โครงการบวชอบุ าสกิ าแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
ธรรมบททเี่ กี่ยวกับอุบาสกิ า
โครงการบวชอบุ าสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน
ระหว่างวนั ท่ี ๑๖ – ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
1
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
ธรรมบทท่ีเก่ยี วกบั อุบาสิกา ๑๔) เร่อื งพระนางรปู นนั ทาเถรี [๑๒๒]
๑) เรอ่ื งอโุ บสถกรรม [๑๑๑] (บวชเพราะตดิ ญาติ ไม่อยากไปฟังธรรม)
(รกั ษาศลี เหมือนกนั แตป่ รารถนาตา่ ง) ๑๕) เรือ่ งนางวสิ าขา [๔๐]
๒) เรือ่ ง เจา้ หญิงโรหณิ ี [๑๗๔] (ประวตั ิมหาอบุ าสกิ า, กรรมในอดีต)
(ทาความสะอาดเสนาสนะรกั ษาโรค) ๑๖) เรอ่ื งนางจฬู สุภัททา[๒๒๑]
๓) เรือ่ งหญงิ ขหี้ งึ [๒๒๘] (วธิ กี ารสรา้ งศรัทธาให้แม่ผัว)
(ขึ้นชื่อว่าความช่ังไมอ่ าจปกปิด) ๑๗) เร่ืองนางสุมนาเทวี[๑๓]
๔) เรอื่ งพระกุณฑลเกสเี ถร[ี ๘๓] (ลูกสาวคนเลก็ บรรลธุ รรมขั้นสูงกว่า)
(รอดตายจากผวั โจร,หนไี ปบวช) ๑๘) เร่อื งนางวสิ าขาอุบาสกิ า[๑๖๗]
๕) เร่ืองนางปฏาจารา[๙๒] (สทุ ตั ตี ผ้เู ปน็ ธิดาของบตุ ร)
(บ้าเพราะตายยกครอบครวั ) ๑๙) เรอื่ งหญงิ สหายของนางวสิ าขา [๑๑๘]
๖) เรือ่ งธิดานายชา่ งหูก[๑๔๓] (ไดก้ ัลยาณมติ รจงึ บรรลุธรรม)
๒๐) เรอ่ื งนางลาชเทวธิดา[๙๗]
(เจริญมรณานุสตแิ ลว้ บรรลุธรรม) (ทาบุญเลก็ นอ้ ยถูกเนอื้ นาบญุ )
๒๑) เรื่องนางปตปิ ูชิกา [๓๖]
๗) เรือ่ งสัมพหลุ ภกิ ษ[ุ ๒๕๘] (ทาบุญ,อธษิ ฐานใหพ้ บเทพบตุ ร)
(โจรเลอ่ื มใสโยมแมแ่ ละพระโสณะ) ๒๒) เรือ่ งภิกษรุ ูปใดรูปหน่งึ [๒๕]
๘) เรอ่ื งความเกิดขึ้นของนางกาลียกั ษิณ[ี ๔] (อุบาสกิ าบรรลุธรรมก่อน)
(เมียน้อยจองเวรเมียหลวงหลายชาติ) ๒๓) เร่ืองพระพหุปตุ ติกาเถร[ี ๙๔]
๙) เร่ืองกมุ ารกิ ากนิ ไขไ่ ก[่ ๒๑๕] (มลี ูกมากก็ใชว่ า่ จะสบายในบน้ั ปลาย)
(แม่ไก่จองเวรกุมาริกาหลายชาติ) ๒๔) เร่อื งมารดาของนางกาณา[๖๖]
๑๐)เรอ่ื งอุตตราอบุ าสิกา[๑๗๖] (สามีมีเมยี นอ้ ย กลับด่าพระ)
(คิดถอื ศีล๘ ตอนมีครอบครัว) ๒๕) เร่อื งพระธรรมทนิ นาเถรี[๓๐๐]
๑๑) เรือ่ งนางกสิ าโคตมี [๙๓] (สามีบรรลุอนาคามิผล)
(ทกุ ข์เพราะความตายของลกู น้อย) ๒๖) เรอ่ื งนายพรานกุกกุฏมติ ร[๑๐๒]
๑๒)เร่ืองมารดาของพระกุมารกสั สปเถระ (สามี,ลกู ทาปาณาติบาต บาปดว้ ยไหม)
(ตัดอาลยั พระลกู ชายจึงบรรลุธรรม)
๑๓) เรื่องพระนางเขมา [๒๔๔]
(ติดในรูป พระสวามแี ตง่ เพลงหลอกไปวัด)
2
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
๑) เรื่องอุโบสถกรรม[๑๑๑]
พระศาสดา เมอื่ ประทบั อยูใ่ นบุพพาราม ทรงปรารภอโุ บสถกรรมของอบุ าสกิ าท้งั หลาย
มีนางวิสาขาเปน็ ตน้ ตรัสพระธรรมเทศนาน้ีว่า" ยถาทณฺเฑน โคปาโล" เป็นต้น.
หญิงรักษาอุโบสถมงุ่ ผลตา่ ง ๆ กัน
ดังได้สดับมา ในวันอุโบสถวนั หนึ่ง หญิงประมาณ ๕๐๐ คนในนครสาวัตถี เป็นผูร้ ักษา
อุโบสถ ได้ไปสวู่ หิ าร นางวสิ าขาเขา้ ไปหาหญิงแก่ ๆ ในจานวนหญงิ ๕๐๐ น้ันแล้ว ถามว่า
" แนะ่ แม่ทั้งหลาย พวกทา่ นเป็นผ้รู กั ษาอุโบสถ เพื่ออะไร ?"
เม่อื หญงิ แกเ่ หล่านั้นบอกว่า" พวกฉันปรารถนาทิพยสมบตั ิ จงึ รกั ษาอโุ บสถ ,
" ถามพวกหญิงกลางคน,เมอ่ื พวกหญงิ เหลา่ นน้ั บอกวา่ " พวกฉันรกั ษาอุโบสถ ก็เพ่ือต้องการพ้น
จากการอยู่กับหญงิ รว่ มสาม,ี
" ถามพวกหญิงสาว ๆ , เมือ่ พวกเขาบอกว่า" พวกฉนั รกั ษาอโุ บสถ เพอื่ ตอ้ งการได้บุตรชายใน
การมีครรภ์คราวแรก. "
ถามพวกหญงิ สาวน้อย, เม่ือพวกเขาบอกว่า " พวกฉนั รกั ษาอุโบสถ เพื่อต้องการไปสสู่ กุลผวั
แตใ่ นวัยสาว ๆ ,"(นาง) ไดฟ้ ังถ้อยคาแม้ท้งั หมดของหญงิ เหล่านน้ั แล้ว ก็พาพวกเขาไปสู่สานกั
พระศาสดา กราบทูล (ความประสงค์ของหญิงเหลา่ น้ัน) ตามลาดับ.
สรรพสัตว์ถกู สง่ ไปเป็นทอด ๆ
พระศาสดาทรงสดับคานัน้ แล้วตรสั วา่ " วิสาขา ธรรมดาสภาวธรรมทัง้ หลายมชี าตเิ ป็นตน้
ของสตั วเ์ หล่านี้ เป็นเช่นกับนายโคบาลท่ีมที อ่ นไมใ้ นมอื , ชาติสง่ สรรพสัตว์ไปสสู่ านกั ชรา
ชราส่งไปส่สู านกั พยาธิพยาธสิ ง่ ไปสูส่ านกั มรณะ มรณะย่อมตัดชีวิต ดุจบคุ คลตดั ตน้ ไม้ด้วย
ขวาน, แม้เม่ือเป็นอยา่ งนั้น ปวงสตั วช์ ่ือว่าปรารถนาววิ ฏั ฏะ (พระนิพพาน)ยอ่ มไม่ม,ี
มัวแตป่ รารถนาวัฏฏะเท่าน้นั ," ดงั นแ้ี ลว้ เมอ่ื จะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานีว้ ่า
๕. ยถา ทณเฺ ฑน โคปาโล คาโว ปาเชติ โคจร รกั ษาศลี เหมือนกนั แต่ปรารถนาตา่ งกนั
เอว ชรา จ มจฺจุ จ อายุ ปาเชนตฺ ิ ปาณนิ . ๑) หญงิ แก่ อยากไดท้ พิ ยสมบัติ
" นายโคบาล ยอ่ มตอ้ นโคทัง้ หลายไปสทู่ ่หี ากิน ๒) หญิงกลางคน ไม่อยากเปน็ เมยี น้อย /
ดว้ ยท่อนไม้ ฉนั ใด, ชราและมจั จุ ยอ่ มตอ้ นอายุ
ของสตั ว์ทง้ั หลายไป ฉันน้ัน." ไมอ่ ยากใหส้ ามมี ีเมียน้อย
๓) หญงิ สาว บตุ รคนแรกใหเ้ ปน็ ชาย
๔) สาวนอ้ ย อยากมคี รอบครัวแต่สาว
๑
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
๒) เจา้ หญิงโรหณิ [ี ๑๗๔]
ขอ้ ความเบ้ืองตน้
พระศาสดา เมือ่ ประทับอย่ใู นนโิ ครธาราม ทรงปรารภเจา้ หญิงโรหณิ ตี รสั พระธรรมเทศนานว้ี ่า"
โกธ ชเห " เปน็ ต้น.
สรา้ งโรงฉันหายจากโรคผิวหนังได้
ได้ยนิ วา่ สมยั หนึง่ พระอนรุ ุทธผู้มอี ายไุ ด้ไปเมอื งกบลิ พัสด์ุพรอ้ มด้วยภิกษุ ๕๐๐.
ครั้งน้นั พวกพระญาติของทา่ น ทรงสดบั วา่ พระเถระมาจงึ ไดไ้ ปสสู่ านกั พระเถระ เว้นแต่
พระนอ้ งนางของพระเถระชือ่ โรหิณพี ระเถระถามพวกพระญาตวิ า่ " พระนางโรหณิ ีอยทู่ ไ่ี หน ?"
พวกพระญาติ. อยู่ในตาหนัก เจา้ ข้า.
พระเถระ. เหตไุ ร ? จึงไม่เสด็จมา.
พวกพระญาติ. พระนางไมเ่ สด็จมาเพราะทรงละอายวา่ `โรคผิวหนงั เกิดที่สรีระของเขา 'เจา้ ข้า.
พระเถระ กลา่ ววา่ " ท่านท้ังหลายจงเชญิ พระนางเสดจ็ มาเถดิ "
ใหไ้ ปเชิญพระนางเสด็จมาแล้ว จงึ กล่าวอยา่ งนี้ กะพระนางผทู้ รงฉลองพระองค์เสด็จมาแลว้ ว่า
" โรหิณี เหตไุ ร ? เธอจงึ ไมเ่ สด็จมา. "
พระนางโรหณิ ี. ทา่ นผ้เู จริญ โรคผิวหนังเกิดขึ้นที่สรีระของ
หม่อมฉัน; เหตนุ นั้ หม่อมฉนั จงึ มไิ ดม้ าดว้ ยความละอาย.
พระเถระ. กเ็ ธอทรงทาบุญไม่ควรหรือ ? พระอริยเจา้ สอนทาบญุ
พระนางโรหณิ ี. จะทาอะไร ? เจา้ ขา้ . แกว้ บิ ากกรรมโรคผิวหนงั
พระเถระ. จงใหส้ รา้ งโรงฉัน.
พระนางโรหณิ ี. หมอ่ มฉนั จะเอาอะไรทา ? ด้วยการสร้างโรงฉัน ๒ ช้ัน
พระเถระ. ก็เครอื่ งประดบั ของเธอไมม่ หี รือ ? แม้จะขายเครือ่ งประดบั กต็ าม
พระนางโรหิณี. มีอยู่ เจา้ ข้า. กายกรรมสจุ ริต- การกวาดพืน้
พระเถระ. ราคาเท่าไร ? ปูอาสนะ ต้งั หม้อนา้ ดืม่
พระนางโรหิณี. จกั มรี าคาหมนื่ หน่งึ .
พระเถระ. ถา้ กระนน้ั จงขายเครื่องประดับน้นั ให้สรา้ งโรงฉนั เถิด
พระนางโรหิณี. ใครเล่า ? จักทาให้หมอ่ มฉนั เจ้าขา้ .
พระเถระ แลดพู ระญาตซิ ่งึ ยืนอย่ใู นทใี่ กลแ้ ลว้ กล่าววา่ " ขอจงเปน็ ภาระของพวกท่านทง้ั หลาย. "
พวกพระญาติ. ก็พระคุณเจา้ จักทาอะไรหรอื ? เจา้ ข้า.
๒
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน
พระเถระ. แม้อาตมภาพก็จกั อย่ใู นทีน่ ้ีเหมอื นกนั , ถ้ากระน้ันพวกทา่ นจงนาทัพพสัมภาระมาเพือ่
โรงฉันน่ี.พวกพระญาตินั้น รบั วา่ " ดีละเจา้ ข้า" จงึ นามาแลว้ .
พระเถระ. เม่อื จะจดั โรงฉนั จงึ กลา่ วกะพระนางโรหิณวี ่า " เธอจงใหท้ าโรงฉนั เปน็ ๒ ช้ัน จาเดมิ
แตก่ าลทใ่ี ห้พน้ื ชนั้ บนเรยี บแลว้ จงกวาดพน้ื ล่าง แล้วให้ปูอาสนะไวเ้ สมอ ๆ , จงใหต้ ้ังหม้อน้าดม่ื
ไวเ้ สมอ ๆ. "
พระนางรับคาว่า " ดีละ เจา้ ข้า " แลว้ จาหนา่ ยเครื่องประดบั ให้ทาโรงฉนั ๒ ช้นั
เร่ิมแต่กาลท่ใี หพ้ ื้นชน้ั บนเรียบแลว้ ไดท้ รงทากจิ มกี ารกวาดพืน้ ล่างเปน็ ตน้ เนือง ๆ.
พวกภกิ ษกุ ็นั่งเสมอ ๆ.
ลาดับนั้น เม่อื พระนางกวาดโรงฉนั อยนู่ น่ั แล. โรคผิวหนงั กร็ าบไปแลว้ เมื่อโรงฉันเสรจ็ พระนาง
นมิ นต์ภิกษสุ งฆ์มีพระพุทธเจา้ เปน็ ประมขุ แล้ว ได้ถวายขาทนียะและโภชนยี ะท่ปี ระณีตแดภ่ กิ ษุ
สงฆม์ ีพระพทุ ธเจา้ เปน็ ประมขุ ซึ่งนั่งเตม็ โรงฉนั .
พระศาสดา ทรงทาภตั กิจเสร็จแล้ว ตรสั ถามวา่ " นีเ่ ปน็ ทานของใคร ?"
พระอนรุ ทุ ธ. ของโรหณิ ีพระน้องนางของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า
พระศาสดา. กน็ างไปไหน ?
พระอนุรุทธ. อยูใ่ นตาหนัก พระเจ้าขา้ .
พระศาสดา. พวกทา่ นจงไปเรยี กนางมา.
พระนางไมป่ ระสงค์จะเสดจ็ มา. ทนี น้ั พระศาสดารับสัง่ ให้เรยี ก
พระนางแม้ไมป่ รารถนา (จะมา) จนได,้ ก็แลพระศาสดาตรสั กะพระนางผเู้ สด็จมาถวายบงั คม
ประทบั นงั่ แล้วว่า " โรหิณี เหตุไรเธอจึงไม่มา ?"
พระนางโรหณิ ี. " โรคผิวหนังมที สี่ รรี ะของหม่อมฉัน พระเจา้ ข้า.หม่อมฉนั ละอายดว้ ยโรคน้ัน
จึงมิไดม้ า. "
พระศาสดา. กเ็ ธอรูไ้ หมวา่ `โรคนน้ั อาศยั กรรมอะไรของเธอ จึงเกดิ ขน้ึ ?'
พระนางโรหิณี. หมอ่ มฉันไม่ทราบ พระเจา้ ข้า.
พระศาสดา. โรคนั้นอาศัยความโกรธของเธอ จึงเกดิ ข้นึ แล้ว.
พระนางโรหิณี. ก็หมอ่ มฉนั ทากรรมอะไรไว้ ? พระเจา้ ข้า.
๓
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
บุรพกรรมของพระนางโรหณิ ี
ลาดบั น้นั พระศาสดาทรงนาอดีตนิทานมา (ตรสั แกพ่ ระนาง) วา่ :-
ในอดตี กาล พระอัครมเหสขี องพระเจ้าพาราณสี ผกู อาฆาตในหญิงนกั ฟอ้ นของพระราชาองค์
หนงึ่ ทรงดารวิ า่ " เราจกั ให้ทุกขเ์ กดิ แกห่ ญงิ นั้น" แล้วให้เขานาลูกเต่ารา้ งใหญ่ มารบั สง่ั ใหเ้ รียก
หญงิ นกั ฟ้อนนั้นมายังสานักของตนแล้ว. ให้ใสผ่ งเต่ารา้ งบนที่นอน ที่ผา้ ห่ม และท่รี ะหว่าง
เครอ่ื งใช้ มผี า้ ปูที่นอนเปน็ ต้นของหญิงนักฟอ้ นนั้น โดยประการท่นี างไม่ทันรูต้ วั . โปรยลงแมท้ ่ี
ตัวของนาง ราวกะทาความเยย้ หยันเล่น ทนั ใดนน้ั เอง สรีระของหญิงน้ันไดพ้ ุพองข้ึนเป็นตุม่ น้อย
ตุ่มใหญ่. นางเกาอยู่ไปนอนบนที่นอน. เมอ่ื นางถูกผงเตา่ รา้ งกดั แม้บนที่นอนนั้น เวทนากลา้ ย่ิง
นักเกดิ ขึน้ แล้ว. พระอคั รมเหสีในกาลน้นั ได้เป็นพระนางโรหิณี.
พระศาสดา ครนั้ ทรงนาอดตี นิทานนี้มาแล้ว ตรสั ว่า " โรหิณี ก็กรรมนั่นที่เธอทาแลว้ ในกาลนั้น,
กค็ วามโกรธกด็ ี ความรษิ ยาก็ดี แม้มปี ระมาณเล็กนอ้ ย ยอ่ มไม่ควรทาเลย " ดังนี้แล้ว
จึงตรสั พระคาถานีว้ ่า :- กรรมในอดีต
" บคุ คลพงึ ละความโกรธ, สละความถือตัว,
ล่วงสังโยชนท์ ง้ั สนิ้ ได้ ทุกขท์ ้ังหลายยอ่ มไม่ตกตอ้ ง เปน็ อคั รมเหสี มกั ริษยา
บุคคลนนั้ ผ้ไู ม่ข้องในนามรูป ไม่มกี ิเลสเครอื่ งกังวล." มักโกรธ ทารา้ ยหญิงนกั ฟอ้ น
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลอุ รยิ ผลท้งั หลายมโี สดาปตั ติผลเปน็ ต้น.
แม้พระนางโรหณิ ี กด็ ารงอยใู่ นโสดาปัตตผิ ล สรรี ะของพระนางไดม้ วี รรณะดจุ ทองคา
ในขณะน้ันเอง. พระนางจุตจิ ากอตั ภาพน้ันแล้วเกิดในระหวา่ งเขตแดนของเทพบุตร ๔ องค์
ในภพดาวดึงส์ ไดเ้ ปน็ ผู้นา่ เลอ่ื มใส ถงึ ความเปน็ ผู้มีรูปงามเลิศ
เทพบุตรท้ัง ๔ องคเ์ ห็นนางแลว้ เปน็ ผู้เกิดความสเิ นหา ววิ าทกันว่า " นางเกิดภายในแดนของเรา,
นางเกิดภายในแดนของเรา, " ไปสู่สานักของทา้ วสกั กเทวราช กราบทลู ว่า
" ขา้ แตเ่ ทพเจ้า ขา้ พระองค์ท้ังสี่เกิดคดขี นึ้ เพราะอาศัยเทพธดิ านี้, ขอพระองค์ทรงวนิ จิ ฉัยคดนี น้ั .
" แม้ท้าวสักกะ แตพ่ อไดท้ รงเห็นพระนางกเ็ ปน็ ผูเ้ กดิ สิเนหา ตรสั อยา่ งนว้ี า่
" จาเดมิ แตก่ าลท่ีพวกทา่ นเห็นเทพธดิ านี้แล้ว จติ เกดิ ข้นึ อย่างไร ?"
ลาดบั นน้ั เทพบตุ รองคห์ นึ่งกราบทูลว่า " จติ ของข้าพระองค์เกดิ ขนึ้ ดุจกลองในคราวสงคราม
กอ่ น ไมอ่ าจจะสงบลงไดเ้ ลย. "
องคท์ ี่ ๒ จติ ของข้าพระองค์ (เกิดขนึ้ ) เหมือนแมน่ า้ ตกจากภเู ขายอ่ มเป็นไปเรว็ พลันทเี ดียว.
๔
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
องค์ที่ ๓ จาเดิมแตก่ าลทข่ี ้าพระองคเ์ ห็นนางนแี้ ลว้ ตาทง้ั สองถลนออกแลว้ ดจุ ตาของปู.
องค์ที่ ๔ จิตของข้าพระองคป์ ระดุจธงทเี่ ขายกขึน้ บนเจดยี ์ ไม่สามารถจะดารงนง่ิ อย่ไู ด้.
ครง้ั นั้น ท้าวสักกะตรสั กะเทพบุตรทั้งส่ีนน้ั ว่า " พ่อทัง้ หลาย จิตของพวกท่านยงั พอขม่ ได้กอ่ น
ส่วนเราเม่ือได้เหน็ เทพธิดาน้ี จึงจกั เป็นอยู่, เมือ่ เราไม่ได้ จักตอ้ งตาย."
พวกเทพบตุ รจึงทูลวา่ " ข้าแต่มหาราช พวกขา้ พระองค์ไมม่ ีความต้องการดว้ ยความตายของ
พระองค์" แล้วตา่ งสละเทพธดิ านัน้ ถวายท้าวสักกะแลว้ หลีกไป.
เทพธิดาน้ันได้เปน็ ที่รกั ที่พอพระหฤทยั ของท้าวสกั กะเม่ือนางกราบทลู วา่ " หมอ่ มฉนั จกั ไปสู่
สนามเลน่ ช่ือโนน้ " ท้าวสักกะกไ็ มส่ ามารถจะทรงขดั คาของนางได้เลย ดังนี้แล.
เรอื่ งเจ้าหญงิ โรหิณี จบ.
แม้เป็นพระโสดาบนั แลว้ ก็ไมแ่ น่วา่ จะมีวิมานเป็นของตนเอง
ไม่แน่วา่ จะเกิดเปน็ เทพบตุ ร ชาวสวรรค์ช้นั ตน้ ไมต่ า่ งกบั มนุษยโลก
๕
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
๓) เรอ่ื งหญงิ ขี้หึง[๒๒๘]
ขอ้ ความเบอ้ื งตน้
พระศาสดา เมอื่ ประทบั อยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภหญิงข้ีหงึ คนใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรม
เทศนาน้ีว่า"อกต" เป็นต้น.
หญิงขีห้ ึงทากรรมช่ัวแล้วคดิ ปกปดิ
ได้ยินว่า สามีของหญงิ น้นั ได้ทาความเชยชิดกับหญงิ รับใชใ้ นเรือนคนหน่ึง. หญิงข้ีหึงนน้ั
มัดมือมดั เทา้ หญงิ รับใช้คนน้ันไว้แล้วตดั หตู ัดจมกู ของเขา ขงั ไว้ในหอ้ งว่างหอ้ งหน่ึง ปิดประตู
แลว้ เพอื่ จะปกปิดความท่ีกรรมนนั้ อันตนทาแล้ว (ชวนสามี) วา่ " มาเถดิ นาย, เราจักไปวดั ฟงั
ธรรม" พาสามีไปวัดนงั่ ฟังธรรมอยู่. ขณะน้นั พวกญาตผิ ้เู ปน็ แขกของนางมายงั เรือน (ของนาง)
แลว้ เปิดประตูเหน็ ประการอันแปลกน้ันแลว้ แกห้ ญิงรบั ใชอ้ อก. หญงิ รบั ใช้นั้นไปวดั กราบทูล
เน้ือความนั้นแดพ่ ระทศพล ในทา่ มกลางบริษทั ๔.
กรรมชว่ั ย่อมเผาผลาญในภายหลัง
พระศาสดาทรงสดบั คาของหญงิ รบั ใช้นั้นแลว้ ตรัสวา่ " ขึ้นชอ่ื ว่าทุจรติ แมเ้ พียงเลก็ น้อย
บุคคลไมค่ วรทา ดว้ ยความสาคัญวา่ `ชนพวกอ่นื ย่อมไม่รู้กรรมนข้ี องเรา' (ส่วน) สุจรติ นัน่ แหละ
เม่อื คนอ่ืนแม้ไม่รู้กค็ วรทา, เพราะว่าขึน้ ชื่อว่าทจุ ริต แมบ้ คุ คลปกปิดทา ย่อมทาการเผาผลาญใน
ภายหลงั , (สว่ น) สุจริตยอ่ มยังความปราโมทยอ์ ยา่ งเดยี วใหเ้ กิดข้นึ ดงั น้ีแลว้ จงึ ตรัสพระคาถานว้ี ่า
:-
๖. อกต ทุกฺกต เสยฺโย ปจฺฉา ตปปฺ ติ ทกุ ฺกต
กตญฺจ สกุ ต เสยโฺ ย ย กตฺวา นานตุ ปฺปติ.
" กรรมช่ัว ไม่ทาเสียเลยดีกว่า, (เพราะ) กรรม
ชว่ั ย่อมเผาผลาญในภายหลัง, ส่วนบุคคลทากรรม
ใดแล้ว ไมต่ ามเดอื ดรอ้ น, กรรมน้ัน เปน็ กรรมดี
อันบคุ คลทาแล้วดีกวา่ ."
ในกาลจบเทศนา อุบาสกและหญงิ นนั้ ตัง้ อยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว.กแ็ ลชนทง้ั หลายทาหญงิ
รับใช้น้นั ให้เป็นไท ในที่น้นั น่นั แล แลว้ ทาใหเ้ ปน็ หญิงมีปกตปิ ระพฤตธิ รรม ดังน้แี ล.
เรอ่ื งหญิงข้ีหึง จบ.
หว่ ง – หวง – หึงความรกั ใครม่ ักเป็นเช่นนี้
๖
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
๔) เร่อื งพระกณุ ฑลเกสเี ถรี[๘๓]
ขอ้ ความเบอ้ื งตน้
พระศาสดาเม่อื ประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางกุณฑลเกสตี รัสพระธรรมเทศนานี้
วา่ " โย จ คาถา สต ภาเส" เปน็ ต้น.
รกั แบบเด็กๆ (Puppy Love) ดูแคร่ ูปร่างหน้าตา มากกวา่ เหตผุ ล ความเหมาะสม
ธิดาเศรษฐไี ด้โจรเป็นสามี
ดงั ไดส้ ดับมา ธดิ าเศรษฐคี นหนง่ึ ในกรงุ ราชคฤห์ มีอายยุ า่ ง ๑๖ ปีมรี ูปสวย นา่ ดู.
ก็นารีท้ังหลายผูต้ ั้งอยูใ่ นวยั นน้ั ยอ่ มมีความฝักใฝ่ในบรุ ษุ โลเลในบรุ ุษ. ครงั้ นัน้ มารดาบิดา
ใหธ้ ดิ านั้นอยู่ในหอ้ งอนั มีสริ ิ บนพื้นชั้นบนแหง่ ปราสาท ๗ ช้ัน, ได้กระทาทาสคี นเดียวเทา่ น้นั
ใหเ้ ปน็ ผ้บู ารงุ บาเรอนาง.
คร้ังน้ัน พวกราชบุรษุ จับกุลบุตรคนหนึ่ง ผ้กู ระทาโจรกรรมไดม้ ัดมอื ไพลห่ ลงั โบยด้วยหวาย
ครัง้ ละ ๔ เสน้ ๆ แล้วนาไปสูท่ ่สี าหรบั ฆา่ . ธดิ าเศรษฐไี ดย้ ินเสียงของมหาชน คิดว่า " นีอ่ ะไรกัน
หนอแล? ยืนแลดอู ยบู่ นพ้นื ปราสาท เหน็ โจรน้นั แล้วก็มจี ิตปฏพิ ทั ธป์ รารถนาอยู่ห้ามอาหารแลว้
นอนบนเตยี ง. " ลาดบั นัน้ มารดาถามนางวา่ " แม่ น้อี ย่างไรกนั ? "
ธิดาเศรษฐ.ี ถา้ ดฉิ ันจักได้บรุ ษุ คนท่ถี ูกเขาจับนาไปว่า 'เป็นโจร'น่ันไซร้, ดฉิ นั จกั เป็นอยู่;
ถา้ ไมไ่ ด,้ ชีวิตดิฉนั กจ็ ะไม่ม,ี ดิฉนั จกั ตายในทนี่ ้ีนแ่ี หละ.
เล้ียงลูกแบบตามใจ เลยเปน็ ลกู บังเกดิ เกลา้ ตอ้ งทกุ ข์ใจไมส่ ิ้นสดุ
มารดา. แม่ เจา้ อย่ากระทาอย่างน้เี ลย,เจา้ จกั ได้สามีอนื่ ซึง่ เสมอกันโดยชาตแิ ละโภคะของเรา.
ธิดาเศรษฐ.ี กจิ ด้วยบุรษุ อ่นื สาหรับดิฉนั ไม่มี; ดิฉันเม่อื ไมไ่ ดบ้ รุ ษุ คนนีจ้ กั ตาย.
มารดา เมือ่ ไม่อาจยังธดิ าใหย้ นิ ยอมได้จงึ บอกแกบ่ ิดา. ถงึ บิดานนั้ กไ็ ม่อาจยังธิดานั้นให้
ยินยอมได้ คิดวา่ " เราอาจจะกระทาอย่างไรได้? "ส่งหอ่ ภัณฑะพันหนึ่งแกร่ าชบุรษุ ผใู้ หจ้ บั โจร
นัน้ แล้วเดนิ ไปอยู่ ด้วยคาวา่ " ทา่ นจงรบั ภณั ฑะน้ไี วแ้ ล้ว ให้บุรุษคนนัน้ แกฉ่ นั . "
ราชบรุ ุษนน้ั รับคาว่า " ดีละ" แล้วรับกหาปณะ ปล่อยโจรนน้ั ไป ฆ่าบรุ ุษอน่ื แลว้ กราบทลู แด่
พระราชาวา่ " ขอเดชะ ขา้ พระองค์ฆา่ โจรแล้ว. "
แม้เศรษฐไี ด้ให้ธิดาแก่โจรนัน้ แลว้ . นางคิดว่า " จักยงั สามใี ห้ยนิ ดี" จึงตกแตง่ ด้วย
เครื่องประดับทั้งปวง จดั แจงยาคเู ปน็ ต้นแก่โจรน้นั เองทเี ดยี ว.
๗
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
สนั ดานโจรแก้ยาก แค่อยากได้ทรัพย์ อยากดม่ื สรุ า ไมส่ นใจใครอื่น แม้ภรรยา
โจรคดิ อุบายพาภรรยาไปฆา่
โดยกาลลว่ งไป ๒-๓ วัน โจรคิดวา่ " ในกาลไรหนอแล?เราจักได้เพ่ือฆา่ หญงิ นี้ ถอื เอา
เครอ่ื งประดับของหญิงนี้ ขายกินในโรงสุราแห่งหนงึ่ " โจรน้ันคดิ ว่า " อุบายน้มี ีอยู่" จึงหา้ ม
อาหารเสียนอนบนเตยี ง. ทีน้ัน นางเขา้ ไปหาโจรน้ันแล้วถามว่า " นาย อะไรเสียดแทงท่าน? "
โจร. อะไร ๆ ไมไ่ ดเ้ สียดแทงดอก นางผ้เู จรญิ .
ธดิ าเศรษฐ.ี ก็มารดาบดิ าของดิฉัน โกรธทา่ นแลหรือ?
โจร. ไมโ่ กรธ นางผู้เจรญิ .
ธิดาเศรษฐี. เมอื่ เปน็ เช่นน้นั นชี่ ื่ออะไร?
โจร. นางผเู้ จรญิ ฉันถกู จับนาไปในวนั น้นั บนบาน ไว้ต่อเทวดาผู้สถิตอยู่ท่ภี เู ขาทิง้ โจรได้
ชวี ติ แลว้ , แม้หลอ่ นฉันก็ได้ดว้ ยอานภุ าพแหง่ เทวดาน้ันเหมือนกนั , นางผเู้ จริญ ฉันคิดว่า " ฉนั ตง้ั
พลกี รรมน้ันไว้ต่อเทพดา. "
ธิดาเศรษฐ.ี นาย อย่าคดิ เลย, ดฉิ ันจกั กระทาพลกี รรม, ทา่ นจงบอก, ต้องการอะไร?
โจร. ตอ้ งการข้าวมธุปายาสชนดิ มนี า้ น้อย และดอกไม้มีขา้ วตอกเป็นที่ ๕.
ธดิ าเศรษฐ.ี ดีละ นาย, ดฉิ ันจกั จดั แจง.
ธดิ าเศรษฐีนั้นจดั แจงพลีกรรมทุกอย่างแลว้ จึงกลา่ ววา่ " มาเถิดนาย, เราไปกนั . "
โจร. นางผู้เจรญิ ถ้าอย่างน้ัน หลอ่ นให้พวกญาตขิ องหลอ่ นกลบั เสยี ถือเอาผ้าและ
เครื่องประดับท่มี คี ่ามากแลว้ จงตกแต่งตัว, เราจกั หวั เราะเลน่ พลางเดินไปอย่างสบาย.
นางไดก้ ระทาอยา่ งนั้นแล้ว. ทันทนี ั้น ในเวลาถึงเชิงเขา โจรน้นั กล่าวกะนางว่า
" นางผูเ้ จริญ เบือ้ งหน้าแตน่ ี้ เราจกั ไปกัน ๒ คน,หล่อนจงให้คนทีเ่ หลือกลบั พร้อมกบั ยาน
ยกภาชนะพลีกรรมถอื ไปเอง. "นางไดก้ ระทาอยา่ งน้นั . โจรพานางขน้ึ ส่ภู เู ขาทงิ้ โจร.
ก็มนษุ ย์ทง้ั หลายยอ่ มข้นึ ไปโดยข้าง ๆ หนึ่งแหง่ ภูเขาน้ัน. ขา้ ง ๆหนึง่ เป็นโกรกชัน,
มนษุ ยท์ งั้ หลายยนื อยู่บนยอดเขาแล้ว ยอ่ มทง้ิ โจรทง้ั หลายโดยทางข้างน้ัน, โจรเหล่านั้นเป็นท่อน
เล็กท่อนน้อยตกลงไปท่ีพืน้ ; เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกว่า " เขาท้งิ โจร. " นางยืนอย่บู นยอดเขานนั้
กล่าววา่ " นาย ทา่ นจงทาพลีกรรมของทา่ น. " โจรนน้ั ไดน้ ่ิงแล้ว.
๘
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
เม่อื นางกล่าวอกี ว่า " นาย เหตุไรทา่ นจงึ นิง่ เสยี เล่า?"จึงบอกกะนางว่า" ฉันไม่ต้องการพลีกรรม
ดอก, แต่ฉันล่อลวงพาหลอ่ นมา. "
อย่าไว้วางใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง
ภาษติ วา่ “ ช้างสาร งเู หา่ ข้าเก่า เมียรัก(ผวั รัก)”
ธดิ าเศรษฐ.ี เพราะเหตุไร?นาย.
โจร. เพื่อต้องการฆา่ หลอ่ นเสยี แล้วถอื เอาเครอ่ื งประดับของหลอ่ นหนไี ป.
นางถูกมรณภัยคกุ คามแล้วกลา่ ววา่ " นายจา๋ ดฉิ นั และเครอ่ื งประดับของดิฉนั กเ็ ป็นของ ๆ
ท่านท้ังนั้น, เหตุไร ทา่ นจงึ พูดอย่างนี้?"
โจรน้นั แม้ถูกออ้ นวอนบอ่ ย ๆ ว่า " ทา่ นจงอยา่ กระทาอย่างน้ี" ก็กลา่ ววา่ " ฉันจะฆ่าใหไ้ ด้. "
นางกล่าววา่ " เมอื่ เป็นเช่นน้ัน ท่านจะต้องการอะไร? ด้วยความตายของดฉิ ัน, ทา่ นถือเอา
เครือ่ งประดับเหลา่ นีแ้ ล้วใหช้ วี ิตแก่ดฉิ นั เถดิ , จาเดิมแต่นที้ ่านจงจาดฉิ ันว่า 'ตายแลว้ ,' หรือ
วา่ ดิฉันจกั เปน็ ทาสขี องทา่ นกระทาหตั ถกรรม" ดังน้ีแล้ว กลา่ วคาถานี้ว่า :-
" สายสร้อยทองคาเหล่าน้ี ล้วนสาเร็จดว้ ย
แกว้ ไพฑรู ย,์ ท่านผเู้ จรญิ ท่านจงถอื เอาทง้ั หมด และ
จงประกาศวา่ ดฉิ นั เปน็ ทาสี."
โจรฟงั คาน้ันแล้ว กลา่ ววา่ " เม่อื ฉันกระทาอย่างนัน้ , หลอ่ นไปแล้วก็จกั บอกแก่มารดาบดิ า,
ฉันจกั ฆา่ ใหไ้ ด,้ หล่อนอยา่ ครา่ ครวญไปนักเลย"ดังนแ้ี ลว้ กลา่ วคาถานีว้ า่ :-
" หล่อนอยา่ คร่าครวญนกั เลย, จงรีบหอ่ สิ่งของ
เขา้ เถดิ , ชวี ติ ของหลอ่ นไมม่ ดี อก, ฉนั จะถือเอาสิ่ง
ของทง้ั หมด."
แมไ้ ม่เฉลียวใจ แตก่ ม็ ปี ฏภิ าณในแก้ปัญหา เอาตัวรอดได้ แตก่ ็กอ่ บาป
ธิดาเศรษฐผี ลักโจรตกเขาตาย
นางคดิ วา่ " โอ กรรมนีห้ นกั , ช่อื วา่ ปญั ญา ธรรมดามไิ ดส้ รา้ งมาเพือ่ ประโยชนแ์ กงกิน, ทแ่ี ท้
สร้างมาเพ่อื ประโยชน์พจิ ารณา, เราจักรสู้ ิง่ ที่ควรกระทาแก่เขา."
๙
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
ลาดับน้นั นางกล่าวกะโจรนนั้ ว่า " นาย ท่านถูกจับนาไปวา่ 'เป็นโจร' ในกาลใด; ในกาลนั้น
ดิฉนั บอกแกม่ ารดาบดิ า, ทา่ นทงั้ สองน้นั สละทรพั ยพ์ นั หนึง่ ใหน้ าท่านมากระทาไวใ้ นเรอื น,
จาเดมิ แตน่ ้ันดิฉันก็อุปการะท่าน, วนั นี้ทา่ นจงให้ดิฉนั กระทาตวั (ท่าน) ใหเ้ หน็ ถนัดแลว้ ไหว้. "
โจรนน้ั กลา่ วว่า " ดีละ นางผเู้ จรญิ , หลอ่ นจงทาตัว (ฉนั )ใหเ้ ห็นได้ถนดั แลว้ ไหวเ้ ถดิ " ดังน้ี
แลว้ กไ็ ด้ยนื อย่บู นยอดเขา. ทนี ้นั นางทาประทักษิณ ๓ ครง้ั ไหว้โจรนั้นในท่ี ๔ สถานแลว้ กลา่ ว
ว่า" นาย นี้เป็นการเหน็ ครั้งสดุ ท้ายของดฉิ นั , บัดนกี้ ารที่ทา่ นเหน็ ดฉิ ันหรือการทดี่ ฉิ ันเห็นทา่ นไม่
มลี ะ" แล้วสวมกอดขา้ งหนา้ ขา้ งหลังยืนทีข่ ้างหลังเอามอื ขา้ งหน่ึงจับโจรผู้ประมาท ยนื อยู่บน
ยอดเขาตรงคอเอามอื ข้างหนึ่งจับตรงรกั แรข้ ้างหลงั ผลักลงไปในเหวแห่งภูเขา. โจรนน้ั ถูก
กระทบท่ีท้องแห่งเขา เป็นชิ้นเล็กชน้ิ น้อย ตกลงไปแลว้ ที่พ้ืน. หญงิ ผู้มีปญั ญาก็เปน็ บัณฑิตได้
เทวดาผู้สถติ อยบู่ นยอดเขาท่ที ิ้งโจร เห็นกิรยิ าแมข้ องชนทง้ั สองนั้นจงึ ใหส้ าธกุ ารแก่หญงิ นั้น
แล้วกลา่ วคาถานว้ี า่ :-
" บรุ ุษนัน่ เป็นบัณฑติ ในทีท่ กุ สถาน ก็หาไม่,
แมส้ ตรี ผมู้ ปี ัญญาเหน็ ประจักษ์ ก็เปน็ บัณฑติ ได้
ในที่น้ัน ๆ."
ทศั นะของลูกที่มีต่อพอ่ แม่ของตนว่า
“ จะไมเ่ ชอ่ื ถอื ถ้อยคาของลูก และกลัวถูกตาหนิ “
ธดิ าเศรษฐแี มน้ ้นั คร้ันผลักโจรลงไปในเหวแลว้ (คดิ วา่ )" หากว่า เราจกั ไปบ้าน, มารดาบดิ า
จักถามว่า 'สามขี องเจ้าไปไหน? หากเราถกู ถามอย่างน้ันจะตอบว่า 'ดิฉนั ฆ่าเสียแลว้ ' ท่านจักทิ่ม
แทงเราดว้ ยหอกคอื ปากว่า 'นางคนหวั ดื้อ เจ้าใหท้ รพั ยพ์ นั หน่ึงให้นาผวั มาบัดนี้ ก็ฆ่าเขาเสยี แลว้ ;'
แมเ้ มื่อเราบอกวา่ 'เขาปรารถนาจะฆา่ ดฉิ ันเพอื่ ตอ้ งการเครอ่ื งประดับ. ' ท่านกจ็ กั ไม่เชือ่ ; อยา่ เลย
ด้วยบ้านของเรา"ดงั น้ีแลว้ ท้งิ เครื่องประดับไว้ในทน่ี ั้นนั่นเอง เข้าไปสปู่ า่ เท่ยี วไปโดย
ลาดบั ถึงอาศรมของพวกปริพาชกแห่งหนง่ึ ไหว้แล้ว กล่าวว่า " ทา่ นผ้เู จรญิ ขอท่านทั้งหลายจง
ให้การบรรพชา ในสานักของท่านแกด่ ฉิ ันเถดิ . " ลาดบั น้ัน ปริพาชกท้ังหลายให้นางบรรพชา
แลว้ .
๑๐
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
ธิดาเศรษฐบี วชเปน็ ปริพาชกิ า
ธิดาเศรษฐนี น้ั พอบวชแล้ว ถามวา่ " ทา่ นผ้เู จรญิ อะไรเป็นสงู สดุ แห่งบรรพชาของท่าน. "
ปรพิ าชก. นางผู้เจริญ บคุ คลกระทาบรกิ รรมในกสิณ ๑๐ แล้ว พงึ ยงั ฌานให้บังเกิดบ้าง, พึง
เรยี นวาทะพนั หน่งึ บา้ ง, นเ้ี ปน็ ประโยชน์สูงสุดแห่งบรรพชาของพวกเรา.
ธดิ าเศรษฐ.ี ดิฉันไม่อาจจะยังฌานให้เกดิ ได้ก่อน, แต่จักเรยี นวาทะพนั หน่งึ พระผเู้ ปน็ เจ้า.
ลาดบั นัน้ ปริพาชกเหลา่ นน้ั ยังนางให้เรยี นวาทะพนั หนง่ึ แลว้ กลา่ วว่า " ศิลปะ ทา่ นก็เรียน
แล้ว, บัดน้ี ทา่ นจงเทย่ี วไปบนพ้ืนชมพทู วีปตรวจดูผู้สามารถจะกล่าวปัญหากบั ตน" แลว้ ให้กิง่
หวา้ ในมอื แกน่ าง สง่ ไปดว้ ยสง่ั วา่ " ไปเถดิ นางผ้เู จริญ;
หากใคร ๆ เป็นคฤหัสถอ์ าจกลา่ วปัญหากบั ท่านได้, ท่านจงเปน็ บาทปริจาริกา ของผ้นู ้ันเทยี ว;
หากเปน็ บรรพชิต, ทา่ นจงบรรพชาในสานักผู้น้นั เถดิ . "
นางมีชอ่ื ว่าชมั พุปรพิ าชิกา ตามนาม (ไม้) ออกจากที่นนั้ เท่ียวถามปญั หากะผทู้ ่ีตนเห็นแล้ว ๆ. คน
ชอ่ื วา่ ผสู้ ามารถจะกล่าวกบั นางไม่ได้มแี ลว้ . มนุษย์ทั้งหลายพอฟงั วา่ " นางชัมพปุ ริพาชิกามาแต่
ทีน่ ี้' ย่อมหนีไป. นางเข้าไปสบู่ า้ นหรอื ตาบลเพ่ือภิกษา ก่อกองทรายไว้ใกลป้ ระตบู ้าน ปกั ก่ิงหวา้
บนกองทรายนน้ั กล่าวว่า " ผู้สามารถจะกลา่ วกับเรา จงเหยียบกิง่ หวา้ "แลว้ ก็เข้าไปสบู่ า้ น. ใคร ๆ
ช่อื วา่ สามารถจะเขา้ ไปยงั ทีน่ ้ัน มิไดม้ ี. แม้นางยอ่ มถอื ก่ิงอืน่ ในเมอื่ กิ่งหว้า (เกา่ ) เหยี่ วแหง้ , เท่ียว
ไปโดยทานองนี้ ถึงกรุงสาวัตถี ปกั กิ่ง (หวา้ ) ใกล้ประตูบ้าน พดู โดยนยั ที่กล่าวมาแล้วนนั่ แล เข้า
ไปเพ่ือภกิ ษา. เดก็ เป็นอันมากไดย้ นื ลอ้ มก่งิ ไม้ไวแ้ ลว้ .
กุศโลบายหาคนมาบวช ด้วยการโต้วาทะกบั นักบวชศาสนาอ่ืน
สอนพทุ ธมนต์ให้ แตต่ อ้ งบวชแบบเดยี วกบั พระศาสดาใหว้ งั คสี ะพราหมณบ์ วช
ธดิ าเศรษฐีมชี อ่ื ว่ากุณฑลเกสเี ถรี
ในกาลนนั้ พระสารีบุตรเถระเทยี่ วไปเพือ่ บณิ ฑบาต กระทาภัตตกิจแล้วออกไปจากเมือง เหน็
เด็กเหลา่ น้นั ยนื ลอ้ มก่งิ ไม้ จึงถามวา่ " นอ้ี ะไร? "เดก็ ทง้ั หลายบอกเรอ่ื งนั้นแก่พระเถระแล้ว. พระ
เถระกลา่ ววา่ " เด็กท้งั หลาย ถ้าอย่างนน้ั พวกเจ้าจงเหยียบกง่ิ ไมน้ ้ี."
พวกเดก็ . พวกกระผมกลัว ขอรบั .
พระเถระ. เราจกั กลา่ วปัญหา, พวกเจา้ เหยียบเถิด.
เด็กเหลา่ น้ัน เกดิ ความอตุ สาหะด้วยคาของพระเถระ กระทาอย่างน้นั โหร่ อ้ งอยู่ โปรยธุลีข้ึน
แล้ว.
๑๑
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
นางปรพิ าชกิ ามาแล้วดเุ ดก็ เหลา่ น้นั กลา่ วว่า " กิจดว้ ยปัญหาของเรากบั พวกเจ้าไม่มี; เหตไุ ร
พวกเจ้าจงึ พากันเหยยี บกง่ิ ไม้ของเรา? "
พวกเดก็ กล่าววา่ " พวกเรา อนั พระผเู้ ป็นเจ้าใช้ให้เหยยี บ. "
นางปรพิ าชกิ า. ทา่ นผู้เจรญิ ทา่ นใช้พวกเด็กเหยยี บกิง่ ไม้ของดิฉันหรือ?
พระเถระ. เออ น้องหญิง.
นางปรพิ าชิกา. ถ้าอย่างนนั้ ท่านจงกล่าวปญั หากับดิฉัน.
พระเถระ. ดลี ะ, เราจกั กล่าว.
นางปรพิ าชิกานั้น ไดไ้ ปสสู่ านกั ของพระเถระเพ่ือถามปัญหาในเวลาเงาไมเ้ จริญ (คอื เวลา
บา่ ย). ทั่วทั้งเมือง ลอื กระฉอ่ นกนั วา่ " พวกเราจักฟงั ถ้อยคาของ ๒ บณั ฑิต. " พวกชาวเมอื งไป
กับนางปริพาชิกานนั้ เหมือนกนั ไหว้พระเถระแลว้ นั่ง ณ ที่สดุ ข้างหนึง่ .นางปริพาชกิ า กลา่ วกะ
พระเถระวา่ " ท่านผเู้ จรญิ ดิฉันจักถามปัญหากะทา่ น. "
พระเถระ. ถามเถิด นอ้ งหญงิ .
นางถามวาทะพันหน่งึ แลว้ . พระเถระแกป้ ัญหาท่นี างถามแล้ว ๆ.
ลาดบั นน้ั พระเถระกล่าวกะนางวา่ " ปญั หาของทา่ นมเี ท่านี้,ปญั หาแม้อ่นื มีอยหู่ รือ? "
นางปริพาชกิ า. มีเทา่ น้แี หละ ท่านผู้เจริญ.
พระเถระ. ทา่ นถามปญั หาเปน็ อันมาก, แมเ้ ราจักถามสักปญั หาหนงึ่ ,ท่านจักแกไ้ ดห้ รอื ไม่?
นางปริพาชกิ า. ดฉิ นั ร้กู ็จกั แก,้ จงถามเถดิ ทา่ นผู้เจริญ.
พระเถระ ถามปัญหาว่า " อะไร? ชื่อว่าหนงึ่ . " นางปรพิ าชกิ านั้น ไมร่ ูว้ า่ " ปัญหาน้ี ควรแก้
อย่างน"ี้ จึงถามว่า " นัน่ ช่อื ว่าอะไร? ท่านผู้เจรญิ "
พระเถระ. ช่อื พุทธมนต์ น้องหญิง.
นางปริพาชกิ า. ทา่ นจงให้พทุ ธมนต์นั้น แกด่ ิฉันบา้ ง ท่านผูเ้ จริญ.
พระเถระ. หากวา่ ท่านจักเป็นเช่นเรา, เราจักให้.
นางปริพาชกิ า. ถา้ เชน่ นนั้ ขอทา่ นยังดฉิ ันให้บรรพชาเถิด.
พระเถระ บอกแกน่ างภิกษณุ ีท้ังหลายให้บรรพชาแล้ว. นางคร้นั ได้บรรพชาอปุ สมบทแล้ว
มีชอื่ วา่ กุณฑลเกสีเถรี บรรลพุ ระอรหัตพรอ้ มดว้ ยปฏสิ มั ภทิ าทั้งหลายโดย ๒-๓ วันเทา่ นั้น.
๑๒
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
ชนะกิเลสประเสรฐิ
ภิกษทุ ้ังหลาย สนทนากนั ในโรงธรรมวา่ " การฟังธรรมของนางกณุ ฑลเกสเี ถรีไมม่ มี าก,
กจิ แห่งบรรพชติ ของนางถงึ ทีส่ ุดแลว้ , ได้ยนิ วา่ นางทามหาสงครามกบั โจรคนหนงึ่ ชนะแล้วมา. "
พระศาสดาเสดจ็ มาแล้วตรสั ถามวา่ " ภกิ ษทุ ้ังหลาย บัดน้ี พวกเธอนงั่ สนทนากันดว้ ยถ้อยคา
อะไรหนอ? "เมื่อภิกษุทง้ั หลายนน้ั กราบทลู วา่ " ถ้อยคาช่ือน.ี้ " จึงตรสั วา่ " ภิกษุท้งั หลาย
พวกเธออย่านบั ธรรมที่เราแสดงแล้วว่า 'น้อยหรือมาก' บทท่ีไม่เปน็ ประโยชน์แม้ ๑๐๐ บท
ไม่ประเสริฐ, สว่ นบทแห่งธรรมแม้บทเดียวประเสรฐิ กว่าเทียว; อนงึ่ เม่อื บุคคลชนะโจรทีเ่ หลือ
หาชื่อวา่ ชนะไม่, สว่ นบุคคลชนะโจรคอื กิเลสอันเปน็ ไปภายในนั่นแหละ จงึ ชอื่ ว่าชนะ"
เม่อื จะทรงสบื อนสุ นธแิ สดงธรรม จึงตรสั พระคาถาเหลา่ นี้วา่ :-
๓. โย จ คาถาสต ภาเส อนตฺถปทสญฺหติ า
เอก ธมมฺ ปท เสยโฺ ย ย สุตวฺ า อปุ สมมฺ ติ.
โย สหสสฺ สหสฺเสน สงคฺ าเม มานเุ ส ชเิ น
เอกญจฺ เชยยฺ มตฺตาน ส เว สงฺคามชตุ ฺตโม.
" กผ็ ้ใู ด พึงกล่าวคาถาตัง้ ร้อย ซง่ึ ไม่ประกอบ
ดว้ ยบทเปน็ ประโยชน์; บทแห่งธรรมบทเดยี วท่บี ุคคล
ฟงั แล้วสงบระงบั ได้ ประเสรฐิ กวา่ (การกล่าว
คาถาต้ัง ๑๐๐ ของผ้นู ้ัน). ผูใ้ ด พงึ ชนะมนษุ ย์
พันหนงึ่ คณู ด้วยพันหนึ่ง (คอื ๑ ล้าน) ในสงคราม
ผูน้ ้ัน หาชอื่ วา่ เปน็ ยอดแหง่ ชนผ้ชู นะในสงครามไม่,
ส่วนผใู้ ดชนะตนคนเดียวได้, ผูน้ ั้นแล เปน็ ยอดแหง่
ผู้ชนะ ในสงคราม."
ในเวลาจบเทศนา ชนเปน็ อนั มากบรรลอุ ริยผลท้งั หลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนแ้ี ล.
เรื่องพระกุณฑลเกสเี ถรี จบ.
๑๓
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
๕) เร่ืองนางปฏาจารา[๙๒]
ขอ้ ความเบ้ืองต้น
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระปฏาจาราเถรี ตรสั พระคาถานว้ี ่า "
โย จ วสสฺ สต ชเี ว" เปน็ ตน้ .
การเล้ียงดู ลูกสาววยั รุน่ ตอ้ งระวงั ความใกล้ชิดกับชายหน่มุ ในและนอกบา้ น
ความรกั ไมเ่ ลอื กช้นั วรรณะ
ดังไดส้ ดบั มา นางปฏาจาราน้นั ไดเ้ ป็นธิดาของเศรษฐผี มู้ ีสมบตั ิ๔๐ โกฏใิ นกรุงสาวตั ถี มรี ูป
งาม. ในเวลานางมีอายุ ๑๖ ปี มารดาบิดาเมอื่ จะรักษา จึงให้นางอยบู่ นช้ันบนปราสาท ๗ ชั้น. ถึง
เม่อื เป็นเช่นนนั้ นางกย็ ังสมคบกบั คนรับใช้คนหนงึ่ ของตน.
คร้ังน้ันมารดาบิดาของนางยกใหแ้ ก่ชายหนมุ่ คนหนงึ่ ในสกุลทมี่ ีชาตเิ สมอกันแลว้ กาหนดวัน
ววิ าหะ. เม่อื วันวิวาหะนัน้ ใกล้เขา้ มา, นางจงึ พูดกะคนรบั ใช้ผู้นัน้ ว่า " ไดย้ นิ ว่า มารดาบดิ าจักยก
ฉนั ให้แกส่ กุลโน้น, ในกาลท่ีฉนั ไปสู่สกลุ ผวั ท่านแม้ถอื บรรณาการเพื่อฉนั มาแลว้ กจ็ กั ไม่ไดเ้ ขา้
ไปในทีน่ ้ัน, ถ้าท่านมคี วามรกั ในฉนั , ก็จงพาฉันหนไี ปโดยทางใดทางหนึ่งในบดั น้ีน่แี ล. " คนรบั
ใชน้ ั้นรับว่า " ดลี ะ นางผเู้ จรญิ " แลว้ กล่าววา่ " ถ้าอยา่ งน้ันฉันจกั ยนื อยู่ในทีช่ ื่อโนน้ แห่งประตู
เมืองแต่เวลาเชา้ ตร่พู รงุ่ นี้,หล่อนพงึ ออกไปด้วยอบุ ายอย่างหนึ่งแลว้ มาในท่ีน้ัน"
ในวันที่ ๒ ก็ได้ยืนอยใู่ นท่ีนดั หมายกันไว้.
รกั กันหนา พากันหนี รักหนุ่มมากกว่าพ่อแม่ตน วัยรนุ่ ใชอ้ ารมณ์มากกวา่ เหตผุ ล
นางปฏาจาราหนีไปกบั คนใช้
ฝ่ายธิดาเศรษฐีนนั้ นุ่งผ้าปอน ๆ สยายผม เอาราทาสรรี ะถือหม้อนา้ ออกจากเรอื นเหมอื นเดิน
ไปกบั พวกทาสี ไดไ้ ปยังทน่ี ้นั แต่เชา้ ตรู่. ชายคนรับใช้นัน้ พานางไปไกลแล้ว สาเร็จการอาศัยอยู่
ในบา้ นแหง่ หน่ึง ไถนาในปา่ แล้ว ได้นาฟืนและผักเป็นตน้ มา. ธิดาเศรษฐนี อกน้ีเอาหม้อน้ามา
แล้ว ทากิจมกี ารตาขา้ วและหงุ ต้มเป็นตน้ ดว้ ยมือตนเอง เสวยผลแหง่ ความชัว่ ของตน.
คร้งั นั้น สัตวเ์ กดิ ในครรภ์ตัง้ ขน้ึ ในท้องของนางแลว้ .นางมีครรภ์แก่แล้วจึงอ้อนวอนสามีว่า
" ใคร ๆ ผ้อู ุปการะของเราไม่มใี นทีน่ ี้, ธรรมดามารดาบิดา เปน็ ผมู้ ีใจออ่ นโยนในบุตรทั้งหลาย,
ทา่ นจงนาฉนั ไปยังสานกั ของท่านเถิด, ฉนั จกั คลอดบตุ รในท่ีนน้ั . " สามนี ัน้ คดั ค้านวา่
๑๔
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
" นางผู้เจรญิ เจา้ พดู อะไร? มารดาบดิ าของเจา้ เห็นฉนั แลว้ พงึ ทากรรมกรณม์ ีอย่างต่าง ๆ ฉัน
ไม่อาจไปในทนี่ น้ั ได้. " นางแม้อ้อนวอนแล้ว ๆ เลา่ ๆ เม่อื ไม่ได้ความยนิ ยอม ในเวลาทสี่ ามีนัน้
ไปปา่ จึงเรยี กคนผูค้ ุ้นเคยมาส่งั วา่ " ถ้าเขามาไม่เห็นฉัน จกั ถามวา่ 'ฉันไปไหน?'พวกท่านพงึ บอก
ความที่ฉนั ไปสเู่ รอื นแห่งตระกลู ของตน" ดังน้แี ลว้ กป็ ดิ ประตเู รือนหลกี ไป.
ฝ่ายสามนี ้ันมาแลว้ ไม่เห็นภรรยานั้นจงึ ถามคนคุน้ เคย ฟังเร่อื งนน้ั แลว้ ก็ตดิ ตามไปด้วยคิดวา่
" จกั ให้นางกลับ" พบนางแล้วแม้จะอ้อนวอนมปี ระการต่าง ๆ กม็ อิ าจให้นางกลับได้.
ทนี ั้น ลมกมั มัชวาตของนางปนั่ ป่วนแลว้ ในท่ีแหง่ หนงึ่ . นางเข้าไปในระหวา่ งพ่มุ ไมพ้ มุ่ หนงึ่
พูดว่า " นาย ลมกมั มัชวาตของฉันว่า " เราพงึ ไปสูเ่ รอื นแหง่ ตระกลู เพอ่ื ประโยชน์ใด, ประโยชน์
น้นั สาเรจ็ แล้ว" จงึ กลับมาสเู่ รอื นกบั สามี สาเรจ็ การอยกู่ ันอกี เทียว.
สมยั อน่ื ครรภข์ องนางต้ังข้ึนอกี . นางเป็นผ้มู ีครรภ์แก่แล้วจึงอ้อนวอนสามีโดยนยั ก่อนน่ันแล
เม่อื ไมไ่ ดค้ วามยนิ ยอม จึงอุ้มบตุ รด้วยสะเอวหลกี ไปอยา่ งน้นั นั่นแล แมถ้ กู สามีน้ันตดิ ตามไปพบ
แลว้ ก็ไม่ปรารถนาจะกลบั .
คร้งั น้ัน เม่ือชนเหลา่ น้ันเดินไปอยู่, มหาเมฆอันมใิ ช่ฤดกู าลเกิดขนึ้ . ท้องฟา้ ได้มที อ่ ธารตกลง
ไม่มรี ะหว่าง ดงั สายฟา้ แผดเผาอยูโ่ ดยรอบดงั จะทาลายลงด้วยเสียงแผดแห่งเมฆ. ในขณะน้นั
ลมกมั มัชวาตของนางป่ันป่วนแลว้ . นางเรียกสามมี ากลา่ ววา่ " นาย ลมกัมมชั วาตของฉันป่ันปว่ น
แลว้ , ฉนั ไม่อาจจะทนได้, ท่านจงรสู้ ถานท่ีฝนไม่รดฉนั เถิด. "สามีนนั้ มีมีดอยใู่ นมือ ตรวจดขู ้าง
โน้นขา้ งน้ี เห็นพุม่ ไม้ซึ่งเกดิ อยู่บนจอมปลวกแหง่ หน่ึง เริม่ จะตัด, ลาดับนนั้ อสรพษิ มีพษิ รา้ ย
กาจเล้อื ยออกจากจอมปลวก กดั เขาในขณะน้นั นั่นแล สรรี ะของเขามสี ีเขยี วดงั ถกู เปลวไฟอัน
ต้ังขน้ึ ในภายในไหมอ้ ยู่ ล้มลงในท่นี น้ั นน่ั เอง. ฝ่ายภรรยานอกนเ้ี สวยทกุ ข์อยา่ งมหันต์ แม้มองดู
ทางมาของเขาอยู่ กม็ ไิ ดเ้ หน็ เขาเลยจงึ คลอดบตุ รคนอน่ื อีก. ทารกท้งั ๒ ทนกาลงั แห่งลมและฝน
ไมไ่ ด้ ก็ร้องไห้ลั่น. นางเอาทารกแมท้ ั้ง ๒ คนนน้ั ไว้ทีร่ ะหว่างอทุ ร ยืนเทา้ แผน่ ดินด้วยเข่าและมือ
ทง้ั ๒ ให้ราตรลี ่วงไปแล้ว. สรีระท้งั ส้ินได้เปน็ ดงั สใี บไมเ้ หลอื ง เหมือนไมม่ โี ลหิต. เมอ่ื อรุณข้นึ
นางอุ้มบตุ รคนหน่งึ ซึ่งมีสีดังช้ินเนอื้ ด้วยสะเอว จูงบตุ รนอกน้ีดว้ ยนิว้ มือกล่าววา่ " มาเถดิ พ่อ,
บดิ าเจา้ ไปโดยทางนี้" ดงั นแี้ ลว้ กเ็ ดนิ ไปตามทางท่ีสามีไป เหน็ สามี นัน้ ลม้ ตายบนจอมปลวกมีสี
เขียวตัวกระดา้ ง รอ้ งไหร้ าพันว่า " เพราะอาศยั เรา สามีของเราจึงตายที่หนทางเปลี่ยว" ดังนี้แล้วก็
เดนิ ไป.
๑๕
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน
นางเห็นแมน่ า้ อจิรวดี เต็มเป่ยี มดว้ ยน้ามีประมาณเพียงหัวเข่า มปี ระมาณเพียงนม เพราะฝน
ตกตลอดคนื ยงั รุง่ ไมอ่ าจลงนา้ พร้อมดว้ ยทารก ๒ คนได้ เพราะตนมคี วามรู้ออ่ น จงึ พักบุตรคน
ใหญไ่ วท้ ่ฝี งั่ น้ีอมุ้ บตุ รคนเลก็ นอกน้ีไปฝั่งโน้น ลาดกิง่ ไม้ไว้ในบุตรนอนแลว้ คดิ วา่
" จกั ไปทีอ่ ยู่ของบุตรนอกนี้" ไม่อาจละบุตรอ่อนไดก้ ลบั แลดูแลว้ ๆเลา่ ๆ เดินไป. ครัน้ ในเวลาท่ี
นางถงึ กลางแม่นา้ เหยย่ี วตวั หนึ่งเหน็ เด็กนั้น จึงโฉบลงมาจากอากาศ ดว้ ยสาคัญวา่ " เปน็ ชน้ิ เนือ้ .
" นางเหน็ มันโฉบลงเพอื่ ต้องการบตุ ร จึงยกมอื ท้ังสองขนึ้ ร้องเสียงดัง ๓ ครง้ั วา่
" สู สู" เหยีย่ วไม่ไดย้ นิ เสียงนนั้ เลยเพราะไกลกนั จงึ เฉย่ี วเดก็ บนิ ข้นึ สู่เวหาสไปแลว้ . แมบ้ ตุ รผยู้ นื
อยทู่ ี่ฝ่งั นี้ เห็นมารดายกมอื ท้ังสองข้นึ รอ้ งเสียงดังท่ีท่ามกลางแมน่ ้า จึงกระโดดลงในแมน่ า้
โดยเร็วดว้ ยสาคญั ว่า" มารดาเรยี กเรา. " เหยยี่ วเฉี่ยวบุตรอ่อนของนางไป บุตรคนโตถูกนา้ พดั
ไป ดว้ ยประการฉะน้ี.
นางทราบขา่ วว่ามารดาบดิ าตายอีก
นางเดินรอ้ งไห้ราพนั วา่ " บตุ รของเราคนหน่งึ ถกู เหยี่ยวเฉีย่ วไป,คนหนึ่งถูกน้าพดั ไป, สามีก็
ตายเสยี ในท่เี ปล่ียว," พบบุรษุ ผู้หน่ึงเดินมาแตก่ รุงสาวตั ถี จึงถามว่า " พ่อ ท่านอยู่ที่ไหน? "
บรุ ุษ. ฉนั อยู่ในกรุงสาวตั ถี แม่. ธิดาเศรษฐี. ตระกลู ชื่อโน้นเห็นปานนใ้ี กล้ถนนโนน้ ในกรงุ
สาวัตถีมีอย,ู่ ทราบไหม? พ่อ.
บุรุษ. ฉนั ทราบ แม่, แตอ่ ยา่ ถามถึงตระกลู นนั้ เลย; ถา้ ทา่ นรู้จกั ตระกลู อื่น, ก็จงถามเถดิ .
ธิดาเศรษฐ.ี กรรมดว้ ยตระกลู อืน่ ของฉันไมม่ ี, ฉันถามถึงตระกูลน้นั เทา่ นั้นแหละ พอ่ .
บรุ ุษ. แม่ ฉนั บอกก็ไม่ควร. ความตายไม่มีนมิ ติ หมาย
ธดิ าเศรษฐ.ี บอกฉันเถิด พอ่ . ไมแ่ นว่ ่าพ่อแม่จะตายกอ่ นลูกๆ
บุรุษ. วนั นี้ แมเ่ ห็นฝนตกคนื ยงั ร่งุ ไหม?
ธดิ าเศรษฐ.ี ฉนั เห็น พ่อ, ฝนนนั้ ตกคนื ยังรุง่ เพอื่ ฉันเท่านั้นไมต่ กเพอื่ คนอื่น, แตฉ่ นั จักบอก
เหตุท่ีฝนตกเพอ่ื ฉันแก่ท่านภายหลงั , โปรดบอกความเป็นไปในเรอื นเศรษฐีนัน้ แกฉ่ นั กอ่ น.
บรุ ษุ . แม่ วนั นี้ ในกลางคนื เรอื นล้มทบั คนแม้ทงั้ ๓ คือเศรษฐี ๑ ภรรยาเศรษฐี ๑ บุตรเศรษฐี
๑, คนทั้ง ๓ นั้นถกู เผาบนเชงิ ตะกอนเดยี วกัน, แม่เอย๋ ควนั นั่นยังปรากฏอยู่.
ในขณะนน้ั นางไม่รสู้ ึกถึงผา้ ท่ีนุ่งซงึ่ ได้หลุดลง ถึงความเปน็ คนวิกลจริตยืนตะลึงอยู่ รอ้ งไห้
ราพันบ่นเพ้อเซซวนไปว่า :- ความตาย
" บุตร ๒ คน ตายเสยี แลว้ , สามีของเรา เปน็ สว่ นหน่ึงของชวี ิต
ก็ตายเสยี ท่ีทางเปลีย่ ว, มารดาบดิ าและพชี่ ายกถ็ กู เผา
๑๖
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
บนเชิงตะกอนเดยี วกนั ."
คนท้ังหลายเห็นนางแล้ว เข้าใจว่า " หญงิ บ้า ๆ " จงึ ถอื เอาหยากเยอ่ื กอบฝุ่น โปรยลงบน
ศรี ษะ ขว้างดว้ ยกอ้ นดนิ . พระศาสดาประทับน่ังแสดงธรรมอยใู่ นท่ามกลางบรษิ ทั ๔ ใน
พระเชตวนั มหาวิหาร ได้ทอดพระเนตรเห็นนางผบู้ าเพ็ญบารมีมาแสนกัลป์สมบรู ณด์ ว้ ยอภนิ หิ าร
เดนิ มาอยู่.
นางได้ตัง้ ความปรารถนาไวใ้ นชาติก่อน
ได้ยินวา่ ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามวา่ ปทุมุตตระนางปฏาจารานัน้ เหน็ พระเถรผี ู้
ทรงวนิ ัยรูปหนึ่ง อันพระปทุมตุ ตรศาสดาทรงตง้ั ไวใ้ นตาแหนง่ เอตทัคคะ ดังทา้ วสักกะจับท่แี ขน
ตง้ั ไวใ้ นสวนนันทวัน จึงทาคณุ ความดแี ลว้ ต้งั ความปรารถนาไว้วา่ " แม้หม่อมฉนั พึงได้
ตาแหน่งเลิศกวา่ พระเถรีผูท้ รงวินยั ทั้งหลายในสานกั พระพทุ ธเจา้ เชน่ กบั ด้วยพระองค์. " พระปทุ
มุตตรพุทธเจ้าทรงเลง็ อนาคตังสญาณไป ก็ทรงทราบว่าความปรารถนาจะสาเรจ็ จึงทรงพยากรณ์
ว่า " ในอนาคตกาลหญงิ ผูน้ ้ีจกั เป็นผเู้ ลิศกวา่ พระเถรีผูท้ รงวินยั ทัง้ หลาย มีนามวา่
ปฏาจาราในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า. "
พระศาสดา ทรงเห็นนางผู้มคี วามปรารถนาตงั้ ไว้แล้ว อย่างนนั้ ผูส้ มบรู ณ์ด้วยอภนิ ิหาร กาลงั
เดนิ มาแต่ท่ไี กลเทียว ทรงดาริว่า " เว้นเราเสยี ผ้อู น่ื ชื่อวา่ สามารถจะเปน็ ทพี่ งึ่ ของหญงิ ผู้น้ีได้
ไม่มี" จงึ ได้ทรงทานางโดยประการที่นางจะบ่ายหนา้ สู่วหิ ารเดินมา.
บรษิ ัทเหน็ นางแล้วจงึ กลา่ ววา่ " ทา่ นทง้ั หลาย อย่าใหห้ ญิงบ้านม้ี าทน่ี เ้ี ลย."
สติด้วยพุทธานุภาพในขณะนั้นเอง. ในเวลาน้ัน นางกาหนดความทผ่ี า้ นงุ่ หลดุ ไดแ้ ลว้ ให้เกิด
หิริโอตตัปปะข้ึน จงึ นั่งกระโหยง่ .
ลาดับนนั้ บุรษุ ผู้หน่ึงจึงโยนผา้ หม่ ไปใหน้ าง. นางนุ่งผา้ น้ันแลว้ เขา้ ไปเฝา้ พระศาสดา ถวาย
บังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แทบพระบาทท้ังสองซึง่ มพี รรณะดงั ทองคาแล้ว ทลู วา่
" ขอพระองคจ์ งทรงเป็นท่พี ง่ึ แก่หม่อมฉนั เถดิ พระเจา้ ขา้ , เพราะวา่ เหยยี่ วเฉีย่ วบุตรคนหนึง่ ของ
หม่อมฉันไป; คนหนงึ่ ถกู นา้ พดั ไป, สามตี ายท่ที างเปล่ยี ว, มารดาบดิ าและพ่ีชายถกู เรือนทับตาย
เขาเผาบนเชงิ ตะกอนเดียวกนั . "
พระศาสดาทรงสดับคาของนาง จงึ ตรัสวา่ " อยา่ คดิ เลยปฏาจารา,เธอมาสสู่ านักของผู้
สามารถจะเป็นทีพ่ ึ่งพานักอาศัยของเธอได้แลว้ ; เหมอื นอยา่ งวา่ บดั น้ี บตุ รคนหน่ึงของเธอถูก
เหยีย่ วเฉี่ยวไป, คนหนึง่ ถกู นา้ พดั ไป, สามตี ายแลว้ ท่ที างเปลีย่ ว, มารดาบิดาและพช่ี ายถกู เรอื น
๑๗
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
ทับฉนั ใด; น้าตาทไี่ หลออกของเธอผู้รอ้ งไหอ้ ยู่ในสงสารนี้ ในเวลาที่ปยิ ชนมีบุตรเป็นตน้ ตาย ยงั
มากกวา่ น้าแหง่ มหาสมุทรทง้ั ๔ กฉ็ นั น้นั เหมือนกนั "ดงั น้แี ล้ว ตรสั พระคาถานีว้ ่า :-
" น้าในสมุทรทัง้ ๔ มีประมาณนอ้ ย, นา้ ตาของ
คนผอู้ นั ทุกข์ถูกตอ้ งแล้ว เศร้าโศก ไม่ใชน่ ้อย มาก
กว่านา้ ในมหาสมุทรนน้ั ; เหตุไร เธอจึงประมาทอยู่
เลา่ ? แมน่ ้อง."
เมือ่ พระศาสดาตรัสอนมตคั คปรยิ ายสูตรอยู่อย่างนัน้ , ความโศกในสรีระของนาง ได้ถึงความ
เบาบางแล้ว.ลาดบั นั้น พระศาสดาทรงทราบทน่ี างผมู้ ีความโศกเบาบางแล้วทรงเตือนอีก แล้ว
ตรสั วา่ " ปฏาจารา ข้ึนช่อื วา่ ปิยชนมบี ุตรเป็นตน้ ไมอ่ าจเพ่อื เป็นท่ตี ้านทาน เป็นท่พี ่ึง หรอื เปน็ ท่ี
ป้องกนั ของผู้ไปส่ปู รโลกได;้ เพราะฉะนัน้ บตุ รเป็นต้นเหลา่ น้ันถึงมีอยู่ ก็ชอื่ ว่าย่อมไม่มีทเี ดยี ว,
ส่วนบณั ฑิตชาระศีลแลว้ ควรชาระทางท่ียังสตั ว์ให้ถงึ นพิ พานของตนเทา่ นน้ั "เมื่อจะทรงแสดง
ธรรม ไดต้ รัสพระคาถาเหลา่ น้ีวา่ :-
" บตุ รทั้งหลาย ไม่มีเพ่อื ต้านทาน, บดิ ากไ็ ม่มี
ถึงพวกพ้องกไ็ มม่ ี, เมื่อบุคคลถูกความตาย ครอบงา
แล้ว ความตา้ นทานในญาติทง้ั หลาย ยอ่ มไมม่ ี;
บณั ฑติ ทราบอานาจประโยชนน์ ั้นแล้ว สารวมในศลี
พงึ ชาระทางไปพระนพิ พานโดยเรว็ ทเี ดียว. "
ในกาลจบเทศนา นางปฏาจาราเผากิเลสมปี ระมาณเทา่ ฝนุ่ ในแผน่ ดนิ ใหญ่แลว้ ตง้ั อยู่ใน
โสดาปัตติผล, ชนแม้เหลา่ อนื่ เปน็ อันมากบรรลุอรยิ ผลท้ังหลาย มโี สดาปตั ติผลเปน็ ตน้ ดงั น้แี ล.
นางปฏาจาราทูลขอบวช
ฝ่ายนางปฏาจาราน้นั เป็นพระโสดาบนั แล้ว ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา. พระศาสดาทรงส่ง
นางไปยงั สานักของพวกภิกษุณใี หบ้ รรพชาแล้ว. นางได้อปุ สมบทแล้วปรากฏชื่อวา่ " ปฏาจารา"
เพราะนางกลับความประพฤติได.้ วันหนงึ่ นางกาลังเอาหมอ้ ตกั นา้ ล้างเทา้ เทน้าลง.นา้ น้ันไหล
ไปหน่อยหน่งึ แลว้ ก็ขาด. คร้ังท่ี ๒ นา้ ท่นี างเทลง ได้ไหลไปไกลกวา่ นั้น. ครงั้ ท่ี ๓ นา้ ที่เทลง ได้
ไหลไปไกลแม้กว่าน้นั ด้วยประการฉะน.้ี แงค่ ดิ รอบตัว
นางถอื เอาน้านั้นน่นั แลเป็นอารมณ์ กาหนดวัยทั้ง ๓ แล้ว คิดวา่ ถืออาโปกสณิ
" สัตว์เหล่าน้ี ตายเสยี ในปฐมวยั ก็มี เหมือนนา้ ท่เี ราเทลงคร้งั แรก, เปน็ อารมณ์
ตายเสียในมชั ฌิมวยั ก็มี เหมือนนา้ ทีเ่ ราเทลงครง้ั ท่ี ๒ ไหลไปไกลกว่านั้น, กัมมฏั ฐาน
๑๘
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
ตายเสียในปจั ฉมิ วัยกม็ ี เหมือนนา้ ที่เราเทลงครั้งที่ ๓ ไหลไปไกลแมก้ ว่านั้น. "
พระศาสดาประทบั ในพระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไป เปน็ ดังประทับยนื ตรัสอยเู่ ฉพาะหนา้
ของนาง ตรสั วา่ " ปฏาจารา ข้อน้ันอย่างน้ัน, ด้วยว่าความเป็นอยวู่ นั เดยี วกด็ ี ขณะเดียวก็ดี ของ
ผ้เู หน็ ความเกดิ ข้นึ และความเส่ือมแห่งปัญจขันธเ์ หล่านั้น ประเสรฐิ กวา่ ความเปน็ อยู่ ๑๐๐ ปี
ของผู้ไมเ่ ห็นความเกดิ ข้ึนและความเส่อื มแห่งปญั จขันธ์"ดังนแี้ ล้ว เม่อื จะทรงสืบอนสุ นธิแสดง
ธรรม จงึ ตรัสพระคาถาน้วี า่ :-
๑๒. โย จ วสฺสสต ชเี ว อปสฺส อทุ ยพฺพย
เอกาห ชวี ติ เสยโฺ ย ปสสฺ โต อุทยพพฺ ย.
" กผ็ ใู้ ด ไมเ่ ห็นความเกิดขึน้ และความเสอื่ มอยู่
พงึ เป็นอยู่ ๑๐๐ ปี, ความเปน็ อยวู่ ันเดียว ของ
ผเู้ ห็นความเกดิ และความเสื่อม ประเสริฐกวา่
ความเป็นอยู่ของผู้น้ัน."
ในกาลจบเทศนา นางปฏาจาราบรรลพุ ระอรหัตพร้อมด้วยปฏสิ มั ภิทาทั้งหลาย ดงั นแ้ี ล.
เร่ืองนางปฏาจารา จบ.
ปฏสิ ัมภทิ าญาณ ๔
๑.อตั ถปฏสิ มั ภทิ าญาณ ๒.ธัมมปฏิสมั ภทิ าญาณ
๓.นริ ุตติปฏิสัมภิทาญาณ ๔.ปฏิภาณปฏสิ มั ภิทาญาณ
๑๙
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
๖) เร่ืองธดิ านายช่างหูก [๑๔๓]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดาเมือ่ ประทบั อยูใ่ นเจดยี ์ชื่อวา่ อัคคาฬวะ ทรงปรารภธดิ าของนายช่างหูก
คนหน่ึงตรสั พระธรรมเทศนาน้ีว่า "อนฺธภูโต อย โลโก" เป็นตน้ .
คนเจริญมรณสติไมก่ ลัวตาย
ความพสิ ดารวา่ วนั หนง่ึ พวกชาวเมืองอาฬวี เมอื่ พระศาสดาเสด็จถงึ เมืองอาฬวีแล้ว
ได้ทูลนิมนตถ์ วายทานแลว้ .
พระศาสดาเมื่อจะทรงทาอนุโมทนาในเวลาเสรจ็ ภัตกจิ จึงตรัสวา่
"ท่านทั้งหลายจงเจรญิ มรณสติอย่างนี้วา่ 'ชีวิตของเราไม่ยง่ั ยืนความตายของเราแน่นอน
เราพงึ ตายแนแ่ ท้, ชีวิตของเรามีความตายเปน็ ทีส่ ดุ ชีวิตของเราไม่เท่ียง, ความตายเทย่ี ง’
ก็มรณะอนั ชนทั้งหลายใดไมเ่ จรญิ แล้ว, ในกาลที่สดุ ชนท้ังหลายน้นั ยอ่ มถงึ ความสะดงุ้
รอ้ งอย่างขลาดกลัวอยู่ทากาละเหมือนบรุ ุษเห็นอสรพษิ แล้วกลัว ฉะนน้ั .
สว่ นมรณะอันชนทงั้ หลายใดเจริญแลว้ ชนทงั้ หลายน้ันย่อมไม่สะดุ้งในกาลทีส่ ดุ
ดจุ บรุ ษุ เหน็ อสรพษิ แต่ไกลเทียวแลว้ กเ็ อาทอ่ นไม้เข่ียทิ้งไปยืนอยู่ฉะนั้น เพราะฉะนนั้
มรณสติอันท่านท้ังหลายพึงเจริญ." คนฉลาด ไม่มองขา้ มคาสอน แม้เล็กนอ้ ย
เจรญิ มรณสติ ย่อมสง่ ผลต่อการบรรลุธรรม
พระศาสดาเสดจ็ ประทานโอวาทธดิ าชา่ งหูก
พวกชนที่เหลือฟังพระธรรมเทศนาน้ันแล้วไดเ้ ป็นผ้ขู วนขวายในกิจของตนอย่างเดยี ว.
ส่วนธดิ าของนายช่างหกู อายุ ๑๖ ปีคนหน่ึงคดิ ว่า "โอ ธรรมดาถ้อยคาของพระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลาย
อัศจรรย์, เราเจริญมรณสตจิ งึ ควร"ดงั นีแ้ ลว้ ก็เจรญิ มรณสติอย่างเดียวตลอดทง้ั กลางวนั กลางคนื .
ฝ่ายพระศาสดาเสดจ็ ออกจากเมอื งอาฬวีแลว้ ก็ไดเ้ สดจ็ ไปพระเชตวัน.
นางกุมาริกาแม้นัน้ กเ็ จริญมรณสติส้ิน ๓ ปที ีเดียว.
ต่อมาวันหนง่ึ พระศาสดาทรงตรวจดูโลกในเวลาใกล้รุง่ ทรงเห็นนางกมุ าริกาน้ัน เขา้
ไปในภายในข่าย คอื พระญาณของพระองคท์ รงใครค่ รวญว่า "เหตอุ ะไรหนอ? จักมี" ทรงทราบ
ว่า "นางกุมารกิ าน้ีเจรญิ มรณสตแิ ล้วส้ิน ๓ ปี ตัง้ แตว่ นั ท่ฟี ังธรรมเทศนาของเรา บดั นีเ้ ราไปในที่
นั้นแล้ว ถามปัญหา ๔ ขอ้ กะนางกุมาริกาน้ี เม่ือนางแก้ปญั หาอยจู่ ักใหส้ าธุการในฐานะ ๔ แล้ว
ภาษติ คาถาน้ี ในเวลาจบคาถานางกมุ าริกาน้นั จกั ต้งั อยใู่ นโสดาปัตตผิ ล เพราะอาศัยนางกมุ ารกิ า
๒๐
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน
น้ันเทศนาจกั มีประโยชนแ์ ม้แก่มหาชน" พระมหากรุณาธิคณุ ไกลแคไ่ หน ก็เสด็จไปโปรด
ดังน้แี ลว้ มีภิกษปุ ระมาณ ๕๐๐รปู เป็นบรวิ าร ได้เสด็จออกจากพระเชตวัน ไปสู่
อัคคาฬววิหารโดยลาดับ.ชาวเมอื งอาฬวที ราบว่า "พระศาสดาเสดจ็ มาแลว้ " จงึ ไปวหิ าร
ทลู นมิ นตแ์ ลว้ .แม้นางกมุ ารกิ านั้นทราบการเสด็จมาของพระศาสดา มีใจยินดีว่า "ขา่ ววา่
พระมหาโคดมพุทธเจา้ ผพู้ ระบิดา ผู้เปน็ ใหญ่ เปน็ พระอาจารย์ผู้มพี ระพกั ตร์ดังพระจนั ทรเ์ พ็ญ
ของเราเสดจ็ มาแลว้ " จงึ คดิ วา่ "พระศาสดาผูม้ วี รรณะดงั ทองคา อนั เราเคยเห็น ในทีส่ ุด ๓ ปี แต่
วนั นี้ บดั นี้เราจักไดเ้ ห็นพระสรรี ะซึ่งมวี รรณะดังทองคา และฟังธรรมอนั เป็นโอวาทซ่ึงมโี อชะ
อันไพเราะ (จบั ใจ) ของพระศาสดานนั้ ."
ฝา่ ยบดิ าของนางเมื่อจะไปสูโ่ รงหูก ได้สั่งไวว้ ่า "แม่ ผ้าสาฎกซ่งึ เป็นของคนอื่น
เรายกข้นึ ไว้ (กาลงั ทอ), ผ้านน้ั ประมาณคบื หนงึ่ ยังไม่สาเรจ็ . เราจะใหผ้ ้านั้นเสรจ็ ในวันนี้
เจ้ากรอดา้ ยหลอดแลว้ พงึ นามาให้แกพ่ ่อโดยเรว็ ."
นางกมุ ารกิ านัน้ คิดว่า "เราใคร่จะฟังธรรมของพระศาสดาก็บดิ าส่ังเราไว้อย่างนี้ เราจะ
ฟงั ธรรมของพระศาสดาหรอื หนอแลหรือจะกรอด้ายหลอดแลว้ นาไปให้แก่บิดา?"
คร้ังน้นั นางกุมารกิ านน้ั ได้มคี วามปรวิ ติ กอย่างนวี้ า่ "เม่อื เราไม่นาด้ายหลอดไปให้บิดาพึงโบยเรา
บ้าง พงึ ตเี ราบา้ ง เพราะฉะนั้นเรากรอด้ายหลอดใหแ้ ก่ทา่ นแลว้ จึงจกั ฟงั ธรรมในภายหลงั " ดังนี้
แลว้ จงึ น่ังกรอด้ายหลอดอยู่บนตง่ั . ระหว่างหน้าท่กี ารงานกบั บุญ
หน้าที่ต่อบดิ ากับหน้าท่ีของพุทธสาวกิ า
แม้พวกชาวเมืองอาฬวีองั คาสพระศาสดาแลว้ ได้รับบาตรยืนอย่เู พือ่ ต้องการ
อนุโมทนา. พระศาสดาประทับน่ิงแล้ว ดว้ ยทรงดาริว่า "เราอาศัยกลุ ธิดาใดมาแลว้ สิ้นทาง ๓๐
โยชน์ กลุ ธดิ าน้นั ไม่มีโอกาสแมใ้ นวันนี้เมอื่ กุลธดิ าน้นั ไดโ้ อกาส เราจกั ทาอนุโมทนา."
ก็ใครๆในโลกพร้อมท้ังเทวโลก ยอ่ มไม่อาจเพือ่ จะทลู อะไรๆ กะพระศาสดาผูท้ รงนิ่ง
อยา่ งน้ันได้.แมน้ างกุมาริกานนั้ แล กรอด้ายหลอดแล้วใสใ่ นกระเชา้ เดินไปส่สู านกั ของบิดาถึง
ท่สี ดุ ของบรษิ ทั แลว้ ก็ไดเ้ ดนิ แลดูพระศาสดาไป.
แมพ้ ระศาสดากท็ รงชะเง้อทอดพระเนตรนางกุมาริกาน้ัน.ถงึ นางกุมารกิ านน้ั กไ็ ดท้ ราบ
แล้ว โดยอาการท่พี ระศาสดาทอดพระเนตรเหมอื นกนั ว่า "พระศาสดาประทับน่งั อยใู่ นท่ามกลาง
บรษิ ทั เหน็ ปานน้นั ทอดพระเนตรเราอยู่ยอ่ มทรงหวังการมาของเรา ย่อมทรงหวังการมาสสู่ านกั
ของพระองค์ทเี ดยี ว." ลกู ศษิ ย์ท่ดี ียอ่ มฉลาดชา่ งสงั เกต
๒๑ รอู้ ธั ยาศัยของครูบาอาจารย์
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
นางวางกระเช้าด้ายหลอด แล้วไดไ้ ปยังสานกั ของพระศาสดา.
ถามวา่ "กเ็ พราะเหตุอะไร? พระศาสดาจงึ ทอดพระเนตรนางกุมารกิ านัน้ ."
แก้ว่า "ได้ยนิ วา่ พระองคไ์ ด้ทรงปรวิ ติ กอย่างนวี้ ่า ‘นางกมุ าริกาน้นั เมื่อไปจากทีน่ ี้
ทากาลกริ ยิ าอย่างปุถุชนแล้ว จกั เป็นผมู้ ีคติไม่แน่นอน, แตม่ าสสู่ านกั ของเราแลว้ ไปอยู่ บรรลุ
โสดาปตั ติผลแล้ว จกั เปน็ ผมู้ ีคตแิ นน่ อนเกดิ ในดสุ ิตวมิ าน." นัยวา่ ในวันนัน้ ช่ือว่าความพ้นจาก
ความตายไม่มีแกน่ างกมุ ารกิ านน้ั .
นางกุมารกิ านน้ั เข้าไปเฝา้ พระศาสดาด้วยเครอ่ื งหมายอันพระศาสดาทอดพระเนตรนั่น
แล เข้าไปสู่ระหวา่ งแหง่ รัศมมี พี รรณะ ๖ถวายบังคมแลว้ ได้ยนื อยู่ ณ ทค่ี วรข้างหนงึ่ .
พระศาสดาตรัสถามปัญหากะธดิ าช่างหกู
ในขณะท่นี างกุมารกิ านั้นถวายบงั คมพระศาสดาผปู้ ระทบั น่ังน่งิ ในท่ามกลางบริษัทเห็นปานน้ัน
แล้วยนื อย่นู ่ันแล พระศาสดาตรสั กะนางว่า "กุมารกิ า เธอมาจากไหน?"
กุมารกิ า. ไมท่ ราบ พระเจ้าขา้ . คาถามของพระศาสดา
พระศาสดา.เธอจักไป ณ ทไี่ หน? ๑) กอ่ นมาเกิดมาจากท่ไี หน
กุมารกิ า. ไม่ทราบ พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เธอไมท่ ราบหรอื ? ๒) ตายแลว้ จะไปไหน
กมุ ารกิ า. ทราบพระเจา้ ขา้ . ๓) ไมท่ ราบหรอื วา่ ต้องตาย
พระศาสดา. เธอทราบหรอื ? ๔) ทราบหรือวา่ จะตายเมอื่ ไหร่
กมุ ารกิ า. ไมท่ ราบ พระเจา้ ขา้ .
พระศาสดาตรสั ถามปญั หา ๔ ข้อกะนางกุมารกิ าน้นั ด้วยประการฉะน้ี.
มหาชนโพนทะนาวา่ "ผ้เู จรญิ ทงั้ หลาย ทา่ นทั้งหลายจงดธู ิดาของชา่ งหูกนพ้ี ูดคาอันตน
ปรารถนาแลว้ ๆ กบั พระสมั มาสัมพุทธเจ้า, เมอ่ื พระสมั มาสมั พุทธเจ้าตรสั วา่ ‘เธอมาจากไหน?’
ธิดาของช่างหกู นี้ควรพูดว่า ‘จากเรือนของชา่ งหูก’ เมือ่ ตรัสวา่ ‘เธอจะไปไหน ?’ กค็ วรกลา่ วว่า
‘ไปโรงของช่างหกู ’ มใิ ชห่ รอื ?"
พระศาสดาทรงกระทามหาชนให้เงียบเสยี งแล้ว ตรัสถามว่า "กุมารกิ า เธอ เมอ่ื เรากลา่ ว
วา่ ‘มาจากไหน?’ เพราะเหตไุ ร เธอจงึ ตอบวา่ ‘ไมท่ ราบ’".
กุมารกิ า. "พระเจา้ ขา้ พระองค์ย่อมทรงทราบความทห่ี มอ่ มฉนั มาจากเรอื นช่างหูก แต่
พระองค์ เมือ่ ตรัสถามวา่ ‘เธอมาจากไหน?’ ย่อมตรัสถามว่า ‘เธอมาจากท่ีไหน จึงเกิดแล้วใน
ท่ีน้ี?’ แตห่ ม่อมฉนั ย่อมไมท่ ราบวา่ ‘กเ็ รามาแลว้ จากไหน จงึ เกิดในทนี่ ้ี?"
๒๒
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
ลาดับน้ันพระศาสดาประทานสาธกุ ารเป็นคร้งั แรกแกน่ างกุมาริกาน้ันว่า "ดีละ ดีละ กุ
มาริกาปัญหาอนั เราถามแลว้ นน่ั แล อันเธอแก้ไดแ้ ลว้ " แลว้ ตรสั ถามแมข้ อ้ ตอ่ ไปวา่ "เธออันเรา
ถามแล้ววา่ ‘เธอจะไป ณ ทไ่ี หน?’ เพราะเหตไุ ร จงึ กล่าววา่ ‘ไมท่ ราบ?’"
กุมารกิ า. "พระเจ้าขา้ พระองค์ทรงทราบหมอ่ มฉันผู้ถอื กระเช้าด้ายหลอดเดนิ ไปยังโรง
ของชา่ งหกู , พระองคย์ ่อมตรัสถามวา่ ‘กเ็ ธอไปจากโลกนีแ้ ลว้ จกั เกดิ ในท่ีไหน?’ ก็หมอ่ มฉนั จุติ
จากโลกนีแ้ ลว้ ยอ่ มไมท่ ราบว่า ‘จักไปเกิดในทีไ่ หน?’"
ลาดบั นั้น พระศาสดาประทานสาธุการแกน่ างเปน็ ครัง้ ท่ี ๒ ว่า "ปญั หาอันเราถามแล้ว
น่นั แล เธอแก้ไดแ้ ลว้ " แล้วตรสั ถามแม้ข้อตอ่ ไปว่า "เม่อื เชน่ นั้น เธอ อันเราถามว่า ‘ไมท่ ราบ
หรอื ?’ เพราะเหตไุ ร จงึ กล่าววา่ ‘ทราบ?’"
กมุ ารกิ า. พระเจา้ ขา้ หมอ่ มฉนั ยอ่ มทราบภาวะคือความตายของหม่อมฉันเท่านั้น เหตุ
นน้ั จึงกราบทูลอยา่ งนั้น.
ลาดบั น้นั พระศาสดาประทานสาธุการแก่นางเป็นคร้งั ที่ ๓ วา่ "ปญั หาอนั เราถามแล้ว
นั่นแล เธอแก้ไดแ้ ล้ว" แลว้ ตรัสถามแม้ข้อต่อไปวา่ "เมือ่ เป็นเช่นน้ัน เธอ อันเราถามว่า ‘เธอย่อม
ทราบหรือ?’ เพราะเหตุไร จึงพูดว่า ‘ไม่ทราบ?’"
กมุ ารกิ า. หม่อมฉันย่อมทราบแตภ่ าวะคือความตายของหมอ่ มฉนั เทา่ นั้น พระเจา้ ขา้ แต่
ย่อมไม่ทราบวา่ "จักตายในเวลากลางคนื กลางวันหรอื เวลาเชา้ เปน็ ตน้ ในกาลช่ือโน้น เพราะเหตุ
นัน้ จงึ พดู อยา่ งนั้น."
ลาดบั น้ันพระศาสดาประทานสาธกุ ารคร้ังท่ี ๔ แก่นางวา่ "ปัญหาอันเราถามแลว้ นนั่ แล
เธอแกไ้ ด้แล้ว"แลว้ ตรสั เตอื นบริษัทวา่ "พวกทา่ นยอ่ มไมท่ ราบถ้อยคาชอ่ื มปี ระมาณเทา่ นท้ี ี่นางกุ
มารกิ านก้ี ล่าวแลว้ ยอ่ มโพนทะนาอยา่ งเดียวเทา่ น้ัน เพราะจกั ษุคือปญั ญาของชนเหล่าใดไมม่ ี ชน
เหล่านนั้ เปน็ (ดจุ ) คนบอดทีเดยี ว จักษคุ อื ปัญญาของชนเหล่าใดมอี ยู่ ชนเหลา่ น้นั น่ันแล เปน็ ผ้มู ี
จกั ษุ" ดังน้แี ล้ว ตรัสพระคาถานว้ี า่ :-
๗. อนธฺ ภูโต อย โลโก ตนุเกตถฺ วปิ สฺสติ
สกุนฺโตชาลมตุ ฺโตว อปโฺ ป สคฺคาย คจฺฉติ.
สตั ว์โลกนี้เป็นเหมอื นคนตาบอด ในโลกน้ี
น้อยคนนักจะเหน็ แจ้ง, นอ้ ยคนนกั จะไปสวรรค์
เหมือนนกหลุดแลว้ จากขา่ ย (มนี ้อย) ฉะน้ัน.
๒๓
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
ในเวลาจบเทศนา นางกมุ ารกิ านั้น ดารงอยูใ่ นโสดาปัตตผิ ล,เทศนาไดม้ ีประโยชนแ์ มแ้ ก่มหาชน.
ธดิ าชา่ งหกู ตายไปเกิดในดุสิตภพ
แมน้ างกุมารกิ าน้ัน ได้ถือกระเช้าดา้ ยหลอดไปสสู่ านักของบดิ าแลว้ .แม้บิดานัน้ กน็ ่ังหลบั
แล้ว เม่อื นางไม่กาหนดแล้ว น้อมกระเช้าดา้ ยหลอดเขา้ ไปอยู่ กระเชา้ ด้ายหลอดกระทบท่สี ุดฟมื
ทาเสียงตกไป. บิดาน้นั ไปประหารนางกมุ ารกิ านนั้ ทอ่ี ก, นางทากาละ ณ ทีน่ ้ันนั่นเอง บังเกิดแล้ว
ในท่ีสุดภพ ลาดับนัน้ บิดาของนางเมื่อแลดูนาง ไดเ้ หน็ นางมีสรรี ะทั้งสนิ้ เป้อื นด้วยโลหติ ลม้ ลง
ตายแลว้ .
ลาดบั นน้ั ความโศกใหญ่บังเกดิ ขน้ึ แกบ่ ดิ านนั้ . เขารอ้ งไหอ้ ยดู่ ้วยคดิ วา่ " ผอู้ ่นื จกั ไม่สามารถเพือ่
ยงั ความโศกของเราใหด้ บั ได้" จึงไปสสู่ านกั ของพระศาสดา กราบทูลเนื้อความนั้นแล้ว กราบทลู
วา่ " พระเจา้ ขา้ ขอพระองคจ์ งยงั ความโศกของข้าพระองค์ใหด้ ับ. " พระศาสดาทรงปลอบเขา
แล้ว ตรสั วา่ " ทา่ นอยา่ โศกแลว้ , เพราะว่าน้าตาของท่านอันไหลออกแลว้ ในกาลเป็นท่ตี ายแหง่
ธดิ าของท่านดว้ ยอาการอยา่ งนนี้ ่นั แล ในสงสารมที สี่ ุด ท่ีใคร ๆ ไม่ร้แู ลว้ เปน็ ของยง่ิ กว่านา้ แห่ง
มหาสมุทรทง้ั ๔ " ดังนแี้ ล้ว จงึ ตรสั อนมตัคคสูตร.เขามีความโศกเบาบาง ทลู ขอบรรพชากะพระ
ศาสดา ได้อปุ สมบทแล้วตอ่ กาลไมน่ านบรรลุพระอรหัตแล้ว ดังนแี้ ล.
เร่ืองธิดาของนายชา่ งหกู จบ.
๒๔
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
๗) เรอื่ งสมั พหุลภิกษุ[๒๕๘]
ข้อความเบือ้ งตน้
พระศาสดา เมือ่ ประทับอย่ใู นพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุมากรปู ตรสั พระธรรมเทศนานี้
ว่า"เมตตฺ าวหิ ารี" เป็นตน้ .
คนมศี รทั ธาออกบวช ยอ่ มไมก่ ลัวต่ออุปสรรค
ประวัติพระโสณกุฏกิ ณั ณะ
ความพิสดารวา่ ในสมัยหนงึ่ เมือ่ ท่านพระมหากจั จานะอาศยั กุรรฆรนครในอวนั ตีชนบท
อยทู่ ี่ภเู ขาช่ือปวตั ตะ, อุบาสกชอื่ โสณกฏุ ิกัณณะเลื่อมใสในธรรมกถาของพระเถระ ใครจ่ ะบวช
ในสานกั ของพระเถระ แมถ้ กู พระเถระพดู ห้ามถึง ๒ ครง้ั วา่ " โสณะ พรหมจรรย์มีภัตหนเดียว
นอนผู้เดยี ว ตลอดชพี เป็นสิ่งทีบ่ คุ คลทาได้ดว้ ยยากแล" ก็เปน็ ผเู้ กดิ อตุ สาหะอยา่ งแรงกล้าในการ
บรรพชา ในวาระที่ ๓ วิงวอนพระเถระ บรรพชาแล้ว โดยลว่ งไป ๓ ปีจึงไดอ้ ปุ สมบท เพราะ
ทกั ษิณาปถชนบทมภี ิกษุน้อย เปน็ ผใู้ ครจ่ ะเฝา้ พระศาสดาเฉพาะพระพักตร์ จงึ อาลาพระ
อปุ ชั ฌายะถือเอาข่าวทพี่ ระอุปัชฌายะให้แลว้ ไปสพู่ ระเชตวันโดยลาดับ ถวายบงั คมพระศาสดา
ได้รับการปฏสิ นั ถารแล้ว ผอู้ ันพระศาสดาทรงอนุญาตเสนาสนะในพระคันธกฎุ เี ดียวกันทีเดียว
ใหร้ าตรสี ่วนมากล่วงไปอย่ขู ้างนอกแลว้ เข้าไปสู่พระคันธกฎุ ีในเวลากลางคืน ใหส้ ่วนแห่ง
กลางคืนนัน้ ลว่ งไปแลว้ ท่เี สนาสนะอันถงึ แล้วแก่ตน ในเวลาใกลร้ ุ่งอันพระศาสดาทรงเช้อื เชิญ
แล้ว ไดส้ วดพระสตู รหมดดว้ ยกนั ๑๖ สูตร โดยทานองสรภญั ญะท่จี ดั เป็นอัฏฐกวรรค
คร้ังน้นั พระผมู้ พี ระภาคเจ้าเมื่อจะทรงอนโุ มทนาเป็นพเิ ศษ จึงได้ประทานสาธุการแกท่ ่านใน
เวลาจบสรภัญญะวา่ " ดลี ะ ๆ ภิกษุ. "
ภุมมฏั ฐกเทพดา นาค และสบุ รรณ ฟังสาธกุ ารทพี่ ระศาสดาประทานแล้ว ได้ใหส้ าธกุ ารแล้ว;
เสียงสาธุการเป็นอันเดียวกนั ได้มีแล้วตลอดพรหมโลกอยา่ งน้ี ดว้ ยประการดงั น้ี.
ในขณะน้นั แม้เทพดาผู้สิงอยู่ในเรือนของมหาอบุ าสิกา ผเู้ ป็นมารดาของพระเถระ (นางกาติ
ยานอี บุ าสิกา เอตทัคคะ ด้านผเู้ ลอื่ มใสอย่างแน่นแฟ้น) ในกุรรฆรนคร ในท่ีสุด (ไกล) ประมาณ
๑๒๐โยชน์ แต่พระเชตวันมหาวิหาร ก็ไดใ้ หส้ าธกุ ารดว้ ยเสยี งอนั ดงั แล้ว.
คร้ังนน้ั มหาอุบาสกิ า ถามเทพดาน้ันว่า " น่ัน ใครใหส้ าธุการ ?"
เทพดา. เราเอง นอ้ งหญิง.
มหาอุบาสกิ า. ท่านเปน็ ใคร ?
๒๕
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
เทพดา. เราเปน็ เทพดา สงิ อยูใ่ นเรอื นของท่าน.
มหาอบุ าสกิ า. ในกาลกอ่ นแตน่ ี้ ทา่ นมไิ ด้ใหส้ าธกุ ารแก่เรา เพราะเหตุไร ? วนั นจี้ ึงให้.
เทพดา. เรามไิ ด้ใหส้ าธกุ ารแกท่ า่ น.
มหาอุบาสกิ า. เม่ือเปน็ เช่นนนั้ ทา่ นใหส้ าธกุ ารแก่ใคร ?
เทพดา. เราใหแ้ กพ่ ระโสณกฏุ กิ ณั ณเถระ ผูเ้ ปน็ บุตรของทา่ น.
มหาอุบาสกิ า. บตุ รของเราทาอะไร ?
เทพดา. ในวนั น้ี บตุ รของท่านอยใู่ นพระคนั ธกฎุ เี ดียวกนั กบั พระศาสดา แล้วแสดงธรรมแก่
พระศาสดา, พระศาสดาทรงสดบั ธรรมแห่งบตุ รของทา่ น แลว้ ก็ทรงเลือ่ มใส จึงไดป้ ระทาน
สาธกุ าร, เพราะเหตนุ น้ั แม้เราจึงให้สาธกุ ารแกพ่ ระเถระนัน้ , ก็เพราะรบั สาธุการของพระ
สมั มาสัมพุทธเจา้ จึงเกิดสาธกุ ารเป็นเสียงเดยี วกันไปหมด นบั ตั้งต้นแตภ่ ุมมัฏฐกเทพดาตลอดถงึ
พรหมโลก.
มหาอบุ าสกิ า. นาย ก็บุตรของเราแสดงธรรมแก่พระศาสดา หรือพระศาสดาแสดงแก่บตุ ร
ของเรา.
เทพดา. บุตรของท่านแสดงธรรมแก่พระศาสดา.
เม่อื เทพดากลา่ วอยู่อย่างนัน้ , ปตี มิ วี รรณะ ๕ ประการ เกิดขึ้นแกอ่ บุ าสกิ า แผ่ไปทัว่ สรีระ
ท้ังสน้ิ . คร้งั นั้น มหาอุบาสิกานัน้ ได้มคี วามคดิ อย่างนี้วา่ " หากว่า บตุ รของเราอยู่ในพระคันธกุฎี
เดยี วกนั กับพระศาสดาแลว้ ยังสามารถแสดงธรรมแกพ่ ระศาสดาได้, ก็จักสามารถให้แสดงธรรม
แมแ้ ก่เราได้เหมอื นกัน, ในเวลาบุตรมาถงึ เราจกั ใหท้ าการฟังธรรมกนั แลว้ ฟงั ธรรมกถา. "
พระโสณะทลู ขอพร ๕ ประการกะพระศาสดา
ฝ่ายพระโสณเถระแล เมอ่ื พระศาสดาประทานสาธกุ ารแล้ว, คิดว่า" เวลาน้ี เปน็ เวลาสมควรท่ี
จะกราบทลู ข่าวท่ีพระอปุ ชั ฌายะให้มา" ดงั นแี้ ล้ว จึงทูลขอพร ๕ ประการ1 กะพระผูม้ ีพระภาค
เจา้ ตงั้ ตน้ แต่การอุปสมบทดว้ ยคณะสงฆ์มีภิกษผุ ู้ทรงวินัยเป็นที่ ๕ ในชนบทท้ังหลายซง่ึ ตงั้
อยปู่ ลายแดนแลว้ อยู่ในสานกั ของพระศาสดา ๒-๓ วนั เทา่ น้ัน ทูลลาพระศาสดาว่า " ขา้ พระองค์
จักเย่ยี มพระอปุ ชั ฌายะ" ไดอ้ อกจากพระเชตวนั วิหาร ไปสู่สานกั พระอปุ ชั ฌายะโดยลาดับ.
1ขอใหอ้ ุปสมบทดว้ ยคณะเพยี ง ๕ รูปได้ ๑ ขอให้ใชร้ องเท้าหลายชั้นได้ ๑ ขอใหอ้ าบนา้ ได้เนอื งนติ ย์ ๑ ขอให้ใช้เครื่องปู
ลาดท่ที าด้วยหนังได้ ๑ (๔ ขอ้ นเ้ี ฉพาะในปัจจันตชนบท) มีมนุษยส์ งั่ ถวายจีวรแก่ภิกษุอย่นู อกสมี า ภิกษุผู้รับสงั่ จงึ มาบอกให้
เธอรบั แต่เธอรงั เกยี จไม่ยอมรบั ดว้ ยกลวั เปน็ นิสสคั คยี ์ ขออยา่ ใหเ้ ปน็ นสิ สัคคยี ์๑. มหาวคั ค์ ๕/๓๔.
๒๖
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน
ในวนั ร่งุ ข้ึน พระเถระพาทา่ นเทีย่ วไปบณิ ฑบาต ไดไ้ ปถึงประตเู รอื นของอบุ าสิกาผเู้ ปน็ มารดา.
ฝ่ายอุบาสกิ านั้น เห็นบุตรแลว้ กด็ ใี จ ไหวแ้ ลว้ องั คาสโดยเคารพแล้วถามวา่ " พ่อ ได้ยนิ ว่า
คุณอยใู่ นพระคันธกุฎเี ดยี วกันกบั พระศาสดาแล้วแสดงธรรมกถาแกพ่ ระศาสดา จรงิ หรอื ?"
พระโสณะ. เรื่องน้ี ใครบอกแก่โยม ? อบุ าสกิ า.
มหาอบุ าสกิ า. พ่อ เทวดาผู้สงิ อยูใ่ นเรือนน้ี ให้สาธกุ ารด้วยเสียงอันดัง, เมื่อโยมถามวา่
`นน่ั ใคร' กก็ ลา่ ววา่ `เราเอง' แลว้ บอกอย่างนัน้ น่ันแหละ, เพราะฟังเรือ่ งนนั้ โยมจึงได้มคี วามคดิ
อยา่ งน้ีวา่ " ถา้ วา่ บุตรของเราแสดงธรรมกถาแก่พระศาสดาไดไ้ ซร้, กจ็ กั อาจแสดงธรรมแม้แก่เรา
ได.้ "
คร้งั นน้ั มหาอบุ าสิกากลา่ วกะพระโสณะนัน้ ว่า " พอ่ เพราะคณุ แสดงธรรมเฉพาะพระพักตร์
ของพระศาสดาได้แล้ว, คุณก็จักอาจแสดงแมแ้ ก่โยมได้เหมอื นกนั , ในวนั ชือ่ โนน้ โยมจกั ให้ทา
การฟงั ธรรมกันแลว้ จักฟังธรรมของคณุ " พระโสณะรบั นมิ นตแ์ ล้ว.
อบุ าสกิ าคิดว่า " เราถวายทานแกภ่ กิ ษสุ งฆ์ ทาการบชู าแลว้ จกั ฟงั ธรรมกถาแหง่ บตุ รของเรา"
จึงได้ตง้ั ให้หญิงทาสคี นเดยี วเท่านัน้ ใหเ้ ป็นคนเฝ้าเรือน แลว้ ได้พาเอาบริวารชนทัง้ ส้ินไป เพ่อื ฟงั
ธรรมกถาของบตุ รผจู้ ะก้าวขน้ึ ส่ธู รรมาสนท์ ี่ประดับประดาไว้แลว้ ในมณฑปทตี่ นให้สร้างไว้
ภายในพระนคร เพ่อื ประโยชนแ์ กก่ ารฟังธรรม แสดงธรรมอยู่.
โจรมีทกุ ยคุ สมัย แม้ยคุ พุทธกาล
การป้องกนั ทรัพย์ ดว้ ยรปู แบบตา่ งๆ กม็ ใี นทุกยคุ เชน่ กัน
พวกโจรเขา้ ปล้นเรือนมหาอบุ าสิกา
กใ็ นเวลานน้ั พวกโจร ๙๐๐ เทยี่ วมองหาชอ่ งในเรอื นของอุบาสิกาน้ันอยู่. กเ็ รอื นขออุบาสกิ า
นั้น ล้อมดว้ ยกาแพง ๗ ชัน้ ประกอบด้วยซุ้มประตู ๗ ซ้มุ . เขาลา่ มสุนัขทดี่ ไุ ว้ในทน่ี ั้น ๆ ทุก ๆ
ซุ้มประตู; อนึ่งเขาขุดคไู ว้ในทน่ี ้าตกแหง่ ชายคาภายในเรือน แล้วกใ็ สด่ บี กุ จนเต็ม, เวลากลางวัน
ดีบุกนนั้ ปรากฏเป็นประดจุ ว่าละลายเดอื ดพล่านอยเู่ พราะแสงแดด (เผา) ในเวลากลางคืน ปรากฏ
เป็นกอ้ นแขง็ กระด้าง, เขาปักขวากเหลก็ ใหญ่ไว้ที่พ้ืนในระหว่างคนู นั้ ติด ๆ กันไป. พวกโจร
เหล่าน้นั ไม่ไดโ้ อกาส เพราะอาศยั การรักษาน้ี และเพราะอาศัยความท่ีอุบาสิกาอยู่ภายใน
เรอื น วนั นั้นทราบความท่อี ุบาสกิ านน้ั ไปแลว้ จงึ ขุดอโุ มงค์เข้าไปสู่เรอื น โดยทางเบอื้ งลา่ งแห่ง
คูดบี กุ และขวากเหล็กทีเดียว แลว้ ส่งหัวหนา้ โจรไปสสู่ านักของอบุ าสิกานั้น ด้วยส่งั ว่า
๒๗
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
" ถ้าว่าอบุ าสิกานนั้ ได้ยนิ ว่าพวกเราเข้าไปในท่นี ีแ้ ลว้ กลบั ม่งุ หนา้ มายงั เรอื น, ท่านจงฟัน
อุบาสิกานน้ั ใหต้ ายเสียดว้ ยดาบ. " หัวหนา้ โจรนัน้ ได้ไปยืนอย่ใู นสานกั ของอุบาสิกานัน้ .
มหาอบุ าสิกาใหค้ วามสาคัญกับธรรม, การฟังธรรม มากกวา่ ทรพั ย์สินเงินทอง
ฝา่ ยพวกโจร จุดไฟใหส้ วา่ งในภายในเรอื น แล้วเปดิ ประตูห้องเกบ็ กหาปณะ. นางทาสนี นั้
เห็นพวกโจรแล้ว จงึ ไปสูส่ านกั อุบาสกิ า บอกวา่ " คุณนาย โจรเปน็ อันมากเขา้ ไปสเู่ รอื น งัดประตู
หอ้ งเกบ็ กหาปณะแล้ว."
มหาอุบาสกิ า. พวกโจรจงขนเอากหาปณะทีต่ นคน้ พบแล้วไปเถิด,เราจะฟงั ธรรมกถาแห่ง
บตุ รของเรา, เจา้ อย่าทาอันตรายแกธ่ รรมของเราเลย, เจา้ จงไปเรอื นเสยี เถิด.
ฝ่ายพวกโจร ทาห้องเก็บกหาปณะให้ว่างเปล่าแลว้ จึงงัดห้องเก็บเงนิ . นางทาสนี ้นั ก็มาแจ้ง
เนอ้ื ความแมน้ ้ันอีก. อุบาสิกาพูดว่า " พวกโจร จงขนเอาทรพั ยท์ ่ีตนปรารถนาไปเถิด, เราจะฟงั
ธรรมกถาแหง่ บตุ รของเราเจ้าอยา่ ทาอันตรายแกเ่ ราเลย" แล้วกส็ ่งนางทาสีนั้นออกไปอีก.
พวกโจรทาแมห้ อ้ งเก็บเงินให้ว่างเปล่าแลว้ จึงงดั หอ้ งเก็บทอง.นางทาสีน้นั ก็ไปแจ้งเนือ้ ความ
นน้ั แกอ่ บุ าสกิ าแมอ้ กี .
คร้งั นั้น อุบาสิกาเรียกนางทาสมี า แลว้ พดู วา่ " ชะนางตัวดี เจ้ามาสานกั เราหลายครง้ั แลว้ แม้
เราสัง่ ว่า `พวกโจรจงขนเอาไปตามชอบใจเถิด, เราจะฟังธรรมกถาแหง่ บุตรของเรา, เจา้ อย่าทา
อันตรายแกเ่ ราเลย'กห็ าเอือ้ เฟอื้ ถ้อยคาของเราไม่ ยังขนื มาซ้า ๆ ซาก ๆ รา่ ไป, ท่นี ี้ ถา้ เจา้
จกั มา, เราจักรสู้ ิ่งทีค่ วรทาแกเ่ จา้ , เจ้าจงกลับบา้ นเสียเถดิ " แลว้ ส่งใหก้ ลับ.
พึงชนะคนไม่ดี ดว้ ยความดี(เรื่องอุตตราอุบาสิกา) โจรยังยอมแพ้ตอ่ ความดี
แมแ้ ต่โจรยังกลบั ใจ ออกบวชไดเ้ มอื่ เกดิ ศรทั ธา
ธรรมยอ่ มรักษาผู้ประพฤติธรรม
นายโจรฟงั ถ้อยคาของอบุ าสิกานน้ั แลว้ คิดวา่ " เมื่อพวกเรานาสงิ่ ของ ๆ หญงิ เห็นปานนีไ้ ป,
สายฟ้าพึงตกฟาดกระหม่อม" ดงั นแ้ี ล้ว จงึ ไปสานกั พวกโจร สั่งว่า " พวกท่านจงขนเอาส่ิงของ ๆ
อุบาสกิ าไปไว้ตามเดมิ โดยเรว็ . " โจรเหลา่ นน้ั ใหห้ ้องเก็บกหาปณะเตม็ ด้วยกหาปณะ ให้
ห้องเกบ็ เงนิ และทองเตม็ ไปด้วยเงินและทองแลว้ . ไดย้ นิ ว่า ความท่ีธรรมยอ่ มรกั ษาบคุ คลผู้
ประพฤตธิ รรมเป็นธรรมดา, เพราะเหตุน้นั แลพระผู้มพี ระภาคเจา้ จงึ ตรัสวา่ :-
" ธรรมแล ย่อมรักษาบคุ คลผู้ประพฤติธรรม,
๒๘
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
ธรรมท่ีบุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมนาความสขุ มาให้,
นเี้ ปน็ อานิสงสใ์ นธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้ว: ผมู้ ี
ปกติประพฤติธรรม ยอ่ มไม่ไปส่ทู ุคติ. "
พวกโจรได้ไปยนื อยใู่ นท่เี ป็นท่ีฟังธรรม. ฝา่ ยพระเถระแสดงธรรมแลว้ เมื่อราตรีสว่าง จึงลง
จากอาสนะ. ในขณะนั้นหวั หนา้ โจรหมอบลงแทบเทา้ ของอุบาสกิ า พดู วา่ " คุณนาย โปรดอด
โทษแกผ่ มเถดิ . "
อบุ าสกิ า. นี้อะไรกัน ? พอ่ .
หัวหนา้ โจร. ผมผกู อาฆาตในคุณนาย ประสงค์จะฆ่าคณุ นาย จึงได้ยนื (คมุ ) อยู่.
อุบาสกิ า. พอ่ ถ้าเชน่ นนั้ ฉันอดโทษให้.
กัมมฏั ฐานมี ๔๐ วธิ ี เหมาะกับแตล่ ะจริตของแตล่ ะคน
เพราะได้บรมครู ตรสั แนะให้ กบ็ รรลุธรรมอย่างรวดเร็ว
พวกโจรเลอื่ มใสขอบวชกะพระโสณะ
แม้พวกโจรท่เี หลือ ก็ไดท้ าอยา่ งน้นั เหมอื นกนั เมอ่ื อุบาสกิ าพูดวา่ " พ่อทง้ั หลาย ฉันอดโทษ
ให้" จงึ พดู ว่า " คุณนาย ถา้ วา่ คุณนายอดโทษแก่พวกผมไซร,้ ขอคุณนายให้ ๆ บรรพชาแกพ่ วก
ผม ในสานกั แหง่ บตุ รของคณุ นายเถดิ . " อุบาสกิ าน้นั ไหวบ้ ตุ รแล้ว พูดวา่ " พ่อ โจรพวกนี้
เลือ่ มใสในคณุ ของโยม และธรรมกถาของคุณแลว้ จึงพากันขอบรรพชา,ขอคุณจงให้โจรพวกนี้
บวชเถดิ . "
พระเถระพูดวา่ " ดลี ะ" แล้วใหต้ ดั ชายผา้ ที่โจรเหลา่ น้ันนุ่งแลว้ ใหย้ อ้ มดว้ ยดนิ แดง ให้พวก
เขาบวชแล้ว ให้ต้งั อยู่ในศลี . แมใ้ นเวลาท่พี วกเขาอปุ สมบทแล้ว พระเถระได้ใหพ้ ระกมั มัฏฐาน
ต่าง ๆ แก่ภกิ ษุเหลา่ นน้ั รอ้ ยละอย่าง. ภกิ ษุ ๙๐๐ รูปนน้ั เรียนพระกัมมัฏฐาน ๙ อย่างต่าง ๆ กนั
แลว้ พากนั ขึน้ ไปสู่ภเู ขาลกู หนง่ึ นั่งทาสมณธรรมใต้ร่มไมน้ นั้ ๆ แล้ว.
พระศาสดา ประทับนัง่ อยใู่ นพระเชตวนั มหาวิหารอันไกลกันได้ ๑๒๐โยชนน์ น่ั แล ทรงเล็งดู
ภกิ ษุเหล่านั้นแล้ว ทรงกาหนดพระธรรมเทศนาดว้ ยอานาจแห่งความประพฤติของเธอเหลา่ นน้ั
ทรงเปล่งพระรศั มีไปประหนึ่งว่าประทบั นั่งตรัสอยู่ในที่เฉพาะหน้า ไดท้ รงภาษิตพระคาถา
เหล่านี้วา่ :-
๒๙
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
" ๑) ภกิ ษใุ ด มปี กติอยูด่ ้วยเมตตา เลอ่ื มใสในพระพุทธศาสนา,
ภกิ ษนุ ั้น พงึ บรรลุบทอันสงบ เป็นท่ี
เขา้ ไประงบั สังขาร อนั เป็นสุข.
๒) ภกิ ษุ เธอจงวดิ เรือน้ี, เรอื ที่เธอวิดแลว้ จกั ถงึ เรว็ ;
เธอตดั ราคะและโทสะไดแ้ ลว้ แต่นน้ั จักถึงพระนพิ พาน.
๓) ภิกษพุ งึ ตัดธรรม ๕ อย่าง พึงละธรรม ๕ อยา่ ง
และพึงยงั คุณธรรม ๕ ให้เจรญิ ย่ิง ๆ ข้นึ ,
๔) ภิกษผุ ลู้ ว่ งกเิ ลส เครื่องข้อง ๕ อยา่ งไดแ้ ลว้
เราเรียกว่า ผู้ขา้ มโอฆะได้.
๕) ภกิ ษุ เธอจงเพ่งและอยา่ ประมาท, จิตของเธออย่า
หมนุ ไปในกามคุณ, เธออย่าเปน็ ผูป้ ระมาทกลนื กนิ
ก้อนแห่งโลหะ, เธออยา่ เป็นผู้อนั กรรมแผดเผาอยู่
คร่าครวญวา่ " นีท้ กุ ข์. "
๖) ฌานยอ่ มไม่มีแกบ่ ุคคลผู้ไมม่ ีปญั ญา,
ปัญญาย่อมไม่มแี กผ่ ไู้ มม่ ีฌาน, ฌานและปัญญายอ่ มมใี นบุคคลใด,
บุคคลนัน้ แล ต้ังอยู่แล้วในท่ใี กลพ้ ระนพิ พาน.
๗) ความยินดมี ิใชข่ องมอี ยู่แหง่ มนษุ ย์ ย่อมมีแก่ภกิ ษผุ ูเ้ ข้าไปแลว้ สู่เรือนว่าง
ผมู้ จี ติ สงบแลว้ ผเู้ ห็นแจง้ ธรรมอยู่โดยชอบ.
๘) ภิกษุพจิ ารณาอยู่ ซง่ึ ความเกิดขนึ้ และความเสอื่ มไปแหง่
ขนั ธท์ งั้ หลายโดยอาการใด ๆ , เธอย่อมได้ปีติและ
ปราโมทย์โดยอาการน้นั ๆ , การไดป้ ตี แิ ละปราโมทย์
น้ัน เปน็ ธรรมอันไมต่ ายของผู้รแู้ จง้ ท้ังหลาย, ธรรม
นี้ คือความคุ้มครองซงึ่ อินทรยี ์ ๑ ความสนั โดษ ๑
ความสารวมในพระปาติโมกข์ ๑ เปน็ เบือ้ งต้นใน
ธรรมอันไมต่ ายน้ัน มอี ยแู่ ก่ภิกษุผู้มปี ญั ญาในพระศาสนานี้.
๙) เธอจงคบมติ รท่ีดงี าม มีอาชีวะอนั หมดจด ไม่เกียจครา้ น.
ภิกษพุ งึ เป็นผู้ประพฤตใิ นปฏิสนั ถาร พึงเป็นผฉู้ ลาดในอาจาระ;
เพราะเหตนุ ั้นเธอจกั เปน็ ผู้มากดว้ ยปราโมทย์ กระทาทสี่ ดุ แหง่ ทุกขไ์ ด้."
๓๐
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
ในกาลจบพระคาถาหนึ่ง ๆ ภกิ ษุรอ้ ยหนึ่ง ๆ บรรลพุ ระอรหัตพรอ้ มดว้ ยปฏิสมั ภิทาทงั้ หลาย
ในทแ่ี ห่งตนนั่งแล้ว ๆ น่นั แล เหาะขนึ้ ไปส่เู วหาสแลว้ ภิกษเุ หลา่ น้นั แม้ทง้ั หมด กา้ วล่วงทาง
กนั ดาร ๑๒๐ โยชน์ทางอากาศนน่ั แล ชมเชยพระสรรี ะซึง่ มสี ดี จุ ทองของพระตถาคตเจา้ ถวาย
บงั คมพระบาทแล้ว ดงั นแ้ี ล.
เรือ่ งสมั พหลุ ภกิ ษุ จบ.
๓๑
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
๘) เรอ่ื งความเกดิ ขึ้นของนางกาลียกั ษิณี[๔]
ข้อความเบ้ืองต้น
พระศาสดา เม่อื ประทับอยใู่ นพระเชตวัน ทรงปรารภหญิงหมนั คนใดคนหนง่ึ ตรัสพระธรรม
เทศนานวี้ า่ " น หิ เวเรน เวรานิ"เปน็ ต้น.
มารดาหาภรรยาให้บตุ ร
ดงั ได้สดับมา บตุ รกฎุ มุ พคี นหนึ่ง เมอ่ื บิดาทากาละแลว้ ทาการงานท้งั ปวง ท้ังท่ีนา ทัง้ ที่บ้าน
ดว้ ยตนเอง ปฏิบัติมารดาอยู่. ตอ่ มามารดาไดบ้ อกแกเ่ ขาวา่ " พ่อ แมจ่ ักนานางกมุ ารกิ ามาใหเ้ จา้ . "
บุ. แม่ อยา่ พูดอยา่ งนเี้ ลย, ฉันจกั ปฏิบตั แิ ม่ไปจนตลอดชีวิต.
ม. พ่อ เจา้ คนเดียวทาการงานอยู่ ท้ังที่นาและท่บี ้าน, เพราะเหตนุ นั้ แม่จงึ ไม่มีความสบายใจ
เลย, แม่จักนานางกุมารกิ ามาให้เจา้ .
เขาแมห้ า้ ม (มารดา) หลายครัง้ แลว้ ได้นง่ิ เสีย. มารดานัน้ ออกจากเรือน เพือ่ จะไปส่ตู ระกลู
แหง่ หนึง่ . ความหวังดขี องแม่, ความวติ กของภรรยาหลวง
ไดอ้ ยา่ งเสียหลายอยา่ ง ความระแวงก่อกรรมในที่สดุ
ลาดบั นนั้ บตุ รถามมารดาวา่ " แมจ่ ะไปตระกูลไหน ?" เมือ่ มารดาบอกว่า " จะไปตระกูลชอ่ื
โน้น" ดงั นแี้ ล้ว หา้ มการท่ีจะไปตระกูลน้ันเสียแล้ว บอกตระกูลทตี่ นชอบใจให้. มารดาได้ไป
ตระกลู น้ันหมนั้ นางกมุ าริกาไว้แล้ว กาหนดวนั (แต่งงาน) นานางกุมารกิ าคนน้นั มา ไดท้ าไวใ้ น
เรือนของบตุ ร. นางกมุ ารกิ าน้นั ไดเ้ ป็นหญิงหมนั .ทีน้ัน มารดาจงึ พูดกะบตุ รว่า " พ่อ เจา้ ใหแ้ มน่ า
นางกมุ าริกามาตามชอบใจของเจา้ แลว้ บดั น้ี นางกมุ าริกานั้นเป็นหมนั , กธ็ รรมดาตระกลู ทไี่ ม่มี
บตุ รยอ่ มฉิบหาย, ประเพณยี ่อมไม่สืบเนอ่ื งไป, เพราะฉะนัน้ แมจ่ ักนานางกมุ ารกิ าคนอ่นื มา (ให้
เจา้ )" แมบ้ ตุ รนั้นกลา่ วหา้ มอยวู่ า่ " อยา่ เลย แม่" ดังนี้ กย็ งั ได้กลา่ ว (อยา่ งน้นั ) บอ่ ย ๆ. หญิงหมนั
ได้ยินคาน้ัน จึงคดิ วา่ " ธรรมดาบุตร ยอ่ มไมอ่ าจผืนคามารดาบิดาไปได้, บัดน้ี แม่ผวั คดิ จะนา
หญิงอ่นื ผไู้ มเ่ ปน็ หมนั มาแลว้ ก็จักใช้เราอยา่ งทาสี, ถา้ อย่างไรเราพึงนานางกุมารกิ าคนหนึง่ มา
เสียเอง" ดงั นีแ้ ลว้ จึงไปยังตระกลู แห่งหนึ่ง ขอนางกมุ าริกา เพ่ือประโยชนแ์ กส่ ามี, ถูกพวกชนใน
ตระกลู นน้ั ห้ามว่า " หล่อนพดู อะไรเชน่ น้ัน" ดงั นแี้ ลว้ จงึ ออ้ นวอนว่า " ฉนั เป็นหมนั ตระกลู ทีไ่ ม่
มบี ตุ ร ย่อมฉิบหาย บุตรขี องทา่ นได้บตุ รแล้ว จกั ได้เป็นเจ้าของสมบตั ิ, ขอทา่ นโปรดยกบุตรีน้ัน
ใหแ้ ก่สามขี องฉนั เถดิ " ดังน้แี ล้ว ยังตระกลู นัน้ ใหย้ อมรับแล้ว จงึ นามาไว้ในเรอื นของสามี.
๓๒
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
ตอ่ มา หญงิ หมนั น้นั ได้มคี วามปรวิ ติ กวา่ " ถา้ นางคนนจี้ กั ไดบ้ ุตรหรอื บตุ รีไซร้ จักเป็น
เจ้าของสมบัตแิ ตผ่ ูเ้ ดยี ว, ควรเราจะทานางอยา่ ให้ได้ทารกเลย. "
ความไรเ้ ดียงสา ความอ่อนตอ่ โลก ขาดความฉลาดเฉลียวใจ
เม่ือไร้สติปัญญาที่จะป้องกันตนเอง จงึ ต้องตายในทีส่ ุด
เมยี หลวงปรงุ ยาทาลายครรภเ์ มียนอ้ ย
ลาดบั นั้น หญิงหมันจึงพดู กะนางน้ันวา่ " ครรภ์ตั้งขึ้นในท้องหลอ่ นเม่อื ใด ขอให้หลอ่ นบอก
แก่ฉนั เม่ือนั้น. " นางน้ันรบั ว่า " จะ้ "เมอื่ ครรภ์ตั้งแล้ว ไดบ้ อกแก่หญิงหมันนน้ั . ส่วนหญงิ หมัน
น้ันแลใหข้ า้ วต้มและขา้ วสวยแก่นางนัน้ เป็นนิตย์. ภายหลงั นางไดใ้ หย้ าสาหรบั ทาครรภใ์ หต้ ก
ปนกบั อาหารแก่นางน้นั . ครรภ์กต็ ก [แท้ง]. เมอื่ ครรภ์ตง้ั แล้วเปน็ ครง้ั ที่ ๒ นางก็ไดบ้ อกแก่หญงิ
หมันนนั้ . แม้หญงิ หมนั กไ็ ดท้ าครรภใ์ หต้ ก ดว้ ยอบุ ายอยา่ งน้นั นน่ั แล เป็นครง้ั ที่ ๒.
ลาดับนัน้ พวกหญิงทค่ี ุ้นเคยกนั ไดถ้ ามนางน้ันวา่ " หญิงรว่ มสามีทาอันตรายหล่อนบ้าง
หรอื ไม่ ? นางแจ้งความนั้นแล้ว ถูกหญงิ เหลา่ น้นั กล่าววา่ " หญงิ อันธพาล เหตุไรหลอ่ นจงึ ไดท้ า
อย่างนัน้ เล่า ?หญิงหมนั นี้ ไดป้ ระกอบยาสาหรบั ทาครรภใ์ หต้ กให้แก่หล่อน เพราะกลวั หลอ่ นจะ
เป็นใหญ่, เพราะฉะนน้ั ครรภ์ของหลอ่ นจงึ ตก, หล่อนอยา่ ได้ทาอยา่ งนอ้ี ีก. " ในคร้ังที่ ๓ นางจึง
มไิ ด้บอก. ต่อมา [ฝา่ ย]หญงิ หมนั เหน็ ท้องของนางน้ันแลว้ จงึ กล่าววา่ " เหตไุ ร ? หล่อนจึงไม่
บอกความที่ครรภ์ตง้ั แก่ฉนั " เมอ่ื นางน้ันกล่าวว่า " หล่อนนาฉนั มาแลว้ ทาครรภใ์ ห้ตกไปเสยี ถงึ
๒ คร้ังแล้ว, ฉนั จะบอกแก่หลอ่ นทาไม ?" จงึ คิดว่า " บัดนี้ เราฉบิ หายแล้ว" คอยแลดคู วาม
ประมาทของนางกมุ ารกิ าน้ันอยู่, เมื่อครรภ์แก่เตม็ ทแ่ี ลว้ , จงึ ได้ช่อง ได้ประกอบยาให้แลว้
ครรภไ์ มอ่ าจตก เพราะครรภ์แก่ จึงนอนขวาง [ทวาร]. เวทนากลา้ แขง็ ขนึ้ . นางถึงความสิ้นชวี ิต.
จิตผูกพยาบาทกอ่ นตาย ผูกเวรกันไปหลายชาติ
เมยี นอ้ ย เปน็ แมแ่ มว – แม่เนอื้ – นางยกั ษิณี (บริวารท้าวเวสสวัณ)
เมียหลวง เป็นแมไ่ ก่ – แม่เสอื เหลือง – กุลธิดา เมืองสาวัตถี
นางตง้ั ความปรารถนาวา่ " เราถูกมันใหฉ้ ิบหายแลว้ , มันเองนาเรามา ทาทารกใหฉ้ บิ หายถึง
๓ คนแล้ว, บดั น้ี เราเองก็จะฉบิ หาย,บัดน้ี เราจุติจากอัตภาพน้ี พึงเกิดเปน็ นางยักษิณี อาจเคีย้ วกนิ
ทารกของมนั เถิด" ดังนี้แลว้ ตายไปเกดิ เปน็ แมแ่ มวในเรอื นนั้นเอง. ฝ่ายสามี จับหญิงหมันแล้ว
๓๓
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
กล่าววา่ " เจ้าไดท้ าการตดั ตระกลู ของเราใหข้ าดสูญ" ดังน้ีแลว้ ทุบดว้ ยอวัยวะทงั้ หลายมศี อก
และเข่าเปน็ ตน้ ใหบ้ อบช้าแลว้ . หญงิ หมันนั้นตายเพราะความเจบ็ นั้นแล แล้วได้เกิดเปน็
แมไ่ กใ่ นเรือนน้ันเหมือนกนั .
ผลัดกันสงั หารคนละชาตดิ ้วยอานาจผูกเวร
จาเนียรกาลไม่นาน แม่ไก่ไดต้ กฟองหลายฟอง. แม่แมวมากนิ ฟองไก่เหล่านั้นเสยี . ถึงครัง้ ที่
๒ ครัง้ ท่ี ๓ มนั กไ็ ด้กนิ เสียเหมอื นกัน.แมไ่ กท่ าความปรารถนาว่า " มนั กินฟองของเราถงึ ๓ คร้งั
แล้ว เดีย๋ วน้ีมนั ก็อยากกินตัวเราด้วย. เด๋ยี วน้ี เราจตุ ิจากอัตภาพน้ีแล้ว พึงได้กินมนั กับลกู ของมนั "
ดังน้ีแล้ว จตุ จิ ากอตั ภาพนั้น ไดเ้ กดิ เปน็ แมเ่ สอื เหลือง.ฝา่ ยแม่แมว ได้เกดิ เปน็ แม่เนื้อ.
ในเวลาแม่เนอื้ นนั้ คลอดลูกแล้ว ๆแม่เสือเหลอื ง กไ็ ด้มากินลกู ท้งั หลายเสียถงึ ๓ ครัง้ .
เมอื่ เวลาจะตายแม่เน้อื ทาความปรารถนาวา่ " พวกลูกของเรา แมเ่ สือเหลืองตวั นี้กินเสยี ถงึ ๓ ครัง้
แล้ว เดี๋ยวนม้ี นั จักกินตัวเราด้วย. เดี๋ยวนเ้ี ราจตุ ิจากอตั ภาพนแี้ ล้ว พึงไดก้ นิ มนั กับลกู ของมนั เถดิ "
ดังนแี้ ล้ว ไดต้ ายไปเกดิ เป็นนางยักษิณี. ฝา่ ยแมเ่ สอื เหลอื ง จตุ จิ ากอัตภาพนนั้ แลว้ ได้เกิดเป็น
กลุ ธดิ า ในเมอื งสาวัตถี. นางถงึ ความเจรญิ แล้ว ได้ไปส่ตู ระกลู สามใี นบ้านริมประตู [เมอื ง].
ในกาลต่อมา นางได้คลอดบตุ รคนหนง่ึ . นางยักษิณีจาแลงตวั เปน็ หญิงสหายทีร่ ักของเขามาแลว้
ถามวา่ " หญงิ สหายของฉันอยู่ท่ีไหน ?"
พวกชาวบา้ นได้บอกวา่ " เขาคลอดบุตรอยู่ภายในหอ้ ง. "
นางยกั ษณิ ีฟังคานน้ั แสร้งพูดว่า " หญิงสหายของฉันคลอดลูกเปน็ ชายหรอื หญงิ หนอ, ฉนั จกั ดู
เด็กนน้ั " ดังน้แี ล้วเขา้ ไปทาเปน็ แลดูอยู่ จับทารกกินแลว้ ก็ไป. ถงึ ในหนที่ ๒ กไ็ ด้กินเสีย
เหมอื นกนั . ในหนที่ ๓นางกุลธิดามคี รรภแ์ ก่ เรยี กสามมี าแลว้ บอกวา่
" นาย นางยักษณิ ีตนหนง่ึ กนิ บุตรของฉันเสยี ในทน่ี ี้ ๒ คนแล้วไป, เดีย๋ วนี้ ฉันจกั ไปสเู่ รอื นแห่ง
ตระกูลของฉนั คลอดบตุ ร" ดงั น้ีแล้ว ไปสเู่ รอื นแหง่ ตระกูลคลอด[บุตรท่ีน่ัน].
ในกาลนั้น นางยักษิณนี ้ันถึงคราวส่งนา้ . ด้วยวา่ นางยกั ษณิ ที ัง้ หลายตอ้ งตกั นา้ จากสระอโนดาต
ทูนบนศรี ษะมา เพื่อทา้ วเวสสวณั ตามวาระ ต่อล่วง ๔ เดอื นบา้ ง ๕ เดอื นบ้างจึงพ้น (จากเวร)
ได.้ นางยกั ษิณีเหลา่ อืน่ มีกายบอบชา้ ถึงความสิน้ ชีวิตบ้างก็มี.ส่วนนางยกั ษณิ ีนนั้ พอพ้นจากเวร
ส่งน้าแลว้ เทา่ นน้ั ก็รบี ไปสู่เรือนน้ันถามว่า " หญิงสหายของฉนั อยู่ท่ไี หน ?"
พวกชาวบา้ นบอกว่า " ทา่ นจักพบเขาทไี่ หน ? นางยกั ษณิ ตี นหน่งึ กินทารกของเขาทค่ี ลอดในที่นี้
,เพราะฉะน้ัน เขาจึงไปสู่เรือนแหง่ ตระกลู . " นางยักษิณนี น้ั คิดวา่ " เขาไปในทีไ่ หน ๆ กต็ ามเถิด
จักไมพ่ น้ เราได้" ดังนี้แลว้ อันกาลังเวรใหอ้ ุตสาหะแลว้ วิง่ บ่ายหนา้ ไปสเู่ มือง. ฝา่ ยนางกลุ ธิดา
๓๔
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
ในวันเปน็ ทร่ี บั ช่ือใหท้ ารกนน้ั อาบน้า ตง้ั ช่ือแลว้ กลา่ วกะสามวี า่ " นาย เดยี๋ วน้ี เราพากนั ไปสู่
เรือนของเราเถิด" อ้มุ บุตรไปกับสามี ตามทางอนั ตัดไปในทา่ มกลางวหิ าร มอบบุตรให้สามแี ลว้
ลงอาบน้าในสระโบกขรณขี ้างวหิ ารแลว้ ขน้ึ มารับเอาบุตร, เม่อื สามีกาลงั อาบน้าอยู่, ยนื ใหบ้ ุตร
ดมื่ นมแลเหน็ นางยกั ษณิ ีมาอยู่ จาได้แล้ว ร้องด้วยเสียงอนั ดังวา่ " นาย มาเร็ว ๆเถดิ น้นี างยักษณิ ี
ตนนัน้ " ดงั น้แี ลว้ ไมอ่ าจยืนรออยู่จนสามีน้ันมาไดว้ ิง่ กลับบ่ายหนา้ ไปส่ภู ายในวหิ ารแลว้ .
ได้พระพุทธเจ้าเป็นท่ีพ่ึง จึงปลดเปลอ้ื งความผกู เวร
เวรไม่ระงับดว้ ยเวร แต่ระงบั ไดด้ ้วยไม่ผกู เวร
ในสมัยนน้ั พระศาสดา ทรงแสดงธรรมอยใู่ นท่ามกลางบริษทั .นางกลุ ธดิ านัน้ ใหบ้ ุตรนอน
ลงเคียงหลงั พระบาทแหง่ พระตถาคตเจา้ แลว้ กราบทลู วา่ " บุตรคนนี้ ขา้ พระองค์ถวายแด่
พระองค์แลว้ ขอพระองคป์ ระทานชีวติ แก่บุตรขา้ พระองค์เถิด. "
สุมนเทพ ผู้สิงอยทู่ ่ีซุ้มประตไู ม่ยอมให้นางยกั ษิณเี ข้าไปขา้ งใน. พระศาสดารบั สัง่ เรยี ก
พระอานนทเถระมาแล้ว ตรสั วา่ " อานนท์ เธอจงไปเรียกนางยักษิณีน้นั มา. "
พระเถระเรียกนางยักษณิ นี นั้ มาแลว้ .
นางกลุ ธิดา กราบทลู วา่ " ข้าแต่พระองค์ผูเ้ จรญิ นางยักษณิ นี ้ีมา. "พระศาสดาตรสั วา่ " นางยักษณิ ี
จงมาเถิด, เจ้าอย่าได้รอ้ งไปเลย" ดังน้แี ลว้ ได้ตรัสกะ
นางยกั ษณิ ผี ูม้ ายนื อยแู่ ล้วว่า " เหตุไร ? เจา้ จงึ ทาอยา่ งน้ัน กถ็ า้ พวกเจา้ ไม่มาส่เู ฉพาะหนา้
พระพทุ ธเจา้ ผูเ้ ชน่ เราแลว้ เวรของพวกเจา้ จกั ไดเ้ ปน็ กรรมตั้งอยชู่ วั่ กัลป์ เหมือนเวรของงูกบั
พงั พอน, ของหมกี ับไมส้ ะครอ้ และของกากับนกเค้า,เหตุไฉน พวกเจ้าจงึ ทาเวรและเวรตอบแก่
กัน ? เพราะเวรย่อมระงับได้ด้วยความไมม่ ีเวร หาระงบั ได้ด้วยเวรไม่"ดังนี้แลว้ ไดต้ รสั พระคาถา
นว้ี ่า การจองเวรของค่เู วร
๔. น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจน งกู บั พงั พอน (นกุลชาดก)
อเวรน จ สมมฺ นตฺ ิ เอส ธมโฺ ม สนนตฺ โน. หมีกับไม้สะคร้อ (ผันทชาดก)
" ในกาลไหน ๆ เวรทง้ั หลายในโลกนี้ ย่อม กากับนกเค้า (อลุ กู ชาดก)
พญานาคกบั ครุฑ (อุรคชาดก)
ไม่ระงบั ด้วยเวรเลย ก็แต่ย่อมระงับได้ด้วยความ
ไม่มเี วร, ธรรมนเ้ี ป็นของเก่า."
ในกาลจบพระคาถา นางยกั ษิณีน้นั ตงั้ อยใู่ นพระโสดาปัตตผิ ลแลว้ . เทศนาได้เปน็ กถา
๓๕
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน
มปี ระโยชน์ แมแ้ กบ่ รษิ ัทผู้ประชมุ กนั แล้ว.
นางยกั ษิณรี ฝู้ นมากฝนน้อย
พระศาสดา ไดต้ รสั กะหญิงนนั้ ว่า " เจา้ จงใหบ้ ตุ รของเจา้ แก่นางยกั ษณิ เี ถดิ ."
ญ. ขา้ แต่พระองคผ์ เู้ จรญิ ข้าพระองค์กลวั .
ศ. เจา้ อย่ากลัวเลย, อันตรายย่อมไมม่ ีแกเ่ จา้ เพราะอาศัยนางยักษิณีนี้.
นางไดใ้ ห้บุตรแก่นางยกั ษณิ ีนน้ั แลว้ . นางยกั ษณิ ีนั้นอ้มุ ทารกน้นั จบู กอดแล้ว คืนใหแ้ กม่ ารดา
อีก ก็เรม่ิ ร้องไห้.
ลาดบั นัน้ พระศาสดา ตรสั ถามนางยกั ษณิ นี ้นั ว่า " อะไรน่ัน ?"
นางยกั ษณิ ีนนั้ กราบทลู ว่า " ข้าแตพ่ ระองค์ผู้เจรญิ เมอื่ ก่อนข้าพระองค์ แม้สาเร็จการเลย้ี งชพี
ดว้ ยไม่เลอื กทาง ยงั ไม่ไดอ้ าหารพอเต็มท้อง, บัดน้ี ขา้ พระองคจ์ ะเลี้ยงชพี ไดอ้ ยา่ งไร."
สถานท่ีไม่สัปปายะยอ่ มถกู รบกวนร่าไป, ๑) โรงสาก - เสียงสาก,
๒) ขา้ งตมุ่ น้า - นา้ เสีย, ๓) ริมเตาไฟ - ฝงู สนุ ขั , ๔) ริมชายคา – เดก็ ทาสกปรก,
๕) รมิ กองหยากเยอ่ื - ขยะมูลฝอย, ๖) ริมประตบู า้ น – เสยี งเดก็ เลน่ พนัน
บ้านไมม่ รี ้ัวรอบขอบชดิ หรอื ขอบเขตที่แนน่ อนและระบบสาธารณสุขท่ไี มด่ ี
สภาพแวดล้อมของชมุ ชนโดยรอบ รวมท้ังผู้คนล้วนมีผลท้งั สนิ้
ลาดับนนั้ พระศาสดา ตรสั ปลอบนางยักษณิ นี น้ั ว่า " เจา้ อยา่ วิตกเลย" ดงั นแี้ ลว้ ตรสั กะหญงิ
นั้นวา่ " เจา้ จงนานางยักษณิ ีไปให้อยู่ในเรอื นของตนแลว้ จงปฏบิ ตั ิดว้ ยข้าวตม้ และข้าวสวยอยา่ ง
ดี. " หญิงน้ันนานางยักษิณไี ปแลว้ ให้พักอยู่ในโรงกระเดื่อง ไดป้ ฏบิ ัติดว้ ยขา้ วตม้ และขา้ วสวย
อย่างดแี ล้ว. ในเวลาซ้อมข้าวเปลือก สากปรากฏแกน่ างยักษณิ ีนัน้ ดุจตอ่ ยศรี ษะ. เขาจงึ เรยี กนาง
กุลธิดาผู้สหายมาแลว้ พูดวา่ " ฉันจกั ไม่อาจอยู่ในทนี่ ไี้ ด้ ขอท่านจงไดฉ้ นั พกั อยใู่ นที่อน่ื เถิด" แม้
อันหญงิ สหายน้ันให้พักอยใู่ นทเี่ หล่าน้ี คือในโรงสาก ขา้ งตุ่มน้า รมิ เตาไฟ ริมชายคา รมิ กอง
หยากเยอ่ื รมิ ประตูบ้าน, (นาง) กก็ ลา่ วว่า" ในโรงสากนี้ สากยอ่ มปรากฏดุจต่อยศีรษะฉนั อยู่, ที่
ขา้ งตุม่ นา้ น้ี พวกเด็กย่อมราดนา้ เป็นเดนลงไป, ท่รี ิมเตาไฟนี้ ฝงู สนุ ขั ย่อมมานอน, ที่รมิ ชายคานี้
พวกเดก็ ย่อมทาสกปรก, ทีร่ ิมกองหยากเยื่อน้ี ชนท้ังหลายย่อมเทหยากเย่ือ, ทร่ี ิมประตูบ้านนี้ เด็ก
พวกชาวบ้าน ย่อมเล่นการพนนั กนั ด้วยคะแนน" ดงั นแี้ ลว้ ได้ห้ามทที่ ้ังปวงน้ันเสีย.
เมอื่ ตา่ งฝา่ ยตา่ งช่วยเหลอื เกื้อกูลกัน มิตรภาพความคิดตอบแทนกันก็เกดิ
๓๖
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
คร้งั น้นั หญิงสหาย จึงใหน้ างยักษณิ ีนั้นพักอยใู่ นท่ีอันสงัดภายนอกบา้ นแล้ว นาโภชนะมี
ข้าวต้มและขา้ วสวยเปน็ ตน้ อยา่ งดีไปเพอื่ นางยกั ษณิ นี ั้น แล้วปฏิบตั ใิ นทน่ี ้ัน. นางยักษิณนี น้ั
คดิ อย่างนีว้ า่ " เดยี๋ วนีห้ ญิงสหายของเรานี้ มีอปุ การะแก่เรามาก, เอาเถอะเราจักทาความแทน
คณุ สักอย่างหน่ึง" ดงั นแ้ี ล้ว ได้บอกแกห่ ญิงสหายว่า " ในปีนจ้ี กั มีฝนดี, ท่านจงทาข้าวกล้าในท่ี
ดอนเถิด, ในปีนฝ้ี นจกั แล้ง ท่านจงทาข้าวกลา้ ในที่ลุ่มเถดิ . ข้าวกลา้ อันพวกชนทีเ่ หลือทาแลว้
ยอ่ มเสยี หายด้วยนา้ มากเกนิ ไปบ้าง ด้วยน้านอ้ ยบ้าง. สว่ นขา้ วกลา้ ของนางกลุ ธดิ านนั้ ยอ่ ม
สมบูรณเ์ หลือเกิน.
นางยักษิณเี ร่ิมตัง้ สลากภตั
ครัง้ น้นั พวกชนท่เี หลอื เหล่านน้ั พากันถามนางวา่ " แม่ ข้าวกลา้ ที่หลอ่ นทาแล้ว ยอ่ มไม่
เสียหายด้วยน้ามากเกนิ ไป ยอ่ มไม่เสยี หายดว้ ยนา้ นอ้ ยไป, หล่อนรู้ความทฝ่ี นดแี ละฝนแลง้ แล้ว
จงึ ทาการงานหรือ ? ข้อน้ีเป็นอยา่ งไรหนอแล ?" นางบอกว่า " นางยักษณิ ี ผเู้ ปน็ หญิงสหายของ
ฉันบอกความท่ีฝนดีและฝนแล้งแก่ฉัน, ฉนั ทาข้าวกลา้ ทั้งหลายในท่ดี อนและทลี่ ุ่ม ตามคาของ
ยกั ษณิ ีนนั้ , เหตนุ น้ั ขา้ วกลา้ ของฉันจงึ สมบรู ณ์ดี,พวกท่านไมเ่ ห็นโภชนะมีขา้ วตม้ และข้าวสวย
เปน็ ตน้ ทีฉ่ ันนาไปจากเรอื นเนอื งนติ ยห์ รือ ? ส่ิงของเหล่านั้น ฉนั นาไปใหน้ างยักษณิ นี ั้น,
แมพ้ วกท่านกจ็ งนาโภชนะมีข้าวตม้ และข้าวสวยเปน็ ตน้ อยา่ งดี ไปใหน้ างยกั ษณิ ีบ้างซิ,
นางยักษิณีกจ็ กั แลดูการงานของพวกท่านบ้าง. "
ผเู้ กือ้ กูลต่อมหาชน ย่อมเป็นท่ีรักและทางมาแหง่ ลาภสกั การะ
ครง้ั น้นั พวกชนชาวเมอื งทัง้ ส้นิ พากันทาสกั การะแกน่ างยกั ษณิ ีน้ันแล้ว. จาเดมิ แตน่ น้ั มา
นางยกั ษณิ ีแมน้ ้ัน แลดูการงานท้ังหลายของชนท้ังปวงอยู่ ได้เป็นผู้ถงึ ลาภอนั เลศิ [และ] มบี ริวาร
มากแลว้ .
ในกาลต่อมา นางยักษณิ ีน้ันเริม่ ตั้งสลากภตั ๘ ทแี่ ล้ว. สลากภตั นั้น ชนทั้งหลายยงั ถวายอย่จู น
กาลทกุ วนั นแ้ี ล.
เรือ่ งความเกดิ ขน้ึ ของนางกาลียักษิณี จบ.
๓๗
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
๙) เรอื่ งกุมาริกากินไข่ไก่[๒๑๕]
ข้อความเบ้ืองตน้
พระศาสดา เม่ือประทับอย่ใู นพระเชตวัน ทรงปรารภกุมารกิ าผู้กินไข่ไกค่ นหนึ่ง ตรัส
พระธรรมเทศนานวี้ า่ "ปรทุกขฺ ปู ธาเนน"เปน็ ต้น.
แมไ่ ก่ผูกอาฆาตในนางกุมารกิ า
ไดย้ ินวา่ บ้านหนึง่ ช่อื ปัณฑรุ ะ อยูไ่ มไ่ กลเมืองสาวตั ถ,ี ในบา้ นนนั้ มชี าวประมงอยู่คนหนง่ึ .
เขาเม่อื ไปยงั เมืองสาวตั ถี เหน็ ไข่เต่ารมิ ฝ่งั แม่น้าอจริ วดีแลว้ ถอื เอาไข่เตา่ เหลา่ นน้ั ไปสู่เมือง
สาวัตถใี ห้ต้มในเรือนหลงั หนึง่ แล้วเค้ียวกิน ได้ให้ไข่ฟองหนึง่ แก่กุมาริกาในเรอื นนน้ั .
นางเค้ียวกินไขเ่ ต่านนั้ แลว้ จาเดิมแตน่ น้ั ไมป่ รารถนาซึง่ ของควรเค้ยี วอย่างอนื่ .
ครง้ั นน้ั มารดาของนาง ถือเอาไขฟ่ องหน่ึงจากท่แี ม่ไกไ่ ขแ่ ล้ว ได้ให้ (แกน่ าง). นางเคี้ยวกนิ ไข่
ฟองนัน้ แล้ว อันความอยากในรสผูกแลว้ จาเดมิ แตน่ นั้ กถ็ อื เอาไข่ไกม่ าเคี้ยวกินเองทีเดียว.
ในเวลาตกฟอง แม่ไก่เหน็ กุมารกิ านนั้ ถือเอาไขข่ องตนเคีย้ วกนิ อยู่ ถกู กมุ ารกิ านน้ั เบียดเบยี นแลว้
ผูกอาฆาต ตง้ั ความปรารถนาวา่ " บดั น้เี ราเคลอ่ื นจากอัตภาพนแี้ ลว้ พึงเกิดเปน็ ยกั ษณิ ี เป็นผู้
สามารถจะเคยี้ วกนิ ทารกของเจา้ " ทากาละแล้วบงั เกดิ เปน็ นางแมวในเรอื นนั้นน่ันเอง.
การจองเวรกันให้เกิดทกุ ข์
แมน้ างกุมาริกานอกนี้ ทากาละแลว้ บงั เกดิ เป็นแมไ่ กใ่ นเรือนนน้ั เหมอื นกนั . แม่ไก่ตกฟอง
ทงั้ หลายแลว้ . นางแมวมาเคีย้ วกินฟองไข่เหลา่ น้ันแล้ว แมค้ รงั้ ท่ี ๒ แม้ครั้งท่ี ๓ กเ็ คย้ี วกนิ แล้ว
เหมอื นกัน. แมไ่ ก่ ทาความปรารถนาว่า " เจา้ เคย้ี วกินฟองไข่ทั้งหลายของเราตลอด ๓ คราว
บัดนี้ ยงั ปรารถนาจะเคยี้ วกินเรา, เราเคล่อื นจากอตั ภาพนีแ้ ลว้ พงึ ได้เพอื่ เค้ยี วกนิ เจ้าพรอ้ มท้งั ลูก"
เคลื่อนจากอตั ภาพนัน้ แล้ว บังเกิดเปน็ นางเสอื เหลือง.
ฝา่ ยนางแมวนอกน้ี ทากาละแลว้ บงั เกดิ เป็นนางเนอื้ . ในเวลานางเนอ้ื นนั้ คลอดแล้ว นางเสอื
เหลอื งกม็ าเค้ยี วกนิ นางเนื้อนนั้ พรอ้ มดว้ ยลูกทง้ั หลาย. สองสัตว์นั้นเค้ยี วกินอยอู่ ย่างนี้ ยังทุกข์ให้
เกดิ ขนึ้ แกก่ ันและกันใน ๕๐๐ อัตภาพ ในท่ีสุดนางหน่งึ เกดิ เป็นยกั ษณิ ี, นางหนึ่งเกดิ เป็น
กุลธิดาในเมืองสาวตั ถี.
เบ้อื งหน้าแตน่ ี้ พึงทราบโดยนัยที่กลา่ วไวแ้ ล้วในพระคาถาว่า" น หิ เวเรน เวรานิ" เป็นอาทิ
น่ันแล.
แตใ่ นเร่อื งน้ี พระศาสดาตรสั ว่า " ก็เวรยอ่ มระงบั ดว้ ยความไม่มเี วร, ยอ่ มไม่ระงับดว้ ยเวร, "
ดังนีแ้ ล้ว เม่ือจะทรงแสดงธรรมแกช่ นแมท้ ้ังสองจงึ ตรสั พระคาถาน้ีว่า :-
๓๘
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
๒. ปรทุกฺขปู ธาเนน โย อตตฺ โน สขุ มิจฺฉติ
เวรสสคฺคสสฏโฺ ฐ เวรา โส น ปรมิ ุจจฺ ติ.
" ผู้ใด ย่อมปรารถนาสขุ เพอื่ ตน เพราะก่อทกุ ข์
ในผอู้ ่ืน, ผู้น้นั เป็นผู้ระคนดว้ ยเครอื่ งระคนคอื เวร
ย่อมไม่พน้ จากเวรได้."
ในกาลจบเทศนา นางยักษิณตี งั้ อยู่ในสรณะท้ังหลาย สมาทานศีล ๕พ้นแลว้ จากเวร, ฝา่ ยกุลธดิ า
นอกนี้ต้งั อยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว, เทศนาได้มีประโยชนแ์ มแ้ ก่บคุ คลผูป้ ระชมุ กันแล้ว ดังนแี้ ล.
เรือ่ งกุมาริกากนิ ไขไ่ ก่ จบ.
ความคลา้ ยทแี่ ตกตา่ งของ
๗) เรือ่ งความเกิดขึ้นของนางกาลียักษณิ ี
สาเหตุ เมยี หลวงเปน็ หมนั กลวั เมยี น้อยมลี กู แลว้ จะเปน็ เจ้าของสมบตั คิ นเดยี ว
เมียน้อย เปน็ แมแ่ มว – แมเ่ นื้อ – นางยกั ษิณี (บรวิ ารทา้ วเวสสวัณ)
เมยี หลวง เป็นแม่ไก่ – แม่เสือเหลือง – กลุ ธดิ า เมืองสาวตั ถี
นางยกั ษิณีบรรลุพระโสดาปตั ติผล
๘) เรื่องกมุ ารกิ ากินไข่ไก่
สาเหตุกมุ าริกาตดิ ในรสไขไ่ ก่ แม่ไกผ่ ูกอาฆาตกุมารกิ า
แม่ไก่ เปน็ แม่แมว – แมเ่ น้ือ – นางยักษิณี
กมุ าริกา เป็นแม่ไก่ – แม่เสือเหลอื ง – กลุ ธิดา เมืองสาวัตถี
จองเวรกนั และกัน ๕๐๐ ชาติ ชาติสดุ ท้าย
นางยักษิณตี งั้ อยใู่ นสรณะท้ังหลาย สมาทานศีล ๕ พน้ แล้วจากเวร
ฝา่ ยกุลธดิ านอกน้ตี ั้งอยู่ในโสดาปตั ติผล
๓๙
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
๑๐) เร่อื งอุตตราอุบาสิกา[๑๗๖]
ข้อความเบอื้ งต้น
พระศาสดาเมือ่ ประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงทาภตั กจิ ในเรือนของนางอุตตราแลว้
ทรงปรารภอุบาสกิ าชอื่ อุตตรา ตรสั พระธรรมเทศนาน้ีวา่ "อกโฺ กเธน ชเิ น โกธ" เปน็ ต้น
นายปณุ ณะยากจนตอ้ งรับจ้างสมุ นเศรษฐี
อนปุ ุพพกี ถา ในเรอื่ งอุตตราอบุ าสกิ านัน้ ดงั ตอ่ ไปน้ี :-
ไดย้ ินว่า คนขัดสนช่อื ปุณณะ อาศัยสุมนเศรษฐี รบั จา้ งเลี้ยงชีพอยู่ในกรุงราชคฤห์ ในเรือน
(ของเขา ) มีคน ๒ คนเทา่ น้นั คอื ภรรยาของเขาคนหนึ่ง ธดิ าชอ่ื นางอุตตราคนหนึง่ .
ตอ่ มาวนั หนึ่ง พวกราชบุรษุ ทาการโฆษณาในกรงุ ราชคฤห์วา่ " ชาวพระนครพึงเลน่ นักษัตร
กันตลอด ๗ วนั . " สมุ นเศรษฐไี ด้ยนิ คาโฆษณาน้นั แล้ว จงึ เรียกนายปณุ ณะผมู้ าแตเ่ ชา้ ตรกู่ ล่าววา่
" พอ่ ปริชนของฉนั ประสงคจ์ ะเล่นนกั ษตั รกนั , แกจกั เลน่ นักษตั ร (กะเขา) หรือหรือวา่ จักทาการ
รับจ้างเลา่ ?"
นายปุณณะ. นาย ชอ่ื ว่าการเล่นนกั ษตั ร ยอ่ มเปน็ ของพวกท่านผูม้ ีทรัพย์, กใ็ นเรือนของผม
แมข้ า้ วสารจะตม้ ข้าวตม้ เพ่อื รับประทานในวันพรุง่ นีก้ ็ไม่มี. ผมจะต้องการอะไรด้วยนกั ษตั รเล่า
?" ผมไดโ้ คแล้ว ก็จกั ไปไถนา.
สมุ นเศรษฐ.ี ถา้ เชน่ นนั้ แกจงรบั โคไปเถดิ . เขารบั โคตัวทรงกาลงั และไถแลว้ พดู กะภรรยาว่า
" นางผู้เจริญชาวพระนครเลน่ นกั ษตั รกนั , ฉนั ต้องไปทาการรับจา้ ง เพราะความท่ีเราเปน็ คนจน.
วนั นเี้ จา้ พงึ ตม้ ผกั สัก ๒ เทา่ แล้วนาภตั ไปใหเ้ รากอ่ น"แลว้ จงึ ไดไ้ ปนา.
หนา้ ท่ีนายจา้ งให้ลกู จา้ งได้หยุดเท่ียว แต่คนจนทางานไม่มีวนั หยดุ
พระสารบี ตุ รเถระไปสงเคราะหน์ ายปุณณะ
ในกาลน้นั พระสารบี ุตรเถระเข้านโิ รธสมาบตั ติ ลอด ๗ วนั แล้วในวันน้ันออกแลว้ ตรวจดวู า่
" วนั น้ี เราควรจะทาความสงเคราะห์แกใ่ ครหนอแล ?" เห็นนายปณุ ณะ ซง่ึ เข้าไปในขา่ ยคอื ญาณ
ของตนแลว้ จงึ ตรวจดวู ่า " นายปุณณะน้ี มศี รทั ธาหรอื หนอ ? เขาจักอาจทาการสงเคราะหแ์ ก่เรา
หรอื ไม่ ?" ทราบความท่ีเขามีศรัทธา มีความสามารถจะทาการสงเคราะหไ์ ด้ และเขาจะได้รับ
สมบัติใหญเ่ พราะบุญนัน้ เปน็ ปัจจัยแล้ว จงึ ถอื บาตรและจีวรไปยังท่ีไถนาของเขา
ได้ยนื แลดพู ุ่มไมท้ ่รี มิ บอ่ .นายปุณณะเห็นพระเถระแลว้ จงึ วางไถ ไหวพ้ ระเถระด้วยเบญจาง
คประดิษฐ์แล้ว คดิ วา่ " พระเถระคงจักตอ้ งการไมส้ ีฟนั " จงึ ไดท้ าไมส้ ีฟันให้เปน็ กปั ปยิ ะถวาย.
๔๐
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
พระอริยะเจ้าย่อมโปรดผูม้ ศี รัทธาก่อน ผู้ขวนขวายในบุญตอ้ งร้จู ักสังเกต
ลาดับนั้น พระเถระไดน้ าเอาบาตรและผา้ กรองนา้ ออกมาใหเ้ ขาเขาคิดวา่
" พระเถระจกั มคี วามต้องการด้วยน้าด่ืม" จงึ ถอื เอาบาตรและผ้ากรองนา้ นั้นแล้ว ได้กรองนา้ ด่มื
ถวาย.
พระเถระคิดว่า " นายปุณณะน้ี อยเู่ รอื นหลงั ทา้ ยของชนเหล่าอน่ื ,ถ้าเราจกั ไปสู่ประตูเรือน
ของเขา, ภรรยาของนายปณุ ณะนี้จกั ไมไ่ ด้เห็นเรา;เราจกั ต้องอยู่ ณ ทนี่ ้แี หละ จนกว่าภรรยาของ
เขาจกั เดนิ ทางนาภตั มาใหเ้ ขา. " พระเถระได้ยังเวลาใหล้ ว่ งไปเลก็ น้อย ณ ท่นี ัน้ เอง ทราบความที่
ภรรยาของนายปณุ ณะนั้นข้ึนส่ทู างแลว้ จึงเดินมงุ่ หนา้ ไปภายในพระนคร. ภรรยานายปุณณะ
ถวายภตั แกพ่ ระเถระ
มีศรทั ธา มไี ทยธรรม มีเน้ือนาบญุ ให้รีบทาบญุ
นางพบพระเถระในระหวา่ งทางแล้ว คดิ ว่า" บางคราว เมือ่ มีไทยธรรม, เรากไ็ มพ่ บพระผู้เปน็
เจ้า, บางคราว เมอื่ เราพบพระผ้เู ปน็ เจา้ ,ไทยธรรมก็ไมม่ ,ี ก็วนั น้ี เราได้พบพระผเู้ ป็นเจา้ แลว้ ,
ท้งั ไทยธรรมก็มีอยู่; พระผู้เปน็ เจ้า จักทาความอนเุ คราะห์แก่เราหรอื หนอแล"
นางวางภาชนะใส่ภัตลงแลว้ ไหวพ้ ระเถระดว้ ยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว กลา่ ววา่
" ท่านผู้เจรญิ ขอพระผเู้ ป็นเจ้าอย่าคดิ วา่ `ภัตน้ี เศรา้ หมองหรอื ประณีต' จงทาความสงเคราะหแ์ ก่
ทาสของพระผู้เปน็ เจา้ เถดิ . "
พระเถระนอ้ มบาตรเข้าไป เมื่อนางเอามือขา้ งหนง่ึ รองภาชนะ อกี ข้างหนึ่งถวายภัตอยู่,
เมอื่ ถวายไปไดค้ รึง่ หนึง่ จงึ เอามอื ปิดบาตรด้วยพูดว่า" พอแลว้ . "
นางกลา่ วว่า" พระคณุ เจ้า ส่วนเพยี งสว่ นเดยี ว ดฉิ ันไมอ่ าจทาใหเ้ ป็นสองสว่ นได้, พระผู้เป็นเจา้
ไมต่ ้องทาความสงเคราะห์แกท่ าสของพระผู้เป็นเจา้ ในโลกนี้ จงทาความสงเคราะหใ์ นปรโลก
เถดิ , ดิฉนั ประสงค์จะถวายมิให้เหลอื เศษเลย " ดังนีแ้ ล้ว กไ็ ด้ใส่ภัตท้ังหมดลงในบาตรของพระ
เถระแล้วทาความปรารถนาวา่ " ดิฉันพึงเปน็ ผ้มู ีสว่ นแหง่ ธรรมทพ่ี ระผูเ้ ป็นเจา้ เหน็ แล้วนั่น
แหละ."
พระเถระกลา่ ววา่ " จงสาเรจ็ อย่างนนั้ เถดิ " ยนื อยูน่ ัน่ แหละ ทาอนุโมทนาแลว้ ได้นั่งทา
ภัตตกจิ ณ ท่ีสะดวกดว้ ยนา้ แหง่ หน่งึ .
๔๑
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน
ฝ่ายนางกลบั ไปหาข้าวสารหุงเป็นภตั แล้ว. แม้นายปณุ ณะไถท่ไี ดป้ ระมาณครงึ่ กรสี ไม่อาจ
ทนความหวิ ได้ จงึ ปลอ่ ยโค เข้าไปยงั รม่ ไมแ้ หง่ หน่งึ นั่งคอยดูทางอยู่.
ลาดับนนั้ ภรรยาของเขาถอื ภัตเดนิ ไป พอเห็นเขาก็คดิ ว่า " เขาถกู ความหิวบีบคัน้ นั่งคอยดูเรา
อย่แู ล้ว; ถา้ วา่ เขาจักคกุ คามเราว่า `เจา้ ชักช้าเหลอื เกนิ 'แลว้ เอาด้ามปฏกั ฟาดเรา, กรรมที่เราทา
แลว้ จักเป็นของไร้ประโยชน์, เราจักต้องชงิ บอกแกเ่ ขากอ่ นทีเดียว" ดังนี้แลว้ จึงกล่าวอย่างนี้ว่า "
นาย ท่านจงทาจติ ใหผ้ ่องใสสกั วนั หนึ่งเถิด วันนี้,อยา่ ได้ทากรรมทด่ี ิฉันทาแลว้ ใหไ้ ร้ประโยชน์,
ก็ดิฉนั นาภตั มาให้ทา่ นแตเ่ ช้าตรู่ พบพระธรรมเสนาบดใี นระหว่างทาง จงึ ถวายภตั ของทา่ นแก่
พระเถระน้ัน แลว้ ไปหงุ ภัตมาใหม,่ จงทาจติ ให้เล่อื มใสเถดิ นาย. " เขาถามวา่ " เจ้าพดู อะไร ?
นางผู้เจรญิ " ได้สดับเรอื่ งนน้ั ซ้าอกี แลว้ จงึ พดู วา่ " นางผู้เจริญ เจา้ ถวายภตั ของเราแก่พระผเู้ ปน็
เจ้า ทาความดีแลว้ เทียว, เช้าตรู่วันน้ี แม้เราก็ได้ถวายไมส้ ฟี ัน และนา้ บว้ นปากแก่พระผ้เู ป็นเจ้า
แลว้ " มใี จเลื่อมใสเพลดิ เพลินถอ้ ยคานนั้ แล้ว เป็นผมู้ ีกายออ่ นเพลีย เพราะได้ภตั ในเวลาสาย
พาดศีรษะบนตักของภรรยานั้นแล้วก็หลบั ไป.
ทาบญุ กบั พระอริยะเจา้ เขา้ นิโรธสมาบตั ิตลอด ๗ วนั ย่อมสง่ ผลเรว็
ทานของสองสามภี รรยาอานวยผลในวันนั้น
คร้ังนัน้ ท่ีทเี่ ขาไถไวแ้ ต่เช้าตรู่ ได้เป็นทองคาเน้อื สุกท้งั หมด จนกระทั่งฝนุ่ ละอองดิน ต้งั อยู่
งดงามดุจดอกกรรณิกา. เขาต่ืนขน้ึ แลเหน็ แลว้ จึงพูดกะภรรยาว่า " นางผู้เจริญ ที่ท่ฉี นั ไถแลว้ นัน่
ปรากฏแกฉ่ นั เป็นทองคาท้ังหมด, เพราะฉันได้ภตั สายเกินไป ตาจะลายไปกระมังหนอ ?"
แมภ้ รรยาของเขาก็รบั รองวา่ " ท่นี ัน้ กย็ ่อมปรากฏแมแ้ ก่ดฉิ ันอย่างนั้นเหมอื นกนั . "
เขาลกุ ขน้ึ ไปในทีน่ นั้ จับกอ้ นหนึ่งตีที่งอนไถแลว้ ทราบวา่ เปน็ ทองคา จงึ คดิ ว่า
" โอ ทานท่เี ราถวายแก่พระผูเ้ ปน็ เจ้าธรรมเสนาบดแี สดงผลในวันนีเ้ อง, ก็เราไมอ่ าจทจ่ี ะซ่อน
ทรัพย์ประมาณเทา่ น้ไี วใ้ ชส้ อยได้" จงึ เอาทองคาใส่เต็มถาดขา้ วที่ภรรยานามาแลว้ ไดไ้ ปสู่ราช
ตระกูลมโี อกาสอันพระราชาพระราชทานแลว้ จึงเขา้ ไปถวายบังคมพระราชา,
เมื่อพระองคต์ รสั วา่ " อะไร ? พ่อ" จงึ กราบทูลวา่ " ข้าแตส่ มมติเทวราช ท่ที ่ขี ้าพระองคไ์ ถแลว้
วันนที้ ง้ั หมด เปน็ ที่เตม็ ไปด้วยทองคาทงั้ นั้นต้ังอยู่แล้ว,พระองค์ควรจะรบั สัง่ ใหข้ นทองคามาไว้.
"
พระราชา. ท่านเปน็ ใคร ?
นายปุณณะ. ข้าพระองคช์ อ่ื ปณุ ณะ.
๔๒
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
พระราชา. กว็ ันน้ี ทา่ นทาอะไรเลา่ ?
นายปณุ ณะ. เช้าตร่วู ันนี้ ข้าพระองคไ์ ดถ้ วายไมส้ ฟี ันและนา้ บ้วนปากแกพ่ ระธรรมเสนาบดี,
สว่ นภรรยาของขา้ พระองคไ์ ด้ถวายภัตท่ีเขานามาให้ขา้ พระองคแ์ ก่พระธรรมเสนาบดนี ั้เหมือน
กนั .
พระราชา ทรงสดบั คานั้นแล้วตรัสว่า " พอ่ ผเู้ จรญิ ไดย้ นิ วา่ ทานทที่ ่านถวายพระธรรม
เสนาบดี แสดงวบิ ากในวันนี้เอง" แลว้ ตรัสถามวา่ " พ่อ เราจะทาอย่างไร ?"
นายปุณณะ. ขอพระองค์จงส่งเกวยี นไปหลาย ๆ พนั ใหน้ าทองคามาเถิด.
พระราชาทรงสง่ เกวียนทงั้ หลายไปแลว้ . เมอ่ื พวกราชบรุ ษุ พูดวา่ " เป็นของพระราชา" ถือเอา
อยู่, ทองคาทเี ขาถอื เอาแล้ว ๆ ย่อมเป็นดนิ อยา่ งเดมิ พวกเขาไปทูลพระราชา อนั พระองค์ตรสั ถาม
วา่ " กพ็ วกเจ้าพูดวา่ กระไร ? จึงถอื เอา" จึงทูลว่า" พดู วา่ " เปน็ พระราชทรพั ย์ของพระองค์. "
พระราชา หาใช่ทรัพย์ของเราไม่, พวกเจ้าจงไป, จงพดู วา่ `เปน็ ทรัพยข์ องนายปณุ ณะ' ถอื เอา
เถดิ .
พวกเขาทาอยา่ งนนั้ . ทองคาทีเ่ ขาถือแลว้ ๆ ไดเ้ ป็นทองคาแท้.พวกเขาจงึ ขนทองคานน้ั
ทัง้ หมดมาทาเป็นกองไว้ทีท่ ้องพระลานหลวง.(ทองคาท้ังหมดนัน้ )ไดก้ องสงู ประมาณ ๘๐ ศอก.
คนมีบญุ หยิบถ่านเปน็ ทอง ที่ทีไ่ ถแลว้ เป็นทอง ตวู่ ่าเปน็ ของพระราชากลายเป็นดิน
นายปุณณะไดร้ บั ตาแหนง่ เศรษฐี
พระราชาทรงรับสัง่ ให้ชาวพระนครประชมุ กันแลว้ ตรสั ถามว่า" ในพระนครน้ี ใครมที องคา
ถึงเพียงนีบ้ ้าง ?"
ชาวพระนคร. ไม่มี พระเจา้ ข้า.
พระราชา. กเ็ ราควรจะใหอ้ ะไรแก่นายปุณณะเล่า ?
ชาวพระนคร. ฉัตรสาหรับเศรษฐี พระเจา้ ขา้ .
พระราชา. ตรัสวา่ " นายปุณณะจงเปน็ เศรษฐีช่ือพหุธนเศรษฐี" (ธนเศรษฐี- ประวัตินาง
อุตตรานันทมารดา อรรถกถา อังคตุ ตรนิกาย เอกนิบาต ล.๓๓ น.๑๓๔) แลว้ ได้พระราชทาน
ฉัตรสาหรบั เศรษฐแี ก่เขา พรอ้ มดว้ ยโภคะมากมาย.
คร้ังนั้น เขากราบทูลพระราชานั้นวา่ " ขา้ แต่สมมติเทวราชขา้ พระองคท์ ง้ั หลายอาศัยอยู่ใน
ตระกูลอื่น ตลอดเวลาถึงเพยี งนี้, ขอพระองคไ์ ดโ้ ปรดประทานที่อย่แู ก่ขา้ พระองคเ์ ถิด. "
๔๓
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
พระราชาตรัสวา่ " ถา้ กระนน้ั ท่านจงดู, กอไม้นนั้ ปรากฏอย่ทู างด้านทกั ษิณ, จงนากอไม้นั่น
ออก ให้ชา่ งทาเรอื นเถดิ " ดงั นีแ้ ลว้ ก็ตรสั บอกท่ีเรอื นของเศรษฐีเก่า.
เขาใหช้ า่ งทาเรือนในทน่ี ้ัน โดย ๒-๓ วันเทา่ นน้ั ทาเคหัปปเวสนมงคล2และฉัตรมงคล3เป็น
งานเดยี วกนั ไดถ้ วายทานแดภ่ กิ ษุสงฆ์ มีพระพุทธเจา้ เป็นประมุขตลอด ๗ วัน. ครงั้ น้นั พระ
ศาสดาเม่ือจะทรงทาอนุโมทนาแกเ่ ขา จงึ ตรสั อนุปพุ พีกถาแล้ว.
ในกาลจบธรรมกถา ชนทง้ั ๓ คือ ปุณณเศรษฐี ๑ ภรรยาของเขา ๑ นางอตุ ตราผ้เู ป็นธดิ า ๑ ได้
เป็นพระโสดาบันแลว้ .
บุญสง่ ผลมีโภคะมาก มียศใหญ่เปน็ เศรษฐีประจาเมอื ง มเี รือนใหม่และใหญ่
ธดิ าปุณณเศรษฐีไดเ้ ป็นภรรยาบุตรสุมนเศรษฐี
ในกาลต่อมา เศรษฐใี นกรุงราชคฤห์ ขอธิดาของปณุ ณเศรษฐใี ห้บุตรของตน เขาพูดวา่
" ผมใหไ้ ม่ได,้ " เม่ือเศรษฐใี นกรุงราชคฤหพ์ ดู ว่า " จงอย่าทาอยา่ งน้ัน, ทา่ นอาศัยฉันอยู่
ตลอดเวลาถงึ เพียงนที้ เี ดียวจึงไดส้ มบตั ิ, จงใหธ้ ดิ าแกบ่ ุตรของฉนั เถิด" จงึ กล่าววา่
" บุตรของท่านน้ันเปน็ มจิ ฉาทฏิ ฐิ, สว่ นธดิ าของผมเหนิ หา่ งจากพระรตั นะทั้งสามแล้ว
ไมอ่ าจเปน็ ไปได้, ผมจงึ จกั ยกธดิ าใหบ้ ุตรของทา่ นไม่ไดเ้ ลย. "
ครงั้ นัน้ กลุ บุตรทั้งหลายมีเศรษฐีและคฤหบดีเปน็ ต้น เปน็ อนั มากวงิ วอนเขาว่า
" อย่าทาลายความสนิทสนมกบั ดว้ ยเศรษฐีในกรุงราชคฤหน์ น้ั , จงยกธดิ าใหบ้ ุตรของเขาเถิด. "
เขารบั คาของกลุ บตุ รเหล่านั้นแลว้ ไดย้ กธิดาใหใ้ นดถิ ีเพญ็ เดือนอาสาฬหะ.
หน้าท่ขี องพ่อแม่ คอื หาคู่ครองทเี่ หมาะสม ไม่ใช่เปน็ แกห่ น้าคนอนื่
จาเดิมแต่เวลาไปสู่ตระกลู สามแี ลว้ นางมิไดเ้ พ่อื จะเขา้ ไปหาภิกษุหรือภกิ ษุณี หรอื เพือ่ ถวาย
ทานหรอื ฟงั ธรรมเลย. เม่ือล่วงไปได้ประมาณ๒ เดือนครึง่ ดว้ ยอาการอย่างน้ี,
นางจงึ ถามสาวใชผ้ อู้ ยู่ในสานกั ว่า " เวลานภ้ี ายในพรรษายงั เหลืออกี เทา่ ไร ?"
สาวใช้. ยงั อยู่อีกคร่ึงเดือน คณุ แม่.
คนรักบญุ ย่อมแสวงหาโอกาสในการทาบญุ
2มงคลอันบคุ คลพึงทาในกาลเป็นทเี่ ขา้ ไปสูเ่ รือน.
3มงคลอนั บุคคลพงึ ทาแกฉ่ ัตร ในกาล เป็นท่ฉี ลองฉัตร.
๔๔
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
นางส่งข่าวไปใหบ้ ดิ าวา่ " เหตไุ ฉน บิดาจึงขงั ดิฉันไวใ้ นเรือน มีรปู อยา่ งน้ี ? การท่บี ิดาทาฉัน
ให้เป็นคนเสียโฉม แลว้ ประกาศว่า เป็นทาสขี องชนพวกอนื่ ยงั จะประเสรฐิ กว่า, การทย่ี กใหแ้ ก่
ตระกลู มิจฉาทิฏฐเิ ห็นปานน้ี ไม่ประเสรฐิ เลย, ตงั้ แต่ดิฉันมาแลว้ ดฉิ นั ไมไ่ ด้ทาบุญแมส้ กั อย่างใน
ประเภทบญุ มกี ารพบเหน็ ภกิ ษุเป็นตน้ เลย. "
ลาดับน้นั บิดาของนางใหร้ สู้ ึกไมส่ บายใจ ดว้ ยคดิ วา่ " ธิดาของเราได้รบั ทุกขห์ นอ"
จึงส่งทรัพยไ์ ป ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ ด้วยส่ังว่า " ในนครนี้ มีหญิงคณิกาชอื่ สิรมิ า, เจ้าจงพดู วา่ `
หล่อนจงรับทรพั ยว์ ันละ๑,๐๐๐ กหาปณะ' นานางมาด้วยกหาปณะเหล่านี้ ทาใหเ้ ปน็ นางบาเรอ
ของสามแี ลว้ สว่ นตัวเจา้ จงทาบญุ ท้ังหลายเถิด."
นางใหเ้ ชญิ นางสิริมามาแล้ว พดู ว่า " สหาย เธอจงรบั กหาปณะเหล่านแี้ ล้ว บาเรอชาย สหาย
ของเธอสกั ก่ึงเดือนนี้เถดิ . "
นางสริ ิมาน้ันรบั รองว่า " ดลี ะ" นางพาเขาไปสานักของสามี เม่ือสามีนนั้ เห็นนางสิรมิ าแล้ว
กลา่ ววา่ " อะไรกนั นี่ ?" จงึ บอกว่า " นายขอใหห้ ญงิ สหายของดิฉนั บาเรอนายตลอดก่งึ เดอื นนี้,
ส่วนดฉิ นั ใคร่จะถวายทานและฟงั ธรรม ตลอดกึง่ เดอื นนี้. "
เศรษฐีบุตรเห็นนางมรี ูปงาม เกิดความสเิ นหา จึงรบั รองวา่ " ดลี ะ."
นางอุตตราได้โอกาสทาบญุ
แม้นางอุตตราแล นมิ นต์ภกิ ษสุ งฆ์มพี ระพทุ ธเจ้าเปน็ ประมุขว่า" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระองคอ์ ย่าเสด็จไปที่อนื่ พงึ รบั ภกิ ษาในเรอื นน้แี ห่งเดยี ว ตลอดกึ่งเดอื นน้ี. "
รับปฏิญญาของพระศาสดาแล้วมีใจยินดีวา่ " บดั น้ี เราจกั ได้เพ่อื อปุ ฏั ฐากพระศาสดาและ
ฟงั ธรรมต้ังแต่นไ้ี ป ตลอดจนถึงวันมหาปวารณา " เท่ียวจัดแจงกจิ ทุกอย่างในโรงครัวใหญว่ ่า
" พวกท่านจงต้มขา้ วตม้ อยา่ งน้ี จงนงึ่ ขนมอยา่ งนี้. "
สามี ภรรยา มศี รัทธา ศลี จาคะ ปัญญา (ทิฏฐ)ิ
ถา้ เสมอกนั กเ็ จอกันทกุ ชาติ เปน็ คู่บญุ ค่บู ารมี
ถ้าไม่เสมอกันก็เจอกนั แค่ชาตินเี้ ป็นคู่เวร คกู่ รรม
คร้งั นั้น สามีของนางคิดว่า " พรงุ่ นเ้ี ปน็ วันมหาปวารณา" ยนื ตรงหน้าต่าง บ่ายหนา้ ไปทางโรง
ครวั ใหญ่ ตรวจดูอยู่ดว้ ยคดิ วา่ " นางอันธพาลน้นั เทีย่ วทาอะไรอยูห่ นอแล ? "
๔๕
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
แลเหน็ ธดิ าเศรษฐนี ัน้ ขะมกุ ขะมอมไปด้วยเหงอ่ื เปรอะด้วยเถา้ มอมแมมด้วยถา่ นและเขมา่
เทีย่ วจัดทาอยู่อยา่ งน้ัน จงึ คดิ ว่า " พุทโธ่ หญิงอนั ธพาล ไมเ่ สวยสมบัตมิ ีสริ ิเชน่ น้ีในฐานะเหน็
ปานนี้, กลบั มจี ติ ยนิ ดวี า่ `เราจกั อุปฏั ฐากสมณะศรี ษะโลน้ ,เทีย่ วไปได้" จงึ หวั เราะแลว้ หลบไป.
เม่ือเศรษฐีบตุ รนั้นหลบไปแล้ว, นางสริ ิมาซงึ่ ยนื อยู่ในท่ีใกลข้ องเขาคิดว่า " เศรษฐบี ุตรนั่น
มองดูอะไรหนอแล จึงหัวเราะ" จงึ มองลงไปทางหนา้ ตา่ งนั้นแหละ เห็นนางอุตตราแล้วคดิ ว่า "
เศรษฐีบุตร นห้ี วั เราะก็เพราะเห็นนางคนน้ี, ความชิดชมของเศรษฐีบุตรนีค้ งมีกบั ดว้ ยนางนเ้ี ป็น
แน.่ "
จับแง่คิดเป็น จับถูกเป็น ร้จู กั ใหอ้ ภยั แผเ่ มตตาตอ่ กนั กไ็ มม่ ีเวร ไม่มีภยั
นางสิรมิ าหงึ นางอตุ ตราเอาเนยใสเดือดรด
ได้ยินว่า นางสริ มิ านัน้ แมอ้ ยูเ่ ปน็ พาหิรกสตรีในเรอื นนัน้ ตลอดกึง่ เดือน เสวยสมบตั นิ น้ั อยู่
กย็ ังไม่ร้ตู ัวว่าเป็นหญงิ ภายนอก ได้ทาความสาคญั ว่า " ตัวเปน็ แมเ่ จ้าเรือน. " นางผกู อาฆาตตอ่
นางอตุ ตราวา่ " จกั ตอ้ งยังทุกขใ์ หเ้ กดิ แกม่ ัน" จึงลงจากปราสาท เข้าไปสโู่ รงครัวใหญ่ เอาทัพพี
ตกั เนยใสอนั เดือดพลา่ นในท่ีทอดขนมแล้ว ก็เดนิ มุ่งหนา้ ตรงไปหานางอุตตรา. นางอุตตราเหน็
นางสิรมิ าเดินมา จงึ แผเ่ มตตาไปถงึ นางว่า" หญงิ สหายของเราทาอปุ การะแกเ่ รามาก, จกั รวาลก็
แคบเกินไป,พรหมโลกกต็ า่ นกั , ส่วนคุณของหญงิ สหายเราใหญม่ าก; ก็เราอาศยั นางน่ัน จงึ ได้
เพ่อื ถวายทานและฟงั ธรรม; ถา้ เรามคี วามโกรธเหนือนางสริ ิมานั้น เนยใสนี้จงลวกเราเถิด, ถ้าไม่
มี อย่าลวกเลย. " เนยใสซ่งึ เดือดพลา่ นท่นี างสริ มิ านั้นรดลงเบื้องบนนางอุตตรานน้ั ไดเ้ ปน็
เหมือนน้าเยน็ .
ลาดบั น้นั พวกทาสขี องนางอตุ ตรา เห็นนางผตู้ ักเนยใสให้เตม็ ทัพพีอีกด้วยเข้าใจวา่
" เนยใสนีค้ งจกั เย็น" ถอื เดินมาอยู่ จงึ คกุ คามว่า " นางหวั ดื้อ เจา้ จงหลกี ไป, เจ้าไม่ควรจะรดเนย
ใสทเ่ี ดอื ดพลา่ น บนเจา้ แมข่ องพวกเรา" แลว้ ตา่ งลกุ ขน้ึ จากที่นีบ้ า้ ง ท่นี น้ั บา้ ง ใช้มือบ้าง เท้าบา้ ง
ทุบถบี ให้ลม้ ลงบนพน้ื นางอุตตราไมส่ ามารถจะห้ามปรามนางทาสเี หลา่ น้ันได้, ทีนน้ั นางจงึ หา้ ม
ทาสีทกุ คน ท่ียนื ครอ่ มอยูข่ ้างบนนางสริ มิ านนั้ แล้วถามวา่ " เพือ่ ประสงคอ์ ะไร เธอจึงทากรรม
หนกั ถงึ ปานนี้ ? " ดงั น้ีแล้วโอวาทนางสริ มิ า ใหอ้ าบดว้ ยน้าอนุ่ ทาดว้ ยนา้ มันท่ีหุงต้ัง ๑๐๐ ครง้ั .
นางสริ ิมารสู้ กึ ตวั ขอโทษนางอุตตรา
ขณะนัน้ นางสริ ิมานั้นร้สู ึกตัววา่ เปน็ หญิงภายนอกแลว้ คดิ ว่า " เรารดเนยใสทเ่ี ดอื ดพล่านลง
เบอ้ื งบนนางอตุ ตรานี้ เพราะเหตุเพียงความหัวเราะของสามี ทากรรมหนกั แล้ว, นางอตุ ตรานไ้ี ม่
๔๖
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
ส่ังบงั คบั พวกทาสีว่า `พวกเธอจงจบั เขาไว้ กลับหา้ มพวกทาสที ้งั หมด แม้ในเวลาท่ีข่มเหงเรา ได้
ทากรรมท่ีควรแก่เราทั้งน้ัน;
ผิดแล้วสานึก เปน็ คนแก้ไขได้รจู้ ักขอขมา ใหอ้ ดโทษไดก้ ห็ มดเวรกรรม
ถา้ เราไม่ขอให้นางอุตตราน้ีอดโทษให้, ศีรษะของเราจะพึงแตกออก ๗ เส่ียง" ดงั นแี้ ล้ว จงหมอบ
ลงแทบเทา้ ของนางอุตตราน่นั แล้วกล่าววา่ " คุณแม่ ขอคุณแม่จงอดโทษใหด้ ฉิ นั เถิด. "
นางอุตตรา. ดฉิ นั เป็นธิดาทีม่ ีบดิ า เมอื่ บิดาอดโทษให้, กจ็ ักอดโทษให้.
นางสริ มิ า. คณุ แม่ ขอ้ น้ันจงยกไว้เถดิ , ดิฉันจกั ใหท้ า่ นปณุ ณเศรษฐผี ู้บิดาของคุณแมอ่ ดโทษ
ใหด้ ้วย.
นางอตุ ตรา. ทา่ นปณุ ณะ เป็นบดิ าบังเกิดเกล้าของคณุ แมใ่ นวฏั ฏะ,แตเ่ ม่อื บดิ าผ้บู งั เกดิ เกลา้ ใน
ววิ ัฏฏะอดโทษให้ ดฉิ ันจึงจกั อดโทษ.
นางสริ มิ า. กใ็ ครเล่า ? เป็นบิดาบังเกดิ เกลา้ ของคณุ แมใ่ นววิ ฏั ฏะ.
นางอตุ ตรา. พระสมั มาสัมพุทธเจา้ .
นางสิริมา. ดิฉันไมม่ ีความค้นุ เคยกบั พระองค์.
นางอุตตรา. ฉนั จักทาเอง, พรุ่งน้ี พระศาสดาจักทรงพาภกิ ษสุ งฆเ์ สดจ็ มาท่ีน้ี;
เธอจงถือสักการะตามแตจ่ ะไดม้ าทน่ี ี้แหละ แล้วขอใหพ้ ระองคอ์ ดโทษเถดิ .
ทาวกิ ฤตให้เป็นโอกาสในการสั่งสมบุญกุศล
นางสริ มิ าขอให้พระศาสดาทรงอดโทษ
นางสิริมานนั้ รบั ว่า " ดลี ะ คุณแม่ " ลกุ ขนึ้ แลว้ ไปส่เู รอื นของตนสั่งหญงิ บริวาร ๕๐๐ ให้
ตระเตรียมขาทนยี ะและสูเปยยะ4ตา่ ง ๆ อย่าง รุ่งขน้ึ ก็ถอื สกั การะน้ันมาเรือนของนางอตุ ตรา ไม่
กล้าจะใส่บาตรภกิ ษสุ งฆ์มพี ระพทุ ธเจ้าเปน็ ประมขุ จงึ ไดย้ นื อยู่แล้ว นางอตุ ตรารับเอาส่ิงของ
ทัง้ หมดนน้ั มาจัดแล้ว.
ในเวลาเสร็จภตั ตกจิ นางสริ มิ าพรอ้ มดว้ ยบรวิ าร หมอบลงแทบเบื้องพระบาทของพระศาสดา.
ครัง้ น้ัน พระศาสดาตรัสถามนางว่า " เจา้ มคี วามผิดอะไร ?"
4วตั ถุเปน็ ประโยชนเ์ กื้อกลู แก่สปู ะ.
๔๗
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
นางสิริมา. พระเจา้ ขา้ วานน้ีหมอ่ มฉันไดท้ ากรรมช่อื นี้, เม่อื เป็นเชน่ นัน้ หญิงสหายของ
หม่อมฉนั ยังหา้ มทาสีซง่ึ เบียดเบยี นหมอ่ มฉนั ไดท้ าอปุ การะแก่หม่อมฉนั โดยแท้, หม่อมฉันนั้น
รู้สึกถึงคุณของนางนี้ จึงขอใหน้ างนอ้ี ดโทษ, เมอ่ื เป็นเช่นน้ัน นางกล่าวกะหมอ่ มฉนั วา่
`เมือ่ พระองค์ทรงอดโทษให้ จงึ จักอดโทษให้. '
พระศาสดา. อุตตราไดย้ ินว่า อย่างน้นั หรือ ?
นางอุตตรา. อยา่ งน้ัน พระเจ้าขา้ , วานนีห้ ญงิ สหายของหม่อมฉนั ได้รดเนยใสทเ่ี ดือดพล่าน
บนศรี ษะของหม่อมฉัน.
พระศาสดา. เม่ือเช่นนั้น เธอคดิ อย่างไร ?
นางอุตตรา. หม่อมฉันคดิ อยา่ งนี้ว่า `จกั รวาลแคบนกั พรหมโลกกย็ ังต่าเกินไป, คุณของหญิง
สหายขา้ พระองคเ์ ท่านนั้ ใหญ่, เพราะหมอ่ มฉันอาศัยเขา จึงไดถ้ วายทานและฟังธรรม; ถา้ วา่
หม่อมฉนั มีความโกรธอย่เู หนือนางน้ี, เนยใสที่เดือดพล่านนี้ จงลวกหม่อมฉันเถิด, ถา้ หาไม่แลว้ ,
ขออย่าลวกเลย, ' แล้วไดแ้ ผเ่ มตตาไปยังนางสิริมาน้ี พระเจา้ ข้า.
พระศาสดาตรสั วา่ " ดลี ะ ดีละ อุตตรา การชนะความโกรธอย่างนนั้ สมควร;
กธ็ รรมดาคนมกั โกรธ พึงชนะด้วยความไมโ่ กรธ,
คนดา่ เขา ตัดพ้อเขา พึงชนะไดด้ ว้ ยความไมด่ า่ (ตอบ) ไมต่ ัดพอ้ (ตอบ),
คนตระหน่จี ัด พงึ ชนะได้ดว้ ยการใหข้ องตน,
คนมกั พูดเทจ็ พึงชนะได้ดว้ ยคาจรงิ " ดังน้แี ล้ว จึงตรสั พระคาถานี้วา่ :-
๓. อกโฺ กเธน ชิเน โกธ อสาธุ สาธนุ า ชเิ น
ชิเน กทริย ทาเนน สจฺเจนาลิกวาทนิ .
" พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ, ชนะอยา่ งนี้ ไม่มีเวร ไม่มภี ัย
พึงชนะคนไมด่ ี ดว้ ยความดี, ชนะอย่างเย็น มีแต่ไดก้ ับได้
พงึ ชนะคนตระหน่ี ดว้ ยการให้, เป็นชยั ชนะอย่างแทจ้ รงิ
พึงชนะคนพูดเหลวไหล ด้วยคาจริง. "
ในกาลจบเทศนา นางสิรมิ าพรอ้ มด้วยญาตทิ ั้ง ๕๐๐ ตง้ั อย่แู ล้วในโสดาปตั ติผล ดังน้ีแล.
เรือ่ งอุตตราอุบาสกิ า จบ
๔๘
kalyanamitra.org