The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

โอวาทนุสาสนี

โอวาทนุสาสนี

อภิเชษฐ กาญจนดิฐ ๑๐๕
Jackson, Peter A.. “Thai Buddhist Identity: Debates on the Tripume Phra

Ruang” in National Identity and Its Defenders Thailand Today.
Craig J. Reynolds (Editor), Chiangmai: Silkwormbooks, 2002, P. 155 –
188.

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

เอกสารลาดบั ท่ี ๗๗
ประกาศเปล่ยี นธรรมเนยี มใหม่ พ.ศ. ๒๔๑๖:
การปรับเปล่ยี นวัฒนธรรมไทยให้เปน็ แบบตะวนั ตก

พรชัย นาคสีทอง

๑. ความสาคญั ของเอกสาร

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกล่าวถึงความเปลี่ยนแปลง
ของสภาพการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวว่าจนถึงข้ันที่เรียกว่า “พลิกแผ่นดิน” (Revolution)๑ อันเป็นความ
เปลี่ยนแปลงทีเ่ กิดขึน้ จากการ “หนั เข้าหาอริยธรรมอย่างฝรั่ง” นับต้ังแต่การเข้า
มาของวิทยาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่ตะวันตกใน รัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระนง่ั เกล้าเจ้าอยู่หัวทาใหช้ นช้ันนาเห็นความจาเป็นต้องปรับทัศนคติและรับเอา
“นวตั กรรมทนั สมยั ” (Industrialization)

ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การปรับเปลี่ยน
วัฒนธรรมไทยให้เป็นแบบ “อริยธรรมอย่างฝรั่ง” ปรากฏมากขึ้น เมื่อพระองค์
ท ร ง น า แ บ บ แ ผ น ค ว า ม เ จ ริ ญ ค ว า ม ทั น ส มั ย อ ย่ า ง ต ะ วั น ต ก แ ล ะ ป รั บ เ ป ลี่ ย น
ขนบธรรมเนียมประเพณีบางประการทีถ่ ือว่าล้าสมัย คร้ันรัชสมยั พระบาทสมเด็จ

 ผเู้ ขียนใคร่ขอขอบพระคุณ ดร. วินัย พงศ์ศรีเพียร เมธีวิจัยอาวุโส สกว. ในความกรุณา
และคาชี้แนะอนั เปน็ ประโยชน์ต่อบทความชิน้ นี้ รวมถึงขอขอบพระคุณกองบรรณาธิการที่
ช่วยอ่านต้นฉบับและแก้ไขข้อผดิ พลาด ความบกพร่องในบทความชิน้ นี้
๑ ดู ประมวลพระบรมราชาโชวาทและพระราชดารัสในพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทร
มหาประชาธิปกพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. (กรุงเทพฯ : คณะกรรมการชาระ
ประวัติศาสตรไ์ ทยและจดั พมิ พเ์ อกสารทางประวตั ิศาสตร์และโบราณคดี, ๕ ๖)

สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ. ความทรงจา. (กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร,
๕๑๔), ๑ ๔.
วิไลเลขา ถาวรธนสาร. ชนช้ันนาไทยกับการรับวัฒนธรรมตะวันตก. (กรุงเทพฯ :
เมืองโบราณ, ๕๔๕), ๖ .

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

๑๐๘ ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวความเปลี่ยนแปลงแบบ “อริยธรรมอย่างฝร่ัง” ปรากฏ
เด่นชัดภายหลังจากการเสด็จประพาสประเทศอาณานิคม(ของ)ตะวันตก เช่น
สิงคโปร์ ปตั ตาเวีย พม่า และอินเดียใน พ.ศ. ๔๑ , ๔๑๔๔

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพิธีบรมราชาภิเษก
คร้ังที่ เมื่อพ.ศ. ๔๑๖ “...มีพระบรมราชโองการประกาศเลิกธรรมเนียม
หมอบคลาน...”๕

๔ ดูรายละเอียดเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงภายหลังการเสด็จประพาสต่างประเทศใน
ประไพ รักษา. ผลของการเสด็จประพาสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจา้ อย่หู วั ที่มีผลต่อการปรับปรงุ ประเทศให้ทันสมัย (พ.ศ. ๒๔๑๑ – พ.ศ. ๒๔๕๓).
ปริญญานิพนธ์(กศ.ม. ประวัติศาสตร์). มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร.
๕.
๕ คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์. จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน
ในรัชการที่ ๕ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ - ปีระกา พ.ศ. ๒๔๑๖. (กรุงเทพฯ : สานัก
ทาเนียบนายกรฐั มนตรี, ๕๑๖), ๑๔ .

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑๐๙

พระบรมราชโองการประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลานหรือที่ใน
ราชกิจจานุเบกษาเรียกว่า “ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่” ถือเป็นปฐมบรม
ราชโองการในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฉบับแรกที่เกี่ยวข้องกับ
ธรรมเนียมวัฒนธรรมที่แสดงความพยายามในการปฏิรูปประเพณีปฏิบัติ (การ
หมอบคลาน) ทีส่ ืบทอดมาอย่างยาวนาน๖

เนือ้ หาในพระราชโองการฯ หรอื ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่ กล่าวถึง
เหตุผลของการเลิกธรรมเนียมหมอบคลานว่า “...ธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบ
ไหว้ในประเทศสยามนี้ เหนว่าเปนการกดขี่แก่กันแขงแรงนัก ผู้น้อยที่ต้องหมอบ
คลานนั้นได้ความเหน็จเหนอ่ื ยลาบากเวทนา...”

ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงพระกรุณา
โปรดฯ ใหเ้ ปลี่ยนธรรมเนียมหมอบคลานกราบไหว้เปน็ ก้มศีรษะ เพราะทรงเห็นว่า
“...เมืองใดประเทศใดผู้ทีเ่ ปนใหญ่มิได้ทาการกดขี่แก่ผู้น้อย เมืองนั้นประเทศน้ันก็
คงมีความเจริญเปนแน่...” และเพื่อ “...มิให้พวกฝรง่ั ดูหมิน่ ...” ด้วยเหตุว่าช่วงที่
“...พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระเยาว์ทรงต้องเผชิญกับ
ภาวะอันตรายที่ต้องเลือกระหว่าง (การขึ้นเหนือไปพบกับ) จระเข้ (ฝรั่งเศส) กับ
(การล่องใต้ไปอยู่กับ) ปลาวาฬ (อังกฤษ)...” ๘ หรือกล่าวได้ว่าเป็นช่วงที่ต้อง
เผชิญกับลทั ธิจักรวรรดินิยม จึงจาเปน็ ต้องปรับเปลี่ยนบา้ นเมืองเพื่อไม่ให้ต่างชาติ

๖ วินัย พงศ์ศรีเพียร เสนอแนะความเห็นในการประชุมโครงการวิจัย “๑๐๐ เอกสาร
สาคัญเก่ยี วกับประวัติศาสตร์ไทย” ครั้งที่ ๖/ ๕๕๕ เม่ือวันเสาร์ที่ ๐ มิถุนายน ๕๕๕
ณ ห้องทางานของโครงการฯ อาคารมานุษยวิทยาสิรินธร ชั้น ๘.

สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ. ความทรงจา. (กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร,
๕๑๔), ๔๖.
๘ เฟรด ดับบลิว. ริกส์. การปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่ของสยามและพม่า = The
modernization of Siam and Burma, Thailand, the modernization of a
burcancratic polity. แปลโดย อมร โสภณวิเชษฐว์ งศ์และเอกวิทย์ ณ ถลาง. (กรุงเทพฯ
: ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, ๕๑๙), ๘ –
๔ . และ สาคชิดอนันท สหาย. ร. ๕ เสด็จอินเดีย : India in 1872 : AsSeen by the
Siamese.แปลโดย กัณฐิกา ศรีอุดม กรุงเทพฯ : มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย, ๕๔๖),
๕.

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

๑๑๐ ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่

ดูแคลนว่าไม่ใช่ชาติที่ “ศิวิไลซ์” ๙ ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ที่ทรงยกเลิก
ประเพณีหมอบคลานจึงเป็นหลักฐานแสดงถึงพระราชหฤทัยที่ต้องการพัฒนา
บ้านเมืองให้มีความเจริญ ความทันสมัย “อย่างฝร่ัง” และแสดงความ
เปลีย่ นแปลงอย่างเปน็ รปู ธรรม ดงั สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา
นริศรานวุ ดั ติวงศ์ทรงกล่าวว่า “...เปน็ อนั เพิกถอนระเบียบการเข้าเฝ้าอย่างเก่าซึ่ง
เคยใช้มาหลายร้อยปีเปลีย่ นระเบียบใหม่ซึ่งตั้งขนึ้ ในรชั กาลท่ี ๕ แต่น้ันไป...” ๑๐

ก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ นั้น พระราชอานาจทรงมีอยู่
อย่างจากดั เพราะสมเดจ็ เจ้าพระยาบรมมหาศรีสรุ ิยวงศ์ผู้สาเร็จราชการแผ่นดิน
ยังมีอิทธิพลอย่างสูงอยู่ในราชสานัก ส่งผลให้สถาบันกษัตริย์และพระบรม
วงศานวุ งศ์อยู่ในสภาวะอ่อนแอ

ดังน้ัน พระบรมราชโองการประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลานหรือ
ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ที่เกิดขึ้นในวันบรมราชาภิเษกจึงสะท้อนนัยของ
ปฐมบทในการใช้พระราชอานาจบริหารราชการแผ่นดินของพระองค์ ก่อน
ดาเนินการในด้านอื่นๆ เช่น การจัดต้ังสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of
State) และการจัดตั้งสภาทีป่ รึกษาในพระองค์ (Privy Council) เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ “พระบรมราชโองการประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลาน”
หรือ “ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่” ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว จ.ศ. ๑ ๕ (พ.ศ. ๔๑๖) จึงเป็นเอกสารสาคัญทางประวัติศาสตร์ที่
ทรงคุณค่าทีส่ ะท้อนการปรับเปลี่ยนรปู แบบของธรรมเนียมปฏิบตั ิ เพื่อนาประเทศ
ไปสู่ความเป็นอารยะแบบตะวนั ตก ในขณะเดียวกันก็ถือเป็นบทพิสูจน์คุณค่าของ
ประเพณปี ฏิบตั ิในสังคมไทยอีกทางหนึ่งด้วย

๙ วฒุ ิชัย มลู ศิลป์. การปรบั ตัวของไทยและจีนในสมยั จกั รวรรดินิยมใหม่. (กรุงเทพฯ :
ต้นอ้อ, ๕ ๔), ๘.
๑๐ คณะกรรมการจัดพมิ พเ์ อกสารทางประวัติศาสตร์. จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน
ในรัชการที่ ๕ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ - ปีระกา พ.ศ. ๒๔๑๖. (กรุงเทพฯ : สานัก
ทาเนียบนายกรัฐมนตรี, ๕๑๖), ๑ .

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑๑๑

๒. สถานภาพความรู้

“ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่” ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวเป็นเอกสารที่แสดงนัยและบริบทของสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา
น้ันไว้อย่างน่าสนใจ ท้ังนี้ เมือ่ กล่าวถึงการยกเลิกการหมอบคลาน โดยท่วั ไปเข้าใจ
ว่ามีเฉพาะ “ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่” ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑ วันจันทร์ เดือน ๘ แรมค่า ๑ ปีจอฉศก จ.ศ. ๑ ๖ (วันที่ ๙ มิถุนายน
พ.ศ. ๔๑ ) แต่กระนั้นข้อมูลในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ในรัชการที่ ๕
ปีมะโรง พ.ศ. ๔๑๑-ปีระกา พ.ศ. ๔๑๖ ชี้ให้เห็นว่า “การเลิกธรรมเนียม
หมอบคลาน” นั้นมีพระบรมราชโองการ “ประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลาน”
มา ณ วันอาทิตย์ เดือน ๑ แรม ๑ ค่า ปีระกาเบญจศก (วันที่ ๑๖ เดือน
พฤศจิกายน พ .ศ. ๔๑๖) เดิมปรากฏในสมุดไทย เรื่องประกาศใช้
พระราชบัญญตั ิเลิกธรรมเนียมการหมอบคลานเปน็ โค้งศีรษะ จุลศกั ราช ๑ ๕
ว่า

“...วันทาพระราชพิธีบรมราชาภิเษกคร้ังหลังน้ีมีพระบรมราชโองการ
ประกาศเลกิ ธรรมเนยี มหมอบคลาน และประกาศเรื่องการแต่งกายเข้าเฝ้า
...ในวัน ๑ ค่าน้ี วังพระบรมวงศานุวงศ์และบ้านข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย
และเรือนราษฏรท่ัวท่ังพระนคร มีจุดไฟและมีการเล่นเป็นที่ชื่นชมยินดีทั่ว
กนั ฯ... ๑๑

ขณะที่ประชุมบทละคอนดึกดาบรรพ์ ฉบับบริบูรณ์ พระนิพนธ์ในสมเด็จ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ กล่าวถึงการเลิก
ธรรมเนียมหมอบคลานและบรรยายบรรยากาศทีเ่ กิดขนึ้ ในเวลานั้นไว้ว่า

 จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ในรัชการที่ ๕ ปีมะโรง พ.ศ. ๔๑๑-ปีระกา
พ.ศ. ๔๑๖ กล่าวว่า “คัดจากสมุดไทย หมู่จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๕ เร่ืองประกาศใช้
พระราชบัญญัติเลิกธรรมเนียมการหมอบคลานเป็นโค้งศรีษะ เลขที่ ๑ จุลศักราช
๑ ๕ (พ.ศ. ๔๑๖) เปน็ สมบัติเก่าของหอพระสมดุ ฯ เล่ม ๕๖/ ๙”

๑๑ คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์. จดหมายเหตุพระราช
กิจรายวัน ในรัชการที่ ๕ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ - ปีระกา พ.ศ. ๒๔๑๖. (กรุงเทพฯ :
สานักทาเนียบนายกรฐั มนตรี, ๕๑๖), ๑๔ .

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

๑๑ ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่

“...ในวันบรมราชาภิเษก เมื่อเดือน ๑ แรม ๑ ค่า เวลาเสด็จออกมหา
สมาคมในพระทีน่ ่ังอมรินทรวินิจฉัย เจ้านายและข้าราชการท้ังปวงล้วนแต่ง
เต็มยศใหญ่ ใส่เส้ือเยียระบับเข้มขาบกับเส้ือครุยหมอบเฝ้าอยู่เต็มท้ังท้อง
พระโรง พระเจ้าอยู่หวั เสด็จประทับบนพระแท่น เมื่อเสนาบดีทูลถวายราช
สมบัติตามประเพณีแล้ว โปรดให้อาลักษณ์อ่านประกาศว่า ประเพณี
หมอบคลานเข้าเฝ้าเช่นใช้มาแตโ่ บราณไม่สมควรกับสมัยของบ้านเมืองเสีย
แล้ว ให้เลิกประเพณีหมอบคลานเสียเปล่ียนเป็นยืนเฝ้าและเคารพด้วย
ถวายคานับต่อไป พออาลักษณ์อ่านประกาศจบ เหล่าข้าเฝ้านับแต่กรม
พระราชวังบวรฯ เป็นต้น บรรดาที่หมอบอยู่เต็มท้ังท้องพระโรงก็ลุกข้ึนยืน
ถวายคานับพร้อมกันดูเหมือนกับเปล่ียนฉากรูปภาพอย่างหน่ึงเป็นอย่าง
อืน่ ๆ ไปในทนั ทีน่าพิศวงอย่างยิ่ง เวลาน้ันตัวฉัน อายุ ๑ ปียังไว้ผมจุก
ได้เห็นจับใจไม่ลืมอยู่จนบัดน้ี เมื่อเสด็จข้ึนข้างในไปประทับที่พระที่น่ัง
ภัทรบิฐทีพ่ ระที่นัง่ ไพศาลทักษิณ เจ้านายและข้าราชการผู้หญิงเฝ้า ก็มีอ่าน
ประกาศและลุกข้ึนยืนเฝ้าเปล่ยี นรูปภาพเหมือนอย่างขา้ งหนา้ อีกคร้ังหน่ึง ก็
เ ป็นอันเ พิกถอ นร ะเ บียบ การ เ ข้าเ ฝ้ าอ ย่างเ ก่าซึ่งเ ค ยใช้มาห ลายร้อ ย ปี
เปล่ยี นระเบียบใหม่ซึ่งตงั้ ข้นึ ในรัชกาลที่ ๕ แต่นั้นไป... ๑

ประกาศที่สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
กล่าวถึงนั้น สันนิษฐานว่าเปน็ เรือ่ งเดียวกับ “ประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลาน
แก่พระบรมวงศานุวงศ์” ที่พิมพ์เผยแพร่ใน จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ใน
รัชกาลท่ี ๕ ปีมะโรง พ.ศ. ๔๑๑-ปีระกา พ.ศ. ๔๑๖ โดยมีรายละเอียดว่า

“..เราพระเจ้ากรงุ สยาม ขอประกาษแก่พระบรมวงษานุวงษ แลเสนาบดีธุลี
พระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยให้ทราบทั่วกันว่า ตั้งแต่ได้รับบรมราชาภิเศกถวัลย
ราชสมบัติครองแผ่นดินมา ก็ได้ต้ังใจคิดการที่ จะทานุบารุงพระ
ราชอาณาจักร ให้มีความศุขเจริญแห่งพระบรมวงษานุวงษแลข้าราชการ
ผู้ใหญ่ผู้น้อยท้ังสมณชีพราหมณประชาราฎรท้ังปวงท่ัวไป การส่ิงไรที่เปน

 หมายถึง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวดั ติวงศ์
๑ อ้างใน คณะกรรมการจดั พมิ พเ์ อกสารทางประวัติศาสตร์. จดหมายเหตุพระราชกิจ
รายวัน ในรัชการที่ ๕ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ - ปีระกา พ.ศ. ๒๔๑๖. (กรุงเทพฯ :
สานักทาเนียบนายกรัฐมนตรี, ๕๑๖), ๑ .

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑๑

การกดข่ีแก่กันให้ได้ความยากลาบากนั้น ไม่คิดจะให้มีแก่ชนท้ังหลายใน
พระราชอาณาจักรตอ่ ไป ดว้ ยได้เหนแล ทราบการว่าในมหาประเทศต่างๆ
ซึง่ เปนมหานครอันใหญใ่ นทิศตวันออกตวันตกก็ได้เลิกเปล่ียนธรรมเนียมน้ี
หมดทุกประเทศแล้ว การที่เขาได้พร้อมกันเลิกเปล่ียนธรรมเนียมที่หมอบ
คลานกราบไหว้น้ันก็เพื่อจะให้เหนความดีที่จะไม่มีการกดข่ีแก่กันใน
บ้านเมืองน้ันอีกต่อไป บัดน้ีบ้านเมืองประเทศเหล่าน้ันก็มีความเจริญทุกๆ
เมืองโดยมาก ก็ในประเทศสยามน้ธี รรมเนยี มบ้านเมืองที่เปนการกดขี่แก่กัน
อันไม่ต้องด้วยยุติธรรมนั้นมีอยู่อีกหลายอย่างหลายประการจะต้องคิด
ลดหย่อนผ่อนเปล่ียนเสียบ้าง แต่จะให้แล้วไปในคร้ังเดียวคราวเดียวนั้น
ไม่ไดจ้ ะต้องค่อยคิดเปล่ียนแปลงไปตามเวลาที่ควรแก่การจะเปล่ียนแปลง
ได้ บ้านเมืองจงึ จะได้มีความเจริญสมบรู ณ์ยิ่งข้นึ ไป แลธรรมเนยี มที่หมอบ
คลานกราบไหว้ในประเทศสยามน้ี เหนวา่ เปนการกดข่ีแก่กันแรงนัก ไม่เหน
ว่ามีประโยชน์แก่บ้านเมืองแต่ส่ิงหน่ึงส่ิงใด เพราะฉะนั้นจึ่งจะต้องละธรรม
เนยี มเดมิ ทีถ่ อื ว่าหมอบคลานเปนการเคารพอย่างยิ่งในประเทศสยามน้ีเสีย
ให้เปล่ยี นอิริยาบถเปนกม้ ศีศะ ก็ซึ่งให้เปล่ียนธรรมเนียมใหม่ดังน้ี เพราะจะ
ให้เหนเปนแน่วาจะไม่มีความกดข่ีแก่กัน ในการที่ไม่เปนยุติธรรมอีกต่อไป
ตง้ั แต่นสี้ บื ไปพระบรมวงษานวุ งษ แลขา้ ราชการผู้ใหญผ่ ู้นอ้ ย ซึง่ จะเข้ามาใน
ที่เฝ้าแห่งหน่ึงแห่งใดจงประพฤติตามข้อบัญญัติใหม่ซึ่งให้ยืนให้เดินนั้น
เทอญ... ๑

เมื่อได้ตรวจสอบประกาศที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรม-
พระยานริศรานวุ ดั ติวงศ์กล่าวถึงนกี้ บั “ประกาศใช้พระราชบญั ญตั ิเลิกธรรมเนียม
การหมอบคลานเป็นโค้งศีรษะ จุลศักราช ๑ ๕” และ “ประกาศเปลี่ยนธรรม
เนียมใหม่” ฉบับราชกิจจานเุ บกษาแล้วพบว่า ประกาศฯ ท้ัง ฉบับเป็นประกาศ
ที่เกิดขึ้นต่างวาระกัน แต่มีเนื้อหาและความมุ่งหมายที่ใกล้เคียงกัน โดย
“ประกาศใช้พระราชบัญญัติเลิกธรรมเนียมการหมอบคลานเป็นโค้งศีรษะ
จุลศักราช ๑ ๕” กับ “ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่” ฉบับที่ประกาศในราช

๑ อ้างใน คณะกรรมการจัดพมิ พเ์ อกสารทางประวัติศาสตร์. จดหมายเหตุพระราชกิจ
รายวัน ในรัชการที่ ๕ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ - ปีระกา พ.ศ. ๒๔๑๖. (กรุงเทพฯ :
สานักทาเนียบนายกรัฐมนตรี, ๕๑๖), ๑ ๘ – ๑ ๙.

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

๑๑๔ ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่

กิจจานเุ บกษาน้ันแตกต่างกันเพียงเลก็ น้อย

ด้วยเหตุนี้ จึงยืนยันได้ว่า “ประกาศใช้พระราชบัญญัติเลิกธรรมเนียม
การหมอบคลานเป็นโค้งศีรษะ จุลศักราช ๑ ๕” กับ “ประกาศเปลี่ยนธรรม
เนียมใหม่” คือเอกสารเรื่องเดียวกัน ทั้งนี้ เข้าใจว่าเมื่อพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้ออกหนังสือราชกิจจา -
นุเบกษาอีกครั้ง จึงทรงโปรดฯ ให้ประกาศพระบรมราชโองการประกาศเลิก
ธรรมเนียมหมอบคลานอีกคร้ังในนาม “ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่” “..เพื่อ
จะได้รู้ท่ัวกัน มิให้เล่าลือผิดๆ ไปต่างๆ ขาดๆ เกินๆ เป็นเหตุให้เสียราชการและ
เสียพระเกียรติยศแผ่นดินได้...” ๑๔

คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ สานักนายกรัฐมนตรี
จัดพิมพ์เผยแพร่ “ประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลานเป็นโค้งศีรษะ จุลศักราช
๑ ๕”๑๕ ในชุด “จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันในรัชกาลที่ ๕ ปีมะโรง พ.ศ.

๔๑๑ – ปีระกา พ.ศ. ๔๑๖” เมื่อ พ.ศ. ๕๑๖ ส่วน “ประกาศเปลี่ยนธรรม
เนียมใหม่” ในพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฉบับราชกิจจานเุ บกษามี
การตีพิมพ์เผยแพร่ในโอกาสต่างๆ เช่น “กฎหมายไทยในรัชกาลที่ ๕” เมื่อ
รัตนโกสินทร์ศก ๑๑ ๑๖ “ประชุมกฎหมายไทย ภาคเพิ่มเติม” เมื่อประมาณ
พ.ศ. ๔ ๕๑ นอกจากนี้ ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่มีการตีพิมพ์เผยแพร่

 สามารถดรู ายละเอียดเกย่ี วกบั ประวัติและวิวัฒนาการของ “ราชกิจจานุเบกษา” ได้จาก
www.ratchakitcha.soc.go.th /RKJ/index/index.htm
๑๔ พระราชปรารภในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในการจัดการตีพิมพ์ราชกิจจา
นุเบกษา สืบค้นจาก http://www.ratchakitcha.soc.go.th/RKJ/index/index.htm
๑๕ คณะกรรมการจัดพมิ พเ์ อกสารทางประวัติศาสตร์. จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน
ในรัชการที่ ๕ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ - ปีระกา พ.ศ. ๒๔๑๖. (กรุงเทพฯ : สานัก
ทาเนียบนายกรฐั มนตรี, ๕๑๖), ๑๘๐ – ๑๘ .
๑๖ หลวงรัตนาญัษ์ติ (เปล่ง), (รวมรวม). กฎหมายในรัชกาลที่ ๕. (กรุงเทพฯ : พระ
ตาหนกั จิตรลดารโหฐาน, ๕๔๐).
๑ หลวงประดษิ ฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์). ประชุมกฎหมายไทย ภาคเพิ่มเติม. (พระ
นคร : โรงพิมพ์นิติสาส์น, ๔ ๕).

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑๑๕

ใน “ประชมุ กฎหมายประจาศก เล่ม ๘ จ.ศ. ๑ ๐ – ๑ ๖ เมื่อ พ.ศ. ๔ ๘
ซึ่งการจัดพิมพ์ครั้งหลังนี้ได้แบ่งเนื้อหาเป็น ส่วน คือ ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียม
ใหม่ และพระราชบัญญัติเรื่องเข้าเฝ้า๑๘ และคร้ังล่าสุดมูลนิธิโครงการตารา
สงั คมศาสตร์และมนษุ ยศาสตร์ ได้ถ่ายแบบมาจากราชกิจจานเุ บกษาและเผยแพร่
โดยใช้ชื่อว่า“ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่ ใหผ้ ู้น้อย เลิกหมอบคลาน กราบไหว้
ต่อเจ้านายและผู้มีบรรดาศกั ดิ์ จลุ ศักราช ๑ ๕ (พ.ศ. ๔๑๖)” ๑๙

การศึกษาคร้ังนี้ ผู้วิจัยใช้ “ประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลานเป็นโค้ง
ศีรษะ” ที่คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ฯ เผยแพร่ใน
จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ในรัชการที่ ๕ ปีมะโรง พ.ศ. ๔๑๑-ปีระกา
พ.ศ. ๔๑๖ พิจารณาร่วมกับ “ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่” ที่จัดพิมพ์ขึ้น
ใหม่ พ.ศ. ๕๕๑ โดยมลู นิธิโครงการตาราสงั คมศาสตร์และมนษุ ยศาสตร์

๑๘ เสถียร วิชยั ลักษณแ์ ละคนอื่นๆ (รวบรวม). ประชมุ กฎหมายประจาศก เลม่ ๘. (พระ
นคร, ๔ ๘.
๑๙ มูลนิธิโครงการตาราสงั คมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศาสตร์. “ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่
ให้ผู้น้อย เลิกหมอบคลาน กราบไหว้ ต่อเจ้านายและผู้มีบรรดาศักดิ์ จุลศักราช ๑ ๕
(พ.ศ. ๔๑๖)” ใน เอกสารชุด ๔๒ ปีโครงการตาราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
(กรุงเทพฯ : มลู นิธิฯ, ๕๕๑).
 การศึกษาครั้งนี้เรียก “ประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลานเป็นโค้งศีรษะ จุลศักราช
๑ ๕” หรอื “ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่” หรอื “ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่ ให้
ผนู้ ้อย เลิกหมอบคลาน กราบไหวต้ ่อเจ้านายและผู้มีบรรดาศักดิ์ จุลศักราช ๑ ๕ (พ.ศ.
๔๑๖)” ในความหมายเดียวกัน

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

๑๑๖ ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่

หนงั สือราชกิจจานุเบกษา
 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑๑

จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันในรัชกาลท่ี ๕
 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

๑๑๘ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่

จา ก ก าร ส า รวจ เ อก ส า รแล ะ ผล ง า นวิ ช า กา ร ที่ เกี่ ย วข้อง ไ ม่พ บว่ า มี
การศึกษาวิเคราะห์เอกสารฉบับนี้โดยตรง มีแต่การใช้เป็นหลักฐานอ้างถึง เช่น
บทความที่ว่าด้วยพระราชหฤทัย พระราชอัธยาศัยและพระปรีชาญาณของ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับความเปลี่ยนแปลงทางศิลปะและ
วัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๐
เป็นเอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการโครงการตะวันตกในตะวันออก :
สังคมไทยสมยั รัชกาลท่หี า้ ถึงปัจจุบนั เฉลิมพระเกียรติในวโรกาสครบรอบ ๑๕๐ ปี
พระราชสมภพในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ประไพ รักษา เรื่อง ผลของการเสด็จประพาสของพระบาทสมเด็จพระ
จลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีผลต่อการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย (พ.ศ. ๔๑๑ –

๔๕ ) ๑ เป็นงานที่ชี้ให้เห็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระ
จลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในเสด็จประพาสเมืองต่างๆ นาไปสู่การปรับปรุงประเพณี
และการบริหารราชการบ้านเมืองในด้านต่างๆ ทั้งด้านการเมืองการปกครอง ด้าน
สังคมและวฒั นธรรมเพื่อใหท้ นั สมัยตามแบบตะวันตก

เฟรด ดับบลิว ริกส์ เรื่อง การปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่ของสยามและพม่า
ซึ่งวิเคราะห์ลักษณะรูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตย การดาเนินนโยบาย

๐ พิริยะ ไกรฤกษ์. “ปกิณกะในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเร่ืองความ
เปลีย่ นแปลงทางศิลปะและวัฒนธรรม,” ใน เอกสารการสัมมนาทางวิชาการโครงการ
เฉลิมพระเกียรติในวโรกาสครบรอบ ๑๕๐ ปี พระราชสมภพในพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเรื่องตะวันตกในตะวันออก : สังคมไทยสมัยรัชกาลที่ห้าถึง
ปจั จุบัน, ๕๔ ), ๑ – ๐.
๑ ประไพ รักษา. ผลของการเสด็จประพาสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยหู่ วั ที่มีผลตอ่ การปรบั ปรงุ ประเทศให้ทันสมัย (พ.ศ. ๒๔๑๑ – พ.ศ. ๒๔๕๓),
ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. ประวัติศาสตร์. (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ประสานมิตร, ๕ ).

เฟรด ดับบลิว ริกส์. การปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่ของสยามและพม่า : The
modernization of Siam and Burma," Thailand, the modernization of
burcancratic policy. แปลโดย อมร โสภณวิเชษฐว์ งศ์ และเอกวิทย์ ณ ถลาง, (กรุงเทพฯ :
ภาควิชาประวตั ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทร์วิโรฒ ประสานมิตร, ๕๑๙).

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑๑๙

และการปรับตัวเพื่อทานุบารุงบ้านเมือง ตลอดจนการท้าทายจักรวรรดินิยม
ตะวนั ตกในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยการเปรียบเทียบ
ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างไทยกับพม่า

ภานุ ชาญประโคน เรื่อง การสร้างความทันสมัยในประเทศไทย :
เปรียบเทียบระหว่างรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั กบั ยุคจอม
พล ป. พิบลู สงคราม เป็นงานที่ชี้ให้เห็นสาเหตุและความเปรียบแปลงที่เกิดขึ้น
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมัยจอมพล ป. พิบูล
สงคราม โดยเฉพาะในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นได้
การรับเอารูปแบบระบบการบริหารราชการ เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมจาก
ประเทศในยุโรปเพื่อสร้างความทนั สมัยให้กับประเทศ

วิไลเลขา ถาวรธนสาร เรื่องชนช้ันนาไทยกับการรับวัฒนธรรม
ตะวันตก ๔ เป็นการศึกษาสรุปภาพรวมเกี่ยวกับบทบาท ผลกระทบ การปรับตัว
และการยอมรับวัฒนธรรมตะวันตกของชนชั้นนาสยาม เพื่อสร้างความสมดุล
ระหว่างการรับวฒั นธรรมตะวนั ตกและการรกั ษาความเปน็ ไทยทีเ่ กิดขนึ้ ในรัชสมัย
พระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หวั

วุฒิชัย มูลศิลป์ เรื่อง การปรับตัวของไทยและจีนในสมัยจักรวรรดินิยม
ใหม่ ๕ ซึ่งอธิบายเปรียบเทียบความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการเข้ามาของ
ตะวันตกระหว่างสยามกับจีน โดยเฉพาะการปรับตวั ของสถาบนั พระมหากษัตริย์
ไทยกับจักรพรรดิจีน ซึ่งใช้ทาความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของประเทศ
มหาอานาจอย่างจีน ซึง่ มีอิทธิพลต่อโลกทศั น์ของชนชั้นนาสยามและมีอิทธิพลต่อ

ภานุ ชาญประโคน. การสร้างความทันสมัยในประเทศไทย : เปรียบเทียบระหว่าง
รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม.
วิทยานิพนธ์ ศศ.ม. รัฐศาสตร์. (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั รามคาแหง, ๕๕๐).
๔ วิไลเลขา ถาวรธนสาร. ชนช้ันนาไทยกับการรับวัฒนธรรมตะวันตก, (กรุงเทพฯ :
เมืองโบราณ, ๕๔๕).
๕ วฒุ ิชยั มูลศิลป์. การปรับตวั ของไทยและจีนในสมยั จักรวรรดินิยมใหม่. (กรุงเทพฯ :
ต้นอ้อ, ๕ ๔).

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

๑ ๐ ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่

ความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมการหมอบคลาน ดังความในประกาศฯ
ว่า “...มหาประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นมหานครอันใหญ่ในทิศตะวันออก ... เมืองจีน
เมืองญวน เมืองยี่ปุ่น ...แลเมืองที่ใช้การกดขี่ให้ผู้น้อยหมอบคลานกราบไว้ต่อ
เจ้านายแลผู้มีบันดาศักดิ์ที่เหมือนกับธรรมเนียมในประเทศสยามน้ัน บัดนี้ เมือง
เหล่าน้ันก็ได้เลิกเปลีย่ นธรรมเนียมน้ันหมดทกุ ประเทศด้วยกันแล้ว…”

เอกสารและผลงานวิชาการที่กล่าวมาข้างต้นได้นาเสนอข้อมูลพื้นฐานใน
การทาความเข้าใจประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรมของ
สังคมไทยและเป็นข้อมลู พื้นฐานสาหรับใช้วิเคราะห์ “ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียม
ใหม่ พ.ศ. ๔๑๖” ดังจะกล่าวรายละเอียดต่อไป

๓. สารตั ถวิพากษ์

พระบรมราชโองการประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลานหรือประกาศ
เ ป ลี่ ย น ธ ร ร ม เ นี ย ม ใ ห ม่ แ ส ด ง บ ริ บ ท เ ห ตุ ก า ร ณ์ แ ล ะ พ ร ะ ร า ช ป ร ะ ส ง ค์ ข อ ง
พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ต้องการสร้างบ้า นเมืองให้ เจริญ
ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศเพราะทรงตระหนักว่า “...ประเพณีหมอบคลาน
เข้าเฝ้าเช่นใช้มาแต่โบราณไม่สมควรกับสมัยของ บ้านเมือง...” ๖ และ “...เหน
ว่าเปนการกดขี่แก่กันแขงแรงนัก ผู้น้อยที่ต้องหมอบคลานน้ันได้ความเหน็จ
เหน่อื ยลาบากเวทนา...” ด้วยเหตนุ ีก้ าร “ประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลานเป็น
โค้งศีรษะ” หรือ “ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่” จึงเป็นภาพลักษณ์ที่แสดงให้
เหน็ การ “...หันเข้าหาอริยธรรมอย่างฝรั่ง...” ลดภาพการกดขี่ข่มแห่งและนาไปสู่
การหลุดพ้นจากความเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน อันเป็นพื้นฐานมาต้ังแต่รัชสมัย
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงปรับเปลี่ยนขนบธรรมเนียมการเฝ้า
รับเสดจ็ ของราษฎรด้วยเหตุผลเพื่อไม่ให้ต่างชาติดูแคลนว่าไม่ใช่ชาติที่ “ศิวิไลซ์”
จนเป็นที่ยอมรบั จากนานาอารยประเทศ ดงั ความทีว่ ่า

๖ คณะกรรมการจดั พมิ พเ์ อกสารทางประวัติศาสตร์. จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน
ในรัชการที่ ๕ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ - ปีระกา พ.ศ. ๒๔๑๖. (กรุงเทพฯ : สานัก
ทาเนียบนายกรัฐมนตรี, ๕๑๖), ๑ .

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑ ๑

“...แต่ทางตา่ งประเทศเมือ่ ความปรากฏแพร่หลายว่าพระเจ้าแผ่นดินสยาม
พอพระราชหฤทัยเสด็จไปทอดพระเนตรต่างประเทศ เพื่อจะแสวงหา
ขนบธรรมเนียมที่ดีของฝร่ังมาใช้ในพระราชอาณาเขต ก็เป็นเหตุให้มีชาว
ตา่ งประเทศเกิดความนยิ ม...”

ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หวั มีประเดน็ สาคัญๆ ที่น่าสนใจศึกษา ดงั นี้

ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่กับบริบททางการเมืองการปกครองของสยาม

พระบรมราชโองการประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลาน หรือ ประกาศ

เปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ประกาศใช้ในวันบรมราชาภิเษกครั้งที่ ได้ชี้ให้เห็น

ความพยายามในการทานุบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองทันสมัยของพระบาทสมเด็จ

พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวดังข้อสนเทศที่ว่า “...ต้ังแต่ได้เสดจเถลิงถวัลยราช

สมบัติมาก็ตั้งพระราชหฤไทยทีจ่ ะทานบุ ารุงพระราชอาณาจักรใหม้ ีความศุขความ

เจริญแก่พระบรมวงษานุวงษ แลข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ท้ังสมณชีพราหมณ์

ประชาราษฎรท้ังปวงท่ัวไป การสิ่งไรที่เปนการกดขี่แก่กันให้ได้ความยากลาบาก

น้ัน ไม่อยากทีจ่ ะใหม้ ีในบ้านเมืองต่อไป ทรงพระดาริห์จะไม่ให้มีแก่ชนทั้งหลายใน

พระราชอาณาจักรต่อไป...” แต่ในขณะเดียวกันในช่วงเวลาน้ันหากพิจารณา

บทบาทของพระองค์กับการทานุบารุงบ้านเมืองของพระองค์พบว่า “..

ยงั ไม่ประจักษ์แก่ตาคนทั้งหลายในเวลาน้ันเพราะสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ยงั ไม่ได้ทรง

ว่าราชการ จึงไม่ปรากฏว่า ...ทรงจัดการเปลี่ยนแปลง ....เป็นแต่แก้ไข
ขนบธรรมเนียมที่ได้เริ่มจดั ให้ดียิง่ ขนึ้ เปน็ พื้น...” ๘

สภาพการณ์นี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากพระราชอานาจในการบริหาร
ราชการแผ่นดินของพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนบั ตั้งแต่ถวัลยราช
สมบัติเมื่อ พ.ศ. ๔๑๑ ซึ่งขณะน้ันพระองค์ยังทรงพระเยาว์ไม่บรรลุนิติภาวะ

สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ. ความทรงจา. (กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร,
๕๑๔), ๖๘.
๘ เรื่องเดียวกนั .

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

๑ ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่

ด้วยเหตุนี้ พระราชอานาจจึงตกอยู่กับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
(ช่วง บนุ นาค) ผู้สาเร็จราชการแผ่นดิน ดงั พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ที่ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ตอนแรกเสวยราชสมบตั ิ ว่า

...กเ็ ปน็ เวลาเคราะห์ร้ายที่ตัวเราเป็นเด็ก เป็นโอกาสที่จะถอนอานาจเจ้า
แผ่นดินได้หมด เหมือนว่าวที่จะปล่อยจนหมดสายป่านไม่เหลือใย...
เปรียบเสมือนคนที่ศีรษะขาดแล้ว จับเอาแต่ร่างกายข้ึนต้ังไว้ที่สมมติ
กษัตริย์ เหลือที่จะพรรณนาถึงความทุกข์ อันเป็นกาพร้าในอายุเพียง
เท่านน้ั และความหนักของมงกุฎอันเหลือที่คงจะทานไว้ได้ ท้ังมีศัตรูซึ่งมุ่ง
หมายอยู่โดยเปิดเผยรอบข้าง ทั้งภายในภายนอกหมายเอาท้ังในกรุงเอง
และต่างประเทศ... ๙

ขณะเดียวกันด้วยเงื่อนไขและบริบทของระบบการเมืองการปกครองซึ่ ง
เป็น กา รแบ่ง สร รอาน าจ แล ะผลประ โยช น์ร ะหว่า ง กั นข อง พร ะม หา กษั ตริย์ กั บ
ขนุ นางได้สั่งสมเพิ่มพูนอานาจใหแ้ ก่บรรดาขุนนางอย่างมาก ส่งผลให้กลุ่มขุนนาง
ตระกูลสาคัญๆ กลายเป็นสถาบันที่เข้มแข็งและกลายเป็นคู่แข่งทางการเมือง
กระท่ังมีอานาจในการบริหารราชการแผ่นดินมากกว่าพระมหากษัตริย์ ดังที่
ปรากฏในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและต้นรัชกาล
พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ๐

๙ อ้างใน ชัยอนันต์ สมุทวณิช. การเมือง - การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย.
(กรงุ เทพฯ : บรรณกิจ, ๕ ), ๑๔ - ๑๖.
๐ เฟรด ดับบลิว. ริกส์. การปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่ของสยามและพม่า = The
modernization of Siam and Burma, Thailand, the modernization of a
burcancratic polity. แปลโดย อมร โสภณวิเชษฐว์ งศ์และเอกวิทย์ ณ ถลาง. (กรุงเทพฯ :
ภาควิชาประวตั ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, ๕๑๙), ๔๖ – ๖ .

อนึ่ง กลุ่มขนุ นางทีม่ ีอานาจทางการเมืองและอิทธิพลต่อการทานุบารงุ ประเทศในช่วง
ต้นรัชกาลพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสามารถแบ่งออกเปน็ กลุ่มคอื

๑. กลุ่มสยามหนุ่ม (Young Siam) มีพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงเปน็
ผนู้ ามีพระเจ้าน้องยาเธอและขนุ นางหนุ่มๆ อย่างเจ้าพระยาภาสกรวงษ์น้องชายของสมเด็จ
เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์รวมอยู่ด้วย ขุนนางกลุ่มนี้คือกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลจาก
ชาวตะวันตกต้องการปรับเปลย่ี นประเทศให้ทัดเทียมกบั อารยประเทศตะวนั ตก

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑

การสงั่ สมอานาจของกลุ่มขนุ นางและกลายเป็นกลุ่มผู้ท้าทายอานาจทาง
การเมืองของพระมหากษัตริย์นี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
ตระหนักถึงปญั หาดังกล่าวว่าจะกลายเป็นอปุ สรรคในการบริหารราชการแผ่นดิน
ท่ามกลางยุคสมัยที่วิกฤติและเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงและขุนนางจะเป็น
กลุ่มที่คัดค้านแนวทางการปรับเปลี่ยนประเทศของพระองค์ (ดังกรณีกลุ่มกรม
พระราชวังบวรวิไชยชาญ ในวิกฤตการณ์วงั หน้า) เพราะเกรงว่าจะไปกระทบกับ
อานาจและผลประโยชน์ที่ตนเองเคยมีอยู่ การที่พระมหากษัตริย์ทรงมีอานาจ
ในทางการเมืองการปกครองที่ไม่เข้มแข็งเช่นนี้เห็นชัดในต้นรัชสมัยของพระองค์
ดังข้อสนเทศในพระราชหัตถเลขาที่พระราชทานแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๔ ๖
ตอนหนง่ึ ว่า

“...ในเวลานั้น อายุพ่อเพียง ๑๕ ปี กับ ๑๐ วัน ไม่มีมารดา มีญาติฝ่าย
มารดาก็ล้วนแต่โลเลเหลวไหล หรือไม่โลเลเหลวไหล ก็มิได้ตั้งอยู่ใน
ตาแหนง่ ราชการอนั ใดเป็นหลักฐาน ฝ่ายญาติข้างพ่อคือ เจ้านายท้ังปวง ก็
ตกอยู่ในอานาจ สมเด็จเจ้าพระยา และต้องรักษาตัวรักษาชีวิตอยู่ด้วยกัน
ทุกองค์... ส่วนพี่น้องซึ่งร่วมบิดาหรือที่ร่วมทั้งมารดา ก็เป็นเด็กมีอายุ ต่า

. กลุ่มสยามอนุรักษ์นิยม (Conservative Siam) มีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรี
สรุ ยิ วงศ์เป็นผนู้ า ประกอบด้วยขุนนางผใู้ หญ่ทีต่ ้องการรกั ษาสภาพเดิมของการปกครองไว้
ให้มากทีส่ ุดนานที่สุดไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่รนุ แรงและรวดเรว็

. กลุ่มสยามเกา่ (Old Siam) มีกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (วังหน้า) เป็นผู้นาและ
ขนุ นางระดับต่างๆ กลุ่มนเี้ ป็นพวกที่กลวั การเปลี่ยนแปลงเพราะอาจจะมีผลกระทบถึงฐานะ
และตาแหน่งของตนจึงต้องการอยู่แต่ลาพังไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองอื่นๆ และต่อต้าน
การรับอารยธรรมตะวนั ตกมากที่สุด
 ดูรายละเอียดประเด็นเกี่ยวกับ “บทบาทของวังหน้า” ใน นันทนา กปิลกาญจน์. การ
วิเคราะห์ในเชิงประวัติศาสตร์เรื่องบทบาทของวังหน้าสมัยรัตนโกสินทร์ : พ.ศ.
๒๓๒๕ – ๒๔๒๘. (กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร,์ ๕ ๙).

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

๑ ๔ ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่

กว่าพ่อลงไป ไม่สามารถจะทาอะไรได้ท้ังส้ินส่วนตัวพ่อเองยังเป็นเด็กอายุ
เพียงเท่านนั้ ไม่มีความสามารถรอบรู้ในราชการอนั ใด...” ๑

พระราชดารัสทก่ี ล่าวถึงอานาจของขุนนางที่มีอย่างมากมายจนเป็นเหตุ
ให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพยายามดึงอานาจการบริหาร
รา ชก า รแผ่นดินก ลับสู่พระ อง ค์โดยทรง มุ่ง ปรับเ ปลี่ยน ไปสู่ระ บบ ก า รบริหา ร
ราชการแผ่นดินสมยั ใหม่ตามอย่างตะวนั ตก ดงั ข้อความที่ว่า

“เราได้เคยทดลองรู้มาแล้ว ตั้งแต่เวลาเป็นตุ๊กตา ซึ่งไม่มีอานาจอันใดเลย
ทีเดียวนอกจากชื่อจนถึงเวลาที่มีอานาจข้ึนมาโดยลาดับ...อานาจเสนาบดี
ได้เจริญข้ึน เพราะมีอานาจได้ตั้งเจ้าแผ่นดินมาแต่ก่อนมากนักแล้ว จน
ตลอดถึงเวลาเราได้เปน็ เจ้าแผ่นดินข้นึ กเ็ ป็นเวลาเคราะห์ภัยทีต่ วั เราเป็นเด็ก
เป็นโอกาสยิ่งใหญ่ที่จะถอดอานาจเจ้าแผ่นดินได้หมด เหมือนว่าวที่ปล่อย
จนหมดสายป่านไม่มีเหลอื เลย...”

ด้วยเหตุที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักดีถึง
ความสาคัญในพระราชอานาจต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ทันสมัย เพราะ
ความสาเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพระองค์จักต้องมีอานาจเพียงพอที่จะจัดการ
และควบคุมการทางานของข้าราชการ แต่การใช้พระราชอานาจจักต้องเหมาะสม
กับภาระหน้าที่และสภาพการณ์แวดล้อมที่เกิดขึ้น และต้องไม่ใช้พระราชอานาจ
อย่าง “เผดจ็ การ” ซึง่ ขัดกับอริยธรรมแบบตะวันตก ด้วยเหตุนี้ พระราชโองการ
เลิกธรรมเนียมหมอบคลานหรือประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่ในพระราชพิธีบรม
ราชาภิเษกครั้งที่ จึงเป็นเสมือนการหย่ังเชิงอานาจทางการเมืองระหว่าง
พระองค์กับกลุ่มขุนนาง และเป็นเครื่องหมายแสดงว่าพระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะ
เปน็ ผู้ใหญ่และเป็นอิสระจากอานาจทางการเมือง ทรงมีพระราชอานาจในฐานะ
ผู้นา “...ต้ังแต่นี้สืบไป...” พระองค์ทรงใช้อานาจในทางนิติบัญญัติเพื่อ

๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. พระราชหัตถเลขาเมื่อเสด็จพระราช
ดาเนินประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๔๐ เล่ม ๑ - ๒. (กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา,
๕ ๘), ๑๔.

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั . จดหมายเหตพุ ระราชกิจรายวนั ภาค ๗.
(พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพพิ รรฒนากร, ๔ ), ๑ – .

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑ ๕

เปลี่ยนแปลงลักษณะการบริหารราชการ ส่งผลให้ในแง่สถาบันกษัตริย์
ปรับเปลีย่ นสถานะจากประมุขของอาณาจกั ร (Head of State) สู่หัวหน้าของคณะ
รฐั บาล (Head of Government) ทีม่ ีอานาจ หน้าที่ตัดสินและดาเนินนโยบายอย่าง
มีประสิทธิภาพดังเช่นหวั หน้าของรฐั บาลในประเทศตะวนั ตก ดังพระราชดารัส
ที่ว่า “...แลทานุบารุงแผ่นดินให้มีความเจริญ ด้วยเต็มสติปัญญาความคิด
เต็มอานาจใหร้ าษฎรอยเู่ ย็นเป็นสุขได้ แลจะรักษาการซึ่งได้เปลี่ยนแปลงแลต้ังขึ้น
ไว้ คือการที่เลิกธรรมเนียมหมอบคลานเปลี่ยนเป็นธรรมเนียมยืนเดิน...” ๔ และ
ดังที่ปรากฏว่าในช่วงเวลาดังกล่าวนอกเหนือจากประกาศเลิกหมอบคลานแล้ว
พระองค์ทรงออกพระราชบัญญัติธรรมเนียมคลอง ๕ การจัดตั้งหอรัษฎากร
พิพัฒน์ขึ้นใน พ.ศ. ๔๑๖ และในปีถัดมาทรงจัดตั้งสภาเคาน์ชิลออฟสเตท
(Council of state) หรอื “สภาทีป่ รึกษาราชการแผ่นดิน” และปรีวี เคาน์ชิล (Privy
Council) หรือ “สภาที่ปรึกษาในพระองค์” ขึ้นใน พ.ศ. ๔๑ สภาท้ังสองนี้เป็น
เครื่องมือในการดึงอานาจจากกลุ่มขุนนาง (ตระกูลบุนนาค) สู่พระมหากษัตริย์
และเป็นเครื่องมือมิให้พระองค์ทรงถูกกล่าวได้ว่าทรงใช้พระราชอานาจไปอย่า ง
“เผดจ็ การ” ๖ ซึง่ ขัดกบั อริยธรรมแบบตะวันตก

Fred W. Riggs, Thailand : the Modernization of a Bureaucratic Polity. P. 108, อ้างใน
วิไลเลขา ถาวรธนสาร. ชนชนั้ นาไทยกับการรับวัฒนธรรมตะวันตก.(กรุงเทพฯ : เมือง
โบราณ, ๕๔๕), ๙ .
๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. “พระราชดารัสตอบพระบรมวงษานุวงษ์
ผแู้ ทนรฐั บาลต่างประเทศ แลข้าทูลลอองธุลีพระบาทในการเฉลิมพระชนมพรรษาที่พระที่
น่ังอนันตสมาคม,” ใน พระราชดารัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๗ ถึง ๒๔๕๓. (กรุงเทพฯ : มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา,
๕๕๐), ๕.
๕ หลวงรัตนาญัษ์ติ (เปล่ง), (รวมรวม). กฎหมายในรัชกาลที่ ๕. (กรุงเทพฯ : พระ
ตาหนักจิตรลดารโหฐาน, ๕๔๐), ๖ - ๘.
๖ บรรจง ตันตยานนท์ . “ปัญหาการรวมชาติในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว,” ใน การเมืองการปกครองสมัยใหม่ : รวมงานวิจยั ทางประวัติศาสตรแ์ ละ
รัฐศาสตร์. (กรงุ เทพฯ : สมาคมสังคมศาสตรแ์ ห่งประเทศไทย, ๕ ), .

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

๑ ๖ ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่

ด้วยเหตุนี้ ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ พ.ศ. ๔๑๖ ซึ่งถือเป็นการใช้
อานาจนิติบัญญัติและการดาเนินการในลักษณะต่างๆ ของพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในแง่หนึ่งคือความพยายามในการดึงอานาจบริหาร
จากกลุ่มขนุ นางน่นั เอง

ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหมก่ บั บริบทของความสมั พันธ์ระหว่างประเทศ
พระราชประสงค์ในการปรับเปลี่ยนธรรมเนียมที่เกิดขึ้น หากพิจารณาจาก

พระบรมราชโองการประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลาน หรือ ประกาศเปลี่ยน
ธรรมเนียมใหม่ทีเ่ กิดขึน้ พบว่าเปน็ ผลพวงจากอิทธิพลจากภายนอก ดังข้อสนเทศ
ที่กล่าวว่า “...ในมหาประเทศต่าง ๆ ซึ่งเป็นมหานครอันใหญ่ในทิศตะวันออก
ตวนั ตก ในประเทศอาเซียนี้ ฝ่ายตวันออก คือ เมืองจีน เมืองญวน เมืองยี่ปุ่น แล
ฝ่ายตวนั ตก คือ อินเดีย แลประเทศทีใ่ ชก้ ารกดขี่ให้ผู้น้อยหมอบคลานกราบไว้ต่อ
เจ้านายแลผู้มีบันดาศักดิที่เหมือนกับธรรมเนียมในประเทศสยามนั้น บัดนี้
ประเทศเหล่าน้ันกไ็ ด้เลิกเปลี่ยนธรรมเนียมนั้นหมดทุกประเทศด้วยกันแล้ว การที่
เขาได้พร้อมกันเลิกเปลีย่ นธรรมเนียมทีห่ มอบคลานกราบไหว้น้ันกเ็ พราะเพือ่ จะให้
เหนความดีที่จะไม่มีการกดขี่แก่กันในบ้านเมืองน้ันอีกต่อไป...เมืองใดประเทศใด
ผู้ที่เปนใหญ่มิได้...ทาการกดขี่แก่ผู้น้อย...เมืองนั้นประเทศน้ันก็คงมีความเจริญ
เปนแน่...” ข้อสนเทศนีแ้ สดงนัยท่สี าคัญ ประการ คือ สาเหตุที่ทาให้ “ประเทศ
อาเซีย ฝ่ายตวันออก คือ เมืองจีน เมืองญวน เมืองยี่ปุ่น แลฝ่ายตวันตก คือ
อินเดีย” เลิกเปลี่ยนธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้ และความเปลี่ยนแปลง
ของ “...มหาประเทศต่างๆ ซึง่ เปน็ มหานครอันใหญ่ในทิศตวันออกตวันตก...” ได้มี
อิทธิพลต่อการปรบั เปลีย่ นของสยาม มากน้อยแค่ไหน และสยามเรียนรู้แบบอย่าง
เหล่าน้ันอยา่ งไร

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑

อิทธิพลของลัทธจิ ักรวรรดนิ ิยมกับประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่
ข้อสนเทศในประกาศฯ ทาใหต้ ้องพิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์ของ

ภูมิภาคเอเชีย เพราะ เป็นเงื่อนไขสาคัญที่จะเข้าใจว่าทาไมภูมิภาคนี้จึง
เปลีย่ นแปลงสู่อารยธรรมอย่างตะวันตก

เมื่อพิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์ของภูมิภาคเอเชีย พบว่าเงื่อนไข
สาคัญที่ก่อให้เกิดความเปลีย่ นแปลงสู่ความเปน็ อารยะแบบตะวันตก คือ อิทธิพล
ของลัทธิจักรวรรดินิยม ด้วยเหตุที่ตะวันตกถือว่าตนเองคือ “ศิวิไลย์” คือ
“มาตรฐานสากล” ดังที่ปรากฏในจดหมายของ Gymnasium Willem III ที่มีถึง
รัชกาลที่ ๕ ยืนยันและเชื่อว่าตะวันตกคือชนชาติเดียวในโลกที่เป็นเลิศในด้าน
ต่างๆ ท้ังด้านอารยธรรมและวิทยาการ และเฉพาะชาติตะวันตกเท่าน้ันที่จะช่วย
ยกระดับฐานะของพวกตะวันออกจัดว่าเป็นพวกป่าเถื่อน ล้าหลัง และด้อย
อารยธรรม ถ้า “West” เปน็ ศนู ย์กลางของชนชาติที่เจริญ ซึ่งก็หมายถึงพวกพวก
ยุโรเปียนท้ังหลาย ดังนั้น “East” ก็เป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับศูนย์กลางของ
ความเจริญ ยิ่งไปกว่านั้นสยามและเหล่ารัฐในภูมิภาคนี้ถูกนับว่าเป็น “far East”
ซึง่ ดูเหมือนว่าจะยิง่ มีความหา่ งไกลกบั ความเจริญและอารยธรรมมากขนึ้ ไปอีก

อ้างใน อรอนงค์ ทิพย์พิมล. ( ๕๔ ). “การเสด็จประพาสสิงคโปร์และมลายู:
พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั กับการเสดจ็ ประพาสต่างประเทศ,” ใน รัชกาล
ที่ ๕ : สยามกับอษุ าคเนย์และชมพูทวปี . (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตาราสังคมศาสตร์
และมนษุ ยศาสตร์, ๕๔ ), ๑๘๔ – ๑๘๘.

อนึง่ ลกั ษณะดังกล่าวสะท้อนในแนวคิด “พนั ธะกิจคนผวิ ขาว” (White Man’s Burden)
ที่เชื่อว่าชาวยโุ รปหรอื เผา่ พนั ธุ์คนขาวมีสติปญั ญาและเจรญิ กว่าคนผวิ สีจึงเปน็ ภาระของคน
ขาวที่จะต้องช่วยเหลือคนที่ด้วยความเจริญ ด้วยเหตุนี้ในยุคของการแสวงหาอาณานิคม
ในช่วงครสิ ต์ศตวรรษที่ ๑๘ – ๑๙ แนวคิดนีม้ ีอิทธิพลต่อมิชชนั นารแี ละข้าราชการบางคนที่
เข้ามาในดินแดนอาณานิคมและเชื่อว่าตนเองได้ทาความดีในฐานะนักมนุษยธรรมชาวผิว
ขาวที่ช่วยเหลือคนด้อยพัฒนาในอาณานิคมให้มคี วามเจรญิ เหมอื นชาวตะวันตก

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

๑ ๘ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่

รปู : แสดงแนวคิด “พันธะกิจคนผิวขาว” (White Man’s Burden)

อิทธิพลของลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้และสยามเริ่มปรากฏมาต้ังแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
เจ้าอยู่หัว เมื่ออังกฤษกับดัตช์ทาสนธิสัญญาเพื่อตกลงข้อพิพาทและแบ่งเขต
อิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พ.ศ. ๖ และเมื่ออังกฤษทาสงครามกับ
พม่าและเข้ายึดดินแดนพม่าตอนใต้ ดังพระราชดารัสในพระบาทสมเด็จพระน่ัง
เกล้าเจ้าอยู่หัวที่ว่า

“...การต่อไปภายหน้า...การศึกสงครามข้างญวนข้างพม่า ก็เห็นจะไม่มี
แล้ว จะมีอยู่ก็แตข่ า้ งพวกฝรงั่ ให้ระวงั ให้ดี อย่าให้เสียทีแก่เขาได้...”

สาหรับสยามนั้นการขยายอิทธิพลของจักรวรรดินิยมตะวันตกเด่นชัด
มากในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อฝร่ังเศสพยายามที่จะ
เข้ามามีอิทธิพลเหนือกัมพูชาซึ่งในขณะน้ันอยู่ใต้อิทธิพลของสยาม จนในที่สุด
กัมพูชาก็ตกรัฐในอารักขาของฝรั่งเศสใน พ.ศ. ๔๐๘ ด้วยเหตุนี้ จึง “...ทรง
ตระหนักพระราชหฤทัยว่ารัชกาลของพระองค์ประจวบเวลาโลกวิสัยตะวันตกนี้
เปลี่ยนแปลงด้วยฝรั่งมามีอานาจขึ้นจะต้องเปลี่ยนรัฏฐาภิปาลโนบายหันเข้าหา

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑ ๙

อริยธรรมอย่างฝร่ัง บ้านเมืองจึงจะพ้นภยันตราย...” ๘

สภาวการณ์ดังกล่าวถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง เป็นอย่างยิ่ง
ประเทศในภูมิภาคเอเชีย จึงต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนาประเทศให้เป็นแบบใหม่
อย่างตะวันตก ดังกรณีจีนซึ่ง “เป็นมหานครอันใหญ่ในทิศตะวันออก” ยังต้อง
ปรบั ตัวจนถกู ขนานนามว่า “...เปน็ ขบวนการเลียนแบบสิ่งของชาติตะวันตก...เพื่อ
จะได้เป็นชาติมั่งคั่งและเข้มแข็ง... (โดยการ)...ยอมรับสิ่งที่ดีของตะวันตกเพื่อ
นามาปรับปรุงข้อบกพร่องของจีน นั่นคือยอมรับที่จะให้มีการปฏิรูปแทนการ
เลียนแบบ... ๙

สภาพการณ์เหล่านี้แสดงความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของมหาอานาจ
ตะวันตก พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงเข้าพระทัยอย่างแจ่ม
ชัดว่าความขัดแย้งภายใน การบริหารประเทศที่ไม่ดีและความเฉื่อยชาต่อ
“ความก้าวหน้าและการปรับปรุงใหด้ ีขนึ้ ” จะเปน็ มูลเหตุและข้ออ้างให้อังกฤษเข้า
มาแทรกแซงกิจการของสยามได้ในอนาคต๔๐

การคุกคามของจักรวรรดินิยมจึงเป็นปัจจัยสาคัญที่กระตุ้นให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงในสังคมไทย ดังที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาปวเรศ-
วริยาลงกรณ์กล่าวไว้ว่า “…กาลังจากภายนอกเป็นเหตุเปลี่ยนแปลงความเป็นไป
ของพระราชอาณาจักร…”๔๑ เพื่อให้รอดพ้นจากภัยคุกคามและถือว่าการปฏิรูป
ปรับปรุงประเทศมีความสาคัญเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศมิให้

๘ สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ. ความทรงจา. (กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร,
๕๑๔), ๑ ๘.
๙ วุฒิชยั มูลศิลป์. การปรบั ตัวของไทยและจีนในสมัยจักรวรรดินิยมใหม่. (กรุงเทพฯ
: ต้นอ้อ. ๕ ๔), ๔ , ๕๑.
๔๐ สาคชิดอนันท สหาย. ร. ๕ เสด็จอินเดีย : India in ๑๘๗๒ : AsSeen by the
Siamese.แปลโดย กณั ฐิกา ศรีอดุ ม. (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย, ๕๔๖),
๑.
๔๑ อ้างใน สุวิชัย โกศัยยะวัฒน์. “การพัฒนาประเทศในสมัยรชั กาลที่ ๔ : การวางรากฐาน
เพื่อก้าวจากสังคมจารีตลักษณ์สู่สังคมนวลักษณ์ของสยาม,” ใน วารสารศึกษาศาสตร์.
( ๕๔ ). ๑๖(๑) : ๙ – ๔๘.

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

๑ ๐ ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่

ตะวันตกใช้เป็นข้ออ้างในการยึดครอง๔ และดังที่สมเด็จฯ กรมดารงราชานุภาพ
กล่าวไว้ว่า

“ . . . ฝ่ า ย พ ว ก ช้ั น ส มั ย ใ ห ม่ เ ห็ น ว่ า โ ล ก วิ สั ย ท า ง ต ะ วั น อ อ ก น้ี ถึ ง เ ว ล า
เปล่ียนแปลงด้วยฝร่ังมามีอานาจข้ึน จีนประเทศใหญ่อังกฤษยังบังคับได้
ไ ท ยเ ป็ นป ร ะเ ท ศน้อ ยที่ไ หนจ ะยอ ม ตาม ใ จ ไ ท ย . . . ป ร ะเ ท ศทั้งหล ายท า ง
ตะวนั ออกน้ี ตอ่ ไปภายหน้าคงจะมีการเกี่ยวข้องกับฝร่ังมากข้ึนทุกที ถ้าไม่
เปล่ียนรัฏฐาภิปาลโนบายของประเทศสยามให้ฝร่ังนิยมว่าไทยพยายาม
บารงุ บ้านเมืองให้เจริญตามอริยธรรม ก็อาจจะไม่ปลอดภยั ได้มน่ั คง คงทรง
พระราชดาริเช่นว่ามาแต่ยังทรงผนวชอยู่ เพราะฉะน้ันพอเสด็จผ่านพิภพ
ตงั้ แต่กอ่ นทาพธิ รี าชาภิเษก กท็ รงแก้ไขขนบธรรมเนียมเก่า เริ่มด้วยดารัส
สงั่ ให้เลิกประเพณีเข้าเฝ้าตวั เปลา่ ไม่ใสเ่ ส้ือ ให้เจ้านายและข้าราชการใส่เส้ือ
เขา้ เฝ้าตอ่ ไปเป็นนิจ...๔

ด้วยเหตุนี้ จึงอาจกล่าวได้ว่าสาเหตุที่ทาให้ “ประเทศอาเซีย ฝ่าย
ตวันออก คือ เมืองจีน เมืองญวน เมืองยี่ปุ่น แลฝ่ายตวันตก คือ อินเดีย” เลิก
เปลี่ยนธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้รวมถึงการนาไปสู่ “ประกาศเปลี่ยน
ธรรมเนียมใหม่ พ.ศ. ๔๑๖” นั้น เป็นผลมาจากอิทธิพลของลัทธิจักรวรรดินิยม
ตะวนั ตกที่มองว่าตะวันตกคือมาตรฐานสากล เพราะฉะนั้นประเทศตะวันออกซึ่ง
เป็นพวกป่าเถื่อน ล้าหลัง ด้อยพัฒนาต้องปรับเปลี่ยนธรรมเนียมที่หมอบคลาน
กราบไหว้ให้เป็นด่งั ตะวนั ตก

๔ เฟรด ดับบลิว. ริกส์. การปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่ของสยามและพม่า = The
modernization of Siam and Burma, Thailand, the modernization of a
burcancratic polity. แปลโดย อมร โสภณวิเชษฐ์วงศ์และเอกวิทย์ ณ ถลาง. (กรุงเทพฯ
: ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, ๕๑๙), ๑ .
 หมายถึง พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๔ สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ. ความทรงจา. (กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร,
๕๑๔), ๑ ๑ – ๑ .

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑ ๑

แบบอย่างธรรมเนียม “ฝรัง่ ” : ตน้ แบบประกาศธรรมเนียมใหมใ่ นสยาม

พระราชดารสั ในพระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกล้าเจ้าอยู่หัวที่ว่า “...การงาน
สิ่งใดของเขาที่ดี ควรจะเรียนร่าเอาไว้ ก็เอาอย่างเขาแต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไป
ทีเดียว...” อาจกล่าวได้ว่าคือแนวปฏิบัติในการปรับเปลี่ยนและการรับวัฒนธรรม
ตะวนั ตกทีเ่ กิดขึน้ ในสงั คมไทยในยคุ ทีจ่ ักรวรรดินิยมตะวนั ตกมีอิทธิพลอย่างสงู ต่อ
ภมู ิภาคนี้

วิทยาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่แบบตะวันตกที่เข้ามาในสังคมไทย
รัชสมยั พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยู่หวั เป็นต้นว่า วิทยาการทางการแพทย์
ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์เครื่องจักร เครื่องกล เครื่องมือเครื่องใช้ การพิมพ์ รวม
ไปถึงวิทยาการการต่อเรือและการเดินเรือ ถือเป็นการรับวัฒนธรรมตะวันตกใน
ด้านที่เรียกว่า “การรับนวัตกรรมทันสมัย” (Industrialization) ๔๔ ขณะที่การ
เผยแพร่ศาสนาของพวกบาทหลวงและมิชชนั นารีได้ส่งผลต่อท่าทีและทศั นคติของ
ชนชั้นนาบางกลุ่ม ขณะเดียวกันก็ถือเป็นความท้าทายของ ชนช้ันนาใน
การปรบั เปลีย่ นและต้ังรับวฒั นธรรมตะวันตก

การปรับเปลี่ยนและตั้งรับวัฒนธรรม ตะวันตกที่เกิดขึ้นในสมัย
พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงเป็นลักษณะของการเลือกรับและ
พิจารณาเลือกสรรแล้วนามาผสมผสานกับวัฒนธรรมเดิมหรือเป็นการรับแบบ
สงวนท่าทีโดยยังคงรกั ษาวฒั นธรรมเดิมไว้

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสภาวการณ์ในยุคที่
จกั รวรรดินิยมตะวันตกมีอิทธิพลอย่างสูงต่อภูมิภาคเอเชียส่งผลให้พระองค์ต้อง
ปรับเปลี่ยนท่าที ดังพระราชดารัสที่ว่า “…วิธีเดียวที่ไทยจะคงอยู่ได้ก็คือต้อง
ยกเลิกการแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยว ต้องยอมทาการค้ากับต่างประเทศและรับ
ความคิดเห็นใหม่ๆ แก้ไขเปลี่ยนแปลงประเพณอี นั ล้าสมัยของตน...” ๔๕ ด้วยเหตุนี้

๔๔ วิไลเลขา ถาวรธนสาร. ชนชั้นนาไทยกับการรับวัฒนธรรมตะวนั ตก, ๖ .
๔๕ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล (แปล). “พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ใน
หนังสือที่ระลึกถึงรอบ ๑๐๐ ปี แห่งวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

๑ ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่

พระองค์จึงนาแบบแผนความเจริญและความทันสมัยอย่างตะวันตกมาใช้ใน
การ “ทะนุบารงุ พระนครมิให้พวกฝร่ังดูหมิ่น” ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดารงรา
ชานภุ าพกล่าวไว้ว่า

...ทรงพระราชดาริจะทะนุบารุงพระนครมิให้พวกฝร่ังดูหมิ่น...คิดอ่านให้
พระเจ้าแผ่นดิน...เสด็จไปทอดพระเนตรวิธีการปกครองบ้านเมืองของ
ตา่ งประเทศทีเ่ มืองสิงคโปร์และเมืองบะเตเวีย....พิเคราะห์รายการที่เสด็จ
ประพาสเมืองสิงคโปร์ เมิองบะเตเวียและเมืองสมารัง เห็นไว้ว่าสมเด็จ
พระเจ้าแผ่นดินได้ทอดพระเนตรขนบธรรมเนยี มฝรง่ั มาก...ใคร่จะเสด็จไป
ถึงยุโรปให้ได้เห็นขนบธรรมเนียมราชสานักและประเพณีบ้านเมืองของ
ฝร่งั เอง...๔๖

ขณะเดียวกันก่อให้เกิดความเปลี่ยนด้านขนบธรรมเนียมประเพณีและ
วัฒนธรรมหลายประการ เป็นต้นว่า วัฒนธรรมการแต่งกาย ที่ต้องเหมาะสมกับ
โอกาสและกาลสมัย การอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าเฝ้าโดยไม่ต้องหมอบกราบ
แต่สามารถนั่งเก้าอี้ได้ การอนุญาตให้คนไทยไปรับจ้างทางานหรือประกอบ
อาชีพกบั ชาวยุโรปได้อยา่ งเสรีภาพ ๔

ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเกิดความ
เปลี่ยนแปลงอันเป็นผลมาจากการที่พระองค์ทรงเห็นความจาเป็นในการรับ
วฒั นธรรมตะวนั ตกด้วยการสารวจ/ศึกษาสถานการณ์ร่วมสมัยทั้งด้านการเมือง
การทหาร สังคมและวฒั นธรรม “...เพือ่ ใช้ “เป็นแบบอย่าง” สาหรับประเทศของ
พระองค์...อังกฤษเองกต็ ระหนักดีว่าสยามกาลังอยู่ในกระบวนการของการเปลี่ยน

เจ้าอยู่หัวและวันเสวยราชย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๑ ตุลาคม
๒๕๑๑. (พระนคร : พระจันทร์. ๕๑๑), .
๔๖ สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ. ความทรงจา. (กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร,
๕๑๔), ๔๖ – ๔๘, ๕๘, ๖ .
๔ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. ประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๓๙๔
– ๒๔๐๐. (พระนคร : ครุ สุ ภา, ๕๐ ), ๔, ๔.

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑

ผ่านแบบแผนความเจริญจากตะวนั ออกมาเป็นแบบทีท่ ันสมยั ของตะวนั ตก...” ๔๘

ความตั้งพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในการศึกษาความเจริญอย่างฝร่ังเพื่อใช้ในการทานุบารุงบ้านเมืองปรากฏใน
พระราชรบั สง่ั ทีว่ ่า

...ต้ังแต่เสด็จบรมราชาภิเษกถวัลยราชสมบัติ ตั้งพระราชฤทัยจะดารง
รักษาพระนครขอบขนั ธสมี า ทั้งพระบรมวงศานุวงษ์ ขา้ ราชการแลราษฏร
ให้ถาวรวัฒนายิ่งข้ึนไป จึงได้พระราชอุตสาหเสด็จพระราชดาเนินทาง
ทะเลฝ่าคล่ืนฝืนลมไปประพาสต่างประเทศ เพราะจะได้ทรง
ทอดพระเนตรบ้านเมืองและการธรรมเนยี มต่างๆ สง่ิ ดจี ะได้เปน็ แบบอย่าง
แก่บ้านเมืองสยามต่อไป ก็เพราะทรงต้ังพระราชหฤทัย ประสงค์จะทรง
จัดการทานุบารุงพระนคร จึงได้เสด็จพระราชดาเนินไปทอดพระเนตร
บ้านเมืองซึ่งได้มีความเจริญแล้วน้ัน ก็ได้ทรงเห็นการดีหลายอย่าง ที่จะ
เปน็ คณุ ประโยชนแ์ ก่แผ่นดนิ เป็นต้นว่า กดข่ีแก่กัน ถ้าเมืองใดประเทศใด
ยงั ถือตามทีเ่ ป็นการกดขีแ่ ก่กันนน้ั อยู่ ก็เห็นว่าประเทศนั้นเมืองน้ันยังไม่มี
ความเจริญเป็นแน่ จึงได้ทรงลดหย่อนพระราชอิสริยยศลงหลายอย่าง
โปรดให้ขนุ นางยืน แลน่ังเก้าอี้ที่เสมอกันก็มิได้ทรงถือพระองค์ เพราะจะ
ให้ท่านทั้งหลายเห็นเป็นแน่ว่าจะทรงปลดเปล้ืองการกดข่ีที่มีอยู่ใน
บ้านเมืองนั้นให้ลดน้อยถอยลงไปทุกคร้ังทกุ คราว...๔๙

ด้วยเหตุนี้ จึงพบความเปลี่ยนแปลงขนบประเพณีแบบฝรั่งที่ชาวยุโรปใช้
เปน็ บรรทดั ฐานของความเจริญ เกิดขนึ้ หลงั จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสอาณานิคมของตะวันตกอย่างสิงคโปร์ ปัตตาเวีย พม่า

๔๘ สาคชิดอนันท สหาย. ร. ๕ เสด็จอินเดีย : India in ๑๘๗๒ : AsSeen by the
Siamese.แปลโดย กณั ฐิกา ศรีอุดม. (กรงุ เทพฯ : มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย, ๕๔๖),
บทนา, ปกหลัง.
๔๙ “เร่ืองสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว,” อ้างใน ประไพ รักษา. ผลของการเสด็จประพาสของพระบาทสมเด็จพระ
จลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัวทีม่ ีผลต่อการปรับปรงุ ประเทศใหท้ ันสมยั (พ.ศ. ๒๔๑๑–พ.ศ.
๒๔๕๓), (ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. ประวตั ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสาน
มิตร, ๕ ), ๑ – ๑ ๘.

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

๑ ๔ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่

และอินเดียระหว่าง พ.ศ. ๔๑ – ๔๑๔ ความเปลี่ยนแปลงที่สาคัญ คือ
“ฉลองพระองค์” ดงั ปรากฏในบนั ทึกเมื่อคราวเสด็จประพาสอินเดียว่า

...พระเจ้าแผ่นดินและข้าราชการชาวสยามที่ติดตามพระองค์ทุกคน
ต่างแต่งตัว วางตัวแบบชาวยุโรปจึงเป็นการสะดวกที่จะถวายการ
บริการตลอดการเสด็จประพาสอินเดีย ซึ่งเป็นทางที่จะนามาสู่
ความสมั พันธ์ที่ใกล้ชดิ กบั เราได้ ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ไปไม่ได้เลย หากพวก
เขายงั ยึดถือขนบธรรมเนียมของราชสานกั ... ๕๐

ขน บปร ะ เพ ณีแล ะ กา ร แต่ ง กา ย แบบฝรั่ ง นี้พ ร ะบา ทส ม เด็ จ -
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงมองว่าเป็นสิง่ ทแ่ี สดงความทนั สมัยและเปน็ บรรทัด
ฐานของความเป็นผู้ที่เจริญแล้ว รวมถึงสัญลักษณ์ของอานาจฝรั่งที่เหนือชาว
พืน้ เมือง ดังรบั ส่ังเมือ่ ครั้งเสด็จชวาครั้งท่ี ว่า “...การที่แต่งตัวเป็นอย่างฝรั่งอยู่
บ้างจะมีคุณ เพราะพวกนี้มันกลัวฝร่ังปราบกันไว้เสียราบ พวกในเมืองชวาไม่ว่า
พวกฝรั่งผู้ดีหรือไพร่ต้องนั่ง...” ๕๑ หรือพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระมุงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หวั ที่กล่าวว่า “...อย่างไรก็ดีไม่ต้องสงสยั เลย ในเรื่องนี้มีคนอยู่บางจาพวกที่
นิยมว่าเสื้ออย่างฝร่ัง ถึงแม้ว่าจะตัดอย่างเลวทรามอย่างไรก็ดี ถ้าสวมเข้าแล้วก็
อุปมาดงั หนงั สือเดินทางซึง่ จะนาผู้ใชไ้ ปใหถ้ ึงซึง่ ความนิยมของฝร่งั ได้...” ๕

๕๐ สาคชิดอนันท สหาย. ร. ๕ เสด็จอินเดีย : India in ๑๘๗๒ : AsSeen by the
Siamese.แปลโดย กณั ฐิกา ศรีอุดม. (กรงุ เทพฯ : มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย, ๕๔๖),
๔๙๖.
๕๑ “ระยะทางเทีย่ วชวากว่าสองเดือน” อ้างใน ตะวันตกในตะวันออก : สังคมไทยสมัย
รัชกาลที่ห้าถึงปัจจุบัน. ( ๕๔ ). เอกสารการสัมมนาทางวิชาการโครงการเฉลิมพระ
เกียรติในวโรกาสครบรอบ ๑๕๐ ปี พระราชสมภพในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หวั เรือ่ งตะวนั ตกในตะวนั ออก : สังคมไทยสมัยรชั กาลที่ห้าถงึ ปจั จุบัน. หน้า .
๕ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หวั . “ลัทธิเอาอย่าง,” ใน ประมวลบทพระราช
นิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาคปกิณณะ. (กรุงเทพฯ : มิตร
สยาม, ๒๕๑๐), .

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑ ๕

คณะราชทูตสยามเข้าเฝ้าฯ สมเดจ็ พระราชินีวิกตอเรียของอังกฤษ
เมือ่ พ.ศ. ๔๐๐/ค.ศ. ๑๘๕

คณะราชทูตสยามเข้าเฝ้าพระเจ้านโปเลียนที่
เมื่อ เมษายน พ.ศ. ๔๐๔/ค.ศ.๑๘๖๑
ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม, (กุมภาพนั ธ,์ ๕๕๕). (๔) : ๑ ๑-๑๔๑.
 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

๑ ๖ ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่



คณะราชทูตฝร่ังเศส (เมอซิเออร์ เดอ มงติญี)
เข้าเฝ้าพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั
เมื่อ พ.ศ. ๔๐๖/ค.ศ.๑๘๖

นอกจากนี้ “...การไปมาและคบหาสมาคมในระหว่างไทยกับฝร่ัง...” ที่
เกิดขนึ้ ต้ังแต่รัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่น การคณะราชทูต
สยามเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชินีวิกตอเรียของอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. ๔๐๐/ค.ศ.
๑๘๕ การส่งคณะราชทูตสยามเข้าเฝ้าพระเจ้านโปเลียนที่ เมื่อ
เมษายน พ.ศ. ๔๐๔/ค.ศ.๑๘๖๑ และการต้อนรับคณะราชทูตฝรั่งเศส (เมอซิ
เออร์ เดอ มงติญี) ที่เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.

๔๐๖/ค.ศ.๑๘๖ น้ันทาให้เห็นความแตกต่างของขนบธรรมเนียมการเข้าเฝ้า
(ดังรูป) พร้อมกันนั้นทรงทาให้เกิดความวิตกกังวลกลัวว่าชาวตะวันตกมองว่า
สยามเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน เพราะฉะน้ันในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ -
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปรับเปลี่ยนขนบประเพณี
บางอย่างที่ถูกมองว่าล้าสมัย เช่น การแต่งกาย โปรดให้แต่งกายทันสมัยอย่าง
ชาวตะวันตก ด้วยการสวมเสื้อช้ันใน ชั้นนอก และมีผ้าผูกคอ ช่วงล่างนุ่งผ้าโจง
กระเบนแต่เปลี่ยนจากการนุ่งผ้าลายมาเป็นผ้าม่วงสีกรมท่า (ต่อมาก็กลายเป็น
เครื่องแบบของข้าราชสานัก) ท้ังนี้การเข้าเฝ้าในราชสานักในเวลากลางวันหรือ

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑

เวลาบ่ายถึงคา่ ก่อนเสวยพระกระยาหาร ผู้ทีเ่ ข้าเฝ้าจะต้องแต่งกายแบบสมัยใหม่
ด้วยการนุ่งผ้าม่วงสีกรมท่า สวมเสื้อคอเปิดแบบฝร่ัง สวมถุงเท้าและรองเท้า
พร้อมกบั ประกาศว่า

...เวลาเดนิ ออกนอกถนนผู้ชายให้ใสผ่ ้าถุงหรือสะโหร่งคลุมเข่า (ยกเว้นแต่
ลงอาบน้าในคลองหรือกลับจากอาบน้า) ผู้หญิงจะปรากฏตัวได้ในที่
สาธารณะก็ต่อเมื่อห่มผ้า (ไม่มีข้อยกเว้น) และเด็กต้องใส่เส้ือผ้าทุกคน
(ยกเว้นที่อาบน้าอยู่) ห้ามเดินแก้ผ้าบนท้องถนน ผู้ปกครองต้อง
รับผิดชอบจนถงึ อายุ ๑๕ ปี หากไม่ปฏิบตั ิตามก็จะถูกปรับ ๑ บาท ผู้ที่ทา
ผิดซ้าจะต้องโดนปรบั ๔ บาท...๕

การเปลี่ยนแปลง “ทรงผม” จาก “ทรงมหาดไทย” เป็น “ผมรอง
ทรง”... ๕๔ การจัดหอ้ งรับแขกและหอ้ งเสวย ทรงนารูปแบบชาวตะวันตกมาจัด
ในพระบรมมหาราชวงั เป็นต้น

เหตุผลที่ทาให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง นาเอา
แบบอย่างธรรมเนียมฝร่งั มาปรบั ใช้กบั สยามในเวลานั้น เข้าใจว่าเนื่องมาจาก

...การเอาอย่างย่อมทาให้ผู้ที่เอาอย่างและผู้ที่ถูกเอาอย่างลงรอยกันได้
ซึง่ บางทีท่ าให้ราคาแห่งผู้เอาอย่างนน้ั ดมู ีสูงข้นึ โดยเกินกว่าราคาจริงของ
ตนเองจริงๆ ยกตัวอย่างคนที่ได้รับความศึกษาอย่างฝรั่งมาบ้างแล้ว ถ้า

๕๓ ตะวนั ตกในตะวันออก : สงั คมไทยสมยั รัชกาลทห่ี ้าถึงปจั จุบนั . เอกสารการสัมมนา
ทางวิชาการโครงการเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสครบรอบ ๑๕๐ ปี พระราชสมภพใน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเร่ืองตะวันตกในตะวันออก : สังคมไทยสมัย
รชั กาลที่ห้าถงึ ปัจจบุ นั . (กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๔๗), ๑๔.
๕๔ สมเด็จฯ กรมดารงราชานุภาพ อธิบายว่า “ทรงมหาดไทย” คือการตัดโดยวิธีโกนรอบ
ศีรษะและไว้ยาวเฉพาะกลางศีรษะประมาณ ๔ เซนติเมตร เหมือนนากะลามาครอบผมไว้
แล้วโกนรอบศีรษะ หรือที่นิยมเรียกว่า “ทรงกะลาครอบ” ทรงผมลักษณะดังกล่าวนี้
ชาวตะวนั ตกทีเ่ ดนิ ทางเข้ามาสยามวิพากษ์วิจารณ์ทรงผมในทางลบ. อ้างใน สมเด็จฯ กรม
พระยาดารงราชานุภาพ. ความทรงจา. (กรงุ เทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร, ๕๑๔), ๕ .

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

๑ ๘ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่

แต่งกายแบบฝร่ังและเลียนกิริยาฝรั่งก็น่าจะคบค้าสมาคมกับฝรั่งได้
สะดวกดกี ว่าคนหน่งึ ซึ่งได้รับความศกึ ษาเท่ากันมาแล้วเช่นกัน... ๕๕

แบบอย่างธรรมเนียมฝร่ังที่ “...พระราชอุตสาหเสด็จพระราชดาเนิน...
ทอดพระเนตรบ้านเมืองแลการธรรมเนียมต่างๆ สิ่งดีจะได้เป็นแบบอย่างแก่
บ้านเมืองสยาม...” น้ันเป็นแบบอย่างที่นามาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสังคมสยาม
ดังพระราชดารสั ทว่ี ่า

...ในทีส่ ุดควรที่เราท้ังหมาย อย่าพึง่ ชอบใจไปอย่างเดยี วในสิ่งซึ่งเป็นอย่าง
ต่างประเทศแล้ว แลไม่ชอบใจในส่ิงซึ่งเป็นอย่างไทย หรือพึงชอบใจไป
อย่างเดียวในส่ิงซึ่งเป็นอย่างไทยแล้ว และไม่ชอบใจในส่ิงซึ่งเป็นอย่าง
ต่างประเทศ ด้วยเหตุว่าทุกเมืองแลทุกคนด้วยกันหมดยอมมีความดีแล
ความช่ัวระคนปนกันอยู่ แลเราท้ังหลายต้องพยายามที่จะเอาเยี่ยงอย่าง
ความดีมาแต่ที่อื่นๆ แลในเวลาเดียวกันน้ัน เราท้ังหลายไม่พึงควรเฉพาะ
แต่ที่จะรักษา ยังควรจะทาให้เจริญข้ึนในส่ิงอันดี แลส่ิงที่เคารพนับถือว่า
เป็นอาการกิริยา แลธรรมเนยี มแห่งประเทศของเรา...ให้พงึ นึกในใจว่าเรา
ไม่ได้มาเรียนจะเป็นฝรั่ง เราเรียนเพื่อจะเป็นคนไทยที่มีความรู้เสมอ
ดงั ฝรั่ง... ๕๖

กา ร ดา เ นิน ก า รปรั บเ ปลี่ย น ธ รร ม เนี ย มใ หม่ ที่เ กิดขึ้น ใน ส มั ย
พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าหวั นั้น พระองค์ทรงประกาศว่า “...การที่จะ
จักผลัดเปลี่ยนธรรมเนียมจะให้แล้วไปในคร้ังคราวเดียวนั้นไม่ได้จะต้องค่อยคิด
เปลี่ยนแปลงไปตามเวลาที่ควรแก่กาล ที่จะเปลี่ยนแปลงได้...” การดาเนินการ
ปรับเปลีย่ นทเ่ี กิดขึน้ เป็นไปอย่าง “ค่อยคิดค่อยทา” ด้วยเหตุว่า

๕๕ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. “ลัทธิเอาอย่าง,” ใน ประมวลบทพระราช
นิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาคปกิณณะ. (กรุงเทพฯ : มิตร
สยาม, ๒๕๑๐), .
๕๖ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. “พระราชดารัสตอบประชาชนชาวสยามที่
พลับพลาหน้าพระพระที่น่ังสุทไธสวรรย์” ใน พระราชดารัสในพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๗ ถึง ๒๔๕๓. (กรุงเทพฯ : มูลนิธิสมเด็จ
พระเทพรัตนราชสดุ า, ๕๕๐), ๑๐ , ๑๐๖.

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑ ๙

...การอันใดควรจะแก้ไขเปล่ียนแปลงก็จะต้องแก้ไขเปล่ียนแปลง การอัน
ใดควรจะตัดจะเลิกเสียก็จะต้องตัดเสีย การอันใดควรจะต้องเพิ่มข้ึนก็
จะต้องเพิ่มข้ึน จะให้เลิกยกความในครึ่งหน่ึงคราวเดียวก็ไมมีเมืองใดจะ
ทาได้ แต่การที่จะเลือกส่ิงใดควรแก่ที่จะจัดการทั้งสามอย่างน้ีเป็นที่ ๑
ที่ ที่ กันไปนนั้ จะต้องตั้งใจพิจารณาดูการในบ้านเมืองก่อน ที่จะไป
แลค้นหาธรรมเนยี มเมืองอื่นหมายแต่จะเอาอย่างให้เหมือนเขาอย่างเดียว
ไม่ดกู ารในเมืองตวั ให้รู้ชัดก่อนนั้นไม่ได้ ต้องพิจารณาว่าการส่ิงใดซึ่งเป็น
การควรจดั ควรทาเพราะมีเหตทุ ีเ่ สียทีร่ ้ายเพราะไม่ไดจ้ ัดใหม่มากกวา่ ทีจ่ ะ
เสยี ประโยชนเ์ พราะการที่จะจดั และจะมีหนทางแก้ไขความขัดข้องในการ
ทีจ่ ะหักล้างไม่ให้การตดิ ค้างหรือเกิดเหตเุ กิดผลใหญโ่ ตขนึ้ ... ๕

ด้วยเหตุนี้ ความเปลี่ยนแปลงของ “...มหาประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นมหา
นครอนั ใหญ่ในทิศตวันออกตวันตก...” ได้มีอิทธิพลต่อการปรับเปลี่ยนของสยาม
ในแง่ที่เป็นแบบอย่างของการทานุบารุงบ้านเมืองให้ทันสมยั เพื่อความศิวิไลซ์ และ
ชนช้ันนาสยามได้เรียนรู้ด้วยการศึกษาทอดพระเนตร รับเอาวัฒนธรรมตะวันตก
ในลักษณะของการเลือกเอาส่วนที่เหมาะสมมาปรับเปลี่ยน ให้สอดคล้องกับ
สภาวการณ์ของบ้านเมืองในเวลาน้ันดังปรากฏในนาม “ประกาศเปลี่ยนธรรม
เนียมใหม่ พ.ศ. ๔๑๖”

ขอ้ ควรประพฤติและการปฏิบัติตามแบบอย่างธรรมเนียมใหม่ พ.ศ. ๒๔๑๖

ข้อสนเทศในประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่กล่าวถึง “...ธรรมเนียมที่
หมอบคลานกราบไหว้ในประเทศสยามนี้ เหนว่าเปนการกดขี่แก่กันแขงแรงนัก
ผู้น้อยที่ต้องหมอบคลานน้ันได้ความเหน็จเหนื่อยลาบาก ...ไม่ทรงเหนว่ามี
ประโยชน์แก่บ้านกับเมือง แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย...แลเหนว่าเปนต้นแห่งการที่เปน

๕ “พระบรมราโชวาและพระบรมราชาธิบายเร่ืองสามัคคี พระราชนิพนธ์ใน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,” อ้างใน ประไพ รักษา. ผลของการเสด็จ
ประพาสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีผลต่อการปรับปรุง
ประเทศใหท้ ันสมยั (พ.ศ. ๒๔๑๑–พ.ศ. ๒๔๕๓), (ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. ประวตั ิศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, ๕ ), ๑ ๘ – ๑ ๙.

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

๑๔๐ ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่

การกดขี่แก่กันทั้งปวง เพราะฉะน้ัน จึ่งจะต้องละพระราชประเพณีเดิมที่ถือว่า
หมอบคลาน...เปนการเคารพอย่างยิ่งในประเทศสยามนี้เสีย...ให้เปลี่ยนอิริยาบถ
เปนยืนเปนเดีน ธรรมเนียมที่ถวายบังคมแลกกราบไหว้น้ัน ให้เปลี่ยนอิริยาบถ
เปนก้มสีสะ ธรรมเนียมที่ยนื ที่เดินแลก้มสีสะนี้ใช้ได้เหมือนกับธรรมเนียมที่หมอบ
คลานถวายบังคมแลกราบไหว้...” น้ัน แสดงพระราชพระสงค์ของพระบาทสมเด็จ
พ ร ะ จุ ล จ อ ม เ ก ล้ า เ จ้ า อ ยู่ หั ว ที่ ต้ อ ง ก า ร ป รั บ เ ป ลี่ ย น ธ ร ร ม เ นี ย ม ป ฏิ บั ติ จ า ก
“การหมอบคลาน” เปลี่ยนเป็น “ยืน / เดิน” และ “การกราบไหว้” เปลี่ยนเป็น
“ก้มศีรษะ”

นอกจากนี้ ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่ได้กาหนดข้อควรประพฤติและ
ปฏิบัติสาหรับพระบรมวงษานุวงศ์ ข้าราชการทั้งทหาร พลเรือน ฝ่ายหน้า ฝ่ายใน
มหาดเล็กและผู้คนข้าทาษในลักษณะตามแต่โอกาส กล่าวคือ

การเข้าเฝ้าในพระบรมมหาราชวัง ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่
กาหนดไว้ว่าใหพ้ ึงปฏิบัติดงั นี้ คือ “...เมื่อเดินเข้าไปถึงน่าพระที่นั่งแล้ว ให้ก้มสีสะ
ถวายคานกั ครั้งหนึ่ง แล้วจึ่งเดินไปยืนทีต่ าแหน่งของตนเฝ้า เมือ่ ไปถึงท่ยี ืนเฝ้าแล้ว
ใหก้ ้มสีสะถวายคานับอีกครั้งหนึ่ง แล้วยืนให้เรียบร้อยเปนปรกติ ห้ามมิให้เดินไป
เดินมา แลยืนหนั หน้าหนั หลัง ไปมาในเวลาที่เสดจออก แลมิให้ยืนเอามือไพล่หลัง
แลทา้ วเอว แลเอามือไปท้าวผนงั แลเสาฤๅที่ต่างๆ แลสบู บุหร่ี หัวเราะ พูดกันเสียง
ดงั ต่อน่าพระที่นัง่ ใหย้ ืนให้ เรียบร้อยเปนลาดบั ตามบันดาศักดิ์ผู้ใหญ่ผู้น้อย ถ้ามี
กิจราชการทีจ่ ะต้องกราบบังคมทูลพระกรณุ าแล้วใหเ้ ดินออกมาจากที่เฝ้า ยืนตรง
น่าพระทีน่ ัง่ ก้มสีสะถวายคานับแล้วจึ่งกราบบังคมทลู พระกรุณา เมื่อสิ้นข้อความ
ทีก่ ราบบังคมทูลพระกรุณาแล้ว ใหก้ ้มสีสะลงถวายคานับ จึ่งให้เดินถอยหลังมาที่
ยืนเฝ้าอยู่ตามเดิม ถ้าจะถวายหนงั สือฤๅสิง่ ของสิ่งหนึ่งสิง่ ใด ของเลกของใหญ่ก็ดี
ต่อพระหัถสมเดจพระเจ้าอยู่หัว แล้วให้ถือสองมือ เดินตรงเข้าไป ถึ่งหน้าพระ
ที่นั่งภอสมควร ก้มสีสะลงถวายคานับก่อน จึ่งถวายของนั้นต่อพระหัถ ถ้าถวาย
ของนั้นเสรจแล้วให้เดินถอยหลัง ถ้าเปนที่ใกล้ให้ถอยหลัง เก้า ฤๅ
๕ เก้าภอสมควร ถ้าเปนที่ไกล ให้ถอยหลังออกมา เก้า จึ่งกลับหน้าเดินไปยืน
ตามที่ ถ้าจะมีพระบรมราชโองการดารัสด้วยผู้หนึ่งผู้ใดที่ยืนอยู่ในที่เฝ้าน้ัน ก็ให้ผู้
นั้นยืนคงอยู่ตามที่ ก้มสีสะถวายคานับแล้ว จึ่งรับพระบรมราชโองการ

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑๔๑

เมื่อรบั พระบรมราชโองการ กราบบังคมทูลสิ้นข้อความแล้วก็ให้ก้มสีสะลงถวาย
คานับ...” ขณะเดียวกัน ทรงนาขนบธรรมเนียมการน่ังเก้าอี้ซึ่งถือว่าเป็น
สัญลักษณ์ของความเจริญ๕๘ มาใช้ในราชสานัก ดังความที่ว่า “... อนึ่ง พระบรม
วงษานวุ งษแลข้าทลู อองธลุ ีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงทีไ่ ด้เข้ามายืนเฝ้า ในเวลา
ที่เสดจออกอยู่น้ัน ถ้ามีพระบรมราชโองการ โปรดพระราชทานเก้าอใี้ หน้ ่งั จึ่งนั่งได้
หา้ มมิให้นั่งลงกับพื้น แลนั่งบนเก้าอี้ ฤๅนั่งที่แห่งใดๆ ตามชอบใจ ในเวลาที่เสดจ
ออกต่อน่าพระที่นั่ง แลผู้ซึ่งทรงพระกรุณา โปรดให้นั่งเก้าอี้เฝ้าอยู่นั้น น่ังให้เปน
ปรกติ หา้ มมิให้ยกเท้าขึน้ รบั บนเก้าอี้ แลไขว่ห้างเหยียดเท้าตะแคงตัวทากิริยาหา
ความสบายใหเ้ กินกิริยา ที่น่ังเปนปรกติเปนอันขาด เมื่อเวลาเสดจขึ้นก็ให้ ยืนขึ้น
ถวายคานับ ให้พร้อมกัน แต่แขกเมืองประเทศราช เมื่อจะเฝ้าทูละอองธุลีพระ
บาท ใหก้ ระทากิริยาคาระวะ ตามเพศบ้านเมืองของตนก่อน เมื่อทรงพระกรุณา
โปรดให้ยืน จึง่ ยืนได้...”

ก าร เฝ้า เส ด็จ ข ณะ พ ร ะ มห าก ษั ต ริ ย์ เส ด็จ ร าช ก าร น อ ก
พระบรมมหาราชวัง ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่กาหนดไว้ว่าให้พึงปฏิบัติ
ดังนี้ คือ “...ข้าราชการแลมหาดเลกซึ่งเฝ้า ทูลอองธุลีพระบาทอยู่ในที่นั้น ถึง
เสดจออกประทับอยู่ช้าหลายช่ัวโมง ก็ห้ามมิให้ข้าราชการแลมหาดเลกที่ยืนเฝ้า
อยู่น้ันนัง่ ลงในทีแ่ หง่ ใดๆ เปนอนั ขาด ถ้าเว้นไว้แต่เปนที่กาบัง ลับพระเนตรสมเดจ
พระเจ้าอยู่หวั จึ่งนัง่ ได้...ข้าราชการแลมหาดเลก ยืนเฝ้าอยู่ในที่โดยลาดบั แล้ว ผู้ซึ่ง
จะเข้ามาเฝ้าทลู อองธลุ ีพระบาทภายหลังที่มิได้มีราชการที่จะกราบบังคมทูลพระ
กรณุ า หา้ มมิให้เดินผ่านน่าพระที่นั่ง แลเดินผ่านหน้าข้าราชการที่ยืนเฝ้าอยู่ก่อน
น้ัน ให้เดินหลีกเลี่ยงเข้ายืนตามตาแหน่งของตนที่ควรจะยืน ถ้าเว้นไว้แต่ผู้ที่รับ
พระบรมราชโองการ จึง่ เดินผ่านหน้าเพือ่ นข้าราชการไปมาได้...”

๕๘ Emile Jottrand, In Siam the diary of a Legal Adviser of King Chululongkorn’s
Government. อ้างใน พิริยะ ไกรฤกษ์. “ปกิณกะในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวเรือ่ งความเปลี่ยนแปลงทางศิลปะและวฒั นธรรม,” ใน เอกสารการสัมมนาทาง
วิชาการโครงการเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสครบรอบ ๑๕๐ ปี พระราชสมภพใน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเรื่องตะวันตกในตะวันออก : สังคมไทย
สมยั รัชกาลทห่ี า้ ถึงปจั จุบนั . ( ๕๔ ), ๙.

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

๑๔ ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่

การเฝ้าเสด็จในขณะพระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดาเนินทาง
สถลมารค์ (ช้าง, ม้า, รถ, พระที่นงั่ ) ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่กาหนดไว้
ว่าใหพ้ ึงปฏิบัติดังนี้ ในลักษณะต่างๆ กล่าวคือ

กรณีการเสดจ็ แบบมีขบวน ทรงประกาศว่า “...เมื่อเวลาเสดจพระราช
ดาเนิน มาถึงน่าผู้ที่ยืนคอยดูกระบวนเสดจพระราชดาเนินอยู่นั้น ให้คนเหล่านั้น
ก้มสีสะถวายคานบั จงทุกคน หา้ มมิให้นัง่ มิให้ยืน ดูกระบวนเสดจพระราชดาเนิน
บนชานเรือน บนน่าต่างเรือน แลบนทีส่ ูงทีไ่ ม่ควรจะน่งั จะยืน…”

กรณีการเสด็จแบบไม่มีขบวน ทรงประกาศว่า“....ผู้ซึ่งอยู่บนเรือนแล
บนทีส่ ูงไม่ทนั รู้ว่าเสดจพระราชดาเนิน แต่ภอแลเหนว่าเปนรถพระที่นั่ง ฤๅม้าพระ
ทีน่ ั่งกใ็ หย้ ืนขึน้ ถวายคานบั หา้ มมิให้น่ัง มิให้หมอบเปนอันขาด...(ขณะเดียวกัน)...
ถ้าผู้หนึ่งผู้ใด ไปบนหลงั ม้าฤๅไปบนรถ ภบปะกระบวนนาเสดจพระราชดาเนินก็ให้
หยุดม้า หยุดรถริมทาง ถ้าเสดจพระราชดาเนินมาถึงตรงหน้าแล้วให้ถอดหมวก
ก้มสีสะ ถวายคานับอยู่บนรถบนหลังม้า ไม่ต้องลงจากรถ จากหลังม้า ต่อเสดจ
พระราชดาเนินไปสิ้นกระบวนแล้ว จึ่งให้ออกเดินรถ เดินม้าต่อไป...”

การเฝ้าเสด็จในขณะพระราชดาเนินเสด็จชลมาร์ค (เรือ) ประกาศ
เปลี่ยนธรรมเนียมใหม่กาหนดไว้ว่าให้พึงปฏิบัติดังนี้ คือ “...ข้าราชการแลราษฎร
ชาย หญิง ที่อยู่แพ อยู่เรือนริมน้า ให้ยืนขึ้นก้มสีสะถวายคานับจงทุกคน ถ้ามา
ด้วยเรือภบกระบวนเสดจพระราชดาเนิน ถ้าเรือเลกยืนไม่ได้ ก็ให้ถอดหมวกก้ม
สีสะ ถวายคานับในเรือไม่ต้องยืน ถ้าเปนเรือใหญ่ควรจะยืนได้ ก็ให้ยืนขึ้น ถวาย
คานบั ตามธรรมเนียม...”

การปฏิบัติระหว่างข้าราชการกับขุนนางผู้ใหญ่ ประกาศเปลี่ยน
ธรรมเนียมใหม่กาหนดไว้ว่าใหพ้ ึงปฏิบตั ิดงั นี้ คือ “...ถ้าภบปะท่านผู้มีบันดาศักดิ์ที่
ได้เคยทาคานับยาเกรงตามธรรมเนียมเก่าฉันใด กใ็ หท้ าคานับยาเกรง อย่างธรรม
เนียมใหม่ให้เหมือนกัน ธรรมเนียมที่ยนื เหมือนกับนั่ง เหมือนกบั หมอบ ธรรมเนียม
ที่เปิดหมวกก้มสีสะ เหมือนกับกราบไหว้อย่างแต่ก่อนน้ัน ถ้าผู้หญิงจะไปในที่เฝ้า
แลภบปะท่านผู้ใหญ่ไม่ต้องเปิดหมวก เปนแต่ก้มสีสะลงคานับ เมื่อกระทาคานับ
แล้ว หมวกนั้นจะเปิดก็ได้ ไม่เปิดก็ได้…”

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑๔

การปฏิบตั ิระหวา่ งนายกับข้าทาสบริวาร ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียม
ใหม่กาหนดไว้ว่าให้พึงปฏิบัติดังนี้ คือ “...แลผู้คนข้าทาสที่ใช้ การงานอยู่ใน
บ้านเรือนนั้น ก็อย่าให้ท่านผู้ที่เปนเจ้าเปนนาย บังคับให้ข้าทาษหมอบคลาน ให้
บังคับใหข้ ้าทาษใช้ยนื ใช้เดิน..”

๔. สรุป
ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่ พ.ศ. ๔๑๖ ถือเป็นปฐมบรมราชโองการ
ด้านวฒั นธรรมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ตั้งพระราชหฤทัย
ในความพยายามปรับเปลีย่ นขนบธรรมเนียมประเพณที ีถ่ ือเปน็ การกดขีข่ ่มเหงไพร่
ฟ้าประชาราษฎร์และถือว่าล้าสมัยในสายตาตะวันตกให้ทัดเทียมกับนานาอารยะ
ประเทศ จึงนับได้ว่าเป็นเอกสารสาคัญทางประวตั ิศาสตร์ฉบับหนึง่ ของไทย
ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่ พ.ศ. ๔๑๖ ยงั เป็นหลักฐานร่องรอยของ
วัฒนธรรมตะวันตกในสังคมไทยในยุคเปลี่ยนผ่านจากสังคมจารีตเข้าสู่สังคม
สมัยใหม่ หรอื อาจกล่าวได้ว่าการปรบั เปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ให้เปน็ แบบตะวันตก
ดังที่ปรากฏในประกาศฯ น้ันก่อให้เกิดความแปรเปลี่ยนต่อขนบวัฒนธรรมที่เคย
ปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่อดีตกาลเป็น “...เหมือนกับเปลีย่ นฉากรูปภาพอย่างหนึ่ง
เป็นอย่างอืน่ ๆ ไปในทันที...”๕๙
การปรับเปลี่ยนธรรมเนียมให้เป็นตะวันตกจาก “การหมอบคลาน”
เปลี่ยนเป็น “ยืน / เดิน” และ “การกราบไหว้” เปลี่ยนเป็น “ก้มศีรษะ” ตลอดจน
การกาหนดข้อควรประพฤติและปฏิบัติสาหรบั พระบรมวงษานุวงศ์ ข้าราชการทั้ง
ทหาร พลเรือน ฝ่ายหน้า ฝ่ายใน มหาดเล็กและผู้คนข้าทาสตามกาลเทศะซึ่งถือ
ว่าเปน็ สัญลกั ษณ์ของความเจริญในขณะเดียวกันก็สอดคล้องกับหลักความเสมอ
ภาคของมนุษย์ บุญกุศลตามแนวทางของพระพุทธศาสนาซึ่งถือเป็นรากฐานที่

๕๙ คณะกรรมการจัดพมิ พเ์ อกสารทางประวัติศาสตร์. จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน
ในรัชการที่ ๕ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ - ปีระกา พ.ศ. ๒๔๑๖. (กรุงเทพฯ : สานัก
ทาเนียบนายกรฐั มนตรี, ๕๑๖), ๑ .

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

๑๔๔ ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่
สาคัญของสงั คม๖๐

นอกจากนี้ “พระบรมราชโองการประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลาน”
หรือ “ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่” ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว จ.ศ. ๑ ๕ (พ.ศ. ๔๑๖) สะท้อนนัยการใช้พระราชอานาจทางนิติ
บัญญัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในฐานะผู้นาของคณะ
รัฐบาลภายใต้ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถือเป็นความพยายามและ
ความสาเร็จของพระองค์ในการดึงอานาจบริหารจากกลุ่มขุนนางและกลายเป็น
แม่แบบของการปฏิรปู ประเทศในด้านอ่นื ๆ ในเวลาต่อมา

ขณะที่หากพิจารณาสาระของขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติใน
สังคมไทยแล้ว จะเห็นได้ว่าแม้วัฒนธรรมตะวันตกจะมีอิทธิพลและทาให้
ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยเปลี่ยนไป แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการ “กราบไหว้”
หรือการแสดงความนอบน้อมด้วยวิธีการ “หมอบคลาน” นั้นเป็นสิ่งที่ควร
ประพฤติปฏิบัติของสังคมไทย เพราะหากไม่ประพฤติหรือปฏิบัติก็อาจถูกมองว่า
“ไม่มีมารยาท” “ไม่รู้จักกาละเทศะ” “ไม่รจู้ ักใหเ้ กียรติผู้ใหญ่” เป็นต้น

๖๐ David K. Wyatt, Thailand : a short history. (Bangkok : Thai Watana Panich.
1984), 192 – 193.

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑๔๕

๕. สารวิพากษ์

ประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลานเป็น ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่

โคง้ ศีรษะ ตน้ ฉบับสมดุ ไทยดา ฉบบั ทพ่ี ิมพใ์ นราชกิจจานเุ บกษา

ศุภมศั ดุ จลุ ศกั ราช ๑ ๕ ศภุ มศั ดุ จลุ ศักราช ๑ ๕

กุกุฏสงั วจั ฉระกะตกะมาศ กฤษณปักษ กกุ ุฏสังวัจฉระกะตกะมาศ กฤษณปักษ

พาระสีดิถี รวิวาร ปริเฉทกาลกาหนด พาระสีดิถี รวิวาร ปริเฉทกาลกาหนด

พระบาทสมเดจพระปริมนทรมหา พระบาทสมเดจพระปริมนทรมหา

จฬุ าลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกฎุ จุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกฎุ

บุรศุ ยรัตนราชรวิวงษ วรตุ มพงษบริพตั บรุ ศุ ยรัตนราชรวิวงษ วรุตมพงษบริพตั

วรขตั ิยราชนิกโรดม จาตรุ ันตบรมมหา วรขตั ิยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหา

จักรพรรดิราชสังกาศ บรมธรรมกิ จักรพรรดิราชสังกาศ บรมธรรมกิ

มหาราชาธิราชบรมนารถบพิตร มหาราชาธิราช บรมนารถบพิตร

พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยู่หัว เสดจออก พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั เสดจออก

ณ พระที่น่ังอมรินทรวินิจฉยั มหยั สวริย ณ พระทีน่ ง่ั อมรินทรวินิจฉัยมหยั สวริย

พิมาน โดยสฐานอตุ ราภมิ ุข พิมาน โดยสฐานอตุ ราภมิ ขุ

พระบรมวงษานวุ งษ แลทา่ นเสนาบดี พระบรมวงษานวุ งษ แลทา่ นเสนาบดี

ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายทหารพลเรือน ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายทหารพลเรือน

เฝ้าพร้อมกันโดยลาดบั จึ่งมีพระบรมราช เฝ้าพร้อมกันโดยลาดบั จึ่งมีพระบรมราช

โองการมา ณ พระบัณฑูรสรุ สิงหนาท โองการมา ณ พระบณั ฑูรสรุ สิงหนาท

ทรงประกาศ แก่พระบรมวงษานุวงษ ทรงประกาศ แก่พระบรมวงษานวุ งษ

แลข้าทลู ะอองธลุ ีพระบาท ผู้ใหญ่ผู้น้อย แลข้าทลู ะอองธลุ ีพระบาท ผู้ใหญ่ผู้น้อย

ใหท้ ราบทั่วกนั ว่า ตั้งแต่ได้เสดจเถลิง ใหท้ ราบทั่วกนั ว่า ตั้งแต่ได้เสดจเถลิง

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

๑๔๖ ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่

ประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลานเป็น ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่

โคง้ ศีรษะ ตน้ ฉบับสมดุ ไทยดา ฉบบั ทพ่ี ิมพใ์ นราชกิจจานเุ บกษา

ถวัลยราชสมบัติมา กต็ ั้งพระราชหฤไทย ถวลั ยราชสมบตั ิมา ก็ตั้งพระราชหฤไทย

ที่จะทานบุ ารุงพระราชอาณาจกั ร ที่จะทานบุ ารงุ พระราชอาณาจกั ร

ใหม้ ีความศุขความเจริญแก่ ใหม้ ีความศขุ ความเจริญแก่

พระบรมวงษานวุ งษ แลข้าราชการ พระบรมวงษานวุ งษ แลข้าราชการ

ผู้ใหญ่ผู้น้อย ทั้งสมณชีพราหมณ์ ผู้ใหญ่ผู้น้อย ทั้งสมณชีพราหมณ์

ประชาราษฎรทั้งปวงท่ัวไป การสิ่งไรที่เปน ประชาราษฎรท้ังปวงท่ัวไป การสิง่ ไรที่เปน

การกดขีแ่ ก่กันใหไ้ ด้ความยากลาบากน้ัน การกดขี่แก่กันใหไ้ ด้ความยากลาบากน้ัน

ไม่อยากท่จี ะให้มีในบ้านเมืองตอ่ ไป ____

ทรงพระดาริห์จะไม่ให้มีแก่ชนทั้งหลาย ทรงพระดาริห์จะไม่ให้มีแก่ชนท้ังหลาย

ในพระราชอาณาจกั รต่อไป ในพระราชอาณาจกั รต่อไป

ด้วยได้ทรงพระราชดาริห์เหนว่า ด้วยได้ทรงพระราชดาริห์เหนว่า

ในมหาประเทศต่างๆ ซึ่งเปน็ มหานคร ในมหาประเทศต่างๆ ซึง่ เปน็ มหานคร

อันใหญ่ในทิศตะวนั ออกตวนั ตก อันใหญ่ในทิศตะวันออกตวนั ตก

ในประเทศอาเซียนี้ ฝ่ายตวนั ออก ในประเทศอาเซียนี้ ฝ่ายตวนั ออก

คือเมืองจีน เมืองญวน เมืองยี่ปุ่น คือประเทศจีนประเทศญวนประเทศยีป่ ุ่น

แลฝ่ายตวนั ตก คือ อินเดีย แลฝ่ายตวันตก คือ อินเดีย

แลเมืองที่ใชก้ ารกดขีใ่ ห้ผู้น้อย แลประเทศทีใ่ ชก้ ารกดขี่ให้ผู้น้อย

หมอบคลานกราบไว้ต่อเจ้านายแล หมอบคลานกราบไว้ต่อเจ้านายแล

ผู้มีบนั ดาศกั ดิที่เหมือนกบั ธรรมเนียม ผู้มีบนั ดาศกั ดิที่เหมือนกบั ธรรมเนียม

ในประเทศสยามนั้น บดั นี้เมืองเหล่าน้ัน ในประเทศสยามนั้น บัดนี้ประเทศเหล่านั้น

กไ็ ด้เลิกเปลีย่ นธรรมเนียมน้ันหมดทกุ ก็ได้เลิกเปลีย่ นธรรมเนียมน้ันหมดทุก

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑๔

ประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลานเป็น ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่

โค้งศีรษะ ตน้ ฉบับสมุดไทยดา ฉบับทพ่ี ิมพ์ในราชกิจจานเุ บกษา

ประเทศด้วยกนั แล้ว การที่เราได้พร้อมกัน ประเทศด้วยกนั แล้ว การที่เขาได้พร้อมกนั

เลิกเปลีย่ นธรรมเนียมทีห่ มอบคลาน เลิกเปลี่ยนธรรมเนียมทีห่ มอบคลาน

กราบไหว้นั้นเสียกเ็ พราะเพื่อจะใหเ้ หน กราบไหว้นั้น___ก็เพราะเพือ่ จะใหเ้ หน

ความดีทีจ่ ะไม่มีการกดขี่แก่กนั ความดีทีจ่ ะไม่มีการกดขีแ่ ก่กนั

ในบ้านเมืองนั้นอกี ต่อไปประเทศใดเมืองใด ในบ้านเมืองน้ันอกี ต่อไปประเทศใดเมืองใด

ที่ได้ยกธรรมเนียมทีเ่ ปนการกดขี่ ทีไ่ ด้ยกธรรมเนียมทีเ่ ปนการกดขี่

แก่กนั เสียแล้ว ประเทศนั้นเมืองน้ัน ซึ่งกันแลกัน ประเทศนั้นเมืองน้ัน

ก็เหนว่ามีแต่ความเจริญมาทกุ ๆ เมือง ก็เหนว่ามีแต่ความเจริญมาทุกๆ เมือง

โดยมากแล้ว ก็ในประเทศสยามนี้ โดยมาก___ก็ในประเทศสยามนี้

ธรรมเนียมบ้านเมืองทีเ่ ปนการกดขี่ ธรรมเนียมบ้านเมืองที่เปนการกดขี่

แก่กนั ___นั้น แก่กัน อนั ไม่ต้องดว้ ยยุติธรรมนั้น

ก็ยงั มีอยู่อีกหลายอยา่ งหลายประการ ก็ยงั มีอยู่อีกหลายอยา่ งหลายประการ

จะต้องคิดลดหย่อนผ่อนเปลีย่ นธรรมเนียม จะต้องคิดลดหย่อนผ่อนเปลี่ยน

ทเ่ี ปนการกดขี่แกก่ นั นั้นเสียบ้าง ___เสียบ้าง

แต่การทีจ่ ะจัดผลัดเปลี่ยนธรรมเนียม แต่การทีจ่ ะจัดผลัดเปลีย่ นธรรมเนียม

จะใหแ้ ล้วไปในครั้งเดียวคราวเดียวนั้นไม่ได้ จะใหแ้ ล้วไปในครั้งเดียวคราวเดียวนั้นไม่ได้

จะต้องค่อยคิดเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา จะต้องค่อยคิดเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา

ทีค่ วรกับกาลทจ่ี ะเปลี่ยนแปลงได้ ทีค่ วรแก่กาลทจ่ี ะเปลีย่ นแปลงได้

บ้านเมืองจึ่งจะไดม้ ีความเจรญิ สมบรู ณ บ้านเมืองจึ่งจะไดม้ ีความเจรญิ สมบรู ณ

ยิง่ ขนึ้ ไปเหมือนกบั ประเทศใหญ่ท่ี ยิ่งขนึ้ ไป ___
ใกล้เคียงท่ีเขาได้มีความเจริญแล้ว

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

๑๔๘ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่

ประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลานเปน็ ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่

โคง้ ศีรษะ ตน้ ฉบับสมุดไทยดา ฉบบั ท่พี ิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา

แลธรรมเนียมทีห่ มอบคลานกราบไหว้ แลธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้

ในประเทศสยามนี้ เหนว่าเปนการกดขี่ ในประเทศสยามนี้ เหนว่าเปนการกดขี่

แก่กันเรีย่ วแรงนัก ผู้น้อยที่ต้อง แก่กันแขงแรงนัก ผู้น้อยทีต่ ้อง

หมอบคลานนั้นได้ความเหนจ็ เหนอ่ื ย หมอบคลานน้ันได้ความเหน็จเหน่อื ย

ลาบากเวทนาเพราะจะใหย้ ศแก่ท่านผู้ใหญ่ ลาบาก___เพราะจะใหย้ ศแก่ท่านผู้ใหญ่

กก็ ารทายศที่ให้คนหมอบคลานกราบไหว้นี้ กก็ ารทายศที่ให้คนหมอบคลานกราบไหว้นี้

ไม่ทรงเหนว่ามีประโยชน์กับบ้านกบั เมือง ไม่ทรงเหนว่ามีประโยชน์แก่บ้านกับเมือง

___สิ่งหนึง่ สิง่ ใดเลย ผู้น้อยทีต่ ้องมา แต่สิง่ หนึ่งสิ่งใดเลย ผู้น้อยทีต่ ้องมา

หมอบคลานกราบไหว้ให้ยศต่อท่าน หมอบคลานกราบไหว้ให้ยศต่อท่าน

ผู้ทีเ่ ปนใหญ่น้ัน ก็ต้องทนลาบาก ผทู้ ี่เปนใหญ่น้ันกต็ ้องทนลาบาก

อยู่จนสิน้ วาระของตน ทีจ่ ะได้ออกมา อยู่จนสนิ้ วาระของตน แลว้ จึ่งจะได้ออกมา

พ้นท่านผู้ที่เปนใหญ่ ธรรมเนียมอันนี้ พ้นท่านผู้ที่เปนใหญ่ ธรรมเนียมอนั นี้

แลเหนว่าเปนต้นแหง่ การที่เปนการกดขี่ แลเหนว่าเปนต้นแหง่ การที่เปนการกดขี่

แก่กันทั้งปวง เพราะฉะน้ัน จึ่งจะต้องละ แก่กนั ท้ังปวง เพราะฉะนั้น จึ่งจะต้องละ

พระราชประเพณเี ดมิ ที่___ พระราชประเพณเี ดมิ ที่ถือว่า

หมอบคลานทถ่ี ือว่าเปนการเคารพอย่างยิง่ หมอบคลาน___เปนการเคารพอย่างยงิ่

ในประเทศสยามนี้เสีย ด้วยเพราะทรง ในประเทศสยามนี้เสีย ด้วย___ทรง

พระมหากรณุ าทีจ่ ะใหท้ ่านทั้งหลาย พระมหากรุณาที่จะใหท้ ่านทั้งหลาย

ได้ความศขุ ไม่ต้องทนยากลาบาก ได้ความศขุ ไม่ต้องทนยากลาบาก

หมอบคลานเหมือนอย่างแต่ก่อน หมอบคลานเหมือนอย่างแต่ก่อน

แลธรรมเนียมที่หมอบคลานน้ัน แลธรรมเนียมที่หมอบคลานน้ัน

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑๔๙

ประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลานเปน็ ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่

โคง้ ศีรษะ ต้นฉบับสมดุ ไทยดา ฉบบั ทพ่ี ิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา

ใหเ้ ปลี่ยนอิรยิ าบถเปนยืนเปนเดีน ใหเ้ ปลี่ยนอิรยิ าบถเปนยืนเปนเดีน

ธรรมเนียมที่ถวายบังคมแลกกราบไหว้น้ัน ธรรมเนียมทีถ่ วายบังคมแลกกราบไหว้น้ัน

ใหเ้ ปลีย่ นอิรยิ าบถเปนก้มสีสะ ใหเ้ ปลี่ยนอิรยิ าบถเปนก้มสีสะ

ธรรมเนียมที่ยนื ที่เดินแลก้มสีสะนี้ ธรรมเนียมทีย่ นื ที่เดินแลก้มสีสะนี้

ใช้ได้เหมือนกบั ธรรมเนียมที่หมอบคลาน ใช้ได้เหมือนกบั ธรรมเนียมทีห่ มอบคลาน

ถวายบังคมแลกราบไหว้ บางทีท่านผู้ทีม่ ี ถวายบงั คมแลกราบไหว้ บางทีท่านผู้ที่มี

บนั ดาศกั ดิ์ ที่ชอบธรรมเนียมที่ บันดาศกั ดิ์ ซึง่ ชอบธรรมเนียมที่

หมอบคลานกราบไหว้ตามธรรมเนียม หมอบคลาน___ไหว้ตาม___

เดิมเหนว่าดีน้ัน จะมีความสงไสยสนเท่ห์ว่า เดิมเหนว่าดีน้ัน จะมีความสงไสยสนเท่ห์ว่า

การทีเ่ ปลี่ยนธรรมเนียมหมอบคลาน การที่เปลีย่ นธรรมเนียมหมอบคลาน

ใหย้ ืนใหเ้ ดิน จะเปนการเจริญแก่บ้านเมือง ใหย้ ืนใหเ้ ดิน จะเปนการเจริญแก่บ้านเมือง

ด้วยเหตุไรก็ใหพ้ ึงรู้ว่าการที่เปลี่ยน ด้วยเหตุไรกใ็ หพ้ ึงรู้ว่าการที่เปลี่ยน

ธรรมเนียมใหม่เลกิ หมอบคลานให้ยนื ธรรมเนียมใหม่เลกิ หมอบคลานให้ยนื

ใหเ้ ดินนั้น เพราะทีจ่ ะใหเ้ หนเปนแน่ว่า ใหเ้ ดินนั้น เพราะ___จะใหเ้ หนเปนแน่ว่า

จะไมม่ ีการกดขีแ่ ก่กัน___อีกต่อไป จะไมม่ ีการกดขี่แก่กนั ในการทีไ่ ม่เปน
ยตุ ิธรรมอีกต่อไป

เมืองใดประเทศใดผู้ทีเ่ ปนใหญ่มิได้กระทา เมืองใดประเทศใดผู้ทีเ่ ปนใหญ่มิได้___ทา

การกดขี่แก่ผู้น้อยแลว้ เมืองน้ันประเทศน้ัน การกดขี่แก่ผู้น้อย___ เมืองน้ันประเทศนั้น

กค็ งมีความเจริญเปนแน่ ตั้งแต่นีส้ ืบไป กค็ งมีความเจริญเปนแน่ ต้ังแต่นีส้ ืบไป

พระบรมวงษานุวงษ แลข้าราชการผู้ใหญ่ พระบรมวงษานวุ งษ แลข้าราชการผู้ใหญ่

ผู้น้อยซึง่ จะเฝ้าทูลอองธลุ ีพระบาท ผู้น้อยซึ่งจะเฝ้าทลู อองธุลีพระบาท

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

๑๕๐ ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่

ประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลานเปน็ ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่

โค้งศีรษะ ตน้ ฉบับสมุดไทยดา ฉบบั ทพ่ี ิมพ์ในราชกิจจานเุ บกษา

ในพระทีน่ ่ัง แลในทีเ่ สดจออกแหง่ หนึ่ง ในพระที่น่ัง แล___ที่เสดจออกแหง่ หนึ่ง

แหง่ ใดจงประพฤติตามพระราชบญั ญัติ แหง่ ใดจงประพฤติตามพระราชบญั ญัติ

ที่ทรงพระมหากรณุ าโปรดเกล้าโปรด ที่ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ
กระหมอ่ ม

ใหจ้ ดั ไว้เปนข้อบญั ญัติสาหรับข้าราชการ ใหจ้ ัดไว้เปนข้อบัญญตั ิสาหรับข้าราชการ

ต่อไปจงทกุ ข้อทุกประการ ต่อไปจงทกุ ข้อทุกประการ

จึ่งได้โปรดเกลา้ โปรดกระหม่อม จึง่ ได้โปรดเกลา้ ฯ

ใหท้ ่านเจ้าพระยาศรีสรุ ิยวงษ ใหท้ ่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงษ

สมันตพงษพิสุทธมหาบรุ ศุ ย์รัตโนดม สมันตพงษพิสทุ ธ มหาบุรุศย์รัตโนดม

ซึง่ ได้สาเรจราชการแผ่นดินตั้งเปนข้อ ผู้สาเรจราชการแผ่นดินตั้งเปนข้อ

พระราชบัญญัติไว้สารับแผ่นดินต่อไปดังนี้ พระราชบัญญตั ิไว้สารับแผ่นดินต่อไปดังนี้

พระราชบัญญตั ิ์ พระราชบญั ญัติ์

ขอ้ ๑ ว่า พระบรมวงษานวุ งษ ขอ้ ๑ ว่า พระบรมวงษานุวงษ

แลข้าราชการฝ่ายทหารฝ่ายพลเรือน แลข้าราชการฝ่ายทหาร___พลเรือน

ผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง เมือ่ จะเขา้ เฝ้าทูละออง ผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง เมื่อจะเขา้ เฝ้าทูละออง

ธลุ ีพระบาทในทอ้ งพระโรง ฤๅทีเ่ สดจออก ธุลีพระบาทในพระที่นัง่ ฤๅทีเ่ สดจออก

แหง่ ใดๆ ก็ดี เมื่อเดินเข้าไปถึงนา่ พระทีน่ ั่ง แหง่ ใดๆ กด็ ี เมื่อเดินเข้าไปถึงนา่ พระทีน่ ่ัง

แล้ว ใหก้ ้มสีสะถวายคานักคร้ังหนึ่ง แล้ว ใหก้ ้มสีสะถวายคานกั ครั้งหนึง่

แล้วจึง่ เดินไปยืนทีต่ าแหน่งของตนเฝ้า แล้วจึง่ เดินไปยืนที่ตาแหน่งของตนเฝ้า

เมือ่ ไปถึงท่ยี ืนเฝ้าแล้ว ใหก้ ้มสีสะ เมือ่ ไปถึงท่ยี ืนเฝ้าแล้ว ใหก้ ้มสีสะ

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑๕๑

ประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลานเปน็ ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่

โคง้ ศีรษะ ตน้ ฉบับสมดุ ไทยดา ฉบับทพ่ี ิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา

ถวายคานบั อีกครง้ั หนึง่ ถวายคานับอีกครง้ั หนึ่ง

แล้วยืนใหเ้ ปนปรกติใหเ้ รียบร้อย แล้วยืนใหเ้ รียบร้อยเปนปรกติ

หา้ มมิให้เดินไปเดินมา แลยืนหนั หน้า หา้ มมิให้เดินไปเดินมาแลยืนหันหน้า

หันหลังไปมาในเวลาทีเ่ สดจออก หนั หลงั ___ในเวลาที่เสดจออก

แลมิให้ยนื เอามือไพล่หลงั แลทา้ วเอว แลมิให้ยนื เอามือไพล่หลังแลทา้ วเอว

แลเอามือไปท้าวผนงั แลเสาฤๅทีต่ ่างๆ แลเอามือไปท้าวผนงั แลเสาฤๅที่ต่างๆ

แลสบู บุหร่ี หัวเราะ พูดกนั เสียงดัง แลสบู บุหร่ี หัวเราะ พูดกนั เสียงดัง

ต่อน่าพระทีน่ งั่ ใหย้ ืนให้ ต่อน่าพระที่น่ังใหย้ ืนให้

เปนลาดับเรียบรอ้ ยตามบันดาศักดิ์ผู้ใหญ่ เรียบรอ้ ยเปนลาดบั ตามบันดาศักดิ์ผู้ใหญ่

ผู้น้อย ถ้ามี___ราชการทีจ่ ะต้องกราบ ผู้น้อย ถ้ามีกิจราชการทีจ่ ะต้องกราบ

บงั คมทลู พระกรณุ าแล้วใหเ้ ดินออกมา บังคมทลู พระกรณุ าแล้วใหเ้ ดินออกมา

จากที่เฝ้า ยืนตรงน่าพระทีน่ ง่ั ก้มสีสะ จากทีเ่ ฝ้า ยืนตรงน่าพระทีน่ งั่ ก้มสีสะ

ถวายคานบั แล้วจึ่งกราบบงั คมทลู ถวายคานับแล้วจึง่ กราบบังคมทูล

พระกรุณา เมือ่ สิ้นข้อความที่กราบ พระกรณุ าเมือ่ สิ้นข้อความทีก่ ราบ

บงั คมทลู พระกรุณาแล้ว ใหก้ ้มสีสะลง บังคมทลู พระกรุณาแล้ว ใหก้ ้มสีสะลง

ถวายคานับ จึง่ ให้เดินถอยหลงั มาทีย่ นื เฝ้า ถวายคานับ จึง่ ให้เดินถอยหลงั มาทีย่ นื เฝ้า

อยู่ตามเดมิ ถ้าจะถวายหนงั สือฤๅสงิ่ ของ อยู่ตามเดมิ ถ้าจะถวายหนังสือฤๅสงิ่ ของ

สิง่ หนึง่ สิง่ ใด ของเลกของใหญ่ก็ดีต่อ สิง่ หนึง่ สิ่งใด___ต่อ

พระหัถสมเดจพระเจ้าอยู่หัว พระหัถสมเดจพระเจ้าอยู่หัว

แล้วใหถ้ ือสองมือ เดินตรงเข้าไป แล้วใหถ้ ือสองมือ เดินตรงเข้าไป

ถึง่ หน้าพระที่นั่งภอสมควร ก้มสีสะลง ถึง่ หน้าพระทีน่ ่ังภอสมควร ก้มสีสะลง

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

๑๕ ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่

ประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลานเปน็ ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่

โคง้ ศีรษะ ต้นฉบับสมดุ ไทยดา ฉบบั ทพ่ี ิมพ์ในราชกิจจานเุ บกษา

ถวายคานับก่อนจึ่งถวายของนั้นต่อพระหัถ ถวายคานบั ก่อนจึ่งถวายของนั้นต่อพระหถั

ถ้าถวายของน้ันเสรจแล้ว ใหเ้ ดินถอยหลัง ถ้าถวายของนั้นเสรจแล้ว ใหเ้ ดินถอยหลัง

ถ้าเปนที่ใกล้ให้ถอยหลัง เก้า ฤๅ ๕ เก้า ถ้าเปนที่ใกล้ให้ถอยหลัง เก้า ฤๅ ๕ เก้า

ภอสมควร ถ้าเปนทีไ่ กล ใหถ้ อยหลงั ภอสมควร ถ้าเปนทีไ่ กล ใหถ้ อยหลัง

ออกมา เก้าจงึ่ กลับหน้าเดินไปยืนตามที่ ออกมา เก้าจงึ่ กลับหน้าเดินไปยืนตามที่

ถ้าจะมีพระบรมราชโองการดารสั ด้วย ถ้าจะมีพระบรมราชโองการดารสั ด้วย

ผู้หนึ่งผู้ใดที่ยนื อยู่ในที่เฝ้าน้ัน กใ็ ห้ผู้นั้นยนื ผู้หนึง่ ผู้ใดทีย่ นื อยู่ในที่เฝ้านั้น ก็ให้ผู้นั้นยืน

คงอยู่ตามที่ ก้มสีสะถวายคานับแล้ว จึ่งรบั คงอยู่ตามที่ ก้มสีสะถวายคานับแล้ว จึง่ รับ

พระบรมราชโองการ เมือ่ รบั พระบรมราช พระบรมราชโองการ เมื่อรับพระบรมราช

โองการ กราบบังคมทลู สิน้ ข้อความแล้ว โองการ กราบบังคมทลู สนิ้ ข้อความแล้ว

ก็ใหก้ ้มสีสะลงถวายคานบั อนึง่ พระบรม ก็ใหก้ ้มสีสะลงถวายคานบั อนึ่ง พระบรม

วงษานวุ งษแลข้าทูลอองธลุ ีพระบาทผู้ใหญ่ วงษานุวงษแลข้าทูลอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่

ผู้น้อยทั้งปวงทีไ่ ด้เข้ามายืนเฝ้า ในเวลาที่ ผู้น้อยทั้งปวงที่ได้เข้ามายืนเฝ้า ในเวลาที่

เสดจออกอยู่น้ัน ถ้ามีพระบรมราชโองการ เสดจออกอยู่น้ัน ถ้ามีพระบรมราชโองการ

โปรดพระราชทานเก้าอีใ้ หน้ ง่ั จงึ่ น่งั ได้ โปรดพระราชทานเก้าอใี้ หน้ ั่งจงึ่ นั่งได้

หา้ มมิให้นั่งลงกับพืน้ แลน่งั บนเก้าอี้ หา้ มมิให้นง่ั ลงกับพืน้ แลนัง่ บนเก้าอี้

ฤๅน่ังที่แหง่ ใดๆ ตามชอบใจ ในเวลาทีเ่ สดจ ฤๅน่ังที่แหง่ ใดๆ ตามชอบใจ ในเวลาทีเ่ สดจ

ออกต่อน่าพระที่นงั่ แลผู้ซึ่งทรงพระกรุณา ออกต่อน่าพระที่นงั่ แลผู้ซึ่งทรงพระกรณุ า

โปรดให้น่ังเก้าอีเ้ ฝ้าอยู่น้ัน น่งั ใหเ้ ปนปรกติ โปรดให้นั่งเก้าอเี้ ฝ้าอยู่นั้น นงั่ ใหเ้ ปนปรกติ

หา้ มมิให้ยกเท้าขึน้ รับบนเก้าอี้ แลไขว่ห้าง หา้ มมิให้ยกเท้าขนึ้ รับบนเก้าอี้ แลไขว่ห้าง

เหยียดเท้าตะแคงตัวทากิรยิ าหาความ เหยียดเท้าตะแคงตวั ทากิรยิ าหาความ

 ๑๐๐ เอกสารสาคญั : สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑๕

ประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลานเปน็ ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่

โคง้ ศีรษะ ต้นฉบับสมุดไทยดา ฉบับท่พี ิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา

สบายใหเ้ กินกิรยิ า ที่นั่งเปนปรกติเปน สบายใหเ้ กินกิรยิ า ทีน่ ั่งเปนปรกติเปน

อนั ขาดเมื่อเวลาเสดจขึน้ ก็ให้ ยืนขนึ้ ถวาย อันขาด เมื่อเวลาเสดจขนึ้ กใ็ ห้ ยืนขนึ้ ถวาย

คานบั ใหพ้ ร้อมกนั ถ้าแขกเมืองประเทศราช คานับใหพ้ ร้อมกนั แต่แขกเมืองประเทศราช

เมื่อจะเฝ้าทูละอองธุลีพระบาทให้กระทา เมือ่ จะเฝ้าทลู ะอองธลุ ีพระบาท ให้___ทา

กิรยิ าคาระวะตามเพศบ้านเมืองของตน กิรยิ าคาระวะตามเพศบ้านเมืองของตน

ก่อน เมื่อทรงพระกรุณาโปรดให้ยืนจึง่ ยืนได้ ก่อน เมือ่ ทรงพระกรุณาโปรดให้ยืนจึ่งยืนได้

ขอ้ ๒ พระบาทสมเดจพระเจ้าอยู่หัว ขอ้ ๒ พระบาทสมเดจพระเจ้าอยู่หัว

เสดจพระราชดาเนินออก ประทับอยู่แหง่ เสดจพระราชดาเนินออกประทับอยู่แหง่

ใดๆ กด็ ี ข้าราชการแลมหาดเลกซงึ่ เฝ้า ใดๆ ก็ดี ข้าราชการแลมหาดเลกซงึ่ เฝ้า

ทูลอองธลุ ีพระบาทอยู่ในที่น้ัน ทูลอองธุลีพระบาทอยู่ในที่นั้น

ถึงเสดจออกประทับอยู่ช้าหลายชวั่ โมง ถึงเสดจออกประทบั อยู่ช้าหลายชวั่ โมง

ก็หา้ มมิให้ขา้ ราชการแลมหาดเลกที่ยนื เฝ้า ก็หา้ มมิให้ขา้ ราชการแลมหาดเลกทีย่ นื เฝ้า

อยู่นั้นนงั่ ลงในทีแ่ หง่ ใดๆ เปนอันขาด อยู่น้ันนัง่ ลงในทีแ่ หง่ ใดๆ เปนอันขาด

ถา้ เว้นไว้แต่เปนที่กาบงั ลับพระเนตร ___เว้นไว้แต่เปนทีก่ าบงั ลับพระเนตร

สมเดจพระเจ้าอยู่หัวจึ่งนัง่ ได้ สมเดจพระเจ้าอยู่หัวจึ่งนัง่ ได้

แลในเวลาทีเ่ สดจออก ทรงประทับอยู่ แลในเวลาที่เสดจออก ทรงประทบั อยู่

ณ ที่แหง่ ใดๆ นั้น ข้าราชการแลมหาดเลก ณ ที่แหง่ ใดๆ น้ัน ข้าราชการแลมหาดเลก

ยืนเฝ้าอยู่ในที่โดยลาดบั แล้ว ผู้ซึง่ จะเข้ามา ยืนเฝ้าอยู่ในทีโ่ ดยลาดบั แล้ว ผู้ซึ่งจะเข้ามา

เฝ้าทลู อองธุลีพระบาทภายหลังที่มิได้มี เฝ้าทูลอองธลุ ีพระบาทภายหลงั ทีม่ ิได้มี

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 

๑๕๔ ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่

ประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลานเป็น ประกาศเปลีย่ นธรรมเนียมใหม่

โค้งศีรษะ ตน้ ฉบับสมุดไทยดา ฉบับทพ่ี ิมพใ์ นราชกิจจานุเบกษา

ราชการทีจ่ ะกราบบังคมทูลพระกรุณา ราชการที่จะกราบบงั คมทลู พระกรุณา

หา้ มมิให้เดินผ่านนา่ พระทีน่ ง่ั แลเดินผ่าน หา้ มมิให้เดินผ่านนา่ พระที่น่ัง แลเดินผ่าน

หน้าข้าราชการทีย่ นื เฝ้าอยู่ก่อนนั้น หน้าข้าราชการที่ยนื เฝ้าอยู่ก่อนน้ัน

ใหเ้ ดินหลีกเลีย่ งเขา้ ยืนตามตาแหน่งของตน ใหเ้ ดินหลีกเลี่ยงเขา้ ยืนตามตาแหน่งของตน

ที่ควรจะยืน ถา้ เว้นไว้แต่ผู้ทีร่ ับพระบรม ทีค่ วรจะยืน___เว้นไว้แต่ผู้ที่รับพระบรม

ราชโองการ จึง่ เดินผ่านหน้าเพือ่ น ราชโองการ จึ่งเดินผ่านหน้าเพือ่ น

ข้าราชการไปมาได้ ข้าราชการไปมาได้

ข้อ ๓ สมเดจพระจ้าอยู่หวั เสดจ ขอ้ ๓ สมเดจพระจ้าอยู่หวั เสดจ

พระราชดาเนิน ไปทางสถลมารค์ พระราชดาเนิน ไปทางสถลมารค์

ข้าราชการแลราษฎร ชาย หญิง ข้าราชการแลราษฎร ชาย หญิง

ที่จะมาคอยดูกระบวน เสดจพระราช ที่จะมาคอยดกู ระบวนเสดจพระราช

ดาเนินก็ดี จะทรงช้าง ทรงม้า ทรงรถ ดาเนินกด็ ี จะทรงช้าง ทรงม้า ทรงรถ

ฤๅจะทรงพระทีน่ ัง่ อย่างหนึ่ง อย่างใดก็ดี ฤๅจะทรงพระทีน่ งั่ อย่างหนึง่ อย่างใดก็ดี

เมื่อเวลาเสดจพระราชดาเนิน มาถงึ น่าผู้ที่ เมื่อเวลาเสดจพระราชดาเนิน มาถงึ น่าผู้ที่

ยืนคอยดูกระบวนเสดจพระราชดาเนินอยู่ ยืนคอยดกู ระบวนเสดจพระราชดาเนินอยู่

น้ัน ใหค้ นเหล่าน้ัน ก้มสีสะถวายคานบั นั้น ใหค้ นเหล่านั้น ก้มสีสะถวายคานบั

จงทุกคน ห้ามมิให้นั่ง___ยืน ดูกระบวน จงทกุ คน หา้ มมิให้นัง่ มิให้ยืน ดกู ระบวน

เสดจพระราชดาเนินบนชานเรือน เสดจพระราชดาเนินบนชานเรือน

บนน่าต่างเรือน แลบนที่สงู ทีไ่ ม่ควรจะนัง่ บนน่าต่างเรือน แลบนที่สูงที่ไม่ควรจะน่งั

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวตั ิศาสตร์ไทย 

พรชัย นาคสีทอง ๑๕๕

ประกาศเลิกธรรมเนียมหมอบคลานเปน็ ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่

โคง้ ศีรษะ ต้นฉบับสมุดไทยดา ฉบบั ทพ่ี ิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา

จะยืน ถ้าทรงมา้ ทรงรถ ไม่มีกระบวนนา จะยืน ถ้าทรงมา้ ทรงรถ ไม่มีกระบวนนา

___เสดจพระราชดาเนิน กระบวนตามเสดจพระราชดาเนิน

ผู้ซึง่ อยู่บนเรือนแลบนที่สูงไม่ทนั รู้ว่าเสดจ ผู้ซึ่งอยู่บนเรือนแลบนที่สงู ไม่ทนั รู้ว่าเสดจ

พระราชดาเนิน แต่ภอแลเหนว่าเปน พระราชดาเนิน แต่ภอแลเหนว่าเปน

รถพระที่น่งั ฤๅมา้ พระที่น่งั กใ็ หย้ ืนขนึ้ รถพระที่นั่ง ฤๅมา้ พระทีน่ ง่ั ก็ใหย้ ืนขึน้

ถวายคานบั หา้ มมิให้นงั่ มิให้หมอบ ถวายคานับ หา้ มมิให้นง่ั มิให้หมอบ

เปนอันขาด แลในเวลาที่เสดจพระราช เปนอันขาด แลในเวลาที่เสดจพระราช

ดาเนินทรงช้าง ทรงมา้ ทรงรถ ดาเนินทรงช้าง ทรงมา้ ทรงรถ

ฤๅทรงพระที่นั่งอย่างหนึ่งอย่างใด ฤๅทรงพระทีน่ ่ังอย่างหนึง่ อย่างใด

มาในทางสถลมารค์ถา้ ผู้หนึง่ ผู้ใด มาในทางสถลมารค์ถา้ ผู้หนึ่งผู้ใด

ขีม่ า้ ฤาไปบนรถ ภบปะกระบวน ไปบนหลังม้าฤๅไปบนรถ ภบปะกระบวน

นาเสดจพระราชดาเนินก็ใหห้ ยุดม้า นาเสดจพระราชดาเนินกใ็ หห้ ยุดม้า

หยุดรถริมทาง ถ้าเสดจพระราชดาเนิน หยุดรถริมทาง ถ้าเสดจพระราชดาเนิน

มาถึงตรงหน้าแล้วใหถ้ อดหมวกก้มสีสะ มาถึงตรงหน้าแล้วใหถ้ อดหมวกก้มสีสะ

ถวายคานบั อยู่บนรถบนหลังม้าไม่ต้องลง ถวายคานบั อยู่บนรถบนหลงั ม้าไม่ต้องลง

จากรถ จากหลังมา้ ต่อเสดจพระราช จากรถ จากหลังมา้ ต่อเสดจพระราช

ดาเนินไปสิ้นกระบวนแล้ว จึง่ ให้ออกเดินรถ ดาเนินไปสิ้นกระบวนแล้ว จึง่ ให้ออกเดินรถ

เดินม้าต่อไป ถ้าเสดจพระราชดาเนินทาง เดินม้าต่อไป ถ้าเสดจพระราชดาเนินทาง

ชลมารค์ข้าราชการแลราษฎร ชาย หญิง ชลมารค์ข้าราชการแลราษฎร ชาย หญิง

ที่อยู่แพ อยู่เรือนริมน้า ใหย้ ืนขึน้ ก้มสีสะ ทีอ่ ยู่แพ อยู่เรือนริมน้า ใหย้ ืนขนึ้ ก้มสีสะ

 ๑๐๐ เอกสารสาคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย 


Click to View FlipBook Version