โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
อกฺโกเธน ชเิ น โกธ อสาธุ สาธุนา ชิเน
ชเิ น กทริย ทาเนน สจเฺ จนาลกิ วาทิน.
พึงชานะคนโกรธดว้ ยความไมโ่ กรธ พงึ ชานะ
คนไมด่ ีดว้ ยความดี พงึ ชานะคนตระหนี่ดว้ ยการให้
พงึ ชานะคนพูดเทจ็ ดว้ ยคาจริง.
เมือ่ จบพระคาถา ก็ดารงอยู่ในโสดาปัตตผิ ล นมิ นต์พระทศพลถวายมหาทาน
ในวันรุง่ ขน้ึ . เร่ืองนีเ้ กิดข้ึนอยา่ งนี้. ภายหลงั พระศาสดาประทบั อยู่ ณ พระเชตวันวิหาร เมื่อทรง
สถาปนาพวกอุบาสกิ าไวใ้ นตาแหน่งตา่ ง ๆจงึ ทรงสถาปนานางอุตตรานันทมารดา ไวใ้ น
ตาแหนง่ เอตทคั คะเปน็ เลศิ กว่าพวกอุบาสกิ า ผเู้ ขา้ ฌาน แล.
๔๙
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
๑๑)เร่อื งนางกสิ าโคตมี[๙๓]
ขอ้ ความเบือ้ งต้น
พระศาสดาเม่ือประทับอยใู่ นพระเชตวันทรงปรารภนางกิสาโคตมี ตรัสพระธรรมเทศนานว้ี า่
" โย จ วสสฺ สต ชีเว" เป็นต้น.
เพอื่ นสัมมาทิฏฐิ เชอื่ เรือ่ งบญุ จึงช่วยแนะนาให้
ทรพั ย์ของเศรษฐีกลายเป็นถ่าน
ได้ยินว่า ทรพั ย์ ๔๐ โกฏิ ในเรือนของเศรษฐีคนหนง่ึ ในกรงุ สาวตั ถี ไดก้ ลายเปน็ ถา่ นหมด
ตง้ั อยู่. เศรษฐเี หน็ เหตนุ ั้นเกดิ ความเศรา้ โศกจงึ ห้ามอาหารเสีย นอนอยบู่ นเตียงน้อย. สหายผหู้ น่งึ
ของเศรษฐนี ้นั ถามว่า " เหตไุ ร จงึ เศรา้ โศกเลา่ ? เพื่อน" ฟังความเป็นไปนั้นแลว้ กล่าววา่
" อย่าเศรา้ โศกเลย เพ่อื น, ฉนั ทราบอุบายอย่างหนงึ่ , จงทาอุบายนนั้ เถดิ . "
เศรษฐี. ทาอยา่ งไรเล่า? เพอื่ น.
สหาย. เพอ่ื น ท่านจงปูเสอ่ื ลาแพนที่ตลาดของตน ทาถ่านให้เปน็ กองไว้ จงนงั่ เหมอื นจะขาย,
บรรดามนษุ ย์ที่มาแลว้ ๆ คนเหล่าใดพูดอยา่ งนี้ว่า 'ชนที่เหลอื ขายผ้า น้ามนั น้าผ้ึง และน้าออ้ ย
เป็นต้น ส่วนทา่ นนัง่ ขายถา่ น,' ท่านพงึ พดู กบั คนเหลา่ น้นั ว่า 'เราไม่ขายของ ๆตนจกั ทาอะไร?'
สว่ นผู้ใดพดู กับทา่ นอย่างนว้ี ่า' ชนทเ่ี หลือ ขายผา้ นา้ มนั นา้ ผงึ้ และนา้ ออ้ ยเป็นต้น, ส่วนทา่ นนง่ั
ขายเงินและทอง,' ทา่ นพงึ พดู กะผู้นัน้ ว่า 'เงินและทองทไ่ี หน?' กเ็ มื่อเธอพูดวา่ 'นี้,'
ท่านพึงพดู ว่า 'จงนาเงินทองน้ันมาก่อน, แลว้ รับด้วยมอื ท้งั สอง ของทีเ่ ขาใหใ้ นมอื ของทา่ นอย่าง
นน้ั จกั กลายเป็นเงนิ และทอง; กผ็ ้นู นั้ ถา้ เป็นหญิงรุ่นสาว, ทา่ นจงนานางมาเพ่ือบุตรในเรอื นของ
ทา่ น มอบทรัพย์ ๔๐ โกฏิใหแ้ กน่ าง พงึ ใช้สอยเงนิ ทองทนี่ างให้, ถา้ เปน็ เดก็ ชาย, ทา่ นพึงใหธ้ ดิ า
ผเู้ จริญวัยแลว้ ในเรือนของทา่ นแกเ่ ขา แลว้ มอบทรพั ย์ ๔๐ โกฏิให้แกเ่ ขาใชส้ อยทรัพย์ที่เขาให้.
เศรษฐีนั้นกลา่ วว่า " อุบายดี" จึงทาถ่านให้กองไวใ้ นร้านตลาดของตน นง่ั ทาเหมอื นจะขาย.
คนเหล่าใดพดู กะเศรษฐีนั้นอยา่ งนี้วา่ " ชนท่ีเหลือทงั้ หลาย ขายผา้ นา้ มนั น้าผ้ึง และน้าอ้อยเป็น
ตน้ , ทา่ นน่งั ขายถ่าน" กใ็ หค้ าตอบแกค่ นเหลา่ น้ันวา่ " ฉนั ไมข่ ายของ ๆ ตนจกั ทาอยา่ งไร?"
คนหมดบุญมที รัพยก์ ก็ ลายเปน็ ถ่าน คนมีบุญจับอะไรกเ็ ป็นทอง
ท่ีเรียกวา่ คนมโี ชค(มีบุญ) หยิบจับอะไรกเ็ ปน็ เงินเปน็ ทอง (ทาอะไรก็สาเรจ็ )
๕๐
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
ถ่านกลายเปน็ ทรัพย์อย่างเดิม
ครั้งน้นั หญิงรุ่นสาวคนหนง่ึ ชือ่ โคตมี ปรากฏชือ่ วา่ " กิสาโคตมี"เพราะนางมสี รีระแบบบาง
เปน็ ธดิ าของตระกลู เก่าแก่ ไปยงั ประตตู ลาดดว้ ยกจิ อยา่ งหนง่ึ ของตน เห็นเศรษฐนี น้ั จึงกล่าว
อยา่ งนว้ี ่า " พ่อ ชนทีเ่ หลือ ขายผ้า นา้ มนั นา้ ผึง้ และน้าออ้ ยเป็นต้น. ทาไมท่านจงึ นั่งขายเงนิ และ
ทอง?"
เศรษฐี. เงนิ ทองทไี่ หน? แม.่
นางโคตมี. ทา่ นน่งั จับเงินทองนั้นเอง มิใช่หรือ?
เศรษฐี. จงนาเงินทองน้ันมาก่อน แม่.
นางกอบเต็มมือแล้ว วางไวใ้ นมือของเศรษฐีนั้น. ถ่านนนั้ ได้กลายเป็นเงนิ และทองทัง้ น้ัน.
ลาดบั นั้น เศรษฐถี ามนางว่า " แม่ เรอื นเจา้ อย่ไู หน. " เมือ่ นางตอบวา่ " ชอ่ื โน้นจะ้ ," รู้ความท่ี
นางยงั ไม่มีสามแี ลว้ จงึ เกบ็ ทรัพยน์ านางมาเพอ่ื บุตรของตน ใหร้ ับทรพั ย์ ๔๐ โกฏไิ ว้. ทรัพย์
ทั้งหมดไดก้ ลายเปน็ เงินและทองดังเดมิ .
สมยั อนื่ อกี นางตง้ั ครรภ์. โดยกาลลว่ งไป ๑๐ เดือน นางคลอดบุตรแล้ว. บตุ รนั้นได้ทากาละ
แล้วในเวลาเดินได้. นางห้ามพวกชนท่ีจะนาบตุ รนั้นไปเผา เพราะนางไม่เคยเห็นความตาย
อุ้มรา่ งบุตรผู้ตายแลว้ ด้วยสะเอว ด้วยหวังวา่ " จกั ถามถงึ ยา เพอื่ บุตรเรา" เที่ยวถามไปตามลาดบั
เรอื นวา่ " ทา่ นทั้งหลายรู้จักยาเพอ่ื บุตรของฉันบ้างไหมหนอ?" ทีนนั้ คนทั้งหลายพูดกบั นางวา่ "
แม่ เจา้ เป็นบ้าแลว้ หรือ? เจา้ เทยี่ วถามถึงยาเพ่ือบตุ รท่ตี ายแลว้ . " นางสาคัญวา่ " จกั ได้คนผูร้ ู้จักยา
เพอ่ื บุตรของเราแนแ่ ท้" จึงเท่ยี วไป.
กลั ยาณมติ รไม่รู้วิธแี ก้ แต่รู้ว่าผูร้ ู้วิธีแก้มอี ยู่
ทนี น้ั บรุ ษุ ผู้เปน็ บัณฑิตคนหน่งึ เห็นนางแลว้ คดิ วา่ " ธดิ าของเราน้จี ักคลอดบุตรคนแรก ไม่
เคยเหน็ ความตาย, เราเป็นท่พี ึ่งของหญิงน้ยี ่อมควร" จงึ กล่าววา่ " แม่ ฉนั ไม่รจู้ กั ยา, แต่ฉันรูจ้ ัก
คนผรู้ ้ยู า."
นางโคตมี. ใครร?ู้ พอ่ .
บัณฑติ . แม่ พระศาสดาทรงทราบ, จงไปทูลถามพระองคเ์ ถดิ .
นางกลา่ ววา่ " พอ่ ฉนั จักไป, จักทูลถาม พอ่ " ดงั น้ันแล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคม
แลว้ ยืนอยู่ ณ ทสี่ ดุ ขา้ งหนงึ่ ทลู ถามวา่ " ทราบว่า พระองค์ทรงทราบยาเพอื่ บุตรของหม่อมฉนั
หรือ? พระเจา้ ขา้ . "
๕๑
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
ใหม้ ีประสบการณจ์ ากการเรยี นรู้ด้วยตนเอง
ดกี ว่าบอกความจรงิ ในทนั ที
พระศาสดา. เออ เรารู้.
นางโคตมี. ได้อะไร? จงึ ควร.
พระศาสดา. ไดเ้ มล็ดพันธุ์ผกั กาดสักหยบิ มือหนึ่ง ควร. นางโคตมี. จกั ได้ พระเจ้าขา้ , แต่ได้
ในเรือนใคร? จงึ ควร
พระศาสดา. บตุ รหรือธดิ าไร ๆ ในเรอื นของผู้ใด ไมเ่ คยตาย.ได้ในเรือนของผู้น้ัน จึงควร.
นางทลู รับว่า " ดลี ะ พระเจา้ ขา้ " แล้วถวายบังคมพระศาสดาอมุ้ บตุ รผู้ตายแลว้ ด้วยสะเอวเขา้
ไปภายในบา้ น ยนื ท่ีประตเู รือนหลงั แรกกลา่ ววา่ " เมลด็ พันธผ์ุ กั กาดในเรอื นนี้ มบี า้ งไหม?
ทราบวา่ นน่ั เป็นยาเพอื่ บตุ รของฉนั . " เม่ือเขาตอบวา่ " ม"ี จึงกลา่ ววา่ " ถ้าอย่างนั้น
จงให้เถิด," เมอื่ คนเหลา่ นั้นนาเมล็ดพนั ธผ์ุ ักกาดมาให,้ จงึ ถามว่า " ในเรือนนี้ บตุ รหรือธิดาเคย
ตายไมม่ บี า้ งหรอื ? แม่" เมอ่ื เขาตอบว่า " พดู อะไร? แม่ เพราะคนเป็นมีเลก็ นอ้ ย, คนตายนัน้ แหละ
มมี าก," จงึ กล่าววา่ " ถา้ อย่างน้นั จงรับเมลด็ พันธ์ผุ ักกาดของทา่ นไปเถดิ , นน่ั ไมเ่ ปน็ ยา
เพือ่ บุตรของฉัน" แล้วได้ใหค้ นื ไป; เที่ยวถามโดยทานองนี้ ตั้งแต่เรอื นหลงั ต้น.
นางไมร่ ับเมลด็ พนั ธ์ผุ ักกาดแมใ้ นเรือนหลงั หนง่ึ ในเวลาเยน็ คิดว่า " โอ กรรมหนัก, เราได้ทา
ความสาคญั ว่า 'บุตรของเราเท่านั้นตาย,' ก็ในบา้ นทั้งส้ิน คนท่ีตายเทา่ นั้นมากกวา่ คนเปน็ . "
เมือ่ นางคดิ อยอู่ ย่างนี้ หวั ใจท่อี อ่ นดว้ ยความรกั บุตร ได้ถงึ ความแขง็ แลว้ . นางทง้ิ บตุ รไวใ้ นป่า ไป
ยงั สานกั พระศาสดา ถวายบงั คมแลว้ ไดย้ นื ณ ทสี่ ุดข้างหนงึ่ .
ลาดับน้ัน พระศาสดาตรัสกะนางวา่ " เธอได้เมลด็ พนั ธุ์ผักกาดประมาณหยบิ มือหน่ึงแล้ว
หรือ?"
นางโคตมี. ไมไ่ ด้ พระเจา้ ขา้ , เพราะในบา้ นทั้งส้นิ คนตายนนั้ แหละมากกว่าคนเปน็ .
ลาดับนัน้ พระศาสดาตรัสกะนางว่า " เธอเขา้ ใจว่า 'บุตรของเราเทา่ นั้นตาย,'
ความตายนน่ั เป็นธรรมย่ังยืนสาหรับสัตว์ทงั้ หลาย, ด้วยว่า มัจจรุ าชฉุดครา่ สตั ว์ทั้งหมด ผู้มี
อัธยาศัยยงั ไมเ่ ตม็ เป่ยี มนัน่ แลลงในสมุทรคืออบาย ดุจหว้ งนา้ ใหญ่ฉะน้นั " เมื่อจะทรงแสดงธรรม
จงึ ตรสั พระคาถาน้ีวา่ :-
๕๒
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
" มฤตยู ย่อมพาชนผ้มู วั เมาในบุตรและสัตว์
ของเลีย้ ง ผูม้ ีใจซา่ นไปในอารมณ์ตา่ ง ๆ ไป ดจุ
หว้ งนา้ ใหญ่ พัดชาวบา้ นผหู้ ลบั ไหลไปฉะน้ัน. "
ในกาลจบคาถา นางกสิ าโคตมีดารงอยู่ในโสดาปตั ตผิ ล, แม้ชนเหลา่ อื่นเป็นอนั มาก บรรลุ
อริยผลทั้งหลาย มีโสดาปตั ติผลเป็นตน้ ดังน้ีแล.
นางบวชในพุทธศาสนา
ฝ่ายนางกสิ าโคตมนี ัน้ ทลู ขอบรรพชากะพระศาสดาแล้ว. พระศาสดาทรงสง่ ไปยังสานักของ
นางภิกษุณีใหบ้ รรพชาแล้ว. นางได้อุปสมบทแล้วปรากฏช่อื วา่ " กสิ าโคตมเี ถรี. "
วันหนึง่ นางถึงวาระในโรงอุโบสถ นง่ั ตามประทปี เห็นเปลวประทีปลุกโพลงขึ้นและหรีล่ ง
ไดถ้ ือเปน็ อารมณ์ว่า " สัตวเ์ หล่าน้กี อ็ ย่างนน้ั เหมือนกนั เกิดขน้ึ และดับไปดงั เปลวประทปี ,
ผู้ถึงพระนพิ พาน ไมป่ รากฏอย่างนั้น. "
พระศาสดาประทบั นงั่ ในพระคนั ธกุฎนี ่ันแล ทรงแผพ่ ระรศั มีไป ดงั นงั่ ตรัสตรงหน้านาง
ตรสั วา่ " อยา่ งนัน้ แหละโคตมี สตั ว์เหลา่ นน้ั ย่อมเกิดและดับเหมือนเปลวประทีป, ถงึ พระ
นพิ พานแล้ว ย่อมไม่ปรากฏอย่างน้นั ; ความเป็นอยแู่ มเ้ พยี งขณะเดยี ว ของผ้เู หน็ พระนิพพาน
ประเสริฐกวา่ ความเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของผู้ไมเ่ หน็ พระนิพพานอย่างนนั้ " ดังนแี้ ล้ว เมื่อจะทรงสบื
อนุสนธิแสดงธรรม จงึ ตรัสพระคาถาน้วี า่ :- ธรรมะอยู่รอบตวั
๑๓. โย จ วสสฺ สต ชเี ว อปสสฺ อมต ปท เห็นเปลวไฟ ถอื เตโชกสิณ
เอกาห ชวี ิต เสยโฺ ย ปสฺสโต อมต ปท.
" ก็ผใู้ ด ไม่เหน็ บทอนั ไมต่ าย พึงเปน็ อยู่ ๑๐๐ เป็นอารมณ์กัมมัฏฐาน
ป,ี ความเปน็ อยู่วนั เดยี ว ของผ้เู ห็นบทอันไม่ตาย (อาโปกสิณ –ปฏาจารา)
ประเสรฐิ กว่า ความเป็นอยขู่ องผู้นั้น."
ในกาลจบเทศนา นางกสิ าโคตมีนั่งอยู่ตามเดิมนัน่ แล ดารงอยู่ในพระอรหัตพรอ้ มดว้ ย
ปฏสิ ัมภิทาทั้งหลาย ดงั น้ีแล.
เรอ่ื งนางกิสาโคตมี จบ
๕๓
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
๑๒) เรื่องมารดาของพระกมุ ารกัสสปเถระ [๑๓๐]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมอ่ื ประทบั อยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภมารดาของพระกุมารกสั สปเถระ ตรัส
พระธรรมเทศนานี้ว่า"อตตฺ า หิ อตตฺ โนนาโถ" เปน็ ต้น.
มารดาของพระกุมารกัสสปบวช
ดงั ไดส้ ดบั มา มารดาของพระเถระน้นั เป็นธิดาของเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ ขอบรรพชาแลว้
จาเดิมแตเ่ วลาตนถงึ ความเปน็ ผรู้ ู้เดยี งสา, แม้อ้อนวอนอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่ได้บรรพชา แตส่ านักของ
มารดาและบิดา เจริญวัยแลว้ ไปสตู่ ระกลู สามี เปน็ ผู้มีสามดี งั เทวดา อยูค่ รองเรอื นแล้ว.
ครัน้ ต่อมาไมน่ านนกั สัตวเ์ กดิ ในครรภ์ ตงั้ ขึน้ แลว้ ในทอ้ งของนาง แตน่ างไมท่ ราบความทค่ี รรภ์
นัน้ ตั้งขึ้นเลย ยังสามีให้ยินดีแล้ว จึงขอบรรพชาครัง้ นัน้ สามนี านางไปสสู่ านกั ของนางภกิ ษุณี
ด้วยสกั การะใหญไ่ มท่ ราบอยู่ ให้บวชในสานักของนางภิกษุณี ที่เปน็ ฝักฝา่ ยแห่งพระเทวทัตแลว้ .
ในชวี ิตนักบวชการเลือกสานกั อาจารย์เปน็ สง่ิ สาคญั ยงิ่
อาจารยเ์ ก๊ ย่อมห่วงเพยี งชอ่ื เสียงตนเองมากกวา่ ความเดอื ดรอ้ นของลูกศิษย์
โดยสมัยอืน่ นางถูกนางภิกษุณเี หลา่ นั้น ทราบความที่นางมคี รรภ์แล้ว ถามวา่ " นี่อะไรกนั ?"
จงึ ตอบว่า " แม่เจ้า ดฉิ นั ไมท่ ราบว่า'นีเ่ ป็นอย่างไร ? ' แตศ่ ลี ของดิฉันไม่ด่างพร้อยเลย.
" พวกนางภิกษุณีนานางไปสู่สานักของพระเทวทัตแลว้ ถามวา่ " นางภกิ ษณุ ีน้ีบวชด้วยศรัทธา,
พวกดิฉนั ไม่ทราบกาลแหง่ ครรภ์ของนางน้ีต้ังขึน้ ; บัดนี้ พวกดฉิ ันจะทาอยา่ งไร ?"
พระเทวทตั คิดเหตุเพียงเท่าน้ีว่า " ความเสยี ชอ่ื เสียง จงอย่าเกิดขนึ้ แก่พวกนางภกิ ษณุ ีผ้ทู าตาม
โอวาทของเรา" จึงกล่าววา่ " พวกเธอ จงให้นางนั้นสึกเสยี " นางภกิ ษณุ ีสาวนัน้ ฟังคาน้ันแลว้
กล่าววา่ " แม่เจ้า ขอแม่เจา้ ทั้งหลาย อย่าใหด้ ฉิ ันฉบิ หายเสียเลย,ดิฉันมิได้บวชเจาะจงพระเทวทตั ,
แมเ่ จ้าทัง้ หลาย จงมาเถดิ จงนาดิฉันไปสู่พระเชตวัน ซึ่งเป็นสานักของพระศาสดา. " นางภิกษณุ ี
เหลา่ น้นั พานางไปสูพ่ ระเชตวนั กราบทูลแดพ่ ระศาสดา แล้ว.
การเปน็ ประธานฯ ในทุกที่ ต้องเป็นกลาง และอานวยความยุติธรรมแกท่ ุกคน
ด้วยกระบวนการที่โปรง่ ใส และเป็นท่ยี อมรบั
๕๔
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
พระกมุ ารกัสสปเกดิ
พระศาสดา แม้ทรงทราบอยวู่ า่ " ครรภต์ งั้ ขน้ึ แล้ว ในเวลานางเปน็ คฤหสั ถ์" เพ่ือจะเปลื้องเสยี
ซ่ึงถ้อยคาของชนอ่ืน จึงรบั สง่ั ให้เชิญพระเจ้าปเสนทิโกศล ท่านมหาอนาถบณิ ฑกิ ะ
ทา่ นจลุ อนาถบิณฑิกะนางวิสาขาอุบาสกิ า และสกุลใหญอ่ นื่ ๆ มาแลว้ ทรงบงั คับพระอุบาลีเถระ
ว่า " เธอจงไป, จงชาระกรรมของภิกษุณสี าวน้ใี ห้หมดจด ในท่ามกลางบรษิ ัท ๔ "
พระเถระใหเ้ ชญิ นางวิสาขามา ตรงพระพกั ตรพ์ ระราชาแลว้ ใหส้ อบสวนอธิกรณน์ ัน้ .
นางวสิ าขานน้ั ให้คนล้อมเครอื่ งล้อมคือมา่ น ตรวจดูมือ เทา้ สะดอื และทส่ี ดุ แห่งทอ้ งของนาง
ภกิ ษณุ ีนนั้ ภายในม่าน แลว้ นบั เดอื นและวนั ดู ทราบว่า " นางไดม้ ีครรภ์ในเวลาเป็นคฤหสั ถ์"
จึงบอกความนนั้ แก่พระเถระ, ครง้ั น้ัน พระเถระยงั ความทน่ี างเป็นผบู้ ริสทุ ธ์ิ ใหก้ ลบั ตง้ั ขน้ึ ใน
ท่ามกลางบรษิ ัทแลว้ , โดยสมัยอนื่ นางคลอดบุตรมอี านุภาพมาก ซึง่ มีความปรารถนาตง้ั ไว้
แทบบาทมลู ของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ปทมุ ตุ ตระ.
พระราชา ทรงอนุเคราะหภ์ กิ ษุณีทรงรบั เล้ียงพระกมุ ารไวใ้ นวงั
มกี มุ ารนาหน้าเพราะพระราชาทรงเลย้ี ง
ภายหลังวันหน่ึง พระราชาเสดจ็ ไป ณ ทใี่ กลส้ านกั ของนางภิกษุณีทรงสดบั เสียงทารก จึง
ตรัสถามวา่ " นเี้ สยี งอะไร ?" เมือ่ อามาตย์กราบทลู วา่ " พระเจา้ ข้า บตุ รของนางภกิ ษณุ นี ัน่ เกิดแลว้
, นนั่ เป็นเสยี งของบุตรนางภกิ ษุณีนั้น, " ทรงนากุมารนน้ั ไปสพู่ ระราชมณเฑียรของพระองค์
ไดป้ ระทานให้แก่แม่นมท้ังหลาย กใ็ นวนั ตั้งชอ่ื ชนท้ังหลายต้งั ชื่อกุมารนน้ั วา่ " กสั สป"
เพราะความท่ีกมุ ารนน้ั เป็นผอู้ ันพระราชาทรงให้เจริญแลว้ ด้วยเครื่องบริหารของพระกมุ าร
จงึ รู้กนั วา่ " กุมารกสั สป. " กุมารน้ันทบุ ตีเด็กในสนามกีฬาแล้ว, เมื่อพวกเด็กกลา่ วว่า " พวกเรา
ถกู คนไม่มีแม่ไมม่ พี อ่ ทุบตแี ลว้ . " จึงเขา้ ไปเฝา้ พระราชา ทูลถามวา่ " ข้าแตพ่ ระองค์ผเู้ ป็นสมมติ
เทพ พวกเดก็ ยอ่ มวา่ หมอ่ มฉนั ว่า 'ไมม่ ีมารดาและบิดา, ขอพระองค์จงตรัสบอกมารดาแก่หมอ่ ม
ฉนั , " เมอ่ื พระราชาทรงแสดงหญิงแม่นมท้ังหลาย ตรัสวา่ " หญิงเหลา่ นเี้ ป็นมารดาของเจ้า. "
เด็กมสี ติปญั ญา ไม่อาจหลอกลวง โดยไม่มีเหตุผล
จงึ กราบทลู วา่ " มารดาของหม่อมฉันไมม่ เี ท่าน้ี, อันมารดาของหม่อมฉนั พงึ มีคนเดียว,
ขอพระองค์ตรัสบอกมารดานัน้ แก่หมอ่ มฉนั เถิด. "พระราชาทรงดาริวา่ " เราไม่อาจลวงกุมารนี้
ได"้ จึงตรัสว่า " พอ่ มารดาของเจา้ เปน็ ภิกษุณี, เจ้า อันเรานามาแตส่ านักนางภกิ ษณุ ี"
๕๕
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
กุมารกสั สปออกบวชบรรลุพระอรหตั
กุมารน้ัน มีความสงั เวชเกิดข้ึนพร้อมแลว้ ด้วยเหตุเพยี งเท่าน้ันน่ันแหละ กราบทลู วา่
" ข้าแต่พระบดิ า ขอพระองค์ทรงใหห้ ม่อมฉนั บวชเถดิ " พระราชาทรงรับว่า " ดีละ พ่อ"
แลว้ ยงั กุมารนน้ั ให้บวชในสานกั ของพระศาสดา ด้วยสกั การะเปน็ อนั มาก.
กุมารกสั สปนนั้ ไดอ้ ปุ สมบทแลว้ ปรากฏวา่ " พระกมุ ารกสั สปเถระ. "ทา่ นเรียนกัมมัฏฐาน
ในสานักพระศาสดา เขา้ ไปส่ปู า่ พยายามแลว้ ไมส่ ามารถจะใหค้ ณุ วิเศษบงั เกดิ ได้ จึงคิดว่า
" เราจะเรยี นกัมมฏั ฐานให้วิเศษอกี " มาส่สู านกั ของพระศาสดา อย่ใู นปา่ อนั ธวันแล้ว,
เพ่ือนชว่ ยเพื่อน แม้จะเปน็ เพือ่ นในภพอดีต
ทาให้การบรรลธุ รรมเป็นไปโดยง่ายและโดยเรว็
ครง้ั นั้น ภกิ ษุผทู้ าสมณธรรมรว่ มกนั ในกาลแหง่ พระกสั สปพุทธเจา้ บรรลุอนาคามผิ ล
แลว้ บงั เกดิ ในพรหมโลก มาจากพรหมโลกถามปัญหา ๑๕ ข้อ กะพระกุมารกสั สปนั้นแล้ว
สง่ ไปด้วยคาว่า " คนอื่นยกพระศาสดาเสยี ทส่ี ามารถเพ่อื จะพยากรณป์ ัญหาเหลา่ นี้ไมม่ ี.
ท่านจงไป, จงเรยี นเนอ้ื ความของปัญหาเหล่านใ้ี นสานกั ของพระศาสดาเถิด. "
ทา่ นทาเหมือนอยา่ งน้ันบรรลุพระอรหตั ผลในเวลาท่พี ระศาสดาทรงแกป้ ัญหาจบ.
ทกุ ข์เพราะพลดั พรากจากลูก แมจ้ ากเป็นนาน ๑๒ ปี
เพราะคาพดู ของพระลกู ชาย จึงตดั อาลยั รกั และบรรลุธรรมในวนั นัน้
มารดาพระกมุ ารกัสสปบรรลพุ ระอรหัต
กต็ ั้งแตว่ นั ทีพ่ ระเถระน้นั ออกไปแล้ว น้าตาไหลออกจากนัยนต์ าทัง้ สองของนางภิกษุณีผเู้ ป็น
มารดาตลอด ๑๒ ปี. นางมีทกุ ข์เพราะพลดั พรากจากบตุ ร มีหน้าชมุ่ ไปดว้ ยน้าตาทเี ดียว เทีย่ วไป
เพ่อื ภกิ ษา พอเห็นพระเถระในระหวา่ งแหง่ ถนน จึงร้องวา่ " ลกู ลกู " วิ่งเขา้ ไปเพือ่ จะจบั พระเถระ
ซวนล้มลงแลว้ . นางมถี ันหลั่งนา้ นมอยู่ ลุกขึ้น มีจีวรเปียก ไปจบั พระเถระแล้ว พระเถระคิดวา่ "
ถา้ มารดานจี้ ักไดถ้ อ้ ยคาอนั ไพเราะจากสานักของเรา, นางจักฉบิ หายเสีย; เราจักเจรจากบั มารดานี้
ทาให้กระดา้ งเทียว" ทนี นั้ พระเถระกล่าวกะนางภกิ ษณุ ผี เู้ ปน็ มารดานน้ั ว่า " ทา่ นเท่ยี วทาอะไรอยู่
? จงึ ไม่อาจตัดแมม้ าตรวา่ ความรกั ได้" นางคดิ วา่ " โอถอ้ ยคาของพระเถระหยาบคาย, " จึงกลา่ ว
วา่ " พอ่ พอ่ พดู อะไร ?" ถูกพระเถระวา่ เหมอื นอยา่ งนน้ั นั่นแหละอกี จงึ คิดวา่ " เราไมอ่ าจอด
๕๖
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
กลน้ั น้าตาไวไ้ ด้สิ้น ๑๒ ปี เพราะเหตแุ ห่งบุตรนี้, แต่บุตรของเรานี้ มหี วั ใจกระด้าง, ประโยชน์
อะไรของเราดว้ ยบุตรน้ี" ตัดความเสน่หาในบุตรแล้ว บรรลพุ ระอรหตั ผลในวนั นน้ั นั่นเอง.
พวกภิกษุพากันสรรเสริญพระพุทธคณุ
โดยสมัยอ่ืน ภกิ ษทุ ั้งหลายสนทนากนั ในโรงธรรมวา่ " ผมู้ ีอายทุ ัง้ หลาย พระกมุ ารกสั สปและ
พระเถรี ผู้สมบรู ณด์ ว้ ยอปุ นสิ ัยอย่างนี้ ถูกพระเทวทัตให้ฉบิ หายแล้ว, ส่วนพระศาสดาเกิดเปน็ ท่ี
พงึ่ ของท่านทง้ั สองนน้ั โอ ! นา่ อศั จรรย์ ธรรมดาพระพุทธเจ้าทงั้ หลาย ยอ่ มเป็นผูอ้ นเุ คราะห์
โลก. "
พระศาสดาเสดจ็ มาตรสั ถามว่า" ภกิ ษุทงั้ หลาย บัดน้ี พวกเธอนง่ั สนทนากัน ด้วยเร่อื งอะไร
หนอ ?" เมือ่ ภกิ ษเุ หลา่ นนั้ กราบทลู ว่า" ดว้ ยเร่อื งชื่อน้ี, " จงึ ตรัสวา่ " ภิกษุทั้งหลาย เราเปน็ ปัจจยั
เป็นทีพ่ านกั ของคนท้ังสองนี้ ในบดั นเ้ี ท่านั้นก็หาไม่, แม้ในกาลก่อน เรากไ็ ดเ้ ปน็ ทพ่ี านักของคน
ทัง้ สองนัน้ เหมือนกนั " ดังน้ีแลว้ จึงตรสั นิโครธชาดก นโี้ ดยพสิ ดารว่า :-
" เจา้ หรือคนอ่นื พึงคบเนื้อช่ือวา่ นโิ ครธผเู้ ดยี ว
อยา่ เข้าไปคบเน้อื ชือ่ วา่ สาขะ; ความตายในสานัก
ของเนอ้ื ชื่อวา่ นิโครธประเสริฐกว่า, ความเปน็ อยูใ่ น
สานักของเนื้อช่ือวา่ สาขะนั้นจะประเสรฐิ อะไร. "
ทรงประชุมชาดกว่า " เนือ้ ช่ือว่าสาขะในครั้งน้ัน ได้เป็นพระเทวทัต(ในบัดน้ี),
แม้บรษิ ัทของเนื้อชื่อวา่ สาขะนนั้ (ก)็ เปน็ บรษิ ัทของพระเทวทตั นน่ั แหละ,
แมเ่ น้ือตวั ถงึ วาระไดเ้ ป็นพระเถรี, บุตรได้เปน็ กมุ ารกสั สป,สว่ นพระยาเน้ือนามวา่ นโิ ครธ
ผูไ้ ปสละชวี ติ แกแ่ มเ่ นอื้ ตัวมีครรภ์คอื เราเอง, "
เม่อื จะทรงประกาศความท่พี ระเถรตี ดั ความรักในบตุ รแล้วทาทพี่ ึง่ แกต่ นเองแล จึงตรสั วา่
" ภกิ ษุทั้งหลาย เพราะบคุ คลอาศัยคนอน่ื ไมส่ ามารถเพอ่ื จะมีสวรรคห์ รือมรรคเป็นทีไ่ ปในเบื้อง
หน้าได้, ฉะนนั้ ตนนั่นแหละเป็นที่พ่ึงของตน, คนอ่ืนจะทาอะไรได้ " ดงั นี้แล้ว ตรสั พระคาถานี้
วา่ :-
๔. อตฺตาหิ อตตฺ โน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถ ลภติ ทุลลฺ ภ
" ตนแลเปน็ ท่พี ่งึ ของตน, บคุ คลอืน่ ใครเลา่ พึง
เปน็ ทพี่ งึ่ ได้ เพราะบคุ คล มตี นฝกึ ฝนดีแล้ว ย่อมได้
พึ่ง ท่บี ุคคลไดโ้ ดยยาก."
๕๗
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
ในเวลาจบเทศนา ชนเปน็ อนั มาก บรรลอุ ริยผลทั้งหลาย มโี สดาปตั ติผลเปน็ ตน้ ดังนี้แล.
เรอ่ื งมารดาของพระกมุ ารกัสสปเถระ จบ.
๕๘
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
๑๓) เรื่องพระนางเขมา[๒๔๔]
ข้อความเบือ้ งตน้
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวนั ทรงปรารภพระอคั รมเหสขี องพระเจา้ พมิ พิสาร
พระนามว่าเขมา ตรัสพระธรรมเทศนานีว้ ่า " เยราครตฺตา" เป็นต้น.
หนามบ่งหนาม
ได้สดับมา พระนางเขมาน้ันตั้งความปรารถนาไว้แทบบาทมลู ของพระปทมุ ุตตรพุทธเจ้า
ไดเ้ ป็นผูม้ ีพระรูปงดงามน่าเล่อื มใสอยา่ งเหลอื เกิน.ก็พระนางได้ทรงสดบั วา่ " ทราบว่า
พระศาสดาตรสั ตโิ ทษของรูป" จงึ ไมป่ รารถนาจะเสดจ็ ไปยงั สานักของพระศาสดา.
พระราชาทรงทราบความทพี่ ระอคั รมเหสนี นั้ มัวเมาอย่ใู นรปู จงึ ตรัสให้พวกนักกวแี ตง่ เพลงขับ
เก่ยี วไปในทางพรรณนาพระเวฬวุ ัน แลว้ กร็ บั สง่ั ใหพ้ ระราชทานแกพ่ วกนกั ฟอ้ นเป็นต้น.
เมอ่ื นักฟอ้ นเหลา่ นัน้ ขบั เพลงเหล่านั้นอยู่ พระนางทรงสดบั แล้ว พระเวฬุวนั ไดเ้ ปน็ ประหนง่ึ
ไม่เคยทอดพระเนตรและทรงสดับแลว้ . พระนางตรสั ถามวา่ " พวกทา่ นขับหมายถงึ อทุ ยานแหง่
ไหน ?"เมื่อพวกนกั ขับทลู ว่า " หมายอุทยานเวฬวุ นั ของพระองค์ พระเทวี" กไ็ ดท้ รงปรารถนาจะ
เสด็จไปพระอุทยาน. พระศาสดาทรงทราบการเสดจ็ มาของพระนาง เม่อื ประทับนง่ั แสดงธรรม
อยู่ในท่ามกลางบริษทั แล จึงทรงนริ มติ หญิงรูปงาม ยืนถอื พดั กา้ นตาลพัดอยทู่ ่ขี ้างพระองค์.
ฝ่ายพระนางเขมาเทวี เสด็จเขา้ ไปอยู่แล ทอดพระเนตรเห็นหญิงน้ัน จึงทรงดาริวา่
" ชนทั้งหลาย ย่อมพดู กนั ว่า `พระสมั มาสมั พุทธเจ้าตรัสโทษของรูป, ' ก็หญิงนี้ ยนื พดั อย่ใู น
สานกั ของพระองค์, เราไม่เข้าถึงแม้ส่วนแหง่ เสยี้ วของหญิงนี้, รูปหญงิ เชน่ น้ี เราไมเ่ คยเห็น,
ชนท้ังหลายเห็นจะกลา่ วตพู่ ระศาสดา ดว้ ยคาไมจ่ รงิ " ดังนี้แล้ว กม็ ใิ สใ่ จถงึ เสยี งพระดารสั ของ
พระตถาคต ได้ประทบั ยืนทอดพระเนตรดูหญงิ นนั้ น่ันแล.
ในรา่ งกายนี้ไม่มสี าระ
พระศาสดาทรงทราบเนื้อความท่พี ระนางมีมานะจดั เกดิ ข้นึ ในรูปนัน้ เมอ่ื จะทรงแสดงรปู นั้น
ด้วยอานาจวยั มีปฐมวัยเป็นต้น จึงทรงแสดงทาใหเ้ หลือเพียงกระดูกในท่สี ุด โดยนัยที่ขา้ พเจา้
กล่าวแลว้ ในหนหลังน้ันแล.
พระนางเขมาพอทอดพระเนตรเห็นรูปน้ัน จึงทรงดาริว่า " รูปนนั้ แม้เห็นปานนี้ ก็ถึงความสิน้
ความเส่อื มไปโดยคร่เู ดยี วเทา่ นนั้ , สาระในรปู น้ี ไมม่ หี นอ ?"
พระศาสดาทรงตรวจดูวาระจิตของพระนางเขมานั้นแลว้ จึงตรัสวา่ " เขมา เธอคิดว่า
`สาระมอี ย่ใู นรปู น้ีหรือ ?' เธอจงดคู วามทร่ี ปู นนั้ หาสาระมิได้ ในบดั นี้" แลว้ ตรัสพระคาถาน้วี า่ :-
๕๙
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
" เขมา เธอจงดูร่างกายอันอาดูร ไมส่ ะอาดเน่า
เปือ่ ย ไหลออกทั้งขา้ งบน ไหลออกท้งั ข้างลา่ ง อนั คน
พาลทงั้ หลาย ปรารถนายง่ิ นัก. "
ในกาลจบพระคาถา พระนางดารงอยใู่ นโสดาปัตติผล.
ลาดับน้ัน พระศาสดาตรัสกะพระนางวา่ "เขมา สัตว์เหลา่ นี้ เยิ้มอยดู่ ว้ ยราคะ รอ้ นอยู่ด้วย
โทสะ งงงวยอยู่ดว้ ยโมหะ จึงไมอ่ าจเพ่ือก้าวลว่ งกระแสตณั หาของตนไปได้ ต้องข้องอยใู่ น
กระแสตัณหานนั้ นัน่ เอง"ดงั น้ีแลว้ เมอื่ จะทรงแสดงธรรม จึงตรสั พระคาถานีว้ า่ :-
๕. เย ราครตฺตานปุ ตนฺติ โสต
สย กต มกกฺ ฏโฺ กว ชาล
เอตมฺปิ เฉตฺวาน วชนตฺ ิ ธรี า
อนเปกขฺ ิโน สพฺพทุกฺข ปหาย.
" สัตว์ผู้กาหนดั แล้วดว้ ยราคะ ยอ่ มตกไปสู่
กระแสตัณหา เหมือนแมลงมมุ ตกไปยงั ใยทต่ี วั ทาไว้
เองฉะนัน้ . ธีรชนทง้ั หลาย ตัดกระแสตณั หาแม้นนั้
แลว้ เป็นผหู้ มดหว่ งใย ละเว้นทกุ ขท์ ัง้ ปวงไป. "
ในกาลจบเทศนา พระนางเขมาทรงดารงอยใู่ นพระอรหตั . เทศนาได้มปี ระโยชน์แม้แก่มหาชน
แล้ว. พระศาสดาตรสั กะพระราชาวา่ " มหาบพิตร พระนางเขมาจะบวชหรอื ปรนิ พิ พาน จึงควร
?"
พระราชา. โปรดใหพ้ ระนางบวชเถิด พระเจ้าข้า, อยา่ เลยด้วยการปรนิ ิพพาน.
พระนางบรรพชาแลว้ ก็ไดเ้ ปน็ สาวิกาผู้เลศิ ดังนีแ้ ล.
เรื่องพระนางเขมา จบ.
๖๐
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
๑๔) เรื่องพระนางรูปนันทาเถรี[๑๒๒]
พะศาสดาเมอ่ื ประทับอยูใ่ นพระเชตวนั ทรงปรารภพระนางรูปนันทาเถรี ซงึ่ เปน็
นางงามในชนบทตรัสพระธรรมเทศนานี้วา่ "อฏฐฺ ีน นคร กต" เป็นต้น.
บวชตามๆกนั เพราะติดญาติ เห็นคนอน่ื บวช อยากบวชบา้ ง กลัววา้ เหว่ ??
พระนางรูปนันทาทรงผนวช
ได้ยินวา่ วนั หน่ึง พระนางรูปนันทานั้นทรงดาริว่า "เจา้ พ่ีใหญข่ องเราสละสิรริ าช
สมบัติ (ออก)ผนวช เป็นพระพุทธเจ้าผู้อคั รบุคคลในโลก, แมโ้ อรสของพระองคท์ รงนามว่า
ราหุลกมุ ารก็ผนวชแลว้ , แม้เจา้ พ่ีของเรา (คอื พระนนั ทะ) กผ็ นวชแลว้ .แม้พระมารดาของเราก็
ทรงผนวชแลว้ . เม่ือคณะพระญาตมิ ปี ระมาณเท่าน้ี ทรงผนวชแล้ว, แมเ้ ราจกั ทาอะไรในเรอื น จกั
ผนวช (บา้ ง)."
พระนางเสด็จเข้าไปสู่สานกั ภกิ ษุณีทั้งหลายแล้วทรงผนวชพระนางทรงผนวช
เพราะสเิ นหาในพระญาติเท่านั้น หาใช่เพราะศรทั ธาไมแ่ ตเ่ พราะพระนางเปน็ ผ้มู พี ระโฉมอันวไิ ล
จึงปรากฏพระนามวา่ "รปู นนั ทา."
พระนางไม่เข้าเฝา้ พระศาสดาเพราะเกรงถกู ตาหนิ
พระนางไดท้ รงสดบั วา่ "ได้ยินว่า พระศาสดาตรัสวา่ ‘รปู ไม่เที่ยง เปน็ ทุกข์ เป็น
อนัตตา, เวทนา สัญญาสงั ขาร วิญญาณไม่เทยี่ ง เป็นทุกข์ เปน็ อนัตตา" จงึ ไมเ่ สด็จไปเผชญิ
พระพกั ตร์พระศาสดาดว้ ยทรงเกรงว่า "พระศาสดาจะพึงตรสั โทษในรูปแมข้ องเราซ่ึงนา่ ดู
น่าเลอ่ื มใสอยา่ งนี้."
คนมปี มเขอื่ ง ย่อมยึดมัน่ ตนเอง ไม่อยากใหใ้ ครมาตาหนิปมเขือ่ งของตนเอง
ชาวนครนิยมฟังธรรม
ชาวพระนครสาวตั ถถี วายทานแตเ่ ช้าตรสู่ มาทานอโุ บสถแล้วห่มผา้ สะอาด มีมอื ถอื
ของหอมและระเบยี บดอกไมเ้ ปน็ ต้น ในเวลาเย็นประชุมกนั ฟงั ธรรมในพระเชตวัน. แม้ภกิ ษุณี
สงฆผ์ ู้เกดิ ฉันทะในพระธรรมเทศนาของพระศาสดาก็ย่อมไปวิหารฟังธรรม. ชาวพระนครสาวตั
ถีเหล่านัน้ ครั้นฟงั ธรรมแล้วเมือ่ เขา้ ไปสู่พระนคร ก็กล่าวแตค่ ณุ กถาของพระศาสดาเทา่ นนั้
๖๑
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
เขา้ ไป.
ผูส้ งั่ สมมาดแี ล้ว ย่อมมีรปู ,เสยี ง, ข้อวัตรปฏิบัติ และธรรมะ
อนั งดงาม น่าดูนา่ เล่อื มใส เหมาะแก่การประกาศธรรม
ความเล่ือมใสของบุคคล ๔จาพวก
จรงิ อยูจ่ าพวกสตั วใ์ นโลกสันนวิ าสซง่ึ มีประมาณ ๔ จาพวก ที่เหน็ พระตถาคตอย่ไู ม่
เกดิ ความเลอ่ื มใส มีจานวนน้อยนกั .
๑.รปู ัปปมาณิกา
ด้วยว่าจาพวกสัตว์ท่ีเปน็ รปู ัปปมาณิกา(ถือรปู เป็นประมาณ) เห็นพระสรีระของพระ
ตถาคต อนั ประดบั แล้วด้วยพระลกั ษณะและอนพุ ยัญชนะมีพระฉวีวรรณดจุ ทองคา ย่อม
เลอ่ื มใส.
๒.โฆสปั ปมาณกิ า
จาพวกโฆสัปปมาณิกา(ถอื เสียงเป็นประมาณ) ฟงั เสยี งประกาศพระคุณของ
พระศาสดาซง่ึ อาศยั เปน็ ไปแลว้ ตง้ั หลายร้อยชาติ และเสยี งประกาศพระธรรมเทศนา
อันประกอบด้วยองค์๘ย่อมเลอื่ มใส.เสยี งทปี่ ระกอบดว้ ยองค์ ๘ คอื
แจม่ ใส ๑ ชัดเจน ๑ น่มุ นวล ๑น่าฟัง ๑ กลมกลอ่ ม ๑ ไม่พรา่ ๑ ลึก ๑ มกี งั วาน ๑
(ที. มหาวรรค ชนวสภสูตร ข้อ ๑๙๘.)
๓.ลูขปั ปมาณิกา
แมจ้ าพวกลขู ัปปมาณกิ า(ถือการปฏิบัติเศรา้ หมองเปน็ ประมาณ)อาศัยความท่ี
พระองค์เปน็ ผู้เศร้าหมองด้วยปัจจยั ท้ังหลายมจี ีวรเป็นตน้ ยอ่ มเลอื่ มใส.
๔.ธัมมัปปมาณิกา
แม้จาพวกธัมมปั ปมาณิกา(ถอื ธรรมเปน็ ประมาณ) กย็ ่อมเลอื่ มใสวา่
"ศลี ของพระทศพลเห็นปานนี้. สมาธิเหน็ ปานน้ี. ปญั ญาเห็นปานน้ี.พระผู้มีพระ
ภาคเจา้ หาผเู้ สมอมไิ ด้ ไมม่ ีผู้เสมอเทา่ หาผเู้ สมอเหมอื นมิได้ไมม่ ีผูท้ ัดเทยี ม ดว้ ยคณุ ท้ังหลายมศี ีล
เปน็ ตน้ ."
เม่ือชนเหล่านนั้ พรรณนาคุณของพระตถาคตอยู่ ปากไม่เพียงพอ.
คนมปี มเขือ่ ง ย่อมไมอ่ าจหาญ๖๒คอยหลบซ่อน ไม่กล้าแสดงตัว
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
พระนางรูปนันทาเถรเี ข้าเฝ้าทรงสดับธรรม
พระนางรูปนนั ทาไดส้ ดบั คาพรรณนาคณุ ของพระตถาคตแตส่ านกั พวกภกิ ษณุ ีและ
พวกอบุ าสกิ า จึงทรงดารวิ า่ "ชนท้ังหลายย่อมกล่าวชมเจ้าพข่ี องเรานกั หนาทีเดียว แม้ในวนั หนง่ึ
พระองคเ์ ม่ือจะตรสั โทษในรูปของเรา จะตรสั ได้สักเท่าไร? ถ้ากระไรเราพึงไปกับพวกภิกษณุ ี
ไม่แสดงตนเลย เฝา้ พระตถาคตฟังธรรมแลว้ พึงมา."
พระนางจงึ ตรสั บอกแก่พวกภกิ ษณุ ีว่า "วนั นีฉ้ นั จักไปสู่ทีฟ่ ังธรรม." พวกภกิ ษณุ มี ี
ใจยินดวี ่า "นานนกั หนาการทพี่ ระนางรูปนนั ทาทรงมพี ระประสงคจ์ ะเสด็จไปสทู่ ี่บารงุ พระ
ศาสดาเกิดขน้ึ แล้ว, วันน้ี พระศาสดาทรงอาศยั พระนางรปู นันทานแ้ี ลว้ จักทรงแสดงพระธรรม
เทศนาอันวจิ ิตร"ดงั น้ีแลว้ พาพระนางออกไปแลว้ . ต้งั แต่เวลาทีอ่ อกไป พระนางทรงดารวิ ่า"เรา
จะไม่แสดงตนเลย."
พระศาสดาทรงแสดงธรรมแกพ่ ระนาง
พระศาสดาทรงดาริวา่ "วันนี้ รูปนนั ทาจกั มาทบ่ี ารุงของเรา ธรรมเทศนาเชน่ ไร
หนอแล?จักเปน็ ที่สบายของเธอ"ทรงทาความตกลงพระหฤทัยวา่ "รปู นันทาน่ัน หนกั ในรปู มี
ความเยื่อใยในอตั ภาพอย่างรนุ แรง การบรรเทาความเมาในรูปด้วยรปู นั่นแลเป็นทส่ี บายของเธอ
ดจุ การบง่ หนามดว้ ยหนามฉะนนั้ "
การรวู้ าระจติ ย่อมช่วยในการแสดงธรรมที่เหมาะสมกับจรติ ของผฟู้ ัง
ในเวลาทพ่ี ระนางเขา้ ไปสู่วหิ ารทรงนิรมิตหญิงมรี ูปสวยพรงิ้ ผหู้ น่ึง อายุราว ๑๖ปี
นงุ่ ผ้าแดงประดับแล้วดว้ ยอาภรณท์ ุกอย่าง ถือพัด ยืนถวายงานพัดอย่ใู นทีใ่ กลพ้ ระองคด์ ้วยกาลงั
พระฤทธ,์ิ ก็แล พระศาสดาและพระนางรปู นนั ทาเท่านั้น ทรงเหน็ รปู หญิงน้นั .
พระนางเสดจ็ เข้าไปวิหารพร้อมกับภิกษณุ ีทง้ั หลายทรงยืนข้างหลงั พวกภิกษณุ ี
ถวายบังคมพระศาสดาดว้ ยเบญจางคประดิษฐน์ ง่ั ในระหวา่ งพวกภิกษณุ ี ทรงแลดพู ระศาสดา
ต้งั แต่พระบาททรงเหน็ พระสรีระของพระศาสดาวจิ ิตรแล้วด้วยพระลักษณะ รงุ่ เรอื งด้วยอนุ
พยญั ชนะอันพระรศั มวี าหน่ึงแวดล้อมแลว้ ทรงแลดพู ระพักตร์อนั มสี ิรดิ ุจพระจันทรเ์ พญ็ ได้ทรง
เห็นรปู หญิงยืนอยูใ่ นท่ีใกล้แล้ว.
คนจะเห็นธรรม ตามความเปน็ จริง ต้องมปี ระสบการณ์ตรงดว้ ยตนเอง
๖๓
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน
พระนางทรงแลดูหญิงนั้นแล้ว ทรงแลดอู ตั ภาพ (ของตน)รสู้ ึกว่าตนเหมอื นนางกา
(ซ่งึ อยู่) ข้างหนา้ นางพระยาหงส์ทอง. กจ็ าเดิมแตเ่ วลาที่ (พระนาง) ทรงเห็นรปู อันสาเร็จแล้วด้วย
ฤทธิ์ทีเดยี วพระเนตรทั้งสองของพระนางก็วิงเวียน.พระนางมจี ติ อนั สิริโฉมแหง่ สรีรประเทศ
ทั้งหมดดงึ ดูดไปแล้วว่า "โอ ผมของหญงิ น้ีกง็ าม, โอ หนา้ ผากก็งาม" ดังนี้ ไดม้ สี ิเนหาในรปู นั้น
อยา่ งรนุ แรง.
พระศาสดาทรงทราบความยนิ ดีอยา่ งสดุ ซึง้ ในรูปนนั้ ของพระนางพอเมอ่ื จะทรง
แสดงธรรม จงึ ทรงแสดงรปู นน้ั ใหล้ ว่ งภาวะของผมู้ ีอายุ ๑๖ ปี มีอายรุ าว ๒๐ป.ี พระนางรูปนนั
ทาได้ทอดพระเนตร มจี ิตเบ่ือหน่ายหน่อยหน่งึ ว่า "รูปนีไ้ ม่เหมือนรูปก่อนหนอ."
พระศาสดา(ทรงแสดงความแปรเปลย่ี นเพศ) ของหญิงน้ันโดยลาดบั เทียวคือ เพศ
หญงิ คลอดบตุ รครง้ั เดยี ว เพศหญงิ กลางคน เพศหญิงแกเ่ พศหญงิ แกค่ รา่ ครา่ แลว้ เพราะชรา.
แม้พระนางก็ทรงเบอื่ หนา่ ยรปู นั้นในเวลาท่ที รุดโทรมเพราะชราโดยลาดับ
เหมอื นกนั วา่ "โอ รูปน้ีหายไปแล้วๆ" (คร้นั )ทรงเหน็ รูปนั้นมฟี ันหกั ผมหงอก หลงั โกง มี
ซโี่ ครงขึ้นดจุ กลอน มไี ม้เท้ายันขา้ งหนา้ งกงนั อยู่ ก็ทรงเบอ่ื หน่ายเหลอื เกนิ .
ลาดบั น้นั พระศาสดาทรงแสดงรูปหญิงนั้นใหเ้ ปน็ รูปอนั พยาธิครอบงา ในขณะ
นัน้ เองหญิงนั้นท้ิงไม้เทา้ และพดั ใบตาล ร้องเสียงขรม ล้มลงทีภ่ าคพนื้ จมลงในมูตรและกรีสของ
ตน กลิง้ เกลอื กไปมา. พระนางรปู นนั ทาทรงเหน็ หญิงนัน้ แลว้ ทรงเบือ่ หนา่ ยเต็มที.
พระศาสดาทรงแสดงมรณะของหญงิ นัน้ แล้ว.หญงิ น้ันถงึ ความเปน็ ศพพองขน้ึ
ในขณะนนั้ เองสายแห่งหนองและหม่หู นอนไหลออกจากปากแผล5ท้งั ๙.ฝูงสัตวม์ ีกาเปน็ ตน้ รมุ
แยง่ กนั กนิ แลว้ .
พระนางรูปนันทาทรงพจิ ารณาซากศพนน้ั แล้วทรงเห็นอัตภาพโดยความเปน็ สภาพ
ไมเ่ ทยี่ งว่า "หญงิ น้ถี ึงความแก่ ถงึ ความเจบ็ ถงึ ความตาย ในทน่ี เ้ี อง, ความแก่ ความเจบ็ และความ
ตายจกั มาถงึ แก่อัตภาพแม้น้ีอยา่ งนัน้ เหมือนกัน."และเพราะความทอี่ ตั ภาพเปน็ สภาพอันพระนาง
ทรงเห็นแล้วโดยความเปน็ สภาพไม่เทย่ี งน่ันเองอตั ภาพนั้นจึงเป็นอันทรงเห็นแลว้ โดยความเปน็
ทุกขโ์ ดยความเปน็ อนตั ตาทีเดียว.
ลาดบั นน้ั ภพทั้งสามปรากฏแกพ่ ระนางดุจถกู ไฟเผาลนแลว้ และดจุ ซากศพอนั เขา
5แผล ๙ คอื ตา หู จมูก อย่างละ ๒ ปาก ๑ ทวารหนัก ๑ ทวารเบา ๑
๖๔
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
ผกู ไว้ทพ่ี ระศอจิตมุ่งตรงต่อกรรมฐานแล้ว.
บรมครผู รู้ วู้ าระจิต ย่อมให้ธรรมะทพี่ อเหมาะอยา่ งเหมาะสม
พระศาสดาทรงทราบว่าพระนางทรงคิดเห็นอตั ภาพโดยความเป็นสภาพไมเ่ ท่ียงแล้ว
จงึ ทรงพิจารณาดวู า่ "พระนางจักสามารถทาทพี่ งึ่ แกต่ นไดเ้ องทเี ดยี วหรือไม่หนอแล?"
ทรงเห็นวา่ "จักไม่อาจการทพ่ี ระนางไดป้ ัจจยั ภายนอก (เสียก่อน) จงึ จะเหมาะ" ดังน้แี ลว้
เม่อื จะทรงแสดงธรรม ด้วยอานาจธรรมเป็นทส่ี บายแหง่ พระนางได้ตรสั พระคาถา
เหล่านีว้ า่
นนั ทา เธอจงดูกายอันกรรมยกข้ึน อันอาดูรไมส่ ะอาด
เปือ่ ยเนา่ ไหลออกอยู่ข้างบนไหลออกอยขู่ า้ งล่าง ทพ่ี าลชน
ท้งั หลายปรารถนากนั นกั ;
สรรี ะของเธอนี้ ฉันใด สรีระของหญิงนน่ั ก็ฉันนัน้ ,
สรีระของหญงิ นนั่ ฉันใด สรีระของเธอนี้กฉ็ ันน้ัน
เธอจงเห็นธาตุทง้ั หลายโดยความเป็นของสูญ,
อย่ากลบั มาสโู่ ลกนอ้ี กี , เธอคลีค่ ลายความพอใจในภพเสยี แล้ว
จกั เปน็ บุคคลผสู้ งบเที่ยวไป.
พระนางนนั ทาสาเร็จโสดาปตั ตผิ ล
ไดท้ ราบว่าพระผมู้ ีพระภาคเจ้าทรงปรารภพระนางนันทาภกิ ษณุ ี ได้ตรสั พระคาถา
เหลา่ น้ดี ว้ ยประการฉะน้แี ล. พระนางนันทาทรงสง่ ญาณไปตามกระแสเทศนา บรรลุโสดาปัตติ
ผลแล้ว.
พระศาสดาทรงแสดงวิปสั สนา
ลาดับนัน้ พระศาสดา เพ่ือจะตรสั สุญญตกรรมฐาน เพื่อตอ้ งการอบรมวิปสั สนาเพ่ือ
มรรคผลทัง้ สามยิ่งข้ึนไปแก่พระนาง จงึ ตรสั ว่า "นนั ทา เธออยา่ ทาความเข้าใจวา่ ‘สาระในสรรี ะ
น้ี มอี ยู่’ เพราะสาระในสรีระนแ้ี มเ้ พยี งเลก็ น้อย ก็ไมม่ ี, สรีระนีอ้ ันกรรมยกกระดกู ๓๐๐ ท่อน
ข้ึน สรา้ งใหเ้ ปน็ นครแห่งกระดูกท้งั หลาย" ดงั น้ี
แล้วตรสั พระคาถาน้วี า่
๖๕
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
๕. อฏฐฺ ีน นคร กต มสโลหิตเลปน
ยตถฺ ชรา จ มจฺจุ จ มาโน มกโฺ ข จ โอหิโต.
สรรี ะอันกรรมทาใหเ้ ป็นนครแห่งกระดูกทั้งหลาย ฉาบด้วย
เนื้อและโลหิต เป็นที่ต้งั ลงแหง่ ชรา มรณะมานะและมักขะ.
ในกาลจบเทศนา พระนางรปู นนั ทาเถรไี ดบ้ รรลพุ ระอรหตั ผล.
พระธรรมเทศนาได้เป็นกถามปี ระโยชน์แกม่ หาชนแลว้ ดงั นี้แล.
เรือ่ งพระนางรปู นันทาเถรี จบ.
ความคลา้ ยท่แี ตกต่าง
๑๓) เร่ืองพระนางเขมา [๒๔๔]
พระสวาม(ี พระเจา้ พมิ พิสาร)แตง่ เพลงหลอกไปวดั เวฬุวนั , พระพทุ ธองค์เนรมิต
หญงิ ๑๖ ปี ยนื ถวายงานพัด,หญิงนั้นค่อยๆชราลงจนเหลอื โครงกระดกู ,ฟังพระ
คาถา จบบรรลุโสดาปตั ติผล, ฟังอีกพระคาถาบรรลพุ ระอรหตั , ออกบวชในท่ีสดุ
๑๔) เรื่องพระนางรูปนนั ทาเถรี [๑๒๒]
ออกบวชเพราะตดิ ญาติ ไม่อยากไปฟงั ธรรมเพราะกลัวถูกตาหนิว่าติดในรปู
พระพทุ ธองคเ์ นรมิตหญงิ ๑๖ ปี ยืนถวายงานพดั ,หญงิ นนั้ ค่อยๆชราลงจนตาย
อืด ฟงั พระคาถาได้บรรลุโสดาปัตติผล,เจรญิ สญุ ญตกรรมฐานทาวิปัสสนาบรรลุ
พระอรหนั ตเถรี พระศาสดาทรงแสดงวิปัสสนา
๖๖
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
๑๕) เร่ืองนางวิสาขา[๔๐]
ขอ้ ความเบ้ืองต้น
พระศาสดา เมื่อทรงเขา้ ไปอาศยั กรงุ สาวตั ถี ประทับอย่ใู นบุพพารามทรงปรารภอุบาสกิ าชอื่
วสิ าขา ตรัสพระธรรมเทศนานี้วา่ " ยถาปิปุปผฺ ราสมิ ฺหา" เปน็ ต้น.
พระศาสดาเสด็จไปโปรดสตั ว์
ดงั ได้สดบั มา นางวิสาขาอบุ าสกิ าน้ัน เกิดในทอ้ งนางสมุ นาเทวีภรยิ าหลวงของธนญชยั
เศรษฐี ผเู้ ปน็ บตุ รเมณฑกเศรษฐี ในภัททยิ นครแคว้นองั คะ. ในเวลาทน่ี างมีอายุ ๗ ขวบ
พระศาสดาทรงเห็นอุปนิสยั สมบัติของสัตว์ ผ้มู เี ผ่าพนั ธ์ุท่ีพึงแนะนา เพ่อื ความตรัสรู้
มเี สลพราหมณเ์ ปน็ ตน้ มีภิกษสุ งฆห์ มใู่ หญเ่ ป็นบรวิ ารเสด็จจาริกไปถงึ นครนนั้ .
ผมู้ ีบุญทั้ง ๕ ในภัททยิ นคร
กใ็ นสมัยน้นั เมณฑกคฤหบดี เป็นหวั หน้าของผมู้ บี ญุ มาก ๕ คนครองตาแหน่งเศรษฐีอยู่ใน
เมืองนั้น. ชอื่ ว่าคนทีม่ ีบญุ มาก ๕ คน คอื เมณฑกเศรษฐี ๑ ภรยิ าหลวงของเศรษฐีนัน้ นามว่า
จนั ทปทุมา ๑ บตุ รชายคนโตของเศรษฐีน้ันเอง ช่ือธนญชยั ๑ ภรยิ าของธนญชัยน้นั ชื่อว่า
สมุ นาเทวี ๑ คนใชข้ องเมณฑกเศรษฐี ชอื่ ปุณณะ ๑
คนมั่งมีในแควน้ ของพระเจ้าพิมพิสาร ๕ คน
ใชจ่ ะมแี ตเ่ มณฑกเศรษฐีแตผ่ เู้ ดียวเทา่ นน้ั กห็ าไม่, ก็ในแคว้นของพระเจ้าพมิ พสิ าร กไ็ ด้มคี น
ผู้มีโภคะนบั ไม่ถว้ น ๕ คน คอื โชติยะ ๑ชฏิละ ๑ เมณฑกะ ๑ ปุณณะ ๑ กากวัลลิยะ ๑.
เด็กผมู้ ีบุญ เหมือนดอกบวั พ้นน้า รอฟังธรรมเพือ่ บรรลธุ รรมในทนั ที
เมณฑกเศรษฐีใหน้ างวสิ าขาไปรับพระศาสดา
ในท่านเหล่าน้ัน เมณฑกเศรษฐีน้ี ไดท้ ราบความทพี่ ระทศพลเสด็จถงึ นครของตน จึงให้เรียก
เดก็ หญงิ วิสาขาลูกสาวธนญชัยเศรษฐีผบู้ ตุ รมา บอกว่า " แม่หนู เป็นมงคล ทัง้ แก่เจ้า, ทง้ั แกเ่ รา;
แม่หนกู ับพวกเด็กหญิงบรวิ ารของเจ้า ๕๐๐ จงขน้ึ รถ ๕๐๐ คนั แวดล้อมด้วยทาสี ๕๐๐ คน (ไป)
ทาการตอ้ นรบั พระทศพล" นางรบั ว่า " ดลี ะ"แลว้ ได้ทาอย่างน้นั .
แตเ่ พราะความท่ีนางเปน็ เด็กฉลาดในเหตุอันควรและไม่ควร นางจึงไปด้วยยาน เทา่ ที่ยาน
(ไปได้) ลงจากยานแล้ว กเ็ ดินเทา้ ไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแลว้ ไดย้ ืน ณ สว่ นขา้ งหน่ึง.
ครัง้ นั้นพระศาสดาทรงแสดงธรรม ดว้ ยสามารถแห่งบุรพจรรยาของนาง.
๖๗
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน
นางไดโ้ สดาปตั ติผลแต่อายุ ๗ ขวบ
ในเวลาจบเทศนา นางพรอ้ มดว้ ยเดก็ หญงิ ๕๐๐ ต้งั อยใู่ นโสดาปตั ติผลแลว้ .
ฝ่ายเมฆฑกเศรษฐแี ล เข้าเฝ้าพระศาสดา ฟังธรรมกถาตัง้ อยู่ในโสดาปัตตผิ ลแล้ว จึงนมิ นต์เพอ่ื
เสวยอาหารเชา้ ในวนั รุ่งขึน้ องั คาสภกิ ษุสงฆ์ มพี ระพทุ ธเจ้าเป็นประมุข ดว้ ยขาทนียะโภชนียะอัน
ประณีตท่ีเรือนของตน ไดถ้ วายมหาทานโดยอุบายน้ีแล ตลอดกึ่งเดือนพระศาสดา ประทับอยู่ใน
ภทั ทยิ นคร ตามความพอพระหฤทัยแล้ว กเ็ สดจ็ หลกี ไป.
พระเจา้ ปเสนทโิ กศลอยากไดผ้ มู้ ีบญุ
กโ็ ดยสมยั นั้นแล พระเจา้ พมิ พสิ ารและพระเจ้าปเสนทิโกศลต่างก็เป็นพระภสั ดาของพระ
ภคนิ กี ันและกัน. ต่อมาวนั หนึง่ พระเจ้าโกศลทรงดาริว่า " คนมีโภคะนับไมถ่ ้วน มีบุญมากทง้ั ๕
ยอ่ มอยูใ่ นแคว้นพระเจา้ พิมพิสาร, ในแคว้นของเรา ผเู้ ช่นน้นั แมเ้ พยี งคนเดียวกไ็ ม่มี;
อย่ากระนน้ั เลย เราพึงไปสู่สานกั ของพระเจา้ พมิ พสิ ารขอผ้มู บี ญุ มากสักคนหนึง่ ."
พระองค์เสดจ็ ไปในพระนครนน้ั แล้ว อนั พระราชาทรงทาปฏสิ นั ถารทลู ถามว่า " พระองค์
เสดจ็ มา เพราะเหตไุ ร?" จึงตรัสวา่ " หมอ่ มฉนั มา ด้วยประสงคว์ ่า 'คนมีโภคะนบั ไม่ถว้ น มีบญุ
มากทั้ง ๕ คนอยูใ่ นแคว้นของพระองค์, หมอ่ มฉันจกั พาเอาคนหนง่ึ จาก ๕ คนน้นั ไป,
ขอพระองค์จงประทานคนหนึง่ ใน ๕ คนนั้น แก่หมอ่ มฉันเถดิ . "
พิมพสิ าร. หม่อมฉันไมอ่ าจจะให้ตระกลู ใหญ่ ๆ ยา้ ยได้.
ปเสนทิโกศล. หม่อมฉนั ไมไ่ ด้ กจ็ ักไมไ่ ป.
เรอ่ื งเศรษฐกิจของบ้านเมือง ต้องปรกึ ษาใหร้ อบคอบ
ข้าแผน่ ดนิ ที่จงรักภกั ดี ยนิ ยอมทกุ อย่างตามความประสงคพ์ ระราชาของตน
มอบธนญชัยเศรษฐีให้พระเจา้ โกศล
พระราชา (พระเจ้าพิมพสิ าร) ทรงปรึกษากับพวกอามาตย์แล้วตรสั วา่ " ชือ่ วา่ การยา้ ยตระกลู
ใหญ่ ๆ มีโชตยิ สกลุ เปน็ ตน้ เช่นกับแผ่นดินไหว, บุตรของเมฆฑกเศรษฐชี ่ือธนญชยั เศรษฐี มอี ยู่,
หม่อมฉันปรกึ ษากับเธอเสร็จแลว้ จกั ถวายคาตอบแด่พระองค์" ดงั น้แี ลว้ รับสั่งใหเ้ รียกธนญชัย
เศรษฐมี าแลว้ ตรสั วา่ " พ่อ พระเจ้าโกศลตรสั ว่า'จักพาเอาเศรษฐีมีทรพั ยค์ นหนงึ่ ไป, เธอจงไป
กับพระองคเ์ ถดิ . "
ธนญชัย. เมือ่ พระองค์สง่ ไป, ขา้ พระองคก์ จ็ กั ไป พระเจ้าข้า.
พมิ พิสาร. ถา้ เช่นนั้น เธอจงทาการตระเตรียมไปเถดิ พ่อ.
๖๘
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน
เศรษฐนี น้ั ได้ทากจิ จาเปน็ ทคี่ วรทาของตนแลว้ . ฝา่ ยพระราชาทรงทาสักการะใหญแ่ กเ่ ขา
ทรงสง่ พระเจา้ ปเสนทโิ กศลไปด้วยพระดารัสวา่ " ขอพระองค์จงพาเศรษฐีนไี้ ปเถดิ . "
ท้าวเธอพาธนญชยั เศรษฐนี ้ันเสดจ็ ไปโดยการประทบั แรมราตรหี นึง่ ในท่ีทั้งปวง บรรลุถงึ สถาน
อันผาสุกแห่งหนงึ่ แล้ว ก็ทรงหยุดพัก.
การสรา้ งเมอื งสาเกต
ครั้งนัน้ ธนญชัยเศรษฐี ทลู ถามทา้ วเธอวา่ " นเ้ี ปน็ แคว้นของใคร?"
ปเสนทโิ กศล. ของเรา เศรษฐี.
ธนญชยั . เมืองสาวตั ถี แตน่ ไี้ ป ไกลเท่าไร?
ปเสนทิโกศล. ในท่ีสดุ ๗ โยชน์.
ธนญชยั . ภายในพระนครคับแคบ, ชนบริวารของขา้ พระองค์มาถา้ พระองคท์ รงโปรดไซร้,
ข้าพระองค์พงึ อยู่ท่ีนแี้ หละ พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงรบั ว่า " ดลี ะ" ดงั น้ีแล้ว ให้สรา้ งเมอื งในทีน่ ั้นได้พระราชทานแกเ่ ศรษฐีนน้ั แล้ว
เสดจ็ ไป. เมืองไดน้ ามวา่ " สาเกต"เพราะความที่แห่งสถานทอี่ ยู่ ในประเทศนัน้ อันเศรษฐีจับจอง
แล้วในเวลาเย็น.
แมใ้ นกรุงสาวัตถแี ล บุตรของมคิ ารเศรษฐี ชื่อว่าปุณณวัฒนกมุ ารเจริญวยั ได้มีแลว้ .
ครง้ั นนั้ มารดาบิดากลา่ วกะเขาวา่ " พ่อ เจา้ จงเลอื กเด็กหญิงคนหนึ่งในที่เป็นที่ชอบใจของเจา้ . "
ปุณณะ. กจิ ด้วยภรยิ าเหน็ ปานนัน้ ของผมไม่มี.
มารดาบดิ า. เจ้าอยา่ ทาอย่างนี้ ลูก, ธรรมดาตระกลู ทไี่ ม่มีบตุ รต้งั อยู่ไมไ่ ด้.
ลูกเศรษฐีจะแตง่ งานทงั้ ที ขอเลือกคนที่สวยท่ีสุด อยา่ งอ่ืนว่ากนั ทีหลงั ??
ลักษณะเบญจกัลยาณี
เขาถูกมารดาบดิ าพดู รบเร้าอยู่ จงึ กลา่ ววา่ " ถ้ากระนั้น ผมเมอื่ ได้หญงิ สาวประกอบพรอ้ ม
ด้วยความงาม ๕ อยา่ ง ก็จกั ทาตามคาของคุณพ่อคณุ แม่. "
มารดาบิดา. ก็ชอ่ื วา่ ความงาม ๕ อย่างน้ัน อะไรเล่า? พ่อ.
ปุณณะ. คอื ผมงาม, เนื้องาม, กระดกู งาม, ผวิ งาม, วยั งาม.
กผ็ มของหญงิ ผมู้ ีบุญมาก เปน็ เช่นกับกาหางนกยงู แกป้ ล่อยระชายผา้ นุง่ แลว้ กก็ ลับมีปลาย
งอนขึ้นตั้งอยู่, นี้ ชอื่ วา่ ผมงาม.
รมิ ฝีปากเชน่ กับผลตาลึง (สุก) ถึงพรอ้ มด้วยสีเรยี บชิดสนิทดี, นี้ ช่ือว่าเนือ้ งาม.
๖๙
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
ฟนั ขาวเรียบไม่ห่างกัน งดงามดจุ ระเบยี บแหง่ เพชร ที่เขายกข้นึ ต้งั ไว้และดจุ ระเบียบแห่งสังขท์ ่ี
เขาขัดสีแลว้ , น้ี ชอื่ ว่ากระดูกงาม,
ผิวพรรณของหญงิ ดาไม่ลูบไลด้ ว้ ยเคร่ืองประเทืองผวิ เป็นต้นเลย ก็ดาสนทิ ประหนึง่ พวงอุบล
เขียว, ของหญงิ ขาว ประหนึ่งพวงดอกกรรณิการ์, นี้ ชอ่ื วา่ ผวิ งาม.
ก็แลหญิงแม้คลอดแล้วต้งั ๑๐ ครงั้ ก็เหมือนคลอดครั้งเดยี วยงั สาวพรง้ิ อยเู่ ทยี ว, น้ี ชอื่ ว่าวยั งาม
ดงั น้ีแล.
เศรษฐีสง่ พราหมณไ์ ปแสวงหาหญงิ เบญจกลั ยาณี
คร้งั นน้ั มารดาบิดาของนายปณุ ณวฒั นกุมารน้นั เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมาใหบ้ ริโภคแลว้
ถามวา่ " ชือ่ วา่ หญิงทต่ี อ้ งดว้ ยลักษณะเบญจกัลยาณี มีอยหู่ รือ?" พราหมณเ์ หลา่ น้ัน ตอบว่า
" จะ้ มอี ยู่. "
เศรษฐกี ล่าววา่ " ถา้ กระน้นั ชน (คอื พราหมณ์) ๘ คนจงไปแสวงหาเดก็ หญิงเหน็ ปานนี้" ดังน้ี
แลว้ ให้ทรพั ย์เปน็ อันมาก ส่ังวา่ " กใ็ นเวลาทพ่ี วกท่านกลบั ขา้ พเจ้าท้งั หลายจกั รสู้ งิ่ ทค่ี วรทาแก่
พวกท่าน,ท่านท้ังหลายไปเถิด, แสวงหาเด็กหญงิ แมเ้ ห็นปานนนั้ , และในเวลาท่ีพบแล้ว พึง
ประดบั พวงมาลยั ทองคานี้" ดังนแ้ี ลว้ ใหพ้ วงมาลยั ทองคาอนั มรี าคาแสนหนงึ่ สง่ ไปแล้ว.
พราหมณเ์ หลา่ นนั้ ไปยงั นครใหญ่ ๆ แสวงหาอยู่ ไมพ่ บเด็กหญงิ ท่ีตอ้ งดว้ ยลกั ษณะเบญจ
กลั ยาณี กลับมาถงึ เมอื งสาเกตโดยลาดับ ในวันมงี านนักขัตฤกษเ์ ปดิ จงึ คดิ กนั ว่า " การงานของ
พวกเราคงสาเรจ็ ในวนั นี้."
พ่อสือ่ ยอ่ มรูว้ ่าหนมุ่ สาวจะเจอกนั ก็เจอในงานเทศกาลประจาปี
งานประจาปีของนครสาเกต
กใ็ นนครนัน้ ช่ือว่างานนักขัตฤกษ์6 เปดิ ย่อมมปี ระจาปี, ในกาลนน้ั แม้ตระกูลทไ่ี มอ่ อก
ภายนอก ก็ออกจากเรือนกบั บริวาร มีร่างกายมไิ ด้ปกปดิ ไปสูฝ่ ่งั แม่น้าดว้ ยเท้าเทยี ว. ในวันนัน้ ถงึ
บตุ รท้ังหลายของขัตตยิ มหาศาลเปน็ ต้น กย็ นื แอบหนทางน้นั ๆ ดว้ ยต้งั ใจว่า " พวกเรา พบ
เดก็ หญงิ มีตระกูลท่พี ึงใจ มชี าติเสมอด้วยตนแล้ว จึงคล้องดว้ ยพวงมาลยั ."
6นกั ษัตรเปดิ เผย เป็นงานประจาปขี องนครสาเกต ในงานนช้ี าวเมอื งทกุ คน เผยร่างโดยปราศจากผา้ คลุมปิดหน้า
เดินเท้าไปยังแมน่ า้ .
๗๐
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
พราหมณ์พบนางวสิ าขา
พราหมณ์แมเ้ หลา่ นน้ั เข้าไปถึงศาลาแหง่ หนงึ่ รมิ ฝ่ังแมน่ ้าแล้วไดย้ ืนอยู่.
ขณะนั้น นางวสิ าขา มอี ายยุ ่างเขา้ ๑๕-๑๖ ปี ประดับประดาดว้ ยเคร่อื งอาภรณค์ รบทุกอย่าง
อันเหล่ากมุ ารี ๕๐๐ คนแวดล้อมแลว้ คิดว่า " เราจกั ไปยงั แม่นา้ แลว้ อาบน้า" ถึงประเทศนั้นแล้ว.
ครงั้ นน้ั แล เมฆตัง้ ข้นึ แล้ว ก็ยงั ฝนให้ตก. เดก็ หญิง ๕๐๐ รีบเดินเขา้ ไปสูศ่ าลา. พวกพราหมณ์
พจิ ารณาดอู ยู่ ก็ไม่เหน็ เดก็ หญงิ เหล่าน้นั แมส้ ักคนเดียว ท่ตี อ้ งด้วยลกั ษณะเบญจกลั ยาณี.
นางวิสาขาเขา้ ไปยังศาลาดว้ ยการเดินตามปกตินั่นเอง. ผา้ และอาภรณเ์ ปียกโชก.
วิธีการดฟู นั นางวิสาขาของพราหมณแ์ ยบยล
คล้ายกรณี พระราชาดูขนท่ีฝ่าเทา้ โสณะกุลบตุ ร
พวกพราหมณเห็นความงาม ๔ อย่างของนางแล้ว ประสงค์จะเหน็ ฟัน จึงกล่าวกะกันและกันวา่
" ธดิ าของพวกเรา เปน็ หญิงเฉ่ือยชา, สามขี องหญิงคนน้เี ห็นทจี ักไม่ได้ แมเ้ พยี งขา้ วปลายเกวยี น"
ทนี ้นั นางวสิ าขา พูดกะพราหมณ์เหลา่ นน้ั วา่ " พวกทา่ นวา่ ใครกนั . "
พราหมณ์. วา่ เธอ แม่.
ไดย้ นิ ว่า เสยี งอันไพเราะของนาง เปล่งออกประหนึ่งเสยี งกงั สดาล,ลาดับนน้ั นางจึงถาม
พราหมณ์เหลา่ นนั้ ดว้ ยเสียงอนั ไพเราะอีกวา่ " เพราะเหตุไร? จึงว่าฉนั ."
พราหมณ์. หญงิ บริวารของเธอ ไม่ใหผ้ ้าและเคร่ืองประดับเปียกรีบเขา้ สู่ศาลา, กิจแมเ้ พยี งการ
รบี มาส่ทู ่ีประมาณเท่าน้ขี องเธอ ก็มิได้มี,เธอปลอ่ ยให้ผา้ และเครอื่ งอาภรณเ์ ปียกมาแล้ว;
เพราะฉะนั้น พวกเราจงึ พากันวา่ .
วิสาขา. พ่อทัง้ หลาย พวกท่านอยา่ พูดอยา่ งนี้, ฉนั แข็งแรงกวา่ เดก็ หญงิ เหลา่ น้ัน,
แตฉ่ ันกาหนดเหตุการณ์แลว้ จงึ ไม่มาโดยเรว็ .
พราหมณ์. เหตอุ ะไร? แม่.
คนมปี ัญญาจะทาส่งิ ใด ย่อมไตรต่ รองอยา่ งรอบคอบ
ชน ๔ จาพวกว่งิ ไปไม่งาม
วิสาขา. พ่อท้ังหลาย ชน ๔ จาพวก เมอ่ื ว่ิง ยอ่ มไม่งาม,เหตุอันหน่ึง แม้อื่นอกี ยังมอี ยู่.
พราหมณ์. ชน ๔ จาพวก เหลา่ ไหน? เมื่อวิง่ ยอ่ มไม่งาม แม่.
วิสาขา. พ่อทั้งหลาย
๗๑
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
๑) พระราชาผ้อู ภิเษกแล้ว ทรงประดับประดาแล้วด้วยเคร่อื งอาภรณท์ ้ังปวง เม่ือถกเขมรวิ่งไปใน
พระลานหลวง ย่อมไมง่ าม, ย่อมไดค้ วามครหาเป็นแนน่ อนวา่
'ทาไม พระราชาองคน์ ้จี ึงว่ิงเหมือนคฤหบดี' คอ่ ย ๆ เสดจ็ ไปนั่นแหละ จงึ จะงาม;
๒) แม้ชา้ งมงคลของพระราชา ประดับแล้ว วง่ิ ไป กไ็ มง่ าม, ต่อเมื่อเดินไปดว้ ยลลี าแห่งชา้ ง จึงจะ
งาม, ๓) บรรพชติ เมอ่ื ว่งิ กไ็ มง่ าม, ย่อมไดแ้ ต่ความครหาอย่างเดียวเทา่ นน้ั ว่า 'ทาไม สมณะรูปน้ี
จึงวง่ิ ไปเหมอื นคฤหัสถ,์ 'แตย่ ่อมงาม ดว้ ยการเดนิ อย่างอาการของผูส้ งบเสงี่ยม;
๔) สตรี เมอื่ วง่ิ ก็ไมง่ าม, ย่อมถกู เขาตเิ ตยี นอยา่ งเดยี ววา่ 'ทาไม หญิงคนน้ี จงึ วิง่ เหมือนผู้ชาย, '
แต่ยอ่ มงามด้วยการเดนิ อยา่ งธรรมดา; พอ่ ทั้งหลาย ชน๔ จาพวกเหลา่ นี้ เมื่อวิ่งไป ย่อมไม่งาม.
พราหมณ์ ก็เหตอุ น่ื อกี อยา่ งหนึ่ง เป็นไฉน? แม่.
วสิ าขา. พอ่ ทั้งหลาย ธรรมดามารดาบดิ า ถนอมอวัยวะน้อยใหญ่เลย้ี งดูธิดา, เพราะวา่
พวกฉัน ชือ่ ว่าเป็นสง่ิ ของอันมารดาบิดาพงึ ขาย,มารดาบดิ าเล้ียงฉันมา กเ็ พื่อตอ้ งการจะส่งไปสู่
ตระกลู อน่ื , ถ้าวา่ ในเวลาที่พวกฉนั วงิ่ ไป เหยียบชายผ้านุ่งหรอื ล่นื ลม้ ลงบนพื้นดิน มือหรอื เท้าก็
จะพงึ หัก, พวกฉันก็จะพึงเป็นภาระของตระกลู นนั่ แล, สว่ นเครอื่ งแต่งตัว เปียกแลว้ ก็จกั แหง้ ;
ดฉิ นั กาหนดเหตุนี้ จงึ ไม่วงิ่ ไป พ่อ.
ลูกสาวสามารถตดั สินใจเองได้ โดยดูแค่ตระกลู และคดิ วา่ เสมอกนั
ฝา่ ยพอ่ คดิ แล้ววา่ ๔๐ โกฎขิ องมิคารเศรษฐี เทา่ กับกากณกิ เดยี วของสมบตั ิตน
พราหมณ์สวมมาลยั ทองให้
พวกพราหมณ์เหน็ ความถึงพรอ้ มแห่งฟนั ในเวลานางพูด จงึ ใหส้ าธุการแกน่ างว่า
" สมบัติเช่นน้ี พวกเรายงั ไม่เคยเห็นเลย" แล้วกลา่ ววา่ " แม่ พวงมาลยั นี้ สมควรแก่เธอเท่าน้นั "
ดงั นแ้ี ลว้ จึงไดค้ ลอ้ งพวงมาลยั ทองนั้นให้. ลาดับนน้ั นางจึงถามพวกเขาวา่ " พ่อท้ังหลาย พวก
ท่านมาจากเมืองไหน?
พราหมณ์. จากเมอื งสาวัตถี แม่.
วิสาขา. ตระกลู เศรษฐี ชอื่ ไร?
พราหมณ์. ชอ่ื มคิ ารเศรษฐี แม่.
วสิ าขา. บตุ รของท่านเจ้าพระคุณ ชอ่ื ไร?
พราหมณ์. ชื่อปณุ ณวฒั นกุมาร แม่.
นางวสิ าขานน้ั รบั รองวา่ " ตระกลู ของเรา เสมอกนั " ดังนีแ้ ล้วจงึ ส่งขา่ วไปแกบ่ ดิ าวา่
๗๒
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
" ขอคณุ พอ่ และคุณแม่ จงสง่ รถไปให้พวกดฉิ นั . "ก็ในเวลามา นางเดินมากจ็ ริง, ถึงอยา่ งนน้ั
จาเดมิ แต่กาลทีป่ ระดับด้วยมาลยั ทองคาแลว้ ย่อมไม่ไดเ้ พ่ือจะไปเช่นน้ัน. เด็กหญงิ ท้ังหลายผ้มู ี
อสิ ระยอ่ มไปดว้ ยยานมีรถเปน็ ต้น, หญิงนอกนขี้ ้ึนยานธรรมดา (ไป), กนั้ ฉัตรหรอื ใบตาลข้างบน
, เมือ่ ฉัตรหรอื ใบตาล แม้นน้ั ไมม่ ี กย็ กชายผา้ น่งุ ขนึ้ มาพาดบนบ่าทเี ดยี ว, สว่ นบิดาของนาง
วิสาขานัน้ สง่ รถไป ๕๐๐ คนั . นางวสิ าขานั้นกับบริวารข้ึนรถไปแลว้ แม้พวกพราหมณ์ ก็ได้ไป
ดว้ ยกนั .
ทีนนั้ ทา่ นเศรษฐี ถามพราหมณ์เหล่านน้ั วา่ " พวกทา่ นมาจากไหน?"
พราหมณ์. มาจากเมอื งสาวัตถี ท่านมหาเศรษฐี.
เศรษฐี. เศรษฐชี อ่ื ไร?
พราหมณ์. ชอ่ื มิคารเศรษฐ.ี
เศรษฐี. บตุ รชอ่ื ไร?
พราหมณ์. ชอื่ ปุณณวฒั นกุมาร.
เศรษฐี. ทรพั ย์มีเท่าไร?
พราหมณ์. ๔๐ โกฏิ ทา่ นมหาเศรษฐี.
เศรษฐรี บั คา ดว้ ยคดิ วา่ " ทรพั ยเ์ ทา่ นนั้ ,เทียบทรัพยข์ องเรา ก็เทา่ กบั กากณกิ เดียว.
แตจ่ ะประโยชน์อะไรดว้ ยเหตอุ นื่ จาเดิมแต่กาลที่นางทาริกาไดเ้ หตุเพียงการรักษา. "
เศรษฐนี ั้น ทาสักการะแกพ่ ราหมณเ์ หลา่ น้ัน ใหพ้ ักอยวู่ ัน ๒ วัน แลว้ ก็สง่ กลับ.
พราหมณ์กลบั เมืองสาวตั ถี
พวกเขา ไปกรุงสาวัตถแี ลว้ เรียน (ท่านเศรษฐี) ว่า " พวกขา้ พเจา้ ได้นางทารกิ าแล้ว. "
เศรษฐี. ลูกสาวของใคร?
พราหมณ์. ของธนญชยั เศรษฐี.
เศรษฐีนั้น คดิ ว่า " นางทารกิ าแหง่ ตระกลู ใหญ่ อันเราได้แลว้ ,ควรที่เราจะนานางมาโดยเร็ว
ทเี ดยี ว" ดงั นแี้ ลว้ กราบทูลแด่พระราชาเพือ่ ไปในเมอื งน้ัน.
พระราชา ทรงดาริว่า " ตระกลู ใหญน่ นั่ อนั เรานามาจากสานกั ของพระเจา้ พมิ พสิ าร แลว้ ให้
อย่อู าศยั ในเมืองสาเกต, ควรจะทาความยกยอ่ งแกต่ ระกูลน้นั " ดังนี้แลว้ จงึ รับสัง่ ว่า " แม้เรา กจ็ กั
ไป."
๗๓
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
เศรษฐี ทูลวา่ " ดีละ พระเจา้ ขา้ " ดังนี้แลว้ ส่งข่าวไปบอกแกธ่ นญชยั เศรษฐีว่า " เม่อื ขา้ พเจา้
มา, แมพ้ ระราชาก็จกั เสด็จมา, พลของพระราชามาก, ทา่ นจักอาจเพือ่ ทากิจทคี่ วรทาแก่ชน
ประมาณเทา่ นน้ั หรอื จกั ไมอ่ าจ."
ฝ่ายเศรษฐีนอกนี้ ไดส้ ่งขา่ วตอบไปวา่ แมถ้ ้าพระราชาจะเสดจ็ มาสัก ๑๐ พระองค,์ ขอจง
เสดจ็ มาเถิด. " มิคารเศรษฐี เว้นเพียงคนเฝา้ เรอื น พาเอาคนท่ีเหลือในนครใหญถ่ งึ เพยี งน้ันไป
หยุดพกั ในหนทางกง่ึ โยชนแ์ ลว้ สง่ ขา่ วไปวา่ " พวกขา้ พเจ้ามาแลว้ . "
สตรีท่ีชาญฉลาดในการจดั การไมว่ ่าใครกต็ ามมางานแล้ว มีความสุขกลบั ไป
ธนญชัยเศรษฐกี ับธิดาจัดสถานทต่ี อ้ นรับ
ธนญชัยเศรษฐี สง่ เคร่อื งบรรณาการเปน็ อันมากไป แล้วปรกึ ษากบั ธิดาวา่ " แม่ ไดย้ นิ วา่ พอ่
ผวั ของเจา้ มากับพระเจ้าโกศล, เราควรจัดเรอื นหลงั ไหน สาหรับพอ่ ผวั ของเจา้ นัน้ , หลงั ไหน
สาหรับพระราชา,หลังไหน สาหรับอิสรชนมีอุปราชเป็นต้น. " เศรษฐธี ดิ าผู้ฉลาด มีญาณเฉียบ
แหลมดจุ ยอดเพชร ต้ังความปรารถนาไวต้ ลอดแสนกัป สมบรู ณแ์ ล้วด้วยอภนิ หิ าร จดั แจงว่า
" ทา่ นทงั้ หลายจงจดั แจงเรือนหลังโน้นเพื่อพ่อผวั ของเรา, หลงั โน้น เพือ่ พระราชา, หลงั โนน้
เพ่อื อปุ ราชเปน็ ต้น" ดงั นี้แล้ว ใหเ้ รยี กทาสและกรรมกรมา จดั การว่า " พวกท่านเทา่ นค้ี น จงทา
กจิ ทคี่ วรทาแกพ่ ระราชา, เทา่ น้คี น จงทากิจทีค่ วรทาแกอ่ ปุ ราชเป็นต้น. พวกทา่ นน่ันแล จงดูแล
แม้สตั วพ์ าหนะมีช้างและมา้ เปน็ ตน้ . แมค้ นผูกม้าเป็นต้น มาถงึ แลว้ จักไดช้ มมหรสพในงาน
มงคล. "
ถามว่า " เพราะเหตไุ ร? (นางจึงจดั อย่างนั้น). "
ตอบว่า " (เพราะ) คนบางพวก อยา่ ไดเ้ พ่ือพูดวา่ 'เราไปสู่ท่ีมงคลแหง่ นางวิสาขา ไมไ่ ด้อะไร
เลย. ทาแตก่ จิ มกี ารเฝา้ มา้ เป็นต้นไมไ่ ดเ้ ท่ยี วตามสบาย. "
เคร่อื งแต่งตัวนางวิสาขา ๔ เดอื นจึงแล้วเสร็จ
ในวนั น้ันแล บดิ าของนางวิสาขา ให้เรยี กชา่ งทองมา ๕๐๐ คนแล้ว กลา่ ววา่ " พวกทา่ นจงทา
เครอื่ งประดับ ชื่อมหาลดาประสาธน์แก่ธดิ าของเรา" ดังนี้แล้ว สั่งใหใ้ ห้ทองคามสี ีสกุ พันล่มิ และ
เงินแก้วมณี แก้วมุกดา แก้วประพาฬและเพชรเปน็ ต้น พอสมกบั ทองนนั้ .
พระราชา ประทบั อยู่ ๒-๓ วนั แลว้ ทรงส่งข่าวไปแก่ธนญชัยเศรษฐีวา่ " เศรษฐีไมส่ ามารถ
ทาการเลี้ยงดพู วกเราได,้ ขอเศรษฐีจงรกู้ าลไปแห่งนางทาริกาเถดิ . "
๗๔
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน
ฝา่ ยเศรษฐนี ั้น สง่ ขา่ วไปทูลพระราชาวา่ " บัดนี้ กาลฝนมาถึงแล้ว, ใคร ๆ ไม่อาจเพอื่ เทีย่ วไป
ตลอด ๔ เดอื นได้; การที่หมู่พลของพระองค์ ไดว้ ัตถใุ ด ๆ สมควร, วัตถนุ ัน้ ๆ ทั้งหมด เป็นภาระ
ของข้าพระองค์; พระองค์ผู้สมมติเทพจกั เสดจ็ ไปได้ในเวลาที่ขา้ พระองคส์ ง่ เสดจ็ . "
จาเดิมแต่กาลนน้ั นครสาเกต ไดเ้ ปน็ นครราวกะมีนักษัตรเป็นนติ ย์.
วตั ถุมพี วงดอกไม้ของหอมและผ้าเป็นตน้ เป็นของอันเศรษฐจี ัดแลว้ แกช่ นท้ังหมด ตงั้ ต้นแต่
พระราชาแล. ชนเหลา่ นัน้ คิดกนั ว่า " เศรษฐที าสักการะแกพ่ วกเราถา่ ยเดียว ๓ เดือนล่วงไปแลว้
โดยอาการอย่างนี้.สว่ นเครื่องประดบั ก็ยงั ไม่เสร็จกอ่ น. ผคู้ วบคมุ งานมาแจง้ แกเ่ ศรษฐวี า่
" สง่ิ อนื่ ท่ีชอ่ื วา่ ไมม่ ี ก็หาไม่, แตฟ่ ืนสาหรบั หงุ ตม้ ภตั เพ่ือหม่พู ล ไมพ่ อ."
เศรษฐี กลา่ วว่า " ไปเถิดพอ่ ทงั้ หลาย, พวกท่านจง (ร้ือ) ขนเอาโรงชา้ งเกา่ ๆ เปน็ ต้นและเรอื นเก่า
ในนครนี้หุงตม้ เถดิ . "
แม้เมื่อหุงตม้ อยู่อย่างนัน้ , กึง่ เดอื นล่วงไปแล้ว. ลาดบั น้ัน ผู้ควบคมุ งาน มาแจ้งแกท่ ่านเศรษฐี
อกี ครงั้ ว่า " ฟืนไมม่ ี. " เศรษฐกี ล่าววา่ " ใคร ๆ ไม่อาจไดฟ้ ืนในเวลาน,้ี พวกท่าน จงเปิดเรอื นคลงั
ผา้ ทัง้ หลายแล้วเอาผา้ เนื้อหยาบ ทาเกลยี วชุบลงในต่มุ น้ามันหุงภตั เกิด. " ชนเหลา่ นนั้ ได้ทาอยา่ ง
น้นั ตลอดกึ่งเดือน. ๔ เดอื นล่วงไปแลว้ โดยอาการอย่างน้ี.แม้เคร่อื งประดับก็เสรจ็ แล้ว.
เครอื่ งประกอบในมหาลดาประสาธน์
เพชร ๔ ทะนาน ได้ถงึ อันประกอบเขา้ ในเครื่องประดับนัน้ ,แก้วมกุ ดา ๑๑ ทะนาน,
แก้วประพาฬ ๒๐ ทะนาน, แก้วมณี ๓๓ทะนาน. เครอ่ื งประดับน้ัน ได้ถึงความสาเร็จ
ด้วยรัตนะเหล่านแ้ี ละเหลา่ อนื่ ด้วยประการฉะน้ี. เครอ่ื งประดับไม่สาเร็จดว้ ยดา้ ย,
การงานทีท่ าดว้ ยดา้ ย เขาทาแล้วด้วยเงนิ . เครอื่ งประดับนน้ั สวมทีศ่ ีรษะแล้วย่อมจดหลงั เทา้ .
ลูกดมุ ที่เขาประกอบทาเปน็ แหวนในทน่ี ้ัน ๆ ทาดว้ ยทอง, หว่ งทาด้วยเงิน, แหวนวงหนึ่ง ท่ี
ท่ามกลางกระหม่อม, หลงั หูท้ังสอง ๒ วง,ทห่ี ลุมคอ ๑ วง. ที่เขา่ ทั้งสอง ๒ วง, ทข่ี ้อศอกทงั้ สอง
๒ วง, ทขี่ า้ งสะเอวทั้งสอง ๒ วง ดังนี้. กใ็ นเครื่องประดับนนั้ แล เขาทานกยูงตวั หน่งึ ไว้.
ขนปีกทาด้วยทอง ๕๐๐ ขน ได้มที ีป่ กี เบ้ืองขวาแห่งนกยงู นัน้ , ๕๐๐ ขนไดม้ ที ่ปี กี เบ้ืองซา้ ย,
จะงอยปาก ทาด้วยแกว้ ประพาฬ, นัยนต์ าทาดว้ ยแกว้ มณ,ี คอและแววหางก็เหมอื นกนั ,
ก้านขนทาดว้ ยเงนิ , ขากเ็ หมือนกัน. นกยงู น้ัน สถติ อยูท่ ่ามกลางกระหมอ่ มแหง่ นางวสิ าขา
ปรากฏประหนงึ่ นกยูงยืนราแพนอยู่บนยอดเขา. เสยี งแหง่ ก้านขนปีกพนั หนง่ึ เป็นไปประหน่งึ
ทิพยสงั คตี และประหน่ึงเสยี งกึกกอ้ งแห่งดนตรีประกอบดว้ ยองค์ ๕. ชนท้งั หลายผู้เข้าไปส่ทู ่ี
๗๕
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน
ใกลเ้ ทา่ นัน้ ย่อมทราบวา่ นกยงู น้ันไมใ่ ช่นกยงู (จรงิ ). เครอ่ื งประดบั มีค่า ๙ โกฏ.ิ ท่านเศรษฐีให้
คา่ หตั ถกรรม (คา่ บาเหน็จ) แสนหนง่ึ .
ผลจากการถวายจีวร ถ้าเปน็ หญิงจะได้เครอื่ งมหาลดาประสาธน์
(ถึงทีส่ ุด) ถา้ เป็นชายจะได้บาตรและจวี รสาเร็จด้วยฤทธิ์
หญิงถวายจวี รย่อมไดม้ หาลดาประสาธน์
ถามวา่ " ก็เครือ่ งประดบั น่ัน อันนางวิสาขานั้นไดแ้ ลว้ เพราะผลแหง่ กรรมอะไร?"
แกว้ า่ " ไดย้ นิ วา่ ในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจา้ นางถวายจวี รสาฎก แกภ่ กิ ษุ
๒ หมน่ื รปู แลว้ ไดถ้ วายดา้ ยบา้ ง เข็มบา้ งเคร่ืองยอ้ มบา้ ง ซ่งึ เปน็ ของตนน่นั เอง นางไดแ้ ล้วซ่ึง
เครอ่ื งประดับนี้เพราะผลแหง่ จีวรทานน้นั . กจ็ วี รทานของหญิงท้ังหลาย ยอ่ มถงึ ท่สี ดุ ดว้ ย
เครอื่ งประดับช่ือมหาลดาประสาธน์, จวี รทานของบุรุษทั้งหลาย ย่อมถงึ ทสี่ ุดด้วยบาตรและจีวร
อันสาเรจ็ แลว้ ดว้ ยฤทธิ์. "เศรษฐจี ดั ไทยธรรมให้นางวิสาขา
มหาเศรษฐี ทาการตระเตรียม เพ่อื ธิดาโดย ๔ เดอื นอยา่ งนั้นแลว้ เมื่อจะให้ไทยธรรมแกธ่ ดิ า
นน้ั ไดใ้ ห้เกวยี นเตม็ ด้วยกหาปณะ ๕๐๐เลม่ , ได้ให้เกวียนเต็มด้วยภาชนะทองคา ๕๐๐ เล่ม,
เต็มดว้ ยภาชนะเงิน๕๐๐ เลม่ , เต็มด้วยภาชนะทองแดง ๕๐๐ เล่ม, เตม็ ดว้ ยภาชนะสารดิ ๕๐๐ เล่ม
, เต็มดว้ ยผ้าด้ายผา้ ไหม ๕๐๐ เลม่ , เต็มด้วยเนยใส ๕๐๐ เลม่ ,เตม็ ดว้ ยน้ามัน ๕๐๐ เล่ม,
เต็มดว้ ยน้าอ้อย ๕๐๐ เลม่ , เตม็ ดว้ ยขา้ วสารแหง่ ข้าวสาลี ๕๐๐ เลม่ , เต็มด้วยเครื่องอปุ กรณ์
มไี ถและผาลเปน็ ต้น๕๐๐ เล่ม.
ได้ยนิ ว่า ความคดิ อย่างน้ีได้มแี กม่ หาเศรษฐีนั้นว่า " ในทแี่ ห่งธิดาของเราไปแลว้ นางอยา่ ได้
ส่งคนไปส่ปู ระตูเรือนของคนอื่นว่า " เราต้องการด้วยวัตถุช่อื โน้น;" เพราะฉะนน้ั มหาเศรษฐจี ึง
ได้สง่ั ให้ให้เครื่องอปุ กรณท์ กุ ส่งิ (แกธ่ ดิ าของตน). มหาเศรษฐไี ดใ้ หร้ ถ ๕๐๐ คัน ตงั้ นางสาวใช้
รูปงามผูป้ ระดับด้วยเครือ่ งอลงั การพร้อมสรรพ ไว้บนรถคันละ๓ คน ๆ , ไดใ้ หน้ างปรจิ าริกา
๑,๕๐๐ คน ด้วยสง่ั วา่ " พวกเจา้ เทา่ นคี้ นจงให้ธดิ าของเราอาบ เทา่ นคี้ นใหบ้ รโิ ภค เท่านคี้ น
แต่งตัว เท่ยี วไป. "
ครัง้ นัน้ มหาเศรษฐไี ด้มคี วามคดิ อยา่ งนว้ี ่า " เราจกั ใหโ้ คแกธ่ ดิ าของเรา. " ท่านส่ังบรุ ษุ ว่า"
พนาย พวกทา่ นจงไป, จงเปดิ ประตคู อกน้อยแล้ว ยนื ถือกลอง ๓ ใบ อยู่ในที่ ๓ คาวุต, ยืนอยทู่ ี่
ขา้ งทัง้ สองในท่ีประมาณ ๑ อุสภะ โดยส่วนกว้าง, ถดั จากน้ันจงอยา่ ให้แม่โคทั้งหลายไป
ท่อี ืน่ , พึงตกี ลองสัญญาในเวลาแมโ่ คหยดุ แลว้ อยา่ งน้ี. " บุรุษเหลา่ นนั้ ได้ทาอย่างนน้ั แล้ว.
๗๖
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
เวลาแม่โคออกจากคอกได้ ๑ คาวุต พวกเขาได้ตีกลองสัญญาขนึ้ , ในเวลาแมโ่ คไปได้กง่ึ โยชน์
ได้ตีกลองสญั ญาอีก, แต่ในเวลาแม่โคไปได้ ๓ คาวตุ พวกเขาได้หา้ มการไปโดยสว่ นกวา้ งอีก
แม่โคท้ังหลายได้ยนื เบยี ดกนั และกนั ในทย่ี าวประมาณ ๓ คาวุต กวา้ งประมาณ๑ อสุ ภะ ด้วย
ประการอย่างน้ี.
มหาเศรษฐสี ่งั ใหป้ ิดประตคู อก ดว้ ยคาวา่ " โคเทา่ น้ี พอแล้วแกธ่ ิดาของขา้ พเจา้ , พวกเจ้าจง
ปิดประตเู ถิด. " เม่อื เขาปดิ ประตคู อกแล้ว, เพราะผลบุญของนางวิสาขา โคตวั มีกาลังและแม่โค
นมทงั้ หลายก็กระโดดออกไปแลว้ . เมอ่ื พวกมนษุ ย์หา้ มอยนู่ ่นั แล, โคตวั มีกาลงั ๖ หม่ืนตวั และ
แมโ่ คนม ๖ หมืน่ ตัว ออกแล้ว, (และ) ลูกโคตัวมกี าลงั มีจานวนเท่านัน้ ก็ออกไปแล้ว, พวกโค
อสุ ภะของแมน่ มเหลา่ นนั้ ก็ไดต้ ดิ ตามไปแล้ว.
ผลทานจากการถวายเบญจโครสแกภ่ กิ ษุ ๒ หม่ืนรูป แม้ภิกษุ สามเณรห้ามแล้ว
ถามวา่ " กโ็ คทั้งหลายไปแลว้ อย่างนน้ั เพราะผลแหง่ กรรมอะไร?"
แกว้ า่ " เพราะผลแห่งทานทน่ี างวสิ าขาถวายแล้วแกภ่ กิ ษุหนุม่ และสามเณรผหู้ า้ มอยู่ ๆ. "
ไดย้ ินว่า ในกาลแหง่ พระกัสสปสมั มาสมั พุทธเจา้ นางเป็นน้องสดุ ท้องของธิดาทั้ง ๗ ของ
พระเจา้ กกิ ิ มพี ระนามวา่ สงั ฆทาสี เม่อื ถวายเบญจโครสทานแกภ่ กิ ษุ ๒ หมนื่ รปู แมเ้ มื่อภกิ ษหุ นมุ่
และสามเณรปดิ บาตรหา้ มอยู่วา่ " พอ พอ" กย็ ังรบั ส่ังวา่ " นอี่ ร่อย น่ีนา่ ฉัน"แลว้ ได้ถวาย (อกี ).
เพราะผลแห่งกรรมนั้น โคเหลา่ นนั้ แมเ้ ขาห้ามอยู่ ก็ออกไปแล้วอยา่ งน้ัน.
ในเวลาทเี่ ศรษฐใี ห้ทรพั ยเ์ ทา่ นี้ (แกธ่ ิดา) แล้ว ภริยาของเศรษฐีได้พูดวา่ " ทกุ ส่ิงอนั ทา่ น
จัดแจงแล้วแกธ่ ดิ าของเรา, แตค่ นใช้บา้ นสว่ ย ๑๔ ตาบลอันเป็นของตน เทา่ อนรุ าธบรุ ี รอบเมือง
สาเกตว่า" ชนผอู้ ยากไปกบั ธดิ าของเรา กจ็ งไป. "
ชาวบ้าน ๑๔ ตาบลพอได้ยนิ เสยี ง จึงออกไปไม่เหลอื ใคร ๆ เลยดว้ ยคิดวา่ " จกั มปี ระโยชน์
อะไรแกพ่ วกเราในที่นี้ ในเวลาท่แี มเ่ จ้าของเราไปเสีย. " ฝ่ายธนญชยั เศรษฐี ทาสักการะแด่
พระราชาและมิคารเศรษฐแี ล้ว กต็ ามไปส่งธดิ ากับคนเหลา่ นน้ั หนอ่ ยหน่ึง.
มคิ ารเศรษฐี นงั่ ในยานน้อยไปขา้ งหลงั ยานท้ังหมด เหน็ หมพู่ ลแล้ว จงึ ถามวา่ " นั่นพวก
ไหน?"
พวกคนใช้. ทาสหญงิ ทาสชาย ผูร้ ับใช้ของหญิงสะใภ้ของทา่ น.
มิคารเศรษฐี. ใครจกั เลีย้ งดูคนจานวนเทา่ น้ันได้; พวกท่านจงโบยคนพวกน้นั แล้วไลใ่ หห้ นี
ไป, จงฉดุ พวกที่ไม่หนีออกจากที่น้ี.
๗๗
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
แตน่ างวิสาขากล่าววา่ " หลกี ไป, อยา่ หา้ ม, พลน่ันแล จักให้ภตั แกพ่ ล. "
แมเ้ ม่อื นางกลา่ วอย่างนน้ั , เศรษฐกี ย็ งั กลา่ ววา่ " แม่ เราไมม่ ีความต้องการดว้ ยชนเหลา่ น้นั ,
ใครจักเลีย้ งคนเหลา่ น้ไี ด้" ดังนแ้ี ลว้ จงึ ให้โบยดว้ ยกอ้ นดนิ และทอ่ นไม้เป็นต้น ไล่ใหห้ นีไปแล้ว
พาพวกท่ีเหลือไป ดว้ ยคดิ ว่า " เราพอละ ด้วยคนจานวนเท่าน้ี. "
นางวสิ าขาถงึ กรุงสาวตั ถี
ครน้ั เวลาถึงประตนู ครสาวตั ถี นางวิสาขาคดิ ว่า " เราจกั นง่ั ในยานทปี่ กปิดเข้าไปหรอื หนอ?
หรอื จะยนื บนรถเข้าไป. " ทีนัน้ นางได้ตกลงใจอยา่ งน้ีว่า " เม่ือเราเขา้ ไปดว้ ยยานทป่ี กปิด,
ความวเิ ศษแห่งเคร่อื งประดบั ช่ือมหาลดาประสาธน์จักไม่ปรากฏ. "
นางยืนบนรถแสดงตนแก่ชาวนครทงั้ ส้นิ เข้าไปสู่นครแลว้ . ชาวกรงุ สาวัตถี เหน็ สมบัตขิ อง
นางวสิ าขาแล้ว จงึ พูดกันว่า " นยั วา่ หญิงน่ันชอื่ วิสาขา, สมบัตเิ ห็นปานน้ี นีส้ มควรแก่นางแท้. "
นางวิสาขาน้นั เข้าไปสูเ่ รือนของเศรษฐี ดว้ ยสมบตั ิมาก ดว้ ยประการฉะนี้. กใ็ นวนั ทน่ี าง
มาถงึ ชาวนครท้ังสนิ้ ไดส้ ่งบรรณาการไปตามกาลงั ดว้ ยคิดวา่ " ธนญชยั เศรษฐี ได้ทาสักการะ
มากมายแกพ่ วกเราผ้ถู งึ นครของตน. " นางวสิ าขาไดใ้ ห้ให้บรรณาการทีเ่ ขาส่งมาแล้ว ๆ(ทา) ให้
เป็นประโยชน์ทุกอยา่ ง ในตระกูลอน่ื ๆ ในนครนน้ั น่ันแหละ.
นางวิสาขาเจรจาไพเราะ
นางกลา่ วถอ้ ยคาเป็นที่รัก เหมาะแกว่ ยั ของคนเหลา่ นั้น ๆ ว่า" ท่านจงใหส้ ่ิงนแี้ กค่ ณุ แม่ของ
ฉนั , จงใหส้ ิง่ นี้แกค่ ุณพ่อของฉนั , จงให้สง่ิ น้แี กพ่ ่ีชายนอ้ งชายของฉนั , จงใหส้ งิ่ นี้แกพ่ ส่ี าว
น้องสาวของฉนั "ดงั นแ้ี ล้ว สง่ บรรณาการไป, ไดท้ าชาวนครท้ังหมดให้เปน็ เหมอื นพวก
ญาติ ด้วยประการฉะน้ี.
ตอ่ มาในระหวา่ งตอนกลางคนื นางลาตวั เป็นแม่ม้าอาชาไนยของนางไดต้ กลูก. นางใหพ้ วก
ทาสีถอื ประทปี ดา้ มไปในทนี่ ้ันแล้ว ยงั นางลาให้อาบด้วยน้าอนุ่ ใหท้ าด้วยน้ามัน แลว้ ไดไ้ ปสทู่ ่ี
อยูข่ องตนตามเดมิ .
มคิ ารเศรษฐี เมื่อทาอาวาหมงคลของบุตร หาได้คานึงถึงพระตถาคต แมป้ ระทบั อยใู่ นวิหาร
ใกล้ไม่ อันความรกั ทต่ี ั้งอยู่เฉพาะในพวกสมณะเปลอื ยส้นิ กาลนาน เตอื นอยู่ คิดว่า " เราจกั ทา
สกั การะแม้แก่พระผู้เปน็ เจา้ ของเรา" ดังนแี้ ล้ว วันหนงึ่ ให้คนหงุ ข้าวปายาสข้นบรรจุในภาชนะ
ใหม่ หลายรอ้ ยสารบั ใหน้ มิ นต์พวกอเจลกะ7 ๕๐๐คน เชญิ เข้าไปในเรอื นแล้ว จงึ ส่งข่าวแกน่ าง
วสิ าขาวา่ " สะใภข้ องฉันจงมา, ไหวพ้ ระอรหนั ตท์ งั้ หลาย. "
7อเจลกะ คนผู้ถือลทั ธิเปลอื ยกาย.
๗๘
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
นางวสิ าขาตาหนิพ่อผัว
นางเปน็ อริยสาวกิ าผู้โสดาบัน [พอ] ได้ยินคาวา่ " อรหันต"์ กเ็ ปน็ ผรู้ า่ เริงยนิ ดี มาสทู่ ี่บรโิ ภค
แหง่ อเจลกะเหล่าน้ัน แลดูอเจลกะเหล่าน้ันแลว้ คดิ วา่ " ผ้เู วน้ จากหิรโิ อตตปั ปะเห็นปานน้ี ย่อม
ชอ่ื วา่ พระอรหนั ตไ์ ม่ได้, เหตุไร พ่อผวั จงึ ให้เรียกเรามา?" ตเิ ตียนเศรษฐแี ล้ว ก็ไปท่อี ยูข่ องตน
ตามเดมิ .
พวกอเจลกะเหน็ อาการของนางวสิ าขานัน้ แลว้ จึงตเิ ตียนเศรษฐีโดยเป็นเสยี งเดยี วกนั ทั้งหมด
วา่ " คฤหบดี ทา่ นไม่ไดห้ ญิงอื่นแล้วหรอื จึงให้สาวกิ าของสมณโคดมซงึ่ เปน็ นางกาลกิณีตวั
สาคัญเข้ามาในที่นี้?จงให้ขับไล่นางออกจากเรอื นนโี้ ดยเร็ว. " เศรษฐนี ัน้ คิดวา่ " เราไม่
อาจให้ขับไล่ออกไป ดว้ ยเหตุเพยี งถอ้ ยคาของท่านเหล่าน้ีเทา่ นัน้ , นางเป็นธิดาของสกลุ ใหญ่"
ดงั นีแ้ ล้ว จึงกลา่ ววา่ " พระผูเ้ ป็นเจา้ ทง้ั หลายธรรมดาเด็ก รบู้ ้างไมร่ ้บู า้ ง พึงทา, ทา่ นทั้งหลายน่ิง
เสียเถดิ " ส่งอเจลกะเหลา่ นัน้ ไปแลว้ น่งั บนอาสนะมคี า่ มาก บรโิ ภคขา้ วมธปุ ายาสมีน้าน้อยใน
ถาดทองคา.
ในสมัยน้ัน พระเถระผู้ถอื การเทย่ี วบณิ ฑบาตเปน็ วัตรรปู หน่ึงกาลงั เทย่ี วบิณฑบาต ได้เขา้
ไปส่เู รอื นหลงั น้ันแล้ว. นางวสิ าขายนื พัดพอ่ ผวั อยู่ เห็นพระเถระรูปนั้นว่า คดิ ว่า " การบอกพอ่
ผัวไม่ควร, "จงึ ได้เลยี่ งออกไปยืนโดยอาการท่พี ่อผวั นน้ั จะเห็นพระเถระได้. แตเ่ ศรษฐีนั้นเป็น
พาล แม้เหน็ พระเถระ กแ็ กล้งทาเปน็ เหมือนไมเ่ ห็น ก้มหน้าบรโิ ภคอยนู่ ่นั เอง.
นางวิสาขาติพ่อผัววา่ บรโิ ภคของเกา่
นางวสิ าขารวู้ า่ " พอ่ ผวั ของเราแมเ้ ห็นพระเถระ ก็ไมเ่ อาใจใส่"จึงกล่าววา่ " นมิ นต์ไป
ขา้ งหน้าเถดิ เจ้าข้า, พ่อผวั ของดิฉันกาลงั บริโภคของเกา่ . " เศรษฐีน้นั แมอ้ ดกล้ันไดใ้ นเวลาที่
พวกนคิ รนถบ์ อก (แต)่ ในขณะที่นางวสิ าขากลา่ ววา่ " บรโิ ภคของเก่า" นน่ั เอง กว็ างมอื
กลา่ ววา่ " ท่านทั้งหลายจงนาขา้ วปายาสน้ไี ปเสยี จากท่นี ่ี, จงขับไลน่ างนน่ั ออกจากเรือนน้ี,
นางคนน้ีทาให้เราเปน็ ผู้ช่อื ว่าเคี้ยวกินของไม่สะอาดในกาลมงคลเชน่ นี้. "
กแ็ ลทาสและกรรมกรทงั้ หมดในเรือนน้ัน ล้วนเป็นคนของนางวิสาขา จงึ ไม่อาจจะเข้าใกล้,
ใครจักจับนางทีม่ อื หรือที่เทา้ , แม้ผ้สู ามารถกลา่ วด้วยปากก็ไมม่ ี.
นางวิสาขาฟงั คาของพอ่ ผัวแลว้ กลา่ ววา่ " คุณพ่อ ดฉิ ันจะไมอ่ อกไปด้วยเหตเุ พียงเท่านี้
คณุ พ่อมิได้นาดฉิ นั มา เหมอื นนานางกุมภทาสมี าแต่ทา่ นา้ ธรรมดาธิดาของมารดาบดิ าผยู้ ังมชี วี ติ
อยู่ จะไม่ออกไปดว้ ยเหตุเพียงเทา่ น้ี; เพราะเหตุน้ันแล ในเวลาจะมาทีน่ ้ี คณุ พ่อของดฉิ ันจงึ ได้
๗๙
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน
เรยี กกุฎมุ พี ๘ คนมา พดู วา่ 'ถา้ โทษเกดิ ข้ึนแกธ่ ดิ าของเรา'ดังนีแ้ ลว้ ก็มอบดิฉนั ไว้ในมอื ของ
กฎุ ุมพเี หลา่ นัน้ คุณพอ่ จงใหเ้ รียกทา่ นเหลา่ น้ันมาแลว้ ให้ชาระโทษของดิฉัน. "
เศรษฐคี ดิ วา่ " นางวสิ าขาน้ี พูดดี" จงึ ใหเ้ รียกกฎุ มุ พีทง้ั ๘มาแล้วบอกว่า " นางทาริกาน้ี ว่าฉัน
ผ้นู ัง่ รับประทานข้าวปายาสมีนา้ ข้นในถาดทอง ในเวลามงคลว่า 'ผกู้ นิ ของไม่สะอาด, ' พวกท่าน
ยกโทษนางวสิ าขานี้ขน้ึ แล้ว จงครา่ นางนอ้ี อกจากเรอื นนี้."
กุฎมุ พี. ทราบวา่ อยา่ งนนั้ หรอื ? แม.่
วสิ าขา. ฉันไม่ไดพ้ ดู อยา่ งนน้ั , แตเ่ มื่อพระเถระผูถ้ ือการเทยี่ วบณิ ฑบาตเปน็ วตั รรูปหนง่ึ ยืน
อยทู่ ี่ประตูเรือน, พ่อผวั ของฉนั กาลงั รบั ประทานข้าวมธุปายาสมนี า้ นอ้ ย ไมใ่ สใ่ จถึงพระเถระ
น้ัน, ฉันคิดวา่ 'พอ่ ผัวของเรา ไมท่ าบุญในอัตภาพนี้, บริโภคแต่บญุ เก่าเท่าน้นั , จึงได้พูดวา่ 'นิมนต์
ไปข้างหน้าเถดิ เจา้ ข้า, พ่อผัวของดฉิ ัน กาลงั บริโภคของเก่า, ' โทษอะไรของดฉิ ันจะมีในเพราะ
เหตนุ ีเ้ ลา่ ?
กฎุ มุ พี. ท่าน โทษในเพราะเหตนุ ี้ มิได้มี, ธิดาของข้าพเจ้ากลา่ วชอบ, เหตุไร ท่านจงึ โกรธ?
เศรษฐี. ทา่ นทัง้ หลาย โทษอนั นี้ เปน็ อันพ้นไปก่อน, แตว่ ันหน่ึง ในมชั ฌมิ ยาม นางวสิ าขานี้
อนั คนใช้ชายหญิงแวดล้อมแลว้ ได้ไปหลงั เรอื น.
กฎุ มุ พี. ทราบว่า อย่างนั้นหรือ? แม่.
วสิ าขา. พ่อทัง้ หลาย ดฉิ ันไม่ไดไ้ ปเพราะเหตุอืน่ , ก็เม่อื นางลาแม่ม้าอาชาไนยตกลกู แลว้ ใกล้
เรือนน้ี ดฉิ นั คดิ วา่ 'การทีน่ ง่ั เฉยไมเ่ อาเปน็ ธุระเสยี เลย ไมส่ มควร' จึงให้คนถือประทีปด้ามไปกับ
พวกหญิงคนใช้ ให้ทาการบรหิ ารแก่แม่ลาทต่ี กลกู แล้ว, ในเพราะเหตุนี้ ดฉิ ันจะมโี ทษอะไร?
กฎุ มุ พี. ทา่ น ธิดาของพวกขา้ พเจา้ ทากรรมแม้พวกหญงิ คนใช้ไมพ่ ึงทาในเรอื นของทา่ น,
ท่านยงั เห็นโทษอะไร ในเพราะเหตนุ ้ี?
เศรษฐี. ทา่ นทัง้ หลาย แมใ้ นเรอื่ งนี้ จะไม่มโี ทษ กช็ ่างเถอะ,แตว่ ่า บดิ าของนางวิสาขาน้ี
เม่ือกล่าวสอนนางวิสาขาน้ี ในเวลาจะมาท่นี ี้ ไดใ้ หโ้ อวาท ๑๐ ขอ้ ซง่ึ ลีล้ บั ปิดบงั , เราไม่ทราบ
เนอื้ ความแห่งโอวาทน้นั , นางจงบอกเน้อื ความแห่งโอวาทนน้ั แกเ่ รา; ก็บดิ าของนางนี้ได้บอกวา่
'ไฟในไม่พงึ นาออกไปภายนอก' พวกเราอาจหรือหนอ?เพือ่ จะไมใ่ ห้ไฟแก่เรือนคุน้ เคยทั้งสอง
ฝา่ ยแลว้ อยู่ได้."
๘๐
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
นางวิสาขาชนะความพ่อผัว
กุฎมุ พี. ทราบว่าอย่างนัน้ หรือ? แม่.
วิสาขา. พ่อทั้งหลาย คุณพ่อของดฉิ ันมิไดพ้ ดู หมายความดงั นน้ั ,แตไ่ ด้พูดหมายความดังนวี้ า่
๑) 'แม่ เจ้าเหน็ โทษของแม่ผวั พอ่ ผวั และสามขี องเจา้ แลว้ อย่าเฝา้ กลา่ ว ณ ภายนอกคอื ในเรอื นนนั้
ๆ , เพราะว่าข้นึ ชอ่ื วา่ ไฟ เชน่ กับไฟชนิดนี้ ย่อมไม่มี.
เศรษฐี. ทา่ นท้งั หลาย ขอ้ นน้ั ยกไวก้ อ่ น, ก็บดิ าของนางวสิ าขานกี้ ลา่ ววา่ 'ไฟแตภ่ ายนอก ไม่
พงึ ให้เข้าไปภายใน, พวกเราอาจเพือ่ จะไมไ่ ปนาไฟมาจากภายนอกหรือ? ในเมื่อไฟใน (เรอื น)
ดบั .
กุฎมุ พี. ทราบว่าอยา่ งน้นั หรือ? แม.่
วิสาขา. พอ่ ทงั้ หลาย คณุ พ่อของดิฉัน ไม่ไดพ้ ูดหมายความดังนัน้ แต่ได้พูดหมายความดงั นีว้ ่า๒)
'ถ้าหญิงหรอื ชายท้ังหลาย ในบา้ นใกลเ้ รอื นเคียงของเจ้า พดู ถึงโทษของแม่ผวั พ่อผวั และสามี, เจา้
อยา่ นาเอาคาที่ชนพวกนนั้ พดู แล้ว มาพดู อกี วา่ 'คนชื่อโน้นพูดยกโทษอยา่ งนขี้ องท่านทั้งหลาย'
เพราะข้ึนชอ่ื วา่ ไฟ เชน่ กับไฟน่นั ย่อมไมม่ ี.
นางวิสาขาได้พ้นโทษ เพราะเหตนุ ้อี ยา่ งนี้. ก็นางพ้นโทษในเพราะเหตุนี้ฉันใด, แม้ในคาที่
เหลอื นางก็ไดพ้ ้นโทษฉันนั้น (เหมอื นกนั ).
อรรถาธิบายข้อโอวาทอื่น
กใ็ นโอวาทเหลา่ น้นั พึงทราบอธิบายดงั น้ี :-
กค็ าทบี่ ดิ าของนางสอนว่า
" ๓) แม่ เจ้าควรให้แก่ชนทง้ั หลายทีใ่ หเ้ ท่าน้ัน" เศรษฐีกล่าวหมายเอา [เน้ือความน้ี] วา่ " ควรให้
แก่คนทีถ่ อื เคร่อื งอุปกรณท์ ย่ี มื ไปแลว้ ส่งคืนเท่านน้ั . "
๔) แม้คาวา่ " ไมค่ วรให้แกค่ นท่ไี ม่ให้" น้ี เศรษฐีกลา่ วหมายความวา่ " ไม่ควรให้แก่ผทู้ ีถ่ อื เอา
เครอ่ื งอุปกรณ์ทย่ี มื ไปแล้ว ไมส่ ง่ คนื . "
๕) กแ็ ลคาวา่ " ควรใหแ้ ก่คนท้ังท่ีให้ทัง้ ท่ีไม่ให้" น้ี เศรษฐีกลา่ วหมายความวา่ " เม่อื ญาตแิ ละมิตร
ยากจนมาถงึ แลว้ , ชนเหลา่ นนั้ อาจจะใชค้ นื หรอื ไมอ่ าจก็ตาม, ใหแ้ ก่ญาติและมติ รเหลา่ นั้นนั่น
แหละ ควร. "
๖) แมค้ าวา่ " พงึ นง่ั เปน็ สุข" นี้ เศรษฐีกล่าวหมายความว่า " การนัง่ ในที่ ๆ เห็นแม่ผวั พ่อผัวและ
สามแี ลว้ ต้องลกุ ข้ึน ไม่ควร. "
๘๑
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
๗) สว่ นคาว่า " พงึ บริโภคเปน็ สขุ " น้ี เศรษฐีกล่าวหมายความว่า " การไมบ่ ริโภคก่อนแมผ่ ัวพอ่
ผวั และสามี เล้ียงดูท่านเหลา่ นน้ั รสู้ ่ิงท่ีท่านเหล่าน้ัน ทุก ๆ คนได้แล้วหรือยังไมไ่ ด้ แลว้ ตนเอง
บรโิ ภคทหี ลัง จงึ ควร. "
๘) แมค้ าวา่ " พงึ นอนเปน็ สุข" นี้ โอวาท ๑๐
เศรษฐีกลา่ วหมายความวา่ ๑)ไฟในไมพ่ งึ นาออกไปภายนอก
" ไม่พึงขึน้ ทน่ี อน นอนก่อนแม่ผัวพอ่ ผัวและสามี, ๒)ไฟแตภ่ ายนอก ไม่พงึ ใหเ้ ขา้ ไปภายใน
ควรทาวตั รปฏิบตั ทิ ต่ี นควรทาแก่ท่านเหล่านั้นแลว้ ๓) ควรให้แกช่ นทั้งหลายทใ่ี หเ้ ท่าน้ัน
ตนเองนอนทหี ลงั จึงควร. " ๔) ไมค่ วรให้แกค่ นท่ไี มใ่ ห้
๙) และคาวา่ " พึงบาเรอไฟ" น้ี ๕) ควรให้แกค่ นท้งั ทใี่ ห้ทั้งท่ไี ม่ให้
เศรษฐกี ล่าวหมายความวา่ ๖)พงึ นั่งเป็นสขุ
" การเห็นทง้ั แม่ผวั พอ่ ผัวทงั้ สามี ให้เปน็ เหมือน ๗) พงึ บรโิ ภคเปน็ สุข
กองไฟและเหมอื นพระยานาค จงึ ควร. " ๘) พงึ นอนเป็นสุข
๑๐) แมค้ าวา่ " พึงนอบนอ้ มเทวดาภายใน" นี้ ๙) พึงบาเรอไฟ
เศรษฐีกล่าวหมายความวา่ " การเห็นแม่ผัวพ่อผวั ๑๐) พึงนอบน้อมเทวดาภายใน
และสามี ให้เป็นเหมอื นเทวดาจงึ สมควร. "
เศรษฐไี ด้ฟังเน้อื ความแหง่ โอวาท ๑๐ ข้อน้ี อยา่ งน้ันแล้ว ไมเ่ ห็นคาโตเ้ ถียง ได้น่งั กม้ หน้า
แลว้ .
ครั้งนัน้ กุฎมุ พที ัง้ หลาย ถามเศรษฐนี ั้นว่า " ทา่ นเศรษฐี โทษแมอ้ ยา่ งอ่นื แหง่ ธดิ าของพวก
ขา้ พเจ้า ยังมอี ยู่หรือ?"
เศรษฐี. ไมม่ ีดอก ทา่ น.
กุฎมุ พี. เมื่อเปน็ เช่นน้นั เหตุไร ทา่ นจงึ ให้ขบั ไล่ นางผู้ไม่มีความผิด ออกจากเรือน โดยไมม่ ี
เหตุเล่า?
มคิ ารเศรษฐีขอโทษนางวิสาขา
เมอื่ กฎุ ุมพที ั้งหลาย พูดอย่างนั้นแล้ว, นางวิสาขาได้พดู วา่ " พ่อทัง้ หลาย การที่ดิฉันไปกอ่ น
ตามคาของพ่อผวั ไม่สมควรเลย กจ็ ริง,แตใ่ นเวลาจะมา คณุ พ่อของดฉิ ัน ได้มอบดฉิ นั ไว้ในมอื
ของพวกทา่ นเพ่ือตอ้ งการชาระโทษของดิฉัน, กค็ วามท่ีดิฉันไมม่ ีโทษ ทา่ นทง้ั หลายทราบแล้ว,
บดั นี้ ดฉิ นั ควรไปได"้ ดังนแี้ ล้ว จงึ สงั่ คนใช้หญงิ ชายทัง้ หลายวา่ " พวกเจา้ จงให้ชว่ ยกันจัดแจง
พาหนะ มียานเปน็ ตน้ . " ทีนนั้ เศรษฐียดึ กฎุ ุมพเี หลา่ น้ันไว้ แล้วกลา่ วกะนางวา่ " แม่ ฉนั ไม่รู้ พูด
๘๒
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน
ไปแลว้ . ยกโทษใหฉ้ นั เถดิ . "
วสิ าขา. คุณพ่อ ดิฉนั ยกโทษทีค่ วรยกใหแ้ กค่ ุณพอ่ ได้โดยแท้,แตด่ ิฉนั เปน็ ธดิ าของตระกูลผูม้ ี
ความเล่อื มใสอันไม่งอ่ นแง่น ในพระพุทธศาสนา,พวกดิฉนั เว้นภิกษุสงฆ์แลว้ เปน็ อยูไ่ มไ่ ด้,
หากดฉิ ันไดเ้ พ่ือบารุงภกิ ษสุ งฆต์ ามความพอใจของดฉิ ัน, ดฉิ นั จงึ จักอยู่.
เศรษฐี. แม่ เจ้าจงบารงุ พวกสมณะของเจ้า ตามความชอบใจเถิด.
พระโพธิสตั วท์ าทานบารมีเต็มเปีย่ มส่งผลใหเ้ ม่ือตรัสรู้เป็นพระพุทธเจา้
ผฟู้ งั ธรรมอยู่ที่ไหนก็ได้ยนิ เสียง และคิดว่าพระศาสดาแลดเู รา
มคิ ารเศรษฐีฟงั ธรรมของพระพทุ ธเจา้
นางวสิ าขา ให้คนไปทลู นิมนตพ์ ระทศพล แลว้ เชญิ เสด็จใหเ้ ขา้ ไปสนู่ ิเวศน์ในวันรุ่งขน้ึ .
ฝา่ ยพวกสมณะเปลือย ไดย้ นิ ว่าพระศาสดาเสดจ็ ไปยงั เรือนของมคิ ารเศรษฐี จึงไปนั่งลอ้ มเรือน
ไว้. นางวิสาขาถวายน้าทกั ษิโณทกแล้วส่งขา่ วไปว่า " ดฉิ ันตกแต่งเคร่อื งสกั การะทง้ั ปวงไว้แล้ว,
เชิญพ่อผัวของดิฉนั มาองั คาสพระทศพลเถดิ . " ครัง้ น้นั พวกอาชวี กหา้ มมิคารเศรษฐีผอู้ ยากจะ
มาว่า " คฤหบดี ท่านอย่าไปสูส่ านกั ของพระสมณโคดมเลย. " เศรษฐี ส่งขา่ วไปวา่ " สะใภข้ อง
ฉนั จงองั คาสเองเถดิ . " นางอังคาสภกิ ษสุ งฆ์ มพี ระพทุ ธเจา้ เปน็ ประมขุ เมอ่ื เสรจ็ ภตั กจิ แล้ว ได้
สง่ ข่าวไปอกี ว่า " เชิญพ่อผัวของดฉิ นั มาฟงั ธรรมกถาเถิด. " ทีนั้น พวกอาชีวกน้ัน กล่าวกะ
เศรษฐนี ั้นผู้คิดว่า " ช่อื วา่ การไมไ่ ปคราวนี้ ไม่สมควรอยา่ งยง่ิ " แลว้ กาลังไป เพราะความท่ตี น
อยากฟังธรรมอกี วา่ " ถ้ากระน้นั ทา่ นเม่ือฟังธรรมของพระสมณโคดม จงนงั่ ฟังภายนอกม่าน"
ดงั น้แี ล้ว จงึ ล่วงหน้าไปกอ่ นเศรษฐนี ้นั แลว้ กก็ ้ันมา่ นไว้. เศรษฐีไปนัง่ ภายนอกม่าน.
พระศาสดา ตรสั ว่า " ท่านจงนง่ั นอกมา่ นกต็ าม ที่ฝาเรือนคนอื่นกต็ าม ฟากภูเขาหินโนน้ ก็
ตาม ฟากจกั รวาลโนน้ ก็ตาม, เราช่อื วา่ เป็นพระพุทธเจ้า ยอ่ มอาจจะให้ทา่ นไดย้ นิ เสยี งของเราได้"
ดงั น้แี ล้วทรงเริ่มอนุปพุ พกี ถาเพ่ือแสดงธรรม ดจุ จบตน้ หว้าใหญ่สัน่ และดจุ ยงั ฝนคอื อมตธรรม
ให้ตกอย่.ู
กเ็ ม่อื พระสมั มาสมั พุทธเจา้ ทรงแสดงธรรมอยู่ ชนผ้ยู นื อยขู่ ้างหน้ากต็ าม ข้างหลังกต็ าม อยู่
เลยรอ้ ยจักรวาล พนั จักรวาลกต็ าม อยใู่ นภพอกนษิ ฐก์ ต็ าม ยอ่ มกลา่ วกนั ว่า " พระศาสดา ยอ่ ม
ทอดพระเนตรดเู ราคนเดียว, ทรงแสดงธรรมโปรดเราคนเดียว. " แท้จริง พระศาสดาเปน็
ดุจทอดพระเนตรดชู นน้ัน ๆ และเป็นดุจตรัสกับคนนนั้ ๆ.
๘๓
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
นัยวา่ พระพุทธเจา้ ท้ังหลาย อปุ มาดังพระจนั ทร์, ย่อมปรากฏเหมือนประทับยนื อย่ตู รงหน้า
แห่งสัตวท์ ัง้ หลาย ผ้ยู นื อยใู่ นท่ใี ดท่ีหนึ่งเหมือนพระจันทร์ลอยอย่แู ลว้ ในกลางหาว ยอ่ มปรากฏ
แกป่ วงสตั ว์วา่ " พระจันทรอ์ ยู่บนศีรษะของเรา, พระจันทร์อย่บู นศรี ษะของเรา" ฉะน้นั .
ได้ยินวา่ นเี้ ป็นผลแหง่ ทานท่พี ระพทุ ธเจ้าทั้งหลาย ทรงตดั พระเศียรทป่ี ระดบั แล้ว ทรงควกั พระ
เนตรทหี่ ยอดดีแลว้ ทรงชาแหละเน้ือหทัยแลว้ ทรงบริจาคโอรสเช่นกับพระชาลี ธดิ าเชน่ กับนาง
กณั หาชินา ปชาบดเี ช่นกบั พระนางมทั รี ให้แล้ว เพอ่ื เป็นทาสของผู้อื่น.
เหตแุ หง่ การตัง้ ช่อื ลกู ให้เหมือนชอื่ ปู่ เพราะไม่ใหเ้ กิดการเก้อเขนิ
นางวสิ าขาได้นามวา่ มิคารมารดา
ฝา่ ยมคิ ารเศรษฐี เม่ือพระตถาคตทรงเปลีย่ นแปลงยักย้ายธรรมเทศนาอยู่ นงั่ อยู่ภายนอกมา่ น
นัน่ เอง ต้งั อยูแ่ ล้วในโสดาปตั ติผล อนั ประดบั ดว้ ยพนั นยั ประกอบดว้ ยอจลศรัทธา เป็นผู้หมด
สงสัยในรัตนะ ๓ยกตลอดกาลข้นึ แลว้ มาเอาปากอมถนั หญงิ สะใภ้ ตัง้ นางไวใ้ นตาแหน่ง
มารดาดว้ ยคาว่า " เจ้าจงเปน็ มารดาของฉัน ตั้งแตว่ ันน้ีไป. "
จาเดิมแตว่ ันนั้น นางวิสาขาได้ชอ่ื วา่ มคิ ารมารดาแล้ว, ภายหลังได้บตุ รชาย จงึ ไดต้ ั้งช่อื บตุ ร
นัน้ ว่า " มิคาระ."
มหาเศรษฐีปลอ่ ยถนั ของหญิงสะใภแ้ ลว้ ไปหมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจา้
นวดฟ้ันพระบาทดว้ ยมอื และจ๊บุ ด้วยปากและประกาศชอื่ ๓ ครง้ั วา่ " ขา้ พระองค์ชื่อมคิ าระ
พระเจา้ ข้า" ดังน้เี ปน็ ต้นแลว้ กราบทูลว่า " พระเจ้าขา้ ขา้ พระองคไ์ ม่ทราบ ตลอดกาลเพยี งเทา่ น้ี
'ทานที่บคุ คลใหแ้ ลว้ ในศาสนาน้ี มีผลมาก, ข้าพระองค์ทราบผลแหง่ ทานในบดั นี้ ก็เพราะอาศยั
หญงิ สะใภ้ ของขา้ พระองค์,ข้าพระองค์ เป็นผู้พน้ แลว้ จากอบายทุกข์ท้งั ปวง, หญิงสะใภข้ อง
ขา้ พระองค์ เมอ่ื มาสเู่ รือนน้ี ก็มาแลว้ เพอื่ ประโยชน์เพือ่ เก้อื กูล เพ่ือความสุขแก่ขา้ พระองค์" ดังนี้
แล้ว ไดก้ ลา่ วคาถานีว้ า่ :-
" ขา้ พระองค์น้นั ย่อมรทู้ ่วั ถงึ ทานท่บี คุ คลให้
แล้ว ในเขตท่บี ุคคลให้แล้วมผี ลมากในวนั น้ี,
หญิงสะใภ้คนดีของขา้ พระองค์มาสูเ่ รอื น เพอื่
ประโยชน์แก่ข้าพระองคห์ นอ. "
นางวิสาขา ทูลนมิ นต์พระศาสดา แม้เพ่ือเสวยในวนั รุ่งข้ึน. แม้ในวนั รงุ่ ข้นึ แม่ผัวไดบ้ รรลุโสดา
ปัตติผลแล้ว. จาเดิมแต่กาลน้นั เรอื นหลงั น้ัน ได้เปิดประตแู ล้วเพ่ือพระศาสนา.
๘๔
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน
มิคารเศรษฐที าเครอ่ื งประดบั ใหน้ างวสิ าขา
ลาดบั นนั้ เศรษฐีคดิ วา่ " สะใภ้ของเรา มอี ุปการะมาก, เราจกั ทาบรรณาการให้แกน่ าง,
เพราะเครอ่ื งประดบั ของสะใภ้นัน้ หนัก,ไม่อาจเพ่อื ประดบั ตลอดกาลเปน็ นติ ย์ได้, เราจักใหช้ า่ ง
ทาเคร่อื งประดับอย่างเบา ๆ แกน่ าง ควรแกก่ ารประดบั ในทกุ อริ ยิ าบถ ทงั้ ในกลางวนั และ
กลางคืน" ดงั นแ้ี ลว้ จึงใหช้ ่างทาเครอื่ งประดบั ชือ่ ฆนมฏั ฐกะอันมีราคาแสนหน่ึง,
เมอ่ื เคร่ืองประดับนั้นเสร็จแล้ว, นิมนตพ์ ระภกิ ษสุ งฆ์มพี ระพุทธเจา้ เป็นประมุขใหฉ้ นั โดยความ
เคารพแลว้ ให้นางวิสาขาอาบน้าดว้ ยหม้อน้าหอม ๑๖ หม้อ ให้ยืนถวายบังคมพระศาสดา
ในที่เฉพาะพระพักตรข์ องพระศาสดาแลว้ . พระศาสดาทรงทาอนโุ มทนาแล้ว เสด็จไปสวู่ ิหาร
ตามเดมิ .
นางวิสาขามกี าลงั เทา่ ชา้ ง ๕ เชือก
จาเดมิ แต่กาลน้ัน แมน้ างวิสาขา ทาบญุ มีทานเปน็ ต้นอยู่ ไดพ้ ร ๘ ประการ จากสานัก
พระศาสดา ปรากฏประหน่งึ จนั ทเลขา(วงจันทร์) ในกลางหาว ถึงความเจรญิ ดว้ ยบตุ รและธดิ า
แลว้ . ได้ทราบมาวา่ นางมบี ุตร ๑๐ คน มธี ิดา ๑๐ คน, บรรดาบุตร (ชายหญิง)เหล่านั้น คนหน่ึง ๆ
ไดม้ บี ุตรคนละ ๑๐ คน มีธิดาคนละ ๑๐ คน, บรรดา หลานเหลา่ น้นั คนหน่ึง ๆ ไดม้ ีบุตรคนละ
๑๐ คน มีธิดาคนละ ๑๐ คน,จานวนคน ได้มตี งั้ ๘,๔๒๐ คน เปน็ ไปดว้ ยสามารถแหง่ ความ
สืบเนอื่ งแห่งบุตรหลานและเหลน ของนางวิสาขานั้น อย่างนี้ ดว้ ยประการฉะน้ี.
นางวิสาขาเอง ก็ได้มีอายุ ๑๒๐ ป.ี ชอื่ วา่ ผมหงอกบนศีรษะแม้เส้นหน่ึงกไ็ มม่ ี.
นางไดเ้ ปน็ ประหนึ่งเด็กหญิงรุน่ อายุราว ๑๖ ปี เปน็ นติ ย์. ชนทงั้ หลาย เห็นนางมบี ุตรและหลาน
เป็นบรวิ ารเดินไปวหิ าร ย่อมถามกันวา่ " ในหญงิ เหล่าน้ี คนไหน นางวสิ าขา?.
ชนผเู้ ห็นนางเดนิ ไปอยู่ย่อมคิดวา่ 'บัดนีข้ อจงเดินไปหนอ่ ยเถิด, แมเ่ จา้ ของเราเดินไปอยเู่ ทียวยอ่ ม
งาม. " ชนที่เหน็ นางยืน นั่ง นอน ก็ย่อมคิดวา่ " บัดนี้ จงนอนหน่อยเถิด, แม่เจ้าของเรานอนแล้ว
แล ย่อมงาม. " นางไดเ้ ปน็ ผู้อันใคร ๆ พูดไมไ่ ด้ว่า " ในอิริยาบถทงั้ ๔ นางย่อมไมง่ ามในอิรยิ าบถ
ช่อื โน้น" ด้วยประการฉะนี้. กน็ างวสิ าขานนั้ ยอ่ มทรงกาลังเท่าช้าง๕ เชือก. พระราชาทรงสดับ
ว่า " ได้ทราบว่า นางวสิ าขา ทรงกาลังเทา่ ช้าง ๕ เชือก" ในเวลานางไปวิหารฟงั ธรรมแล้วกลับมา
มพี ระประสงคจ์ ะทดลองกาลงั จึงรับส่งั ให้ปลอ่ ยชา้ งไป. ช้างนั้นชงู วง ไดว้ ่ิงรีเ่ ข้าใสน่ างวสิ าขา
แล้ว. หญิงบริวารของนาง ๕๐๐ บางพวกวิง่ หนีไป,บางพวกไม่ละนาง, เมือ่ นางวสิ าขาถามวา่
" อะไรกนั นี่?" จึงบอกว่า " แม่เจ้า ไดท้ ราบว่า พระราชาทรงประสงค์จะทดลองกาลงั แมเ่ จ้า
จงึ รับสั่งใหป้ ลอ่ ยช้าง. " นางวสิ าขา คดิ ว่า " ประโยชน์อะไร ดว้ ยการเห็นชา้ งนแ้ี ลว้ ว่ิงหนีไป,
๘๕
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแก้วหนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
เราจักจับช้างนน้ั อย่างไรหนอแล?" จึงคดิ ว่า" ถา้ เราจบั ช้างนน้ั อยา่ งมั่นคง, ช้างนน้ั จะพึงฉบิ หาย"
ดังน้แี ลว้ จงึ เอานิ้ว ๒ น้ิว จบั งวงแลว้ ผลกั ไป. ชา้ งไม่อาจทรงตัวอยู่ได้, ได้ซวน ลม้ ลงท่ีพระลาน
หลวงแลว้ . มหาชนไดใ้ ห้สาธกุ าร. นางพรอ้ มกับบริวารได้กลบั เรือนโดยสวสั ดแี ลว้ .
นอกจากมลี กู หลานมากแล้วลกู หลานยงั ไมม่ โี รค และอายุยนื
ชาวเมืองเชญิ ใหม้ าร่วมงาน นางวิสาขาจะสวมเครื่องมหาลดาประสาธน์
นางวิสาขาลืมเครือ่ งประดับไวท้ วี่ ิหาร
กโ็ ดยสมัยน้ันแล นางวิสาขามคิ ารมารดา มบี ุตรมาก มีหลานมาก มบี ตุ รหาโรคมไิ ด้ มหี ลาน
หาโรคมไิ ด้ สมมติกันวา่ เปน็ มงคลอย่างยง่ิ ในกรงุ สาวตั ถี. บรรดาบตุ รหลานตั้งพนั มีจานวน
เท่าน้ันแม้คนหน่ึง ที่ชอื่ ว่า ถึงความตายในระหว่าง มิไดม้ แี ลว้ .
ในงานมหรสพทีเ่ ป็นมงคล ชาวกรงุ สาวตั ถี ย่อมอัญเชญิ นางวสิ าขาให้บริโภคกอ่ น.
ตอ่ มา ในวันมหรสพวนั หน่งึ เมอ่ื มหาชนแตง่ ตัวไปวหิ ารเพื่อฟงั ธรรม, แม้นางวิสาขา บรโิ ภคใน
ทท่ี เี่ ขาเชญิ แล้ว กแ็ ต่งเครือ่ งมหาลดาประสาธน์ ไปวิหารกบั ด้วยมหาชน ได้เปล้ืองเครื่องอาภรณ์
ใหแ้ กห่ ญงิ คนใชไ้ ว้, ทพี่ ระธรรมสงั คาหกาจารยก์ ล่าวหมายเอาคานี้ว่า
" กโ็ ดยสมัยนน้ั แล ในกรงุ สาวตั ถี มกี ารมหรสพ, มนุษย์ทง้ั หลายแต่งตวั แล้วไปวัด.
แม้นางวสิ าขามิคารมารดา กแ็ ตง่ ตัวไปวิหาร. ครง้ั นัน้ แลนางวสิ าขามิคารมารดา เปลื้อง
เครอื่ งประดับ ผกู ใหเ้ ป็นหอ่ ท่ผี ้าหม่ แลว้ ได้(สง่ ) ให้หญงิ คนใชว้ า่ " น่ีแนะ่ แม่ เจา้ จงรับห่อนี่ไว้."
ไดย้ นิ ว่า นางวสิ าขานัน้ เมอื่ กาลงั เดินไปวหิ าร คดิ วา่ " การที่เราสวมเคร่ืองประดับมคี า่ มาก
เห็นปานนีไ้ ว้บนศีรษะ แลว้ ประดบั เคร่อื งอลงั การจนถึงหลังเทา้ เขา้ ไปสู่วิหาร ไมค่ วร"
จึงเปลอ้ื งเคร่ืองประดับนั้นออกห่อไว้ แล้วไดส้ ง่ ใหใ้ นมอื หญงิ คนใช้ ผ้ทู รงกาลงั เทา่ ชา้ ง ๕ เชอื ก
ผเู้ กดิ ดว้ ยบญุ ของตนเหมือนกนั . หญงิ คนใช้นน้ั คนเดียว ยอ่ มอาจเพ่ือรับเครอ่ื งประดบั มหาลดา
ประสาธน์น้นั ได้, เพราะเหตนุ ั้น นางวสิ าขา จงึ กล่าวกะหญงิ คนใช้นัน้ ว่า " แม่ จงรบั
เคร่ืองประดับนไ้ี ว้, ฉันจักสวมมันในเวลากลับจากสานกั ของพระศาสดา.
ก็นางวสิ าขา ครัน้ ใหเ้ ครอื่ งประดับมหาลดาประสาธน์น้นั แล้ว จงึ สวมเคร่อื งประดบั ชอ่ื ฆนมฏั ฐ
กะ ได้เขา้ ไปเฝา้ พระศาสดา สดับธรรมแล้ว. ในท่สี ดุ การสดบั ธรรม นางถวายบงั คมพระผู้มีพระ
ภาคเจา้ ลกุ จากอาสนะหลกี ไปแลว้ . ฝา่ ยหญงิ คนใชน้ ้นั ของนางลืมเครอื่ งประดบั นน้ั แล้ว
ก็เม่อื บรษิ ัทฟงั ธรรมหลีกไปแลว้ , ถา้ ใครลมื ของอะไรไว้. พระอานนทเถระยอ่ มเกบ็ งาของนั้น.
เพราะเหตดุ งั นใี้ นวนั นนั้ ทา่ นเหน็ เครื่องมหาลดาประสาธน์แลว้ จึงทลู แด่พระศาสดาว่า
๘๖
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
" นางวสิ าขา ลืมเคร่อื งประดับไว้ ไปแล้ว พระเจา้ ขา้ . " พระผู้มีพระภาคเจา้ ตรสั วา่ " จงเก็บไว้ใน
ทีส่ ุดขา้ งหน่ึงเถิด อานนท์. " พระเถระยกเครือ่ งประดับนนั้ เก็บคลอ้ งไวท้ ขี่ ้างบันได.
นางวสิ าขาตรวจบรเิ วณวดั
ฝา่ ยนางวิสาขา เที่ยวเดินไปภายในวหิ าร กับนางสุปปยิ า ด้วยตัง้ ใจว่า " จกั รสู้ ง่ิ ทีค่ วรทาแก่
ภกิ ษุอาคนั ตุกะภิกษผุ ู้เตรียมตัวจะไปและภกิ ษุไขเ้ ปน็ ตน้ . " ก็โดยปกติแล ภิกษหุ นมุ่ และสามเณร
ผตู้ อ้ งการด้วยเนยใสน้าผงึ้ และน้ามนั เป็นต้น เหน็ อุบาสกิ าเหลา่ นั้น ในภายในวหิ ารแลว้ ยอ่ มถอื
ภาชนะมถี าดเปน็ ต้น เดินเขา้ ไปหา. ถงึ ในวนั นน้ั กท็ าแลว้ อย่างนั้นเหมือนกนั .
ครัง้ นน้ั นางสุปปยิ า เหน็ ภกิ ษุไข้รปู หนึ่ง จึงถามวา่ " พระผู้เป็นเจ้าตอ้ งการอะไร?" เมือ่ ภิกษไุ ข้รปู
นั้น ตอบวา่ " ต้องการรสแหง่ เนือ้ " จึงตอบว่า " ได้พระผเู้ ป็นเจ้า, ดิฉนั จกั ส่งไป
"ในวันที่ ๒ เมื่อไมไ่ ดเ้ นื้อท่ีเป็นกัปปิยะ จึงทากิจท่ีควรทาดว้ ยเน้อื ขาอ่อนของตน ด้วยความ
เลอื่ มใสในพระศาสดา กก็ ลับเปน็ ผู้มสี รรี ะต้งั อยตู่ ามปกตินน่ั แล. ฝ่ายนางวสิ าขาตรวจดภู กิ ษุ
หนุ่มและสามเณรผูเ้ ป็นไขแ้ ลว้ กอ็ อกโดยประตูอ่นื ยืนอยู่ทอี่ ุปจารวิหารแล้ว พดู ว่า
" แม่ จงเอาเครื่องประดับมา, ฉันจักแตง่ . " ในขณะนัน้ หญิงคนใช้น้ัน รู้ว่าตนลืมแลว้ ออกมา
จึงตอบวา่ " ดิฉนั ลมื แมเ่ จ้า. " นางวิสาขา กลา่ ววา่ " ถ้ากระนนั้ จงไปเอามา, แต่ถา้ พระผู้เปน็ เจา้
อานนทเถระของเรา ยกเก็บเอาไว้ในทีอ่ นื่ , เจา้ อย่าเอามา, ฉันบริจาคเครอื่ งประดับนั้น ถวายพระ
ผ้เู ปน็ เจา้ นั้นแล. " นยั วา่ นางวสิ าขานนั้ ย่อมรวู้ ่า " พระเถระย่อมเก็บสิ่งของท่ีพวกมนุษย์ลืมไว้. "
เพราะฉะนัน้ จงึ พดู อยา่ งนนั้ .
ชุดประดับราคาแพง ไมม่ ีใครซ้อื ตอ้ งซ้ือเองแลว้ เอาปัจจัยถวายสร้างวดั ใหม่
นางวิสาขาซ้ือที่สรา้ งวิหารถวายสงฆ์
ฝ่ายพระเถระ พอเหน็ นางคนใชน้ น้ั ก็ถามวา่ " เจา้ มาเพ่ือประสงคอ์ ะไร?" เมื่อหญิงคนใชน้ นั่
ตอบวา่ " ดฉิ นั ลมื เครื่องประดบั ของแมเ่ จา้ ของดิฉนั จงึ ไดม้ า," จึงกลา่ วว่า " ฉันเกบ็ มันไว้ท่ขี ้าง
บนั ไดนั้น, เจา้ จงเอาไป. " หญิงคนใช้นัน้ ตอบว่า " พระผูเ้ ปน็ เจา้ หอ่ ภณั ฑะทท่ี ่านเอามือถกู แลว้
แมเ่ จ้าของดฉิ ัน สงั่ มใิ หน้ าเอาไป" ดงั นีแ้ ล้ว ก็มีมอื เปลา่ กลบั ไป ถกู นางวสิ าขาถามวา่
" อะไร แม่?" จงึ บอกเนอื้ ความนน้ั . นางวสิ าขา กลา่ ววา่ " แม่ ฉนั จักไมป่ ระดับเคร่ืองท่ีพระผ้เู ป็น
เจา้ ของฉนั ถกู ตอ้ งแล้ว, ฉนั บริจาคแล้ว, แตพ่ ระผเู้ ปน็ เจ้ารักษาไว้ เป็นการลาบาก. ฉนั จาหนา่ ย
เครอื่ งประดับนัน้ แลว้ จักนอ้ มนาส่งิ ท่เี ปน็ กัปปิยะไป, เจ้าจงไปเอาเครอ่ื งประดับนั้นมา. "
๘๗
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
หญิงคนใชน้ น้ั ไปนาเอามาแลว้ .นางวิสาขา ไม่แต่งเครอื่ งประดับน้นั สั่งใหเ้ รยี กพวกช่างทอง
มาแล้วใหต้ ีราคา.
เมือ่ พวกช่างทองเหลา่ นั้นตอบวา่ " มีราคาถงึ ๖ โกฏ,ิ แต่สาหรับค่าบาเหนจ็ ต้องถงึ แสน,"
จงึ วางเคร่อื งประดับไวบ้ นยานแล้วกลา่ วว่า " ถา้ กระน้ัน พวกท่านจงขายเครอ่ื งประดบั น้ัน. "
ไมม่ ใี ครจกั อาจใหท้ รพั ยจ์ านวนเทา่ นนั้ รบั ไว้ได้, เพราะหญิงผสู้ มควรประดับเครือ่ งประดับน้นั
หาไดย้ าก. แทจ้ ริง หญงิ ๓ คนเท่านน้ั ในปฐพีมณฑล ได้เคร่ืองประดับมหาลดาประสาธน์ คอื
นางวสิ าขามหาอบุ าสกิ า ๑, นางมัลลกิ าภรรยาของพนั ธลุ มลั ลเสนาบดี ๑, ลกู สาวของเศรษฐีกรงุ
พาราณสี ๑,เพราะฉะนน้ั นางวสิ าขา จงึ ใหค้ ่าเครอ่ื งประดบั นั้นเสยี เองทเี ดยี ว แลว้ ใหข้ นทรัพย์
๙ โกฏิ ๑ แสน ขน้ึ ใส่เกวยี น นาไปสวู่ ิหาร ถวายบังคมพระศาสดาแลว้ กราบทูลวา่ " พระเจ้าขา้
พระอานนทเถระผู้เป็นเจ้าของหม่อมฉัน เอามอื ถกู ต้องเครอ่ื งประดบั ของหม่อมฉันแล้ว, จาเดมิ
แตก่ าลท่ีทา่ นถูกต้องแล้ว หม่อมฉนั ไม่อาจประดบั ได้, แตห่ มอ่ มฉันให้ขายเครื่องประดบั นั้น
ดว้ ยคดิ ว่า " จกั จาหน่าย น้อมนาเอาสิง่ อนั เป็นกปั ปิยะมา' ไมเ่ หน็ ผอู้ ื่นจะสามารถรบั ไว้ได้ จงึ ให้
รับค่าเครอื่ งประดับน้ันเสียเองมาแล้ว, หมอ่ มฉันจะนอ้ มเข้าในปจั จัยไหน ในปัจจัย ๔
พระเจา้ ข้า?"
พระศาสดา ตรัสว่า " เธอควรจะทาที่อยเู่ พ่ือสงฆ์ ใกลป้ ระตูด้านปราจีนทศิ เถดิ วิสาขา. "
นางวิสาขา ทูลรบั วา่ " สมควรพระเจา้ ขา้ " มใี จเบกิ บาน จึงเอาทรัพย์ ๙ โกฏิ ซอื้ เฉพาะทด่ี ิน.
นางเริ่มสร้างวิหารดว้ ยทรพั ย์ ๙ โกฏนิ อกน้ี. การสร้างวิหารของนางวิสาขา ๙ เดือนแลว้ เสร็จ
ตอ่ มาวันหนึ่ง พระศาสดา ทรงตรวจดสู ตั วโลกในเวลาใกล้รุง่ ไดท้ อดพระเนตรเห็นอุปนิสัย
สมบตั ขิ องเศรษฐบี ุตรนามวา่ ภทั ทิยะ ผจู้ ุติจากเทวโลกแล้วเกิดในตระกูลเศรษฐใี นภัททิยนคร
ทรงทาภัตตกจิ ในเรอื นของอนาถบณิ ฑิกเศรษฐีแลว้ กเ็ สด็จบ่ายพระพกั ตร์ไปยังประตดู า้ นทิศอุ
ดร.แมต้ ามปกติ พระศาสดา ทรงรับภกิ ษาในเรอื นของนางวิสาขาแลว้ ก็เสดจ็ ออกทางประตดู ้าน
ทกั ษิณ ประทบั อยู่ในพระเชตวัน, ทรงรบั ภิกษาในเรอื นของอนาถบิณฑิกเศรษฐแี ลว้ ก็เสดจ็ ออก
ทางประตูดา้ นปราจีนประทับอยใู่ นบพุ พาราม. ชนทงั้ หลายเหน็ พระผมู้ ีพระภาคเจ้า เสด็จดาเนนิ
มุ่งตรงประตูดา้ นทิศอดุ รแล้ว ยอ่ มรู้ได้ว่า " จักเสด็จหลกี ไปสูท่ ีจ่ าริก."
ในวนั น้นั แมน้ างวสิ าขา พอทราบวา่ " พระศาสดา เสดจ็ ดาเนนิ บา่ ยพระพกั ตรไ์ ปทางประตดู ้าน
ทิศอุดร" จงึ รีบไป ถวายบังคมแล้วกราบทลู วา่ " ทรงประสงคจ์ ะเสด็จดาเนนิ ไปสูท่ ี่จาริกหรอื
พระเจ้าขา้ ?"
พระศาสดา. อยา่ งนนั้ วิสาขา.
๘๘
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
วสิ าขา. พระเจ้าขา้ หมอ่ มฉนั บรจิ าคทรพั ยจ์ านวนเท่านี้ ให้สรา้ งวิหารถวายแด่พระองค์,
โปรดเสด็จกลับเถดิ พระเจา้ ข้า.
พระศาสดา. นี้ เป็นการไปยงั ไม่กลบั วสิ าขา.
นางวิสาขานน้ั คดิ ว่า " พระผู้มีพระภาคเจา้ จะทรงเหน็ ใคร ๆผสู้ มบูรณด์ ้วยเหตุ เปน็ แน่,"
จึงกราบทูลว่า " ถา้ กระนัน้ ขอพระองค์โปรดรับสัง่ ให้ภิกษุรปู หนึง่ ผูเ้ ขา้ ใจการงานทีห่ มอ่ มฉนั
ทาแลว้ หรอื ยังไมไ่ ดท้ า กลับ แล้วเสด็จเถิด พระเจา้ ขา้ ."
พระศาสดา. เธอพอใจภกิ ษรุ ปู ใด, จงรบั บาตรของภกิ ษุรูปนน้ั เถิด วิสาขา.
วดั บพุ พาราม ที่ดิน, งานก่อสรา้ ง, งานฉลองวหิ าร อย่างละ ๙ โกฎิ รวม ๒๗
โกฎิ (วัดเชตวนั ใชเ้ งิน ๕๔ โกฎิ) ระยะเวลาสร้าง ๙ เดอื นฉลอง ๔ ด.
ถา้ ต้องการงานใหส้ าเรจ็ อย่าเพยี งเลอื กคนทีค่ ุ้นเคย
แต่ต้องเอาคนมคี วามสามารถทแ่ี ท้จริงมาทางาน
แมน้ างจะพงึ ใจพระอานนทเถระก็จริง, แตค่ ิดว่า" พระมหาโมคคลั ลานเถระเปน็ ผ้มู ีฤทธิ์, การ
งานของเราจกั พลันสาเรจ็ ก็เพราะอาศัยพระเถระนั่น" ดังน้ีแล้ว จงึ รับบาตรของพระเถระไว้.
พระเถระแลดูพระศาสดา. พระศาสดาตรสั ว่า " โมคคลั ลานะ เธอจงพาภกิ ษุบริวารของเธอ ๕๐๐
รูป กลับเถดิ . " ทา่ นไดท้ าตามพระดารสั น้ันแลว้ .ดว้ ยอานภุ าพของท่าน พวกมนุษย์ผไู้ ปเพื่อ
ตอ้ งการไม้และเพ่ือตอ้ งการหนิ ระยะทางแม้ตง้ั ๕๐-๖๐ โยชน์ ก็ขนเอาไม้และหนิ มากมายมาทัน
ในวันนั้นนั่นเอง, แมย้ กไมแ้ ละหนิ ใส่เกวียนกไ็ มล่ าบากเลย, เพลาเกวยี นก็ไม่หกั , ตอ่ กาลไมน่ าน
นกั พวกเขาก็สรา้ งปราสาท ๒ ชั้นเสร็จ. ปราสาทนั้นไดเ้ ปน็ ปราสาทประดบั ด้วยหอ้ งพันหอ้ ง
คือชั้นล่าง ๕๐๐ ห้อง, ชัน้ บน ๕๐๐ ห้อง. พระศาสดา เสดจ็ ดาเนนิ จาริกไปโดย ๙ เดอื นแล้วได้
เสด็จ (กลบั ) ไปสู่กรงุ สาวัตถีอีก. แมก้ ารงานในปราสาทของนางวสิ าขา ก็สาเร็จโดย ๙ เดือน
เหมอื นกัน. นางให้สรา้ งยอดปราสาทอนั จนุ ้าได้ ๖๐ หมอ้ ดว้ ยทองคาสีสกุ ท่ีบเุ ปน็ แท่งน่ันแล.
นางได้ยินวา่ " พระศาสดา เสด็จไปยงั เชตวันมหาวหิ าร" จงึ ทาการตอ้ นรบั นาพระศาสดาไปวิหาร
ของตนแล้ว รบั ปฏญิ ญาวา่ " พระเจา้ ข้า ขอพระองคโ์ ปรดพาภิกษสุ งฆ์ประทบั อย่ใู นวิหารน้ี
แหละตลอด ๔ เดอื นนี้, หม่อมฉนั จกั ทาการฉลองปราสาท. " พระศาสดาทรงรบั แล้ว.
นางวสิ าขาทาบญุ ฉลองวิหาร
จาเดิมแตก่ าลนั้น นางวสิ าขานัน้ ยอ่ มถวายทานแก่ภิกษสุ งฆ์มีพระพทุ ธเจา้ เป็นประธานในวหิ าร
นั่นแล. คร้ังนั้น หญิงสหายคนหนึ่งของนาง ถือผา้ ผืนหนง่ึ ราคา ๑,๐๐๐ มาแล้ว กล่าววา่
๘๙
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
" สหาย ฉันอยากจะลาดผ้าผืนน้ี โดยสังเขปวา่ เคร่ืองลาดพ้นื ในปราสาทของทา่ น, ขอท่านช่วย
บอกท่ีลาดแกฉ่ นั . " นางวิสาขากลา่ วว่า " สหาย ถ้าฉันจะบอกแกท่ ่านวา่ 'โอกาสไม่ม,ี ' ท่านก็จัก
สาคัญวา่ 'ไมป่ รารถนาจะใหโ้ อกาสแกเ่ รา, ทา่ นจงตรวจดูพน้ื แห่งปราสาท ๒ ชนั้ และหอ้ งพนั
หอ้ งแล้วรทู้ ่ลี าดเอาเองเถดิ " หญงิ สหายนัน้ ถือผ้าราคา ๑,๐๐๐ เที่ยว (เดนิ ตรวจ) ในทีน่ ้ัน ๆ
ไม่เห็นผ้าทมี่ ีราคาน้อยกว่าผา้ ของตนนนั้ แล้ว กถ็ งึ ความเสยี ใจวา่ " เราไมไ่ ด้สว่ นบุญในปราสาท
น้"ี ไดย้ นื รอ้ งไห้อยู่แลว้ ในที่แห่งหนึ่ง. ครัง้ นน้ั พระอานนทเถระ เหน็ หญิงน้ัน จงึ ถามว่า
" ร้องไหเ้ พราะเหตไุ ร?" นางบอกเนื้อความน้นั แล้ว. พระเถระกล่าววา่
" อยา่ คิดเลย, เราจักบอกทล่ี าดใหแ้ กท่ ่าน. " กลา่ วแล้ววา่ 'ท่านจงลาดไวท้ ี่บันได ทาเป็นผ้าเช็ดเทา้
, ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ลา้ งเทา้ แลว้ เช็ดเทา้ ท่ีผ้านั้นก่อน จึงจกั เขา้ ไปภายใน, เม่อื เปน็ เชน่ นั้น ผลเป็นอัน
มากก็จกั มีแกท่ ่าน. " ได้ยนิ ว่า ที่น่นั เปน็ สถานอนั นางวสิ าขามไิ ด้กาหนดไว้.
นางวสิ าขาไดถ้ วายทานแก่ภกิ ษุสงฆ์ มพี ระพทุ ธเจ้าเป็นประธาน ในภายในวิหาร ตลอด ๔ เดือน.
ในวนั สุดทา้ ย ได้ถวายผา้ สาฎกเพื่อทาจวี รแก่ภิกษสุ งฆ์. ผ้าสาฎกเพ่ือทาจีวร ทภ่ี กิ ษใุ หมใ่ นสงฆ์
ไดแ้ ลว้ ไดม้ ีราคาพนั หน่ึง. นางไดถ้ วายเภสชั เต็มบาตรแก่ภกิ ษทุ กุ รูป. ในเพราะการบรจิ าคทาน
ทรัพยไ์ ด้ (หมดไป) ถึง ๙ โกฏ.ิ นางวิสาขาบรจิ าคทรพั ยใ์ นพระพุทธศาสนา ทง้ั หมด ๒๗ โกฏิ
คือ ในการซอื้ พ้ืนท่ีแห่งวหิ าร ๙ โกฏ,ิ ในการสรา้ งวิหาร ๙ โกฏ,ิ ในการฉลองวิหาร ๙ โกฏดิ ้วย
ประการฉะน้ี.
ชอื่ วา่ การบรจิ าคเหน็ ปานน้ี ย่อมไม่มีแก่หญิงอน่ื ผูด้ ารงอยู่ในภาวะแหง่ สตรอี ยู่ในเรือนของคนผู้
มิจฉาทิฏฐ.ิ
นางวิสาขาเปลง่ อุทานในวันฉลองวิหารเสร็จ
ในวนั แห่งการฉลองวิหารเสรจ็ เวลาบา่ ย นางวิสาขานัน้ อนั บุตรหลานแวดล้อมแลว้ คิดว่า
" ความปรารถนาใด ๆ อนั เราตัง้ ไวแ้ ลว้ ในกาลกอ่ น, ความปรารถนาน้ัน ๆ ทง้ั หมดเทยี ว ถึงทส่ี ดุ
แลว้ . " เดินเวยี นรอบปราสาท เปล่งอุทานน้ีดว้ ยเสยี งอนั ไพเราะด้วย ๕ คาถาวา่ :-
" ความดารขิ องเราวา่ 'เมือ่ ไร เราจกั ถวาย
ปราสาทใหม่ ฉาบดว้ ยปนู ขาวและดนิ เปน็ วหิ ารทาน'
ดังนี้ บรบิ ูรณ์แลว้ . ความดารขิ องเราว่า 'เม่อื ไร
เราจักถวายเตียงตั่งฟกู และหมอนเป็นเสนาสนภณั ฑ์'
ดังนี้ บรบิ ูรณ์แล้ว. ความดาริของเราว่า 'เม่ือไร
เราจักถวายสลากภัต ผสมดว้ ยเนอ้ื อันสะอาด เป็น
๙๐
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
โภชนทาน' ดงั นี้ บริบูรณแ์ ล้ว. ความดารขิ อง
เราวา่ 'เมือ่ ไร เราจกั ถวายผ้ากาสกิ พสั ตร์ ผา้ เปลอื กไม้
และผ้าฝ้าย เปน็ จวี รทาน' ดังนี้ บริบรู ณแ์ ล้ว.
ความดารขิ องเราว่า 'เมื่อไร เราจกั ถวายเนยใส
เนยขน้ น้าผง้ึ นา้ มนั และนา้ อ้อย เป็นเภสชั ทาน'
ดงั นี้ บริบรู ณแ์ ลว้ ."
ภิกษทุ ้งั หลาย ไดย้ นิ เสียงของนางแล้ว กราบทูลแดพ่ ระศาสดาวา่ " พระเจ้าข้า ช่อื ว่าการขับ
รอ้ งของนางวิสาขา พวกข้าพระองคไ์ ม่เคยเหน็ ในกาลนาน ประมาณเท่านี้, วนั นี้ นางอันบตุ รและ
หลานแวดลอ้ มแลว้ ขับเพลงเดินเวียนรอบปราสาท, ดีของนางกาเรบิ หรอื หนอแล, หรือนางเสยี
จรติ เสียแลว้ ?" พระศาสดาตรสั ว่า " ภกิ ษุทัง้ หลาย ธิดาของเราหาขับเพลงไม่, แต่อัชฌาสยั
ส่วนตวั ของเธอเตม็ เป่ียมแลว้ , เธอดใี จว่า'ความปรารถนาท่ีเราตัง้ ไว้ ถงึ ที่สุดแล้ว, จึงเดินเปล่ง
อุทาน,"เมื่อภกิ ษุท้งั หลาย กราบทลู ว่า " กน็ างตัง้ ความปรารถนาไว้เม่ือไร พระเจ้าขา้ ,"
จึงตรสั ว่า " จกั ฟงั หรือภิกษุทงั้ หลาย," เมอ่ื ภิกษเุ หลา่ นน้ั กราบทลู วา่ " จกั ฟงั พระเจ้าขา้ ," จึงทรง
นาอดีตนิทานมา (ตรัสดงั ต่อไปน้ี):-
ตง้ั ความปรารถนาเปน็ ยอดอุปัฎฐายิกา กบั พระปทมุ ุตตะพทุ ธเจ้า,
ถวายภัตตาหารกับภกิ ษแุ สนรูป ตลอด ๗ วนั และกบั พระกัสสปะพุทธเจา้
บุรพประวตั ิของนางวสิ าขา
ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ในทีส่ ดุ แสนกปั แตน่ ี้ไป พระพทุ ธเจา้ พระนามวา่ ปทุมุตตระ ทรงอบุ ัตขิ ้นึ แล้ว
ในโลก. พระองคไ์ ด้มพี ระชนมายุแสนปี,มีภกิ ษุขณี าสพแสนหน่ึงเปน็ บรวิ าร, นครช่ือหังสวดี,
พระชนกเปน็ พระราชา นามวา่ สนุ ันทะ, พระชนนีเปน็ พระเทวี นามว่า สุชาดา.
อบุ าสกิ าผูเ้ ป็นยอดอุปฏั ฐายกิ าของพระศาสดาองคน์ ัน้ ทลู ขอพร ๘ ประการแลว้ ตงั้ อยู่ในฐานะ
ดงั มารดา บารุงพระศาสดาดว้ ยปัจจัย ๔ ยอ่ มไปสูท่ ี่บารงุ ทง้ั เยน็ และเชา้ . หญงิ สหายคนหน่งึ ของ
อุบาสกิ าน้ัน ย่อมไปวหิ ารกบั อุบาสิกานัน้ เป็นนิตย์. หญงิ น้ัน เห็นอุบาสิกานน้ั พดู กับพระศาสดา
ดว้ ยความคุน้ เคย และเหน็ ความเปน็ ผสู้ นิทสนมกบั พระศาสดา คิดว่า" เธอทากรรมอะไรหนอแล
จงึ เป็นผสู้ นทิ สนมกับพระพุทธเจ้าท้ังหลายอยา่ งนี้?" ดังน้แี ลว้ จงึ ทลู ถามพระศาสดาวา่
" พระเจา้ ขา้ หญิงน้เี ป็นอะไรแกพ่ ระองค์?"
พระศาสดา. เป็นเลศิ แห่งหญงิ ผู้อปุ ัฏฐายิกา.
๙๑
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
หญงิ . พระเจ้าขา้ นางกระทากรรมอะไร จงึ เปน็ เลิศแหง่ หญิงผูอ้ ุปฏั ฐายกิ า?
พระศาสดา. เธอตง้ั ความปรารถนาไวต้ ลอดแสนกัป.
หญงิ . บัดนี้ หมอ่ มฉนั ปรารถนาแล้วอาจจะได้ไหม พระเจ้าข้า"
พระศาสดา. จ้ะ อาจ.
หญิงนนั้ กราบทลู วา่ " พระเจา้ ขา้ ถา้ กระนั้น ขอพระองคก์ ับภกิ ษแุ สนรปู โปรดรับภิกษาของ
หมอ่ มฉันตลอด ๗ วนั เถดิ .
พระศาสดาทรงรับแลว้ . หญิงน้นั ถวายทานครบ ๗ วัน ในวนั ที่สดุ ไดถ้ วายผ้าสาฎกเพื่อทาจีวร
แลว้ ถวายบังคมพระศาสดา หมอบลงแทบบาทมูล ตงั้ ความปรารถนาวา่ " พระเจ้าขา้ ดว้ ยผล
แหง่ ทานนี้ หม่อมฉนั ปรารถนาความเปน็ ใหญ่ในเทวโลกเป็นตน้ อย่างใดอยา่ งหนึ่งกห็ าไม่,
หม่อมฉันพึงไดพ้ ร ๘ ประการ ในสานกั แหง่ พระพทุ ธเจ้าผ้เู ชน่ พระองคแ์ ล้ว ตง้ั อยใู่ นฐานะดัง
มารดา เป็นยอดของอุบาสกิ าผู้สามารถเพื่อบารงุ ด้วยปัจจัย ๔. "
พระศาสดา ทรงดารวิ า่ " ความปรารถนาของหญงิ นี้ จกั สาเร็จหรอื หนอ?" ทรงคานงึ ถงึ อนาคต
กาล ตรวจดูตลอดแสนกปั แล้วจึงตรสั ว่า " ในทส่ี ดุ แหง่ แสนกปั พระพทุ ธเจา้ พระนามว่าโคดม
จักทรงอบุ ัตขิ ้ึน, ในกาลนั้น เธอจกั เปน็ อุบาสกิ าชื่อวา่ วสิ าขา ไดพ้ ร ๘ ประการในสานกั ของ
พระองคแ์ ล้ว ต้งั อยใู่ นฐานะดังมารดา จกั เป็นเลศิ แหง่ หญิงผูเ้ ป็นอุปัฏฐายกิ า ผูบ้ ารงุ ดว้ ยปจั จัย ๔.
" สมบตั นิ ้ันไดเ้ ป็นประหนึง่ ว่า อนั นางจะพึงไดใ้ นวันพรุง่ น้ีทีเดียว. นางทาบุญจนตลอดอายุแลว้
จตุ ิจากอัตภาพนั้น เกิดในเทวโลกทอ่ งเทีย่ วอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก
ในกาลแห่งพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ พระนามว่ากสั สป เป็นพระธิดา พระนามวา่ สังฆทาสี ผพู้ ระ
กนิษฐาของบรรดาพระธดิ า ๗ พระองคข์ องพระเจา้ กาสีพระนามวา่ กิกิ ยงั มไิ ดไ้ ปสู่ตระกลู อ่นื
ทรงทาบญุ มีทานเป็นต้นกบั ดว้ ยเจ้าพห่ี ญิงเหลา่ นน้ั ตลอดกาลนาน, ได้ทาความปรารถนาไว้ แม้
แทบบาทมลู แหง่ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ พระนามว่ากสั สป วา่ " ในอนาคตกาล หม่อมฉนั พงึ ได้
พร ๘ ประการในสานกั แหง่ พระพุทธเจ้าผเู้ ช่นพระองคแ์ ลว้ ตงั้ อยู่ในฐานะดังมารดาเปน็ ยอด
แห่งอุบาสกิ าผถู้ วายปัจจัย ๔. " ก็จาเดิมแต่กาลน้นั นางท่องเท่ียวอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก
ในอตั ภาพนี้ ได้เกิดเป็นธดิ าของธนญชยั เศรษฐผี ู้เปน็ บตุ รแห่งเมณฑกเศรษฐี. ไดท้ าบุญเป็นอัน
มากในศาสนาของเรา.
สัตว์เกิดแลว้ ควรทากศุ ลใหม้ าก
พระศาสดา (ครนั้ ทรงแสดงอดตี นทิ านจบแลว้ ) ตรัสวา่ " ภิกษทุ ้งั หลาย ธดิ าของเราย่อมไม่
ขบั เพลง ด้วยประการฉะนแ้ี ล, แตเ่ ธอเหน็ ความสาเร็จ แห่งความปรารถนาที่ต้ังไว้ จึงเปล่งอุทาน.
๙๒
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสิกาแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน
" เมือ่ จะทรงแสดงธรรม ตรัสว่า " ภกิ ษทุ ง้ั หลาย นายมาลาการผฉู้ ลาด ทากองดอกไม้ตา่ ง ๆ ให้
เป็นกองโตแล้ว ยอ่ มทาพวงดอกไม้มีประการตา่ ง ๆ ได้ฉันใด; จิตของนางวสิ าขา ยอ่ มน้อมไป
เพอื่ ทากศุ ล มปี ระการต่าง ๆฉนั นนั้ เหมอื นกนั " ดังน้ีแล้วตรสั พระคาถาน้ีวา่ :-
๘. ยถาปิ ปปุ ฺผราสิมฺหา กยิรา มาลาคเุ ฬ พหู
เอว ชาเตน มจเฺ จน กตตฺ พฺพ กุสล พหุ .
" นายมาลาการพงึ ทาพวงดอกไม้ให้มาก จาก
กองดอกไม้ แม้ฉันใด; มจั จสตั ว์ผู้มอี ันจะพึงตาย
เป็นสภาพ ควรทากศุ ลไวใ้ ห้มาก ฉนั นน้ั . "
กถ็ ้าดอกไมม้ ีน้อย และนายมาลาการฉลาด กย็ ่อมไม่อาจทาพวงดอกไมใ้ หม้ ากได้เลย;
ส่วนนายมาลาการผไู้ มฉ่ ลาด เมอ่ื ดอกไมจ้ ะมีน้อยกต็ าม มากก็ตาม ยอ่ มไมอ่ าจโดยแท้;
แตเ่ ม่ือดอกไม้มมี ากนายมาลาการผฉู้ ลาด ขยนั เฉียบแหลม ยอ่ มทาพวงดอกไม้ให้มาก ฉนั ใด;
ถ้าศรัทธาของคนบางคนมีน้อย
สว่ นโภคะมมี าก ผู้นั้นย่อมไมอ่ าจทากศุ ลใหม้ ากได้, ๑) ศรัทธานอ้ ย,โภคะมาก
ก็แล เมือ่ ศรัทธามีนอ้ ยทัง้ โภคะกน็ ้อย, เขากย็ อ่ มไม่อาจ; ย่อมไมอ่ าจทากุศลมากได้
กแ็ ล เม่ือศรัทธาโอฬาร แตโ่ ภคะน้อย เขากย็ ่อมไมอ่ าจเหมือนกนั , ๒) ศรทั ธานอ้ ย,โภคะน้อย
ก็แตเ่ มือ่ มีศรัทธาโอฬาร และโภคะกโ็ อฬาร ยอ่ มไมอ่ าจทากุศลมากได้
เขาย่อมอาจทากศุ ลใหม้ ากได้ ฉันน้นั ; ๓) ศรทั ธามาก, โภคะน้อย
นางวิสาขาอุบาสิกาเป็นผูเ้ ช่นนั้นแล, ยอ่ มไมอ่ าจทากุศลมากได้
พระศาสดา ทรงหมายนางวสิ าขานน้ั
จึงตรัสคาเปน็ พระคาถาดงั นีว้ า่ :- ๔) ศรทั ธามาก, โภคะมาก
" นายมาลาการพึงทาพวงดอกไมใ้ หม้ าก จาก ย่อมอาจทากุศลมากได้
กองดอกไม้ แม้ฉันใด; มัจจสตั วผ์ ู้มีอนั จะพึงตาย
เป็นสภาพ ควรทากศุ ลไว้ใหม้ าก ฉนั นัน้ . "
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอนั มากได้เป็นอรยิ บคุ คล มีโสดาบันเป็นตน้ , เทศนามีประโยชนแ์ ก่
มหาชนแล้ว ดงั น้แี ล.
เรอ่ื งนางวสิ าขา จบ.
๙๓
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแก้วหนอ่ ออ่ น ๑ ลา้ นคน
๑๖) เรือ่ งนางจฬู สุภทั ทา[๒๒๑]
ข้อความเบ้ืองตน้
พระศาสดา เม่อื ประทับอยูใ่ นพระเชตวัน ทรงปรารภธดิ าของอนาถบิณฑกิ เศรษฐี ช่อื จูฬ
สภุ ัททา ตรสั พระธรรมเทศนาน้ีวา่ " ทูเรสนโฺ ต ปกาเสนฺติ" เป็นตน้ .
สองเศรษฐที ากตกิ าต่อกนั
ดงั ได้สดบั มา เศรษฐีบุตรช่ืออุคคะ ชาวอุคคนครไดเ้ ปน็ สหายของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ตง้ั แต่
เวลาท่ยี ังเปน็ หนุม่ . สหายทั้งสองนน้ั เรียนศิลปะอย่ใู นตระกูลอาจารยเ์ ดยี วกัน ทากตกิ าตอ่ กันว่า
" ในเวลาทเี่ ราทงั้ สองเจรญิ วัย เมื่อบุตรและธิดาเกิดแล้ว, ผใู้ ดขอธิดาเพ่อื ประโยชน์แกบ่ ุตร: ผูน้ น้ั
ตอ้ งให้ธิดาแก่ผู้น้นั " เขาทงั้ สองเจรญิ วยั แล้ว ดารงอยู่ในตาแหนง่ เศรษฐีในนครของตน ๆ.
กติกาอะไรก็ตาม ควรทาแต่เรื่องของตนยุคอดีตนยิ มทากันแบบน้ี
ยคุ น้ี เร่อื งของลกู ควรให้เขาตัดสินใจเอง พอ่ แมแ่ คใ่ หค้ าแนะนา
สมยั หนงึ่ อุคคเศรษฐีประกอบการคา้ ขาย ไดไ้ ปยงั กรงุ สาวตั ถดี ้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม. อนาถ
บณิ ฑกิ เศรษฐี เรยี กนางจฬู สุภัททาธดิ าของตนมาสงั่ วา่ " แม่ บดิ าของเจ้าช่ืออคุ คเศรษฐมี า, กิจที่
ควรทาแก่เขา จงเปน็ ภาระของเจา้ . "
ลูกที่อบรมมาดแี ล้ว ย่อมเปน็ ทีพ่ งึ่ เปน็ หน้าตาของผู้เปน็ พ่อแม่
อคุ คเศรษฐีขอนางจูฬสุภทั ทาเพอ่ื บุตร
นางรบั วา่ " ดีละ" จึงจัดโภชนะมีแกงและกับเปน็ ต้น ดว้ ยมอื ของตนเอง จาเดิมแตว่ ัน
อคุ คเศรษฐีน้ันมา, เตรียมวัตถุตา่ ง ๆ มรี ะเบียบดอกไม้ ของหอม และเครอื่ งลบู ไลเ้ ป็นต้นไว้,
ในเวลาบริโภค ก็จดั นา้ สาหรบั อาบไว้ (คอย) ท่านเศรษฐีน้นั ตง้ั แตเ่ วลาอาบนา้ ไป ยอ่ มทากจิ ทกุ
อย่างสาเร็จเรยี บรอ้ ย. อคุ คเศรษฐี เหน็ อาจารสมบตั ิของนางสุภัททานั้นแล้ว มจี ิตเลอ่ื มใสในวนั
หนึง่ นง่ั อยกู่ บั อนาถบิณฑกิ เศรษฐี ด้วยกถาอันปรารภความสุขแล้ว นึกไดว้ า่
" ในเวลายงั เป็นหนมุ่ เราท้งั สองทากตกิ าชอ่ื อยา่ งนี้ไว้แล้ว" จึงขอนางจฬู สภุ ัททา เพ่อื ประโยชน์
แก่บตุ รของตน.
ทศิ เบือ้ งหน้า และทิศเบ้ืองบน ย่อมเป็นที่ปรึกษาให้ได้
๙๔
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสิกาแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ล้านคน
แต่อุคคเศรษฐีน้นั โดยปกตเิ ปน็ มิจฉาทิฏฐิ; เพราะฉะนนั้ อนาถบิณฑกิ เศรษฐจี งึ กราบทูลความ
น้ันแดพ่ ระทศพล อันพระศาสดาทรงเห็นอุปนิสยั ของอคุ คเศรษฐีแล้วทรงอนุญาต, จึงปรกึ ษากบั
ภรรยา แล้วรับคาของอุคคเศรษฐีนน้ั กาหนดวัน (แตง่ งาน) แล้ว, ทาสักการะเป็นอนั มาก เหมอื น
อยา่ งธนญชยั เศรษฐที าให้นางวสิ าขาผเู้ ปน็ ธิดา แลว้ สง่ ไปฉะนัน้ , เรียกนางสุภัททามาแลว้
ให้โอวาท ๑๐ ข้อ เปน็ ต้นวา่ " แม่ ธรรมดาสตรผี อู้ ยใู่ นตระกูลพอ่ ผัว ไม่ควรนาไฟภายในออกไป
ภายนอก" โดยนัยทธี่ นญชัยเศรษฐีให้แก่นางวสิ าขาน่นั แล เมื่อจะสง่ ไป ยดึ เอากฎุ มุ พี ๘ คนให้
เป็นผรู้ บั รองวา่ " ถา้ โทษของธดิ าข้าพเจ้าเกดิ ขึน้ ในท่ไี ปแล้ว, พวกท่านต้องชาระ, " ในวนั เป็นท่ี
สง่ ธดิ านัน้ ไป ถวายมหาทานแก่ภกิ ษุสงฆ์ มพี ระพุทธเจ้าเป็นประมขุ แลว้ , ส่งธิดาไปดว้ ยสกั การะ
เป็นอันมาก ประหนึง่ จะแสดงความเจรญิ แห่งผลสจุ ริตทงั้ หลาย อนั ธิดาทาไวแ้ ล้วในภพกอ่ นให้
ปรากฏแก่ชาวโลก. ในเวลานางถึงอคุ คนครโดยลาดบั มหาชนพร้อมกบั ตระกูลพ่อผัว ไดท้ าการ
ต้อนรับ.
ฝ่ายนางจูฬสภุ ัททานนั่ แสดงตนแก่ชาวนครท้งั ส้นิ เหมอื นนางวิสาขา เพอื่ ทาสิริสมบัติของ
ตนใหป้ รากฏ ยนื อยบู่ นรถเข้าไปสู่นคร รับเครื่องบรรณาการทช่ี าวนครสง่ มาแลว้ ส่งไป [ตอบ
แทน] แกช่ นเหลา่ นั้น ๆ ดว้ ยสามารถแหง่ วตั ถตุ ามสมควร ได้ทาชาวนครท้ังสน้ิ ให้เนอื่ ง
เป็นอันเดยี วกบั ดว้ ยคุณของตน.
การวางตัว,การปฏสิ นั ถารท่ดี ตี อ่ สาธารณชน ในตระกูลใหญ่ยอ่ มไดร้ ับการยอมรับ
พ่อผัวให้นางจฬู สภุ ัททาไหว้ชีเปลือย
กใ็ นวนั มงคลเปน็ ต้น พอ่ ผัวของนาง เม่ือจะทาสักการะแกพ่ วกชีเปลอื ย ส่งไปดว้ ยคาว่า
" นางจงมาไหว้พระสมณะทั้งหลายของพวกเรา. "นางไม่อาจเพือ่ จะดชู ีเปลอื ยท้ังหลาย เพราะ
ละอาย ไม่ปรารถนาจะไป. พ่อผัวน้นั แมส้ ง่ (ขา่ ว) ไปบอ่ ย ๆ ถกู นางห้ามแล้ว จงึ โกรธพดู วา่
" พวกเธอจงขับไลม่ ันไปเสยี . " นางคดิ ว่า " พ่อผัวไม่อาจยกโทษแกเ่ รา เพราะเหตุไม่สมควรได้"
ใหค้ นเรียกกฎุ มุ พีมาแลว้ บอกความน้ัน. กฎุ มุ พีเหล่าน้นั ทราบความทีน่ างไม่มีโทษ จงึ ให้เศรษฐี
ยินยอมแลว้ . เขาบอกแกภ่ รรยาวา่ " ลกู สะใภ้นีไ้ มไ่ หว้พระสมณะท้งั หลายของเรา ด้วยเขา้ ใจวา่
" เปน็ ผู้ไม่มคี วามละอาย. "
ภรรยาเศรษฐีนั้น คิดว่า " พวกสมณะของลูกสะใภ้น้ี เปน็ เช่นไรหนอแล ?
นางสรรเสรญิ พระสมณะเหลา่ นนั้ เหลอื เกิน" ใหค้ นเรียกนางมาแลว้ พูดว่า :-
" พวกพระสมณะของเจา้ เป็นเช่นไร ?
๙๕
kalyanamitra.org
โครงการบวชอบุ าสกิ าแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
เจา้ จึงสรรเสรญิ พระสมณะเหลา่ นนั้ นกั หนา.
พระสมณะเหลา่ นั้น มปี กติอย่างไร ? มีสมาจารอยา่ งไร ?
เจา้ อนั เราถามแลว้ จงบอกเร่อื งน้ันแก่เรา."
การใชเ้ หตผุ ล เป็นหนทางแหง่ การสมานฉันทใ์ นครอบครัว
ลาดบั นั้น นางสภุ ัททาประกาศคณุ ทั้งหลายของพระพุทธเจ้า และพระสาวกของพระพุทธเจา้
แกแ่ มผ่ ัวน้นั อยู่ ใหแ้ มผ่ ัวยินดแี ลว้ ด้วยคาทัง้ หลายมีเป็นตน้ อย่างน้วี า่ :-
ลกู สะใภ้บอกสมณภาพแก่แม่ผัว
" ๑) ทา่ นผมู้ อี ินทรยี ส์ งบ ๒) มใี จสงบ ๓) ทา่ นเดนิ ยนื เรยี บร้อย,
๔) มจี กั ษทุ อดลง พูดพอประมาณ,พวกสมณะของฉันเป็นเช่นน้ัน.
๕) กายกรรมของทา่ นสะอาด. ๖) วจกี รรมไมม่ วั หมอง, สมณะผฝู้ ึกฝนตนดแี ล้ว
๗) มโนกรรมหมดจดดี.พวกสมณะของฉนั เป็นเช่นน้นั . ใจ กาย วาจา สงบ, สะอาด
๘) ทา่ นไม่มมี ลทนิ ๙) มรี ัศมดี จุ สังขแ์ ละมกุ ดา ไมม่ มี ลทนิ ภายใน ภายนอก
เป็นผู้ต้งั มนั่ ไมข่ ้นึ ลงตาม
บรสิ ทุ ธ์ทิ ้งั ภายใน ภายนอก โลกธรรม ๘
๑๐) เตม็ แลว้ ดว้ ยธรรมอนั หมดจดทั้งหลาย. พวกสมณะฯ
๑๑) โลกฟขู ึน้ เพราะลาภ และฟุบลงเพราะเสือ่ มลาภ,
ทา่ นผู้ตง้ั อย่อู ย่างเดยี วเพราะลาภและเสอื่ มลาภ. พวกสมณะฯ
๑๒) โลกฟูขึน้ เพราะยศ และฟบุ ลงเพราะเส่อื มยศ,
ท่านผ้ตู ง้ั อยู่อยา่ งเดียวเพราะยศและเสอ่ื มยศ. พวกสมณะฯ
๑๓) โลกฟขู ึ้นเพราะสรรเสรญิ และฟบุ ลงแมเ้ พราะนินทา,
ทา่ นผสู้ ม่าเสมอในเพราะนินทาและสรรเสริญ, พวกสมณะฯ
๑๔) โลกฟูขึน้ เพราะสขุ และฟบุ ลงแมเ้ พราะทกุ ข์,
ทา่ นไมห่ วัน่ ไหวในเพราะสุขและทกุ ข์, พวกสมณะของฉนั เปน็ เช่นนั้น."
นางจูฬสุภัททานมิ นต์ภกิ ษุสงฆ์ฉันอาหาร
ลาดบั น้ัน แม่ผวั กล่าวกะนางว่า " เจา้ อาจแสดงสมณะทัง้ หลายของเจ้า แมแ้ กพ่ วกฉนั ไดห้ รือ"
เม่ือนางตอบว่า " อาจ" จงึ พูดว่า " ถา้ กระนน้ั เจ้าจงทาโดยประการทพ่ี วกฉันจะเห็นสมณะ
เหล่านัน้ . " นางรบั ว่า" ดลี ะ" ตระเตรียมมหาทานเพ่ือภกิ ษสุ งฆ์มพี ระพทุ ธเจ้าเปน็ ประมุขแล้ว
๙๖
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ อ่อน ๑ ลา้ นคน
ยืนอยบู่ นพื้นปราสาทชน้ั บน ผินหน้าไปเฉพาะพระเชตวัน ไหว้โดยเคารพด้วยเบญจางค
ประดิษฐ์ ระลกึ ถงึ พระพุทธคณุ ทัง้ หลาย ทาการบูชาด้วยของหอม เครื่องอบ ดอกไมแ้ ละธปู
กลา่ ว (อัญเชญิ ) ว่า " ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ู้เจริญ ขา้ พเจ้านมิ นตภ์ กิ ษุสงฆม์ ีพระพุทธเจา้ เปน็ ประมุข
เพอื่ ฉันเช้าในวันร่งุ ขน้ึ , ด้วยสัญญาณของข้าพเจา้ นี้ ขอพระศาสดาจงทราบว่าเปน็ ผ้อู ันขา้ พเจ้า
นมิ นต์แลว้ " ดังนแี้ ลว้ จงึ ซดั ดอกมะลิ ๘ กาไปในอากาศ.
ดอกไมท้ ้ังหลาย ลอยไปเป็นเพดานอันสาเรจ็ ดว้ ยระเบยี บดอกไม้ได้คงท่ีอยู่เบ้ืองบนพระ
ศาสดา ผทู้ รงแสดงธรรมอยูใ่ นทา่ มกลางบริษัท ๔. นมิ นต์ทางอากาศ
สตั บรุ ุษยอ่ มปรากฏในที่ไกล ทาแบบผ้รู ู้ แบบพระอริยะ
ในขณะน้นั แม้อนาถบณิ ฑิกเศรษฐสี ดบั ธรรมกถาแล้ว นมิ นตพ์ ระศาสดา เพื่อเสวยในวัน
พรุ่งนี้. พระศาสดาตรสั วา่ " คฤหบดี ตถาคตรบั ภัตเพือ่ ฉนั ในวนั พรุ่งนแ้ี ล้ว, "
เมอื่ อนาถบณิ ฑิกเศรษฐกี ราบทลู วา่ " ข้าแตพ่ ระองคผ์ ู้เจริญ คนอื่นมาก่อนกวา่ ข้าพระองค์ไมม่ ี,
พระองคท์ รงรบั ภัตของใครหนอแล ?"
ตรัสว่า " คฤหบดี นางจฬู สภุ ทั ทานิมนตไ์ ว้แล้ว. "
เมื่อทา่ นเศรษฐกี ลา่ วว่า " นางสุภัททาอยูใ่ นทไ่ี กลท่ีสดุ ประมาณ๑๒๐ โยชน์แต่ท่ีนม้ี ใิ ช่หรอื ?
พระเจ้าข้า" ตรสั วา่ " จะ้ คฤหบดี. กส็ ตั บรุ ุษทง้ั หลาย แมอ้ ยใู่ นที่ไกล ย่อมปรากฏเหมือนยนื อยู่
เฉพาะหน้า"ดงั นีแ้ ลว้ จงึ ตรสั พระคาถานวี้ ่า :-
๘. ทเู ร สนโฺ ต ปกาเสนตฺ ิ หิมวนโฺ ตว ปพพฺ โต
อสนฺเตตฺถ น ทิสสฺ นตฺ ิ รตตฺ ิขติ ตฺ า ยถา สรา.
" สตั บรุ ุษทงั้ หลาย ย่อมปรากฏในทีไ่ กล เหมอื น
ภเู ขาหิมพานต,์ (ส่วน) อสัตบุรษุ ยอ่ มไมป่ รากฏ
ในทนี่ ี้, เหมอื นลกู ศรอันเขาซัด (ยิง) ไปในราตรี
ฉะนน้ั ."
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลอุ ริยผลทงั้ หลาย มโี สดาปัตติผลเปน็ ตน้ .
ผู้มีบุญเดินทางไปไหน ก็จะมีคนคอยตอ้ นรบั
๙๗
kalyanamitra.org
โครงการบวชอุบาสกิ าแกว้ หนอ่ ออ่ น ๑ ล้านคน
วสิ สุกรรมนริ มิตเรือนยอด ๕๐๐ หลงั
แมท้ า้ วสกั กเทวราชแล ทรงทราบว่า " พระศาสดาทรงรบั นิมนตข์ องนางจฬู สภุ ัททาแลว้ "
ทรงบงั คับวิสสกุ รรมเทพบุตรวา่ " ทา่ นจงนิรมิตเรอื นยอด ๕๐๐ หลงั แลว้ นาภกิ ษสุ งฆม์ ี
พระพุทธเจ้าเป็นประมขุ ไปสู่อคุ คนครในวันพรุ่งนี้."
ในวนั รุ่งขึ้น วิสสกุ รรมเทพบตุ รน้ัน นริ มิตเรอื นยอด ๕๐๐ หลังแลว้ ไดย้ นื อยูท่ ่ีประตแู หง่
พระเชตวนั . พระศาสดาทรงเลือกแล้ว พาภกิ ษขุ ณี าสพผู้บรสิ ทุ ธิ์ท้ังนั้น ๕๐๐ รปู พรอ้ มดว้ ย
บริวารประทบั น่ังในเรอื นยอดแล้ว ไดเ้ สดจ็ ไปยังอุคคนคร.
รูปสตู ร (ว่าดว้ ยบคุ คลผ้ถู ือรูปเปน็ ประมาณ)
บคุ คลยอ่ มเลอ่ื มใสในรูป ๑, เสียง ๑, ในความเศร้าหมอง ๑, ในธรรม๑
ในกรณีอุคคเศรษฐีเหน็ พระศาสดาเสด็จมาด้วยสิรสิ มบัตใิ หญ่ คือ
รปู ท่ีเหน็ ดว้ ยตา ส่ิงทเ่ี หน็ ภายนอกคือลกั ษณะมหาบุรุษ, พทุ ธลลี า, สาวกหมู่ใหญ่
อคุ คเศรษฐีกลบั เลื่อมใสในพระพทุ ธศาสนา
แม้อคุ คเศรษฐพี ร้อมดว้ ยบรวิ าร แลดูทางเสดจ็ มาแหง่ พระตถาคตโดยนัยอันนางสุภัททา
ให้แล้ว เหน็ พระศาสดาเสด็จมาด้วยสริ สิ มบตั ใิ หญเ่ ปน็ ผมู้ ใี จเลือ่ มใสแล้ว ทาสกั การะด้วยวัตถุ
ทง้ั หลาย มรี ะเบยี บดอกไมเ้ ปน็ ต้น ต้อนรบั แลว้ ถวายบงั คม ถวายมหาทาน นิมนตซ์ ้าอีก
ไดถ้ วายมหาทานสิน้ ๗ วัน.
แม้พระศาสดา ทรงกาหนดธรรมเป็นที่สบายของเศรษฐนี น้ั แลว้ ทรงแสดงธรรม.
สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ทาเศรษฐีนั้นให้เปน็ ต้น ได้ตรสั รู้ธรรมแลว้ .
พระศาสดา เพอื่ ทรงอนเุ คราะหน์ างสภุ ทั ทา จึงรับส่ังใหพ้ ระอนุรุทธเถระกลับ ด้วยพระดารสั
ว่า " เธอจงพักอยู่ในท่นี ่แี หละ" แล้วไดเ้ สด็จไปยังกรงุ สาวตั ถที ีเดยี ว.
ตงั้ แต่นนั้ มา ชาวนครน้ันไดม้ ศี รัทธาเลื่อมใสดังนี้แล.
เรอื่ งนางจฬู สุภทั ทา จบ.
๙๘
kalyanamitra.org