The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

1. สรุปเนื้อหาเข้ม Sci P.6 O-NET 65 รวมทั้งหมด

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ลัดดา แผงอ่อน, 2022-06-30 04:20:22

1. สรุปเนื้อหาเข้ม Sci P.6 O-NET 65 รวมทั้งหมด

1. สรุปเนื้อหาเข้ม Sci P.6 O-NET 65 รวมทั้งหมด

ติวเขม้ ป.6 O-NET และเตรยี มสอบเข้า ม.1 หลกั สตู รใหม่

หอ้ งเรยี นปกติและห้องเรียนพเิ ศษ

วชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน 2551 (ฉบับปรับปรงุ 2560)

1. วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ (ชีววิทยา) 4. วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ

ว 1.1 ระบบนเิ วศ ทรัพยากร ว 3.1 ระบบสรุ ิยะและเทคโนโลยอี วกาศ
ว 1.2 สงิ่ มีชวี ติ พืช สตั ว์ มนษุ ย์ ว 3.2 โลกและการเปลยี่ นแปลง
ว 1.3 พนั ธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ
5. เทคโนโลยี
2. วทิ ยาศาสตร์กายภาพ (เคมี)
ว 4.2 การคดิ เชิงวทิ ยาการคำนวณ
ว 2.1 สสาร การเปลีย่ นแปลงทางกายภาพและเคมี
6. การวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละ
3. วทิ ยาศาสตร์กายภาพ (ฟิสกิ ส)์ ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21

ว 2.2 แรงและการเคลื่อนท่ี
ว 2.3 พลังงาน คลื่น แสง เสยี ง และไฟฟา้

วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ (ชวี วิทยา)

ว 1.1 ระบบนเิ วศ

เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสิง่ ไม่มีชวี ิตกบั ส่งิ มชี ีวิตและความสัมพนั ธร์ ะหว่างสิ่งมชี วี ิตกับสงิ่ มีชีวิตตา่ ง ๆ ใน

ระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปล่ียนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบทมี่ ตี ่อทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ

สงิ่ แวดลอ้ ม แนวทางในการอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาติและการแกไ้ ขปญั หาสง่ิ แวดลอ้ ม รวมทั้งนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

ระบบนเิ วศ (Ecosystem) คอื ความสัมพันธ์ระหวา่ งสิ่งมีชีวติ กับส่งิ แวดลอ้ มในด้านตา่ ง ๆ อย่างซบั ซ้อนใน

แหล่งทีอ่ ยแู่ หลง่ หน่ึง ประกอบดว้ ยส่งิ มีชวี ิตท่ีหลากหลายและจำนวนที่มากพอ

หมุนเวียนสารและถา่ ยทอดพลังงาน

สงิ่ มีชวี ิต (Organism) คือ สิ่งมชี ีวติ ชนิดเดยี ว มจี ำนวน 1 ตัว

ประชากร (Population) คอื สิ่งมีชวี ติ ชนดิ เดียว มจี ำนวนมากกวา่ 1 ตัว โดยอาศัยอย่ใู นแหล่งที่อยู่เดยี วกนั

กลมุ่ ส่ิงมีชีวิต (Community) คอื สงิ่ มีชวี ติ หลายชนดิ โดยอาศยั อยู่ในแหลง่ ท่ีอย่เู ดยี วกนั ในช่วงเวลาหน่ึงๆ

และมคี วามสมั พันธ์กนั

สง่ิ แวดล้อม (Environment) คอื สิ่งต่าง ๆ ท่ีอยรู่ อบตวั เรา ท้ังส่ิงมชี ีวิต สิง่ ไมม่ ชี ีวติ ทง้ั เกิดข้นึ โดยธรรมชาติ

และส่งิ ทม่ี นษุ ย์สรา้ งขนึ้

สว่ นประกอบของระบบนิเวศ แบ่งเปน็ 2 สว่ น คอื

1. สว่ นทีไ่ ม่มีชีวติ ได้แก่

1. สารอนิ ทรยี ์ ==> สารที่ได้จากซากพืชซากสัตว์

2. สารอนนิ ทรีย์ ==> แร่ธาตุ และธาตอุ าหารต่าง ๆ

3. สง่ิ แวดล้อม ==> สง่ิ ทส่ี ่งเสรมิ หรือขัดขวางการเตบิ โตของสิ่งมชี ีวติ

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 2

2. สว่ นท่ีมชี ีวิต ได้แก่
1. ผผู้ ลติ - สง่ิ มีชีวิตท่ีสรา้ งอาหารได้เอง โดยไดร้ บั พลังงานแสงจากดวงอาทติ ย์ แลว้ นำไปใช้ใน
กระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงเพอื่ สรา้ งอาหารไวใ้ ชใ้ นการดำรงชวี ติ
- ไดแ้ ก่ สาหร่ายและพืชตา่ ง ๆ
2. ผู้บริโภค - สงิ่ มชี ีวิตท่ีสร้างอาหารเองไม่ได้ จงึ ตอ้ งกนิ พชื หรือสตั ว์อน่ื เปน็ อาหาร เพ่ือให้ได้
พลงั งานในการดำรงชีวิต
- แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1. ผบู้ รโิ ภคพืช หรอื สัตวก์ ินพืช เช่น หนอน ตกั๊ แตน วัว กระตา่ ย
2. ผบู้ รโิ ภคสตั ว์ หรอื สตั ว์กินสตั ว์อ่ืน เชน่ สงิ โต งู เสอื จระเข้ เหยย่ี ว
3. ผูบ้ ริโภคพืชและสัตว์ หรอื สตั ว์ทกี่ นิ ทง้ั พชื และสัตว์ เชน่ ไก่ เปน็ หมู เต่า คน
4. ผูบ้ ริโภคซากพืชซากสัตว์ คือ กินสัตว์ที่ตายแลว้ เป็นอาหาร เชน่ แรง้ ไส้เดือนดนิ ก้ิงกือ
3. ผ้ยู ่อยสลาย - ยอ่ ยสลายซากพืชซากสตั วท์ ี่ตายแลว้ ใหก้ ลายเปน็ แรธ่ าตุคืนส่ดู นิ
- ได้แก่ แบคทีเรยี เหด็ รา

*** ความแตกตา่ งระหว่าง ผบู้ รโิ ภคซากพืชซากสัตว์ และ ผูย้ ่อยสลาย

1. ผบู้ รโิ ภคซากสตั ว์ - กินซากก่อน แลว้ จึงย่อยซากภายในร่างกาย

2. ผูย้ ่อยสลาย - ปลอ่ ยเอนไซมอ์ อกมาย่อยซากก่อน แลว้ จงึ ดูดซมึ เขา้ ส่รู ่างกาย

*** สงิ่ มีชีวิตท่ีเป็นไดท้ ง้ั ผ้ผู ลติ และผูบ้ ริโภค

- หม้อขา้ วหม้อแกงลงิ , กาบหอยแครง, ยูกลนี า

ความสัมพนั ธ์ในส่งิ แวดลอ้ ม

1. ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชวี ติ กับไมม่ สี ิ่งมีชีวิต

- แสง - ใช้ในกระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื

- การหบุ และบานของดอกและใบของพืช

- เวลาการออกหาอาหารของสัตว์ เช่น คา้ งคาวออกหากนิ ตอนกลางคืน

- อณุ หภูมิ - การหุบและบานของดอกไม้ เช่น ดอกบวั จะบานตอนกลางวันและหุบตอนกลางคนื

- พฤตกิ รรมบางประการของสัตว์ เช่น การจำศีลในฤดูหนาวของหมีข้วั โลก

- ลักษณะและรูปรา่ งของส่งิ มีชวี ติ เชน่ สัตวใ์ นเขตหนาวจะมีขนาดตวั ที่ใหญ่และ

มขี นหนากวา่ สัตวใ์ นเขตร้อน

- น้ำ - แหล่งที่อยู่อาศัยและเปน็ แหลง่ อาหารของสัตว์นำ้ และพืชนำ้ ตา่ ง ๆ

- มีผลต่อการงอกของเมล็ด

- อากาศ - แก๊สออกซเิ จน จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของสง่ิ มีชีวิตแทบทุกชนิด

- แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ เปน็ ปัจจัยในการสรา้ งอาหารของพืช

- ดนิ และแร่ธาตุในดิน

2. ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งส่ิงมีชีวติ กบั สง่ิ มีชวี ติ

- ด้านแหลง่ อาหาร - ดา้ นแหลง่ ท่ีอยู่อาศัย ท้ังดิน นำ้ ป่าไม้

- ด้านแหลง่ หลบภัย - ด้านแหลง่ สบื พันธแุ์ ละเลีย้ งดูลูกอ่อน

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 3

ความสมั พันธ์ระหว่างสง่ิ มีชีวิตกับส่ิงมีชวี ิต ในระบบนิเวศ

รปู แบบความสัมพันธ์ ลักษณะความสมั พันธ์ เม่ืออยรู่ ว่ มกัน ตวั อยา่ งความสัมพนั ธ์
เมื่อแยกกนั อยู่

ภาวะ ไดป้ ระโยชนร์ ว่ มกนั - เพลย้ี กบั มดดำ
ไดป้ ระโยชน์รว่ มกัน แยกกันอยไู่ ด้ + , + - ดอกไม้กับแมลง
(Protocooperation) 0 , 0 - นกเอ้ียงบนหลงั ควาย
(ขาดเธอแล้วไม่ตาย)
- ปูเสฉวนกับดอกไมท้ ะเล

ได้ประโยชนร์ ่วมกนั - โปรโตซวั ในลำไสป้ ลวก

ภาวะพ่ึงพา แยกกนั ไม่ได้ + , + - ไลเคนส์ (รากับสาหรา่ ย)

(Mutualism) เสียประโยชนท์ งั้ คู่ - , - - แบคทีเรียในลำไส้ของคน

(ขาดเธอแลว้ ขาดใจ) - แบคทเี รียไรโซเบียมในปมรากถว่ั

ภาวะอิงอาศัย/ ฝ่ายหนึ่งไดป้ ระโยชน์ - เหาฉลามกับปลาฉลาม
ภาวะเก้ือกูล ฝา่ ยหนึ่งไมไ่ ด้ ไม่เสยี + , 0 - เสอื กบั แรง้
(Commensalism) - , 0 - นกทำรังบนตน้ ไมใ้ หญ่
ประโยชน์
- พลูดา่ ง กลว้ ยไม้ เฟิน เกาะต้นไมใ้ หญ่
(ขาดเธอฉนั เศรา้ ใจ)

ภาวะลา่ เหยอื่ ผู้ล่าไดป้ ระโยชน์ +,- - เสือกับกวาง - ปลาใหญก่ นิ ปลาเล็ก
(Predation) เหยอ่ื เสยี ประโยชน์ -,0 - งูกับกบ - สงิ โตกนิ ม้าลาย
- กาบหอยแครงดกั จับแมลง

- กาฝากบนต้นไมใ้ หญ่

ภาวะปรสติ ปรสิตไดป้ ระโยชน์ +,- - เห็บ,หมัดกับสนุ ัข
(Parasitism) เจ้าบ้าน (ผ้ถู กู อาศยั ) Host -,0 - เหาบนหวั คน
- ไรแดงกับปลาหางนกยูง
เสียประโยชน์

- พยาธใิ นลำไส้คน/สตั ว์

ภาวะแก่งแยง่ แข่งขัน แย่งกัน - , - - เสอื 2 ตวั - ต้นไม้ 2 ต้น

(Competition) ต่างฝ่ายต่างเสยี ประโยชน์ 0 , 0 - เสือกบั สงิ โต - หอยเชอรีกับหอยโข่ง

ภาวะเปน็ กลาง อย่ใู นสถานท่ีเดียวกัน 0 , 0 - สุนักกบั ดอกไม้

(Neutraiism) แตไ่ มเ่ กี่ยวข้องกนั 0 , 0 - ไสเ้ ดือนดนิ กับต๊ักแตนในนาข้าว

ภาวะมีการย่อยสลาย สิง่ มชี ีวิตหน่งึ ย่อยสลายอีก +,0 - เห็ด รา ท่ขี น้ึ ตามขอนไม้
(Saprophytism) สิ่งมชี วี ิตหน่งึ เปน็ อาหาร -,0

ภาวะ สิ่งมชี ีวิตหนึง่ หลง่ั สารมา 0 , - - ต้นดาวเรอื งหลง่ั สารยบั ยั้งไสเ้ ดอื นฝอย
การหล่งั สารยับย้ัง ยับย้งั อีกส่ิงมชี วี ิตหนง่ึ 0 , 0 - ราเพนนิซเิ ลยี มหลง่ั สารยบั ย้ังแบคทีเรยี

(Antibiosis)

ภาวะ ส่ิงมชี วี ิตหนึ่ง มผี ลกระทบ 0,- - ตน้ ไมใ้ หญ่บงั แสงตน้ ไมเ้ ล็ก
การกระทบกระเทือน อีกส่งิ มีชีวติ หน่ึง 0,0 - หญ้าแยง่ สารอาหารจากตน้ ไม้
- ผกั ตบชวาหนาแน่นส่งผลใหส้ ตั วน์ ำ้ ตาย
(Amensalism)

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 4

การถ่ายทอดพลังงานของส่ิงมีชีวติ

โซอ่ าหาร คอื ความสมั พนั ธ์ของกลุ่มสง่ิ มชี ีวิตที่มีการกินตอ่ กันเป็นทอด ๆ จากผูผ้ ลิตสูผ่ ู้บรโิ ภค ทำให้มี
การถ่ายทอดพลงั งานในอาหารต่อเนอื่ งเปน็ ลำดบั จากการกินตอ่ เน่อื งกนั

สายใยอาหาร คอื ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งห่วงโซ่อาหารหลาย ๆ โซ่อาหารในระบบนิเวศทีม่ ีความซบั ซ้อน
ส่ิงมีชีวิตชนิดหน่ึงอาจเปน็ ได้ทงั้ ผ้ลู า่ และเหยื่อ

ความสำคญั ของสิ่งแวดล้อม

สิ่งแวดล้อม หมายถึง ส่งิ ต่าง ๆ ท่ีอยรู่ อบตัวเรา ทัง้ สง่ิ ท่ีมีชีวิตและไม่มชี วี ิต รวมทง้ั ส่งิ ทเ่ี กิดขนึ้ เองตาม
ธรรมชาติและส่งิ ทีม่ นุษยส์ ร้างข้ึน

ทรพั ยากรธรรมชาติ หมายถึง ส่ิงที่เกิดขนึ้ เองตามธรรมชาตบิ นโลกใบนี้ โดยที่มนุษย์ไมส่ ามารถสร้างขน้ึ มาได้
แต่สามารถนำมาดดั แปลงและปรงุ แตง่ เพ่ือใหเ้ กิดประโยชน์ สามารถสนองความต้องการ
ของมนุษย์

สาเหตุสำคัญของการทำลายส่งิ แวดล้อม
- ไฟไหมป้ า่
- การตดั ตน้ ไม้
- การปลอ่ ยน้ำเสยี
- ทำไรเ่ ล่อื นลอย
- การระเบดิ ภูเขา

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 5

โครงสรา้ ง ลกั ษณะ และการปรบั ตวั ของสิ่งมีชีวติ

ต้นโกงกาง ==> มีรากจำนวนมากยนื่ ออกมาจากลำต้นและปักลงดินเลนเพอื่ ช่วยคำ้ จุนลำต้น

ต้นแสมและตน้ ลำแพน ==> มีรากแทงขน้ึ มาเหนอื ดินจำนวนมากเพื่อช่วยในการหายใจ

ต้นแสมและต้นเหงอื กปลาหมอ ==> มีต่อมขับเกลอื เพอื่ ขบั เกลือสว่ นเกนิ ออก

ผักตบชวา ==> ภายในก้านใบและลำตน้ มชี ่องอากาศจำนวนมาก ช่วยให้ลอยนำ้ ได้

ผกั กระเฉด ==> มนี วมสีขาวห้มุ ลำตน้ คลา้ ยฟองน้ำ ช่วยให้ลำตน้ ลอยน้ำไดด้ ี

บวั ==> เปน็ พืชนำ้ ที่ขนึ้ อยใู่ นดนิ เหนยี วและมนี ำ้ ท่วมขงั ตลอดเวลา
มลี ำตน้ เปน็ โพรงอากาศเพอ่ื ให้ลำต้นเบาและลอยน้ำได้

กระบองเพชร ==> มกี ารลดรูปใบใหม้ ขี นาดเล็ก แหลม แขง็ คลา้ ยหนาวเพอ่ื ลดการสูญเสยี นำ้
และมีการกกั เกบ็ นำ้ ภายในลำต้น ทำใหม้ ีลำต้นอวบน้ำ

เมลด็ ของต้นยาง ==> เปน็ พืชทีต่ อ้ งอาศยั ลมช่วยในการขยายพนั ธ์ุ มีปกี และนำ้ หนักเบาเพ่ือให้
สามารถลอยไปตกในท่ีไกล ๆ

หมขี ัว้ โลก ==> มขี นหนาปกคลุมร่างกาย มีชนั้ ไขมันใตผ้ ิวหนังหนา ขนสีขาว เพอื่ ให้กลมกลนื
กับแหลง่ ที่อยู่

นกฮูกขัว้ โลก ==> มขี นดกแน่นท่ีองุ้ เท้า เพื่อยืนบนกง่ิ ไม้ที่มีหิมะปกคลุมได้

นกเพนกวนิ ==> มีชัน้ ไขมนั ใต้ผิวหนงั หนา มีขนแนน่ ปกคลุมรา่ งกาย เพอ่ื ให้อบอุ่น

หมาป่าข้วั โลก ==> มใี บหูและจมูกส้ัน เพ่ือลดการระบายความร้อน

ปลาตีน ==> มคี รบี อกที่แขง็ แรง ช่วยในการเคล่ือนท่ใี นน้ำและเคล่อื นท่ีบนดนิ เลน

กบ ==> มีพังผืดเชอื่ มระหว่างน้วิ คลา้ ยใบพาย ทำให้ว่ายน้ำได้คลอ่ ง

ตกั๊ แตนก่ิงไม้ ==> มีสีและรปู รา่ งเหมือนใบไม้ เพื่อซ่อนตัวจากผูล้ ่า

อฐู ==> มโี หนกสำหรับเก็บไขมนั ไว้ใช้เมอื่ ไมม่ ีอาหาร มีขนตายาวเพือ่ ป้องกันฝนุ่ ทราย
เขา้ ตา มขี ายาวเพอื่ ให้ลำตัวอยู่ห่างจากพนื้ ทรายท่รี อ้ น มีเทา้ ทมี่ ีพ้นื ที่กว้างเพ่ือ
ไม่ให้จมลงไปในทราย

สุนัขจง้ิ จอกทะเลทราย ==> มใี บหใู หญ่ มขี นที่ใบหูเพ่ือป้องกันไม่ให้ทรายเขา้ หู และมจี มูกยาวเพ่ือชว่ ย
ระบายความรอ้ นในรา่ งกาย

ตีนนก ==> นิ้วตนี ขา้ งหนา้ 3 นว้ิ ข้างหลงั 1 นิ้ว ทำให้กระโดดได้คลอ่ งแคลว่ เกาะก่ิงไม้
ได้แนน่

ตีนไก่ ==> มนี ิ้วตีน 4 นว้ิ โดยนว้ิ ตนี ดา้ นหลังยกสูง นว้ิ ตีนมักใหญห่ นาแขง็ แรง ทำให้
คุ้ยเขย่ี หาอาหารได้สะดวก

ตีนเปด็ ==> มีตนี ทม่ี พี งั ผืดระหวา่ งนิ้วซ่งึ ชว่ ยในการว่ายน้ำ

แมงมมุ มด ==> มขี ายาวและขนาดเล็กจำนวน 4 คู่ ขาคหู่ นา้ จะชูข้ึนโปกไปมาเหมือนหนวดมด

การจำศีลของสัตว์ (hibernation) ==> ชว่ งเวลาทีส่ ตั วห์ ยดุ พัก เคลือ่ นท่ี เคล่ือนไหวใหน้ ้อยที่สดุ เพือ่ ถนอมพลังงาน
ในร่างกาย

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 6

วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ (ชวี วิทยา)

ว 1.2 อาหาร และกลไกมนุษย์

เข้าใจสมบตั ิของสงิ่ มชี ีวติ หนว่ ยพื้นฐานของสง่ิ มีชวี ิต การลำเลยี งสารเข้าและออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทข่ี องระบบตา่ ง ๆ
ของสตั วแ์ ละมนุษย์ทท่ี ำงานสัมพันธ์กนั ความสัมพันธ์ของโครงสรา้ งและหนา้ ทข่ี องอวยั วะตา่ ง ๆ ของพืชทีท่ ำงานสัมพนั ธก์ ัน รวมทง้ั นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

1. สารอาหาร

อาหาร (Food) คือ สง่ิ ที่รับประทานเข้าไปแล้วกอ่ ให้เกิดประโยชน์และปลอดภัยต่อร่างกาย เปน็ สง่ิ จำเป็นในการ

ดำรงชวี ติ สง่ ผลให้ร่างกายดำรงชีวิตได้อย่างปกติ

จัดออกเป็น 5 หมู่ ตามการจัดของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสขุ ดงั นี้

หมูท่ ่ี 1 ประเภทเน้ือสัตว์ นม ไข่ ถ่วั เมล็ดแห้งและงา ให้สารอาหารประเภทโปรตนี

หมทู่ ี่ 2 ประเภทขา้ ว แป้ง นำ้ ตาล เผือก มัน ให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต

หมู่ท่ี 3 ประเภทพืช ผกั ต่าง ๆ ให้สารอาหารประเภทวิตามิน เกลือแร่

หมู่ที่ 4 ประเภทผลไม้ต่าง ๆ ใหส้ ารอาหารประเภทวิตามนิ เกลอื แร่

หมทู่ ่ี 5 ประเภทน้ำมนั และไขมันจากพชื และสัตว์ ใหส้ ารอาหารประเภทไขมัน

(นำ้ จะประกอบอยู่ในอาหารหลกั ทุกหมู่)

สารอาหาร (Nutrient) คือ สารเคมีที่มีอยูใ่ นอาหารชนิดต่าง ๆ

จำแนกสารอาหารโดยการให้พลังงานเป็นเกณฑไ์ ด้ 2 ประเภท คอื

1. สารอาหารที่ใหพ้ ลงั งาน ได้แก่ คารโ์ บไฮเดรต โปรตีน และไขมนั

2. สารอาหารท่ีไมใ่ ห้พลงั งาน ไดแ้ ก่ วิตามนิ เกลือแร่ และน้ำ

คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate)

ให้พลงั งาน โปรตนี (Protein) สารอนิ ทรีย์

สารอาหาร (Nutrient) ไขมัน (Lipid)

วิตามนิ (Vitamin)

ไม่ให้พลังงาน เกลือแร่ (Mineral) สารอนนิ ทรยี ์

นำ้ (Water)

สารอาหารท่ใี ห้พลงั งาน
1. คาร์โบไฮเดรต

คารโ์ บไฮเดรต เป็นสารอาหารที่ใหพ้ ลังงาน ประกอบดว้ ยอาหารประเภทแปง้ และน้ำตาล มีธาตุ
องค์ประกอบหลกั คอื คาร์บอน (C) ไฮโดรเจน (H) และ ออกซิเจน (O)
ประโยชนข์ องคารโ์ บไฮเดรต

1. ใหพ้ ลังงานแก่รา่ งกาย คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กโิ ลแคลอรี
2. เปน็ แหลง่ พลังงานสะสมเก็บไว้ที่ตับและกลา้ มเนื้อในรูปของไกลโคเจน
3. คารโ์ บไฮเดรตสามารถเปล่ียนเป็นไขมันเกบ็ สะสมไวใ้ นยามขาดแคลน

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 7

1.1 นำ้ ตาลโมเลกลุ เดีย่ ว (monosaccharide)
มรี สหวาน มคี วามสำคัญต่อส่ิงมชี วี ติ มาก พบมากที่สุด คือ กลมุ่ น้ำตาลเฮกโซส (C 6 อะตอม) มีสตู รทั่วไป

คอื C6H12O6 เช่น กาแลกโทส (galactose) ฟรักโทส (fructose) และกลูโคส (glucose) พบมากในกระแสเลือด
น้ำตาลกาแลกโทส เป็นนำ้ ตาลทีม่ คี วามหวานนอ้ ย ไม่พบในธรรมชาติ แตไ่ ดจ้ ากการยอ่ ยสลายน้ำตาลแลกโทส

ในน้ำนม เปน็ สารองค์ประกอบของระบบสมองและเน้ือเย่ือประสาท
นำ้ ตาลฟรักโทส เป็นนำ้ ตาลทม่ี คี วามหวานมาก พบในน้ำผ้ึง ผกั และผลไมท้ ่ีมรี สหวานต่าง ๆ โดยมักพบ

อยรู่ ่วมกับซูโครสและกลโู คส เป็นน้ำตาลทม่ี ีบทบาทท่สี ำคัญในกระบวนการเผาผลาญอาหารของสิง่ มชี ีวติ
น้ำตาลกลโู คส เปน็ น้ำตาลที่พบมากท่สี ุดในธรรมชาติ เป็นผลิตภณั ฑท์ ี่ไดจ้ ากกระบวนการสังเคราะห์ด้วย

แสงของพืชสีเขยี ว จากน้ันจงึ ถกู เปลย่ี นเปน็ น้ำตาลรูปอนื่ ๆ หรือคารโ์ บไฮเดรตท่ีมขี นาดใหญ่ขน้ึ เพ่ือเก็บสะสมไว้ใน
ส่วนต่าง ๆ ของพืชตอ่ ไป พบได้ในผลไมท้ ี่มรี สหวาน และในกระแสเลือด นำ้ ตาลกลโู คสมีบทบาทสำคัญ คอื ชว่ ยให้
กล้ามเนือ้ มีการยดื หดตัว ควบคมุ การเตน้ ของหัวใจ ช่วยใหก้ ารทำงานของระบบต่าง ๆ มีประสทิ ธิภาพมากขน้ึ และ
ยังเปน็ แหลง่ พลงั งานของรา่ งกายด้วย

1.2 นำ้ ตาลโมเลกุลคู่ (Disaccharide)
เป็นน้ำตาลที่เกิดจากน้ำตาลโมเลกลุ เด่ียวสองโมเลกุลมาเชื่อมต่อกนั ดว้ ยพันธะเคมี สามารถละลายนำ้ ได้

นำ้ ตาลโมเลกลุ ค่ทู สี่ ำคัญ มีดังนี้
นำ้ ตาลซูโครส (sucrose) หรอื น้ำตาลทราย หรือน้ำตาลอ้อย พบได้มากในอ้อย ตาล มะพรา้ ว ผลไมท้ ีม่ รี ส

หวานทุกชนิด เม่ือถกู ย่อยสลายจะได้นำ้ ตาลกลูโคสและนำ้ ตาลฟรกุ โทส อย่างละ 1 โมเลกุล
นำ้ ตาลมอลโทส (moltose) พบได้มากในขา้ วมอลต์ เมลด็ ขา้ วทก่ี ำลังงอก น้ำนมขา้ ว และข้าวโพด เมื่อถูก

ยอ่ ยสลายจะได้นำ้ ตาลกลูโคส 2 โมเลกุล
น้ำตาลแลกโทส (lactose) เปน็ น้ำตาลซึง่ มีรสหวานน้อย ย่อยสลายได้ยากกว่าน้ำตาลโมเลกลุ คอู่ ่ืน ๆ พบ

มากในน้ำนม เมื่อย่อยสลายจะได้น้ำตาลกาแลกโทส และน้ำตาลกลูโคส อย่างละ 1 โมเลกลุ

1.3 น้ำตาลโมเลกุลใหญ่ (Polysaccharide)
เป็นคาร์โบไฮเดรตท่ีมโี มเลกุลขนาดใหญ่ ประกอบด้วยน้ำตาลโมเลกลุ เดยี่ วจำนวนหลายโมเลกลุ มาเชือ่ มต่อ

กัน ไม่มรี สหวาน ละลายนำ้ ได้ยากหรอื ไมล่ ะลายเลย เช่น
1) แปง้ (Starch) เกดิ จากกลโู คสหลายโมเลกุลเชอ่ื มตอ่ กัน ละลายน้ำไดเ้ ล็กน้อย มโี ครงสร้างทั้งท่เี ป็น

แบบสายตรงยาวและเป็นแบบก่งิ ก้าน พชื ใช้ในการเก็บสะสมอาหาร จะมกี ารเปล่ียนนำ้ ตาลกลูโคสทไ่ี ด้จาก
กระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงใหม้ าอยู่ในรูปของแปง้ แล้วเก็บไว้ตามส่วนตา่ ง ๆ โดยเฉพาะในเมลด็ และหวั ในดนิ
แปง้ เปน็ โมเลกลุ ท่ีมีขนาดใหญ่ รา่ งกายจึงไม่สามารถดูดซึมได้ทันที ตอ้ งมีการย่อยสลายให้กลายเปน็ น้ำตาลโมเลกลุ
เด่ยี วกอ่ นจึงจะสามารถดูดซมึ ได้ โดยในร่างกายของเราจะสามารถย่อยสลายแป้งให้กลายเปน็ น้ำตาลโมเลกลุ เด่ยี ว
ไดโ้ ดยอาศัยเอนไซม์อะไมเลส

2) ไกลโคเจน (Glycogen) มขี นาดโมเลกุลใหญ่กว่าแปง้ มาก ประกอบด้วยโมเลกุลของกลูโคส หลาย
โมเลกุลมาเชอ่ื มต่อกันเปน็ สายยาวมกี ิ่งกา้ น พบในมนุษย์และสตั ว์เทา่ นัน้ โดยเก็บไวใ้ นบรเิ วณกลา้ มเน้อื และตบั

3) เซลลูโลส (Cellulose) เกิดจากการรวมตวั กนั ของกลูโคสหลายโมเลกลุ ไม่ละลายนำ้ เซลลโู ลสไม่ได้
เก็บสะสมอาหารของสิง่ มชี ีวิต แต่เป็นองคป์ ระกอบทีส่ ำคัญของผนงั เซลล์ของพชื ชว่ ยเพ่ิมความแขง็ แรงให้แก่ผนัง
เซลลข์ องพชื

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 8

เซลลโู ลสเปน็ โมเลกลุ ท่ีมีขนาดใหญ่ ร่างกายของมนษุ ย์ไมส่ ามารถย่อยสลายได้ แตส่ ามารถถกู ย่อยสลายได้
ในกระเพาะของสตั วท์ ี่กินพืชเปน็ อาหาร แม้วา่ ร่างกายมนุษย์จะยอ่ ยสลายเซลลโู ลสไม่ได้ แต่เราควรบริโภคเซลลูโลส
อยู่เสมอ เนื่องจากการท่เี ซลลูโลสมีลกั ษณะเป็นเส้นใย ซ่ึงชว่ ยกระตุ้นลำไส้ทำใหข้ บั ถา่ ยไดส้ ะดวก ช่วยลดสารพษิ ที่
ตกคา้ งอยู่ในลำไส้ จงึ ชว่ ยลดการเกดิ โรคริดสีดวงทวารและโรคมะเร็งในลำไส้ได้ โดยเซลลูโลสจะมอี ยูม่ ากในอาหาร
ประเภท พชื ผกั และผลไม้ เราจงึ ควรรับประทานอาหารเหล่าน้ีอยู่เสมอ

2. โปรตนี

โปรตีน ได้แก่ อาหารประเภทเนื้อสตั ว์ นม ไข่ ถ่ัวตา่ ง ๆ การย่อยในร่างกายสดุ ท้ายจะได้ กรดอะมิโน ซง่ึ
รา่ งกายสามารถนำไปใช้ได้ มีธาตอุ งค์ประกอบพ้นื ฐานคอื คาร์บอน (C) ไฮโดรเจน (H) ออกซเิ จน (O) ไนโตรเจน
(N) และอาจมีธาตุกำมะถัน (S) ฟอสฟอรสั (P)
กรดอะมโิ น มี 20 ชนิด แบ่งเป็น 2 ประเภท คอื
1. กรดอะมิโนจำเป็น ร่างกายสงั เคราะห์ไมไ่ ด้ ตอ้ งรับจากอาหาร มี 8 ชนิดในผู้ใหญ่ และ 10 ชนิดในเด็ก

ชนดิ ทีเ่ พิม่ เติมจากผใู้ หญ่ 2 ชนดิ คอื อารจ์ นิ ีนและฮีสทดิ นี
2. กรดอะมิโนไมจ่ ำเปน็ รา่ งกายสังเคราะหเ์ องได้ มี 10 ชนิด

ประโยชนข์ องโปรตีน
1. ใหพ้ ลงั งานแก่ร่างกาย โปรตีน 1 กรมั ให้พลังงาน 4 กโิ ลแคลอรี
2. ชว่ ยให้ร่างกายเจริญเตบิ โต และซอ่ มแซมสว่ นทส่ี ึกหรอ
3. สร้างภมู คิ มุ้ กัน ฮอรโ์ มน และ เอนไซม์
4. สามารถเปลยี่ นโปรตนี เปน็ ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตได้

3. ไขมัน

ไขมัน ไดแ้ ก่ อาหารประเภทน้ำมนั และไขมันจากพชื และสัตว์ มีธาตุองคป์ ระกอบหลักคือ ธาตุคาร์บอน
(C) ไฮโดรเจน (H) ออกซเิ จน (O) ไขมนั 1 โมเลกลุ ประกอบดว้ ย กรดไขมนั 3 โมเลกุล และกลีเซอรอล 1 โมเลกลุ
กรดไขมนั มี 2 ชนิด คือ กรดไขมันชนดิ อมิ่ ตวั และกรดไขมันชนิดไมอ่ ่ิมตัว

1. กรดไขมนั ชนดิ อิม่ ตัว เป็นกรดไขมันที่มสี ถานะเปน็ ของแข็งท่ีอณุ หภูมิหอ้ ง มีปริมาณคอเลสเตอรอลสูง
บรโิ ภคปริมาณมากอาจทำให้หลอดเลือดอุดตัน กรดไขมันอมิ่ ตวั พบในสัตวม์ ากกวา่ ในพืช

2. กรดไขมันชนดิ ไม่อม่ิ ตัว เป็นกรดไขมนั ทม่ี สี ถานะเปน็ ของเหลวทอ่ี ุณหภมู ิห้อง ได้แก่ น้ำมันพืชชนดิ ต่าง ๆ
ยกเวน้ น้ำมันมะพรา้ วท่ีมีปริมาณกรดไขมันชนิดอ่ิมตัวอย่มู าก

ประโยชนข์ องไขมัน
1. ใหพ้ ลงั งานแก่รา่ งกาย ไขมัน 1 กรมั ใหพ้ ลงั งาน 9 กิโลแคลอรี
2. ให้ความอบอุ่นแกร่ ่างกาย
3. ชว่ ยในการดูดซึมวติ ามินเอ ดี อี และเค เพราะเป็นวติ ามินทีล่ ะลายไดด้ ีในไขมัน
4. เปน็ แหลง่ พลงั งานสะสมเมื่อรา่ งกายขาดอาหาร
5. ทำใหเ้ ซลลม์ ีความชมุ่ ช้ืน

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 9

สารอาหารท่ีไม่ให้พลงั งาน

สารอาหารทีไ่ มใ่ ห้พลังงาน เป็นสารอาหารที่รา่ งกายต้องการในการสรา้ งความเจริญเตบิ โต และควบคมุ การ
ทำงานของอวยั วะต่าง ๆ ใหท้ ำงานได้ตามปกติ

4. วิตามนิ

วติ ามิน เป็นสารอาหารทร่ี ่างกายต้องการในปริมาณเล็กน้อย แต่ขาดไม่ได้ ถา้ ได้รบั มากหรือนอ้ ยเกนิ ไปจะ
ทำให้ร่างกายเกดิ อาการผิดปกติ
วติ ามิน แบ่งเป็น 2 ประเภท คอื

1. วิตามนิ ทลี่ ะลายได้ในนำ้ ไดแ้ ก่ วิตามินบี 1, บี 2, บี 5, บี 6, บี 12 และวิตามนิ ซี
2. วิตามนิ ทลี่ ะลายได้ในไขมัน ไดแ้ ก่ วิตามินเอ ดี อี และ เค

วติ ามนิ ทร่ี า่ งกายสังเคราะห์ได้ คอื
1. วิตามนิ D ไดจ้ ากรงั สีอลั ตราไวโอเลตจากแสงแดด เปลีย่ นไขมนั ชนิดหน่ึงใต้ผวิ หนงั ใหเ้ ปน็ วิตามิน D
2. วิตามนิ K สงั เคราะหไ์ ด้จากแบคทีเรยี ในลำไส้ใหญ่

วติ ามนิ แหล่งอาหาร ประโยชน์ อาการท่ขี าดวติ ามิน

A นม ไข่ เครื่องในสตั ว์ บำรงุ สายตา รกั ษาสุขภาพผวิ หนัง ผิวหนงั แหง้ หยาบ มองไม่เหน็ ในท่สี ลวั
ผกั สเี ขยี ว และสีเหลอื ง
ชว่ ยในการเจริญเตบิ โตของกระดูก นยั น์ตาอักเสบ เด็กไมเ่ จริญเติบโต

นม เนย ไข่แดง ตับ น้ำมัน ช่วยในการดูดซมึ แคลเซียม และ
ตับปลา
D ฟอสฟอรัสทีล่ ำไส้เล็ก เพื่อใช้สร้าง โรคกระดูกอ่อน ฟันผุ กระดกู ผดิ รปู รา่ ง

กระดูกและฟนั

E ไขแ่ ดง ผักสเี ขียว ไขมนั ป้องกนั การเป็นหมนั แท้งบตุ ร ชว่ ย เป็นหมัน เกิดโรคโลหิตจางในเดก็ ทำให้
และน้ำมนั จากพืช
ในการสร้างเม็ดเลือดแดง เกิดการแทง้ ไดง้ า่ ย

K ผัก ผลไม้ ตบั เน้ือสัตว์ ชว่ ยในการแขง็ ตัวของเลือด เลอื ดแข็งตวั ชา้
แบคทีเรยี ในลำไสส้ รา้ งขึ้น

B1 ตบั ไข่ ถัว่ ขา้ วซอ้ มมือ บำรงุ ประสาท หัวใจ และกลา้ มเนือ้ การเจรญิ เตบิ โตหยดุ ชะงัก โรคเหน็บชา
ช่วยในการทำงานของระบบ เบอื่ อาหาร ออ่ นเพลีย
ทางเดนิ อาหาร การขับถา่ ย

B2 นม ไข่ ถ่วั ปลา ผกั สเี ขียว ผิวหนงั มสี ขุ ภาพดี โรคปากนกกระจอก ผิวหนงั แหง้ แตก
เนอื้ หมู ลิ้นอกั เสบ

B5 ตบั ถ่ัว เนื้อสัตว์ ผักสเี ขยี ว ช่วยในปฏิกริ ิยาการหายใจของ ผิวหนงั แห้ง แตก เบ่อื อาหาร อ่อนเพลยี
ยสี ต์
เซลล์ มีอาการประสาทหลอน

B6 นม ไข่ ตบั ปลา ถวั่ ขา้ ว บำรงุ ผวิ หนัง ช่วยในการทำงานของ คันตามผิวหนงั ผมรว่ ง ปวดตามมอื เท้า
ซอ้ มมือ ระบบย่อยอาหาร ระบบประสาท มีอาการบวม ประสาทเสื่อม
ชว่ ยในการสงั เคราะห์กรดอะมิโน

B12 นม ไข่ ตับ เนื้อปลา ยีสต์ ช่วยสร้างโปรตนี สร้างเมด็ เลอื ด โลหิตจาง การเจริญเตบิ โตไมเ่ ปน็ ไป
ตามปกติ

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 10

วิตามิน แหลง่ อาหาร ประโยชน์ อาการที่ขาดวิตามิน
เส้นเลอื ดฝอยเปราะ แผลหายชา้
ผลไม้ที่มีรสเปรย้ี ว ผักสเี ขียว ทำให้หลอดเลือดแข็งแรง รกั ษา ภูมคิ มุ้ กนั ลดลง เป็นหวดั บ่อย เลอื ดออก
ตามไรฟนั โรคลักปดิ ลักเปิด
C มะเขือเทศ มะละกอ สขุ ภาพฟนั และเหงือก ช่วยให้ร่าง

กะหลำ่ ปลี กายแขง็ แรง มีความตา้ นทานโรค

5. เกลอื แร่ (แร่ธาต)ุ

เกลอื แรแ่ ละแรธ่ าตุ เป็นสารอาหารท่ีไมใ่ ห้พลังงาน รา่ งกายต้องการในปริมาณน้อย แร่ธาตทุ ช่ี ่วยควบคมุ
การทำงานของอวยั วะตา่ ง ๆ ของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ

แรธ่ าตุ ความสำคัญ แหลง่ อาหาร

แคลเซียม -ช่วยทำใหเ้ ลอื ดแข็งตวั เป็นส่วนประกอบของกระดกู และฟัน นม ไข่ อาหารทะเล ปลา
(Ca) -ควบคมุ การทำงานของหัวใจ กล้ามเนือ้ ระบบประสาท เล็กท่ีกนิ ทั้งกระดกู
*ถ้าขาดจะทำให้เป็นตะคริว กระดูกอ่อน ฟันผุ เลอื ดออกงา่ ย ผกั สีเขียว
เหลก็ แขง็ ตวั ชา้ ร่างกายเติบโตชา้ แคระแกรน็
(Fe) -เปน็ ส่วนประกอบของฮีโมโกลบินในเลอื ด และเอนไซม์บางชนิด ตับ เครื่องในสัตว์ ไขแ่ ดง
*ถ้าขาดจะทำให้เกิดโรคโลหติ จาง เหนอื่ ยงา่ ย เนอ้ื สัตว์ ผักสเี ขยี ว งาดำ
ฟอสฟอรสั
(P) - รว่ มกับแคลเซียมในการสร้างกระดูกและฟนั นม ไข่ ปลากินได้ท้ังกระดูก
-ชว่ ยสร้างเซลลส์ มอง และเซลล์ประสาท อาหารทะเลผักตา่ ง ๆ
*ถ้าขาดทำใหก้ ระดูกและฟนั ไมแ่ ข็งแรง เจริญเติบโตช้า

โพแทสเซยี ม -ควบคมุ การทำงานของกล้ามเน้อื หวั ใจ เน้ือสัตว์ นม ไข่ งา ผกั สี
(K) -ควบคุมการทำงานของระบบประสาท เขยี ว ผลไมบ้ างชนิด
-รักษาปรมิ าณน้ำในเซลล์ให้คงท่ี
โซเดียม *ถ้าขาดทำให้กล้ามเนอ้ื อ่อนเพลยี และหัวใจวาย เกิดอาการผิวหนงั อาหารทะเล เกลือสมุทร นม
(Na) แห้ง เกิดสวิ ในวัยรุน่ ไข่ เนยแข็ง ผกั ใบเขยี ว
-ช่วยในการสง่ กระแสประสาท
แมกนเี ซยี ม -ควบคุมการทำงานของกลา้ มเน้ือ และระบบประสาท เน้ือววั นม ถั่ว อาหาร
(Mg) -รักษาปรมิ าณนำ้ ในเซลล์ ทะเล ผกั สีเขยี ว
-รกั ษาสมดุลกรด-ด่างในร่างกาย
*ถา้ ขาดทำใหเ้ กิดโรคประสาทเส่ือม กลา้ มเน้ืออ่อนเพลีย
-ควบคุมการทำงานของกล้ามเน้อื และระบบประสาท
-ช่วยเร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์บางชนดิ
-ช่วยในการสร้างโปรตนี
-ควบคมุ การใช้กำมะถนั และฟอสฟอรัส
*ถ้าขาดจะอ่อนเพลยี ความดันโลหิตสงู ชกั กระตุก โรคหัวใจขาด
เลอื ด เบ่อื อาหาร

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 11

แรธ่ าตุ ความสำคญั แหล่งอาหาร

ไอโอดนี -ชว่ ยในการผลิตฮอรโ์ มนของตอ่ มไทรอยดเ์ ปน็ ไปตามปกติ
(I)
-ชว่ ยในการเจริญเติบโต พัฒนาการทางสมอง อาหารทะเล เกลอื สมุทร
สงั กะสี -ปอ้ งกันโรคคอหอยพอก
(Zn)
ทองแดง *ถา้ ขาดต้ังแตแ่ รกเกดิ อาจเป็นโรคเอ๋อ โรคคอพอก
(Cu)
-เปน็ ส่วนประกอบของฮอรโ์ มนอนิ ซลู นิ และเอนไซมบ์ างชนิด เคร่อื งในสัตว์ เนื้อสตั ว์ หอย
แมงกานีส *ถา้ ขาดจะทำให้ร่างกายเจรญิ เติบโตไม่เต็มท่ี เกิดดอกเล็บ
(Mn)
-ชว่ ยในการดูดซมึ ธาตุเหล็ก เครื่องในสตั ว์ ไก่ หอย
-ชว่ ยในการสร้างฮีโมโกลบนิ ในเมด็ เลอื ดแดง นางรม ผักและผลไม้
-เปน็ ส่วนประกอบของเอนไซม์บางชนิด

-กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์

*ถา้ ขาดอาจเกิดอาการชักในเดก็ เวยี นศรี ษะ ไม่สามารถได้ยินเสยี ง ตบั ธัญพชื สับปะรด

ทำใหเ้ ป็นอัมพาตได้

กำมะถัน (S) -ช่วยสร้างโปรตีน กล้ามเนอ้ื ในรา่ งกาย เนือ้ สัตว์ นม ไข่

6. น้ำ

นำ้ เปน็ สารอาหารท่ีไม่ให้พลังงาน เป็นองค์ประกอบในร่างกายประมาณรอ้ ยละ 70 ของน้ำหนกั ตวั
มีความสำคญั ตอ่ รา่ งกายดังนี้

1. นำของเสียออกจากร่างกายทางเหงือ่ และปัสสาวะ
2. เป็นตัวทำละลายช่วยลำเลยี งสารอาหารและแก๊สออกซิเจนไปยงั สว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย
3. ควบคมุ อุณหภูมิของร่างกาย ทำใหร้ ่างกายสดชน่ื

การทดสอบสารประเภทคาร์โบไฮเดรต
1. ทดสอบสารประเภทแปง้ ใชส้ ารละลายไอโอดีน (I2) ซงึ่ มีสนี ้ำตาลเหลอื ง ได้ผลการทดสอบคือ เกิด

ตะกอนสนี ำ้ เงนิ หรือสารสีนำ้ เงนิ หรือม่วงอมน้ำเงิน
แปง้ + สารละลายไอโอดีน → ตะกอนสนี ้ำเงนิ หรือมว่ งอมน้ำเงนิ

2. การทดสอบนำ้ ตาล ใชส้ ารละลายเบเนดิกต์ ผลการทดสอบขึน้ อยกู่ บั ปริมาณนำ้ ตาล ถ้ามีมากจะได้สารสี
แดงอิฐ ถ้ามปี ริมาณน้อยจะได้สารสีเขยี วหรอื เขียวอมเหลือง

นำ้ ตาลโมเลกลุ + สารละลายเบเนดกิ ต์ → ตะกอนสีแดงอิฐ, เขยี ว, เขยี วอมเหลอื ง

ยกเว้น น้ำตาลซูโครส ตอ้ งต้มและเตมิ กรด จึงจะทำปฏกิ ิริยากับสารละลายเบเนดิกต์

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 12

การทดสอบโปรตีน
ทดสอบโปรตนี โดยการทดสอบไบยูเร็ต (สารละลายผสมของคอปเปอรซ์ ลั เฟต (CuSO4) กบั สารละลาย

โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) จะให้ผลการทดสอบคือ ได้สารสมี ว่ งนำ้ เงนิ เกิดขึ้น

การทดสอบวิตามนิ ซี
สารทีใ่ ชท้ ดสอบวติ ามนิ ซี คือ สารละลายไอโอดีนซึ่งทำปฏกิ ิรยิ ากบั น้ำแปง้ ได้สารสีนำ้ เงิน วิตามินซีจะทำ

ปฏกิ ริ ยิ ากับสารสีนำ้ เงิน (ไอโอดนี + นำ้ แปง้ ) จนสารละลายสีน้ำเงนิ จางหายไป

การทดสอบน้ำ
ถา้ ตอ้ งการทราบวา่ สารหรือของเหลวมีน้ำเป็นองคป์ ระกอบหรอื ไม่ สามารถทดสอบโดยหยดสารนั้นบน

จุนสสี ะตุ CuSO4.5H2O (ซ่งึ มผี ลึกสขี าว) จะเกดิ การเปลยี่ นแปลงเป็นสฟี า้ ถ้ามนี ำ้ อยู่

สรุปองคค์ วามรู้เรื่อง สารอาหาร

สารอาหาร หน่วยย่อย แรงที่ยึดเหน่ยี ว(พันธะ) การทดสอบ

**นำ้ ตาล + สารละลายเบเนดกิ ต์ เปล่ียนจากสีฟ้า เป็นสีแดงอิฐ

กลโู คส พันธะไกลโคซดิ ิก ยกเว้น นำ้ ตาลซโู ครส ตอ้ งตม้ และเติมกรด
**แป้ง + สารละลายไอโอดนี
คาร์
โบ เปล่ยี นจากสนี ้ำตาลเหลือง เป็นสีน้ำเงิน
ไฮ
เดรต 1. น้ำตาลโมเลกลุ เดี่ยว เชน่ กลโู คส ฟรกั โทส กาแลกโทส

2. น้ำตาลโมเลกุลคู่ เช่น มอลโทส เกดิ จาก กลูโคส + กลโู คส

ซูโครส เกดิ จาก กลูโคส + ฟรักโทส

แลกโทส เกดิ จาก กลูโคส + กาแลกโทส

3. น้ำตาลโมเลกุลใหญ่ เชน่ แปง้ , เซลลูโลส, ไกลโคเจน

กรดอะมโิ น พนั ธะเพปไทด์ **โปรตีน + สารละลายไบยเู ร็ต (คอปเปอรซ์ ัลเฟตผสมกบั
โซเดียมไฮดรอกไซด์) เปลี่ยนจากสฟี า้ เป็นสีมว่ ง
โปร
ตีน กรดอะมิโน แบง่ เป็น 2 กลุม่ มี 20 ชนิด ไดแ้ ก่

1. กรดอะมโิ นจำเปน็ คือ ร่างกายสรา้ งเองไม่ได้ ต้องรบั จากอาหาร มี 8 ชนดิ ในผใู้ หญ่ และ 10 ชนดิ ในเด็ก

2. กรดอะมิโนไม่จำเปน็ คือ ร่างกายสรา้ งเองได้ ไม่จำเป็นต้องรับจากอาหาร

กรดไขมนั และกลเี ซอรอล **ไขมนั ถกู บั กระดาษ จะมลี ักษณะโปรง่ แสง

ไข กรดไขมนั แบ่งเปน็ 2 ชนดิ ได้แก่

มัน 1. กรดไขมนั อิม่ ตัว คอื เปน็ ของแข็ง ณ อุณหภมู หิ ้อง ส่วนใหญเ่ ปน็ ไขมันจากสตั ว์

2. กรดไขมนั ไม่อม่ิ ตวั คือ เป็นของเหลว ณ อุณหภมู ิห้อง สว่ นใหญเ่ ป็นน้ำมันจากพืช

นำ้ H , O พนั ธะไฮโดรเจน เผากบั คอปเปอร์ซลั เฟต(จนุ สีสะตุ) CuSO4 เปลย่ี นสีฟ้าเป็นสขี าว
ไขมันและนำ้ เม่ือเทรวมกนั จะแยกชั้นกนั โดย น้ำมันอยูด่ ้านบน น้ำอยู่ด้านลา่ ง

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 13

Note !! โทษของการขาดสารอาหาร

A ตา

ชา B

C ฟัน

หมนั E

D กระดูก

K เลือดแขง็

เม็ดเลือดแดง ธาตุเหล็ก

ตวั เล็ก โปรตนี

ไอโอดีน คอหอยพอก

ปากนกกระจอก B2

สมอง ฟอสฟอรัส

หนาวจดั ไขมนั

ฟนั แคลเซียม

โซเดียม น้ำในเซลล์

จากธงโภชนาการทำให้ทราบวา่

 ควรรบั ประทานขา้ วและแป้งในปริมาณมากทสี่ ุด เนือ่ งจากเป็นสารอาหารประเภทคารโ์ บไฮเดรตท่ีใหพ้ ลังงาน
 ควรรบั ประทานผัก และผลไม้ ในปรมิ าณรองลงมาเพ่ือให้รา่ งกายไดร้ บั สารอาหารประเภทแร่ธาตุ และ วิตามนิ
นอกจากน้ียังมี ใยอาหารอกี ด้วย
 ควรรับประทาน เน้ือสัตว์ และ น้ำนม ในปริมาณที่พอเหมาะ เพ่ือใหร้ า่ งกายได้ นำสารอาหารประเภท โปรตีน
ไปเสริมสร้างและซอ่ มแซมร่างกายสว่ นทีส่ ึกหรอ
 ควรรบั ประทาน น้ำมนั , น้ำตาล และเกลือ ในปรมิ าณนอ้ ยเท่าทีจ่ ำเป็น

วัตถุเจอื ปนอาหาร (food additive) คือ สารเคมีท่ีช่วยเสริมหรือชว่ ยเพม่ิ สมบัตบิ างอยา่ งใหก้ ับอาหาร
โดยอาจไดม้ าจากสัตว์ พืช แร่ธาตุ รวมถงึ การสงั เคราะหข์ น้ึ วัตถเุ จอื ปนต่าง ๆ ถูกนำมาใชเ้ พือ่ จุดประสงค์ที่ต่างกัน
ไป เชน่ ชว่ ยเพม่ิ สสี นั แต่งกล่ิน เพิม่ รสชาติ ยดื อายุอาหาร ปอ้ งกันการหนื

วตั ถุเจอื ปนอาหารทใี่ ช้บ่อยในอาหาร เชน่ ผงชรู ส สีผสมอาหาร วตั ถกุ นั เสีย สารใหค้ วามหวานแทนนำ้ ตาล
สารแต่งกล่นิ เช่น

ผงชูรส (โมโนโซเดียมกลูตาเมต) เป็นวัตถุเจือปนอาหารที่มลี กั ษณะเปน็ ผง ผลกึ สขี าว ไม่มกี ลิน่ ทำหนา้ ที่
ชว่ ยเพิ่มรสชาตใิ ห้อาหาร

วัตถกุ นั เสยี (สารกนั บดู ) เป็นวตั ถเุ จอื ปนอาหารท่ใี ชถ้ นอมและยดื อายอุ าหาร อาจไดจ้ ากธรรมชาตหิ รือ
สังเคราะห์ข้นึ โดยชว่ ยยับยั้งหรือทำลายจุลนิ ทรยี ์ เช่น แบคทีเรยี รา ท่ีทำให้อาหารเกิดการเนา่ เสีย

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 14

วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ (ชวี วทิ ยา)

ว 1.2 อาหาร และกลไกมนษุ ย์ (ตอ่ )

เข้าใจสมบัตขิ องสิ่งมีชีวิต หนว่ ยพนื้ ฐานของสิง่ มีชวี ติ การลำเลียงสารเขา้ และออกจากเซลล์ ความสมั พันธ์ของโครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ องระบบตา่ ง ๆ
ของสตั ว์และมนษุ ยท์ ีท่ ำงานสัมพันธ์กนั ความสัมพนั ธข์ องโครงสร้างและหน้าท่ีของอวัยวะตา่ ง ๆ ของพชื ที่ทำงานสัมพันธ์กนั รวมทง้ั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

2. การเจริญเติบโตของมนุษย์

1. การเจริญเติบโต

1.1 การปฏสิ นธิ (Fertilization)
- เกดิ จากสเปริ ์มหรืออสจุ ิ (sperm) ของเพศชายรวมกับเซลล์ไข่ (egg หรอื ovum) ของเพศหญิง นิวเคลียสจะ

รวมตัวกันภายใน 10 – 12 ช่วั โมง เม่ือปฏสิ นธิแล้ว ประมาณ 30 – 37 ชั่วโมง ไข่ท่ีถกู ผสมแลว้ จะมีการแบ่งตวั
เรียกว่าไซโกต (zygote) หลงั จากนั้นประมาณ 7 วัน กลุ่มเซลล์จะเคลือ่ นไปฝงั ตัวทผ่ี นังมดลกู ซง่ึ หนาตวั ข้ึน เพอ่ื
รองรับไขท่ ี่ได้รับการผสม เรียกกลมุ่ เซลลน์ นั้ วา่ เอ็มบริโอ (embryo)

- หลังจากปฏิสนธิ ประมาณ 8 สปั ดาห์ จะมีอวัยวะภายในและภายนอกปรากฏครบ เรยี กระยะนี้ว่าฟีตัส (fetus)
เมอ่ื ทารกเจรญิ เติบโตอยใู่ นครรภ์จนครบกำหนดคลอดคือ ประมาณ 9 เดือน (38 สัปดาห์ หรือ 280 วัน)

- ฝาแฝด มี 2 ประเภท คือ
1. ฝาแฝดร่วมไข่ หรือ ฝาแฝดแท้ เกิดจากไข่ 1 ใบ ผสมกับ อสจุ ิ 1 ตวั เปน็ ไซโกตเดียว เป็นเพศเดียวกัน
รูปร่างลกั ษณะเหมือนกนั นสิ ัยคลา้ ยคลงึ กัน ถ้ามีบางส่วนติดกนั จะเรยี กวา่ แฝดสยาม
เช่น อิน-จนั หรอื ทวิ า-ราตรี
2. ฝาแฝดต่างไข่ หรือ ฝาแฝดเทียม เกิดจากไข่ มากกว่า 1 ใบ ผสมกับ อสจุ ิ มากกว่า 1 ตัว ได้หลายไซโกต
อาจเปน็ เพศเดยี วกนั หรือต่างเพศ รูปร่างหน้าตาเทยี บได้กบั พี่น้องทอ้ งเดยี วกนั

- การแทง้ คือ การท่ีทารกคลอดก่อนอายุครรภจ์ ะครบ 28 สปั ดาห์ หรอื มนี ำ้ หนกั น้อยกว่า 1,000 กรัม
- การคลอดกอ่ นกำหนด คือ การทีท่ ารกคลอดในช่วงอายุครรภ์ 28 – 37 สปั ดาห์
- การท้องนอกมดลกู คือ การที่ไข่ไดร้ บั การปฏสิ นธแิ ล้วไปฝงั ตวั ที่บรเิ วณอ่นื ท่ีไม่ใชม่ ดลูก เช่น บรเิ วณช่อง
คลอดหรอื ปีกมดลูก ซ่ึงอาจเป็นอนั ตรายถึงแก่ชวี ิตได้
- การพิการแตก่ ำเนิด หมายถึง เกดิ ความผดิ ปกติขณะตัง้ ครรภ์ อาจมสี าเหตุมาจาก การติดเชอื้ ยาหรือ
สารเคมี ความผิดปกติของหน่วยพนั ธกุ รรมหรือยนี

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 15

- ขณะทร่ี ่างกายเจรญิ เตบิ โต มีการเปล่ยี นแปลงหลายอยา่ ง เช่น สดั ส่วนของรา่ งกาย ความยาวของแขน ขา และ
รอบเอว น้ำหนักและสว่ นสงู ลกั ษณะท่ีแสดงออกถึงความแตกตา่ งระหวา่ งเพศ

- เราสงั เกตการเจริญเติบโตได้จากการเปลยี่ นแปลงสัดส่วนของรา่ งกาย โดย
- เดก็ แรกเกิดมีสัดสว่ นของเสน้ รอบวงศีรษะมากกวา่ เส้นรอบอกเล็กน้อย
- อายุ 1 ปขี ึน้ ไป สัดสว่ นของเสน้ รอบวงศีรษะจะเทา่ กบั เส้นรอบอก
- อายุ 5 ปขี นึ้ ไป สัดสว่ นของเสน้ รอบวงศรี ษะจะน้อยกว่าเส้นรอบอก

การเจริญเตบิ โตแต่ละช่วงวัย

วยั อายุ การเจรญิ เตบิ โต

1. วยั ทารก - ผิวหนังอ่อนนมุ่ ส่วนใหญ่มีสีชมพู
แรกเกดิ – 1 ปี - ฟันน้ำนมเร่มิ ข้ึนเม่อื อายปุ ระมาณ 5 – 6 เดอื น
- มีกลา้ มเนอ้ื น้อย แขนและขางออยู่เกือบตลอดเวลา

- ความสูงโดยเฉล่ียเพ่มิ ขึน้ ประมาณปีละ 7.5 ซม.

วัย 2. วัยกอ่ นเรยี น - รปู ร่างจะคอ่ ยๆ ยืดตวั ออก ใบหน้าและศรี ษะเลก็ ลงเมื่อเทียบกบั ขนาดตวั

เด็ก 1 – 6 ปี - แขน ขา ลำตวั และคอเรยี วยาวขน้ึ อกและไหล่กวา้ งข้ึน

- ส่วนมือและเท้าจะใหญ่ข้นึ และแข็งแรงข้นึ

3. วยั เรยี น - ส่วนสูงเพมิ่ ขน้ึ ประมาณ 4 – 5 ซม. ต่อปี
7 – 12 ปี - ฟนั นำ้ นมเริม่ หลุดเมื่ออายปุ ระมาณ 6 ปี และจะมีฟันแทง้ อกข้นึ มาแทนที่
- นำ้ หนักตัวเพ่ิมข้ึน ประมาณ 2 – 3 กก. ต่อปี

- จากวยั เรยี นชว่ ง 10-12 ปี เด็กผู้หญิงจะเจรญิ เตบิ โตมากกวา่ เดก็ ผูช้ าย

- ชว่ งอายุ 13-14 ปี เดก็ ผู้ชายจะเจรญิ เตบิ โตทนั ผู้หญงิ

วัยรนุ่ 4. วัยรุ่น - ช่วงอายุ 14-19 ปี เพศชายจะเจริญเตบิ โตมากกว่าเพศหญงิ รา่ งกายเปล่ียนแปลงอย่างชดั เจน
13 – 19 ปี - ผชู้ าย เร่ิมมีหนวดเครา เสียงห้าว ร่างกายขยายใหญ่ ไหล่กวา้ งข้ึน มกี ลา้ มเนอ้ื แข็งแรง

อัณฑะเริ่มผลิตอสจุ ิ

- ผ้หู ญิง แขนและขายาวข้นึ หน้าอกขยายใหญ่ข้ึน ละโพกผายออก เรมิ่ มีประจำเดือน

5. วัยหนมุ่ สาว - มีพัฒนาการทางร่างกายอย่างเต็มท่ี
20 – 39 ปี - เพศชายไหล่กว้างขนาดของต้นแขนเพ่ิมข้ึน
- เพศหญิงเต้านมและสะโพกเจรญิ เตม็ ที่

- ผวิ หนงั เริ่มเห่ยี วย่น ไม่เต่งตงึ

วัย 6. วยั กลางคน - รา่ งกายเริม่ เสอื่ มถอยเกือบทกุ ระบบ - การเคลือ่ นไหวเรมิ่ ช้าลง
ผู้ใหญ่ 40 – 59 ปี - นำ้ หนักตัวเพิม่ ข้นึ จากการสะสมไขมันใตผ้ วิ หนงั มากข้นึ
- สายตาเรม่ิ ยาวขนึ้ ผมเรมิ่ หงอก อาจมีอาการหตู ึงเน่ืองจากความเส่อื มของเซลล์

- ผวิ หนงั แตกแหง้ เหย่ี วยน่ รา่ งกายหยุดการเจริญเติบโต

7. วัยสูงอายุ - ผมและขนเป็นสีขาว และหลุดรว่ งได้ง่าย

60 ปีข้ึนไป - กล้ามเน้ือลบี ลง กระดูกเปราะ

- เซลลส์ มองเริ่มเสือ่ มลง อาจมปี ัญหาสมองฝอ่ หากไม่บำรุงและการใช้งานทเี่ หมาะสม

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 16

2. ระบบยอ่ ยอาหาร

ระบบยอ่ ยอาหาร (Digestive System) เปน็ ระบบทเี่ กีย่ วข้องกบั การยอ่ ยอาหาร ไดแ้ ก่ ทางเดนิ อาหารต้งั แต่
ปากจนถงึ ทวารหนกั
อวัยวะในระบบย่อยอาหารของคน แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

1. อวยั วะทเ่ี ป็นทางเดนิ อาหาร ได้แก่ ปาก (Mouth) คอหอย (Pharynx) หลอดอาหาร (Esophagus)
กระเพาะอาหาร (Stomach) ลำไส้เลก็ (Small intestine) ลำไส้ใหญ่ (Large intestine) ทวารหนกั (Anus)

2. อวัยวะทชี่ ว่ ยยอ่ ยอาหารแต่ ไม่ใช่ทางเดนิ อาหาร ได้แก่ ตบั (Liver) ถงุ น้ำดี (Gall bladder) ตับอ่อน
(Pancreas)

2.1 การย่อยในปาก
1. ปาก เป็นอวยั วะแรกของระบบย่อยอาหาร ภายในปากมีสิ่งสำคญั ท่ชี ่วยยอ่ ยอาหาร คือ
1.1 ฟัน (Teeth) ทำหนา้ ที่ ตัด ฉีก เคี้ยว และบดอาหารให้เลก็ ลง ฟนั ของคนมี 2 ชุด คือ
1.1.1 ฟันนำ้ นม มี 20 ซ่ี เร่ิมงอกเมื่ออายปุ ระมาณ 6 เดือน และเร่มิ หักหรือหลุดเม่ืออายุ 6 ปี
1.1.2 ฟันแท้ งอกมาแทนฟนั น้ำนม มี 32 ซ่ี ซ่งึ ทำหนา้ ท่ดี งั นี้
- ฟันตดั หน้า 8 ซี่ (บน 4 ลา่ ง 4) ทำหน้าทต่ี ัดอาหาร
- ฟนั เขี้ยวหรอื ฟันฉีก 4 ซี่ ทำหน้าท่ฉี ีกหรือแยกอาหารออกจากกนั
- ฟันกรามหนา้ (กรามเล็ก)หรือฟันบด 8 ซ่ี ทำหน้าที่ตดั และฉีกอาหาร
- ฟนั กรามหลงั (กรามใหญ่) 12 ซี่ ทำหน้าทเ่ี ค้ยี ว ใและบดอาหาร
1.2 ลนิ้ (Tougue) ทำหน้าท่ี รบั รสอาหาร คลุกเคล้าอาหาร แลว้ สง่ ผ่านอาหารไปตามลำคอ เพ่ือเขา้ สู่

คอหอยไปสู่หลอดอาหาร
1.3 ต่อมนำ้ ลาย (Salivary gland) ทำหน้าทสี่ ร้างน้ำลาย (Saliva) ซึง่ ประกอบด้วยน้ำ 97-99 เปอร์เซน็ ต์

น้ำเมือก สารท่เี ป็นเบส และน้ำยอ่ ยอะไมเลสหรือไทยาลนิ นำ้ เมือกในนำ้ ลาย ทำหนา้ ท่ชี ว่ ยใหอ้ าหารรวมตัวกัน
เปน็ ก้อนเหนียวและลนื่ เพอ่ื สะดวกในการกลืน

ต่อมน้ำลายมี 3 คู่ ตอ่ มนำ้ ลายทใ่ี หญท่ ี่สดุ อยู่ใต้กกหู 1 คู่ ถ้าเชือ้ ไวรสั ไปทำใหอ้ ักเสบ จะเปน็ โรคคางทมู และ
อยู่ใตล้ ้นิ และขากรรไกรล่างอีกอยา่ งละคู่ โดยต่อมขากรรไกรลา่ งผลิตน้ำลายมากทีส่ ดุ ถงึ 70% ของนำ้ ลายทั้งหมด

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 17

2. หลอดอาหาร (Esophagus) อาหารจากการย่อยในปากผ่านไปตามหลอดอาหารได้โดยการหดตวั ของ
กลา้ มเนื้อหลอดอาหาร ซง่ึ หดตวั เปน็ ช่วง ๆ ติดต่อกันเรยี กว่า กระบวนการเพอรสิ ตัลซสิ (Peristalsis) อาหารถกู
ลำเลียงสกู่ ระเพาะอาหารจากการบบี หดตัวของกล้ามเน้ือหลอดอาหาร

2.2 การย่อยในกระเพาะอาหาร
ในกระเพาะอาหาร มีทั้งการย่อยเชงิ กล และการย่อยเชงิ เคมี
- การยอ่ ยเชงิ กลในกระเพาะอาหาร เกิดจากกล้ามเน้ือในกระเพาะอาหารหดตัวและคลายตัวเปน็ ช่วง ๆ โดย

กระบวนการเพอริสตัลซสิ
- การย่อยทางเคมีในกระเพาะอาหาร เกดิ จากการทำงานของเอนไซมเ์ พปซิน เรนนนิ และกรดไฮโดรคลอริก

ทำหน้าทย่ี ่อยอาหารจำพวกโปรตนี
สาระสำคัญเก่ียวกับกระเพาะอาหาร
1. กระเพาะอาหารมีกลา้ มเน้ือหูรดู 2 แห่ง คอื หูรดู ท่ีอยตู่ รงส่วนต้นท่ตี ่อกบั หลอดอาหาร แลว้ หูรดู ที่ตอ่ กบั
ลำไส้เลก็ กล้ามเนื้อหรู ูดทงั้ สองจะปิดเพือ่ การมใิ ห้อาหารออกมานอกกระเพาะอาหาร
2. กระเพาะอาหารในคนแบง่ เป็น 3 ตอน คอื ตอนตน้ (Cardius) ตอนกลาง (Fundus) และตอนปลาย (Pylorus)
กระเพาะคนยาวประมาณ 10 น้ิว กว้าง 5 นิ้ว ขณะไม่มีอาหารอย่จู ะมีปริมาตรประมาณ 50 cm3 แต่เมื่อมี
อาหารลงสู่กระเพาะอาหารจะขยายได้อีก 10-40 เทา่
3. ในกระเพาะอาหารมีต่อมสร้างน้ำย่อย เรียกวา่ Glastic gland
4. การทก่ี ระเพาะอาหารไมถ่ ูกกรดเกลือและนำ้ ยอ่ ยเพปซนิ ทำลาย เพราะท่ีเยื่อบุผวิ ดา้ นในสามารถสร้างน้ำเมือก
ทมี่ ีฤทธ์ิเปน็ เบสคอยป้องกันไว้ และผนงั กระเพาะมกี ารแบง่ เซลล์อยา่ งรวดเร็วมาชดเชยเซลล์ท่ถี กู ทำลาย
5. กรดไฮโดรคลอริกหรือกรดเกลอื (HCl) จะทำใหเ้ อนไซมส์ ำหรบั ยอ่ ยโปรตนี อยู่ในสภาพพร้อมทำงาน ความ
เปน็ กรดในกระเพาะอาหารจะทำลายแบคทีเรียท่ีติดมากับอาหาร และทำลายสมบัตขิ องเอนไซม์อะไมเลส
ในน้ำลายจนหมดสภาพ ดงั น้ันคารโ์ บไฮเดรตทีเ่ หลอื จากการย่อยในปากจะถูกย่อยต่อในลำไส้เล็ก

• เอนไซม์จากพืชที่สามารถย่อยโปรตีน ไดแ้ ก่ เอนไซมป์ าเปนจากยางมะละกอ เอนไซม์โบรมิเลนจากนำ้
สบั ปะรด

• ปัจจัยที่ทำให้เกิดการหล่งั กรดไฮโดรคลอรกิ ในกระเพาะอาหารในปริมาณมาก ได้แก่ การรับประทาน
อาหารไมต่ รงเวลา รับประทานอาหารรสเผด็ จัด การกนิ ยาแกป้ วดเม่ือท้องวา่ ง การดื่มเครื่องดม่ื
แอลกอฮอล์ กาเฟอนี การเครียด วติ กกงั วล พักผ่อนไม่เพยี งพอ

6. ในกระเพาะอาหารมีการดูดซึมแอลกอฮอล์ไดด้ ี แต่มีการดดู ซมึ น้ำ แรธ่ าตุต่าง ๆ และน้ำตาลโมเลกลุ เดีย่ วได้นอ้ ย

2.3 การย่อยในลำไสเ้ ล็ก
อาหารถูกคลุกเคลา้ กบั น้ำย่อยในกระเพาะอาหารประมาณ 1-6 ช่วั โมง จึงถูกส่งเขา้ ไปในลำไส้เลก็ อาหารทกุ

ชนิดจะถูกย่อยอย่างสมบูรณ์ในลำไส้เลก็ แลว้ ถูกดดู ซมึ ไปเลีย้ งส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกายทีผ่ นงั ของลำไส้เลก็ ตรงส่วนท่ี
เรียกว่าวิลลัส (Villus) ซง่ึ เป็นส่วนท่ียน่ื ออกมาจากผนังด้านในเป็นจำนวนมาก ภายในวิลลสั จะมีเส้นเลือดฝอย
อาหารท่ีถูกย่อยแลว้ จะแพรเ่ ข้าสูเ่ สน้ เลอื ดฝอยในวิลลสั ไปเลี้ยงเซลลท์ ่ัวรา่ งกายโดยการไหลเวยี นของเลอื ด

น้ำย่อยในลาํ ไส้เลก็ มาจาก 2 แหล่ง คอื
1. น้ำย่อยจากตับอ่อน ได้แก่
• อะไมเลส ย่อยแปง้ เปน็ น้ำตาลมอลโทส

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 18

• ไลเพส ย่อยไขมันให้เปน็ กรดไขมนั และกลีเซอรอล
• ทรปิ ซนิ ไคโมทริปซนิ คารบ์ อกซเี พปตเิ ดส ย่อยโปรตีน
• สารที่ตบั อ่อนสร้างมารวมกับน้ำยอ่ ย มสี มบตั เิ ปน็ เบส คอื โซเดียมไฮโดรเจนคารบ์ อเนต(NaHCO3)
2. นำ้ ย่อยท่ลี ำไสเ้ ลก็ สรา้ งข้นึ เอง ได้แก่
• อะไมเลส ยอ่ ยแป้งใหเ้ ปน็ น้ำตาลมอลโทส
• มอลเทส ย่อยมอลโทสเปน็ น้ำตาลกลโู คส
• ซูเครส ยอ่ ยน้ำตาลซูโครสเปน็ น้ำตาลกลูโคสและฟรักโทส
• แลก็ เทส แก้วนำ้ ตาลแล็กโทสเป็นน้ำตาลกลูโคสและกาแล็กโทส
• เพปตเิ ดส ยอ่ ยพอลิเพปไทด์และเพปไทด์ใหเ้ ปน็ กรดอะมโิ น
ลำไส้เลก็ เปน็ สว่ นที่ยาวทส่ี ดุ ของทางเดินอาหาร แบง่ เป็น 3 ตอน คอื
1. ดูโอดีนมั (Duodenum) ยาว 30 ซม. มีตอ่ มสร้างนำ้ ย่อย และเปน็ ตำแหน่งทข่ี องเหลวจากตบั อ่อน และ
น้ำดจี ากตบั มาเปดิ เขา้ จงึ เป็นตำแหนง่ ท่ีมกี ารย่อยเกิดขึ้นมากที่สุด
2. เจจูนมั (Jejunum) สว่ นที่มีการดดู ซมึ มากทส่ี ุด โดยเฉพาะสารอาหารพวกไขมนั ยาว 2.5 ม.
3. ไอเลียม (Ilium) เป็นส่วนสดุ ทา้ ยที่มคี วามยาวมากทส่ี ดุ ยาวประมาณ 4 เมตร ปลายสุดของไอเลียมต่อ
กบั ลำไสใ้ หญเ่ ปน็ สว่ นท่ีดูดซึมวติ ามนิ บี 12 และเกลอื นำ้ ดี

น้ำดี (ฺBile) สรา้ งจากตบั แลว้ ถกู นำไปเก็บไว้ที่ถุงนำ้ ดี ไมถ่ ือวา่ เปน็ เอนไซม์ เพราะจะเปลี่ยนสภาพไปจากเดิม เม่ือ
ปฏกิ ริ ิยาส้นิ สดุ แลว้ ในน้ำดีไม่มีนำ้ ยอ่ ย มสี ่วนประกอบ 3 สว่ น คอื

1. เกลือน้ำดี ช่วยให้ไขมันแตกตัวเปน็ หยดไขมันเล็ก ๆ ละลายน้ำได้ในรูปอิมัลชัน
2. รงควัตถุนำ้ ดี เกดิ จากการสลายตัวของฮีโมโกลบนิ โดยตับ
3. คอเลสเตอรอล ถ้ามมี ากไปจะทำให้เกิดน่วิ ในถุงนำ้ ดี เกิดการอุดตนั ทท่ี ่อนำ้ ดี เกิดโรคดซี ่านมผี ลทำใหก้ าร

ย่อยอาหารประเภทไขมนั บกพรอ่ ง

2.4 ลำไสใ้ หญ่
อาหารทีเ่ หลือจากการย่อยและดูดซมึ แล้วจะผา่ นเข้าส่ลู ำไส้ใหญซ่ งึ่ ยาวประมาณ 1.5 เมตร ในลำไส้ใหญม่ ี

แบคทเี รียจำนวนมาก ซง่ึ จะใชป้ ระโยชนจ์ ากกากอาหารในบรเิ วณน้ี แบคทเี รยี บางชนิดยังสงั เคราะห์วติ ามินเคและ
วิตามินบี 12 ได้ เซลลท์ บ่ี ุผนงั ลำไส้ใหญส่ ามารถดูดนำ้ แร่ธาตุ วิตามิน และกลูโคสจากกากอาหารเขา้ สกู่ ระแสเลอื ด
ซ่ึงส่วนใหญเ่ ป็นนำ้ จงึ ทำให้กากอาหารขน้ แข็งจนเป็นก้อน กากอาหารจะผา่ นไปถึงไส้ตรง และผ่านไปยังทวารหนกั
ซ่งึ มกี ลา้ มเน้อื หรู ดู แข็งแรงมากทำหนา้ ทบ่ี ีบตัวชว่ ยในการขับถา่ ย

สว่ นประกอบของลาํ ไส้ใหญ่
1. ซีกมั (Caecum) เปน็ ลำไส้ส่วนตน้ มไี ส้ต่ิง (Appendix) ในสัตวก์ ินพืชจะมีขนาดยาว ทำหน้าทช่ี ่วยในการ

ย่อยอาหาร แตใ่ นคนเปน็ ส่วนท่ไี ม่มีประโยชน์ และอาจเป็นโทษถ้าไส้ติ่งเกิดอาการอักเสบและแตก
2. โคลอน (Colon) เปน็ ส่วนท่ียาวท่ีสดุ
3. ไส้ตรง (Rectum) เปน็ ส่วนปลายของลำไสใ้ หญ่ มลี กั ษณะเปน็ ท่อ ตรงปลายไส้ตรงจะเปน็ ทวารหนกั โดย

มีกลา้ มเนื้อหูรดู 2 อัน ควบคุมการปิดเปดิ ของทวารหนกั กล้ามเนื้อหรู ดู ดา้ นในถูกควบคุมโดยระบบ
ประสาทอัตโนมัติ ไม่อยใู่ ต้บังคับของจิตใจ ส่วนกลา้ มเนือ้ หรู ดู ดา้ นนอกอยใู่ ตบ้ ังคบั ของจิตใจ และสำคญั
มากในการควบคุมการปิดเปดิ ของทวารหนัก

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 19

บรเิ วณ ชนดิ ของน้ำย่อย สารทีถ่ กู ย่อย ผลทไ่ี ดจ้ ากการยอ่ ย
ปาก อะไมเลส แปง้ มอลโทส
กระเพาะอาหาร เพปซิน โปรตนี โมเลกุลใหญ่ โปรตีนโมเลกลุ เลก็
ลำไส้เลก็ เรนนนิ โปรตนี ในนม (เคซีน) นมตกตะกอนเป็นลิม่
ทรปิ ซิน,น้ำยอ่ ยโปรตนี โปรตีนขนาดเลก็ กรดอะมโิ น
ตับออ่ น ไลเปส ไขมัน กรดไขมนั + กลีเซอรอล
อะไมเลส แป้ง มอลโทส
ตบั ซเู ครส ซูโครส กลูโคส + ฟรักโทส
มอลเทส มอลโทส กลโู คส + กลูโคส
แล็กเทส แล็กโทส กลโู คส + กาแลก็ โทส
น้ำย่อยโปรตีน โปรตนี ขนาดเลก็ กรดอะมโิ น
ไลเพส ไขมนั กรดไขมนั + กลเี ซอรอล
อะไมเลส แปง้ มอลโทส
เกลือน้ำดี(ไม่ใชน่ ำ้ ย่อย) ไขมัน ไขมันแตกตัวเปน็ เมด็ เล็ก ๆ

สรุประบบยอ่ ยอาหาร

1. ปาก ภายในประกอบด้วย ฟนั ลิน้ ตอ่ มน้ำลาย

- ล้ิน ทำหนา้ ท่ี ช่วยคลกุ เคลา้ อาหาร

- ฟนั ทำหนา้ ท่ี บดเคี้ยวอาหารใหเ้ ลก็ ลง

- ตอ่ มนำ้ ลาย ทำหนา้ ท่ี ผลิตนำ้ ย่อย ช่วยย่อยอาหารประเภท แป้ง

2. คอหอย ทำหน้าที่ เปน็ ทางผา่ นของอาหารเข้าสู่หลอดอาหาร

3. หลอดอาหาร ทำหนา้ ที่ เปน็ ทางลำเลียงอาหารโดยบีบรดั อาหารใหเ้ คลื่อนลงสู่กระเพาะอาหาร

เรียกว่ากระบวนการเพอริทัลซีส

4. กระเพาะอาหาร ทำหนา้ ท่ี ผลิตน้ำยอ่ ยช่วยย่อยอาหารประเภทโปรตีน

5. ตับ ทำหน้าที่ผลติ นำ้ ดีช่วยย่อยไขมัน

6. ถงุ น้ำดี ทำหนา้ ที่ เกบ็ นำ้ ดีท่ีผลติ จากตบั ส่งไปยังลำไส้เล็ก

7. ตบั ออ่ น ทำหน้าที่ ผลติ นำ้ ย่อย ช่วยย่อยอาหารประเภทแป้ง ไขมัน โปรตนี ส่งไปยงั ลำไสเ้ ลก็

8. ลำไสเ้ ล็ก ทำหนา้ ที่ ย่อยอาหารทุกประเภทใหม้ ขี นาดเล็กท่สี ดุ จนสามารถดดู ซมึ เข้าส่กู ระแสเลอื ด

ไปเล้ยี งร่างกายได้

9. ไส้ติ่ง เปน็ ส่วนของไส้ อยู่ส่วนต้นของลำไส้ใหญ่

10. ลำไสใ้ หญ่ เป็นท่ีรวมของกากอาหาร

11. ลำไสต้ รง ทำหน้าท่ี ควบคุมการปดิ เปิดของทวารหนกั

12. ทวารหนกั ทำหน้าที่ ขบั กากของเสียออกจากร่างกาย

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 20

วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ (ชีววิทยา)

ว 1.3 สง่ิ มีชวี ิต พชื สัตว์ พันธุกรรม

เขา้ ใจกระบวนการและความสำคัญของการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรม สารพันธกุ รรม การเปล่ียนแปลงทางพันธกุ รรมทมี่ ผี ลตอ่ สง่ิ มีชวี ติ
ความหลากหลายทางชีวภาพและววิ ฒั นาการของสงิ่ มชี วี ิต รวมท้ังนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

1. ส่ิงมีชีวติ

ส่งิ มีชวี ติ คือ หน่วยทใี่ ชพ้ ลังงาน (ซง่ึ พลงั งานรับมาจากอาหาร) และคุณสมบัติทสี่ ำคัญที่สุดของสิง่ มีชวี ิต คอื สืบพนั ธไ์ุ ด้
สิ่งมชี วี ติ แบง่ ออกเป็น 6 กล่มุ คือ
1. พชื 2. สัตว์ 3. เหด็ , รา, ยสี ต์ 4. แบคทเี รยี 5. สาหร่าย 6. ไวรัส

เชน่ เทานำ้ เชน่ เชื้อก่อโรคหวัด
พชื

ไมม่ ีท่อลำเลียง มที ่อลำเลยี ง

มอส

ไม่มีเมลด็ มเี มล็ด

เฟิน พืชดอก

ไม่มดี อก ไข่ผำ เป็นพชื ดอก

(เมลด็ เปลือย) สน, ปรง

ใบเล้ยี งเดี่ยว ใบเล้ียงคู่
สัตว์

ไมม่ ีกระดูกสันหลัง (8 กลมุ่ ) มีกระดูกสนั หลัง (5 กลุ่ม)

ไมม่ โี ครงรา่ งแข็ง มีโครงรา่ งแขง็

เลือดเย็น เลอื ดอนุ่

มเี หงือก (มคี รบี ) ไม่มเี หงือก ขนเป็นแผง (มปี ีก) ขนเปน็ เส้น
1.ปลา
4.สัตวป์ ีก 5.สตั วเ์ ลีย้ งลูกด้วยน้ำนม

ผิวหนังแหง้ มีเกลด็ ผิวหนังเปียกชนื้ ไม่มเี กล็ด ออกลูกเป็นไข่ ออกลกู เป็นตวั
2.สัตวเ์ ลือ้ ยคลาน 3.สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก
ตุ่นปากเปด็ , ตัวกนิ มด ช้าง, วาฬ, โลมา

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 21

พืชดอก

1. สว่ นประกอบของพชื

พืช ประกอบด้วย 1. ราก 2. ลำตน้ 3. ใบ 4. ดอก 5. ผล 6. เมล็ด

1) ราก - เจริญมาจาก รากแรกเกดิ (radicle) ของเอ็มบริโอภายในเมลด็

- ไมม่ ีคลอโรฟิลล์ ไมม่ ีขอ้ ไม่มปี ล้อง

- เจริญเติบโตตามแรงดงึ ดูดของโลกลงดนิ

- มีสีขาวหรือสนี ้ำตาล

• ชนดิ ของราก 1. รากแก้ว งอกจากเมล็ดก่อนส่วนอืน่ ช่วงโคนรากโต ปลายรากเรียวเล็กลง พบในพชื ใบเล้ียงคู่
2. รากแขนง
3. รากฝอย แตกออกมาจากรากแกว้ โตขนานไปกับพน้ื ดิน

เสน้ เล็ก ๆ โตสม่ำเสมอกัน งอกเป็นกระจกุ พบในพชื ใบเลยี้ งเด่ียว

• ทำหนา้ ท่ี - ยดึ ลำตน้ ให้ต้งั บนดิน

- ดูดน้ำและแร่ธาตุลำเลยี งข้นึ ไปเลี้ยงสว่ นต่าง ๆ ของพชื

• หนา้ ท่ีพิเศษ - รากสะสมอาหาร เชน่ รากมันแกว รากหัวผักกาด รากแครอท รากมันสำปะหลงั รากกระชาย

- รากคำ้ จุน เช่น รากโกงกาง รากขา้ วโพด

- รากยดึ เกาะ เช่น รากพลดู ่าง รากกล้วยไม้ รากพริกไทย

- รากสงั เคราะห์ด้วยแสง มีสเี ขียวตรงปลายของราก เช่น รากกล้วยไม้ รากไทร

- รากหายใจ ลักษณะแหลม โผล่ขน้ึ มาเหนอื ดิน เช่น รากแสม รากลำพู รากผักกระเฉด

2) ลำต้น - พืชส่วนมากมีลำต้นอยูบ่ นดิน บางชนดิ อย่ใู ตด้ ิน บางชนดิ สะสมอาหาร

• ประกอบด้วย 1. ขอ้ สว่ นของลำต้นที่มี ก่งิ ใบ ตา ดอก และหนาม

2. ปล้อง ส่วนของลำต้นท่ีอยู่ระหว่างข้อแตล่ ะข้อ

3. ตา ทำให้เกดิ กง่ิ ใบ และดอก มีรูปรา่ งโคง้ นูน ประกอบดว้ ยตายอดและตาขา้ ง

• ทำหนา้ ที่ - ชกู งิ่ ก้าน ใบ และดอก เพื่อรบั อากาศและแสงแดด

- เป็นทางลำเลยี งอาหาร น้ำและแร่ธาตุ

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 22

• หนา้ ทีพ่ ิเศษ - ลำตน้ สะสมอาหาร เชน่ ขงิ ขา่ เผือก แห้ว อ้อย หวั หอม มันฝรั่ง
- ลำต้นสังเคราะหด์ ้วยแสง เช่น กระบองเพชร ผกั บุ้ง
- ลำตน้ ขยายพันธ์ุ เชน่ โหระพา พลูด่าง คุณนายตื่นสาย บัว

- ลำตน้ เปลย่ี นไปเป็นมอื พัน เพ่อื ช่วยพยุงคำ้ จุนลำตน้ เช่น บวบ ตำลึง นำ้ เตา้

**ท่อลำเลียงอาหาร (Phloem) ลำเลียงอาหารที่พืชสรา้ งขนึ้ ท่ีใบไปเลย้ี งส่วนตา่ ง ๆ

**ท่อลำเลยี งนำ้ (Xylem) ลำเลยี งน้ำและแรธ่ าตุจากรากไปสใู่ บเพื่อสร้างอาหาร

3) ใบ

• สว่ นประกอบ - ขอบใบ ใบเรียบ ใบขรุขระ

- ผวิ ใบ ใบเรยี บเปน็ มนั ใบด้านขรุขระ

- สขี องใบ ส่วนใหญ่เปน็ สีเขยี ว (มสี ารคลอโรฟลิ ล)์ บางชนิดมสี ีอื่น เชน่ แดง เหลือง

- เสน้ ใบ 1. เรยี งขนาน เป็นพชื ใบเลย้ี งเดีย่ ว 2. เรียงรา่ งแห เปน็ พชื ใบเลย้ี งคู่

• ชนดิ ของใบ 1. ใบเด่ียว ใบแผน่ เดียวติดกับกา้ น เชน่ มะม่วง กลว้ ย บางชนดิ ใบเว้าหยักลึก เช่น มะละกอ

2. ใบประกอบ ใบแยกเป็นใบย่อย ๆ หลายใบ เชน่ มะขาม กระถนิ

• ทำหน้าที่

1. สร้างอาหาร กระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสงของพชื เปล่ยี นพลังงานแสงเป็นพลงั งานเคมี

6 CO2 + 12 H2O >แสง C6H12O6 + 6 H2O + 6 O2
แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ + นำ้ น้ำตาลกลูโคส + นำ้ + แก๊สออกซเิ จน
คลอโรฟลิ ล์

ปัจจัยที่ใช้ ไดแ้ ก่

1). แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์

- เกดิ จากการหายใจของพืช การเผาไหม้ของสาร และการย่อยสลายของ

- สง่ิ มีชีวิตและไมม่ ชี วี ติ ให้ธาตุคาร์บอนแก่พืช เพอ่ื สรา้ งแปง้ และน้ำตาล

2). น้ำ

- ดดู ซมึ มาจากดนิ ผา่ นรากสู่ท่อลำเลยี งน้ำไปยังใบ

- ให้ธาตุไฮโดรเจนแก่พืช ธาตไุ ฮโดรเจนรวมกับแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ จะได้คารโ์ บไฮเดรต

3). แสงสวา่ ง

- พชื บางชนดิ ต้องการแสงปริมาณมาก เช่น ทานตะวัน ข้าว

- พืชบางชนิดตอ้ งการแสงปริมาณนอ้ ย เช่น พลดู ่าง

4). คลอโรฟิลล์

- เป็นโปรตีนท่ีอย่ใู นคลอโรพลาสต์ พบไดใ้ นพชื และสาหร่าย

- เปน็ ตวั ดูดกลืนแสง เพ่ือนำแสงมาใช้เปน็ แหล่งพลงั งาน

ผลผลิตทีไ่ ด้ คือ

1). น้ำตาลกลโู คส

- ใชใ้ นกระบวนการหายใจของพชื เพ่ือเปลยี่ นเปน็ พลงั งาน

เปลี่ยนไปเปน็ แป้ง สะสมไวท้ ่ีใบ ราก ลำต้น

- ใช้สรา้ งเซลลูโลสซ่งึ เปน็ ส่วนประกอบของผนังเซลล์รวมกับแรธ่ าตใุ นเซลลพ์ ืช เปล่ยี นไปเป็นสารอื่นได้

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 23

2). แก๊สออกซเิ จน นำไปใช้ในกระบวนการหายใจ
3). นำ้
2. หายใจ เกิดการแลกเปลย่ี นแก๊สทางปากใบ(stoma) และคายน้ำออกมา

C6H12O6 + 6 H2O + 6 O2 → 6 CO2 + 12 H2O
น้ำตาลกลโู คส + น้ำ + แกส๊ ออกซิเจน แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ + น้ำ
3. คายน้ำ มเี ซลลค์ มุ ควบคุมการคายนำ้ ทบ่ี ริเวณปากใบ (stoma) ปากใบจะพบบริเวณทอ้ งใบ(ผิวใบดา้ นลา่ ง)
มากกว่าหลังใบ(ผวิ ใบดา้ นบน)

*** ในเวลาท่ีไมม่ ีแสง พชื จะไม่มีการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง แต่มีการหายใจ จงึ ปล่อยแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ออกมา
เราจึงไม่ควรนำพชื ไวใ้ นห้องนอน

*** การทดสอบแป้งท่ีเป็นผลผลติ จากการสงั เคราะห์ด้วยแสง ใชส้ ารละลายไอโอดีน ถ้ามีแปง้ จะเปลีย่ นจากสนี ้ำตาล
เปน็ สีนำ้ เงิน

• หน้าท่ีพิเศษ - ใบสะสมนำ้ อาหาร เช่น ใบกะหล่ำปลี ใบวา่ นหางจระเข้

- ขยายพันธ์พุ ชื เชน่ ใบกุหลาบหิน ใบควำ่ ตายหงายเปน็

- ป้องกนั อันตรายและลดการคายนำ้ เชน่ ตน้ กระบองเพชร

- ใช้ลอ่ หรือจับแมลง เช่น ใบหมอ้ ขา้ วหม้อแกงลิง ใบกาบหอยแครง

- ใช้แทนมอื ยึดเกาะ เช่น ใบตำลึง ใบมะระ

ลักษณะ พืชใบเล้ียงเดย่ี วและพืชใบเลี้ยงคู่ พืชใบเลยี้ งคู่
1. จำนวนใบเลี้ยง พชื ใบเลย้ี งเด่ยี ว
2. ข้อปลอ้ ง
3. ใบ 1 ใบ 2 ใบ
4. เสน้ ใบ
5. ราก ข้อปล้องชัดเจน ขอ้ ปล้องไม่ชดั เจน
6. จำนวนกลบี ดอก
7. ทอ่ ลำเลยี ง ยาวและแคบ ใบอว้ น
8. ตวั อย่างพืช
เรยี งตวั ขนาน เป็นร่างแห

รากฝอย รากแก้ว

3 กลีบ หรอื ทวีคูณของ 3 4 – 5 กลบี หรือทวีคณู ของ 4 – 5

กระจายทั่วลำต้น เปน็ ระเบยี บ เรียงตวั แนวรัศมี

อ้อย มะพร้าว ปาลม์ ไผ่ ตะไคร้ ขา้ ว มะม่วง มะขาม สกั ยาง มะละกอ มะนาว

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 24

4) ดอก - เปน็ อวยั วะสืบพันธ์ุของพชื แบบอาศยั เพศ
- สว่ นประกอบท่สี ำคญั เรยี งตามลำดบั จากช้ันนอกสดุ คือ กลบี เล้ียง กลีบดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมยี

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 25

ส่วนประกอบของดอก

1. กลบี เลี้ยง (Sepal) - อยู่นอกสดุ ของดอก

- สว่ นใหญ่มสี ีเขยี ว

- ห่อห้มุ ส่วนของดอกที่ยงั ตมู เพอื่ ป้องกันอนั ตรายจากแมลง

2. กลีบดอก (Petal) - มีสีสนั สวยงาม มกี ลนิ่ หอม มีตอ่ มน้ำหวานอยู่ที่โคนกลบี

- ล่อแมลงใหม้ าผสมเกสร

3. เกสรเพศผู้ (Stamen) - สรา้ งเซลล์สืบพนั ธ์เุ พศผู้ มหี ลายอนั รวมกัน สว่ นประกอบ เชน่

1). ละอองเรณู อยู่ในอับเรณู สร้างเซลล์สบื พันธ์เุ พศผู้

2). อบั ละอองเรณู เปน็ เมด็ ๆ อยบู่ นก้านชูอบั เรณู มีละอองเรณเู ล็ก ๆ สีเหลอื ง

3). ก้านชอู บั ละอองเรณู เป็นแทง่ ยาว

4. เกสรเพศเมีย (Pistil) - สร้างเซลลส์ ืบพันธ์ุเพศเมยี มีส่วนประกอบสำคัญ คือ

1). รงั ไข่ อยลู่ า่ งสุดบรเิ วณฐานรองดอก ภายในรังไข่มีออวลุ ในออวลุ มีเซลลไ์ ข่

2). กา้ นเกสรเพศเมีย อยู่เหนอื รังไขจ่ ะเปน็ ท่อยาว ในทอ่ ของกา้ นชูเกสรจะมีนำ้ เหนียวๆ

3). ยอดเกสรเพศเมีย ยึดเกาะละอองเรณูให้มาผสมกับไข่ในรงั ไข่

การจำแนกประเภทของดอก

• ใช้สว่ นประกอบเปน็ เกณฑ์

1. ดอกสมบรู ณ์หรือดอกครบสว่ น - ดอกทม่ี ีครบทัง้ 4 สว่ น คือ กลบี เลีย้ ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมยี
(Complete Flower) เชน่ ชบา กุหลาบ มะเขือ ผักบุ้ง พรกิ บานบรุ ี มะลิ มะขาม นอ้ ยหนา่

2. ดอกไม่สมบรู ณ์หรอื ดอกไม่ครบส่วน - ดอกท่ีมีไม่ครบ 4 ส่วน ขาดไปอย่างใดอยา่ งหนึ่ง

(Incomplete Flower) เช่น มะละกอ ฟักทอง ตำลึง แตงกวา เฟ่ืองฟ้า บวบ ข้าวโพด มะพรา้ ว

• ใช้อวัยวะสบื พนั ธุ์เปน็ เกณฑ์

1. ดอกสมบูรณ์เพศ (Perfect Flower) - ดอกทม่ี ีเกสรเพศผแู้ ละเกสรเพศเมยี อยู่ในดอกเดียวกัน

2. ดอกไม่สมบรู ณ์เพศ (Imperfect Flower) - ดอกทมี่ ีแตเ่ กสรเพศผ้หู รือเกสรเพศเมียอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่

• ใช้จำนวนดอกบนหนึ่งกา้ นดอกเปน็ เกณฑ์

1. ดอกเดี่ยว (Solitary Flower) - 1 กา้ นชูดอก มี 1 ดอก เชน่ บวั มะเขือ ฟักทอง กหุ ลาบ ชบา

2. ดอกช่อ (Inflorescence Flower) - 1 กา้ นชูดอก มหี ลายดอก เชน่ เขม็ ขา้ ว ผกากรอง คะน้า ขีเ้ หล็ก

ดอกรวม (Composite Flower) - ดอกชอ่ ท่ีมดี อกย่อยมากอยู่บนฐานรองดอก เช่น ทานตะวัน บานไม่รโู้ รย

ดอกช่อที่คลา้ ยดอกเด่ียว มีกา้ นชูดอกอนั เดยี ว

ดอกไม้บางชนิด ไมม่ ีกลีบดอก เช่น ดอกหนา้ ววั ดอกครสิ ต์มาส

กลบี ดอกเลก็ ไมเ่ ด่นชดั เชน่ ดอกเฟ่ืองฟ้า ดอกซอนย่า

กลีบเลี้ยงคล้ายกลบี ดอก เช่น ดอกบวั เรียกวา่ วงกลีบรวม

**ดอกครบส่วน เป็นดอกสมบรู ณเ์ พศเสมอ
**ดอกไม่ครบสว่ น อาจเปน็ ดอกสมบูรณเ์ พศหรือไมส่ มบูรณเ์ พศก็ได้
**ดอกสมบรู ณ์เพศ อาจเปน็ ดอกครบสว่ นหรอื ไม่ครบสว่ นก็ได้
**ดอกไมส่ มบูรณเ์ พศ เป็นดอกไม่ครบส่วนเสมอ

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 26

5) ผล - สว่ นใหญ่ มาจากการเจรญิ เติบโตของรังไข่ หลังการปฏสิ นธิ
- ผลบางชนดิ ไม่มกี ารปฏิสนธิ เมล็ดจะลีบหรอื ไมม่ ีเมล็ด เช่น กลว้ ยหอม สบั ปะรด

1. ผลเดยี่ ว (Simple Fruit)
คือ ผลทีเ่ กดิ จากรงั ไข่อันเดยี วทอี่ ยใู่ นดอกเดยี ว อาจมีออวุลเดยี วหรอื หลายออวุลก็ได้
1.1 ในรงั ไข่มี 1 ออวลุ ได้ผลเดยี่ ว 1 เมล็ด เชน่ มะมว่ ง เงาะ มะยม มะพร้าว ลำไย มะปราง พทุ รา
1.2 ในรงั ไข่มี หลายออวุล ไดผ้ ลเดย่ี ว หลายเมล็ด เชน่ แตงโม ละมดุ มะละกอ สม้ มะนาว ทุเรียน มะขาม

2. ผลกลุ่ม (Aggregate Fruit)
คือ ผลที่เกดิ จากรังไข่หลายอันท่ีอยู่ในดอกเดียว ได้ผล 1 ผล
2.1 รังไข่แต่ละอนั แยกเปน็ ผลย่อย 1 ผล ดูเหมือนหลายผล เชน่ จำปา จำปี กระดังงา ลกู จาก การเวก
2.2 รังไขแ่ ตล่ ะอนั อัดกันแนน่ ดเู หมอื นผลเด่ยี ว เช่น นอ้ ยหน่า ฝักบวั สตรอว์เบอรร์ ี

3. ผลรวม (Multiple Fruit)
คอื ผลทเ่ี กิดจากรงั ไข่ของช่อดอก โดยแตล่ ะดอกมรี งั ไข่อันเดียว ผลจะเชือ่ มรวมเป็นเน้ือเดียวจนดคู ลา้ ยผลเด่ยี ว

เช่น สับปะรด ขนุน สาเก ลูกยอ หม่อน มะเด่ือ

****เนอ้ื ของผลทเี่ จริญมาจากฐานรองดอก เชน่ ชมพู่ แอปเปิล ฝรง่ั สาล่ี แพร์ มะมว่ งหิมพานต์
****เนือ้ ของผลที่เจริญมาจากส่วนของกลบี ดอก เชน่ ขนุน สับปะรด

6) เมล็ด เมล็ดเจริญมาจากออวุล ซงึ่ ภายในเมล็ดประกอบด้วย ไซโกต (เอ็มบริโอ) และเอนโดสเปิร์ม
1. เอ็มบริโอ (Embryo) เจริญเปน็ ตน้ ไม้
2. เอนโดสเปริ ์ม (Endosperm) เปน็ อาหารของเอม็ บริโอ
เชน่ เมล็ดมะพร้าว มเี อนโดสเปริ ์มท้ังของแข็ง (เนื้อมะพร้าว) และของเหลว (น้ำมะพรา้ ว)
เมล็ดละหุ่ง มีเอนโดสเปริ ์มแข็ง
เมลด็ ถ่ัว มีเอนโดสเปิร์มสะสมในใบเล้ยี ง
3. เปลือกหมุ้ เมล็ด (Seed coat)

2. วัฏจกั รของพชื ดอก

1. รากงอกออกจากเมลด็ กอ่ นลงส่ดู ิน
2. ลำตน้ งอกออกจากเมลด็ ข้ึนแลว้ แตกใบ
3. ออกดอก ออกผล โดยภายในผลจะมีเมลด็
พชื ออกดอก เม่ือดอกได้รับการถา่ ยละอองเรณูจะเกิดการปฏสิ นธิ

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 27

3. การขยายพนั ธ์ุพืช

3.1 การขยายพันธุ์พชื แบบอาศัยเพศ (การสืบพนั ธข์ุ องพืชดอก)
พืชดอกจัดเปน็ พืชชั้นสูงทม่ี ีสว่ นต่าง ๆ ครบสมบรู ณ์ พชื มีดอกบางชนิดไมเ่ คยเหน็ ดอกเลย เนื่องจากดอกมี

ขนาดเลก็ หรอื ใชเ้ วลานานหลายปีกว่าจะออกดอก เช่น ไผ่ ตะไคร้ โกสน
1. การถ่ายละอองเรณู

ละอองเรณูของเกสรเพศผไู้ ปตกลงบนยอดเกสรเพศเมีย หลังจากน้นั ละอองเรณูจะงอกท่อเลก็ ๆ เพ่ือนำเซลล์
สบื พนั ธไ์ุ ปผสมกับเซลลไ์ ข่

ปัจจัยทมี่ ีผลตอ่ การถา่ ยละอองเรณู
1. ลม
2. สัตว์ เชน่ แมลง (ผ้งึ ผเี สอื้ ) นก คา้ งคาวบางชนดิ
3. นำ้
4. มนุษย์
2. การปฏิสนธิ
หลังจากทลี่ ะอองเรณูตกลงบนยอดเกสรเพศเมียแล้วละอองเรณู (ทม่ี ีเซลล์สืบพันธุ์เพศผ)ู้ จะงอกหลอดแทงลงไป
ในก้านเกสรเพศเมยี จนถงึ เซลลไ์ ข่ (ไข่อ่อน-ออวุล) ที่อยู่ภายในรงั ไข่

- รงั ไข่ เจรญิ ไปเป็น ผล
- ผนงั รงั ไข่ เจรญิ ไปเปน็ เปลือกและเนอ้ื
- ออวุล เจรญิ ไปเป็น เมลด็
- เยื้อหุ้มออวลุ เจรญิ ไปเป็น เปลอื กหุ้มเมลด็
- โพลารน์ วิ เคลยี ส เจริญไปเปน็ เอนโดสเปิร์ม

3.2 การสบื พนั ธ์ุของพชื ไร้ดอก
พืชไร้ดอก เป็นพชื ชน้ั ต่ำท่ีมีส่วนประกอบไม่ครบ ไม่มีดอก จงึ ไมส่ ามารถสบื พนั ธุ์โดยใชเ้ มล็ดได้ ต้องแบ่งเซลล์

แตกหน่อ หรือสร้างสปอร์ แทน เชน่ มอส เฟนิ สน ปรง ชายผ้าสีดา ตะไคร่น้ำ

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 28

3.3 การขยายพันธุพ์ ชื แบบไมอ่ าศัยเพศ ภาพ ขอ้ ดี
ใหด้ อกและผลเรว็ กวา่ วธิ ีเพาะเมลด็

วิธกี าร ลกั ษณะ

- ตัดสว่ นของพชื จากต้นเดมิ มกั ใช้กบั พชื ท่ีเกิดรากง่าย มา - ให้ดอกและผลเรว็
การปกั ชำ ปักลงดนิ หรอื ทรายทช่ี ืน้ แลว้ รดน้ำทกุ วัน เมอื่ เกดิ รากข้นึ กวา่ การเพาะเมล็ด

นำไปปลกู ลงดิน และนำใบออกบางส่วนเพื่อลดการคายน้ำ

- ทำใหก้ ่งิ เกิดรากขณะติดอยู่บนต้นแม่ ใช้กบั พืชใบเล้ียงคู่ - ให้ดอกและผลเร็ว
เหมือนพนั ธุ์เดิมทุก
การตอนกิง่ หรือพชื ท่เี ปน็ ไมม้ ีแกน่ โดยคว่ันรอบกิ่งลอกเปลือก ขูดเอา ประการ แต่ไม่มรี าก
ทอ่ ลำเลยี งอาหารออก พอกด้วยดินเหนยี วและหุม้ ด้วย แก้ว จะโคน่ ง่าย

กาบหรอื ขยุ มะพรา้ ว แล้วหุ้มพลาสตกิ มดั เชือกหัวท้าย

- ใชต้ าของพชื พันธุ์ดีไปต่อกับตน้ พ้นื เมือง โดยกรดี ต้น - ใหด้ อกและผลเรว็
การติดตา พ้ืนเมืองเปน็ รูปตัวที (T) แลว้ นำตาของตน้ พนั ธ์ุดเี สียบลง ลกั ษณะดกี ว่าพนั ธุ์
เดิม
ในรอยกรดี พันดว้ ยพลาสติกเหลอื สว่ นของตาไว้

- นำส่วนของต้นตอทม่ี ีรากแข็งแรงมาเช่ือมประสานกบั ก่ิง - ให้ดอกและผลเร็ว
ลักษณะดีกว่าพันธ์ุ
การทาบกง่ิ พันธุ์ดี โดยเฉือนกิ่งพันธ์ดุ ีและตน้ ตอให้มีขนาดเท่ากนั เดิม
ทาบรอยเฉือนทั้งสองกง่ิ ใหต้ ิดกนั ใช้พลาสตกิ พันให้แนน่

เปน็ เนอ้ื เดยี วกนั

- นำก่งิ พันธุด์ ีมาบากปลายให้เป็นลมิ่ แล้วเสยี บลงในตน้ - ให้ดอกและผลเร็ว
การตอ่ กิ่ง ตอทแ่ี ข็งแรง ห้มุ ดว้ ยดินหรือข้ผี งึ้ แล้วพนั ดว้ ยพลาสติกให้ ลักษณะดีกวา่ พนั ธ์ุ
เดิม ทนต่อ
แนน่ กันนำ้ เขา้ สภาพแวดลอ้ ม

- นยิ มในไม้ล้มลุกหรอื ไมเ้ น้ืออ่อน เชน่ มะลิ หม่อน โดย - ใหด้ อกและผลเรว็
การโน้มกงิ่ โน้มกิง่ ลงไปฝังดนิ เหลือปลายโผล่ไวเ้ หนอื ดิน เมื่อมีราก เหมือนพนั ธเ์ุ ดมิ

งอกดีแลว้ จงึ ตดั ออกจากต้นใหญ่ เอาก่งิ ที่เกิดใหม่ไปปลูก

การ - นำเนื้อเยอ่ื เฉพาะสว่ นที่เป็นสว่ นปลายเรียกว่าเนอื้ เย่อื - ให้ผลผลิตมากใน
เพาะเลีย้ ง เจริญ มาเพาะเลี้ยงในอาหารสังเคราะห์ในสภาวะปลอด เวลาส้ัน ปรับปรุง
เน้อื เยอ่ื เช้อื ใช้กบั พืชท่ีมคี วามสำคัญทางเศรษฐกจิ พนั ธพ์ุ ชื ให้ดีขึน้

- พชื GMOs เปน็ การตดั ต่อยีน หรอื การดัดแปลงสารพันธกุ รรม ใหท้ นสารเคมี ต้านทานแมลง นิยมทำกับ มะละกอ
มะเขือเทศ ฝา้ ย ขา้ วโพด ถวั่ เหลือง

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 29

4. ปัจจยั ในการเจริญเตบิ โตของพืช

1. แสง กระตนุ้ การเจรญิ ของปลายยอดปลายราก
2. ดิน ธาตอุ าหารในดิน ความเปร้ียว ความเค็ม ความพรุน แร่ธาตทุ ีส่ ำคัญ ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรสั โพแทสเซยี ม
3. น้ำหรือความช้นื รากดูดน้ำไมใ่ ห้เหยี่ วเฉา ช่วยปรบั อุณหภูมิ
4. อณุ หภมู แิ ละอากาศ สำคัญในการเตบิ โต และออกดอกผล

5. การตอบสนองตอ่ สงิ่ เรา้ ของพชื ตวั อย่าง

ส่งิ เร้า

แรงโนม้ ถว่ ง การงอกของหลอดละอองเรณูไปยังรงั ไขข่ องพืช, ตำลงึ แตง มมี อื เกาะยน่ื ออกจากลำตน้ เพือ่ พยุงลำตน้

แสง การหบุ บานของดอกไม้ บัว ดาวเรอื ง คณุ นายตน่ื สาย, ยอดพืชเขา้ หาแสง, รากพชื หนีแสง

อุณหภมู ิ การบานของดอกทวิ ลิป บัวสวรรค์ เมือ่ รอ้ น, ดอกพดุ ตาน เล็บมือนาง เปล่ียนสีตามอณุ หภมู ใิ นชว่ งวนั

ความชนื้ กระบองเพชร เปล่ียนใบเป็นหนาม ลดการคายนำ้ , รากของพืชเจรญิ เข้าหาความชื้นเสมอ

การสัมผัส ใบไมยราบและผกั กระเฉดหุบเมื่อถูกสมั ผสั , หมอ้ ข้าวหม้อแกงลงิ และกาบหอยแครงหุบกินแมลง

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 30

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 31

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 32

วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ (ชวี วิทยา)

ว 1.3 สง่ิ มชี ีวติ พชื สตั ว์ พันธุกรรม

เข้าใจกระบวนการและความสำคญั ของการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม สารพันธกุ รรม การเปล่ียนแปลงทางพันธุกรรมทมี่ ผี ลต่อส่งิ มชี ีวิต
ความหลากหลายทางชวี ภาพและววิ ัฒนาการของส่งิ มชี ีวติ รวมทัง้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

2. สัตว์

สัตว์

ไม่มีกระดูกสนั หลัง (8 กลมุ่ ) มกี ระดูกสนั หลัง (5 กลุ่ม)

ไมม่ โี ครงรา่ งแข็ง มีโครงรา่ งแขง็

เลอื ดเย็น เลือดอนุ่

มเี หงอื ก (มีครบี ) ไม่มีเหงือก ขนเป็นแผง (มีปีก) ขนเป็นเสน้
1.ปลา 4.สตั วป์ กี 5.สัตว์เลย้ี งลูกด้วยน้ำนม

ผวิ หนังแหง้ มีเกลด็ ผิวหนงั เปยี กช้ืน ไมม่ ีเกล็ด ออกลกู เปน็ ไข่ ออกลกู เปน็ ตวั
2.สัตว์เลอ้ื ยคลาน 3.สตั วส์ ะเทินนำ้ สะเทินบก
ตนุ่ ปากเปด็ , ตัวกนิ มด ชา้ ง, วาฬ, โลมา

1. การจำแนกสตั ว์ ใช้การมกี ระดูกสนั หลัง (โครงร่างแข็ง) เปน็ เกณฑ์

สตั วไ์ ม่มกี ระดูกสนั หลงั มี 8 กลมุ่ สตั วม์ ีกระดกู สนั หลัง มี 5 กลมุ่

1. ฟองนำ้ /สัตวท์ ่ีมลี ำตัวเป็นรพู รุน 1. กลมุ่ ปลา

2. สตั วท์ ม่ี ลี ำตวั กลวง/ลำตัวเป็นโพรง 2. กลมุ่ สัตวส์ ะเทินนำ้ สะเทินบก

3. หนอนตัวแบน 3. กลุ่มสัตวเ์ ลือ้ ยคลาน

4. หนอนตวั กลม 4. กล่มุ สัตว์ปีก

5. สตั ว์ทมี่ ีลำตวั เป็นปลอ้ ง 5. กลมุ่ สตั วเ์ ลี้ยงลกู ดว้ ยน้ำนม

6. สตั วท์ ะเลผวิ ขรขุ ระ

7. หอยและหมึกทะเล

8. สัตวท์ ่ีมขี าเป็นข้อ

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 33

สตั วไ์ ม่มีกระดูกสันหลัง

ประเภทของสตั ว์ ลักษณะ ภาพตวั อยา่ ง ตวั อยา่ งของสตั ว์
ไม่มกี ระดูกสันหลัง

1. ฟองน้ำ/ - คลา้ ยพืช เกาะติดอยู่กบั ที่ ลำตัวเปน็ โพรง มีรพู รนุ ฟองน้ำแก้ว
สตั ว์ท่มี ลี ำตวั เป็นรพู รุน - มหี นาม ไม่มรี ะบบประสาท สว่ นใหญ่อยู่ในนำ้ เค็ม ฟองน้ำหนิ ปนู

2. สัตวท์ ่ีมีลำตัวกลวง/ - ลำตัวใสคลา้ ยวุ้น คลา้ ยทรงกระบอก มีช่องเปดิ 1ช่อง ไฮดรา
ลำตัวเปน็ โพรง แมงกะพรนุ
- มเี ข็มพิษไว้ป้องกนั ตวั และจับเหย่อื ปะการงั กัลปงั หา

- สว่ นใหญอ่ ยู่ในน้ำเค็ม ยกเว้นไฮดราและแมงกะพรนุ นำ้ จดื พยาธใิ บไม้
พยาธติ ัวตดื
3. หนอนตัวแบน - มีลำตัวนม่ิ แบนยาว ไม่มขี า มปี าก ไม่มีทวารหนกั พลานาเรยี
- ไม่มีระบบหมุนเวียนเลอื ด พยาธติ ัวจดี๊
- ส่วนใหญเ่ ป็นปรสติ มีสองเพศในตัวเดียวกนั พยาธิไส้เดือน
ปากขอ เสน้ ด้าย
4. หนอนตัวกลม - ลำตัวนิม่ กลมยาว ไมม่ ขี า ผวิ เรยี บ ไมม่ ีปลอ้ ง ไส้เดือนดิน
- มปี าก มที วารหนัก ไมม่ รี ะบบหมุนเวยี นเลอื ด ปลิงน้ำจืด แม่เพรยี ง
- สว่ นใหญ่เป็นปรสิต สบื พันธุ์แบบอาศัยเพศ แต่ละตวั แยกเพศ ทากดดู เลือด

5. สัตวท์ ีม่ ีลำตวั - ลำตัวกลมยาว เป็นปล้องคล้ายวงแหวนตอ่ กัน ดาวทะเล ปลิงทะเล
เปน็ ปลอ้ ง - ผิวหนงั เปียกชื้น มปี ระสาท ทางเดินอาหาร เม่นทะเล
- เลอื ดแบบปิด มีสองเพศในตัวเดียวกนั
หอย
- ผวิ หยาบ ขรุขระและแขง็ เพราะมหี นิ ปนู หมกึ

6. สัตวท์ ะเลผิวขรขุ ระ - ไมม่ ีหวั บางชนิดเป็นแฉก ใต้ลำตัวมเี ท้าเปน็ ท่อ แมลง แมง
- แตล่ ะตัวแยกเพศ ปู กุง้ กิง้ กือ ตะขาบ

- มลี ำตัวนิ่ม เปลือกแขง็ มหี วั ใจสูบฉีดเลอื ด

7. หอยและหมึกทะเล - เคลื่อนทโ่ี ดยใช้กลา้ มเน้ือทย่ี ื่นออกจากเปลือก
- สืบพนั ธแ์ บบอาศัยเพศ บางชนดิ อาศัยและวางไขบ่ นบก

8. สตั วท์ ่ีมขี าเปน็ ข้อ - มขี าเป็นข้อๆต่อกนั มีเปลือกแขง็ ห่อหุ้มลำตวั
- ส่วนใหญม่ กี ารลอกคราบ ออกลูกเป็นไข่

สตั ว์มกี ระดูกสันหลัง

ประเภทของสตั ว์ ลกั ษณะ ตวั อย่างของสัตว์
มีกระดูกสนั หลัง
ปลาตะเพยี น
- มคี รบี อก ครบี เอว ครีบกน้ ครีบหลงั และครบี หาง ยื่นยาวออกมา ปลาฉลาม
ปลาหางนกยูง
1. จากลำตัวไว้ใชเ้ คล่ือนท่ี
ม้านำ้
กลุ่มปลา - ผวิ หนงั มเี กล็ด อยใู่ นน้ำตลอดชีวติ เมื่อเป็นตวั เต็มวัยจะออกลูกเปน็

ไข่ ซ่ึงจะฟักออกมาเป็นลูกปลาต่อไป

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 34

ประเภทของสัตว์ ลักษณะ ตวั อย่างของสัตว์
มีกระดกู สันหลงั
- มผี วิ หนงั เปยี กชน้ื ตลอดเวลา ไม่มขี น มีขา 4 ขา ใช้ในการเคลอ่ื นที่ เขยี ด องึ่ อา่ ง กบ
2. อย่ทู ั้งในน้ำและบนบก ผสมพันธุโ์ ดย เพศผ้ปู ลอ่ ยอสจุ ิ เพศเมยี จะ ปาด คางคก จงโครง่
กลุ่มสตั ว์สะเทินนำ้ ปล่อยไข่ออกมาใหผ้ สมกนั ในน้ำ ไขท่ ผี่ สมแลว้ จะฟักออกมาเป็นตัว จิง้ จกนำ้ (นิวต)์ กะท่าง
อ่อน เรียกวา่ “ลูกอ๊อด” ซึ่งอยูใ่ นนำ้ จนเปน็ ตัวเต็มวยั จงึ อยูบ่ นบกได้
สะเทินบก ซาลามานเดอร์
- มีผวิ หนงั แห้ง ไมม่ ีขน มีเกล็ดปกคลุมทว่ั ตวั มขี า 4 ขา มีหางชว่ ยใน งู งูทะเล
3. การเคล่อื นที่ อาศัยได้ทั้งบนบกและในน้ำ ข้ึนมาวางไข่บนบก บางชนิด
กลุ่มสัตวเ์ ลือ้ ยคลาน ไม่มีขา บางชนดิ ออกลูกเป็นตัว ก้งิ กา่ เต่าทะเล เตา่ บก
จระเข้ ตุ๊กแก ตะกวด
4. - ผวิ หนังมขี นเป็นแผง มีขา 1 คู่ มปี กี 1 คู่ เดินบนพื้นดินและบินใน
กลุ่มสัตว์ปกี อากาศได้ ออกลกู เป็นไข่ จิ้งจก จ้ิงเหลน
- บางชนิดบินไมไ่ ด้และบางชนดิ ว่ายน้ำได้ นก เปด็ ไก่
5. หา่ น หงส์
กลมุ่ สตั ว์เลี้ยงลกู - ผวิ หนังมขี นเป็นเส้น ยกเวน้ โลมา ไม่มขี น สว่ นใหญ่มี 4 ขา ออกลกู นกเพนกวิน
เป็นตัว เลี้ยงลกู ดว้ ยนำ้ นม อาศัยบนบก บางชนดิ อยใู่ นน้ำ บางชนิด สนุ ขั แมว ช้าง มา้ ววั
ด้วยน้ำนม ออกลูกเปน็ ไข่ ควาย ลิง ค้างคาว
จิงโจ้ หมีโคอาลา
วาฬ พะยนู โลมา
ต่นุ ปากเปด็
ตวั กนิ มดหนาม(อิคิดนา)

2. การสืบพันธขุ์ องสตั ว์

หมายถงึ การเพ่มิ จำนวนลกู หลานเพอื่ ไมใ่ ห้สญู พันธ์ุ สตั วบ์ างชนิดออกลูกเป็นไข่ บางชนิดออกลกู เปน็ ตัว
แบง่ เปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ การสบื พันธ์แุ บบอาศยั เพศ และการสบื พนั ธุ์แบบไม่อาศยั เพศ

2.1 การสืบพนั ธแุ์ บบอาศยั เพศ

คือ การรวมตัวของเซลลส์ ืบพันธ์ุเพศผู้ (อสุจิหรือสเปริ ์ม) และเซลล์สืบพันธเ์ุ พศเมยี (ไข)่ เรยี กวา่ การปฏสิ นธิ

1. การปฏิสนธภิ ายนอก - เซลล์สืบพนั ธร์ุ วมตวั กันภายนอกร่างกายของเพศเมยี

- พบในสตั ว์สะเทนิ น้ำสะเทินบก และพวกปลา

2. การปฏิสนธิภายใน - เซลล์สืบพันธุร์ วมตัวกนั ภายในรา่ งกายของเพศเมยี

- พบในสตั วเ์ ลื้อยคลาน สัตว์ปีก และสตั ว์เลยี้ งลกู ด้วยนำ้ นม

*****สตั ว์ทปี่ ฏิสนธิภายในและออกลูกเปน็ ไข่ทมี่ ีเปลือกแขง็ หรอื ไข่ทีม่ ีเปลือกเหนยี วหุ้ม

====> สัตว์เลื้อยคลาน เช่น จระเข้ เตา่ งูบางชนดิ

====> สตั วป์ กี เชน่ ไก่ นก เป็ด หา่ น

*****สัตว์ที่ปฏิสนธิภายในและออกลูกเป็นตวั

====> สัตวเ์ ล้ยี งลูกด้วยนำ้ นม เชน่ ช้าง ม้า วัว ควาย โลมา วาฬ พะยนู

====> ปลาบางชนิด เช่น ปลาหางนกยงู ปลาสอด ปลาเข็ม

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 35

2.2 การสบื พันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ

การสบื พันธุ์แบบ วิธีการ ตัวอยา่ งสิ่งมชี ีวิต ภาพ

1. การแตกหน่อ - มีการสรา้ งเนื้อเย่ือขา้ งลำตัว - ไฮดรา ยีสต์ ฟองนำ้

(Budding) งอกออกมา - ขิง ขา่ กลว้ ย ไผ่

2. การแบ่งหนง่ึ เป็นสอง - แบง่ ตวั จาก 1 เซลล์ เปน็ 2 - อะมบี า พารามเี ซียม

(Binary Fission) เซลล์ ยกู ลนี า

3. การงอกใหม่ - สรา้ งสว่ นของรา่ งกายทีข่ าด - พลานาเรีย ดาวทะเล
(Regeneration) หายไป งอกเปน็ ตวั ใหม่ได้ ไส้เดอื นดนิ ปลงิ

4. พารท์ ิโนเจเนซสี - ตวั เมียผลติ ไข่ทฟ่ี ักเปน็ ตวั - ไข่ฟักเปน็ ตัวเมยี ได้แก่ ต๊ักแตนก่งิ ไม้ เพลย้ี ไรนำ้

(Parthenogenesis) โดยไมต่ ้องปฏสิ นธิ - ไขฟ่ ักเปน็ ตวั ผู้ ได้แก่ มด ตอ่ แตน ผึ้ง

***การงอกใหมข่ องหางจง้ิ จก ไม่ใช้การสืบพันธ์แุ บบไม่อาศยั เพศ เพราะไม่ไดเ้ พิ่มจำนวน

2.3 ความกา้ วหนา้ ทางชีวภาพ
1. การโคลน แบบไม่อาศยั เพศ การโคลนสตั ว์เล้ยี งลกู ดว้ ยนำ้ นมตัวแรกคือ แกะดอลลี่
2. การผสมเทยี ม แบบอาศัยเพศ ทำได้ทั้งสตั ว์ที่ปฏิสนธิภายใน เชน่ ววั ควาย หมู และสัตวท์ ปี่ ฏิสนธิภายนอก เช่น ปลา
3. การถา่ ยฝากตวั อ่อน แบบอาศัยเพศ ทำในสตั วท์ ีต่ กลูกคร้ังละ 1 ตัว และต้งั ท้องนาน เช่น วัว ควาย ไมน่ ิยมทำใน หมู
4. การตัดแตง่ ยนี (พันธุวิศวกรรม)
5. การผสมพนั ธุใ์ นหลอดแก้ว

- พอ่ ลา + แมม่ า้ = ล่อ (Mule) - พ่อเสือ + แมส่ งิ โต = ไทกอน (Tigon)
- พ่อมา้ + แมล่ า = ฮนิ นี่ (Hinny) - พอ่ สิงโต + แมเ่ สอื = ไลเกอร์ (Liger)

3. การเปล่ยี นแปลงรปู รา่ งของสตั ว์

การเปลย่ี นแปลง ข้ันตอน แผนภาพ ตัวอยา่ งสิ่งมีชีวติ
รปู ร่าง
ผีเส้ือ
1. ไข่ (egg) ยุง
การเปลีย่ นแปลง ตวั อ่อน (larva) ผ้ึง
ดกั แด้ (pupa) มด
รูปร่างอยา่ ง ตัวเตม็ วยั (adult) ตอ่
สมบูรณ์ แตน
ไหม
(เมตามอรโ์ ฟซิส แมลงวนั
แบบสมบรู ณ์) ดว้ ง

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 36

การเปล่ียนแปลง ขั้นตอน แผนภาพ ตวั อย่างสง่ิ มีชีวติ
รูปร่าง
2. ไข่ (egg) แมลงปอ
ชีปะขาว
การเปลี่ยนแปลง ตวั ออ่ นในนำ้ จิงโจ้น้ำ
รปู ร่างไมส่ มบูรณ์ (naiad)

(เมตามอรโ์ ฟซิส ตวั เตม็ วยั (adult) ต๊ักแตน
แบบไม่สมบูรณ์) ไข่ (egg) แมลงสาบ
จิง้ หรีด
3. ตัวอ่อน (nymph)
การเปลย่ี นแปลง ตวั เตม็ วยั (adult) จกั จน่ั
รูปร่างทีละน้อย มวน
เหา
ปลวก
ไร
เพลยี้

4. ตัวออ่ นมลี ักษณะ -สตั ว์เล้ยี งลูกด้วยน้ำนม
ไมม่ ี เหมือนตัวเต็มวยั -สตั วเ์ ลอื้ ยคลาน
การเปลย่ี นแปลง -สตั ว์ปีก
รปู รา่ ง ทุกประการ -แมลงบางชนดิ
(อะเมตามอร์ แต่
โฟซีส) (ตัวสองงา่ ม, ตัวสามงา่ ม
ขนาดเล็กกวา่ แมลงหางดดี )

***โรคที่มียงุ เปน็ พาหะนำโรค - โรคมาลาเรยี (ไข้จับสั่น) พาหะคือ ยุงกน้ ปล่อง
- โรคไขเ้ ลือดออก พาหะคือ ยุงลาย - โรคไข้สมองอับเสบ พาหะคือ ยุงรำคาญ
- โรคเท้าช้าง พาหะคือ ยุงรำคาญ

4. สตั วป์ า่ คุม้ ครอง

คอื สตั ว์ปา่ ทมี่ ีชื่ออยู่ในบัญชีแนบทา้ ย กฎกระทรวง กำหนดใหเ้ ปน็ สัตวป์ ่าบางชนดิ เป็นสัตวป์ ่าค้มุ ครอง พ.ศ. 2546

ตามพระราชบัญญตั ิสงวนและคุม้ ครองสตั ว์ปา่ พ.ศ. 2535 ประกอบดว้ ย

- สัตวป์ า่ จำพวกสัตวเ์ ลยี้ งลกู ดว้ ยนม 201 ชนดิ - นก 952 ชนดิ

- สตั ว์เล้ือยคลาน 91 ชนิด - สตั ว์สะเทนิ นำ้ สะเทินบก 12 ชนิด

- แมลง 20 ชนดิ - ปลา 14 ชนิด

- สตั วไ์ ม่มีกระดกู สันหลงั อืน่ ๆ 12 ชนิด

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 37

5. สตั วป์ า่ สงวน

คือ สตั วป์ า่ ท่หี ายาก หา้ มล่าโดยเดด็ ขาด และหา้ มมีไว้ในครอบครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคมุ้ ครองสตั ว์ป่า
พ.ศ. 2535 มี 15 ชนิด ดงั นี้

1. กระซู่ 2. กวางผา 3. กูปรหี รือโคไพร

4. เกง้ หม้อ 5. ควายปา่ 6. พะยูนหรือหมูนำ้

7. แมวลายหินอ่อน 8. แรด 9. ละองหรอื ละมง่ั

10. เลียงผาหรอื เยืองหรือกรู ำหรือโครำ 11. สมเสร็จ 12. สมันหรือเน้อื สมนั

13. นกกะเรยี น 14. นกเจ้าฟ้าหญิงสิรนิ ธร 15. นกแตว้ แล้วทอ้ งดำ

และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตวป์ ่า พ.ศ. 2562 (พฤษภาคม 2562) เพิม่ อกี 4 ชนิดคอื

1. วาฬบรดู า้ เป็นสตั ว์เลี้ยงลกู ดว้ ยน้ำนม

2. วาฬโอมรู ะ เป็นสตั วเ์ ล้ียงลูกด้วยน้ำนม

3. เต่ามะเฟอื ง เปน็ สตั ว์เล้อื ยคลาน

4. ปลาฉลามวาฬ เป็นปลา

สรุปวา่ ปัจจุบนั สัตวป์ า่ สงวนมี 19 ชนิด แบ่งเป็น

1. สตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนำ้ นม 14 ชนิด
2. นก 3 ชนิด
3. สัตว์เล้อื ยคลาน 1 ชนดิ
4. ปลา 1 ชนดิ

*** - ปลาดาว ไม่ใช่ ปลา ควรเรียกว่า ดาวทะเล
- ปลาหมกึ ไมใ่ ช่ ปลา ควรเรียกว่า หมกึ
- ปลาวาฬ ไม่ใช่ ปลา ควรเรยี กวา่ วาฬ
- ปลาโลมา ไมใ่ ช่ ปลา ควรเรยี กว่า โลมา
- มา้ น้ำ ไม่ใช่ ม้า เป็น ปลา
- แมงดานา มี 6 ขา ไม่ใช่ 8 ขา ควรเรยี กว่า แมลงดานา

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 38

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 39

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 40

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 41

วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ (ชีววิทยา)

ว 1.3 สิ่งมชี วี ิต พชื สัตว์ พันธกุ รรม

เข้าใจกระบวนการและความสำคญั ของการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรม สารพันธกุ รรม การเปลย่ี นแปลงทางพันธุกรรมทีม่ ผี ลตอ่ สิ่งมีชีวติ
ความหลากหลายทางชวี ภาพและววิ ัฒนาการของส่ิงมีชวี ิต รวมท้งั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

3. พนั ธกุ รรม

▪ ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม หมายถึงลกั ษณะต่าง ๆ ท่ไี ดจ้ ากพอ่ แม่ ผ่านทางเซลลส์ บื พนั ธ์ุ โดยถา่ ยทอดลกั ษณะ
ของสิง่ มีชวี ิตจากรุน่ หน่ึงไปสู่อีกรุน่ หน่ึง

• แปรผันแบบตอ่ เน่ือง คือ ลกั ษณะท่ีมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและพันธกุ รรม เชน่ สว่ นสูง นำ้ หนัก

• แปรผนั ไม่ต่อเนอ่ื ง คอื ลักษณะทม่ี ีปัจจยั ด้านพันธุกรรมอย่างเดียว เช่น ลกั ย้ิม หอ่ ลิ้นได้
▪ กระบวนการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม

• การทดลองของเมนเดล พชื ที่ใช้ในการศึกษา คือ ตน้ ถั่วลันเตา ศกึ ษา 7 ลักษณะ ทลี ะลกั ษณะ

• เหตผุ ลท่ีเลือกถั่วลันเตา เนื่องจาก หางา่ ย ปลูกงา่ ย โตเรว็ มีความตา้ นทานโรคสงู ให้ลูกมาก วงชวี ิต
ส้ัน มีลักษณะแตกตา่ งกันหลายลกั ษณะ

ข้อสรปุ จากการวิเคราะหข์ องเมนเดล
1. การถา่ ยทอดลกั ษณะหน่ึงลักษณะใดของสงิ่ มีชีวิตถูกควบคมุ โดยปจั จยั เปน็ คู่ ๆ ตอ่ มาปัจจยั เหลา่ นั้นถูก

เรียกว่า ยีน (gene)
2. ยนี ท่คี วบคมุ ลกั ษณะตา่ ง ๆ จะอยู่กันเป็นคู่ ๆ และสามารถถา่ ยทอดไปยงั รนุ่ ต่อไปได้
3. ลักษณะแต่ละลกั ษณะจะมียนี ควบคมุ 1 คู่ โดยมยี ีนหนง่ึ มาจากพ่อและอีกยีนมาจากแม่
4. เมอื่ มกี ารสร้างเซลลส์ ืบพนั ธุ(์ gamete) ยนี ทอ่ี ยู่เปน็ คู่ ๆ จะแยกออกจากกนั ไปอยู่ในเซลลส์ บื พันธขุ์ องแต่

ละเซลลแ์ ละ ยนี เหล่านน้ั จะเขา้ คู่กนั ไดใ้ หมอ่ ีกในไซโกต
5. ลักษณะท่ีไมป่ รากฏในรนุ่ F1 ไม่ได้สญู หายไปไหนเพียงแต่ไมส่ ามารถแสดงออกมาได้
6. ลักษณะทีป่ รากฏออกมาในรุน่ F1 มีเพยี งลักษณะเดยี วเรยี กวา่ ลกั ษณะเด่น (dominant) สว่ นลักษณะ

ที่ปรากฏในรุ่น F2 และมีโอกาสปรากฏในร่นุ ต่อไปได้น้อยกว่า เรยี กวา่ ลกั ษณะด้อย (recessive)
7. ในรุ่น F2 จะได้ลกั ษณะเด่นและลกั ษณะด้อยปรากฏออกมาเปน็ อตั ราสว่ น เดน่ : ด้อย = 3 : 1

• ลักษณะเดน่ หมายถึง ลกั ษณะทป่ี รากฏออกมาในรุ่นลูกหรอื รุ่นต่อ ๆ ไปเสมอ

• ลกั ษณะด้อย หมายถึง ลักษณะท่ีมีโอกาสปรากฏในร่นุ ตอ่ ไปได้น้อยกวา่

• จโี นไทป์ หมายถึง รูปแบบของยนี ทค่ี วบคุมลกั ษณะ

• ฟีโนไทป์ หมายถงึ ลกั ษณะของส่งิ มชี วี ติ ท่ีปรากฏออกมาเนือ่ งจากการควบคุมของยีน

• คขู่ องยนี TT, Tt และ TT เรยี กว่า จีโนไทป์
- คู่ TT หรอื tt เรียกวา่ ฮอมอโลกสั
- คู่ Tt เรยี กว่า เฮเทอโรไซกัส

• สำหรบั ลักษณะท่ีปรากฏให้เห็นภายนอก เช่น ลกั ษณะต้นสงู หรือต้นเตย้ี เรยี กวา่ ฟีโนไทป์

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 42

• กฏของเมนเดล
- การถ่ายทอดทางพนั ธกุ รรมในลกู ร่นุ F1 อัตราส่วนของลักษณะเดน่ : ลักษณะด้อย เป็น 1 : 0
- ในลกู รุ่น F2 อตั ราส่วนของลักษณะเดน่ : ลกั ษณะด้อย เป็น 3 : 1
และอตั ราสว่ นของจีโนไทป์จะเปน็ TT : Tt : tt = 1 : 2 : 1

• กฏของเมนเดลนน้ั ใชใ้ นการทำนายโอกาสเปน็ หลัก มใิ ช่เปน็ การทำนายจำนวน
• บางกรณยี ีนทีก่ ำหนดลักษณะเด่นสามารถแสดงออกและปิดบงั ยีนท่ีกำหนดลกั ษณะด้อยไวไ้ ด้อย่าง
สมบรู ณ์ ลกู ท่ีเกิดมาแสดงออกท้งั ลักษณะเด่นและลกั ษณะด้อย ลกั ษณะเชน่ นเ้ี รียกวา่ ลักษณะเด่นไมส่ มบรู ณ์

▪ โครงสรา้ งทเี่ กย่ี วกับการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม
โครโมโซม อย่ภู ายในนวิ เคลียส เกิดจากโครมาทนิ หดตวั สนั้ เป็นแท่ง
• โครมาทิน คือ เสน้ ใยยาว ๆ บาง ๆ พนั กนั เกิดจากการรวมตวั กันด้วยสาย ดเี อ็นเอขดพันรอบโปรตีน
• ยนี คอื แตล่ ะชว่ งของโมเลกลุ ดเี อ็นเอ เปน็ หนว่ ยพนั ธกุ รรม ทีร่ วบรวมข้อมลู ทางพนั ธุกรรมทม่ี ผี ลตอ่
ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมแต่ละลักษณะของสิ่งมีชวี ติ

▪ ประเภทของโครโมโซม
• ออโตโซมหรือโครโมโซมร่างกาย คูท่ ี่ 1-22 คือโครโมโซมคู่ท่มี ลี ักษณะเหมือนกันทั้งเพศชายและหญิง
ซง่ึ คนมีอยู่ด้วยกัน 22 คู่
• โครโมโซมเพศ คู่ที่ 23 คือ โครโมโซมคทู่ มี่ ลี ักษณะแตกต่างกนั ในเพศชายและเพศหญิง
➢ เพศชาย (XY) เซลลอ์ สจุ ิ 22+x หรอื 22+y
➢ เพศหญงิ (XX) เซลลไ์ ข่ 22+x

พงศาวลี

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 43

ตัวอย่างการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมของพืชและสตั ว์
รุ่น พอ่ แม่ สดี ำ 50 % สขี าว 50 %
ร่นุ ลูก สีดำ 100% สขี าว 0 %
รนุ่ หลาน สีดำ 75 % สขี าว 25 %
สรปุ วา่ รนุ่ ลูก หากมีกระตา่ ยอยู่ 4 ตวั ร่นุ ลูกจะปรากฏลักษณะเด่น 4 ตวั ซงึ่ มขี นสดี ำ คือลกั ษณะเดน่
สรปุ วา่ รุ่นหลาน หากกระตา่ ยรุ่นลกู ผสมกัน รุ่นหลานจะปรากฏสัดส่วนลักษณะเดน่ ต่อด้อยเป็น 3 : 1

คอื มีขนสดี ำ 3 ตวั และขนสีขาว 1 ตัว
และอัตราส่วนของจโี นไทป์จะเป็น AA : Aa : aa = 1 : 2 : 1

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 44

รุ่น พอ่ แม่ ต้นสูง 50 % ต้นเตี้ย 50 %

ลูกรุ่นที่ 1 ต้นสูง 100% ตน้ เต้ีย 0 %

ลูกรนุ่ ที่ 2 ตน้ สงู 75 % ต้นเตยี้ 25 %

สรุปว่า รนุ่ ที่ 1 หากมีต้นพืชอยู่ 4 ตน้ ร่นุ ท่ี 1 จะปรากฏลักษณะเด่น 4 ต้น คือความสูงของตน้ พืช
สรุปวา่ ร่นุ ท่ี 2 หากต้นพืชรนุ่ ท่ี 1 ผสมกนั รุน่ ที่ 2 จะปรากฏสัดสว่ นลกั ษณะเด่นต่อด้อยเป็น 3 : 1

คือ มีพืชต้นสงู 3 ตน้ และพชื ตน้ เตยี้ 1 ตน้
และอตั ราส่วนของจโี นไทปจ์ ะเปน็ TT : Tt : tt = 1 : 2 : 1

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 45

วทิ ยาศาสตร์กายภาพ (เคมี)

ว 2.1 สสาร การเปลีย่ นแปลงทางกายภาพและเคมี

เขา้ ใจสมบตั ขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสมบตั ขิ องสสารกับโครงสร้างและแรงยดึ เหนยี่ วระหว่างอนุภาค หลักและ

ธรรมชาตขิ องการเปลีย่ นแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลายและการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

1. สสาร สสาร สสาร มีสมบัติ 4 ประการ คือ

1. มตี ัวตน 2. มมี วล

สาร 3. ต้องการท่ีอยู่ 4. สัมผสั ได้

สารเน้ือเดยี ว สารเน้ือผสม

สารบริสทุ ธ์ สารละลาย -------คอลลอยด์---------แขวนลอย

ธาตุ สารประกอบ

โลหะ โลหะ

กงึ่ โลหะ ไอออนิก

อโลหะ โคเวเลนต์

1. สารเนอ้ื เดยี ว คอื สารที่สายตามองเหน็ เป็นเน้อื เดียวกัน

2. สารเน้ือผสม คือ สารที่สายตามองเห็นว่าเน้ือไมเ่ ปน็ เน้ือเดียวกัน แยกช้นิ สว่ นกันชดั เจน

3. เราสามารถแยกสารเนื้อเดียวและสารเนอ้ื ผสมออกจากกันได้โดยแยกทางกายภาพ คือใชส้ ายตามองไดเ้ ลย

4. สารบริสุทธ์ิ คือ สารเน้อื เดียวที่มีจดุ เดือดและจดุ หลอมเหลวคงที่ รวมตัวในอตั ราสว่ นคงที่ เขียนสูตรโมเลกุลได้

5. สารละลาย คือ สารเน้อื เดียวท่สี ายตาแยกแยะองคป์ ระกอบไม่ได้ รวมตัวในอัตราส่วนไม่คงท่ี เขยี นสตู รโมเลกลุ ไม่ได้

6. เราสามารถแยกสารบริสุทธแ์ิ ละสารละลายออกจากกนั ได้โดยดูจาก จดุ เดือดและจุดหลอมเหลว อตั ราสว่ นการรวมตัว

7. ธาตุ คือ สารบริสทุ ธ์ทิ ่ปี ระกอบดว้ ยสารเพียงชนิดเดยี ว

8. สารประกอบ คือ สารบริสุทธิ์ทเ่ี กดิ จากธาตุตัง้ แต่ 2 ชนิดขึน้ ไปมารวมกัน

9. เราสามารถแยกธาตุและสารประกอบออกจากกนั โดยดูจำนวนธาตทุ เ่ี ป็นองค์ประกอบ

สมบัติ สารละลาย คอลลอยด์ สารแขวนลอย

1. ขนาดอนภุ าค (เสน้ ผา่ นศูนย์กลาง) เล็กกว่า 10-7 cm 10-7 – 10-4 cm ใหญก่ ว่า 10-4cm

2. การผ่านกระดาษกรอง ได้ ได้ ไมไ่ ด้

3. การผา่ นกระดาษเซลโลเฟน ได้ ไม่ได้ ไม่ได้

4. ปรากฏการณ์ทนิ ดอลล์ ไม่ได้ ได้ ได้

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 46

2. สถานะและการเปลีย่ นสถานะของสาร

ไดร้ ับความร้อน (ดดู ความรอ้ น)

การระเหิด
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------

การหลอมเหลว การระเหย, การกลายเปน็ ไอ

------------------------> ------------------------>

<------------------------ <------------------------
การแข็งตวั การควบแนน่

ของแข็ง ของเหลว แกส๊

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
การระเหดิ กลับ, การพอกพนู , การควบแขง็

สญู เสยี ความร้อน (คายความร้อน)

แบบฝึกหัดท่ี 3.1

1. การเปล่ียนแปลงสถานะจาก ของแข็งไปเป็นของเหลว เรยี กว่า ..................................................................

2. การเปลย่ี นแปลงสถานะจาก ของเหลวไปเป็นแก๊ส เรียกว่า ..................................................................

3. การเปลี่ยนแปลงสถานะจาก ของแข็งไปเป็นแกส๊ เรียกว่า ..................................................................

4. การเปลีย่ นแปลงสถานะจาก แก๊สไปเปน็ ของเหลว เรียกวา่ ..................................................................

5. การเปลย่ี นแปลงสถานะจาก ของเหลวไปเปน็ ของแข็ง เรียกว่า ..................................................................

6. การเปลย่ี นแปลงสถานะจาก แกส๊ ไปเปน็ ของแข็ง เรยี กวา่ ..................................................................

แบบฝึกหัดท่ี 3.2
จากแผนภาพจงเติมหมายเลขทีม่ ีความสมั พันธก์ ับคำท่ีกำหนดใหต้ ่อไปนี้

การระเหดิ .....................

การกลายเป็นไอ .....................

การแขง็ ตวั .....................

การหลอมเหลว .....................

การควบแนน่ .....................

การระเหดิ กลับ(ควบแข็ง) .....................

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 47

สมบตั ขิ องแข็ง ของเหลว แกส๊

สมบัติ ของแข็ง ของเหลว แก๊ส
1. รปู ร่าง ไม่แน่นอน
แนน่ อน ไม่แน่นอน (ฟ้งุ กระจาย)
2. ปรมิ าตร เปลีย่ นตามภาชนะบรรจุ เทา่ กับภาชนะบรรจุ
3. แรงยดึ เหน่ียว อนุภาคอย่หู ่างกันมากที่สดุ
คงท่ี คงท่ี

อนุภาคชดิ ติดกนั ที่สดุ อนุภาคจบั กับหลวมๆ

4. การเคลอ่ื นท่ีของอนุภาค ไมเ่ คลื่อนท่ี เคล่ือนท่ีได้ เคล่ือนที่ไดอ้ ย่างอิสระ
สถานะ อปุ กรณ์ (มีการสนั่ สะเทือน) ฟงุ้ กระจายเตม็ ภาชนะบรรจุ

การหามวลและปรมิ าตรของสสาร การหาปรมิ าตร
วิธีทำ
การหามวล

วธิ ที ำ อุปกรณ์

นำของแข็งไปชัง่ บนตาชั่งหรือตาช่ัง เปน็ รปู ทรง รูปร่างสเ่ี หลี่ยม คำนวณจากสูตร
ตาช่ัง สปรงิ อา่ นคา่ มวล
1. เรขาคณติ กว้าง x ยาว x สงู
ของแขง็ มหี นว่ ยเปน็ กรมั หรอื กิโลกรัม
ไม่เปน็ รปู ทรง การแทนที่น้ำ (ถว้ ยยเู รกา้ )

เรขาคณิต ปริมาตรของแข็ง = นำ้ ที่ลน้ ออกมา

2. ตาชง่ั 1. ชง่ั ภาชนะเปลา่ แล้วอา่ นค่า ภาชนะตวง อา่ นค่าจากขีดบอกระดับ
ของเหลว 2. เทของเหลวใสภ่ าชนะ แล้วอ่านคา่ ของภาชนะตวงนน้ั ๆ
นำ 2 – 1 จะได้ มวลของของเหลว

3. 1. ชัง่ ลูกโป่งทยี่ งั ไม่เป่าลม อ่านค่า ภาชนะ ข้นึ อยู่กับภาชนะที่บรรจุ
แก๊ส ตาชั่ง 2. เปา่ ลมเขา้ ไปในลูกโปง่ แล้วชง่ั รูปร่างตา่ ง ๆ ปริมาตรแก๊สจะวัดตามขนาด

นำ 2 – 1 จะได้ มวลของแก๊ส ภาชนะท่แี ก๊สบรรจุ

ธาตุ คอื สารบรสิ ุทธทิ์ ่ปี ระกอบด้วยสารเพียงชนดิ เดียว แบ่งเป็น โลหะ กึ่งโลหะ และอโลหะ

สมบตั ิ โลหะ กึง่ โลหะ อโลหะ

1. สถานะ ของแขง็ ของแข็ง ของแข็ง ของเหลว แกส๊
ยกเวน้ ปรอท เปน็ ของเหลว

2. การนำไฟฟา้ นำไฟฟา้ ไดด้ ี นำไฟฟ้าได้บางชนิด ไม่นำไฟฟา้
ยกเวน้ แกรไฟต์ นำไฟฟ้าได้

3. จดุ เดอื ด-จุดหลอมเหลว สูง ส่วนใหญส่ งู ตำ่

4. ลกั ษณะผิว เปน็ มนั วาว มที ง้ั มันวาวและดา้ น ผวิ ด้าน

5. เสียงท่เี กดิ จากการเคาะ เสียงดังกังวาน เสียงไมก่ ังวาน เสยี งไม่กังวาน

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 48

สารประกอบ คือ สารบริสุทธ์ิทีเ่ กิดจากธาตตุ ้งั แต่ 2 ชนดิ ขึ้นไปมารวมกนั แบง่ เป็น
1. สารประกอบโลหะ คือ โลหะทกุ ชนดิ เช่น เหล็ก แคลเซียม และโลหะผสม (สารละลายของโลหะ) เชน่
ทองเหลอื ง นาก
2. สารประกอบไอออนิก คือ สารทีเ่ กดิ จากธาตุโลหะรวมกับอโลหะ เชน่ เกลือแกง (โซเดียมคลอไรด์ ; NaCl),
หินปูน (แคลเซยี มคาร์บอเนต ; CaCO3)
3. สารประกอบโคเวเลนต์ คือ สารทีเ่ กิดจากธาตุอโลหะรวมกบั อโลหะ เช่น นำ้ (H2O), แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2)

สมบัติทางกายภาพของวัสดุ

ความแข็ง สภาพยดื หยุ่น การนำความร้อน การนำไฟฟา้

- ความทนทานต่อ - การเปล่ียนแปลงสภาพของ - การถา่ ยโอนความร้อนผา่ น

1. การเกิดรอยของ วัสดุ เมื่อมีแรงมากระทำ อนภุ าคของวัสดจุ ากบริเวณท่ี - การทีก่ ระแส

ความหมาย วสั ดเุ มอื่ มีแรงมา และสามารถกลบั สสู่ ภาพเดิม มีอุณหภูมสิ ูงกว่า ไปยงั ไฟฟ้าผ่านวัสดุ

กระทำ เมอื่ หยดุ ออกแรงกระทำ บริเวณทีม่ อี ุณหภมู ติ ำ่ กว่า

2. - การนำวัสดมุ าขูด - การออกแรงกระทำตอ่ วัสดุ - การให้ความรอ้ นกบั วสั ดุ - การนำวสั ดุไป
ทดสอบโดย ขดี กนั สงั เกตรอยท่ี
เกิดข้นึ บนเน้ือวสั ดุ แล้วหยดุ ออกแรง สังเกตการ แล้วสังเกตการเปลยี่ นแปลง ตอ่ ในวงจรไฟฟ้า

เปล่ยี นแปลงสภาพของวสั ดุ ของอุณหภมู ิของวัสดุ อยา่ งงา่ ย

แบบฝกึ หัดท่ี 3.3
1. ทดลองนำวัสดตุ า่ งชนดิ กนั มาขูดกนั แล้วสังเกตการณเ์ กิดรอยบนวสั ดุ เป็นการทดสอบ ...............................ของวัสดุ
2. ทดลองดึงวสั ดชุ นิดหนงึ่ ถ้าวสั ดชุ นดิ นน้ั กลับคนื สรู่ ูปรา่ งและขนาดเดิมแสดงว่า ....................................................
3. ทดลองตอ่ วงจรไฟฟา้ และนำวัสดชุ นดิ หนึง่ ต่อเขา้ ในวงจรไฟฟ้าปรากฏวา่ หลอดไฟไมส่ ว่าง แสดงว่าวัสดุ ...............
4. ทดลองโดยนำก้อนน้ำหนักมาผูกถ่วงกับวัสดุชนิดที่ 1 และวัสดชุ นิดที่ 2 เพ่ือเปรยี บเทียบว่าวัสดชุ นดิ ใดรบั นำ้ หนกั
ไดม้ ากกว่า เป็นการทดสอบ .................................... ของวสั ดุ
5. ทดลองนำดินนำ้ มันตดิ บนแทง่ วัสดุ 3 แทง่ และจอ่ เปลวไฟไวส้ กั ครู่ สังเกตวา่ ดินน้ำมันจากวัสดุแท่งใดหล่นกอ่ นกนั
เปน็ การทดสอบ ...................................................... ของวัสดุ

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 49

3. การละลาย

สารละลาย เป็นสารเนอ้ื เดยี ว เช่น นำ้ เกลอื น้ำเชอื่ ม มีองค์ประกอบ 2 สว่ น คือ ตัวทำละลายและตัวละลาย
โดยสารที่มีปรมิ าณมากกวา่ และมีสถานะเดยี วกับสารละลาย เรยี กว่า ตวั ทำละลาย
และสารทมี่ ปี ริมาณน้อยกวา่ เรียกว่า ตวั ละลาย
เชน่ น้ำเกลือเปน็ สารละลายท่ีมนี ำ้ เปน็ ตวั ทำละลาย และเกลอื เป็นตวั ละลาย

4. การเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี หรอื การเปล่ียนแปลงทางเคมีท่ผี นั กลบั ไมไ่ ด้

คือการทำให้เกดิ สารใหม่ ซ่ึงมีสมบตั ิตา่ งไปจากสารเดมิ

ข้อสังเกต คอื มี ความร้อน ตะกอน แก๊ส สี กลิ่น และอาจมพี ลงั งานเกิดขึ้นดว้ ย

การเปลีย่ นแปลงทางเคมี การเปลย่ี นแปลงทางกายภาพ

1. เกิดสารใหม่ 1. ไมเ่ กดิ สารใหม่

2. สมบัตขิ องสารเปลยี่ นไปจากเดมิ 2. สมบัตขิ องสารคงเดมิ

3. เปน็ การเปลีย่ นแปลงองคป์ ระกอบภายใน 3. เปน็ การเปลย่ี นแปลงรูปรา่ งภายนอก

4. เปลี่ยนแปลงแล้วกลบั คนื สสู่ ภาพเดมิ ไมไ่ ด้หรือทำ 4. เปลี่ยนแปลงแลว้ กลับคืนสู่สภาพเดิมได้ หรือเปลี่ยน

ไดย้ าก กลับไปกลับมาได้

5. ตัวอยา่ งเชน่ การสุกของผลไม้ การเผาไหม้ของ 5. ตวั อย่างเช่น การเปล่ียนสถานะของน้ำ การระเหดิ ของ

เชือ้ เพลงิ ลกู เหม็น

ปจั จยั ที่มีผลต่อการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี

1. ธรรมชาตขิ องสารต้งั ตน้ สารต้งั ตน้ ท่เี กาะกนั แขง็ แรงหรือมพี นั ธะที่แขง็ แรงจะเกิดปฏกิ ิริยายาก

2. พื้นที่ผิวของสารต้ังต้น

3. อุณหภูมิ เม่ือเพ่มิ อณุ หภมู ิใหร้ ะบบปฏิกิรยิ าจะเกดิ เรว็ ข้นึ

4. ตัวเรง่ ปฏิกิริยา และตัวขัดขวางปฏกิ ิริยา

ตวั เร่งหรือตวั คะตะเลสจะทำใหป้ ฏิกิริยาเกดิ เรว็ ขน้ึ ตัวขดั ขวางหรือตวั หนว่ งจะทำให้ปฏิกิรยิ าเกิดชา้ ลง

5. ความเข้มขน้ ความเข้มขน้ มาก เกดิ ปฏิกริ ิยาไดเ้ รว็

5. ความหนาแนน่ ของสาร

ความหนาแน่น - ปริมาณมวลสารทม่ี อี ยู่ใน 1 หน่วยปริมาตร
มวล - ปรมิ าณเนอ้ื ของวัตถุ จะมีค่าคงทเี่ สมอ มีหน่วยเป็นกิโลกรัม
นำ้ หนัก - แรงดงึ ดูดของโลกที่กระทำต่อมวลของวตั ถุ มีหน่วยเปน็ นิวตนั

*** ถ้าวัสดุนน้ั ลอยนำ้ ได้ แสดงวา่ มคี วามหนาแน่นน้อยกวา่ น้ำ
แต่ถา้ วสั ดนุ ้ันเกิดการจมน้ำ แสดงวา่ มีความหนาแน่นมากกว่าน้ำ

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 50

นำ้ มีความหนาแน่นสงู สุดที่อุณหภมู ิ 4 °C และมีสถานะเป็นของเหลว

6. สารละลายกรด-เบส

สมบัติ สารละลายกรด สารละลายเบส

รสชาติ เปร้ยี ว ฝาด

คา่ ความเปน็ กรดเบส (pH) นอ้ ยกวา่ 7 มากกวา่ 7

กระดาษลิตมัสสีน้ำเงนิ นำ้ เงนิ → แดง น้ำเงิน → นำ้ เงนิ (ไมเ่ ปลีย่ นส)ี

กระดาษลิตมสั สีแดง แดง → แดง (ไม่เปล่ียนส)ี แดง → น้ำเงิน

สารละลายฟนี อล์ฟทาลีน ไม่เปล่ียนสี เปลย่ี นเปน็ สีชมพเู ข้ม

ทำปฏิกิริยากับหนิ ปนู (CaCO3) เกิดแกส๊ CO2 -
ทำปฏิกริ ยิ ากับสารละลาย NH4NO3 - เกดิ แก๊ส NH3
-
ทำปฏกิ ริ ยิ ากับนำ้ มันพชื ,สตั ว์ เกดิ สบู่

ตัวอย่างสาร นำ้ มะนาว น้ำส้มสายชู น้ำอดั ลม สบู่ ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน
นำ้ ยาลา้ งห้องนำ้ ครีมนวดผม นำ้ ข้เี ถ้า น้ำปูนใส ยาสระผม

สารทมี่ ีฤทธเ์ิ ป็นกลาง - ไมเ่ ปลีย่ นสกี ระดาษลิตมัสนำ้ เงนิ - ไม่เปลี่ยนสกี ระดาษลติ มสั แดง

ตวั อย่างเช่น น้ำเกลือ น้ำเชือ่ ม น้ำกล่ัน

*** ดอกอัญชนั และกะหล่ำปลมี ่วง เป็นอนิ ดเิ คเตอรท์ ี่ใช้ทดสอบความเปน็ กรดเบสได้
- กรด เปลี่ยนเปน็ สมี ว่ งแดง
- เบส เปลีย่ นเปน็ สเี ขียว


Click to View FlipBook Version