The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มืออุบาสิกาเเก้วหน่ออ่อน
แนวทางในการจัดกิจกรรมอบรมบวชเนกขัมมะของมหาอุบาสิกา ในบวรพระพุทธศาสนา มีรูปแบบการทำงานที่เป็นระบบ ระเบียบ มีมาตรฐานในการฝึกบุคลากรในทางพระพุทธศาสนา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คู่มืออุบาสิกาเเก้วหน่ออ่อน

คู่มืออุบาสิกาเเก้วหน่ออ่อน
แนวทางในการจัดกิจกรรมอบรมบวชเนกขัมมะของมหาอุบาสิกา ในบวรพระพุทธศาสนา มีรูปแบบการทำงานที่เป็นระบบ ระเบียบ มีมาตรฐานในการฝึกบุคลากรในทางพระพุทธศาสนา

โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน

ความคล้ายท่ีแตกต่าง
๑๕) เรอื่ งนางวิสาขา– ลกู สาวของธนญั ชัยเศรษฐี, แตง่ กบั ลูกชายมคิ ารเศรษฐี,
พอ่ ใหโ้ อวาท ๑๐ พร้อมกุฎมุ พี ๘ คน, พ่อผวั โกรธเพราะหาวา่ กินอาหารเก่า
(บุญเกา่ ), แพเ้ หตผุ ลลกู สะใภ้, อยากให้ลูกสะใภ้อย่ตู ่อตอ้ งยอมให้ทาบญุ ,
ฟงั ธรรมหลงั ม่านจนบรรลโุ สดาบัน,แมผ้ ัวบรรลุธรรมวันตอ่ มา,
ยกย่องสะใภ้ใหเ้ ป็นมารดา, ทาเคร่ืองประดบั ฆนมฏั ฐกะราคา ๑ แสนใหล้ ูกสะใภ้.
๑๖) เรื่องนางจูฬสุภัททา– ลูกสาวคนทส่ี องอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี, แตง่ กับลกู ชาย
อคุ คเศรษฐี(อุคคเศรษฐีเพือ่ นในวยั เรียน) พระศาสดาทรงอนุญาต, ให้โอวาท ๑๐
พร้อมกฏุ ุมพี ๘ คนไปดว้ ย, พ่อผัวไม่พอใจ, อธบิ ายลกั ษณะสมณะทแ่ี ท้ให้
แมผ่ ัวฟงั , ทลู นิมนต์พระศาสดาทางอากาศ, อุคคหเศรษฐีเล่ือมใส,ฟังธรรมแล้ว
บรรลธุ รรม.

๙๙

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสิกาแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน

๑๗) เรอ่ื งนางสมุ นาเทวี[๑๓]
ข้อความเบือ้ งต้น

พระศาสดา เม่ือประทับอยใู่ นพระเชตวัน ทรงปรารภนางสมุ นาเทวี ตรัสพระธรรมเทศนาน้ี
ว่า " อธิ นนทฺ ติ เปจจฺ นนฺทติ"เป็นต้น.

อปุ ฎั ฐากและอุปฎั ฐายกิ าท่ดี ี ย่อมรคู้ วามชอบใจและกิจท่ีสมควรของภิกษุ
การสอนลกู ใหท้ าหน้าที่งานบญุ แทนตน ให้ทกุ คนทางานแทนได้เปน็ สิ่งดี

อบรมลูกหลานใหร้ ับหนา้ ที่ของตน
ความพสิ ดารว่า ภกิ ษสุ องพนั รปู ย่อมฉนั ในเรอื นของอนาถบณิ ฑิกเศรษฐใี นกรุงสาวัตถีทุก
วัน, ในเรอื นของนางวิสาขามหาอบุ าสิกากเ็ ชน่ นั้น.ก็บุคคลใด ๆ ในกรุงสาวัตถี เปน็ ผปู้ ระสงคจ์ ะ
ถวายทาน, บคุ คลน้ัน ๆต้องได้โอกาสของท่านท้งั สองนน้ั ก่อนแลว้ จงึ ทาได้.
ถามวา่ " เพราะเหตไุ ร ?"
ตอบวา่ " เพราะคนอืน่ ๆ ถามวา่ 'ทา่ นอนาถบิณฑิกเศรษฐหี รอื นางวิสาขา มาสู่โรงทานของ
ทา่ นแล้วหรือ" เมื่อเขาตอบวา่ " ไมไ่ ด้มา, " ยอ่ มตเิ ตยี น แม้ทานอันบุคคลสละทรัพยต์ ั้งแสนแล้ว
ทาว่า " น่ีชื่อวา่ ทานอะไร ?" เพราะทา่ นทั้งสองนั้น ยอ่ มรจู้ กั ความชอบใจของภิกษุสงฆแ์ ละกจิ
อนั สมควรแกภ่ กิ ษสุ งฆ์. เม่อื ทา่ นทั้งสองน้ันอยู่, พวกภิกษุยอ่ มฉนั ได้ตามพอใจทีเดยี ว.
เพราะฉะน้นั ทุก ๆ คนทีป่ ระสงค์จะถวายทาน จึงเชญิ ทา่ นท้งั สองน้นั ไป.
ทา่ นทงั้ สองนั้นย่อมไม่ไดเ้ พอื่ จะอังคาสภิกษทุ ั้งหลายในเรอื นของตนดว้ ยเหตุนี้ เพราะเหตนุ นั้
นางวิสาขา เมอ่ื ใคร่ครวญวา่ " ใครหนอแล ? จกั ดารงในหน้าทีข่ องเราเลี้ยงภกิ ษสุ งฆ์. "
เหน็ ธดิ าของบุตรแลว้ จึงต้งั เขาไว้ในหน้าที่ของตน.นางองั คาสภกิ ษสุ งฆใ์ นเรอื นของนางวสิ าขา
นั้น.
ถงึ ท่านอนาถบิณฑกิ เศรษฐี ก็ตงั้ ธดิ าคนใหญ่ ชือ่ มหาสุภัททาไว้.ก็นางมหาสภุ ัททานนั้
ทาการขวนขวายแกภ่ ิกษทุ ้งั หลายอยู่ (และ)ฟังธรรมอยู่ เปน็ พระโสดาบนั แล้ว ได้ไปสสู่ กุลแหง่
สามี.
แต่น้ัน ท่านอนาถบิณฑกิ ะ ก็ต้งั นางจุลลสภุ ัททา (แทน). แมน้ างจุลลสุภัททาน้ัน ก็ทาอย่อู ยา่ ง
นนั้ เหมือนกนั เป็นพระโสดาบันแลว้ กไ็ ปสสู่ กลุ แห่งสามี. ลาดบั นน้ั ท่านอนาถบิณฑิกะ จึงตัง้
ธิดาคนเล็กนามว่าสุมนาเทวี (แทน).

อนาถบณิ ฑิกเศรษฐีมีลูกหลานไม่มาก และยงั อายุสัน้ แตกต่างจากนางวิสาขา

๑๐๐

kalyanamitra.org

โครงการบวชอบุ าสิกาแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน

นางสมุ นาป่วยเรียกบดิ าว่านอ้ งชาย
กน็ างสุมนาเทวีนั้น ฟังธรรมแลว้ บรรลสุ กทาคามิผล ยงั เปน็ กุมารกิ า (ร่นุ สาว) อยูเ่ ทยี ว,
กระสบั กระส่ายดว้ ยความไม่ผาสกุ เห็นปานน้นั ตดั อาหาร มคี วามประสงคจ์ ะเห็นบิดา จงึ ใหเ้ ชญิ
มา.ทา่ นเศรษฐีน้ัน พอได้ยินขา่ วของธดิ าในโรงทานแห่งหนึ่ง ก็มาหาแลว้ พดู ว่า
" เปน็ อะไรหรอื ? แมส่ ุมนา. "
ธิดาน้ัน ตอบบิดาว่า " อะไรเล่า ?นอ้ งชาย"
บ. เจ้าเพอ้ ไปหรอื ? แม่.
ธ. ไมเ่ พอ้ น้องชาย.
บ. เจ้ากลัวหรือ ? แม่.
ธ. ไมก่ ลัว นอ้ งชาย.
แต่พอนางสมุ นาเทวี กลา่ วไดเ้ พียงเท่าน้ี ก็ได้ทากาละแล้ว.

พระโสดาบันยังโศกเศรา้ เปน็ ทกุ ข์ และไม่รูว้ า่ ธดิ าตนเองบรรลธุ รรมสูงกว่า

ทา่ นเศรษฐผี บู้ ดิ าร้องไหไ้ ปทลู พระศาสดา
ท่านเศรษฐีนั้น แม้เปน็ พระโสดาบนั กไ็ ม่สามารถจะกลน้ั ความโศกอันเกดิ ในธิดาได้ ให้ทา
การปลงศพของธิดาเสร็จแลว้ ร้องไหไ้ ปส่สู านกั พระศาสดา, เม่ือพระองค์ ตรัสวา่
" คฤหบดี ทาไม ?ท่านจึงมที กุ ข์ เสียใจ มีหนา้ อาบไปด้วยน้าตา ร้องไห้ มาแลว้ "
จงึ กราบทลู ว่า " นางสมุ นาเทวี ธดิ าของข้าพระองค์ ทากาละเสยี แลว้ พระเจา้ ข้า."
ศ. เม่อื เป็นเช่นนั้น เหตไุ ร ? ทา่ นจึงโศก, ความตาย ยอ่ มเป็นไปโดยสว่ นเดียวแก่สรรพสัตว์
มิใชห่ รอื ?
อ. ขา้ พระองค์ทราบขอ้ นั้น พระเจ้าข้า แตธ่ ดิ าของข้าพระองค์ถงึ พรอ้ มด้วยหริ แิ ละโอตตปั ปะ
เห็นปานนี้, ในเวลาจวนตายนางไม่สามารถคมุ สตไิ ว้ไดเ้ ลย บน่ เพอ้ ตายไปแล้ว, ด้วยเหตุนนั้
โทมนัสไม่นอ้ ย จึงเกดิ แก่ขา้ พระองค์.
ศ. มหาเศรษฐี กน็ างพูดอะไรเลา่ ?
อ. ขา้ แตพ่ ระองค์ผเู้ จริญ ข้าพระองค์เรียกนางวา่ 'เปน็ อะไรหรือ ? สมุ นา'
ทีน้ัน นางก็กล่าวกะข้าพระองคว์ ่า 'อะไร ? น้องชาย'แตน่ น้ั เมอ่ื ขา้ พระองค์กลา่ วว่า 'เจ้าเพอ้ ไป
หรือ ? แม่' ก็ตอบวา่ 'ไมเ่ พอ้ น้องชาย' เม่ือขา้ พระองคถ์ ามวา่ 'เจ้ากลวั หรือ ? แม่'กต็ อบวา่

๑๐๑

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน

'ไม่กลวั น้องชาย' พอกล่าวได้เท่านก้ี ท็ ากาละแล้ว.
ลาดบั นั้น พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ตรสั กะเศรษฐนี น้ั ว่า " มหาเศรษฐีธิดาของทา่ น จะได้เพ้อก็หา
มิได้. "
อ. เมอ่ื เช่นนนั้ เหตไุ ร ? นางจงึ พูดอยา่ งน้ัน.
ศ. เพราะท่านเป็นน้องนางจรงิ ๆ (นางจึงพูดอย่างนั้นกะท่าน),
คฤหบดี ก็ธดิ าของทา่ นเป็นใหญก่ วา่ ทา่ นโดยมรรคและผล,
เพราะท่านเปน็ เพยี งโสดาบัน, สว่ นธดิ าของท่านเป็นสกทาคามินี;
เพราะนางเป็นใหญโ่ ดยมรรคและผล นางจงึ กล่าวอย่างน้นั กะทา่ น.
อ. อยา่ งน้ันหรอื พระเจ้าขา้ .
ศ. อย่างนน้ั คฤหบดี.
อ. เวลาน้ีนางเกดิ ทไ่ี หน พระเจ้าข้า.
เมอ่ื พระศาสดา ตรสั วา่ " ในภพดสุ ติ คฤหบด"ี ทา่ นเศรษฐีจึงกราบทลู วา่ " ธดิ าของขา้
พระองค์ เทีย่ วเพลิดเพลินอยใู่ นระหว่างหมู่ญาตใิ นโลกน้ี แม้ไปจากโลกนแ้ี ลว้ ก็เกิดในท่ี ๆ
เพลิดเพลินเหมอื นกันหรอื ? พระเจา้ ขา้ . "
คนทาบุญย่อมเพลดิ เพลินในโลกท้งั สอง
ทนี ้ัน พระศาสดาตรสั กะเศรษฐีนนั้ วา่ " อยา่ งนน้ั คฤหบดีธรรมดาผไู้ ม่ประมาท เป็น
คฤหัสถก์ ็ตาม เป็นบรรพชติ ก็ตาม ย่อมเพลดิ เพลนิ ในโลกนแี้ ละโลกหน้าแท้" ดงั นแี้ ล้ว ตรสั
พระคาถาน้วี า่
๑๓. อธิ นนทฺ ติ เปจจฺ นนฺทติ กตปญุ โฺ ญ อภุ ยตถฺ นนทฺ ติ
ปญุ ฺญ เม กตนตฺ ิ นนทฺ ติ ภยิ ฺโย นนฺทติ สคุ ตึ คโต.
" ผมู้ ีบุญอนั ทาไว้แลว้ ย่อมเพลิดเพลินในโลกนี้,
ละไปแล้ว ยอ่ มเพลิดเพลิน เขายอ่ มเพลิดเพลิน
ในโลกทัง้ สอง เขายอ่ มเพลดิ เพลนิ ว่า 'เราทาบญุ
ไวแ้ ล้ว' ไปสู่สคุ ติ ยอ่ มเพลิดเพลินยิ่งขน้ึ ."
ในกาลจบคาถา คนเป็นอันมาก ได้เปน็ อริยบคุ คลมโี สดาบันเปน็ ต้นแลว้ .

พระธรรมเทศนา ไดเ้ ป็นประโยชนแ์ กม่ หาชน ดังน้แี ล.
เรื่องนางสุมนาเทวี จบ.

๑๐๒

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน

๑๘) เรื่องนางวสิ าขาอุบาสกิ า [๑๖๗]

ข้อความเบ้ืองต้น

พระศาสดาเมือ่ ประทบั อยใู่ นพระเชตวนั ทรงปรารภนางวิสาขาอุบาสิกา ตรสั

พระธรรมเทศนาน้วี า่ "เปมโต ชายตี" เปน็ ต้น. หลานรักตาย ยา่ ก็เศร้า

นางวิสาขาโศกถงึ นางสุทัตตที ท่ี ากาละ
ได้ยินว่านางวสิ าขานนั้ ตั้งกมุ ารกิ าชอื่ ว่าสทุ ัตตีผู้เป็นธดิ าของบุตรไว้ในหนา้ ที่ของตน
ให้ทาความขวนขวายแกภ่ กิ ษสุ งฆใ์ นเรือน.
โดยสมยั อน่ื กมุ ารกิ านัน้ ได้ทากาละแลว้ นางวสิ าขาให้ทาการฝังสรีระ (ศพ) นางแลว้
ไม่อาจจะอดกล้ันความโศกไวไ้ ด้มที กุ ข์เสียใจ ไปสูส่ านกั พระศาสดา ถวายบงั คมแลว้ นง่ั ณ ส่วน
ขา้ งหนึง่ .

พระศาสดาตรัสอบุ ายระงับความโศก
ลาดบั น้นั พระศาสดาตรสั กะนางว่า "วสิ าขา ทาไมหนอ เธอจึงมีทุกข์เสยี ใจ มหี นา้ ชุม่
ดว้ ยนา้ ตาน่งั ร้องไหอ้ ยู่ ?" นางจงึ ทูลข้อความน้นั แล้วกราบทลู วา่ "พระเจา้ ขา้ นางกมุ ารนี ัน้ เป็นท่ี
รกั ของหม่อมฉัน เปน็ ผ้สู มบรู ณด์ ว้ ยวตั ร, บดั นห้ี ม่อมฉันไม่เห็นใครเช่นนั้น."
พระศาสดา. วสิ าขากใ็ นกรุงสาวัตถีมมี นุษยป์ ระมาณเทา่ ไร?
วิสาขา. พระเจา้ ขา้ พระองคน์ ่นั แหละ ตรัสแกห่ มอ่ มฉันวา่ ‘ในกรงุ สาวัตถี มชี น ๗
โกฏ.ิ ’
พระศาสดา. กถ็ ้าชนมีประมาณเทา่ นีๆ้ พึงเปน็ เชน่ กับหลานสาวของเธอไซร้ เธอพึง
ปรารถนาเขาหรอื ?
นางวสิ าขา. อย่างนน้ั พระเจ้าข้า.
พระศาสดา.ก็ชนในกรุงสาวตั ถที ากาละวนั ละเทา่ ไร?
นางวิสาขา. มากพระเจา้ ขา้ .
พระศาสดา. เมือ่ เปน็ เช่นนี้เวลาทเ่ี ธอจะเศรา้ โศกก็จะไม่พงึ มมี ิใช่หรอื ? เธอพึงเที่ยว
ร้องไหอ้ ยทู่ ้ังกลางคืนและกลางวันทเี ดียวหรือ?
นางวิสาขา. ยกไว้เถิด พระเจา้ ขา้ . หม่อมฉันทราบแล้ว.
ลาดบั นั้น พระศาสดาตรสั กะนางว่า "ถา้ กระน้นั เธออย่าเศรา้ โศก, ความโศกก็ดี ความ

๑๐๓

kalyanamitra.org

โครงการบวชอบุ าสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน

กลัวก็ดี ยอ่ มเกิดแต่ความรกั "

ดังนแ้ี ลว้ จงึ ตรัสพระคาถานว้ี ่า :-

๓. เปมโต ชายตี โสโก เปมโต ชายตี ภย

เปมโต วิปปฺ มุตฺตสฺส นตถฺ ิ โสโก กุโต ภย.

ความโศกยอ่ มเกดิ แตค่ วามรกั ภยั ย่อมเกิดแตค่ วามรกั ;

ความโศกยอ่ มไม่มีแกผ่ ู้พน้ วิเศษแลว้ จากความรกั ,

ภยั จักมแี ตไ่ หน.

ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลท้ังหลาย มีโสดาปัตติผล
เปน็ ตน้ ดังนแ้ี ล

เรื่องนางวิสาขาอบุ าสกิ า จบ

ปิยวรรควรรณนา

ความโศกย่อมเกดิ แต่สัตวห์ รือสงั ขารอนั เป็นทร่ี กั เรื่องกุฎมุ พีคนใดคนหน่งึ
ความโศกย่อมเกิดแตค่ วามรักเร่ืองนางวสิ าขาอบุ าสิกา
ความโศกยอ่ มเกดิ แตค่ วามยินดีเร่ืองเจ้าลิจฉวี
ความโศกย่อมเกดิ แต่กามเรือ่ งอนิตถคิ นั ธกมุ าร
ความโศกย่อมเกดิ แตต่ ณั หา เร่ืองพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง

๑๐๔

kalyanamitra.org

โครงการบวชอบุ าสกิ าแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน

๑๙) เร่ืองหญิงสหายของนางวิสาขา[๑๑๘]

ข้อความเบือ้ งต้น

พระศาสดา เม่ือประทบั อย่ใู นพระเชตวัน ทรงปรารภพวกหญงิ สหายของนางวิสาขา ตรัส

พระธรรมเทศนานี้ว่า " โก นุ หาโสกมิ านนโฺ ท" เป็นต้น.

สามมี อบภรยิ าของตนแก่นางวิสาขา

ดงั ได้สดับมา กุลบตุ ร ๕๐๐ คน ในพระนครสาวัตถี ไดม้ อบภรยิ าของตน ๆ กะนางวสิ าขา

มหาอุบาสิกา ดว้ ยมงุ่ หมายวา่ " ด้วยอุบายอย่างน้ีภริยาเหล่านจี้ กั เป็นผู้อยูด่ ว้ ยความไมป่ ระมาท. "

หญงิ เหลา่ นนั้ เม่อื ไปสวนก็ดี ไปวหิ ารก็ดี ยอ่ มไปกับนางวิสาขานั่นแล.

มหรสพเกย่ี วกับสรุ า

ในคราวหน่งึ เมอ่ื เขาโฆษณาการมหรสพว่า " จกั มกี ารมหรสพเกีย่ วกบั สุราตลอด ๗ วัน"

หญงิ เหล่านัน้ ก็จดั เตรยี มสรุ าเพ่อื สามีของตน ๆสามเี หลา่ นนั้ เล่นมหรสพเกี่ยวกบั สุราตลอด

๗ วนั แลว้ ในวนั ที่ ๘ ไดอ้ อกไปเพอื่ ทาการงาน.

หญงิ เหลา่ นั้นคิดหาอบุ ายด่ืมสรุ า

หญงิ แมเ้ หลา่ นนั้ หารอื กนั วา่ " พวกเราไม่ได้ด่มื สุราต่อหนา้ สามี,ก็สรุ าท่เี หลือยงั มอี ยู่,

เราทง้ั หลายจกั ดมื่ สุราน้ดี ้วยวธิ ที สี่ ามเี หลา่ นน้ั จะไม่รู้ " ดังน้ีแลว้ จึงไปสานักของนางวสิ าขา

กลา่ ววา่ " แม่เจ้า ดฉิ นั ท้งั หลายปรารถนาจะชมสวน" เม่อื นางวิสาขาตอบว่า" ดลี ะ แม่ทง้ั หลาย

ถ้าเชน่ นั้น จงทากจิ ท่คี วรทาเสร็จแลว้ จงึ ออกไป. " ได้ไปพรอ้ มกับนางวิสาขานน้ั ซอ่ นสรุ าไปโดย

อาการอันมิดชิด ด่ืมเสยี (จน) เมาแล้ว เทีย่ วไปในสวนนางวิสาขาคิดวา่ " หญงิ เหล่านน้ั ทากรรม

ไม่สมควร, คราวนีถ้ งึ พวกเดยี รถยี ์ก็จกั ติเตียนไดว้ า่ " สาวกิ าท้ังหลายของพระสมณโคดม ดื่มสรุ า

ยอ่ มเทีย่ วไป" จงึ กล่าวกะหญิงเหลา่ นั้นวา่ " น่ีแนะ่ แม่ เธอท้ังหลายทากรรมไมส่ มควร `พลอยให้

เกิดอัปยศแกฉ่ ันด้วย' ถึงสามีกจ็ ะโกรธพวกเธอ, บดั น้พี วกเธอจักทาอย่างไรกนั ? "

หญิงเหลา่ นั้นตอบว่า " แมเ่ จา้ ดฉิ ันท้งั หลายจักแสดงอาการลวงวา่ เป็นไข้"

นางวสิ าขาจงึ กล่าววา่ " ถา้ เช่นน้นั พวกเธอก็จักปรากฏด้วยกรรมของตน" หญิงเหล่าน้นั ไปถงึ

เรือนแล้ว ทาทา่ ลวงวา่ เป็นไข้. ทนี ัน้ สามีของหญิงเหล่านั้นถามว่า " หญิงชื่อนีแ้ ละช่ือน้ีไป

ไปไหน ? " ได้ยินวา่ "เปน็ ไข้" กก็ าหนดจับไดว้ ่า " พวกน้จี ักดม่ื สุราทีเ่ หลือเปน็ แน่" จึงได้ทบุ ตี

หญิงเหล่านน้ั ใหถ้ งึ ความเสอื่ มเสยี . ความประพฤติท่ไี ม่ดีของสาวกิ า

ย่อมส่งผลต่อพระศาสดาและพระศาสนา

๑๐๕

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน

สาหรับคนชอบโกหกแล้ว ความชว่ั อยา่ งอื่นก็กล้าทาทั้งสิ้น

ในคราวมหรสพแมอ้ น่ื อีก หญงิ เหลา่ น้นั อยากดมื่ สรุ าเหมอื นอยา่ งนั้น จึงเข้าไปหานางวสิ าขา
กล่าววา่ " แม่เจ้า โปรดพาดฉิ นั ไปชมสวนเถดิ " ถกู นางหา้ มวา่ " แมใ้ นคราวก่อน เธอทั้งหลาย
กระทาให้อปั ยศแกฉ่ นั , ไปเองเถอะ , ฉันจะไม่พาเธอทง้ั หลายไปละ" ได้พูดเอาใจวา่
" ทนี ้ี พวกดิฉนั จักไม่ทาอยา่ งนั้น" แลว้ เขา้ ไปหานางวิสาขา นน้ั พูดใหมว่ า่ " แมเ่ จา้ ดฉิ นั
ทั้งหลายประสงค์จะทาพุทธบูชา, ขอจงพาดฉิ ันทัง้ หลายไปวิหารเถิด. "
นางจงึ พูดว่า " แน่ะแม่ บดั นี้ สมควร (แท)้ , เธอทัง้ หลายจงไปจดั แจงเตรียมตวั เถอะ.
หญิงเหลา่ นัน้ ใหค้ นถอื ของหอมและระเบยี บดอกไมเ้ ปน็ ต้นด้วยผอบ หิ้วขวดมสี ัณฐานดุจกามือ
ซ่ึงเตม็ ด้วยสุรา ดว้ ยมือท้งั สองคลมุ ผ้าผืนใหญ่เขา้ ไปหานางวิสาขาแลว้ เขา้ ไปวิหารพรอ้ มกบั นาง
วิสาขานัน้ นัง่ ณ สว่ นข้างหนง่ึ ด่ืมสุราด้วยขวดอนั มีสณั ฐานดจุ กามือนั่นเองแล้วท้ิงขวดเสยี
นง่ั ตรงพระพกั ตร์พระศาสดาในโรงธรรม.
นางวสิ าขากราบทลู วา่ " พระเจา้ ขา้ ขอพระองค์ทรงแสดงธรรมแกห่ ญงิ เหลา่ นี้. "
ฝ่ายหญงิ เหลา่ น้ัน มีตัวสนั่ เทิ้มอยู่ด้วยฤทธ์ิเมา เกดิ ความคดิ ข้ึนวา่ " เราทงั้ หลายจักฟ้อน จักขบั . "

เทวบุตรมารบันดาลใหแ้ สดงกายวกิ ารแต่ไม่สาเร็จ
ลาดบั นนั้ เทวดาองค์หนงึ่ ซ่ึงนับเนื่องในหมูม่ าร คิดวา่ " บดั น้เี ราจักสิงในสรีระของหญงิ
เหล่านี้แล้ว จกั แสดงประการอันแปลกตรงพระพักตร์พระสมณโคดม" แล้วเขา้ สงิ ในสรีระของ
หญงิ เหล่านั้น บรรดาหญงิ เหลา่ นน้ั บางพวกจะเริ่มปรบมือหวั เราะ, บางพวกเรมิ่ จะฟ้อน ตรง
พระพกั ตร์พระศาสดา. พระศาสดาทรงราพงึ วา่ " น้อี ย่างไรกัน ?" ทรงทราบเหตุนั้นแล้ว ทรงดาริ
แลว้ วา่ " บดั น้ี เราจักไมใ่ ห้เทวดาผนู้ บั เนอื่ งในหมู่มารไดช้ อ่ ง เพราะเราเมื่อบาเพ็ญบารมีตลอด
กาลเทา่ น้ี ก็หาได้บาเพญ็ เพื่อมุง่ จะใหพ้ วกเทวดาผู้นบั เน่ืองในหมู่มารไดช้ ่องไม่"
เพือ่ จะใหห้ ญงิ เหล่านน้ั สังเวช จงึ ทรงเปล่งรัศมีจากพระโลมาระหว่างพระโขนง ทันใดน้ันเอง
ความมืดมนอนธการไดม้ ีแลว้ . หญงิ เหลา่ นนั้ ได้หวาดหวั่น อันมรณภยั คุกคามแลว้ ดว้ ยเหตุน้นั
สุราในท้องของหญงิ เหล่านน้ั จึงสรา่ งคลายไป.

คนจะสร่างเมา เมือ่ มรณภยั คุกคาม หรอื
ถูกความโศกอย่างแรงกลา้ ครอบงา(เร่ืองสันตตมิ หาอามาตย์)
คนขาดสติความชั่วย่อมเข้าครอบงา

๑๐๖

kalyanamitra.org

โครงการบวชอบุ าสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน

พระศาสดาทรงหายไป ณ บลั ลังกท์ ่ปี ระทับนั่ง ประทับยนื อยบู่ นยอดเขาสเิ นรุ ทรงเปล่งพระรศั มี
จากพระอณุ าโลม. ขณะนั้น แสงสวา่ งได้มีเหมือนพระจนั ทรข์ ้นึ ต้ังพันดวง.
ลาดับน้นั พระศาสดาตรัสเรยี กหญงิ เหล่านน้ั มาแลว้ ตรสั วา่ " พวกเธอ เมื่อมาสานักของเรา
ประมาทแล้วมาหาควรไม,่ เพราะความประมาทของพวกเธอนัน่ เอง เทวดาซง่ึ นบั เนอื่ ง
ในหมู่มารจงึ ได้ช่อง ให้พวกเธอทากายวกิ ารมีหวั เราะเป็นตน้ ในทซ่ี ง่ึ ไมค่ วรทากายวิการมี
หวั เราะเปน็ ตน้ , บัดนี้ พวกเธอทาความอตุ สาหะ เพอ่ื มุ่งใหไ้ ฟราคะเปน็ ต้นดับไปจึงควร" ดงั น้ี
แลว้ ตรัสพระคาถาน้ีว่า

๑. โก นุ หาโส กมิ านนฺโท นิจฺจ ปชฺชลิเต สติ
อนธฺ กาเรน โอนทธฺ า ปทปี ํ น คเวสถ.
" เม่อื โลกสันนิวาส อันไฟลกุ โพลงอยเู่ ปน็ นิตย์,
พวกเธอยังจะร่าเรงิ บนั เทงิ อะไรกันหนอ ? เธอ
ทง้ั หลายอันความมดื ปกคลมุ แลว้ ทาไมจึงไม่แสวงหา
ประทปี เล่า ?"

ผูร้ บั คาเตือนยอ่ มไดผ้ ล
ในเวลาจบพระธรรมเทศนา หญงิ ๕๐๐ ตั้งอยใู่ นโสดาปตั ติผลแล้ว. พระศาสดาทรงทราบ
ความท่ีหญงิ เหลา่ นั้นเปน็ ผตู้ ั้งม่นั อยใู่ นอจลศรัทธาแล้ว เสด็จลงจากยอดเขาสเิ นรุ ประทบั น่ังบน
พุทธอาสน์. นางวิสาขาชี้โทษของสุราโดยบคุ ลาธิษฐาน
ลาดบั น้ัน นางวสิ าขาไดก้ ราบทลู พระพทุ ธองคว์ ่า " พระเจ้าขา้ ขึ้นช่ือว่าสรุ าน้ี เลวทราม,
เพราะว่าหญิงเหลา่ น้ี ช่อื เหน็ ปานน้ี นง่ั ตรงพระพกั ตร์พระพุทธเจ้าเช่นพระองค์ ยังไม่สามารถจะ
ยงั แม้เพียงอิริยาบถให้เรียบรอ้ ยได้ เร่มิ จะลกุ ขน้ึ ปรบมอื ทาการหัวเราะ ขับ และฟ้อนเป็นตน้
แลว้ "พระศาสดาตรสั วา่ " นัน่ แหละวิสาขา ขน้ึ ชื่อว่าสุรานี้ เลวทรามแท้, เพราะประชาชนอาศยั
สรุ านี้ ถึงความพนิ าศแล้วต้งั หลายร้อย. " เมอ่ื นางวสิ าขากราบทลู ว่า " กส็ รุ านี้เกดิ ขึ้นเมอื่ ไร ?
พระเจ้าขา้ , " เพื่อจะตรัสอุปตั ตเิ หตุแหง่ สุรานั้น (แก่นางวิสาขา ) โดยพสิ ดาร จงึ ทรงนาอดีต
นทิ านมาแล้วตรสั กมุ ภชาดก ดงั นแ้ี ล.

เรือ่ งหญงิ สหายของนางวสิ าขา จบ.

สรุ ายอ่ มทาร้ายทุกคน ไม่เวน้ แมพ้ ระสาคตะเถระผู้พระอรหันต์

๑๐๗

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน

๒๐) เร่ืองนางลาชเทวธดิ า[๙๗]
ข้อความเบอื้ งต้น

พระศาสดา เมื่อประทบั อยใู่ นพระเชตวัน ทรงปรารภนางลาชเทวธิดาตรัสพระธรรมเทศนานี้
ว่า " ปุญฺญญเฺ จ ปุรโิ ส กยริ า" เปน็ ตน้ .เร่ืองเกดิ ขึ้นแลว้ ในเมอื งราชคฤห์.

หญงิ ถวายขา้ วตอกแก่พระมหากัสสป
ความพสิ ดารวา่ ท่านพระมหากสั สป อยทู่ ี่ปิปผลิคหู า เข้าฌานแลว้ ออกในวันท่ี ๗ ตรวจดทู ี่
เท่ยี วไปเพ่อื ภกิ ษาด้วยทิพยจกั ษุ เห็นหญิงรกั ษานาขา้ วสาลคี นหน่ึง เดด็ รวงข้าวสาลีทาขา้ วตอก
อยู่ พจิ ารณาว่า" หญิงนม้ี ีศรัทธาหรอื ไมห่ นอ ?" รวู้ ่า " มีศรทั ธา" ใคร่ครวญวา่ " เธอจักอาจ เพ่ือ
ทาการสงเคราะห์แก่เราหรอื ไมห่ นอ ?" รูว้ า่ " กุลธดิ าเปน็ หญงิ แกลว้ กลา้ จักทาการสงเคราะห์เรา
, กแ็ ลครน้ั ทาแลว้ จักไดส้ มบตั ิเป็นอันมาก" จงึ ครองจีวรถือบาตร ไดย้ ืนอยูท่ ่ีใกล้นาขา้ วสาลี.
กลุ ธิดาพอเหน็ พระเถระกม็ จี ติ เลอ่ื มใส มสี รรี ะอันปตี ิ ๕ อย่างถูกต้องแล้ว กลา่ ววา่ " นิมนต์หยุด
ก่อน เจา้ ขา้ " ถอื ข้าวตอกไปโดยเร็ว เกล่ยี ลงในบาตรของพระเถระแลว้ ไหวด้ ว้ ยเบญจางคประ
ดิษฐ์8 ได้ทาความปรารถนาว่า " ทา่ นเจา้ ข้า ขอดฉิ ันพงึ เป็นผมู้ สี ว่ นแห่งธรรมท่ที ่านเห็นแล้ว. "

สทั ธาสตู ร (วา่ ด้วยอานิสงสแ์ หง่ ศรัทธา)
๑) เมื่อจะอนุเคราะห์ ๒) เมอ่ื จะเขา้ ไปหา ๓) เมือ่ จะต้อนรบั
๔) เมอื่ จะแสดงธรรม ใหท้ ากับผู้มีศรทั ธากอ่ น
๕) กุลบุตรผู้มศี รัทธา หลังจากตายแล้วยอ่ มเกดิ ในสคุ ตโิ ลกสวรรค

จติ เลอื่ มใสในทานไปเกิดในสวรรค์
พระเถระไดท้ าอนุโมทนาว่า" ความปรารถนาอยา่ งนนั้ จงสาเร็จ. "ฝ่ายนางไหว้พระเถระแล้ว
พลางนกึ ถงึ ทานทีต่ นถวายแลว้ กลบั ไป. ก็ในหนทางท่ีนางเดินไป บนคันนา มงี พู ิษรา้ ยนอนอยู่
ในรแู หง่ หนงึ่ . งไู มอ่ าจขบกัดแข้งพระเถระอนั ปกปิดดว้ ยผา้ กาสายะได้. นางพลางระลกึ ถึงทาน
กลบั ไปถงึ ทีน่ น้ั . งเู ลื้อยออกจากรู กดั นางให้ลม้ ลง ณ ทีน่ ั้นเอง.นางมีจิตเลอื่ มใส ทากาละแล้ว

มัฏฐกุณฑลีทาจิตเลอ่ื มใสพระศาสดากอ่ นตาย เกิดในวมิ านทอง ๓๐ โยชน์

8คาว่า เบญจางคประดษิ ฐ์ แปลว่า ต้ังไวเ้ ฉพาะซึ่งองค์ ๕ หมายความวา่ ไหว้ไดอ้ งค์ ๕ คอื หน้าผาก ๑ ฝ่ามอื ทงั้ ๒
และเข่าท้ัง ๒ จดลงทีพ่ น้ื จงึ รวมเป็น ๕

๑๐๘

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน

ไปเกิดในวิมานทองประมาณ ๓๐ โยชน์ในภพดาวดึงส์ มีอัตภาพประมาณ ๓ คาวตุ 9ประดับ
เคร่อื งอลังการทกุ อยา่ ง เหมอื นหลับแล้วตนื่ ข้นึ .

เชื่อตอนเปน็ ดีกว่าเห็นตอนตาย
เทพธดิ าอยากใหท้ ิพยสมบัติที่ถาวรดว้ ยการทาวตั รปฏบิ ตั ิแก่พระเถระ
เราไม่ตอ้ งรอเป็นเทพธิดาแลว้ คอ่ ยมาทาแตเ่ พราะคนเม่อื ยงั ไม่เห็นผลบุญ
ยอ่ มไมเ่ ช่อื จึงไมม่ ีกาลังใจท่ีจะลงมือทาความดี

วธิ ีทาทิพยสมบตั ใิ ห้ถาวร
นางน่งุ ผ้าทิพย์ประมาณ ๑๒ ศอกผนื หนง่ึ ห่มผนื หน่ึง แวดล้อมดว้ ยนางอปั สรต้ังพนั เพอ่ื
ประกาศบรุ พกรรม จงึ ยนื อยทู่ ่ีประตูวมิ านอันประดับดว้ ยขันทองคา เตม็ ดว้ ยขา้ วตอกทองคาห้อย
ระย้าอยู่ ตรวจดสู มบตั ขิ องตน ใคร่ครวญดว้ ยทิพยจักษวุ ่า " เราทากรรมสง่ิ ไรหนอ จึงได้สมบตั ิ
น้ี" ไดร้ ู้ว่า " สมบตั ิเราไดแ้ ลว้ เพราะผลแหง่ ข้าวตอกทเี่ ราถวายพระผเู้ ปน็ เจา้ มหากัสสปเถระ. "
นางคิดว่า " เราได้สมบตั ิเห็นปานน้ีเพราะกรรมนดิ หน่อยอยา่ งน้ี บัดนีเ้ ราไม่ควรประมาท, เราจกั
ทาวัตรปฏิบัตแิ กพ่ ระผเู้ ป็นเจา้ ทาสมบตั ิน้ใี ห้ถาวร " จึงถือไมก้ วาด และกระเชา้ สาหรบั เทมลู ฝอย
สาเร็จดว้ ยทองไปกวาดบรเิ วณของพระเถระ แล้วต้งั นา้ ฉนั น้าใชไ้ ว้แต่เช้าตรู่.
พระเถระเหน็ เชน่ นั้นสาคญั ว่า " จักเป็นวตั รท่ีภิกษุหนุ่มหรอื สามเณรบางรูปทา"
แมใ้ นวนั ท่ี ๒ นางกไ็ ดท้ าอยา่ งนั้น ฝา่ ยพระเถระกส็ าคัญเชน่ น้ันเหมือนกัน.
แตใ่ นวันท่ี ๓ พระเถระไดย้ ินเสยี งไม้กวาดของนางและเห็นแสงสว่างแหง่ สรรี ะฉายเขา้ ไปทาง
ช่องลกู ดาล จึงเปดิ ประตู (ออกมา) ถามว่า " ใครนัน่ กวาดอยู่ ?"

นาง. ทา่ นเจ้าขา้ ดฉิ ันเอง เปน็ อุปัฏฐายิกาของทา่ น ชื่อลาชเทวธดิ า.
พระเถระ. อันอปุ ัฏฐายิกาของเรา ผมู้ ชี อ่ื อย่างน้ี ดเู หมือนไมม่ ี.
นาง. ทา่ นเจ้าขา้ ดฉิ นั ผรู้ กั ษานาข้าวสาลี ถวายขา้ วตอกแล้ว มจี ติ เล่ือมใสกาลังกลับไป
ถูกงูกัด ทากาละแลว้ บงั เกิดในเทวโลกชัน้ ดาวดงึ ส,์ ท่านเจ้าขา้ ดฉิ นั คิดวา่ " สมบัตนิ ี้เราได้เพราะ
อาศยั พระผ้เู ป็นเจ้า , แมใ้ นบัดน้ี เราจกั ทาวตั รปฏบิ ัติแกท่ า่ น ทาสมบตั ิใหม้ ั่นคง, จงึ ไดม้ า" .
พระเถระ ท้ังวานนที้ ั้งวานซนื นี้ เจ้าคนเดยี วกวาดทนี่ ี่, เจ้าคนเดยี วเข้าไปต้งั นา้ ฉนั น้าใชไ้ ว้

9คาวุต ๑ ยาวเท่ากับ ๑๐๐ เสน้ .

๑๐๙

kalyanamitra.org

โครงการบวชอบุ าสิกาแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน

หรือ ?
นาง. อยา่ งน้นั เจ้าข้า.
พระเถระ. จงหลีกไปเสีย นางเทวธิดา, วัตรทเี่ จา้ ทาแลว้ จงเปน็ อันทาแล้ว, ตง้ั แต่นี้ไป เจา้

อย่ามาทนี่ ี้ (อกี )
นาง. อย่าให้ดฉิ ันฉบิ หายเสียเลย เจ้าขา้ , ขอพระผ้เู ปน็ เจา้ จงให้ดฉิ นั ทาวตั รแก่พระผ้เู ป็น

เจ้า ทาสมบตั ิของดฉิ ันให้ม่นั คงเถดิ .

พระอรหันต์เถระ ผู้มองการณไ์ กล ผเู้ ปน็ แบบอยา่ งใหก้ ับอนุชนร่นุ หลัง
ต้องไมม่ ีขอ้ เสยี หายให้ถูกตาหนิ ในเร่อื งความประพฤติ ข้อวตั รปฏบิ ัติ

พระเถระ. จงหลีกไป นางเทวธดิ า, เจ้าอย่าทาใหเ้ ราถูกพระธรรมกถึกทงั้ หลาย น่ังจับพัด
อนั วจิ ติ ร พงึ กล่าวในอนาคตว่า " ไดย้ นิ วา่ นางเทวธดิ าผู้หนง่ึ มาทาวตั รปฏิบตั ิ เข้าไปตงั้ น้าฉันนา้
ใช้ เพ่อื พระมหากัสสปเถระ, " แตน่ ไ้ี ป เจา้ อยา่ มา ณ ท่นี ี้ จงกลับไปเสีย.

นางจึงออ้ นวอนซ้า ๆ อกี ว่า " ขอทา่ นอยา่ ใหด้ ฉิ ันฉิบหายเลยเจ้าขา้ "
พระเถระคดิ วา่ " นางเทวธิดานี้ไมเ่ ช่อื ฟงั ถ้อยคาของเรา" จึงปรบมือดว้ ยกล่าวว่า " เจ้าไม่รจู้ ัก
ประมาณของเจา้ . "
นางไม่อาจดารงอยใู่ นท่นี ้ันได้ เหาะขึน้ ในอากาศ ประคองอัญชลีได้ยนื ร้องไห้
(คร่าครวญอยู่)ในอากาศวา่ " ท่านเจ้าข้า อยา่ ให้สมบตั ทิ ีด่ ิฉันไดแ้ ลว้ ฉิบหายเสยี เลย , จงให้เพ่ือทา
ใหม้ ั่นคงเถิด. "

การสารวมศลี เปน็ หน้าที่ของพระ การขวนขวายทาบญุ เปน็ ภาระของโยม

บุญให้เกดิ สุขในภพท้ังสอง
พระศาสดา ประทบั นัง่ ในพระคันธกุฎนี ัน่ เอง ทรงสดับเสยี งนางเทวธดิ านั้นร้องไห้
ทรงแผ่พระรัศมดี จุ ประทับน่ังตรัสอยู่ในที่เฉพาะหน้านางเทวธดิ า ตรสั วา่
" เทวธดิ า การทาความสงั วรนัน่ เทียว เปน็ ภาระ"ของกัสสปผ้บู ุตรของเรา , แตก่ ารกาหนดว่า
" นเ้ี ป็นประโยชน์ของเราแล้วมงุ่ กระทาแตบ่ ุญ ย่อมเป็นภาระของผู้มีความต้องการดว้ ยบญุ ,
ดว้ ยวา่ การทาบุญเป็นเหตใุ หเ้ กิดสุขอย่างเดียว ทั้งในภพนี้ ทัง้ ในภพหน้า" ดงั นี้
เมือ่ จะทรงสืบอนสุ นธแิ สดงธรรม จึงตรสั พระคาถานว้ี า่

๑๑๐

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน

๓. ปุญฺญญเฺ จ ปรุ โิ ส กยริ า กยริ าเถน ปุนปปฺ ุน
ตมฺหิ ฉนทฺ กยริ าถ สโุ ข ปุญฺญสฺส อจุ จฺ โย.
" ถา้ บรุ ุษพงึ ทาบุญไซร้ , พึงทาบญุ น้ันบอ่ ย ๆ พงึ

ทาความพอใจในบุญนั้น , เพราะว่า ความสั่งสมบญุ
ทาให้เกดิ สขุ ."

เทพธดิ าบรรลุธรรมได้ แม้ยืนบนอากาศ ในท่ีไกล

ในกาลจบเทศนา นางเทวธดิ านนั้ ยืนอยู่ในทส่ี ุดทาง ๔๕ โยชนน์ นั่ แล ได้บรรลุโสดาปัตตผิ ล
แลว้ ดังน้นั แล.

เรอ่ื งนางลาชเทวธดิ า จบ

๑๑๑

kalyanamitra.org

โครงการบวชอบุ าสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน

๒๑) เรอ่ื งนางปติปชู กิ า [๓๖]

ข้อความเบือ้ งตน้

พระศาสดาเมื่อประทบั อย่ใู นกรุงสาวตั ถี ทรงปรารภหญงิ ชอ่ื ปติปชู กิ า ตรสั พระธรรม

เทศนาน้วี ่า "ปปุ ผฺ านิ เหว" เป็นต้น. เทวดาจุติดว้ ยเหตุ(๑-๔ เรอ่ื งสามาวดี)
เรอื่ งตั้งขึน้ ในดาวดงึ สเทวโลก. ๑) สิ้นอายุ ๒) สิ้นบญุ ๓) สนิ้ อาหาร

๔) โกรธ ๕) อธิษฐานจิตมาจุติ

เทพธิดาจตุ แิ ล้วเกิดในกรุงสาวตั ถี
ไดย้ นิ วา่ เทพบตุ รนามวา่ มาลาภารใี นดาวดึงสเทวโลกนน้ั มีนางอปั สรพนั หนึ่งแวดล้อม
แล้ว เข้าไปสสู่ วน. เทพธิดา ๕๐๐ ข้ึนสตู่ ้นไม้ยังดอกไม้ให้ตกอยู่. เทพธดิ า ๕๐๐
เกบ็ เอาดอกไมท้ ่เี ทพธดิ าเหลา่ นน้ั ให้ตกแลว้ ประดบั เทพบตุ ร.
บรรดาเทพธดิ าเหล่านนั้ เทพธดิ าองคห์ น่งึ จุติบนกงิ่ ไม้นั่นแล. สรีระดับไปดุจเปลวประทปี นาง
ถอื ปฏิสนธใิ นเรือนแห่งตระกลู หน่งึ ในกรงุ สาวัตถี
ในเวลาทน่ี างเกิดแล้ว เปน็ หญิงระลึกชาติได้ ระลกึ อยวู่ า่ "เราเปน็ ภริยาของมาลาภารี
เทพบตุ ร" ถงึ ความเจรญิ กระทาการบชู าด้วยของหอมและดอกไมเ้ ป็นต้น ปรารถนาการเกิด
เฉพาะในสานักสามี.นางแมไ้ ปสู่ตระกูลอืน่ ในเวลามีอายุ ๑๖ ปี ถวายสลากภตั ปกั ขกิ ภตั และวสั
สาวาสกิ ภตั เป็นต้นแล้ว ยอ่ มกล่าววา่ "ส่วนแห่งบญุ น้ีจงเป็นปจั จัยเพื่อประโยชน์แกอ่ ันบงั เกิดใน
สานกั สามีของเรา."

สลากภตั ถวายภตั ทุกวันตามจานวน
ปักขกิ ภัต ถวายภัตทุก ๑๕ วันตามจานวน
วสั สาวาสิกภตั ถวายภัตทุกวันตามจานวนพระชว่ งเข้าพรรษา

จุติจากมนุษยโลกแลว้ ไปเกดิ ในสวรรค์
ลาดับน้นั ภิกษุทัง้ หลายทราบวา่ "นางน้ี ลกุ ขน้ึ เสรจ็ สรรพแลว้ ยอ่ มปรารถนาสามี
เทา่ นนั้ "จึงขนานนามของนางว่า "ปตปิ ูชิกา."
แม้นางปติปชู ิกาน้ัน ย่อมปฏิบัติโรงฉนั เข้าไปต้ังนา้ ฉนั ปอู าสนะเปน็ นติ ย์.
มนุษยแ์ มพ้ วกอนื่ ใคร่เพอ่ื จะถวายสลากภตั เปน็ ตน้ นามามอบให้ด้วยคาว่า "แม่ ท่านจงจดั แจงภัต
เหลา่ น้ี แก่ภกิ ษสุ งฆ์."แมน้ างเดินไปเดนิ มาอยโู่ ดยทานองนั้นได้กุศลธรรม ๕๖ทุกยา่ งเทา้ .

๑๑๒

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสิกาแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน

นางตงั้ ครรภแ์ ล้ว. นางกค็ ลอดบตุ ร โดยกาลอันล่วงไป ๑๐ เดือน.ในกาลท่บี ุตรนั้นเดินได้ นางได้
บตุ รแม้อนื่ ๆ รวม ๔ คน. ในวนั หนงึ่ นางถวายทานทาการบชู า ฟงั ธรรม รกั ษาสิกขาบท ในเวลา
เปน็ ท่สี ุดแห่งวันกท็ ากาละด้วยโรคชนิดใดชนดิ หน่ึง ซงึ่ บังเกดิ ขึน้ ในขณะนน้ั แลว้ บังเกดิ ใน
สานกั สามเี ดมิ ของตน.

ทาบญุ กุศลแลว้ ตง้ั ความปรารถนา เม่อื บุญส่งผล ยอ่ มสาเรจ็ ตามท่ีต้องการ

อายุของมนษุ ยป์ ระมาณ ๑๐๐ปี
ฝา่ ยนางเทพธดิ านอกนกี้ าลงั ประดับอยู่นั่นเอง ตลอดกาลเท่านี้. เทพบตุ รเหน็ นางน้นั
กล่าววา่ "เธอหายหน้าไปตั้งแต่เชา้ , เธอไปไหนมา?"
เทพธิดา. ดฉิ ันจตุ คิ ะ่ นาย.
เทพบุตร. เธอพดู อะไร?
เทพธิดา.ขอ้ นน้ั เป็นอย่างนี้ นาย.
เทพบุตร. เธอเกิดแล้วในทไี่ หน?
เทพธิดา. เกดิ ในเรือนแหง่ ตระกลู ในกรุงสาวัตถี.
เทพบุตร. เธอดารงอยู่ในกรงุ สาวัตถีนนั้ ส้ินกาลเท่าไร?
เทพธดิ า. ข้าแต่นาย ดฉิ นั ออกจากท้องมารดา โดยกาลอันลว่ งไป ๑๐เดือน ในเวลาอายุ
๑๖ ปี ไปสูต่ ระกูลสามี คลอดบุตร ๔ คน ทาบญุ มที านเปน็ ตน้ ปรารถนาถงึ นาย มาบังเกดิ แล้วใน
สานกั ของนายตามเดิม.
เทพบตุ ร.อายุของมนุษย์มปี ระมาณเท่าไร?
เทพธิดา. ประมาณ ๑๐๐ ป.ี
เทพบตุ ร. เทา่ นน้ั เองหรือ?
เทพธิดา. คะ่ นาย.
เทพบุตร. พวกมนุษย์ถือเอาอายุประมาณเทา่ นีเ้ กิดแลว้ เป็นผู้ประมาทเหมือนหลบั
ยังกาลใหล้ ว่ งไปหรอื ? หรอื ทาบญุ มีทานเป็นต้น?
เทพธดิ า. พูดอะไร นาย, พวกมนุษยป์ ระมาทเป็นนิตย์ประหน่ึงถอื เอาอายตุ ั้งอสงไขย
เกิดแลว้ ประหนึง่ ว่าไม่แก่ไม่ตาย.
ความสังเวชเป็นอันมาก ได้เกิดขนึ้ แก่มาลาภารเี ทพบุตรว่า "ทราบวา่ พวกมนษุ ยถ์ ือเอา
อายปุ ระมาณ ๑๐๐ ปีเกดิ แล้ว ประมาท นอนหลบั อยู่, เม่อื ไรหนอ? จงึ จกั พน้ จากทุกขไ์ ด้."

๑๑๓

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน

๑๐๐ปีของมนุษยเ์ ทา่ ๑ วนั ในสวรรค์

ก็๑๐๐ปขี องพวกเรา เปน็ คืนหน่งึ วันหนึ่งของพวกเทพเจ้าชนั้ ดาวดงึ ส์, ๓๐ราตรีโดย

ราตรนี ัน้ เปน็ เดือนหน่ึง, กาหนดด้วย ๑๒ เดือนโดยเดอื นน้นั เป็นปหี นึ่ง, ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ โดยปี

นัน้ เป็นประมาณอายุของเทพเจา้ ชน้ั ดาวดงึ ส์, ๑,๐๐๐ ปที ิพย์นนั้ โดยการนับในมนษุ ย์เป็น ๓ โกฏิ

๖ ล้านปี.

เพราะฉะน้ันแม้วันเดยี วของเทพบุตรน้นั กย็ งั ไม่ลว่ งไป ไดเ้ ป็นกาลเชน่ ครู่เดยี วเทา่ นัน้ .

ข้นึ ชือ่ วา่ ความประมาทของสตั ว์ผูม้ ีอายนุ ้อยอยา่ งน้ี ไม่ควรอย่างยง่ิ แล.

ในวนั รุ่งขึน้ พวกภกิ ษเุ ขา้ ไปสู่บา้ น เหน็ โรงฉันยังไมไ่ ด้จดั อาสนะยังไม่ไดป้ ู นา้ ฉนั ยัง

ไมไ่ ด้ตัง้ ไว้ จึงกล่าววา่ "นางปติปชู กิ าไปไหน?"

ชาวบ้าน. ทา่ นผ้เู จรญิ พระผเู้ ปน็ เจ้าท้งั หลายจักเหน็ นาง ณทไี่ หน? วนั วานนี้ เมอื่ พระผู้

เป็นเจ้าฉนั แล้ว (กลบั ) ไป, นางตายในตอนเย็น. อุปฏั ฐายกิ าตาย พระก็เศร้า

ภกิ ษุปุถุชนฟังคานนั้ แลว้ ระลึกถึงอปุ การะของนางนั่นไม่อาจจะกลัน้ นา้ ตาไว้ได้, ธรรม
สังเวชได้เกิดแกพ่ ระขีณาสพ.ภกิ ษุเหลา่ นนั้ ทาภตั กิจแล้ว ไปวิหาร ถวายบังคมพระศาสดา ทูล
ถามวา่ "ขา้ แต่พระองค์ผเู้ จริญ อุบาสิกาชอื่ ปตปิ ชู ิกา ลุกขึ้นเสร็จสรรพแล้วทาบญุ มปี ระการตา่ งๆ
ปรารถนาถึงสามีเท่านั้น, บดั น้ี นางตายแล้ว (ไป) เกิด ณที่ไหน?"

พระศาสดา. ภิกษทุ ั้งหลายนางเกิดในสานกั สามขี องตนนน่ั แหละ.
ภิกษุ. ในสานักสามี ไม่มพี ระเจ้าขา้ .
พระศาสดา. ภิกษทุ ง้ั หลาย นางปรารถนาถึงสามนี ัน่ ก็หามิได้, มาลาภารเี ทพบตุ ร ใน
ดาวดึงสพิภพ เป็นสามีของนาง, นางเคลื่อนจากท่ีประดับดอกไมข้ องสามนี น้ั แลว้ ไปบังเกิดใน
สานักสามีน้นั นนั่ แลอีก.
ภกิ ษุ. ไดย้ นิ วา่ อยา่ งนัน้ หรอื ? พระเจา้ ขา้ .
พระศาสดา. อย่างน้นั ภกิ ษทุ ัง้ หลาย.
ภกิ ษุนา่ สังเวช ! ชีวติ ของสัตว์ท้ังหลายน้อย (จรงิ ) พระเจา้ ขา้ เชา้ ตรนู่ างองั คาสพวกขา้
พระองค์ ตอนเย็น ตายดว้ ยพยาธทิ ี่เกิดขึน้ .
พระศาสดา. อยา่ งนน้ั ภิกษุทง้ั หลายชอ่ื วา่ ชวี ิตของสัตว์ท้ังหลายน้อย (จริง), เหตุนั้นแล
มจั จุผู้กระทาซึ่งทีส่ ดุ ยังสัตวเ์ หลา่ น้ซี ่งึ ไม่อิ่ม ดว้ ยวัตถกุ ามและกิเลสกามน่ันแลใหเ้ ป็นไปใน

๑๑๔

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน

อานาจของตนแล้ว ยอ่ มพาเอาสตั วท์ ่คี ร่าครวญ ร่าไรไป"

ดงั นี้แล้ว ตรสั พระคาถานว้ี า่ :-

๔. ปปุ ผฺ านิ เหว ปจินนฺต พฺยาสตฺตมนส นร

อตติ ฺตเยว กาเมสุ อนตฺ โก กรุ ุเต วส ฯ

มจั จุ ผทู้ าซง่ึ ที่สดุ กระทานระผูม้ ใี จข้องในอารมณต์ ่างๆ

เลอื กเก็บดอกไม้อย่เู ทยี ว ผู้ไม่อิม่ ในกามท้งั หลายนน่ั แล

สู่อานาจ.

ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลท้งั หลาย มีโสดาปัตติผลเปน็ ตน้ ,
เทศนามปี ระโยชน์แก่มหาชน ดังนแ้ี ล.

เรอ่ื งนางปติปูชกิ า จบ.

๑๑๕

kalyanamitra.org

โครงการบวชอบุ าสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน

๒๒) เรอื่ งภกิ ษุรปู ใดรูปหนงึ่ [๒๕]
ขอ้ ความเบอื้ งต้น

พระศาสดาเมื่อประทับอยใู่ นพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุรูปใดรปู หนึ่ง ตรัสพระธรรม
เทศนาน้วี า่ "ทุนฺนคิ คฺ หสฺส ลหุโน" เปน็ ต้น.

พระฝากปากทอ้ งไว้กบั โยม โยมจึงมีโอกาสรักษาศลี และเรียนธรรมะกับพระ

อุบาสกิ าจัดทอ่ี ยู่ถวายภิกษุ ๖๐ รูป
ได้ยนิ วา่ ไดม้ ีบา้ นตาบลหนง่ึ ชอ่ื มาตกิ คาม ใกลเ้ ชงิ เขา ในแวน่ แคว้นของพระเจ้าโกศล.
ภายหลังวนั หน่งึ ภกิ ษุประมาณ ๖๐ รูปทูลอาราธนาให้ตรสั บอกพระกมั มฏั ฐานจนถงึ พระอรหตั
ในสานักของพระศาสดาแลว้ ไปสู่บ้านน้ัน เข้าไปเพอื่ บณิ ฑบาต.
ลาดบั น้นั เจา้ ของบา้ นนั้นชือ่ มาตกิ ะใด มารดาของเจ้าของบ้านนัน้ เหน็ ภิกษุเหล่าน้นั แลว้ นิมนต์
ใหน้ ั่งในเรือน จึงองั คาสดว้ ยขา้ วยาคูและภตั อนั มรี สเลศิ ตา่ ง ๆถามวา่
" พวกทา่ นประสงคจ์ ะไป ณ ทไ่ี หน ? เจ้าขา้ . "
ภกิ ษุเหล่าน้ันบอกว่า " พวกฉันมีความประสงค์จะไปสูท่ ตี่ ามความผาสกุ มหาอบุ าสกิ า. "
นางทราบวา่ " พระผเู้ ป็นเจา้ ทั้งหลาย ชะรอยจะแสวงหาสถานท่ีสาหรับจาพรรษา จึงหมอบลงที่
ใกล้เทา้ แล้วกลา่ วว่า " ถ้าพระผู้เปน็ เจ้าท้งั หลายจักอย่ใู นทนี่ ี้ตลอด ๓ เดือนนี้ไซร้, ดฉิ ันจักรับ
สรณะ ๓ ศีล ๕(และ) ทาอุโบสถกรรม. " ภกิ ษทุ ้ังหลายปรกึ ษากนั วา่ " เราท้ังหลายเมอ่ื อาศัย
อบุ าสกิ านี้ ไมม่ คี วามลาบากด้วยภกิ ษา จกั สามารถทาการสลัดออกจากภพได้" ดงั น้ี แลว้ จึง
รบั คา. นางไดช้ าระวิหารอนั เปน็ ท่อี ยูถ่ วายแกภ่ ิกษุเหลา่ นัน้ .

ภิกษุ ๖๐ รปู ทากตกิ ากนั
ภิกษเุ หล่านน้ั เมอ่ื อย่ใู นท่ีนั้น วันหน่ึง ไดป้ ระชมุ กนั แล้วตักเตือนกันและกันว่า
" ผูม้ ีอายุ พวกเราไมค่ วรประพฤตโิ ดยความประมาทเพราะว่ามหานรก ๑- ๘ ขมุ มีประตเู ปิด
(คอยท่า) พวกเราเหมอื นอย่างเรือนของตนทเี ดยี ว. กแ็ ลพวกเราได้เรียนพระกัมมฏั ฐานในสานกั
ของพระพทุ ธเจา้ ผ้ยู ังทรงพระชนม์อยแู่ ลว้ จึงมา. ก็ธรรมดาพระพุทธเจา้ ท้ังหลาย อันใคร ๆ
ผ้โู อ้อวด แม้เทยี่ วไปตามรอยพระบาทกไ็ ม่สามารถใหท้ รงโปรดปรานได้. (แต่) บคุ คลผู้มี
อธั ยาศยั เป็นปกติเท่านน้ั สามารถใหท้ รงโปรดปรานได้ ทา่ นท้งั หลายจงเป็นผไู้ มป่ ระมาทเถิด.
พวกเราไมค่ วรยืน ไม่ควรนัง่ ในทแี่ หง่ เดียวกนั ๒ รปู แต่ว่าในกาลเปน็ ทบี่ ารงุ พระเถระในเวลา
เย็นแล และในกาลเปน็ ท่ีภกิ ษาจารในเวลาเช้าเท่านนั้ พวกเราจกั รวมกนั , (แต่) ในกาลทเ่ี หลือจัก

๑๑๖

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน

ไมอ่ ยู่รวมกัน ๒ รปู .กอ็ กี อยา่ งหนึ่งแล เมื่อภิกษุผูไ้ ม่มคี วามผาสกุ มาตรี ะฆังในทา่ มกลางวิหารขึน้
แล้ว พวกเราจงึ จักมาตามสัญญาแหง่ ระฆงั แล้ว ทายาให้แก่ภกิ ษุนน้ั . "

คนชา่ งสังเกต และไม่ด่วนสรปุ อะไรก่อน จนกว่าจะรู้ชดั ด้วยการสอบถามให้ชัด

ภิกษมุ าประชุมกนั ด้วยเสยี งระฆัง
เมือ่ ภิกษุเหลา่ น้นั ทากติกากันอย่างน้ีอยู่, วันหน่งึ อุบาสิกานนั้ ให้บุคคลถอื เภสัชท้งั หลาย มเี นย
ใสและน้าออ้ ยเปน็ ตน้ อันชนทั้งหลายมที าสและกรรมกรเป็นต้น แวดล้อมเดินไปสูว่ หิ ารน้ันใน
เวลาเย็น ไมเ่ ห็นภิกษทุ งั้ หลายในท่ามกลางวหิ ารแล้ว จึงถามพวกบุรุษวา่
" พระผู้เปน็ เจา้ ทั้งหลาย ไปเสยี ณ ทไ่ี หนหนอแล ?"
เมอื่ พวกเขาบอกว่า " แมค่ ุณพระผเู้ ป็นเจ้าทั้งหลายจกั เปน็ ผูน้ ัง่ อยู่ในทพ่ี ักกลางคนื และที่พัก
กลางวนั ของตน ๆ (เทา่ นนั้ )"
จงึ กล่าว (ต่อไป) ว่า " ฉันทาอย่างไรเลา่ หนอ จงึ จกั สามารถพบ (พวกพระผเู้ ป็นเจ้า) ได.้ "
ลาดบั นัน้ มนุษยท์ ัง้ หลายท่รี กู้ ตกิ วตั รของภิกษุสงฆ์ จงึ บอกกะอบุ าสิกานั้นวา่
" คุณแม่ พระผู้เป็นเจ้าทงั้ หลายจักประชมุ กัน ในเม่อื บคุ คลมาตีระฆัง. " นางจงึ ใหต้ รี ะฆัง ภิกษุ
ท้งั หลายไดย้ นิ เสียงระฆงั แลว้ ออกจากท่ีของตน ๆ ดว้ ยสาคญั ว่า " ภิกษุบางรูปจักไมม่ ีความผาสกุ
, "จงึ ประชมุ กนั ในทา่ มกลางวิหาร. ภิกษุช่ือว่า เดนิ มาโดยทางเดียวกันแม้๒ รปู ยอ่ มไมม่ ี.

อบุ าสิกาเจริญสมณธรรมตามทภ่ี ิกษบุ อก
อุบาสกิ าเหน็ ภิกษุรปู หนึ่ง ๆ เท่าน้นั เดนิ มาจากท่ีแหง่ หน่ึง ๆ จึงคดิ ว่า " (ชะรอย) พระผเู้ ปน็
เจ้าผู้เป็นบุตรของเราจกั ทาความทะเลาะวิวาทแกก่ นั และกัน" ดงั นแี้ ล้ว ไหวภ้ ิกษสุ งฆก์ ลา่ วว่า
" ทา่ นผเู้ จรญิ ทา่ นท้งั หลายได้ทาความทะเลาะกันหรือ ?"
ภกิ ษทุ ั้งหลายกลา่ ววา่ " พวกฉนั หาไดท้ าความทะเลาะววิ าทกันไมม่ หาอุบาสกิ า. "
อบุ าสกิ า. ท่านผูเ้ จริญ ถา้ พวกท่านไมม่ คี วามทะเลาะวิวาทกนั ไซร้,เมือ่ เป็นเช่นน้ัน เหตไุ ร
พวกทา่ นจึงไมม่ า เหมือนเมอื่ มาส่เู รือนของดิฉัน มาโดยรวมกนั ทงั้ หมด, (น่ีกลบั ) มาทีละองค์ ๆ
จากทแ่ี ห่งหน่ึง ๆ.
ภกิ ษุ. มหาอบุ าสิกา พวกฉนั นัง่ ทาสมณธรรมในท่ีแห่งหนงึ่ ๆ.
อบุ าสกิ า. พอ่ คณุ ทั้งหลาย ชือ่ วา่ สมณธรรมนั้นคืออะไร ?
ภกิ ษุ. มหาอุบาสกิ า พวกฉนั ทาการสาธยายอาการ ๓๒ เริ่มต้ังซ่งึ ความสนิ้ และความเสอ่ื มใน
อตั ภาพอยู่.

๑๑๗

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน

อบุ าสกิ า. ทา่ นเจ้าขา การทาการสาธยายอาการ10 ๓๒ และการเรมิ่ ตั้งความสน้ิ ความเสอ่ื มใน
อตั ภาพ ยอ่ มสมควรแกพ่ วกท่านเทา่ นั้น หรอื ย่อมสมควรแกพ่ วกดฉิ นั ดว้ ยเลา่ ?
ภิกษุ. มหาอบุ าสกิ า ธรรมนี้ อนั พระผูม้ ีพระภาคเจา้ มไิ ดท้ รงหา้ มแก่ใคร ๆ.

อุบาสกิ า. ถา้ อยา่ งนั้น ขอพวกทา่ นจงใหอ้ าการ ๓๒ และขอจงบอกการเรม่ิ ตัง้ ซ่ึงความสน้ิ
และความเส่ือมในอัตภาพ แก่ดิฉนั บ้าง.

ภกิ ษุ. มหาอุบาสกิ า ถา้ อย่างน้ัน ทา่ นจงเรียนเอา. แลว้ ใหเ้ รียนเอาท้งั หมด.

วิตถารสูตร

การบรรลธุ รรมชา้ หรือเรว็ ขนึ้ อยู่กับอนิ ทรยี ์ ๕ (ศรัทธา,วริ ยิ ะ,สติ,สมาธิ,ปญั ญา)
ของแตล่ ะคน ใครทาได้พอดี ถูกสว่ นก่อนกบ็ รรลธุ รรมก่อน
การปฏิบัติได้สะดวก หรอื ลาบาก ขึ้นอยูก่ บั
ปจั จัยภายนอก เรยี กว่า สปั ปายะ ๔ – สถานที่,อาหาร,บคุ คล,ธรรมะ
ปจั จัยภายใน เรยี กว่า อนิ ทรยี ์สังวร ราคะ, โทสะ, โมหะ น้อย, กเิ ลสในใจน้อย

อุบาสกิ าบรรลมุ รรค ๓ ผล ๓ ก่อนภิกษุ
จาเดิมแต่นนั้ อบุ าสกิ านั้นก็ไดท้ าการสาธยายซ่งึ อาการ ๓๒ (และ)เรม่ิ ตั้งไวซ้ ึ่งความสน้ิ ไป
และความเสอ่ื มไปในตน ได้บรรลุมรรค ๓ ผล ๓ก่อนกว่าภกิ ษเุ หลา่ นั้นทเี ดยี ว. ปฏสิ ัมภทิ า ๔
และโลกยิ อภญิ ญา ไดม้ าถึงแก่อุบาสกิ านั้นโดยมรรคนน่ั แล. นางออกจากสขุ อันเกดิ แตม่ รรคและ
ผลแลว้ ตรวจดดู ว้ ยทพิ ยจักษใุ ครค่ รวญอย่วู ่า " เมอื่ ไรหนอแล ?พระผเู้ ปน็ เจา้ ผู้เปน็ บุตรของเราจึง
จกั บรรลธุ รรมน้ี" แล้วราพึง (ตอ่ ไป) วา่ " พระผู้เป็นเจ้าเหล่านท้ี งั้ หมด ยงั มีราคะ ยังมโี ทสะ ยังมี
โมหะ,พระผู้เป็นเจ้าเหลา่ นั้นมิไดม้ คี ณุ ธรรมแมส้ กั วา่ ฌานและวปิ ัสสนาเลย อปุ นสิ ัยแห่งพระ
อรหตั ของพระผู้เปน็ เจา้ ผบู้ ตุ รของเรา มอี ยู่หรือไม่หนอ ?" เห็นว่า" มี" ดังนแี้ ล้ว จงึ ราพงึ (ตอ่ ไป)
ว่า" เสนาสนะเป็นทีส่ บาย จะมีหรือไม่มีหนอ ?" เหน็ แมเ้ สนาสนะเป็นท่ีสบายแลว้ จงึ ราพงึ

10คอื ผม ขน เลบ็ ฟนั หนัง เนอ้ื เอ็น กระดูก เยอื่ ในกระดกู มา้ ม หวั ใจ ตับพงั ผดื ไต ปอด ไสใ้ หญ่ ไส้นอ้ ย อาหารใหม่
อาหารเกา่ ดี เสลด หนอง เลอื ด เหง่อื มนั ข้นน้าตา น้ามนั เหลว น้าลาย นา้ มกู ไขขอ้ มตู ร ถ้าเตมิ มัตถลงุ คัง มนั สมองเขา้
ด้วย เปน็ ๓๒ ตามคัมภีรว์ ิสทุ ธิมรรค.

๑๑๘

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน

(ตอ่ ไปอกี ) วา่ " พระผูเ้ ป็นเจา้ ท้งั หลายของเรายงั ไมไ่ ดบ้ ุคคลเปน็ ทสี่ บายหรือหนอ ? เห็นแม้
บคุ คลเป็นท่ีสบายแล้ว จงึ ใคร่ครวญอยู่วา่ " พระผู้เปน็ เจา้ ทั้งหลายยงั ไมไ่ ดอ้ าหารเปน็ ที่สบายหรือ
หนอ ?" กไ็ ด้เหน็ ว่าอาหารเป็นที่สบายยังไม่มีแก่พวกเธอ." จาเดิมแต่นนั้ มา ก็จดั แจง
ขา้ วยาค1ู 1 อันมอี ยา่ งต่าง ๆ และของขบเคี้ยวเป็นอเนกประการ และโภชนะมรี ส
ต่าง ๆ อันเลิศแล้ว นมิ นต์ภกิ ษุท้งั หลายให้น่ังแลว้ จงึ ถวายนา้ ทักษโิ ณทก12แลว้ มอบถวายด้วยคา
ว่า " ท่านผเู้ จริญ พวกทา่ นชอบใจสิ่งใด ๆขอจงถือเอาสิง่ นั้น ๆ ฉันเถิด."

ภิกษเุ หล่าน้ัน รบั เอาวตั ถทุ ง้ั หลายมีข้าวยาคูเปน็ ตน้ แลว้ บริโภคตามความชอบใจ.

พระไม่ควรติดในรสชาติอาหาร แต่ถ้าเลือกไดก้ ็ต้องการอาหารที่ถูกใจ
รสชาติทถ่ี ูกปาก อาหารท่ถี ูกใจ ความกระสบั กระสา่ ยก็ระงบั

ภิกษุ ๖๐ รูปบรรลพุ ระอรหตั
เมอ่ื ภกิ ษเุ หลา่ นั้นได้อาหารอันเป็นท่สี บาย จติ ก็เป็นธรรมชาติ มอี ารมณเ์ ดียว (แนว่ แน่).
พวกเธอมีจติ แน่วแน่เจริญวิปัสสนา ต่อกาลไมน่ านนกั กไ็ ดบ้ รรลพุ ระอรหัตพร้อมดว้ ย
ปฏิสมั ภิทาทงั้ หลาย แล้วคดิ ว่า" นา่ ขอบคุณ! มหาอุบาสิกาเป็นทีพ่ งึ่ ของพวกเรา; ถา้ พวกเราไมไ่ ด้
อาหารอันเปน็ ที่สบายแลว้ ไซร้, การแทงตลอดมรรคและผล คงจักไม่ไดม้ แี กพ่ วกเรา
(เป็นแน)่ ; บดั น้ี พวกเราอยจู่ าพรรษาปวารณาแล้ว จกั ไปสูส่ านักของพระศาสดา. "
พวกเธออาลามหาอุบาสิกาว่า " พวกฉนั ใครจ่ ะเฝา้ พระศาสดา. "มหาอบุ าสกิ ากล่าววา่
" ดแี ล้วพระผูเ้ ป็นเจา้ ทัง้ หลาย" แลว้ ตามไปส่งภกิ ษเุ หล่านนั้ , กล่าวคาอนั เปน็ ที่รักเปน็ อันมากว่า "
ขอทา่ นท้ังหลาย พงึ (มา) เยย่ี มดิฉนั แมอ้ ีก" ดังน้ีเป็นตน้ แลว้ จงึ กลบั .

ปิยวาจา ย่อมผูกมดั ใจคน ท้งั พระและโยม

พระศาสดาตรสั ถามสขุ ทุกข์กะภิกษุเหลา่ นนั้
ฝ่ายภกิ ษุเหล่านน้ั แล ถึงเมืองสาวตั ถีแลว้ ถวายบงั คมพระศาสดาแลว้ นัง่ ณ ทีค่ วรขา้ งหนง่ึ
อนั พระศาสดาตรัสวา่ " ภกิ ษุท้งั หลาย(สรรี ยนต์มีจกั ร ๔ มีทวาร ๙) พวกเธอพออดทนได้ดอก

11แปลตามพยญั ชนะวา่ ... ยังข้าวยาคูมีอย่างต่าง ๆ ด้วย ยงั ของเคยี้ วมีประการมใิ ชน่ อ้ ย ดว้ ย ยังโภชนะมีรสอนั เลศิ ตา่ ง ๆ
ด้วย ใหถ้ งึ พรอ้ มแล้ว.
12แปลว่า นา้ เพ่ือทักษิณา.

๑๑๙

kalyanamitra.org

โครงการบวชอบุ าสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน

หรอื ? พวกเธอพอยังอตั ภาพใหเ้ ป็นไปได้ดอกหรือ ? อน่ึง พวกเธอไมล่ าบากดว้ ยบิณฑบาตหรอื
?" จึงกราบทูลว่า " พออดทนไดพ้ ระเจา้ ขา้ พอยงั อตั ภาพใหเ้ ป็นไปได้ พระเจา้ ข้า, อน่ึง
ขา้ พระองค์ทั้งหลาย มไิ ดล้ าบากด้วยบิณฑบาตเลย, เพราะวา่ อุบาสกิ าคนหน่ึง ช่ือมาติกมาตา
ทราบวาระจิตของพวกข้าพระองค์. เม่ือพวกข้าพระองคค์ ดิ ว่า 'ไฉนหนอ มหาอบุ าสกิ าจะพงึ
จัดแจงอาหารช่อื เหน็ ปานน้เี พือ่ พวกเรา. ' (นาง) ก็ไดจ้ ัดแจงอาหารถวายตามทพี่ วกขา้ พระองคค์ ดิ
แลว้ " ดงั นี้แลว้ กก็ ล่าวสรรเสรญิ คณุ ของมหาอุบาสกิ าน้ัน.

สัปปรุ สิ สูตร
สัตบรุ ษุ (คนดี) ย่อมสรรเสริญความดขี องผูอ้ นื่ แมไ้ มม่ ใี ครถาม

อบุ าสิกาจดั ของถวายตามทภ่ี ิกษุต้องการ
ภิกษรุ ปู ใดรูปหนง่ึ สดับถอ้ ยคาสรรเสรญิ คณุ ของมหาอบุ าสิกาน้นั แลว้ เปน็ ผู้ใครจ่ ะไปในที่
นน้ั เรยี นกมั มัฏฐานในสานักของพระศาสดาแลว้ ทูลลาพระศาสดาวา่ " ขา้ แต่พระองค์ผ้เู จริญ
ข้าพระองคจ์ กั ไปยังบา้ นนนั้ " แลว้ ออกจากพระเชตวัน ถงึ บ้านน้ันโดยลาดบั ในวนั ทีต่ นเข้าไปสู่
วิหาร คิดวา่ " เขาเลา่ ลือว่า อุบาสิกาน้ี ยอ่ มรถู้ ึงเหตุอันบคุ คลอ่ืนคิดแลว้ ๆ. กเ็ ราเหนด็ เหนอื่ ยแล้ว
ในหนทางจกั ไม่สามารถกวาดวหิ ารได้,ไฉนหนออุบาสิกานี้จะพึงส่งคนผชู้ าระวิหารมาเพอ่ื เรา. "
อบุ าสิกาน่งั ในเรอื นนั่นเองราพึงอยู่ ทราบความนน้ั แล้ว จึงส่งคนไป ดว้ ยคาวา่ " เจ้าจงไป,
ชาระวหิ ารแลว้ จึงมา. "
ฝา่ ยภิกษุนอกนอี้ ยากดม่ื นา้ จึงคดิ ว่า " ไฉนหนอ อุบาสกิ านีจ้ ะพงึ ทาน้าดืม่ ละลายนา้ ตาล
กรวดส่งมาให้แก่เรา. " อบุ าสิกากไ็ ด้ส่งน้าน้ันไปให้. เธอคิด (อีก) ว่า " ขออุบาสกิ า จงสง่ ขา้ วยาคู
มรี สสนิทและแกงออ่ มมาเพอ่ื เรา ในวันรุง่ ขน้ึ แต่เช้าตรู่เถดิ . " อุบาสิกาก็ไดท้ าอย่างนัน้ .
ภิกษุนัน้ ด่ืมขา้ วยาคแู ล้ว คดิ วา่ " ไฉนหนอ อบุ าสกิ าพึงสง่ ของขบเค้ยี วเหน็ ปานนม้ี าเพอื่ เรา. "
อุบาสิกากไ็ ด้สง่ ของเคี้ยวแม้นน้ั ไปแล้ว เธอคดิ ว่า" อุบาสกิ านสี้ ่งวตั ถุท่ีเราคดิ แล้ว ๆ ทกุ ๆ สง่ิ มา;
เราอยากจะพบอุบาสิกาน่นั , ไฉนหนอ นางพึงใหค้ นถือโภชนะมีรสเลศิ ต่าง ๆ เพอ่ื เรา มาด้วย
ตนเองทเี ดียว. " อุบาสกิ าคิดวา่ " ภิกษุผ้บู ุตรของเราประสงคจ์ ะเหน็ เราหวังการไปของเราอยู่, "
ดงั นแี้ ล้ว จึงใหค้ นถือโภชนะไปสู่วหิ ารแล้วไดถ้ วายแกภ่ กิ ษนุ ้นั .
ภกิ ษุน้ันทาภัตกจิ แลว้ ถามวา่ " มหาอุบาสกิ า ท่านหรือ ? ช่อื ว่ามาติกมาตา. "
อบุ าสิกา. ถกู แลว้ พอ่ .
ภกิ ษุ. อบุ าสกิ า ทา่ นทราบจติ ของคนอนื่ หรอื ?

๑๒๐

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน

อุบาสิกา. ถามดฉิ นั ทาไม ? พอ่ . สปั ปุริสสูตร

ภิกษ.ุ ทา่ นไดท้ าวตั ถุทกุ ๆ สิ่งทีฉ่ ันคิดแลว้ ๆ. สัตบรุ ุษ (คนดี) ยอ่ มไม่เปดิ เผย

เพราะฉะนั้น ฉันจึงถามทา่ น. ความดขี องตน แมม้ ีคนถาม

อุบาสกิ า. พอ่ ภิกษทุ ี่รจู้ ิตของคนอื่น กม็ ีมาก.

ภกิ ษุ. ฉันไม่ไดถ้ ามถงึ คนอ่นื , ถาม (เฉพาะตัว) ทา่ นอุบาสกิ า.

แมเ้ ปน็ อย่างนน้ั อุบาสกิ าก็มไิ ด้บอก (ตรง ๆ ) ว่า " ดฉิ ันรูจ้ ติ ของคนอ่นื " (กลบั ) กลา่ ววา่ "

ลูกเอ๋ย ธรรมดาคนทง้ั หลายผูร้ จู้ ิตของคนอ่ืน ยอ่ มทาอยา่ งนั้นได้. "

ภกิ ษคุ ิดว่า
๑) อยากได้คนมากวาดวหิ าร๒) อยากได้นา้ ดมื่ ละลายน้าตาลกรวด
๓) อยากได้ข้าวยาคู รสเลิศและแกงออ่ ม ในวันรงุ่ แตเ่ ชา้ ตรู่
๔) อยากไดข้ องขบเค้ยี ว
๕)อยากพบอบุ าสกิ า ถือภาชนะรสเลิศมาดว้ ยตนเอง

ภกิ ษุลาอบุ าสิกากลับไปเฝา้ พระศาสดา

ภิกษนุ ั้นคิดว่า " กรรมนี้หนักหนอ, ธรรมดาปุถชุ น ย่อมคดิ ถึงอารมณอ์ ันงามบา้ ง ไม่งามบา้ ง;

ถ้าเราจกั คดิ สง่ิ อันไมส่ มควรแล้วไซร้,อุบาสกิ านี้ ก็พึงยังเราใหถ้ งึ ซงึ่ ประการอันแปลก เหมือนจบั

โจรทมี่ วยผมพรอ้ มดว้ ยของกลางฉะนั้น; เราควรหนไี ปเสยี จากที่นี้" แลว้ กล่าววา่

" อบุ าสกิ า ฉนั จักลาไปละ. " ความลับไมม่ ใี นโลก
อบุ าสิกา. ทา่ นจกั ไปท่ไี หน ? พระผู้เปน็ เจา้ . สาหรบั คนรวู้ าระจิต,
สาหรับคนท่ีมีธรรมะละเอียดๆ
ภกิ ษ.ุ ฉนั จักไปสูส่ านักพระศาสดา อุบาสกิ า.
อุบาสิกา. ขอทา่ นจงอยู่ในที่น้ีก่อนเถดิ เจ้าขา้ .

ภกิ ษนุ ัน้ กลา่ ววา่ " ฉันจกั ไม่อยู่ อุบาสกิ า จักตอ้ งไปอย่างแนน่ อน"

แล้วไดเ้ ดนิ ออก (จากที่น้นั ) ไปสู่สานักของพระศาสดา.

พระศาสดาแนะใหร้ กั ษาจิตอย่างเดยี ว

ลาดบั นั้น พระศาสดาตรสั ถามเธอวา่ " ภิกษุ เธออยู่ในทีน่ ั้นไม่ไดห้ รอื ?"

ภิกษ.ุ เปน็ อย่างนั้น พระเจ้าขา้ ขา้ พระองค์ไม่สามารถอยูใ่ นที่นนั้ ได.้

พระศาสดา. เพราะเหตไุ ร ? ภกิ ษุ.

ภิกษ.ุ ขา้ แต่พระองคผ์ ู้เจรญิ (เพราะวา่ ) อุบาสิกานัน้ ยอ่ มรู้ถึงเร่อื งอันคนอ่ืนคิดแล้ว ๆ

๑๒๑

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน

ทกุ ประการ, ขา้ พระองค์คิดวา่ " กธ็ รรมดาปถุ ชุ น ยอ่ มคดิ อารมณอ์ ันงามบา้ ง ไมง่ ามบา้ ง;
ถา้ เราจกั คิดส่งิ บางอยา่ งอันไมส่ มควรแล้วไซร,้ อุบาสิกานั้น ก็จักยังเราใหถ้ ึงซง่ึ ประการอัน
แปลกเหมือนจับโจรท่ีมวยผมพร้อมทัง้ ของกลางฉะนนั้ " ดงั นี้แล้วจึงไดม้ า.

พระศาสดา. ภกิ ษุ เธอควรอย่ใู นที่น้นั แหละ.
ภกิ ษุ. ข้าพระองคไ์ มส่ ามารถ พระเจ้าขา้ ข้าพระองคจ์ กั อยู่ในที่น้นั ไม่ได้.
พระศาสดา. ภกิ ษุ ถา้ อย่างนน้ั เธอจกั อาจรักษาสง่ิ หนึ่งเทา่ น้ันได้ไหม ?
ภิกษุ. รกั ษาอะไร ? พระเจ้าขา้ .
พระศาสดา ตรสั ว่า " เธอจงรักษาจติ ของเธอน่ันแหละ ธรรมดาจิตน้บี คุ คลรกั ษาไดย้ าก,
เธอจงขม่ จติ ของเธอไว้ใหไ้ ด้ อยา่ คดิ ถงึ อารมณ์อะไร ๆ อยา่ งอ่ืน, ธรรมดาจติ อันบคุ คลขม่ ได้
ยาก" ดังนแ้ี ล้วจึงตรสั พระคาถานว้ี า่
๒. ทนุ ฺนคิ คฺ หสสฺ ลหโุ น ยตถฺ กามนปิ าติโน

จติ ฺตสสฺ ทมโถ สาธุ จติ ฺต ทนตฺ สุขาวห.
" การฝึกจติ อันขม่ ได้ยาก เป็นธรรมชาติเร็ว

มักตกไปในอารมณต์ ามความใคร่ เปน็ การดี (เพราะ
ว่า) จติ ทฝ่ี ึกแลว้ ย่อมเป็นเหตนุ าสขุ มาให้.

ภกิ ษุน้นั กลบั ไปสมู่ าติกคามอีก
พระศาสดาครั้นประทานโอวาทนแ้ี กภ่ ิกษุนนั้ แล้ว จึงทรงส่งไปด้วยพระดารสั ว่า
" ไปเถดิ ภกิ ษุ เธออย่าคิดอะไร ๆ อยา่ งอ่ืน จงอยู่ในทน่ี ั้นนั่นแหละ. " ภิกษนุ ้ัน ไดพ้ ระโอวาทจาก
สานักของพระศาสดาแลว้ จึงได้ไป (อยู่) ในทีน่ ้ัน, ไมไ่ ด้คดิ อะไร ๆ ทชี่ วนใหค้ ิดภายนอกเลย.
ฝ่ายมหาอุบาสิกา เม่อื ตรวจดูด้วยทพิ ยจกั ษุ กเ็ ห็นพระเถระแล้วกาหนด (รู้) ด้วยญาณของตน
นน่ั แลวา่ " บัดนี้ ภกิ ษุผู้บตุ รของเราได้อาจารย์ใหโ้ อวาทแลว้ จงึ กลบั มาอกี " แล้วได้จดั แจงอาหาร
อันเป็นทสี่ บายถวายแกพ่ ระเถระน้ัน.

พระเถระบรรลุพระอรหตั และระลึกชาติได้
พระเถระนน้ั ได้โภชนะอนั เปน็ ที่สบายแล้ว โดย ๒-๓ วนั เท่านน้ั กไ็ ด้บรรลพุ ระอรหตั ยับย้งั
อยู่ด้วยความสุขอันเกิดแต่มรรคและผลคิดวา่ " นา่ ขอบใจ มหาอบุ าสิกาได้เป็นท่พี ง่ึ ของเราแล้ว
เราอาศัยมหาอบุ าสกิ าน้ี จงึ ถงึ ซงึ่ การแล่นออกจากภพได้, แล้วใครค่ รวญอยวู่ ่า มหาอุบาสกิ า
นไี้ ดเ้ ปน็ ท่พี ึ่งของเราในอตั ภาพน้ีก่อน, ก็เมอ่ื เราท่องเทย่ี วอยู่ในสงสารมหาอบุ าสิกานีเ้ คยเป็นที่
พง่ึ ในอัตภาพแมอ้ ืน่ ๆ หรอื ไม่ ? แล้วจงึ ตามระลึกไปตลอด ๙๙ อตั ภาพ.

๑๒๒

kalyanamitra.org

โครงการบวชอบุ าสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน

แม้มหาอุบาสิกาน้นั กเ็ ป็นนางบาทบริจาริกา (ภริยา) ของพระเถระนัน้ ใน ๙๙ อัตภาพ เป็นผู้มจี ิต
ปฏพิ ทั ธใ์ นชายเหล่าอื่น จึงให้ปลงพระเถระนน้ั เสียจากชีวติ .

พระเถระครนั้ เหน็ โทษของมหาอุบาสิกานั้นเพยี งเทา่ นแ้ี ลว้ จึงคดิ ว่า" น่าสงั เวช มหาอุบาสิกา
น้ีได้ทากรรมหนกั มาแล้ว. "

อุบาสิกาใครค่ รวญดบู รรพชิตกจิ ของพระเถระ
ฝ่ายมหาอุบาสิกาน่ังในเรือนนน่ั เอง พลางใคร่ครวญวา่ " กจิ แห่งบรรพชติ ของภิกษผุ บู้ ุตรของ
เรา ถึงท่ีสดุ แล้ว หรอื ยงั หนอ ?" ทราบว่าพระเถระน้ันบรรลพุ ระอรหัตแล้ว จงึ ใคร่ครวญย่งิ ขนึ้ ไป
ก็ทราบว่า" ภิกษผุ ู้บุตรของเราบรรลพุ ระอรหัตแลว้ คิดวา่ 'น่าปล้มื ใจจริง อบุ าสกิ านไี้ ด้เปน็ ท่พี ่ึง
ของเราอยา่ งสาคญั ' ดงั น้แี ลว้ ใครค่ รวญ (ตอ่ ไปอกี ) วา่ " แม้ในกาลล่วงแลว้ อุบาสิกานไ้ี ดเ้ คยเป็น
ที่พึง่ ของเราหรือเปล่าหนอ ?"ตามระลกึ ไปตลอด ๙๙ อัตภาพ; แตเ่ ราแลได้คบคดิ (๔) กับชาย
เหล่าอนื่ ปลงพระเถระน้ันเสียจากชีวิตใน ๙๙ อตั ภาพ, พระเถระน้แี ลเห็นโทษมปี ระมาณเทา่ น้ี
ของเราแลว้ คดิ ว่า 'น่าสังเวช อุบาสิกาได้ทากรรมหนักแลว้ 'นางใคร่ครวญ (ต่อไป) วา่
" เราเม่อื ทอ่ งเทย่ี วอยู่ในสงสาร เรามไิ ดเ้ คยทาอปุ การะแกภ่ ิกษุผู้เปน็ บตุ รเลยหรอื หนอ ?"
ได้ระลกึ ถึงอตั ภาพท่คี รบ ๑๐๐ อนั ย่งิ กว่า ๙๙ อัตภาพนัน้ ก็ทราบวา่ " ในอตั ภาพที่ครบ๑๐๐
เราเปน็ บาทบริจาริกาแหง่ พระเถระนนั้ ได้ให้ชีวิตทานในสถานเป็นท่ปี ลงจากชีวิตแห่งหน่งึ .
นา่ ดใี จ เรากระทาอุปการะมากแก่ภกิ ษผุ บู้ ุตรของเรา" น่ังอยใู่ นเรอื นน่ันเองกล่าวว่า
" ขอทา่ นจงใครค่ รวญดใู หว้ ิเศษยง่ิ ขึ้น."

คนเราเวียนวา่ ยตายเกิดมาหลายชาติ
เปน็ สามภี รรยากนั บ้าง, เปน็ คนแค่รู้จกั กันบา้ ง
ขนึ้ อยกู่ ับการทาบุญร่วมกนั มาหรือไม่, ไมม่ ใี ครไม่เคยเปน็ ญาติกัน

พระเถระนพิ พาน
พระเถระน้นั ได้สดับเสียง (ของอบุ าสิกานั้น) ดว้ ยโสตธาตอุ ันเป็นทิพย์แลว้ ระลกึ ถงึ อัตภาพ
ทีค่ รบ ๑๐๐ ให้วเิ ศษขน้ึ แล้วเห็นความที่อบุ าสิกานน้ั ได้ให้ชวี ติ แกต่ นในอตั ภาพน้ัน จึงคิดวา่ "
นา่ ดใี จอบุ าสกิ านไี้ ดเ้ คยทาอุปการะแก่เรา" ดงั นแ้ี ลว้ มใี จเบิกบานกล่าวปญั หาในมรรค ๔ ผล ๔
แก่อบุ าสกิ าในทน่ี น้ั นัน่ เอง ไดป้ รินิพพานแล้วดว้ ยนพิ พานธาตุอันเป็นอนุปาทิเสส.

เรอ่ื งภิกษรุ ปู ใดรปู หน่งึ จบ.

๑๒๓

kalyanamitra.org

โครงการบวชอบุ าสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน

๒๓) เร่อื งพระพหุปุตติกาเถรี [๙๔]
ขอ้ ความเบือ้ งตน้

พระศาสดาเม่อื ประทบั อยู่ในพระเชตวนั ทรงปรารภพระพหปุ ุตตกิ าเถรี
ตรสั พระธรรมเทศนานีว้ ่า "โย จ วสสฺ สต ชีเว" เป็นตน้ .

อบรมลกู เม่ือเลก็ ไม่เป็น เติบโตแล้วไมร่ ้คู ณุ พ่อแม่ มองวา่ พอ่ แมว่ า่ เป็นภาระ
ให้ความสาคญั ในทรัพยม์ ากกว่าจติ ใจ เป็นลูกอกตญั ญู

นางมีลกู มาก
ได้ยินวา่ ในตระกลู หน่ึง ณ กรงุ สาวตั ถี ไดม้ ีบุตร ๗ คนและธิดา ๗ คนบุตรและธดิ า
แมท้ ั้งหมดนน้ั เจรญิ วัยแล้ว ดารงอยใู่ นเรือนไดถ้ ึงความสขุ ตามธรรมดาของตน.
สมัยอน่ื บดิ าของชนเหลา่ นัน้ ไดท้ ากาละแลว้ .
มหาอบุ าสิกา ถึงเมือ่ สามลี ว่ งลบั ไปแล้วก็ยงั ไม่แบ่งกองทรพั ย์ใหแ้ กบ่ ุตรทง้ั หลายกอ่ น.
คร้งั นน้ั บุตรทั้งหลายกลา่ วกะมารดานัน้ ว่า "เม่ือบดิ าของฉนั ลว่ งลบั ไปแลว้ ประโยชน์
อะไรของแมด่ ว้ ยกองทรัพย์ พวกฉนั ไมอ่ าจบารงุ แมไ่ ดห้ รือ?" นางฟงั คาของบตุ รเหลา่ น้ันแล้วก็
น่งิ เสีย ถูกบุตรเหล่านัน้ พูดบ่อยๆ จงึ คิดวา่ "พวกลกู ๆ จักบารงุ เรา, ประโยชนอ์ ะไรของเราด้วย
กองทรัพยส์ ่วนหน่งึ "ไดแ้ บง่ สมบตั ิทั้งหมดคร่งึ หนง่ึ ให้ไป.
ครง้ั นัน้ โดยกาลล่วงไป๒-๓ วัน ภรรยาของบุตรคนใหญก่ ล่าวกะแมผ่ ัวนน้ั ว่า
"โอคุณแมข่ องพวกเรามาเรือนน้ีเท่านนั้ เหมือนกะใหไ้ ว้ ๒ ส่วนวา่ บตุ รชายคนใหญข่ องเรา."แม้
ภรรยาของบตุ รทีเ่ หลอื กก็ ล่าวอยา่ งน้นั เหมือนกนั .
ต้ังตน้ แตธ่ ดิ าคนใหญ่กก็ ล่าวกะนางดจุ เดียวกันแม้ในเวลาที่นางไปเรือนของธดิ า
เหลา่ นนั้ .
นางถูกดูหม่นิ คดิ วา่ "ประโยชนอ์ ะไร ด้วยการอยใู่ นสานักของคนเหล่าน้ี เราจกั เปน็
นางภกิ ษณุ เี ปน็ อยู่"แลว้ ไปสู่สานกั ของนางภิกษณุ ีขอบรรพชาแล้ว. นางภกิ ษุณเี หลา่ นั้นใหน้ าง
บรรพชาแล้ว.
นางไดอ้ ปุ สมบทแลว้ ปรากฏชื่อวา่ "พหปุ ุตตกิ าเถรี."นางคดิ วา่ "เราบวชในเวลาแก่
เราไมค่ วรเป็นคนประมาท" จงึ ทาวตั รปฏิบัติแกน่ างภกิ ษณุ ที งั้ หลาย คิดว่า "จกั ทาสมณธรรม
ตลอดคืนยงั ร่งุ " จึงเอามอื จบั เสาต้นหนึ่งที่ภายใต้ปราสาทเดนิ เวียนเสาน้ันทาสมณธรรม

๑๒๔

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสิกาแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน

แม้เมื่อเดินจงกรมก็เอามอื จบั ต้นไม้ดว้ ยคดิ ว่า "ศีรษะของเราพงึ กระทบตน้ ไมห้ รือที่ไหนๆ ในท่ี
มดื " ดงั นี้แลว้ เดนิ วนเวียนตน้ ไมน้ ั้นทาสมณธรรม นกึ ถงึ ธรรมดว้ ยคิดว่า "จกั ทาตามธรรมท่พี ระ
ศาสดาทรงแสดง"ตามระลกึ ถึงธรรมอยเู่ ทียว ทาสมณธรรม.

เดินเวียนเสา ทาภาวนาตลอดคนื ดว้ ยการระลึกธรรมานุสสติ

ลาดับนั้นพระศาสดาประทับนั่งในพระคนั ธกฎุ ีเทยี ว ทรงแผ่พระรศั มีไปดงั ประทับนั่ง
ตรงหนา้ เมอ่ื ตรสั กบั นาง ตรัสวา่ "พหุปุตติกาความเป็นอยแู่ ม้ครเู่ ดียวของผเู้ หน็ ธรรมท่ีเราแสดง
ประเสรฐิ กว่าความเปน็ อยู่ ๑๐๐ปขี องผไู้ ม่พจิ ารณา ผไู้ มเ่ ห็นธรรมท่เี ราแสดง"

เม่ือจะทรงสบื อนสุ นธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถาน้วี ่า :-
๑๓. โย จ วสสฺ สต ชเี ว อปสฺส ธมฺมมตุ ฺตม
เอกาห ชวี ิต เสยฺโย ปสฺสโต ธมมฺ มตุ ฺตม.
กผ็ ู้ใดไม่เหน็ ธรรมอนั ยอดเย่ียม พงึ เปน็ อยู่ ๑๐๐ ปี
ความเป็นอยู่วันเดียวของผเู้ หน็ ธรรมอันยอดเย่ยี ม
ประเสรฐิ กว่า ความเป็นอยู่ของผู้น้นั .

ในกาลจบคาถา พระพหุปุตติกาเถรดี ารงอยู่ในพระอรหัตพรอ้ มด้วยปฏสิ ัมภิทาท้งั หลาย ดังนแ้ี ล.
เร่ืองพระพหปุ ุตตกิ าเถรีจบ.

๑๒๕

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน

๒๔) เร่อื งมารดาของนางกาณา[๖๖]
ข้อความเบือ้ งต้น

พระศาสดาเมอื่ ประทับอย่ใู นพระเชตวัน ทรงปรารภมารดาของนางกาณา ตรสั พระธรรม
เทศนาน้ีว่า " ยถาปิ รหโท คมภฺ โี ร"เป็นต้น.

เรือ่ งมาแล้วในวนิ ัย แล.

โกรธสามที ่ีมเี มียนอ้ ย แต่กลับพาลมาด่าพระว่าเป็นเหตุ

นางกาณาดา่ ภิกษุ
กค็ ร้ังนั้น ในกาลเมอ่ื มารดาของนางกาณาทอดขนม เพอื่ ส่งธดิ าให้เป็นผู้ไมม่ มี ือเปลา่ ไปสู่
ตระกลู ผวั แล้ว ถวายแกภ่ กิ ษุ ๔ รูปเสีย ถงึ ๔ คร้งั เมอ่ื พระศาสดาทรงบัญญตั สิ ิกขาบทในเพราะ
เรื่องนั้น, เมอ่ื สามขี องนางกาณา นาภรรยาใหมม่ าแลว้ , นางกาณาไดฟ้ งั เร่ืองนนั้ จงึ ดา่
จึงบรภิ าษพวกภิกษุ ซง่ึ ตนได้เห็นแล้วและเห็นแล้วว่า " การครองเรอื นของเรา อนั ภิกษเุ หล่านี้
ให้ฉิบหายแลว้ . " ภกิ ษทุ ง้ั หลายไม่อาจเดนิ ไปสู่ถนนนน้ั ได้.

นางกาณาบรรลโุ สดาปัตติผล
พระศาสดาทรงทราบเรื่องนัน้ แลว้ จงึ ได้เสด็จไปในทนี่ น้ั . มารดาของนางกาณา ถวายบังคม
พระศาสดาแลว้ นิมนต์ใหป้ ระทบั น่ังบนอาสนะทตี่ นตกแตง่ ไว้ ได้ถวายข้าวยาคูและของควร
เคย้ี วแลว้ ;พระศาสดาเสวยพระกระยาหารเชา้ แล้ว ตรสั ถามวา่ " กาณาไปไหน?"
กาณมารดา. พระเจา้ ขา้ นางเห็นพระองค์แลว้ เปน็ ผเู้ ก้อยนื รอ้ งไห้อยู่.
พระศาสดา. เพราะเหตอุ ะไรเล่า?
กาณมารดา. นางด่าบรภิ าษพวกภกิ ษ;ุ เพราะฉะนั้น นางเหน็ พระองคแ์ ลว้ จึงเป็นผู้เก้อ ยนื
รอ้ งไหอ้ ยู่ พระเจา้ ข้า.
ลาดับน้นั พระศาสดาทรงมีรับสั่งให้เรยี กนางกาณามาแล้ว ตรัสถามวา่ " กาณา เจ้าเห็นเรา
แลว้ จึงเกอ้ เขนิ แอบร้องไห้ทาไม?"คร้ังนัน้ มารดาของนางกราบทลู กริ ยิ าทนี่ างกระทาแลว้
(ใหท้ รงทราบ)
ทีน้นั พระศาสดาตรสั กะมารดาของนางกาณาว่า " กาณมารดา กส็ าวกทง้ั หลายของเรา ถอื เอาส่ิง
ที่เธอให้แลว้ หรือวา่ ที่ยงั มิได้ให้เลา่ ? "
กาณมารดา. ถือเอาสิง่ ทห่ี มอ่ มฉนั ถวายแล้ว พระเจ้าขา้ .

๑๒๖

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน

พระศาสดา. ถ้าสาวกของเราเที่ยวบิณฑบาต ถงึ ประตูเรอื นของเธอแล้ว ถือเอาสง่ิ ท่เี ธอให้
แลว้ . จะมโี ทษอะไรแก่สาวกเหลา่ นนั้ เล่า?

กาณมารดา. โทษของพระผเู้ ป็นเจ้าไมม่ ี พระเจ้าขา้ , โทษของนางนี่เท่านั้น มีอยู่.
พระศาสดา. ตรัสกะนางกาณาว่า " กาณา ได้ยินว่า สาวกของเราเที่ยวบณิ ฑบาต มาถึงประตู
เรือนนแี้ ล้ว, เมอื่ เป็นเช่นน้ี มารดาของเจ้าไดถ้ วายขนมแกส่ าวกเหล่าน้นั , ในเรอื่ งน้ี ช่ือว่าโทษ
อะไรจักมแี ก่พวกสาวกทงั้ หลายของเราเลา่ ?"
นางกาณา. โทษของพระผูเ้ ปน็ เจา้ ไมม่ ี พระเจา้ ขา้ , หม่อมฉนั เท่านั้น มีโทษ.
นางถวายบงั คมพระศาสดา ให้ทรงอดโทษแลว้ . คร้งั น้ันพระศาสดาได้ตรสั อนบุ ุพพีกถาแก่
นาง. นางบรรลุโสดาปัตตผิ ลแล้ว.

พระราชาทรงตัง้ นางกาณาในตาแหนง่ เชษฐธิดา
พระศาสดาเสดจ็ ลุกจากอาสนะแล้ว เมอ่ื จะเสดจ็ ไปสวู่ ิหาร ไดเ้ สดจ็ ไปทางพระลานหลวง.
พระราชาทอดพระเนตรเห็นแล้ว ตรสั ถามวา่ " พนายนั่นดเู หมอื นพระศาสดา,"
เมอ่ื ราชบุรุษกราบทูลว่า " ถกู แลว้ พระเจ้าขา้ " ดงั นแ้ี ล้ว จึงส่งไปดว้ ยพระดารัสวา่
" จงไป จงกราบทูลความท่ีเราจะมาถวายบงั คม" แล้ว ได้เขา้ ไปเฝา้ พระศาสดา ซึง่ ประทบั
ยนื อยู่ ณ พระลานหลวง ถวายบังคมดว้ ยเบญจางคประดษิ ฐแ์ ล้ว ทูลถามว่า " พระองค์จะเสด็จไป
ไหน? พระเจา้ ข้า. "
พระศาสดา. มหาบพิตร อาตมภาพจะไปสู่เรือนมารดาของนางกาณา.
พระราชา. เพราะเหตุอะไร? พระองค์จงึ เสดจ็ ไป พระเจา้ ขา้ .
พระศาสดา. ไดข้ ่าววา่ นางกาณาดา่ บริภาษภกิ ษุ, อาตมภาพไปเพราะเหตนุ ้นั .
พระราชา. กพ็ ระองค์ทรงทาความที่นางไมด่ า่ แล้วหรือ?พระเจ้าขา้ .
พระศาสดา. ถวายพระพร มหาบพิตร อาตมภาพทานางมใิ หเ้ ป็นผดู้ ่าภิกษุแล้ว และใหเ้ ปน็
เจ้าของทรัพย์อันเปน็ โลกุตระแลว้ .
พระราชา. " พระองคท์ รงทาใหน้ างเป็นเจา้ ของทรพั ยท์ ี่เปน็ โลกตุ ระแล้วก็ช่างเถิด พระเจา้ ข้า,
สว่ นหม่อมฉัน จักทานางใหเ้ ปน็ เจา้ ของทรัพย์ท่เี ปน็ โลกีย์" ดงั นี้แลว้ ถวายบงั คมพระศาสดา
เสดจ็ กลับแลว้ ทรงสง่ ยานใหญ่ทป่ี กปิดไป รับสั่งใหเ้ รียกนางกาณามาแล้วประดับดว้ ยเครื่อง
อาภรณท์ ุกอยา่ ง ทรงต้ังไว้ในตาแหน่งพระธิดาผู้ใหญ่แล้ว ตรสั ว่า" ผูใ้ ดสามารถเล้ยี งดธู ดิ าของ
เราได;้ ผู้นน้ั จงรบั เอานางไป. "

๑๒๗

kalyanamitra.org

โครงการบวชอบุ าสกิ าแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน

พระราชาทรงสงเคราะหน์ าง ให้อามาตยร์ ับเป็นธดิ า ทาใหม้ ีโอกาสทาบุญ
นางกาณาในอดตี เป็นหนู ไดค้ าแนะนาจากนายช่างแกว้ พน้ ภยั จากแมว๔ ตัว

มหาอามาตย์รับเลย้ี งนางกาณา
ครงั้ น้ัน มหาอามาตย์ผสู้ าเรจ็ ราชกิจทกุ อย่างคนหนง่ึ กราบทลู วา่ " ข้าพระองคจ์ ักเลย้ี งดู
พระธดิ าของฝ่าพระบาท" ดงั นแี้ ลว้ นานางไปยงั เรือนของตน มอบความเปน็ ใหญท่ กุ อยา่ งให้
แล้ว กลา่ ววา่ " เจ้าจงทาบุญตามชอบใจเถิด. "
จาเดมิ แตว่ นั นัน้ มา นางกาณาตั้งบรุ ุษไวท้ ่ีประตูทั้ง ๔ กย็ ังไม่ไดภ้ กิ ษุและภิกษุณที ี่ตนพงึ
บารงุ . ของควรเค้ียวและของควรบรโิ ภคทีน่ างกาณาตระเตรียมตง้ั ไวท้ ี่ประตูเรอื น ยอ่ มเปน็
เหมือนห้วงนา้ ใหญ่.
พวกภิกษสุ นทนากันในโรงธรรมวา่ " ผู้มีอายุ ในกาลก่อนพระเถระ ๔ รปู ทาความเดือดรอ้ น
ให้แก่นางกาณา, นางแมเ้ ป็นผูเ้ ดอื ดรอ้ นอยา่ งน้ัน อาศัยพระศาสดา ไดค้ วามถึงพร้อมด้วยศรทั ธา
แลว้ ; พระศาสดาไดท้ รงทาประตเู รอื นของนาง ให้เป็นสถานทค่ี วรเข้าไปของพวกภิกษอุ ีก,
บัดน้ี นางแม้แสวงหาภกิ ษหุ รือภิกษุณีทัง้ หลายท่ีตนจะพึงบารงุ กย็ ังไม่ได้,โอ ! ธรรมดา
พระพทุ ธเจ้าท้งั หลาย มคี ณุ น่าอัศจรรยจ์ ริง. "
พระศาสดาเสดจ็ มาแล้ว ตรสั ถามวา่ " ภกิ ษุท้ังหลาย บดั นพี้ วกเธอนัง่ ประชมุ กนั ดว้ ยกถา
อะไรหนอ?" เม่อื ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั กราบทลู ว่า " ดว้ ยกถาชอ่ื น้ี. " จึงตรสั ว่า " ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภิกษแุ ก่
เหล่านน้ั ทาความเดอื ดร้อนแกน่ างกาณา มใิ ชแ่ ตบ่ ัดนีเ้ ทา่ นนั้ , แมใ้ นกาลกอ่ นพวกเธอก็ทาแล้ว
เหมอื นกนั ; อนงึ่ เราได้ทาให้นางกาณาทาตามถ้อยคาของเรา มใิ ช่แต่ในบดั นีเ้ ท่าน้ัน, ถึงในกาล
ก่อน เราก็ทาแลว้ เหมอื นกัน"อันพวกภิกษผุ ู้ใครจ่ ะฟงั เนอื้ ความนัน้ ทลู วิงวอนแลว้ จึงตรัส
พัพพุชาดก น้ีโดยพิสดารว่า :-

" แมวตัวทีห่ นึ่งได้หนูและเนื้อในทใ่ี ด, แมว
ตวั ที่ ๒ ก็ย่อมเกดิ ในทนี่ ัน้ , ตัวที่ ๓ และตัว
ที่ ๔ ก็ยอ่ มเกิดในทีน่ ั้น, แมวเหล่านนั้ ทาลาย
ปลอ่ งนีแ้ ล้ว (ถึงแก่ความตาย)."
แล้ว ทรงประชมุ ชาดกว่า " ภิกษุแก่ ๔ รูป (ในบดั น้ี) ได้เปน็ แมว๔ ตวั ในครัง้ น้ัน, หนูไดเ้ ปน็ นาง
กาณา, นายช่างแก้ว คือเรานน่ั เอง"ดังน้ีแล้ว ตรสั ว่า " ภิกษทุ ้งั หลาย แม้ในอดีตกาล

๑๒๘

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสิกาแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน

นางกาณาไดเ้ ป็นผู้มีใจหมน่ หมอง มจี ติ ขุ่นมัวอย่างนี้ (แต)่ ได้เปน็ ผมู้ จี ติ ผ่องใสเหมือนหว้ งนา้ มี
นา้ ใส เพราะคาของเรา" เมือ่ จะทรงสืบอนสุ นธิแสดงธรรม จึงตรสั พระคาถานีว้ า่ :-

๗. ยถาปิ รหโท คมภฺ โี ร วิปฺปสนฺโน อนาวิโล
เอว ธมมฺ านิ สตุ วฺ าน วิปฺปสที นตฺ ิ ปณฺฑิตา.
" บณั ฑติ ทงั้ หลาย ฟงั ธรรมแล้ว ยอ่ มผอ่ งใส
เหมือนหว้ งน้าลกึ ใสแจว๋ ไมข่ ุ่นมวั ฉะน้ัน."

ในเวลาจบเทศนา ชนเปน็ อันมากบรรลอุ ริยผลทง้ั หลาย มีโสดาปตั ตผิ ลเป็นต้น ดังนีแ้ ล.
เรื่องมารดาของนางกาณา จบ.

๑๒๙

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน

๒๕) เรอ่ื งอกั โกสกภารทวาชพราหมณ์ (๒๗๙)
ข้อความเบ้ืองตน้

พระศาสดา เมื่อประทบั อยใู่ นพระเวฬุวนั ทรงปรารภอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ ตรสั พระ
ธรรมเทศนานวี้ า่ "อกฺโกส" เปน็ ตน้ .

นางธนญั ชานถี ูกดา่
ความพสิ ดารว่า นางพราหมณีช่อื ธนัญชานี ของภารทวาชพราหมณ์ผูพ้ ีช่ ายของอักโกสกภาร
ทวาชพราหมณ์ ได้เป็นโสดาบนั แล้ว. นางจามก็ดี ไอก็ดี พลาดกด็ ี เปลง่ อุทานน้ีว่า " นโม ตสสฺ
ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ทุ ธฺ สฺส (ความนอบน้อม จงมีแด่พระผ้มู พี ระภาคเจา้ ผเู้ ปน็ พระ
อรหนั ต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พระองคน์ ั้น). "
วนั หนง่ึ ในเวลาท่ีองั คาสพราหมณ์ นางพลาดแล้ว เปลง่ อุทานข้นึ อยา่ งน้นั น่ันแล ดว้ ยเสียง
อนั ดงั . พราหมณโ์ กรธแลว้ กลา่ ววา่ " หญงิ ถ่อยนี้ พลาดแลว้ ในทใี่ ดทหี่ น่งึ ย่อมกลา่ วสรรเสริญ
พระสมณะหัวโล้นนน้ั อย่างน้ที กุ ที" ดังน้ีแล้ว กลา่ วว่า " หญงิ ถอ่ ย บดั นขี้ า้ จกั ไปยกวาทะต่อ
ศาสดาน้ันของเจ้า. "
ลาดับนนั้ นางจงึ กล่าวกะพราหมณ์นั้นวา่ " จงไปเถดิ พราหมณ,์ ดฉิ ันไม่เห็นบคุ คลผจู้ ะยกวา
ทะต่อพระผมู้ พี ระภาคเจา้ นน้ั ได้: เออ กค็ รั้นไปแล้ว จงทูลถามปญั หากะพระผู้มีพระภาคเจ้า. "
เขาไปสสู่ านกั พระศาสดา ไม่ถวายบังคมเลย ยนื อยู่ ณ ส่วนขา้ งหน่ึงแล้ว, เมอ่ื จะทูลถามปัญหา
จงึ กลา่ วคาถานวี้ า่ :-

" บคุ คลฆา่ อะไรได้สิ จงึ อย่เู ป็นสุข, ฆา่ อะไร
ไดส้ ิ จึงไมเ่ ศรา้ โศก, ขา้ แตพ่ ระโคดม พระองค์
ยอ่ มชอบใจซงึ่ การฆ่าธรรมอะไรสิ ซงึ่ เปน็ ธรรมอัน
เอก. "

ลาดบั น้นั พระศาสดาเม่ือจะทรงพยากรณ์ปญั หาแก่เขา จึงตรัสพระคาถานวี้ ่า :-
" บคุ คลฆา่ ความโกรธไดแ้ ล้ว จงึ อยู่เป็นสุข. ฆา่
ความโกรธได้แลว้ จึงไมเ่ ศรา้ โศก, พราหมณ์
พระอริยเจา้ ทงั้ หลาย ย่อมสรรเสรญิ การฆา่ ความโกรธ
อันมีรากเปน็ พษิ มยี อดหวาน, เพราะบคุ คลน้ันฆา่
ความโกรธน้ันได้แล้ว ยอ่ มไม่เศรา้ โศก. "

๑๓๐

kalyanamitra.org

โครงการบวชอบุ าสกิ าแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน

พราหมณ์ ๔ คนบรรลุพระอรหัตผล
เขาเลอ่ื มใสในพระศาสดา บวชแลว้ บรรลพุ ระอรหัต.
คร้ังนน้ั อกั โกสกภารทวาชพราหมณ์ผนู้ ้องชายของเขา ได้ฟงั วา่ " ไดย้ ินว่า พี่ชายของเราบวช
แล้ว" ก็โกรธ จึงมาด่าพระศาสดาดว้ ยวาจาหยาบคาย ซึ่งมใิ ช่วาจาสัตบรุ ษุ แม้เขาก็ถูกพระศาสดา
ใหร้ สู้ านึกแล้ว ดว้ ยข้ออปุ มาด้วยการใหข้ องควรเคีย้ วเปน็ ตน้ แกแ่ ขกท้งั หลาย เล่อื มใสในพระ
ศาสดา บวชแลว้ บรรลพุ ระอรหตั .
นอ้ งชายท้ังสองของเธอแม้อ่ืนอีก คือสนุ ทรกิ ภารทวาชะ พิลงั คกภารทวาชะ (พากนั ) ดา่ พระ
ศาสดาเหมอื นกนั อันพระศาสดาทรงแนะนาบวชแลว้ บรรลุพระอรหัต.
ตอ่ มาวันหนึ่ง ภกิ ษุท้ังหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า " ผู้มีอายทุ ้ังหลาย คุณของพระพทุ ธเจ้า
น่าอศั จรรย์หนอ: เม่อื พราหมณ์พ่นี ้องชายทั้ง ๔ ด่าอยู่, พระศาสดาไมต่ รัสอะไร ๆ กลบั เปน็ ทีพ่ ง่ึ
ของพราหมณ์เหลา่ น้นั อกี ."

พระศาสดาเปน็ ท่ีพ่งึ ของมหาชน
พระศาสดา เสด็จมาแลว้ ตรสั ถามวา่ " ภกิ ษทุ ้ังหลาย บัดนพ้ี วกเธอนัง่ ประชมุ กันด้วยกถา
อะไรหนอ ?" เม่ือภิกษุเหล่าน้นั กราบทูลว่า " ด้วยกถาช่ือน้ี" จงึ ตรัสว่า " ภิกษทุ งั้ หลาย เราไม่
ประทุษร้าย ในชนทั้งหลายผู้ประทุษรา้ ย เพราะความท่เี ราประกอบด้วยกาลงั คือขันติ ย่อมเป็น
ทีพ่ งึ่ ของมหาชนโดยแท้ ดังนีแ้ ล้ว ตรสั พระคาถาน้วี า่ :-

๑๖. อกโฺ กส วธพนฺธญจฺ อทุฏฺโฐ โย ติติกขฺ ติ
ขนฺตพี ล พลาณีก ตมห พฺรมู ิ พรฺ าหมฺ ณ.
" ผู้ใด ไมป่ ระทษุ ร้าย อดกล้ันซงึ่ คาดา่ และ
การตแี ละการจาจองได้, เราเรียกผนู้ น้ั ซ่ึงมกี าลงั
คือขันติ มหี มพู่ ลวา่ เป็นพราหมณ์."

ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอรยิ ผลทั้งหลาย มโี สดาปัตตผิ ลเป็นตน้ ดังน้ีแล.
เร่ืองอกั โกสกภารทวาชพราหมณ์ จบ.

๑๓๑

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน

๒๖) เรื่องนางปณุ ณทาสี (๑๗๙)
ข้อความเบ้ืองตน้

พระศาสดาเม่ือประทบั อยู่ทีเ่ ขาคิชฌกูฏ ทรงปรารภทาสขี องเศรษฐีกรุงราชคฤห์ช่ือ
นางปณุ ณา ตรัสพระธรรมเทศนาน้วี ่า " สทาชาครมานาน" เป็นตน้ .

นางปุณณาถวายขนมราแดพ่ ระพุทธเจา้
ดังไดส้ ดับมา ในวันหน่งึ เศรษฐไี ดใ้ ห้ข้าวเปลอื กเป็นอันมากแก่นางปุณณาน้ัน เพ่ือ
ประโยชน์แกอ่ ันซอ้ ม นางตามประทีปในกลางคนื ซอ้ มข้าวเปลอื กอยู่ มตี ัวชุ่มด้วยเหง่ือ จึงได้ไป
ยืนตากลมอยู่ ณ ภายนอกเพอ่ื ตอ้ งการพกั ผอ่ น.
ในสมยั น้ัน พระทพั พมลั ลบตุ รเป็นผ้จู ดั แจงเสนาสนะเพ่อื ภิกษทุ ั้งหลาย ท่านยังนวิ้ มอื ให้
สวา่ งเพือ่ ภกิ ษุทัง้ หลาย ผู้ฟังธรรมแลว้ ไปส่เู สนาสนะของตน ๆ นิรมิตภกิ ษุทั้งหลายผู้ไปขา้ งหน้า
ๆ เพอื่ ประโยชน์แก่การแสดงทาง. นางปณุ ณา เหน็ ภกิ ษุท้ังหลายผเู้ ที่ยวไปบนภเู ขา ด้วยแสง
สวา่ งนั้น จงึ คิดว่า " เราถกู ทุกข์ของตัวเบียดเบียน จึงไมเ่ ขา้ ถงึ ความหลับในเวลาแมน้ ี้ก่อน. เพราะ
เหตไุ ร ท่านผเู้ จริญท้ังหลาย " จงึ ไม่หลับ ?"ดงั นแ้ี ลว้ กท็ าความเขา้ ใจเอาเองวา่ " ความไม่ผาสุก
จกั มแี กภ่ กิ ษุบางรปู , หรอื อุปัทวเหตุเพราะงู ๑- จักมีในท่ีนน่ั เป็นแน่ " แต่เช้าตรู่ จงึ หยิบราชุบนา้
ใหช้ มุ่ แล้ว ทาขนมบนฝ่ามอื ปิง้ ทถี่ ่านเพลิง หอ่ ไว้ในพก คิดวา่ " จกั กินขนมทท่ี างไปสทู่ ่านา้ จงึ
ถือหมอ้ เดินบ่ายหน้าไปยังท่าน้า.แมพ้ ระศาสดา กเ็ สดจ็ ดาเนินไปทางน้ันเหมือนกัน เพ่ือเข้าบา้ น.
นางเหน็ พระศาสดาแล้ว คิดวา่ " ในวนั อื่น ๆ ถึงเมอื่ เราพบพระศาสดา,ไทยธรรมของเรากไ็ มม่ ,ี
เมอ่ื ไทยธรรมมี, เรากไ็ มพ่ บพระศาสดา; กบ็ ดั น้ีไทยธรรมของเราก็ม,ี ทั้งพระศาสดากป็ รากฏ
เฉพาะหน้า. ถา้ พระองค์ไมท่ รงคิดว่า " ทานของเราเศร้าหมองหรอื ประณีต แล้วพงึ รบั ไซร,้
เราพึงถวายขนมนี้ " ดังน้แี ล้ว จงึ วางหม้อไว้ ณ ส่วนขา้ งหนงึ่ ถวายบังคมพระศาสดา
กราบทลู วา่ " ขอพระองค์จงทรงรับทานอนั เศร้าหมองน้ี ทาการสงเคราะห์แกห่ ม่อมฉันเถิด
พระเจ้าขา้ . "พระศาสดา ทอดพระเนตรดูพระอานนทเถระแลว้ ทรงนอ้ มบาตรที่ท้าวมหาราช
ถวายไว้ อันพระอานนทเถระนาออกถวาย รบั ขนม. แมน้ างปุณณา วางขนมนัน้ ลงในบาตรของ
พระศาสดาแล้ว ถวายบงั คมดว้ ยเบญจางคประดษิ ฐ์ กราบทูลว่า " ขอธรรมทพ่ี ระองคท์ รงเห็น
แลว้ นนั่ แหละจงสาเรจ็ แก่หมอ่ มฉันเถดิ พระเจา้ ขา้ , " พระศาสดา ประทับยืนอยู่นั่นแหละ ไดท้ รง
กระทาอนุโมทนาวา่ " จงสาเรจ็ อย่างน้ัน. "

๑๓๒

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน

พระศาสดาเสวยขนมของนางปุณณา
แม้นางปุณณาก็คดิ ว่า " พระศาสดา ทรงทาการสงเคราะห์แกเ่ รารับขนมก็จริง, ถึงกระนั้น
พระองค์กจ็ กั ไม่เสวยขนมนนั้ ; คงประทานให้แก่กาหรือสนุ ัขข้างหน้า เสด็จไปยงั พระราช
มณเฑียรของพระราชาหรอื เรือนของมหาอามาตยแ์ ลว้ จักเสวยโภชนะอนั ประณีตแน่แท้. "
แมพ้ ระศาสดา ก็ทรงดารวิ า่ " นางปุณณาน่ัน คิดอย่างไรหนอแล ?"ทรงทราบวาระจติ ของนาง
แล้ว จึงทอดพระเนตรดพู ระอานนทเถระ แล้วทรงแสดงอาการทีจ่ ะประทับนง่ั . พระเถระได้ปู
ลาดจวี รถวาย. พระศาสดาไดป้ ระทบั นงั่ ทาภตั ตกิจ ณ ภายนอกพระนครนั่นเอง.
เทพดาในหอ้ งแหง่ จักรวาลทง้ั สิน้ บบี โอชารสอนั สมควรแก่เทพดาและมนษุ ยท์ ง้ั หลาย
ใหเ้ หมือนรวงผงึ้ แล้ว ใสล่ งในขนมนั้น. สว่ นนางปุณณาได้ยืนแลดอู ยใู่ นเวลาเสรจ็ ภตั ตกิจ
พระเถระได้ถวายนา้ . พระศาสดาทรงทาภตั ตกิจเสร็จแลว้ ตรัสเรยี กนางปุณณามา ตรัสว่า
" ปณุ ณา เพราะเหตไุ ร เจ้าจึงดูหมิน่ สาวกท้งั หลายของเรา ?"
นางปุณณา. หม่อมฉันมไิ ด้ดูหมน่ิ พระเจ้าขา้ .
พระศาสดา. เม่อื เปน็ เช่นนั้น เจา้ แลดสู าวกทงั้ หลายของเราแลว้ คดิ อย่างไร ?
นางปุณณา. หม่อมฉันคิดเท่านี้ว่า เราไม่ถึงความหลบั ก็เพราะอุปัทวันตรายคือทุกขน์ ้ีก่อน ท่านผู้
เจริญทง้ั หลายไม่เขา้ ถงึ ความหลับ เพือ่ อะไรกัน, ความไม่ผาสกุ จกั มีแก่ภิกษุบางรปู หรือ
อุปทั วันตรายเพราะงูจกั มเี ป็นแน่ พระเจา้ ข้า.

สาวกของพระพทุ ธเจ้าตืน่ เสมอ
พระศาสดาทรงสดับคาของนางปุณณาน้นั แลว้ จงึ ตรสั ว่า " ปณุ ณาเจ้าไมห่ ลบั เพราะอนั ตรายคือ
ทกุ ขข์ องตวั กอ่ น, ส่วนสาวกทัง้ หลายของเรา ไม่หลับ เพราะความเป็นผู้ประกอบเนือง ๆ ซงึ่
ธรรมเครอ่ื งตน่ื อยทู่ กุ เม่ือ" ดงั นีแ้ ล้ว ตรสั พระคาถานี้วา่ :-
๖. สทา ชาครมานาน อโหรตฺตานุสิกขฺ นิ
นพิ ฺพาน อธิมตุ ตฺ าน อตฺถ คจฺฉนตฺ ิ อาสวา. "
อาสวะทั้งหลาย ของผ้ตู น่ื อยู่ทุกเม่อื มีปกติ
ตามศึกษาทง้ั กลางวันกลางคนื น้อมไปแลว้ สู่
พระนิพพาน ยอ่ มถงึ ความต้งั อยไู่ ม่ได้. "

๑๓๓

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน

ในกาลจบเทศนา นางปณุ ณายืนอยู่ตามเดิมน่ันเอง ดารงอย่ใู นโสดาปัตตผิ ลแล้ว, เทศนาไดม้ ี
ประโยชนแ์ มแ้ กบ่ รษิ ัทผปู้ ระชมุ กนั แลว้ .

ภิกษพุ ากันสรรเสริญพระศาสดา
พระศาสดา ครนั้ ทรงทาภตั กิจดว้ ยขนมปงิ้ ท่ีถ่านเพลงิ ซ่งึ ทาดว้ ยราแล้ว ได้เสด็จไปวหิ าร.
ภิกษุทง้ั หลาย สนทนากันในโรงธรรมว่า " ผู้มีอายทุ ั้งหลาย กรรมท่ที าไดย้ ากอนั พระสมั มาสมั
พุทธเจา้ ผทู้ รงทาภัตตกจิ ดว้ ยขนมปงิ้ ซึ่งทาดว้ ยรา อนั นางปุณณาถวาย ทรงทาแลว้ . "
พระศาสดาเสด็จมา ตรสั ถามวา่ " ภกิ ษทุ ั้งหลาย พวกเธอนงั่ ประชุมกันดว้ ยกถาอะไรหนอแล ?
เม่ือภกิ ษทุ ัง้ หลาย กราบทลู ว่า " ดว้ ยเรื่องชอื่ นี้ " ดงั นีแ้ ลว้ จึงตรสั ว่า " ไมใ่ ชใ่ นบัดน้เี ท่านั้น
ภิกษุทั้งหลาย;ถึงในกอ่ น เราก็บรโิ ภคราทน่ี างปุณณานใ้ี ห้แลว้ เหมอื นกัน แล้วทรงนา
อดตี นทิ านมา ตรัสกุณฑกสินธวโปตกชาดกนี้ ใหพ้ ิสดารว่า :-

พระโพธสิ ตั ว์เมอื่ จะทดลอง (ถาม) ลกู มา้ สินธพนน้ั จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า.
" เจา้ กินหญ้าอนั เป็นเดน, เจ้ากนิ ข้าวตงั และรา
(มาจนโต), นเ่ี ป็นอาหารเดมิ ของเจา้ เพราะเหตไุ ร
บัดน้ี เจ้าจงึ ไมก่ ิน ?"

ลกู ม้าสินธพฟงั ดังน้ันแล้ว จึงได้กล่าว ๒ คาถานอกนว้ี ่า
" ในที่ใด ชนท้ังหลาย ไมร่ จู้ ักสัตว์ผู้ควรเลยี้ ง
โดยชาติหรือโดยวินัย, ท่านมหาพราหมณ์ เออก็ใน
ทนี่ ั้น มขี า้ วตงั และรามาก, สว่ นท่านแล ย่อมรจู้ กั ขา้ พเจา้ ดวี ่า มา้ เชน่ ใดนเี้ ป็นมา้ สงู สุด
ขา้ พเจ้ารู้อยอู่ าศัยท่านผรู้ ู้ จงึ ไมก่ นิ ราของท่าน." ดังนี้แล.

เรอ่ื งนางปุณณทาสี จบ.

๑๓๔

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน

๒๖) เร่อื งพระนางมหาปชาบดโี คตมี (๒๗๑)
ขอ้ ความเบื้องต้น

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระนางมหาปชาบดีโคตมี ตรัสพระ
ธรรมเทศนานว้ี ่า"ยสฺส กาเยน" เป็นตน้ .

พระศาสดาทรงบญั ญัตคิ รธุ รรม ๘
ความพิสดารวา่ พระนางมหาปชาบดีโคตรมีพรอ้ มกับบริวารรบั ครุธรรม ๘ ประการ ๑- อนั
พระผมู้ ีพระภาคเจ้าทรงบญั ญัติแล้ว ในเมื่อเร่อื งยังไมเ่ กดิ ข้ึน เหมอื นบรุ ุษผ้มู ีชาตมิ ักประดับรบั
พวงดอกไมห้ อมด้วยเศยี รเกล้าได้อปุ สมบทแล้ว. อุปัชฌายะหรอื อาจารย์อื่นของพระนางไม่มี.
ภิกษทุ ัง้ หลาย ปรารภพระเถรผี ้มู ีอุปสมบทอันไดแ้ ล้วอยา่ งน้นั โดยสมัยอน่ื สนทนากันว่า "
อาจารย์และอปุ ัชฌายะของพระนางมหาปชาบดโี คตมี ย่อมไมป่ รากฏ, พระนางถือเอาผ้ากาสายะ
ทั้งหลายดว้ ยมือของตนเอง. "
ก็แล ครนั้ กลา่ วอย่างนน้ั แลว้ ภกิ ษณุ ีท้งั หลายประพฤติรังเกียจอยู่ยอ่ มไมท่ าอโุ บสถ ไม่ทา
ปวารณาร่วมกบั พระนางเลย. ภิกษุณีท้งั หลายนน้ั ไปกราบทูลเน้ือความนั้นแม้แดพ่ ระตถาคตแลว้ .

คนท่ีควรเรียกว่าพราหมณ์
พระศาสดาทรงสดับคาของภิกษณุ ีเหล่านน้ั แล้ว จงึ ตรัสวา่ " ครุธรรม๘ ประการ เราใหแ้ ล้ว
แกพ่ ระนางมหาปชาบดีโคตมี, เราเองเป็นอาจารย์เราเองเป็นอุปัชฌายะของพระนาง, ชือ่ ว่าความ
รังเกียจในพระขณี าสพทงั้ หลาย ผูเ้ ว้นแลว้ จากทุจรติ ทัง้ หลายมกี ายทจุ ริตเป็นตน้ อนั เธอท้ังหลาย
ไมค่ วรทา"ดังน้แี ล้วเม่อื จะทรงแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้วา่ :-
๘. ยสสฺ กาเยน วาจาย มนสา นตฺถิ ทกุ ฺกต

สวุต ตีหิ ฐาเนหิ ตมห พฺรูมิ พรฺ าหมฺ ณ.
" ความชวั่ ทางกาย วาจา และใจ ของบคุ คลใด
ไมม่ ,ี เราเรียกบุคคลนนั้ ผู้สารวมแลว้ โดยฐานะ ๓
ว่า เปน็ พราหมณ์."

---------------------------------------------

๑. ภิกษณุ ีถึงมพี รรษาตั้ง ๑๐๐ ต้องกราบไหว้ภกิ ษผุ ้อู ปุ สมบทในวนั น้ัน
๑. ตอ้ งอยู่จาพรรษาในอาวาสภกิ ษุ ๑. ตอ้ งหวงั ตอ่ ธรรมทัง้ ๒ คือถามอุโบสถและไปรับโอวาทจากภิกษสุ งฆท์ กุ กึง่ เดอื น ๑.
ออกพรรษาแลว้ ต้องปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝา่ ย ๑. ตอ้ งครุธรรมแลว้ พึงประพฤตปิ ักขมานัตในสงฆ์๒ ฝ่าย ๑.
ตอ้ งแสวงหาอุปสมบทแกน่ างสกิ ขมานาผ้ศู ึกษาในธรรม ๖ ส้ิน๒ ปี แลว้ ในสงฆ์ ๒ ฝา่ ย ๑. ด่าแช่งภกิ ษุไมไ่ ด้ ๑. ปิดทาง
ไมใ่ หภ้ ิกษุณสี อนภิกษุ เปิดทางให้ภกิ ษุกล่าวสอนอยา่ งเดียว ๑. ว.ิ จลุ ล. ๗/๓๓๒.

๑๓๕

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสิกาแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน

แกอ้ รรถ
กรรมมโี ทษ คอื มที ุกข์เป็นกาไร อันยังสตั ว์ใหเ้ ป็นไปในอบายชอ่ื ว่า ทุกฺกต ในพระคาถาน้นั .
สองบทวา่ ตีหิ ฐาเนหิ ความว่า เราเรยี กบคุ คลผมู้ ีทวารอนั ปิดแล้ว เพอื่ ต้องการห้ามความเข้า
ไปแห่งทจุ ริตเป็นต้น โดยเหตุ ๓ มกี ายเป็นตน้ เหล่านน้ั วา่ เป็นพราหมณ์.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลอุ รยิ ผลทงั้ หลาย มีโสดาปตั ตผิ ลเป็นต้น ดังน้ีแล.

เรือ่ งพระนางมหาปชาบดีโคตมี จบ.

๑๓๖

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสิกาแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน

๒๗) เรอ่ื งปาฏกิ าชีวก (๓๘)
ข้อความเบอ้ื งต้น

พระศาสดา เม่ือประทบั อย่ใู นกรงุ สาวตั ถี ทรงปรารภอาชีวกชื่อปาฏิกะ ตรัสพระธรรมเทศนา
นี้วา่ " น ปเรส วิโลมานิ" เป็นต้น.

ชาวบา้ นสรรเสริญธรรมเทศนาของพระพุทธเจา้
ดังไดส้ ดับมา หญงิ แม่เรอื นคนหนงึ่ ในกรงุ สาวัตถี ปฏิบัตอิ าชีวกช่ือปาฏกิ ะ ตั้งไว้ในฐานะดงั
ลกู . พวกมนษุ ยใ์ นเรอื นใกล้เคียงของนางฟงั ธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว มาพรรณนาพระ
พุทธคณุ โดยประการต่าง ๆ เปน็ ตน้ วา่ " แหม! พระธรรมเทศนาของพระพุทธเจา้ ท้งั หลาย
นา่ อศั จรรย์ (นัก)."

นางอยากไปฟงั ธรรมแต่ไมส่ มประสงค์
หญิงแมเ่ รือนนน้ั ฟงั ถ้อยคาสรรเสริญพระคุณของพระพทุ ธเจา้ แล้วประสงค์จะไปส่วู ิหาร
แล้วฟงั ธรรม จึงเลา่ ความน้นั แกอ่ าชีวก แล้วกลา่ ววา่ " พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันจกั ไปสานกั ของ
พระพุทธเจ้า. "
อาชีวกนน้ั ห้ามว่า " อยา่ ไปเลย" แล้วก็เลยห้ามนางแมผ้ อู้ อ้ นวอนอยู่แลว้ ๆ เลา่ ๆ เสียทีเดยี ว.
นางคดิ ว่า " พระผ้เู ปน็ เจา้ น้ี ไม่ใหเ้ ราไปวหิ ารฟงั ธรรม, เราจกั นิมนตพ์ ระศาสดามา แลว้ ฟัง
ธรรมในทนี่ ้ีแหละ" ดงั น้แี ลว้ ในเวลาเย็น จงึ เรยี กบตุ รชายมาแลว้ ส่งไปด้วยคาวา่ " เจา้ จงไป, จง
นิมนต์พระศาสดามาเพอ่ื เสวยภัตตาหารพรงุ่ น้ี. "
บตุ รชายน้ัน เมือ่ จะไป กไ็ ปที่อยขู่ องอาชวี กกอ่ น ไหว้อาชวี กแล้วน่งั . ทีนั้น อาชวี กนัน้ ถาม
เขาว่า " เธอจะไปไหน?"
บตุ ร. ผมจะไปนิมนต์พระศาสดาตามคาสงั่ ของคุณแม่.
อาชีวก. อยา่ ไปสานกั ของพระองค์เลย.
บุตร. ไมไ่ ด้ พระผู้เป็นเจา้ , ผมจักไป.
อาชวี ก. เราทงั้ สองคน จกั กนิ เคร่อื งสกั การะทค่ี ุณแม่ของเธอทาถวายพระศาสดานัน่ , อย่าไป
เลย.
บตุ ร. ไมไ่ ด้ พระผู้เปน็ เจา้ , คุณแม่จกั ดุผม.
อาชวี ก. ถ้ากระน้ัน กไ็ ปเถดิ , กแ็ ล ครั้นไปแลว้ จงนมิ นต์(แต่) อย่าบอกว่า 'พระองค์พงึ เสด็จ
ไปเรือนของพวกขา้ พระองคใ์ นทโ่ี น้น ในถนนโนน้ หรือโดยหนทางโน้น' (ทา) เปน็ เหมอื นยนื
อยูใ่ นทใี่ กล้เหมอื นจะไปโดยหนทางอนื่ จงหนีมาเสยี .

๑๓๗

kalyanamitra.org

โครงการบวชอบุ าสิกาแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน

บุตรชายทาตามคาของอาชีวก
เขาฟงั ถอ้ ยคาของอาชีวกแล้วไปสานกั ของพระศาสดา นิมนตแ์ ล้วทากิจทุกสง่ิ โดยทานอง
อาชวี กกลา่ วแล้วนนั่ แล แลว้ ไปสานักของอาชีวกนั้น ถกู อาชีวกถามวา่ " เธอทาอย่างไร?"
จงึ ตอบว่า " ท่ีท่านบอกท้งั หมด ผมทาแลว้ ขอรบั . " อาชวี กกลา่ ววา่ " เธอทาดแี ล้ว, เรา
ท้งั สองคนจักกนิ เครือ่ งสกั การะทค่ี ุณแมข่ องเธอทาไว้เพอื่ พระศาสดานัน้ "ดังน้แี ล้ว
ในวนั ร่งุ ขึ้น อาชีวกได้ไปสู่เรอื นน้นั แต่เชา้ ตรู่. พวกคนในบ้านพาอาชวี กนน้ั ให้ไปน่ังท่ีห้องหลัง,
พวกมนุษยค์ ้นุ เคยฉาบทาเรอื นน้ันด้วยโคมยั สด โปรยดอกไมซ้ งึ่ มขี า้ วตอกเป็นที่ ๕ ลง แล้วปู
ลาดอาสนะอันควรแกค่ า่ มาก เพือ่ ประโยชนแ์ ก่การประทับนง่ั ของพระศาสดา.
จริงอยู่ พวกมนษุ ย์ท่ไี มค่ นุ้ เคยกบั พระพุทธเจา้ ย่อมไมร่ ู้จักการปลู าดอาสนะ.

พระพทุ ธเจา้ เสด็จไปเยือนอุบาสกิ า
อนง่ึ ชือ่ วา่ กจิ (เนอ่ื ง) ดว้ ยผแู้ สดงทาง ย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจา้ ท้ังหลาย: เพราะหนทาง
ทัง้ หมดแจม่ แจ้งแกพ่ ระพุทธเจา้ เหล่านั้นแล้ววา่ " ทางนไ้ี ปนรก, นไ้ี ปกาเนดิ ดิรจั ฉาน, นี้ไปเปต
วสิ ยั , นไี้ ปมนษุ ยโลก, นไ้ี ปเทวโลก, น้ไี ปอมตนพิ พาน" ในวันท่ที รงยงั หม่นื แหง่ โลกธาตุให้
หวน่ั ไหว แลว้ บรรลสุ มั โพธิทีโ่ คนต้นโพธนิ ่นั แล, จึงไมม่ คี าท่ีควรกล่าวในหนทางแห่งสถานที่
ตา่ ง ๆ มีคามและนิคมเปน็ ต้นเลยเพราะฉะน้นั พระศาสดาทรงถอื บาตรและจีวรแล้ว จงึ เสด็จ
ไปสปู่ ระตเู รือนของมหาอุบาสิกาแต่เชา้ ตรู่. นางออกมาจากเรือน ถวายบังคมพระศาสดา
ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ อญั เชิญใหเ้ สดจ็ เขา้ ไปภายในเรือน ใหป้ ระทับนั่งเหนืออาสนะแล้วถวาย
ทักษิโณทก อังคาสดว้ ยขาทนียะ และโภชนยี ะอนั ประณีต. อุบาสกิ าประสงค์จะใหพ้ ระศาสดาผู้
ทรงทาภัตตกิจเสร็จแลว้ ทรงกระทาอนโุ มทนาจึงรบั บาตรแลว้ .

อบุ าสกิ าฟังธรรมแล้วถกู อาชีวกด่า
พระศาสดา ทรงเริม่ ธรรมกถาสาหรับอนโุ มทนา ดว้ ยพระสรุ เสียงอันไพเราะ. อบุ าสกิ าฟัง
ธรรมพลางให้สาธกุ ารวา่ " สาธุ สาธุ. "
อาชีวกนั่งอยูห่ ้องหลงั นั่นแล ไดย้ ินเสียงนางให้สาธุการแล้วฟงั ธรรมอยู่ ไมอ่ าจจะอดทนอยไู่ ด้
จงึ ออกไป ด้วยคิดว่า " ทีน้ีแหละ นางไม่เป็นของเราละ" ดงั นี้แล้ว ด่าอุบาสิกาและพระศาสดา
โดยประการตา่ ง ๆ ว่า" อีกาลกณิ ี มงึ เปน็ คนฉบิ หาย, มึงจงทาสักการะน้ีแก่สมณะนน่ั เถดิ "
ดังน้ีเป็นต้น หนีไปแล้ว.

๑๓๘

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน

อบุ าสิกามจี ิตฟงุ้ ซ่าน
อบุ าสกิ าละอาย เพราะถอ้ ยคาของอาชวี กนัน้ ไมอ่ าจจะส่งจติ ซ่ึงถงึ ความฟงุ้ ซา่ น ๑- ไปตาม
กระแสแห่งเทศนาได้.
ลาดับน้ัน พระศาสดาตรัสกะนางวา่ " อุบาสกิ า เธอไมอ่ าจทาจิตใหไ้ ปตาม (แนว) เทศนาได้
หรือ?"
อุบาสิกา. พระเจ้าค่ะ เพราะถอ้ ยคาของอาชีวกน้ี จติ ของข้าพระองค์ เข้าถึงความฟุ้งซา่ นเสีย
แล้ว.
พระศาสดา ตรสั ว่า " ไมค่ วรระลึกถึงถอ้ ยคาที่ชนผไู้ ม่เสมอภาคกนั เห็นปานน้กี ล่าว, การไม่
คานงึ ถึงถ้อยคาเห็นปานนี้แล้ว ตรวจดกู จิ ทีท่ าแลว้ และยงั มไิ ดท้ าของตนเท่าน้นั จึงควร" ดงั นี้แล้ว
ตรัสพระคาถานว้ี า่ :-
๖. น ปเรส วโิ ลมานิ น ปเรส กตากต

อตตฺ โน ว อเวกเฺ ขยฺย กตานิ อกตานิ จ.
" บุคคลไม่ควรทาคาแสยงขนของคนเหลา่ อืน่ ไว้

ในใจ, ไม่ควรแลดกู ิจที่ทาแลว้ และยงั มไิ ด้ทาของคน
เหล่าอื่น, พึงพจิ ารณากจิ ที่ทาแลว้ และยังมิได้ทา
ของตนเทา่ นั้น."

ในกาลจบเทศนา อุบาสกิ าดารงอยใู่ นโสดาปตั ตผิ ลแลว้ . เทศนามปี ระโยชน์แก่มหาชน ดังนีแ้ ล.
เร่ืองปาฏิกาชวี ก จบ.

๑๓๙

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน

๒๘) เร่อื งพระกาลเถระ (๑๓๔)
ขอ้ ความเบ้อื งตน้

พระศาสดา เมอื่ ประทบั อยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระกาลเถระตรัสพระธรรมเทศนานีว้ า่
" โย สาสน " เป็นตน้ .

พระเถระไมใ่ ห้อปุ ฏั ฐายกิ าไปฟงั ธรรม
ดงั ได้ยนิ มา หญิงคนหนง่ึ ในกรงุ สาวตั ถี ต้งั อย่ใู นทีแ่ ห่งมารดาทานุบารุงพระเถระน้ันอยู่ พวก
คนในเรือนแห่งผู้คุ้นเคยของหญงิ น้ันฟงั ธรรมในสานกั พระศาสดาแลว้ กลับมาเรอื นแลว้
สรรเสรญิ อยวู่ า่ " โอ ชอ่ื พระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลายเป็นอัศจรรย์ , โอ พระธรรมเทศนากไ็ พเราะ. "
หญิงนน้ั ฟงั ถอ้ ยคาของคนพวกนนั้ แลว้ จึงบอกแก่พระกาละวา่ " ทา่ นเจ้าข้า ดิฉนั อยากจะฟัง
ธรรมเทศนาของพระศาสดาบ้าง. " เธอห้ามเขาวา่ " อย่าไปทนี่ ัน่ เลย. " หญิงนั้นในวนั รุ่งขึน้ ก็ขอ
อกี แมอ้ นั พระกาละน้ันหา้ มอย่ถู งึ ๓ คร้งั กย็ งั อยากจะฟงั อยนู่ ั่นแล.
มคี าถามสอดเข้ามาว่า " กเ็ หตไุ ฉน ? เธอจงึ ได้ห้ามเขาเสยี . "
แกว้ า่ " ไดย้ ินวา่ เธอไดม้ ีความเห็นเชน่ นี้ว่า 'อุบาสิกาน้ี ไดฟ้ งั ธรรมในสานักพระศาสดาแล้ว
จกั แตกจากเรา' เหตนุ นั้ เธอจึงไดห้ ้ามเขาเสีย.
วันหนง่ึ หญิงนนั้ บรโิ ภคอาหารเสร็จสมาทานอโุ บสถแลว้ สั่งบุตรีไวว้ ่า " แม่ จงองั คาสพระผู้
เปน็ เจา้ ให้ดี" แล้วไดไ้ ปวหิ ารแตเ่ ชา้ เทยี ว.ฝา่ ยบตุ รขี องเขากอ็ งั คาสพระกาละโดยเรยี บรอ้ ย ใน
กาลเธอมาถงึ เธอถามว่า " อุบาสิกาผ้ใู หญ่ไปไหน ?" (นาง)ตอบ ว่า " ไปวิหารเพอื่ ฟังธรรม. "
เธอพอได้ฟงั ข่าวน้ัน ทุรนทรุ ายอยเู่ พราะความกลดั กลุ้มอนั ต้งั ขน้ึ ในทอ้ ง (ควรจะเป็น อนโฺ ต ใน
ภายใน) นกึ วา่ " เดี๋ยวน้ี อุบาสกิ านั้นแตกจากเราแลว้ " รบี ไป เหน็ หญงิ น้นั ฟังธรรมอยใู่ นสานกั
พระศาสดาจงึ ทลู พระศาสดาวา่ " พระเจา้ ขา้ หญิงคนน้ีเขลา ไม่เข้าใจธรรมกถาอันละเอียด, อยา่
ตรสั ธรรมกถาอนั ละเอยี ดซงึ่ ประดบั ดว้ ยสภาวธรรมมขี นั ธ์เปน็ ตน้ ตรัสแต่เพยี งทานกถาหรือสี
ลกถาแกเ่ ขากพ็ อ. "

สกั การะยอ่ มฆ่าคนถ่อย
พระศาสดา ทรงทราบอัธยาศยั ของเธอแล้ว ตรสั วา่ " เธอเปน็ คนปญั ญาโฉด อาศยั ทิฏฐอิ ันชว่ั
ชา้ ห้ามปรามคาสงั่ สอนของพระพทุ ธเจ้า,เธอพยายามเพื่อฆ่าตนเอง" แลว้ ตรัสพระคาถาน้ีวา่ :-
๘. โย สาสน อรหต อรยิ าน ธมฺมชีวิน
ปฏกิ โฺ กสติ ทุมเฺ มโธ ทิฏฺฐึ นิสสฺ าย ปาปิก
ผลานิ กณฏฺ กสฺเสว อตตฺ ฆญญฺ าย ผลลฺ ติ

๑๔๐

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน

" บุคคลใดปัญญาโฉด อาศัยทิฏฐอิ ันช่วั ชา้ คัด
ค้านคาส่ังสอนของพระอริยบคุ คล ผอู้ รหันต์ มปี กติ
เปน็ อยโู่ ดยธรรม, บุคคลนัน้ ย่อมเกิดมาเพอื่ ฆา่ ตน
เหมอื นขุยแห่งไม้ไผ่."

แกอ้ รรถ
ความแห่งพระคาถานั้นว่า :-
" บคุ คลใดปัญญาโฉด อาศยั ทฏิ ฐิอนั ชั่วชา้ ห้ามปรามพวกคนผกู้ ลา่ วอยู่วา่ 'จกั ฟงั ธรรม กด็ ี. '
ว่า 'จักถวายทานก็ด'ี เพราะกลวั แตเ่ สื่อมสกั การะของตน ช่อื วา่ โตแ้ ย้งคาสัง่ สอนของพระ
อริยบุคคลผูอ้ รหนั ต์มีปกติเป็นอยโู่ ดยธรรม คอื พระพทุ ธเจา้ , การโตแ้ ยง้ และทิฏฐอิ นั เลวทราม
นนั้ ของบคุ คลนัน้ ย่อมเป็นเหมือนขุยของไมม้ หี นาม กลา่ วคอื ไม้ไผ่, เหตนุ ั้น ไมไ้ ผเ่ มอื่ ตกขยุ
ยอ่ มตกเพอื่ ฆ่าตนเท่าน้ัน ฉนั ใด; แมบ้ คุ คลน้นั กย็ อ่ มเกิดมาเพื่อฆา่ ตน คอื วา่ เกดิ มาเพื่อผลาญ
ตนเอง ฉนั นั้น. สมจริงแมค้ าถาประพันธ์นี้ พระผ้มู ีพระภาคก็ได้ตรสั ไว้วา่ :-

" ผลนน้ั แลยอ่ มฆา่ ตน้ กล้วยเสีย, ผลนน้ั แลย่อม
ฆา่ ไม้ไผเ่ สีย, ผลนน้ั แลยอ่ มฆา่ ไม้ออ้ เสยี , ลกู ใน
ท้องยอ่ มฆ่าแมม่ า้ อัศดรเสยี ฉันใด, สักการะก็ยอ่ ม
ฆา่ บรุ ุษถ่อยเสีย ฉันนน้ั ."

ในเวลาจบเทศนา อบุ าสกิ าตัง้ อยูใ่ นโสดาปัตติผล เทศนาไดม้ ปี ระโยชนแ์ มแ้ ก่บรษิ ทั ผปู้ ระชมุ
กนั แล้ว ดังนีแ้ ล.

เร่อื งพระกาลเถระ จบ.

๑๔๑

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน

๒๙) เรื่องพระธรรมทินนาเถรี [๓๐๐]
ขอ้ ความเบือ้ งตน้

พระศาสดาเมื่อประทับอยใู่ นพระเวฬวุ ัน ทรงปรารภภกิ ษุณีชอื่ ธรรมทินนา
ตรัสพระธรรมเทศนานีว้ า่ "ยสสฺ ปเุ ร จ" เปน็ ต้น.

วิสาขอุบาสกบรรลอุ นาคามผิ ล
ความพสิ ดารวา่ ในวันหน่ึง ในเวลานางเปน็ คฤหัสถ์ วสิ าขอบุ าสกผเู้ ปน็ สามี ฟงั ธรรม
ในสานักของพระศาสดาบรรลอุ นาคามผิ ลแลว้ คดิ ว่า "การทเี่ ราให้นางธรรมทนิ นารบั ทรพั ย์
สมบัตทิ ั้งปวง ควร"ในกาลกอ่ นแต่นัน้ อุบาสกนนั้ เมอ่ื มา เหน็ นางธรรมทินนาผแู้ ลดอู ยู่ทาง
หนา้ ต่างยอ่ มทาความย้มิ แยม้ แตใ่ นวันนน้ั ไมแ่ ลดนู างผยู้ ืนอยู่ทีห่ นา้ ตา่ งเลยได้ไปแลว้ .
นางคดิ ว่า นี้เรื่องอะไรกันหนอ? คดิ วา่ ‘ข้อนน้ั จงยกไว้เราจกั ร้ใู นเวลาบริโภค’ แล้วนา
ภตั เขา้ ไปในเวลาบริโภค.
ในวนั อืน่ ๆ อุบาสกนน้ั พดู ว่า "มาเถิด, เราบริโภคดว้ ยกนั ."แต่ในวันน้นั เป็นผู้นงิ่ เฉย
บรโิ ภคแลว้ . นางคิดว่า "สามีคงจักโกรธ ด้วยเหตุอะไรๆแน่นอน."

สามี ภรรยา อยูด่ ว้ ยกัน ตอ้ งรู้อัธยาศัย, อารมณ์, กิริยาอาการ
เหตุแห่งการไม่พูดกนั ๑) เบอื่ กันและกนั ๒)กาลังครนุ่ คิด ๓) โกรธกันฯลฯ

แต่อยา่ เพง่ิ ดว่ นสรปุ ควรถามไถ่เพอื่ หาเหตผุ ลท่แี ท้จริง

คร้งั น้ัน วิสาขอบุ าสกเรียกนางในเวลานงั่ ตามสบายมาแลว้ กล่าวกะนางว่า "ธรรมทินนา หล่อน
จงรบั ทรัพยส์ มบัติทงั้ ปวงในเรือนนเี้ ถดิ ."

นางคดิ วา่ "ธรรมดาวา่ คนทง้ั หลายโกรธแลว้ ยอ่ มไมใ่ หใ้ ครรับทรัพย์สมบตั ิ นี่เรอื่ งอะไร
กนั หนอ?" จึงกล่าววา่ "นาย ก็ท่านเลา่ ?"

อบุ าสก. จาเดิมแต่น้ี ฉันจกั ไมจ่ ดั แจงอะไรๆ.
ธรรมทินนา. ใครจกั รบั น้าลายทที่ ่านบ้วนทิ้ง เมอื่ เป็นเช่นนั้นท่านก็จงอนญุ าตการบวช
แก่ดิฉนั เถิด.
อุบาสกนนั้ รับวา่ "ดลี ะนางผเู้ จรญิ " แล้วนานางไปสสู่ านกั ภกิ ษุณดี ้วยสกั การะเป็นอัน
มาก ใหบ้ วชแล้ว.นางได้อุปสมบทแล้ว ได้มชี ือ่ วา่ ธรรมทินนาเถรี.

๑๔๒

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน

วสิ าขอุบาสกถามปัญหาในมรรคกะพระเถรี
นางไปส่ชู นบทกบั ภกิ ษณุ ที ั้งหลายเพราะความเปน็ ผูป้ ระสงคว์ เิ วก เม่อื อยู่ในชนบทนนั้ ไมน่ าน
เท่าไรกบ็ รรลุพระอรหตั พร้อมดว้ ยปฏสิ มั ภทิ าท้ังหลาย กลับมาสกู่ รุงราชคฤห์อยา่ งเดมิ อีกด้วยคิด
วา่ "บัดน้ี พวกชนผ้เู ป็นญาตอิ าศยั เราแลว้ จกั ทาบุญทัง้ หลาย."

อบุ าสกไดท้ ราบความท่ีพระเถรมี าแล้ว คดิ วา่ "พระเถรมี าเพราะเหตุไรหนอ?" จึงไปสู่
สานักภิกษุณี ไหวพ้ ระเถรแี ลว้ น่งั ณสว่ นข้างหนึง่ คดิ วา่ "การทเ่ี ราจะพดู ว่า ‘แม่เจา้ ทา่ นกระสัน
หรอื หนอ’ ดงั น้ีก็เป็นการไม่สมควร, เราจกั ถามปญั หาสกั ขอ้ หนึง่ กะพระเถรนี ั้น"แลว้ ถามปัญหา
ในโสดาปตั ติมรรค.

ฉลาดถาม ย่อมไดค้ าตอบปัญหาปุจฉาสูตร (วา่ ดว้ ยการถามปญั หา)

เหตแุ ห่งการถาม ๑) โงเ่ ขลา ๒) ปรารถนาช่ัว ๓) ดหู ม่ิน ๔) อยากจะรู้

๕) อยากได้คาตอบท่ีชดัพรแะตเถ่ถรีเ้าฉคลายตปัญอหบาไขมอ้ ช่ นดั น้ั เไจดน้. ก็จกั ตอบใหช้ ัดเจนเอง

อุบาสกจงึ ถามปญั หาแมใ้ นมรรคท่เี หลือ โดยอบุ ายนน้ั นั่นแลเมื่อพระเถรนี นั้ กล่าวใน

เวลาปัญหาอนั อุบาสกน้ันถามกา้ วลว่ ง (วิสยั ) วา่ "วสิ าขะผ้มู ีอายุ ท่านแลน่ เลย (วสิ ัย) ไปแล" แล้ว

กลา่ ววา่ "เมอ่ื ท่านจานงก็พึงเขา้ ไปเฝ้าพระศาสดาแล้วทลู ถามปญั หาน้ี" ไหวพ้ ระเถรีแลว้ ลุกจาก

อาสนะไปส่สู านกั พระศาสดา กราบทลู การสนทนาปราศรัยนนั้ ทั้งหมด แดพ่ ระผู้มีพระภาคเจ้า.

พระศาสดาทรงยกย่องพระธรรมทนิ นาเถรี

พระศาสดาตรสั วา่ "ธรรมทินนา ธดิ าของเรากล่าวดีแล้ว ด้วยเรา เม่อื จะแกป้ ญั หาน่นั

ก็จะพึงแกอ้ ย่างนั้นเหมือนกนั " ดังน้ีแล้ว

เม่ือจะทรงแสดงธรรม จงึ ตรสั พระคาถานีว้ า่ :-

๓๗. ยสฺส ปุเร จ ปจฉฺ า จ มชเฺ ฌ จ นตถฺ ิ กญิ จฺ น

อกญิ จฺ น อนาทาน ตมห พรฺ มู ิ พรฺ าหมฺ ณ.

ความกงั วลในก่อน ในภายหลงั และในทา่ มกลางของ

ผู้ใดไม่มี. เราเรยี กผู้นน้ั ซงึ่ ไมม่ ีความกังวล ไม่มีความยึดม่ัน

วา่ เปน็ พราหมณ์.

ในเวลาจบเทศนา ชนเปน็ อันมากบรรลอุ ริยผลทั้งหลาย มโี สดาปตั ตผิ ลเป็นดังนี้แล.

เรือ่ งพระธรรมทินนาเถรี จบ.

๑๔๓

kalyanamitra.org

โครงการบวชอบุ าสิกาแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน

๓๐) เรื่องนายพรานกกุ กฏุ มิตร[๑๐๒]

ขอ้ ความเบอ้ื งต้น

พระศาสดา เม่ือประทับอยใู่ นพระเวฬวุ นั ทรงปรารภนายพรานชอ่ื กกุ กุฏมิตร ตรัสพระธรรม

เทศนานี้ว่า"ปาณิมฺหิ เจ วโณ นาสสฺ "เปน็ ต้น. ไม่สอนลกู ใหฝ้ กึ ควบคมุ ใจแต่เดก็

ธดิ าเศรษฐรี ักพรานกุกกุฏมติ ร
ไดย้ ินว่า ธดิ าเศรษฐีคนหนง่ึ ในกรุงราชคฤห์ เจรญิ วัยแลว้ เพอ่ื ประโยชน์แก่การรกั ษา มารดา
บิดาจงึ มอบหญิงคนใช้ให้คนหน่งึ ใหอ้ ยู่ในหอ้ งบนปราสาท ๗ ชัน้ ในเวลาเยน็ วันหน่ึง แลไปใน
ระหว่างถนนทางหนา้ ต่าง เหน็ นายพรานคนหนึ่งชอื่ กุกกุฏมิตร ผถู้ อื บว่ ง ๕๐๐ และหลาว ๕๐๐
ฆา่ เนื้อท้งั หลายเล้ียงชพี ฆ่าเน้ือ ๕๐๐ ตวั แลว้ บรรทุกเกวียนใหญใ่ ห้เต็มไปดว้ ยเน้อื สตั ว์เหลา่ นั้น
นั่งบนแอกเกวยี นเขา้ ไปสู่พระนครเพ่ือต้องการขายเนอื้ เปน็ ผู้มจี ติ ปฏพิ ัทธ์ในนายพรานนัน้
ให้บรรณาการในมือหญิงคนใช้ ส่งไปวา่ " เจ้าจงไป, จงให้บรรณาการแกบ่ ุรษุ นั้นร้เู วลาไป
(ของเขา) แล้วจงมา. "
หญงิ คนใช้ไปแลว้ ให้บรรณาการแก่นายพรานน้ันแลว้ ถามว่า" ท่านจักไปเมอ่ื ไร ?"
นายพรานตอบว่า " วนั น้ีเราขายเนื้อแล้ว จักออกไปโดยประตูช่ือโน้นแตเ่ ชา้ เทียว "
หญิงคนใช้ฟังคาทนี่ ายพรานนน้ั บอกแลว้ กลบั มาบอกแก่นาง.

เลี้ยงลกู แบบตามใจแต่เดก็ ลกู สาวจงึ รักหนมุ่ มากกวา่ พ่อแม่
ลูกคอื ความธหดิ าวเังศขรษอฐงลีพอ่อบแหมนไี่ๆปกจับึงนตา้อยพงทรานนทกุ ข์เพราะลูก

นางทาสี ถงึ ที่น้ันแล้วได้ยนื คอยการมาของนายพรานอยู่ แมน้ ายพรานกข็ ับเกวยี นออกไปแต่
เช้าตรู่. ฝ่ายนางก็เดนิ ตามหลังนายพรานนนั้ ไป เขาเห็นนางจึงพูดว่า " ขา้ พเจา้ ไม่รู้จกั เจ้าวา่ ,
'เป็นธิดาของผู้ชื่อโน้น, ' แน่ะแม่ เจา้ อยา่ ตามฉนั ไปเลย. " นางตอบวา่ " ทา่ นไมไ่ ด้เรยี กฉนั มา,
ฉนั มาตามธรรมดาของตน, ท่านจงน่งิ ขับเกวยี นของตนไปเถดิ . " เขาห้ามนางแลว้ ๆ เล่า ๆ
ทีเดียว. ครงั้ นางพดู กับเขาว่า " อนั การห้ามสริ ิอนั มาสู่สานกั ของตนย่อมไม่ควร "
นายพรานทราบการมาของนางเพอ่ื ตนโดยไม่สงสัยแลว้ ไดอ้ มุ้ นางขึน้ เกวยี นไป.

เล้ยี งลูกไม่ใกล้ชิด เกิดเหตุก็สายเกินแก้

๑๔๔

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน

มารดาบิดาของนางให้คนหาข้างโน้นข้างน้กี ็ไมพ่ บ สาคัญว่า " นางจกั ตายเสียแลว้ " จึงทาภตั
เพื่อผตู้ าย13 แม้นางอาศัยการอยูร่ ่วมกับนายพรานนนั้ คลอดบุตร ๗ คนโดยลาดบั
ผูกบุตรเหลา่ นนั้ ผู้เจริญวัยเตบิ โตแล้ว ด้วยเคร่อื งผูกคอื เรือน14

กกุ กุฏมติ รอาฆาตในพระพุทธเจ้า
ภายหลังวันหน่งึ พระศาสดาทรงตรวจดสู ัตวโลกในเวลาใกลร้ ่งุ ทรงเห็นนายพรานกุกกุฏมิตร
กับบตุ รและสะใภ้ เข้าไปภายในขา่ ยคือพระญาณของพระองค์ ทรงใครค่ รวญวา่ " นั่นเหตุอะไร
หนอแล ?" ทรงเหน็ อุปนิสัยแห่งโสดาปัตติมรรคของชนเหล่านนั้ แลว้ ทรงถอื บาตรและจวี ร ได้
เสดจ็ ไปท่ีดักบ่วงของนายพรานนน้ั แตเ่ ช้าตรู่ วันนน้ั แม้เนอ้ื สกั ตัวหน่งึ ก็มิได้ตดิ บว่ ง.
พระศาสดาทรงแสดงรอยพระบาท ท่ใี กลบ้ ว่ งของเขาแล้วประทบั นง่ั ท่ใี ต้ร่มพุ่มไมพ้ ุม่ หน่ึง
ข้างหนา้ . นายพรานกกุ กุฏมิตรถอื ธนไู ปสูบ่ ่วงแตเ่ ช้าตรู่ ตรวจดูบ่วงจาเดมิ แตต่ ้น ไม่พบเน้ือแม้
ตัวเดยี วซงึ่ ติดบ่วง ได้เหน็ รอยพระบาทของพระศาสดาแลว้ ทีนั้นเขาไดด้ ารฉิ ะนี้วา่
" ใครเทยี่ วปล่อยเนือ้ ตัวตดิ (บ่วง) ของเรา. " เขาผกู อาฆาตในพระศาสดา เม่ือเดนิ ไปก็พบ
พระศาสดาประทับน่ังที่โคนพุม่ ไม้ คิดว่า " สมณะองค์นปี้ ลอ่ ยเนอ้ื ของเรา, เราจกั ฆา่ สมณะนั้น
เสยี , " ดังนี้แลว้ ไดโ้ ก่งธนู.

ความเขา้ ใจผิดเป็นอันมากเกดิ จากคดิ เอง สรปุ เอง โดยไมไ่ ตรต่ รองเสียก่อน

พระศาสดาให้โกง่ ธนู ได้ (แต)่ ไมใ่ หย้ งิ (ธนู ) ไปได.้ เขาไมอ่ าจทง้ั เพอื่ ปลอ่ ยลูกศรไป
ท้ังลดลง มสี ขี ้างทัง้ ๒ ปานดงั จะแตกมีนา้ ลายไหลออกจากปาก เปน็ ผูอ้ ่อนเพลยี ไดย้ นื อยูแ่ ลว้ .

ศตั รูของพ่อ คือศตั รูของลกู การล้างแค้น การจองเวรเลยเกิด

ครั้งนั้น พวกบตุ รของเขาไปเรือนพูดกนั วา่ " บดิ าของเราล่าชา้ อยู่, จักมเี หตุอะไรหนอ ?" อนั
มารดาส่งไปวา่ " พ่อท้ังหลาย พวกเจ้าจงไปสสู่ านกั ของบิดา, " ตา่ งกถ็ อื ธนูไปเห็นบิดายนื อยู่
เช่นนั้น คดิ วา่ " ผูน้ ้ีจักเป็นปจั จามติ รของบิดาพวกเรา, " ทัง้ ๗ คนโก่งธนแู ลว้ ได้ยืนอยเู่ หมอื นกับ
บิดาของพวกเขายืนแลว้ เพราะอานภุ าพแหง่ พระพทุ ธเจา้ .

13ทาบญุ เลย้ี งพระแลว้ อทุ ศิ ผลบญุ ให้ผูต้ าย
14จัดแจงแตง่ งานใหม้ เี ยา้ เรอื น.

๑๔๕

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน

กุกกุฏมิตรเลิกอาฆาตในพระพุทธเจ้า
ลาดับนั้น มารดาของพวกเขาคิดวา่ " ทาไมหนอแล ? บิดา (และ) บุตรจงึ ล่าช้าอยู่" ไปกับ
ลกู สะใภ้ ๗ คน เห็นชนเหลา่ น้นั ยืนอยอู่ ยา่ งนั้นคิดว่า " ชนเหลา่ นยี้ นื โกง่ ธนูต่อใครหนอแล ?"
แลไปก็เห็นพระศาสดาจึงประคองแขนทง้ั ๒ รอ้ งลนั่ ขนึ้ วา่ " พวกทา่ นอย่ายังบดิ าของเราให้
พนิ าศ, พวกท่านอยา่ ยังบิดาของเราใหพ้ ินาศ. "

คนจะฆ่ากนั ทาร้ายกนั นอ้ ยลง ถา้ คิดว่าทกุ คนเปน็ ญาตพิ ี่น้องกัน

นายพรานกุกกุฏมติ รไดย้ ินเสียงน้ันแล้ว" คิดวา่ " เราฉบิ หายแลว้ หนอ, นัยวา่ ผนู้ ้ันเป็นพอ่ ตา
ของเรา, ตายจรงิ เราทากรรมหนัก" แมพ้ วกบุตรของเขาก็คิดวา่ " นยั วา่ ผู้น้นั เป็นตาของเรา,
ตายจรงิ เราทากรรมหนัก. " นายพรานกุกกฏุ มิตร เขา้ ไปต้งั เมตตาจิตไวว้ ่า " คนนีเ้ ปน็ พ่อตาของ
เรา. " แม้พวกบตุ รของเขากเ็ ขา้ ไปตั้งเมตตาจติ วา่ " คนนีเ้ ป็นตาของพวกเรา. "
ขณะนนั้ ธดิ าเศรษฐผี ูม้ ารดาของพวกเขาพดู ว่า" พวกเจ้าจงท้ิงธนเู สียโดยเร็วแล้วใหบ้ ิดาของฉนั
อดโทษ. "

เขาทงั้ หมดสาเร็จโสดาปตั ตผิ ล
พระศาสดา ทรงทราบจติ ของเขาเหล่านน้ั ออ่ นแลว้ จงึ ใหล้ ดธนูลงได้. ชนเหล่านัน้ ทง้ั หมด
ถวายบังคมพระศาสดาแลว้ ใหพ้ ระองค์อดโทษว่า " ขา้ แตพ่ ระองค์ผูเ้ จริญ ขอพระองค์ทรงอด
โทษแก่ขา้ พระองค์ " ดงั นี้แล้ว นง่ั ณ ส่วนขา้ งหน่งึ .
ลาดบั นน้ั พระศาสดา ตรัสอนปุ ุพพีกถาแกพ่ วกเขา. ในเวลาจบเทศนา นายพรานกกุ กุฏมติ รพรอ้ ม
ทงั้ บุตรและสะใภ้มตี นเป็นที่ ๑๕ ต้งั อยใู่ นโสดาปัตติผลแลว้ . พระศาสดาเสด็จเทีย่ วไปบิณฑบาต
ได้เสดจ็ ไปสวู่ ิหารภายหลังภตั . ลาดับนัน้ พระอานนทเถระทลู ถามพระองคว์ ่า " วนั นีพ้ ระองค์
เสดจ็ ไปไหน ? พระเจ้าขา้ . "
พระศาสดา. ไปสานกั ของกุกกฏุ มิตร อานนท์.
พระอานนท์. ข้าแต่พระองค์ผเู้ จรญิ นายพรานกกุ กฏุ มิตรพระองคท์ าใหเ้ ป็นผไู้ มท่ ากรรมคือ
ปาณาติบาตแลว้ หรือ ? พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เออ อานนท์ นายพรานกุกกฏุ มิตรน้นั มตี นเป็นท่ี ๑๕ตงั้ อยู่ในศรทั ธาอันไม่
คลอนแคลน เปน็ ผหู้ มดสงสัยในรัตนะ ๓ เป็นผู้ไม่ทากรรมคอื ปาณาตบิ าตแล้ว.
พวกภกิ ษกุ ราบทลู วา่ " แม้ภรยิ าของเขามีมิใชห่ รือ ? พระเจ้าข้า"พระศาสดา ตรสั วา่

๑๔๖

kalyanamitra.org

โครงการบวชอบุ าสิกาแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน

" อย่างนน้ั ภกิ ษทุ ั้งหลาย. นางเปน็ กุมารกิ าในเรือนของผู้มีตระกูลเทยี ว บรรลุโสดาปตั ตผิ ลแล้ว.
"พระโสดาบันไมท่ าบาป

พวกภกิ ษสุ นทนากนั วา่ " ได้ยินว่า ภริยาของนายพรานกุกกฏุ มิตรบรรลุโสดาปตั ติผลในกาล
ท่ยี งั เป็นเดก็ หญงิ นั่นแล แล้วไปสเู่ รือนของนายพรานนัน้ ไดบ้ ตุ ร ๗ คน , นางอันสามสี ่งั ตลอด
กาลเทา่ น้วี ่า 'หล่อนจงนาธนมู า นาลูกศรมา นาหอกมา นาหลาวมา นาขา่ ยมา, ' ไดใ้ หส้ ง่ิ เหล่านัน้
แลว้ , นายพรานน้นั ถอื เครอ่ื งประหารที่นางให้ไปทาปาณาตบิ าต;แมพ้ ระโสดาบันท้ังหลายยงั ทา
ปาณาตบิ าตอยู่หรอื หนอ ?"

พระศาสดาเสดจ็ มาแล้ว ตรสั ถามว่า " ภกิ ษุทัง้ หลาย บัดน้ี พวกเธอน่งั ประชุมสนทนากันด้วย
เรอ่ื งอะไร ?" เมอื่ ภกิ ษุเหล่านน้ั กราบทูลว่า" ด้วยเรอ่ื งชอ่ื นี้ " ตรสั ว่า ภกิ ษุทง้ั หลาย พระโสดาบนั
ยอ่ มไมท่ าปาณาตบิ าต, แตน่ างได้ทาอย่างนั้น ด้วยคดิ ว่า 'เราจักทาตามคาสาม,ี จิตของนางไมม่ ีเลย
วา่ สามีน้ันจงถอื เอาเคร่ืองประหารนีไ้ ปทาปาณาติบาต;จริงอยู่ เมื่อแผลในฝ่ามือไมม่ ี ยาพิษน้นั ก็
ไมอ่ าจจะใหโ้ ทษแก่ผูถ้ ือยาพษิ ไดฉ้ ันใด, ชื่อวา่ บาปย่อมไม่มแี กผ่ ูไ้ มท่ าบาป แมน้ าเครอื่ งประหาร
ทัง้ หลายมีธนเู ป็นต้นออกใหเ้ พราะไมม่ ีอกศุ ลเจตนา ฉนั น้นั เหมอื นกัน, "
ดังนแ้ี ล้วเมอื่ จะทรงสืบอนสุ นธแิ สดงธรรม จงึ ตรสั พระคาถานวี้ ่า

ทาหน้าท่ีของภรรยา โดยไมม่ ีจิตคิดฆา่ และไมไ่ ด้ฆา่ เอง
วิบากกรรมจงึ เปน็ ของสามี ผู้เป็นคนฆา่

๘. ปาณมิ หฺ ิ เจ วโณ นาสสฺ หเรยฺย ปาณนิ า วิส
นาพพฺ ณ วสิ มเนวฺ ติ นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต.
" ถ้าแผลไม่พึงมีในฝา่ มือไซร้, บุคคลพงึ นายา

พิษไปดว้ ยฝา่ มือได้, เพราะยาพิษย่อมไม่ซึมเขา้ ไปสูฝ่ ่า
มือทไี่ มม่ แี ผล ฉันใด, บาปย่อมไมม่ แี ก่ผูไ้ ม่ทาอย่ฉู ันน้ัน."

ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลอุ ริยผลทง้ั หลายมีโสดาปัตตผิ ลเปน็ ต้นแลว้ .
บุรพกรรมของกุกกุฏมติ รพร้อมด้วยบุตรและสะใภ้

โดยสมัยอืน่ พวกภิกษสุ นทนากนั วา่ " อะไรหนอแล เปน็ อุปนิสัยแหง่ โสดาปัตติมรรค ของ
นายพรานกกุ กฏุ มติ ร ท้งั บตุ ร และสะใภ้ ?นายพรานกกุ กุฏมติ รนี้ เกิดในตระกลู ของพรานเนอื้
เพราะเหตอุ ะไร ?"

๑๔๗

kalyanamitra.org

โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน

พระศาสดาเสดจ็ มาแล้ว ตรสั ถามว่า " ภกิ ษุทัง้ หลาย บดั นี้ พวกเธอน่ังสนทนากันด้วยเรือ่ ง
อะไรหนอ ?" เมื่อภิกษเุ หล่านั้นกราบทูลวา่ " ดว้ ยเรือ่ งชือ่ นี้, " ตรัสว่า " ภิกษุท้งั หลาย
ในอดตี กาล หมชู่ นจดั สร้างเจดยี บ์ รรจุพระธาตุของพระกัสสปทสพล กลา่ วกนั อยา่ งนี้วา่
" อะไรหนอจกั เป็นดินเหนยี ว ?, อะไรหนอ จกั เป็นน้าเช้ือ แหง่ เจดยี ์น้ี ?"การสร้างเจดยี ใ์ น
สมัยกอ่ น

ทีนนั้ พวกเขาได้มปี รวิ ิตกนี้วา่ " หรดาลและมโนสลิ าจักเปน็ ดินเหนยี ว,นา้ มนั งาจกั เปน็
น้าเชือ้ " พวกเขาตาหรดาลและมโนสลิ าแลว้ ผสมกบั น้ามันงา ก่อดว้ ยอฐิ ปดิ ด้วยทองคา แล้ว
เขียนลวดลายข้างในแต่ทม่ี ุขภายนอกมอี ฐิ เป็นทองท้ังแท่งเทียว. อฐิ แผ่นหนึ่ง ได้มคี า่ แสน
หน่งึ . พวกเขาเม่อื เจดยี ส์ าเรจ็ แลว้ จนถงึ กาลจะบรรจุพระธาตุ คดิ กนั วา่ "
ในกาลบรรจุพระธาตุ ตอ้ งการทรพั ยม์ าก, พวกเราจักทาใครหนอแล ให้เป็นหวั หน้า ?"

แยง่ กนั เปน็ หัวหนา้ ในการบรรจุพระธาตุ
ขณะนนั้ เศรษฐบี า้ นนอกคนหน่ึง กล่าววา่ " ขา้ พเจา้ จักเป็นหัวหนา้ " ไดส้ ่งเงนิ ๑ โกฏิ ในท่ี
บรรจพุ ระธาตุ. ชาวแว่นแคว้นเห็นกริ ยิ านั้น ติเตียนวา่ " เศรษฐีในกรงุ นี้ ย่อมรวบรวมทรพั ย์ไว้
ถา่ ยเดียว, ไม่อาจเปน็ หัวหน้าในเจดียเ์ หน็ ปานน้ไี ด้ , ส่วนเศรษฐีบา้ นนอก ใส่ทรัพย์๑ โกฏิ เปน็
หัวหน้าทีเดยี ว. "
เศรษฐใี นกรงุ นนั้ ได้ยินถอ้ ยคาของชนเหลา่ นน้ั แลว้ กล่าววา่ " เราจักให้ทรัพย์ ๒ โกฏิ แลว้
เปน็ หวั หนา้ " ไดใ้ ห้ทรัพย์ ๒ โกฏิ แลว้ .
เศรษฐีบ้านนอก คดิ วา่ " เราเองจักเปน็ หัวหนา้ " ได้ให้ทรัพย์ ๓โกฏ.ิ คร้นั เศรษฐีทงั้ ๒ เพ่มิ
ทรัพยก์ นั ด้วยอาการอย่างน้นั , เศรษฐีในกรงุ ไดใ้ หท้ รพั ย์ ๘ โกฏแิ ลว้
ส่วนเศรษฐีบ้านนอก มีทรพั ย์ ๙ โกฏเิ ทา่ นัน้ ในเรือน. เศรษฐใี นกรุงมที รพั ย์ ๔๐ โกฏ.ิ
เพราะฉะนนั้ เศรษฐบี า้ นนอก จงึ คิดวา่ " ถา้ เราใหท้ รัพย์ ๙ โกฏไิ ซร,้ เศรษฐนี ีจ้ กั กล่าววา่
" เราจักให้ ๑๐ โกฏ"ิ เม่อื เป็นเชน่ นน้ั ความหมดทรัพย์ของเราจักปรากฏ" เธอจงึ กล่าวอย่างนี้ว่า
" เราจักให้ทรพั ยป์ ระมาณเทา่ น,ี้ และเราท้ังลูกและเมียจกั เปน็ ทาสของเจดยี ์" ดังนีแ้ ลว้ พาบตุ รทั้ง
๗ คน สะใภ้ท้ัง ๗ คนและภริยา มอบแก่เจดียพ์ รอ้ มกบั ตน.

เศรษฐบี า้ นนอกได้เปน็ หัวหนา้
ชาวแว่นแควน้ ทาเศรษฐบี า้ นนอกน้นั ใหเ้ ป็นหัวหนา้ ดว้ ยอา้ งว่า" ชื่อว่าทรพั ยใ์ คร ๆ ก็อาจให้
เกิดขึน้ ได้, แตเ่ ศรษฐีบ้านนอกนี้พร้อมทัง้ บุตรและภริยา มอบตวั (เฉพาะเจดยี ์), เศรษฐนี ้แี หละจง
เปน็ หัวหน้า. "ชนทั้ง ๑๖ คนน้นั ไดเ้ ป็นทาสของเจดียด์ ้วยประการฉะน้ี แตช่ าวแว่นแคว้น

๑๔๘

kalyanamitra.org


Click to View FlipBook Version