ชาตพิ ันธ์ุ “จนี ยนู นาน” สว ยง ามใน ช่ว ง ฤดูหน าว เป็น ส่ิง ดึง ดูดใจ ข อ ง ๓.๓ อาหาร
นกั ท่องเทย่ี วอกี อย่างหน่ึง ชาวจีนยูนนานจะรับประทาน อาหาร ที่
ประกอบขึ้นตามวัฒนธรรมของชาวจีน ซ่ึงรวมทั้งจีน
การทาไร่ชาของชาวจีนยนู นาน บนดอยแมส่ ลอง แผ่นดนิ ใหญ่ ไต้หวนั และ ฮอ่ งกง ซง่ึ มหี ลากหลายชนิด
ตามแต่ละท้องถ่ิน โดยท่ัวไปนิยมรับประทานอาหาร
ภาพจาก https://www.paiduaykan.com จานผักและธญั พืชเป็นหลัก
สาหรับชาวจีนยูนนานบนดอยแม่สลองน้ัน
๒) ภาคนอกการเกษตรชาวบ้านส่วนใหญ่ใน อาหารท่ีข้ึนช่ือและโดดเด่น ได้แก่ ซาลาเปา หมั่นโถว
ชมุ ชนสนั ตคิ รี ีจะประกอบอาชพี ค้าขายเน่อื งจากชุมชน ขาหมยู นู นาน และนา้ ชา เป็นตน้
เป็นแหล่งท่องเที่ยวท่ีมีชื่อเสียง โดยจะทาธุรกิจด้าน
โรงแรมที่พัก เก็ทเฮ้าส์ โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ร้าน ขาหมยู ูนนาน และหม่นั โถว
จาหนา่ ยชา รา้ นขายของท่ีระลกึ เป็นต้น
ภาพจาก https://travel.kapook.com/view๒๓๕๔๐๒.html
โรงแรมบนดอยแม่สลอง
๔. วฒั นธรรมและประเพณี
ภาพจาก https://www.thairath.co.th/lifestyle/travel/thaitravel/๑๙๖๘๓๗๑
๔.๑ ศาสนา
ยา่ นการคา้ ดอยแมส่ ลอง ชาวจีนยูนนานมีการนับถือสามศาสนาหลัก
คือ พุทธ คริสต์ และอิสลาม ในประเทศไทย สามารถ
ภาพจาก https://www.chiangraifocus.com/article/๗๘ แบ่งกลุ่มตามความเชื่อทางศาสนาได้ ๓ กลุ่มใหญ่ๆ
ได้แก่ ฮั่นเจียว เป็นกลุ่ม ที่นับถือศาสนาพุทธ นิกาย
๑๔๔ | กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย มหายานผสมลัทธิเต๋า มีศาลเจ้า และในบ้านจะมีหิ้ง
บูชาบรรพบุรุษ หุยเจียว เป็นกลุ่มท่ีนับถือศาสนา
อิสลาม มีมัสยิด หรือสุเหร่า เพื่อประกอบพธิ ี จีตู๋เจียว
เป็นกลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์ มีโบสถ์ เป็นศาสน
สถานทใ่ี ชเ้ พอื่ ทาพิธกี รรม
๔.๒ พธิ ีกรรม ความเช่อื
ชาวจีนยูนนานมคี วามเช่ือ เรอ่ื งสิง่ สกั การบูชา
๕ ประการ ได้แก่ ฟ้า ดนิ กษัตริย์ บดิ า มารดา และครู
สแี ดงเปน็ สีมงคล การบชู าผีเรอื นจะทาใหผ้ ู้บูชาอยู่เย็น
เป็นสุข กระดูกไกส่ ามารถใช้ทานายโชคชะตา อนาคต
และความรุ่งเรืองของบุคคลได้ ความเช่ือเก่ียวกับ
ธรรมชาติ และชีวิตหลังความตาย อย่างไรก็ดี ชาวจีน
ยูนนานยังคงมีมีความพยายามท่ีร้ือฟ นความเป็นจีน
ยูนนาน ของตนในหลากหลายรูปแบบในเชิงองค์กร ผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้าของบ้าน หลังจากเปิดประตูต้อนรับ ชาตพิ ันธ์ุ “จนี ยนู นาน”
เด็กผู้ชายท่ีมาอวยพรแล้ว จะจุดประทัดพร้อมทั้งนา
ทางสังคม ในกรณีกลุมอดตี ทหารจีนคณะชาตนิ ้นั ไดใ้ ช้ อาหาร ผลไม้ และอั่งเปามามอบให้กับเด็กผู้ชาย
ป ร ะ เ พ ณี แ ล ะ พิ ธี ก ร ร ม ข อ ง จี น ใ น ก า ร ส ร้ า ง ก ลุ่ ม ประเพณีชาวจีนโบราณได้กาหนด อย่างจาเพาะ
เพ่ือสืบสานความเป็นทหารจีน คณะชาติ โดยกาหนด เจาะจงว่า เด็กที่จะสามารถทาหน้าท่ีอวยพรใน
เทศกาลวันข้ึนปีใหม่ได้ จาตองเป็นเด็กผู้ชายเทาน้ัน
เอาชวงเทศกาลเชง็ เม้งเปน็ วันนัดหมายกนั แตกตา่ งไป หลังจากเปิดประตูบ้านแล้ว แต่ละครอบครัวจะแขวน
จากเดิมท่ี ประเพณีน้ีจะจัดเฉพาะในสายตระกูลและ โคมไฟไว้หน้าบ้าน และติดโคลงสองแถวทัง้ ฝ่งั ซ้ายและ
ฝั่งขวาของประตูทางเข้าบ้าน โคลงสองแถวท่ีว่าน้ีใน
ทาท่ีหลุมศพบรรพบุรุษเท่านั้นเพ่ือแสดง ความกตัญ ู ภาษาจีนเรียกว่า “ตุ้ย เหลียน” เป็นโคลงภาษาจีนท่ี
ของลูกหลาน การร่วมกิจกรรมของอดีตทหารจีน เป็นคาอวยพร ชาวจีนยูนนานเช่ือว่ากิจกรรมการติด
คณะชาติและลูกหลานฉันนี้ ก็เพ่ือให้คนรุนใหม่เกิด โคลงสองแถวจะช่วยให้สมาชิกในครอบครัว มีความ
เจริญ อยู่เย็นเป็นสุข และเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัว
ความภาคภูมิใจในบรรพบุรษุ ของพวกเขาเอง ตลอดทั้งปี ชาวจีนยูนนาน ยังนิยมสวมเสื้อผ้าใหม่
เทศกาลสาคัญของชาวจีนยูนนาน ในพื้นที่ สีแดงในวันข้ึนปีใหม่โดยเช่ือว่า สีแดงเป็นสีแห่งสิริ
มงคล นับเป็นความเช่ือที่สืบสานกันมาช้านานและไม่
จังหวัดเชียงรายประกอบด้วย ๖ เทศกาลสาคัญ คือ เคยแปรเปล่ียนไปตามกาลเวลา ในช่วงวันขึ้นปีใหม่
เทศกาลวันตรุษจีน วนั เชง็ เม้ง เทศกาลตวนอู เทศกาล สมาชิกในครอบครัวชาวจีนยูนนานนิยมประกอบพิธี
จงหยวน เทศกาลไหวพระจันทร์ และเทศกาลวัน เซ่นไหว้เจ้าแม่กวนอิม และบรรพบุรุษท่ีบ้าน ทุก ๆ
ครัวเรือนต้องมีป้ายบรรพบุรุษที่เรียกว่า “เทียน ต้ี จง
ฉงหยาง รายละเอียดเกีย่ วกับเทศกาลทง้ั ๖ มีดงั นี้ ชิน ชรือ เว่ย” สาหรับการประกอบพิธีเซ่นไหว้
๑) เทศกาลวันตรุษจีน ชาวจีนใน บรรพบุรษุ จาต้องจดุ ธปู เทยี น และมีอาหารพร้อมสรรพ
ไม่เพียงเท่านนั้ ชาวจนี ยูนนานยงั จดุ ธปู เทียนกราบไหว้
ชมุ ชนแม่สลองนยิ มฉลองเทศกาลตรุษจนี ตามแบบชาว เจา้ ที่ ทางด้านหน้าประตบู า้ น นยิ มใช้ธูปทมี่ ีขนาดใหญ่
จีนยูนนาน โดยโรงเรียนสอนภาษาจีนประจาหมูบ้าน จานวนสองดอก เมื่อพิธีเซ่นไหว้ เสร็จสมบูรณก็จะปัก
จะจดั กิจกรรมต่าง ๆ เช่น ให้เด็กไปอวยพรวนั ขนึ้ ปีใหม่ ธูปไว้ด้านหน้าประตูฝั่งละหนึ่งดอก ชาวจีนยูนนานใน
ชุมชนสันติคีรียังมีประเพณีตัดกิ่งสนและปักไว้ใน
ตามครัวเรือน มีกิจกรรมการเชิดสิงโต หรือร้องเพลง กระบอกไม้ไผ่ ท้ังน้ี เพราะเมอ่ื นากระบอกไม้ไผ่ทป่ี ักกิ่ง
อวยพรตามบ้านหรือร้านค้า เทศกาล ตรุษจีนถือเป็น สนนั้นมาแขวน ใบสนย้อยห้อยลงมา ประดุจกับเงิน
ทองท่ีไหลบ่าเข้ามานับไม่ถวน โดยส่วนใหญ่แล้ว
เทศกาลสาคัญที่สุดของชาวจีน มีรายละเอียดในการ ชาวจีนยูนนานจะ ตั้งกระบอกไม้ไผ่ปักกิ่งสนไว้หน้า
ทากิจกรรมตาม ประเพณีและความเชื่อ ดังนี้ ในวัน ประตูบ้าน เรียกกันว่า “เหยา เฉียน ซู่” อันหมายถึง
สุดท้ายของปเก่าตามปฏิทินจันทรคติ ชาวจีนยูนนาน การมีทรัพย์สินเงินทองมากมายเข้ามาในบ้าน สาหรับ
ข้อห้ามในเทศกาลตรุษจีนมีหลายประการ ซ่ึงหลัก ๆ
จะเฉลิมฉลอง วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ร่วมกัน แล้วมักจะ เป็นการห้ามพูดคาไม่ดี คาหยาบ ห้าม
โรงเรียนสอนภาษาจีนที่หมู่บ้านแม่สลองเป็นเจ้าภาพ ทะเลาะวิวาท หามกวาดพ้ืนเนื่องจากเชื่อว่า สรรพส่ิง
ท่อี ยู่บนพน้ื เป็นของมีค่า บางครงั้ เศษวัตถุท่ีตกหล่นอยู่
จัดงานและคนในหมู บ้านจะไปร่ วมงานพ ร้อ ม ห น้ า บนพื้นอาจมิใช่ของเสีย แต่มนุษยมองไม่เห็น อย่างไร
พร้อมตากัน ก่อนรับประทานอาหารเย็น สมาชิกใน ก็ตาม ในกรณีท่ีจาเป็นตองกวาดพื้นบ้าน ชาวจีน
ครอบครัวจะจุดธูปเทียนไหว้ บรรพบุรุษ และ ยูนนานจะเร่ิมกวาด จากด้านนอกเข้าไปด้านใน
รับประทานอาหารเย็นอย่างพร้อมเพรยี งกัน ในค่าคืน กลุม่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจังหวัดเชียงราย | ๑๔๕
ก่อนจะถึงวันตรษุ จีน ชาวจีนยูนนานจะไม่เขานอนกัน
จนกว่าจะถึงเวลาเท่ียงคืน ท้ังน้ี เพราะไม่อยากพลาด
กิจกรรมการจุดประทัดต้อนรับปใหม่ ในวันแรกของ
ปีใหม่ ชาวจีนยูนนานมักให้เด็กผู้ชายอายุระหว่างห้า
ขวบ ถึงสิบส่ีปีไปเคาะประตูของทุกบ้าน พร้อมทั้ง
อวยพรให้ครอบครวั นัน้ ร่ารวย มสี ขุ ภาพแขง็ แรงและมี
สิริมงคล เป็นประเพณีที่ได้สืบทอดกันมาแต่โบราณ
กิจกรรมน้ีจะให้เด็กผู้ชายไป เคาะประตูบ้านใน
เทศกาลวันข้ึนปีใหม่ในภาษาจีนเรียกวา “ไค ฉาย
เหมิน” มีความหมายว่า “เปิดประตูร่ารวย” สาหรับ
ชาตพิ ันธ์ุ “จนี ยนู นาน” การกวาดพน้ื ลักษณะน้ีในภาษาจนี ใช้คาวา่ “จนิ้ ฉาย” โบราณของจีน อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองรัฐฉู่ และ
หมายเปน็ นยั ถงึ เรือ่ งที่เงนิ ทองจะไหลบ่าเข้ามาในบ้าน
นอกจากนั้น ชาวจีนในชุมชนสันติคีรียังมีข้อห้าม ผู้คนส่วนมากไม่เห็นด้วยกับทัศนะด้านการเมืองการ
การออกไปตักน้ามาใช้ในช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ ปกครองของชูหยวน กระทั่งท้ายท่ีสุดพระองค์ต้อง
ตลอดจนการห้ามใช้มีดห่ันเนื้อสัตว์ หากครอบครัวใด ส้ิ น พ ร ะ ช น ม์ เ พ ร า ะ น้ า มื อ ข อ ง ศั ต รู จ า ก อ า ณ า จั ก ร
จะรับประทานเนอ้ื สัตว์ จาต้องหั่นเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อน
ถึงวันตรุษจีน ครอบครัวชาวจีนยูนนานจานวนมากยัง ใกล้เคียง แม้รัฐฉู่จะมีพระเจ้าเหนือหัว พระองคใหม่
นิยมกินเจในวนั ตรุษจีนด้วย สาหรับระยะเวลา ในการ แต่พระองค์ก็สนพระทัยแต่การเสวยสุข ชูหยวนรู้สึก
เฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนเริ่มต้ังแต่วันที่ ๑ ไปจนถึง
วันที่ ๑๕ ของเทศกาล แต่โดยทั่วไป จะเน้นเฉพาะวันท่ี ผิดหวังอย่างมากจึงออกมา ประพันธ์กวีนิพนธ์แทน
๑ ถงึ วนั ที่ ๗ หรือวันที่ ๘ มากที่สุด วันหนง่ึ เขาไปพบชาวประมงคนหน่ึงซ่งึ ไม่สนใจใยดีใน
ชะตากรรม ของบ้านเมืองแม้แต่น้อย ความผิดหวัง
๒) วนั เชง็ เม้ง เทศกาลวันเชง็ เมง้ มีขึ้นระหว่าง
วนั ท่ี ๔ ถงึ วันที่ ๖ เดือนเมษายนของทกุ ๆ ปี กจิ กรรม ท้อแท้ใจที่มีแต่เดิมของชูหยวนก็ทวีตรีคูณมากขึ้น
สาคญั ที่สดุ คือ สมาชิกในครอบครัวพากันไปกราบไหว้ กว่าเดิม เขาตัดสินใจยุติชีวิตของตนเองด้วยการ
บรรพบุรุษท่ีสุสาน ชาวจีนยูนนาน ที่บนดอยแม่สลอง
นิยมฆ่าหมู และฆ่าไก่ด้านหน้าของสุสานสาหรับ กระโดดลงในแม่น้า ชาวประมงเกรงว่า ปลาในแม่น้า
ทาอาหารประกอบการเซ่นไหว้บรรพบรุ ษุ หลังจากนั้น จะกินเน้ือของชู่หยวนเสีย จึงโยนขนมบ๊ะจ่างลงไปใน
พวกเขากจ็ ะรบั ประทานอาหารที่หน้าสุสานบรรพบุรุษ แม่น้าให้ปลากินแทนเน้ือของชูหยวน ตลอดจนพาย
พร้อมหน้าพร้อมตากันสาหรับบางตระกูลที่มีสุสาน
บรรพบุรุษหลายแห่ง บตุ รหลานจะเลือกสสุ านท่ีสาคัญ เรือและตีกลองเสียงดังเพ่ือว่าหมู่ปลาจะตกใจและหนี
ท่ีสุดสาหรับประกอบพิธีกรรมเป็นอันดับแรก เมื่อการ ออกไปยังที่ห่างไกล อันเป็นท่ีมาของกิจกรรมการแข่ง
ประกอบพิธีที่ สุสานหลักเสร็จส้ินลง จึงนาอาหารไป
เซ่นไหว้ที่สุสานอ่ืน ๆ ถ้าหากมีญาติพ่ีน้องอยู่ใน เ รื อ แ ล ะ ท า ข น ม บ๊ ะ จ่ า ง ป ร ะ ก อ บ พิ ธี เ ซ่ น ไ ห ว้ ใ น
หมู่บ้านเดียวกัน ชาวจีนยูนนานมักจะชวนพวกเขาไป เทศกาลตวนอู่ ทปี่ ระชาชนจีนได้สืบสานกันมายาวนาน
ร่วมประกอบพิธีกรรมด้วยนอกจากการทาอาหารเซ่น ส า ห รั บ ช า ว จี น ยู น น า น ใ น ชุ ม ช น สั น ติ คี รี บ น ด อ ย
ไหว้บรรพบุรุษแลว ชาวจีนยูนนานยังมี ประเพณีเผา
กระดาษเงนิ ให้แกบ่ รรพบรุ ุษ ตลอดจนประดษิ ฐ์สิ่งของ แม่สลอง ยังคงสืบทอดและมีการเฉลิมฉลองเทศกาล
จาลองจากโฟม เป็นต้นว่า บ้าน รถ ถนน ช้าง นกเฮ่อ ตวนอู่อย่างสม่าเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทาขนม
เป็ด และหุ่นคนมอบใหกับบรรพบุรุษหรือผู้ที่เสียชีวิต
ใหม่ ๆ ด้วยเช่ือว่า หลังจากละโลกมนุษย์ไปแล้ว บะ๊ จา่ งประกอบพธิ ีเซ่นไหว้
ผู้เสียชีวิตจะไปสู่อีกโลกหน่ึงท่ีกอปรแต่ผู้ละสังขาร ๔) เทศกาลจงหยวน เทศกาลจงหยวนมีขึ้น
ด้วยกัน การที่บุตรหลานเผาสิ่งของเคร่ืองใชต่าง ๆ
ใหบรรพบุรุษผู้ล่วงลับจะช่วยใหพ้ วกเขา สามารถดารง ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๕ เดอื น ๗ ตามปฏิทนิ เกา่ ของจนี
ชพี อยูในปรโลกได้อยา่ งสะดวกสบายมากขึ้น
ประชาชนจีนนิยมเรียกเทศกาลนี้ว่า “ก่วย เจี๋ย”
๓) เทศกาลตวนอู่ หรือเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างมี มีความหมายว่า “เทศกาลผี” ทุก ๆ ครัว เรือนจะ
ข้ึนในวันที่ ๕ เดือน ๕ ตามปฏิทินเก่า ของชาวจีน
การที่ชาวจีนจัดงานเทศกาลในวันท่ี ๕ เดือน ๕ ตอ้ นรับวญิ ญาณบรรพบรุ ษุ ให้กลับมาท่ีบา้ น คาวา่ “ผี”
ก็เพราะเป็นวันคล้ายวนั เสียชีวิต ของเอกกวีชาวจีนใน ในท่ีนี้ หมายถงึ วิญญาณ ของบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ชาว
อดีตนามว่า ชูหยวน (Qu Yuan) เขาเป็นหน่ึงในท่ี จีนยูนนานจะประกอบพิธีเซ่นไหว้ด้วยอาหารที่ดี เช่น
ปรึกษาคนสาคัญ ของผู้ปกครองรัฐฉู่ที่เป็นรัฐศักดินา
เ ห ล้ า ข น ม ที่ ท า จ า ก แ ป้ ง ข้ า ว เห นีย ว บ ะ หมี่
๑๔๖ | กล่มุ ชาติพนั ธุ์ ในจงั หวดั เชยี งราย ข้าวสวย และอาหารนานาชนิดท่ีมีอยู่ โดยปกติจะ
นิยมเซ่นไหว้อยางน้อยวันละหน่ึงมื้อ บางครอบครัว
อาจประกอบพิธีเซ่นไหว้วันละสองหรือ สามม้ือขึ้นอยู่
กับฐานะและความสะดวกของตนเองสาหรับช่วงเวลา
ตง้ั แตว่ ันที่ ๑๓ เป็นตนไป เป็นช่วงเวลาส่งผีบรรพบุรุษ
ผู้ล่วงลับออกไปจากบ้าน ชาวจีนยูนนานร่วมกันเผา
กระดาษเงินและผลไม้ต่าง ๆ ที่บรเิ วณ หน้าประตบู ้าน
ที่น่าสนใจ คือ ชาวจีนยูนนานจะคัดเลือกผลไม้ที่
สามารถเผาไปพร้อม ๆ กับวัตถุส่ิงของอนื่ ๆ
๕) เทศกาลไหว้พระจันทร์ เทศกาลไหว้ ประตู ห้อยชายลง เจ้าของบ้านจะฆา่ หมู ไก่ เป็ด และ ชาตพิ ันธ์ุ “จนี ยนู นาน”
พระจันทร์ตรงกับวันท่ี ๑๕ เดือน ๘ ตามปฏิทินเก่า แพะ ปรุงเป็นอาหารเล้ียงชาวบ้าน คนเฒ่าคนแก่มา
ของจีน ชาวจีนยูนนานในชุมชนสันติคีรีนิยมฉลอง รบั ประทานน้าชา อาหาร มกี ารเลน่ ละครแบบยูนนาน
เทศกาลไหว้พระจันท์เป็นเวลา ๓ วัน เน่ืองจากบุตร คล้าย ๆ ง้วิ
หลานของพวกเขาจะกลับมาอยู่กับครอบครวั และร่วม
รบั ประทานอาหาร ดว้ ยกัน สาหรบั ขนมไหว้พระจันทร์ วัฒนธรรมท่ีเด่นชัดที่สุดคือ วัฒนธรรมทาง
นั้นชาวจีนยนู นานท่ีชมุ ชนสันติคีรีไม่นยิ มทาเอง แต่มัก ภาษา ที่ชาวไทยเช้ือสายจีนกลุ่มน้ีสืบทอดมาจน
ซ้ือขนมท่ีคนไทยเช้ือสายจีนทาขายกันในประเทศไทย ปัจจุบันนี้ โดยยังคงใช้ภาษาจีนกลางและภาษาถ่ิน
หรือไม่ก็อาจเป็นขนมไหว้พระจันทร์ท่ีพ่อค้าแม่ขาย ยูนนานสื่อสารกนั ในชีวติ ประจาวนั
จากประเทศจีนนามาขายที่ชุมชนสันติคีรีแห่งนี้ใน
เทศกาลไหว้พระจนั ทร์ เดก็ ๆ ชาวจีนได้รับอนญุ าตให้ ชาวจีนยูนนาน บ้านสันติคีรียังคงอนุรักษ์
จุดประทัด โดยปกติชาวจีนยูนนานจะรับประทาน วฒั นธรรมประเพณีที่ยงั คงสืบทอดกนั มาที่เห็นได้อย่าง
อาหารจาเพาะกบั สมาชกิ ในครอบครัว เว้นแต่กรณี ท่มี ี ชัดเจนคือ ประเพณีเชงเม้ง วันไหว้พระจันทร์ และวัน
ญาติพ่ีน้องเช้ือเชิญให้ไปร่วมรับประทานอาหารที่บ้าน ตรุษจีน
ของพวกเขา จงึ จะมกี ารปรบั เปลยี่ น ไปเยยี่ มเยียนและ
รับประทานอาหารท่ีบ้านของญาติพน่ี ้องตามคาเชิญ เทศกาลตรษุ จีน ดอยแมส่ ลอง
๖) เทศกาลวันฉงหยาง ได้ช่อื ว่า เป็นเทศกาล ภาพจาก https://www.youtube.com/watch?v=LIgOQFj-sBg
ของคนเฒ่าคนแก่ สมาชิกในครอบครัวช่วยกันทาขนม ๔.๔ ภาษา
การอนุรักษประเพณีการใช้ภาษาจีนของกลุ่ม
๑๒ ราศีจากแป้งข้าวเหนียว เรียกว่า “กาว” จากน้ัน ชาวจีนยูนนานก็ถือเป็นอีกหนึ่ง ความพยายามในการ
อนุรักษ์ความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ของพวกเขาได้อย่าง
ปักธง สามเหล่ียมท่ีเปน็ สีต่าง ๆ ด้านบนของขนม และ ชัดเจน แต่เดิมการจัดสอนภาษาจีนในกลุ่มชาวจีน
ยูนนานพลัดถ่ินได้รับการสนับสนุนจากไต้หวัน เพ่ือ
นามาประกอบพิธเี ซ่นไหว้บรรพบุรุษ ภายในครัวเรอื น สร้างองค์กรทางสังคมท่ีอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับสาธารณรัฐ
ประชาชนจีน แต่เมื่อจีนแผ่นดินใหญ่ มีความ
หลังจากประกอบพิธีเซ่นไหว้เสร็จแล้ว สมาชิกใน เปลี่ยนแปลง และการช่วยเหลือจากไต้หวันไม่ได้เป็น
ขอ้ ได้เปรยี บทางสงั คมอีกตอไป ชาวจนี ยูนนานกห็ ันมา
ครอบครัวชาวจีนยูนนานจะรับประทานขนมดังกล่าว ปรับเปล่ียนวิถีการใช้ชีวิตในสังคมไทย เพื่อที่จะ
สามารถธารงรักษาการใช้ภาษาจีนให้คงอยู่ต่อไป
ร่วมกัน แรกเริ่มเดิมทีบุตรหลานชาวจีนยูนนานจะ และเพอื่ ยกระดบั ความสาคญั ของพวกเขาในสงั คมไทย
อีกประการหนึ่ง กล่าวคือ ชาวจีนยูนนานรู้จักใช้
รักษา ธรรมเนียมการกลับมาร่วมงานที่บ้านอย่าง ภาษาจีนในการเล่ือนช้ันทางสังคมใน ประเทศไทย
ตลอดจนมุ่งไปสู่การค้าขายกับประเทศสาธารณรัฐ
เคร่งครัด แต่ท่ีชุมชนสันติคีรีถ้าหากบุตรหลาน ประชาชนจีน ซึ่งพวกเขา ย่อมได้เปรียบกว่ากลุ่ม
ชาติพันธุ์อ่ืน ๆ เน่ืองจากสามารถใช้ภาษาจีนระหว่าง
ของครอบครัวใดไปทามาหากินหรืออาศัยอยู่ในที่ ติดตอ่ สอ่ื สาร
ห่างไกล บิดามารดาก็อนุญาตให้ไม้ตองกลับมาที่บ้าน กลมุ่ ชาตพิ ันธุ์ ในจงั หวัดเชยี งราย | ๑๔๗
เฉกเชน่ เดียวกบั ท่ีเคยปฏบิ ตั กิ ันมาในอดตี
๔.๓ ประเพณี
ชาวจีนยูนนานหรือจีนฮ่อ มีงานปีใหม่
เช่นเดียวกันกับจีน มีการเซ่นไหว้เจ้าที่ด้วยอาหาร
ผลไม้ จุดประทัด ทุกคนต่างหยุดงาน และแต่งกาย
สวยงามเลี้ยงสุราอาหาร ให้ของขวัญแก่กัน มีการไหว้
บิดามารดาหรอื สามีภรรยาทีล่ ่วงลับไปแลว้
อีกหนึ่งประเพณีท่ียังคงอนุรักษ์ไว้นั่นคือ
ประเพณีขึ้นบ้านใหม่จะมกี ารเซ่นเจ้าอยา่ งแบบจีนโดย
เอาผ้าผืนใหญ่ มาเขียนตัวอักษรจีนปิดไว้บนข่ือและ
ชาตพิ ันธ์ุ “จนี ยนู นาน” ๔.๕ การแตง่ กาย ๔.๖ องคค์ วามรู้และภูมปิ ัญญา
ผู้ชายสวมหมวกกลมๆ ไม่มีปีก แต่มียอดจุก ชุ ม ช น ช า ว จี น ยู น า น ใ น ห มู่ บ้ า น สั น ติ คี รี
อยู่ตรงกลางเรียกว่า “กะน้ากว้ ย” เส้ือหลายช้ันชิดตน้ มีวัฒนธรรมและประเพณี และวิถีชีวิตท่ีคล้ายคลึงกับ
คอ ผ่าอกป้ายข้าง หรือผ่าอกกลาง เสื้อยาวได้เอว ชาวจีนในพ้ืนท่ีอ่ืน ๆ แต่ในปัจจุบันชาวจีนบางกลุ่มได้
เล็กน้อย แขนเส้ือกว้างยาวหุ้มข้อมือ นิยมใช้สีดา เปลี่ยนแปลง เน่ืองจากบรรพบุรุษได้ออกจากเมืองจีน
มากกวา่ สขี าว ใช้กระดุมผา้ กางเกงกวา้ ง ต้ังแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๖ และใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบเป็น
ผหู้ ญิง ไว้ผมมวยแตง่ กายคลา้ ยชาย แต่ผา่ อก ระยะเวลาเกือบ ๒๐ ปี ทาให้ไม่ได้มีการปฏิบัติตาม
ป้ายมาทางไหล่ข้างซ้าย ใต้รักแร้ ใช้ผ้าสีขาวสับด้วย ประเพณี และพิธีกรรมของชาวจีนยูนานแบบด้ังเดิม
แถบชายผ้าใหญ่สีดาตามแบบฉบับของชาวจนี ยูนนาน นอกจากนี้สามาชิก ในชุมชนบางส่วนหันไปนับถือ
โดยผู้หญิงชาวจีนยูนนานมีความเช่ือเรื่องการรัดเท้า ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลามทาให้วัฒนธรรม
โดยมักจะใช้ผ้าเย็บเป็นถุงรัดเท้าให้เล็กต้ังแต่เด็กเพื่อ และประเพณีบางอย่างได้สูญหายไป แต่ชาวจีนส่วน
ไมใ่ ห้เทา้ โต เวลาเดินไปไหนมาไหนชา้ และคล้าย ๆ กบั ใหญ่มีความเชื่อเก่ียวกับพิธีกรรม และเทศกาลต่าง ๆ
เดินแบบตุ๊กตา อันเป็นความเช่ือและขนบธรรมเนียม ในลักษณะสังเคราะห์นิยม คือ เช่ือว่าอะไรก็ตามถ้า
นิยมของชาวจนี ยนู นานมาแต่โบราณกาล ปฏิบัติแล้วเป็นผลดีแก่ตนก็จะปฏิบัติตามชาวจีนจึง
ในปัจจุบนั ชาวจนี ยูนนาน บนดอยแม่สลองได้ ด า ร ง ค ว า ม เ ชื่ อ ใ น พิ ธี ก ร ร ม ข อ ง ต น ม า โ ด ย ต ล อ ด
มีการประยุกต์การแต่งกายตามยุคตามสมัยสากล เ พ ร า ะ ลั ก ษ ณ ะ ค ว า ม เ ช่ื อ ข อ ง ช า ว จี น ม า จ า ก ก า ร
อาจจะมีบ้างที่บางเทศกาลจะมีการนาชุดจีนทั่วไปมา ผสมผสานความเชื่อระหว่างพุทธศาสนา การบูชา
สวมใส่ ท้ังน้ีอาจจะนามาสวมใส่ในวันสาคัญตาม บรรพบรุ ุษ ลทั ธิเต๋า ลัทธิขงจ้ือ และการนับถอื เทพเจ้า
เทศกาล ของชาวจีนยูนนาน หรอื ความชอบส่วนบุคคล เข้าด้วยกัน ประเพณีท่ียังคงมีการปฏิบัติกันอย่าง
ต่อเน่ือง เช่น ตรุษจีน เช็งเม้ง สารท์จีน รวมท้ัง
การแต่งกายของชาวจีนยนู นาน พิธีกรรมในครอบครวั เช่น การแต่งงาน แซยิด กงเต็ก
ฯลฯ ซึง่ ยึดเปน็ แบบแผนสว่ นหนง่ึ ของชีวติ
ภาพจากhttps://www.matichonacademy.com วัฒนธรรม และประเพณีที่เปลี่ยนแปลงไป
หรือขาดการสืบทอด เนอ่ื งจากชาวจีนบนดอยแมส่ ลอง
๑๔๘ | กลมุ่ ชาติพันธุ์ ในจงั หวัดเชียงราย จากบา้ นมาสู่สนามรบมาเป็นระยะเวลานานในระหว่าง
รบก็ไม่มีโอกาสท่ีจะปฏิบัติกิจกรรมตามประเพณี
ดั้งเดิม และบางส่วนได้แต่งงานกับ คนต่างเช้ือชาติทา
ให้วัฒนธรรม และประเพณีบางอย่างสูญหายไป
ประกอบกับปัจจุบันได้มี การเปล่ียนแปลงสภาพ
แวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ ดังนั้น เทศกาลต่าง ๆ
เช่น วันไหว้พระจันทร์ วันไหว้บะจ่าง เทศกาลโคมไฟ
เทศกาลขนมอก๋ี ับลา่ ปา่ จงึ ไม่ได้มีการยึดถอื ปฏิบัตกิ ัน
วัฒนธรรมด้านอาหาร เนื่องจากชาวจีน สัมภาษณ์ ชาตพิ ันธ์ุ “จนี ยนู นาน”
บนดอยแม่สลอง เป็นชาวจีนที่อพยพมาจากมณฑล
ยูนาน ซึ่งเป็นพื้นท่ีที่มีอากาศหนาวเย็น ชาวจีนยูนาน นางสาวกัญญา ชีวินกุลทอง บ้านสันติคีรี
รู้จักการถนอมรักษาอาหารไว้กินนอกฤดูปลูก ดังน้ัน ตาบลแม่สลองนอก อาเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัด
ภูมิปัญญาในด้านการแปรรูปอาหารของชาวจีนจึงมี เชียงราย (กรกฎาคม ๒๕๖๔) สัมภาษณ์
ช่ือเสียงเป็นที่รู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภท
เน้ือสัตว์หรือพืชผัก โดยการแขวนผึ่งลมไว้ตาม
ชายคาบ้าน เพ่ือเก็บรักษาไว้กิน ยามขัดสน ผลไม้
บางอยา่ งกน็ าไปดองเค็ม อยา่ งเช่น ลกู ท้อจนกลายเป็น
สนิ ค้าจาหน่าย ให้แก่นกั ทอ่ งเทย่ี ว นอกจากนีอ้ าหารที่
ข้ึนชื่อประเภท หน่อไม้แห้ง เต้าหู้ยี้ ไส้กรอกยูนาน
ซึ่ ง อ า ห า ร จี น ยู น า น บ น ด อ ย แ ม่ ส ล อ ง ถื อ เ ป็ น สิ่ ง ที่
สามารถดงึ ดดู ใจนกั ทอ่ งเทยี่ วได้เปน็ อย่าง
ภูมปิ ญั ญาดา้ นการถนอมอาหารของชาวจนี ยูนาน
๕. แหลง่ อา้ งอิง
กฤษณา เจริญวงศ์. (๒๕๓๓). การศึกษากลุ่มคนจีน
อพยพ (กองพล๙๓) ในเขตชายแดน
ภ า ค เ ห นื อ ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย : ก า ร
เปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และ
การเมือง. สถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชน
มหาวทิ ยาลยั พายพั เชียงใหม่
สุชาติ เศรษฐมาลินี. (๒๕๕๐). การปรับเปลี่ยนอัต
ลักษณ์ของชาวมุสลิมยูนนานในภาคเหนือ
ของประเทศไทย. วารสารสังคมศาสตร์ ปีที่
๑๙ ฉบับที่ ๒
หยาง ญาณี และคณะ. (๒๕๖๑). เทศกาลสําคัญของ
ชาวจีนยูนนานที่หมู่บ้านอรุโณทัย ตําบล
เมืองนะ อําเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่.
วารสารมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์. ฉบับ
ที่ ๑๑ ปที ี่ ๑๑
กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ ในจังหวัดเชียงราย | ๑๔๙
ชาติพันธุ์ “ไทอีสาน”
ชาติพนั ธุ์ “ไทอีสาน”
Tai Esan
“กลุ่มชาติพันธ์ุไทย – อีสานหรือชาวอีสาน .................................................................................
ที่มีการต้ังหลักปักฐานอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทัศนะว่าในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๑
และภาคเหนือ หากตีความแลว้ ชาวอสี านหมายถึงคน (ขนุ หลวงพะงั่ว) ตรงกบั รชั กาลของพระยาสามแสนไทย
เชือ้ ชาติไทยท่อี ย่ใู นภาคอสี านของประเทศไทย (อสี าน เป็นช่วงเวลาที่คนลาวเร่ิมเข้ามาตั้งหลักแหล่งบ้านเมือง
เป็นภาษาบาลี แปลว่า ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ) ในอีสาน การเข้ามาอยู่ในดินแดนไทยของคนลาว
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย แต่ในภาคอีสานมี มกี ารเขา้ มาอยู่ ๒ ลักษณะคือ
กลุ่มชาติพันธ์ุหลายเชื้อชาติ เช่น เชื้อชาติลาว เขมร
ไทย จีน เวยี ดนาม อินเดยี หรือเช้อื ชาตอิ นื่ ๆ ทีอ่ พยพ ๑. การอพยพเข้ามาลี้ภัย ต้ังเป็นบ้าน
เข้ามาอยู่แต่โบราณกาล หรืออพยพเข้ามาอยู่ใหมห่ ลัง เป็นเมือง ส่วนใหญ่จะกระจัดกระจายกันอยู่ตาม
สงคราม กลุ่มชาติพันธุ์ลาว เป็นกลุ่มที่มีประชากรมาก ทอ้ งถนิ่ ต่าง ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ที่สุด และถือวา่ เปน็ กลุม่ ทใี่ หญ่สดุ ในอสี าน”
๒. การถูกกวาดต้อนเข้ามา ส่วนใหญ่จะถูก
๑. ประวตั ศิ าสตร์ความเป็นมาของชาตพิ ันธ์ุ นามาอยู่ในเขตจังหวัดในภาคกลางถึงกระน้ันเร่ือง
ถิ่นเดิมของชาติพันธุ์ลาวมีแนวคิด ๒ อย่าง ซึ่งก็มี
ตามหลักฐานทางตานานและพงศาวดาร ลาว เหตุผลสนับสนุนพอ ๆ กันคอื
เป็นกลุ่มชนที่มีถ่ินกาเนิดอย่ใู นเขตลุ่มแม่น้าโขง ตั้งแต่
เมืองสิงห์ ทางตอนใต้ของแคว้นสิบสองปันนา มายัง ๑) ถิ่นเดิมของลาวอยู่ที่อีสานนี่เอง ไม่ได้
แคว้นสิบสองจุไทย ในเขตลุ่มแม่น้าดา ทางตะวันออก อพยพมาจากไหน ถ้าเหมาว่าคนบ้านเชียง
และคลุมลงมาทางใต้ในเขตหัวพัน ลงมาจนถึงบริเวณ คือลาว ก็แสดงว่าลาวมาตั้งหลักแหล่งท่ีบ้าน
แควน้ ตวนั - นินห์ ของญวน มีลาวกลุ่มหน่ึงได้ขยายมา เชียงมากกว่า ๕,๖๐๐ ปีมาแล้ว เพราะอายุ
ทางลมุ่ แม่น้าโขง ทางด้านตะวันตกและด้านใต้ ได้แสดง หม้อบ้านเชียงท่ีพิสูจน์โดยวิธีคาร์บอน ๑๔
บอกว่าหม้อบ้านเชียงอายุมากถึง ๕,๖๐๐ ปี
๑๕๐ | กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ในจงั หวัดเชยี งราย กว่าคนบ้านเชียงจะเร่ิมตีหม้อใช้ในครัวเรือน
ก็ ต้ อ ง ส ร้ า ง บ้ า น เ รื อ น อ ยู่ อ า ศั ย ก่ อ น ห น้ า
นั้นแล้ว แนวความคิดนีย้ งั บอกอีกว่านอกจาก เชียงรายและมีลูกหลานสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันใน ชาติพันธุ์ “ไทอีสาน”
ลาวจะอยอู่ ีสานแลว้ ยงั กระจายไปอย่ทู ่ีอ่ืนอีก ท่ีสุดชาวไทยอีสานได้อพยพและย้ายถ่ินฐานมาต้ัง
เช่น เวียดนาม จีน ญี่ปุ่น ยุโรป แล้วข้ามไป รกรากอยู่ในเขต ๖ อาเภอในจังหวดั เชียงราย ไดแ้ ก่
อเมรกิ าเปน็ พวกอนิ เดียนแดง
๒) ถ่ินเดิมของลาวอยู่ที่อีสานและมีมาจากที่ ๑) อาเภอเวียงเชยี งรุง้
อื่นด้วย แนวคิดนี้เชื่อว่า คนอีสานน่าจะมีอยู่ หมู่บ้านร่องหวาย หมบู่ า้ นเหลา่
แล้วในดินแดนท่ีเรียกว่า “อีสาน” หรือส่วน
หน่ึงของสุวรรณภูมิ โดยประมาณ ๑๐,๐๐๐ ๒) อาเภอเชียงแสน หม่บู ้านทา่ ขนั ทอง
ปีที่ผ่าน มา นัก มานุษยวิ ทยา และ นัก ๓) อาเภอดอยหลวง หม่บู า้ นปงนอ้ ย
ประวัติศาสตร์ได้สันนิษฐานว่าได้มีการอพยพ ๔) อาเภอพญาเม็งราย
ของพวกละว้า หรือข่าลงมาอยู่ในดินแดน
สวุ รรณภูมนิ ับเปน็ คนพวกแรกทีเ่ ข้ามา พอเขา้ ตาบลแมเ่ ปา หมบู่ ้านนาเจรญิ ใหม่
มาอยู่สุวรรณภูมิก็แบ่งเป็นอาณาจักรใหญ่ ๆ ๕) อาเภอป่าแดด
๓ อาณาจักร คือ อาณาจักรทวารวดี ซึ่งมี ๖) อาเภอเทงิ
นครปฐมเป็นราชธานี มีอาณาเขตถึงเมือง
ละโว้(ลพบุรี) อาณาจักรที่สองคือโยนก ๒. โครงสร้างทางสงั คม
เมอื งหลวงไดแ้ ก่เมอื งเงินยาง หรือเชียงแสน มี
เขตแดนขึ้นไปถึงเมืองชะเลียงและเมืองเขิน ๒.๑ การปกครอง
อาณาจักรที่สามคือโคตรบูร ได้แก่บรรดาชาว ต้ั ง แ ต่ อ ดี ต ถึ ง ปั จ จุ บั น นั้ น ก า ร ป ก ค ร อ ง ก็
ข่าท่ีมาสร้างอาณาจักรในลุ่มน้าโขง มีเมือง เหมือนกับในปัจจุบันกค็ ือจะมีหัวหนา้ หรอื ประธานชน
หลวงอยู่ที่เมืองโคตรบูรณ์ ซึ่งอยู่ทางฝ่ังซ้าย ชาติพันธ์ุไว้ทั้งในดูแลไปจนถึงการทาพิธีหรือประเพณี
ของแมน่ ้าโขงจากแนวคิดท่ี ๒ จะเห็นว่าในคา ต่าง ๆ ของชาตพิ ันธ์ุ คล้ายกับระบบผใู้ หญ่บ้านและผู้ท่ี
รวมท่ีนกั มานุษยวิทยา และ นกั ประวตั ศิ าสตร์ จะมาทาหน้าที่น้ีได้จะต้องผ่านการโหวตจากชาวบ้าน
เรยี กว่า “คนอีสาน” นัน้ นา่ จะมีคนหลายกลุ่ม ก่อนจึงสามารถทาหน้าที่น้ีได้อย่างเต็มตัว แต่จะไม่ได้
หลายชาติพันธุ์ปะปนกันอยู่และในหลายกลุ่ม ขึ้นตรงกบั รฐั เหมือนกบั ผูใ้ หญบ่ ้านในปจั จุบัน
น้ันนา่ จะมีกลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ ลาว อยู่ดว้ ย ๒.๒ ผ้นู า/บคุ คลสาคัญ
การต้ังถ่ินฐานในจังหวัดเชียงราย อ้างอิง ชุมชนของชาวไทย – อีสานในบ้านนาเจริญ
จากเร่ืองเล่าของชาวไทยอีสานในหมบู่ ้านนาเจริญใหม่ ใหม่ ปัจจุบันจะมีประธานกลุ่มไว้เพ่ือการทาพธิ ีต่าง ๆ
อาเภอพญาเม็งราย เลา่ กันว่าบรรพบรุ ษุ ท่ีมาต้งั รกราก และประเพณขี องชนชาตพิ นั ธุ์ โดยทไี่ มจ่ าเป็นต้องเป็น
ในจังหวัดเชียงรายน้ันอพยพมาจากประเทศลาว ค น ใ น ช า ติ พั น ธ์ุ เ ท่ า นั้ น อ า จ เ ป็ น ผู้ ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ
เน่ืองจากในยุคน้ันเต็มไปด้วยคอมมิวนิสต์และความ ชาติพันธุ์ก็ได้ โดยจะใช้หลักการโหวตเลือกโดย
แห้งแล้งของสภาพภูมิประเทศ เพอื่ ชวี ติ ความเป็นอยู่ท่ี ชาวบ้านเองและในปัจจุบันนี้ประธานชาติพันธ์ุชาว
ดีข้ึนของทั้งตนและครอบครัว จงึ ตัดสนิ ใจพาครอบครัว ไทย – อีสานของหมูบ่ ้านนาเจรญิ ก็คือนายย้าย บรรจง
อพยพย้ายถ่ินฐานมายังประเทศไทยจนมาถึงจังหวัด ๒.๓ ระบบครอบครัวและเครอื ญาติ
ระบบเครือญาติในชุมชนกลุ่มชาติพันธ์ุไทย -
อีสานในอดีต จะมีการนบั ถือญาติท้ังสองฝ่าย เมื่อชาย
หญิงแต่งงานแล้วจะอาศัยอยู่บ้านฝ่ายหญิงระยะหน่ึง
หลงั จากน้ันจะย้ายออกไปตง้ั เรือนใหม่ ลกู สาวมักได้รับ
กลุ่มชาติพนั ธ์ุ ในจังหวัดเชียงราย | ๑๕๑
ชาติพันธุ์ “ไทอีสาน” มรดกจากพ่อแม่และมักจะอาศัยอยู่กับพ่อแม่ของตน ประเพณที เี่ รยี กว่า “ฮีตบ้านคองเมอื ง” ประเพณีอสี าน
หลงั จากแต่งงาน ในชุมชนไทย - อีสานมคี วามสัมพันธ์ โดยท่วั ไป จะเปดิ โอกาสให้หนุม่ สาวไดค้ ุ้นเคย หรือร่วม
ในลักษณะกลุ่มเครือญาติ อันมีท่ีมาจากความสัมพันธ์ กิจกรรมสาธารณะด้วยกนั เสมอ พ่อแม่ญาติพ่ีนอ้ งฝ่าย
ทางสายเลือดและความสัมพนั ธท์ างการแต่งงาน ที่มที ั้ง สาวกไ็ ม่ไดข้ ดั ขวางหรือกดี กันแต่อย่างใด แตใ่ นปจั จุบัน
ฝ่ายชายย้ายออกจากบ้านของตนไปอยู่กับฝ่ายหญิง นี้ความเช่ือเร่ืองการผิดผีก็เส่ือมจางลงเน่ืองด้วยโลก
ทางานเป็นแรงงานให้กับครอบครัวฝ่ายหญิงเป็น สมัยใหม่ท่ีเปิดกว้างมากขึ้น การเลือกคู่ครองจึงจะ
ระยะเวลาหน่งึ ตามประเพณอี ีสานหรอื อาจจะเป็นแบบ ข้ึนอยู่กับหนุ่มสาวทั้งหมด และสิทธิต่าง ๆ ก็จะ
ที่ฝ่ายหญิงย้ายออกจากบ้านของตนไปอยู่กับฝ่ายชาย เท่าเทียมกันมากกว่าในแต่ก่อนท่ีจะมีผู้ชายเป็นหลัก
ทาให้เกิดญาติหรือกลุ่มเครือญาติ ซึ่งจะมีการเย่ียม และเปน็ ผนู้ าของครอบครัว
เยือนไปมาหาสกู่ นั ถามขา่ วชีวติ ความเป็นอยู่ ชว่ ยเหลือ
กัน ในระหวา่ งญาติทเี่ ก่ยี วดองกันหรอื รว่ มกจิ กรรมบุญ ๓. วถิ ีชีวติ ความเปน็ อยู่
ประเพณี หรือช่วงเวลาสาคัญต่าง ๆ จะให้ความ
ช่วยเหลือเก้ือกูลกันแก่กันและกัน และการรวมหมู่ ๓.๑ ทอี่ ยู่อาศัย
ญาติ เชน่ งานบุญแจกข้าวหรอื บญุ อทุ ิศส่วนกุศลให้แก่ ในอดีต ชาวอีสานสร้างเรือนเพื่ออยู่อาศัย
ผู้ล่วงลับ ซ่ึงแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของบรรพบุรุษ จึงไม่ประณีตบรรจงมากนัก นั่นคือผู้มีฐานะขนาด
และเครือญาติ อันเป็นพ้ืนฐานทางสังคมของผู้คนที่มี ปานกลางจะสร้างบ้านเรือนที่มีขนาด ๒ ห้องนอน
ความเช่อื วา่ ดวงวญิ ญาณของผู้ทเ่ี สียชีวิตแล้วหากไม่ได้ คือ ห้องส้วม (ห้องลูกสาว และห้องหอ) และห้องเปิง
รบั การทาบุญอุทศิ สว่ นกุศลไปให้ดวงวญิ ญาณนั้นก็จะมี (ห้องหัวหน้าครอบครัวและไว้ห้ิงผี ท่ีเรียกว่า
แต่ความอดอยากทนทุกข์ทรมานและไมไ่ ด้ไปผุดไปเกิด “หอ้ งฮกั ษา”) มสี ว่ นที่เชอื่ มต่อห้องนอนของลกู สาวกับ
และยังคงวนเวียนรอรับขา้ วแจกจากญาติพนี่ อ้ งตอ่ ไป เครือญาติ เป็นชานโล่ง (ไม่มีหลังคา) ติดต่อกับครัว
ซ่ึงส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็ก ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูง
สภาพครอบครัวในอดีตมีลักษณะ เป็น เพื่อทากิจกรรม เช่น ทอผ้า เก็บเครื่องมือทานา
ครอบครัวขนาดใหญ่ ซ่งึ มที ้ังปู่ ย่า ตา ยาย พอ่ แม่ ลกู และใหว้ ัวควายนอนสว่ นหน่ึง
หลาน อยู่ในครอบครัวเดียวกนั หรือมกี ารสรา้ งบ้านอยู่ ปัจจุบันน้ันการสร้างบ้านแบบยกตัวเรือน
ในบริเวณใกล้เคียงกัน ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ผู้ใหญ่ ยังคงมีให้เห็นได้ทั่วไปและบ้านส่วนใหญ่จะทาการก่อ
จะให้ความรู้แก่เด็ก ๆ หรือลูกหลาน ตั้งแต่เล็กจนโต ปูนในชั้นล่าง(ใต้ถุนบ้าน) เพื่อเพิ่มที่อยู่อาศัยและปรับ
เป็นหนุ่มสาว ขัดเกลาให้เป็นผู้มีคุณธรรม สอนให้ ความแข็งแรงของบ้านและสภาพการใช้ชีวิตของคน
พ่ึงพาตนเอง ยึดมั่น จารีตประเพณี ถ่ายทอด ปัจจุบัน และการสร้างบ้านลักษณะนี้ชาวบ้านจะเรยี ก
ประสบการณ์และฝึกฝนอาชีพจากรุ่นสู่รุ่น คาเรียก กันว่าบ้านคร่ึงไม้ครึ่งปูน แต่คนรุ่นใหม่ท่ีจะสร้างบ้าน
เครือญาติ ของชาวอสี านจึงมคี วามละเอียด เป็นของตัวเองน้ันมักหันไปสร้างบ้านแบบโมเดิร์นกัน
เสียส่วนมาก เนื่องจากยุคสมัยปละวถิ ีชีวิตท่ีเปลยี่ นไป
หนุ่มสาวโดยเฉพาะกลมุ่ ไทย - อีสาน ค่อนข้าง บา้ นปนู แบบโมเดริ น์ จึงดูแลรกั ษาง่ายกว่าบ้านไม้ยกสูง
จะอิสระในการเลือกคู่ครอง น่ันคือ ประเพณีพ้ืนบ้าน ในแบบอดตี
ไม่ค่อยจะเคร่งครัดในความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว
แต่กระน้ันก็ผู้คนในอดีต จะเกรงกลัวผีบรรพบุรุษที่
เรียกว่า “ผิดผี” คือไม่กล้าท่ีจะประพฤติล่วงเกิน
๑๕๒ | กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย
หมู่บ้านชาวไทย - อีสาน จะต้ังอยู่ติดแม่น้า ชาติพันธุ์ “ไทอีสาน”
แวดล้อมด้วยสวนมะพร้าว และนาข้าว ตัวบ้านสร้าง
จากไม้ไผ่ ยกพืน้ สงู มีบันไดอยดู่ า้ นหน้า บนเรอื นจะกนั้ ตัวอย่างการสรา้ งบ้านของชาวไทยอีสานในปจั จบุ นั
เป็นห้องนอน และพนื้ ท่ีทางาน ใตถ้ นุ บา้ นใช้เป็นท่ีเก็บ
เคร่ืองมือทานาทาไร และใช้เล้ียงสัตว์ ส่วนยุ้งข้าวจะ ยุง้ ฉางเก็บข้าวของชาวบ้านชนชาตพิ ันธไุ์ ทยอีสาน
ปลูกอยู่ห่างจากตัวเรือนออกไป แต่ในปัจจุบันนั้นด้วย
การที่มีรัฐเป็นผู้ดูแลเรื่องที่ดินและพื้นที่ต่าง ๆ จึงไม่ ๓.๒ การประกอบอาชพี
สามารถหาและสร้างทาเลแบบเม่ืออดีตได้เสมอไป ในอดีต ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก
และการเจรญิ ของตวั เมอื งทข่ี ยายข้ึนเรอ่ื ย ๆ ชาวไทย - นอกจากน้นั ยังมกี ารจบั ปลาเปน็ อาหาร และชาวอีสาน
อสี านในปัจจุบนั จงึ สร้างบ้านตามแบบท่ัวไปของคนยุค ยังทาอุตสาหกรรมในครัวเรือน เช่น ป้ันหม้อ สาน
ปัจจุบัน แต่บางบ้านก็ยังคงสภาพเอกลักษณ์ของ ตะกร้า ทอผ้า เป็นต้น ผู้หญิงลาวจะมีหน้าที่ทอผ้า
ลักษณะตัวบ้านตามแบบอดีตอยู่ ก็คือบ้านยกสูง เลย้ี งสตั ว์ ตาข้าว เตรียมอาหาร ทาครัว เพาะปลูกเก็บ
อาจยกพ้ืนสูง ๒ – ๓ เมตร แล้วแต่บุคคล และการ เกี่ยว สว่ นผู้ชายจะทางานหวา่ นไถนา
สร้างยุ้งข้าวน้ันตามความเชื่อของชาวไทย – อีสาน ปัจจุบนั ชาวไทย - อีสานยังคงประกอบอาชีพ
จะไม่หันประตูไปทางเหนอื อย่างเด็ดขาด และจะสรา้ ง แบบเดิมตามในอดีต และด้วยยุคสมัยท่ีเปลี่ยนไปจึงมี
ลักษณะเหมอื นบ้านทวั่ ไปและปลูกไปขา้ ง ๆ กับบา้ นท่ี เทคโนโลยีที่เพ่ิมขึ้นตามยุคสมัย โดยส่วนใหญ่ มีการ
ชาวบ้านอาศัยอยู่หรือตามความเหมาะสมของที่ดิน ประกอบอาชพี หลกั ได้แก่
โดยมลี ักษณะของการเลอื กพน้ื ทีเ่ พาะปลูก พื้นทีท่ ากิน ๑) เกษตรกรรม
เช่นเดียวกันกับท่ีดินในการสร้างบ้าน แหล่งเพาะปลกู ๒) เลย้ี งไหม/หม่อน
หรือพื้นที่ทากินของชาวไทย-อีสานในไม่ว่าทั้งในอดีต ๓) ทอเสอื่ จากกก
หรือปัจจุบันจะใช้พ้ืนที่ท่ีตนมีในครอบครองอยู่แล้วใน ๓.๓ อาหาร
การเพาะปลูกหรือทามาหากิน และย่ิงในปัจจุบันนั้น ในอดีต ชาวอีสานรับประทานข้าวเหนียว
หากจะหาที่ดินใหม่ก็จะความสะดวกของการขนส่ง อาหารหลักของชาวบ้าน คือ เครื่องจิ้ม (เช่น แจ่วบอง
และการเดนิ ทางเปน็ หลักตดั สิน ป่น) กบั ผัก สม้ ตา แกง ออ่ ม จากเน้อื สตั ว์และพืชผักท่ี
หาได้ตามไร่นา ส่วนอาหารพิเศษอื่น ๆ ได้แก่ ลาบ
ตัวอย่างการสร้างบ้านของชาวไทยอสี านในอดีต
กลุ่มชาติพันธุ์ ในจังหวัดเชยี งราย | ๑๕๓
ชาติพันธุ์ “ไทอีสาน” ก้อย เน้ือย่าง ฯลฯ นั้นจะบริโภคเม่ือยามมีงานบุญ ในตานานท่ีไม่ได้นานอย่างท่ีหลายๆคนคิด ส้มตา
หรือการเล้ียงฉลองเท่านั้น ส่วนอาหารที่รับประทาน เป็นอาหารที่ชาวอีสานปรุงขึ้นจากผักผลไม้ท่ีขึ้นตาม
กันทุก ๆ วัน เช่น ปลาแดกทรงเคร่ือง (ปลาร้า ท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น มะละกอ มะเขือเทศ มะนาว
ทรงเคร่ือง) ปลาค่อรสนัว (ปลาช่อนน่ึงตรึงใจ) ฯลฯ นามาปรุงรสชาตดิ ว้ ยนา้ ปลาร้าท่ีเป็นเคร่อื งปรุงที่
กับ น้าพริก ตาบักหงุ่ (ส้มตา) ข้าวเหนยี วแดงโบราณ มชี ่ือเสียงของอีสาน
การทาปลารา้ ของชาวบา้ นชาตพิ ันธไุ์ ทยอีสาน ในปัจจบุ ันอาหารการกินของชาวไทย - อสี าน
ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากสมัยก่อนเลย อาหารพื้นบ้าน
ปลาแดกทรงเครอื่ ง (ปลาร้าทรงเครอ่ื ง) ยัง คง อ ยู่จน ถึงปัจจุบัน อ าจเพิ่มเติมด้ว ยการ
ความเป็นมาของอาหาร เป็นอาหารพืน้ เมือง รับประทานอาหารไทยและอาหารพื้นเมืองของชาว
เหนือที่เข้ามาผสมเพราะการเข้ามาอยู่ในพ้ืนท่ีท้องถิ่น
ที่ทาจากปลาร้าและมีการปรับเปลี่ยนเป็นน้าพริก เป็นเวลานานจนเกดิ การผสมผสานของวฒั นธรรม
ประกอบอาหารประเภทอื่น ๆ (อาหารคาวหวาน)
ที่มีส่วนผสมหลายอย่าง (เคร่ืองปรุง) ท่ีมีรสชาติ ๔. วฒั นธรรมและประเพณี
กลมกลอ่ ม อร่อยมากข้ึนกวา่ น้าพรกิ อน่ื ๆ
๔.๑ ศาสนา
ประโยชน์ทางอาหาร เป็นอาหารหลักอย่าง ชาวไทย - อีสานนับถือพุทธศาสนานิกาย
หน่ึงของชาวอีสาน, เป็นส่วนประกอบอาหารประเภท เถรวาท และศาสนาพราหมณ์ซ่ึงปรากฏในพิธีกรรม
อ่ืน ๆ ได้เป็นอย่างดีและมีส่วนผสมของสมุนไพร ต่าง ๆ ในหมู่บ้านไทย – อีสานจะมีวัดเป็นศูนย์กลาง
มสี ว่ นปลอดภยั และไมม่ สี ารพิษ ในการประกอบพิธกี รรมวัดยงั เป็นโรงเรียนสอนหนังสอื
ปลาค่อรสนวั (ปลาช่อนนง่ึ ตรึงใจ) กับ นา้ พรกิ ให้เด็ก ๆ ซ่ึงเด็กชายจะมีความใกล้ชิดกับวัด เพราะใช้
เป็นสถานที่เรียน บวชเณร และอุปสมบทตามลาดับ
ความเป็นมาของอาหาร เป็นอาหารพื้นถิน่ ที่ นอกจากนั้นชาวไทย – อีสานยังมีความเชื่อเรื่องผี
มีมาต้ังแต่โบราณ และสามารถทารับประทานได้ และวิญญาณ เช่นผีในต้นไม้ แม่น้า ในบ้าน ในไร่นา
ตลอดปี มีคณุ คา่ ตอ่ วิถชี ีวติ ของอีสานทย่ี าวนาน ผีประจาหมู่บ้าน และผีบรรพบุรุษ จะมีพิธีเซ่นไหว้ผี
เป็นประจา ในฤดูเกบ็ เกีย่ วหรือเพาะปลกู ข้าว เวลาเกิด
ประโยชน์ทางอาหาร เป็นอาหารหลัก เจ็บไข้ได้ป่วย ชาวไทย - อีสานเชื่อว่ามีสาเหตุจากผี
(โปรตนี ) ทมี่ ีอยู่ตามทอ้ งถน่ิ คนนยิ มรบั ประทาน และขวัญออกจากร่าง ดังน้ันจึงมีผู้ประกอบพิธีรักษา
ตาบักหุ่ง (ส้มตา) โรค และเรียกขวญั เชน่ พระ สงฆ์ นอกจากน้ัน ยงั เชื่อ
เร่ืองผีปอบ ซึ่งเป็นคนท่ีถูกวิญญาณ ช่ัวร้ายเข้าสิง
ความเปน็ มาของอาหาร ถา้ พดู ถึงอาหารการ และสามารถทาร้ายผู้อ่นื ได้
กินทางภาคอีสาน อย่างแรกที่หลายๆคนนึกถึงคงจะ ชาวอีสานเป็นกลุ่มชนที่ให้ความเคารพนับถือ
หนีไม่พ้น “ตาบักหุ่ง” หรือ “ส้มตา” อาหารจานหลัก และปฏิบัติตนเป็น พุทธมามะกะ ที่ดี ยึดถือปฏิบัติมา
ต้ังแต่ในอดีตจนมาถึงปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากทุก
๑๕๔ | กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย เทศกาลสาคัญของไทย (ปีใหม่ สงกรานต์ เข้าพรรษา
ออกพรรษา ถนนหนทางท่ีม่งุ สู่สายอีสานจะเนืองแน่น
ด้วยรถรา คนอีสานพากันกลับบ้าน ไม่เว้นแม้จะไป นพิ พาน ตามปรัชญาพุทธศาสนา นอกจากนี้ยังนบั ถือผี ชาติพันธุ์ “ไทอีสาน”
ทางานยังต่างแดนก็ตาม) ชนชาวไทยอีสานจะต้ังกอง บรรพบุรุษ ผฟี า้ ผีแถน รวมท้ังผีไรน่ า ฯลฯ โดยเฉพาะ
กฐิน ผา้ ป่า ไปทอดถวายวดั ท่ีบา้ นเกดิ เพื่อนารายไดไ้ ป ผีบรรพบุรุษยังมีอิทธิพลต่อสังคมมาก นั่นคือ ผีปู่
สร้างวัดและบูรณะ ปฏิสังขร วัดวาอารามต่าง ๆ ตา ทุกชุมชนในชนบทจะมีศาลเจ้าปู่ตา (ตูบปู่ตา)
ท่ีบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองเป็นเนืองนิจ คนอีสาน ประจาหมู่บา้ น และมีตาแหน่งเฒา่ จา้ หรอื หมอจ้า
เมอื่ ไปเยี่ยมเยยี นเพื่อนบ้านต่างถ่นิ ส่ิงแรกทจี่ ะมองหา เป็นผู้ที่ติดตอ่ กบั วญิ ญาณ เฒา่ จา้ จะเปน็ ผูท้ ี่ชาวบ้านให้
นัน่ คือ วัดวาอาราม หากหมู่บ้าน แหง่ หนตาบลใด มีวัด ความเคารพนับถือมากผู้หน่ึง แต่ในปัจจุบันน้ันเฒ่าจ้า
วาอาราม และพระอุโบสถ (สิม) สวยงดงาม จะเป็นที่ หรือหมอจ้านั้นแทบไม่มีให้เห็นแล้วเนื่องจากหลัก
เชิดหนา้ ชตู าของหมบู่ า้ นน้นั ๆ ปฏิบตั แิ ละคาถาอาคมต่าง ๆ น้ันคนร่นุ ใหม่ไม่สามารถ
ทาได้ จงึ ค่อยๆเลอื นหายไปในท่สี ุด
๔.๒ พธิ กี รรม ความเชือ่
พิธกี รรมของชาวไทย - อสี านนัน้ มีหลากหลาย ความเช่ือคนอีสานในอดีตกาลนั้น เนื่องจาก
ตามประเพณี เช่น งานบุญกฐิน ประเพณีทอดเทียน เป็นพื้นท่ีกว้างใหญ่ ไกลปืนเที่ยง การดูแลทางด้าน
เปน็ ตน้ โดยก่อนวันบุญผเู้ ฒ่าผู้แก่จะทาการไปนอนท่ีวัด สุขอนามัยเป็นไปอย่างไม่ท่ัวถึง เม่ือเจ็บไข้ได้ป่วย
ก่อนหนึ่งคืนตามความเช่ือและพิธีกรรมหนึ่งที่ยังมี คนอีสานจึงหันไปเพิ่งภูตผี หรือบุคคลท่ีเรียกว่า
หลงเหลือในปัจจุบันที่ได้น้ันก็คือ “พิธีการเป่า” “หมอเป่า” ซึงหมอเป่านั้นก็คือหมอรักษาโรคตาม
ซึ่งก็คือพิธีการปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ให้หายไป ความเชอ่ื ของชาวไทย - อสี าน โดยหากมีคนทเ่ี จ็บไขไ้ ด้
จากบคุ คลนั้น ๆ ปว่ ยรกั ษาไมห่ ายมกั จะพามาหาหมอเป่าให้ชว่ ยปัดเป่า
ยกตัวอย่างการทาพิธีเป่า ก่อนอื่นผู้ป่วย โรคภัยให้หายไป โดยจะต้องนาขันมาไหว้แก่หมอเป่า
จะต้องขอพ่อครูทาพิธีโดยจะต้องเตรียมกรวยหรือ เป็นคา่ ครูและหลงั จากรกั ษาหายสนิทแลว้ จะยกอีกข้ัน
ภาษาท่ีชาวบ้านเรียกก็คือ “สรวย” ๕ กรวย, เงิน ๘ มาให้แก่หมอเป่าเป็นค่าตอบแทนในการรกั ษา ซ่ึงก็จะ
บาท บุหร่ี ๒ ซอง โดยท่ีผู้มาทาพิธีจะต้องมีความเช่ือ แล้วแต่ว่าจะให้ค่าตอบแทนเป็นเงนิ เท่าไหร่ อาจสูงถึง
หรือความเคารพในทางสายนีแ้ ละต้องปฏิบัติตนตามท่ี ห้าพันบาทเลยก็มี คนอีสานน้ันเช่ือในเรื่องของ ผี เป็น
พ่อครูเป็นคนบอก หากไม่ปฏิบัติตามและไม่เช่ือหรือ ทุนเดมิ ในทุกวันนค้ี วามเช่ือในเรื่องผีของชาวอีสานนั้น
แม้เช่ือครึ่งไม่เช่ือครึ่ง อาจไม่ทาการรักษาจนหายขาด ยั ง มี อ ยู่ ย า ก ที่ จ ะ ล บ ล้ า ง ใ น ค ว า ม เ ช่ื อ น้ั น
ได้ แต่หากรักษาจนหายขาดแล้วจะต้องทาการขันครู ในขณะเดียวกันบนความเช่ือนั้น นอกจากจะเป็นการ
กค็ อื ต้องนาเทียนเล่มใหญ่ เหล้า ๑ ขวด และอาจเรียก เตอื นสติ ไม่ใหป้ ระพฤติผดิ ปฏบิ ตั ชิ วั่ แล้ว ยังทาให้เกิด
เงินอีก๑๕บาท ส่วนเงินค่าตอบแทนท่ีเหลือน้ันจะ ประเพณีที่ดีงาม งานบุญต่าง ๆ มากมายกับคนอีสาน
แล้วแต่ผ้ทู ่ีมาทาการรักษา ตงั้ แต่หลกั ร้อย ๔ – ๕ รอ้ ย เ ป็ น กุ ศ โ ล บ า ย ล้ า ลึ ก ใ น ก า ร ห ว ง แ ห น ท รั พ ย า ก ร
หรือมากสดุ ไปจนถงึ ๕พนั บาท ธรรมชาติที่ใช้ร่วมกันในชุมชน นอกจากน้ันชาวบ้าน
ชาวไทย - อีสาน ยึดมั่นในจารีตประเพณี ชาวไทย - อีสานในหมูบ่ า้ นนาเจริญมีตานานความเชื่อ
ดาเนนิ ชีวิตตาม “ฮตี สบิ สอง” (คอื กิจกรรมประเพณีใน เก่ียวกับการปัดเป่าภัยไข้เจ็บด้วยการท่ีให้ “พ่อครู”
รอบ ๑๒ เดือน ) นับถือศาสนาพุทธแบบชาวบ้าน คือ หรือพระทาการทาพิธีเป่าเพ่ือรักษาอาการให้หายได้
พุทธศาสนาท่ีปรับเข้ากับจารีตของชาวบ้านมุ่งท่ีจะสั่ง โดยที่ผู้ที่มาทาการรักษาจะต้องมีความนับถือหรือ
สอนให้เปน็ พลเมืองดี มากกวา่ ที่จะสอนใหล้ ะโลกยี ์ไปสู่ เชอ่ื ถอื ในตัวพ่อครู ถงึ จะทาการรกั ษาไดส้ าเรจ็
กลุ่มชาติพันธ์ุ ในจังหวัดเชยี งราย | ๑๕๕
ชาติพันธุ์ “ไทอีสาน” ๔.๓ ประเพณี เขา้ พรรษาตลอดพรรษา เปน็ หนงึ่ ในฮีต ๑๒ ครอง ๑๔
พิธีกินดอง เป็นการเล้ียงในพิธีแต่งงานท่ี ประเพณี ๑๒ เดือนของชาว
จัดเป็นพิธีใหญ่ นั่นคือ ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะเป็นผู้
ท่ีอยู่ในครอบครัวมีฐานะ มีหน้าตาของหมู่บ้าน ฝ่าย งานบุญข้าวจี่ เป็นงานบุญท่ีจะนาข้าวใหม่ท่ี
ส า ว จ ะ รู้ ต น เ อ ง ว่ า พ่ อ แ ม่ เ ป็ น ค น ที่ ช า ว บ้ า น นั บ ถื อ เกบ็ ในฤดกู าลไปถวายแก่พระ โดยจะนาข้าวใหมน่ ้ันมา
คร้ันเมื่อสมัครรักใคร่กับหนุ่มใด ๆ มักจะไม่ยินยอมให้ ทาเป็นข้าวจ่ี ทุกครัวเรือนในหมู่บ้านจัดเตรียมข้าวจี่
ฝ่ายชายมาซูน (สัมผัส/แตะต้อง) เพราะถือว่าเป็นการ แล้วนิมนตพ์ ระสงฆม์ ารวมกนั ท่ีศาลาโรงธรรมญาติโยม
ไม่รักษาหน้าพ่อแม่ญาติพ่ีน้อง ฉะน้ันฝ่ายสาวจะ จะมาพร้อมกันแลว้ อาราธนาศีล วา่ คาถวายข้าวจี่เสร็จ
ยินยอมให้ฝ่ายชายมาสู่ขอตามประเพณี หรือบางกรณี แล้วเอาข้าวจี่ไปใส่บาตร พระสงฆ์สวดมนต์จบแล้ว
ช า ย ห นุ่ ม อ า จ จ ะ ส่ ง เ ฒ่ า แ ก่ ม า ข อ เ ล ย ที เ ดี ย ว ก็ ไ ด้ ญาติโยมยกอาหารคาวหวานไปถวายพระฉันเสร็จจึง
การส่ขู อสาวเพือ่ แต่งงานนเ้ี รยี กวา่ โอม หรอื โอมสาว อนุโมทนาเป็นการเสร็จพิธีถวายข้าวจี่ ในปัจจุบัน
พธิ ีโอม (การสู่ขอ) การสู่ขอน้ันฝ่ายชายจะส่ง ช า ว บ้ า น น อ ก จ า ก จ ะ ท า บุ ญ ข้ า ว จี่ แ ล้ ว ยั ง ท า บุ ญ
แม่สอ่ื ไปทาบทาม ถามความสมัครใจจากฝ่ายสาวก่อน มาฆบชู า เป็นวนั สาคัญทางพระพุทธศาสนาอีกวันหนึ่ง
ฝ่ายพ่อแม่จะเรียกบุตรสาวมาถามความสมัครใจ หาก ซ่ึงงานบุญน้ีจะจัดทุกวันท่ี๓ ค่าเดือน๓ หรือในช่วง
ฝ่ายหญิงสมัครใจก็จะทาพิธีโอม ซ่ึงในการน้ีแม่สื่อจะ เดอื นมกราคมไปจนถึงกุมภาพันธ์
ปรึกษากับฝ่ายสาว เรื่องการกาหนดวันทาพิธโี อมด้วย
ถึงวันกาหนดทาพิธีโอมกันน้ัน เจ้าโคตรฝ่ายชาย บุญกฐิน คาว่า "กฐิน" เป็นคาภาษาบาลี
(เจ้าโคตร คือ บุคคลที่เป็นผู้ใหญ่หรืออาวุโสของ หมายถึงไม้สะดึง คือไม้ที่ทาเป็นกรอบสาหรับขึงผ้า
ตระกูล) จะเป็นเฒ่าแก่จัดพานหมาก ๔ คา หรือ เวลาจะเย็บผ้า เพื่อดึงขึงผ้าให้ตึงจะได้เย็บง่าย
เรยี กวา่ “ขันหมาก” กบั เงนิ ๓ บาท ไปบ้านเจ้าสาว บุญกฐินจึงเปน็ การทาบญุ ท่ีตอ้ งนาผ้าไปถวายพระเป็น
เม่อื ถงึ เรอื นฝา่ ยสาว บิดามารดาญาติพีน่ อ้ งจะ สาคัญ จัดเป็นวินัยกรรมอย่างหนึ่ง ซ่ึงสงฆ์ต้องทาใน
จัดการต้อนรับเจ้าโคตรฝ่ายชายท่ีเป็นเฒ่าแก่มาสู่ขอ จีวรกาล มีกาหนดระหว่างวันแรม ๑ ค่าเดือน ๑๑
(หรือมาโอม) ตามสมควร เมื่อท้ังสองฝ่ายได้น่ังตาม จนถึงวันเพ็ญเดือน ๑๒ เรียกว่า บุญเดือนสิบสอง
สมควรแล้วเฒ่าแก่ฝ่ายชายจะยกพานหมาก ๔ คา มกี ารจดุ พลุตะไลประทัด สว่ นวัดใดอย่รู มิ แมน่ ้าก็มีการ
(มีผา้ ขาวปดิ ไว)้ ให้บิดามารดาฝ่ายหญิงกิน และรับเงิน แขง่ เรือ เรยี กว่า “ซว่ งเฮือ” โดย ๑ ปี จะมแี ค่คร้งั เดียว
๓ บาท ทอ่ี ยู่ในพานน้ันด้วย เงนิ นเ้ี รยี กวา่ “เงินไขปาก ช า ว บ้ า น จึ ง ใ ห้ ค ว า ม ส า คั ญ เ ป็ น อ ย่ า ง ม า ก
คอ” การรับเงินแสดงว่าฝ่ายสาวตกลงใจแล้ว หากไม่ การเตรียมการของงานบุญกฐินนั้นอาจล่วงหน้าได้ถึง
ตกลงฝา่ ยสาวจะส่งเงินคนื ๓ บาทคืน ครัน้ เม่ือพิธีโอม ๑ ปี กอ่ นวนั งานจรงิ
เสร็จแล้ว ทั้งสองฝ่ายจะปรึกษาค่าสินสอดกันเรียกว่า
“คาดค่าดอง” งานประเพณที อดเทียนของชาวไทย-อีสานในหมู่บา้ นนาเจริญ
ประเพณีทอดเทียน เป็นประเพณีเก่าแก่ของ ต.แม่เปา อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย
ชาวอีสานท่ีสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น ลักษณะของงาน
จะคลา้ ยกบั งานทาบญุ ผ้าป่า ชาวบ้านจากหมบู่ ้านหน่ึง
จะนาต้นเทียนไปบูชาอีกวัดหนึ่ง นิยมทาในช่วง
๑๕๖ | กลมุ่ ชาตพิ ันธุ์ ในจงั หวดั เชียงราย
งานศิลปะและการแสดง ธ ร ร มสว น ะ (วั น พ ร ะ ) เช่น เดียว กั บก าร สว ด ชาติพันธุ์ “ไทอีสาน”
ออนซอนเสียงแคน แคนเป็นเคร่ืองดนตรี พระอภิธรรม จุดมุ่งหมายของการสวดมีจุดประสงค์
พื้นบ้านที่ชาวอีสานและคนสองฝ่ังโขงเล่นกันมาช้า เดียวกนั คอื การเผยแพรธ่ รรมะ ดงั น้ัน เนือ้ หาทใ่ี ช้สวด
นาน พลบค่าหลังเลิกงานไร่ ๆงานนา หนุ่ม ๆ ก็มักถือ จึงมักให้คติธรรม เช่น เรื่องเวสสันดรชาดก และชาดก
แคนไปเป่าเที่ยวบ้านสาว หรือบางบ้านก็นั่งพักผ่อน ต่าง ๆ โ ดยปก ติแล้ว คณะ ขับร้อ ง สร ภั ญ ญ ะ
พูดคุยกัน และเล่นแคนไปด้วย ใครผ่านมาก็จะชวน จะประกอบด้วยสมาชิก จานวน ๓ - ๗ คน ส่วนใหญ่
มาร่วมวงเล่นกันสนุกสนาน ท่วงทานองของการ แลว้ มกั จะเปน็ ผู้หญิงเป็นคนขบั ร้อง คนที่มีเสยี งไพเราะ
บรรเลงเพลงแคนท่เี รยี กกันวา่ ลายแคน จึงมกั เป็นการ ทีส่ ุดจะเป็นหัวหนา้
เลียนเสียงธรรมชาติ หรือส่ิงท่ีอยู่ในชีวิตประจาวัน
วิ ถี เ ช่ น นี้ ท า ใ ห้ เ สี ย ง แ ค น ก ล า ย เ ป็ น ส า ย สั ม พั น ธ์ ๔.๔ ภาษา
ที่เช่ือมโยงคนอสี านกับบา้ นเกิด ในอดีต ภาษาไทย - อสี าน (ภาษาอสี าน) มตี ัว
การขับร้องสรภัญญะ เป็นทานองการสวด อักษรไทยน้อย และอักษรตัวธรรม อักษรไทยน้อย
ทาน อง หนึ่ง มีจุดก าเนิดมาจาก ก าร สว ดทาง เป็นอักษรสุโขทัยสาขาหน่ึง ส่วน อักษรตัวธรรม
พระพุทธศาสนา เป็นทานองเทศน์โปร ด ขอ ง เป็นอักษรท่ีได้ต้นแบบอักษรมอญโบราณ คล้ายอักษร
พุทธศาสนิกชนในตอนแรก ต่อมาจึงฝึกให้ฆราวาส ตัวเมืองของภาคเหนอื
ร้ อ ง ส า ห รั บ ก า ร ขั บ ร้ อ ง นี้ จ ะ ร้ อ ง กั น แ พ ร่ ห ล า ย ปัจจุบัน ผู้สูงอายุหรือบุคคลท่ัวไปยังมีการใช้
ในเทศกาลเข้าพรรษา ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวบ้านว่างจาก ภาษาลาวหรือภาษาอีสานในการส่ือสารอยู่ในปัจจบุ นั
การทานา และรอช่วงการเก็บเก่ียวมาถึง ชาวบ้านจึง และมีการใช้ภาษาไทยและภาษาเหนือ (คาเมือง)
ใช้เวลานี้ไปร่วมทาบุญที่วัด นอกจากนี้ จะมีสตรี ผสมกันไปด้วยเน่ืองจากการตั้งถ่ินฐานอยู่ ณ จังหวัด
จับกลุ่มกันร้องสรภัญญะโดยมีรุ่นเก่าเป็นผู้ฝึกในภาค เ ชี ย ง ร า ย ม า เ ป็ น เ ว ล า น า น ท า ใ ห้ มี ก า ร ผ ส ม ข อ ง
ตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่สามารถสืบทราบได้ว่ามีการ วัฒนธรรม
สวดสรภัญญ์ตัง้ แต่เม่อื ใด
การขบั รอ้ งเพลงสรภญั ญะของชาวไทย-อีสาน ตัวอย่างตัวอกั ษรของชาวไทยอีสาน
ปัจจุบนั การสวดสรภญั ญ์ของชาวไทย - อสี าน ๔.๕ การแต่งกาย
นั้น นิยมสวดกันในงานศพ งานทอดผ้าป่า งานกฐิน ในอดีตผู้ชาย เม่ืออยู่กับบ้านจะนุ่งกางเกง
งานทอดเทียน งานกวนข้าวทิพย์ และในกิจกรรมวัน ขาก๊วยส้ัน สวมเสื้อม่อฮ่อม แขนสั้น คาดผ้าขาวม้า
ตาตาราง เมื่อออกไปนอกบ้านเพ่ือร่วมงานบุญ จะนุ่ง
โสร่ง สวมเสื้อคอกลมแขนสั้น มีผ้าขาวม้าคล้องคอ
กลุ่มชาตพิ ันธ์ุ ในจงั หวัดเชยี งราย | ๑๕๗
ชาติพันธุ์ “ไทอีสาน” ส่วนผู้หญิงจะนุ่งซิ่น นิยมนุ่งซ่ินผ้าฝ้ายมาแต่เดิม และ มีการนุ่งโสร่ง ผู้หญิงจะแต่งกายด้วยเส้ือหม้อห้อม
พัฒนาผ้าฝ้ายเปน็ การทอผ้ามดั หมี่ลวดลายต่าง ๆ ผา้ ซน่ิ และผ้าซ่ินลวดลายต่าง ๆ และมีผ้าสไบสั้นๆรดั อกและ
ไมม่ เี ชงิ ทง้ั ทีเ่ ปน็ ผ้าเขน็ (ทอ) และผา้ มัดหมฝ่ี ้าย หรือไหม พาดไปยังช่วงไหล่ ชุดเหล่าน้ีจะคล้ายกับชุดการแต่ง
เส้ือแบบเส้ือของชนเผ่าไทย - อีสาน แม้จะเป็นเส้ือย้อม ก า ย ข อ ง ผู้ ค น ท า ง ภ า ค อี ส า น เ พ ร า ะ มี ร า ก เ ห ง้ า
สีน้าเงินแก่ แบบเสื้อคล้ายกับชนเผ่าอ่ืน ๆ แต่เนื่องจาก และวฒั นธรรมทีม่ าจากท่ีเดยี วกัน
เป็นชนเผ่าท่ีกระจายอยู่ในที่ต่าง ๆ และรับเอา
วัฒนธรรมจากภาคกลางได้รวดเร็ว จึงทาให้เผ่าไทย - การแต่งกายของกล่มุ ชาติพนั ธ์ุไทย-อีสานในปจั จบุ ัน
อีสาน มีแบบเสื้อแตกต่างไปจากชนเผ่าอ่ืน ๆ เช่น เสื้อ
แขนกระบอก คอื ทอจากผ้าแพรตกแต่งใหม้ จี ีบมีระบาย ภาพจาก รายการคาราวานสาราญใจ ซีซนั ๒ ตอนที่ ๑
แขนกระบอกผ้าฝ้ายย้อมคราม หรือมัดหม่ี กลุ่มที่แต่ง
กายแบบด้ังเดิมจริงๆ นิยมแต่งด้วยผ้าย้อมครามทั้งเสื้อ ๔.๖ องคค์ วามรู้และภูมปิ ัญญา
และผ้าซ่ิน การพัฒนาการของการทอผ้ามัดหม่ี ทาให้ มองตาข้าว เป็นเครื่องมือหน่ึงท่ีใช้สาหรับตา
ไทย - อีสาน ในปจั จุบันสามารถทอผ้าลายหม่ีค่ันหลายสี ข้าวในอดีต เป็นเคร่ืองทุนแรงโดยภูมิปัญญา โดยจะมี
เช่น สีเหลือง สีแดง และนิยมสีฉูดฉาด นอกจากนี้ชาว หลุมครกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๖๐ - ๘๐ เซนติเมตร
เผ่าไทย - อีสานยังนิยมทอผ้าห่ม ผ้าจ่องลวดลาย ทาจากหิน หรือปูนหล่อ มีไม้ซุงทั้งท่อนยาวประมาณ
สวยงาม ซึ่งสามารถปรับแต่งมาเป็นผ้าสไบโชว์ลวดลาย ๓ - ๕ เมตร มีคานทุ่นแรงต่อไว้บนส่วนปลายเพื่อใช้
ของผ้าประกอบเสือ้ ผา้ ได้เป็นอย่างดี เหยียบให้กระดกข้ึนลงตามแรง ส่วนปลายอีกด้านจะ
เป็นไมก้ ลมๆขนาดใหญ่พอประมาณ ต่อเข้ากับทอ่ นซุง
การแต่งกายของกลุ่มชาติพันธ์ุไทย-อสี านในอดตี ใชเ้ ปน็ สากตา และมอี ุปกรณ์เสริมท่ีขาดไม้ไดค้ อื ไม้พาย
ไว้คนให้ทั่วถึง การทางานต้องให้จังหวะระหว่างคนตา
ในปัจจุบันการแต่งกายตามแบบด้ังเดิมของ กับคนพายเพ่ือไม่ใหเ้ กดิ อุบัติเหตขุ ึน้
ชายไทย – อีสานนั้นเริ่มไม่เหลือให้เห็นแล้วเนื่องจาก
กาลเวลาท่ีผ่านไปและวัฒนธรรมที่ผสมผสานกัน มองตาขา้ ว ภูมปิ ัญญาของชาวไทย-อีสานในอดตี
ชาวไทย - อสี านในยคุ ปัจจุบันจึงมักแต่งกายชุดลาลอง ท่ีปัจจบุ ันไดถ้ กู เลิกใช้ไปแล้ว
ปกติ หากมีงานบุญหรืองานประเพณีต่าง ๆ มักใส่ชุด
ขาวแทน แต่ว่าในการแต่งกายในแบบด้ังเดิมน้ันจะยัง
สามารถมีให้เห็นในบางโอกาส เช่น ในวาระสาคัญ
จนกระท่ังงานบุญต่าง ๆ ผู้ชายนั้นยังคงมีการโพก
ผ้าขาวม้ากันอยู่ อาจนาไปมัดเอว โพกหัว หรือ คล้อง
คอ แต่งกายด้วยชุดหม้อห้อมคล้ายกับทางล้านนา
๑๕๘ | กลุม่ ชาติพันธ์ุ ในจงั หวัดเชยี งราย
การแสดงออกผา่ นศิลปะ ชาวไทย - อสี านใน ชาติพันธุ์ “ไทอีสาน”
หมู่บ้านนาเจริญใหม่น้ันได้มีการสืบต่อการถักทอผ้า
และการสานเสื่อและสานเคร่ืองใช้จากกกมาจนถึง
ปัจจุบัน มีลายเป็นเอกลักษณ์ของตนเองท่ีคล้ายกับ
ลายบนผ้าถุงหรือผ้าซ่ิน จึงมีลักษณะที่สวยงามและ
ละเอยี ดออ่ น
เสอ่ื ท่ีทอดว้ ยต้นกกจากฝีมอื ชาวบ้านชนชาติพันธไุ์ ทย-อสี าน
ในหมูบ่ า้ นนาเจรญิ ใหม่
๕. แหล่งอ้างอิง
การสมั ภาษณ์
นายพฒุ นิ นั ท์ ธปิ ละ ผู้ใหญ่บ้านนาเจริญใหม่
หมู่ ๑๙ ตาบลแมเ่ ปา อาเภอพญาเมง็ ราย จังหวัด
เชยี งราย (กรกฎาคม ๒๕๖๔) สัมภาษณ.์
กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ในจังหวัดเชียงราย | ๑๕๙
ชาติพันธุ์ “ไทเขิน”
ชาติพันธ์ุ “ไทเขนิ ”
Tai Khun
“กลุ่มชาติพันธ์ุไทขึนหรือไทเขิน ในประเทศ เชียงตงุ คอื พืน้ ท่แี อง่ ขนาดใหญ่ทีโ่ อบล้อมด้วยเทือกเขา
ไทยมีพ้ืนเพเดิมจากเมืองเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศ ทุกด้านและมีน้าไหลผ่ากลางเมืองทาให้สามารถมีการ
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมยี นมา โดยคาว่าไทขนื นน้ั มา ผลิตทางการเกษตรท่สี ร้างความมั่งคัง่ ใหก้ บั เมืองได้
จากช่อื แม่นา้ ขนึ (ขนื ) ท่หี มายถงึ แมน่ า้ ท่ไี หลไปทางทิศ
เหนือฝืนจากธรรมชาติท่ีแม่น้าส่วใหญ่ไหลจากทิศ ในหลักฐานพงศาวดารเมืองเชียงตุงซึ่งได้
เหนือลงทิศใต้ ชาวขืนกลุ่มแรกถูกกวาดต้อนมาตั้ง บันทึกไว้ว่าในสมัยพระเจ้าผายู ได้ส่งโอรสช่ือเจ้าเจ็ด
ถิน่ ฐานในประเทศไทย ตั้งแตป่ ี พ.ศ. ๒๓๔๕ - ๒๓๔๗” พันตู ไปปกครองเมืองเชียงตุงหลังจากเป็นเมืองร้าง
โดยเชื่อว่าต้องถวายเมืองให้กับพระสงฆ์ก่อนจึงจะ
๑. ประวัติศาสตรค์ วามเปน็ มาของชาตพิ นั ธุ์ แก้เคล็ดได้ จึงมีพระสงฆ์ไปด้วยโดยกระทาต้ังแต่สมัย
เจา้ นา้ ท่วมเป็นตน้ มา ในครั้งพระเจา้ เจ็ดพนั ตูได้นิมนต์
ไทขึน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีชื่อสอดคล้องกับ พระมหาหงสาวดี พระมหาสิริปุญญะ พระเถรนันทะ
ภูมิทัศน์ของพื้นท่ีตั้งถ่ินฐานชาติพันธ์ุ คือ แม่น้าขึน และพระเถรพุทธโฆษะ ไปด้วยโดยการจัดพิธีถวาย
เป็นแม่น้าที่ไหลข้ึนไปทางทิศเหนือ บรรจบกับแม่น้า เ มื อ ง เ ชี ย ง ตุ ง แ ด่ พ ร ะ ส ง ฆ์ น้ั น จั ด ท่ี วั ด ลี เ ชี ย ง พ ร ะ
หลวยแล้วไหลลงสู่แม่น้าโขงที่สบหลวย การที่แม่น้า (วัดพระสิงห์) โดยท่ีเมืองเชียงตุงเจ้าเจ็ดพันตูได้สร้าง
ไหลขึ้นไปทางทิศเหนือน้ัน จึงเรียกว่า “ขึน” หรือ วัดขึ้น ๔ วัด เป็นที่จาพรรษาแก่หวั หน้าคณะทั้ง ๔ รูป
“ขืน” เชียงตุงในตานานน้ันกล่าว่า ตุงคฤๅษี ได้ขาง ได้แก่ วัดพระแก้ว วัดหัวข่วง วัดฟ้าก้าง และวัด
(ขีด) น้าออกจากพ้ืนท่ีเชียงตุงไปทางทิศเหนือ (ตรง จอมทอง จงั หวัดเชยี งใหม่ในปจั จบุ นั จากน้นั เมอื งเชียง
บริเวณท่ีเรียกว่า หลัก ๑๓) กลายเป็นช่องเขาที่แม่น้า ตุงก็มีเจ้าเมืองเช้ือสายพญามังรายสืบเน่ืองมาโดย
ขึนไหลออก ทาให้กลายเป็นดินแดนกว้างขวางและ ตลอด จนมาถึงปี พ.ศ.๒๓๔๕ พงศาวดารเมอื งเชียงตุง
เพาะปลูกได้ เหลือเพียงน้าในหนองตุงเท่านั้นที่เป็น (ทวี สว่างปัญญากูร, ๒๕๓๓ หน้า ๖๐) กล่าวว่า
หนองน้ากลางเมอื งทไ่ี ม่เคยแหง้ เลย ด้งั นน้ั ภูมิทศั นข์ อง สมัยเจ้ากองไตย เมื่อกินเมืองมีชื่อว่า “เจ้าสารกยะ
๑๖๐ | กลมุ่ ชาติพนั ธุ์ ในจังหวดั เชียงราย
ภูมินทนริทาเขมาธิบติราชา” เจ้ากาวิละได้ยกกาลงั ไป สมัยเจ้าน้าท่วม และในสมัยพระเจ้ากาวิละเป็นเจ้า ชาติพันธุ์ “ไทเขิน”
ตีเมืองเชียงตุงสาเร็จและกวดต้นผู้คนมาตั้งถ่ินฐานที่ เมืองเชียงใหม่ มีการกวาดต้อนผู้คนจากพม่าเข้ามาใน
เมืองเชียงใหม่นอกเขตกาแพงเมืองบริเวณประตูหาย ล้านนา และกาหนดพื้นที่ต้ังถิ่นฐานประเภทของไพร่
ยาซ่ึงได้จัดแบ่งตามระบบความสัมพันธ์ และกลุ่ม โ ด ย ช า ว ไ ท เ ขิ น ท่ี เ ป็ น ไ พ ร่ ช้ั น ดี ห รื อ เ ป็ น ช่ า ง ฝี มื อ
ช่างฝีมือ ดังน้ันจึงเป็นการเร่ิมต้นกลุ่มชาติพันธ์ุไทขึน ได้พ้ืนท่ีต้ังถ่ินฐานในเมือง คือ หายยา อยู่ระหว่าง
ในล้านนา และต่อมากลายเป็นส่วนหน่ึงของสยาม กาแพงเมืองช้ันในและชั้นนอกด้านทิศใต้ ส่วนชาว
และเป็นประเทศไทยในปัจจุบัน จากข้อมูลทาง ไทเขินไร้ฝีมือให้ต้ังถิ่นฐานที่สันทราย ทั้งนี้ ชาวไทเขิน
ประวัติศาสตร์ไทขึน น้ันเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หน่ึงท่ี ที่ถูกกวาดต้อนจากเมืองเชียงตุงจากสงครามตั้งแต่
แตกต่างจากกลุ่มอื่น ๆ แต่ก็มีงานบางช้ินที่กล่าวว่า พ.ศ.๒๓๔๗ มายังจังหวัดเชียงใหม่ ถูกกวาดต้อน
ไทขึนเป็นไทล้ือกลุ่มหน่ึง ซึ่งก็ยังเป็นประเด็นท่ีต้อง อีกคร้ังไปยังจังหวัดเชียงรายใน พ.ศ.๒๓๘๖ โดยอยู่ท่ี
ศึกษาตอ่ ไป บ้านสันโค้ง อยภู่ ายใตก้ ารดูแลของกลมุ่ เจ้านายล้านนา
เพอ่ื เปน็ แรงงานในการรบและการฟนื้ ฟบู ้านเมือง
กลุ่มชาติพันธุ์ไทขึนหรือไทเขิน ในประเทศ
ไทยมีพ้ืนเพเดิมจากเมืองเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศ ชาวไทเขินในบ้านเหล่าพัฒนามีความทรงจา
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมยี นมา โดยคาว่าไทขึนนั้นมา เกี่ยวกับการอพยพเข้ามาในประเทศไทยในช่วง
จากชอ่ื แม่นา้ ขึน (ขนื ) ทหี่ มายถงึ แม่นา้ ทไ่ี หลไปทางทิศ “ศึกโต๊ะโข่” ในปี พ.ศ.๒๕๐๗ ซ่ึงเป็นการรวมตัวกัน
เหนือฝืนจากธรรมชาติท่ีแม่น้าส่วนใหญ่ไหลจากทิศ เปน็ กองกาลงั ของกลุ่มชาติพนั ธไุ์ ตทไี่ มพ่ อใจระบบการ
เหนือลงทิศใต้ ชาวขึนกลุ่มแรกถูกกวาดต้อนมาตั้ง ปกครองแบบสังคมนิยมของนายพลเนวิน ในระยะหลัง
รกรากในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๔๕ - ๒๓๔๗ กลุ่มโต๊ะโข่มีพฤติกรรมที่เปล่ียนเป็นกองโจร มีการฆ่า
โดยให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานท่ีแรกท่ีบริเวณประตูหายยา คนไม่เลือก ทาให้ชาวเมืองเชียงตุงส่วนหน่ึงอพยพหนี
จังหวัดเชียงใหม่และกระจายตัวออกไปทั่วจังหวัด เข้าสู่ประเทศไทย โดยเข้ามาในฐานะผู้หลบหนี
เชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย และจังหวัดแพร่ และยังคง เข้าเมือง แบ่งได้เป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มแรงงานต่างด้าว
มีเชื้อสายที่อาศัยอยู่ในพื้นท่ีประตูหายยา หน้าวัดนัน ที่ถูกกฎหมายในกรุงเทพฯ และย้ายมาเป็นแรงงาน
ทาราม จังหวดั เชียงใหม่ อยจู่ นถึงปัจจุบัน ก่อสร้างที่บ้านเหล่าพัฒนา, กลุ่มรับจ้างเป็นแรงงาน
เกษตรพ้ืนท่ีสูงในจังหวัดเชียงรายและย้ายมาอาศัยใน
ความไกล้ชิดกับคนท้องถ่ิน เกิดการถ่ายเท พื้นทร่ี าบทบ่ี า้ นเหล่าพัฒนา และกลุ่มท่อี พยพมาอยู่กับ
แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และได้กลืนกลายเป็นส่วนหนึง่ ญาติท่ีอพยพมาก่อนหน้าที่บ้านเหล่าพัฒนา การสร้าง
ของรัฐจารีตล้านนา เป็นกลุ่มผลิตสินค้าหัตถกรรมท่ี ความเช่ือมโยงทางประวัติศาสตร์ของชาวไทเขินใน
เรียกว่า “เครื่องเขิน” และคาว่า “เขิน” นี้กลายเป็น พื้นที่บ้านเหล่าพัฒนากับเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า
ชื่อเรียกอีกช่ือหน่ึง รวมถึงเคร่ืองเขินกลายเป็นสิ่งหนึ่ง ช า ว ไ ท เ ขิ น ใ น ห มู่ บ้ า น เ ห ล่ า พั ฒ น า มี ก า ร จั ด ท า
ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการรื้อฟ้ืนเพ่ือสร้างตัวตนทาง นิทรรศการถ่ายทอดประวัติศาสตร์ของตน โดย
ชาติพนั ธ์ุ เช่ือมโยงเหตุการณ์สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒
ที่ประเทศไทยได้ส่งจอมพลผิน ชุณหะวัน ไปดารง
ส่วนความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัด ตาแหน่งเป็นข้าหลวงใหญ่สหรัฐไทยเดิมในเมืองเชียง
เชียงรายนั้น พบในตานานพ้ืนเมืองเชียงแสน ตุง ๒ ปี และรวมเมืองเชียงตุงเป็นจังหวัดหน่ึงของ
ชาวไทเขินเป็นแรงงานหลักในการสร้างบูรณะและ
ป้องกันเมืองจากข้าศึก ตั้งแต่การสร้างเมืองเชียงตงุ ใน กลมุ่ ชาตพิ ันธุ์ ในจงั หวัดเชียงราย | ๑๖๑
ชาติพันธุ์ “ไทเขิน” ประเทศไทย เพื่ออธิบายถึงสิทธิที่ควรได้รับในฐานะ ๒.๒ ระบบครอบครัวและเครอื ญาติ
พลเมืองภายใต้การปกครองของรัฐไทยในสมัยนั้น โครงสร้างทางสังคมของชาวไทเขิน จะมีการ
และเป็นการสร้างตัวตนและสานึกทางประวัติศาสตร์ นับญาติทั้งญาติจริง ญาติจากการแต่งงาน และสืบ
ร่วมกบั คนไทย เพื่อต่อรองอานาจกบั คนในท้องถิ่น ทอดมรดก จะมีการนับถืออาวุโสตามอายุ การเลือก
คคู่ รอง หรอื การแตง่ งาน จะเลอื กทช่ี อบพอกนั โดยจะ
กลุม่ ไทเขนิ ในเขตเทศบาลบ้านดู่ และเทศบาล ห้ า ม เ ลื อ ก คู่ ค ร อ ง จ า ก ค น ใ น ต ร ะ กู ล เ ดียว กั น
เวียงพางคาน้ันได้อพยพเข้ามาในประเทศไทย ทาง เช่นเดียวกับชาวไทย และส่วนใหญ่มักเลือกคู่จากใน
อาเภอแม่สาย โดยเดินทางต่อเข้ามาเพ่ือประกอบ หมู่บ้านเดียวกันทาให้เกิดสังคมเครือญาติ จะมีพ่อแม่
อาชีพรับจ้าง ประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๘ - ๒๕๒๒ มีการ เป็นศูนย์กลางของครอบครัว การใช้ชีวิตในครอบครัว
เข้ามาเช่าท่ีนาเพ่ือทานา และการเกษตรในเขตพื้นที่ โดยมีการครองคู่ในลักษณะผัวเดียวเมียเดียว และไม่
จนรายได้สามารถซ้ือท่ดี นิ เปน็ ของตนเอง กลุ่มไทเขินมี พบปัญหาการหย่ารา้ งและชู้สาว หากเกิดปัญหาจะมีผู้
การจัดต้ังกลุ่มขึ้นในหมู่บ้าน รวมตัวกันเพื่อดาเนิน อาวุโสชาวไทเขินเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ส่วนใหญ่จะให้เพศ
กิจกรรมทางวัฒนธรรมของชาวไทเขินอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ชายเป็นผ้นู าในการดาเนินการต่าง ๆ
๒. โครงสรา้ งทางสังคม ๓. วถิ ชี ีวติ ความเป็นอยู่
๒.๑ การปกครอง ๓.๑ ทีอ่ ย่อู าศัย
การปกครองของชาวไทเขิน ในจังหวัด ในอดีตชาวไทเขิน จะกระจายไปตามกลุ่ม
เชียงรายน้ันใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตย บ้านภายในเมือง มีทั้งการปลูกเรือนแบบเก่า
ระบบการปกครองภายในหมู่บ้านใช้วิธีการเลือกตั้ง คือ ก่อสร้างด้วยไม้หรือก่ออิฐแดงและมุงหลังคาด้วย
ผู้นาชุมชนในลักษณะของผใู้ หญบ่ ้าน สาหรับระบบการ ดินขอเช่นเดียวกับบ้านเรือนในชนบท ซึ่งปลูกเรือนใน
ปกครองภายนอกนั้น เป็นการปกครองโดยรัฐ แบบเรียบง่ายมีใต้ถุน เรือนบนเป็นห้องโถง ห้องนอน
ซ่ึงหมู่บ้านจะรับนโยบายและงบประมาณมาจาก ห้องครัว และชานบ้าน ถ้าหากไม่ใช้ไม้ทั้งหลั ง
จังหวัดเชียงราย ส่วนระบบการปกครองภายในกลุ่ม บางเรอื นชัน้ ล่างก็จะก่ออิฐแดงใช้ดนิ เหนียวเช่ือม แล้ว
ชาติพันธ์ุน้ัน มีการเลือกหัวหน้ากลุ่มท่ีเรียกว่า “เก๊า” โบกทับด้วยดินเหนียวอีกชั้นหรือก่ออิฐแดงไม่โบกทับ
และรองประธานจานวน ๒ คน เพ่ือบริหารงานภายใน สว่ นหลงั คามงุ ดว้ ยดินขอ
กลุ่ม รวมท้ังดูแลกลุ่มชาติพันธ์ุไทล้ือและไทใหญ่ใน
หมู่บ้านด้วย สาหรับหมู่บ้านผาแตกน้ันข้ึนตรงกับ บา้ นเรือนของชาวไทเขินท่ีเมืองเชียงตุง
เทศบาลตาบลเวียงพางคา ในส่วนของหมู่บ้านจะ
บริหารจัดการโดยระบบเดียวกับหมู่บ้านอื่น ๆ คือมี ภาพจาก http://lovekengtung2013.blogspot.com/
กานันประจาตาบลในการบริหารงานส่วนรวมของ
ตาบล มผี ้ใู หญ่บ้านได้แก่ นายทัศมาลี ขา่ วสุวรรณ์ เปน็
ผู้ดูแลหมู่บ้าน ร่วมกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และผู้นากลุ่ม
ตา่ ง ๆ
๑๖๒ | กลุม่ ชาติพนั ธุ์ ในจงั หวัดเชยี งราย
ปัจจุบัน บ้านเรือนของพี่น้องชาวไทเขิน ๓.๓ อาหาร ชาติพันธุ์ “ไทเขิน”
ที่หมู่บ้านผาแตก ตาบลเวียงพางคา อาเภอแม่สาย ใ น อ ดี ต นิ ย ม รั บ ป ร ะ ท า น ข้ า ว เ หนียว
จังหวัดเชียงรายนนั้ นิยมสร้างด้วยอิฐ ปูน และมุงดว้ ย เช่นเดียวกับชาวไทยวนและไทลื้อ อาหารที่นิยม
กระเบ้ืองลักษณะรูปทรงคล้ายบ้านเรือนสมัยใหม่ และเป็นเอกลักษณ์ของชาวไทเขิน มีหลากหลาย
ในประเทศไทยในปัจจุบันสาหรับผู้ท่ีมีฐานะปานกลาง ประเภท ได้แก่
ขึ้นไป สาหรับผู้ยากไร้จะสร้างด้วยอิฐและมุงด้วย ข้าวแรมฟืน หรือข้าวซอย เป็นอาหารที่ทา
สงั กะสี หรือหญา้ แฝกตามทีห่ าได้ จากแป้งผสมน้าหรือไข่จากนั้นนาไปนวด แล้วนาไป
รับประทานในลักษณะต่าง ๆ เช่น ปรุงรส ทอด
หม่บู า้ นผาแตก ตาบลเวยี งพางคา สะทอ้ นความเชยี่ วชาญในการดัดแปลงอาหารประเภท
อาเภอแมส่ าย จังหวัดเชียงราย แป้ง ขา้ วฟืนถว่ั ลนั เตาทอด
ถั่วเน่า ทาจากถั่วเหลืองท่ีผ่านการต้มสุก
๓.๒ การประกอบอาชีพ และปรุงรสชาตดิ ้วยเกลือ พริกย่างป่นท้ิงไว้ ๒ - ๓ วัน
ในอดีต ชาวไทยเขินในจังหวัดเชียงราย จนมกี ลน่ิ และมีสีทเ่ี ปลย่ี นไปจากเดิม และมรี สชาติเค็ม
จะประกอบอาชีพทางด้านการเกษตร ทานา หรอื ทาไร่ ชาวไทเขินส่วนใหญ่จะใช้ถั่วเน่าแทนกะปิ การนาถั่ว
ทาสวน นอกจากนั้นก็มีอาชีพรับจ้างท่ัวไป ค้าขาย เ น่ า ที่ ผ่ า น จ า ก ก า ร ห มั ก โ ด ย ถั่ ว ที่ เ ร่ิ ม เ ป่ื อ ย ยุ่ ย ไ ป
และเล้ียงสัตว์ สาหรับชาวไทเขินในหมู่บ้านผาแตก ประกอบอาหารเช่น นาไปคั่วหรือผัดใส่ไข่และ
(บ้านผาคา) หมู่ ๑๐ ตาบลเวียงพางคา อาเภอแม่สาย หอมแดง แต่ถ้านาถ่วั เน่ามาโขลกหรือบดใหล้ ะเอยี ดจน
จังหวัดเชียงราย ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพ ค้าขาย กลายเปน็ สไี ข่ไกแ่ ลว้ นิยมนามาห่อใบตองป้ิง มาทาเป็น
รบั จา้ งทว่ั ไป และทาไร่ ทานา แผ่นวงกลมตากแห้งแล้วเป็นสีน้าตาล เพื่อความ
ปัจจุบัน ประกอบอาชีพ ค้าขาย รับจ้างท่วั ไป สะดวกในการปรุงรสของอาหารเช่น น้าพริกถ่ัวเน่า
ทาไร่ ทาสวน ทานา และทางานหัตถกรรม (ตุง, เป็นวธิ ีการถนอมอาหารอีกอย่างหนึง่ ของชาวไทเขิน
กระตบิ ขา้ วเหนยี วจากไม้, ครก) ขา้ วยองฮวย, ขา้ วยองห่วย
ในสว่ นของหวานนั้นมีหลายอยา่ ง เชน่ ขา้ วต้ม
หัวหงอก ข้าวบุก ข้าวมนุ ห่อ
ปัจจุบัน ชาติพันธุ์ไทเขินมีอาหารการกินท่ี
คลายคลึงคนไทยในภูมิภาคเหนือ แต่ยังคงมีอาหาร
พื้นบา้ นที่ยงั นิยมรบั ประทานร่วมอยู่ด้วย ไดแ้ ก่ ถว่ั เน่า
น้าพริกถั่วเน่า ผักกาดจอ ข้าวแรมฟืน ข้าวยองฮวย
ข้าวหมกั ดาว เป็นต้น
กลุม่ ชาตพิ นั ธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย | ๑๖๓
ชาติพันธุ์ “ไทเขิน” ประกอบพธิ ีกรรมเช่นเดียวกบั ชาวไทยภาคเหนือ ไดแ้ ก่
สงเคราะห์บ้าน และสืบชะตาเพ่ือสืบต่ออายุใหย้ ืนยาว
ข้าวแรมฟืน และชวี ติ มีความสขุ
ข้าวยางฮวย ผีปู่ย่า โดยมีการทาบุญให้ผีบรรพบุรุษปีละ
๓ ครั้ง เรียกว่า เสี่ยวบ้าน เส่ียวเมือง หรือเสื้อบ้าน
๔. วัฒนธรรมและประเพณี หรือใจบ้าน
๔.๑ ศาสนา เรียกขวัญข้าว ในครอบครัวที่เป็นเกษตรกร
ชาวไทเขินในจังหวัดเชียงรายส่วนใหญ่จะคง จะมีความเช่ือเรื่องขวัญข้าว มกี ารทาพิธีเรียกขวัญข้าว
นับถือศาสนาพุทธ คือพุทธศาสนานิกายเถรวาท เพือ่ ปอ้ งกันศัตรพู ชื และเพื่อให้ขา้ วเจรญิ งอกงามดี
น อ ก จ า ก นั้ น ยั ง มี ค ว า ม เ ช่ื อ เ ร่ื อ ง ผี แ ล ะ วิ ญ ญ า ณ
และมบี างสว่ นนับถอื ศาสนาครสิ ต์ และอสิ ลาม การแห่ไม้เก๊ียะ เป็นการถวายไม้เกี๊ยะในวัน
๔.๒ พธิ ีกรรม ความเช่อื ออกพรรษาโดยเกยี่ วข้องกับความเชอื่ เรอื่ งการจุดบอก
ก า ร ส ะ เ ด า ะ เ ค ร า ะ ห์ เ พื่ อ ส ร้ าง ขวั ญ ไฟเพ่ือบูชาพระเกษแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดงึ ส์
และกาลงั ใจให้กับผปู้ ระสบอุบตั ิเหตุ หรอื ผู้ท่ีเจ็บป่วย มกี ารรอื้ ฟืน้ บางประเพณีท่เี คยจดั ในเมอื งเชียงตุงมาจัด
หมอเป่า เป็นความเช่ือว่าเวลาเจ็บป่วย ท่ีมี ท่บี ้านเหล่าพฒั นา
อาการเป็นแผล หรือโรคผิวหนังอักเสบที่เป็นหนอง
เรื้อรัง งูสวัด คางทูม ในอดีตยังไม่มียารักษาโรค ตาแหลว คนไทเขินมีความเชื่อเรื่องตาแหลว
จึงมักไปหาหมอเป่าในหมบู่ ้านเพ่อื รกั ษาอาการ เป็นการบอกเขตแดนในการทานาและการประกอบ
การสืบชะตา หมายถึงการต่ออายุให้ยืดยาว พิธีกรรม อีกท้ังยังป้องกันสัตว์ในการเข้ามาทาลาย
ออกไปเพ่ือความเปน็ สริ มิ งคล ชาวไทเขนิ นบั ถือศาสนา พืชผลทางการเกษตร และสร้างขวัญกาลังใจแก่
พุทธ ไม่มีความเชื่อเร่ืองผี ในการนับถือ “เจ้าพ่อคา เกษตรกร นอกจากน้ี ยงั ชว่ ยป้องกนั ผีหรอื สง่ิ ทไ่ี ม่ดี
แดง” ซ่ึงเป็นผีขุนน้าท่ีปกปักรักษาป่าให้อุดมสมบูรณ์
เช่นเดียวกับชาวไทเชินในเมืองเชียงตุง แต่มีการ ๔.๓ ประเพณี
ประเพณี ๑๒ เดือน ท่ีชาวเชียงตุง และชาว
๑๖๔ | กลุ่มชาตพิ ันธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย ไทเขินในประเทศไทย ยึดถือปฏิบัติกันอยู่ ตามเดือน
ทางจันทรคติ ซ่ึงจะนับเร็วกว่าไทยภาคกลาง ๑ เดือน
และช้ากวา่ ล้านนา ๑ เดือน
• เดือนเกี๋ยง หรือ เดือน ๑ (พฤศจิกายน)
ประเพณีตักบาตรวัดพระเจ้าหลวง จัดในวัน
ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน เกี๋ยง (ตรงกับวันลอย
กระทง ของไทย) ในงานสมโภชวัดพระเจ้า
หลวง โดยนิมนต์พระสงฆ์จากวัด ต่าง ๆ
ท้ังฝ่ายไทเขิน ไทใหญ่ และพม่า มารับ
บิณฑบาตจากประชาชน และประเพณีทาน
ซองสลาก เหมือนกับประเพณีตานก๋วยสลาก
ของล้านนา แต่ชาวเชียงตุง ไม่นิยมจัดในช่วง
ก่อนออกพรรษาเหมือนล้านนา
• เดือนย่ี หรือ เดือนก๋า (กรรม) หรือ เดือน ๒ (ชาวเชียงตุงไม่ได้เรียก วันวิสาขบูชา) ชาติพันธุ์ “ไทเขิน”
(ธันวาคม) ประเพณีเข้ากรรม มี ๒ อย่างคือ ประเพณีเป๊กข์ตุ๊บวชพระ (ไทเขินและล้านนา
การเขา้ กรรมหลวง หรอื การเข้าปริวาสกรรม เรยี ก พระ วา่ ตุ๊ และ เรียก เณร ว่า พระ)
มีกาหนด ๑๐ วัน ระหว่างวันขึ้น ๕ ค่า ถึง • เดือน ๘ (มิถุนายน) ประเพณีเลี้ยงเมืองเล้ียง
วันขึ้น ๑๕ ค่า กับการเข้ากรรมน้อยหรือการ บ้าน จัดในวันข้างแรมเป็นการเซ่นไหว้
เข้ารุกขมูลกรรม มีกาหนด ๗ วัน ไม่ถือวัตร บวงสรวงดวงวิญญาณเจ้าฟ้าที่คุ้มครองเมือง
ปฏิบัติเคร่งครัดเหมือนเข้า กรรม หลวง และเทวดาทค่ี ุ้มครองหมบู่ ้าน
ส่วนมากจะนิยมจัดการเข้ากรรมหลวง และ • เดือน ๙ (กรกฎาคม) ประเพณีเข้าวัสสา
ชาวเชียงตุงถือว่าพระสงฆ์ท่ีไม่เคยต้องอาบัติ (เข้าพรรษา) ประเพณีสวดกลางใจศีล เป็น
สังฆาทิเสส ก็สามารถเข้ากรรมหลวงได้ เพ่ือ ก า ร ส ว ด ม น ต์ สื บ ช า ต า ส ะ เ ด า ะ เ ค ร า ะ ห์ ใ ห้
ชาระศีลให้บรสิ ุทธิ์ยง่ิ ขนึ้ ประชาชนอยู่เย็นเปน็ สุข มกั จดั ในวันพระที่ ๒
หลังเข้าพรรษา แต่บางวดั อาจจัดในเดอื น ๑๐
• เดือน ๓ (มกราคม) ประเพณีเลี้ยงหนองตุง ข้างแรม ประเพณีส่งเคราะห์เมืองเป็นพิธี
เป็นพิธีเซ่นไหว้บวงสรวงวิญญาณบรรพบุรุษ สืบชะตาเมอื ง จดั พิธี ณ ใจกลางเมอื งเชียงตุง
ผู้ปกครองเมืองเชียงตุง นิยมจัดในวันแรม • เดือน ๑๐ (สิงหาคม) ประเพณีสูตมนต์ไล่ผี
๓ คา่ หรอื วันท่ีตรงกบั วันกาดเท่า ปล่อยเผต หรือพิธีสวดมนต์ขับไล่พวกผีเปรต
ไม่ให้มารังควานหอเจ้าฟ้า และทาความ
• เดือน ๔ (กุมภาพันธ์) ประเพณีทานธรรม เดือดร้อนแก่ผู้คน จัดในวันขึ้น ๑๕ ค่า ท่ีหอ
น้าอ้อย สมัยก่อนนิยมแต่งงานกันในช่วงนี้ เจ้าฟ้า โดยมีเจ้าฟ้าเป็นประธาน ชาวเชียงตุง
ซ่ึงอ้อยกาลังแก่ และให้น้าหวานอย่างเต็มที่ ในปัจจุบันไม่รู้จักประเพณีนี้ เน่ืองจากทหาร
จึงมีการทาบุญฟังธรรมและถวายทานนา้ อ้อย พม่ายกเลกิ ระบบเจา้ ฟา้ และรื้อทาลายหอเจ้า
เพ่อื ความเป็นสริ มิ งคลในการครองเรือน ฟา้ ไปแลว้ จงึ ไมม่ กี ารทาพิธนี ไ้ี ปโดยปริยาย
• เดือน ๑๑ (กนั ยายน) ประเพณตี ัง้ ธรรมเวสสนั
• เดือน ๕ (มีนาคม) ประเพณีขึ้นธาตุเจดีย์ ตระ หรือเทศน์มหาชาติประเพณีทานธรรมค้า
หนองผา หรืองานสมโภชพระธาตุหนองผา นาม คือ การทานธรรมประจาวันเกิด และปี
จัดในวันข้ึน ๑๕ ค่า ประเพณีเล้ียงกาด เกิดของเจ้าภาพ มักจัดพร้อมไปกับการต้ัง
คือการเซ่นไหว้บวงสรวงวิญญาณเทวดา ธรรมเวสสันตระ
ท่ีรักษาดูแลตลาดเก่า จัดในวันแรมท่ีเป็นเลข • เดือน ๑๒ (ตุลาคม) ประเพณอี อกวสั สา (ออก
คี่ และตรงกับวันกาดเท่าประเพณีราดอก พรรษา)
คือการบูชาพระรัตนตรัยด้วยดอกไม้ต่าง ๆ
จดั ในวนั ข้ึน ๑๕ ค่า ประเพณีการแหไ่ มเ้ กยี๊ ะ
• เดือน ๖ (เมษายน) ประเพณีสังขานต์ปีใหม่ ภาพจาก เชยี งใหมน่ วิ ส์, ๒๕๖๒
(สงกรานต์) เปล่ียนจุลศักราชใหม่ ชาวไทเขนิ
ถอื เปน็ ปีใหมเ่ ช่นเดียวกับล้านนา กลมุ่ ชาติพันธ์ุ ในจงั หวดั เชียงราย | ๑๖๕
• เดือน ๗ (พฤษภาคม) ประเพณีข้ึนธาตุเจดีย์
ทาบุญสมโภชพระธาตุสาคัญต่าง ๆ ท่ีบรรจุ
พระบรมสารีริกธาตุ ในวันข้ึน ๑๕ ค่า
ชาติพันธุ์ “ไทเขิน”
ภาพบรรยากาศงานปอยต้งั ธรรม ฟอ้ นนางนก หรือ ฟ้อนกินรกี ินรา
ภาพจาก ประชาสัมพนั ธ์ เทศบาบตาบลเวียงพางคา, ๒๕๖๑ ฟ้อนมองเซิง เป็นเอกลักษณ์ของศิลปะ
การแสดงอยา่ งหนึ่งของชาวไทเขิน ใช้แสดงในงานบญุ
ศิลปะการแสดงชาวไทเขิน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ฉลองสมโภชและขบวนแห่ต่าง ๆ ในการฟ้อนมองเซง้ิ
ทม่ี ปี ระชากรสว่ นใหญ่อาศยั อยู่ในเมืองเชียงตุง รัฐฉาน จะใช้ผู้หญิงแต่งกายด้วยเส้ือรัดรูปเอวลอยแขนสาม
ประเทศสหภาพเมียนมา ในจังหวัดเชียงรายมีกลุ่ม ส่วน มีสายหน้าป้ายข้าง มีผ้าโพกศีรษะ และนุ่งผ้าซิ่น
ไทเขินอาศัยอยู่หลายอาเภออย่างถาวร โดยจะมีการ ตามแบบไทเขิน ดนตรีประกอบการฟ้อนมองเซิ้ง ใช้วง
แ ส ด ง อ อ ก ท า ง วั ฒ น ธ ร ร ม ข อ ง ต น เ อ ง อ ย่ า ง ชั ด เ จ น กลองมองเซิง ซ่ึงคาว่า “มองเซิง” หมายถึง ฆ้องชุด
ปัจจุบันมีการดาเนินกิจกรรมทางวัฒนธรรมร่วมกับ ดังน้ันเคร่ืองดนตรีจึงประกอบไปด้วย กลองมองเซิง
หน่วยงานราชการอย่างตอ่ เน่อื ง ภมู ปิ ัญญาทางดนตรที ี่ ฆอ้ งขนาดใหญ่และเลก็ ไลเ่ รียงกันไปจานวน ๕ – ๙ ใบ
ปรากฏในพ้ืนท่ีสามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ ลักษณะ และฉาบใหญ่
คือ ดนตรีประกอบการแสดง และดนตรีประกอบการ
ขับร้อง ซ่ึงการแสดงดังกล่าวนิยมจัดในพิธีสืบชะตา ฟ้อนมองเซง้ิ
ห รื อ ต่ อ อ า ยุ ห มู่ บ้ า น เ พ่ื อ เ ป็ น พ ลั ง ใ ห้ แ ก่ ก ลุ่ ม ช น
พธิ ตี ้อนรับ หรอื พิธกี รรมสาคญั ทางศาสนา ภาพจาก งานมหศั จรรย์ ๑๐ ชาติพนั ธแุ์ มส่ าย
๑. ดนตรีประกอบการแสดง ไดแ้ ก่ การห้องราวง (ราวงแบบชาวไต) หรือราวง
ฟ้ อ น น า ง น ก ห รื อ ฟ้ อ น กิ น รี กิ น ร า ไทเขิน เป็นการแสดงท่ีได้รับความนิยมมากของชาว
เป็นศิลปะการแสดงของทั้งชาวไทเขินและชาวไทใหญ่ ไทเขิน เน่ืองจากสามารถแสดงได้ทุกเพศทุกวัย
การฟ้อนเลียนแบบการเคล่ือนไหวของกินนรี ซึ่งเป็น และสามารถให้ทุกคนมีส่วนร่วมกับกิจกรรมได้ ราวง
อมนุษย์อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ตามตานานของชาว ไทเขินมีลักษณะคล้ายการราวงของไทย ผู้แสดง
ไทใหญ่ ดนตรีประกอบการฟ้อนรานก หรือ ฟ้อนกินรี เปน็ หญิงยืนล้อมกันเป็นวงกลม มีการแปรแถว และรา
กินรา ใช้วงกลองก้นยาว ประกอบด้วย กลองก้นยาว ไปตามจังหวะของเพลง เคร่ืองดนตรีท่ีใช้ประกอบ
ฉาบ และฆ้องโหม่ง กระสวนจังหวะในการตีกลอง
ค่อนข้างเร็ว และมีเทคนิคลีลาในการตีให้เกิดเสียงท่ี
แตกต่างกัน เช่น การตีท้ังฝ่ามือ นิ้วมือ เพ่ือให้ได้เสียง
ที่หลากหลาย ฆ้องโหม่งใช้การตีเพ่ือคงจังหวะอย่าง
สม่าเสมอ และฉาบใช้การตีขัดจังหวะกับกลองและ
ฆอ้ งโหม่
๑๖๖ | กลุม่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจังหวดั เชียงราย
การแสดง ไดแ้ ก่ ซงึ กลอง และเกราะไม้ไผ่ ร่วมกับการ ชาติพันธุ์ “ไทเขิน”
ขับร้องเป็นภาษาไทเขิน คาร้องมีเน้ือหาเกี่ยวกับวิถี
ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทเขิน บทเพลงท่ีนิยมใช้ใน
การราวงไทเขิน ได้แก่ เพลง ราวงประเพณี ๑๒ เดือน
เน้ือหาของบทเพลงจะกล่าวถึงวิถีการดาเนินชีวิตของ
ชาวไทเขนิ ในแต่ละเดอื นในรอบปี
ตวั อักษรภาษาไทเขนิ
การหอ้ งราวง (ราวงแบบชาวไต) หรือราวงไทเขิน ตัวอักษรภาษาไทยเขินปัจจบุ นั
(แบบเรยี นจากโรงเรียนวดั ราชฐานหลวงหวั ข่วงเชียงตงุ
ภาพจาก งานมหัศจรรย์ ๑๐ ชาติพันธ์แุ ม่สาย โดยนายปฏพิ ทั ธ์ นามนวล
และพระมหาแสงแดง)
๔.๔ ภาษา
ในอดีต ภาษาที่ใช้พูดคือ ภาษาเขินหรือ ๔.๕ การแต่งกาย
ภาษาขึน ซ่ึงมีความคล้ายคลึงกับภาษาลื้อ ภาษาไทใต้ ในอดีต การแต่งกายของสตรีไทเขิน นิยมเสื้อ
คง และภาษายอง ภาษาเขินเป็นภาษาในกลุ่มภาษา ทต่ี ัดมาจากผ้าสขี าว หรือสชี มพู รวมถึงตัดดว้ ยผ้าแพร
ย่อยไทพายัพ ในกลุ่มภาษาคา - ไท ตระกูลภาษาไท - ที่นาเข้าจากประเทศจีน สวมใส่กันในผู้ท่ีมีฐานะดี
กะได ชาวเขินใช้อักษรชนิดเดียวกันกับชาวไทยวน ลั ก ษ ณ ะ เ สื้ อ จ ะ เ ป็ น ลั ก ษ ณ ะ เ ดี ย ว กั น กั บ เ ส้ื อ ปั๊ ด
เรียกว่า “อักษรธรรม” ท่ีมีอักขรวิธีคล้ายอักษรธรรม เอวกระดกเล็กน้อย นิยมเคียนหัวด้วยผ้าสีอ่อน
ล้านนา ส่วนตัวอักษรนั้นได้รับอิทธิพลอักษรจากไทย เช่นเดียวกบั ไทลอ้ื เครื่องประดบั จะนิยมเครือ่ งประดับ
วน จะคล้ายคลึงไปทางพม่าและภาษาไทใหญ่มากกว่า ทท่ี ามาจากเครือ่ งเงนิ ผ้าซิ่นส่วนบนเป็นลายริ้ว หรือท่ี
กล่าวคือ ตวั อกั ษรจะกลม หางสน้ั และมหี ยักนอ้ ยกว่า เรียกกันว่า “ซิ่นก่าน” ส่วนตีนจะต่อด้วยผ้าสีเขียว
อักษรล้านนา ภาษาพูดไทเขินจะมีระดับเสียงที่สงู กวา่ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อีกประการหนี่งของชาวไทเขิน
ถือเป็นลักษณะเฉพาะของภาษาเขิน ภาษาไทเขิน
ในแต่ละพ้ืนท่ีก็จะมีสาเนียงที่แตกต่างกันออกไปบ้าง กลุม่ ชาตพิ ันธุ์ ในจังหวัดเชยี งราย | ๑๖๗
เลก็ น้อย
ปจั จบุ ัน ยงั คงใช้ภาษาพดู และเขียนภาษาเขิน
เหมือนเดิม และภาษาไทยบางส่วนที่เคยได้รับการ
เรียนภาษาไทยจะสามารถพูดและอ่านภาษาไทยได้ดี
โ ด ย เ ฉ พ า ะ เ ด็ ก ส มั ย ใ ห ม่ จ ะ ส า ม า ร ถ พู ด อ่ า น เ ขี ย น
ภาษาไทยได้ชัดเจน รวมถึงภาษาท่ีสามท่ีโรงเรียน
หรอื สถาบนั การศึกษาไดถ้ ่ายทอดมาให้
ชาติพันธุ์ “ไทเขิน” ในงานสาคัญหรืองานพิธตี ่าง ๆ แต่ปกติแต่งกายจะใส่ ๔.๖ องคค์ วามรู้และภูมปิ ัญญา
เช้อื สพี ื้นและผ้าซนิ่ หัตถกรรมพนื้ บ้านของชาวไทเขิน ได้แก่
การทาตุง คือ ธง หรือ ธงตะขาบ แบ่งเป็น
ก า ร แ ต่ ง ก า ย ข อ ง บุ รุ ษ ไ ท เ ขิ น เ มื อ ง ย อ ง ๒ ประเภท คือ ตุงมงคล ตุงรูปคน, ตุงไส้จ๊าง และตุง
นิยมเสือ้ คอกลม ผ่าหนา้ กระดมุ ผา้ แบบจีน นงุ่ เต่ยี วโย้ อวมงคล โดยจะนาตุงท่ีทามาใช้ในโอกาสต่าง ๆ เช่น
เหมือนกางเกงแบบจีน ในโอกาสที่สาคัญบุรุษชาว วั น สาคัญ ทาง พ ระ พุทธ ศาสนา วั น สง ก รานต์
ไทเขินจะนิยมสวมเส้ือคอปกไว้ภายในอีกด้วยเพื่อ งานทาบุญปอยหลวง งานประเพณี งานพิธีมงคลต่าง
ความเรียบร้อย นิยมเคียนหัวและมัดเอวด้วยผ้าแพร รวมถึงงานอวมงคลด้วย
พรรณสีอ่อนในคนท่ีมีฐานะดี (กองส่งเสริมเสริมศิลปะ การทาโคม แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ โคมไฟ
และวัฒนธรรม, มหาวทิ ยาลยั หอการค้าไทย) (โกม) และโคมลอย (วา่ ว)
การทาครกจากไม้ เป็นของใช้สาหรับ
ตาข้าวเปลือก งา ถั่ว แป้ง ข้าวเม่า แต่ส่วนใหญ่
ในสมยั ก่อนมุ่งตาขา้ วเปลือกเป็นหลัก
การสานกล่องใส่ข้าว หรือ กระติ๊บข้าว
เหนยี ว จากไม้ไผ่
การแต่งกายของผู้หญงิ ชาวไทเขิน ครกไม้ของชาวไทเขิน
ภาพจาก https://www.facebook.com/WasinThaiTextiles
ปัจจุบัน ชาวไทเขินในหมู่บ้านผาแ ตก
(บ้านผาคา) ม.๑๐ ตาบลเวียงพางคา อาเภอแม่สาย
จัวหวัดเชียงราย ปกติแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเหมือน
ชาวไทยสมัยใหม่ท่ัวไป เส้ือยืด กางเกง ผ้าซ่ิน
แต่ในช่วงเทศกาล วันสาคัญทางศาสนา หรือพิธีกรรม
ต่าง ๆ จะแต่งกายดว้ ยชุดในลกั ษะเดยี วกับในอดตี
๑๖๘ | กล่มุ ชาตพิ ันธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย
๕. แหล่งอ้างอิง สมั ภาษณ์ ชาติพันธุ์ “ไทเขิน”
นายสุรินทร์ เรือนจินนา ผู้นาชุมชน ผู้ช่วย
กรด เหล็กสมบูรณ์. (๒๕๖๒). การศึกษาภูมิปัญญา ผูใ้ หญ่บา้ นฝา่ ยรักษาความสงบ ๖๔๙ หมู่ ๑๐ หมู่บา้ น
การดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธ์ุ ผาแตก ตาบลเวียงพางคา อาเภอแม่สาย จังหวัด
ไทขึนในประเทศไทย สาธารณรัฐแห่ง เชยี งราย. (๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔). สมั ภาษณ์
ส ห ภ า พ เ มี ย น ม า แ ล ะ ส า ธ า ร ณ รั ฐ
ประชาธิปไตยประชาชนลาว. สถาบันวิจัย กล่มุ ชาติพันธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย | ๑๖๙
สังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เบญจวรรณ สุขวัฒน์. (๒๕๕๘). การปรับตัวของกล่มุ
ชาติพันธุ์ไทเขิน : การต่อรองเพ่ือสิทธิการ
เป็นพลเมือง ทางวัฒนธรรม, วิทยานิพนธ์
ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาไทศึกษา
มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม
บพิตร วิทยาวิโรจน์. (๒๕๕๑). กรณีศึกษาวิถีชีวิตไท
เขิน และการคงอยู่ของเรือนไทเขินในเขต
ชุมชนเมือง กรณีศึกษา: เรือนไทเขินชุมชน
บ้านต้นแหนน้อย อาเภอสันป่าตอง จังหวัด
เชยี งใหม่
ฐานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น. (๒๕๖๐). รายงานผล
ก า ร ด า เ นิ น โ ค ร ง ก า ร สื บ ท อ ด ภู มิ ปั ญ ญ า
ท้องถ่ินเทศบาลตาบลเวียงพางคา, ตาบล
เวียงพางคา อาเภอแมส่ าย จังหวดั เชียงราย
พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. (๒๕๔๗). ประวัติศาสตร์พระ
เ จ้า พ รหมมหา ราชในตานานล้านนา
[อินเทอร์เน็ต]. สืบคืนเมื่อ ๑๕ กรกฎาคม
๒ ๕ ๖ ๔ . ไ ด้ จ า ก : https://www.silpa-
mag.com/history/article_๙๓๙๔
สานักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชยี งราย. (๒๕๕๙). เสน่ห์
เชียงรายหลากหลายชาติพันธุ์. ห้างหุ้นส่วน
สามัญนติ ิบุคคล มหานทีแมกกาซนี : เชยี งใหม่
ศูนย์เรียนรู้ชาติพันธุ์ไทในล้านนา [อินเทอร์เน็ต].
(๒๕๕๘). สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัย
เชียงใหม่. สืบคืนเม่ือ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔.
ได้จาก: http://site.sri.cmu.ac.th/
องอาจ อินทนิเวศ. (๒๕๕๗). ภูมิปัญญาดนตรีของ
กลุ่มชาติพันธุ์ไทเขิน ไทลื้อ และลาหู่ ใน
พ้ืนที่เทศบาลตาบลบ้านดู่ จังหวัดเชียงราย.
วารสารวิจัยเพ่ือการพัฒนาเชิงพ้ืนที่, ปีที่ ๖
ฉบับที่ ๓ มกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
ชาติพันธุ์ “ไทใหญ่”
ชาติพันธุ์ “ไทใหญ”่
Shan
“กลุ่มชาติพันธ์ุท่ีเรียกตัวเองว่า “ไต” ..................................................................................
น้ัน อาศัยอยู่บนแผ่นดินใหญ่เอเชีย นับต้ังแต่ตอน พม่า ซึ่งหมายถึงความสัมพันธ์ท่ีเข้มแข็ง ระหว่าง
เหนือของประเทศเวียดนาม ตลอดแนวตอนใต้ของ ล้านนาเชียงใหม่ และเชียงตงุ ดังน้ันอทิ ธพิ ลของอาณา
ประเทศจีน ประเทศลาว ประเทศไทย ทางตอนเหนอื นิคมอังกฤษ และการขยายการปกครอง ของสยาม
ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ พ ม่ า ไ ป จ น ถึ ง แ ค ว้ น อั ส สั ม ท า ง ประเทศ ได้เผยให้เห็นฐานการสร้างพื้นท่ีชายแดน
ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย ด้วยการ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการนาไปสู่การกาหนด ตัวตนทาง
กระจายตัวไปต้ังรกรากถิ่นฐานในพื้นที่แตกต่างกัน พ้ืนท่ีของเมืองแม่สายในช่วงท้ายของศตวรรษที่ ๑๙
พวกเขาจึงมชี อื่ เรียกมากมาย ตามประเทศและกล่มุ คน โดยเฉพาะการเป็นเมืองการค้าระหว่าง เชียงใหม่และ
ท่ีตนอาศัยอยู่ร่วม คนไต แต่เดิมถูกเรียกหรือจัดให้อยู่ เชยี งตงุ ทั้งนค้ี วามสัมพันธ์ดังกลา่ ววางอยู่บนเครือข่าย
ในกลุ่มเดียวกับ ชาน (ฉาน) สยาม เสียม หรืออาหม ทางการค้าของกลุ่มชาติพันธุ์ อย่างน้อยสองกลุ่มหลัก
ส่วนคาว่า “ไทใหญ่” น้ันพบว่าเป็นคาท่ีคนไทยใน คือ ชาวไทใหญ่ (เงี้ยว หรือ ฉาน) และจีนฮ่อ (จีน
ประเทศไทยเทา่ น้นั ทีใ่ ชเ้ รียกกลุ่มชาตพิ นั ธ์นุ ้ี” ยูนนาน) ซ่ึงเป็นเงื่อนไข สาคัญเติบโตของเมือง
ชายแดนแม่สาย ดังนั้นในการทาความเข้าใจเก่ียวกับ
๑. ประวตั ิศาสตร์ความเป็นมาของชาตพิ ันธ์ุ การเติบโตของเมือง ชายแดนต้องมองท้ังในระดับ
ภูมิภาค (regional) และท้องถ่ิน (local) และไม่ได้
ในอดีตน้ัน อาณาจักรล้านนาถูกปกครองโดย หมายความเพียง เร่ืองของการข้ามไปมาหาสู่กันของ
พม่าระหว่างศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ ได้นาไปสู่การ ผคู้ น และคนเหล่าน้ียงั มกี ารกอ่ รปู และพฒั นาเครือข่าย
เปล่ียนแปลงบริเวณพ้ืนที่ชายแดนในศตวรรษที่ ๑๙ ระดับ ภูมิภาค การเคล่ือนย้ายของกลุ่มชาติพันธุ์
กล่าวคือ หน่ึง ความสัมพันธท์ ี่เหนียวแนน่ ขึ้น ระหว่าง ซง่ึ ขณะนัน้ เปน็ ไปอย่างแพรห่ ลายและกวา้ งขวาง
รัฐฉานและล้านนา ภายใต้เง่ือนไขทางการเมืองของ
๑๗๐ | กลุ่มชาติพันธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย
ช า ว ไ ท ใ ห ญ่ มี ค ว า ม เ ก่ี ย ว ข้ อ ง กั บ ล้ า น น า ในรัฐฉานตอนกลางไปอยู่ยังสถานที่แห่งใหม่ที่รัฐบาล ชาติพันธุ์ “ไทใหญ่”
มาตลอด เป็นความสัมพันธ์ทางด้านเครือญาติ จดั ให้ (Relocation Program) เพือ่ งา่ ยต่อการควบคุม
และวัฒนธรรม เช้ือสายของราชวงศ์มังรายไดป้ กครอง และไม่ให้ช่วยเหลือกองกาลังต่อต้าน ทาให้ชาวบ้านมี
เมืองไทใหญ่ และเช้ือสายของไทใหญ่เคยเป็นกษัตริย์ ความเป็นอยู่ที่ลาบาก ประกอบกับความโหดร้ายท่ี
ปกครองล้านนา คือ เจ้าเมกุฎสุทธิวงศ์ (เจ้าแม่กุ) รัฐบาลทหารพม่าใช้ในการปกครองพวกเขา ทาให้ชาว
กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์มังรายก่อนท่ีจะตกอยู่ ไ ท ใ ห ญ่ บ า ง ก ลุ่ ม ตั ด สิ น ใ จ ท่ี จ ะ อ พ ย พ ห นี เ ข้ า ม า ยั ง
ภายใต้การปกครองของพม่า ในสมัยตระกุลกาวิละ ภาคเหนอื ของไทย
เชื้อวงศ์เจ้าเจ็ดตน ก็มีความสัมพันธ์ด้านเครือญาติกับ
เชื้อสายเจ้าฟ้าหลวงไทใหญ่ แต่ในบางยุคสมัยล้านนา แม่สายเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณเหนือสุดของ
ไทยกับรัฐไทใหญ่ก็เกิดความขัดแย้งบาดหมางกัน ประเทศไทย ห่างจากกรุงเทพมหานคร ๘๙๐ กิโลเมตร
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มหาอานาจตะวันตกเข้ามา พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาและพ้ืนท่ีการเกษตร แม่สาย
แทรกแซงทางการเมืองในพทุ ธศตวรรษที่ ๒๔ – ๒๕ เรียกชื่อตาม “แม่น้าสาย” ที่ไหลผ่าน และกลายมา
เป็นพรมแดนระหว่างไทย - พม่า แม่น้าสายมีต้น
การเคล่อื นย้าย หรือการไปมาหาสขู่ องผู้คนใน กาเนิดในรัฐฉาน เมียนมาร์ ก่อนจะไหลผ่านมายัง
อาณาบริเวณดังกล่าว ส่วนหน่ึงคือกองคาราวานพ่อค้า แม่สายและไหลลงแม่น้ากกบริเวณอาเภอเชียงแสน
สัตว์ต่างชาวจีนฮ่อ และไทใหญ่ ท่ีเดินทางแลกเปล่ียน แม่น้าสาย กลายเป็นเสน้ แบ่งเขตแดน ระหว่างประเทศ
สินค้าต้ังแต่เมืองตาลี – เชียงตุง – เชียงราย – ไทย และเมียนมาร์ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ (ค.ศ. ๑๙๙๒)
เชียงใหม่ – ตาก – แม่สอด – มะละแหม่ง กอง นอกจากนี้แม่สายยังเป็นเมืองหน้าด่านของไทยท่ี
คาราวานเหล่านี้จะนาสินค้าประเภท ผ้าไหม หมวก สามารถเชื่อมไปยังเมืองด้านในของรัฐฉาน ตะวันตก
ฟาง กระทะทองแดง มันฮ่อ ฯลฯ จากเชียงรุ้งและ ได้แก่ เมืองพยาก เมืองโก เมืองเลน เมืองพง เมือง
เมอื งตาลมี าขายในเชียงใหม่ และ ซอื้ ผ้าดบิ เกลือ ปลา เชียงตุง เมืองหลวง เมืองลา ฯลฯ และ สามารถเช่ือม
แห้ง ก่อนจะลงไปซ้ือสินค้าสาเร็จรูปจากมะละแหม่ง ต่อไปยังเมืองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ประเทศ
กลบั มาขายในตลาดเมืองเชยี งตงุ สาธารณรัฐประชาชนจีน ซ่ึงอยู่ห่าง ราว ๓๘๕
กิโลเมตร จากอาเภอแม่สาย
ภายหลังการเข้าร่วมเป็นส่วนหน่ึงของพม่า
ชาวไทใหญ่ก็ยังมีสัมพันธ์กับเขตภาคเหนือของไทย ปั จ จุ บั น แ ห ล่ ง ชุ ม ช น ข อ ง ช า ว ไ ท ใ ห ญ่ ใ น
มกี ารอพยพโยกยา้ ยมาหลายครั้ง แตล่ ะครง้ั น้นั มปี ัจจัย เชียงราย กระจัดกระจายไปอยู่ตามท่ีต่าง ๆ ทั่วเมือง
และข้ันตอนในการย้ายถ่ินแตกต่างกัน เช่น เม่ือปี เชียงรายท่ีชุมชนวัดสันป่าก่อ หรือ ป่าก่อเง้ียว ท่ียังคง
พ.ศ. ๒๕๓๐ - ๒๕๓๒ มีการเปล่ยี นแปลงการปกครอง รักษาเอกลักษณ์ของชาวไทใหญ่ไว้โดยมีวัดสันป่าก่อ
ภายในพม่า ทหาร SLORC ยึดอานาจขึ้นปกครอง เป็นศูนย์กลางของชุมชน ส่วนนอกเขตอาเภอเมือง
ประเทศ เป็นช่วงเดียวกับท่ีรัฐบาลไทยมีนโยบาย เชียงราย ชาวไทใหญ่อาศัยอยู่ตามอาเภอต่าง ๆ ไดแ้ ก่
เปิดรับแรงงานต่างชาติ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลน บ้านป่ายางผาแตก, บ้านสันทรายปู่ยี, บ้านป่าเหมือด,
แรงงานไทย ทาให้มีชาวไทใหญ่อพยพเข้ามายัง บ้านถ้าผาจม และบ้านเกาะทราย อาเภอแม่สาย บ้าน
ประเทศไทยจานวนมาก อีกคร้ังท่ีมีการอพยพครั้ง ม่วงชมุ อาเภอพาน บา้ นห้วยนา้ ขนุ่ อาเภอแม่จนั และ
ใหญ่คือ ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ รัฐบาลทหารพม่า SLORC บา้ นเทอดไทย อาเภอแมฟ่ า้ หลวง
สั่งให้ชาวไทใหญ่ออกจากท่ีอยู่ด้ังเดิมตามเมืองต่าง ๆ
กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย | ๑๗๑
ชาติพันธุ์ “ไทใหญ่” นอกจากชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธ์ว่า “ไทใหญ่” การตัดสินใจเร่ืองต่าง ๆ ลูกหลานมักจะปรึกษา
แล้ว ยังมีชื่อที่กลุ่มชาติพันธ์เรียกตนเองอีกหลายช่ือ ผู้อาวุโสเสมอ นอกจากนั้นผู้อาวุโสจะเป็นผู้เลี้ยงดู
คือ ไต, คนไต, ไตโหลง, ไตหลวง, ไตใหญ่, ไทหลวง หลาน ส่ังสอนและถ่ายทอดประเพณีและพิธีกรรม
และยังมีช่ือท่ีคนอื่นใช้เรียกชาวไทใหญ่ คือ ไทใหญ่, (วันดี สนั ติวฒุ เิ มธี, ๒๕๔๕)
เงีย้ ว, ฉาน, ชาน, ชาวไต, ไทเหนอื , ไทมาว ซงึ่ ถอื ไดว้ ่า
ชื่อทั้งหมดหมายถึงกลุม่ ชาติพนั ธุ์ “ไทใหญ่” ระบบครอบครัวของชาวไทใหญ่จะอาศัยอยู่
ร่วมกันในระบบเครือญาติ เร่ิมต้นจากหน่ึงครัวเรือน
๒. โครงสรา้ งทางสังคม ประกอบด้วย พ่อ แม่ และลูก รวมถึง ปู่ ย่า ตา ยาย
หรอื ลูกพล่ี กู น้อง มีพอ่ เปน็ ผนู้ าครอบครวั ทาหนา้ ท่ีดูแล
๒.๑ การปกครอง คนในครอบครัว การแบง่ พ้ืนท่ใี ช้สอย ชายและหญิงให้
การปกครองของชาวไทใหญ่ ในอดีตจะมผี ้นู า ความสาคัญกับเพศชายมากกว่าเพศหญิง การใช้พ้ืนที่
ชุมชุมเป็นผู้นาในการปกครองคนในหมู่บ้าน แต่ใน แยกส่วนนอน พื้นท่ีซักและพ้ืนท่ีตากเส้ือผ้า ส่วนของ
ปัจจุบันการปกครองจะเป็นไปตามระเบียบการ พอ่ และลูกชายตากแยกบนท่ีสูงกว่าของแม่และลูกสาว
ปกครองของประเทศไทย คอื ผใู้ หญบ่ ้าน กานนั อบต. ท่ีมักซักและตากในพ้ืนท่ีต่ากว่าหรือตากใต้ถุนเรือน
เป็นผู้ดูแลและปกครองความเป็นอยู่ของชาวไทใหญ่ใน การแบ่งหน้าที่รับผิดชอบในครัวเรือน หากพ่อและแม่
หมู่บ้าน นอกจากนี้ยังมีการบริหารจัดการชุมชนใน ไปทางานนอกบ้าน จะมีลูกผู้หญิงทาหน้าที่ดูแลบ้าน
รูปแบบคณะกรรมการชุมชนและประชาคมชุมชน เล้ียงสัตว์ หุงหาอาหารให้กับคนในบ้าน ส่วนลูกชาย
หมูบ่ ้านเพอ่ื การบรหิ ารจัดการชมุ ชน จะรับจ้างทางานนอกบ้านหรือไม่ก็ออกไปช่วยพ่อแม่
๒.๒ ผู้นา/บคุ คลสาคญั ทางาน เช่นเดยี วกัน
ผู้นาชุมชนของชาวไทใหญ่ในปัจจุบัน จะเป็น
ผู้นาแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ผู้นาเป็น ปัจจุบัน ครอบครัวของชาวไทใหญ่รุ่นลูกรุ่น
ทางการได้แก่ กานัน ผู้ใหญ่บ้าน ข้าราชการ เช่น ครู หลาย จะมีการแยกครอบครัวเกิดขึ้น ซ่ึงการแยก
เจ้าหน้าท่ีสาธารณสุข อบต. ตารวจ เป็นต้น ส่วนผู้นา ครอบครัวน้ีจะเกิดข้ึนหลังจากแต่งงาน ชายหรือหญิง
ท่ีไม่เป็นทางการ ได้แก่ ผู้สูงอายุในหมู่บ้าน พระสงฆ์ จะออกไปสร้างเรือนหลังใหม่ของตัวเอง โดยลูกชาย
ซ่ึงคนในหมู่บ้านจะมาขอคาปรึกษาในกรทากิจกรรม ทแี่ ตง่ งานแล้วอาจจะยงั อาศัยอยู่กับบิดามารดากไ็ ด้
ต่างๆในหมู่บ้าน โดยเฉพาะกิจกรรมด้านวัฒนธรรม
ประเพณี ๓. วถิ ีชีวิตความเป็นอยู่
๒.๓ ระบบครอบครวั และเครอื ญาติ
ระบบเครือญาตแิ ละระบบอาวุโส เปน็ พน้ื ฐาน ๓.๑ ที่อยูอ่ าศัย
ความสัมพันธ์ทางสังคมของชาวไทใหญ่ แต่ละระบบ ในอดีตระบบการต้ังถ่ินฐานของชาวไทใหญ่
เครือญาติจะมีผู้อาวุโสเป็นกลไกสาคัญในการสร้าง จะเป็นการต้ังถ่ินฐานแบบกระจาย บ้านเรือนแต่ละ
ความสัมพันธ์ ซ่ึงระบบเครือญาติจะมีคาเรียกแบ่งไป หลังจะมียุ้งฉาง คอกสัตว์ และมีโรงเก็บเครื่องมือต่าง
ตามรุ่นและลาดบั อายุ เชน่ พี่ ปา้ น้า อา ปู่ ยา่ ตา ยาย ๆ ของเกษตรกรต้ังอยู่ในพื้นที่การเกษตรของตนเอง
เป็นต้น โดยปู่ย่าตายายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดและมี และอาจเรียกว่าการกระจายในลักษณะโดดเด่ียว
ความสาคัญต่อสมาชิกในครอบครัว จะเห็นได้ว่าก่อน ความห่างของบ้านเรือนข้ึนอยู่กับขนาดท่ีดินแต่ละ
ครอบครัว การต้ังถ่ินฐานแบบนี้จะมีศูนย์กลางรว่ มกัน
๑๗๒ | กล่มุ ชาติพนั ธ์ุ ในจงั หวัดเชยี งราย เช่น วัด โรงเรียน สถานีอนามัย ตลาด เป็นต้น การต้ัง
ถิ่นฐานในบริเวณที่เกษตรกรประกอบอาชีพเกี่ยวกับ ๓.๒ การประกอบอาชีพ ชาติพันธุ์ “ไทใหญ่”
การทาไร่ เช่น ไร่นา การทาเศรษฐกิจพอเพียง รวมทัง้ ในอดีตพ้ืนฐานการดาเนินชีวิต ของชาวไท
ชาวสวนทาสวนผลไม้ โดยกระจายอยู่ไม่ไกลนักใน ใหญ่มาจากการทาเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม ดังน้ันสว่ น
พ้ืนท่ีสวนของแต่ละครอบครัว แนวเขตของสวนจะมี ใหญ่จึงมีอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก วิถีชีวิตยังมีการ
คคู ลองก้นั การตง้ั ถ่ินฐานแบบนี้ทาให้ไม่เสยี เวลาในการ ใช้ประโยชน์ จากความหลากหลายทางชีวภาพของพืช
เดินทางไปกลับระหวา่ งพื้นที่เกษตรกบั บ้าน ดังนีน้ จึงมี ในป่าธรรมชาติ เช่น การหาไม้มาทาฟืน การเก็บ
เวลาการดูแลผลผลติ คอื ใชท้ งั้ เพาะปลกู และเลีย้ งสัตว์ ใบตองตึง ใบพลวง มาทาหลังคาบ้านหรือผนังบ้าน
เก็บเห็ด หน่อไม้หรือพืชอาหารอ่ืน ๆ รวมท้ังสมุนไพร
ปัจจุบันชาวไทใหญ่ในอาเภอแม่สายมีระบบ ซง่ึ ชาวบ้านสามารถเข้าไปใชห้ รือเกบ็ หาทรพั ยากรจาก
การตั้งถ่ินฐานตามแนวเส้นคมนาคม ลักษณะการต้ัง ป่า ได้ตลอดท้ังปี
บ้านเรือนจะเป็นแนวยาวตามเส้นทางคมนาคมท่ี ปัจจุบันสังคมเมืองและความเจริญเข้ามาสู่
สะดวก โดยอาจจะตั้งอยู่เป็นกลุ่มติดต่อกันในเขตท่ี หมู่บ้าน การประกอบอาชีพส่วนใหญ่ของชาวไทใหญ่
เป็นชุมชนการค้าหรือทางแยกของเส้นทางคมนาคม จึงเปลี่ยนแปลงไป โดยอาชีพส่วนใหญ่จะเป็นการ
ส่วนบริเวณที่อยู่ไกลออกไปอาจมีการตั้งบ้านเรือน รับจ้างทั่วไป การทาการเกษตร และบางส่วน
ห่างกัน สาหรับพื้นท่ีเกษตรจะอยู่บริเวณด้านหลัง ประกอบการค้าขาย อาชพี หลกั ของชาวไทใหญ่ ได้แก่
ของทอ่ี ยูอ่ าศัย การรับจ้างทั่วไป การทาการเกษตร และการค้าขาย
๓.๓ อาหาร
บ้านเรือนของชาวไทยใหญ่มีลักษณะเด่น คือ ชาวไทใหญเ่ ป็นกลมุ่ ชาติพนั ธุเ์ ดียวในลา้ นนาที่
หลังคายอดแหลม ๒ เรือน มีชานย่ืนไปด้านหน้า มีห้ิง นิยมทานข้าวจ้าวเป็นหลัก ใช้ผักเป็นวัตถุดิบหลักใน
หม้อน้าหน้าบ้าน ใต้ถุนสูง เป็นบ้านที่มีพ้ืนที่ใช้ การประกอบอาหาร โดยเคร่ืองปรุงได้มาจากพืชผัก
ประโยชน์ได้เอนกประสงค์ กั้นบางส่วนเป็นห้องครัว ธรรมชาติ เช่น พริก เกลือ หอม กระเทียม เคร่ืองปรงุ
ชานมีไว้สาหรับตากพืชผล หรือรับแขกผู้มาเยือนใน สาคัญทีเ่ ปน็ เอกลกั ษณ์ของอาหารไทใหญ่คอื “ถัว่ เน่า”
บางโอกาส สาหรบั ใตถ้ ุนใช้เปน็ ทเี่ ก็บพืชพันธ์ุ ผลผลิต หรือถั่วเหลืองหมัก มีทั้งถั่วเน่าแผ่น เรียกว่า ถ่ัวเน่า
ท า ง ก า ร เ ก ษ ต ร ห รื อ เ ป็ น ที่ อ ยู่ ข อ ง สั ต ว์ เ ล้ี ย ง แข็บ และถัว่ เหลอื งท่ีหมักและบดละเอยี ดโดยจะเก็บไว้
และทีส่ าคญั มคี วามโล่งโปรง่ เปิดกว้าง ในลกั ษณะคล้ายการเก็บน้าพรกิ ตาแดงจะไม่ทาให้แห้ง
ใช้แทนกะปิ เรียกว่าถั่วเน่าเมอะ อาหารที่ข้ึนชื่อของ
ตวั อย่างบา้ นของชาวไทใหญ่ คนไทใหญ่ เช่น จ๊ินลุง อุบ๊ ไก่ ขา้ วสม้ เปน็ ต้น
ภาพจาก http://khobjaithailand.com • ถ่ัวเน่า เป็นอาหารและเคร่ืองปรุงหลักของ
อาหารของชาวไทใหญ่ ถอื เป็นภมู ปิ ัญญาแบบ
ท้องถิ่นในการที่จะถนอมอาหารยืดอายุของ
อาหารทาให้เก็บไว้กินได้นานข้ึน แต่เดิมชาว
ไทใหญ่จะทาถั่วเน่ากินเอง โดยต้มถ่ัวเหลือง
แล้วนามาหมักจนเป่ือย เรียกว่าถ่ัวเน่าซา
โขลกถ่ัวเน่าซาใหล้ ะเอียด ห่อด้วยใบตองแล้ว
กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ในจงั หวัดเชียงราย | ๑๗๓
ชาติพันธุ์ “ไทใหญ่” นาไปนึ่งหรือย่าง จะเรียกถ่ัวเน่าเมอะ หรือ ใ ห ม่ ต า ม ขั้ น ต อ น แ บ บ ดั้ ง เ ดิ ม ทุ ก ป ร ะ ก า ร
นาไปกดเป็นแผ่นแบนๆ นาไปตากแห้งเรียก เ ริ่ ม จ า ก ก า ร ต า ข้ า ว เ ห นี ย ว น่ึ ง สุ ก ด้ ว ย ค ร ก
ถั่วเน่าแข็บ ถั่วเน่าจะถูกนามาใช้ เป็น กระเด่ืองจนขา้ วกลายเปน็ แปง้ เหนยี ว จงึ ผสม
เคร่ืองปรุงหลักร่วมกับกะปิและเกลือในการ น้าตาลอ้อยลงไปตาให้เข้ากันจนได้เนื้อแป้งสี
ปรงุ อาหารตา่ ง ๆ ของชาวไทใหญ่ น้าตาลอ่อน เมื่อได้แป้งตามท่ีต้องการแล้ว
จากนั้นจึงนามาปั้นเป็น ก้อนกลมเล็ก ๆ
ถว่ั เนา่ ก่อนจะนามารีดให้เป็นแผ่นกลมบาง ๆ นาไป
ตากแดดประมาณคร่ึงวนั ปจั จุบนั มี ๒ รส คือ
• จิ้นลุง คือ การนาหมู หรือเน้ือบด มาป้ันเป็น แบบหวานน้าอ้อย และแบบปรุงเคร่ือง (พริก
ลูกกลมๆ เป็นอาหารไทยใหญ่ จ้ินคือเน้ือ เกลือ ต้นหอม) เมื่อตากได้ที่แล้วจะได้เป็น
ลุง แปลว่า ลา หรือก้อน มาจากภาษาพม่า แผ่นแป้ง แข็ง บาง สามารถเก็บไว้ได้หลาย
นิยมทานคู่กับข้าวส้มจิ้นลุง จะใช้หมูสับมา เดือน วิธีรับประทานคือ นามาย่างเตาถ่าน
ผสมกับเครื่องเทศ สมุนไพร เครื่องแกง แผ่นแปง้ จะฟองตวั กลน่ิ หอม กรอบอร่อย
แล้วปั้นเป็นลูกกลมๆ มีรสชาติเผ็ดนิด ๆ
รสชาตคิ ลา้ ยไส้อัว่ • ข้าวแรมฟืน หรือข้าวแรมคืน เป็นอาหาร
พื้นเมืองที่ของชาวไทยใหญ่ มีสามชนิดซ่ึงแต่
• ข้าวส้ม ของชาวไทใหญน่ นั้ คอื การหงุ ข้าวเจ้า ละชนิดมีสว่ นผสมแตกตา่ งกนั ออกไป ได้แก่
ให้สุกแล้วนาไปคลุกกับมะเขือเทศลูกเล็ก ๆ ๑. ข้าวแรมฟืนข้าว มีส่วนผสมเป็น
ท่ีเรียกว่ามะเขือส้ม เพราะมีรสเปร้ียวกว่า แป้งข้าวเจ้าที่ต้มสุกจนมีลักษณะคล้ายวุ้น
มะเขือเทศพันธ์ุอ่ืน ๆ โดยใช้รสเปร้ียวหวาน แล้วนาไปห่ันให้เป็นเส้นราดด้วยน้าราดท่ีทา
ธรรมชาติจากมะเขือเทศ เพิ่มโปรตีนด้วยการ จาก พริกตา ถั่วเน่า ถั่วลิสงค่ัว น้ากระเทียม
ใส่เนื้อปลาแม่น้าลงไปคลุกให้เข้ากัน หรือจะ และนา้ มะเขอื เทศ
ใส่มนั ฝร่ังต้มสุกแลว้ บดลงไปด้วยกันก็ได้ แล้ว ๒. ข้าวแรมฟืนถ่ัว มีสองแบบ คือ
ปั้นเป็นลูก เป็นข้าวปั้นรูปแบบไทใหญ่ท่ีให้ ถ่ัวลิสง จะมีสีม่วงอ่อน และถั่วเหลืองมีสี
คุณค่าทางอาหารพร้อมสรรพท้ังความเก๋เข้า เหลืองออ่ น
กบั ยคุ สมัย วิธีทา นาถั่วไปโม่จนกลายเป็นแป้ง
แล้วนามาต้มจนสุก แล้วนาไปใส่ถาดทิ้งไว้ให้
• ข้าวโคบ เป็นขนมทานเล่นของชาวไทใหญ่ แป้งกระด้างขึ้นรปู ลักษณะคล้ายวุ้น ราดด้วย
เ นื่ อ ง จ า ก ก ร ร ม วิ ธี ซั บ ซ้ อ น ห ล า ย ขั้ น ต อ น น้าราดท่ีมีส่วนผสมของน้าเต้าหู้ย้ีขาว น้ามัน
ส่วนใหญ่จึงจะ ได้ทานในช่วงงานเทศกาล กระเทียมเจียว กระเทียมเจียว พริกป่นคั่ว
สาคัญ ๆ และงานประจาของหมู่บ้านเท่าน้ัน ซีอิ๊วเค็ม น้าถั่วเน่าหรือน้าเต้าเจี้ยว และน้าสู่
แต่ปจั จุบนั ไดม้ กี ารทาขายท่ัวไป โดยได้นาเอา คือน้าที่ทาจากการหมักจากกล้วยและข้าวค่วั
ความรู้ในการทาข้าวโคบใน รัฐฉานมาผลิต นอกจากนี้ยังสามารถนาข้ามแรมฟืนมาทอด
โดยข้าวแรมฟืนที่มีลักษณะคล้ายเต้าหู้ทอด
๑๗๔ | กล่มุ ชาติพนั ธ์ุ ในจังหวดั เชียงราย วิธีทา เคร่ืองปรุงเหมือนกับข้าวแรมฟืนขาว
ต่างกันคือการนาแป้งที่สุกไปทอดจนกรอบ เครอื ข่ายศาสนาข้ามพรมแดนของชาวไทใหญ่ ชาติพันธุ์ “ไทใหญ่”
ข้าวแรมฟืนนิยมกินกับผักนานาชนิด เช่น ปรากฏอย่างเป็นรูปธรรม ในนามของ “หัวหมวด
ถ่ัวงอก กุย้ ชา่ ย กะหล่าปลี ถ่วั ฝักยาว ศรัทธา” หมายถึง เครือข่ายศรัทธาจากวัดต่าง ๆ
ซ่ึงเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ ครอบคลุมท้ังพ้ืนที่ทั้ง
ภาพซา้ ยบน : จนิ้ ลุง ภาพขวาบน : ข้าวสม้ ภายในแม่สาย ต่างจังหวัด และต่างประเทศ ดังน้ันแต่
ละวดั จะมีจานวนหัวหมวดศรัทธาใน จานวนทีแ่ ตกต่าง
ภาพซา้ ยล่าง : ข้าวโคบ ภาพขวาลา่ ง : ขา้ วแรมฟืน กัน ขึ้นอยู่กับความสามัคคีภายในชุมชนในการสร้าง
ปฎิสัมพันธ์กับวัดต่าง ๆ บทบาท สาคัญของหัวหมวด
๔. วฒั นธรรมและประเพณี ศรัทธา คือ การเดินทางมาร่วมงานประเพณีที่เกี่ยวขอ้ ง
กับการทานุบารุงศาสนา เช่น งานจุลกฐิน ผ้าป่า
๔.๑ ศาสนา สามัคคี งานทาบุญวิหาร ฯลฯ ระหว่างหมูบ่ ้านท้ังสอง
ศาสนาพทุ ธถือเปน็ สงิ่ ยึดเหน่ียวจิตใจของชาว แหง่ ความสมั พันธ์ ดังกล่าวเปน็ ลักษณะของการเอามือ
ไทใหญ่มาเนินนาน โดยเฉพาะรัฐเชียงตุง (ดินแดน เอาแรงในการทาบุญ โดยหมู่บ้านที่จัดงานบุญจะส่ง
มาตุภูมิของชาวไทใหญ่บ้านผาแตก) ได้รับเอา ข่าวไปยัง หมู่บ้านพันธมิตร จากน้ันหมู่บ้านพันธมิตร
พระพุทธศาสนาผ่านอาณาจักรล้านนา ความสัมพันธ์ จะระดมปจั จยั ไทยทาน และตน้ เงิน เพ่อื เตรียมไปรว่ ม
ระหว่างสองอาณาจักรเร่ิมต้ังแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ทาบุญ และจะมีการรวบรวมสมาชิกหมู่บ้านจานวน
๑๘ เป็นอย่างช้า ท้ังนี้ความสัมพันธ์ ทางการเมืองการ หนง่ึ เปน็ ตัวแทนหมู่บา้ นไปรว่ มงานบุญดงั กล่าว
ปกครองเป็นไปในลักษณะเครือข่ายญาติท่ีน้องที่
เก้อื กูลกนั ในรัฐสมยั ท่ีพระเจ้าพันตู (ราชบุตรพญาผายู กล่าวได้ว่า หัวหมวดศรัทธา สะท้อนให้เห็น
เจ้าเมืองเชียงใหม่) ข้ึนครองเชียงตุง ได้โปรดให้บูรณะ ปฏิบัติการที่น่าสนใจ ๒ ประการ กล่าวคือ ประการ
เมืองเสียใหม่ ท้ังนาเอา พระพุทธศาสนาจากเมือง แรก เป็นกุศโลบายสาคัญทมี่ ีส่วนในการธารงอตั ลักษณ์
เชียงใหม่ขึ้นไปเผยแพร่ พระองค์ทรงสร้างวัดใน ทางศาสนาของชาวไตทไี่ มไ่ ดอ้ ยู่ใน ประเทศของตนเอง
เชียงตุงถึง ๑๒ วัด หลังจาก รับเอาศาสนาพุทธจาก ได้อย่างแข็งแกร่งและคงความโดดเด่น ประการท่ีสอง
เชียงใหม่ ซึ่งมีท้ังนิกายสวนดอก และนิกายป่าแดง ในขณะท่ีพ้ืนที่กิจกรรมทาง ศาสนาได้ตอกย้าและ
พระสงฆ์ในเมืองเชียงตุงเอง ได้มีกระบวนการสร้าง นาไปสู่สานึกความเป็นชาวไตในแบบข้ามถิ่นท่ี ในทาง
อัตลักษณ์ของสงฆ์เมืองเชียงตุงในหลากหลายมิติ กลบั กัน “หัวหมวด ศรทั ธา” ยงั ทาหนา้ ทีผ่ ลิตซา้ ความ
แต่ท่ีโดดเด่นคือ การปกครองสงฆ์โดยประเพณีดั้งเดมิ เปน็ สมาชกิ ทางสงั คมในแบบข้ามรฐั ข้ามชาติ กอ่ ให้เกิด
และมีสมณศักดิ์สงฆ์แบบไทเขิน นอกจากนี้ยังรวมถึง “เครือข่าย ญาติธรรมข้ามพรมแดน” ท่ีสามารถขยาย
ตวั อักขระ ไทเขินทม่ี คี วามคล้ายคลึงกับอักขระล้านนา ออกไปได้อย่างกว้างขวางด้วยการเช่ือมต่อระหว่าง
เปน็ อย่างมาก จนสามารถเทียบอา่ นกนั ได้ ท้องถิ่นกับท้องถิ่น ผ่านเครือข่ายความเป็นเครือญาติ
และเพอื่ นบา้ นข้าม พรมแดน
๔.๒ พิธีกรรม ความเช่ือ
กลุ่มชาติพันธ์ุไทใหญ่ น้ันมีความเคารพผีบา้ น
ผีเมืองซง่ึ มคี วามเช่ือกนั ว่าเป็นผู้สรา้ งเมือง หากจะต้อง
เดนิ ทางไปไหนมาไหนหรอื จะมีพิธกี รรมต่าง ๆ จะตอ้ ง
กลุ่มชาตพิ นั ธุ์ ในจังหวัดเชียงราย | ๑๗๕
ชาติพันธุ์ “ไทใหญ่” มี ก า ร ก ร า บ ไ ห ว้ ผี เ จ้ า เ มื อ ง เ พื่ อ เ ป็ น ก า ร บ อ ก ก ล่ า ว การสักของชาวไทใหญ่เป็นอีกความเชื่อที่
และให้ผีเจ้าเมืองคุ้มครองและในวันขึ้นปีใหม่น้ันจะมี เกีย่ วข้องและสัมพนั ธก์ ับจารตี ประเพณี เหตุทก่ี ารสักมี
การจุดเทียนด้วยกัน ๑๒ เล่ม เพื่อเป็นตัวแทน อิทธิพลต่อไทใหญ่ในอดีต เน่ืองจากต้องเผชิญศึก
๑๒ เดือนในรอบ ๑ ปี โดยมักจะจุดไว้ท่ีศาลเจ้าเมือง สงครามและการอพยพหนีภัย จึงต้องมีการสักอย่าง
ประจาเมืองตามท่ีตนอยู่ นอกจากน้ีชาวไทใหญเ่ ชือ่ ว่า แพร่หลายเน่ืองมาจากการสักเป็นความเช่ือทาง
วิญญาณของบรรพบุรุษหรือเป็นวรี บุรษุ ส่วนใหญ่เปน็ ไสยศาสตร์เพื่อสร้างขวัญและกาลังใจ ลดความ
จะนักรบ เม่ือส้ินชีวิตจะกลายเป็นดวงวิญญาณท่ีมี หวาดกลัวภัยจากอนั ตรายต่าง ๆ แต่ปจั จบุ นั สภาพทาง
อิทธิฤทธิ์ ชาวไทใหญ่ยกย่องให้เป็น “เจ้าบ้าน - สังคมของไทใหญ่เปลี่ยนไป มีท่ีอยู่เป็นหลักแหล่ง มี
เจ้าเมือง” และเม่ือมีการต้ังหมู่บ้านหรือสร้างเมือง ชีวิตท่ีสงบสุขไม่ต้องอพยพหนีภัยอย่างอดีต จึงทาให้
ก็จะสร้าง “หอ” หรือ ศาลเจ้า เพ่ือให้เป็นที่สิงสถิต การสักลดบทบาทลงและมีรูปแบบที่แตกต่างไปจาก
ของผีเจ้าเมือง เพื่อให้ปกปักรักษาบ้านเมืองให้ร่มเย็น เดิม วัตถุประสงค์และส่วนประกอบของการสักจะมี
เป็นสุข ทุกวันพระหลังจากถวายข้าวพระพุทธที่บ้าน ความแตกตา่ งกันบ้างในเร่อื งของรายละเอียดบางอย่าง
แล้วก็จะนากระทงข้าวไปถวายเจ้าเมืองด้วย ชาว อาทิ ส่วนผสมของยาสัก แต่ท้ังน้ีความเชื่อในเร่ืองขอ
ไทใหญ่ จะถือเอาวันข้ึน ๑๓ ค่า เดือน ๗ เป็นวันเลยี้ ง การสักก็ยังเป็นไปในลักษณะเดียวกัน คือ เชื่อว่าการ
เมือง เป็นวันผีกินไก่ เนื่องจากการเล้ียงเมืองจะต้องมี สักจะสร้างพลังอานาจแก่ผู้ที่ได้รับการสัก พ้นจากภัย
เคร่ืองเซ่นที่เรียกว่า เหล้าไหไก่คู่เป็นหลัก ภาคเช้าจะ อันตรายต่าง ๆ ได้ ด้วยเหตุนี้ สังคมไทใหญ่จึงเป็น
ประกอบพิธี “เล้ียงเมือง” ภาคบ่ายจะประกอบพิธี สังคมท่ีอาศัยความศรัทธา ความเชื่อทางพุทธศาสนา
“วานปะลีก” เจ้าของบ้านจะเตรียมนาถังน้า ใส่น้า และไสยศาสตร์เป็นพ้ืนฐานในการสร้างขวัญกาลังใจ
ขมนิ้ สม้ ป่อย ใส่หินทราย ทาต๋าแหลว ๗ ช้นั และใบไม้ และพลังอานาจให้กับตัวเอง นอกจากน้ีการสักของ
มงคลต่าง ๆ และด้ายสายสิญจน์ เข้าร่วมในการทาพิธี ไ ท ใ ห ญ่ ยั ง ส า ม า ร ถ น า เ อ า ธ ร ร ม ช า ติ ม า ผ ส ม ผ ส า น
ชว่ งเวลาทาพิธีกรรม ห้ามไม่ให้ใครเข้า - ออก หมู่บ้าน เช่ือมโยงกับความเช่ือทางไสยศาสตร์ เช่น การสักรูป
จนกว่าจะเสร็จพิธีกรรม พิธีในช่ วงเย็นจะ เริ่ม สัตว์ต่าง ๆ โดยเชื่อว่าจะทาให้สัตว์ดังกล่าวดูน่าเกรง
๑๗.๓๐ น. หรือ ๑๘.๐๐ น. เป็นต้นไป ตามแต่ละ ขามมีพลังอานาจเกินธรรมชาติของสัตว์ ทั่วไป
หมู่บ้านไหนจะกาหนดเวลา โดยจะใช้เวลาประมาณ ในขณะเดียวกันการสักก็ยังก่อให้เกิดการยอมรับและ
๑ ชั่วโมง เม่ือเสร็จพิธีจะนา “ต๋าแหลว” ไปปักไว้ เกิดความสัมพันธ์กันระหว่างกลุ่มชนต่าง ๆ ท่ีอยู่
ทางเข้าและทางออกของหมู่บ้าน และชาวบ้าน รว่ มกนั ในสังคมนั้น
ก็จะแขวน “ต๋าแหลว” และใบไม้มงคล ๙ ชนิดไว้
หน้าประตูบ้าน และเอาหินท่ีโปรยในบ้าน นอกบ้าน
หลังคาบ้าน เพ่ือป้องกัน ส่ิงชั่วร้ายท่ีจะเข้ามารังควาน
คนทอ่ี าศยั ในบา้ นหลังนนั้ ด้วย
ตา๋ แหลว การสกั ยา ของหอวิทยาคุณวดั ทุ่งโป่ง เมืองปาย
๑๗๖ | กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ ในจังหวดั เชียงราย ภาพจาก https://watthungpongmuangpai.com
๔.๓ ประเพณี ปอยส่างลอง หมายถึงงานประเพณีบวช ชาติพันธุ์ “ไทใหญ่”
ชาวไทใหญ่ในจังหวัดเชียงรายที่มีบรรพบุรุษ ลูกแก้ว หรือบวชสามเณร ซึ่งในรัฐฉานเรียกว่า ปอย
มาจากเมืองต่าง ๆ ของ รัฐฉานตะวันตก ชาวไทใหญ่ ส่างลอง ถือเป็นงานสาคัญที่บุตรหลานชาวไทใหญ่ที่
เรียกตนเองว่า “ชาวไต” ทั้งนี้เม่ือคร้ันอพยพเข้ามา ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องบวชเป็นสามเณร เพื่อเป็นการ
ตั้งถิ่นฐานเมื่อราว ๕๐ - ๖๐ ปีที่ผ่านมา ผู้อพยพได้ สืบทอดพระพุทธศาสนา และเป็นมหากุศลให้กับ
พกพาเอาความทรงจาเก่ียวกับบ้านเกิดเมืองนอน ตนเอง และบุพการี ซ่ึงปกติจะมีการจัดงานอยู่
ความเชื่อ ประเพณีวัฒนธรรมติดตัวมาด้วย หลังจาก ประมาณสามวัน โดยสามารถจัดงานได้ตั้งแต่เดือน
ผ่านสภาวะความทุกข์ยาก มาจนถึงการต่อสู้ ดิ้นรน มีนาคมถึงเมษายน เอกลักษณ์ของงานบวชคือ การนา
ทามาหากินในผืนแผ่นดินไทย จนสามารถก่อร่างสรา้ ง บุ ต ร ห ล า น ม า แ ต่ ง อ ง ค์ ท ร ง เ ค ร่ื อ ง เ ห มื อ น เ ท ว ด า
ชุมชนข้ึนมาได้ เม่ือวันเวลาที่ผ่านไปชาวไทใหญ่เองได้ หรือ สมมุติเทพองค์น้อย ต้องสวมถุงเท้าสีขาวตลอด
นาเอาความเชื่อ ประเพณีวัฒนธรรมบางอย่างมาใช้ ทั้ง ๓ วั น และ ห้ามไ ม่ให้ส่าง ลอ ง เหยี ย บ พื้ น
เพ่ือการจรรโลงใจ ปลอบขวญั และการสร้างพลงั ใจใน เวลาเดินทางต้องนาขึ้นข่ีคอไปยังท่ีต่าง ๆ และกางร่ม
การต่อสู้ด้ินรนชีวิตในพ้ืนท่ีใหม่ที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมือง ที่มียอดสูงประดับด้วยกระดาษทอง อย่างไรก็ตาม
นอนของตนเอง ดังนั้นความเช่ือ เก่ียวกับส่ิงศักด์ิสิทธิ์ รูปแบบของปอยส่างลองในรัฐฉานแต่ละเมืองจะมี
โดยเฉพาะเทวดา ซ่ึงเป็นความเชื่อดั้งเดิมที่สืบทอดกัน รายละเอียดท่ีแตกต่างกันไป โดยเฉพาะชุดแต่งกาย
มาตั้งแต่บรรพบุรุษ จึงถูกนามาใช้เพื่อสร้างขวัญ และชฎา ทีช่ าวไทใหญ่ เรยี กวา่ “ปานกมุ ” จะสามารถ
กาลังใจ และการสร้างศรัทธาในชีวิต ดังน้ันพิธีกรรม บง่ ออกที่มาของชาวไตว่ามาจากส่วนไหนของรฐั ฉาน
ในชีวิตประจาวันจงึ เปน็ พิธีกรรมแรกสุดที่ถกู นามาใช้
ปอยต้ังธรรม หรือ งานเทศน์มหาชาติ ประเพณปี อยสา่ งลอง วดั ผาแตก
เวสสันดรชาดก เป็นพิธีกรรมระดับชุมชน ซ่ึงหลังจาก อาเภอแมส่ าย จงั หวัดเชยี งราย
ต้ังบ้านเรือนมากข้ึนเร่ือย ๆ จนกลายเป็นชุมชน
จากน้ันชาวบ้านจึงได้สรา้ งวัดขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์กลาง การฟ้อนนกก่ิงกะหล่า ราโต ชุมชนชาว
และส่ิงยึดเหน่ียวทางจิตใจ ภายหลังสร้างวัดเสร็จ ไทใหญ่ จังหวัดเชียงรายได้มีการฟน้ื ฟูศิลปะการแสดง
ชุมชนจึงรื้อฟื้นประเพณีวัฒนธรรมในระดับชุมชน ท่ีมีเอกลักษณ์ เพ่ือแสดงในงานเทศกาล ประจาปี
ข้ึนมา ได้แก่ ปอยต้ังธรรม ปอยต้นเก๊ียะ และปอย คือการฟ้อนนกกิ่งกะหล่า ราก้าโต และการฟ้อนรา
ส่างลอง (บวชลูกแก้ว) ซ่ึงเป็นวัฒนธรรมด้ังเดิมของ ท้ังนี้รูปแบบของการร่ายราได้ ต้นฉบับมาจากชาวไต
ชาวไตในรัฐฉาน ในรัฐฉาน
ปอยต้งั ธรรม ชาวไทใหญ่ อาเภอแมส่ าย จังหวดั เชียงราย กล่มุ ชาตพิ ันธุ์ ในจังหวดั เชยี งราย | ๑๗๗
ชาติพันธุ์ “ไทใหญ่” ฝึ ก บ ร ร เ ล ง ต า ม แ บ บ ข อ ง นั ก ด น ต รี ช า ว ล้ า น น า
ส่วนเพลงกลองมองเซิง และเพลงกลองก้นยาว
การฟ้อนนกกิง่ กะหลา่ เป็นการบรรเลงพร้อมกันของกลองก้นยาว มอง
และฉาบ ของชาวไทใหญ่ทั่วรัฐฉาน ประเทศเมยี นมาร์
ดนตรีพ้ืนเมืองชาวไทใหญ่ จังหวัดเชียงราย เพ่ือใช้ประกอบการร่ายราการฟ้อนเจิง ฟ้อนดาบ
เ ป็ น ก า ร ร ว ม ก ลุ่ ม กั น ข อ ง ศิ ล ปิ น พ้ื น บ้ า น อ า วุ โ ส และขบวนแหใ่ นงานเทศกาลทางศาสนา
ราว ๑๐ คน ซึ่งแต่เดิมไม่มีทักษะการเล่นเครื่องดนตรี
แต่ด้วยใจรัก และต้องการร้ือฟื้นดนตรีข้ึน มา วงดนตรพี ื้นเมืองชาวไทใหญ่
จึงได้รวมตัวกันจับเครื่องดนตรีที่ตนเองคิดว่าถนัด
ฝึกหัดซ้อมดนตรีโดยการแกะตัวโน๊ต และฟังการ ๔.๔ ภาษา
บรรเลงเคร่ืองดนตรี จากเทปบันทึกเสียงของรัฐฉาน คนไทใหญ่เรียกภาษาพูดของตนว่า กว๋ามไต
และมีเครือญาติเดินทางมาจากรัฐฉาน เพื่อมาฝึกสอน คาว่า กว๋าว คือคาเดียวกับคาว่า “กา” ภาษาล้านนา
การเล่นเครื่อง ดนตรีบางชนิดดว้ ย และคาว่า “คา” หรือ “ความ” ในภาษาไทย แม้กลุ่ม
คนไทใหญ่ทกี่ ระจายออกไปยงั พื้นทต่ี า่ ง ๆ จะพูดภาษา
ปัจจุบันมีเครื่องดนตรีในวงจานวน ๕ ช้ิน เดียวกัน แต่พัฒนาการทางประวัติศาสตร์สังคม
ประกอบด้วย ปัตตยา (ระนาด), ติ่งโจ่, ตอยอ, เสิน วัฒนธรรมที่ยาวนานของแต่ละกลุ่ม แต่ละพื้นที่
(ซอ) และฮอก ท้ังนี้ เคร่ืองดนตรีบางชิ้นมีครูดนตรี การสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธ์ุที่หลากหลาย ทาให้เกิด
พ้ืนเมืองจากเมืองเชียงตุง รัฐฉานตะวันตกมาสอนให้ สาเนียงการพูดที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถ่ิน
เช่น ซอ (เสิน) ปัตตายา (ระนาด) ติ่งโจ และตอยอ ในรัฐฉานลักษณะการพูดภาษาไทใหญ่จะถูกแบ่ง
ส่วนกลองก้นยาว ฆ้อง และฉาบ ชาวบ้านผาแตก ออกเป็น ๓ ส่วนตามภูมิภาคคือ ฉานเหนือ ฉานใต้
เคยมีประสบการณ์ในการเล่นมาก่อนเมื่อครัง้ อาศยั อยู่ และฉานตะวันออก ซึ่งทั้งสามกลุ่มน้ันมีระบบเสียงที่
ที่รัฐฉาน เครื่องดนตรี ท้ังหมดสั่งทาจากเมืองเชียงตุง แตกต่างกันอยู่
รฐั ฉาน ประเทศเมยี นมาร์ ค น ไ ท ใ ห ญ่ ใ น ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ส่ ว น ม า ก ก็ จ ะ มี
ภาษาพูดใกล้เคียงกบั รัฐและภูมิภาคที่ตนเองอพยพมา
นอกจากน้ันยังมีบทเพลงท่ีใช้บรรเลงในว เช่นในจังหวัด เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ท่ีมีพื้นท่ีติดกับ
ประกอบด้วย ๙ เพลง ได้แก่ เพลงนางนาก, อาติง, ฉานใต้ ก็มักจะพดู ภาษาไตหลวง ขณะที่ชาวไทใหญ่ใน
ป่อมเป็ง, ปราสาทไหว, นางบัวคา, ราแม่ปิง, เพลงรา จังหวัดเชียงราย มาจากฉานตะวันออกจึงมีลักษณะ
วง ทั้งนี้เพลงท่ีใช้บรรเลง สามารถแบ่งเป็นเพลง การพดู ที่ใกล้เคยี งกบั คนล้านนา หรอื บางครง้ั พวกเขาก็
ด้ังเดิมของชาวไทใหญ่ ได้แก่ เพลงนางนาก อาติง นิยามตัวเองว่าเป็นคน “ไตอ้อ” คือกลุ่มคนไตท่ีมี
ป่อมเป็ง เพลงราวง เพลงทุกเพลงเป็นการสืบทอดมา
รุ่น ต่อรุ่นจากรัฐฉานตะวันตก ส่วนเพลงปราสาทไหว
นางบัวคา และล่องแม่ปงิ เปน็ เพลงล้านนาทีน่ ัก ดนตรี
๑๗๘ | กล่มุ ชาตพิ ันธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย
ลักษณะการพูดคาลงท้ายด้วยคาว่า “ข้าอ้อ” ซ่ึงเป็น ชาติพันธุ์ “ไทใหญ่”
เ อ ก ลั ก ษ ณ์ เ ฉ พ า ะ ข อ ง ค น ไ ท ใ ห ญ่ บ ริ เ ว ณ ช า ย แ ด น
แม่สายท่ีอพยพมาจากเมืองกา เมืองนุง เมืองพยาก พยญั ชนะ ภาษาไทใหญ่
และเมอื งปอ๊ ก ในเชียงตงุ รฐั ฉาน
ภาพจาก https://sites.google.com/site/darknessleng/xaksr-phasa-thi-hiy
การพดู ของคนไทใหญ่ในประเทศไทย แมจ้ ะมี
รากฐานมาจากในรัฐฉาน แต่เน่ืองจากต้องติดต่อ ๔.๕ การแต่งกาย
สัมพันธ์กับคนไทย คนเมือง (ล้านนา) ทาให้มีการ ผู้ชาย กางเกง เป็นกางเกงขากว๊ ย เปา้ และขา
ป ร ะ ยุ ก ต์ ใ ช้ ศั พ ท์ ข อ ง ไ ท ย แ ล ะ ล้ า น น า เ ข้ า ไ ป ด้ ว ย เหมือนกางเกงของชาวจีน เอวกว้างใช้พับทบเข้ามาให้
ท่ีสาคัญคือจะมีศัพท์พม่า จีน หรือ อังกฤษ น้อยกว่า พอดีกับเอว เรียกว่า “ก๋นไต” คาดด้วยเข็มขัด เสื้อ
คนไทใหญ่ในพม่า ในการลงพื้นท่ีสัมภาษณ์กลุ่มคน ตัวในใช้เสื้อเชิ้ต มีเสื้อกล้ามรองช้ันในอีกช้ันหนึ่ง
หนุ่มสาวชาวคนไทใหญ่ที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศ เสื้อตัวนอกเป็นเส้ือคอกลมแขนยาว ไหล่เลยลงมาต่อ
ไทยนานเกินกว่า ๑๐ ปี ทุกคนยอมรับว่า เม่ืออยู่ ตะเข็บตรงกงึ่ กลางแขนผ่าหน้าติดดว้ ยกระดุมขอดห้าคู่
เมืองไทยนาน ๆ การพูดภาษาไทใหญ่ของพวกเขา ด้ า น ห นึ่ ง ใ ช้ ผ้ า ข อ ด เ ป็ น หั ว ก ร ะ ดุ ม ลั ก ษ ณ ะ
เปล่ียนไปมาก มีคาท่ีเป็นภาษาไทยปนเข้าไปเป็น หัวแมลงวัน อีกด้านหน่ึงทาเป็นห่วงเย็บติดขนานกัน
จานวนมาก เหลือห่วงตรงหัวผ้าเป็นหูกระดุมแล้วนาหัวกระดุมมา
สอดเข้ากับหูกระดุม จะมีชายผ้าเป็นทางเย็บทอดต่อ
คนไทใหญ่แตล่ ะกลมุ่ แม้รากฐานภาษาอาจจะ จากหัวและหูกระดุมทั้งสองข้างยาวด้านละประมาณ
มาจากต้นตอเดียวกัน แต่จะเห็นได้ว่าแต่ละกลุ่มก็มี ๒ น้วิ ตวั ยาวเท่าสะโพก เรียกวา่ “เสอ้ แตก้ ปุ่ง” มักใช้
การใชอ้ กั ษรท่แี ตกต่างกนั ไป คือ หากเป็นอกั ษรท่ีใช้ใน ในโอกาสทเี่ ป็นงานในพิธี
เขตจังหวัดใต้คง เป่าซาน หลินซาง และซือเหมา ผู้หญิง คนในสมัยก่อนนิยมตัดเสื้อผ้าตัวใหญ่
(ปัจจุบันอยู่ในประเทศจีน) จะเรียกว่า “ต๋ัวถ่ัวงอก” ให้ลูกสวมใส่หรือใส่เสื้อผ้าสืบทอดกันไปในหมู่พี่น้อง
หรอื “ล่กิ ถัว่ งอก” ดว้ ยรปู รา่ งของตัวอกั ษรทเ่ี ขียนด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการประหยัด เมื่อโตพอท่ีจะสวมผ้าซิ่นได้
ก้านผักกูดหรือพู่กันจีนมีลักษณะยาว สูง ในขณะที่ แล้ว แม่ก็จะสอนให้นุ่งผ้าซ่ินคาดเข็มขัด เสื้อชั้นในจะ
หากเป็นอักษรไทใหญ่ที่ใช้ในพม่าจะเรียกว่า “ตัวมน” ใช้เส้ือปักลายลูกไม้ที่ด้านหลัง ยกทรงเล็กน้อย
หรือ “ตัวไทป่อง” ด้วยมีรูปร่างกลมเช่นอักษรพม่า ตีเกล็ดถ่ีๆไว้บนทรง บ่าใหญ่ประมาณ ๒ น้ิวมือ
อักษรไทใหญจ่ ะมีรปู ร่างต่างกันไปอีก กลายเป็นอักษร
อาหม อักษรไทพ่าเก และอักษรไทคาตี่ เป็นต้น กลุ่มชาตพิ ันธุ์ ในจงั หวดั เชียงราย | ๑๗๙
แตล่ กั ษณะพื้นฐานสว่ นใหญจ่ ะเหมอื นกนั คอื มีจานวน
พยัญชนะและสระใกล้เคียงกัน และไม่มีเคร่ืองหมาย
วรรณยุกต์มาแต่เดิม หากมีการเพ่ิมเติมรูปพยัญชนะ
และวรรณยุกตภ์ ายหลัง พยัญชนะสว่ นใหญ่มีเพยี ง ๑๖
- ๑๙ รปู และวรรณยุกต์ ๔ - ๕ รูป
ชาติพันธุ์ “ไทใหญ่” เป็นเสื้อผ่าหน้าใช้เข็มกลัดหรือติดกระดุมเรียกว่า
“เส้อปิ๊ดจ่า” สวมเส้ือไตหน้าต่อทับด้านนอก ผู้ใหญ่ใช้
“เสอ้ื ไตหน้าแว๊ด” แบบเสอื้ ชาวจีน คอกลมแตช่ ายเส้ือ การแต่งกายของชาวไทยใหญ่
ส้ันแค่เอวมีกระดุมขอดสอดกับหูกระดุมอีกด้านหน่ึง
เช่นเดียวกับเส้ือชาย หรือใช้กระดุมชุดที่ทาจากพลอย ภาพจาก https://www.facebook.com/maesai๑๐tribes
พม่า ถ้าใช้กระดุมชุดพลอยกระดุมผ้าที่เย็บติดกับตัว
เส้ือจะเย็บเป็นหูทั้งสองข้าง ใช้ห่วงของกระดุมพลอย ปัจจุบัน การแต่งกายของชาวไทใหญ่จะแต่ง
สอดคล้องกับหูของกระดุมผ้า แล้วใช้เม็ดพลอยลอด กายชุดชาติพันธ์ุในงานประเพณี พิธีสาคัญ โดยผู้ชาย
ห่วงผ้าอีกข้างหน่ึงเพื่อลอดรั้งไห้ติดกันไว้ท้ังสองข้าง จะสวมเส้ือคอกลมแขนยาว ผ่าหน้า ติดกระดุมผ้า
ผ้าซ่ินจะใช้ผ้าท่ีมีลวดลายเป็นส่วนใหญ่ เย็บตะเข็บ คล้ายไสไ้ ก่ขมวดเป็นปมพร้อมตกแต่งลวดลาย กางเกง
เดียวเป็นผ้าถุงธรรมดา สมัยก่อนจะใช้ผ้าเน้ือนิ่มสีดา ขาก๊วยเป้าต่า ส่วนผู้หญิงจะมีการประยุกต์เป็นแบบ
ต่อตรงเอวเรียกวา่ “หัวซิ่น” เวลานุ่งผ้าก็จะเหน็บชาย รั ด รู ป ส า บ เ ส้ื อ ก็ ส ลั บ ทั บ ไ ป ค น ล ะ ด้ า น บ้ า ง
หัวซ่ินได้แน่น ใช้เข็มขัดเงินคาดทับผ้าซ่ินแต่ละแบบที่ แขนกระบอก เอวสน้ั ตกแตง่ ลวดลายสวยงามดว้ ยการ
หญงิ ไตนิยมใช้จะเรียกตา่ ง ๆ กนั ไป ปักหรือฉลุผ้าตามขอบ กระดุม ที่กลัดเส้ืออาจจะใช้
กระดุมผ้าหรือพลอยกลัดกับหูกระดุม ซ่ินที่นุ่งนั้น
การแต่งกายของชาวไทยใหญ่ มีการตอ่ หวั ซิ่นดว้ ยผ้าเนือ้ นิ่มพับทับแลว้ เหนบ็ ทีห่ วั ซิน่
ภาพจาก https://www.facebook.com/maesai๑๐tribes ๔.๖ องคค์ วามรู้และภมู ปิ ัญญา
เนื่องจากชาวไทใหญ่มีความศรัทธาในพุทธ
๑๘๐ | กลุ่มชาติพันธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย ศาสนาเป็นอย่างมาก ดังนั้นงานศิลปะของชาวไทใหญ่
จะถ่ายทอดออกมาในงานพุทธศิลป์ ซ่ึงงานพุทธศิลป์
ของชาวไทใหญ่มีวิวฒั นาการคล้ายกับชาวสยาม ต่างก็
รับเอาพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์มาเป็น
แก่นความเชอื่ หลักของสงั คมมาตั้งแต่สมัยโบราณ อาทิ
วถิ ีการดาเนินชีวติ ตามหลักปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา ดา้ นสถาปตั ยกรรม การกอ่ สรา้ งวดั หรอื จอง ชาติพันธุ์ “ไทใหญ่”
ความเชื่อเรื่องกรรม บุญกุศล การสั่งสมบุญบารมี ในภาษาไทใหญ่ นยิ มสร้างอาคารต่าง ๆ ประกอบด้วย
พิธีกรรมที่สะท้อนคติความเช่ือในทางพระพุทธศาสนา อุโบสถ วิหาร หอฉัน กุฎีสงฆ์ อยู่ติดกันในลักษณะ
ตลอดจนการสร้างสรรค์งานศิลปะต่าง ๆ ที่สะท้อนคติ เรอื นหมแู่ บบคนไทย แต่สรา้ งหลังคาของอาคารตา่ ง ๆ
ความเช่อื ทางศาสนา และมีประเพณีของการสร้างงาน ทรงยอดปราสาทแบบพม่ามอญ เรยี กวา่ ทรงพญาธาตุ
พุทธศิลป์เพ่ือเป็นการประกาศศรัทธา การบาเพ็ญ แต่ลดจานวนชนั้ และความซับซอ้ นของโครงสร้างลงไป
บุญกุศล รวมถึงการทานุบารงุ พระพุทธศาสนารูปแบบ สาหรับเจดีย์มีลักษณะคล้ายกับสถูปเจดีย์แบบมอญ
ของงานพุทธศิลป์ไทใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะ พม่า แต่มีการประยุกต์โดยขยายส่วนสูงเพ่ิมขึ้น
มอญพม่า เนื่องจากชาวไทใหญ่ตกอยู่ใต้อานาจของ ทาให้เจดีย์ไทใหญ่มรี ูปทรงสูงชลดู มากกว่าเจดียพ์ ม่า
ชาวพมา่ มาตงั้ แต่สมัยพุกาม สืบมาในยุคราชวงศ์ตองอู
จนถึงราชวงศ์อลองพญาราวพุทธศตวรรษท่ี ๒๒ - ๒๔ ด้าน ปร ะ ติมาก ร ร ม พ บว่ ามีก าร สร้า ง
ซึ่งมีอิทธิพลต่อกรอบการพัฒนางานพุทธศิลป์ของ พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ครบทั้ง ๔ อิริยาบถ ได้แก่ น่ัง
ชาวไทใหญ่อย่ างมาก ทั้งด้านสถาปัตยก ร ร ม ยืน นอน เดิน มีรูปพระพักตร์แบบพม่า นิยมแกะสลัก
ประติมากรรม จิตรกรรม รวมถึงงานประณีตศิลป์ จากหนิ หยก หรือเปน็ พระพทุ ธไมแ้ กะสลักปิดทองแล้ว
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณางานพุทธศิลป์ของชาวไท ประดับด้วยกระจก นอกจากพระพทุ ธรูปแล้ว ยังนยิ ม
ใหญ่โดยละเอียดแล้วจะพบว่ามีเอกลักษณ์เป็นของ สร้างรูปพระอรหันต์อุปคุต รวมถึงรูปประติมากรรม
ตนเองภายใตก้ รอบของศิลปะแบบมอญพม่า ต่าง ๆ ที่สร้างถวายเปน็ พุทธบชู า เชน่ รปู สงิ ห์ รปู หงส์
รูปคนฟอ้ นรา เป็นตน้
วดั สนั ปา่ ก่อ (ไทใหญ)่ ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย พระพุทธรปู ศิลปะไทใหญ่
ภาพจาก http://www.thaitribune.org ภาพจาก https://www.facebook.com/buddhisttreasure
กลุ่มชาติพนั ธ์ุ ในจังหวัดเชยี งราย | ๑๘๑
ชาติพันธุ์ “ไทใหญ่” ด้านจิตรกรรม นิยมเขียนภาพจากพุทธ ๕. แหล่งอา้ งอิง
ประวัติ ภาพชาดก มีท้ังตัวละครท่ีแต่งกายแบบพม่า
เขียนตัวละครที่แต่งกายทรงมงกฎุ ยอดแหลม มีเคร่ือง กลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐฉาน : เล่าขานจากแบบเรียน
แต่งกายเหมือนจิตรกรรมไทย จึงเป็นภาพจิตรกรรมท่ี ไ ท ใ ห ญ่ . https://www.silpa-mag.com
ผสมผสานระหวา่ งศลิ ปะไทยและพม่า /history /article_๖๖๔๐. (สืบค้นเมื่อวันท่ี
๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔)
ด้านงานประณีตศิลป์ ได้แก่ เคร่ืองเขิน
เป็นเคร่ืองใช้สาหรับพระสงฆ์ บาตรพระ พานสาหรับ โครงกาพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมและชาติพันธ์ล้านนา
ใส่เคร่ืองบูชา ทาจากไม้ตกแต่งด้วยการลงเขิน หรือลง มหาวิทาลัยเชียงใหม่. (๒๕๕๑). ไทใหญ่
รักปิดทองและประดับด้วยกระจก งานประณีตศิลป์ที่ ความเป็นใหญ่ในชาติพันธุ์. เชียงใหม่:
ถือเป็นเอกลักษณ์ของชาวไทใหญ่คือ ลายฉลุ เป็นการ สถาบนั วิจยั สังคม มหาวิทยาลัยเชยี งใหม.่
ฉลุลายแบบที่ภาษาภาคกลางเรยี กว่า งานทองแผ่ลวด
แต่ชาวไทใหญ่เรียกวา่ ลายไตร นาไปใช้ตกแต่งอาคาร จีรนันต์ ไชยงาม นอกซ์. (๒๕๖๐). ทุนทางสังคมและ
ในวัดวาอาราม ศาลา หรือสงิ่ กอ่ สร้างตา่ ง ๆ วัฒนธรรมกับเศรษฐกิจชุมชนของกลุ่ม
ชาตพิ ันธุ์ ในอาเภอแมส่ าย จังหวัดเชยี งราย.
เครื่องเขนิ ของชาวไทใหญ่ กรุงเทพมหานคร : ระบบบริหารจัดการ
งานวจิ ยั แหง่ ชาติ (NRMS).
ภาพจาก http://lannainfo.library.cmu.ac.th
ชัยสิทธ์ิ ด่านกิตติกุล และสิงหนาท แสงสีหนาท.
๑๘๒ | กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ในจังหวดั เชียงราย (๒๕๔๙). โครงการภูมิทัศน์วัฒนธรรมใน
ชุมชนไทใหญ่ ในชุดโครงการภูมิปัญญา
พัฒนาการ และความสัมพันธ์ระหว่างกัน
ของเรือนพ้ืนถิ่นไทย-ไท คุณลักษณะของ
สถาปัตยกรรมสิ่งแวดล้อมในเรือนพ้ืนถ่ิน
รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ สานักงานกองทุน
สนับสนนุ การวจิ ัย.
ดนิตา มาตา และคณะ. (๒๕๖๑). รายงานการวิจัย
ฉบับสมบูรณ์ เรอ่ื ง เครือขา่ ยขา้ มพรมแดน :
ตัวตน และพลวัตทางวัฒนธรรมของชาวไท
ใหญ่ ในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมาร์.
สานกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ.
นงนุช จันทราภัย และเรณู วิชาศิลป์. (๒๕๔๑). สังคม
และวัฒนธรรมไทบ้านใหม่หมอกจ๋าม. ใน
ฉ ล า ด ช า ย ร มิ ต า น น ท์ แ ล ะ ค ณ ะ
(บรรณาธิการ) ไท: Tai (หน้า ๒๘๗-๓๓๒).
เชียงใหม่: โรงพิมพม์ ง่ิ เมอื ง.
ปณิธิ อมาตยกุล. (๒๕๔๗). การย้ายถ่ินของชาวไท
ใหญ่เข้ามาในจังหวัดเชยี งใหม่. (วทิ ยานิพนธ์
ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา ชาติพันธุ์ “ไทใหญ่”
ภมู ภิ าคศกึ ษา). มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่.
สุทัศน์ กันทะมา. (๒๕๔๒). การคงอยู่ของวัฒนธรรม
พื้นบ้านของชาวไมใหญ่. (วิทยานิพนธ์
ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชา
การศึกษานอกระบบ). คณะศึกษาศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่.
สุณี เขอ่ื นแกว้ และคณะ. (๒๕๕๖). ความสัมพนั ธข์ อง
วิถีชีวติ ชาวไทใหญก่ ับความหลากหลายทาง
ชีวภาพสู่ภูมิปัญญาท้องถิ่น. วารสาร
วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปีท่ี ๔๑
ฉบบั ที่ ๒.
วิทยา แก้วบริสุทธ และรุจี ศรีสมบัต. (๒๕๖๓).
การศึกษาวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธ์ุไต
(ไทใหญ่) ในกรุงเทพมหานคร. วารสารสุทธิ
ปรทิ ัศน์ มหาวิทยาลัยธรุ กิจบัณฑิตย์ ปที ี่ ๓๔
ฉบบั ที่ ๑๑๑ กรกฎาคม - กนั ยายน ๒๕๖๓.
ศูนย์ไทใหญ่ศึกษา วิทยาลัยชุมชนแม่ฮ่องสอน.
http://www.taiyai.org/๒๐๑๑/index.php
?page=fad๕ ๘ de๗ ๓ ๖ ๖ ๔ ๙ ๕ db๔ ๖ ๕ ๐
cfefac๒ fcd๖ ๑ . ( สื บ ค้ น เ มื่ อ วั น ที่ ๗
กรกฎาคม ๒๕๖๔)
สมั ภาษณ์
นายสุรินทร์ เรือนจินดา ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน
บ้านป่ายางผาแตก ตาบลเวียงพางคา อาเภอแม่สาย
จังหวัดเชยี งราย. (๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔). สัมภาษณ์
กลุ่มชาติพนั ธ์ุ ในจังหวัดเชยี งราย | ๑๘๓
ชาติพันธุ์ “ไตหย่า”
ชาตพิ ันธุ์ “ไตหย่า”
Tai Ya
“ชาติพันธ์ุไตหย่า คือชาวไตกลุ่มหน่ึง ที่รู้จัก ..................................................................................
กันในชื่อกลุ่มของชาติพันธ์ุไต ในประเทศจีน ถิ่นท่ีอยู่ ทามาหากินท่ีหมู่บ้านป่าสักขวาง ตาบลแม่คา อาเภอ
ดั้งเดิม คือ ตาบลโมซาเจียง อาเภอซินผิง จังหวัดยี่วซี แม่จัน จังหวัดเชียงราย เม่ือจานวนสมาชิกเพิ่มขึ้นชาว
มณฑลยูนนาน ซ่ึงอยู่ทางตอนบนของแม่น้าแดง ไตหย่ากลุ่มหนึ่งได้แยกตัวออกมาหาท่ีอ ยู่ใหม่
ชาวจีนเรียกขานว่า ฮวาเย่าไต (Huayaodai) แปลว่า คือในหมู่บ้านน้าบ่อขาว ตาบลห้วยไคร้ อาเภอแม่สาย
ไตเอวลาย (Flowery Belted) เหตุท่ีได้ชื่อเช่นน้ี จังหวัดเชียงราย ซ่ึงทั้งสองหมู่บ้านอยู่ไม่ห่างไกลกัน
เน่ืองจากการแต่งกายของสตรีท่ีมีลกั ษณะโดดเด่นของ มากนัก สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้สะดวก
ผ้าคาดเอวท่ีปักลวดลายและตกแต่งด้วยแถบผ้า และชาวไตหย่ายังคงอาศัยอยู่จนถึงปัจจุบัน ชาวไต
หลากสีสนั สวยงามบรเิ วณรอบเอว” หย่าได้ผสมกลมกลืนกับคนไทย โดยการแต่งงานมี
ลูกหลานย้ายถิ่นฐานไปอยู่หลายที่หลายแห่งของ
๑. ประวัตศิ าสตร์ความเป็นมาของชาติพนั ธุ์ ประเทศไทยและในต่างประเทศ โดยประมาณแล้ว
จานวนชาวไตหย่าในประเทศไทยมีประมาณ ๑,๐๐๐
การอพยพเข้าสู่ประเทศไทยของชาวไตหย่า กว่าคนเท่าน้ัน
น้ัน รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์ และราญ ฤนาท (๒๕๓๒
: ๔๖-๔๗) ศึกษาพบวา่ ชาวไตหยา่ อพยพเขา้ สูป่ ระเทศ นอกจากนน้ั จากบนั ทึกของ พิษณุ อรรฆภิญญ์
ไทยในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ โดยเดินทางมาด้วยกัน ๑๐ (๒๐๐๓ : ๘๔) ได้กล่าวถึงส่ิงสาคัญที่ทาให้ชาวไตหย่า
ครอบครัว เป็นการเดินเท้าจากเมืองหย่า ผ่านเมือง ย้ายถ่ินฐานเข้าสู่ประเทศไทยคร้ังแรก คือจากการ
ซือเหมา สิบสองปันนา เมืองยอง และแม่สาย ได้หยุด ทค่ี ณะมิชชันนารีทีไ่ ปประกาศศาสนาคริสต์ทเ่ี มอื งหย่า
พกั รวมกนั ที่หมู่บ้านหนองกลม (บ้านสันธาตุ อาเภอแม่ ได้เสร็จส้ินภารกิจ เมื่อถึงเวลากลับประเทศไทยชาว
สาย จังหวัดเชียงราย ในปัจจุบัน) ใช้เวลาเดินทาง ไตหย่าจึงได้อาสาสมัครหาบของมาส่งให้ เพราะ
ประมาณ ๒ เดือน แล้วไปตั้งหลักแหล่งแผ้วถางท่ีดิน ต้องการมาเห็นประเทศไทยดว้ ย เม่อื ได้มาเห็นประเทศ
ไทยบางคนก็ไม่กลับไปอีก แต่มีบางคนได้กลับไปแล้ว
๑๘๔ | กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ ในจงั หวดั เชยี งราย
ไปบอกเล่าให้พี่น้องไตหย่าในโมซาเจียงฟังถึงความ ๓) ถูกกีดกันด้านการศึกษา จากการที่ ชาติพันธุ์ “ไตหย่า”
สะดวกสบาย ความมีอิสรภาพ ทาให้หลายคนเกิด มิชชันนารีได้เข้าไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในอาเภอ
ความสนใจและตัดสินใจย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในประเทศ ซินผิง ชาวฮั่น และเจ้าหน้าที่ของรัฐได้พยายาม
ไทยเปน็ การถาวรจนถงึ เวลาน้ี ขัดขวางไม่ใหช้ าวไตหย่าให้ความร่วมมือหรือคบหากับ
มิชชันนารีเพราะเกรงว่าถ้าชาวไตหยา่ ได้รบั การศึกษา
เร่ืองราวการย้ายถ่ินฐานของชาวไตหย่าซ่ึง มีความรู้ ฉลาดมากข้ึน อาจถูกมิชชันนารียุยงให้
ถ่ายทอดจากผู้สูงอายุที่ได้อพยพเข้ามาในประเทศไทย กระด้างกระเดื่องตอ่ พวกเขาได้
เมื่อท่านเหล่านั้นยังเป็นเด็กหรือเป็นหนุ่ม – สาว
เช่น นายย่ี วันชัย (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ได้ให้ข้อมูล ๔) เหตุผลทางการเมือง เป็นเหตุผลในการ
แก่ เรืองเดช ปันเข่ือนขัติย์ อาจารย์จากสถาบันวิจัย อพยพคร้งั ท่ี ๒ เนื่องจากในเวลานัน้ มีการปฏิวัตโิ ค่นล้ม
ภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัย รัฐบาล มีการเกณฑ์ชายฉกรรจ์ครอบครัวละ ๒ คน
มหิดล ที่ทาวิจัยเรื่องภาษาไตหย่า สรุปได้ว่า ชาวไต ไปเป็นทหาร ชายชาวไตหย่าที่ไม่อยากรบราฆ่าฟัน
หย่าได้อพยพมากับมิชชันนารีที่เดินทางไปเผยแพร่ จงึ หนกี ารถูกเกณฑ์ทหารเขา้ มาสู่ประเทศไทย
ศาสนา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ เส้นทางการอพยพจาก
เมืองจีนคือ เข้ามาทางรัฐฉานประเทศพม่า บางพวก ๕ ) เ ห ตุ ผ ล ท า ง ค ว า ม เ ชื่ อ ใ น ศ า ส น า
ไม่สามารถเข้ามาประเทศไทยได้เพราะทางราชการ เมอ่ื มิชชนั นารเี ขา้ ไปเผยแพร่ศาสนาในจนี ไดม้ ีชาวไทย
ไม่อนุญาต จึงต้ังรกรากอยู่ที่เมืองยองในพม่า พวกท่ี จากจังหวัดเชียงรายร่วมในทีมเผยแพร่ศาสนาไปด้วย
เข้ามาอยู่ในประเทศไทยได้ มาต้ังรกรากอยู่ ๒ แห่ง จึงได้สอนให้ชาวไตหย่าเรียนร้ภู าษาและอกั ษรล้านนา
ในจังหวัดเชียงรายคือ ที่บ้านป่าสักขวาง อาเภอแม่จนั มีหลายคนกลับใจไปนับถือศาสนาคริสต์ และได้รับรู้
และบ้านน้าบ่อขาว อาเภอแม่สาย (เรืองเดช ปันเขื่อน ข้ อ มู ล ว่ า ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย เ ป็ น ดิ น แ ด น ที่ มี อิ ส ร ะ
ขตั ยิ .์ ๒๕๓๔ : ๒) อุดมสมบูรณ์ บ้านเมืองมีความสุขสงบ ให้เสรีภาพ
ในการนับถอื ศาสนา
ช า ว ไ ต ห ย่ า เ ดิ น ท า ง อ อ ก จ า ก โ ม ซ า เ จี ย ง
ประเทศจีนเข้ามาสู่ประเทศไทย ครั้งสาคัญ ๒ คร้ัง ประวัติความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์ใน
คือ คร้ังแรกในปี ค.ศ. ๑๙๒๘ (พ.ศ. ๒๔๗๑) และครงั้ จงั หวดั เชียงราย
ที่สองในปี ค.ศ. ๑๙๓๓ (พ.ศ. ๒๔๗๖) เนื่องจากสาเหตุ
สาคัญ ๕ ประการคอื ก่อนสงครามโลกคร้ังที่ ๒ คือในช่วงปี
พ.ศ.๒๔๘๔ มีชาวไตหย่า ประมาณ ๑๙ ครอบครัวท่ี
๑) ต้องการอาศัยอยู่ในดินแดนที่สงบสุข อาศัยอยู่ในหมู่บ้านป่าสักขวาง ตาบลแม่คา อาเภอแม่
เน่อื งจากขณะนนั้ ถน่ิ ท่อี ยู่อาศยั ในโมซาเจียงมีโจรผรู้ ้าย จัน จังหวัดเชียงราย (ปัจจุบันขึ้นอยู่กับตาบลแม่ไร่
ชุกชุม เข้ามาปล้นเอาทรัพย์สินเงินทอง สิ่งของ อาเภอแม่จัน จงั หวดั เชียงราย) ไดห้ าทอี่ ยใู่ หมเ่ น่ืองจาก
สัตว์เลี้ยง และทารา้ ยชาวบ้านเปน็ ประจา ที่อยู่เดิมมีจานวนประชากรเพ่ิมข้ึน ทาให้ที่ทากินไม่
เพียงพอ จนได้มาพบพื้นท่ีที่มีน้าไหลผ่านใสสะอาดจึง
๒) ต้องการมีท่ีดินทามาหากินเล้ียงชีพเป็น พากันออกจากบ้านป่าสักขวาง มาตั้งรกรากในพื้นที่
ของตนเอง เนื่องจากในเวลานั้นชาวไตหย่าถูกชาวฮ่ัน ใหม่และได้ตั้งช่ือว่าบ้านน้าบ่อขาว จากการที่ชาวไต
และเจ้าหน้าท่ีของรัฐกีดกัน ไม่ให้มีกรรมสิทธ์ิถือครอง หย่าเชื่อถือในองค์พระผู้เป็นเจ้า เม่ือต้ังถิ่นฐานท่ีใดก็
ทีด่ นิ จะมีการสรา้ งโบสถเ์ ปน็ ที่นมสั การพระเจา้ ขึ้นท่ีนัน่ ชาว
ไตหย่าท่ีมาอยู่บ้านนา้ บ่อขาวจงึ สร้างโบสถ์และต้ังเปน็
กลุ่มชาตพิ นั ธุ์ ในจังหวัดเชยี งราย | ๑๘๕
ชาติพันธุ์ “ไตหย่า” หมวดคริสเตียนบ้านน้าบ่อขาว ต่อมาในปลายปี พ.ศ. • อาเภอแม่สาย ตาบลห้วยไคร้ หมู่บ้าน
๒๔๘๕ ได้รับการสถาปนาเป็นคริสตจักรนทีธรรม นา้ บ่อขาว
ปัจจุบันน้ี ชุมชนน้าบ่อขาวเป็นชุมชนท่ีมีสมาชิกส่วน
ใหญ่เป็นชาวไตหย่า ซ่ึงนับได้ว่าเป็นชุมชนที่มีชาว • อาเภอแม่จนั ตาบลแม่ไร่ หม่บู า้ นปา่ สกั ขวาง
ไตหย่าอาศยั อย่มู ากกว่าชมุ ชนไตหยา่ อ่ืน ๆ คือมที ้ังส้ิน
ประมาณ ๒๑๐ คน ชาวไตหย่าที่เข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน • อาเภอเมอื ง ตาบลรอบเวียง หมู่บา้ นหนองป๋ึง
น้าบ่อขาวส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทานา ทาเส่ือกก ตาบลริมกก หมู่บ้านน้าลัด และหมู่บ้าน
และรับจา้ งทว่ั ไป ทา่ ทราย ตาบลหัวเวียง หมู่บา้ นวงั ดิน
จากหนังสือเร่ือง ๓๐ ชาติในเชียงร าย ๒. โครงสร้างทางสงั คม
ได้บันทึกไว้ว่า ก่อนที่ชาวไตหย่าจะรู้จักว่ามีประเทศ
ไทย และคนไทย ท่ีเป็นเชื้อสายอันเดียวกันอยู่ทางทิศ ๒.๑ การปกครอง
ใต้นน้ั หมอวลิ เลยี ม คลิฟตัน ดอด์ด อาจารย์ บี.บ.ี และ การปกครอง ชาวไตหย่าท่ีเข้ามาอยู่ใน
อาจารย์คาแลนเดอร์ หมอสอนศาสนาลัทธิโปรเตส ประเทศไทยได้ปฏิบัติตนตามกฎหมายไทย มีความรัก
แตนท์ชาวอเมริกัน ได้เดินทางผ่านประเทศไทยไป ในกลุ่มพวกพ้องและนับถือผู้มีวัยอาวุโส มีการร่วมใจ
เผยแพร่ศาสนาอยู่ในดินแดนเหล่านี้เป็นเวลาหลายปี กันรับภาระหน้าที่ในการปกครองกลุ่ม ในชุมชนชาว
โดยเฉพาะอาจารย์ บี.บี. ได้ใช้เวลาอยู่คลุกคลีกับ ไตหย่านั้นนอกจากจะมีกลุ่มผู้นาอย่างเป็นทางการคอื
ชาวเมืองไตหย่าเป็นเวลานาน ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๐ คณะกรรมการปกครองหมู่บ้าน ยังมีกลุ่มผู้นาทาง
ได้นาเด็กชาวชาวไตหย่า ๒ คน มาเรียนหนงั สือไทยอยู่ ศาสนาที่มีตาแหน่งเรียกว่า ผู้ปกครอง และ มัคนายก
ณ โรงเรียนคริสเตียนวิทยาคม จังหวัดเชียงราย ช่วยกันปกครองดูแลสมาชิกของโบสถ์ อีกทั้งมีการ
ปัจจุบันคือโรงเรียนเชียงรายวิทยาคม ภายหลัง จัดสรรงานออกเป็นกลุม่ ยอ่ ยอีก ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มบุรุษ
อาจารย์ บี.บี. กลับอเมริกา เด็กไตหย่าทั้งสองได้ กลุม่ สตรี และกล่มุ อนุชน (นงนชุ จันทราภัย. ๒๕๒๔ :
เดินทางกลบั ไปบ้านเกดิ เมอื งนอนของตน ประจวบกับ ๗๓ - ๗๕)
มีเหตุการณ์ยุ่งยากเกี่ยวกับการปกครองบ้านเมืองของ ระบบควบคุมทางสังคม การท่ีชาวไตหย่ามี
ชาวจีนยูนนาน จนกอ่ ความเดือดร้อนให้แกช่ าวไตหย่า การปกครองที่ไม่เป็นทางการ โดยมีผู้นาศาสนา
จึงได้ชักชวนกันอพยพมาอยู่ (บ้านน้าบ่อขาว) ตาบล ทาหน้าที่ปกครองดูแลและอนุเคราะห์สมาชิกของ
ห้วยไคร้ อาเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย (บุญช่วย ชุมชน โดยคณะกรรมการเหล่าน้ีมาจากการเลือกต้ัง
ศรีสวัสด์ิ. ๒๕๔๗: ๗๒) ตระกูลต่าง ๆ ที่มีบรรพบุรุษ ของสมาชิก การบริหารงานของคณะกรรมการทาง
เป็นชาวไตหย่า เช่น ฐิติจาเริญพร เจริญพร ลี้ตระกูล ศาสนาน้ีจะประสบความสาเร็จค่อนข้างสูง เน่ืองจาก
วิวรณ์ นาวิน นาคา สาคร บรมพิชัยชาติกุล นนทวารี สมาชิกของกลุ่มมีความศรัทธาเป็นตัวกาหนดในการ
และ มหาสุคนธ์ เป็นต้น (ย่ิงยง เทาประเสริฐ, ทางาน ย่ิงไปกว่านั้นยังมีอิสระในการดาเนินงาน
บรรณาธิการ. ๒๕๔๒: ๒๕) มากกว่ากลุ่มปกครองอย่างเป็นทางการ เนื่องจาก
คณะกรรมการบริหารระดับสูงขึ้นไปน้ันมีความเป็น
ปัจจุบันชาวไตหย่าได้มีการอพยพ และตั้ง เอกภาพมากกว่า การตัดสินใจในการทางานหรือการ
ถ่ินฐานกระจายตัวอยู่ในเขต ๓ อาเภอของจังหวัด ขอความชว่ ยเหลือเป็นไปอยา่ งรวดเร็วทนั ต่อเหตกุ ารณ์
เชยี งราย ไดแ้ ก่ กว่า (นงนชุ จนั ทราภยั . ๒๕๒๔: ๘๘)
๑๘๖ | กลุ่มชาตพิ นั ธุ์ ในจงั หวดั เชยี งราย
๒.๒ ผู้นา/บุคคลสาคญั มีลักษณะคล้ายคลึงกับคาเรียกเครือญาติในภาษาไทย ชาติพันธุ์ “ไตหย่า”
๑) ประธาน ผ้ปู กครองปราณี รีวงค์
๒) รองประธานและผู้ประสานงานชมรม กลางของประเทศไทย คือ คาและความหมายประจา
ผปู้ กครอง ผศ.ดร.เลหลา้ ตรีเอกานกุ ูล
๓) เลขานกุ าร แมห่ ลวงเพญ็ ศรี ใจยะ รปู คานน้ั ใช้ตรงกันเปน็ ส่วนใหญ่
๔) เหรัญญิก ผูป้ กครองวนาลี หนิ โชค
๕ ) ที่ปรึก ษา ศาสน าจาร ย์ ดร .บุญยืน ระบบทางสังคมอ่ืน ๆ โครงสร้างของสังคม
ชัยประเสรฐิ
๖) ที่ปรึกษา ศาสนาจารย์ ดร.ศิริรัตน์ ไตหย่า มีหน่วยครอบครัวย่อยเป็นหน่วยท่ีเล็กที่สุด
ปสุ ุรินทรค์ า
๗) ที่ปรกึ ษา ศาสนาจารยอ์ าสกรณ์ นาปงั มีสามีเป็นผู้นา ทาหน้าที่ปกครองดูแลสมาชิกใน
๘) ท่ปี รกึ ษา อาจารยส์ มสิทธ์ิ ฐิตจิ าเริญพร
๒.๓ ระบบครอบครัวและเครอื ญาติ คร อ บครัว ย่อ ยขอ ง ตน เป็น ชั้น ต้น ก าร ลาดั บ
ในอดีตครอบครัวของชาวไตหย่าเป็นระบบ
ครอบครัวขยาย ดังนั้นในครอบครัวจะมีตั้งแต่ ทวด ปู่ ความสาคญั จะลาดับตามอาวโุ สของวยั ฉะน้นั บุตรชาย
ย่า พ่อ แม่ ลูก หลาน เหลน อยู่กันพร้อมหน้า
โดยอาศัยในชายเดียวกัน ลูกชายของครอบครัว ค น โ ต ข อ ง ค ร อ บ ค รั ว จ ะ ท า ห น้ า ท่ี เ ป็ น ผู้ น า ต ร ะ กู ล
หลังจากแต่งงานแล้วจะต้องอาศัยอยู่บ้านเดียวกับพ่อ
แม่ ด้วยการนาเอาภรรยาซึ่งเป็นสะใภ้เข้าบ้านเพ่ือ ซ่ึงโครงสร้างทางสังคมระดับครอบครวั จึงเป็นฐานของ
ปรนนบิ ตั ริ บั ใชค้ นในครอบครวั จะต้องทางานทกุ อย่าง
ในบ้านและนอกบ้านด้วย เนื่องจากสังคมไตหย่าเป็น โครงสร้างสังคมหมู่บ้าน มีการจัดลาดับอาวุโสใน
เกษตรกร ดังน้ันงานนอกบ้านจะเป็นการทาไร่ ทานา
ทาสวนปลกู พืชผกั หมู่บ้าน ผู้ท่ีอาวุโสด้วยวัย หรือระดับฐานะทาง
สถาบนั ครอบครัวและเครือญาตขิ องชาวไตหย่า
เป็นสงั คมทมี่ คี วามผูกพันกนั ทางสายโลหิต ซงึ่ จาแนกได้ เศรษฐกิจ หรือผู้ที่สมาชิกในสังคมเห็นว่ามีความ
๒ กล่มุ คือ กลุ่มผูส้ ืบสายโลหิตช้นั ต้น หรอื กลุม่ สายตรง
ส่วนกลุ่มท่ีสองคือกลุ่มสายรองหรือสายอ้อม คือกลุ่ม เหมาะสม จะได้รับการยอมรบั ความวางใจให้เป็นผู้นา
ญาตขิ องเขยและสะใภ้ ซงึ่ ท้งั สองสายนับว่าเปน็ ญาติกัน
ทง้ั สิ้น การสืบสายตระกลู นับทางบดิ า การจัดลาดับญาติ ของหมูบ่ ้าน (นงนุช จนั ทราภัย. ๒๕๒๔: ๓๙-๔๒)
จะมีระบบนับญาติระดับสูงจากตนเองข้ึนไป ๕ ลาดับ
ได้แก่ รุ่นทวด รุ่นปู่ยา่ –ตายาย รุ่นปา้ น้า อา ลุง ร่นุ พ่อ พิษณุ อรรฆภิญญ์ (๒๕๔๖ : ๙๐ - ๙๑)
– แม่ รุ่นพี่ และญาติระดับต่ากว่าตนเองมี ๕ ลาดับ
เช่นกัน คือ รุ่นน้อง รุ่นลูก รุ่นหลาน รุ่นเหลน รุ่นหล่อน ได้บนั ทกึ ประเพณกี ารต้ังชอื่ บตุ รชาวไตหยา่ ว่ามีการต้ัง
สาหรับการเรียกชื่อเครือญาติในครอบครวั คาเรียกจะ
ชื่อเรียกเป็นลาดับตั้งแต่คนหัวปีไปจนถึงคนสุดท้อง
แบ่งตามเพศหญิง ชาย แต่มีข้อแม้ว่า ชื่อลูกแต่ละคน
จะต้องไม่ซา้ กับช่ือของ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ถ้าหาก
เด็กในลาดับท่ีเกิดใหม่ จะมีช่ือไปซ้ากับญาติผู้ใหญ่ท่ี
กล่าวมา จะต้องเลื่อนไปใช้ช่ือในอันดับต่อไป ชื่อเรียก
ดังแสดงไวด้ ังน้ี
การตงั้ ชือ่ บุตรของชาวไตหย่า
ลาดบั ของบุตร ชือ่ บตุ รชาย ชอื่ บุตรสาว
๑ อาหยา่ ย อาเย่
๒ อาย่ี อาอี
๓ อาสาม อาหย่าม
๔ อาใส่ อาไอ
๕ อาแหลว อาแหลว
๖ อาแกว่ อาแก่ว
๗ อาเลนิ อาเลิน
๘ อากอง อากอง
๙ อาหล่า อาหล่า
กลมุ่ ชาตพิ ันธุ์ ในจังหวดั เชยี งราย | ๑๘๗
ชาติพันธุ์ “ไตหย่า” หมายเหตุ ชั้นล่างพื้นเป็นดิน ไม่ปูพ้ืนด้วยไม้หรือสิ่งอ่ืนใด
ถ้าบดิ าชื่ออาหยา่ ย ลูกคนโตจะใช้ชือ่ อาหย่าย มีห้องครัว ห้องโถงสาหรับรับประทานอาหาร น่ังเล่น
หรือทากิจกรรมต่าง ๆ ส่วนชั้นบนจะเป็นห้องนอน
ซ้ากับบิดาไม่ได้ ต้องใช้ช่ือในลาดับถัดไปคอื อาย่ี แทน บันไดขึ้นช้ันบนอยู่กลางบ้านจะแคบและชันมากจึงมี
อา เป็นคานาหน้าที่ใช้ได้ทั้งชายและหญิงไม่เป็นการ สายหนังแขวนจากช้ันบนลงมาถึงช้ันล่างเพ่ือใช้จับ
ระบุถึงเพศหรือมีความหมายอนื่ ใด เวลาข้ึนบันได หลังคาบ้านจะไม่มีจั่วแต่จะทาเป็นพื้น
เรียบเป็นดาดฟ้า ใช้เป็นที่ตากข้าวเปลือก ตากผัก
สาหรบั ชอ่ื ของบตุ รชายและบุตรสาว ในลาดับ หรือข้ึนไปนอนในเวลากลางคืนท่ีอากาศร้อน ภายใน
ท่ี ๕ เป็นต้นไป จะใช้ชื่อท่ีเหมือนกันได้ และบุตรชาย บ้านจะมีหน้าต่าง ขนาด ๓๐ เซนติเมตร ๑ - ๒ บาน
ห า ก มี จ า น ว น ม า ก ก ว่ า ท่ี ย ก ตั ว อ ย่ า ง ม า แ ล้ ว จึงทาให้บ้านมืดและอบั บริเวณรอบบ้านจะมีคอกสัตว์
ก็ยังสามารถท่ีจะใช้ชื่อว่า อาคาง อาโข่ อาก่ิน ติดกับบ้าน คือคอกวัว คอกหมู คอกเป็ด - ไก่ มีท่ีเก็บ
หรืออาจใช้ผสมกันระหวา่ งภาษาจีนกับภาษาไตหย่าได้ ฟืน ซ่ึงก่อด้วยดินป้ันเช่นเดียวกบั ตัวบ้าน นอกจากนั้น
เชน่ บตุ รชายลาดบั ที่ ๓, ๔, ๕, ๖ และ ๗ อาจเรยี กช่ือ ยงั มีบอ่ เลี้ยงปลา และปลูกผลไม้ ผักสวนครัวทุกชนดิ ไว้
ตามลาดับของภาษาจีนว่า อาซาน อาซือ อาวู อาหลู่ โดยรอบด้วย (รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์ และราญ
และอาฉ่ี เปน็ ตน้ ฤนาท. ๒๕๓๒ : ๓)
ก า ร ตั้ ง ช่ื อ ห รื อ เ รี ย ก ช่ื อ ข อ ง ช า ว ไ ต ห ย่ า ลักษณะบ้านของชาวไตหย่าในอดีต
ได้เปล่ียนแปลงจากแต่เดิมที่ต้ังช่ือตามลาดับการเกิด
และมีชื่อเรียกซ้า ๆ กัน ไม่มีความหลากหลาย ภาพจาก เลหลา้ ตรเี อกานกุ ูล. แนวทางการจดั ตง้ั โครงการศูนย์เรยี นรู้วฒั นธรรมชาติ
ไม่มีนามสกุล เวลาเรียกช่ือที่เหมือนกันจึงนิยมใส่ชื่อ พนั ธ์ไุ ตหย่าบา้ นน้าบ่อขาว ต้าบลห้วยไคร้ อ้าเภอแมส่ าย จังหวัดเชยี งราย. 2547 : 117.
หมู่บ้านแทนนามสกุล เพื่อให้ทราบว่าเป็นใครมาจาก
บ้านไหน บางทีกเ็ รียกช่ือแล้วตามด้วยชอ่ื บิดาให้ทราบ ผู้สูงอายุชาวไตหย่าท่ีเป็นรุ่นแรกที่อพยพเข้า
ว่าเป็นลูกของใคร หรือบางทีก็เอาลักษณะเด่นส่วน มาอยู่ในประเทศไทย พบว่าชาวไตหย่าท่ีอพยพมาน้ัน
บุคคล เช่น ตัวสูง ตัวเต้ีย อ้วน ผอม ฟันเหยิน ฯลฯ มีเพียงเสื้อผ้า ของใช้จาเป็นท่ีหาบมา บางคร้ังก็เอาลกู
ตามหลังชื่อแทน แต่ในปัจจุบันนี้ ชื่อชาวไตหย่าได้ ตัวเล็กยังเดินไม่ไหวใส่ในหาบที่เรียกว่า ขอนกูล่าน
เปลย่ี นไปมกี ารตงั้ ชือ่ ลูกเหมอื นคนไทยทวั่ ไป บางครัง้ ก็ มาด้วย บางคนที่มีม้าก็ใช้ม้าต่างสัมภาระต่าง ๆ
ต้ังช่ือลูกตามความนิยมดาราหรือนักร้องในยุคน้ันก็มี เดินทางตามเส้นทางเดินของคาราวานท่ีใช้ม้าบรรทุก
และได้มีการต้ังนามสกุลของแต่ละครอบครัวหรือตาม ของผ่าน สองข้างทางมแี ตก่ อหญ้าหนารก ระหวา่ งทาง
กลุ่มเครือญาติ เพราะได้สัญชาติไทยเป็นคนไทย จะพักแบบค่าไหนนอนนั่น หรือพักตามหมู่บ้านที่เดิน
สมบรู ณ์ จงึ ใช้ชือ่ และนามสกลุ ไทยมาจนถงึ ปัจจุบนั นี้
๓. วิถชี วี ิตความเปน็ อยู่
๓.๑ ท่อี ยอู่ าศัย
ในอดีต ชาวไตหย่าสร้างบ้านเรือนด้วยดินปั้น
เป็นกอ้ นสี่เหลย่ี มผนื ผา้ ขนาด ๗ x ๑๐ น้วิ ไมม่ กี ารเผา
ตากแห้งแล้วนามาเรียงต่อกันเชื่อมด้วยโคลนหรือดิน
เปียก ลกั ษณะบา้ นจะเปน็ บา้ น ๒ ชั้นรูปสี่เหลย่ี มผนื ผ้า
๑๘๘ | กลุม่ ชาติพนั ธุ์ ในจงั หวัดเชยี งราย
ทางผ่าน บางครั้งต้องขอข้าวชาวบ้านกินไปเป็นวัน ๆ ถ่ินไปที่อื่นแล้ว ก็เร่ิมปลูกสร้างบ้านเรือนถาวรมากข้นึ ชาติพันธุ์ “ไตหย่า”
เม่ือมาถึงเมืองยอง ประเทศพม่า ได้มีบางครอบครัว เริ่มปลูกบ้านด้วยไม้เน้ือแข็ง เปล่ียนจากมุงด้วยหญ้า
หยุดพักและเร่ิมต้ังบ้านเรือนอาศัยอยู่ มีที่ดินทากินจึง คามาเปน็ การมงุ ด้วยสงั กะสี ตอ่ มากม็ ีการปลกู บ้านตึก
ไม่เดินทางต่อมาประเทศไทย ซ่ึงขณะน้ียังคงมี มากขึ้น มุงหลังคาด้วยกระเบื้อง หรือปัจจุบันนี้
ชาวไตหย่าอาศัยอย่ทู ี่น่นั ก็ใช้วัสดุสร้างบ้านท่ีทันสมัยมากข้ึน บ้านเรือนจึงมี
รูปทรงตามสมัยนิยมหรือเป็นแบบที่นิยมทั่วไปของ
กลุ่มท่ีเข้ามาประเทศไทย ไดเ้ ข้ามาอาศัยอยู่ท่ี ชมุ ชนที่อยอู่ าศัย
บ้านหนองกลม ซึ่งมีชาวไตหย่าท่ีมากอ่ นหนา้ อาศยั อยู่
ดังน้ันหมู่บ้านหนองกลมจึงเป็นพื้นท่ีแรกท่ีชาวไตหยา่ หมู่บา้ นน้าบ่อขาว
เขา้ มาตงั้ ถิน่ ฐาน แตป่ ัจจุบนั น้ี ไมม่ ชี าวไตหยา่ อาศัยอยู่ ตา้ บลหว้ ยไคร้ อ้าเภอแม่สาย จงั หวดั เชียงราย
แลว้ การทามาหากินในขณะนนั้ ส่วนใหญ่ก็จะไปรับจ้าง
ทานา ต่อมาไดม้ ีการแผ้วถางที่ดนิ ทากินในบริเวณบ้าน ภาพจาก สิลช ตรเี อกานุกลู . หมู่บา้ นน้าบอ่ ขาว. ถ่ายเม่ือ สิงหาคม 2563.
ปา่ สกั ขวาง ในช่วงเวลานัน้ ใครขยันบุกเบิกท่ีดนิ ได้มาก
ก็สามารถทาเป็นพื้นท่ีทากินได้มาก ที่ดินจึงได้มาโดย ๓.๒ การประกอบอาชีพ
การจับจอง ยังไม่มีการซื้อขายหรือมีเอกสารสิทธ์ิท่ีดนิ ในอดีต ชาวไตหย่ารุ่นแรกท่ีเข้ามาอยู่ใน
เหมอื นในปัจจุบัน ประเทศไทย ส่วนใหญ่มีอาชีพทานา ทาสวน ทาไร่
ปลูกผักเลี้ยงเป็ด เล้ียงไก่ไว้ทานในครัวเรือน
ด้วยความขยันขันแข็ง ทางานแบบหนักเอา และจาหน่ายเป็นรายได้ ความรู้ด้านการปลูกผักได้รับ
เบาสู้ ทาให้ชาวไตหย่าหลายครอบครัวได้บุกเบิกแผ้ว สืบทอดมาตั้งแต่สมัยอยู่ในประเทศจีนที่ทาเป็นงาน
ถางที่ดินจนมีไร่นาทากนิ เลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวได้ ประจาครอบครัว จึงทาให้ผักท่ีปลูกมีผลผลิตที่ดี
ต่อมาเมื่อมีลูกหลาน ก็สนับสนุนให้ลูกหลานได้รับ ผักมีความสด สวยงาม เปน็ ทต่ี ้องการของแม่ค้าขายผัก
การศึกษา เพื่อจะได้มีอาชีพที่สบายไม่ต้องลาบาก ท่เี ขา้ มารบั ซื้อถงึ ในพน้ื ที่
เหมือนพ่อแม่ บางคร้ังพ่อแม่ต้องขาย ท่ีนาเพ่ือเป็น ความสามารถอีกด้านหน่ึงคือการตอนไก่ตวั ผู้
ค่าใช้จ่ายในการศึกษาของลูกท่ีเรียนในระดับสูงข้ึน เพราะไก่ตอนจะเป็นท่ีต้องการของชาวจีนฮ่อท่ีอยู่ใน
ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มมากขึ้น ที่ดินทากินจึงลดน้อยลงไป ละแวกใกล้เคียง ไก่ที่ตอนแล้วจะอ้วนท้วนสมบูรณ์
ไตหยา่ รนุ่ ลูกบางครอบครัวก็ไมม่ ีใครมาประกอบอาชีพ ได้ราคาดี การตอนก็จะคานวณเวลาไว้ให้โตทันช่วง
ด้านการเกษตร บางคนจึงให้ผู้อื่นเช่าที่ดินทากนิ ซงึ่ ก็มี ตรุษจีน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ขายไก่ได้ราคาดีที่สุด
ปรากฏให้เหน็ ในปจั จุบนั เน่ืองจากชาวจีนจะต้องการใช้ไก่มาก บางคร้ังก็มีการ
จึงเห็นได้ว่า ชาวไตหย่าในรุ่นแรกที่เข้ามาน้นั กลมุ่ ชาติพันธ์ุ ในจงั หวัดเชยี งราย | ๑๘๙
ส่วนใหญ่ไม่ไดร้ บั การศกึ ษาตามระบบของไทย ทาให้ไม่
มีโอกาสในการประกอบอาชีพด้านอ่ืน จึงทาอาชีพท่ี
ตนถนัดและสืบทอดตามบรรพบุรุษ คือการทาด้าน
เกษตร ทกุ พ้ืนท่ที ชี่ าวไตหย่าไปอยจู่ ึงจะประกอบอาชีพ
ทาไร่ ทานา ทาสวนผัก ตอ่ มาจึงเริ่มมีการค้าขายพชื ผล
ที่ผลิตได้ ซึง่ เปน็ แหลง่ สาคัญด้านเศรษฐกิจในครวั เรือน
ปัจจุบัน เม่ือชาวไตหย่ามีท่ีดินเป็นของตัวเอง ไม่ย้าย
ชาติพันธุ์ “ไตหย่า” มาจองไก่ตอนโดยมัดจาเงินไว้ก่อนเพื่อเป็นการยืนยัน ตลอดปี (รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์ และ ราญ ฤนาท.
ว่าจะมาซ้อื จรงิ เมื่อถึงเทศกาลตรษุ จีน ๒๕๓๒ : ๓๐) เช่นเดียวกับท่ี บุญช่วย ศรีสวัสดิ์
ได้บันทึกเก่ียวกับชนชาติต่าง ๆ และพิมพ์ครั้งแรกใน
พืชเศรษฐกิจอีกอย่างหน่ึงคือ เสื่อไตหย่า หนังสือช่ือ ๓๐ ชาติในเชียงรายเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๓
(เส่ือทอกก) ที่ชาวไตหย่าภูมิใจเพราะ นายเลาหล่าย เก่ียวกับชาวไตหย่าไว้ว่า “ชาวไตหย่ารับประทาน
เปน็ ชาวไตหย่าคนแรกทนี่ าหัวเสื่อเข้ามา ด้วยการแช่น้า อาหารคล้ายชาวจีน คือใช้ตะเกียบ และชอบ
ในกระบอกไม้ไผ่ นามาเพียง ๓ แหง่งเท่านั้น และเม่ือ รับประทานเน้ือสุนัข” (บุญช่วย ศรีสวัสดิ์. ๒๕๔๗:
ตั้งบ้านเรือนแล้วก็นาหัวเสื่อไปเพาะชาไว้ท่ีบริเวณบ่อ ๗๘) ชาวไตหย่าไม่บริโภคอาหารดิบ และไม่บริโภค
น้าที่เฉอะแฉะ เพราะต้นเส่อื ชอบทม่ี ีน้า ขยายหัวเสื่อใช้ อาหารรสจัด อาหารจะทาให้สุกโดยการหุง ต้ม แกง
เวลาถึง ๓ ปี จึงมีเส้นเสื่อพอในการทอเป็นเสื่อผืนแรก ตนุ๋ ทอด คั่ว ยา่ ง หรือ จ่ี เครอื่ งชรู สอาหารใชแ้ ต่เกลือ
ต่อจากน้ัน หัวเส่ือก็ได้ขยายออกไปในหมู่ชาวไตหย่าท่ี และน้าส้ม ไม่บริโภคเคร่ืองเทศนอกจากพริกไทย โดย
ทุ ก บ้ าน จะ น าม าปลู ก โ ดย แ บ่ ง ที่ น า ที่ ใช้ ป ลู ก ข้ า ว ไ ว้ ปกติชาวไตหย่าจะเก็บถนอมอาหารไว้บริโภคนาน ๆ
สาหรับปลูกเสื่อสว่ นหนึง่ ทาให้ชาวไตหย่าเกือบทุกบ้าน ด้วยการหมัก ดอง และตากแห้ง (นงนุช จันทราภัย.
มีอาชีพทอเสื่อ จนถกู เรยี กว่า “เสอื่ ไตหย่า” เพราะจะมี ๒๕๒๔: ๑๒)
พ่อค้าคนกลางมารับซ้ือถึงบ้าน บางคร้ังก็มาจองหรือ
มัดจาไว้ก่อน ชาวไตหย่าขณะนั้นมีฐานะค่อนข้าง ช า ว ไ ต ห ย่ า รุ่ น แ ร ก ที่ อ พ ย พ เ ข้ า ม า อ ยู่ ใ น
ยากจน แต่ละครอบครัวมีลูกหลายคน จึงต้องพึ่งเงิน ประเทศไทย ได้นาวัฒนธรรมเดิมด้านอาหารมาด้วย
ล่วงหน้าที่พ่อค้ามาจองเสื่อไว้ก่อนนั้น นามาเป็น โดยเฉพาะด้านอาหารที่ยังคงมีเอกลักษณ์โดดเด่นคือ
ค่าใช้จ่ายในบ้านให้พอในแต่ละวัน การตกลงกันเร่ือง การปรุงอาหารที่มีรสชาติแบบเดิม ไม่นิยมทานอาหาร
ท อ เ ส่ื อ เ พื่ อ เ ป็ น ก า ร ใ ช้ ห น้ี เ งิ น ที่ เ อ า ม า ล่ ว ง ห น้ า ของคนพ้ืนเมือง คือ ไม่ชอบทานกะปิ ปลาร้า หรือ
จะเรียกว่า ขายสาดเขียว เพราะขายต้ังแต่ยังเป็นต้น อาหารท่ีมีกะทิ จึงไม่ชอบทานอาหารของชาวเหนือ
เขียวอยู่ท่ีทุ่งนา แต่เมื่อถึงเวลาเก็บเก่ียวเส้นเส่ือ หรือชาวภาคกลาง แต่จะนิยมปลูกผักเพื่อนามาปรุง
นามาทอเป็นผืนแล้ว ก็รักษาสัญญาใช้หนี้คืนตามท่ี เป็นอาหารในแบบหุง (แกงท่ีมีรสเปรี้ยว) ต้ม ผัด
ตกลงไว้ นับว่าเปน็ การทาธุรกจิ ที่ใช้ความเช่ือใจกนั ส่วนผักต่าง ๆ จะมีการนามาดองเพ่ือเก็บไว้ทานได้
นาน เช่น ดองแตงกวา หวั ไชเท้า หัวผักกาด อกี ท้งั ยังมี
ปัจจุบัน ชาวไตหย่ามีอาชีพท่ีหลากหลาย การดองเนื้อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเป็ด ไก่ ห่าน หมู วัว
ไม่ว่าจะเป็น การรับจ้างทั่วไป ประกอบธุรกิจส่วนตัว ปลา หรือแม้แต่เนอื้ สุนัข ก็สามารถดองได้ โดยจะดอง
เกษตรกร ค้าขาย รับราชการ ในโอ่งซ่ึงเป็นภาชนะดินเผาที่ชาวไตหย่าเรียกว่า ต่อม
หรือ ออม ทน่ี าตดิ ตวั มาจากประเทศจีน ชาวไตหยา่ จะ
๓.๓ อาหาร ด อ ง เ ห มื อ น ที่ เ ค ย ท า เ ม่ื อ อ า ศั ย อ ยู่ ใ น โ ม ซ า เ จี ย ง
ใ น อ ดี ต อ า ห า ร ห ลั ก ข อ ง ช า ว ไ ต ห ย่ า ชาวไตหย่าจะนิยมรับประทานเนื้อสุนัขโดยนาเน้ือมา
คือ ข้าวเหนยี ว นอกจากใช้รบั ประทานกบั อาหารอย่าง ผัดใส่ผักกุยช่าย และจะใส่เลือดลงไปในการผัดด้วย
อนื่ แล้ว ยังสามารถนามาทาเปน็ อาหารอกี ชนิดหน่ึงคือ การรับประทานเนอ้ื สนุ ขั เปน็ สง่ิ หนง่ึ ที่ทาให้คนพ้นื เมือง
นาเอาข้าวสารเหนียวปรุงกับหมู ห่อด้วยใบตองนามา ร้วู า่ คนกลุ่มนน้ั เป็นชาวไตหยา่ และเป็นเหตผุ ลหน่ึงท่ีทา
มัดติดกันแล้วนาไปน่ึง เรียกข้าวต้มก๊บหรือข้าวจ๋า ให้คนพื้นเมืองส่วนหนึ่งในอดีตไม่ยอมรับชาวไตหย่า
อาหารหลักอีกอย่างคือปลา ท่ีชาวไตหย่านิยมนามา
ปรุงอาหาร หากมีจานวนมากก็จะนาไปดองเก็บไวก้ ิน
๑๙๐ | กลมุ่ ชาติพนั ธุ์ ในจงั หวดั เชยี งราย
จึงถูกเลือกปฏิบัติหรือแสดงอาการรังเกยี จ ด้วยคาพูด หุงผักกาด ก็จะคล้ายกับจอผักกาดของคนพื้นเมือง ชาติพันธุ์ “ไตหย่า”
ดังข้อมูลทีไ่ ดจ้ ากการสนทนากลุ่มว่า “คนเมอื งจะอู้กั๋น เพียงแต่ชาวไตหย่าไม่นิยมใส่กะปิหรือปลาร้าเป็น
ว่า ไตหย่ากินจิ้นหมา ข้ีจ๊ะขนาด” (“ชาวพ้ืนเมืองพูด เคร่ืองปรุงเท่านั้น หรือเนื้อสุนัขท่ีชาวไตหย่ากินเป็น
กนั ว่าไตหย่ากนิ เนื้อสุนขั ขยะแขยงมาก”) ประจา เม่ือคบค้ากับชาวพื้นเมืองก็ทาให้เกิดการ
ยอมรับของชาวพื้นเมืองและสามารถกินร่วมกันได้ แต่
เมนอู าหารของชาวไตหย่า ได้แก่ เน้ือสนุ ัขผัดใสผ่ กั ก้ยุ ช่าย บางคร้ังชาวพน้ื เมืองบางคนที่กินเนื้อสุนัขจะนาไปปรุง
หงุ ผักบงุ้ ปลาไหลแห้งทอด อีกรูปแบบหน่ึงที่เรียกว่า คั่วแฮ่ม จนในปัจจุบันน้ีจะ
เห็นได้ว่า คนพื้นเมืองจานวนหน่ึงกินเน้ือสุนัขกันมาก
ภาพจาก เลหลา้ ตรีเอกานุกลู และจุไรรัตน์ วรรณศริ ิ. การดารงอยขู่ องอตั ลักษณไ์ ตหย่า ข้ึน มีการเปิดร้านขายเน้ือสุนัขอย่างเสรี ด้วยการติด
ในประเทศไทย :กรณีศกึ ษาจงั หวดั เชียงราย. 2552: 48. ป้ายว่า “ดาปอด” แต่มีน้อยมากท่ีชาวไตหย่าจะเปิด
ร้านขายเนอื้ สนุ ัข สว่ นใหญจ่ ะนยิ มซ้อื มาเป็นตัวเพ่ือฆ่า
ตอ่ ม หรือ ออม สาหรบั ใช้ดองเนอื้ ดองผัก ทาเป็นอาหาร เพราะมักจะมีการทาเพื่อกินด้วยกันใน
ครอบครัว เครือญาติ หรือในกลุ่มมิตรสหายหลายคน
ภาพจาก เลหลา้ ตรีเอกานกุ ูล และจุไรรตั น์ วรรณศริ .ิ การดารงอยขู่ องอตั ลักษณไ์ ตหย่า ในโอกาสพิเศษตา่ ง ๆ เทา่ น้ัน
ในประเทศไทย :กรณีศกึ ษาจังหวัดเชียงราย. 2552: 48.
ปัจจุบันหลายเมนูเคยรับประทานจากการที่
ชาวไตหย่ากินข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก พอ่ แมท่ ากินในบ้าน ทส่ี ามารถจัดกลุ่มได้ คือ อาหารที่
ดังนั้น การเข้ามาอยู่ในจังหวัดเชียงราย ซ่ึงเป็นพื้นที่ พ่อแม่ทาให้กิน และปัจจุบันยังคงทากินกันในบ้าน
ของคนพ้ืนเมืองเหนือและกินข้าวเหนียวเป็นอ าหาร ซ่งึ ผูใ้ ห้ขอ้ มลู ส่วนใหญ่บอกว่าควรอนรุ กั ษ์ไวด้ ว้ ยเพราะ
หลักเช่นกัน ก็ทาให้ไม่มีปัญหาในการกินข้าว ชาว เป็นอาหารประจาของ ชาติพันธุ์ ได้แก่ หุงผักต่าง ๆ
ไตหย่าไม่นิยมกินอาหารท่ีมีรสหวาน หรือใส่กะทิ เช่น หุงผักกาด ผักกูด ผักปัง ผักแว่น ผักแป้น การหุง
เหมือนคนพื้นเมืองเหนือ ถึงแม้ว่ากับข้าวอาจมีความ เปน็ การทาอาหารทีค่ ลา้ ยกับการจอผักของคนพ้ืนเมือง
แตกตา่ งกันบา้ ง ชาวไตหย่าเรียนรู้จกั อาหารเหนือและ เนื้อส้ม ปลาส้ม ท่ีมีสูตรเฉพาะในการหมักแล้วดองไว้
นามาปรุงให้ครอบครัวรับประทานไปด้วย ถ้าหากคู่ รับประทานนาน ๆ ได้ หลผู่ ักกาดส้ม คือการนาผักกาด
สมรสเป็นชาวพ้ืนเมือง อาหารก็จะมีการทาแบบ ดองมาสับละเอียด ใส่เครื่องในไก่ต้มสุกห่ันเป็นชิ้นหมู
หลากหลายผสมกันไประหว่างอาหารไตหย่าและ สามชั้นต้ม หรือที่ชาวไตหย่าเรียกว่าต้มเน้ือปาดมัน
อาหารเหนือ ซ่ึงบางอย่างก็ไม่แตกต่างกัน เช่น คื อ ก า ร น า เ น้ื อ ห มู ส า ม ช้ั น เ ป็ น ช้ิ น ใ ห ญ่ ต้ ม จ น เ ป่ื อ ย
แล้วนามาหั่นเป็นช้ิน ๆ พอคา กินกับน้าจิ้มท่ีทาจาก
กระเทียมสดตาให้ละเอียดหรือพริกไทยเม็ดค่ัวกับ
เกลือเม็ดแล้วนามาตาให้ละเอียดขมไก่ คือการนา
เครื่องในไก่มาต้มสุกหั่นเป็นช้ิน ๆ ทาให้มีรสชาติขม
ด้วยการใส่ดีไก่ลงไปหรือบางคร้ังก็ใช้ผักท่ีมีรสขมห่ัน
ผสมลงไป ไข่ตุ๋นเห็ดหวี่ (เห็ดหวี่ คนพ้ืนเมืองเรียกเหด็
ตามอดหรอื เหด็ แตะ) เนอื้ ตาขงิ คอื การนาเนอ้ื สตั ว์เช่น
เนื้อวัว หมู นก ตากแห้งแล้วนาเน้ือมาย่างให้สุกตาให้
กลุม่ ชาตพิ ันธุ์ ในจงั หวดั เชียงราย | ๑๙๑
ชาติพันธุ์ “ไตหย่า” ละเอียด แล้วนาขิงตาผสมลงไป เน้ือสุนัขโค่ผักแป้น ได้มานับถือศาสนาครสิ ต์ โดยมมี ชิ ชนั นารศี าสนาคริสต์
คือเน้ือสุนัขห่ัน เป็น ช้ินเล็ก ๆ นามาผัดให้ สุก นิกายโปรเตสแตนท์ได้เข้าไปเผยแพรศ่ าสนา
ใส่เครื่องเทศ พริกแห้งตาละเอียด ใส่เลือดลงไปผัดจน
สุกแล้วจะใส่ใบกุยช่าย หั่นชิ้นเล็กลงไปเป็นข้ันตอน การดารงอยู่ด้านความเชื่อในพระเจ้าเป็นส่ิง
สุดท้าย ข้าวแกงท่าง เป็นขนมที่ทาจากข้าวเหนียวต้ม เดียวที่ทาให้ชาวไตหย่ายังคงนบั ถือศาสนาคริสต์จนถึง
ใสน่ า้ ออ้ ย แต่เดิมนั้นมักจะนยิ มทาเปน็ ของว่างเลี้ยงใน ปัจจุบันนี้ ซ่ึงมีจานวนมากเป็นอันดับ ๑ เน่ืองจาก
งานศพ จนกลายเป็นสญั ลักษณ์อย่างหน่งึ เช่นถา้ พูดว่า ความเชื่อในศาสนาคริสต์เป็นส่ิงยึดเหน่ียวจิตใจชาว
“อยากกินข้าวแกงท่างหรอื ” มีความหมายถึง “อยาก ไตหย่าต้ังแตค่ ร้ังเมอื่ อยู่ในตาบลโมซาเจียง ประเทศจีน
ตายหรือไง” ข้าวแหลกล่อม เป็นขนมคล้ายขนมบัว เมอ่ื มิชชันนารไี ด้ไปประกาศศาสนาคริสต์ทน่ี ่นั และเป็น
ลอยของไทยแต่ไม่ใส่กะทิ ทาจากการนาแป้งข้าว เหตุผลหลักที่ได้นาชาวไตหย่าพากันอพยพเดินทาง
เหนียวผสมน้าแล้วปั้นเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ ต้มในน้า ออกจากประเทศจีนมาสู่ประเทศไทยซ่งึ มีอิสระในการ
เดือด เม่ือก้อนแป้งสุกแล้วก็ตักข้ึนมาคลุกกับน้าอ้อย นับถือศาสนาต่างจากในประเทศจีนที่ไม่สามารถ
ที่ขดู เป็นเกลด็ เลก็ ๆ เปิดเผยหรือประกาศตัวเป็น คริสเตียนได้ ดังนั้น
เมื่อมาอยู่ในประเทศไทย มีการตั้งถิ่นฐานถาวร
ซ้าย : ขา้ วเหนียวปรุงกับหมู ขวา : การตาข้าวแหลกล่อม แล้วส่ิงที่ขาดไม่ได้คือ การหาสถานท่ีนมัสการพระเจ้า
ในแบบชั่วคราวก่อน แล้วพัฒนาจนเป็นอาคารถาวร
ภาพจาก อารีย์ หินโชค. ถ่ายเมือ่ กรกฎาคม 2563. ดังที่ปรากฏให้เห็นคือคริสตจักรท่ีสร้างแบบถาวรใน
หมู่บ้านต่าง ๆ
๔. วัฒนธรรมและประเพณี
คริสเตียนมีความเชื่อท่ีว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้าง
๔.๑ ศาสนา ทุกสิ่ง ทุกชีวิตถูกกาหนดไว้จากพระเจ้าชาวไตหย่าจึง
แต่เดิมนั้นชาวไตหย่าไม่มีศาสนา จะนับถือผี เช่อื ว่าการมาอยู่ในประเทศไทยคอื การทรงนาและเป็น
โดยเช่ือว่าพ่อแม่เม่ือตายแล้วจะไปเป็นผี ซึ่งสามารถ แผนการของพระเจ้า จึงมีความสานึกในพระคุณของ
คุ้มครองปกปักรักษาลูกหลานที่ยังมีชีวิตได้ ทั้งนี้ พ ร ะ อ ง ค์ และ ติดตามพ ร ะ เจ้าด้ว ยใจศรัท ธ า
เน่ืองจากความผูกพัน ความเคารพนับถือ ความเช่ือวา่ เป็นเหตุผลหน่ึงท่ีทาให้ชาวไตหย่าส่วนใหญ่ไม่มีการ
ผมู้ พี ระคณุ เป็น ผู้ทจ่ี ะต้องยกย่องบชู า ดังนั้นเมื่อพอ่ – เปลี่ยนศาสนา แม้จะเข้ามาอยู่ท่ามกลางพี่น้องเพ่ือน
แม่ หรือบรรพบุรุษตายไป จึงเป็นหน้าที่สาคัญท่ี บ้านศาสนาอ่ืนหรือแต่งงานกับคนที่นบั ถือศาสนาอ่นื ก็
ลกู หลานจะต้องดูแลโดยการ เซน่ ไหวบ้ ชู าด้วยข้าวปลา ตาม เหตุผลท่ีสาคญั อีกประการหนง่ึ กค็ ือประสบการณ์
อาหารทด่ี ีที่สุด และทาใหท้ ่านพอใจ หากท่านไม่พอใจ ชีวิตท่ีชาวไตหย่าได้รับจากการเชื่อถือในพระเจ้า
ท่านอาจจะบันดาลให้เกิดสิ่งท่ีไม่ดีขึ้นเพื่อเป็นการ ที่ปกป้องรักษาไม่ให้พวกภูตผีปีศาจ หรือวิญญาณชั่ว
ลงโทษ แต่ต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๔๖๓ ชาวไตหย่าส่วนหน่ึง ร้ายมาเบียดเบียนและมีความปลอดภัยต้ังแต่การ
เดินทางจากเมืองหย่า มาจนถึงประเทศไทย ดังที่ผู้ให้
๑๙๒ | กลุม่ ชาติพนั ธุ์ ในจงั หวัดเชยี งราย ขอ้ มลู สาคญั ทา่ นหนง่ึ ได้ใหข้ อ้ มูลว่า
“ตั้งแต่ที่ยังอยใู่ นเมืองหย่า เม่ือชาวไตหย่ามา
รั บ เ ชื่ อ ใ น พ ร ะ เ จ้ า ก็ ไ ม่ มี ก า ร เ ซ่ น ไ ห ว้ ผี อี ก
และกลายเป็นคนขับไล่ผีแทน จนชาวบ้านท่ีอยู่รอบ ๆ
ท่ียงั นบั ถือผอี ยู่เรียกพวกมาเปน็ คริสเตียนว่า คนหลั่งผี ๔.๒ พิธีกรรม ความเช่ือ ชาติพันธุ์ “ไตหย่า”
หรือแปลว่าคนไล่ผี และตลอดการเดินทางจากเมือง พิธีกรรม กลุ่มไตหย่าที่ไม่ได้เปล่ียนมานับถือ
หย่ามาถึงประเทศไทย ชาวไตหย่าไม่มีใครได้รับ ศาสนาคริสต์ ยังคงมีพิธีกรรมการเซ่นไหว้ผี โดยมีย่า
อั น ต ร า ย จ า ก สั ต ว์ ป่ า ที่ มี จ า น ว น ม า ก ใ น เ ว ล า นั้ น มดหรอื ปมู่ ด เป็นผ้ทู าพธิ ีให้ เชน่ พิธีการไหวผ้ ปี ระจาปี
แม้ว่าตอนกลางคืนพวกเราจะต้องนอนกลางป่า ของย่ามดที่เสื้อบ้าน เรียกว่า กางหวาน คือการเซ่นผี
ได้ยินเสียงเสือคาราม แต่ก็ไม่มีสัตว์ร้าย มาทาอะไร ย่ามด ท่ีจะทาพิธีเซ่นไหว้ทุก ๓ ปี (รุจพร ประชาเดช
พวกเรา เพราะก่อนนอนเราจะอธิษฐานขอพระเจ้า สุวัฒน์ และจินตนา มัธยมบรุ ษุ ๒๕๔๑: ๘๖ - ๙๒)
อารักขาคุ้มครอง ทุกคนจึงปลอดภัยจากอันตราย พิ ธี ก ร ร ม ที่ ช า ว ไ ต ห ย่ า ป ฏิ บั ติ ใ น ปั จ จุ บั น
ต่าง ๆ สามารถเดินทางมาถึงประเทศไทย และได้รับ ข้ อ มู ล ด้ า น พิ ธี ก ร ร ม ผู้ ใ ห้ ข้ อ มู ล ใ ห้ ค ว า ม คิ ด เ ห็ น ว่ า
พ ร ะ พ ร พ ร ะ เ จ้ า ม า ก ม า ย จ น ถึ ง รุ่ น ลู ก รุ่ น ห ล า น พิธีกรรมในปัจจุบันจะสอดคล้องกับศาสนาคริสต์
ดังที่เปน็ อยู่ทุกวันน้ี” มากกว่าการนับถือผีของชาวไตหย่าในประเทศจีน
พิธีกรรมดั้งเดิมที่เก่ียวข้องกับผี หรือ การนับถือย่ามด
เมื่อชาวไตหย่าท่ีเข้ามาอยู่ในจังหวัดเชียงราย (ผู้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ) ชาวไตหย่าในปัจจุบันไม่
ประเทศไทย นับถือศาสนาคริสต์ จึงสามารถร่วม ปฏิบัติแล้ว เน่ืองจากผู้ที่ได้หนั มานบั ถือศาสนาคริสต์จะ
กจิ กรรมทางศาสนาคริสต์กับคนพน้ื เมืองที่อย่กู ่อนและ ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพิธีกรรมเดิมอีก ส่วนพิธีกรรมที่ไม่
เป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์เช่นเดียวกันได้อย่างปกติ ขัดกับคาสอนศาสนาคริสต์ ชาวไตหย่ายังคงปฏิบัติอยู่
จงึ ทาให้เรียนร้แู ละปฏิบัติศาสนกิจทางศาสนาคริสต์ได้ ได้แก่ โกป้าเย่ (ไหว้พระจันทร์) ตรุษจีน การอยู่ไฟ
อย่างกลมกลืน ส่ิงสาคัญอีกประการหนึ่งคือ เม่ือมีการ การออกเดือนหลังคลอดบุตร
ต้ังโบสถ์ ท่ีใช้เป็นศาสนสถานในการประกอบพิธีกรรม ความเชื่อ การเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ ก่อนที่จะ
ทางศาสนา ได้รับการยอมรับให้สังกัดอยู่ภายใต้การ มกี ารเลี้ยงฉลองในประเพณีตา่ ง ๆ หรืองานเทศกาลใด
ดูแลของสภาคริสตจักรในประเทศไทยซึ่งเป็นองค์กร ๆ จะต้องมีการบอกและเลี้ยงผีบรรพบุรุษก่อนทุกครั้ง
สูงสุดของศาสนาครสิ ต์นกิ ายโปรเตสแตนท์ในประเทศ ไตหย่าทมี่ ีความเชอ่ื เรอ่ื งผี จงึ มีผมี ด (ยา่ มดหรอื พอ่ มด)
ไทย ทาให้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาคริสต์ที่ เป็นผู้ทาพิธีให้เพ่ือความเป็นสิริมงคล ปัดเป่าความ
จัดขึ้นท้ังในระดับเขต (การแบ่งพ้ืนท่ีดูแลคริสตจักรท่ี ทุกข์ยาก และโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ อีกประการหนงึ่ คือ
อยู่ในอาเภอใกล้เคียงกัน) ระดับภาค (ดูแลคริสตจักร ด้วยความท่ีชาวไตหย่ามีชีวิตผูกพันอยู่กับการเกษตร
ใ น ร ะ ดั บ เ ข ต ท่ี อ ยู่ ใ น จั ง ห วั ด เ ดี ย ว กั น ห รื อ จั ง ห วั ด จึงมีความเชอื่ ว่ามีผีสิงสถิตอยู่กบั ส่ิงท่ีตนเองจะต้องเข้า
ใกล้เคียงกัน) และระดับประเทศ ทาให้ชาวไตหย่าท่ี ไปเก่ียวขอ้ ง เช่น ผีนา ผีบา้ น ผีปา่ ผวี ัว ผีควาย ผแี ดด
เป็นสมาชิกของคริสตจักรต่าง ๆ ท่ีอยู่ในชุมชนที่ตน ไหม้ ผีฟ้า ผีน้า ผีภูเขา เป็นต้น และผีเหล่านี้จะต้องมี
อาศัยอยู่ ได้เรียนรู้จักกับผู้ท่ีนับถือศาสนาคริสต์ท่ีเป็น การบูชาเซน่ ไหว้เช่นเดียวกนั
ชาวพ้นื เมอื ง หรอื กลุม่ ชาตพิ ันธ์ุต่าง ๆ มากข้นึ ทาให้มี ๔.๓ ประเพณี
การเย่ียมเยียนและแลกเปล่ียนความรู้ซ่ึงกันและกัน ในสมัยโบราณ ชาวไตหย่ามีประเพณีท่ีสาคัญ
ชาวไตหยา่ ท่นี ับถือศาสนาคริสต์ จึงสามารถปรบั ตัวอยู่ ๓ ประการท่ีเป็นเร่ืองของความเชื่ออันเกิดจาก
รว่ มกบั ผู้อนื่ ได้อย่างกลมกลืนและสงบสขุ วั ฒ น ธ ร ร ม ใ น วิ ถี ชี วิ ต ท่ี มี ก า ร ท า เ ก ษ ต ร เ ป็ น ห ลั ก
และการมีความเคารพรัก กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ
กลุ่มชาติพนั ธ์ุ ในจังหวดั เชยี งราย | ๑๙๓