภทชนเผ่าม้งของผู้ อย่างเดียว แต่กับสิ่งศักดิ์สิทธ์ิหรือวิญญาณของผู้ท่ี
สวมใส่ไดว้ า่ เขาคือม้งกลุ่มใด เน่ืองจากทง้ั สองกลุ่มต่าง ลว่ งลับไปแล้วดว้ ย โดยเฉพาะแคน และกลอง
มาหยบิ ยืมชดุ ของกนั และกนั มาสวมใส่ และทส่ี ้าคัญคือ
ชุดท่ีสวมใส่น้ันก็มีการดัดแปลงประยุกต์ไปตามแฟช่ัน แคน (qeej) ในอดีตทา้ มาจากไมไ้ ผ่จา้ นวน ๖
ของยุคสมัยด้วย บางชุดน้ันยากที่จะบอกได้ว่าเป็น ล้า แต่ละล้ามีความยาวที่แตกต่างกันและมีชื่อเรียกที่
ชุดม้งจรงิ ๆ มกี ารสรา้ งสรรคต์ อ่ เตมิ งานหตั ถกรรมเดิม แตกต่างกัน และช่องล้าที่ใช้เป่าท้ามาจากไม้เป็นฐาน
ของม้งใหม้ คี วามทนั สมยั มากข้นึ และถูกกับรสนิยมของ ของไม้ไผ่ท้ัง ๖ ล้านี้ ด้านในของล้าไม้ไผ่แต่ละล้ามีลิ้น
คนม้งร่นุ ใหมม่ ากขนึ้ และที่สา้ คัญชดุ ต่าง ๆ เหล่าน้ีเอง ทองเหลือง จุดที่เปา่ นน้ั ทา้ มาจากทองเหลอื งหรือโลหะ
ก็ไม่ได้เกิดจากจากการตัดเย็บของหญิงม้งในแต่ละ อย่างไรก็ตาม เน่ืองจากวัสดุต่างๆ เหล่านี้เร่ิมหายาก
คร อบครัว อีก ต่อไ ป แต่ก ลายเป็น ธุ ร กิ จ เป็น ขึ้น คนม้งจึงหันมาใช้ท่อพีวีซีในการท้าแคนแทนล้าไม้
อตุ สาหกรรมการผลติ เสอ้ื ผ้าชุดม้งที่มีนักธุรกิจลงทุนใช้ ไผ่ด้วย ซึ่งมีความมั่นคงและคงทนมากกว่าวัสดุท่ีได้มา
โ ป ร แ ก ร ม คอ ม พิ ว เ ต อ ร์ อ อ ก แ บ บ แ ล้ ว ปั ก เ ย็ บ ด้ ว ย จากธรรมชาติ และที่ส้าคัญคือ นอกจากการเป่าแคน
เครื่องจักรไฟฟ้า ผลิตชุดแบบเดียวกันในปริมาณ เพ่ือความจรรโลงใจในชวี ติ ประจ้าวนั และประกอบการ
มาก ดังตัวอย่างชุดม้งประยุกต์จากร้านค้าออนไลน์ แสดงแล้ว แคนยังเป็นส่วนหน่ึงของพิธีกรรมต่างๆ ที่
ของม้งซสิ เตอร์ (Hmong Sister) ส้าคัญด้วย โดยเฉพาะในพิธีงานศพ ที่บทเพลงต่างๆ
ถูกขับร้องให้กับวิญญาณของผู้ท่ีล่วงลับไปแล้วผ่าน
สังคมม้งในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปตาม แคนเป็นหลัก เมื่อแคนได้ถูกเชื่อมโยงกับพธิ ีกรรมแล้ว
ยุคสมัย คนรุ่นใหม่เดินทางระหว่างหมู่บ้านกับในเมือง จึงท้าให้แคนไม่ใช่เคร่ืองดนตรีที่ฝ่ายหญิงจะเรียนและ
มากขึ้น ประกอบกับอากาศที่ร้อนข้ึน การปรับตัวด้าน เปา่ ได้
การแต่งกายจึงเปลี่ยนไปตามบริบทของสังคมและ
สภาพแวดล้อม สามารถหาซ้ือเสื้อผ้าท่ัวไปจากตลาด จยำ (ncas) เครื่องดนตรีชนิดน้ีสามารถส่ือ
ในพ้ืนราบได้ง่ายข้ึนด้วย ดังน้ัน หากไม่ใช่ในเทศกาลปี ภาษาออกมาเป็นค้าพูดให้คนม้งรุ่นอาวุโสฟังเข้าใจได้
ใ ห ม่ แ ล้ ว แ ท บ จ ะ ไ ม่ เ ห็ น ค น ม้ ง แ ต่ ง ชุ ด ม้ ง ใน แ ต่ ไ ม่ ไ ด้ ถู ก น้ า ไ ป ใ ช้ ใ น ก า ร ป ร ะ ก อ บ พิ ธี ก ร ร ม ใ ด
ชีวิตประจ้าวันในหมู่บ้านม้งอีกแล้ว ยกเว้นเพียงคนวยั นอกจากการเป็น เคร่ืองมือ สื่อ สาร ( mode of
สงู อายุบางคนในหมู่บา้ นเทา่ น้ัน communication) ขนาดท่ีสามารถพกพาติดตัวได้ที่
ชายหญิงในอดีตใช้ในการเกี้ยวพาราสีกัน โดยเฉพาะ
๔.๖ องคค์ วามรู้และภูมปิ ญั ญา ฝ่ายชายที่มักจะใช้เครื่องดนตรีชนดิ นใี้ นการเรียกหญิง
เ ค ร่ื อ ง ด น ต รี ข อ ง ช น เ ผ่ า ม้ ง มี ส อ ง ป ร ะ เ ภ ท สาวแทนการใชเ้ สยี งของตนเอง เพราะหากใช้เสียงของ
ได้แก่ ประเภทเปา่ และประเภทตี ซ่ึงเครื่องดนตรขี อง ตนเองเรียก พ่อแม่พ่ีน้องของฝ่ายหญิงก็อาจรับร้ไู ดว้ ่า
คนม้งไม่ได้เป็นเครื่องดนตรีท่ีเล่นประกอบการขับร้อง เสียงน้ันเป็นเสียงของชายผู้ใด การใช้อุปกรณ์น้จี ึงช่วย
เพลง แต่ในเสียงดนตรีของมันเองส่ือสารแทนค้าหรือ บดบังน้าเสียงของผู้ที่ท้าการเก้ียวพาราสีได้ ในอดีต
ภาษาที่สามารถฟังเข้าใจได้แล้ว ฉะนั้นเคร่ืองดนตรี ชายมง้ จึงนิยมใช้เครอ่ื งดนตรีชนิดนี้ในการเกีย้ วพาราสี
ของม้งจึงไม่ได้น้าไปเล่นบรรเลงเพ่ือประกอบการร้อง กับสาวม้งในยามวิกาลกัน และฝ่ายหญิงเองก็สามารถ
ร้าท้าเพลงแต่อย่างใด แต่ว่าได้ถูกใช้ในการเป็น ที่จะใช้เครื่องดนตรีชนิดนี้สื่อสารกับฝ่ายชายด้วย
๑๑๖ | กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย
วิธีการสันติและไม่ได้รบกวนพ่อแม่พี่น้องของตนท่ี ๕. แหล่งอ้างอิง ชาติพันธ์ุ “ม้ง”
กา้ ลังหลับอยู่ด้วย
ประสิทธ์ิ ลีปรีชา. ๒๕๖๐. ม้งช่วยรบ : ควำมเป็นมำ
ใบไม้ นอกจากเครื่องดนตรีแล้ว คนม้งจะมี และปัญหำสถำนะบุคคล. เชียงใหม่ : ศูนย์
การใชใ้ บไม้ในการติดตอ่ ส่ือสารกนั ดว้ ย โดยเฉพาะการ ศึ ก ษ า ช า ติ พั น ธุ์ แ ล ะ ก า ร พั ฒ น า ค ณ ะ
ติดต่อส่ือสารของคู่บ่าวสาวในระยะท่ีค่อนข้างไกล สังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่.
หากใชภ้ าษาธรรมดาในการตดิ ต่อสอื่ สาร กจ็ ะท้าใหค้ น
อนื่ รู้เสียงของผู้พูด และที่สา้ คัญเสียงของใบไม้เดินทาง ปุยฝ้าย ขวัญวารี. ๒๕๕๖. ภูมิปัญญำในกำรดูแล
ได้ไกลกว่าเสียงตะโกนของคน จึงมีการเลือกเป่าใบไม้ สุขภำพของชนเผ่ำม้ง หมู่บ้ำนเจดีย์โคะ
แทนการใช้ค้าพูดเพื่อการส่ือสารที่แนบเนียน ไพเราะ ตำบลมหำวัน อำเภอแม่สอด จังหวัดตำก.
และสันติมากขึ้นในการติดต่อสื่อสาร อย่างไรก็ตาม วิทยาศาสตร์บัณฑิต, สาขาสาธารณสุข
ในปัจจุบัน ผทู้ ส่ี ามารถเป่าใบไม้ และมีองค์ความรู้นั้นก็ ศาสตร์, คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี,
ลดน้อยถอยลงเม่ือวิถีชีวิตของคนม้งน้ันเปลี่ยนแปลง มหาวิทยาลยั ราชภัฏกาแพงเพชร.
ไป และระบบการติดต่อส่ือสารสมัยใหม่ก็ถูกพัฒนา
จนศิลปะการส่ือสารผ่านส่ิงประกอบสร้างธรรมชาติ ฝ่ายวิจัยและพัฒนานวัตศิลป์ สายงานพัฒนผลิตภณั ฑ์
เหลา่ น้ีก็พลอยหายตามไปด้วยเช่นกัน และศักยภาพ. ๒๕๖๓. ชำวไทยภูเขำเผ่ำม้ง
และกำรสร้ำงสรรค์ผ้ำปกั ม้ง. สืบค้นเมื่อ ๑๐
กลองมง้ ลา้ กลองทา้ มาจากไม้ขนาดใหญ่ หน้า ก ร ก ฎ า ค ม ๒ ๕ ๖ ๔ , เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก
กลองน้ันขึงด้วยหนังววั ท่ีตากแห้งและถูกขัดมาอยา่ งดี https://www.sacict.or.th/uploads/item
แล้ว ส้าหรับม้งในประเทศไทย กลองน้ีจะถูกใช้เฉพาะ s/attachments/ca๘๘๙fd๙b๘๔๔๕๕๙dc
ในพิธีกรรมงานศพ ท่ีตีควบคู่ไปกับการเป่าแคนใน ๑d๔๗b๔a๕๒d๕e๔๐b/_๔๓ff๐e๒๒๙๕๔
บทเพลงต่าง ๆ เท่านั้น จะไม่ถูกน้ามาตีเล่นนาม ffe๙๕๘๓e๖๗ef๓๙b๘๗dc๔๔.pdf
เทศกาลต่าง ๆ เสียงกลองจึงเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของ
พิธศี พ มูลนิธิโครงการหลวง. มปป. เผ่ำม้ง สืบค้นเมื่อ ๑๐
ก ร ก ฎ า ค ม ๒ ๕ ๖ ๔ , เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก
การแสดงเปา่ แคน ในงานปใี หมม่ ง้ http://www.royalprojectthailand.com/
node/๗๙๗
ภาพจาก https://www.bangkoklifenews.com
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). ๒๕๖๔.
กลุ่มชำตพิ นั ธ์ุ: ม้ง. สบื คน้ เมือ่ ๑๐ กรกฎาคม
๒๕๖๔, เข้าถึงได้จาก : https://www.sac.
or.th/databases/ethnicgroups/ethnicGr
oups/๘๔
สัมภำษณ์
นายภูสิทธ์ิ แซ่ลี ผู้ใหญ่บ้าน บ้านธารทอง ต.แม่เงิน
อ.เชยี งแสน จ.เชียงราย (๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔) สมั ภาษณ์.
นายนายสยาม ย่าเจริญพาณิชย์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน
บา้ นธารทอง ต.แมเ่ งิน อ.เชยี งแสน จ.เชียงราย (๒๒ กรกฎาคม
๒๕๖๔) สมั ภาษณ์.
กลุม่ ชาติพนั ธ์ุ ในจงั หวดั เชียงราย | ๑๑๗
ชาติพันธุ์ “บีซู”
ชาตพิ นั ธุ์ “บซี ”ู
Bisu
“ความเป็นมาของชนชาติพันธ์ุ “บีซู” ได้มี .............................................................................
หลักฐานจากพงศาวดารจีนในปี พุทธศักราช ๒๓๔๔ อาเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ๒) หมู่บ้านดอยชมพู
พอจะช้ีแจงได้ว่า ชาวบีซูเดิมน้ันมีภูมิลาเนาที่ประเทศ อาเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ๓) หมู่บ้านลัวะบีซู
จีนตอนใต้ คือ แถวสิบสองปันนาในปัจจุบัน ซ่ึงจาก อาเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ๔) หมู่บ้านดอยปุย
ก า ร สั น นิ ษ ฐ า น ถึ ง ส า เ ห ตุ ท่ี อ พ ย พ ล ง ม า อ ยู่ บ ริ เ ว ณ ตาบลปา่ อ้อดอนชัย อาเภอเมอื ง จังหวดั เชียงราย และ
ภาคเหนือของประเทศไทยพบว่าอาจจะเป็นเพราะ ๕) หมู่บ้านผาแดง ตาบลดอยงาม อาเภอพาน จังหวัด
ภยั สงครามและปญั หาความอดอยาก” เชียงราย ซึ่งเดิมท้ังหมดเป็นชาวบีซูแต่ปัจจุบันมีชน
พื้นเมือง และกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์อุ ืน่ ๆ เขา้ มาอาศัยร่วมด้วย
๑. ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาติพันธ์ุ หมู่บ้านเหล่านี้จึงยังไม่สามารถระบุจานวนของชาวบีซู
ได้อย่างชัดเจน อีกท้ังยังไม่ได้มีการสารวจอย่างเป็น
หลักฐานแรกที่กล่าวถึงคนบีซูในประเทศไทย ทางการมากนัก เนื่องจากมีการแต่งงานข้ามกลุ่ม
คือบันทึกของวิศวกรชาวอังกฤษคนหน่ึงที่สร้างทาง ชาติพนั ธเุ์ พม่ิ มากขึน้
รถไฟจากเชียงรายไปคุนหมงิ ซ่ึงบันทึกไว้ว่าผู้หญงิ บีซู
คนน้ันสวยที่สุดในสยามเพราะมีจมูกโด่ง และยัง มีการเล่าขานสืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษของ
กล่าวถึงที่มาท่ีไปของชาวบีซูไว้พอสังเขป จากบันทึก ชาวบีซูที่ดอยชมภู จ.เชียงราย ว่า นามสกุลเดิมของ
ฉบับน้ีทาให้สามารถสันนิษฐานได้อีกว่าชาวบีซูน้ัน พวกเขาคือ วงศ์ละ ซ่ึงเป็นนามสกุลของผู้นาชุมชน
อาศัยอยใู่ นจังหวดั เชียงรายมาแลว้ นานกวา่ ๒๐๐ ปี สมยั กอ่ น ช่ือกะกลุ ะ แตใ่ นสมยั ทก่ี รมประชาสงเคราะห์
มาสารวจกลุ่มชาติพันธ์ุ คนภายนอกเรียกปนกัน
ในประเทศไทยนั้นมีชุมชนชาวบีซูอาศัยอยู่ ระหว่างวงศ์ละ กับวงศ์ลัวะ ทาให้คนภายนอกเข้าใจ
หลัก ๆ ด้วยกัน ๕ หมู่บ้าน ได้แก่ ๑)หมู่บ้านท่าก๊อ ผิดว่าคนบีซูเป็นกลุ่มเดียวกับคนลัวะ หรือคนดอย
๑๑๘ | กลุ่มชาติพนั ธ์ุ ในจงั หวัดเชยี งราย
คนบีซูจายอมให้ทางราชการเรียกว่า ละว้า หรือ ลัวะ คนท่ี ๒ พ่ออ้ยุ วัง วงคล์ วั ะ ชาติพันธุ์ “บีซู”
จนกระทั่ง ผศ.ดร.เคิร์ก เพอร์สัน ผู้อานวยการฝ่าย คนที่ ๓ พ่ออ้ยุ ขัน วงศ์ลัวะ
วิเทศสัมพันธ์ ภมู ภิ าคเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ สถาบัน คนท่ี ๔ พอ่ อ้ยุ หล้า วงคล์ วั ะ
ภาษาศาสตร์ภาคฤดูร้อน ได้เข้ามาทาการวิจัยเรื่อง คนท่ี ๕ พ่ออุย้ ใส วงศล์ ัวะ
ภาษาในหมูบ่ า้ น และได้พาคนบซี ูในเชียงรายไปพบคน คนท่ี ๖ พ่ออยุ้ ทา วงศ์ลวั ะ
บีซูในประเทศจีน ก็พบว่าภาษาของคนบีซูในเชียงราย คนที่ ๗ พอ่ อุ้ยอนุ่ ใจ วงศล์ ัวะ
และในจีนเป็นภาษาเดียวกนั ยิ่งเป็นข้อยืนยันได้วา่ คน คนท่ี ๘ พอ่ อุ้ยหลวงเฮอื น วงศล์ วั ะ
บซี ูในเชยี งรายเปน็ กล่มุ ชาติพนั ธบ์ุ ซี ู ไม่ได้เปน็ กลุม่ ลวั ะ คนท่ี ๙ นายประเดิม เจษฎาไกรศรี
ภาษาจึงถือเป็นสิ่งท่ีแสดงออกถึงความเป็นเอกลักษณ์ คนท่ี ๑๐ นายคามา วงคล์ ัวะ
ที่เดน่ ชัดของบีซู ในปี พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๘ คนบซี ูไดไ้ ป ๒.๒ ระบบครอบครัวและเครอื ญาติ
ร่วมงานกบั เครือขา่ ยชนเผา่ พน้ื เมอื งแหง่ ประเทศไทยที่ ชาวบีซูต้ังถิ่นฐานตามสายตระกูลข้างพ่อและ
จัดข้ึนในจังหวัดเชียงใหม่ เพ่ือให้สังคมได้รับรู้ว่ามีชน มีการนับถือผีตามสายตระกูล ในภาษาบีซูเรียกสาย
ชาติพันธ์ุบีซูอยู่ในประเทศไทย หลังจากน้ันจึงทาให้มี ตระกูลว่า “อังเจอ” ซ่ึงมีความหมายว่าเชือกหรือสาย
คนร้จู กั ชาวบซี ูมากขึ้น อีกทัง้ ชาวบซี ูเองก็มีความม่ันใจ ในไทยพบวา่ มี ๕ สายตระกูล คือ ฉ่าหล่าเจอ่ (ตระกลู
ท่ีจะบอกผู้อื่นว่าตนเองคือ ชาวบีซูซ่ึงมีวัฒนธรรมและ เสือ) ก่องกุ๊บเจ่อ (ตระกูลนกฮูก) ลางชัมเจอ (ตระกูล
ภาษาเป็นของตนเอง นาก) เซินกันทะเจอ (ซ่ึงบีซูเองก็ไม่ร้วู ่าหมายถึงอะไร)
และ ตงเจอลิตเจอ (เป็นช่อื นกชนิดหนึ่ง แตป่ จั จุบันไม่
๒. โครงสรา้ งทางสังคม มีคนสืบสายตระกูลนี้แล้ว) ตระกูลเสือเป็นตระกูลท่ี
ใหญ่ท่ีสดุ นอกจากน้ันยังแบ่งที่นาตามสายตระกูลด้วย
๒.๑ การปกครอง อย่างไรกต็ าม สายตระกลู ไมไ่ ด้มีบทบาทในการกาหนด
หมู่บ้านดอยชมพูเป็นหมู่บ้านของชาวบีซู หน้าที่หรือสืบทอดการปกครองหมู่บ้าน ชนเผ่า
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ เดิมเป็นหมู่บ้านบริวารของบ้าน พื้นเมืองบีซู เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ท่ีมีความสัมพันธ์เก่ียว
หว้ ยส้านพลับพลา หมู่ ๑๔ ตาบลแมก่ รณ์ อาเภอเมือง โยงกันภายในกลุ่มชนเผ่า และให้ความสาคัญกับการ
มีนายหนึ่ง วงศ์ละ (สล่าเจ่อ) เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สืบทอดสายโลหิตผ่านสายตระกลู ฝ่ายชาย ดังตัวอยา่ ง
ต่อมาได้แยกหมู่บ้านออกจากบ้านห้วยส้านพลับพลา ผังตระกูลจากการแต่งงานของตระกูล “ฉ่าหล่าเจ่อ”
มีผู้ใหญ่บ้านชื่อ นายตุ้ย วงศ์ลัวะ และมีผู้ใหญ่บ้านท่ี กบั “ก่องกุบ๊ เจอ่ ”
ดารงตาแหนง่ สบื ต่อกนั มาถึงปจั จุบนั อีก ๗ คน
นอกเหนือจากผู้ใหญ่บ้านที่เป็นเสมือนผู้นา ผงั ตระกลู ชาวบซี ู
ชุมชนและตัวแทนส่วนราชการ ฝ่ายปกครองในระดับ
ชมุ ชนเหมือนดังหมู่บา้ นทวั่ ไปในประเทศไทยแล้ว กลุ่ม กลุม่ ชาตพิ ันธุ์ ในจงั หวัดเชยี งราย | ๑๑๙
ชนเผ่าพื้นเมืองบีซูยังมีผู้นาทางจิตวิญญาณท่ีสืบทอด
ทางเช้ือสายด้วยในตาแหน่ง “ปู่ตั้ง” หรือ “ปู่ต้าง”
บ้านดอยชมพูมีปู่ต้ังท่ีสืบทอดกันตามเช้ือสายตระกูล
วงศ์ลวั ะมาถงึ ๑๐ คน ดังนี้
คนที่ ๑ พอ่ อยุ้ คาจาย วงศล์ วั ะ
ชาติพันธุ์ “บีซู” การแต่งงานของชนเผ่าพ้ืนเมืองบีซูในสอง เจ้าบ่าวจะต้ังเสาไม้ไผ่มีเส้นฝ้ายผูกโยงเสาไม้ไผ่กับจุด
ตระกูล คือ ฝ่ายชายในตระกูลฉ่าหล่า (พ่ออุ๊ยปัญญา) ต่าง ๆ ในห้องนอนและรอบบ้าน เพื่อน ๆ และสมาชิก
แต่งกับฝ่ายหญิงตระกูลก่องกุ๊บ (แม่อุ๊ยเท่ียง) มีลูก ครอบครัวจะเรียงแถวเข้าไปในห้องเพื่อรนิ นา้ ลงในอ่าง
ด้วยกัน ๓ คน จะสืบทอดสายโลหิตฝ่ายพ่ออุ๊ยปัญญา ที่หน้าเสาไม้ไผ่ จากนั้นเจ้าบ่าวและคณะจะพากันไป
ในตระกูลฉ่าหล่า ลูกท้ังสามคนเป็นหญิง ๒ คน บ้าน เจ้าสาว โ ดยมีหัว หน้าหมู่บ้าน น า ข บ ว น
แม่อุ๊ยอ่ินกบั แมอ่ ุ๊ยนวล ท้ังสองคนแต่งงานมีลูกๆ พวก การประกอบพธิ จี ะทาในห้องเจา้ สาว โดยผอู้ าวโุ สจะให้
เขาทั้งสามคนจะไปสืบทอดสายตระกูลอื่น ๆ ต่อไป คาแนะนาสงั่ สอนคู่บ่าวสาว จากนั้นหนึ่งในหมผู่ อู้ าวุโส
ดังนั้นสายตระกูลฉ่าหล่าจึงส้ินสุดท่ีรุ่นลูกของพ่ออุ๊ย ที่เป็นชายจะป้อนข้าวเหนียวแก่เจ้าบ่าวเจ้าสาว และ
ทอน ให้ด่ืมน้าจากแก้วน้าเดียวกัน จากนั้นผู้อาวุโสคนอ่ืน ๆ
จึงให้พรบา่ วสาว เมอ่ื สน้ิ สุดพิธีทบี่ ้านเจ้าสาวขบวนบ่าว
โ ด ย ช า ว บี ซู จ ะ ท า ก า ร สื บ ท อ ด ผี ต า ม ส า ย สาวก็พากันไปบ้านเจ้าบ่าว พร้อมทั้งแห่สิ่งของ
ตระกูลข้างพ่อ หากถือสายตระกูลเดียวกนั จะแต่งงาน เคร่ืองใช้ท่ีจาเป็นในครัวเรือนของเจ้าสาวไปยังบ้าน
กนั ไม่ได้ ต้องมีการทาพธิ ีกรรมยา้ ยตระกูลเพ่ือแก้เคล็ด ใหม่ด้วย แต่ในปัจจุบันได้มีการเปล่ียนแปลงพิธี
เมื่อแต่งงานกันแล้ว ฝ่ายหญิงจะต้องเปลี่ยนมาถือสาย แต่งงานให้ตามยคุ ตามสมยั แบบคนเมอื งทั่วไปแลว้
ตระกูลของฝ่ายชาย และจะตอ้ งบอกกลา่ วขอกับผีสาย
ตระกูลฝ่ายหญิงก่อน ว่าขอให้ฝ่ายหญิงไปถือสาย ๓. วถิ ีชีวิตความเปน็ อยู่
ตระกูลของสามี แต่หากผู้หญิงแต่งงานกับคนที่ไม่ใช่
บีซู ผู้หญิงยังคงเป็นสมาชิกในสายตระกูลเดิมของตน ๓.๑ ทอี่ ยู่อาศยั
ในอดตี บซี ูมกี ารหา้ มไม่ให้ลูกหลานแตง่ งานกับคนนอก ในจังหวัดเชียงรายนั้น มีชาวบีซูอาศัยอยู่
ที่ไม่ใช่บีซู แต่เม่ือ ๓๐ ปีท่ีผ่านมาโดยเฉพาะในช่วง ด้วยกันหลัก ๆ ในหมู่บ้านดังต่อไปน้ี ๑) หมู่บ้าน
๑๐ ปีหลัง การแต่งงานกับคนภายนอกกลุ่มมีมากขึ้น บีซูดอยชมพู ปัจจุบันมีการต้ังบ้านเรือนเป็นกลุ่มบ้าน
ในทุกชุมชน ถ้าพ่อแม่ยังอยู่ลูกก็จะถือผีตามพ่อแม่ ทิศตะวันออกของลาห้วยชมพูใกล้ ๆ กับบริเวณท่ีหว้ ย
โดยพ่อแม่เป็นคนทาพิธี เมื่อพ่อแม่ตายหากมีลูกชาย ชมพูแง่งซ้ายและแง่งขวามาบรรจบกัน มีลักษณะท่ี
หลายคน แต่ละคนต้องแยกกนั ถือผีของบ้านตนเองแต่ เป็นท่ีราบเนินเขาของดอยช้างที่ทอดตัวลงมาจากฝ่ัง
เป็นการถือผใี นตระกูลเดียวกนั สว่ นใหญ่การทาพธิ ไี หว้ ตะวันตกไปสู่ฝ่ังตะวันออกท่ีเป็นที่ราบลุ่มนา้ แม่ลาวฝง่ั
ผีสายตระกลู น้ันจะทาเมอ่ื มีคนในบ้านเจบ็ ปว่ ย ซ้าย บ้านเรือนมีการกระจายตัวเป็นหย่อม ๆ รูป
สามเหล่ียมท่ีมีการขยายตัวออกจากศูนย์กลางหม่บู ้าน
ในอดีตก่อนพิธีแต่งงานเจ้าบ่าวจะต้องไป ไปตั้งบ้านเรือนในที่ดินทากินท้ัง ๔ ทิศทาง ซึ่งมีความ
ทางานใช้แรงงานและอยู่ที่บ้านพ่อแม่เจ้าสาวเป็นเวลา เป็นไปได้ว่าการกระจายตัวของบ้านเรือนในบ้านดอย
๑ – ๓ ปี ระหว่างน้ีเจ้าบ่าวและเจ้าสาวมีเพศสัมพันธ์ ชมพูถูกควบคุมโดยประเพณีวัฒนธรรมที่เก่ียวข้องกับ
กันได้ ดังนั้นในพิธีแต่งงานจึงเป็นเร่ืองปกติท่ีเจ้าสาว สะมาลาแกน หรอื ประตูหมบู่ ้านท่ีกาหนดให้บ้านเรือน
เจ้าบา่ วมีลกู ๑ – ๒ คน ในช่วงน้คี รอบครวั เจา้ สาวยงั มี ของชาวบ้านบีซูต้องสร้างอยู่ในขอบเขตของประตู
สิทธ์ิปฏิเสธเจ้าบ่าว ขณะที่เจ้าบ่าวก็มีสิทธ์ิยกเลิก หมู่บ้านดังกล่าว ๒) หมู่บ้านปุยคา เป็นหมู่บ้านด้ังเดิม
พันธะสัญญาได้เช่นกัน เม่ือเจ้าบ่าวสิ้นสุดการทางาน ของชนเผ่าพ้ืนเมืองบซี ูอีกหมบู่ ้านหนึ่งที่มีการพูดถงึ ใน
ให้พ่อแม่เจ้าสาว ก็จะกาหนดวันแต่งงาน ในวันน้ัน ประวัติศาสตร์บอกเล่าของชาวบีซู ปัจจุบันอยู่ในเขต
ญาติ ๆ จะมารวมกนั ท่ีบา้ นเจ้าบ่าวเจา้ สาว ทห่ี ้องนอน
๑๒๐ | กลุม่ ชาตพิ ันธุ์ ในจังหวดั เชยี งราย
ปกครองของตาบลป่าอ้อดอนชัย ๓) บ้านผาแดง การเปล่ียนแปลงโดยรอบพ้ืนที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ชาติพันธุ์ “บีซู”
แต่เดิมเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ของชนเผ่าพื้นเมืองบีซู ของชนเผ่าพ้ืนเมืองบีซูจะเป็นไปดังภาพปฏิทินในรอบ
แต่ปัจจุบันมีชนเผ่าบีซหู ลงเหลืออยใู่ นหย่อมบ้านเพียง ปี ดังนี้
๑๐ ครัวเรือน เน่อื งจากบางส่วนไดม้ กี ารยา้ ยถ่นิ ฐานไป
อยู่ท่ีอื่นอย่างต่อเนื่องต้ังแต่คร้ังมีการสัมปทานป่าไม้ ๑. กิจกรรมผลิตข้าวนาปรัง เดือนมกราคม
ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๐๐ บ้านผาแดง ตั้งตามช่ือหน้าผาที่ เร่ิมไถ หว่านกล้า เม่ือว่านกล้าได้ประมาณ ๒๕ วัน
มีสภาพเป็นดินแดงโดดเด่นซ่ึงเป็นเนินเขาจากยอด จึงไถคราด จากน้ันก็ถอนกล้า ดานาแล้วเร่ิมปลูก ช่วง
ดอยหลวงในเขตอุทยานแห่งชาติดอยหลวงปัจจุบัน เก็บเก่ยี วประมาณปลายเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน
ผาแดงนี้จะอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านและห้วย
ผาแดงทีไ่ หลผา่ น ๒. กิจกรรมผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ชาวบีซูจะ
เรมิ่ ทาการปลูกข้าวโพด ในช่วงเดือนพฤษภาคมเตรียม
ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนภายนอกกลุ่มของ พื้นท่ถี างหญา้ พ่นยาฆ่าหญา้ เตรยี มเมล็ดพนั ธุ์ขา้ วโพด
ชาวบีซู และความทันสมัยตามกาลเวลาได้ก่อให้เกิด แล้วแต่ว่าใครจะเตรียมพ้ืนท่ีเสร็จก่อน สาหรับ
การเปล่ียนแปลงที่ค่อนข้างชัดเจนในหมู่บ้านชนเผ่า ครอบครัวที่ปลูกข้าวโพด ชาวบีซูจะมีการเอาม้ือลง
พ้ืนเมืองบีซู การเปลี่ยนแปลงท่ีค่อนเห็นได้ชัดเจน แขกกันและเวียนกันปลูก หลังปลูกข้าวโพดประมาณ
ได้แก่โครงสร้างบา้ นเรือนไดม้ กี ารสร้างบา้ นท่ีมรี ูปแบบ ๑๕ วัน เริ่มใส่ปุ๋ยคร้ังแรกรอประมาณ ๑ เดือน จึงเรม่ิ
ทั่วไปตามสมัยนิยม ไม่มีบ้านเรือนที่เป็นท่ีเป็นรูปทรง ดายหญ้าจากน้ันเร่ิมใส่ปุ๋ยรอบสองแล้วรอเก็บเกี่ยว
ลกั ษณะเฉพาะของชาวบีซูหลงเหลืออย่แู ลว้ ผลผลิต
ลักษณะบา้ นเรอื นทอี่ ยอู่ าศยั ของชาวบีซู ๓. กิจกรรมผลิตข้าวไร่ เตรียมพ้ืนที่ปลูก โดย
เริ่มจากการถางหญ้า เตรียมเมล็ดพันธุ์ หลังจากน้ันจงึ
ภาพจาก https://www.sac.or.th/databases/ethnic-groups/gallery/6 หาฤกษ์หาวันดีไปเพาะปลูก เตรียมอุปกรณ์เพาะปลูก
เช่น ไม้กระทุ้ง ถังใส่ เมล็ดพันธุ์ วิธีการปลูก
๓.๒ การประกอบอาชีพ ใชไ้ มก้ ระทุ้งแทงเปน็ หลุมหยอดเมล็ดพันธุ์ลงหลมุ และ
เ ม่ื อ ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย เ ร่ิ ม มุ่ ง เ น้ น ก า ร ป ลู ก พื ช กลบหน้าดินให้เรียบร้อย ในช่วงท่ีต้นข้าวเติมโต อาจ
เศรษฐกิจเพ่ือสร้างรายได้เป็นเงินตราเพ่ิมข้ึน มีผลให้ กาจัดวัชพืชในไรข่ ้าว ๑ – ๒ คร้ัง อีกประมาณ ๓ – ๔
วิถีเศรษฐกิจของชนเผ่าพื้นเมืองบีซูเปลี่ยนแปลงไป เดอื น จึงรอเก็บเกยี่ ว
ด้วย โดยชาวบีซูในกลุ่มบ้านผาแดงและบ้านดอยชมภู
ได้เริ่มทานาข้าวเพ่ิมขึ้นจากข้าวไร่ และมีการ ๔. กิจกรรมผลิตข้าวนาปี ปลูกข้าวนาปี
ปรับเปลี่ยนจากไร่ข้าวเป็นไร่พืชเศรษฐกิจตามกระแส ๓ ขั้นตอน ๑) ทุ้งหญ้าก่อน ๒) ซิมกล้า ๓) ปลูกนา
ข้าวสุดทา้ ย ขัน้ ตอนแรก การกระทงุ้ กล้าข้าวใช้ไมเ้ หลา
ให้แหลม ๆ พอที่จะเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวหยอดใส่ในหลุม
แล้วกลบ เมื่อข้าวได้ประมาณ ๑ เดือน เตรียมที่จะ
ซิมกล้าก่อนลงปลูกขั้นตอนต่อไป เมื่อต้นกล้าข้าวอายุ
ครบ ๑ เดือน เตรียมไถและหาวันดีเพ่ือไปปลูกข้าว
ก่อนท่ีจะปลูกข้าว มีพิธีแหกข้าวของคนบีซู เป็นความ
เช่ือว่าเป็นการบูชาพระแม่โพสพให้ปลูกข้าวได้อุดม
สมบรู ณ์ ได้ผลผลติ ทีด่ ีไดข้ า้ วปรมิ าณมาก
กลมุ่ ชาติพันธุ์ ในจังหวดั เชยี งราย | ๑๒๑
ชาติพันธุ์ “บีซู” ๕. กิจกรรมการผลิตถั่วเหลือง ปลูกถั่วเหลือง ๔. วฒั นธรรมและประเพณี
เร่ิมปลูกปลายเดือนธันวาคมต่อต้นเดือนมกราคม ก่อน
ปลูกต้องเตรียมถางหญ้าในนาหลังจากที่เก็บเก่ียวข้าว ๔.๑ ศาสนา
แล้ว ตัดตอซังข้าวให้เรียบร้อย ตากฟางให้แห้งแล้วเผา ส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาพุทธและมีความ
หรอื ไถกลบก็ได้ เตรียมเมลด็ ถ่วั เหลือง วิธกี ารปลูก ใชไ้ ม้ เคร่งครัดในการปฏิบัติศาสนกิจตามขนบประเพณี
ทุ้งแทงหลุมปลูก กลบหน้าหลุมให้เรียบร้อย รดน้าทิ้งไว้
ประมาณ ๑ คืน เมอ่ื ปลกู ครบ ๑ เดือนจึงใสป่ ยุ๋ ดายหญา้ ด้ังเดิม บิดามารดานิยมให้บุตรหลานท่ีเป็นชายบวช
รอเก็บเกี่ยวช่างเก็บเก่ียวประมาณเดือนมีนาคม - เรียน ถ้าเป็นผู้ใหญ่จะบวชให้พ่อแม่ ถ้าเป็นเด็กจะ
เมษายน
บวชเพอ่ื เรยี นหนงั สือ ในวนั สาคัญทางพุทธศาสนาจะมี
๓.๓ อาหาร การทาบญุ ในหมู่บา้ นเชน่ เดียวกนั คนไทยทางเหนือ
ในอดีตจะนิยมรับประทานอาหารที่ทาจาก
พืชผักมากกว่าเนื้อสัตว์โดยให้เหตุผลว่าบารุงสุขภาพ ๔.๒ พิธกี รรม ความเช่อื
ดีกว่าเน้ือสัตว์ อาหารท่ีนิยมรับประทานกันมาอย่าง ชาวบีซูนอกจากจะนับถือศาสนาพุทธแล้วใน
ยาวนาน และยังคงเหลืออยู่ในปัจจุบันคือ ลาบพริก ขณะเดยี วกันก็ยังคงนับถอื ผีดว้ ยเชน่ กัน มที ้ังผีหมู่บ้าน
โดยลาบพริกน้ีเป็นอาหารที่คนบซี ูภมู ิใจนาเสนอแก่คน
ภายนอกเปน็ อย่างมาก เพราะมนั่ ใจว่าลาบพรกิ มคี วาม ผีในป่า ผีในถ้า ในทุ่งนาและผีบรรพบุรุษ บีซูเรียกผีที่
พิเศษกว่าอาหารอื่น ๆ ตรงที่เป็นอาหารท่ีสืบทอดมา ดูแลหมู่บ้านหรือเสื้อบ้านว่า “อังจาว” ซึ่งมีผู้ช่วยชื่อ
ต้ังแตร่ ุ่นปูย่ า่ ตายาย ถอื เปน็ เอกลกั ษณข์ องคนบซี อู ย่าง
แท้จริง ถือเป็นอาหารท่ีมคี ุณค่าทางโภชนาการสูงมาก “ม้า” หมายถึง มีหน้าที่ดูแลผีม้าที่เป็นหัวหน้าของม้า
เพราะวัตถดุ บิ ท่ีนามาทานนั้ ลว้ นแตเ่ ป็นสมนุ ไพรทง้ั ส้นิ ซึ่งชาวบ้านบีซูจะให้ความเคารพนับถืออังจาวเป็น
ในปัจจุบันวัยรุ่นชาว บีซูจะไม่ค่อยนิยม
รับประทานอาหารพ้ืนถ่ินเท่าใดนัก นิยมรับประทาน อย่างมากโดยเช่ือว่าเป็นส่ิงศักดิ์สิทธิ์ท่ีช่วยคุ้มครอง
อาหารแบบคนเมือง เช่น การกินหมูกระทะ ลาบเนื้อ หมู่บ้านของตนให้ปลอดจากอันตรายได้ ดังนั้นคนบีซู
ส่วนอาหารประจาเผ่ามีแต่ผู้ใหญ่และคนแก่เท่านั้นท่ี จึงมีประเพณีท่ีสาคัญคือประเพณีไหว้หอเสื้อบ้านที่
นิยมอยู่
เรียกกันว่า “อังจาวไว” โดยมีบุคคลสาคัญที่เป็นผู้
ประกอบพธิ กี รรมในหมบู่ ้าน เรียกว่า ปตู่ ง้ั
เมนูลาบพรกิ ของชาวบีซู ภาพบน ศาลองั จาว หรอื เสือ้ บา้ นของบีซู
ภาพล่าง ศาลผู้ชว่ ย เป็นศาลขนาดเลก็ ต้งั อยเู่ คยี งขา้ งศาลองั จาว
ภาพจาก https://www.sac.or.th/databases/ethnic-groups/gallery/6
ภาพจาก https://www.sac.or.th/databases/ethnic-groups/gallery/
๑๒๒ | กล่มุ ชาติพันธุ์ ในจงั หวัดเชยี งราย
อีกท้ังมีการสร้างประตูไม้ไว้ทั้ง ๔ ทิศของ ไฟกลางบ้านหายไป แต่บซี สู ว่ นหน่ึงยงั คงนบั ถอื ยมุ แปง ชาติพันธุ์ “บีซู”
หมบู่ า้ น เพอ่ื กนั ภตู ผปี ศี าจรบกวน เรียกในภาษาบีซูว่า ดังเดิม แม้จะไม่ตั้งห้ิงก็มีการไหว้บอกกล่าวต่อยุมแปง
“สะมาลาแกน” สมัยก่อนชุมชุนของคนบีซูยังไม่ ในส่วนพื้นทีเ่ ตาไฟหรอื ทป่ี ระกอบอาหาร
หนาแน่น คนท่ีปลูกบ้านก็มักจะปลูกในประตูไม้ทั้ง
๔ ทิศของหมู่บ้าน แต่ในปัจจุบันผู้คนเพ่ิมจานวนมาก ๒. ประเพณไี หว้ “อังจาวไว” หรอื ผีเสอ้ื บ้าน
ข้ึนแต่พื้นท่ีมีจากัด บ้านหลายหลังจึงต้องมาปลูกนอก มีบุคคลสาคัญที่เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมในหมู่บ้าน
เขตประตู แต่ยังคงรักษาพนื้ ที่บริเวณประตูเอาไว้ และ เรียกวา่ ปู่ต้งั ซง่ึ มีผ้ชู ว่ ยเรยี กว่า “ม้า” ชนเผา่ พืน้ เมือง
มีพิธีทาความสะอาด และปรับปรุงประตูทุกเดือน ๘ บีซูเช่ือว่า อังจาว เป็นส่ิงศักดิ์สิทธ์ิท่ีช่วยคุ้มครอง
ของปี หมู่บ้านของตนให้ปลอดจากอันตรายได้ ดังนั้นคนบีซู
จงึ ถือเปน็ ประเพณีท่ีสาคัญ
ประตูไม้ ๔ ทศิ ของหม่บู า้ น
๓. ประเพณี “วาซาออง” คือกิจกรรมในช่วง
๔.๓ ประเพณี ของการเข้าพรรษาของชาวบีซู มีการพัฒนาวัดก่อน
สาหรับประเพณีนั้นได้มีการยึดถือปฏิบัติกัน เข้าพรรษา เตรียมอาหารไปทาบุญช่วงเช้ากับข้าวทไี่ ป
มายาวนาน ประกอบไปด้วยหลายประเพณีซ่ึงจะ ทาบุญมี ข้าว อาหาร ผลไม้ น้า ขนม ทาเป็นสองชุด
จัดเปน็ ในรอบปีเกย่ี วกับชีวิตดงั ตอ่ ไปนี้ แบ่งเป็นชุดแรกใส่บาตร ชุดที่สองทาบุญให้คนท่ี
๑. ประเพณีเซ่นไหว้บรรพชน : ในบ้านมีท้ัง เสียชีวิตหรือบรรพบุรุษ ช่วงบ่ายสรงน้าพระด้วยน้า
ผี และแต่ละบ้านไหว้เฉพาะผีสายตระกูลที่ตนเองนับ ขม้ิน ส้มป่อย ฟังเทศน์ฟังธรรม กลางคืนนอนวัด สวด
ถือ เรียกว่า “อังบาอังตาอังแด” ในอดีตการไหว้ผีใน มนต์ ทาสมาธิกรรมฐาน ระหว่างช่วงเข้าพรรษาชาว
บ้านหรือผีเรือน แบ่งเป็น ๒ ส่วนคือ ผีบรรพบุรุษหรอื บีซูต้องไปทาบุญทุกวันพระ ช่วงเช้าใส่บาตร ช่วงบ่าย
ผพี ่อแมป่ ู่ยา่ จะต้งั ห้ิงบริเวณเขตของทน่ี อนห้ิงผปี ระจา ฟงั ธรรม จนกวา่ จะออกพรรษา
บ้าน และการไหว้ผียุมแปง (เตาไฟ) ในสมัยก่อน
ลักษณะบ้านบีซูเป็นบ้านหลังใหญ่มีเตาไฟอยู่ในเรือน ๔. ประเพณี “วาซาออก” เปน็ ประเพณีของ
บริเวณน้ีมีการตั้งห้ิงยุมแปงเป็นท่ีศักด์ิสิทธิ์ของแต่ละ ชาวบีซู ก่อนถึงวันออกพรรษา ชาวบ้านร่วมพัฒนาวัด
ครัวเรือน เป็นของท่ีปกปักรักษาคนในเรือนหลังนนั้ ๆ ใหส้ ะอาดเรยี บร้อยก่อนถึงวนั พระ มีการเตรยี มอาหาร
แต่หากมีผู้ทาผิดไมถ่ กู ใจผีท่รี กั ษาบ้านหลังนนั้ ๆ ผอี าจ ขนม ผลไม้ น้า ข้าว ใส่บาตร ทาสองชุด ชุดแรกใส่
ลงโทษคนในบ้านได้ จงึ มีการไหว้ห้งิ ยุมแปงในเดอื น ๘ บาตร ชุดท่ีสองทาบุญให้แก่บรรพบุรุษที่เสียชีวิตไป
ของทุกปี และไหวย้ มุ แปงทกุ ครง้ั ท่มี คี นในบา้ นเจบ็ ป่วย แล้ว ช่วงบ่ายสรงน้าพระด้วยขม้ิน ส้มป่อย ฟังเทศน์
ปัจจุบันเม่ือมีการใช้แก๊สหุงต้มเข้ามาแทนที่ ทาให้เตา ถวายผ้าออกพรรษา เช่น ผ้าสบง จีวร กลางคืน นอน
วัดสวดมนต์ นัง่ สมาธิ
๕. ประเพณีลอยกระทง แต่ละปีไม่ตรงกัน
ตามปฏิทิน ก่อนจะถึงวันลอยกระทง ชาวบีซูจะห่อ
ขนม ทากับข้าวไปทาบุญที่วัด ช่วงบ่ายจะมารวมกันที่
ศาลากลางหมู่บ้าน พากันแห่ครัวตานเข้าวัดอย่าง
สนุกสนาน ตอนกลางคืนก็ไปฟังธรรม จุดประทีป
ปล่อยโคมลอย จากน้ันจึงไปลอยกระทงที่ลาหว้ ย
กลุ่มชาติพนั ธุ์ ในจงั หวัดเชยี งราย | ๑๒๓
ชาติพันธุ์ “บีซู” ๔.๔ ภาษา แสดงออกถึงตัวตนเม่ือต้องเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ
ภาษาพูดที่เป็นเอกลักษณ์ของบีซู พูดกันได้ ทางสงั คม สว่ นในชีวิตประจาวนั จะสวมใส่เสื้อผ้าท่ัวไป
น้อยลง เด็กส่วนมากเรียนหนังสือในระบบโรงเรียน ตามสมัยนิยมเป็นหลัก โดยเส้ือผ้าทางชาติพันธุ์ของ
อย่างน้อย ๖ ปี และได้รับอิทธิพลจากวิทยุและ ชาวบีซู มรี ายละเอยี ดดงั นี้
โทรทัศน์ บซี รุ ุน่ น้ีจะมนั่ ใจในการใช้ภาษาไทยมาตรฐาน
มากข้ึน และกลมกลืนกับคนพ้ืนเมือง รวมทั้งอายไม่ ชุดผู้ชาย ตัวเสื้อทาจากผ้าฝ้ายสีแดงน้าหมาก
กล้าใช้หรือพูดภาษาบีซูกับคนภายนอกมากนัก แต่บีซู คอจีน ผ่าหน้า ป้ายด้านขวาของผู้สวมใส่ แขนเสื้อ
รุ่นปัจจุบันให้ความสาคัญกับการสอนให้ลูกหลานพูด ทรงกระบอกยาว ชายเส้ือขลิบผ้าสีน้าเงินกระดุมเส้ือ
ภาษาบีซู ในหมบู่ า้ นดอยชมพไู ดใ้ ช้ตัวอกั ษรไทยในการ ทามาจากกะลามะพร้าวมีหอยเบ้อประดับตัวเส้ือ
ใช้ ภาษาเขียน โดยได้รับการสนบั สนุนการฟื้นฟูภาษา ส่วนกางเกงเป็นทรงขากว้าง สีดาหรือสีน้าเงิน
บีซูจากหน่วยงานหลายแห่ง เช่น ศูนย์ศึกษาและฟื้นฟู สว่ นของผ้าโพกหัวนิยมใชส้ ีแดง
ภาษาและวัฒนธรรมในภาวะวิกฤต สถาบันวิจัยภาษา
และวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล และ ชุดของผหู้ ญงิ ตวั เส้อื เป็นผ้าฝา้ ยสนี ้าเงินคอจีน
สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้เข้ามา ตวั เสอื้ คลมุ ป้ายด้านซ้ายของผู้สวมใส่เสือ้ แขนกระบอก
ช่วยทุนสนับสนุนผู้นาชุมชนบีซูในการฟ้ืนฟูภาษาบีซู ยาว คอเสื้อและชายเสื้อตกแต่งลายปักสีแดงและหอย
ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้เปิดศูนย์บ่มเพาะภาษาบีซู เบีย้ สวมผ้าถงุ สีเขียวทอลายสีแดงสลบั สดี าคาดกลาง
หรือศูนย์เด็กเล็ก ที่ครูผู้สอนและพี่เล้ียงต่างก็ใช้ภาษา
บีซูในการเรียนการสอน โดยไม่มีภาษาคาเมืองหรือ แตง่ กายของชาวบซี ู
ภาษาไทยกลางเขา้ มาปน นอกจากนั้นยังมีกลุม่ เยาวชน
บีซูกลุ่มเล็ก ๆ ท่ีคอยเผยแพร่และสอนภาษาบีซูให้กับ ภาพจาก https://www.facebook.com/profile.php?id=100004310354949
เดก็ บีซู ซึ่งกไ็ ด้รับการสนับสนุนจากผ้ใู หญใ่ นชุมชนเป็น
อย่างดี ภาษาบีซูนั้นเป็นเอกลักษณ์ของชาวบีซู ๔.๖ องคค์ วามรู้และภูมปิ ญั ญา
เ พ ร า ะ ว่ า ภ า ษ า บี ซู เ ป็ น ปั จ จั ย ส า คั ญ ท่ี จ ะ ท า ใ ห้ ค น
ภายน อก รู้ว่ าพ ว ก เข าคื อชน เ ผ่ าพื้น เ มื อ ง บี ซู
นอกจากนั้น ชาวบีซูยังมองว่าภาษาบีซูเป็นภาษาท่ีปู่
ย่า ตายาย พ่อแม่ เคยพูดกันมาและส่ังสอนให้พูดกัน
ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมท่ีควรจะอนุรักษ์ไว้เป็น
อย่างยิ่ง ซ่ึงต่อมากระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศขึ้น
ทะเบียนภาษาบีซูเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
ของชาติ ประจาปพี ุทธศกั ราช ๒๕๕๗
๔.๕ การแตง่ กาย
ชาวบีซูไม่ได้สวมใส่เส้ือผ้าตามอัตลักษณ์กลุ่ม
ชาติพันธ์ุในชีวิตประจาวนั เช่นเดียวกับหลายกลุ่มชาติ
พันธ์ุในประเทศไทย โดยเสื้อผ้าของชนเผ่ามีไว้เพื่อ
๑๒๔ | กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจังหวดั เชียงราย
การเต้นราชนเผ่าบีซู ซึ่งเป็นการเต้นราท่ี เครือข่ายส่ือชนเผ่าพื้นเมือง ร่วมกับสภาชนเผ่า ชาติพันธุ์ “บีซู”
สืบทอดจากคนรุ่นหลังจนถึงปัจจุบัน เป็นการเต้นราท่ี พ้นื เมอื งแห่งประเทศไทย. ๒๕๖๒. เคร่อื งแตง่
สนุกสนานสื่อให้เห็นถึงความรัก ความสามัคคี กายกลุ่มชาติพนั ธุใ์ นประเทศไทย. เชียงใหม่.
ความผกู พนั และความภาคภมู ใิ จของคนในชุมชน รว่ มเจริญปร้ิน
การเต้นราของชนเผ่าบีซู ชนเผ่าพ้ืนเมืองบีซู. แผนพับ. มปป. โครงการพัฒนา
ระบบฐานข้อมูลเพ่ือเสริมสร้างความเข้มแข็ง
ภาพจาก http://oknation.nationtv.tv ของชนเผา่ พน้ื เมือง. มูลนธิ ิชนเผา่ พื้นเมืองเพอ่ื
การศึกษาและสิง่ แวดล้อม. เชียงใหม่
ตาเเหลว ถือเป็นเคร่ืองจักสานที่มีบทบาท
สาคัญของชาวบซี ู โดยใช้ไมไ้ ผเ่ ป็นวัสดุสาคัญ สว่ นใหญ่ พิบูลชัย สวัสดิ์สกุลไพร และคณะ ๒๕๕๓. แนว
ใช้ในประกอบพิธีกรรม หรือใช้เป็นสัญลักษณ์ในการ ทางการสร้างกระบวนการเรียนรู้ภาษาและ
ป้องกันสิ่งไม่ดี หรือส่ิงช่ัวร้ายตามความเชื่อตั้งแต่อดีต วัฒนธรรมบีซูทีเ่ หมาะสมกับเด็กเล็กชาวบีซู
ถึงปัจจุบนั มดี ้วยกันหลายลักษณะ เชน่ ตาเหลวปันชั้น บ้านดอยชมพู ตาบลโปง่ แพร่ อาเภอแมล่ าว
ใชใ้ นงานบญุ ข้นึ บา้ นใหม่, ตาเหลวเมือง ใชเ้ วลาแก้บน จังหวัดเชยี งราย. รายงานการวิจยั สานักงาน
ผใี นป่า, ตาเหลวบิด ใช้เวลาทานาแรกขวญั เปน็ ตน้ กองทุนสนับสนุนการวิจัย ฝ่ายวิจัยเพ่ือ
ท้องถ่นิ .
ซา้ ย : ตาแหลวปันช้ัน ขวา : ตาแหลวบิด
พิบูลชัย สวัสด์ิสกุลไพร และคณะ ๒๕๕๖. “บีซู อาง
ภาพจาก https://www.langarchive-th.org/ เก่ิงอางกอ เฮล่นยา” (แหล่งเรียนรู้ของเก่า
ชาวบซี )ู บ้านดอยชมพู ตาบลโปง่ แพร่ อาเภอ
๕. แหล่งอา้ งองิ แม่ลาว จงั หวดั เชียงราย. งานวจิ ยั เพอ่ื ท้องถิ่น
สานักงานกองทนุ
สนับสนนุ การวจิ ัย.
สานกั งานวฒั นธรรมจงั หวัดเชียงราย. (2559). รายการ
เ บื้ อ ง ต้ น ม ร ด ก ภู มิ ปั ญ ญ า ท า ง วั ฒ น ธ ร ร ม
(แบบ มภ. ๒) ภาษาบีซู.
กลมุ่ ชาติพันธุใ์ นประเทศไทย. (๒๕๕๘). กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ
: บซี ู. ได้จาก https://www.sac.or.th/
สบื คนื เม่อื ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔.
สัมภาษณ์
นายอุ่นเรือน วงค์ภักดี เลขที่ ๒๐ หมู่ท่ี ๗
บ้านดอยชมพู ตาบลโป่งแพร่ อาเภอแม่ลาว จังหวัด
เชยี งราย (๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔) สมั ภาษณ์
กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ในจังหวัดเชยี งราย | ๑๒๕
ชาติพันธ์ุ “กะเหรี่ยง”
ชาตพิ นั ธุ์ “กะเหรี่ยง”
“กลุ่มชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (Karen) ท่ีเรียก Karen
ตนเองว่า “ปกาเกอะญอ” แปลวา่ “คน” เปน็ ชนเผ่าท่ี
มีจานวนมากที่สุดในประเทศไทย จากหลักฐานทาง ...........................................................................
ประวตั ศิ าสตรเ์ ช่ือกนั ว่าเป็นกลุ่มคนทีอ่ าศยั อยู่ในพ้ืนท่ี ประเทศจีนมา และมาอาศัยอยู่ทางตะวันออกของ
ประเทศไทยมานานหลายร้อยปี ดังปรากฏในตานาน ทิเบต ได้อพยพเข้าไปต้ังอาณาจักรในประเทศจีนเมื่อ
หลาย ๆ เร่ืองที่กล่าวถึงชนพ้ืนเมือง ในอดีตชาว ๗๓๓ ปีก่อนพุทธกาล จีนจึงเรียกพวกนี้ว่าชนชาติโจว
ก ะ เ ห รี่ ย ง มั ก จ ะ ห ลี ก เ ลี่ ย ง ก า ร เ ก่ี ย ว ข้ อ ง กั บ เม่ือถูกจีนรุกรานจึงถอยร่นลงมาทางใต้เร่ือย ๆ ตั้งแต่
บุคคลภายนอกชุมชนที่ตั้งของหมู่บ้าน และส่วนใหญ่ บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้าแยงซีเกียง ลุ่มแม่น้าสาละวิน
จะตั้งถิ่นฐานห่างไกลจากชุมชนอ่ืน ๆ โดยชาว โดยชาวกะเหร่ียงอพยพมาอยู่บรเิ วณเขาทางชายแดน
กะเหรี่ยงจะแบ่งออกได้เป็น ๔ กลุ่ม ได้แก่ ๑) สะกอ ตะวันออกของสหภาพพม่าและตะวันตกของประเทศ
หรือยางขาว หรือปกาเกอะญอ เป็นกลุ่มที่มี ไทย ต้ังแต่เมืองตองยีทางเหนือลงไปทางใต้ถึงตะนาว
ประชากรมากที่สุด ๒) โป หรือ โพล่อยู่ ในเขตจังหวัด ศรีมาเกือบถึงคอคอดกระ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ใน
แม่ฮอ่ งสอน เชียงใหม่ และลาพูน ๓) ปะโอ หรือตองสู ประเทศไทยกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในภาคเหนือและภาค
และ ๔) บะเว หรือ คะยา ในเขตจงั หวัดแม่ฮอ่ งสอน” ตะวันตกในเขตชายแดนกับพม่า จากที่ตั้งถ่ินฐานของ
ชาวกะเหร่ียงเป็นพื้นท่ีแคบยาวจากเหนือลงใต้ทาให้
๑. ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาตพิ นั ธ์ุ ชาวกะเหร่ียงท่ีอยู่ทางตอนเหนือ คือ กลุ่มคะยาหรือ
กะเหรี่ยงแดงและกลุ่มย่อย ๆ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด
จ า ก ข้ อ มู ล ไ ด้ มี ก า ร ร ะ บุ ถิ่ น ฐ า น เ ดิ ม ข อ ง กับกลุ่มไทและรับอิทธิพทางวัฒนธรรมของไทย ส่วน
กะเหร่ียง อยู่บริเวณมองโกเลียเมื่อกว่า ๒,๐๐๐ ปี กะเหรี่ยงที่อยู่ทางใต้ได้แก่ กะเหร่ียงโปวและกะเหรี่ยง
มาแล้ว ต่อมาได้หนีภัยจากการรุกรานจากกองทัพ สะกอเป็นกลุ่มท่ีได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมของมอญ
และพม่า ต่อมาปัญหาความไม่สงบและสงคราม
ระหวา่ งไทยกับพม่าในสมยั พระเจ้าอลองพญาย่งิ ทาให้
๑๒๖ | กลุม่ ชาติพันธุ์ ในจงั หวดั เชยี งราย
ชาวกะเหร่ียงจานวนมากอพยพจากพม่าเข้ามาสู่รัฐ ลาปางเพชรบุรี และประจวบครี ขี ันธ์ มีท้ังชาวกะเหรีย่ ง ชาติพันธ์ุ “กะเหรี่ยง”
ไทใหญ่และล้านนา พระเจ้ากาวิละได้นาเอาชาว ที่ตั้งรกรากเป็นชมุ ชนมานานต้งั แตค่ รง้ั บรรพบรุ ษุ และ
กะเหรี่ยงโปวมาตั้งถ่ินฐานอยู่ที่หางดง ต่อมามีผู้อพยพ ท่ีอพยพเข้ามาอยู่ในเมืองไทยตามรอยตะเข็บชายแดน
ตามมาอีกเป็นจานวนมากและได้ย้ายไปต้ังถิ่นฐานอยู่ ระหว่างไทยกับพม่า แต่ชาวกะเหร่ียงที่อพยพเข้ามา
ในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน เช่น บ้านแม่ละมู ท่ีอาเภอ ใหมม่ ักจะไมม่ ีท่ีทากนิ จงึ ต่องกระจายตวั ออกไปรับจ้าง
แม่สะเรียง เป็นต้น ชาวกะเหร่ียงท่ีอพยพมาในตอน ทางานในจังหวัดต่าง ๆ ของภาคเหนือ ภาคกลาง และ
หลังได้ขอซื้อดิน น้า จากเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ภาคตะวันตก ทาใหจ้ านวนประชากรชาวกะเหรี่ยงจริง
ส่งส่วย บรรณาการต่าง ๆ ให้เจ้านาย หรือแม้แต่จ่าย ๆ ในปจั จุบนั นีไ้ มช่ ดั เจน
ค่าเชา่ ท่ดี ินใหก้ บั ลวั ะซงึ่ ตงั้ ถ่ินฐานอยู่ก่อนแล้ว
สาหรับกลุ่มชนชาติพันธ์ุกะเหร่ียงในจังหวัด
นอกจากการอพยพโยกย้ายดังกล่าวแล้วชาว เชียงรายมีอาศัยอยู่จานวน ๕ อาเภอ ๑๔ ตาบล ๓๕
กะเหร่ียงจานวนมากได้อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิ หมู่บ้าน ได้แก่ อาเภอเมือง อาเภอเวียงชัย อาเภอ
สมภารหลังจากอังกฤษยึดครองพม่าได้แล้ว เนื่องจาก เวียงป่าเป้า อาเภอแม่สรวย และอาเภอดอยหลวง
ชาวกะเหรย่ี งเหลา่ นั้นไมย่ อมอ่อนนอ้ มตอ่ อังกฤษจึงถูก โดยสว่ นใหญจ่ ะประกอบอาชพี ทาไร่ ทานา อยูต่ ามป่า
ปราบปรามต้องหลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทย โดย ตามเขา ปลกู พืชผักสวนครัวตามฤดกู าล สว่ นสัตวเ์ ลย้ี ง
กลมุ่ หนง่ึ ต้งั หลกั แหล่งอยู่ทางภาคใต้ มีชุมชนกะเหรี่ยง ก็จะเลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหารมากกว่าการค้าขาย ใช้ชีวิต
ใน จัง หวั ดก าญ จน บุรี ร าชบุรี เพ ชร บุรี และ แบบพ่ึงป่า พ่ึงน้า อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ และ
ประจวบคีรีขันธ์ อีกกลุ่มหน่ึงไปต้ังถิ่นฐานอยู่ทาง ยังคงอัตลักษณ์ด้านการแต่งกายด้วยผ้าทอจนเป็น
ภาคเหนือในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย วัฒนธรรมประจาเผ่า เส้ือเด็กและหญิงสาวจะเป็นชุด
ลาพูนและลาปาง ชาวกะเหร่ียงท่ีต้ังถ่ินฐานอยู่ที่น่ีมี ทรงกระสอบ ผ้าฝ้ายพ้ืนขาว ทอหรือปักประดับ
ความสัมพันธ์อันดีกับเจ้านายผู้ปกครองเมืองต่าง ๆ ลวดลายให้งดงาม ส่วนหญิงท่ีมีครอบครัวแล้วจะสวม
และเจ้านายมักจะพ่ึงพาอาศัยชาวกะเหรี่ยงท่ีต้ังถ่ิน เส้ือสีดา นา้ เงนิ และผ้านงุ่ สแี ดงคนละท่อนตกแต่งด้วย
ฐานอยู่ตามภูเขาและป่าลึกในก ารดูแลป่ าไ ม้ ลูกเดือยหรือทอยกดอกยกลาย สาหรับผู้ชายกะเหรี่ยง
โ ด ย เ ฉ พ า ะ อ ย่ า ง ย่ิ ง ใ น เ ข ต ต ะ วั น ต ก ข อ ง เ ชี ย ง ใ ห ม่ ส่วนมากจะสวมเสื้อตัวยาวถึงสะโพก ตัวเสื้อจะมีการ
แมฮ่ อ่ งสอน และแมส่ ะเรียง ความสัมพนั ธข์ องเจ้านาย ตกแต่งด้วยแถบสไี ม่มีการปักประดับเหมือนเสื้อผู้หญิง
และชาวกะเหรี่ยงนั้นอยู่ภายใต้ระบบไพร่ โดยชาว นุง่ กางเกงสะดอ นิยมใช้สรอ้ ยลูกปดั เป็นเคร่อื งประดับ
กะเหร่ียงต้องส่งส่วยของป่า ต้องเสียภาษี ถูกเกณฑ์ และสวมกาไลเงินหรือตุ้มหู ชาวปกาเกอะญอ นิยม
แรงงานและเสบียงอาหารในกรณีท่ีเจ้านายเดินทางไป สร้างบ้านยกพื้นสูงมีชานบ้าน บางส่วนก็ต้ังบ้านเรือน
ในพืน้ ที่นนั้ ๆ นอกจากนี้การขยายตัวของการทาป่าไม้ บนท่ีราบเช่นเดียวกับชาวพื้นราบทั่วไป และจะตั้งถิ่น
ในภาคเหนือทาให้มีการว่าจ้างชาวกะเหร่ียงมาดูแล ฐานเป็นหลกั แหลง่ ถาวรไม่ยา้ ยถน่ิ ฐานบ่อย ๆ
มากขึ้น ปัจจุบันนี้มีชาวกะเหร่ียงในประเทศไทย
ประมาณ ๓๕๓,๓๔๗ คน อยู่กระจัดกระจายตามภาค ๒. โครงสร้างทางสังคม
ต่าง ๆ กลุม่ ชาตพิ นั ธบุ์ นพื้นท่สี งู ทม่ี ีจานวนมากท่ีสุดอยู่
ในจังหวดั เชยี งใหม่ แมฮ่ ่องสอน ตาก ลาพูน กาญจนบุรี ๒.๑ การปกครอง
เชียงราย แพร่ อุทัยธานี สุพรรณบุรี สุโขทัย ราชบุรี ในอดีตสังคมปกาเกอะญอมีผู้นาชุมชนท่ี
เรียกว่า “ฮ่ีโข่” ซ่ึงมีบทบาทสาคัญในฐานะเป็นผู้นา
กล่มุ ชาตพิ ันธ์ุ ในจงั หวดั เชียงราย | ๑๒๗
ชาติพันธ์ุ “กะเหรี่ยง” ด้านจิตวิญญาณ โดยดูแลการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น ที่นาและวัวควายมากกว่าพี่น้อง ซ่ึงจะไม่มีการ
ท่ี เ ชื่ อ ว่ า จ ะ ช่ ว ย คุ้ ม ค ร อ ง ชุ ม ช น ใ ห้ เ กิ ด ค ว า ม อุ ด ม อจิ ฉารษิ ยากันเลย ครอบครัวใดทไี่ ม่มลี ูกสาว ลกู ชายก็
สมบูรณ์และม่ันคง อีกท้ังยังมีหน้าที่สาคัญในการ จะทาหน้าที่แทน บ้านใดที่แม่บ้านเสียชีวิตลง ต้องรื้อ
ควบคมุ จารีต ตามกรอบวฒั นธรรมทีเ่ ป็นท่ียอมรับของ บ้านท้ิงแล้วสร้างใหม่ เพ่ือลูกสาวที่แต่งงานแล้วจะได้
ชุมชน ซึ่งมีส่วนช่วยลดความขัดแย้งและการประพฤติ ประกอบพธิ ีกรรม เล้ียงผบี รรพบรุ ษุ ได้
ผิด ท่ีเช่ือว่าอาจส่งผลให้การผลิตด้านการเกษตร
เสยี หาย จนชุมชนเกดิ ความแห้งแล้งอดอยาก ชมุ ชนจึง การแตง่ งานของกะเหรยี่ งไม่นิยมแตง่ งานกับ
เช่อื ว่าในพน้ื ท่ีตา่ ง ๆ เต็มไปด้วยอานาจศักดส์ิ ทิ ธ์ิท่ีคอย คนภายนอก เพราะประเพณีความเชื่อต่างกัน หนุ่ม
ปกปักรักษาชุมชนอยู่ พิธีกรรมต่าง ๆ ในวิถีชีวิตจึง สาวมีอสิ ระในการเลือกคคู่ รองของตนเอง เมื่อแต่งงาน
ผูกพันอยู่กบั ความสมั พนั ธ์ทางสงั คมของชุมชน แ ล้ ว จ ะ อ ยู่ ด้ ว ย กั น แ บ บ ผั ว เ ดี ย ว เ มี ย เ ดี ย ว เ ท่ า นั้ น
ตลอดไป การหย่าร้างแทบจะไม่ปรากฏในสังคม
ปัจจุบันเมื่อชุมชนปกาเกอะญอเริ่มมีการ กะเหรี่ยง การสบื เชอื้ สายของกะเหร่ยี งเป็นการสืบเช้ือ
ติดต่อกับสังคมภายนอกมากขึ้นและตกอยู่ภายใต้การ สายทางฝ่ายแม่ แต่ก็ยังให้ความเคารพต่อพ่อแม่ของ
ปกครองของรัฐไทย ชาวบ้านกลับถูกกฎหมายจาก ฝ่ายชาย กะเหรี่ยงสมัยก่อนนั้นไม่มีนามสกุล แต่ใน
ภายนอกกดี กันไม่ให้พวกเขาเข้าถงึ ป่าเขาได้ดงั เช่นเดิม ปัจจุบันน้ีมีนามสกุลกันเกือบหมดแล้ว และบุตรจะใช้
ผู้นาในชุมชนจึงต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิม นามสกุลของพ่อ ส่วนช่ือของเด็กพ่อแม่หรือผู้อาวุโส
เพราะต้องอาศัยท้ังความรู้ตามจารีตและความรู้จาก ฝ่ายภรรยาจะเป็นคนตั้งชื่อให้ หากเป็นผู้หญิงมักจะมี
ภายนอก ทส่ี าคัญคอื การเปล่ยี นบทบาทจากการนามา คาขนึ้ ตน้ วา่ “หนอ่ ” และถา้ เป็นผู้ชายมักจะมคี าขน้ึ ต้น
เป็นตัวกลางในการทางานร่วมกับองค์กรภายนอก ว่า “พะ” หรือ “จอ” ซึ่งเป็นคาแสดงความเป็นเพศ
ชุมชนมากขน้ึ หญิงหรือชาย การอบรมเด็ก เม่ือทาผดิ เดก็ จะถกู ตาหนิ
และดุด่าได้ แต่จะไม่มีการตีเพราะเช่ือว่าอาจทาให้
๒.๒ ระบบครอบครวั และเครอื ญาติ ขวัญเด็กออกจากตัว ทาให้เด็กไม่สบาย ผู้อาวุโสใน
ชาวกะเหรี่ยงมีระบบครอบครวั และเครือญาติ บ้าน ซ่ึงไดแ้ กพ่ ่อแม่ของฝ่ายหญิง มีบทบาทในการช่วย
เป็นรูปแบบครอบครัวเดี่ยว สมาชิกในครอบครัวจะ อบรมสมาชิกในครอบครวั ผูอ้ าวุโสจะไดร้ ับการเคารพ
ประกอบไปด้วยพ่อ, แม่, และลูก เป็นหลัก แต่ก็ยังมี ยกย่องอย่างสูงในการตัดสินใจต่าง ๆ ของครอบครัว
ปรากฏรูปแบบครอบครัวขยายอยู่ด้วย เพราะในบาง จะต้องมกี ารปรึกษาหารือและเช่ือฟงั ความคิดเห็นของ
ครอบครัว อาจมีพ่อแม่ของฝ่ายหญิงอาศัยอยู่ด้วย ผู้อาวุโสในบ้าน การที่ครอบครัวกะเหร่ียงมีลักษณะ
นอกจากน้ีการที่สังคมกะเหร่ียงนับถือญาติฝ่ายแม่ ประนปี ระนอม และเสมอภาคเปน็ อย่างมากในระหว่าง
เม่ือแตง่ งานแล้วฝา่ ยชายตอ้ งไปอยู่บ้านฝา่ ยหญิงนับถือ สามีภรรยา ทาให้สังคมกะเหรี่ยงได้รับการยอมรับนับ
คณนาญาติทางฝ่ายหญิง ในครอบครัวจึงมีครอบครัว ถือข้ามไปสู่หมู่บ้านอ่ืน ๆ ในเผ่าเดียวกัน ในแต่ละ
ของลกู สาวและลูกเขยอยอู่ ีกครอบครวั หนึ่ง จนกระท่ัง หม่บู า้ น ทุกหลังคาเรอื นตา่ งกเ็ ปน็ ส่วนหนึ่งของหมู่บ้าน
๑ ปีผา่ นไป หรือหากนอ้ งสาวแต่งงาน ครอบครวั พีส่ าว เจ้าขอ ง บ้าน ทุก คน มีสิทธิ์ แสดง คว ามคิ ด เ ห็ น
จึงจะแยกออกไปสร้างบ้านอยู่ใกล้ ๆ แต่สาหรับ ปรกึ ษาหารือร่วมกนั ในเรื่องราวต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่าง
บุตรสาวคนสุดทอ้ ง จะตอ้ งอยู่กบั พ่อแม่ไปตลอดไปแม้ ย่ิงผู้อาวุโสทุกคน จะได้รับการเคารพนับถือจาก
จะแต่งงานแล้วก็ตาม เพราะมีหน้าท่ีเล้ียงดูตอบแทน ชาวบ้านทกุ คน
บุญคุณพ่อแม่ ดังน้ันลูกสาวคนสุดท้องจึงได้รับมรดก
๑๒๘ | กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ ในจังหวดั เชียงราย
๓. วิถชี วี ติ ความเป็นอยู่ ชาติพันธ์ุ “กะเหรี่ยง”
๓.๑ ที่อยอู่ าศยั ทอ่ี ยอู่ าศยั ของชาวกะเหร่ียงในปจั จบุ นั
ในอดีตชาวกะเหรี่ยงในจังหวัดเชียงรายนิยม
ตั้งถิ่นฐานอยู่ตามหุบเขาธรรมชาติ ที่มีต้นไม้ แม่น้าลา ภาพจาก https://www.sixaugust.com
ธารไหลผ่าน วัสดุที่ใช้สร้างท่ีอยู่อาศัยส่วนมาใช้เสาไม้
และใช้ไม้ไผ่สับและตีเป็นแผ่นฝากเพื่อมาทาฝาบ้าน ๓.๒ การประกอบอาชพี
และพ้ืนบา้ น หลังคามุงดว้ ยใบตองตงึ หรือหญ้าคาสร้าง กะเหร่ียงด้ังเดิมจะหยึดถืออาชีพท่ีเป็นอิสระ
เป็นบา้ นยกพื้นสงู มีชานบา้ นมีหอ้ งเดยี ว แต่กม็ ีบางส่วน ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทาไร่ ทานา อยูต่ ามปา่ ตาม
ทต่ี งั้ บ้านเรอื นทร่ี าบเชน่ เดยี วกับชาวบา้ นทั่วไปโดยชาว เขาปลูกพืชผักสวนครัวตามฤดูกาล ส่วนสัตว์เล้ียงจะ
กะเหรีย่ งตัง้ ถ่ินฐานเป็นหลกั แหล่งถาวรไมย่ ้ายบ่อย ๆ เล้ียงไว้เพอ่ื เปน็ อาหารมากกวา่ การค้าขาย ใช้ชีวิตแบบ
พึ่งป่าพ่ึงน้าอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ โดยจะมี
ตวั อยา่ งทอ่ี ยอู่ าศัยของชาวกะเหรยี่ งในอดีต ชว่ งเวลาทจี่ ะประกอบอาชพี ดงั น้ี
๑) การทาไร่หมุนเวียน จะเริ่มต้นต้ังแต่เดือน
ภาพจาก https://www.chiangraicity.go.th/travel/detail/๑๑๙ กรกฎาคมของทุกปี หลังจากประเพณีขึ้นปีใหม่ (กี่จึ)
ในชว่ งเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี หัวหนา้ ครอบครัวของ
ปัจจุบันน้ีชาวกะเหร่ียงก็ยังคงปลูกสร้าง แต่ละบ้านจะเริ่มไปเลือกพื้นท่ีไร่ของตัวเอง โดยการไป
บ้านเรือน ท่ีอยอู่ าศัยในลักษณะคล้ายเดมิ แต่เริม่ มกี าร เสยี่ งทาย (เชะท่เู ส่โพ) ว่าพืน้ ทต่ี รงนั้นเหมาะกับการทา
ประยุกต์ใช้วัสดุร่วมสมัย อาทิเช่น ปูน กระเบ้ือง หรือ ไร่หรือไม่ ถ้าหากเหมาะสมแล้วก็จะมีการเริ่มถางไร่
สังกะสี ในการผสมผสานในการสรา้ งบ้านเรอื น สาหรบั (แพลอคึ) โดยบา้ นของผู้นาประเพณี (ฮีโข)่ จะเป็นบ้าน
ผู้ที่มีฐานะปานกลางขึ้นไป จะทาการสร้างบ้านเรือน แรกท่ีถางไร่ หลังจากนั้น ชาวบ้านจึงสามารถถางไร่ได้
แบบยุคสมยั ปจั จบุ ันมากขึน้ หลังจากท่ีถางไร่เสร็จ จะทาการตากไร่ไว้ประมาณ
๔๕ วัน จนใบไม้ ก่ิงไม้เร่ิมแห้งตรงกับช่วงประมาณ
บ้านกะเหรีย่ งรวมมิตร ต้ังอยู่รมิ แม่นา้ กกฝัง่ ซา้ ยภาพจาก ต้นเดือนเมษายน ชาวบ้านจึงเริ่มทาแนวกันไฟรอบไร่
เพื่อเตรียมตัวรอการเผา แล้วจึงเร่ิมการเผาโดยการลง
http://sasithorn-arne.blogspot.com/๒๐๑๕/๐๓/blog-post_๒๓.html แขก หลังจากดาเนินการเรียบร้อยเจ้าของไร่จะทา
เครื่องหมายว่าไร่น้ีมีเจ้าของแล้ว โดยการเอาไม้ไผ่มา
ผ่าเป็น ๔ แฉก แล้วนาเอาเศษไม้เล็ก ๆ มาวางคล้ายรู
กากบาก แล้วปักลงไปกลางไร่ ในวันรุ่นขึ้นหากไม่ตรง
กับวันพระคนในบ้านจะเร่ิมปลูกพืชผักหลังเผาเสร็จ
(ชุพิเม่) โดยชาวบ้านเชื่อว่าพืชที่ปลูกในวันนี้จะออกผล
มาดีท่ีสุด โดยสิ่งแรกที่ปลูกคือ เผือก เพราะเชื่อกันว่า
กล่มุ ชาตพิ ันธ์ุ ในจงั หวัดเชียงราย | ๑๒๙
ชาติพันธ์ุ “กะเหรี่ยง” ถ้าปลูกเผือกก่อน หมูป่า และสัตว์ต่าง ๆ จะไม่เข้ามา อย่างใดก็ได้แต่ห้ามใช้เน้ือเป็ด นาไปวางไว้บนตอไม้
ทาลายพืชผักในไร่ กรณีหลังเผาไร่เสร็จแล้วฝนตกหนัก ภายในไร่ ต้องรอให้ผู้ชายไหว้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน
ครั้งเดียวหรือลูกเห็บตกลงมา จะมีความเชื่อว่าให้งด ทุกคนถึงรับประทานอาหารได้ พอปลกู ขา้ วไร่เสร็จแล้ว
เข้าไร่เปน็ เวลา ๗ วนั แตถ่ า้ ฝนตกตดิ ต่อกันหลาย ๆ วนั เจ้าของไร่จะทาพิธีอีกครั้งหน่ึง โดยใช้หนุ่มสาวโสด
จะสามารถเข้าไร่ได้ตามปกติ และยงั เชื่อกันว่าถ้าเข้าไร่ หยอดข้าวลงในหลุม ๓ หลมุ แล้วเอามาใส่ในกระบอก
ตอนที่ลูกเห็บตกจะทาให้ข้าวป่วย ข้าวตายอีกด้วย ไม้ไผ่ท่ีเจ้าของไร่เตรียมไว้ แล้วหลังจากนั้น ก็เอาด้าม
หลังจากนั้นจะเริ่มปลูกพืชผักโดยการเลือกที่ปลูกให้ เสียมที่ทาพิธีตอนเช้ามาใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่แล้วหนั
เหมาะสมกับไร่ เช่น พืชท่ีเป็นเถาวัลย์ จะปลูกใกล้กับ ดา้ มเสยี มไปทางดาวช้าง (ชา่ เกอ่ ชอ) เอาน้าท่ีเตรียมไว้
ต้นไม้หรือกระท่อม ส่วนพืชจาพวกเผือก หรือมัน มาเทในกระบอกไม้ไผ่แล้วน้าที่เหลือก็จะสาดกันเพ่ือ
ส า ป ะ ห ลั ง จ ะ ป ลู ก ใ น พื้ น ที่ ร า บ ห รื อ พ้ื น ดิ น ที่ ไ ม่ แ ข็ ง เป็นการเรยี กฝน ซง่ึ ถือว่าเสร็จสน้ิ พิธี โดยเจ้าของไร่จะ
และในช่วงน้ีก็จะมีการสร้างกระท่อมไว้เพื่อใช้เป็นที่พัก นาข้าวท่ีเหลือไปต้มเหล้าเรียกว่า บือแชะคลี ถ้า
กนิ ข้าว ทาอาหาร หลบฝน และเกบ็ ของตา่ ง ๆ เจา้ ของไร่ต้มเหล้าเสรจ็ แลว้ กจ็ ะไปเรยี กฮีโข่ และคนใน
หมบู่ ้านมาด่ืมและทาพธิ ใี ห้เจา้ ของบา้ น หน่มุ สาวโสดท่ี
๒) ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ชาวบ้านจะเร่ิม ทาพิธีในไร่ก็ต้องมาด่ืมด้วย ในช่วงน้ี แต่ละบ้านก็จะ
ถางหญ้าชุดแรกเพื่อเตรียมพื้นที่ก่อนการปลูกข้าวไร่ เริม่ ทากักดักหนู (แชทือ) รอบ ๆ และระหว่างทางไปไร่
หลังจากที่ถางหญ้าเสร็จ เจ้าของไร่จะเริ่มดูวันที่จะ เพ่ือเป็นอาหารในการมาไร่แต่ละวัน หลังจากนั้นก็จะ
ปลกู ข้าวและเตรยี มพนั ธุ์ขา้ ว รวมถงึ น้าสาหรบั ใช้ในวัน รอให้ข้าวงอก และพอถึงช่วงเดอื นมถิ ุนายน ชาวบา้ นก็
ปลูกข้าวพร้อมกับอาหารท่ีจะใช้เลี้ยงชาวบ้านท่ีมาลง จะมีการไปถางหญ้าท่ีไร่อีกคร้ังหน่ึง และช่วงนี้ในไร่
แขก วันที่ไปปลูกข้าวไร่ ชาวบ้านจะต่ืนแต่เช้าตรู่เพื่อ หมุนเวียนก็จะเร่ิมมีผักกาดท่ีสามารถกินได้แล้วเป็น
เตรียมตวั ไปลงแขก ทกุ คนจะเตรยี มหอ่ ข้าวของตนเอง อยา่ งแรก ส่วนขา้ วสาลีกจ็ ะเริ่มออกฝัก และพชื อ่นื ๆ ก็
ไปด้วย โดยผู้หญิงจะเตรียมย่าม หรือกระบุง (กึ) เพื่อ จะงอกงามตามมา ช่วงท่ีถางหญ้าน้ีเจ้าของไร่ก็จะ
ไปใส่เมล็ดข้าว ส่วนผู้ชายนั้นเตรียมมีดกับเสียม เพ่ือ เตรียมอาหารเพ่ือมาทากินท่ีไร่ด้วยกัน ช่วงเดือน
ทาหนา้ ท่เี ป็นคนขุดหลุมสาหรบั หยอดเมล็ดขา้ ว ผู้หญิง กรกฎาคมก็จะมีการถางหญ้ารอบท่ีสอง ในช่วงนี้ก็จะ
ผู้ทาหน้าที่หยอดเมล็ดดังกล่าว พอทุกคนไปถึงไร่ ได้กินพืชผักในไร่เยอะมากขึ้น เช่น มะเขือ แตงกวา
หมดแล้วก็จะเร่ิมทาพิธีปลุกข้าวไร่ (แชะลอคึ) โดยมี ขา้ วสาลี บวบ มะระ เป็นตน้
ชายหนุ่มโสดเป็นคนขุดหลุม ในพ้ืนท่ีบนกระท่อมท่ี
เจ้าของไร่เตรียมไว้ให้ พร้อมกับพันธ์ุข้าวที่ห่อเตรียม การทาไร่ของชาวกะเหร่ียง
ขุดหลมุ ๗ หรอื ๙ หลมุ แล้วแต่เจ้าของไร่ต้องการ โดย
หลังจากน้ัน ชายหนุ่มโสดจะขุดหลุมรอบ ๆ กระท่อม ภาพจาก https://www.naewna.com/lady/341211
และมีสาวโสดมาหยอดข้าวให้พอเสรจ็ แล้วทุกคนกเ็ ริ่ม
ปลูกข้าวกันได้ ในช่วงพักกลางวันก่อนกินข้าวจะมีพิธี
บอกกล่าวเจ้าที่ โดยเจ้าของไร่จะเตรียมห่อข้าวเล็ก ๆ
ให้ผู้ชายเป็นคนไหว้เจ้าที่เท่าน้ัน และบ้านไหนที่มี
ผู้ชายมา ๒ คน ก็จะเลือกเอาคนที่มีอายุมากกว่า
ในส่วนของเซ่นไหว้ประกอบด้วย เน้ือหมู ไก่ ปลา
๑๓๐ | กลมุ่ ชาติพันธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย
๓) ช่วงเดือนสิงหาคม ชาวบ้านจะเริ่มทาพิธี ชาติพันธ์ุ “กะเหรี่ยง”
“บวอคึ” เป็นพิธีเล้ียงขา้ วไร่ช่วงท่ีข้าวต้ังท้อง จะเลี้ยง
ด้วยไก่สามตัว พิธีกรรมนี้จะมีพิธีย่อยอีก ๔ พิธีกรรม
คือ ตะแซะ ตะลือเม่ ตะเต่อเมาะ และตะคะแกะ
เป็นต้น
การทาพิธี “บวอคึ” เปน็ พิธีเลีย้ งข้าวไร่ช่วงที่ขา้ วกาลังตั้งทอ้ ง การลงแขกเกบ็ เกี่ยวขา้ วไร่
ภาพจาก https://www.nairobroo.com/travel/belief-rituals-in-shifting-cultivation/ ภาพจาก Facebook ลกู กระเหรี่ยง
๔) ช่วงเดือนตุลาคม ในช่วงปลายเดือน หลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว ถ้ามี
ตุลาคม ข้าวไร่จะเร่ิมเหลืองพร้อมท่ีรอการเก็บเก่ียว แสงแดดเพียงพอ ชาวบ้านจะตากข้าวไว้ประมาณสาม
ชาวบา้ นจะเตรียมเคียวเอาไว้สาหรบั เกีย่ วข้าว เจา้ ของ วัน พอข้าวแห้งแล้วจะทาการตีข้าว บางไร่กองข้าวไว้
ไร่จะเป็นคนเร่ิมเก่ียวข้าวกาแรก เป็นเหมือนกับการ ก่อนบางไร่ก็ยังไม่ได้กองข้าวไว้ เม่ือไปถึงไร่เจ้าของ
เปิดพิธีเก่ียวข้าวไรข่ องตัวเอง จากนั้นทุกคนก็สามารถ จะต้องเตรียมพ้ืนที่สาหรับตีข้าวก่อนส่วนใหญ่ก็จะอยู่
เกี่ยวข้าวได้ โดยเริ่มจากใกล้ ๆ กระท่อม เพ่ือเป็นการ ใกล้ ๆ กับกระท่อมเพ่ือง่ายต่อการขนข้าวเก็บไว้ใน
เตรยี มพนื้ ที่สาหรับกินขา้ วเที่ยง ถา้ ไร่ใดทป่ี ระมาณการ กระทอ่ ม หลังจากทีจ่ ัดเตรียมสถานท่ีเสร็จแล้วเจ้าของ
แล้วว่าไม่สามารถเกี่ยวข้าวเสร็จภายในวันเดียวได้ ตอ้ งทาพิธีตขี ้าวกอ่ นเพือ่ เป็นสริ ิมงคล สาหรับไร่ใดที่ยัง
ไ ร่ น้ั น จะ ต้ อ ง ไ ม่ เกี่ ย ว ข้าว บริ เว ณส่ี เ ห ลี่ ย ม ท่ี ท า พิ ธี ไม่ได้กองข้าวไว้ก่อน ก็จะมีการแบ่งหน้าท่ีการทางาน
(บือแชะลอ) ถ้าเกย่ี วข้าวเสร็จแล้วเจ้าของไร่จะเป็นคน ได้แก่ คนตีข้าว และคนขนข้าวมาให้คนตี ในวันตีข้าว
เก่ียวข้าวในส่ีเหลี่ยม โดยเจ้าของไร่ที่เก่ียวข้าวนั้นเป็น ตอนเทีย่ งจะมกี ารมัดมอื เรียกขวัญข้าวให้กับขา้ วท่ีโดน
ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ เกี่ยวได้หนึ่งกามือ หลังจากนั้น หนู นก กิน ข้าวท่ีไหลตามน้า และข้าวท่ีตกหล่น
นาเอาขา้ วกานั้นมามัดไว้ทเี่ พดานกระท่อมพร้อมกับไข่ ระหว่างเก็บเกี่ยว ซึ่งชาวกะเหรี่ยงจะให้ความสาคัญ
หนึ่งฟอง หมายถึง การเรียกขวัญข้าวให้กลับมาสู่ กับข้าวเพราะเราถือว่าข้าวก็มีขวัญเหมือนกับคน
กระท่อม ส่วนไข่ไก่นั้นใช่แทนไข่โถ่บิค่า (นกขวัญขา้ ว) เช่นเดยี วกัน
เพื่อมาเรียกขวัญข้าวและกินข้าวพร้อมกับโถ่บิค่า
ในวันเก๊าะธอ่ โถ่ ๕) ช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนธันวาคม
หลังจากพิธีมัดมือแล้ว จะมีการบรรจุข้าวเปลือกใส่ใน
กระสอบ แล้วนาไปเก็บไว้ในกระท่อมไร่ข้าว หลังจาก
น้ันจึงเม่ือทานาเสร็จจะทาพิธี “เก๊าะท่อโธ่” หมายถึง
เลี้ยงสง่ นกขวัญข้าวกลบั สสู่ วรรค์ โดยมคี าอธษิ ฐานเม่ือ
ถึงฤดูกาลทาไร่หวนมาอีกคร้ัง ขอให้นกขวัญข้าว
กลับมาช่วยดูแลพืชผักในไร่อีก โดยเจ้าของไร่จะนาไก่
หนึ่งตัวไปทาพิธีเซ่นนไหว้ไว้ในกระท่อม สาหรับการ
แกงไก่ตัวนี้จะใส่พืชผักที่ยังหลงเหลืออยู่ในไร่ เช่น หัว
เผือก หัวมัน หลังจากกินข้าวเสร็จก่อนกลับบ้านจะมี
กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ในจังหวดั เชียงราย | ๑๓๑
ชาติพันธ์ุ “กะเหรี่ยง” พิธีกินหัวเผือก หัวมัน และไข่ต้ม ที่ต้มเตรียมไว้อีกที่ ประกอบไปด้วยเนื้อ ผักพ้ืนบ้าน นาต้มรวมกัน โดยมี
หนึ่ง กินพร้อมกับโธ่บิค่า (นกขวัญข้าว) ในวันน้ีจะมี เร่ืองเล่าเกี่ยวกับเมนูนี้ว่าหากฤดูกาลใดท่ีปลูกข้าวได้
การสร้างยุ้งข้าวให้กับ โท่บิค่า พีบิยอ ไว้ที่ใต้กระท่อม ผลผลิตไม่ดีเน่ืองจากภัยแล้งหรือปัจจัยอื่น ๆ ส่งผลให้
ด้วย ก่อนจะออกจากกระท่อมกลับบ้าจะเอาดินในไร่ ข้าวไม่พอชาวปกาเกอะญอจะนาข้าวมาต้มรวมกับหัว
ใส่บนใบตองแล้วเอามาวางไว้ท่ีกระท่อม เพ่ือบ่งบอก เผือก หัวมัน ผักหรือพืชผลอ่ืน ๆ ที่ยังมีเหลืออยู่
ว่าเป็นข้าวของยักษ์ ยักษ์ไม่ได้เอาข้าวของเราไป เพ่ือใหไ้ ด้อาหารทีเ่ พียงพอสาหรบั สมาชกิ ในครอบครวั
ซ่ึงพิธีกรรมนี้ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการทาไร่
หมุนเวยี น หรอื เรยี กวา่ ออกไร่ น่ังเอง
น้าพริกกะเหรี่ยง
ภาพจาก https://readthecloud.co/local-5/
การทาพิธีออกไร่ หรอื “เก๊าะทอ่ โธ่” ขา้ วเบอ๊ ะ
๓.๓ อาหาร ภาพจาก https://www.chiangraifocus.com/article/๖
๑) มุซ่าโต่ ในภาษากะเหรย่ี ง แปลว่าน้าพริก
ซึ่งเป็นอาหารท่ีขาดไม่ได้เลยของพี่น้องชาวกะเหรี่ยง ๔. วฒั นธรรมและประเพณี
ในทุกม้ือจะต้องมีเมนูน้ี ซ่ึงชาวกะเหร่ยี งเช่ือว่าการกิน
น้าพริกจะทาให้ร่างกายแข็งแรง มีความอดทนสูง ๔.๑ ศาสนา
ทนต่อสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นการเสริมสร้างกาลัง ชาว ก ะ เหร่ียง ส่ว น ใหญ่ นับ ถื อ ผี เ จ้ า ที่
ตามความเช่ือของบรรพบุรุษของกะเหรี่ยง โดยจะฝึก สิ่งศักด์ิสิทธิ์ และผสมผสานกับการนับถือศาสนาพุทธ
ให้ลูกหลานกินนา้ พรกิ ต้ังแต่ยังเยาว์วยั ซึ่งยังคงมีการนับถือตามหลักความเช่ือดั้งเดิม ผีปู่ย่า
๒) ข้าวเบ๊อะ เป็นอาหารพ้ืนบา้ นของชาวปกา เจ้าป่า เจ้าเขา การดารงวิถีวัฒนธรรมประเพณีที่คง
เกอะญอ มีลักษณะคล้าย ๆ ข้าวต้มทรงเครื่องที่ ความเชื่อดั้งเดิม และอนุรักษ์ไว้สืบทอดทั้งในชุมชนใน
ปา่ และพิธีกรรมไร่นา เช่น การผกู ขวญั มดั มือขนึ้ ปีใหม่
๑๓๒ | กลุ่มชาติพันธุ์ ในจังหวดั เชยี งราย และกลางปี การผูกสะดือเด็ก (เดปอถู่) การแต่งงาน
การทาพิธีศพ และการเลี้ยงผีเจ้าป่าเจ้าเขา ผีขุนน้า
ผีไร่ การรักษาพยาบาลด้วยหลกั ภมู ิปญั ญา ไสยศาสตร์
และสมุนไพร มีอัตลักษณ์ภาษาพูดและสืบทอดภาษา วี/ทูที/พะที) การรักษาด้วยสมุนไพร ยาต้ม (เตอะสี่ ชาติพันธ์ุ “กะเหรี่ยง”
เขียน มีการแต่งตัวด้วยชุดปกาเกอะญอ ในงาน คลอ) ยาฝนน้า (เตอะสี่เกละ) การห่อประคบ (เตอะส่ี
พิธีกรรมและยามว่างอยู่ในบ้านเรือน มกี ารทอผ้าใส่เอง โบะ) การอบไอน้า (เตอะสี่เซ่อเออ) การรักษาทาง
ทอยา่ มไวใ้ ช้ และตาขา้ วกินซง่ึ เป็นการดารงวิถีชีวิตท่ีมี ไสยศาสตร์ การถามเมื่อ (ต่าก่า) น้ามนต์ (ทีอู) เป่า
การพง่ึ พิงจากภายนอกน้อยทสี่ ุด คาถา (ตา่ อ)ู
๔.๒ พธิ ีกรรม ความเช่อื ๓) ด้านพิธีกรรมท่ีเกี่ยวกับป่าไม้ ประกอบ
พธิ กี รรมมคี วามสาคัญตอ่ วิถชี ีวติ ของชาติพันธ์ุ ไปด้วยป่าสะดือ (เดปอทู่) พิธีไหว้เจ้าท่ีเมื่อเข้าป่า พิธี
กะเหรี่ยง เป็นการสืบทอดทางวัฒนธรรมเพ่ือกาหนด สืบชะตาป่า พิธีสืบชะตาน้า มีลักษณะการดาเนินชวี ิต
บรรทัดฐานและควบคุมพฤติกรรมทางสงั คม ตลอดจน อย่างสมถะ สอดคล้อง และเกื้อกูลต่อการอยู่ร่วมกับ
แสดงถึงความสัมพันธ์ของชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ธรรมชาติ ภายใต้แนวคิด “ขอแบง่ ปันธรรมชาติ เพราะ
ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติที่มีผลต่อการ ธรรมชาติไม่ใช่ของเรา” ชุมชนมีเอกภาพในการดูแล
ดารงชีวิตในกระบวนการผลิต และความสัมพันธ์กับ รักษาผืนป่ามีความภาคภูมิใจและเชื่อม่ันในวิถีชีวิต
ระบบความเชอื่ ของสิง่ ท่ีเหนือธรรมชาติ วัฒนธรรมของตนที่ว่า “ออที เกอะ ตอทีออก่อ เกาะ
เดิมชาวกะเหร่ียงนับถือผีมีการบวงสรวงและ ตอก่อ” แปลว่าได้กินจากน้าต้องรักษาน้า ได้กินจาก
เซน่ สังเวยอย่างเคร่งครดั ภายหลงั หันมานับถือศาสนา ป่าต้องรักษาป่า ถือได้ว่าเป็นปรัชญาที่สะท้อนถึงวิถี
พุทธและศาสนาคริสต์มากข้ึน แต่ก็ยังคงความเชื่อเดมิ ชีวิตท่ีสอดคล้อง กลมกลืนกับธรรมชาติอยู่เพื่อให้รับรู้
อยไู่ ม่น้อย เช่น ความเชื่อเรอื่ งขวญั หรอื การทากิจกรรม อย่างสมดุล ได้มีการขับร้องบทนี้เพ่ือยึดถือเป็น
ต่าง ๆ จะต้องมีการเซ่นเจ้าท่ีเจ้าทาง และบอกกล่าว แนวทางในการดารงชีวิตเหมือนกับบรรพชนเม่ือใช้
บรรพชนให้อุดหนุนค้าจุนช่วยให้กิจการงานนั้น ๆ ประโยชน์จากธรรมชาติก็ต้องดูแลรักษาควบคู่กันไป
เจริญก้าวหน้าทาเกษตรกรรมได้ผลผลิตดีให้อยู่เย็น มีการประชุมกลุ่มหมู่บ้านใกล้เคียง เช่น บ้านห้วยหิน
เปน็ สุขปกปอ้ งคุ้มครองดูแล และยังเป็นการขอขมาอีก ลาดนอก มูเซอบ้านหว้ ยทรายขาว ลซี อบ้านป่าตงึ เป็น
ด้วย ซึ่งพิธีกรรมของชาวกะเหรี่ยง มีหลากหลายด้าน ประจาทุกเดือน เพื่อสร้างความเข้าใจในการดูแลรักษา
ดงั ตอ่ ไปนี้ ป่า ซง่ึ ในการประชุมประจาเดือนของชุมชน จะทาการ
๑) ด้านพิธีกรรมในไร่นา ประกอบไปด้วย หารือในเร่ืองต่าง ๆ เข้าเป็นวาระสาคัญของการ
การถามเมื่อ หรือดูยามพื้นที่ไร่หมุนเวียน (ต่าก่า ประชุม อาทิเช่น การประสานงานกับเครือข่ายป่า
เดา๊ ะฆึ) การทาพิธีปลกู ขา้ วไร่ฯ (ต่าแชะลอฆ)ึ การเล้ยี ง ชุมชนภาคเหนือเพ่ือบูรณาการทางานรว่ มกนั การห้าม
ผีไร่ฯ (บรอฆึ) ต่าเต่อเม๊าะ ต่าแซ๊ะ ต่าล่ือเหม่ ต่าคา ทาไร่บริเวณป่าต้นไม้ ตาน้าเพราะมีสิ่งศักด์ิสิทธ์ิดูแล
แก๊ะ การผูกข้อมือเรียกขวัญข้าว (กี่บือคลี) การทาพิธี อยู่ การห้ามตัดต้นไม้ในป่าช้า และการห้ามตัดต้นไมท้ ี่
ส่งนกขวัญข้าว (ก๊อท่อโท่บีข่า) และการเลี้ยงผีน้า ผูกสายสะดือเด็กไว้ ห้ามเล่ือยไม้ขายไม้ โดยไม้ท่ีจะใช้
ผฝี าย ทาฟืนต้องเป็นไม้แห้งและตายหรือก่ิงไม้ และการตัด
๒) ด้านพิธีกรรมในครัวเรือน และการ ต้ น ไ ม้ เ พื่ อ ก า ร ส ร้ า ง บ้ า น ต้ อ ง ไ ด้ รั บ อ นุ ญ า ต จ า ก
รักษาพยาบาล ประกอบไปด้วย การเลี้ยงผีปู่ย่า (ต่า คณะกรรมการหมูบ่ ้านกอ่ น เป็นต้น
เอาะแค) การเรียกขวัญ (ก๊อเก่อลา/แกวะพือ/ก่ีซู่/
กี่วะ) การส่งผีเมอื่ ไม่สบาย (ตา่ เซอ/ตา่ หล่ือ/ปะต่า/ต่า กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ ในจงั หวดั เชียงราย | ๑๓๓
ชาติพันธ์ุ “กะเหรี่ยง” ๔) พิธีกรรมหลักในรอบชีวิตของชนชาติ • พิธีกรรมเกีย่ วกับการตายในหมบู่ ้าน หากผู้ใด
พนั ธุ์กะเหรีย่ ง ได้แก่ เสียชีวิตเพ่ือนบ้านทุกคนจะหยุดงานทันทีที่รู้
ว่ามีคนเสียชีวิต เพราะถือว่าเป็นข้อห้าม
• พธิ กี รรมเกยี่ วกับการเกดิ (ดึตา่ เบล) เม่อื ทารก สาหรับวิญญาณที่หลุดหายไปซึ่งเรียกว่า
เ กิ ด ส า ย ร ก ที่ ตั ด อ อ ก ไ ป แ ล้ ว จ ะ บ ร ร จุ ล ง “ดึปกาซะลอม่า” ห้ามส่งเสยี งดังเดด็ ขาดเพ่ือ
กระบอกไม้ไผ่ปิดฝาด้วยเศษผ้า แล้วนาไปผูก เป็นการไว้อาลยั ขั้นแรก ในการทาพิธีศพญาติ
ไว้ตามต้นไม้ในป่ารอบหมู่บ้าน เรียกว่าต้น จะต้องอาบนา้ ให้ศพ นาเส้ือผ้าใหม่ ๆ มาสวม
สายรก “เดปอทู่” ต้นไม้ต้นนี้จะห้ามตัดโดย ให้แล้วกจ็ ะหอ่ ศพและทาพธิ ีตอ่ ไป
เด็ดขาด เพราะเชอื่ ว่าขวญั ของทารกจะอาศัย
อยู่ท่นี ัน่ หากตัดทงิ้ จะทาใหข้ วญั ของทารกหนี • พิธีกรรมด้านอน่ื ๆ ประกอบไปด้วย พิธีกรรม
ไปและทาให้ทารกล้มป่วยลง หากว่าผู้ใด เล้ียงศาลเจ้าป่าเจ้าเขา (ต่าหล่ือก่อ) พิธีกรรม
ผู้หน่ึงตัดต้นไม้ต้นน้ีโดยเจตนาหรือไม่เจตนา ทาแรกขวัญเมล็ดพันธุ์ข้าว (บือแซะคลี)
จะต้องถูกปรับด้วยไก่หน่ึงตัว พ่อแม่จะนาไก่ พิธีกรรมเก็บเม็ดพันธุ์ข้าว (เพาะคีด๊ะ)
ตั ว นี้ ไ ป ท า พิ ธี เ รี ย ก ข วั ญ ท า ร ก ก ลั บ คื น ม า ความเชื่อการถือวันเดือนศีล (ต่าดื่อลา)
โดยวันท่ีไปผูกสายรกของเด็กทารกติดกับ การทาพิธีศพ (ต่าจา) การทาพิธีแก้การผิด
ต้นไม้น้ัน เพ่ือนบ้านทุกคนจะไม่ออกไป จารีตระหว่างหญิง-ชาย (ต่าเอาะคื่อ มาเก)
ทางาน ซ่ึงถือเป็นข้อห้าม “ดึต่าเบล” พิธีกรรมเล้ียงผี บวงสรวงดวงวิญญาณด้วย
เป็นกฎหมายประเพณีท่ีสืบทอดกันมาตั้งแต่ การต้มเหล้า ฆ่าไก่ แกง และมัดมือผู้ร่วมพิธี
อดีต เมื่อถึงเวลาข้ัวสายรกหลุดออกไปผู้เป็น ดว้ ยฝา้ ยดบิ ซ่ึงเกย่ี วโยงกัน
พอ่ ก็จะไปทาพิธีผูกข้อมอื เรียกขวญั ทารก โดย ๔.๓ ประเพณี
ไปทาพิธีที่ใต้ต้นไม้ท่ีผูกติดสายรกต้นนั้น ๑) ประเพณีปีใหม่ ประเพณีการผูกขวัญมัด
เพื่อให้ขวัญกลับมาอยู่ที่บา้ น เรียกพิธีผูกขวัญ
ว่า “ก่ีเบลจึ” คือพิธีผูกขวัญครั้งแรกของ มือข้ึนปีใหมแ่ ละกลางปี (ปาก่ีจ๊ึ, หน่ีถ่อซอ, ปาก่ีจี๊, หน่ี
บคุ คลผนู้ ท้ี ่เี กิดมาลืมตาอยู่บนโลก ซึง่ ชาวปกา พะพอ)
เกอะญอ เช่ือวา่ ขวญั ของคนจะมอี ยู่ ๓๗ ขวัญ
ท่ีอยู่ในรูปสัตว์ชนิดต่าง ๆ การผูกขวัญคร้ัง โดยหัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นผู้ระบุวันล่วงหน้า
แรกของทารกน้ีก็จะทาให้ทารกได้รับขวัญ แต่ละหมบู่ ้านจะมปี ีใหม่ แต่ละปี ไม่ตรงกนั เพราะเปน็
ครบท้งั ๓๗ ขวัญ พิธีท่หี มายถงึ การเริม่ ต้นของฤดกู าลการเกษตร และอยู่
เย็นเป็นสุข ศาสนา ความเชื่อ และพิธีกรรมเดิมชาว
• พิธีกรรมเก่ียวกับการแต่งงาน (ดึเทาะโค่เบล) กะเหร่ียงนับถือผี มีการบวงสรวงและเซ่นสังเวยอย่าง
เร่ิมต้นตั้งแต่ การสู่ขอ (เอาะเฆ) การหมั้น เคร่งครัด ภายหลังหันมานับถือศาสนาพุทธ และ
(เตอะโหล่) หมูแรกทาพิธี (เทาะเตาะลอ) ศาสนาคริสต์มากข้นึ แต่ก็ยังคงความเชอื่ เดิมอย่ไู ม่นอ้ ย
ไก่เริ่มต้นพิธีบก๊ะ (ชอเก๊าะเก) ขันหมาก เช่น ความเช่ือเร่ืองขวัญหรือการทากิจกรรมต่าง ๆ
(เก่อเนอ) ไก่ขอพร ระหว่างเดินทางกลับ ปัจจุบันจะประกอบพิธีเป็นการผู้ขวัญมัดมือเพื่อเสริม
(ชอโจล่ อ) การผกู ขวญั รว่ มกนั ระหว่างเจ้าบ่าว สิรมิ งคล ชาวกะเหรย่ี งมคี วามเชอื่ ว่าทุกชวี ิตมี “ขวัญ”
เจา้ สาว (กค่ี ึจึ) เป็นส่วนประกอบสาคัญทางจิตวิญญาณ ซ่ึงการผูก
๑๓๔ | กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ ในจงั หวัดเชยี งราย
ขอ้ มอื นั้นสามารถกระทาใหก้ ับผู้อาวุโสน้อยกว่า หรือผู้ จะมีการฆ่าไก่สองตัวต้มให้สุกโดยไม่ปรุงอะไร ผู้เฒ่า ชาติพันธ์ุ “กะเหรี่ยง”
ที่อายุเทา่ กนั เปน็ สว่ นใหญ่ ผู้แก่จะเลือกเด็กสองคนชาย-หญิง โดยต้องเป็นเด็กท่ี
พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ สาหรับทาหน้าท่ีจัดคาข้าวและเน้ือ
การผกู ขวัญมดั มือ ไก่ป้อนให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวรับประทาน ต่อมาเป็น
ขันหมาก (เก่อเนอ) ปกาเกอะญอมีวัฒนธรรมว่า
ภาพจาก http://rawipornblog.blogspot.com/๒๐๑๘/๐๒/๔.html ขนั หมากของผหู้ ญงิ ฝา่ ยชายจะนามาให้ โดยขันหมาก
ประกอบด้วย ผ้าซิ่น ๑ ผืน เส้ือผู้ชาย ๑ ตัว ผ้าโพก
๒) ประเพณีการแตง่ งาน (ดึเทาะโคเ่ บล) ศีรษะ ๑ ผืน เสียม ๑ ด้าม เสื้อแม่บ้าน ๑ ตัว และ
เร่ิมต้นจากการสู่ขอ (เอาะเฆ) เรื่องราวของ เกลือ ๑ ห่อ แต่ผู้หญิงบางคนอาจมีมากกว่านี้ วันที่
การสู่ขอจะเป็นดังน้ี เมื่อเป็นท่ีรับรู้แล้วว่าหญิงชายรัก เจ้าบ่าวและเพ่ือน ๆ เดินทางไปบ้านเจ้าสาว แม่บ้าน
ชอบพอกนั พ่อแมญ่ าติพี่น้องของฝ่ายหญิง จะสง่ คนไป จ ะ ต้ อ ง ถื อ ขั น ห ม า ก ม า เ ม่ื อ ใ ก ล้ ไ ก่ ขั น ต อ น เ ช้ า ข อ ง
หาฝ่ายชายเพื่อสอบถามให้แน่ใจว่าฝ่ายชายรักและ วันรุ่งข้ึน จะมีการทาพิธีขอขันหมาก การขอขันหมาก
ยินดีท่ีจะแต่งงานกับฝ่ายหญิงจริง ๆ หรือไม่หากฝ่าย จะต้องขอด้วยการขัดลานาโต้ตอบกันทั้งส้ิน ไก่ขอพร
ชายรักชอบพอ และยินยอมท่ีจะแต่งงานกับฝ่ายหญิง ระหว่างเดินทางกลับ (ชอโจ่ลอ) การเดินทางกลับของ
ก็จะมีการนัดหมายวันเวลาทาพิธีแต่งงานกันในเวลา ฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงจะฆ่าไก่ ๑ ตัว ต้มให้สุกแล้วห่อ
น้ัน (ตามประเพณีของชาวปกาเกอะญอน้ันฝ่ายหญิง ให้กับเพื่อนเจ้าบ่าวนากลับไป เพื่อเป็นอาหารระหว่าง
จะเปน็ ฝ่ายไปสู่ขอฝ่ายชาย) หลงั จากนั้นจะเป็นพิธีการ เดินทางกลับ เมื่อถึงเวลาอาหารก่อนรับประทานเฒ่า
หม้ัน (เตอะโหล่) เม่ือฝ่ายชายตกลงปลงใจว่าจะ แก่จะทาพิธีถวายอาหารแด่เทวดาเพื่ออวยพรผู้ร่วม
แต่งงานกับฝ่ายหญิงและนัดหมายวันเวลาแต่งงานท่ี เดินทางปลอดภัย วันรุ่งข้ึนเพ่ือนบ้านทุกคนจะหยุด
แน่นอนแล้ว ฝ่ายชายจะส่งเฒ่าแกไ่ ปทาพิธีหมั้นหมาย งาน ซ่ึงถือเป็นข้อห้ามเรียกว่า “ดึเทาะโค่เบล”
ฝา่ ยหญิงกอ่ นวันแตง่ งาน ในพิธีฝา่ ยหญงิ จะฆ่าไกห่ นงึ่ คู่ ผกู ขวญั ร่วมกันระหว่างเจา้ บา่ วเจา้ สาว (ก่ีคึจึ) หลงั จาก
ประกอบอาหารเพ่ือเล้ียงรับรองเฒ่าแก่ฝ่ายชาย อยู่ร่วมกันนานสามวันสามคืน พ่อแม่ของเจ้าบ่าว
วันรุ่งข้ึนจึงนัดหมายวันเวลาท่ีฝ่ายชายและเพื่อน ๆ เจ้าสาวจะทาพิธีผูกขวัญให้ ซ่ึงการผูกขวัญร่วมกันน้ีมี
จะมาหาฝ่ายหญิงเพื่อทาพิธีแต่งงานต่อไป ในงาน ความหมายว่าท้ังสองคนได้กลายเป็นอันหนึ่งอัน
แ ต่ ง ง า น จ ะ ป ร ะ ก อ บ ไ ป ด้ ว ย ห มู แ ร ก ท า พิ ธี เดยี วกันแลว้
(เทาะเตาะลอ) คอื หมูตวั แรกทีฆ่ ่าในพิธแี ตง่ งานโดยคน
ท่ีอยู่บ้านฝ่ายชาย และต้องเป็นคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน พธิ ผี ูกขวัญในงานแตง่ งาน
และไก่เริ่มต้นพธิ ี (ชอเกา๊ ะเก) ช่วงหนงึ่ ของพิธแี ต่งงาน
ภาพจาก https://mgronline.com/onlinesection/detail/๙๕๘๐๐๐๐๑๔๐๓๖๗
กลุ่มชาติพันธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย | ๑๓๕
ชาติพันธ์ุ “กะเหรี่ยง” ๓) เครื่องดนตรีท่ชี าวกะเหร่ียงนิยมเล่น พฒั นารปู แบบภาษาเขียนจากตัวอักษรโรมันประเภทน้ี
“เตหน่า” เป็นเครื่องดนตรีของชนเผ่า เรียกว่า “ลิ โร เหม่” ลักษณะเด่น ๆ ของภาษา
กะเหรี่ยง ทาด้วยไม้อ่อนเหลาและกลึงให้เป็นรูป กะเหรี่ยงท่ีแตกต่างจากภาษาไทย ได้แก่ โครงสร้าง
เหมือนกล่องรูปทรงรี มีก้านยาวโก่งและโค้งสูงข้ึนไป พยางค์ เสียงพยัญชนะ และเสียงสระ รวมท้ังเสียง
ทตี่ วั จะเจาะรเู ป็นโพรงปดิ ดว้ ยโลหะบาง ๆ สายทาดว้ ย วรรณยุกต์ซ่ึงในบางถิ่นจะมีลักษณะน้าเสียงเป็น
เสน้ ลวดมสี ายตง้ั แต่ ๖ – ๙ สาย เตหน่า ใชส้ าหรับดีด ส่วนประกอบอยู่ด้วย พยางค์ ภาษากะเหร่ียงสะกอ
และร้องเพลงประกอบ ใช้ในโอกาสมีเวลาวา่ งและเพ่อื ไม่มีพยัญชนะสะกด ในบางถ่ินอาจพบว่ามีพยัญชนะ
ความสนุกสนาน โดยเฉพาะหนุ่ม ชาวปกาเกอะญอ สะกดบ้าง แต่ก็เป็นจานวนนอ้ ยมาก ด้วยเหตุน้ีเมอ่ื คน
จะใชเ้ ตหน่าในการเก้ยี วพาราสหี ญงิ สาวในยามคา่ คนื กะเหร่ียงเรียนพูดภาษาไทย จะพบว่ามีปัญหาในการ
ออกเสียงและการได้ยินพยญั ชนะสะกดของภาษาไทย
เครือ่ งดนตรี เตหนา่ ตวั พยัญชนะภาษาปกาเกอะญอ
ภาพจาก https://readthecloud.co/lazy-man-pwa-ka-nyaw-lute/ ภาพจาก รกั ษว์ ฒั นธรรมปาเกอญอ
๔.๔ ภาษา ๔.๕ การแต่งกาย
ภาษาพดู ชาวกะเหร่ียงมีทักษะทางด้านการทอผ้าจน
ภาษากะเหร่ียงจัดเป็นภาษาหน่ึงในตระกูล เปน็ วัฒนธรรมประจาเผ่า เสอ้ื เดก็ และหญงิ สาวจะเป็น
ใหญ่จีน - ธิเบต คาศัพท์บางคาของกะเหร่ียงทั้ง ชุดทรงกระสอบ ผ้าฝ้ายพ้ืนขาว ทอหรือปักประดับ
๒ กลุ่ม มีสาเนียงใกล้เคียงกัน ชนปกาเกอะญอเป็น ลวดลายให้งดงาม ส่วนหญิงท่ีมีครอบครัวแล้วจะสวม
กลมุ่ ชนเผ่าทีม่ ีภาษาพดู และภาษาเขียนเป็นของตนเอง เสือ้ สดี า นา้ เงิน และผา้ นุง่ สีแดงคนละท่อนตกแต่งด้วย
นอกจากน้ีแล้วยังมีขน บธรร มเนียมปร ะ เพ ณี ลูกเดือย หรอื ทอยกดอกยกลาย สาหรับผ้ชู ายกะเหรยี่ ง
และวัฒนธรรมเป็นของตนเองซึ่งได้รับการถ่ายถอด นั้นส่วนมากจะสวมเสื้อตัวยาวถึงสะโพก ตัวเสื้อจะมี
จากบรรพบุรุษในอดตี ในรูปแบบของการเล่าขานกันมา การตกแต่งด้วยแถบสีไม่มีการปักประดับเหมือนเสื้อ
และจากประสบการณใ์ นการใช้ชีวิตประจาวนั ผู้หญิง นุ่งกางเกงสะดอ นิยมใช้สร้อยลูกปัดเป็น
ภาษาเขยี น เครื่องประดบั และสวมกาไลเงนิ หรือตุ้มหู
ชาวปกาเกอะญอใช้ตัวอักษรตระกูลเดียวกับ
ตัวหนังสือพม่าโดยเรียกตัวหนังสือประเภทนี้ว่า
“ลิ วา” ส่วนในประเทศไทยมมี สิ ชนั นารีชาวฝรง่ั เศสได้
๑๓๖ | กล่มุ ชาตพิ นั ธ์ุ ในจังหวัดเชยี งราย
๔.๖ องค์ความรแู้ ละภูมปิ ญั ญา ชาติพันธ์ุ “กะเหรี่ยง”
๑) การทอผ้า ผู้หญิงชาวกะเหร่ียงจะได้รับ
การแต่งกายของผู้หญิง การกล่าวขานว่ามีฝีมือในการทอผ้าเก่งท่ีสุดเผ่าหนึ่ง
โดยจะได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ ทักษะฝีมือมา
ภาพจาก Facebook Vara Jin Varavithya จากผ้เู ป็นแมต่ ง้ั แตว่ ัยเดก็ ประมาณ ๑๐ ปี โดยทผ่ี หู้ ญิง
ชาวกะเหรี่ยงมักจะทอเสื้อผ้าไว้ใช้สวมใส่เองทั้งของ
ตนเองและครอบครัว รวมถึงสาหรับในงานพิธีสาคัญ
ต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน งานผูกขวัญขึ้นปีใหม่
หรืองานประเพณีสาคัญอื่น ๆ เอกลักษณ์ของผ้าทอ
กะเหร่ียงจะเป็นลักษณะลายเป็นส่ีเหล่ียมขนมเปียก
ปูน รูปแบบต่าง ๆ ลายดอ ก ไ ม้ ลายเส้น ต ร ง
ลายกากบาท เป็นต้น
การแต่งกายของผู้ชาย การทอผ้าของผู้หญิงชาวกะเหรี่ยง
ภาพจาก https://sites.google.com/site/chnpheakaheriyngkhaw/ ภาพจาก https://www.sacict.or.th/
การแต่งกายของผู้ท่แี ต่งงานแล้ว ลวดลายผ้าทอ และการปกั ผา้ ของชาวกะเหรี่ยง
ภาพจาก https://sites.google.com/site/chnpheakaheriyngkhaw/ ท่ีมา https://www.sacict.or.th/
กลมุ่ ชาติพันธ์ุ ในจังหวัดเชยี งราย | ๑๓๗
ชาติพันธ์ุ “กะเหรี่ยง” ๒) เครื่องดนตรี “เตหน่า” เป็นเครื่องดนตรี สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน).
ของชนเผ่ากะเหร่ียง ทาด้วยไม้อ่อนเหลาและกลึงให้ (๒๕๖๐). เอกลักษณ์และศิลปะลวดลายบน
เป็นรูปเหมือนกล่องรูปทรงรีมีก้านยาวโก่งและโค้ง ผืนผ้า : ผ้าทอชนเผ่ากะเหร่ียง. ได้จาก
สูงข้ึนไป ท่ีตัวจะเจาะรูเป็นโพรงปิดด้วยโลหะบางๆ https://www.sacict.or.th/th/listitem/
สายทาดว้ ยเส้นลวดมีสายต้งั แต่ ๖ – ๙ สาย ใช้สาหรับ ๑๑๔๔. สืบคืนเมื่อ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๔.
ดีดและร้องเพลงประกอบ ใช้ในโอกาสมีเวลาว่างและ
เพอื่ ความสนกุ สนาน โดยเฉพาะหน่มุ ชาวปกาเกอะญอ
จะใชเ้ ตหนา่ ในการเกย้ี วพาราสหี ญิงสาวในยามค่าคืน
เคร่อื งดนตรี “เตหน่า” และการละเล่นเครือ่ งดนตรี
https://siamrath.co.th/n/36391
๕. แหลง่ อา้ งองิ
กุศล พยัคฆ์สัก. (๒๕๕๕). การเมืองวัฒนธรรมของ
หนุ่มสาวปกาเกอะญอ. วารสารสังคมวิทยา
มานษุ ยวิทยา, ๓๑(๒), ๑๓๙-๑๖๘.
ระวีภรณ์. (๒๕๖๑). วิถีชีวิตชนเผ่ากะเหรี่ยง. ได้จาก
http://rawipornblog.blogspot.com/
๒๐๑๘/๐๒/๔.html. สบื คืนเมอ่ื ๑๕ สงิ หาคม
๒๕๖๔.
สานักงานวัฒนธรรมจังหวัดลาปาง. (๒๕๖๓). กลุ่ม
ชาติพันธุ์ในพ้ืนท่ีจังหวัดลาปาง. หนังสือ
อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มชาติพันธุ์ในพ้ืนที่จังหวัด
ลาปาง. ได้จาก https://www.m-culture.
go.th/lampang/ more_news.php? cid=
๖ ๕ &filename=index. สื บ ค้ น เ ม่ื อ ๑ ๔
สิงหาคม ๒๔๖๔.
๑๓๘ | กลุ่มชาตพิ นั ธุ์ ในจงั หวดั เชยี งราย
ชาตพิ ันธ์ุ “จนี ยนู นาน”
ชาตพิ นั ธ์ุ “จีนยนู นาน”
Chinese Yunnan
“จีนยูนนาน หรือ “ฮ่อ” สันนิฐานว่ามาจาก .................................................................................
ช่ือเรียกอาณาจักรน่านเจ้าซ่ึงต้ังอยู่ที่เมือง “ต้าหล่ี” ของประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกจิ สงั คม
ริมทะเลสาบหนองแส หรือ “ซีเอ้อห่อ” ชาวจีนเรียก และการเมอื งโดย กฤษณา เจริญวงค์ (๒๕๓๓) พบวา่
ชาวป่าที่อยู่ทะเลสาบหนองแสน้ี ว่า “ฮ่อ/ห้อ” ซึ่งชื่อ ปัจจุบันมีชาวจีนยูนนาน อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงราย
เต็มคือ “ซีเอ้อห่อหมาน” แต่เมื่อฮ่อ/ห้อ ย้ายจาก ใน ๖ อาเภอ ประชากรรวม ๓๐,๐๐๐ คน
ทะเลสาบไปคนุ หมิง ชาวไทลื้อยงั เรียกคนกล่มุ นวี้ ่า ฮอ่ โดยประมาณ (ศูนย์พัฒนาชุมชนบนพ้ืนที่สูง. ๒๕๖๓)
ทห่ี มายถึงชาวจีน เช่น ฮ่อปักก่ิง หมายถึง “จีนปักกง่ิ ” ซ่ึงที่จริงแล้วเป็นชาวจีนท่ีอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของจีน
ตอ่ มาชาวฮ่อ ได้เดนิ ทางเข้ามาสอู่ าณาจักรล้านนาและ ในมณฑลยนาน รู้จักในนาม Chinese hill farmer
ล้านช้าง ชาวไทย ชาวลาว ได้เรียกชาวจีนท่ีมาจาก (Lebar and others. : ๒) ชาวจีนยูนนานที่นับถือ
มณฑลยนู นานและบริเวณใกล้เคยี งวา่ “ฮ่อ” ศาสนาอิสลาม เป็นชนเผ่าหน่งึ ซึ่งเมื่อหลายรอ้ ยปกี ่อน
ได้อาศัยอยู่ในประเทศจีนเชน่ เดียวกับมองโกเลียแมนจู
๑. ประวตั ศิ าสตร์ความเปน็ มาของชาติพันธ์ุ หรือเผ่าโลโล ซ่ึงคนจีนท่ีนับถือศาสนาอิสลามนี้เรียก
กันวา่ หุย หรือหยุ เจี้ยว ส่วนจนี ยูนนานท่นี ับถอื ศาสนา
จีนยูนนานที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงรายคือ พุทธจะเรียกว่า ฮ่ันเจ้ียว ชนเผ่าหุยจะมีลักษณะ
ชาวจีนกลุ่มหน่ึงที่อพยพมาจากมณฑลยูนนาน ลงมา สงู ขาว ผู้หญิง (โดยเฉพาะผู้หญงิ ที่มอี ายุ) จะนิยมแต่ง
ทางภาคเหนือของประเทศไทย ในรูปลักษณะของ ชุดคลุมหัว (แบบอิสลามท่ัวไป) ส่วนผู้ชายนิยมไว้
พ่อค้าเร่ท่ีใช้ม้าต่างหรือต่อเป็นพาหนะในการบรรทุก หนวดเครายาว (ตามความนยิ มของชายมุสลิมทว่ั ไป)
สนิ คา้ ผ่านมาทางด่านฮอ่ งลกึ หรือดา่ นแม่สาย เดินตาม
ช่องทางน้ีมาต้ังแต่โบราณมีการสืบค้นและรวบรวม ชาวจีนยูนนานที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงราย
ข้อมูลเอกสารจากงานวิจัยเรื่องการศึกษากลุ่มคนจีน อพยพเข้ามาหลังการปฏิวัติระบบจักรพรรดิของจีนมา
อพยพ (กองพล ๙๓) ในเขตชายแดนภาคเหนือ เป็นคอมมิวนิสต์ โดยผู้นาการอพยพคือนายทหาร
กลุ่มชาติพันธุ์ ในจังหวัดเชียงราย | ๑๓๙
ชาตพิ ันธ์ุ “จนี ยนู นาน” ระดับสูงแห่งกองกาลังทหารจีนคณะชาติ เข้ามาอยู่ จีนกู้ชาติมีกาลังนับหม่ืน แต่ในท่ีสุดสหประชาชาตกิ ไ็ ม่
อาศัยในเขตติดต่อไทย - พม่า ปัจจุบันพบ จีนยูนนาน ยินยอมให้กองพล ๙๓ อยู่บนแผ่นดินไทย และอยู่ใน
ในจงั หวดั เชยี งราย เชียงใหม่ แมฮ่ ่องสอน ลาปาง และ แผน่ ดนิ พม่า สหประชาชาติจงึ ลงมตใิ ห้ยา้ ยกองพล ๙๓
พะเยา ชาวจีนยูนนานท่ีเข้ามาอยู่ในประเทศไทยถือ ผ่านประเทศไทยกลับไปอยู่ไต้หวัน เม่ือปี พ.ศ.๒๔๙๖
เป็นชนกลุ่มน้อยท่ีอพยพเข้ามาในลักษณะผู้ล้ีภัยทาง แตป่ รากฏว่าผู้บงั คับบัญชาชัน้ สงู ของกองพลและทหาร
การเมืองและเปรียบเสมือนแนวกันชนในการสกัดก้ัน ในกองพลน้ี แต่งตั้งผู้บังคับบัญชาขึ้นมาใหม่โดยได้
ลัทธิคอมมิวนิสต์ชนชาวจีนกลุ่มท่ีบรรทุกสินค้า (เช่น ชาวจีนจากราษฎรอาสาสมัครชาวยูนนานท่ีหนีภัย
ฝ่ิน) เข้ามาทางฮ่องลึกไม่ใช่จีนแต้จิ๋ว ซ่ึงเป็นชาวจีน คอมมวิ นิสต์ มาสมคั รเป็นทหารจานวนมาก ทัง้ นีไ้ ด้จัด
กลุ่มใหญ่ที่เดิมอาศัยอยู่มลฑลยูนนาน ประเทศจีน กาลังใหม่เป็นรูป “กองทัพ” มีถึง ๕ กองทัพ
เรียกว่า ชาวยูนนาน (Yunnanese) จัดอยู่ในกลุ่ม คือ ท.๑ - ๕ และยืนหยัดต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ตอ่ ไปใน
ตระกูลนิติก (Sinitic) ในประเทศไทยทางภาคเหนือ รัฐฉานของพม่า ซ่ึงหาเล้ียงชีพด้วยการรับจ้างลาเลียง
เรียกชาวจีนท่ีอพยพมาจากมณฑลยูนนานว่า “จีนยูน ฝ่ิน เป็นกองคาราวานโดยเดินทางลาเลียงระหว่าง
นาน” ชาวจีนยูนนานมีวัฒนธรรมดั้งเดิมในกลุ่มของ รอยต่อของไทย พม่า และลาว จนถูกขนานนามว่า
ตนเอง เพราะมีเชื้อสายจีน ภาษาที่ใช้คือ ภาษาจีน “สามเหล่ยี มทองคา”
กวางตุ้งและภาษาจีนกลาง การตั้งถ่ินฐานจะกระจาย
อยู่ในเขตพ้ืนที่ภูเขา หรือพื้นที่สูงทางภาคเหนือ พบว่าต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ กองทัพก๊กมินต๋ัง
ตอนบน มีการนับถือศาสนาแตกต่างกัน คือ กลุ่มนับ ถูกกองทัพพม่าและจีนคอมมิวนิสต์ผลักดันกวาดล้าง
ถือศาสนาอิสลาม ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ลัทธิ อย่างรุนแรงจนไม่สามารถตั้งถ่ินฐานท่ีม่ันในพม่าไดอ้ ีก
ขงจ้อื ลัทธบิ รรพบรุ ษุ พิธีกรรมตา่ ง ๆ ก็มกั นิยมปฏิบัติ ต่อไป จึงเร่ิมอพยพเข้าสู่ประเทศไทย โดยกองทัพท่ี ๓
ตามลัทธิความเช่ือของพระจันทร์ และพิธีกรรมท่ี ของนายพล หล่ี เหวิน ฝาน ได้เข้ามาทางเชียงใหม่
เกยี่ วกบั การเซ่นไหวบ้ รรพบรุ ุษในโอกาสตา่ ง ๆ อาเภอฝาง นายพลต้วน ซี เหวิน เข้ามาตั้งมั่นอยู่ใน
อาเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ที่ดอยตุง และดอย
ก าร อพ ยพ ย้ายถิ่น ฐ าน เร่ิ ม ต้น เ ม่ื อ จี น แ ม่ ส ล อ ง ซึ่ ง ด อ ย แ ม่ ส ล อ ง ถื อ เ ป็ น ท่ี ตั้ ง ข อ ง
คอมมิวนิสต์เข้าครอบครองแผ่นดินใหญ่ได้ทง้ั หมดเป็น กองบัญชาการกองทัพที่ ๕ ต่อมาได้มีการให้อพยพจีน
ผลให้ จอมพล เจยี งไคเชค็ ผูน้ าจนี ชาติ ตอ้ งถกู ไล่ตตี ก ยูนนานกลับไต้หวันในรอบสองอีก เร่ิมในช่วงเดือน
ทะเลไปอยยู่ งั ฟอร์โมซาหรือเกาะไต้หวันในปัจจุบนั จีน มีนาคม - เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๔ มีกาลังทหารรวมทั้ง
คอมมิวนิสต์เข้าครอบครองแผ่นดินใหญ่ ต้ังแต่ปี ครอบครัว จานวนท้ังสิ้น ๔,๓๔๙ คน โดยในการอพยพ
พ.ศ. ๒๔๙๒ กองกาลงั ทหารจนี คณะชาติ “กก๊ มนิ ตั๋ง” คร้ังที่ ๒ น้ี มีทหารและพลเรือนท่ีสมัครใจไม่กลับ
ท่ีรู้จักกันในนามของ “กองพล ๙๓” ซ่ึงยืนหยดั อยู่ใน ไต้หวันอีกประมาณ ๖,๖๕๐ คน อาศัยอยู่ในเมืองไทย
พม่านั้น ก็ถูกกาลังของพม่ากวาดล้างเกือบจะสลาย ราว ๔,๐๐๐ คน ตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ เพ่อื ใช้เป็นกันชน
ส่วนกองพลอ่ืน ๆ ก็ถูกกวาดล้างไปจนสูญสลาย กับชนกลุ่มน้อย ทาให้ดอยแม่สลองในยุคแรกเป็น
ส่วนกองพล ๙๓ น้ันไม่ได้ถึงกับสลายตัวทั้งกองพล ดนิ แดนลี้ลับตอ้ งห้าม มปี ัญหายาเสพติดและกองกาลัง
และในช่วงท่ีสหรัฐอเมรกิ ามนี โยบายยับยั้งการเผยแพร่ ติดอาวุธมาตลอด ทางการไทยได้พยายามแก้ปัญหา
ลัทธิคอมมิวนิสต์ ในภูมิภาคเอเซียอาคเนย์ให้การ โ อ น ก อ ง ก าลัง เหล่านี้มาอ ยู่ใน คว ามดูแลของ
ช่วยเหลือทาให้กองพล ๙๓ แปรสภาพเป็นกองทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๑๕
๑๔๐ | กลุ่มชาติพนั ธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทหารจีนคณะชาติให้อาศัยใน อยู่ภายใต้การดูแลของกรมการปกครอง และในปี ชาตพิ ันธ์ุ “จนี ยนู นาน”
แผ่นดนิ ไทยอย่างเปน็ ทางการ ยตุ กิ ารคา้ ฝ่ิน ปลดอาวุธ พ.ศ. ๒๕๒๓ ต้องจดั ให้ มกี ารเลอื กตง้ั กานัน ผ้ใู หญ่บ้าน
และหันมาทาอาชีพเกษตรกรรม โดยได้ริเริ่มโครงการ ตามลักษณะการปกครองท้องท่ี พ.ศ. ๒๔๕๗ ทาให้
ปลูกชา และปลูกสนสามใบเพื่อทดแทนป่าชุมชนบน รปู แบบการปกครองแบบทหารลดบทบาทลง
ดอยแม่สลองได้ช่ือใหม่เป็น บ้านสันติคีรี มีการออก
บัตรประชาชนให้เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๒๑ จากน้ันดอยแม่ ปัจจุบันการปกครองของบ้านสันติคีรี มีการ
ส ล อ ง คื น สู่ ค ว า ม ส ง บ นั บ แ ต่ น้ั น ม า จ น ถึ ง ทุ ก วั น น้ี ปกครอง ๒ รูปแบบ คือการปกครองส่วนท้องที่
น อ ก จาก นี้ ก อ ง บัญ ชาก าร ทหาร สู ง สุ ดส่ ว น หน้ า ไ ด้ คือกานันผู้ใหญ่บ้าน และการปกครองส่วนท้องถ่ิน
ดาเนินกาพฒั นาอาชีพทหารจีนคณะชาติตกค้างให้เป็น คอื องค์การบรหิ ารส่วนตาบลแมส่ ลองนอก
พลเรือน โดยการจัดต้ังหมู่บ้านอพยพหลายแห่งทั้งใน
พื้นท่ีจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย โดยได้ออกบัตร ๒.๒ ผนู้ า/บุคคลสาคัญ
ปร ะ จาตัว ให้กั บ ผู้ อพ ย พ เ ห ล่านี้ ด้ว ย และ ใ ห้ บุคคลสาคัญของชาวจีนยูนนานในพ้ืนที่ดอย
กระทรวงมหาดไทยเข้าไปดูแลทาการแปลงสัญชาติ แม่สลองคือนายพลต้วน ซี เหวิน โดยประวัติที่ได้
ไทยและออกบตั รประชาชนใหเ้ ปน็ คนไทยอย่างถูกต้อง รวบรวมข้อมูลที่ปรากฏอยู่ ณ สุสานนายพลต้วน
ตามกฎหมายในปี พ.ศ.๒๕๒๑ นอกจากนี้รัฐบาลได้ และข้อมูลบางส่วนจากผู้บริหารคุ้มนายพลรีสอร์ทซึ่ง
พยายามเข้าไปสนับสนุนด้าน การส่งเสริมอาชีพด้าน เดิมเป็นถ่ินพานักของ นายพล ต้วน ซี เหวิน ผู้นาทาง
การเกษตร โดยเร่ิมจัดทาโครงการอุตสาหกรรมใบชา การทหารและผ้กู อ่ ตงั้ ชุมชนสนั ติครี ี เปน็ ชาวอาเภอหม่ี
๕ ปี ดาเนินการโดยกองบัญชาการทหารสูงสุดเร่ิม เหลยี ง เมืองคุนหมงิ มณฑลยูนนาน เกดิ เมอื่ ๒ ตลุ าคม
ดาเนินการระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๖ - ๒๕๒๐ โดยมี พ.ศ.๒๔๕๓ สาเร็จเป็นนายทหารชนั้ สัญญาบัตรยศร้อย
แผนจะปลูกชาท้ังหมด ๑๐ ลา้ นตน้ โดยใช้กลา้ ชาพันธ์ุ ตรี อายุเพียง ๒๐ ปี หลังจบการศึกษาเขา้ สูแ่ นวรบครั้ง
ดจี ากประเทศไตห้ วัน ดว้ ยทักษะด้านการปลกู และการ แรกในสงครามจีน - ญี่ปุ่น ผ่านการรบในสงครามโลก
ผลิตชาทาให้ผลผลิตชาในพ้ืนปลูกของชาวจีนยูนนาน ครัง้ ท่ี ๒ และสงครามกลางเมอื ง (สงครามคอมมวิ นิสต์)
จนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สาคัญจังหวัดเชียงรายซ่ึง ดารงตาแหน่งครั้งสุดท้ายในกองทัพที่ ๕๘ มียศเป็น
เป็นพืชเศรษฐกิจที่สามารถสร้างงานสร้างรายไดใ้ ห้กบั พลตรีของกองทัพบกจีนพรรคก๊กมินต๋ัง ก่อนหลบหนี
จงั หวดั เชยี งรายได้เปน็ อยา่ งดี ออกจากแผ่นดินใหญ่ไปอยู่ไต้หวันผ่านทางเซี่ยงไฮ้
และฮ่องกง จนต่อมาได้เข้าร่วมขบวนการกู้ชาติของ
๒. โครงสรา้ งทางสงั คม นายพลหล่ี มี่ ในรัฐฉาน ประเทศพม่า ภายหลังได้
รวบรวมชาวจีนยูนนานและชนกลุ่มน้อยมาจัดต้ัง
๒.๑ การปกครอง กองทัพใหม่มีตาแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพ ๕
ในอดีตการปกครองในชุมชนชาวจีนฮ่อบน หลังจากถูกทหารพม่าตีแตกพ่ายจากรัฐฉานได้เข้ามา
ดอยแม่สลองให้ความเคารพผู้อาวุโสโดยเฉพาะผู้นา จัดสรา้ งท่ีตัง้ กองกาลงั อยใู่ นพ้ืนท่ดี อยแม่สลอง จงั หวัด
กองทัพทางทหาร รูปแบบการปกครองค่อนข้าง เชียงราย บิดาของนายพลต้วน ดารงตาแหน่งเป็น
เข้มงวดเพราะใช้ระเบียบวินัยแบบทหาร มีการลงโทษ วุฒิสมาชิกในไต้หวันครอบครัวมีฐานะดี นายพลต้วน
ท่ีรุนแรงโดยการขุดหลุมขังหรือการใช้คอกกักกัน สมรสกับนางบัวสวรรค์ คาลือ ท่ีรัฐสิบสองปันนา
เมื่อรัฐบาลได้มีมติให้รับเอาทหารจีนคณะชาติเข้ามา มีบุตรชาย ๒ และหญิง ๒ รวม ๔ คน บุตรชาย
ท้ัง ๒ คน สาเร็จการศึกษาระดับ อุดมศึกษาใน
กลมุ่ ชาตพิ ันธุ์ ในจงั หวัดเชียงราย | ๑๔๑
ชาตพิ ันธ์ุ “จนี ยนู นาน” ไต้หวัน ส่วนบุตรสาวสาเร็จการศึกษา และใช้ชีวิตอยู่ แต่อย่างไรก็ตามพบว่าชาวจีนยูนนานบางส่วนนับถือ
ในอเมริกา ภรรยานายพลต้วน ตดิ ตามไปดูแลบุตรสาว ศาสนาอิสลามก็จะมีความแตกต่างกับชาวจนี ยูนนานที่
ในสหรัฐอเมรกิ า นายพลต้วนใช้ชวี ติ ในเมืองไทยอยู่กับ นับถือศาสนาพุทธ โดยชาวจีนยูนนานที่นับถือศาสนา
ลูกน้องบนดอยแม่สลอง นายพลต้วนเป็นทหารอาชีพ อิสลามจะยังคงมีการรักษาไว้ซ่ึงประเพณีได้ดีกว่าชาว
รักลูกน้องท่ีเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ดูแลความ จีนยูนนานท่ีนับถือศาสนาพุทธ (สุชาติ เศรษฐมาลินี,
เป็นอยู่พัฒนาอาชีพให้ชาวแม่สลอง เป็นท่ีรักใคร่และ ๒๕๕๐) ด้วยความสัมพนั ธท์ างเครอื ญาติและความเชื่อ
เคารพนับถือของชาวแม่สลอง ชาวบ้านเรียกกันติด ท า ง ศ า ส น า ไ ด้ ถู ก น า ม า ใ ช้ เ ป็ น เ ค ร่ื อ ง ช่ ว ย ใ น ก า ร
ปากว่า ซีกง หมายถึงปู่ท่ีเคารพรัก นิสัยเป็นคนรัก พยายามท่ีจะควบคมุ กิจการดา้ นเศรษฐกิจแลการเมือง
สันโดษ หลังจากที่มีการแปรสภาพค่ายทหารมาเป็น แ ล ะ ห ล่ อ ห ล อ ม ใ ห้ ช า ว จี น ยู น น า น ท่ี นั บ ถื อ ศ า ส น า
หมู่บ้านราษฎร นายพลต้วน ผู้ถืออาวุธ มาตลอด อิสลามมีอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่ม ท่ีได้พัฒนาข้ึนมาตาม
จาเป็นต้องเปลี่ยนอาชีพมาถือจอบเสียม และทางาน สภาพแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ จะเห็นได้ว่าการ
ด้านการพัฒนาการเกษตรจนดอยแม่สลองเป็นแหล่ง ร ว ม ตั ว ข อ ง ช า ว จี น ยู น น า น ใ น จั ง ห วั ด เ ชี ย ง ร า ย
ปลูกชาและส่งออกชาทสี่ าคัญ นายพลตว้ นเสยี ชวี ติ เม่ือ แสดงความเป็นชาติพนั ธ์ุโดยการนาความเชื่อทป่ี รากฏ
วนั ที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๓ ด้วยวยั ๗๐ ปี โดย ใ น พิ ธี ก ร ร ม ม า ค ว บ คุ ม ใ ห้ ค น อ ยู่ ร ว ม กั น เ ป็ น สั ง ค ม
ศพของนายพลต้วน บรรจุอยู่ที่สุสาน ท่ีสร้างข้ึนบน ท้ังในระดับครอบครัว เครือญาติและขยายไปสู่ระดับ
เนินด้านเหนือคุ้มนายพลรีสอร์ท มองเห็นตลาดและ ชมุ ชน สะท้อนถึงการรวมตัวภายในวฒั นธรรมหรอื การ
หมบู่ า้ นสันติครี ีตามความประสงค์ที่เจา้ ตัวเลือกไว้ก่อน เป็นส่วนหนงึ่ ของความเป็นชาตพิ นั ธุ์
ส้ินชีวิต
๓. วิถชี วี ติ ความเปน็ อยู่
สสุ านนายพลตว้ น ซี เหวิน
๓.๑ ทอี่ ยู่อาศยั
ภาพจาก https://travel.kapook.com/view๒๓๕๔๐๒.html ลั ก ษ ณ ะ ก า ร ตั้ ง บ้ า น เ รื อ น ข อ ง ช า ว จี น ฮ่ อ
๒.๓ ระบบครอบครวั และเครอื ญาติ จากอดีตถึงปัจจุบันได้มีการเปล่ียนแปลงไปตามสภาพ
ชาวจีนยูนนานคณะชาติท่ีหนีมาจากยูนนาน
มกั จะพาครอบครวั และญาติมติ รมาดว้ ย ตอ่ มาเมื่อเข้า เศรษฐกิจและสงั คม จากการศึกษาพบวา่ มีรูปแบบการ
มาตั้งหลักแหล่งในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ก็จะต้ัง
เป็นชุมชนชาวจีนฮ่อ ฉะน้ันเขาจึงสามารถรักษา กอ่ สร้างบ้านเรือนทงั้ ในอดีตและปัจจบุ ันดงั นี้
ขนบธรรมเนียมประเพณีจีนไว้ค่อนข้างมาก ชาวจีน
ยูนนานน้ันมีการผสมกลมกลืนกบกลุ่มชาติพันธุ์อ่ืน ๆ ๑) รูปแบบดั้งเดิม ในยุคแรกลักษณะการตั้ง
มาโดยตลอด เช่น กลุ่มไทใหญ่ และม้ง เป็นต้น
๑๔๒ | กลุม่ ชาติพันธุ์ ในจังหวดั เชียงราย ถ่ินฐานชาวจีนยูนานชอบต้ังบ้านเรือนอยู่เป็นกลุ่ม
มีลักษณะแตกต่างกับหมู่บ้านราษฎรไทยในชนบท
หลายประการ คือ ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านช้ันเดียวใช้
วัสดุดนิ ผสมฟางปน้ั เป็นฝาบ้าน ติดพนื้ ดินส่วนทเ่ี ป็นท่ี
นอนยกเป็นแคร่ทาด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงแฝก เป็นการ
ปลูกสรา้ งแบบไม่ถาวร เฉพาะส่วนหนา้ ชาวจนี ฮ่อนิยม
ทากระดาษสีแดงเป็นแถวยาวมีอักษรสีทองหรือสีดา
เขียนคาขวัญและคาอวยพรติดไว้ โดยทั่วไปจะมีลาน
ดิ น อ ยู่ตร ง ก ลาง ลัก ษณะ ตัว บ้าน เป็น รูปทร ง
ส่ีเหล่ียมผืนผ้า ผนังบ้านเป็นดินผสมหญ้า และฟาง
พื้นบ้านเป็นพื้นดินเหนยี วทุบแน่น ใช้ความต่างระดับ
ของพ้ืนดินเป็นตัวแบ่งแยกพ้ืนท่ีการใช้สอย แผนผัง
ของบ้านมักประกอบด้วย ๓ ส่วน คือ ห้องโถงสาหรับ ชาตพิ ันธ์ุ “จนี ยนู นาน”
ต้ังแท่นบูชาเทพเจ้าและบรรพบุรุษ ห้องนอน
และห้องครัว ในยุคต่อมาได้มีการเปล่ียนวัสดุหลังคา หมู่บ้านสันตคิ ีรี ดอยแม่สลอง
เป็นสังกะสีเน่ืองจากบริเวณหมู่บ้านมีไฟป่าลุกลาม
บอ่ ยคร้ัง ซึ่งหลังคาหญ้าคาจะตดิ ไฟไดง้ ่ายจงึ เร่มิ มีการ ภาพจาก https://www.paiduaykan.com
เปล่ียนวัสดุ และต่อมาผนังบ้านก็เปลี่ยนไปเป็นไม้ไผ่
สับหรือไม้เน้ือแข็ง ซึ่งในปัจจุบันบ้านในลักษณะ ๓.๒ การประกอบอาชีพ
ดังกลา่ วไมม่ ีใหเ้ ห็นแลว้ ในชุมชนบา้ นสนั ติคีรี ชาวจีนยูนนาน บนดอยแม่สลอง ส่วนใหญ่จะ
ประกอบอาชีพดา้ นการเกษตร ปลกู ผกั และผลไม้เมือง
๒) รูปแบบใหม่ ลักษณะบ้านเรือนในปัจจุบนั หนาวท่ีขึ้นช่ือได้แก่การปลูกชาเนื่องจากพนื้ ท่ีเป็นดอย
เนือ่ งจากการเปล่ยี นไปของสภาพสงั คม และเศรษฐกิจ ท่มี คี วามสูงสดุ แห่งหน่ึง เพราะอยสู่ งู กว่าระดบั น้าทะเล
โดยชาวบ้านในชุมชนมีการติดต่อค้าขายกับคนใน ถึง ๑,๓๕๐ เมตร ในช่วงฤดูหนาวเดือนธันวาคมถึง
ตัวเมือง และชุมชนกลายเป็นแหล่งท่องเท่ียวท่ีสาคัญ กุมภาพันธ์อากาศจะหนาวเย็นมาก อุณหภูมิเฉล่ีย
และเป็นท่นี ิยมของนกั ท่องเทยี่ ว ลกั ษณะการประกอบ ๓ - ๖ อาศาเซลเซียส ถ้าปีไหนหนาวหนาวนาน
อ า ชี พ ที่ เ ป ล่ี ย น จ า ก ก า ร เ ก ษต ร ก ร ร ม มาเป็น ดอกซากุระหรอื นางพญาเสอื โครง่ ก็จะบานยืดยาวตาม
พาณิชยกรรม ทาให้รูปแบบในการสร้างบ้านเรือน ไปด้วย ในช่วงเวลาปกติบนดอยแมส่ ลองจะมีอุณหภูมิ
เปล่ียนไป โดยนิยมสร้างบ้านโดยใช้วัสดุทาจากอิฐ เฉลี่ย ๒๘ องศาเซลเซียส จึงทาให้ที่น่ีมีฤดูใบไม้
และปนู มคี วามม่ันคงแขง็ แรง หลังคามุงด้วยกระเบ้ือง ผลิตลอดทั้งปี การปลูกชาที่ดอยแม่สลองจะนิยมปลูก
บางพื้นที่ทาในลักษณะของอาคารพาณิชย์เพ่ือค้าขาย ตามไหล่เขา มที ง้ั พันธ์ุพน้ื เมือง และชารสดีทนี่ าพันธ์ุมา
โดยเฉพาะสองฝากฝ่ังถนนสายหลักของหมู่บ้าน จากไตหวัน ที่ข้นึ ชื่อไดแ้ ก่ พนั ธ์ุอ่หู ลง
มีการก่อสร้างบ้านเรือนตามแนวถนน และมีลักษณะ ดังน้ันการประกอบอาชีพของชาวจีนยูนนาน
ติด ๆ กันทาให้ชุมชนดูมีความหนาแน่น แต่ชาวจีนใน ในชมุ ชนสันติครี จี ึงแบง่ ออกเป็น ๒ รูปแบบ คอื
ชุมชนยงั มคี วามพยายามที่จะอนรุ กั ษ์รูปแบบบ้านแบบ ๑) ภาคการเกษตร ในส่วนของการเกษตร
จีนไว้ โดยออกแบบหลังคาให้ มีลักษณะเป็นแบบ ชาวบ้านเกือบท้ังหมดจะปลูกชาเน่ืองจากเป็นพืช
หลังคาเกง๋ จีน เศรษฐกจิ ทีส่ าคญั โดยมพี ื้นที่ในการปลกู ชาหลายพนั ไร่
ชาท่ีปลูกเป็นชาพันธุ์อู่หลง ซ่ึงเป็นชาพันธ์ุดี มีกล่ิน
หมู่บ้านสันติคีรี ดอยแมส่ ลอง หอม และมีชื่อเสยี งเปน็ ทรี่ ้จู ัก เปน็ สนิ คา้ OTOP ระดบั
ห้าดาวของตาบลแม่สลองนอก นอกจากน้ียังมีการ
ภาพจาก https://www.chiangraifocus.com/article/๗๘ ปลูกบ๊วยซ่ึงเป็นพืชด้ังเดิมของดอยแม่สลอง ที่นิยมใน
มาแปรรูปสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านและออกดอก
กลุ่มชาติพันธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย | ๑๔๓