เอกสารลาดับท่ี ๗๕
สงั คีติยวงศแ์ ละโอวาทานุสาสนี
: รากฐานพทุ ธจกั รในสมัยตน้ รตั นโกสินทร์
วรพร ภู่พงศ์พนั ธุ์*
สภาพบ้านเมืองช่วงต้นรัตนโกสินทร์หลังพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
จฬุ าโลกทรงประกอบพระราชพิธีปราบดาภิเษกโดยสังเขปเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๕๑ คง
อยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยนักเนื่องจากความวุ่นวายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงปลาย
รัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยเฉพาะเรื่องความทรุดโทรมของการ
พระศาสนาทีส่ ืบเนื่องมาต้ังแต่หลงั เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๐ ดังนั้น
เมื่อจัดการปัญหาทางด้านอาณาจักรท้ังการประดิษฐานพระ ราชวงศ์ ต้ัง
ข้าราชการวังหลวง แบ่งหวั เมืองขนึ้ กลาโหม มหาดไทย กรมท่า และต้ังข้าราชการ
วังหน้า๒ เรียบร้อยแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงได้หันมา
จัดการข้างฝ่ายพุทธจักร ทานุบารุงพระพุทธศาสนาซึ่งเสื่อมทรุดเศร้าหมองให้
กลับมาวฒั นารุ่งเรืองสืบไป๓ การฟืน้ ฟพู ระศาสนาในคร้ังนี้ผนวกกับความพยายาม
ทานบุ ารงุ พระศาสนาในรัชกาลต่อ ๆ มา ทาใหพ้ ทุ ธศาสนายังคงมีความสาคัญต่อ
สงั คมไทยจวบจนปจั จุบัน
* ผู้เขียนขอขอบพระคุณอาจารย์ ดร.วินัย พงศ์ศรีเพียร หัวหน้าโครงการฯ และอาจารย์
ระวิวรรณ ภาคพรต ที่ช่วยให้คาแนะนาและชี้ประเด็นต่าง ๆ และขอขอบพระคุณ
รองศาสตราจารย์เสมอ บญุ มา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ชาญณรงค์ บุญหนนุ ที่ช่วยอธิบาย
ค๑าศพัพรทะบ์ภาาทษาสบมาเดล็จี พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงประกอบการพระราชพิธีปราบดาภิเษก
โดยสังเขปเม่ือวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๕ และทรงทาพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเต็ม
๒ตาพมรแะบรบาแชผพนงโบศราาวณดารรากชปรุงรระตัเพนณโกี เสมิื่อนทพร.ศ์ ร.๒ัช๓ก๒าล๘ที่ ๑ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขา
บุนนาค) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงตรวจชาระ
และทรงนิพนธอ์ ธิบาย, พมิ พค์ รั้งที่ ๗ (กรุงเทพฯ : กองวรรณคดีและประวตั ิศาสตร์ กรม
๓ศิลเปรือ่างกเรด,ีย๒ว๕ก๔นั ๕, )๖,.๒-๖.
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
๖ สังคีติยวงศ์และโอวาทานสุ าสนีย์
ความสาคัญของเอกสาร
เอกสารสาคญั ๒ เรื่องทีแ่ สดงใหเ้ ห็นถึงความพยายามฟื้นฟูและทานุบารุง
ศาสนาในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ (ในที่นี้เน้นเฉพาะรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟ้าจุฬาโลกและพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) คือ สังคีติยวงศ์
และโอวาทานสุ าสนี
สังคีติยวงศ์ สมเด็จพระวนั รัตน์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามเมื่อคร้ังยัง
ดารงสมณศักดิ์เป็นที่พระพิมลธรรมแต่งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๓๓๒ โดยมีจุดประสงค์
เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ภายหลงั จากทีท่ รง
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สังคายนาพระธรรมวินัยเสร็จเรียบร้อย หนังสือแต่งเป็น
ภาษามคธ (บาลี) แล้วจารลงบนใบลาน ๗ ผูก ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๖
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้กรรมการหอพระสมุด
วชิรญาณสาหรับพระนครเลือกหาหนังสือที่เป็นประโยชน์ทางศาสนาพิมพ์
พระราชทานเป็นที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์
เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย กรรมการหอพระสมุด
วชิรญาณฯ ได้เลือกเรื่องสังคีติยวงศ์และขอให้พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ
ตาลลักษณ์ เปรียญ) แปลเปน็ ภาษาไทย๔
หนงั สือสงั คีติยวงศ์มีความสาคัญอย่างน้อย ๒ ประการ คือ ประการแรก
เป็นหนังสือประเภทศาสนาที่แต่งในสมัยรัตนโกสินทร์ เนื้อหาว่าด้วยการ
สังคายนาพระไตรปิฎกตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานจนถึงการสังคายนา
พระไตรปฎิ กคร้ังท่ี ๙ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตลอดจน
การประดิษฐานพทุ ธศาสนาในลังกาทวีปและราชวงศ์ต่าง ๆ ในชมพูทวีป ลาววงศ์
และราชวงศ์ในสมัยอยุธยา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง “เป็นพงศาวดารเรื่องพุทธ
ประวัติกับเรื่องของบ้านเมืองประกอบกัน”๕ การแต่งหนังสือประวัติศาสตร์
ศาสนาในลักษณะนี้เคยปรากฏในสมยั ล้านนา คือ ชินกาลมาลินี หรือชินกาลมาลี
๔ กรมศิลปากร, วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ เล่ม ๓ (กรงุ เทพฯ,๒๕๓๖), คานา.
๕ คาอธิบายของสมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ใน เร่ืองเดียวกัน, อธิบายหนังสือ
สงั คีติยวงศ์.
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พนั ธ์ ๗
ปกรณ์ สังคีติยวงศ์เองกม็ ีความหลายตอนกล่าวอ้างถึงหนังสือเล่มนี้ ถ้าจะกล่าว
ใหล้ ึกลงไปกว่านี้การแต่งพงศาวดารและตานานพระศาสนาในประเทศต่าง ๆ เป็น
ภาษาบาลีรวมถึงชินกาลมาลีปกรณ์ได้แบบอย่า งมาจากหนังสือ มหาวงศ์ข อ ง
พระมหานามพระเถระในลังกาทวีปที่เรียบเรียงตานานพระพุทธศาสนาในลังกา
ทวีปเมื่อพระพุทธศาสนาล่วงแล้วระหว่าง ๑๐๐๒ จน ๑๐๒๐ พรรษา มหาวงศ์จึง
เปน็ หนังสือที่นับถือว่าเป็นพงศาวดารที่เก่าแก่ที่สุดเรื่องหนึ่ง และถือเป็นหนังสือ
สืบอายุพระพุทธศาสนา๖
เมื่อพิจารณาในแง่นี้สังคีติยวงศ์จึงเป็นหนังสือที่มีคุณค่าและความสาคัญ
ทั้งในแง่การเปน็ หนงั สือทีส่ ืบทอดจารีตการเขียน/บันทึกประวัติศาสตร์พระศาสนา
เป็นการกุศลสืบอายุพระศาสนาให้ถาวร เป็นเกียรติยศแก่ประเทศว่าได้บารุง
พระศ า ส น า ใ ห้ รุ่ ง เ รื อ ง แ ล ะ อ า จ เ ป็ น ก า ร แ ส ด ง ใ ห้ เ ห็ น ว่ า ก า ร ศ า ส น า ใ น ส มั ย
พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมีความเรียบร้อย สังคมสงบสุขในระดับ
ที่ มี พ ร ะ ส ง ฆ์ อ ง ค์ เ จ้ า มี ค ว า ม รู้ ภ า ษ า บ า ลี แ ต ก ฉ า น ม า ก พ อ จ น แ ต่ ง ห นั ง สื อ
ประวัติศาสตร์พระศาสนาได้ รวมทั้งแสดงให้เห็นพระเกียรติยศของ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกองค์อคั รศาสนปู ถัมภกที่ยิง่ ใหญ่ผโู้ ปรดฯ
ใหม้ ีการสังคายนาพระไตรปิฎกชาระพระธรรมวินัยซึ่ง “...ได้สูญได้หายเสียแล้ว
ชนอ่นื ๆ มิได้กระทาเลย...” เป็นการ “ชาระพิรุธให้พิเศษ” “เป็นการประดิษฐาน
พระศาสนา ทั้งเป็นการให้ฝูงชนแลเทวดาทั้งหลายได้สักการบูชาบังเกิดเป็นกุศล
ราศีแก่เทวดาแลมนุษย์ท้ังหลายในพระพุทธศาสนา”และ“...เป็นประโยชน์เกื้อกูล
แก่สัตว์โลกท้ังปวงสิ้น”๗
ประการที่สอง สังคีติยวงศ์สะท้อนให้เห็นภาพ พระสงฆ์ในช่วงหลังเสียกรุง
ศรีอยุธยาคร้ังที่ ๒ สมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และสมัยพระบาทสมเด็จพระ
พทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลก ผ่านสายตาพระพิมลธรรม (สมณศักดิ์ในขณะนั้น) ผู้อยู่ร่วม
เหตกุ ารณ์จริงและยงั ใหร้ ายละเอียดเกี่ยวกับการทาสังคายนาพระไตรปิฎก พ.ศ.
๖ คาอธิบายของสมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ เกี่ยวกับหนังสือมหาวงศ์ ใน กรม
๗ศิลกปรามกศริล, ปวรากรณร,กวรรรรมณสกมรัยรรมัตสนมโัยกรสตั ินนทโรก์ สเลิน่มทร๑์ (กรงุ เทพ,๒๕๓๔),(๑๘).
เลม่ ๑ , ๒๐๒,๒๖๕.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
๘ สังคีติยวงศ์และโอวาทานุสาสนีย์
๒๓๓๑ นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและกรมพระราชวัง
บวรมหาสถานมงคลมีดาริที่จะทาให้พระพุทธวจนะเจริญ การหารือและ
อาราธนาให้สมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานชาระพระไตรปิฎก การสังคายนา
พระไตรปฎิ ก ดังน้ันเนือ้ หาของสังคีติยวงศ์ในช่วงนี้ (ปลายปริเฉทที่ ๗ - ปริเฉทที่
๘)๘ จึงเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ของไทยในช่วงปลายอยุธยาถึงต้นกรุง
รัตนโกสินทร์ทีส่ าคัญชิน้ หนึ่ง
โอวาทานสุ าสนี แต่งเมื่อ พ.ศ.๒๓๕๙ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธ-
เลิศหล้านภาลยั มลู เหตุในการแต่งเพราะมีเหตุพระราชาคณะ ๓ รูปคือพระพุทธ
โฆษาจารย์ (บุญศรี) พระญาณสมโพธิ (เค็ม) วัดนาคกลาง พระมงคลมุนี (จีน)
วัดหน้าพระเมรุต้องอธิกรณ์ว่าเป็นปาราชิก ทาให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ
หล้านภาลัยทรงสังเวชสลดพระทัยในความหละหลวมของสังฆมณฑล จึงเผดียง
ใหส้ มเด็จพระสงั ฆราช (มี) เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนอื และสมเด็จพระพนรัตน์ (อาจ)
วัดสระเกศ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายใต้เรียบเรียงหนังสือเป็นทานองสังฆาณัติสาหรับ
แจกจ่ายไปตามพระอารามใหญ่น้อยเพื่อให้พระสงฆ์มีความรู้และปฏิบัติถูกต้อง
ตามพทุ ธบัญญตั ิ๙
โอวาทานุสาสนี จึงเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ที่สะท้อนความพยายาม
ทานุบารุงพระศาสนาของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เนื่องจาก
การทาผิดพระวินัยของสงฆ์ยังคงเกิดขึ้นทั้งที่ได้ชาระพระไตรปิฎกแล้วในรัชกาล
ก่อน ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นปัญหาการกระทาผิดพระวินัยของพระสงฆ์ที่
เกิดขึ้นซ้าแล้วซ้าอีก (อันที่จริงเป็นปัญหาจวบจนปัจจุบัน) แสดงให้เห็นว่าการ
๘ เนือ้ หาสังคีติยวงศ์มที ้ังสนิ้ ๙ ปริเฉท โรงพิมพ์ไทย, ๒๔๕๗. พิมพ์แจกในงานศพหม่อม
๙ หนังสือโอวาทานุสาสนี (พระนคร :
ราชวงษ์สอิ้งในหม่อมเจ้าทรงวุฒิภาพ ๒๔๕๗), ๒-๓. (มีต้นฉบับพิมพ์ในหนังสือ
พระพุทธศาสนาและสถาบนั สงฆก์ บั สงั คมไทย)
ถึงแม้สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ ทรงอธิบายว่าโอวาทานสุ าสนีได้แจกไป
ตามพระอารามต่าง ๆ แต่คงไมส่ ามารถคาดหวังว่าพระสงฆจ์ ะอ่านหนังสือซ่ึงเป็นประหนึ่ง
คู่มอื ตรวจสอบพระสงฆเ์ ล่มนหี้ รอื เม่ืออ่านแล้วจะเข้าใจหรอื ไม่ ท้ังทีถ่ ้าจะว่าไปแล้วโอวาทา
นสุ าสนีเปน็ หนังสือทีก่ ลนั่ กรองพระไตรปิฎกที่ซับซอ้ นให้ได้อ่านงา่ ยขึน้
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พนั ธ์ ๙
แก้ปัญหาพระสงฆ์เป็นเรื่องที่ไม่สามารถดาเนินการได้โดยง่ายแม้จะมีความ
พยายามของฝ่ายบ้านเมืองแล้วกต็ าม
การฟืน้ ฟแู ละวางรากฐานพุทธศาสนาเพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่
บ้านเมอื งของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก
ในสมยั อยุธยาอดุ มการณ์ทางการเมืองของราชสานักเป็นแบบพราหมณ์-
พุทธ กล่าวคือ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะ “เทพมนุษย์” “สมมติเทพ”
“สมมติเทวดา” หรือการเป็นมนุษย์ที่มีทิพภาวะหรือเป็นเทวดาประเภทหนึ่ง
สถานะของการเป็นเทพเทวดาได้รับการเสริมเติมแต่งให้มีความอลังการมากขึ้น
โดยอาศัยความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์และพิธีกรรมต่าง ๆ ขณะเดียวกัน
กษัตริย์อยุธยาก็ทรงเป็น “พระพุทธเจ้า” หรือในที่นี้หมายถึงพระโพธิสัตว์ผู้ที่จะ
เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในอนาคตด้วย๑๐ แต่ไม่ว่ากษัตริย์จะเป็นเทพ เทวดาหรือ
พระพุทธเจ้า กษัตริย์ต้องมีธรรมเป็นเครือ่ งกากบั เสมอ ทั้งนี้เพราะมีคติความเชื่อ
ที่ว่า ความเจริญรุ่งเรืองหรือความเสื่อมของบ้านเมืองเป็นผลมาจากการมี
คุณธรรมจริยธรรมของกษัตริย์ แม้ว่าอุดมการณ์ทางการเมืองของราชสานักมีท้ัง
พราหมณ์-พุทธ ปะปนกันอยู่ แต่ในส่วนการควบคุมจัดความเป็นระเบียบ
เรียบร้อยของสังคม ราชสานักได้อาศัยหลักธรรมคาสอนทางพุทธศาสนาเป็น
หลักโดยมีพระสงฆ์เป็นสื่อกลางในการเผยแผ่คาสอน ฉะน้ันกษัตริย์จึงต้องมี
หน้าที่ดูแลค้าจุนศาสนาและพระสงฆ์หรือฝ่ายพุทธจักรให้อยู่ในสภาพบริบูรณ์
เช่นเดียวกบั การทาหน้าท่ดี แู ลฝ่ายอาณาจกั รใหอ้ ยู่ในสภาพสงบเรียบร้อย
๑๐ รายละเอียดเกย่ี วกับสถานภาพของกษตั รยิ ์ ใน วรพร ภพู่ งศ์พันธ์ุ, “กฏมณเทียรบาลใน
ฐานะหลักฐานประวัติศาสตร์ไทยสมัยอยุธยาถึง พ.ศ.๒๓๔๘”, วิทยานิพนธ์ปริญญา
อักษรศาสตรดุษฏีบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั , ๒๕๔๘, ๗๕-๑๔๔.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
๑๐ สงั คีติยวงศ์และโอวาทานุสาสนีย์
การฟื้นฟูศาสนาสมัยสมเดจ็ พระเจ้ากรุงธนบุรี
หลังเสียกรุงศรีอยธุ ยา พ.ศ.๒๓๑๐ สภาพความป่ันป่วน ทุกขเวทนาเกิดขึ้น
โดยทัว่ ไปกับท้ังประชาชนพระสงฆ์องค์เจ้ารวมกระทง่ั พระพทุ ธรูป คัมภีรท์ างพุทธ
ศาสนา ดังความในสงั คีติยวงศ์ทีว่ ่า๑๑
“ประชาชนทง้ั หลาย ท่วมทับอยู่ด้วยความโศก ปริเทวทุกขโทมนัสอุ
ปายาสมากมาย ต่างพากันหิวโหยโรยแรงท่ัวไป พลัดพรากจาก
ญาติมิตรลูกเมียท้ังหลาย ฉิบหายวายร้ายจากเครื่องใช้สอย อปุ โภค
บริโภค ทรัพย์สินเงินทองแก้วแหวนข้าวของท้ังหลาย หาที่พึ่งมิได้
เป็นทุคตกาพร้าร้ายกาจเป็นอันมาก ปราศจากข้าวปลาอา หาร
ผ้าผ่อนเครื่องนุ่งห่ม ซูบผอมเผือดผิดร่างกายทรุดโทรมไป ได้แต่
ต้นไม้ใบหญ้าเครือเถาเหง้าเปลือกในไม้ดอกผลพืชเป็นอาทิเป็น
อาหาร พวกมนุษย์ทั้งหลายมากมายพลัดพรากกันไปต่างเพียง
สัญจรซัดเซไปในตาบลต่าง ๆ เลี้ยงชีวิตฝืดเคืองแสนทุกข์ยากเป็น
อนั มาก”
“ประชาชนได้ถึงความวิปโยค ๒ ประการ คือ ญาติวิโยค ๑
สมบัติวิโยค ๑ ได้ปราศจากเมตตาจิตซึ่งกันและกันอันภัยเกิดแต่
ความหวิ ...”
“ฝ่ายภิกษุสงฆ์ท้ังหลาย เมื่อไม่ได้อาหารบิณฑบาตแต่ทายก
แล้ว ก็เหนื่อยยากลาบากเข้าไม่สามารถจะครองกาสาวพัตรได้ ใช้
ใหศ้ ิษย์ไปขวนขวายอาหารเพื่อได้เลี้ยงท้อง ได้บ้างมิได้บ้างก็เหนื่อย
หน่ายจากการบวช ด้วยความลาบากที่จะครองเพศเป็นสมณะ ได้
พากันศึกออกหาเลี้ยงชีวิต ตามสติกาลงั
บางพวกทีย่ ังรักกาสาวพตั รอยู่ ก็อุตสาหะพยุงกาย ด้วยการ
แสวงหาน่าเวทนายิ่งนัก ได้ฉันบ้างไม่ได้ฉันบ้าง ก็มีรูปกายวิปริต
สะพร่ังไปด้วยเกลียวหนังแลเส้นเอ็น ก็ไม่เป็นน้าหนึ่งใจเดียวกันได้
๑๑ กรมศิลปากร,วรรณกรรมสมัยรตั นโกสินทร์ เลม่ ๑, ๒๔๐-๒๔๑.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พันธ์ ๑๑
หมดความอาลัยรักษาพระพุทธรูปแลพระธรรมไว้ไม่ได้ พากัน
สาเร็จอยู่ตามสถานอนั สมควร
ฝ่ายพวกมิจฉาทิฐิทั้งหลายกท็ าอันตรายแก่พระพุทธรูป
พระธรรมวินยั ไตรปฎิ ก เมือ่ ขาดความรักษาเสียแล้ว ก็วินาศ
ไปต่าง ๆ คือ พวกมิจฉาทิฐิเยื้อแย่งเอาผ้าห่อแลเชือกรัดไปบ้าง ตัว
ปลวกกัดกินยับเยินไปบ้าง แลพินาศสูญไปต่าง ๆ โดยที่พลัดพราก
ตกลงดินเปียกน้าผไุ ปเสียบ้างกม็ ี”
สภาพบ้านเมืองและพระสงฆ์ทีก่ ล่าวถึงในสังคีติยวงศ์สอดคล้องกับบันทึก
ร่วมสมยั ของบาทหลวงซึง่ อยู่ในอยุธยาเวลานั้นว่า
“เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๑๗๖๗ บ้านเมืองถูกยึดโดยการโจมตี
ทรพั ย์สมบตั ิในพระราชวังและวัดต่าง ๆ ไม่เหลืออะไรเลยนอกจาก
ซากปรักหักพังและเถ้าถ่าน พระพทุ ธรูปถูกนามาหลอมและทาลาย
... พระสงฆ์ซึ่งถูกสงสัยว่าปิดบังทรัพย์สินจานวนมาก ถูกธนูยิงจน
พรุนและถูกหอก คนอื่น ๆ จานวนมากก็ถูกตีจนตายด้วยกระบอง
หนัก ๆ สภาพบ้านเมืองก็เช่นเดียวกับวัดวาอารามซึ่งเต็มไปด้วย
ซากศพ แม่น้าต่าง ๆ ไหลไม่สะดวกเนื่องจากพวกซากศพกีดก้ันทาง
น้า ...”๑๒
สภาพวดั วาอารามที่ถูกทิ้งร้างพระสงฆ์ทิ้งวัดดารงอยู่จนแม้ พ.ศ. ๒๓๑๓
ทีส่ มเดจ็ พระเจ้ากรงุ ธนบุรีขึน้ เสวยราชย์ราชสมบัติแล้วด้วยความในจดหมายเหตุ
คณะบาทหลวงฝรัง่ เศสความว่า
“บรรดาพระพุทธรูปและพระเจดีย์ซึ่งได้ปิดทองกันอย่างงดงาม
บดั นีก้ ็ทาลายหักพงั เปน็ ผงธุลีไปหมด แล้วตามวัดวาอารามก็ร้างไป
หมดเพราะพวกพระสงฆ์ได้หนที งิ้ วัดไปสนิ้ ผ้าเหลืองเวลานี้ไม่ใคร่จะ
มีใครนับถือเหมือนแต่ก่อนแล้ว และถ้าใครขืนครองผ้าเหลืองใน
เวลานี้ก็ต้องอด การที่เป็นเช่นนี้ไม่เฉพาะแต่ในกรุงและตาบล
๑๒ ฟรงั ซัวส์ องั รี ตุรแปง, ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรงุ ศรีอยุธยาฉบบั ตุรแปง, แปลโดย
สมศรี เอี่ยมธรรม (กรงุ เทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๒๒), ๑๙๖.
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
๑๒ สังคีติยวงศ์และโอวาทานสุ าสนีย์
ใกล้เคียง แต่พระเจ้าแผ่นดินเสดจ็ ยกทพั ไปทีแ่ หง่ ใดกเ็ ป็นเช่นนี้ทั่วไป
เช่น เมืองพิษณุโลก นครราชสีมา เพชรบุรี นครศรีธรรมราช และ
ภูเก็ต เปน็ ต้น”๑๓
เมื่อ อา ณาจั กร อยุ ธยา ล่ม สล ายล งและสั งค มมี ควา มป่ั นป่ วนอ ย่า งสู ง
ปัญหาการจดั ระเบียบและความคุมสังคมจึงมีความสาคัญยิ่ง สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้
สังคมมีระเบียบขึน้ คือหลกั คาสอนทางศาสนา แต่สงครามคราวเสียกรงุ ศรีอยุธยา
ทาใหพ้ ุทธศาสนาและพระสงฆ์อยู่ในสภาพทรุดโทรมอย่างยิ่ง ดังเช่นที่พระพิมล-
ธรรมได้บรรยายไว้ข้างต้น การจะ “ฟื้นฟูให้คืนดี” จึงเป็นสิ่งที่ทาได้ไม่ง่ายนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า ๑๔
และการสงครามกว่าค่อนรัชกาลทาให้การฟื้นฟูบ้านเมืองในด้านอื่น ๆ อย่าง
จริงจังเป็นไปได้โดยยาก๑๕ แต่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ได้ทรงทานุบารุงพุทธ
ศาสนาด้วยประการต่าง ๆ จนทาใหพ้ ุทธศาสนาฟื้นตัว นับเป็นรากฐานให้แก่การ
จดั การพระศาสนาในสมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกต่อมา๑๖
หลังจากพระบาทสมเดจ็ พระเจ้ากรุงธนบรุ ีขนึ้ ครองราชย์ได้ทรงเห็นปัญหา
ความเสื่อมของสถาบันสงฆ์และพยายามใช้มาตรการแก้ไขและฟื้นฟูหลาย
ประการ ดังต่อไปนี้
๑. ทรงแต่งต้ังพระราชาคณะผู้ใหญ่ผู้น้อยโดยสมควรแก่คุณานุรูป ตาม
ตาแหน่งเหมือนเมื่อครั้งกรุงเก่า โดยมีพระราชโองการสั่งพระศรีภูริปรีชาราช
๑๓ ประชมุ พงศาวดารเล่ม ๒๓ (กรุงเทพฯ : ครุ สุ ภา, ๒๕๑๑), ๙๕. เมือ ง ใ นรั ช สมั ย
๑๔ สายชล วรรณรัตน์, พุทธศาสนากับแนวคิดทางการ
พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (พ.ศ.๒๓๒๕-๒๓๕๒) (กรุงเทพฯ : มติชน
๑,๒๕๕๔ว๖ิน),ัย๖พ๓-งศ๖์๔ศร. ีเพียร, “การพระศาสนากับการจัดระเบียบสังคมไทยต้ังแต่รัชกาล
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราชถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หวั ,“ ใน พระพุทธศาสนาและสถาบันสงฆ์กับสังคมไทย, วินัย พงศ์ศรีเพียรและ
วีรวัลย์ งามสันติกุล, บรรณาธิการ (กรุงเทพ ฯ : สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
๑(ส๖กสว.า)ย, ช๒ล๕๔วร๙ร)ณ, ๒รัต๗น๘์, .พุทธศาสนากับแนวคิดทางการเมืองในรชั สมยั พระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (พ.ศ.๒๓๒๕-๒๓๕๒), ๖๔.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พันธ์ ๑๓
เสนาใหส้ ืบเสาะหาพระสงฆ์เถรานเุ ถระผู้รอู้ รรถธรรมแล้วนิมนต์มาประชุมกัน ณ
วดั บางหว้าใหญ่ (ปัจจุบันคือวัดระฆังโฆษิตาราม) เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๑ และได้ตั้ง
พระอาจารย์ดีวัดประดู่ ซึ่งรู้คุณธรรมมากท้ังแก่พระวัสสาอายุ เป็นสมเด็จ
พระสังฆราช บังคบั บัญชาและสง่ั สอนฝ่ายคันถธุระและวิปัสสนาธุระแก่พระสงฆ์
สามเณรทั้งปวง๑๗ การแต่งต้ังสมเด็จพระสังฆราชคร้ังนี้เหมือนเป็นการจัดต้ัง
สถาบนั สงฆ์ขึ้นใหม่๑๘
๒. ทรงสร้างพระอโุ บสถวิหารและเสนาสนะกุฏิหลายพระอารามมากกว่า
สองร้อยหลังโดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เมื่อคร้ังเสด็จไปตีเมือง
นครศรีธรรมราชได้โปรดฯให้ปฏิสังขรณ์พระอโุ บสถวิหารการเปรียญ พระระเบียง
ศาลากุฏิพระอารามใหญ่น้อยหลายพระอาราม รวมท้ังบูรณปฏิสังขรณ์พระพุทธ
ปฏิมากรทีว่ ดั บางยีเ่ รือใต้๑๙
๓. ทรงใหส้ ังฆการีธรรมการทาสารบญั ชีพระสงฆ์ หากพระสงฆ์รูปใดเรียน
พระไตรปฎิ กมาก กท็ รงถวายไตรจีวรผ้าเทศเนื้อละเอียด และทรงถวายปัจจัยแก่
เถรเณรที่เล่าเรียนได้มากและน้อย๒๐
๔. ทรงให้จารพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกที่หลงเหลือในสมัยนั้นมีไม่มาก
และไม่สมบูรณ์ ดังน้ันเมื่อ สมเด็จ พระเจ้ากรุงธนบุรี ยกทัพไปตีเมือง
นครศรีธรรมราชจึงให้ราชบัณฑิตจัดพระไตรปิฎกลงเรือเข้ามาในกรุง๒๑และจ้าง
ช่างจารพระไตรปิฎกจนสิ้นที่มีฉบับ สิ้นพระราชทรัพย์เป็นอันมาก และเมื่อทรง
จัดการหัวเมืองฝ่ายเหนือได้เรียบร้อยมีพระดารัสให้พระราชาคณะกับพระสงฆ์
อันดับของกรุงธนบุรีขึ้นไปบวชพระ (ทรงเห็นว่าพระสงฆ์ฝ่ายเหนือเป็นพวกเจ้า
๑๗ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๒, พิมพ์คร้ังที่ ๗ (กรุงเทพฯ :
ค๑๘ลงั วิทวยินาัย, ๒๕๑๖), ๓๒๘.
พงศ์ศรีเพียร, “การพระศาสนากับการจัดระเบียบสังคมไทยต้ังแต่รัชกาล
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
๒เ๑๒จ๙๐๑้าอเพรยพรื่อู่หะงรัวรเะด,า“ไียชตใวพรนกปงันพศิฎ,ราก๓ะวนพ๒ดี้ท๘าุทรรธ-ง๓ศฉมา๒ีรบสับ๙ับนส.พา่ังรแวะ่ลารพะาสอชถจหาาัตบลถนัอเลสงไขงดฆา้ทก์ เุกลบั พม่ สรัง๒ะคค,มัม๓ไภท๒ีรย๘์แ,,ล๒๓้ว๗๔จ๘๐ะเ,.ช๔ิญ๒อ๕อ.กมาส่งไว้
ตามเดิม
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
๑๔ สังคีติยวงศ์และโอวาทานุสาสนีย์
พระฝางและต้องจตุปาราชิกาบัติ๒๒ต่าง ๆ ขาดจากสิกขาบทในพระพุทธศาสนา)
และให้พระราชาคณะอยู่สั่งสอนพระวินัยสิกขาบทกับให้เก็บพระไตรปิฎกลงมา
เป็นฉบับสร้าง ณ กรุงธนบุรีด้วย นอกจากน้ัน โปรดฯ ให้สร้างสมุดภาพไตรภูมิ
และยังมีพระดารัสให้นิมนต์พระเทพกระวีให้ออกไปกรุงกัมพูชา ให้พระพรหมมุนี
ออกไปเมืองนครศรีธรรมราชค้นพระคัมภีร์พระวิสุทธิมรรคนาเข้ามาเป็นฉบับ
สร้างไว้ในกรุงธนบุรีด้วย๒๓การพยายามรวบรวมพระไตรปิฎก พระคัมภีร์จากที่
ต่าง ๆ มาไว้ที่กรงุ ธนบุรีแสดงใหเ้ ห็นถึงความพยายามฟื้นฟูการพระศาสนาที่ทรุด
โทรมหลงั กรงุ แตกของสมเด็จพระเจ้ากรงุ ธนบรุ ีได้เป็นอย่างดี
๕. ทรงลงโทษพระภิกษสุ งฆ์ผู้ประพฤติผิด การทาผิดพระวินัยสงฆ์จัดเป็น
ปัญหาใหญ่ในการจดั ระเบียบสงฆ์และการทาหน้าที่ชาระคณะสงฆ์ให้บริสุทธิ์ถือ
เป็นหน้าทีอ่ ย่างหนึ่งของกษัตริย์๒๔ดังน้ันสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงใช้มาตรการ
เดด็ ขาดในการลงโทษผู้ทาผิด เช่น ช่วงต้นรัชกาล พ.ศ.๒๓๑๒ มีผู้เป็นโจทก์ฟ้อง
กล่าวโทษสมเดจ็ สังฆราชว่าเมื่อครั้งอยู่ในค่ายพระนายกองโพธิ์สามต้นได้คิดอ่าน
กับพระนายกองเร่งเอาทรัพย์จากชาวเมืองที่อยู่ในค่าย จึงโปรดฯ ให้พระยา
พระเสด็จชาระถามพระสังฆราชแต่ไม่รับ จึงให้พิสูจน์ความบริสุทธิ์โดยการลุย
เพลิง สมเด็จพระสังฆราชแพ้ในการพิสูจน์จึงมีพระราชดารัสให้สึก (ปลายปีน้ัน
ทรงตั้งพระอาจารย์ศรีเปน็ สมเด็จพระสังฆราชแทน)
ส่วนพระวันรัตน์ก็ถูกสามเณรศิษย์ฟ้องกล่าวโทษว่าส้องเสพเมถุนธรรม
ทางเว็จมรรคแหง่ ตน (การเสพกามทางทวารหนัก) เมื่อสอบสวนแล้วสมเด็จพระ
วันรัตน์ยอมรบั จึงโปรดใหส้ ึก แต่ทรงเห็นว่าเป็นคนมีความรู้จึงตั้งเป็นหลวงธรรม
รักษาเจ้ากรมสังฆการี ในปีถัดมาหลังจากการปราบชุมนุมเจ้าพระฝางแล้ว ได้
๒๒ ปาราชิก ๔ เป็นข้อห้ามที่มีโทษสูงสุดสาหรับภิกษุผู้ฝ่าฝืนคือ ห้ามเสพเมถุน ห้ามลัก
ท๒๓รพั พย์รตะั้งแรตา่ช๑พบงาศทาขวนึ้ ดไปารหฉ้ามบฆับ่าพมรนะุษรยา์ ชหห้ามัตอถวเดลอขุตารมเิ ลน่มุสธ๒ร,รม๓ท๔ี่ไ๐ม่-ม๓ใี น๔ต๒น, ๓๔๗-๓๔๘,
๔๒๙ ; สายชล วรรณรัตน์, พุทธศาสนากับแนวคิดทางการเมืองในรัชสมัย
๒พ๔รนะิบธิาเทอียสวมศเดรีจ็วงพศร์,ะกพาทุ รธเยมอือดงฟไทา้ ยจสฬุ มาโัยลพกร(ะพเจ.ศ้า.ก๒ร๓ุง๒ธน๕บ-๒ุรี,๓พ๕ิม๒พ)์ค, ร๖ั้ง๔ท.ี่ ๔ (กรุงเทพฯ :
มติชน,๒๕๓๙), ๒๕๑.
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พันธ์ ๑๕
โปรดฯ ให้ชาระความภิกษุเมืองเหนือ เพราะเหตุเป็น “พรรคพวกอ้ายเรือน
พระฝางย่อมถืออาวุธและปืนรบศึกฆ่าคนปล้นทรพั ย์เอาสิ่งของ กินสุราเมรัยส้อง
เสพอนาจารด้วยหญิงต้องจตุปาราชิกาบัติต่าง ๆ ขาดจากสิกขาบทใน
พระพุทธศาสนา ให้พระสงฆ์เหล่านี้ให้การไปตามสัตย์จริง ถ้าผิดในจตุปาราชิก
ประการใดประการหนึ่งให้สึกออกทาราชการ ที่ไม่รับให้ดาน้าสู้นาฬิกาสาม
กล้ัน”๒๕
แม้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ลงโทษพระสงฆ์ที่ทาผิดพระวินัยมาโดย
ตลอดแต่ในช่วงปลายรัชกาล พ.ศ.๒๓๒๓ ก็ยังมีกรณีพระราชาคณะสี่รูปต้อง
อธิกรณ์คือพระพิมลธรรมวัดโพธารามข้ออทินนาทานปาราชิก พระธรรมโคดม
พระอภัยสารทวัดหงส์ และพระพรหมมุนีวัดบางยี่เรือข้อเมถุนปาราชิกกับศิษย์
โดยเว็จมรรค เมื่อชาระความพบว่าพระราชาคณะทั้งสี่ผิดจริงจึงให้สึก แต่พระ
ธรรมโคดมและพระอภัยสารทกลับบวชเข้าเป็นเถร พระพิมลธรรมโปรดต้ังเป็น
หลวงธรรมรักษา เจ้ากรมสังฆการีขวา พระพรหมมุนีเป็นหลวงธรรมาธิบดี เจ้า
กรมสงั ฆการีซ้าย พระราชทานภรรยาหลวงราชมนตรีผู้ถึงแก่กรรมให้เป็นภรรยา
ทั้งสองคน๒๖
๖. ทรงตรา “พระราชกาหนดของพระเจ้ากรุงธนบุรีว่าด้วยศีลสิกขาบท”
เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๖ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สมณผู้รักษาศีลสังวรวินัยและ “ให้
สมณะกุลบุตรผู้ไม่รู้อัตถกถาบาฬีเล่าเรียนแจ้งใส่ในขันธสันดาน แล้วจึงให้บวช
ปรนิบัติ”๒๗ พระราชกาหนดที่ออกนี้สะท้อนให้เห็นว่าพระภิกษุในสมัยนั้นทาผิด
พระวินยั มากและมีพระภิกษุสงฆ์จานวนมากบวชโดยไม่มีความรู้ภาษาบาลีเพียง
พอทีจ่ ะเข้าใจแม้แต่เรื่องจตุปาราชิก สังฆาทิเสส และรายละเอียดของศีล ๒๒๗
ข้อซึ่งต้องถือปฏิบัติ พระราชกาหนดนี้แจกแจงศีล ๒๒๗ ของพระภิกษุเป็นข้อ ๆ
๒๕ พระราชพงศาวดาร ฉบบั พระราชหัตถเลขา เล่ม ๒, ๓๓๒-๓๓๓, ๓๔๗. โรงพิมพ์
๒๖ เรือ่ งเดียวกนั , ๔๓๖-๔๓๗.
๒๗ พระราชกาหนดของพระเจ้ากรุงธนบุรีว่าด้วยศีลสิกขาบท. (พระนคร :
ไทย,๒๔๕๘หม่อมเจ้าหญิงสารภี ในพระเจ้าบรมวงษ์เธอชั้น ๓ กรมหม่ืนภูมินทรภักดีพิมพ์
แจกในงานปลงศพสนองคุณหม่อมพลับ ผู้มารดา ๒๔๕๘), ๑,๓๖. (มีต้นฉบับพิมพ์ใน
หนังสือพระพุทธศาสนาและสถาบนั สงฆก์ บั สังคมไทย)
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
๑๖ สังคีติยวงศ์และโอวาทานสุ าสนีย์
โดยถือว่าศีล ๒๒๗ เป็นกิ่งก้านสาขาของศีล ๑๐ ประการ เพื่อให้ผู้จะบวชและไม่
มีความรู้ทางบาลีอรรถกถาศึกษาเล่าเรียนให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนบวชใน
พระศาสนา๒๘
ศีลสิกขาบทประกอบด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับการละเมิดพระวินัยและผล
ที่พระภิกษุผู้ทาผิดจะได้รับโดยการตกนรกชั้นต่าง ๆ ตามความหนักเบา เช่น ถ้า
ผิดพระวินัยขั้นจตุปาราชิกตก “มหาอวิจีนรก” ละเมิดข้อห้ามข้ันสังฆาทิเสสตก
“ดาพนรก” หรอื นรกอันร้อน๒๙เป็นต้น แม้พระราชกาหนดฉบบั นี้จะไม่มีบทลงโทษ
ที่เป็นรูปธรรม (เพราะผลที่ได้รับหากทาผิดคือตกนรก) หรือบทลงโทษตาม
ข้อกาหนดของฝ่ายบ้านเมืองแต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ฝ่ายอาณาจักรออก
พระราชกาหนดเกี่ยวกับพระสงฆ์โดยตรง และเป็นธรรมเนียมที่พระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกทรงกระทาตามในเวลาต่อมาใน “กฎพระสงฆ์”
ความพยายามฟื้นฟูและทานุบารุงพระศาสนาของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบรุ ี
ดังกล่าวข้างต้นทาให้สถาบันพุทธศาสนาฟื้นตัว อย่างไรก็ตามวิธีการชาระ
พระพุทธศาสนาบางประการเช่นการใช้วิธีดาน้า ลุยเพลิงพิสูจน์ ประกอบกับ
ในช่วงปลายรชั กาลสมเดจ็ พระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดการเจริญกรรมฐาน ทาให้เข้า
พระทัยว่าพระองค์เป็นอริยบุคคลข้ันโสดาบัน นามาสู่ปัญหาความวุ่นวายลงโทษ
ถอดสมณศักดิ์พระสังฆราชวัดบางหว้าใหญ่ พระพุฒาจารย์วัดบางหว้าน้อย
พระพิมลธรรมวดั โพธารามและลงโทษพระสงฆ์ทั้งสามอารามโดยการโบยตี ด้วย
เหตทุ ีพ่ ระราชาคณะท้ังสามเห็นว่าพระสงฆ์ไม่ควรไหว้คฤหัสน์อันเป็นโสดาบัน สิ่ง
๒๘ ชาญณรงค์ บุญหนุน, “กฎพระสงฆ์ในกฎหมายตราสามดวง,” ใน พระพุทธศาสนา
และสถาบันสงฆ์กับสังคมไทย, ๒๕ ; วินัย พงศ์ศรีเพียร, “การพระศาสนากับการจัด
ระเบียบสงั คมไทยตั้งแต่รชั กาลพระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชถึงรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,“ ใน พระพุทธศาสนาและสถาบันสงฆ์กับ
ส๒๙งั คพมรไะทรยา,ช๒ก๘า๐ห-น๒ด๘ข๑อ.งพระเจ้ากรุงธนบุรีว่าด้วยศีลสิกขาบท, ๑-๓๖; วินัย พงศ์ศรี
เพียร, “การพระศาสนากบั การจัดระเบียบสังคมไทยตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,“ ใน
พระพทุ ธศาสนาและสถาบนั สงฆ์กบั สงั คมไทย, ๒๘๐-๒๘๑.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พันธ์ ๑๗
ต่าง ๆ เหล่านี้ทาให้สังฆมณฑลที่เริ่มฟื้นตัวแต่ไม่ม่ันคงนักกลับเสื่อมโทรมลงไป
อีก๓๐
การฟื้นฟูและวางรากฐานพระพุทธศาสนาสมัยพระบาทสมเด็จ
พระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลก
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกขึ้นครองราชสมบัติใน พ.ศ.
๒๓๒๕ นั้น บ้านเมืองโดยเฉพาะฝ่ายพุทธจักรอยู่ในสภาพสับสนเศร้าหมอง
สภาพการณ์เช่นนี้เป็นมาต้ังแต่ปลายสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สังคีติยวงศ์
ใหภ้ าพดงั กล่าวว่า
“ลุพระพุทธศักราช ๒๓๒๒ ล่วงแล้ว ... สมเด็จพระมหายศ พระ
มหาเดชท้ัง ๒ พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์มหิมาท้ังมหาปริวารยศและทศ
บารมีกต็ ักเตือนน้าพระหฤทัย เหตุได้ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรูป
เป็นต้น และพระไตรปฎิ กพระพุทธวจนะท้ังหลาย พระสถูปพระธาตุ
เจดีย์ท้ังหลาย พระอาราม พระวิหารแลบริเวณทั้งหลายต่าง ๆ
วิปริตต่าง ๆ พินาศต่าง ๆ ก็มีพระหฤทัยหวั่นไหวอยู่ด้วยความรัก
พระพุทธศาสนายิ่งหนักหนา ประหนึ่งว่าจะมีดวงพระหฤทัยแตก
ออกไปได้ ๗ ภาคฉะนั้น”๓๑
ดังนั้นหลังจากจัดการฝ่ายอาณาจักรจัดแจงแต่งตั้งข้าราชการตาม
ตาแหน่งเสรจ็ แล้ว ในปีเดียวกันนั้นพระองค์และพระอนุชาธิราช (กรมพระราชวัง
บวรสถานมงคล) ได้ปรึกษากันเพื่อ “จัดแจงฝ่ายพุทธจักรทานุบารุง
พระพทุ ธศาสนา ซึ่งเสื่อมทรุดเศร้าหมองนั้นให้วัฒนารุ่งเรืองสืบไป”๓๒ จะเห็นได้
๓๐ พระราชพงศาวดาร ฉบบั พระราชหัตถเลขา เล่ม ๒, ๔๔๐-๔๔๒ ; สมเด็จพระเจ้า
บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ, ตานานคณะสงฆ์ (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา
ลาดพร้าว, ๒๕๑๔. พมิ พเ์ ป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางเล็ก พิณสายแก้ว เมษายน
๓๓๒๒๑๕๑กพ๔รรม)ะ,ศร๔ิลา๐ชปพ.ากงรศ,าววรดรณารกฉรบรมับสพมรยัะรราัตชนหโกัตสถินเลทขรา์ เเลลม่ ม่ ๓๒,,๒๔๔๕๙๖..
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
๑๘ สงั คีติยวงศ์และโอวาทานุสาสนีย์
ว่าการแก้ไขหรือทานุบารุงการศาสนาหรือพุทธจักรเป็นพระราชกิจแรก ๆ ที่ทรง
ทา และทรงทาในปีเดียวกับการปราบดาภิเษก
การให้ความสาคัญกับพุทธจักรเป็นเพราะเหตุ ๒ ประการที่สัมพันธ์กัน
ประการแรก เพื่อสร้างสิทธิธรรมทางการเมืองให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอด
ฟ้าจุฬาโลก ในฐานะผู้สถาปนาราชวงศ์ใหม่และปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์
หลังจากบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงคราม การไร้ระเบียบของสังคม และอยู่ในสภาพ
เสื่อมโทรมทางศีลธรรมและจริยธรรม ดังนั้น การจัดระเบียบสังคมโดยการ
อปุ ถมั ภ์ค้าชวู ฒั นธรรมและบารุงพทุ ธศาสนาจึงเปน็ บทบาทสาคัญทีพ่ ึงกระทา แม้
บทบาทดังกล่าวมีความสาคัญในเชิงสัญลักษณ์ก็ตาม ทั้งนี้เพราะองค์ประกอบ
ของความเปน็ รฐั หรอื อาณาจักรต้องสมบูรณ์ทุกด้าน ทั้งด้านความมั่นคงทางการ
เมืองและสังคม ทีส่ าคญั พทุ ธศาสนาเป็นบ่อเกิดวัฒนธรรมไทยแทบท้ังหมดไม่ว่า
จะเป็นคติความเชื่อ หลักการดาเนินชีวิต งานสร้างสรรค์ทางศิลปกรรมและ
วรรณกรรม ดังนั้นการฟื้นฟูพุทธศาสนาจึงเป็นหัวใจสาคัญที่สุดของการฟื้นฟู
วัฒนธรรม๓๓
ประการที่สอง การแก้ไขและทานุบารุงพุทธศาสนาย่อมก่อให้เกิดความ
สงบเรียบร้อยและความเปน็ ระเบียบในสงั คม เมื่อแนวคิดเกี่ยวกับการดาเนินชีวิต
ของคนในสังคมผูกพันกับคาสอนทางศาสนา ดังนั้นการทานุบารุงพระศาสนาที่
เสื่อมทรุดต้ังแต่การชาระคณะสงฆ์ที่มัวหมองต้ังแต่ปลายรัชการสมเด็จพระเจ้า
กรุงธนบุรีให้กลับคืนดังเดิม (ภารกิจแรกทางพุทธศาสนาที่ทรงทา) หรือในเวลา
ต่อมาทรงโปรดฯ ใหช้ าระพระไตรปฎิ ก ย่อมทาใหพ้ ระสงฆ์ผู้มีหน้าที่ส่ังสอนธรรม
กลบั มาเปน็ ทีพ่ ึง่ ของประชาชนได้ เมือ่ น้ันสังคมที่สงบสขุ กจ็ ะกลับคืนมา
อย่า งไร ก็ตา ม นั กวิช ากา รเช่น วินัย พงศ์ศรีเ พียร เห็นว่า เมื่อ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกขึ้นครองราชย์ พระองค์ไม่เพียงทรง
ยึดถือแนวคิดทางการเมืองแบบพุทธเถรวาท หากยังได้ทรงพยายามสร้าง
๓๓ วินัย พงศ์ศรีเพียร, “การพระศาสนากับการจัดระเบียบสังคมไทยตั้งแต่รัชกาล
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว,“ ใน พระพุทธศาสนาและสถาบนั สงฆก์ ับสังคมไทย, ๒๘๓-๒๘๔.
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พนั ธ์ ๑๙
ราชอาณาจักรใหม่ของพระองค์เป็น “รัฐพุทธ” ในอุดมคติอย่างแท้จริง๓๔
ความคิดนี้น่าสนใจเพราะพระราชกิจทางศาสนาหลายประการที่ทรงทาล้วนเป็น
การฟื้นฟูและวางรากฐานให้พระพทุ ธศาสนาเข้มแข็งและเป็นปึกแผ่นในสังคมไทย
และมีจุดประสงค์ทาให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ดังปรากฏในความตอนต้นของ
พระราชกาหนดใหม่ ฉบับที่ ๙ ที่ประกาศใช้เมื่อ จ.ศ.๑๑๔๖/พ.ศ.๒๓๒๗ ว่า
“ด้วยสมเดจพระบาทบรมนาถบรมบพิตรพระพุทธิเจ้าอยู่หัว ผู้ทรง
ทศพิธราชธรรมอันมหาประเสริฐ...ทุกวันนี้หาเอื้อเฟื้อด้วยพัศดุะ
เงินทองไม่ รักพระสาศนาอนาประชาราษฏร ยิ่งกว่าพัศดุเงินทอง
ร้อยเท่าพันทวี อีกตั้งพระไททานุกบารุงวรพุทรสาศนาไพร่ฟ้า
ประชากรให้อยู่เยนเปนศุกข ทรงพระราชตาริตริตรองตามทานอง
คลองราชประเวนีบรมกระษัตราธิราชแต่ปางก่อน ซึ่งเสวยราช
สมบัติต้ังอยู่ในยุติธรรมน้ัน ราชวงษ...ก็ต้ังอยู่ในทางธรรมตามพระ
ธรรมสาตรราชสาตร...ตามบุราณราชประเพณีรักษาแผ่นดินโดย
ยุติธรรม ไพร่ฟ้าประชากรได้อยู่ศุกขเยนใจ บ้านเมืองก็สมบูรรณ
หาไภยอนั ตรายมิได้...”๓๕
อย่างไรก็ดีพระราชกิจที่ทรงกระทาจะถึงขั้นต้องให้เป็น “รัฐพุทธ” หรือไม่ขึ้นอยู่
กับความคิดและการตีความของแต่ละคน
พระราชกิจที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงปฏิบัติเพื่อเป็น
การฟื้นฟแู ละวางรากฐานพุทธศาสนาใหส้ ังคมไทย มีดังต่อไปนี้
๑. การชาระคณะสงฆ์ที่มวั หมองปลายรชั กาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีให้
บริสทุ ธิ์ เป็นพระราชกิจแรกที่ทรงกระทาโดยทรงใหค้ ืนสมณศกั ดิแ์ ก่พระสงั ฆราช
พระพุฒาจารย์ และพระพิมลธรรม ซึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีให้ลงโทษถอด
๓๔ เรือ่ งเดียวกนั , ๒๘๔-๒๘๙. และศึกษาพุทธศาสนากับแนวคิดทางการเมืองเพ่ิมเติมใน
สายชล วรรณรัตน์, พุทธศาสนากับแนวคิดทางการเมืองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พ๓๕ระพ“พทุ รธะยรอาชดกฟาา้หจนฬุ ดาใหโลมก่,”(ใพน.ศป.ร๒ะ๓ม๒วล๕ก-ฎ๒ห๓ม๕า๒ย)ร.ชั กาลที่ ๑ จุลศักราช ๑๑๖๖ พิมพ์
ตามฉะบับหลวงตรา ๓ ดวง เล่ม ๓, มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง,
ผจู้ ดั พมิ พ์ (กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์เรอื นแก้วการพิมพ์, ๒๕๒๙), ๓๓๘.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
๒๐ สงั คีติยวงศ์และโอวาทานสุ าสนีย์
จากพระราชาคณะและกลับไปครองพระอารามเดิม (หลังจากถูกถอดสมณศักดิ์
พระราชาคณะท้ัง ๓ รูปถูกคุมตัวอยู่ที่วัดหงส์) และทรงสรรเสริญว่า “พระผู้เป็น
เจ้าทั้งสามพระองค์นี้มีสันดานสัตย์ซื่อมั่นคงดารงรักษาพุทธศาสนาโดยแท้ มิได้
อาลัยแก่กายและชีวิต ควรเป็นที่นับถือไหว้นบเคารพบูชาแม้นมีข้อสงสัยสิ่งใดใน
พระบาลีไปภายหน้าจะได้ประชุมพระราชาไต่ถาม” ส่วนพระสังฆราช (ชื่น) วัด
หงส์ซึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีตั้งนั้นเป็นพวกอาสัตย์แต่รู้พระไตรปิฎกมาก
เสียดายความรู้จึงไม่ให้สึกแตโ่ ปรดฯ ตั้งเป็นพระธรรมธิราราชมหามุนีว่าที่พระวัน
รัตน์ ส่วนพระราชาคณะอื่น ๆ ทรงเห็นว่าทาไปเพราะความกลัวพระราชอาญา
สมเดจ็ พระเจ้ากรุงธนบุรี จึงยกโทษให้ท้ังหมด แต่ที่พระธรรมโคดมชื่อไปพ้องกับ
พระพุทธเจ้าจึงให้แปลงนามใหม่ เช่นเดียวกับพระอุบาลีนามต้องกับพระอรหันต์
โปรดให้แปลงนามใหม่ จากนั้นทรงโปรดตั้งตาแหน่งพระราชาคณะและโปรด
พระราชทานนิตยภตั ต์เป็นรายเดือนมิให้ขาด๓๖
อย่างไรกด็ ี ปัญหาเรื่องความบริสทุ ธิ์ของคณะสงฆ์ไม่ได้มีเพียงปัญหาการ
แต่งต้ังหรอื ถอดถอนพระสงฆ์ชั้นราชาคณะที่มีความเห็นต่างกันเท่าน้ัน หากยังมี
ปัญหาเรื่องพระสงฆ์ทาผิดพระวินัยต่าง ๆ อยู่เป็นจานวนมาก ดังน้ันเมื่อขึ้น
ครองราชย์พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลก จึงได้ฟืน้ ฟกู ารปกครองคณะ
สงฆ์โดยจดั ระเบียบการปกครองใหม่ มีการออกกฎพระสงฆ์ ๗ ข้อ ในช่วง พ.ศ.
๒๓๒๕-๒๓๒๖ หลังจากชาระพระไตรปิฎกใน พ.ศ.๒๓๓๑ จึงออกกฎพระสงฆ์
ข้อ ๘-๑๐ ใน พ.ศ.๒๓๓๒, ๒๓๓๗ และ ๒๓๔๔ สาระในกฎพระสงฆ์สะท้อนให้
เห็นว่าในสมัยน้ันพระสงฆ์ทาผิดพระวินัยอย่างไรบ้าง เช่น การเทศนาพระมหา
เวสสนั ดรชาดกออกนอกลู่นอกทาง (กฎพระสงฆ์ข้อ ๑) การทาผิดวินยั โดยการรับ
สิง่ ของเงินทอง (กฎพระสงฆ์ข้อ ๒) การอวดอุตริมนุสธรรมโดยอ้างว่ามีอิทธิฤทธิ์
(กฎพระสงฆ์ข้อ ๓) การทาผิดต้องจตุปาราชิกท้ังสี่ (กฎพระสงฆ์ข้อ ๕) รวมทั้ง
๓๖ พระราชพงศาวดาร ฉบบั พระราชหตั ถเลขา เลม่ ๒, ๓๔๐, ๔๖๐-๔๖๕ ; พระราช
พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขา บุนนาค)
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงตรวจชาระและทรง
นิพนธ์อธิบาย, ๖-๗.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พันธ์ ๒๑
ความผิดทางเพศต่าง ๆ อาทิ ไอ้ดีบวชอยู่วัดโพธิ์เสพเมถุนธรรมด้วยอีทองมาก
อีเพียน อีพิม อีบุญรอด อีหนู อีเขียว เณรทองเสพเมถุนธรรมกับอีชีนวนหลังวัด
บางหว้าใหญ่ เณรอยู่ศิษย์พระนิกรมนอนในมุ้งกับอีทองคาภรรยานายกรมช้าง
แล้วคบเณรเล่นเบีย้ (กฎพระสงฆ์ข้อ ๘) การทาผิดร้ายแรงอื่น ๆ อาทิ เสพสุรายา
เมาน้าตาลส้ม แลฉันโภชนาหารของกดั ของเคยี้ วหลังภัตตาหารเพล ติดการพนัน
สามะเลเทเมาหนีเที่ยว พฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ นาเด็กชายลูกข้าราชการ
ชาวบ้านหน้าตาหมดจดชกั ชวนไปแล้วกอดจูบลบู หลับนอนเคล้าคลึงไปไหนเอาไป
ด้วย แต่งตัวเด็กโอ้อวดประกวดกัน เรียกว่า ลกู สวาดิ ลูกสุดใจ ศรียตรานิงรัต ยา
นัด หรือ การขึ้นเที่ยวบนสาเภาซื้อหาของเล่นให้พวกนอกศาสนาดูถูก (กฎ
พระสงฆ์ข้อ ๑๐)๓๗ กฏพระสงฆ์ทีอ่ อกมานี้ให้ไว้แก่ท้ังฝ่ายฆราวาส เจ้าหน้าที่ของ
รัฐ และฝ่ายพระสงฆ์ (กฎที่ให้ไว้แก่ฆราวาสฝ่ายเดียวได้แก่ ข้อ ๘ และข้อ ๑๐ กฎ
ที่ให้แก่พระสงฆ์ฝ่ายเดียวคือ ข้อ ๙)๓๘ รบั ทราบและละเว้นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง
เหล่าน้ัน การออกกฏเหล่านี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงทาใน
ฐานะที่ทรงเป็น “อัคมหาสาสะนูปภัมพกพระสาศนา จาเริญศรีสวัสดิทัง
พระบริญัติแลปตปิ ติสาศนา ให้ถาวรารุ่งเรืองไป เปนที่เลื่อมใสนะมัศการบูชาแก่
เทพยุดามนษุ ทั้งปวง” และเพราะ “พระสาศนาจะวัฒนาการต้ังไปได้อาไศรยพระ
ราชอาณาจักร สมด์จพระมหากษัตราธิราชเจ้าผู้ทรงธรรมสมเคราะห์พระสาศ
นา”๓๙หรอื กล่าวอีกประการหนึ่งได้ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ทรงยืนยันหลักการและบทบาทของพระมหากษัตริย์ในการรักษาพระศาสนาให้
บริสทุ ธิ์ แม้การกระทานั้นในบางครั้งเหมือนจะเป็นการแทรกแซงกิจการทางฝ่าย
พุทธจกั รกต็ าม
๓๗ “กฎพระสงฆ”์ ใน ประมวลกฎหมายรัชกาลท่ี ๑ จุลศกั ราช ๑๑๖๖ พิมพ์ตามฉะบับ
ห๓๘ลวชงาตญราณ๓รงดคว์ บงุญเลหม่ นุน๓,, ๑-๕๖. ใน พระพุทธศาสนา
“กฎพระสงฆ์ในกฎหมายตราสามดวง,”
๓แล๙ะ“สกถฎาพบรนัะสสงงฆฆ”์ ก์ ในับสปังรคะมมไวทลยก,ฎ๓ห๗ม.ายรชั กาลท่ี ๑ จุลศักราช ๑๑๖๖ พิมพ์ตามฉะบับ
หลวงตรา ๓ ดวง เลม่ ๓, ๖-๑๐.
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
๒๒ สงั คีติยวงศ์และโอวาทานุสาสนีย์
นอกจากนั้นช่วงต้นรัชกาล ขณะที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา
โลกทรงชาระคณะสงฆ์อยู่นั้นได้เกิดเหตุทาให้เกิดความแตกแยกในคณะสงฆ์ขึ้น
โดยความในพระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหัตถเลขา กล่าวว่า พระพุฒาจารย์
ศิษย์สมเด็จพระสังฆราชไปเข้าพวกพระธรรมธิราราชมหามุนีวัดหงส์ ปรึกษาเห็น
ด้วยกันว่าวดั นาควัดกลางมีอุปจารใกล้กนั นกั จะมีพันธสีมาต่างกันมิควร ควรจะ
มีพันธสีมาแห่งเดียว ร่วมกระทาอุโบสถสังฆกรรมในพันธสีมาอันเดียวกัน จึงให้
พระพฒุ าจารย์เข้าถวายพระพรสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ จึงให้
ประชุมพระราชาคณะปรึกษากัน ณ วัดบาง หว้าใหญ่ ในสานักสมเด็จ
พระสงั ฆราชว่าจะควรมิควรประการใด
พระราชาคณะทั้งปวงมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานปรึกษาเห็นพร้อม
กันว่า อารามทั้งสองมีคลองค่ันเป็นเขตควรจะมีพันธสีมาต่างกันได้ ด้วยมี
ตัวอย่างแต่โบราณคร้ังกรุงเก่า ซึ่งจะว่าเป็นพันธสีมาอันเดียวกันน้ันมิชอบ และ
พระธรรมธิราราชมหามุนีกับพระพุฒาจารย์แพ้ในที่ประชุม ราชบุรุษนาเอา
คาปรึกษาพระราชาคณะขึ้นกราบบังคมทูล สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวท้ังสองก็
ทรงพิโรธแก่พระพุฒาจารย์ว่าเจรจาอวดรู้กว่าผู้ใหญ่ ดารัสให้ถอดท่านเสียจาก
พระราชาคณะ สมเด็จพระสังฆราชประกาศเรียกว่ามหาอกตัญญู มิได้นับถือ
ถ้อยคาชีต้นอาจารย์ของตนไปเข้าพวกวัดหงส์
คร้ันอยู่มามิช้าพระปลัดจันทร์จึงเป็นปลัดรัตนมุนีแก้วซึ่งสึกออกมาเป็น
พระอาลักษณ์มาฟ้องยกอธิกรณ์พระธรรมธิราราชมหามุนีในสานักพระสังฆราช
ว่า เดิมพระธรรมาธิราราชมหามุนีถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินห้ามมิให้
พระสงฆ์รับวัตถุปัจจัย บัดนี้พระ ธรรมาธิราราชมหามุนีรับผ้าส่านซึ่งทรงถวาย
เป็นเครื่องบริขารเครื่องยศนั้นไปขายแก่พระศุภรัตถี ๆ ซื้อไว้เป็นวัตถุแปดตาลึง
สมเด็จพระสังฆราชจึงให้ราชบุรุษกราบบังคมทูล ทรงให้พระยาพระเสด็จเป็น
ตระลาการชาระคดี พิจารณาสืบสวนได้ความเป็นสัตย์สมคาฟ้อง ทรงพระพิโรธ
ดารสั ให้พระสงั ฆราชพิพากษาโทษพระธรรมธิราราชมหามุนี ลงทัณฑกรรมให้ขน
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พนั ธ์ ๒๓
ทรายห้าร้อยตะกร้า แล้วใหถ้ อดเสียจากทีใ่ ห้ลดลงมาเป็นพระธรรมไตรโลก แล้ว
โปรดให้พระธรรมเจดีย์วัดสลักเลือ่ นขนึ้ มาเป็นพระวนั รตั น์แทน๔๐
เหตุการณ์ครั้งนีป้ รากฏในกฎพระสงฆ์ข้อ ๗ ซึ่งมีข้อความกล่าวประณาม
ตาหนิพระธรรมธิราราชมหามุนีและพวกไว้อย่างยืดยาวและรุนแรง ชาญณรงค์
บุญหนุน เห็นว่าพฤติกรรมของพระธรรมธิราราชมหามุนีและพวกเกี่ยวกับการ
ปกครองคณะสงฆ์โดยตรง แสดงใหเ้ ห็นถึงการไม่เคารพต่อสมเดจ็ พระสังฆราชซึง่
แต่งตั้งโดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและเป็นการประลองกาลัง
กั น ร ะ ห ว่ า ง อ ดี ต ส ม เ ด็ จ พ ร ะ สั ง ฆ ร า ช ใ น ส มั ย ส ม เ ด็ จ พ ร ะ เ จ้ า ก รุ ง ธ น บุ รี แ ล ะ
พระสงั ฆราชองค์ปัจจุบัน๔๑เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้แสดงว่าการชาระคณะสงฆ์
ช่วงต้นรัชกาลยงั มีคลืน่ ใต้น้าทีไ่ ม่พอใจกบั พระราชกิจดังกล่าว
๒. การสงั คายนาพระไตรปิฎก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
โปรดฯ ให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกเมื่อ พ .ศ. ๒๓๓๑ การให้ชาระ
พระไตรปฎิ กในคร้ังน้ัน สงั คีติยวงศ์กล่าวว่าเปน็ เพราะ
“ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทั้ง ๒ พระองค์น้ัน ทรงทราบว่า
พระไตรปฎิ กคือ พระพุทธวจนะท้ังหลายมีอักษรอันวิปลาสฉิบหาย
แล้ว ก็มีพระหฤทยั ไหวหวัน่ ด้วยความรักพระศาสนาอย่างยิ่ง จึงทรง
ดาริว่า ควรเราทั้งหลายจะทาพระพุทธวจนะให้เจริญ พระพุทธ
วจนะเป็นของหาที่เปรียบมิได้ มีอักษรพิรุธ ฉบบั หายเสียแล้วก็จะไม่
มีที่พึ่งแล
ควรสังเวชกุลบุตรทั้งหลายในพระพุทธศาสนา เมื่อไม่รู้คุณ
แลโทษก็จะพากันมืดมัวมีความหลงเป็นต้น ภายหลังก็พากันเกิด
โทษต่อไปในอนาคต”๔๒
๔๐ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เลม่ ๒, ๔๖๓-๔๖๔.
๔๑ ชาญณรงค์ บุญหนุน, “กฎพระสงฆ์ในกฎหมายตราสามดวง,” ใน พระพุทธศาสนา
แ๔๒ละกสรถมาศบิลนั ปสากงฆร,์กวบัรรสณังคกมรไรทมยส,ม๖ยั ๔ร-ัต๗น๕โก. สินทร์ เลม่ ๓, ๒๖๐.
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
๒๔ สงั คีติยวงศ์และโอวาทานสุ าสนีย์
ข้อความข้างต้นแสดงใหเ้ ห็นว่าต้นฉบับพระไตรปิฎกที่มีอยู่ในครั้งนั้นอยู่ใน
สภาพไม่สมบรู ณ์ แม้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจะพยายามรวบรวมต้นฉบับจากที่
ต่าง ๆ เท่าที่หาได้แล้วก็ตาม และเหตุที่ให้มีการสังคายนานอกจากเพราะความ
วิปลาสคลาดเคลื่อนของตัวอักษรแล้ว ยังเป็นเพราะความรักในศาสนาของ
พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ถ้า
จะกล่าวไปแล้วการสังคายนาพระไตรปิฎกเป็นพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับพระ
ธรรมวินัยในเรื่อง การบารุงการศึกษาปริยัติธรรมของกษัตริย์๔๓เมื่อคัมภีร์ไตร
ปิฎกอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่คลาดเคลื่อนกุลบุตรก็จะได้ใช้พระไตรปิฎกฉบับที่
ชาระต่อไปภายหน้าสมดังเจตนาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
และกรมพระราชวงั บวรสถานมงคล และเมือ่ น้ันศาสนากจ็ ะดารงอยู่ได้
พระไตรปิฎกฉบับชาระครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้
เปน็ ต้นฉบบั ตรวจสอบการพิมพ์เป็นหนังสือสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว ในการพิมพ์ครั้งน้ันพระเถรานุเถระได้ช่วยกันสอบทานและเทียบเคียง
กบั พระไตรปฎิ กนานาประเทศเช่น ศรีลงั กา พม่า และฉบับของสมาคมบาลีปกรณ์
แห่งกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ๔๔จึงกล่าวได้ว่าพระไตรปิฎกที่ชาระเมื่อ พ.ศ.
๒๓๓๑ เปน็ รากฐานของพระไตรปฎิ กในปจั จบุ นั
๔๓จารีตประเพณีของพระมหากษัตริย์อันเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาแบ่งเป็น ๒
ลักษณะคือ ๑) การถวายความอปุ ถมั ภด์ ้วยปจั จยั ๔ ได้แก่ การถวายเคร่อื งนุ่งห่ม อาหาร
บิณฑบาต เสนาสนะและยารกั ษาโรค การสร้างหรือปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม การทาทาน
แก่สงฆ์ด้วยที่ดิน เสนาสนะ อาหาร นิจภัตต์ ถวายผ้าพระกฐิน ๒) พระราชกรณียกิจ
เก่ยี วกับพระธรรมวินยั ได้แก่ การชาระคณะสงฆใ์ ห้บรสิ ุทธิ์ การบารุงการศึกษาพระปริยัติ
ธรรม (การแต่งหนังสือ การสังคายนาพระไตรปิฎก) การใช้พระราชอานาจค้าจุนการ
ปกครองคณะสงฆ์ การตั้งภิกษุเข้าดารงตาแหน่งปกครองคณะสงฆ์การถวายสมณศักดิ์
การชาระมลทินโทษที่อาจเกิดแก่พระภิกษุบางรูป (ชาญณรงค์ บุญหนุน,“กฎพระสงฆ์ใน
๔ก๔ฎหมพารยะตวรราวสงาศม์เธดอวงก,”รมในหมพ่ืนรพะพิทุทยลธาศภาพสนฤฒาแิยลาะกสรถ, าพบรนั ะสบงาฆทก์ สบั มสเงัดค็จมพไรทะยพ, ุท๒ธ๔ย-อ๒ด๕ฟ).้า
จฬุ าโลกทรงฟื้นฟูวฒั นธรรม (พระนคร : โรงพิมพ์มติ รสยาม, ๒๕๐๘. พิมพ์เป็นอนุสรณ์
ในงานฌาปนกิจศพนางน้าอ้อย ฉายะพงศ์ ธันวาคม ๒๕๑๔),๑๕.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พันธ์ ๒๕
๓. การกวดขันศีลธรรมขุนนางข้าราชการและราษฎร พระบาทสมเด็จ-
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกไม่เพียงชาระคณะสงฆ์ให้บริสุทธิ์ และสังคายนา
พระไตรปิฎกที่เป็นมูลรากแห่งพระปริยัติศาสนา๔๕เท่านั้น แต่พระองค์ยังทรง
พยายามกวดขนั ให้ขุนนางข้าราชการและราษฎรยึดม่ันในหลักศีลธรรมแห่งพุทธ
ศาสนาในการดาเนินชีวิตด้วย เห็นได้จากพระราชกาหนดหลายฉบับที่ทรง
ประกาศใช้ เช่น พระราชกาหนดใหม่ ฉบับ ๓๓ ประกาศเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๕ หรือปี
แรกแหง่ รัชกาลทส่ี ่งั ให้
“...ข้าทูลลอองฯ ทั้งปวง ผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายทหารพลเรือนข้างหน้า
ข้างใน ผู้รักษาเมืองผู้รงั้ กรมการ อนาปรชาราษฎรปรปฏิบัดิตาม ให้
ต้ังอยู่ในทศกศุ ลกามบทวิไนยทั้งสิบประการ คือ กายกามสาม วะจี
กามสี่ มโนกามสาม... ให้ตั้งอยู่ในทศกุศลกามบทเปนนิจ วิไนยศีล
ครั้นถึงวาระวนั แปดคา่ วนั ๑๔ คา่ วันสิบหา้ ค่า ให้รักษาพระอุโบสถ
ศีลแปดศีลสิบประการเปนอะดิเรกศีล ชวนกันทาบุญให้ทาน สดับ
ฟงั พระธรรมเทศนาจาเริญธรรมภาวนาให้เปนอาริยอุโบสถจาเริญ
อานิสงษยิง่ ขึน้ ไปแลให้ ... ปรฎิบัดิกระทาตามพระราชโอวาทานสุ าศ
นะกาหนตกฎหมายนี้จงทุกประการ ถ้าผู้ใดละเมิดเสีย มิได้ปรฎิบัดิ
ตามพระราชโอวาทกาหนตกฎหมายนี้ จะเอาตัวเปนโทษตาม
โทษาณโุ ทษ ...”๔๖
พระราชกาหนดที่ให้ขุนนางข้าราชการและราษฎรยึดหมั่นในหลักศีลธรรมเช่นนี้มี
ประกาศย้าอีกครง้ั ในปีเดียวกัน ดังปรากฏความในพระราชกาหนดใหม่ ข้อ ๓๖ ที่
เร่งให้บาเพ็ญทานรักษาศีลสดับฟังพระธรรมเทศนา ตั้งอยู่ในทศกุศลกรรมบท
๑๐ ประการ พระราชกาหนดข้อนี้มีรายละเอียดมากกว่าพระราชกาหนดใหม่
ฉบับ ๓๓ โดยอธิบายเนื้อความขององค์ศีล (๕) อย่างครบถ้วน เหตุผลกระการ
๔๕พระพุทธศาสนามี ๓ ประการคอื พระปริยัติศาสนา พระปฏิบัติศาสนา และพระปฏิเวธ
ศาสนา พระปริยตั ิศาสนาเป็นรากฐานให้พระปฏิบัติศาสนาหรอื การรกั ษาพระวินัยของสงฆ์
๔พ๖ระ“ปพฏริเะวรธาศชากสานหานคดือใคหณุ มส่”มใบนตั ปิแหระ่งกมาวรลตกรฎสั รหู้ มายรัชกาลที่ ๑ จุลศักราช ๑๑๖๖ พิมพ์
ตามฉะบบั หลวงตรา ๓ ดวง เล่ม ๓, ๔๑๑-๔๑๕.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
๒๖ สงั คีติยวงศ์และโอวาทานสุ าสนีย์
หนึง่ ที่ประกาศพระราชกาหนดข้อนี้นอกจากพระทัยเมตตาสัตว์โลกปรารถนาจะ
ให้คุ้นเคยการกุศลเมื่อตายจิตประหวัดเข้าอารมณ์กุศลจะได้เสวยสวรรค์สมบัติ
มนษุ ย์สมบตั ิ (เป็นกิจเฉกเช่นพระโพธิสตั ว์) แล้วยงั เปน็ เพราะ
“...ทรงพระกรณุ าเหนว่า แผ่นดินก่อนนั้นอนาปรชาราษฎรทังปวงมี
น้าจิตรยังมีสนิจคุ้นเคยในการกุศลระคนอยู่ด้วยการบาปเพทไภยา
คติกลัวราชไภย ก็ชวนกันคุ้นเคยไปในการบาปหยาบช้า ด้วยราช
กิจการน้ันสับสนพ้นปรมาณ ประการหนึ่งกระทาการณรงคสงคราม
ด้วยความจาเปนเหนว่าหาประโยชน์มิได้ เสียทีที่ได้มา เปนมนุษแล
พบพรพุทธสาศนาอันยากที่จะได้พบเหน ครั้งนี้จึ่งทรงพระกรุณา
โปรดเกล้า ฯ ลดหย่อนพระราชอาญาอนาจักร ราชกิจทังปวงลงมี
แต่การกุศล ให้มีความศุขสบายเพื่อจะให้จิตรนั้นเกลียจไกลบาป
คุ้นเคยเข้าในการกุศล...”๔๗
นอกจากออกกฎหมายให้ขุนนางข้าราชการและราษฎรยึดมั่นในศีลแล้วยัง
ออกกฎหมายกาหนดโทษทางโลกข้าราชการที่ทาผิดศีลทางศาสนาคบกนั เสพสรุ า
เล่นเบี้ยบ่อน ชนไก่ชนนกกัดปลาด้วย๔๘ดังปรากฎความในพระราชกาหนดใหม่
ฉบบั ๒ และ ๔๒
๔. สร้างปฏิสงั ขรณ์และชาระวรรณกรรมทางศาสนา พระบาทสมเด็จพระ
พทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสร้างและปฏิสังขรณ์วัดในพุทธศาสนาหลายวัด วัดแรก
ที่ทรงสร้างคือวัดพระแก้วหรือวัดพระศรีรัตนศาสดารามโปรดให้สร้างใน
พระบรมมหาราชวังเมื่อพ.ศ.๒๓๒๕ จากนั้นโปรดให้เชิญพระพุทธปฏิมากรแก้ว
มรกตจากโรงในพระราชวังเดิมฟากตะวันตกมาประดิษฐานเป็นพระประธานใน
พระอุโบสถ พ.ศ.๒๓๓๒ ทรงเห็นว่าวัดโพธารามเก่าชารดุ ปรักหักพังจึงมีพระราช
ศรัทธาจะสร้างให้บริบูรณ์ ที่เลือกวัดนี้สร้างเป็นการใหญ่คงเป็นด้วยเหตุวัดอยู่
ใกล้พระบรมมหาราชวงั การสร้างวดั ใช้เวลาสร้าง ๗ ปี ๕ เดือน ๒๘ วนั จึงสาเร็จ
๔๗ “พระราชกาหนดใหม่” ใน ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ ๑ จุลศักราช ๑๑๖๖ พิมพ์
๔ต๘ามเฉรื่อะงบเดบั ียหวลกวันง,ต๓ร๑า๕๓-๓ดว๑ง๖เ.ลม่ ๓, ๔๒๑-๔๓๕.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พนั ธ์ ๒๗
พระราชทานนามว่าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม นอกจากนี้ยังได้ทรงสร้างวัด
สทุ ศั น์ขึน้ กลางพระนครแต่ยงั ไม่ทนั แล้วเสรจ็ ก็เสดจ็ สวรรคต พระบาทสมเด็จพระ
พุทธยอดฟ้าจุฬาโลกไม่เพียงสร้างวัดขึ้นใหม่เท่าน้ันพระองค์ยังโปรดให้กรม
พระราชวงั บวรสถานมงคลเปน็ แม่กองยกมณฑปพระพุทธบาทด้วย
น อ ก จ า ก นี้ ท ร ง มี พ ร ะ ร า ช ศ รั ท ธ า ส ร้ า ง วั ด แ ล้ ว พ ร ะ อ ง ค์ ยั ง โ ป ร ด ใ ห้
ปฏิสังขรณ์วัดอีกหลายวัด เช่น วัดเลียบต่อมาพระราชทานนามใหม่ว่า วัดราช
บูรณะ วัดบางหว้าใหญ่ต่อมาพระราชทานนามใหม่ว่าวัดระฆัง วัดสมอราย วัด
แจ้ง วัดสุวรรณที่กรุงเก่า ส่วนกรมพระราชวังบวรสถานมงคลทรงมีพระราช
ศรัทธาปฏิสังขรณ์วัดสลักซึ่งเป็นวัดต้ังอยู่ระหว่างพระบรมมหาราชวังกับ
พระราชวงั บวร เมือ่ ปฏิสังขรณ์แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า วัดนิพพานาราม แล้ว
เปลีย่ นเป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์แล้วเปลี่ยนอีกเป็นวดั มหาธาตุ๔๙
พระราชกิจด้านการทานุบารุงพระศาสนาของพระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟ้าจุฬาโลกรวมถึงการโปรดฯ ให้มีการแต่งหรือชาระหรือรวบรวมคัมภีร์
สาคัญทางศาสนาขึ้นใหม่ด้วยนอกเหนือจากการสังคายนาพระไตรปิฎก เช่น
คัมภีรไ์ ตรโลกวินิจฉยั คัมภีรช์ ินกาลมาลีปกรณ์ และคัมภีรม์ หาวงศ์๕๐
พระราชกิจต่าง ๆ ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงกระทา
แสดงใหเ้ ห็นว่าพระองค์ทรงใหค้ วามสาคัญกับพุทธศาสนาเป็นอย่างมากและเน้น
พระรัตนตรัยอยู่เหนือสิ่งใด เห็นได้จากพระราชกาหนดใหม่ฉบับที่ ๓๕ ออกเมื่อ
พ.ศ.๒๓๒๕ ที่ให้นับถือเทพารักษ์แต่พอควร ห้ามอย่าให้นับถือลึงค์ยิ่งกว่า
๔๙ พระวรวงศ์เธอ กรมหม่ืนพิทยลาภพฤฒิยากร, พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
จุฬาโลกทรงฟื้นฟูวัฒนธรรม,๑๒๘-๑๓๑; พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ ๑ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขา บุนนาค) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
ก ร ม พ ร ะ ย า ด า ร ง ร า ช า นุ ภ า พ ท ร ง ต ร ว จ ช า ร ะ แ ล ะ ท ร ง นิ พ น ธ์ อ ธิ บ า ย ,
๒๔,๒๖,๔๗,๘๑-๘๔,๑๐๕-๑๐๖ ; กรมศิลปากร,วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ เล่ม
๕๓๐, ๒๕๖-๒๕๗. “การพระศาสนากับการจัดระเบียบสังคมไทยต้ังแต่รัชกาล
วินัย พงศ์ศรีเพียร,
พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราชถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หวั ,“ ใน พระพุทธศาสนาและสถาบนั สงฆก์ บั สงั คมไทย, ๓๐๒.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
๒๘ สังคีติยวงศ์และโอวาทานสุ าสนีย์
พระรัตนตรัย และพระราชกาหนดใหม่ฉบับที่ ๔๐ พ.ศ.๒๓๒๘ ที่ให้ไหว้
พระรัตนตรยั ก่อนรปู พระเชษฐบิดรในงานถือน้าพระพิพัฒนส์ ัตยา ดังความที่ว่า
“...ทุกวันนี้สัตว์ทังปวงเปนโลกีย คร้ันมีทุกขขนึ้ มานี้จิตรน้ันก็ผันแปร
ไปจากพระรัตนะตะยาธิคณุ ไปถือผีสางเทพารกั ษ์ต่างต่าง ... ถึงจะ
นับถือพระภูมเจ้าที่เทพารักษน้ัน ... อย่านับถือยิ่งกว่าพระไตร
สระณาคม หา้ มอย่าให้พลีกรรมด้วยฆ่าสัตวต่างๆ มีโคกระบือสุกร
เปดไก่เปนต้นบูชา จะไปสู่อบายภูมเสีย ... แต่ซึ่งสารเทพารักษอัน
เอาไม้ทาเปนเพศบรุ ุษลึงใหญ่น้อยต่างๆ หญิงชายชวนกันนับถือนั้น
ทรงพระกรรุณาให้นกั ปราชราชบันฑิตยค้นดูในพระไตรปิฎกก็มิได้มี
หย่าง ... อนั หนึ่งเปนทีแ่ ขกเมืองนานาประเทษไปมาค้าขายได้เหนจะ
ดูหมิ่นถิ่นแคลนกรุงเทพพระมหาณครอันกอปด้วยเกิยดิยศ จะติ
เตียนว่ามิควรที่จะนับถือก็มานับถือทาณุบารุงฉนี้ จะเอาความ
ลามกอปั รมงคลนีไ้ ปเล่าต่อๆไปในนานาประเทษต่างๆ ก็จะเสื่อมเสีย
สาตราคมเกรียดิยศศักดาณภุ าพกรุงเทพพระมหานครไป ห้ามอย่า
ให้มีเพศบุรุษลึงอันลามกอัประมงคลนี้ไว้ในสารเทพารักษเปนอัน
ขาดทีเดียว แลให้ผู้รักษาเมืองผู้รั้งกรมการกานันพันนายบ้าน ไป
เกบเอามาเผาไฟเสียจนสิ้น อย่าให้มีอยู่ณะโรงสารบ้านเมืองนิคม
เขดประเทษใดๆ มีผู้รเู้ หนเอาเนือ้ ความมาว่ากล่าว พิจารณาเปนสัจ
จะเอาผู้รักษาเมืองผู้รงั้ กรมการแลพนั นายบ้านแลเชาบ้านตาบลประ
เทษนั้นๆเปนโทษถึงสิน้ ชีวิตร...”๕๑
“ประเวนีกระบิลเมืองกรุงเก่าแต่ก่อนนั้น ครั้นถึงพิทธีตรุด
สาต แลข้าทูลอองฯผู้ใหญ่ผู้น้อย ไปถือน้าพระพัทสัจา เข้าไปสามา
คาระวะไหว้นบนับถือรปู พระเชษฐบิดรนั้นคือรปู พระเจ้ารามาธิบดี
๕๑“พระราชกาหนดใหม่” ใน ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ ๑ จุลศักราช ๑๑๖๖ พิมพ์
ตามฉะบับหลวงตรา ๓ ดวง เล่ม ๓, ๔๑๗-๔๒๑.
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พนั ธ์ ๒๙
ก่อน๕๒แล้วจึ่งไปคารบนับถือพระรัตนไตรต่อเมื่อพายหลัง ปรฎิบัดิ
กลับปลายเปนต้นฉะนี้ ปรเวนีอันนี้ผิด ... แต่นี้สืบไปเมื่อหน้าครั้น
พิทธีตรุดสาตรจะถือน้าพระพัทสัจาแล้ว ให้ข้าทูลอองฯทังปวง ...
กราบนมัศการพระพุทธรูปปรติมากรพระแก้วมระกฏแลพระสารีริ
กะธาตุเจดีย พระพุทธพระธรรมพระสงฆ ด้วยสัจคารพเสรจ์แล้ว
จึ่งรับพระราชทานน้าพระพัทสัจาก่อน แล้วจึ่งออกมาอุทิศกุศลแผ่
ผลให้แก่ภมู เทพารกั ษแลอากาศเทวดา แล้วเอาพระรัตนตยานุภาพ
จาเริญพรให้แก่มนุษอมนษุ เทวดาทังปวง...”๕๓
พ ร ะ ร า ช กิ จ ก า ร จั ด ร ะ เ บีย บสั ง คม ใ ห้ ก ลั บม า สู่ ภ า ว ะ ป ก ติ ข อ ง
พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกไม่เพียงจัดการฟื้นฟูเรื่องทางฝ่ายพุทธ
จักรอันเป็นที่มาของศีลธรรมของเหล่าขุนนางข้าราชการและราษฎรเท่าน้ัน
พระองค์ยงั จัดการเรือ่ งทางโลกโดยการชาระกฎหมายที่
“ฟ่ันเฟือนวิปริตผิดซ้าต่างกันไปเปนอันมาก ด้วยคนอันโลภหลงหา
ความลอายแก่บาปมิได้ ดัดแปลงแต่งตามชอบใจไว้พิภากษาภาให้
เสียยตุ ิธรรมสาหรับแผ่นดินไปกม็ ีบ้าง”
ดังนั้น “จึ่งทรงพระกรรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมจัดข้าทู
ลอองทุลีพระบาท ที่มีสะติปัญญาได้ ... ชาระพระราชกาหนดบท
พระอายการอันมีอยู่ในหอหลวงตั้งแต่พระธรรมสาตรไปให้ถูกถ้วน
ตามบาฬีแลเนือ้ ความมิให้ผิดเพี้ยนซ้ากันได้ จดเปนหมวดเปนเหล่า
เข้าไว้ แล้วทรงพระอุสาหทรงชาระดัดแปลงซึ่งบทอันวิปลาดน้ันให้
๕๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้โปรดให้เชิญพระเชษฐบิดรหรือพระรูป
สมเดจ็ พระรามาธิบดี (อู่ทอง) ซ่งึ เปน็ ปฐมวงศ์สรา้ งกรุงศรอี ยุธยามาแปลงเป็นพระพุทธรูป
หุ้มเงนิ ปิดทองมาประดิษฐานไว้ในพระวิหาร พระวิหารน้ันพระราชทานนามว่า พอพระเทพ
บิดร (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์
(ขา บุนนาค) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงตรวจ
๕ช๓าร“ะพแรละะรทารชงกนาพิหนนดธใ์อหธมิบ่”าใยน, ๒๔). ๑ จุลศักราช ๑๑๖๖ พิมพ์
ประมวลกฎหมายรัชกาลที่
ตามฉะบบั หลวงตรา ๓ ดวง เล่ม ๓, ๔๔๕-๔๔๘.
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
๓๐ สงั คีติยวงศ์และโอวาทานุสาสนีย์
ชอบโดยยุติธรรมไว้ ด้วยพระไทยทรงพระมหากรุณาคุณจให้เปน
ประโยชน์แก่กระษัตรอันจดารงแผ่นดินไปในภายหน้า...”๕๔
เจตนารมณ์ในการชาระกฎหมายให้เป็นยุติเป็นธรรมดังกล่าวข้างต้น
ปรากฏในประกาศพระราชปรารภเมื่อวนั พฤหัสบดีที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๓๔๗/
๒๓๔๘ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดให้จัดทาประมวล
กฎหมายไทยใหม่ ประมวลกฎหมายที่ชาระครั้งนรี้ ู้จักกันในนามกฎหมายตราสาม
ดวง ใช้เป็นหลักในการตดั สินคดีความของประเทศจนถึงสมัยปฏิรูปกฎหมายและ
การศาลให้เปน็ แบบสากลในสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว๕๕
นอกจากทรงใหค้ วามสาคัญกับการชาระกฎหมายให้บริสุทธิ์และยุติธรรม
แล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกยังทรงให้ความสาคัญต่อหลัก
จริยธรรมและจรรยาบรรณของผู้ใช้อานาจในการพิจารณาความด้วย ดังปรากฏ
๕๔ “ประกาศพระราชปรารภ” ใน ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ ๑ จุลศักราช ๑๑๖๖
พ๕๕ิมพศศ์ติกามานฉตะ์ บคับงศหักลดวิ์,ง“ตปรราะก๓าดศพวงระเรลา่มชป๑ร,า๓ร-ภ๔”.ใน นิติปรัชญาไทย ประกาศพระราช
ปรารภหลกั อนิ ทภาษ พระธรรมสาตรและ On the Laws of Mu’ung Thai or Siam,
วินัย พงศ์ศรีเพียรและวีรวัลย์ งามสันติกุล, บรรณาธิการ (กรุงเทพฯ : สานักงานกองทุน
สนบั สนุนการวิจัย (สกว.). ๒๕๔๙), ๑,๓,๔. ประกาศพระราชปรารภเปน็ เอกสารแรกสุดใน
กฎหมายตราสามดวง เปน็ ประกาศสั้น ๆ แต่มีความสาคัญมากเพราะกล่าวถึงเหตุผลและ
เจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายซ่ึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกให้ชาระขึ้น
ใหม่ มูลเหตใุ นการให้ชาระกฎหมายมาจากกรณีนายบุญศรีช่างเหล็กหลวงได้ร้องทุกขราช
ว่า อาแดงป้อมเมียของตนนอกใจเปน็ ชู้กบั นายราชาอรรถนายเวรมหาดไทย อาแดงป้อมได้
ฟอ้ งหย่านายบญุ ศรี พระเกษมราชสภุ าวดีฯเจ้ากรมแพง่ เกษมรบั ฟ้องให้หย่าได้ นายบุญศรี
ไม่ยอมหย่า กล่าวหาว่าพระเกษมพูดจาแพละโลม (ชักจูงโน้มน้าวในทางที่ผิด) เข้าข้าง
อาแดงป้อม
ฝา่ ยพระเกษมอ้างคาวินิจฉัยของลูกขุน ณ ศาลหลวงว่าเป็นกรณีหญิงขอหย่าชาย
แล้วตัดสินให้อาแดงป้อมหย่าขาดกับนายบุญศรีได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา
โลกมีพระราชดารวิ ่า หญิงนอกใจชายไปมีชแู้ ล้วฟ้องหย่าได้นั้นหาเป็นยุติธรรมไม่ จึงโปรด
ให้พระยาพระคลงั เอากฎหมายฉบับที่เก็บ ณ ศาลหลวงมาตรวจสอบกับฉบับที่เก็บ ณ หอ
หลวงและฉบบั ข้างที่ แต่ปรากฏว่าข้อความตรงกนั ทั้งสามฉบบั จึงมีพระบรมราชโองการให้
ชาระพระราชกาหนดกฎพระอัยการเสียใหม่เพ่ือเป็นหลักทางฝ่ายบ้านเมือง ในทานอง
เดียวกับทีโ่ ปรดให้ชาระพระไตรปิฎกเพื่อเป็นหลักฝา่ ยพุทธจักรมาแล้ว
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พันธ์ ๓๑
ในเอกสารทีเ่ รียกว่าหลักอินทภาษหรอื หลกั การอันศักดิ์สิทธิ์ที่พระอินทร์ประทาน
ใหแ้ ก่ผู้พิพากษาตระลาการ เป็นหลักการทางจริยธรรมในการไต่สวนและตัดสิน
ความ หลกั อินทภาษเป็นเอกสารทีร่ าชสานักให้ความสาคัญมาก เพราะกฎหมาย
และหลักการกฎหมายดีอย่างไรแต่ถ้าผู้ถือกฎหมายและบังคับใช้กฎหมายไม่
บริสุทธิ์ผุดผ่องกระบวนการยุติธรรมก็ไม่อาจดีไปได้ และย่อมส่งผลกระทบต่อ
สังคมโดยรวม๕๖
แม้ช่อื “อินทภาษ” จะบ่งบอกถึงท่มี าอันศกั ดิส์ ิทธิ์คอื มาจากพระอินทร์เป็น
ผู้ประทานให้ แต่โอวาททีใ่ ห้กลับมาจากคัมภีร์พระไตรปิฎกและเกี่ยวกับอคติหรือ
ความลาเอียง ๔ ประการ ได้แก่ ฉันทาคติ โทษาคติ ภยาคติ และโมหาคติ ซึ่งทา
ใหก้ ารดาเนินคดีเบีย่ งเบนไปจากความเที่ยงธรรมได้ หลักอินทภาษเน้นให้เห็นว่า
แม้บุคคลทาบุญไว้มากเพียงใด ไม่ว่าสร้างเจดีย์นับไม่ถ้วน สร้างพระมากมาย
ฯลฯ ก็ไม่อาจกลบกองบาปกองกรรมอันเกิดจากการตัดสินคดีโดยปราศจาก
สจุ ริตยตุ ิธรรม บาปหนักอื่นๆ เช่นฆ่าพราหมณ์ ฆ่าหญิง ฆ่าสัตว์มากมายก็ยังไม่
หนกั แน่นเท่าตดั สินคดีโดยตั้งอยู่ในอคติ ๔๕๗
พระราชกิจของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกในการฟื้นฟู
กฎหมายเป็นหลักให้อาณาจักรและการชาระพระศาสนาของฝ่ายพุทธจักรให้
บริสุทธิ์ที่กล่าวมาข้างต้น ทาให้สังคมกลับมาสู่สภาพปกติสุขอีกคร้ัง หลังจาก
เผชิญกบั ความวุ่นวายในช่วงปลายสมัยกรุงธนบรุ ี
๕๖ ศศิกานต์ คงศักดิ์, “หลักอินทภาษ : คาสอนตระลาการไทยสมัยโบราณ,” ใน นิติ
ปรัชญาไทย ประกาศพระราชปรารภ หลักอินทภาษ พระธรรมสาตรและ On the
L๕a๗wรsาoยfลMะเuอ’ียuดnใgนTเรh่ือaงiเดorียวSกiaันm;, ๒๕, ๓๐. ใน ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ ๑
“หลักอินทภาษ,”
จุลศักราช ๑๑๖๖ พิมพต์ ามฉะบับหลวงตรา ๓ ดวง เล่ม ๑, ๓๕-๕๗.
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
๓๒ สงั คีติยวงศ์และโอวาทานสุ าสนีย์
การทานุบารุงพระพุทธศาสนาของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
นภาลัย
หลังจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยขึ้นครองราชย์พระองค์
ได้ทานุบารุงพระพุทธศาสนาเฉกเช่นพระบรมราชชนก ทั้งการปฏิสังขรณ์วัดแจ้งที่
ชารุดทรุดโทรมแล้วพระราชทานนามว่าวัดอรุณราชวราราม สร้างวิหารวัดสุทัศน์
แต่งสมณทตู ไปลังกา (พ.ศ.๒๓๕๗) สังคายนาบทสวดมนต์ (พ.ศ.๒๓๖๓) และหัด
ให้ข้างในสวดมนต์ รวมทั้งทรงแก้ไขวิธีสอบพระปริยัติธรรมเป็นกาหนดวิธีสอบ
เป็น ๙ ประโยค๕๘
อย่างไรกต็ าม ในรชั สมัยของพระองค์ปัญหาเรื่องพระสงฆ์ทาผิดวินัยยังคง
มีค่อนข้างมากเช่นเดิม เช่น ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๕๙ ได้เกิดเหตุการณ์
พระราชาคณะหลายรูปต้องอธิกรณ์ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาล
ที่ ๒ บนั ทึกไว้ว่า
“ มีโจทก์ฟ้องว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (บุญศรี) วัดมหาธาตุ
รปู ๑ พระยาญาณสมโพธิ (เค็ม) วัดนาคกลาง รูปหนึ่ง พระมงคล
เทพมนุ ี (จีน) วัดน่าพระเมรุ กรงุ เก่ารปู หนึง่ ท้ัง ๓ รูปนี้ ประพฤติผิด
พระวินัยบัญญัติข้อสาคัญต้องเมถุนปาราชิกมาช้านาน จนมีบุตร
หลายคน โปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นรักษ์รณเรศกับพระ
๕๘ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ, พระราชพงศาวดารกรุง
รัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒, พิมพ์คร้ังที่ ๙ ( กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร , ๒๕๔๖), ๙๙-
๑๐๓, ๑๕๕,๑๖๐,๑๙๗-๑๙๘ ; พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๒
ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขา บุนนาค) จากต้นฉบับตัวเขียนของสมเด็จพระเจ้า
บรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ พร้อมคาอธิบายเพิ่มเติม (กรุงเทพฯ :
สมาคมประวตั ิศาสตร์ในพระราชปู ถมั ภส์ มเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี,
ม.ป.ป.) ,๑๓๒-๑๓๔,๑๕๒,๑๕๙-๑๖๐ ; สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารง
ราชานภุ าพ,ตานานคณะสงฆ์, ๔๓-๔๔.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พนั ธ์ ๓๓
เจ้าลูกเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร ทรงพิจารณาได้ความเป็นสัตย์
สมดังฟ้อง จึงมีรบั สั่งเอาตวั ผู้ผิดไปจาไว้ ณ คกุ ”๕๙
เหตกุ ารณ์ที่เกิดขึ้นคร้ังนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงรา
ชานุภาพ ทรงอธิบายว่าเป็นมูลเหตุที่ทาให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
นภาลยั ทรงเผดียงใหส้ มเด็จพระสังฆราชมหาสงั ฆปรินายยก (มี) และสมเด็จพระ
วันรัตน์ (อาจ) เรียบเรียงหนังสือโอวาทานุสาสนี อย่างไรก็ดี หลังเกิดเหตุ
พระราชาคณะคร้ังนี้แล้ว ในปีพ.ศ.๒๓๖๓ ได้เกิดเหตุอื้อฉาวกระทบวงการสงฆ์
อีก เมือ่ สมเดจ็ พระวันรัตน์ (อาจ) ซึง่ อยู่ในฐานะสมเด็จพระสังฆราชองค์เล็กและ
กาลังจะได้เลือ่ นสมณศกั ดิข์ ึน้ เปน็ สมเดจ็ พระสังฆราชองค์ใหม่ ถกู ฟ้องอธิกรณ์ว่า
“พอใจลูบคลาเบ่นของทีล่ ับพวกศิษย์ที่รนุ่ หนุ่มสวย ๆ”๖๐พระบาทสมเด็จพระพุทธ
เลิศหล้านภาลัยโปรดให้ตระลาการชาระได้ความจริงแต่เพียงนั้นไม่ถึงปาราชิก
๕๙ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ, พระราชพงศาวดารกรุง
รตั นโกสินทร์ รชั กาลท่ี ๒, ๑๑๖-๑๑๗. การชาระความปาราชิกคร้ังนี้มีผู้ทิ้งบัตรสนเท่ห์
เป็นโคลงบทหนึง่ ไว้ว่า
ไกรสรพระเสดจ็ ได้ สึกชี
กรมเจษฏาบดี เร่งไม้
พเิ รนทรแม่นอเวจี ไป่คลาศ
อาจพลิกแผน่ ดินได้ แม่นแม้นเมืองทมิฬ
เมือ่ ความทราบถึงพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงโปรดให้สืบหาตัวผู้
ทิ้งบตั รเพราะบังอาจว่ากล่าวหยาบช้าตลอดจนถึงแผน่ ดิน ได้ความว่าเป็นโคลงของพระเจ้า
น้องยาเธอกรมหมนื่ ศรสี เุ รนทร เหตุด้วยกรมหมนื่ ศรสี เุ รนทรเป็นศิษย์พระพุทธโฆษาจารย์
(บญุ ศรี) และกรมหมนื่ ศรสี เุ รนทรเป็นกวีที่มกั ทรงใช้คาว่า “ไป่” แทน “ไม่” จึงมีรับสั่งให้นา
ตัวกรมหมื่นศรีสุเรนทรมาขังไว้และต่อมาประชวรสิ้นพระชนม์ในระหว่างต้องขังจึงไม่ได้
ต๖๐ัดสพินรละงรโาทชษพองยศ่างาใวดดารกรุงรตั นโกสินทรร์ ัชกาลที่ ๒ ฉบับเจา้ พระยาทิพากรวงศ์ (ขา
บนุ นาค) จากต้นฉบับตัวเขียนของสมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศว์
โรปการ พร้อมคาอธิบายเพิ่มเติม, ๑๒๖. สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารง
ราชานุภาพทรงอธิบายเหตกุ ารณ์นีไ้ ว้ว่าสมเด็จพระวันรตั น์ (อาจ) ชอบหยอกเอินศิษย์หนุ่ม
ด้วยกิริยาไม่สมควรแก่สมณะ ชาระได้ความเป็นสัตย์อธิกรณ์ไม่ถึงปาราชิก จึงเป็นให้ถอด
เสียจากตาแหน่งพระราชาคณะและเนรเทศไปจากพระอารามหลวง (สมเด็จพระเจ้าบรม
วงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ, พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่
๒, ๑๔๘.)
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
๓๔ สังคีติยวงศ์และโอวาทานสุ าสนีย์
ทรงเหน็ ว่ามัวหมองจึงให้ถอดจากที่สมเด็จพระพนรัตน์ ท้ังที่เคยร่วมแต่งหนังสือ
โอวาทานสุ าสนีกบั สมเดจ็ พระสังฆราช (มี) มาก่อน
เหตุปาราชิกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าแม้จะมีการสังคายนา
พระไตรปิฎก ออกกฎพระสงฆ์หรือแต่งหนังสือโอวาทานุสาสนีที่เป็นสังฆาณัติ
หรอื กฎข้อบังคบั คณะสงฆ์ก็ไม่อาจบังคับหรือควบคุมพระภิกษุสงฆ์ให้ปฏิบัติตาม
พระธรรมวินัยได้ แต่อย่างน้อยพระราชกิจดงั กล่าวกส็ ะท้อนให้เห็นความพยายาม
ทีจ่ ะฟื้นฟูแก้ไขและทานุบารุงพระพทุ ธศาสนาของกษัตริย์สมัยต้นรัตนโกสินทร์ได้
เป็นอย่างดี
สารัตถวิพากษ์
สังคียติยวงศ์ แบ่งเนื้อหาเป็น ๙ ปริเฉท ปริเฉทที่ ๑-๒ ว่าด้วยการ
สงั คายนาพระไตรปิฎก ๗ ครั้งแรก ๓ ครั้งในชมพูทวีป ๔ คร้ังในลังกา ปริเฉทที่
๓ ว่าด้วยการประดิษฐานพระพุทธศาสนาในลังกาทวีป ปริเฉทที่ ๔ ว่าด้วยพระ
พุทธทนั ตธาตไุ ปประดิษฐานในประเทศต่าง ๆ ปริเฉทที่ ๕ ว่าด้วยพระราชาเสวย
ราชต่อเนื่องกันไปนับได้ ๕๐ องค์ เนื้อหาส่วนนี้เกี่ยวกับพุทธศาสนาในดินแดน
ประเทศไทยเริ่มต้ังแต่แรกสร้างเมืองหริปุญชัย พระนางจามเทวีเสวยราชย์ใน
เมืองหรปิ ญุ ชัย ผู้แต่งสงั คีติยวงศ์สรุปไว้ตอนท้ายของปริเฉทนี้ว่าเพื่อให้รู้ราชวงศ์
ของพระนางจามเทวี ปริเฉทที่ ๖ ว่าด้วยเหตุการณ์ของราชวงศ์ในชมพูทวีปแล
ลาวทวีป ราชวงศ์ลาวทวีปในที่นี้หมายถึงราชวงศ์มังราย เนื้อหาในส่วนนี้เล่าถึง
การสังคายนาพระไตรปิฎกคร้ังที่ ๘ โดยพระเจ้าสิริธรรมจักรวรรดิติลก
ราชาธิราช (พระเจ้าติโลกราชแหง่ ล้านนา)และคณุ แหง่ การชาระพระไตรปฎิ กไว้ว่า
“การทีช่ าระอกั ษรพระไตรปฎิ กน้ัน ได้ชือ่ ว่าเป็นการประดิษฐานพระ
ศาสนาทั้งเป็นการใหฝ้ ูงชนแลเทวดาท้ังหลายได้สักการบูชา บังเกิด
เปนกศุ ลราศีแก่เทวดาแลมนษุ ย์ท้ังหลายทว่ั ไป...”๖๑
๖๑ กรมศิลปากร,วรรณกรรมสมยั รัตนโกสินทร์ เลม่ ๓, ๒๐๒.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พันธ์ ๓๕
เนื้อหาสังคีติยวงศ์ตั้งแต่ปริเฉทที่ ๑-๖ ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกับชินกาล
มาลีปกรณ์นน่ั คือ เปน็ การเล่าประวัติศาสตร์พุทธศาสนา เป็นไปได้ว่าสมเด็จพระ
วันรตั น์อาจได้อา่ นชินกาลมาลีปกรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
โปรดให้แปล ส่วนปริเฉทที่ ๗-๙ เปน็ การแต่งใหม่
ปริเฉทที่ ๗ ว่าด้วยทสราชวงศ์ทั้งหลายที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ผู้แต่งว่าเป็น
“เหตุการณ์ต่าง ๆ ในวรามราชวงศ์๖๒แลสยามไทยวงศ์” เนื้อหาส่วนต้นเล่าถึง
เหตกุ ารณ์ต่าง ๆ ก่อนการขึน้ ครองราชย์ของสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) โดยว่า
เมื่อก่อนพุทธวจนะต่าง ๆ สมบรู ณ์ดีแต่เมือ่ เวลาผ่านไป
“วิปาสไปพริ ธุ ไป ฉิบหายไปท้ังสิถิลแลธนิต๖๓ ก็ได้คละปะปนกันไป
การสืบอนุสนธิกข็ จัดพลัดพรายไป ชนทง้ั หลายที่มีเพียรและปัญญา
และกาลังอ่อนเป็นต้น ก็ได้หาวิจารณาอักษรแลบทพยัญชนะ
ทั้งหลายไม่ ทั้งมิได้ตั้งใจเล่าเรียนย่อมเสื่อมไป ๆ
ณ กาลนั้น พระพุทธวจนะปิฎกไตรทั้งหลายได้ประดิษฐาน
อยู่ในสยามราชประเทศ ๑ ในมัทธราชมหาลาน๖๔ประเทศ ๑ ในราช
ประเทศ (ประเทศราช) ๑ ในกัมพุชเขมแลหงษารามราชประเทศ ๑
ในประเทศอาว๖๕แลพุกามพม่า ๑ ในประเทศท้ังหลายอื่นสูญหาย
หมดไม่มีเลย เพราะคนท้ังหลายเหล่านั้นไม่รู้จักคุณพระศาสนา
คร้ันเมื่อพุทธศักราชได้ ๒๐๐๐ ปีเศษล่วงไป พระพุทธศาสนาก็ได้
เสือ่ มด้วยกรณีทั้งหลายต่าง ๆ แล”๖๖
๖๒ อาจารย์ ดร.วินยั พงศ์ศรเี พียร อธิบายว่าหมายถึงรามญั วงศ์
๖๓ อาจารย์ ดร.วินัย พงศ์ศรเี พียร อธิบายว่าหมายถึงเสียงหนักเสียงเบา
๖๔ อาจารย์ ดร.วินยั พงศ์ศรเี พียร อธิบายว่าหมายถึงพมา่
๖๕ อาจารย์ ดร.วินัย พงศ์ศรเี พียร อธิบายว่าหมายถึงองั วะ
๖๖ กรมศิลปากร,วรรณกรรมรัตนโกสินทร์ เลม่ ๓, ๒๑๗-๒๑๘.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
๓๖ สังคีติยวงศ์และโอวาทานสุ าสนีย์
ความข้างต้นมีความน่าสนใจ ๒ ประการ ประการแรกแสดงให้เห็นว่าพุทธ
ศาสนาในดินแดนอืน่ ๆ สูญหายไปแล้วเหลือเพียงไม่กี่แห่ง๖๗ประการที่สองแสดง
ให้เห็นว่าสมเด็จพระวันรัตน์มองว่าหลัง พ.ศ.๒๐๐๐ พุทธศาสนาได้เริ่มเสื่อม
แล้วแต่ยังไม่มีการสังคายนาให้บริสุทธิ์ แม้ในช่วงทศวงศ์ที่สอง (สมัยสมเด็จหน่อ
พุทธางกรู -สมเด็จพระอินทราชา (โอรสสมเด็จพระเอกาทศรถ) กษัตริย์ท้ังหลาย
“ ที่ ท ร ง พ ร ะ สั ท ธ า ม า ก บ้ า ง น้ อ ย บ้ า ง ไ ด้ ท ร ง ส ะ ส ม บุ ญ กุ ศ ล ใ น
พระพทุ ธศาสนาด้วยเหตุต่าง ๆ แต่หาได้ชุมนุมภิกษุสงฆ์ผู้พหูสูตรที่
ชานาญในพระธรรมวินัย ใหท้ าสังคีติพระธรรมและพระวินยั อยา่ งใน
กาลก่อนไม่
เพราะเหตุไรเล่า เพราะเหตุว่าพระราชาเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น
กด็ ี แลพระภิกษทุ ้ังหลายเหล่านั้นกด็ ีได้ถึงซึ่งอฐานอันใช่กิจเสียแล้ว
ด้วย เพราะเหตุนั้นพระราชาเจ้าแลพระภิกษุท้ังหลายเหล่าน้ันจึง
ไม่ได้สังคีติพระพุทธวจนะคือพระไตรปิฎกไว้ ได้พร้อมกันก่อสร้าง
แต่กุศลกรรมอย่างอื่น ๆ ครั้นอายุได้ขวบขัยก็ได้พากันไปตาม
ยถากรรมของตน๖๘
ดังนั้นเมื่อพระนครถึงความพินาศใหญ่พระไตรปิฎกจึงอยู่ในสภาพพลัด
พรายกระจดั กระจายเสื่อมสญู จนสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรด
ให้สังคายนาพระไตรปิฎกคร้ังที่ ๙ เมื่อ พ.ศ.๒๓๓๑ โดยนัยนี้สังคีติยวงศ์ที่แต่ง
โ ด ย ส ม เ ด็ จ พ ร ะ วั น รั ต น์ จึ ง มี จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ต้ อ ง ก า ร ย ก ย่ อ ง เ ชิ ด ชู พ ร ะ บ า ร มี
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกด้วยอีกประการหนึ่ง โดยการ
เปรียบเทียบประหนึ่งเป็นพระเจ้าปัสเสนทิโกศล พระยาธรรมาโศก (พระเจ้า
อโศก) พระยาอภัยทุฎฐคามิณี (ผู้อุปถัมภ์ค้าชูพระพุทธศาสนาตั้งแต่สมัย
๖๗ เนอื้ ความต่อจากข้างต้นสมเด็จพระวันรัตน์เล่าว่ามีสงครามเกิดขึ้นโดยใช้คาว่า “มหา
สงครามน่าสยดสยอง” ในหงษารามประเทศ ในอาวภูกามพม่า เหตุคร้ังน้ันทาให้
๖พ๘ระกไตรมรปศิฎิลกปพากนิ รา,ศวไรปรดณ้วยกเรหรตมตุ ร่าัตงนๆโกจสากินนท้ันรจ์ เึงลเร่มิม่ เ๓ล,่า๒เร๒่อื ๘งส.มเดจ็ พระรามาธิบดี
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พนั ธ์ ๓๗
พุทธกาล หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วประมาณ ๒๐๐ ปี และผู้อุปถัมภ์
พระพุทธศาสนาในลงั กา)
ปริเฉทที่ ๘ ว่าด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ และสังคีติที่ ๙ โดยเล่าถึงการ
รวบรวมผู้คนต้ังกรงุ ธนบุรี “จิตฟุ้งซ่านวิปริตต่าง ๆ” ของสมเดจ็ พระเจ้ากรุงธนบุรี
การขึน้ ครองราชย์ของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และเหตุการณ์สาคัญคือ
การสงั คายนาพระไตรปฎิ ก
ปริเฉทที่ ๙ ว่าด้วยบอกอานิสงส์แลความปรารถนา ทั้งอานิสงส์การจาร
พระธรรม ถวายตู้พระธรรม สร้างตู้พระธรรม สร้างพระมณฑป ถวายใบลาน
ถวายผ้าหอ่ ผ้ารัดพระธรรม การสร้างพระไตรปฎิ ก ฯลฯ ส่วนความปรารถนาของ
พระพิมลธรรม (สมณศักดิ์ขณะแต่งสังคีติยวงศ์) ผู้แต่งสังคีติยวงศ์มี ๕ ประการ
โดย ๔ ประการแรกปรารถนาให้ผู้อื่น ประการสุดท้ายเป็นความปรารถนาของ
ตนเองคือ๖๙
๑. ขอใหส้ ัตว์โลกทั้งหลายได้ประโยชน์
๒. ขอใหเ้ ทพยดา มนุษย์ ภตู ิ และสัตว์มีลมหายใจใน ๓ โลกได้รับส่วนบุญ
ของพระพิมลธรรม
๓. ขอให้สรรพสัตว์ปราศจากโรค อุปัททวะ มีอายุยืน มีความ สุขใจ
ปราศจากทุกข์ภัยท้ังปวง และขอให้เทพยดาท้ังปวงมีความสุข มียศประเสริฐ มี
ฤทธิ์ใหญ่หลวง
๔. ขอใหจ้ าเริญในพระพุทธศาสนา
๕. ขอใหเ้ ป็นผู้ทรงใช้ซึ่งพระไตรปิฎกเป็นผู้ประเสริฐ มีปัญญามาก มีฤทธิ์
ใหญ่หลวง ขอใหเ้ ปน็ อัครสาวก ขอใหเ้ ปน็ คนมีสติ มีเพียร มีศีล มีศรัทธา มีสมาธิ
มีเสียงและอายเุ หมือนพระพรหม
ประเด็นสาคัญในการศึกษาครั้งนี้อยู่ที่ปริเฉทที่ ๘ ด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ
และสังคีติที่ ๙ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในช่วงต้นกรุง
รัตนโกสินทร์ มีสาระสาคญั ดังต่อไปนี้
๖๙ กรมศิลปากร,วรรณกรรมรัตนโกสินทร์ เล่ม ๓, ๓๓๔-๓๓๕.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
๓๘ สังคีติยวงศ์และโอวาทานุสาสนีย์
๑. พุทธจักรหลังเสียกรุงศรีอยุธยา พ .ศ.๒๓๑๐ - ต้นกรุง
รัตนโกสินทร์
สังคีติยวงศ์แต่งโดยพระพิมลธรรมผู้อยู่ร่วมสมัยเหตุการณ์เสียกรุงศรี
อยุธยาคร้ังท่ี ๒ - สมยั กรุงธนบุรี - ช่วงสังคายนาพระไตรปฎิ ก ดังน้ันสงั คีติยวงศ์
จึงให้ภาพพุทธจกั รในช่วงเวลาดงั กล่าวได้เปน็ อย่างดี
หลังกรุงศรีอยุธยาแตก ปรากฏภาพเหตุการณ์อยู่ตอนท้ายปริเฉทที่ ๗
ว่าประชาชนอยู่ในสภาพทุกขเวทนาเป็นอย่างมาก พระศาสนาอยู่ในลักษณะที่
พระอารามวิหารถูกเผาทาลาย พระไตรปิฎกอยู่สภาพพินาศ ฝ่ายภิกษุสงฆ์อยู่
สภาพน่าเวทนา บางรูปเมื่อไม่สามารถครองสมณเพศได้เนื่องจากประชาชนอยู่
สภาพหิวโหยไม่สามารถเอือ้ เฟือ้ ต่อสมณะ ทาใหส้ ึกออกมาหาเลี้ยงชีพ
“ฝ่ายภิกษุสงฆ์ท้ังหลาย เมื่อไม่ได้อาหารบิณฑบาตแต่ทายกแล้ว ก็
เหน่อื ยยากลาบากเข้าไม่สามารถจะครองกาสาวพัตรได้ ใช้ให้ศิษย์
ไปขวนขวายอาหารเพือ่ ได้เลี้ยงท้อง ได้บ้างมิได้บ้าง ก็เหนื่อยหน่าย
จากการบวช ด้วยความลาบากที่จะครองเพศเป็นสมณะ ได้พากัน
สึกออกหาเลี้ยงชีวิตตามสติกาลัง
บางพวกที่ยงั รกั กาสาวพัตรอยู่ กอ็ ุตสาหะพยุงกาย ด้วยการ
แสวงหาน่าเวทนายิ่งนัก ได้ฉันบ้างไม่ได้ฉันบ้าง ก็มีรูปกายวิปริต
สะพร่ังไปด้วยเกลียวหนังแลเส้นเอ็น ก็ไม่เป็นน้าหนึ่งใจเดียวกันได้
หมดความอาลัยรักษาพระพุทธรูปแลพระธรรมไม่ได้ พากันสาเร็จ
อยู่ตามสถานอนั สมควร
ฝ่ายพวกมิจฉาทิฐิทั้งหลายก็ทาอนั ตรายแก่พระพุทธรูป”๗๐
อย่างไรกด็ ี สังคีติยวงศ์ได้ให้ภาพความพยายามของเหล่าภิกษุในการเก็บ
รวบรวมคัมภีรต์ ่าง ๆ ไว้ด้วย
“ภายหลังภิกษุท้ังหลายเหล่าน้ันได้เห็นพระธรรมยังเหลืออยู่น้อย มี
จิตกอปรด้วยศรัทธา ได้รวบรวมพระธรรมเหล่านั้นไว้ แต่พระธรรม
๗๐ กรมศิลปากร,วรรณกรรมรตั นโกสินทร์ เล่ม ๓, ๒๓๙,๒๔๑.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พนั ธ์ ๓๙
วินัยบางคัมภีร์ที่ยังม่ันคงอยู่ก็มี บางคัมภีร์ก็ได้เหลืออยู่ผูก ๑ กว่า
บ้าง ๒ ผูกเศษบ้าง เต็มคัมภีร์บ้าง ครึ่งคัมภีร์บ้าง บริบูรณ์บ้าง ไม่
บริบูรณ์บ้างบังเกิดอากูลต่าง ๆ กันนี้แลภิกษุเหล่านั้นเลือกรวมไว้
ตามสติกาลัง นามาเกบ็ ไว้ยงั สานกั ตน”๗๑
หลงั ชาวบ้านเริม่ พอถวายปัจจยั แด่พระภิกษุสงฆ์ได้ สภาพการณ์ต่าง ๆ ก็ดี
ขนึ้ สงั คีติวงศ์ให้ข้อมลู ว่าเริ่มจากการที่ชาวบ้านปรารถนาฟังพระธรรมเทศนา ทา
ให้ภิกษุเลือกพระธรรมที่ตนเก็บมาได้พิจารณาดูเพื่อแสดงพระธรรม แม้ว่า
บางครั้งเป็นการ “ปรารถนาลาภสักการเพื่อจะรักษาชีวิตของตน”๗๒ ก็ตาม แต่
การกระทาดังกล่าวถือเป็นการสืบทอดพระศาสนาประการหนึ่ง เมื่อภิกษุ
ท้ังหลายสมบูรณ์ด้วยจตุปัจจัยมากขึ้นในเวลาต่อมาต่างก็พากันแสวงหา
พระธรรมวินัยทีย่ ังคงหลงเหลืออยู่ ขนไปไว้ในสถานของตนอันเป็นเพิงในวัดเก่า ๆ
โดยปลูกกุฏิขึ้น ส่วนพระพุทธรูปที่แตกหักเหล่าภิกษุพร้อมลูกศิษย์ก็ได้พากัน
รวบรวมไปเก็บไว้ในสถานอันสมควร ขณะที่ชาวบ้านบางคนได้ให้บุตรหลานบวช
เพื่อเปน็ การต่ออายุพระพทุ ธศาสนา๗๓
สมัยกรุงธนบุรี สังคีติยวงศ์ให้ภาพพุทธจักรช่วงกรุงธนบุรีไว้สั้น ๆ ๒ ที่
ตรงต้นปริเฉทและช่วง พ.ศ.๒๓๒๕ ก่อนการขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จ
พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลก โดยว่า
“...พระองค์ (สมเด็จพระเจ้ากรงุ ธนบรุ ี) ได้เสวยราชย์อยู่พระนครธน
ปรุ ะในแว่นแคว้นกรุงอโยชฌนคร ๑๔ ปีเศษ ได้ทรงทากรรมต่าง ๆ
มีนวทาเป็นต้น (หรือนวทาน) แล้วมีจิตฟุ้งซ่านวิปริตต่าง ๆ มหาชน
พากันโกรธฆ่าเสียได้ทากาลกิรยิ าท้ังบุตรและนัดดาท้ังหลาย”
“ลพุ ระพุทธศักราช ๒๓๒๕ ล่วงแล้วปีขาล คร้ันความโศกปริ
เวททุกขโทมนัสแลอันตรายมีประการต่าง ๆ บังเกิดขึ้นแก่ภิกษุ
เพราะบุคคลลามกโกหกมารยาเป็นอันมากในพระพุทธศาสนาแล
๗๑ กรมศิลปากร,วรรณกรรมรตั นโกสินทร์ เล่ม ๓, ๒๔๑-๒๔๒.
๗๒ เรือ่ งเดียวกนั , ๒๔๒.
๗๓ เรือ่ งเดียวกนั , ๒๔๒-๒๔๓.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
๔๐ สงั คีติยวงศ์และโอวาทานสุ าสนีย์
บงั เกิดขึน้ แก่คฤหสั ถ์เปน็ อันมาก สมเด็จพระผู้ทรงมหากรุณาทั้ง ๒
พระองค์นั้น (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและกรม
พระราชวังบวรสถานมงคล) ได้ทอดพระเนตรเห็นเหตุน้ัน ๆ ก็มีพระ
กมลหฤทยั หว่นั ไหวไปด้วยพระเมตตากรุณาแก่สรรพสัตว์ได้โอกาส
ระงับชนพวกอสัจธรรมท้ังหลาย...”๗๔
เป็นที่น่าสังเกตว่าสังคีติยวงศ์กล่าวถึงเหตุการณ์วุ่นวายปลายรัชกาล
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไว้สั้น ๆ และไม่ได้พาดพิงพฤติกรรมทางศาสนาของ
พระองค์เมือ่ เทียบกับเอกสารอ่นื เช่น พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา
ทีเ่ ปน็ เช่นนี้น่าจะเป็นเพราะสงั คีติยวงศ์เปน็ หนังสือประวตั ิศาสตร์พระศาสนาไม่ได้
มีจดุ ประสงค์ทางการเมืองเป็นหลักและอาจเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอด ๑๕
ปีแหง่ การครองราชย์ของสมเดจ็ พระเจ้ากรงุ ธนบรุ ีได้ทาให้พระศาสนาฟื้นฟูขึ้นมา
ในระดบั หนึง่
ชว่ งตน้ รัชกาลสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สังคีติยวงศ์ให้ภาพว่า
พระสงฆ์ในสมัยนี้อยู่ในสภาพบริบูรณ์ต้ังใจศึกษาคันถธุระและจาเริญวิปัสสนา
เป็นอย่างดี
“ลาดบั นน้ั ภิกษุสงฆ์ที่สานักอยู่ในอาวาสท้ังหลายต่าง ๆ ก็ได้พากัน
ศึกษาคันถธุระแลจาเริญวิปัสสนา มิได้ยากลาบากด้วยอาหาร
บิณฑบาตสมบรู ณ์รมุ่ รวยด้วยบาตรแลจีวรอยู่เย็นเป็นสุขทั่วไป มิได้
พากันสลั ดเสี ยซึ่งธุร ะท้ัง ๒ ก็ทาให้เต็ม รอบคอบใน พร ะ
ไตรสิกขา”๗๕
๒. การสงั คายนาพระไตรปิฎก
สังคีติยวงศ์กล่าวถึงการสังคายนาพระไตรปิฎก พ.ศ.๒๓๓๑ ว่าเกิดจาก
การที่พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกและกรมพระราชวังสถานมงคลมี
ความห่วงใยรักใคร่พระศาสนา เพราะทรงทราบว่าพระไตรปิฎกมีอักษรวิปลาส
๗๔ กรมศิลปากร, วรรณกรรมรัตนโกสินทร์ เลม่ ๓, ๒๔๗,๒๕๐.
๗๕ เรือ่ งเดียวกัน. ๒๕๔.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พนั ธ์ ๔๑
พิรุธจึงตั้งใจจะทาให้พระไตรปิฎกครบถ้วนบริบูรณ์เพื่อเป็นพระโยชน์สุขแก่
กุลบุตรในพระพุทธศาสนา จึงทรงหารือกับพระราชาคณะท้ังหลายอันมีสมเด็จ
พระสังฆราชเป็นประธาน จากน้ันจึงเลือกสรรภิกษุ ๒๑๘ รูป ราชบัณฑิต ๓๒
นาย ทาสังคายนาพระไตรปิฎกในวันเพ็ญเดือน ๑๒ ของปีนั้น (ตรงกับวันพุธที่
๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๓๑) ณ วัดพระศรีสรรเพชชุดาราม แบ่งกองชาระเป็น
๔ กอง ใช้เวลาชาระพระธรรมวินัยและเขียนจารปีเศษจึงสาเร็จ๗๖(พระราช
พงศาวดารกรงุ รตั นโกสินทร์รชั กาลท่ี ๑ ฉบบั พระยาทิพากรวงศ์ (ขา บุนนาค) ว่า
ใช้เวลา ๕ เดือนเสร็จการสังคายนา เมื่อวันเพ็ญเดือน ๕ ปีระกาเอกศกตรงกับ
วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๓๓๒ คงหมายถึงการชาระเนือ้ หาเท่าน้ันไม่รวมการจาร
พระไตรปฎิ ก)
การแบ่งกองชาระพระไตรปิฎกสังคีติยวงศ์ไม่ได้ให้รายละเอียดไว้ แต่ได้มี
การกล่าวไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ฉบับเจ้าพระยา
ทิพากรวงศ์ (ขา บนุ นาค) ว่า
“สมเด็จพระสงั ฆราชเปน็ แม่กองชาระพระสุตตันตปิฎกกอง ๑ พระ
วันรัตเป็นแม่กองชาระพระวินัยปิฎกกอง ๑ พระพิมลธรรมเป็นแม่
กองชาระพระสัททาวิเศสกอง ๑ และคร้ังนั้นพระธรรมไตรโลก
(อดีตพระสังฆราช-ชื่น) เปน็ โทษอยู่ มิได้เข้าในสังคายนา พระธรรม
ไตรโลกจึงมาอ้อนวอนสมเด็จพระสังฆราช ขอเข้า ช่วยชาระ
พระไตรปฎิ กด้วย ก็ได้เป็นแม่กองชาระพระปรมัตถปิฎกกอง ๑ แล
พระสงฆ์ทั้ง ๔ กองน้ัน ทรงพระกรุณาโปรดให้นิมนต์แยกกันชาระ
พระปริยตั ิอยู่ ณ พระอุโบสถกอง ๑ อยู่ ณ พระวิหารกอง ๑ อยู่ ณ
พระมณฑปกอง ๑ อยู่ ณ การเปรียญกอง ๑”๗๗
๗๖ กรมศิลปากร,วรรณกรรมรัตนโกสินทร์ เล่ม ๓, ๒๖๐-๒๖๑, ๒๗๖.
๗๗ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์
(ขา บุนนาค) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงตรวจ
ชาระและทรงนพิ นธอ์ ธิบาย, ๕๘.
อย่างไรก็ดีเป็นที่น่าสังเกตว่า พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาให้ข้อมูล
ตรงนีไ้ ว้ต่างกันเลก็ น้อยโดยว่า พระพมิ ลธรรมเปน็ แม่กองชาระพระอภิธรรมปิฎก พระพุฒา
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
๔๒ สังคีติยวงศ์และโอวาทานสุ าสนีย์
จากการตั้งกองชาระพระไตรปิฎกข้างต้น วินัย พงศ์ศรีเพียร ต้ังข้อสังเกต
ว่า การชาระพระไตรปิฎกไม่ได้มีความสาคัญเฉพาะเรื่องการรวบรวมพระพุทธ
วจนะขึน้ ใหม่เท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติและในเชิงสัญลักษณ์กิจกรรมนี้ดูเหมือนจะ
ประสานรอยร้าวระหว่างพระสงฆ์สายสมเด็จพระสังฆราชวัดระฆัง (เดิมชื่อวัด
บางหว้าใหญ่) กับพระสงฆ์สายอดีตพระสังฆราช (ชืน่ ) วดั หงส์ เหมือนดังคร้ังการ
สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๘ สมัยพระเจ้าติโลกราช ครั้งนั้นก็น่าจะเป็นการ
ประสานรอยร้าวระหว่างพระสงฆ์สายวดั สวนดอกกับวดั ปา่ แดง๗๘ หรอื มองอีกแง่
หนึง่ สงั คมช่วงต้นรัตนโกสินทร์คงค่อนข้างขาดพระสงฆ์/คนทีม่ ีความรู้ทางศาสนา
ดังนั้นเมื่อเกิดกรณีพระสงฆ์ทาความผิดที่ไม่ร้ายแรงเกินไปนักก็ไม่โปรดให้สึก
เพราะเสียดายความรู้ เช่น กรณีพระสังฆราช (ชื่น) เหตุที่ไม่ให้สึกเพราะ “รู้
พระไตรปฎิ กมากเสียดายความรู้” กรณีสมเดจ็ พระวันรตั น์ (อาจ) ผู้แต่งโอวาทานุ
สาสนีกเ็ ช่นกนั หรอื พญาธรรมปรีชา (แก้ว) ที่ประกาศพระราชปรารภระบุว่าเป็น
ประธานฝ่ายราชบณั ฑิตในการสงั คายนาพระไตรปฎิ กนั้น สมยั สมเดจ็ พระเจ้ากรุง
ธนบรุ ีเคยเป็นทีพ่ ระรตั นมุนี (แก้ว) อยู่วดั หงส์ แต่พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้า
จุฬาโลกโปรดให้สึกว่าเป็นอาสัตย์สอพลอทาให้เสียแผ่นดินและตั้งเป็นอาลักษณ์
ต่อมาได้แต่งหนงั สือไตรภูมิโลกวินิจฉยั กถาตามพระราชดาริของพระบาทสมเด็จ
พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลก๗๙
จารย์เป็นแม่กองชาระสัททาวิเศษ (รายละเอียด ใน พระราชพงศาวดาร ฉบับพระ
๗รา๘ชหตัวิถนัยเลขพางศเล์ศม่รีเ๒พีย, ๕ร,๓“๐ก).ารพระศาสนากับการจัดระเบียบสังคมไทยตั้งแต่รัชกาล
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
๗เจ๙้าพอยระู่หรวั า,“ชพในงศพารวะดพาุทรกธรศุงารสัตนนาโแกลสะินสทถรา์ รบัชันกสางลฆทก์ ี่ ๑ับสขังอคงมเจไ้ทาพยร,ะ๓ย๐า๒ทิพ. ากรวงศ์ ระบุว่า
พระวนั รัตน์ (ทองอยู่) พระรัตนมุนี (แก้ว) เป็นคนอาสัตย์สอพลอทาให้เสียแผ่นดิน ในสมัย
สมเด็จพระเจ้าตากสิน ขณะที่พระสังฆราช (ชื่น) เป็นพวกพลอยว่าตาม ดังน้ันเมื่อ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกขึน้ ครองราชย์จึงโปรดให้สึกพระวันรัตน์ (ทองอยู่)
และพระรัตนมุนี (แก้ว) ขณะที่พระสังฆราช (ชื่น) ไม่ให้สึกแต่โปรดตั้งให้เป็นพระธรรมธีร
ราชมุนี (พระธรรมธิราราชมหามุนี-ตามพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา) ว่าที่
พระวันรัตน์
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พนั ธ์ ๔๓
สังคีติยวงศ์นอกจากใหข้ ้อมูลเรื่องจานวนพระสงฆ์ วันที่ สถานที่ การแบ่ง
กองชาระพระไตรปิฎกแล้วยังให้รายละเอียดเรื่องการพระราชทานมหาทานแก่
ภิกษุทั้งหลาย อธิบายพระสูตรต่าง ๆ ใ นพระพุทธศาสนาและเล่าถึง
พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกและกรมพระราชวงั บวรสถานมงคลทรง
สดับอานิสงส์ต่าง ๆ ในคัมภีร์ทั้งหลาย เนื้อหา ๒ ประการหลังนี้มีมากและอ่าน
เข้าใจค่อนข้างยากพอสมควรหากไม่มีความรู้ทางพทุ ธศาสนามาก่อน
๓. บทบาทกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
สังคีติยวงศ์แม้เป็นหนังสือที่เชื่อกันว่าแต่งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกที่ทรงโปรดให้สังคายนาพระไตรปิฎก
คร้ังที่ ๙ แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาอย่างละเอียดแล้วพบว่า พระพิมลธรรมผู้แต่ง
หนังสือยกย่องและให้ความสาคัญกับกรมพระราชวังบวรสถานมงคลควบคู่กับ
พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกเสมอ ทุกครั้งที่กล่าวถึงพระราชกิจต่าง
ๆ ทั้งทางศาสนาและการยกทัพไปรบพม่า (เนื้อหาส่วนหลังนี้มีค่อนข้างน้อย-เน้น
ว่าเมื่อออกรบได้ทรงอธิษฐานบารมีทาให้พม่าต้องแพ้ไป) โดยก่อนปราบดาภิเษก
จะใช้คาว่า “พระราชา ๒ พระองค์พี่นอ้ ง” “พระมหาเดชท้ัง ๒ พระองค์” “สมเด็จ
พระผู้ทรงมหากรุณาท้ัง ๒ พระองค์” เมื่อปราบดาภิเษกแล้วใช้คาว่า “สมเด็จ
พระมหากษัตริย์เจ้าท้ัง ๒ พระองค์” “สมเด็จพระบรมธรรมิกราชเจ้าท้ัง ๒
พระองค์” “พระราชาเจ้าทั้ง ๒ พระองค์” “สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทั้ง ๒
พระองค์” เป็นต้น นอกจากนี้ยังยกย่องว่า กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็น
หน่อพระบรมโพธิสตั ว์เจ้า มีบุญบารมีสั่งสมมากมาย เป็นพระสัททาธิกและพระ
ปญั ญาธิก๘๐ เช่นเดียวกบั พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รวมทั้งสังคีติ
๘๐ พระศรทั ธาธิกโพธิสัตว์เป็นพระโพธิสัตว์ที่โดดเด่นทางศรัทธา ความสมบูรณ์ของพระ
บารมที ้ังหลายเกดิ ขนึ้ เมือ่ ใช้เวลาปฏิบัติ ๘ อสงไขย แสนกัปป์ พระปัญญาธิกโพธิสัตว์เป็น
พระโพธิสัตว์ที่โดดเด่นทางปญั ญา ความสมบูรณ์ของพระบารมที ้ังหลายเกดิ ขึ้นโดยใช้เวลา
ปฏิบัติ ๔ อสงไขย แสนกัปป์ (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี, “ทศ
บารมใี นพุทธศาสนาเถรวาท” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาภาษาตะวันออก
บณั ฑิตวิทยาลัย จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๔, ๑๑๗, อ้างถงึ ใน สายชล วรรณรัตน์,
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
๔๔ สังคีติยวงศ์และโอวาทานสุ าสนีย์
ยวงศ์ยังอุทิศเนื้อที่เล่าถึงพระราชกิจที่ “สมเด็จพระอนุชาธิราช-” ใช้เฉพาะเมื่อ
กล่าวถึงกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเพียงพระองค์เดียว-ทรงกระทาด้วย เช่น
สร้างวัดพระศรีสรรเพชชุดาราม (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดมหาธาตุ) สถานที่
สงั คายนาพระไตรปฎิ ก อัน “งามประเสริฐวิจิตรหาทีเ่ ปรียบมิได้” รวมทั้งบรรยาย
ว่าขณะทีม่ ีการสงั คายนาพระไตรปฎิ ก
“สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า ได้ทรงทาการฟืนแลใบไม้เครื่องหุงหา
อาหารด้วย ทรงทาการตาข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร ด้วยพระกาลัง
กายอันเป็นกุศลเจตนาพิเศษ ซึ่งยากที่ผู้ใดจะทาได้ แล้วทรงหุงต้ม
ด้วยพระองค์เอง พระองค์เป็นหน่อพุทธางกูร พระปัญญาธิกทรง
พระฉลาดเฉลียวนัก ทรงพระฤทธิ์มหิมา มีบุญญาธิการพร่ังพร้อม
ด้วยคุณธรรมคือศีลเป็นอาทิ มีพระอาการเหมือนสมเด็จพระเชษฐา
เป็นเนื้อหน่อพุทธางกูร ทรงปรารถนาพระสัพพัญุตญาณ ได้ถวาย
พระมหาทานอย่างสมเด็จพระเชษฐาด้วย อย่างอื่นด้วยแก่ภิกษุ
ท้ังหลายน้ัน”๘๑
การยกย่องดังกล่าวไม่ว่าจะด้วยเหตทุ ีพ่ ระพิมลธรรมอาจมีความสนิทสนม
กับกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นพิเศษ๘๒หรือการที่กรมพระราชวังบวรฯ
พุทธศาสนากบั แนวคิดทางการเมืองในรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา
๘๘โล๑๒กก(ไรพมม่ป.ศศริล.า๒ปกา๓ฏก๒ชร๕ัด,วเ-รจ๒รนณ๓ว่๕ากก๒รรร)ม,มพ๑สร๕มะ๘ยั รร.าตัชวนังโบกวสรินสทถรา์ นเลมม่ งค๓ล, ๒๖๒.
ทรงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ
พระพมิ ลธรรมหรอื ไม่ แต่พระพิมลธรรมคือผู้ที่ไปถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระพุทธ-
ยอดฟา้ จุฬาโลกกับกรมพระราชวงั บวรฯ ว่าไม่ควรสร้างสะพานช้างข้ามคพู ระนครเพราะถ้า
มีศึกจะข้ามมาถึงชานพระนครได้ง่าย เท่าที่ปรากฏกรมพระราชวังบวรฯ ทรงใกล้ชิดกับ
พระวันรัตน์ (ศขุ ) วัดนิพพาราม (วัดซ่งึ ใช้สังคายนาพระไตรปิฎก) พระราชาคณะที่สาคัญใน
เวลานั้น ต่อมาพระวันรัตน์ (ศุข) ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชแทนสมเด็จ
พระสังฆราช (ศร)ี วัดระฆงั ซึง่ อาพาธถึงแก่มรณภาพ
สายชล วรรณรตั น์ อธิบายว่า การทีก่ รมพระราชวังบวรฯมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ
สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) ทาให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสร้าง
ความสัมพันธ์กับพระพิมลธรรมท้ังโดยการบูรณะวัดโพธารามหรือต่อมา พระราชทานว่า
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พนั ธ์ ๔๕
เปน็ ผู้มีบารมีมาก (ในที่นเี้ น้นทางธรรมไม่ใชท่ างโลก) ทดั เทียมพระเชษฐาธิราชจน
เป็นที่เหน็ ประจกั ษ์ท่วั ไปก็ตาม ถือได้ว่าความในสังคีติยวงศ์ช่วยให้เข้าใจที่มาของ
ปัญหาความขัดแย้งแข่งบารมีระหว่างพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
และกรมวงั บวรฯช่วงปลายรชั กาลได้ชัดเจนขนึ้ รวมทั้งเข้าใจเหตุการณ์ที่พระองค์
เจ้าลาดวน พระองค์เจ้าอินทปัตพระโอรสกรมพระราชวังบวรฯคิดทาร้าย
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกในวันถวายพระเพลิง๘๓จนเป็นเหตุให้
พร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ พุ ท ธ ย อ ด ฟ้ า จุ ฬ าโ ล ก ท ร ง โ ท ม นั ส จ น ไ ม่ คิ ด ท า พ ร ะ เ ม รุ
พระราชทานเพลิง แต่ขนุ นางข้าราชการหลายคนคดั คา้ น
โอวาทานุสาสนี เป็นเอกสารสาคัญสะท้อนให้เห็นปัญหาการรักษาพระ
วินัยของพระสงฆ์ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เนื้อความโดยมากเป็นวินัยบัญญัติ สาระสาคัญในโอวาทานุสาสนีแบ่งได้ ๔
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม การเลื่อนพระพิมลธรรมเป็น “สมเด็จพระวันรัตน์” แทน
พระวันรตั น์ (ศขุ ) เพือ่ คานอิทธิพลสมเด็จพระสังฆราช (ศุข) และวัดพระศรีสรรเพชญ์ (ชื่อ
เดิมคอื วัดนิพพาราม) และทรงให้ความสาคัญแก่วัดพระเชตุพนตลอดรัชกาล ส่วนวัดพระ
ศรีสรรเพชญ์ซ่ึงมีนามตรงกับวัดประจาพระราชวังหลวงแห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อกรม
พระราชวังบวรฯ สนิ้ ได้โปรดฯ ให้เปลย่ี นชื่อเป็นวัดมหาธาตุวรมหาวิหาร (อ่านรายละเอียด
เพ่ิมเติมใน สายชล วรรณรัตน์, พุทธศาสนากับแนวคิดทางการเมืองในรัชสมัย
พ๘๓ระคบวาาทมสในมพเดระจ็ รพารชะพพงศุทาธวยดอาดรกฟรา้ ุงจรฬุ ัตานโโลกกสิน(ทพร.์ศร.ัช๒ก๓า๒ลท๕ี่ -๑๒เ๓จ๕้าพ๒ร,ะ๑ย๕าท๐ิพ-๑าก๖ร๒ว.)งศ์ ระบุ
ว่า การที่พระองค์เจ้าลาดวนและพระองค์เจ้าอินทปัตคิดกาเริบเป็นเพราะกรมพระราชวัง
บวรฯ มีพระราชดารัสว่า “สมบัติทั้งนีพ้ ระองค์ได้กระทาศึกสงครามกู้แผ่นดินขึ้นได้ก็เพราะ
พระองค์ท้ังสนิ้ ไม่ควรจะให้สมบัติตกไปได้แก่ลูกหลานวังหลวง ผู้ใดมีสติปัญญาก็ให้เร่งคิด
เอาเถิด” (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ของเจ้าพระยาทิพากร
วงศ์ (ขา บุนนาค) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรง
ตรวจชาระและทรงนิพนธ์อธิบาย, ๙๓). ส่วนหนังสือนิพพานวังหน้าของพระองค์เจ้า
กมั พุชฉัตร พระธิดากรมพระราชวังบวรสถานมงคลที่เกิดด้วยนักองอีธิดาของสมเด็จพระ
อุทัยราชาเจ้ากรุงกัมพูชา เล่าว่าก่อนสิ้นพระชนม์กรมพระราชวังบวรฯ “ตรัสบอก
ข้าราชการว่าจะเสด็จสวรรคต ให้อุตส่าห์ทาราชการสนองพระเดชพระคุณในพระเชษฐาธิ
ราชโดยความซ่ือตรง” ดูความสังเขปของหนังสือเร่ืองนี้ ใน จดหมายเหตุความทรงจา
ของกรมหลวงนรินทรเทวี พิมพ์พร้อมกับฉบับเพิ่มเติม (พ.ศ.๒๓๑๐-๒๓๘๑)และ
พระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (เฉพาะตอน พ.ศ.
๒๓๑๐-๒๓๖๓) (กรงุ เทพฯ : ครุ สุ ภา, ๒๕๑๖), ๓๑๔-๓๒๒.
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
๔๖ สงั คีติยวงศ์และโอวาทานสุ าสนีย์
ประการ ประการแรกกล่าวถึงสภาพการณ์โดยท่ัวไปของพระสงฆ์ ส่วนอีก ๓
ประการทีเ่ หลือสัมพันธ์กับประการแรกกล่าวคือ เมื่อพระสงฆ์มีปัญหาเรื่องวินัย
จึงต้องออกสังฆาณัติต่าง ๆ กาหนดให้พระสงฆ์รวมท้ังที่เป็นพระอุปัชฌาย์ทาใน
สิง่ ทีถ่ ูกต้องเหมาะสม
๑. สภาพพระสงฆท์ ั่วไปในขณะน้ัน
สมเด็จพระสงั ฆราช (มี) และสมเดจ็ พระวันรัตน์ (อาจ) สะท้อนปัญหาของ
พระสงฆ์ในช่วงนั้นว่าทาการหยาบช้าลามกเป็นมลทินในพระพุทธศาสนาอย่าง
มาก เหตุเพราะไม่รู้จักลักษณะพระจตุปาริสุทธิศีล ๔ ประการ๘๔พระอุปัชฌาย์
เองกป็ ล่อยปละละเลย จนทาให้ไม่รู้จักที่หนักที่เบาในระหว่างสิกขาบทน้อยใหญ่
(หมายถึงไม่ศกึ ษาวินยั บญั ญตั ิอนั เป็นข้อปฏิบัติสาหรับภิกษุ) แม้แต่พระไตรสรณา
คมก็ไม่รจู้ กั พระบาลีปัจจเวกขณ์ (การพิจารณาปัจจัย ๔ ก่อนการบริโภค) ก็ว่า
ผิดบ้างถูกบ้าง กระท่ังการพินทุอธิษฐานบาตรและจีวรก็ไม่เข้าใจ (หมายถึงการ
ทาเครือ่ งหมายวงกลมเล็ก ๆ ๓ จดุ ที่มุมจีวรและบาตรซึ่งเป็นเครื่องใช้ประจาตัว
เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่าสิ่งของนี้ตนเป็นเจ้าของ) สภาพการณ์เช่นนี้จึงต้องมี
โอวาทประกาศใหพ้ ระราชาคณะน้อยใหญ่ทั้งปวงต้ังใจเคารพศาสนาอุตสาหะส่ัง
สอนภิกษแุ ละสามเณรใหต้ ั้งอยู่ในพระจตปุ าริสทุ ธิศลี
“ด้วยภิกษุสามเณรทุกวันนี้ เกิดกาเริบกระทาอนาจาร เปนการ
หยาบช้าลามกมลทินในพระพุทธสาสนาเปนอันมากกว่ามากยิ่งนัก
ทั้งนีก้ ็เพราะเหตุว่ามิได้ศึกษาให้รู้จักลักษณะพระจตุปาริสุทธศีล ๔
ประการ ... ฝ่ายพระอปุ ชั ฌาย์อาจารย์ผู้ให้อุปสมบทบรรพชาน้ันเล่า
คร้ันแล้วก็มักปล่อยให้ไปแต่ลาพังอาเภอใจ มิได้กาชับให้มีผู้มารับ
เอาภารธุระช่วยส่ังสอนแทนตัว ก็พากันเสื่อมจากวัตตะปฏิบัติ ทั้ง
อุปัชฌาย์อาจารย์และศิษย์ทั้งปวง เปนอย่างนี้โดยมาก ฝ่ายศิษย์ที่
๘๔ จาตุปาริสุทธิศีล ๔ หมายถึงข้อปฏิบัติสาหรับภิกษุ ๔ ประการคือ ๑)ปาติโมกขสังวร
สารวมตามข้อบัญญัติ (ศีล ๒๒๗ ข้อ) ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ๒)อินทรียสังวร สารวม
อินทรีย์ทั้ง ๖ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ๓)อาชีวปาริสุทธิศีล เลี้ยงชีวิตโดยทางที่ชอบ ไม่
หลอกลวงเขาเลี้ยงชีวิต ๔)ปัจจยปัจจเวกขณะคือ พิจารณาก่อนบริโภคปัจจัย ๔ (จีวร
อาหาร ทีอ่ ยู่อาศัย เภสัช) ไม่ใช้สอยด้วยอานาจความอยาก (ตณั หา)
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พันธ์ ๔๗
ไปจากสานกั แหง่ พระอุปชั ฌาย์อาจารย์นั้นเล่า ก็ไปเที่ยวอยู่แต่ตาม
ลาพังตน หามีผู้ใหญ่จะบงั คบั บญั ชาใหอ้ ยู่ในอานาจโอวาท ใหป้ ฏิบัติ
โดยสมณะสารูปได้ไม่ ก็ไม่รจู้ กั ทีห่ นักที่เบาในระหว่างสิกขาบทน้อย
ใหญ่ โดยที่สุดแต่พระไตรสรณาคมน์ก็หารู้จักไม่ พระบาฬีปัจจ
เวกขณ์...ก็ว่าผิดบ้างถูกบ้าง ดูอาการเห็นประหนึ่งว่าไม่ได้ปัจจ
เวกขณ์น้ันเสียโดยมาก
อนึง่ กิจที่จะพินทอุ ธิษฐานบาตรและจีวรเล่ากห็ าเข้าใจไม่ ก็มี
แต่จะฝ่าฝืนพระพุทธจักรยา่ ยีสิกขาบทให้ต้องอาบัติน้อยใหญ่ทุกวัน
ไป ดอู าการเสมือนกระบือตาบอดเที่ยวอยู่ในป่า ไม่รู้จักที่ชัฏที่เตียน
เป็นอาทิ ไม่เอื้อเฟื้อยาเยงพระพุทธจักรอาณาจักร คบกันกระทา
ทุจริตทุราชีพต่าง ๆ ให้เปนอันตรายเศร้าหมองในพระพุทธสาสนา
โดยมาก จึ่งให้มีโอวาทประกาศกาชับไว้ให้แก่พระราชาคณะ
ฐานานุกรมฝ่ายคามวาสีอรัญญวาสี และเจ้าอธิการแขวงจังหวัด
เมืองเอกเมืองโท ตรี จัตวา ปากใต้ฝ่ายเหนือท้ังปวง ว่าแต่สืบนี้ไป
เบื้องน่าให้พระราชาคณะฐานานุกรมผู้ใหญ่ผู้น้อย และเจ้าอธิการ
ทั้งปวง ตั้งใจเคารพในพระพุทธสาสนา อุสสาหะส่ังสอนภิกษุและ
สามเณรใหต้ ั้งอยู่ในพระจตุปาริสทุ ธิศลี ”๘๕
จากปัญหาพระสงฆ์ทาผิดข้างต้นทาให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
นภาลัยเผดียงให้สมเด็จพระสังฆราชและสมเด็จพระวันรัตน์แต่งโอวาทานุสาสนี
เพื่อใหพ้ ระสงฆ์มีความรู้และปฏิบตั ิถกู ต้องตามพุทธบัญญตั ิ
๒. คณุ สมบตั ิของพระอปุ ชั ฌาย์
พระอปุ ัชฌาย์มีความสาคญั เพราะเป็นประธานในการบวชให้กุลบุตรเข้าสู่
บวรพระพทุ ธศาสนา ดังนั้นโอวาทานุสาสนีจึงย้าให้เห็นว่าพระที่จะเป็นอุปัชฌาย์
ได้ต้องมีคุณสมบัติ ๕ ประการคือ
“รู้จักอาบัติ ๑ รู้จกั อนาบตั ิ ๑ รู้จักครุ กุ าบัติ ๑ รู้จกั ลหกุ าบัติ
๑ และมีวสั สาตั้งแต่ ๑๐ ขนึ้ ไป ๑
๘๕ หนังสือโอวาทานสุ าสนี, ๒-๔.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
๔๘ สงั คีติยวงศ์และโอวาทานุสาสนีย์
อนึ่งให้รู้จักอภิสมาจาริยัตต์และขันธวัตต์ และรู้ลักษณสังฆ
กรรม มีอโุ บสถกรรม และปวารณากรรมเปนต้น ... เปนอาจารย์ให้
นิสสัยแก่กลุ บุตรได้...”๘๖
ส่วนกลุ บุตรนั้นต้องศึกษาเล่าเรียนให้ถ้วน ๕ วสั สาตามโบราณประเพณีใน
สานักแห่งพระอุปัชฌาย์จึงจะอยู่โดยลาพังได้ แม้จะไปอยู่กับพระอุปัชฌาย์อื่น
ภายในระยะเวลาที่กาหนดนีก้ ต็ ้องบอกพระอปุ ัชฌาย์ตนก่อน จึงไปขอนิสสัยอยู่ใน
สานกั อาจารย์อื่นได้๘๗
๓. คุณสมบัติที่พระสงฆพ์ ึงมี
คุณสมบตั ิทีพ่ ระสงฆ์พึงมีทีเ่ น้นย้าในโอวาทานสุ าสนี คือ จตุปาริสุทธิศีล ๔
หรือข้อปฏิบัติสาหรับภิกษุ ๔ ประการ ข้อปฏิบัติทั้ง ๔ ประการนี้ ข้ออาชีวปาริ
สุทธิศีล ๔ เป็นปัญหาใหญ่ที่สุด เพราะในทางปฏิบัติพระภิกษุต้องเกี่ยวข้องกับ
สงั คมและอบุ าสกอุบาสิกา หากไม่รักษาพระวินยั อย่างเคร่งครัดแล้ว โอกาสออก
๘๖ เรือ่ งเดียวกนั , ๔. รจู้ ักอาบัติ หมายถึงสิง่ ที่ละเมิดแล้วผดิ วินัยพระ อนาบตั ิ หมายถึง สิ่ง
ทีท่ าแล้วไม่ผิดวินัย คุรุกาบัติ หมายถึง ข้อละเมิดที่มีโทษร้ายแรงถึงข้ันขาดจากความเป็น
ภกิ ษเุ รยี กว่าปาราชิก (ผแู้ พ)้ ได้แก่ ๑)การร่วมประเวณี ๒)ขโมยสิง่ ของคนอืน่ ทีม่ ีราคาต้ังแต่
๑ บาทขึ้นไป ๓)ฆ่ามนุษย์ ๔)พูดอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน ลหุกาบัติ คือ บัญญัติเล็ก ๆ
น้อย ๆ เกย่ี วกับมารยาท เช่น บ้วนน้าลายลงน้า ฉันอาหารเสียงดงั
อภิสมาจาริยวัตต์ คือธรรมเนียมข้อปฏิบัติ (นอกพระวินัยบัญญัติคือ ศีล ๒๒๗
สิกขาบท) เก่ยี วกับมารยาทต่าง ๆ เช่น การฉัน การเดิน การนุ่งห่ม การพดู ฯลฯ
ขันธวัตต์ คือ การปฏิบัติโดยการพิจารณาขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ
ให้นิสสัย คือ ผเู้ ป็นอุปัชฌาย์อาจารย์บอกกล่าวบรรพชิตผบู้ วชใหม่ แบ่งเป็น ๒ ส่วนคือ
๑)กรณียกิจสิ่งที่ควรทา ได้แก่ บิณฑบาตเลี้ยงชีพ นุ่งห่มผ้าบังสุกุล อยู่โคนไม้ ฉันยาดอง
ด้วยน้ามูตรเน่า ๒)อกรณียกิจ สิ่งที่บรรพชิตไม่ควรทา ได้แก่ การร่วมประเวณี ฆ่ามนุษย์
ถือเอาสิง่ ของคนอื่นด้วยอาการแห่งขโมยมีค่าตั้งแต่ ๑ บาทขึน้ ไป พูดอวดคุณวิเศษทีไ่ ม่มีใน
ต๘น๗ เร่ืองเดียวกัน, ๕-๖. ขอนิสสัย หมายถึงภิกษุบวชใหม่ขอการคุ้มครองจากอุปัชฌาย์
อาจารย์ให้ช่วยอบรมสัง่ สอนวิธีการดารงชวี ิตในสมณเพศอย่างถกู ต้องตามพุทธบญั ญัติ
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พันธ์ ๔๙
นอกรีตนอกรอยย่อมมีอยู่มาก๘๘โอวาทานสุ าสนีวางกฎเกณฑ์ไว้ชัดเจนว่าให้ภิกษุ
เว้นจาก “เลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีวะ” โดยใหเ้ ว้นจาก๘๙
๑. การกระทาอันเป็นไปด้วยกุลทูสก คือ กระทาร้ายแก่ตระกูลมี ๘
ประการคือ เป็นภิกษุให้ดอกไม้ ให้ผลไม้ ให้จุณ ให้ดิน ให้ไม้สีฟัน ให้ไม้ไผ่แก่
ตระกลู ท่ไี ม่ใชญ่ าติ เปน็ หมอรักษาตระกูล เปน็ คนใช้เดินข่าวแหง่ ตระกูล
๒. การเรียนติรัจฉานวิชาต่าง ๆ คัมภีร์ทานายองค์ใหญ่น้อย ทานาย
อสนีบาต ทานายสบุ ิน (ฝัน) ทานายผ้าหนกู ดั เรียนมนต์เรียกงู ปัดพิษงู เรียนทาย
ลกั ษณะหญิงชายลักษณะช้างม้าโคกระบือแพะแกะ ใหฤ้ กษ์ยาตราทัพและทานาย
การแพ้ชนะในสงคราม เรียนกาพย์โคลง เรียนให้ฤกษ์การอาวหมงคลและ
วิวาหมงคล เรียนวิชาทาเสน่ห์ให้รักให้จาเริญใจ การกระทาให้เกิดสิริและเสียสิริ
เรียนมนต์ผูกลิ้นผูกปาก เรียนวิชาลงแหวน บูชาพระอาทิตย์บูชาพระพรหม เป็น
หมอดูให้ต้ังบ้านเรือน และเรียนวิธีสะเดาะเคราะห์ให้ผู้อื่นล้างหน้า ให้อาบน้า
ชาระกาย ฯลฯ วิชาต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องทางไสยศาสตร์ขัดกับคาสั่งสอน
ของพระพุทธศาสนา
นอกจากจาตุปาริสุทธิศีลอันเป็นคุณสมบัติที่พระสงฆ์พึงมีแล้ว โอวาทานุ
สาสนียงั กาหนดคณุ สมบตั ิเฉพาะอื่น ๆ อีก ๒ เรือ่ งคือ
๑. พระภิกษุผู้เป็นอาจารย์ให้พระไตรสรณาคมและสวดธรรมวาจาต้อง
ศึกษาใหร้ ู้ทีเ่ กิดแหง่ อักขระตามพระบาลี เช่น ต้องรู้ว่าที่เกิดแห่งอักษรท้ังหลายมี
๘ ฐาน คือ คอ ศีรษะ อก ต้นลิ้น ทันตะ นาสิก โอษฐ์ และเพดาน อักษร อะ อา
เอ โอ กะ ขะ คะ ฆะ งะ หะ เกิดในคอ เป็นต้น๙๐เพือ่ จะได้สวดออกเสียงถกู ต้อง
๒. พระสงฆ์ผู้จะกรานกฐนิ ต้องมีคุณสมบตั ิดงั นี้
“ศึกษาให้รู้ในธรรม ๘ ประการ คือ ให้รู้จักบุพพะกิจ ๑
รู้จักปัจจุทธรผ้าเก่า ๑ อธิฏฐานผ้าใหม่ ๑ รู้กราลผ้ากะฐิน ๑ ให้
๘๘ วินัย พงศ์ศรีเพียร, “การพระศาสนากับการจัดระเบียบสังคมไทยต้ังแต่รัชกาล
พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
๘๙เจ๐๙้าหอเรนยื่อู่หงั งสัวเดื,อ“ียโอใวนกวันาพท,รา๓ะน๑พสุ .ทุ าธสศนาี,ส๖น-า๓แ๑ล.ะสถาบันสงฆก์ บั สงั คมไทย, ๓๑๖.
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย
๕๐ สังคีติยวงศ์และโอวาทานสุ าสนีย์
รู้จกั มาติกาแปด ๑ ให้รู้จักปลิโพธสอง ๑ ให้รู้จักลักษณเดาะกะฐิน
๑ ใหร้ ู้จักอานิสงษ์กะฐนิ ห้า ๑ รู้กรรม ๘ ประการดังนี้จึ่งควรกราล
กะฐนิ ”๙๑
สรุป
หนังสือสังคีติยวงศ์และโอวาทานุสาสนีเป็นเอกสารสาคัญที่ยังไม่มีการ
นามาใช้อ้างอิงแพร่หลายนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความยากของเนื้อหาที่เป็นเรื่อง
เกี่ยวกับพระสงฆ์องค์เจ้าโดยเฉพาะ อีกท้ังมีศัพท์ภาษาบาลีที่หากผู้อ่านไม่มี
ความรู้ก็ยิ่งยากที่จะทาความเข้าใจ แต่หนังสือท้ัง ๒ เล่มมีคุณค่าในตัวเองและ
ช่วยให้เห็นภาพพระสงฆ์ซึ่งมีสถานะพิเศษในสังคมไม่ต้องเข้าเวรรับราชการ
ขณะเดียวกนั ก็มีความผูกพันใกล้ชิดท้ังพระมหากษัตริย์ (ในกรณีที่เป็นพระราชา
คณะชั้นสูง)และประชาชนในฐานะผู้อบรมกล่อมเกลาจิตใจ
ช่วงต้นกรงุ รัตนโกสินทร์ บ้านเมืองอยู่ในสภาพจลาจลวุ่นวาย ดังนั้นเมื่อขึ้น
ครองราชย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงมีความจาเป็นต้องจัด
ระเบียบภายในบ้านเมืองขณะเดียวกันก็ต้องสร้างสิทธิธรรมให้เกิดขึ้นในฐานะผู้
สถาปนาท้ังอาณาจักรและราชวงศ์ใหม่ การดาเนินการดงั กล่าวต้องอาศัยแนวคิด
ทางพุทธศาสนาช่วย และการที่จะนาแนวคิดดังกล่าวมาใช้ได้จาเป็นต้องมีการ
ฟื้นฟสู ถาบันสงฆ์ทีร่ ว่ งโรยไปตั้งแต่หลังเสียกรุงศรีอยธุ ยาใหก้ ลบั คืนมาดังเดิมและ
ทานุบารงุ ใหม้ ีความรุ่งเรืองสืบไป
สังคีติยวงศ์เป็นเอกสารสาคัญที่สะท้อนให้เห็นภาพพระสงฆ์หลังเสียกรุง
ศรีอยุธยาแก่พม่าและความพยายามฟื้นฟูพระศาสนาให้บริบูรณ์ขึ้นมาใหม่โดย
การสังคายนาพระไตรปิฎกและทานุบารุงพระศาสนาโดยการปฏิสังขรณ์วัดวา
อารามต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและกรมพระราชวัง
บวรสถานมงคล
๙๑ เรื่องเดียวกนั , ๔๒. กราลกฐนิ / กรานกฐิน เป็ยวิธีตัดเย็บจีวรโดยขึงไม้กฐิน (ไม้สะดึง)
แล้วเอาผา้ ทีเ่ ยบ็ เปน็ จีวรขึงที่ไม้กฐนิ เยบ็ เสร็จแล้วบอกแก่ภิกษทุ ั้งหลายผรู้ ว่ มใจกนั ยกผา้ ให้
ในนามสงฆเ์ พื่ออนุโมทนา
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พนั ธ์ ๕๑
โอวาทานุสาสนีเปน็ เอกสารที่แสดงให้เห็นว่าการแก้ปัญหาพระสงฆ์ทาผิด
พระวินัยยังทาได้ไม่เต็มที่นักแม้จะมีการสังคายนาพระไตรปิฎกไปต้ังแต่แผ่นดิน
ก่อนแล้ว ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงต้องอาราธนาให้
สมเด็จพระสังฆราชและสมเด็จพระวันรัตน์แต่งหนังสือเป็นสังฆาณัติเพื่อให้
พระภิกษุสงฆ์ท้ังหลายประพฤติปฏิบัติใหถ้ กู ต้องตามพทุ ธบัญญตั ิ
ความพยายามฟืน้ ฟแู ละทานุบารุงคณะสงฆ์และพระศาสนาให้กลับคืนมา
ของพระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกและพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ-
หล้านภาลยั จึงนบั ว่าเปน็ การวางรากฐานของพุทธจักรในสมยั ต้นรัตนโกสินทร์
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
๕๒ สังคีติยวงศ์และโอวาทานุสาสนีย์
บรรณานกุ รม
จดหมายเหตุความทรงจาของกรมหลวงนรินทรเทวี พิมพ์พร้อมกับฉบับ
เ พิ่ ม เ ติ ม ( พ . ศ . ๒ ๓ ๑ ๐ -๒ ๓ ๘ ๑ ) แ ล ะ พ ร ะ ร า ช วิ จ า ร ณ์ ใ น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (เฉพาะตอน พ.ศ.
๒๓๑๐-๒๓๖๓). กรงุ เทพฯ : ครุ ุสภา, ๒๕๑๖.
ชา ญ ณร ง ค์ บุญหนุ น . “ ก ฎ พร ะ ส ง ฆ์ใ น ก ฎหม า ย ต ร า ส าม ด วง .” ใ น
พระพุทธศาสนาและสถาบันสงฆ์กับสังคมไทย. วินัย พงศ์ศรีเพียรและ
วีรวัลย์ งามสันติกุล, บรรณาธิการ. กรุงเทพ ฯ : สานักงานกองทุน
สนับสนนุ การวิจัย (สกว.), ๒๕๔๙.
ดารงราชานุภาพ,สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ตานานคณะสงฆ์.
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๑๔. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงาน
ฌาปนกิจศพ นางเล็ก พิณสายแก้ว เมษายน ๒๕๑๔.
ดารงราชานภุ าพ, สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. พระราชพงศาวดาร
กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลท่ี ๒. พิมพ์ครั้งที่ ๙. กรุงเทพฯ : กรม
ศิลปากร , ๒๕๔๖.
ตุรแปง ฟรังซัวส์ อังรี. ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาฉบับตุรแปง.
แปลโดยสมศรี เอีย่ มธรรม. กรงุ เทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๒๒.
นิธิ เอียวศรีวงศ์. การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี. พิมพ์คร้ังที่ ๔.
กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๓๙.
ประชมุ พงศาวดารเลม่ ๒๓. กรุงเทพฯ : ครุ ุสภา, ๒๕๑๑.
ประมวลกฎหมายรัชกาลท่ี ๑ จุลศักราช ๑๑๖๖ พิมพ์ตามฉะบับหลวงตรา
๓ ดวง เล่ม ๑. มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, ผู้จัดพิมพ์.
กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์เรือนแก้วการพิมพ์, ๒๕๒๙.
ประมวลกฎหมายรัชกาลท่ี ๑ จุลศักราช ๑๑๖๖ พิมพ์ตามฉะบับหลวงตรา
๓ ดวง เล่ม ๓. มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, ผู้จัดพิมพ์.
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เรือนแก้วการพิมพ์, ๒๕๒๙.
๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
วรพร ภู่พงศ์พนั ธ์ ๕๓
พิทยลาภพฤฒิยากร,พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่น. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอด
ฟ้าจุฬาโลกทรงฟื้นฟูวัฒนธรรม. พระนคร : โรงพิมพ์มิตรสยาม,
๒๕๐๘. พิมพ์เป็น อนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพนางน้าอ้อย ฉายะพงศ์
ธนั วาคม ๒๕๑๔.
พระราชกาหนดของพระเจ้ากรุงธนบุรีว่าด้วยศีลสิกขาบท. พระนคร : โรง
พิมพ์ไทย, ๒๔๕๘ หม่อมเจ้าหญิงสารภี ในพระเจ้าบรมวงษ์เธอชั้น ๓ กรม
หมืน่ ภูมินทร ภักดี พิมพ์แจกในงานปลงศพสนองคุณหม่อมพลับ ผู้มารดา
๒๔๕๘.
พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลท่ี ๑ ของเจ้าพระยาทิพากร-
วงศ์ (ขา บุนนาค) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารง
ราชานุภาพทรงตรวจชาระและทรงนิพนธ์อธิบาย. พิมพ์คร้ังที่ ๗.
กรุงเทพฯ : กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๔๕.
พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลท่ี ๒ ฉบับเจ้าพระยาทิพากร-
วงศ์ (ขา บุนนาค) จากต้นฉบับตัวเขียนของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์
เธอ กรมพระยาเท วะวงศ์วโรปการ พร้อมคาอธิบายเพิ่มเติม .
กรงุ เทพฯ : สมาคมประวัติศาสตร์ใน พระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพ
รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ม.ป.ป.
พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๒. พิมพ์คร้ังที่ ๗.
กรงุ เทพฯ : คลงั วิทยา, ๒๕๑๖.
วินัย พงศ์ศรีเพียร. “การพระศาสนากับการจัดระเบียบสังคมไทยตั้งแต่รัชกาล
พร ะ บา ทส ม เ ด็ จ พ ร ะ พุ ทธ ย อด ฟ้า จุ ฬ า โ ล ก ม หา ร า ช ถึง รั ช ก า ล
พระบาทสมเดจ็ พระ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.“ ใน พระพุทธศาสนาและ
สถาบนั สงฆ์กับสงั คมไทย. วินยั พงศ์ศรีเพียรและวีรวัลย์ งามสันติกุล,
บรรณาธิการ. กรุงเทพ ฯ : สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.),
๒๕๔๙.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย
๕๔ สงั คีติยวงศ์และโอวาทานสุ าสนีย์
วรพร ภู่พงศ์พันธุ์. “กฏมณเทียรบาลในฐานะหลักฐานประวัติศาสตร์ไทย
สมยั อยุธยา ถึง พ.ศ.๒๓๔๘.” วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรดุษฏี
บัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๘.
ศิลปากร,กรม. วรรณกรรมสมยั รัตนโกสินทร์ เลม่ ๑. กรงุ เทพ,๒๕๓๔.
. วรรณกรรมสมยั รตั นโกสินทร์ เลม่ ๓. กรงุ เทพฯ,๒๕๓๖.
ศศิกานต์ คงศักดิ์. “ประกาศพระราชปรารภ.” ใน นิติปรชั ญาไทย ประกาศพระ
ราชปรารภ หลักอินทภาษ พระธรรมสาตรและ On the Laws of
Mu’ung Thai or Siam, วินัย พงศ์ศรีเพียรและวีรวัลย์ งามสันติกุล,
บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ : สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.).
๒๕๔๙.
. “หลักอินทภาษ : คาสอนตระลาการไทยสมัยโบราณ.” ใน นิติ
ปรชั ญาไทย ประกาศพระราชปรารภหลักอินทภาษ พระธรรมสาตร
และ On the Laws of Mu’ung Thai or Siam. วินัย พงศ์ศรีเพียรและ
วีรวลั ย์ งามสันติกุล, บรรณาธิการ. กรงุ เทพฯ : ส า นั ก ง า น ก อ ง ทุ น
สนบั สนนุ การวิจยั (สกว.). ๒๕๔๙.
สายชล วรรณรัตน์. พุทธศาสนากับแนวคิดทางการเมืองในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (พ.ศ.๒๓๒๕-๒๓๕๒).
กรงุ เทพฯ : มติชน,๒๕๔๖.
หนังสือโอวาทานสุ าสนี. พระนคร : โรงพิมพ์ไทย, ๒๔๕๗. พิมพ์แจกในงานศพ
หม่อมราชวงษ์สอ้งิ ในหม่อมเจ้าทรงวฒุ ิภาพ ๒๔๕๗.
๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย