วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 51
7. การแยกสาร
สารผสม คือ สารทป่ี ระกอบด้วยสารตง้ั แต่ 2 ชนิดขึน้ ไปทผ่ี สมอยูร่ วมกนั โดยอาจมีลกั ษณะผสมกลมกลนื เปน็
เน้อื เดยี วกัน เรยี กว่า สารเนอื้ เดยี ว เชน่ นำ้ เชื่อม น้ำเกลือ ทองเหลือ หรอื อาจมลี กั ษณะไม่ผสมกลมกลนื เป็นเน้ือ
เดียวกนั เรยี กว่า สารเนือ้ ผสม เช่น ขา้ วสารปนกรวด นำ้ จ้ิมไก่ น้ำโคลน
- สารผสมที่ประกอบด้วยของแข็งปนกับของแข็งที่มลี ักษณะแตกตา่ งกนั ชดั เจน
อาจแยกสารโดยใช้วธิ ีการหยิบออก การร่อนผ่านวัสดุทีม่ รี ู หรือการระเหิด
- สารผสมท่ปี ระกอบดว้ ยของแข็งปนกับของเหลว โดยของแข็งน้นั ไมล่ ะลายในของเหลว
อาจแยกสารโดยใช้วิธกี ารรินออก การกรอง หรอื การทำให้ตกตะกอน
- สารผสมทีป่ ระกอบดว้ ยของแขง็ ปนกบั ของเหลว โดยของแข็งนั้นละลายได้ในของเหลว
อาจแยกสารโดยใช้วธิ ีการระเหยแห้ง
- สารผสมท่ีประกอบดว้ ยของแขง็ ทเ่ี ปน็ สารแมเ่ หล็กกับของแขง็ ท่ีไมเ่ ปน็ สารแมเ่ หลก็
อาจแยกสารโดยใชแ้ มเ่ หลก็ ดึงดดู สารแมเ่ หลก็ ออกมาได้
1. การหยิบออก แยกสารท่ีมีของแข็งผสมกับของแข็งที่มีขนาดตา่ งกันชัดเจน โดยของแข็งน้ันอาจมขี นาดใหญ่พอ
2. การร่อน แยกสารที่มีของแข็งขนาดต่าง ๆ กนั โดยของแข็งอาจมีขนาดเล็ก และใช้มือหยิบออกไม่ได้
3. การใชแ้ มเ่ หล็กดูด เช่น ดดู สารแมเ่ หลก็ เชน่ ผงตะไบเหลก็
4. การกรอง เปน็ การแยกสารทเ่ี ปน็ ของแขง็ ออกจากของเหลว โดยของแข็งต้องไมล่ ะลายในของเหลวน้ัน
5. การใช้กรวยแยก เปน็ การแยกสารทีเ่ ปน็ ของเหลว ทไี่ มล่ ะลายซง่ึ กันและกัน เชน่ นำ้ กับนำ้ มนั
6. การระเหยแหง้ แยกของแข็งและของเหลวท่ลี ะลายซ่ึงกันและกัน เชน่ การทำนาเกลือ
7. การระเหดิ เหมาะกับสารทีม่ ีจุดเดือดตำ่ ระเหิดได้ง่าย เช่น การบรู ลูกเหมน็ พิมเสน เกล็ดไอโอดนี
8. การตกตะกอน ของแข็งท่ีแขวนลอยอยคู่ ่อย ๆ ตกตะกอนรวมกนั ทกี่ ้นภาชนะตามแรงโน้มถ่วงของโลก
การตกตะกอนนิยมนำมาใช้ในกระบวนการผลติ นำ้ ประปา เรานิยมนำสารส้มมาแกว่งในน้ำทีม่ ี
ของแข็งแขวนลอยอยู่เพ่ือเรง่ การตกตะกอน
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 52
9. การกลั่น เหมาะสำหรบั ของเหลวท่ปี นเป็นเนื้อเดียวกนั แต่มีจดุ เดือดต่างกนั
9.1 การกลนั่ ธรรมดา เหมาะสำหรับสารที่มจี ุดเดือดตา่ งกนั ตง้ั แต่ 80 C ขน้ึ ไป
9.2 การกลั่นลำดับสว่ น เหมาะสำหรับสารที่มีจุดเดือดต่างกันเพียงเล็กน้อย เช่นการกล่นั น้ำมนั ปโิ ตรเลยี ม
10. โครมาโทกราฟี ใชแ้ ยกสารโดยใชส้ มบัตกิ ารละลายและการดูดซับ
สารทลี่ ะลายได้ดี และดูดซบั ได้นอ้ ย สารนน้ั จะเคลื่อนที่ได้เรว็
สารที่ละลายได้น้อย และดูดซับไดด้ ี สารนัน้ จะเคลื่อนท่ีได้ช้า
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 53
วิทยาศาสตร์กายภาพ (ฟิสิกส์)
ว 2.2 แรงและการเคลื่อนที่
เขา้ ใจธรรมชาติของแรงในชีวติ ประจำวนั ผลของแรงท่กี ระทำต่อวัตถุ ลกั ษณะการเคลื่อนทีแ่ บบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมทง้ั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
แรงและการเคลื่อนท่ี
1. ปริมาณทางฟิสิกส์
1. ปรมิ าณสเกลาร์ หมายถึง ปรมิ าณท่ีบอกเฉพาะขนาดแล้วมคี วามหมายสมบูรณ์ เช่น ระยะทาง ปรมิ าตร มวล
เวลา ความหนาแนน่ งาน พลังงาน
2. ปริมาณเวกเตอร์ หมายถึง ปรมิ าณท่บี อกทง้ั ขนาดและทิศทางจงึ จะมคี วามหมายสมบูรณ์ เช่น การกระจัด
ความเรง่ ความเรว็ แรง โมเมนต์
การกระจัด คือ ระยะทางการเปล่ยี นตำแหนง่ ของวตั ถุจากจุดเริ่มต้นถึงจดุ สุดทา้ ยในแนวเสน้ ตรง
เป็นปรมิ าณเวกเตอร์
ระยะทาง คือ ความยาวตามเสน้ ทางทว่ี ัตถุเคลือ่ นท่ี เป็นปรมิ าณสเกลาร์
***ระยะทางกบั การกระจัดจะเท่ากนั เม่ือเป็นการเคลอ่ื นที่แนวตรง ไมก่ ลับทศิ ***
2. แรงลพั ธ์ คือ แรงทีเ่ กิดจากการรวมของแรงหลาย ๆ แรง ท่กี ระทำต่อวตั ถุเดียวกนั และต้องพิจารณาทิศทางด้วย
กรณที ่ี 1 สองแรงกระทำกบั วตั ถใุ นทิศทาง เดยี วกนั กรณที ่ี 2 สองแรงกระทำกบั วัตถใุ นทิศทาง ตรงขา้ มกัน
วตั ถเุ คล่ือนที่ไปทางขวามือ แรงลพั ธ์ = 50 นิวตนั วตั ถุเคล่อื นที่ไปทางขวามือ แรงลัพธ์ = 30 นวิ ตัน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 54
กรณีท่ี 3 สองแรงกระทำกับวตั ถุในทิศทาง ตรงข้ามกัน
วตั ถเุ คล่ือนท่ีไปทางไม่มีการเคลอ่ื นที่ แรงลัพธ์ = 0 นวิ ตนั
ตวั อย่างท่ี 1 ใหน้ ักเรยี นหาแรงลัพธ์จากแผนภาพการออกแบบ พร้อมบอกทศิ ทางที่วตั ถุเคลือ่ นท่ี
3. แรงเสียดทาน คอื - แรงที่เกดิ ข้ึนเมือ่ วตั ถุหนงึ่ พยายามเคล่อื นท่ีหรอื กำลงั เคล่ือนทไ่ี ปบนพ้นื
ผิวสัมผัสของอกี วัตถเุ นื่องจากมีแรงมากระทำ
- แรงเสียดทานจะตา้ นการเคลอ่ื นท่ขี องวัตถุ จงึ มีทิศทางตรงขา้ มกบั
การเคล่ือนท่ีของวตั ถุ
- ขนาดของแรงเสยี ดทานข้ึนอยู่กบั ผวิ สัมผสั และน้ำหนักที่กดทบั ใน
แนวตั้งฉากกบั ผิวสัมผัส
- ผวิ สมั ผัสทล่ี น่ื แรงเสยี ดทานจะนอ้ ย
- ผิวสัมผสั ทข่ี รขุ ระหรือหยาบ แรงเสียดทานจะมาก
3.1 ประเภทของแรงเสยี ดทาน 1. แรงเสียดทานสถติ เกิดเมื่อวัตถไุ ดร้ ับแรงกระทำแล้วอยู่นิ่ง ไม่เกิดการเคล่ือนท่ี
2. แรงเสยี ดทานจลน์ เกิดเม่ือวตั ถไุ ดร้ ับแรงกระทำแล้วเคลอ่ื นทด่ี ว้ ยความเร็วคงท่ี
3.2 ประโยชนข์ องแรงเสียดทาน - ยางรถยนต์ทมี่ ดี อกยางช่วยให้รถเกาะถนนได้ดี
- การหยบิ จบั สิ่งของ การเดิน การวงิ่ ไมใ่ หล้ นื่ ไหล
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 55
4. แรงโนม้ ถ่วง
แรงโนม้ ถ่วงของโลก หรือ แรงดึงดดู ของโลก คือ แรงชนิดหนึง่ ทมี่ ากระทำตอ่ สงิ่ ต่าง ๆ ที่อยูบ่ นโลก ให้
อยบู่ นพนื้ โดยท่ีไม่ลอยอยู่ในอากาศ
แรงโน้มถว่ งของโลก คือ แรงท่โี ลกกระทำตอ่ มวลของวตั ถุทุกชนิดบนโลก และกระทำต่อวัตถทุ ี่อยใู่ กลโ้ ลก
ทำให้วัตถมุ นี ้ำหนัก ซ่งึ แรงโน้มถว่ งน้ีจะดงึ ดดู วัตถเุ ข้ามายังศนู ยก์ ลางของโลก ทำใหว้ ัตถุต่าง ๆ ตกลงสูพ่ ื้นโลกเสมอ
เช่น โลกดึงดูดดวงจนั ทร์ การกระโดดร่ม ฝนตก เป็นตน้
เซอร์ ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้ค้นพบทฤษฎีแรงโน้มถว่ งของโลก
ซง่ึ เปน็ การคน้ พบโดยความบงั เอญิ จากการสงั เกตผลแอปเปิล ท่ีหลดุ จากตน้ แลว้ ร่วงลงพื้น นวิ ตนั เกิดความสงสัยและ
ไดศ้ ึกษาจนไดข้ ้อสรปุ ว่า “วตั ถทุ ุกอย่างจะออกแรงดงึ ดูดซึ่งกันและกนั เหมอื นกับแรงโน้มถว่ งของโลกทกี่ ระทำต่อวตั ถุ
ทุกอย่างในโลก”
ประโยชน์ของแรงโน้มถ่วง ข้อจำกดั ของแรงโนม้ ถ่วง
- ทำใหส้ งิ่ ของต่าง ๆ ไม่ลอยไปลอยมาในอากาศ - ทำใหย้ กของท่ีมนี ำ้ หนักมาก ๆ ไมไ่ ด้
- ทำให้เรายนื อยบู่ นโลกได้โดยไมล่ อยไปลอยมา - การทำกจิ กรรมบางอย่างท่ีสวนทางกับแรงโนม้ ถว่ งของโลกจะร้สู ึก
- ทำใหฝ้ นตกลงสพู่ ้ืนโลก เหนอื่ ยและทำได้ยาก เช่น เดินขึน้ บันได ปั่นจกั รยานขึ้นเขา เป็นตน้
- ทำใหน้ ้ำไหลจากทส่ี ูงลงสูท่ ี่ตำ่ - เมอ่ื ทำส่ิงของบางอยา่ งหล่นพืน้ จะทำให้ชำรุดเสียหาย
- ทำใหไ้ มส่ ามารถกระโดดให้สูงมาก ๆ ได้
5. มวลและนำ้ หนกั ของวตั ถุ
ทตี่ ำแหนง่ เดยี วกนั บนโลก จะมีแรงโนม้ ถ่วงของโลกหรือแรงดึงดูดของโลกท่ีกระทำตอ่ วัตถุตา่ ง ๆ ดงั น้ัน
วัตถุตา่ ง ๆ จึงมีนำ้ หนัก แต่ส่ิงท่ีทำใหว้ ัตถุมีนำ้ หนกั ไม่เท่ากัน เปน็ เพราะวตั ถุเหล่านั้นมมี วลไม่เทา่ กัน
สสาร (matter) คือ ส่งิ ท่มี ตี ัวตน มมี วล ต้องการที่อยู่อาศัย และสมั ผัสได้ดว้ ยประสาทสัมผสั ทง้ั ห้า
มวล (mass) คือ ปริมาณของเนือ้ ของสสารทง้ั หมดทปี่ ระกอบกันเปน็ วัตถุ ซ่ึงมคี ่าคงท่ีไม่ว่าจะอยทู่ ่ีใดบน
โลก มวล มีหนว่ ยเป็นกรมั (g) หรือ กิโลกรัม (kg)
น้ำหนัก (weight) คือ ปริมาณของแรงโน้มถ่วงของโลกท่กี ระทำต่อมวลของวัตถตุ า่ ง ๆ บนโลกโดยดงึ ดูด
ใหว้ ัตถุตกลงมาท่ีพื้นโลก นำ้ หนัก มหี นว่ ยเปน็ นิวตนั (N)
*นำ้ หนักของมวล 1 กิโลกรมั มคี ่าเท่ากบั นำ้ หนัก 9.8 นิวตนั
แรงโนม้ ถว่ งของโลกทำใหว้ ัตถุมนี ้ำหนกั ซึ่งนำ้ หนักของวตั ถุตา่ ง ๆ จะมากหรอื น้อยข้ึนอยู่กบั ปจั จยั ดังน้ี
1. มวลของวตั ถุ
- ถ้าวัตถุใดมีมวลน้อย แรงโนม้ ถ่วงของโลกท่กี ระทำต่อวตั ถุน้ันจะมคี า่ น้อย วัตถุจึงมีน้ำหนกั น้อย
- ถา้ วตั ถใุ ดมมี วลมาก แรงโน้มถว่ งของโลกทีก่ ระทำตอ่ วตั ถุน้นั จะมคี ่ามาก วัตถุจึงมนี ้ำหนักมาก
2. ระยะหา่ งจากจดุ ศูนยก์ ลางของโลก
วตั ถุช้นิ เดยี วกนั จะมีน้ำหนักไมเ่ ทา่ กนั เม่อื นำไปชงั่ ในสถานท่ตี ่างกนั เพราะคา่ แรงโน้มถว่ งของโลกใน
ตำแหนง่ ต่าง ๆ มีค่าไมเ่ ทา่ กัน โดยขน้ึ อยกู่ ับระยะหา่ งจากจุดศนู ยก์ ลางของโลก หากวัตถุอยู่ห่างจากจดุ ศนู ย์กลาง
ของโลกมากข้ึนเทา่ ใด แรงโนม้ ถ่วงของโลกท่ีกระทำต่อวตั ถุน้ันจะยงิ่ ลดนอ้ ยลง
เราวัดน้ำหนกั ของวัตถทุ เี่ กดิ จากแรงโนม้ ถว่ งของโลกไดโ้ ดยใชเ้ ครือ่ งช่ังสปริง ซ่ึงคา่ ที่อา่ นได้จะเท่ากับขนาด
ของแรงท่ีโลกดงึ ดดู วตั ถแุ ละเปน็ น้ำหนกั ของวตั ถุนั่น น้ำหนักของวัตถุมหี นว่ ยเปน็ นิวตนั (N)
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 56
ดวงจนั ทร์มมี วลน้อยกว่าโลกมาก แรงดงึ ดูดของดวงจันทร์น้อยกวา่ โลก 6 เท่า ดงั นัน้ หากชงั่ นำ้ หนักของ
วตั ถุช้นิ เดยี วกนั บนพ้นื โลกและบนดวงจนั ทรน์ ้ำหนักของวัตถุชน้ิ นนั้ ทช่ี ัง่ บนดวงจันทร์จะมีน้ำหนักนอ้ ยกวา่ ทชี่ ่ังบน
โลก 6 เท่า ดงั น้ัน ถ้าเราชัง่ นำ้ หนกั บนโลกได้ 600 นิวตัน จะคดิ เป็นนำ้ หนักท่ีชงั่ ไดบ้ นดวงจันทร์ คือ 600 ÷ 6 =
100 นิวตัน
มวลและการเปลยี่ นแปลงการเคลือ่ นทข่ี องวัตถุ
มวลของวัตถมุ ผี ลต่อการเปล่ียนแปลงการเคล่ือนท่ขี องวตั ถุ โดยวตั ถุท่มี ีมวลมากจะเคลือ่ นท่ีได้ยากกว่าวัตถทุ ี่
มมี วลนอ้ ย เนือ่ งจากเกดิ การตา้ นการเปลีย่ นแปลงการเคลื่อนทข่ี องวตั ถุน้ัน
วตั ถทุ ่ีมมี วลนอ้ ย หรอื มีเนือ้ สารน้อยจะเปล่ยี นแปลงการเคลอื่ นท่หี รอื เคล่ือนย้ายได้ง่าย
วตั ถุที่มมี วลมาก หรือมเี นอ้ื สารมากจะเปลย่ี นแปลงการเคล่ือนทีห่ รอื เคลอื่ นย้ายไดย้ าก
4. เครอ่ื งผ่อนแรง
4.1 คาน
- เปน็ เคร่ืองกลท่ใี ช้หลักการงัดวัตถใุ หเ้ คล่อื นท่รี อบจุดหมนุ
โดยใช้หลกั การเกยี่ วกับโมเมนตข์ องแรง
- โมเมนตข์ องแรง คือผลคณู ของแรงกบั ระยะทางท่เี คล่ือนที่ตามแนวแรง
( โมเมนต์ = แรง x ระยะทางตั้งฉากจากแนวแรงถงึ จุดหมุน)
- คานจะสมดุลหรืออยูน่ ิง่ โมเมนต์ทวนเข็มนาฬกิ า = โมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา
ชนิดของคาน
1. คานอบั ดับ 1
- เปน็ คานท่ีมีจุดหมนุ อย่รู ะหว่างแรงตา้ นทานกบั แรงพยายาม
- กรรไกร คมี ตดั โลหะ คีมถอนตะปู ม้ากระดก คันโยกสูบน้ำ
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 57
2. คานอบั ดับ 2
- เป็นคานที่มแี รงตา้ นทานอยู่ระหวา่ งแรงพยายามกบั จุดหมุน
- รถเขน็ ทราย ทเี่ ปิดขวดนำ้ อัดลม เครื่องตัดกระดาษ อปุ กรณห์ นีบกล้วยป้ิง
3. คานอับดบั 3
- เป็นคานท่ีมีแรงพยายามอยู่ระหว่างแรงตา้ นทานกบั จดุ หมนุ
- คีมคีบถา่ น คีมคีบน้ำแขง็ ตะเกยี บ รถเครน การกวาดพนื้ แหนบ การงอข้อศอก
4.2 รอก
เปน็ เครือ่ งมอื คลา้ ยวงล้อ กลมแบน หมนุ ได้ ใชเ้ ชือกหรือโซ่คลอ้ งสำหรับดงึ แบ่งเปน็ 3 ชนดิ ดงั นี้
ชนดิ ลกั ษณะ ประโยชน์ การผอ่ นแรง
1. รอกเดี่ยวตายตัว - มเี ชือกคล้องผา่ นวงรอก 1 ตัว - เปลี่ยนทิศทางของวัตถุ - ไมผ่ อ่ นแรง
- เคล่อื นท่ไี มไ่ ด้ (E = W)
2. รอกเดยี่ วเคลื่อนที่ - มเี ชือกคล้องผ่านวงรอก 1 ตัว - - เปลี่ยนทิศทางและ - ผ่อนแรงครึง่ หน่งึ ของ
เคลือ่ นท่ีได้ ผ่อนแรง น้ำหนกั (E = W/2)
3. รอกพวง - นำรอกหลายอยา่ ง หลายตวั - เปลี่ยนทศิ ทางและ - ผ่อนแรงได้มากกว่า
มาตอ่ กนั เปน็ ระบบไดห้ ลายรูปแบบ ผอ่ นแรงได้มากย่ิงข้ึน รอกเด่ียวเคลื่อนที่
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 58
4.3 พ้ืนเอียง
- ช่วยผ่อนแรงและชว่ ยให้เคล่ือนที่ง่ายข้ึน เชน่ เขน็ รถผู้ป่วยในโรงพยาบาล ขนย้ายสิ่งของจากรถบรรทุก
4.4 ล้ิม
- มลี กั ษณะเปน็ รูปสามเหลย่ี ม ด้านหน่งึ บางคมอีกด้านหนงึ่ หนาเปน็ สัน
- ใช้ตอกเพ่ือให้วตั ถุแยกออกจากกนั เชน่ สิว่ ขวาน มดี ตะปู
4.5 ล้อและเพลา
- ประกอบดว้ ยเพลาเปน็ แกนตรงกลาง มลี ้ออยวู่ งนอก
- ลอ้ และเพลาจะอยู่ตดิ กัน เวลาทำงานจงึ หมนุ ไปพร้อมกนั เช่น พัดลม พวงมาลัยรถยนต์ สวา่ งไฟฟ้า
4.6 สกรู
- ใช้สกรใู นระบบวนรอบทรงกระบอกในลกั ษณะของวงกลมเคลอ่ื นทแ่ี ทนวตั ถุ
- ตะปูควง นอต เกลยี วขวดต่าง ๆ
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 59
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 60
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 61
วทิ ยาศาสตร์กายภาพ (ฟิสิกส์)
ว 2.3 พลังงาน คลน่ื แสง เสยี ง และไฟฟา้
เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปลยี่ นแปลงและการถา่ ยโอนพลงั งาน ปฏิสมั พันธร์ ะหวา่ งสสารและพลังงาน พลงั งานในชีวิตประจำวนั
ธรรมชาตขิ องคลนื่ ปรากฏการณ์ท่ีเกย่ี วข้องกับ เสียง แสง และคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ รวมท้งั นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
พลังงานแสง
1. แสง - เป็นพลังงานในรูปคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า (คล่นื ท่ีไมอ่ าศยั ตัวกลางในการเคล่ือนที่)
- เดินทางเปน็ เส้นตรงออกจากแหลง่ กำเนดิ แสงในทุกทิศทาง
- แสงสามารถสะท้อน หักเห และกระจายแสงได้
- แสงเดินทางไดเ้ รว็ 300,000 กโิ ลเมตรต่อวินาที หรือ
- 1 วนิ าที แสงเดนิ ทางรอบโลกได้ 8 รอบ หรือแสงจากดวงอาทติ ยเ์ ดินทางมาถึงโลกประมาณ 8 นาที
แหลง่ กำเนดิ แสง มี 2 ประเภท คือ
1. แหลง่ กำเนดิ แสงตามธรรมชาติ เชน่ ดวงอาทติ ย์ หิ่งห้อย ปลาทะเลลึกบางชนดิ
2. แหลง่ กำเนิดแสงที่มนษุ ยส์ รา้ งขึน้ เช่น หลอดไฟฟา้ ตะเกยี ง โคมไฟ
ตัวกลางแสง เป็นตัวก้นั การเดนิ ทางของแสง มี 3 ชนิด คอื
ชนิดตวั กลาง 1. ตวั กลางโปรง่ ใส 2. ตัวกลางโปรง่ แสง 3. ตัวกลางทึบแสง
แสงผ่านไม่ได้
แสงทผ่ี ่าน แสงผา่ นได้ทง้ั หมด แสงผ่านไดบ้ างส่วน
เหล็ก ไม้ ปูน กระดาษหนา
ตวั อยา่ ง แกว้ ใส พลาสติกใส อากาศ กระจกฝา้ กระดาษไข หมอก
เงา คอื บรเิ วณมืดหลงั วตั ถุทเี่ กิดจากวตั ถุที่เปน็ ตวั กลางทึบแสงมาขวางกัน้ ทางเดนิ ของแสง มี 2 ชนิด คอื
1. เงามืด เป็นเงาในบรเิ วณที่ไม่มีแสงผ่านไปถึง บรเิ วณนัน้ จะมืดสนทิ
2. เงามวั เป็นเงาที่แสงบางส่วนผ่านไปถึง บริเวณนน้ั จะมืดไม่สนิท
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 62
เมื่อเราให้แสงจากแหลง่ กำเนิดแสงส่องไปท่ีวัตถุทึบแสง (วัตถทุ ีใ่ ชก้ ้นั แสง) จะปรากฏเงาลกั ษณะตา่ ง ๆ
ข้นึ ทางดา้ นหลงั ของวตั ถุ ทำใหส้ ามารถเขยี นแผนภาพรังสีของแสงแสดงการเกิดเงามืดและเงามวั ได้ ดังนี้
1). แหล่งกำเนิดแสงมขี นาดเลก็ เปน็ จดุ
- การเขยี นเส้นแนวทางเดินของแสงจะลากเสน้ รงั สขี องแสงเพียง 2 เสน้ ไปที่ฉากรับแสง
- เกิดเงามืดเทา่ นัน้ ไม่ว่าจะวางฉากหา่ งจากวัตถุมากหรือน้อยเพียงใด
2). แหล่งกำเนดิ แสงมีขนาดเล็กกว่าหรือเทา่ กบั วตั ถุ
- การเขยี นเสน้ แนวทางเดนิ ของแสงจะลากเสน้ รังสขี องแสงเพยี ง 4 เสน้ ไปทฉ่ี ากรับแสง
- เกิดเงามัวล้อมเงามืด ไม่ว่าจะวางฉากห่างจากวัตถุมากหรือน้อยเพยี งใด
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 63
3). แหล่งกำเนดิ แสงมีขนาดใหญ่กว่าวตั ถทุ ่ใี ช้กั้นแสง
- ในการเขยี นเสน้ แนวทางเดินของแสงจะลากเส้นรังสีของแสงเพยี ง 4 เส้น ไปทีฉ่ ากรบั แสง (ดงั ภาพ) โดย
จะเกดิ เงามดื และเงามวั ขน้ึ ในลกั ษณะตา่ ง ๆ ตามตำแหน่งทฉี่ ากรบั แสงตัง้ อยู่
- หากวางฉากรับแสงไว้ในบรเิ วณตำแหนง่ A จะเกิดเงามวั ลอ้ มเงามดื
- หากวางฉากรบั แสงไวใ้ นบริเวณตำแหนง่ B จะเกิดเฉพาะเงามวั เท่านัน้
2. สมบตั กิ ารสะทอ้ นของแสง
2.1 การสะท้อนของแสง
1. การสะท้อนแสงวตั ถุผวิ เรียบ เช่น กระจกเงาราบ ผิวโลหะ จะเกิดการสะท้อนอยา่ งมรี ะเบียบ
2. การสะท้อนแสงวัตถุผิวไมเ่ รียบ เชน่ พืน้ ไม้ ก้อนหนิ จะเกดิ การสะท้อนไม่มีระเบยี บ
2.2 กฎการสะท้อนของแสง
1. รังสีตกกระทบ รังสสี ะท้อน และเส้นปกติอยใู่ นระนาบเดียวกัน
2. มุมตกกระทบ = มมุ สะท้อน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 64
3. สมบตั กิ ารหักเหของแสง
3.1 การหกั เหของแสง
- เกิดจากการเดนิ ทางของแสงจากตัวกลางหน่งึ ไปยงั อีกตัวกลางหน่ึงซึง่ มีความหนาแน่นแตกตา่ งกัน
- แสงเคลอ่ื นทีใ่ นตัวกลางโปร่งได้เรว็ กว่าตวั กลางทบึ
- ความหนาแน่นของตวั กลาง เรยี งลำดบั ดงั นี้ แกว้ > น้ำ > อากาศ
- การหกั เหของแสง ทำให้เรามองเหน็ ภาพของปลาท่จี มอยู่ในก้นสระนำ้ อย่ตู ื้นกว่าความเป็นจริงเพราะ
แสงจากก้นสระนำ้ เกิดการหกั เหเมอ่ื เดินทางจากน้ำสู่อากาศ เมื่อความเรว็ ของแสงที่เดนิ ทางในอากาศเรว็ กว่าเดน
ทางในน้ำ จงึ ทำให้เห็นภาพของปลาอยู่ตื้นกว่าความเปน็ จรงิ
- การมองเหน็ วตั ถุทอี่ ยู่ในนำ้ หักงอ เชน่ หลอดหรือช้อนในน้ำ มีลักษณะหักงอผดิ รูปไป
- เม่อื มองวัตถผุ า่ นนำ้ ไปยงั อากาศ จะเหน็ วัตถอุ ยู่ไกลกว่าความเหน็ จริง
3.2 กฎการหกั เหของแสง
1. แสงเดินทางจากตวั กลางที่มคี วามหนาแนน่ น้อยกวา่ ไปยังตวั กลางทีม่ ีความหนาแนน่ มากกวา่
แสงจะหกั เหเข้าหาเส้นปกติ
2. แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีความหนาแน่นมากกว่าไปยังตวั กลางที่มีความหนาแนน่ น้อยกว่า
แสงจะหกั เหออกจากเส้นปกติ
***** ความหนาแนน่ ของตัวกลาง เรยี งลำดบั ดังน้ี แกว้ > นำ้ > อากาศ
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 65
4. ปรากฏการณเ์ ก่ียวกับแสง
4.1 มิราจ (การสะทอ้ นกลับหมด)
- เกดิ ภาพลวงตา จะมองเหน็ เหมือนพนื้ ถนนเปียกนำ้ จากระยะไกล
แตเ่ มื่อเขา้ ไปใกล้พบวา่ ถนนไมเ่ ปยี ก
- อากาศทีอ่ ยู่ใกลผ้ วิ ถนนมคี วามหนาแน่นนอ้ ยกวา่
อากาศท่ีอยสู่ ูงจากผวิ ถนนข้นึ ไป
- บรเิ วณใกลผ้ วิ ถนนมอี ุณหภมู ิสูง ความหนาแนน่ น้อย
บรเิ วณทส่ี งู จากผิวถนนมีอุณหภมู ิต่ำ ความหนาแน่นมาก
4.2 ปรศั วภาควิโลม
- ภาพในกระจก เปน็ ภาพกลับดา้ นกันจากซ้ายไปขวา กลับขวาไปซา้ ยของวัตถจุ รงิ
- ในระดบั สงู เรียกวา่ อแี นนทิโอเมอร์
4.3 การเกิดรุง้
- เกดิ จากละอองนำ้ ในอากาศตกกระทบกับแสงแดดแล้วเกิดการหักเหของแสง
- เกดิ การสะท้อนของแสงภายในละอองน้ำ แล้วหักเหกลบั ออกมาส่ตู าเรา
- ร้งุ กนิ นำ้ จะเกิดตรงกันขา้ มกับตำแหนง่ ของดวงอาทิตย์เสมอ
- ร้งุ กนิ นำ้ มี ๒ ตวั คอื รุง้ ตวั บนซ่งึ จะมองเห็นจางๆ โดยมีแถบสีม่วงอยดู่ า้ นบนและแถบสีแดงอยดู่ ้านล่าง
- ร้งุ ตวั ล่างซึ่งจะมองเห็นชดั เจนโดยมีแถบสแี ดงอยดู่ า้ นบนและแถบสีมว่ งอย่ดู า้ นล่าง
5. การเกดิ ภาพ
5.1 การเกิดภาพจากกระจก
5.1.1 กระจกเงาราบ
- เป็นกระจกแบบราบมดี ้านหนึ่งสะท้อนแสง ภาพที่เกดิ ข้นึ เป็นภาพเสมือน อยหู่ ลังกระจก
- ระยะภาพเท่ากับระยะวัตถุ และขนาดภาพเทา่ กบั ขนาดวตั ถุ
- ภาพท่ีได้เป็นภาพกลบั ดา้ นกันจากซา้ ยไปขวา กลบั ขวาไปซ้ายของวัตถุจริง เรียกวา่ ปรัศวภาควิโลม
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 66
5.1.2 กระจกโค้ง
1. กระจกโค้งเวา้
- ทำหนา้ ที่รวมแสง เห็นภาพขยายใหญ่ขึน้
- เกิดไดท้ ้ังภาพจรงิ ภาพเสมือน ใหญ่ เลก็ หรอื เท่าวัตถุได้
- กระจกสอ่ งฟนั ของทนั ตแพทย์ ไฟฉาย กลอ้ งโทรทรรศน์ชนดิ สะทอ้ นแสง
2. กระจกโค้งนูน
- ทำหน้าที่กระจายแสง เหน็ ภาพในมุมกวา้ งขึน้
- เกิดภาพเสมือน ขนาดเลก็ กวา่ วตั ถุเสมอ
- กระจกสอ่ งดา้ นข้างรถยนต์ กระจกมองหลงั รถยนต์ กระจกส่องบรเิ วณทางโคง้
5.2 การเกิดภาพจากเลนส์
5.2.1 เลนส์นูน
- ทำหนา้ ท่ีรวมแสง
- เกดิ ไดท้ ัง้ ภาพจริง ภาพเสมือน ใหญ่ เลก็ หรอื เท่าวัตถุได้
- ทำแว่นตาคนสายตายาว แว่นขยาย กลอ้ งส่องทางไกล
กล้องถ่ายรปู กลอ้ งโทรทรรศนช์ นดิ หักเหแสง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 67
5.2.2 เลนส์เว้า - เกิดภาพเสมือนเสมอ
- ทำหนา้ ท่ีกระจายแสง
- ทำแวน่ ตาคนสายตาส้ัน
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 68
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 69
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 70
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 71
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 72
วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ (ฟิสิกส์)
ว 2.3 พลงั งาน คลนื่ แสง เสียง และไฟฟ้า
เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลยี่ นแปลงและการถา่ ยโอนพลังงาน ปฏิสมั พนั ธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวนั
ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ทีเ่ กยี่ วข้องกบั เสยี ง แสง และคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้า รวมทัง้ นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
พลงั งานเสียง
1. เสียง - เปน็ พลังงานคลนื่ ทีต่ ้องอาศัยตวั กลางในการเคลือ่ นท่ี
- เกดิ จากการสั่นสะเทือนของวตั ถหุ รือแหล่งกำเนดิ เสียง
- เกิดคล่นื ลักษณะอดั และขยายตัว เป็นคลนื่ ตามยาว
- เสยี งเดนิ ทางผา่ นสุญญากาศไม่ได้
- ความดังของเสียง มหี น่วยเปน็ เดซเิ บล
@ อัตราเรว็ ของเสียง คอื ระยะทางทเี่ สยี งเดนิ ทางไปในตัวกลางหน่ึงๆ ในหนึ่งหน่วยเวลา
@ ความเข้มเสียง คอื พลงั งานของเสยี งที่ตกต้งั ฉากกับพืน้ ที่ 1 ตารางหนว่ ยในเวลา 1 วินาที
@ ความถ่ี คือ จำนวนคลื่นทเี่ คล่อื นท่ีผา่ นจดุ จดุ หนงึ่ ในเวลา 1 วนิ าทมี ีหน่วยเปน็ รอบตอ่ วนิ าทีหรือเฮริ ตซ์ (Hz)
@ แอมพลิจดู คอื ช่วงกวา้ งของการสน่ั สะเทือน
2. อัตราเร็วของเสยี ง
- ขึน้ กับอุณหภูมิ และตวั กลาง (ความหนาแน่น)
- อุณหภูมิต่ำ อตั ราเร็วของเสียงจะต่ำ ถา้ อุณหภูมิสงู อตั ราเรว็ ของเสียงจะสงู
- ตวั กลางทเ่ี ปน็ ของแข็ง (ความหนาแนน่ มาก) > ของเหลว > แก๊ส (ความหนาแนน่ น้อย)
- อัตราเรว็ ของเสยี ง นำมาคำนวณหาความลึกของทะเลได้ โดยปล่อยคลืน่ เสียงจากเครอื่ งโซนาร์
ท่ีมีความถ่ีสงู มากกวา่ ที่มนุษย์ไดย้ ิน และรบั เสยี งสะท้อนกลับ วดั เวลาที่เสียงเดนิ ทางไปและกลับ
- เสยี งเคล่อื นท่ใี นอากาศดว้ ยอตั ราเร็วประมาณ 346 เมตรต่อวินาที
*** อตั ราเร็วเสียงในอากาศ ไม่เทา่ กับ อัตราเรว็ เสยี งในน้ำ
*** อัตราเร็วเสยี งท่เี กิดจากการส่นั ระฆังในฤดูรอ้ น ไม่เท่ากับ การส่นั ระฆังในฤดูหนาว
*** เมือ่ เราอยู่นอกโลกจะไมไ่ ดย้ นิ เสียงอกุ กาบาตพ่งุ ชนดวงจันทร์ เพราะในอวกาศไม่มตี วั กลาง (อากาศ)
3. ลกั ษณะของเสียง
- ความดงั ของเสียง เปน็ สัดส่วนโดยตรงกบั ความเข้มของเสียงและแอมพลจิ ูดหรือช่วงกว้างของการสั่นสะเทือน
- แอมพลจิ ดู มาก (ช่วงกวา้ ง) เสียงดงั
- แอมพลิจูดน้อย (ชว่ งแคบ) เสียงเบา
- ความถตี่ ่ำ จำนวนครงั้ ของการสนั่ สะเทอื นน้อย เสียงจะต่ำ คอื เสียงทุ้ม
- ความถีส่ งู จำนวนคร้งั ของการส่ันสะเทือนมาก เสยี งจะสูง คอื เสยี งแหลม
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 73
*** การเคาะขา้ งขวดท่ีใส่น้ำในปรมิ าณตา่ ง ๆ ทำให้ขวดสั่นสะเทอื นและเกดิ เสยี ง
- เสยี งตำ่ ใสน่ ำ้ มาก สน่ั สะเทือนนอ้ ย
- เสียงสงู ใสน่ ำ้ น้อย สน่ั สะเทือนมาก
4. องคป์ ระกอบที่ทำให้เกดิ เสียง
1. แหลง่ กำเนดิ เสียง
2. ตัวกลางในการนำคลื่นเสียง
3. หูและอวัยวะรบั ฟังเสยี ง
5. การเคลอื่ นท่ีของเสยี ง
5.1 ขอบเขตของการได้ยินเสียง
- หูของคนรับฟังเสยี งมีความถ่ใี นช่วง 20 – 20,000 เฮิรตซ์ (ความถตี่ ่ำหรือสงู กวา่ น้จี ะไม่ไดย้ นิ )
- คล่ืนใตเ้ สียง (อนิ ฟราโซนกิ ) คอื เสยี งท่ีมคี วามถต่ี ่ำกวา่ 20 เฮริ ตซ์ ใช้ในการสำรวจชน้ั หิน แหล่งนำ้ มัน
- คล่นื เหนือเสยี ง (อลั ตราโซนิก) คือเสียงท่มี ีความถ่สี ูงกว่า 20,000 เฮิรตซ์ ใช้ในทางการแพทย์ เรียกว่า
อัลตราซาวด์
5.2 การเคลอ่ื นทขี่ องเสียงจากแหล่งกำเนิดเสยี งจนถงึ หผู ู้ฟงั
- การได้ยินเสียงต้องมีองคป์ ระกอบ คือ 1. แหลง่ กำเนิดเสียง 2. ตวั กลางของเสยี ง และ 3. หู
- โดยแหลง่ กำเนดิ เสยี งจะส่ัน ทำให้ตวั กลางของเสียงสัน่ ต่อเนอ่ื งกนั ไป ใบหูจะรวมเสยี งเข้าส่รู ูหู
- รูหทู ำหนา้ ทเ่ี ปน็ ทางเดนิ ของเสยี ง เมื่อเสยี งกระทบเย่ือแก้วหูทำให้กระดูกสามชน้ิ คือ 1.กระดูกค้อน
2.กระดกู ทั่ง และ 3.กระดูกโกลน ส่นั ต่อเน่อื งกันไป
- เนื่องจากกระดูกโกลนอยูต่ ดิ กบั ทอ่ คล้ายกน้ หอยหรือคอเคลยี ซ่งึ มีของเหลวและเซลล์ขนอยภู่ ายใน
จงึ สนั่ เกิดเปน็ สญั ญาณไปทีส่ มอง ทำให้เราไดย้ ินเสยี งและเข้าใจความหมายของเสียง
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 74
6. เสยี งดนตรี
6.1 เครอื่ งสาย
- ทำใหเ้ กิดเสยี งโดย การดดี การสี
- เชน่ กีตาร์ จะเข้ ซอ ไวโอลนิ ขมิ
- ขนาดสายใหญ่ เสยี งจะตำ่
- ขนาดสายเลก็ เสียงจะสงู
- สายทย่ี าว เสียงจะต่ำ สายทีส่ ้นั เสียงจะสูง
- สายทห่ี ยอ่ น เสยี งจะตำ่ สายที่ตึง เสียงจะสูง
*** เสียงสูง → สายเลก็ สั้น ตงึ
*** เสียงตำ่ → สายใหญ่ ยาว หยอ่ น
6.2 เคร่ืองเป่า
- ทำให้เกิดเสยี งโดยการเป่าลม
- เชน่ ป่ี ขลุ่ย แตร แซก็ โซโฟน
- ระดับเสียงขนึ้ กับลำอากาศในท่อ
- ลำอากาศผ่านสน้ั เสียงจะสูง
- ลำอากาศผา่ นยาว เสียงจะต่ำ
6.3 เครอื่ งตี
- ทำให้เกิดเสียงโดยการเคาะหรอื ตี
- เช่น กลอง ระนาด ตะโพน ฆ้อง
- หนา้ กลองใหญ่ ขึงไม่ตงึ เสยี งจะตำ่
- หน้ากลองเลก็ ขงึ ตงึ เสียงจะสงู
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 75
7. ความดังของเสยี ง
- วัดได้ดว้ ยระดับความเขม้ เสียง
- มหี น่วยเปน็ เดซเิ บล (dB)
- ระดับความเข้มเสียงมาก เสยี งจะดัง
- ระดบั ความเข้มเสียงน้อย เสียงจะเบา
- เสยี งทีเ่ บาทส่ี ดุ ที่เร่ิมไดย้ นิ = 0 เดซิเบล
- เสียงท่ดี งั ทสี่ ดุ ที่ไม่เปน็ อนั ตรายต่อหู = 120 เดซิเบล
- ระดับความเข้มเสียงที่ปลอดภยั ต้องไม่เกนิ 85 เดซิเบล และได้ยนิ ตดิ ต่อกนั ไม่เกดิ 8 ชว่ั โมง
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 76
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 77
วิทยาศาสตรก์ ายภาพ (ฟิสิกส์)
ว 2.3 พลังงาน คลน่ื แสง เสียง และไฟฟา้
เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลย่ี นแปลงและการถา่ ยโอนพลงั งาน ปฏสิ มั พันธร์ ะหวา่ งสสารและพลังงาน พลงั งานในชวี ิตประจำวัน
ธรรมชาติของคลนื่ ปรากฏการณท์ เี่ กย่ี วข้องกับ เสียง แสง และคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ รวมทงั้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
พลังงานไฟฟ้า
1. ไฟฟ้า - เปน็ พลังงานรูปหนึง่ ทีเ่ ปลีย่ นเปน็ พลังงานอ่นื ได้
- ไฟฟ้าเปลย่ี นเป็นแสงสวา่ ง เช่น หลอดไฟ
- ไฟฟ้าเปลย่ี นเปน็ ความร้อน เช่น เตารดี
- ไฟฟ้าเปล่ียนเปน็ พลงั งานกล เชน่ พัดลม
พลงั งานไฟฟ้าแบง่ ได้ 2 ประเภท คอื ไฟฟา้ สถิตและไฟฟา้ กระแส
1.1 ไฟฟ้าสถิต
- เกิดจากการนำวัตถุตวั นำ 2 ชนิดมาถูกนั ทำให้เกดิ ประจุไฟฟ้าและอำนาจทางไฟฟ้า
- พลงั งานไฟฟ้าสถติ ท่ีเกิดขน้ึ เรยี กวา่ แรงไฟฟ้า แรงไฟฟ้าเกิดขนึ้ เม่ือเรานำวตั ถุ 2 ชนดิ ที่ผ่านการขดั ถู
กัน แล้วนำมาเข้าใกลก้ นั จะทำให้เกดิ แรงดดู หรอื แรงผลัก ถ้านำวตั ถทุ มี่ ปี ระจไุ ฟฟ้าชนดิ เดียวกนั มาใกล้กนั จะเกดิ
แรงผลกั แตถ่ า้ นำประจไุ ฟฟ้าตา่ งชนิดกันมาใกล้กันจะเกดิ แรงดึงดูดซ่งึ กันและกัน
- แรงไฟฟา้ (electric force) คือ แรงทเ่ี กิดข้นึ ระหว่างประจุไฟฟ้าดว้ ยกันมีทั้งแรงดึงดูดและแรงผลัก
ประจุไฟฟา้ มอี ยู่ด้วยกนั 2 ชนิด คือ ประจุไฟฟา้ บวกและประจุไฟฟา้ ลบ
แรงไฟฟ้าจะไมส่ ามารถเกดิ ข้ึนไดก้ บั วัตถุทกุ ชนิด โดยสว่ นใหญ่แรงไฟฟา้ จะเกดิ ขึ้นกับวตั ถทุ ่ที ำจากพลาสติก
แกว้ และยาง สำหรบั วสั ดุที่เกิดแรงไฟฟ้าไดค้ ่อนขา้ งยากหรืออาจไมเ่ กดิ เลย ไดแ้ ก่ โลหะต่าง ๆ และไม้
- เมอ่ื นำวตั ถุ 2 ชนดิ มาขัดถูกนั จะทำใหป้ ระจุไฟฟ้าบริเวณผวิ วัตถุเกดิ การแลกเปลยี่ นกัน วัตถจุ งึ ไม่เป็น
กลางทางไฟฟา้ หรือเสยี สมดุลของประจุไฟฟ้าไปจากเดิม เน่อื งจากมีการถ่ายโอนประจลุ บจากวัตถุหนงึ่ ไปยังอีกวัตถุ
หนง่ึ ทำใหว้ ัตถทุ เ่ี สียประจลุ บไมม่ ีประจุบวก ส่วนวตั ถทุ ่รี ับประจลุ บไปจะมีประจุลบเพิม่ ขึน้
หากมกี ารนำวตั ถทุ ี่ไมเ่ ป็นกลางทางไฟฟ้ามาเขา้ ใกลว้ ัตถุทีม่ ีน้ำหนกั เบาจะเกดิ การเหน่ยี วนำไฟฟ้า จงึ
สามารถดงึ ดดู วัตถุท่มี นี ้ำหนักเบาได้ เชน่ เม่ือนำผ้าแหง้ ขัดถูกบั ไมบ้ รรทัดพลาสตกิ หลาย ๆ ครั้ง ไม้บรรทัดจะมีประจุ
บวกสว่ นผ้าแหง้ จะมีประจลุ บ และเมอ่ื นำไม้บรรทัดที่มีประจุบวกเขา้ ใกลว้ ตั ถุช้ินเล็ก ๆ เชน่ เศษกระดาษ ไม้บรรทัด
จะดงึ ดดู เศษกระดาษนั้นข้ึนมาได้
หากนำวัตถุ 2 ชนิ้ ทไี่ ม่เปน็ กลางทางไฟฟ้ามาเข้าใกล้กันจะทำใหเ้ กิดแรงระหวา่ งประจุไฟฟ้าข้นึ โดยวตั ถทุ ี่มี
ประจุไฟฟา้ ชนิดเดยี วกนั จะผลักกนั และวัตถุทมี่ ปี ระจตุ า่ งกนั จะดงึ ดูดกนั
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 78
- การขัดถูวัตถุชนดิ เดียวกันด้วยส่งิ เดยี วกันจะทำใหเ้ กดิ ประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกนั ซงึ่ จะมีแรงระหว่างประจุ
ไฟฟา้ เมื่อนำวัตถุมาเข้าใกล้กันจะเกดิ แรงผลัก
- การขัดถูวตั ถุชนิดเดียวกนั ด้วยกนั ดว้ ยสิ่งท่ีต่างกันจะทำให้เกดิ ประจุไฟฟา้ ตา่ งชนดิ กนั ซึ่งจะมแี รงระหว่าง
ประจุไฟฟา้ เมือ่ นำวตั ถุมาเขา้ ใกลก้ ันจะเกดิ แรงดึงดดู
- นกั วิทยาศาสตร์คนแรกท่ีค้นพบไฟฟ้าสถติ คือ เทลสี ตอ่ มา เบนจามนิ แฟรงคลนิ พบไฟฟ้าสถิตใน
บรรยากาศ ท่ีเกดิ จากฟ้าร้อง ฟ้งแลบ และฟา้ ผ่า
- ฟา้ ร้อง -เกิดจากประจุไฟฟ้าเดินทางผ่านอากาศอยา่ งรวดเรว็ ทำให้อากาศขยายตัวอย่างรวดเร็วและรนุ แรง
- ฟ้าแลบ -เกดิ จากประจไุ ฟฟ้าเคลือ่ นทีร่ ะหวา่ งเมฆ
- ฟา้ ผา่ -เกิดจากประจุไฟฟา้ เคลือ่ นทีอ่ อกจากเมฆลงสู่พนื้ ดนิ
1.2 ไฟฟา้ กระแส
- เกดิ จากการเคล่อื นทข่ี องประจุไฟฟา้ ไหลผ่านตัวนำไฟฟ้าจากแหล่งกำเนิดไฟฟ้าไปยังเครอ่ื งใช้ไฟฟ้า
1. ไฟฟา้ กระแสตรง (DC) - เปน็ กระแสไฟฟ้าทม่ี ีทศิ ทางการเคลือ่ นท่ีไปทศิ ทางเดยี วจากข้วั บวกไปขวั้ ลบ
เช่น แบตเตอรี ถา่ ยไฟฉาย และเซลล์สรุ ยิ ะ
2. ไฟฟา้ กระแสสลบั (AC) - เปน็ กระแสไฟฟ้าที่มีทิศทางการเคลอื่ นที่สลบั กันกลับไปกลับมา
ระหวา่ งขวั้ บวกและขว้ั ลบ เช่น ไฟฟา้ ตามบา้ นเรือน ไดนาโม
2. สญั ลักษณท์ างไฟฟา้
3. ตวั นำและฉนวนไฟฟา้
3.1 ตัวนำไฟฟา้
- วตั ถทุ ม่ี คี วามต้านทานไฟฟ้าตำ่ ยอมให้กระแสไฟฟา้ ผา่ นมาก ความนำไฟฟ้ามาก
- โลหะต่าง ๆ สารละลายกรด เบส เกลอื บางชนดิ และ แกรไฟต์เปน็ อโลหะที่นำไฟฟา้ ได้
- เงินนำไฟฟ้าได้ดีท่ีสดุ รองลงมาคือ ทองแดง ทองคำ อะลูมิเนยี ม และสังกะสี ตามลำดบั
- ถ้าลวดตวั นำท่ีเป็นโลหะชนดิ เดียวกัน พน้ื ท่ีหน้าตัดเท่ากัน ลวดทยี่ าวกวา่ จะนำไฟฟ้าน้อย ต้านทานมาก
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 79
3.2 ฉนวนไฟฟา้
- วัตถุทมี่ ีความตา้ นทานไฟฟา้ สูง ไมย่ อมใหก้ ระแสไฟฟา้ ผา่ น ความนำไฟฟา้ น้อย
- อโลหะตา่ ง ๆ พลาสติก ไม้แห้ง ยาง ผ้าแหง้ แก้ว กระดาษแหง้
4. วงจรไฟฟ้า
- ทางเดินของกระแสไฟฟา้ จากแหล่งกำเนดิ ไฟฟา้ ไปตามสายไฟฟา้ ผ่านเคร่ืองใช้ไฟฟ้าแล้วกลับมายัง
แหลง่ กำเนิด กระแสไฟฟา้ เดินทางหรอื ไหลเปน็ วฏั จกั ร เช่นน้ีตลอดเวลา
- ประกอบดว้ ย แหลง่ กำเนิดไฟฟา้ สายไฟ และอุปกรณ์ไฟฟ้า
1.แหลง่ กำเนดิ ไฟฟ้า หมายถึง แหล่งจา่ ยแรงดันไฟฟา้ ไปยังวงจรไฟฟา้ เช่น แบตเตอรี่ ถ่ายไฟฉาย
2.ตัวนำไฟฟ้า (สายไฟ) หมายถึง สายไฟฟ้าทต่ี ่อระหว่างแหล่งกำเนดิ กับเครื่องใช้ไฟฟ้า
3.เครือ่ งใช้(อุปกรณ์)ไฟฟ้า หมายถงึ เครื่องใช้ที่สามารถเปล่ยี นพลงั งานไฟฟ้าให้เปน็ พลังงานรูปอืน่ (โหลด)
4.อปุ กรณ์ควบคุมวงจร ไดแ้ ก่ สวิตช์ สะพานไฟ ฟวิ ส์
วงจรไฟฟ้ามี 2 ชนดิ คือ
4.1 วงจรไฟฟ้าปิด - เมื่อเปดิ สวติ ช์กระแสไฟฟา้ จะไหลออกจากแหล่งกำเนิดไฟฟา้ จากขวั้ บวกผา่ นอปุ กรณ์
ไฟฟา้ ไปยังขั้วลบ และเดินทางครบวงจรของกระแสไฟฟ้า
4.2 วงจรไฟฟา้ เปดิ - วงจรไฟฟ้าไมม่ ีกระแสไฟฟา้ ไหลออกจากขั้วบวกของแหล่งกำเนดิ ไฟฟ้าผา่ นอุปกรณ์
ไฟฟา้ ไปยังขั้วลบ หรือสว่ นใดส่วนหนง่ึ ของวงจรไฟฟ้าขาดหรอื ไมส่ ัมผัสกัน
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 80
5. การตอ่ เซลลไ์ ฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า
- ใชใ้ นการตอ่ แหลง่ กำเนิดไฟฟา้ เชน่ ถา่ นไฟฉาย
- ถ่ายไฟฉาย 1 ก้อน มีความตา่ งศกั ย์ 1.5 โวลต์ การต่อถา่ ยไฟฉายต้ังแต่ 2 กอ้ นขึน้ ไป เรยี กวา่ แบตเตอรี
5.1 แบบอนกุ รม
คือ การนำเอาเซลล์ไฟฟา้ มาต่อเรยี งกัน โดยนำข้วั ของเซลล์ไฟฟา้ ท่ีมขี ้วั ต่างกนั มาต่อเข้าด้วยกนั แลว้ นำเอา
ขัว้ ทเี่ หลอื ไปใช้งาน ถา้ ต่อหันขว้ั ผดิ ดา้ น จะทำให้แรงเคลื่อนไฟฟา้ ลดลง
5.2 แบบขนาน
คอื การนำเซลลไ์ ฟฟา้ มาตอ่ ๆ กนั แบบขนาน แรงดันไฟฟ้าจะเทา่ กับแรงดนั ไฟฟ้าของเซลลเ์ ดยี ว โดยทว่ั ไป
ควรจะเลือกใช้เซลล์ไฟฟ้าท่ีมีขนาดแรงดันไฟฟา้ เท่ากนั
5.3 แบบผสม
คอื การตอ่ ทั้งแบบอนุกรมและขนานอยู่ในวงจรเดียวกัน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 81
6. การต่อหลอดไฟฟ้าหรือเครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ ในวงจรไฟฟา้
6.1 แบบอนกุ รม
- เป็นการนำเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโหลดหลายๆ อนั มาต่อเรยี งกันไปเหมอื นลูกโซ่
- ปลายของเครื่องใช้ไฟฟ้าตวั ท่ี 1 นำไปต่อกบั ต้นของเคร่ืองใช้ไฟฟา้ ตวั ที่ 2 และตอ่ เรยี งกันไปเรื่อย ๆ จนหมด
แล้วนำไปตอ่ เขา้ กบั แหลง่ กำเนิด
- การตอ่ วงจรแบบอนกุ รมจะมที างเดนิ ของกระแสไฟฟ้าได้ทางเดียวเทา่ นน้ั
- ถ้าเกิดเคร่ืองใช้ไฟฟ้าตัวใดตัวหนง่ึ เปิดวงจรหรือขาด จะทำใหว้ งจรทง้ั หมดไม่ทำงาน
ตัวอย่างจากภาพ
1. ถ้าไสห้ ลอด A หรือ B หรอื C ขาด จะไมค่ รบวงจร หลอดไฟฟ้าทเ่ี หลือจะดับ
2. หลอดไฟฟ้า A หรอื B หรือ C สว่างเทา่ กัน แตส่ ว่างน้อยกวา่ แบบขนาน
6.2 แบบขนาน
- เปน็ การนำเอาเครอื่ งใชไ้ ฟฟ้าทกุ ๆ ตวั มาต่อรวมกนั และต่อเข้ากับแหล่งกำเนดิ ท่ีจดุ หนง่ึ
- นำปลายสายของทุก ๆ ตวั มาต่อรวมกนั และนำไปต่อกบั แหลง่ กำเนิดอีกจดุ หนง่ึ ทีเ่ หลือ
- เม่อื เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าแตล่ ะอนั ต่อเรยี บร้อยแลว้ จะกลายเป็นวงจรยอ่ ย
- กระแสไฟฟ้าท่ไี หลจะสามารถไหลไดห้ ลายทางขนึ้ อยกู่ ับตัวของเครื่องใช้ไฟฟา้ ทนี่ ำมาต่อขนานกัน
- ถ้าเกดิ ในวงจรมีเคร่ืองใชไ้ ฟฟา้ ตัวหนง่ึ ขาดหรือเปิดวงจร เคร่ืองใช้ไฟฟา้ ท่เี หลือกย็ งั สามารถทำงานได้
- ในบา้ นเรอื นท่ีอยอู่ าศัยปจั จุบนั จะเป็นการต่อวงจรแบบนี้ท้ังส้ิน
ตวั อย่างจากภาพ
1. ถา้ ไส้หลอด A ขาด หลอด B และ C ยังครบวงจร จงึ ยังคงสว่างหรอื ถ้าไสห้ ลอด B ขาด หลอด A และ C ยังคงสวา่ ง
2. หลอดไฟ A B และ C สวา่ งเท่ากันถา้ หลอดขนาดเท่ากัน สว่างมากกวา่ ต่อแบบอนกุ รม
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 82
6.3 แบบผสม - เป็นการนำอุปกรณไ์ ฟฟา้ มาตอ่ วงจรไฟฟ้าโดยการต่อรวมกันระหวา่ งวงจรไฟฟ้าแบบ
อนกุ รมกบั วงจรไฟฟ้าแบบขนาน ภายในวงจรโหลดบางตัวตอ่ วงจรแบบอนุกรม และโหลดบางตัวตอ่ วงจรแบบขนาน
การตอ่ อุปกรณไ์ ฟฟ้า ความสวา่ งของหลอดไฟ ถา้ อุปกรณ์ชำรดุ
อนุกรม สวา่ งนอ้ ยกวา่ ต่อแบบขนาน ดับท้งั วงจร
ขนาน สว่างมากกว่าต่อแบบอนุกรม
อุปกรณ์ทต่ี ่อแบบขนานยงั ใช้งานได้อยู่
7. แมเ่ หลก็
- แมเ่ หล็ก คอื สารแมเ่ หล็กท่ีมีโมเลกุลเรยี งตวั กนั เป็นระเบียบ
- เม่ือแขวนแม่เหลก็ ข้วั เหนือ (N) จะชีไ้ ปทิศข้วั โลกเหนือ ขวั้ ใต้ (S) จะชไ้ี ปทิศขวั้ โลกใต้
- เสน้ แรงแมเ่ หล็ก เปน็ เสน้ สมมติทแี่ สดงทิศของสนามแม่เหล็กรอบ ๆ แท่งแมเ่ หล็ก โดยเสน้ แรงแม่เหลก็
ที่อยู่ภายนอกแท่งแม่เหล็กจะมที ศิ ทางออกจากขว้ั N และวนเข้าหาขั้ว S
- กฎของแมเ่ หลก็ “ข้วั เหมือนกนั จะผลกั กัน” “ขั้วตา่ งกนั จะดูดกัน”
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 83
แม่เหลก็ เหนย่ี วนำ
1.1 แม่เหล็กเหน่ียวนำดว้ ยการขัดถู
- เม่อื นำตะปูมาถูกับแม่เหล็กถาวร ตะปูจะแสดงอำนาจแม่เหลก็ ชั่วคราว
1.2 แมเ่ หล็กเหนยี่ วนำด้วยการใช้กระแสไฟฟ้า
- เม่ือนำตะปทู ีพ่ ันขดลวดแลว้ ต่อกับแหล่งกำเนดิ ไฟฟ้า ตะปูจะแสดงอำนาจแม่เหล็กชัว่ คราว แต่เมอ่ื
หยดุ จ่ายไฟ ตะปูจะหมดสภาพความเปน็ แม่เหลก็
- ****การเพ่ิมอำนาจแมเ่ หลก็ ทำไดโ้ ดย
1. เพม่ิ ปรมิ าณกระแสไฟฟ้า
2. เพม่ิ จำนวนรอบขดลวด
ประโยชนข์ องแม่เหลก็ เหน่ียวนำ
1. ออดไฟฟา้
2. แม่เหลก็ ยกของ
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 84
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 85
วิทยาศาสตร์ โลก และอวกาศ
ว 3.1 ระบบสรุ ยิ ะและเทคโนโลยอี วกาศ
เข้าใจองคป์ ระกอบ ลักษณะ กระบวนการเกดิ และววิ ัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ยิ ะ รวมทง้ั ปฏิสัมพันธภ์ ายใน
ระบบสุริยะทสี่ ง่ ผลตอ่ สิง่ มีชีวิตและการประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ระบบสุริยะ ปรากฏการณด์ วงดาวและเทคโนโลยีอวกาศ
1. ระบบสุรยิ ะ
- เกดิ จากการรวมตวั ของกลุ่มแก๊สในอวกาศและทฤษฎีการระเบิดครงั้ ย่ิงใหญ่หรือ บิ๊กแบง
- อยูใ่ นกาแล็กซที างชา้ งเผอื ก ซง่ึ มรี ปู คลา้ ยก้นหอย หรือกงั หนั
- มดี วงอาทิตยเ์ ป็นศูนยก์ ลาง มีดาวเคราะห์ 8 ดวง เป็นบริวารและโคจรรอบดวงอาทิตย์
- มดี วงจนั ทร์ซงึ่ เปน็ บริวารของดาวเคราะห์ทง้ั หลายท่โี คจรรอบดาวเคราะหต์ า่ ง ๆ นน้ั ดว้ ย
1.1 ดวงอาทติ ย์
- เป็นดาวฤกษท์ ี่อยู่ใกลโ้ ลกที่สดุ อยูห่ ่างจากโลกประมาณ 150 ลา้ นกโิ ลเมตร
- ภายในใจกลางดวงอาทิตยม์ ีอุณหภมู ิ 15 ลา้ นองศาเซลเซียส
- จุดบนดวงอาทติ ย์ (Sunspot) หรอื ซนั สปอรต์ คือจุดบนดวงอาทิตย์ที่มอี ุณหภูมิตำ่ กวา่ บริเวณอน่ื เรยี กวา่ จดุ ดบั
1.2 ดวงจันทร์
- เป็นดาวเคราะห์ ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง - ดวงจนั ทรม์ ีแรงโนม้ ถว่ ง 1 เทา่ ของโลก
- เคลอื่ นที่รอบโลกรอบละประมาณ 1 เดือน
6
- เคล่ือนทรี่ อบตวั เองรอบละประมาณ 1 เดือน
- เคลือ่ นทรี่ อบดวงอาทติ ย์รอบละประมาณ 12 เดือน
1.3 ดาวเคราะห์
1.3.1 ใช้โลกเป็นเกณฑ์แบ่ง
1. ดาวเคราะหว์ งใน ไดแ้ ก่ ดาวพุธ และดาวศุกร์
2. ดาวเคราะหว์ งนอก ไดแ้ ก่ ดาวอังคาร ดาวพฤหสั บดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน
1.3.2 ใช้แถบดาวเคราะห์นอ้ ยเปน็ เกณฑแ์ บง่
1. ดาวเคราะห์ชน้ั ใน (ดาวเคราะหห์ ิน) ไดแ้ ก่ ดาวพธุ ดาวศกุ ร์ โลก และดาวอังคาร
2. ดาวเคราะห์ช้นั นอก (ดาวเคราะหแ์ กส๊ ) ไดแ้ ก่ ดาวพฤหสั บดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนสั และดาวเนปจนู
***แถบดาวเคราะหน์ อ้ ย (Asteroid Belt) อยูร่ ะหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี
ดาวพธุ ดาวศกุ ร์ โลก ดาวเครา
(Mercury) (Venus) (Earth) ดาวองั คา
(Mars)
1. ฉายานาม เตาไฟแช่แขง็ ฝาแฝดของโลก ดาวสนี ้ำเงนิ ดาวสีแดง
กลางวนั 437C เชา้ -ประกายพรึก ดาวแห่งพืน้ น้ำ เทพเจ้าแห่งสงค
กลางคนื -173C เย็น-ประจำเมอื ง
2. ลกั ษณะ พ้นื ผวิ ขรุขระ อุณหภมู ิ 460C มสี ิ่งมีชีวิตอยู่ ผิวเป็นฝ่นุ กอ้ น
ไม่มบี รรยากาศ คาร์บอนไดออกไซด์ ¾ เปน็ นำ้ ดินเป็นธาตุเหล็ก
มีออกซิเจน20%
เรือนกระจก ภูเขาไฟ-โอลมิ
กรดซลั ฟวิ รกิ หุบเขา-มารเิ น
3.ขนาดเส้นผ่านศนู ยก์ ลาง 4,879 12,104 12,756 6,794
(km) 57.9
4.ระยะหา่ งจาก 88 วัน 108.2 149.6 227.9
ดวงอาทิตย์ (ลา้ น km)
5.เวลาโคจรรอบ 59 วนั 225 วนั 365.25 วัน 687 วนั
ดวงอาทิตย์ 1 วัน
243 วนั 24 ชั่วโมง
6.ระยะเวลาหมนุ รอบ 37 นาที
ตัวเอง
7.ดวงจันทร์บรวิ าร 0 0 12
มนู โฟบอส, ไดม
8.ยานสำรวจ มารเิ นอร์ 10 แมคเจนแลน มาร์พารธ์ ไฟน์เ
รถโซเจอรเ์ น
ขนาดของดาวเคราะห์จากใหญไ่ ปเลก็ : 1. ดาวพฤหัสบดี 2. ดาวเสาร์ 3. ดาวยูเรนัส 4. ด
วทิ ยาศาสตร์แล8ะเ6ทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1
าะหใ์ นระบบสุรยิ ะ ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน
าร ดาวพฤหสั บดี (Saturn) (Uranus) (Neptune)
(Jupiter)
ง ดาวยักษ์ วงแหวนสวยงาม ดาวมฤตยู ดาวเกตุ
คราม วงแหวน 3 ช้ัน หลายพันวง วงแหวน 10 ชัน้ เทพเจ้าแหง่ ทอ้ งทะเล
นหิน แรงโน้มถ่วง 12 เทา่ ความหนาแนน่ นอ้ ย สเี ขยี วน้ำเงิน วงแหวน 4 ชน้ั
กสแี ดง ลอยน้ำได้ โคจรตะแคงขา้ ง
มปัส ของโลก สีน้ำเงิน
นริส อณุ หภูมิ -130C 120,536 ฤดูละ 42 ปี อุณหภมู ิ -200C
อุณหภูมิ -210C มกี ระแสลมพดั ผา่ น
142,984 (ใหญ่สุด)
51,118 49,528
778.3 1,427 2,871 4,497
11.9 ปี 29.5 ปี 83.8 ปี 163.7 ปี
16 ช่ัวโมง
ง 9 ชวั่ โมง 10 ชว่ั โมง 17 ชว่ั โมง 7 นาที
50 นาที (เรว็ สุด) 30 นาที 14 นาที 13
ไทรทนั
66 62 27
ไททนั วอยเอเจอร์ 2
มอส แกนมี ดี , คลั ลสิ โต,
ไอโอ, ยุโรปา
เดอร์ จูโน แคสสินี, ฮอยเกนส์ วอยเอเจอร์ 2
นอร์
ดาวเนปจูน 5. โลก 6. ดาวศุกร์ 7. ดาวองั คาร 8. ดาวพุธ
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 87
1.4 วัตถทุ อ้ งฟ้าอ่ืน ๆ
1.4.1 ดาวเคราะหแ์ คระ (Dwarf planets)
คลา้ ยดาวเคราะห์ เปน็ วตั ถุท้องฟ้าทโี่ คจรรอบดาวฤกษ์ มีมวลมากพอท่ีจะมแี รงโน้มถ่วงดึงดูดตัวเอง
มีรปู รา่ งใกล้เคยี งกบั ทรงกลม มวี งโคจรทซ่ี ้อนทับกับดาวอนื่ เชน่ ดาวพลโู ต ดาวซีรีส ดาวอรี ิส ดาวเฮาเมอา
ดาวมาคมี าคี *** พ.ศ. 2549 สมาพนั ธด์ าราศาสตรน์ านาชาติได้จดั ดาวพลูโต เป็นดาวเคราะหแ์ คระ
เพราะ 1. มีวัตถคุ ลา้ ยดาวพลูโตโคจรรอบดวงอาทิตย์ในบรเิ วณใกล้เคียงกบั ดาวพลโู ตอีกเปน็ จำนวนมาก
2. ระนาบวงโคจรของดาวพลูโตแตกต่างจากของดาวเคราะห์ดวงอืน่
3. มวี งโคจรไม่ชัดเจนเป็นวงรี และวงโคจรบางส่วนซ้อนทับวงโคจรของดาวอื่น
1.4.2 ดาวเคราะห์นอ้ ย (Asteroid)
เป็นกอ้ นหินขนาดต่าง ๆ เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 – 1,000 กโิ ลเมตร ซ่ึงมีจำนวนมากกวา่ 200,000
ดวง ส่วนมากโคจรอยรู่ ะหวา่ งวงโคจรของดาวอังคารและดาวพฤหสั บดี เรียกว่า แถบดาวเคราะหน์ ้อย มอง
ไมเ่ หน็ ด้วยตาเปล่า เช่น ดาวเคราะหน์ ้อยแกสปรา
1.4.3 ดาวหาง (Comets)
เปน็ ก้อนนำ้ แขง็ สกปรก โคจรรอบดวงอาทิตยเ์ ปน็ วงรมี าก เม่ือเข้าใกล้ดวงอาทติ ย์กจ็ ะเกิดการระเหิด
เปน็ แก๊สและมฝี ุ่นปะปน ไมม่ ีแสงในตวั เอง สะท้อนแสงดวงอาทติ ย์ ทำใหม้ องเห็นเป็นหัวและหาง เข้าใกลด้ วง
อาทติ ย์หัวจะใหญ่ หางจะยาว หางชีไ้ ปทศิ ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์เสมอ เช่น ดาวหางฮลั เลย์ เหน็ ลา่ สดุ พ.ศ.
2529 จะโคจรกลบั มาอีกครงั้ พ.ศ.2604
1.4.4 อกุ กาบาต (Meteorite)
เกดิ จากวตั ถุแข็งจำพวกโลหะและหินขนาดเล็กทลี่ อ่ งลอยอยู่ในอวกาศ เมื่อโคจรเขา้ มาใกล้โลกจะ
ถกู ดึงดูดเขา้ สู่ชัน้ บรรยากาศของโลก ลกุ ไหมไ้ ม่หมดเหลอื ตกลงสูพ่ ้ืนโลก
1.4.5 ดาวตก หรือผีพุ่งไต้ (Meteor)
เกดิ จากวัตถุแขง็ จำพวกโลหะและหินขนาดเล็กทีล่ อ่ งลอยอยูใ่ นอวกาศ เม่อื โคจรเข้ามาใกลโ้ ลกจะ
ถกู ดึงดดู เขา้ สชู่ ้นั บรรยากาศของโลก เกิดการเสียดสลี กุ ไหม้หมดเป็นแสงวาบ
เปรยี บเทยี บความแตกต่างระหวา่ งดาวฤกษ์และดาวเคราะห์
ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์
คลา้ ยทรงกลม คล้ายทรงกลม
ดาวท่เี ปน็ แหลง่ กำเนิดแสง ดาวที่ไมเ่ ป็นแหลง่ กำเนิดแสง
ดาวทีม่ ีแสงสวา่ งในตวั เอง ดาวทีไ่ ม่มีแสงสว่างในตวั เอง
มองเห็นเปน็ จดุ สวา่ ง มีแสงระยิบระยบั กะพริบตลอดเวลา มองเห็นเป็นแสงสวา่ งน่งิ มแี สงนิง่ ไม่กะพรบิ
ดาวประจำท่ี ดาวพเนจร
ตัวอย่าง เชน่ ดวงอาทิตย์ ดาวเหนอื ดาวซีรอี ุส ตวั อยา่ งเช่น ดาวพุธ ดาวศกุ ร์ ดาวอังคาร โลก
- ดาวเคราะห์ทม่ี องเหน็ ได้ดว้ ยตาเปล่าบนท้องฟา้ ได้แกด่ าวดวงใดบา้ ง
ตอบ ดาวพุธ ดาวศกุ ร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์
- ดาวเคราะหท์ ีไ่ ม่มีทางปรากฏในทอ้ งฟา้ เวลาเทย่ี งคนื ไดแ้ ก่ดาวดวงใดบ้าง ตอบ ดาวพธุ ดาวศกุ ร์
- ดาวเคราะห์ไม่มแี สงสว่างในตวั เอง แล้วเราสามารถมองเห็นดาวเคราะห์ไดอ้ ย่างไร
ตอบ ดาวเคราะห์ไดร้ บั แสงจากดวงอาทิตยแ์ ลว้ สะทอ้ นแสงนั้นมาทต่ี าของเรา
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 88
2. ความสมั พนั ธร์ ะหว่างโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทติ ย์
โลกมีการหมุนรอบตวั เองโดยหมนุ จากทิศตะวนั ตกไปยังทิศตะวันออก ทำใหเ้ กดิ
1. กลางวัน กลางคนื
2. การขึน้ ตกของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว โดยข้ึนทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวนั ตก
3. ทำใหเ้ กิดทิศตา่ ง ๆ เช่น ทิศตะวนั ออก ทศิ ตะวนั ตก เปน็ ต้น
2.1 การเกิดกลางวนั กลางคืน
- โลกเป็นบรวิ ารของดวงอาทติ ย์ หมุนรอบดวงอาทติ ยเ์ ป็นเวลา 365.25 วนั หรอื 1 ปี
- โลกหมุนรอบตวั เองจากทศิ ตะวนั ตกไปทศิ ตะวนั ออก ใชเ้ วลา 24 ชวั่ โมง
- ดา้ นทร่ี บั แสงอาทติ ยเ์ ป็นเวลากลางวนั สว่ นดา้ นตรงขา้ มทไ่ี ม่ไดร้ บั แสงอาทติ ยเ์ ป็นเวลากลางคนื
2.2 การเกิดฤดกู าล
ซีกโลกด้านขวาจะหันเขา้ หาดวงอาทติ ย์ แต่ อีก 6 เดือนตอ่ มาเมื่อโลกโคจรไปอยู่อีกดา้ นหนึ่งของวง
เพราะแกนโลกเอยี ง ซกี โลกเหนอื จงึ เอนเข้าหาดวงอาทิตย์ โคจร ในขณะที่แกนโลกยังเอียงด้วยมุมเท่าเดิม ซีกโลกใตจ้ งึ เอียง
ในขณะทซ่ี ีกโลกใต้เอียงออกจากดวงอาทติ ย์ ดงั นน้ั ซีกโลก เข้าหาดวงอาทิตย์และซกี โลกเหนือเอยี งออกจากดวงอาทติ ย์
เหนอื จึงเปน็ ฤดรู ้อนและซีกโลกใต้จึงเป็นฤดูหนาว ดังน้ันซกี โลกใต้จะเป็นฤดรู อ้ นและซกี โลกเหนือเป็นฤดหู นาว
- โลกหมุนรอบตัวเอง 1 วัน ทำใหโ้ ลกเกิดกลางวันและกลางคนื
- โลกโคจรรอบดวงอาทติ ย์ 1 รอบ ใชเ้ วลา 365 วัน
- การโคจรรอบด้วยอาทติ ยด์ ้วยมุมท่โี ลกเอียง 23.5 องศา ส่งผลให้พืน้ ทีต่ า่ ง ๆ บนโลกไดร้ ับแสงจากดวง
อาทติ ย์ไม่เท่ากนั ทำให้แต่ละพื้นทเ่ี กดิ ฤดกู าลต่างกัน
- ในเขตอบอ่นุ และเขตหนาว มกี ารแบง่ ฤดกู าลออกเป็น 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดรู ้อน ฤดใู บไมร้ ่วง และฤดหู นาว
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 89
ชว่ งเวลา ซีกโลกเหนอื * ซีกโลกใต้
21 มีนาคม ถึง 20 มถิ ุนายน ฤดูใบไม้ผลิ (วสนั ตฤดู) ฤดูใบไมร้ ่วง
21 มถิ ุนายน ถึง 21 กันยายน ฤดรู อ้ น (คมิ หันตฤด)ู ฤดูหนาว
ฤดูใบไม้ผลิ
22 กนั ยายน ถึง 21 ธนั วาคม ฤดใู บไม้รว่ ง (สารทฤดู) ฤดรู อ้ น
22 ธันวาคม ถึง 20 มนี าคม ฤดหู นาว (เหมันตฤดู) - ฤดูร้อน (คิมหนั ตฤดู)
* ประเทศไทย อยู่ในซีกโลกเหนือ
ประเทศไทยอยใู่ นเขตร้อนของซีกโลกเหนอื แบ่งเปน็ 3 ฤดู ได้แก่
- ฤดฝู น (วสั สานฤด)ู - ฤดหู นาว (เหมนั ตฤด)ู
แตภ่ าคใต้ มเี พียง 2 ฤดู ไดแ้ ก่ฤดฝู นและฤดรู ้อน
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 90
2.3 การขึน้ ตกของดวงอาทติ ย์
ดวงอาทติ ยป์ รากฏขนึ้ ทางทิศตะวนั ออกในตอนเช้า และปรากฏตกทางทิศตะวนั ตกในตอนเยน็
2.4 ข้างขน้ึ ข้างแรม
- ปรากฏการณ์ที่แสงจากดวงจันทรม์ ีลกั ษณะเวา้ แหวง่ และเปลย่ี นแปลงตลอดทงั้ เดอื น
- ดวงจนั ทร์ไม่มีแสงสวา่ งในตัวเอง เกิดจากการสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์
- การทีด่ วงจันทรโ์ คจรรอบโลก คนบนโลกจงึ สงั เกตเหน็ ดวงจันทร์มีลักษณะแตกตา่ งกันไปตามมมุ ทีแ่ สงสะท้อน
- ดวงจันทร์หมนุ รอบตัวเองในทิศทวนเข็มนาฬิกา โดย 1 รอบ ใช้เวลา 30 วนั ซ่งึ เทา่ กับเวลาทีใ่ ชโ้ คจรรอบ
โลกพอดี ทำให้คนบนโลกมองเหน็ ดวงจนั ทรด์ า้ นเดยี วเสมอ
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 91
ดวงจนั ทร์ขึน้ หมายถงึ ดวงจันทรม์ าปรากฏอยู่ ณ ขอบฟ้าทศิ ตะวันออก ซ่ึงจะเปน็ เวลาใดก็ได้ไมจ่ ำกัดวา่
จะต้องเปน็ เวลากลางวันหรือกลางคืน
ดวงจันทร์ตก หมายถึง ดวงจันทรม์ าปรากฏอยู่ ณ ขอบฟา้ ทศิ ตะวนั ตกเวลาขึน้ เวลาตกของดวงจันทร์มีการ
เปลยี่ นแปลงไปซง่ึ สามารถสรุปไดด้ งั น้ี
1. ดวงจนั ทรจ์ ะขนึ้ และตกช้าลงอย่างสมำ่ เสมอประมาณวนั ละ 50 นาที
2. วันขา้ งข้นึ ดวงจนั ทรจ์ ะขึ้นในเวลากลางวันก่อนดวงอาทิตยต์ ก และตกในเวลากลางคืน
3. วนั ขา้ งแรม ดวงจนั ทร์จะขึ้นหลังดวงอาทิตย์ตก หรือขน้ึ ในเวลากลางคนื และตกในเวลากลางวนั
4. วนั ขึน้ 8 ค่ำ ดวงจนั ทรจ์ ะขึ้นเวลาประมาณเที่ยงวัน และตกในเวลาเท่ียงคืน
5. วนั แรม 8 คำ่ ดวงจันทรข์ ้ึนในเวลาประมาณเทีย่ งคนื และตกในเวลาประมาณเท่ียงวัน
6. วันขึน้ 15 ค่ำ จะมองเห็นพระจันทร์เต็มดวง
7. วันแรม 15 คำ่ จะมองไม่เห็นดวงจันทร์ หรอื เรยี กว่า คืนเดือนดบั
8. ดวงจนั ทรต์ อ้ งใช้เวลาประมาณ 30 วนั จงึ จะมีเวลาขึ้นและตกใกล้เคียงกบั เวลาเดิมอกี ครัง้ หน่งึ
สาเหตทุ คี่ นบนโลกเหน็ ดวงจนั ทร์ช้าลงประมาณวนั ละ
50 นาที นน้ั เป็นเพราะวา่ โลกหมุนรอบตวั เอง 1 รอบ ใชเ้ วลา
เพยี ง 24 ช่ัวโมง แตด่ วงจนั ทร์โคจรรอบโลกใช้เวลาถงึ 27.32
วัน เราจงึ เห็นดวงจันทร์มาปรากฏ ณ ตำแหนง่ เดิมช้าลงทุกวัน
ไมว่ ่าจะเปน็ วันข้างข้ึน หรือขา้ งแรมก็ตาม เราจะพบวา่ ดวง
จนั ทรจ์ ะหันด้านสว่างเขา้ หาดวงอาทิตย์เสมอ เมื่อสังเกตดวง
จนั ทร์บนโลก จะพบว่าในวันข้างขนึ้ ดวงจันทรจ์ ะหันด้านสว่าง
ไปทางทิศตะวนั ออก ดงั นน้ั เมื่อเราสงั เกตดวงจนั ทร์เราจะ
สามารถบอกได้วา่ ดวงจันทร์วันน้เี ปน็ ขา้ งข้นึ หรอื ขา้ งแรม
1. วนั เดือนมดื (New moon)
คอื วันแรม 15 คำ่ ดวงจันทร์จะอยรู่ ะหว่างโลกและดวงอาทติ ยพ์ อดี คนท่ีอย่บู นพ้นื โลก จะมองไมเ่ ห็นแสง
สะทอ้ นของดวงจนั ทรเ์ ลย เรียกว่า คืนเดอื นมดื หรอื เดือนดบั
2. วันเพ็ญ (Full moon)
คอื วนั ขนึ้ 15 ค่ำ ดวงจันทร์จะอย่ตู รงขา้ มกับดวงอาทติ ย์พอดี แสงจากดวงอาทิตย์จะตั้งฉากกับดวงจนั ทร์
พอดี คนท่อี ยู่บนพื้นโลก จะมองเหน็ ดวงจันทร์เต็มดวงอยู่กลางศรี ษะพอดี เรยี กวา่ วนั เพ็ญ
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 92
3. ข้างข้นึ (Waxing)
ชว่ งเวลาตงั้ แตค่ ืนเดอื นมดื ไปจนถึงคนื วันเพ็ญ แบง่ เปน็ 15 ส่วน คือ ขึน้ 1 ค่ำ, 2 คำ่ ไปจนถงึ ขึ้น 15 ค่ำ
ในช่วงนี้ดวงจันทร์จะข้ึนก่อนดวงอาทิตยต์ กดิน วนั ตอ่ มาจะขึ้นช้าลงและมีขนาดใหญข่ น้ึ เรื่อย ๆ ราววันข้ึน 7 – 8
คำ่ ดวงจันทรซ์ ีกขวาจะเห็นเต็มดวง เรยี กวา่ ‘First Quarter Moon’ ไปจนถึงวนั ขน้ึ 15 ค่ำ จะเหน็ ดวงจันทรเ์ ต็ม
ดวงเรียกว่า ‘Full Moon’
4. ขา้ งแรม (Wanning)
ชว่ งเวลาตง้ั แต่วันเพญ็ ไปจนถึงเดอื นมดื อีกคร้งั แบ่งเป็น 14 – 15 ส่วน (เดือนเว้นเดือน) คอื แรม 1คำ่ , 2
ค่ำ ไปจนถงึ แรม 14 หรือ 15 ค่ำ ในชว่ งน้ดี วงจนั ทร์จะข้ึนหลงั ดวงอาทิตย์ตกดิน วันตอ่ มาดวงจันทร์จะขนึ้ เรว็ ขนึ้ และ
มขี นาดเล็กลงเรื่อย ๆ ราววันแรม 7 – 8 คำ่ ดวงจันทรซ์ ีกซา้ ยจะเหน็ เตม็ ดวง เรียกว่า ‘Third Quarter Moon’
ไปจนถึงวนั แรม 15 ค่ำจะไม่เหน็ ดวงจนั ทรเ์ ลย เรยี กวา่ ‘New Moon’
2.5 น้ำขนึ้ น้ำลง
ปรากฏการณ์นำ้ ข้นึ -นำ้ ลง เป็นปรากฏการณ์ทเ่ี กยี่ วข้องกับพระอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ ซง่ึ เป็นผลมา
จากแรงดงึ ดูดท่ีดวงจนั ทรแ์ ละดวงอาทิตย์กระทำต่อโลก โดยดวงจันทร์จะมีอิทธพิ ลต่อโลกมากกว่าดวงอาทติ ย์
เนอื่ งจากดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลกถงึ 390 เท่า ขณะทด่ี วงจันทร์อยใู่ กล้โลกมากกว่า แรงดึงดดู ของดวงจนั ทร์จงึ มี
อทิ ธพิ ลทำให้เกิดน้ำขึ้นนำ้ ลงมากกว่าดวงอาทติ ย์
จากการทโ่ี ลกหมนุ รอบตัวเอง 1 รอบ ทำให้บรเิ วณตา่ ง ๆ ของโลกดา้ นที่ใกล้ดวงจันทรแ์ ละด้านตรงข้ามดวง
จันทร์เกิดปรากฏการณ์นำ้ ขนึ้ -นำ้ ลง วันละ 2 รอบ โดยขณะที่โลกหมุนรอบตวั เองนัน้ นำ้ ขึน้ จะเกิดบนผวิ โลกดา้ นที่
หนั เข้าหาดวงจันทร์ เนื่องจากเป็นจดุ ท่ีใกล้ดวงจันทร์มากท่ีสุด แรงดึงดดู ระหวา่ งดวงจนั ทรก์ ับโลกจึงมีความเข้มมาก
นอกจากน้ีน้ำขน้ึ ยังเกิดบนผวิ โลกด้านทอ่ี ยู่ตรงขา้ มกับดวงจันทร์ดว้ ย แต่ไม่ใชเ่ พราะแรงดึงดดู มากกวา่ บริเวณอนื่
เชน่ เดยี วกับด้านทีอ่ ยู่ใกล้ดวงจันทร์ หากเป็นเพราะผวิ โลกดา้ นท่ีอยู่ตรงข้ามกับดวงจนั ทรน์ ัน้ ไดร้ ับอิทธิพลจากแรง
ดึงดดู ระหวา่ งโลกกับดวงจันทร์น้อยกวา่ บริเวณอ่นื เม่อื โลกบรเิ วณอ่ืนถูกดึงดูดเขา้ หาดวงจนั ทร์มากกว่าผิวโลกดา้ นท่ี
อย่ตู รงข้ามกับดวงจันทร์ ทำใหผ้ ิวโลกด้านทีอ่ ยตู่ รงข้ามกับดวงจนั ทร์กลายเป็นจดุ ทีน่ ้ำไหลมารวมกันมาก เกิดเป็นน้ำ
ข้นึ อกี จุดหน่งึ บนโลก
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 93
ปรากฏการณ์น้ำเกิด(นำ้ เป็น) (Spring tides)
เมื่อมีการเรยี งตวั อยู่ในระนาบเดียวกนั ของดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ และโลก หรือ ดวงอาทิตย์ โลก และดวง
จันทร์ ในชว่ งเวลาท่ีดวงจนั ทร์เต็มดวง หรอื ก็คือวันขึ้น 15 ค่ำ (Full moon) และวันแรม 15 ค่ำ (New Moon)
แรงดึงดดู ของดวงอาทติ ย์และดวงจนั ทร์ทีก่ ระทำต่อโลกจะเสรมิ กนั สูงสุด ทำใหเ้ กดิ ปรากฏการณน์ ้ำเกิด (Spring
tides) หรอื นำ้ ขน้ึ สงู สุด ซ่ึงระดบั นำ้ ทขี่ น้ึ สูงสุดกบั ระดับน้ำทล่ี งตำ่ สดุ จะมีความแตกตา่ งกันมาก
ปรากฏการณ์นำ้ ตาย (Neap tides)
ปรากฏการณน์ ำ้ ตาย เกิดขน้ึ ในวันข้ึน 8 ค่ำ และวันแรม 8 ค่ำ เมอื่ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก ไม่ได้
เรียงตัวบนแนวเดยี วกนั แตต่ ั้งฉากซึ่งกันและกนั โดยดวงอาทติ ยแ์ ละดวงจันทร์ทำมุมตั้งฉากกนั 90 องศา แรงดึงดดู
ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ท่กี ระทำต่อโลกจะไมเ่ สริมกัน ต่างฝ่ายตา่ งออกแรงกระทำต่อโลก ทำให้เกิด
ปรากฏการณน์ ้ำตาย (Neap tides) ซง่ึ ระดบั นำ้ ท่ขี น้ึ สูงสดุ กบั ระดบั น้ำท่ลี งตำ่ สุดจะไม่แตกต่างกันมาก
จะเห็นว่า ปรากฏการณน์ ้ำเกิดและน้ำตายน้ีมีความสมั พันธ์กบั ข้างขนึ้ และข้างแรม โดยจะเกดิ ขนึ้ รวมกนั 4
คร้งั ใน 1 เดือน
ผลกระทบของน้ำขึ้น-น้ำลง
น้ำข้นึ -น้ำลงมีผลตอ่ การเพ่ิมหรอื ลดของระดับน้ำในมหาสมุทร การท่ีนำ้ ลงอาจทำใหบ้ ริเวณชอ่ งทางเดนิ เรือ
ต้ืนเขิน การเดินเรือจงึ ไม่สะดวก ดังนนั้ นกั เดนิ เรือจึงตอ้ งคอยติดตามการเกิดนำ้ ข้นึ และน้ำลงอยเู่ สมอ
ปรากฏการณน์ ย้ี งั สง่ ผลต่อระดับน้ำบรเิ วณปากแมน่ ำ้ อีกด้วย การทีน่ ้ำข้นึ ทำให้น้ำในมหาสมทุ รไหลเขา้ สูแ่ มน่ ้ำ นำ้
เพมิ่ ขึน้ สูง ทว่ มบ้านเรอื นท่ีอยู่ริมชายฝง่ั และเกดิ นำ้ เค็มและนำ้ จดื ผสมผสมกนั เปน็ นำ้ กร่อย หากมีน้ำขนึ้ หนนุ สูง
มากเกินไปอาจทำให้พืชสวนหรอื การเกษตรเสยี หายได้ เปน็ ต้น
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 94
2.6 สุรยิ ุปราคา
สรุ ิยุปราคา (Solar Eclipse) หรือสรุ ิยคราส เกดิ จากการที่ดวงจันทรโ์ คจรผ่านระหว่างดวงอาทิตยแ์ ละโลก
ในเวลากลางวนั ทำให้เรามองเหน็ ดวงอาทติ ย์ค่อยๆ เวา้ แหวง่ ไป จนกระทั่งดวงจันทร์บดบังดวงอาทิตย์ไว้ทัง้ หมด
เวลาน้นั แมเ้ ป็นกลางวันแต่โลกก็จะมืดลงไปชัว่ ขณะ และเม่ือดวงจันทร์ผ่านพ้นไป ดวงอาทติ ยก์ ็จะกลบั มาส่องสว่าง
อีกคร้ัง ดงั นน้ั การเกิดสุรยิ ุปราคาจึงเป็นปรากฏการณ์ทีต่ ้องประกอบไปด้วยดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และโลก เรยี งตวั
อยู่ในระนาบเดยี วกัน ตามลำดับ
เงาของดวงจนั ทร์ เมอ่ื ดวงจันทร์โคจรมาบดบงั ดวงอาทติ ย์ทงั้ หมดไว้จะทำใหเ้ กดิ เงา 2 ชนิด คือ เงามืดและเงามัว
- เงามืด (Umbra) เป็นเงาส่วนทม่ี ืดท่สี ุด ซง่ึ เกิดข้ึนในบริเวณทอ่ี ยู่ตรงกบั ดวงจนั ทร์
- เงามวั (Penumbra) เป็นเงาส่วนทยี่ งั มีแสงสลวั โดยเงามัวน้จี ะอย่รู อบ ๆ เงามืดอีกที
ประเภทของสุริยุปราคา
1. สุริยุปราคาเต็มดวง (total solar eclipse) เกิดจากดวงจนั ทรอ์ ย่ใู กลโ้ ลกมาก เงาดวงจนั ทรจ์ งึ มี
ขนาดใหญ่ คนบนโลกท่อี ยู่บริเวณเงามดื ของดวงจนั ทร์จะมองเห็นดวงจนั ทร์บงั ดวงอาทิตยจ์ นมดิ หรอื มองเห็นดวง
อาทิตย์มดื ทง้ั ดวง
2. สุริยุปราคาบางส่วน (partial solar eclipse) เกิดจากคนบนโลกที่อยู่ในบรเิ วณเงามัวบนผิวโลก จะ
มองเห็นดวงจนั ทร์บังดวงอาทิตย์บางส่วน จงึ ทำใหม้ องเห็นดวงอาทติ ยแ์ หวง่ เป็นเสย้ี ว
3. สุรยิ ุปราคาวงแหวน (annular solar eclipse) เกิดจากบางคร้งั ดวงจันทรอ์ ย่หู า่ งจากโลกมาก ทำให้
เงาของดวงจันทร์ทอดไปไม่ถึงผิวโลกดวงจนั ทรจ์ ึงมีขนาดเล็กกวา่ ดวงอาทติ ย์ จงึ บังดวงอาทิตยไ์ ม่หมด ทำให้
มองเหน็ ขอบของดวงอาทติ ยเ์ ป็นรปู วงแหวน
ในขณะที่เกิดสรุ ิยปุ ราคาเต็มดวง ดวงจนั ทร์บดบงั ดวงอาทิตย์ทั้งดวงแล้ว จะมองเหน็ แสงบาง ๆ กระจาย
ออกมาจากรอบ ๆ ดวงอาทติ ย์ ทเ่ี รียกวา่ โคโรนา (Corona) ซึ่งเป็นสว่ นนอกสุดของชนั้ บรรยากาศของดวงอาทิตย์
การสังเกตสุริยปุ ราคา จำเป็นต้องมองผา่ นอุปกรณ์กรองแสงต่าง ๆ ตาของเราไม่สามารถมองดวงอาทิตย์
ตรง ๆ ได้โดยปราศจากเคร่ืองป้องกนั สายตา เนอื่ งจากรงั สียูวีจากดวงอาทิตยส์ ามารถทำลายเรตนิ าในดวงตาของ
เราได้ ซ่ึงอาจถึงขน้ั ตาบอดได้ แตเ่ ราสามารถมองดวงอาทติ ย์ไดโ้ ดยตรงในขณะท่ีเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงเท่านั้น
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 95
2.7 จันทรปุ ราคา
จันทรปุ ราคา (Lunar Eclipse) เป็นปรากฏการณ์ทเี่ กดิ ข้นึ เม่ือดวงจันทร์เต็มดวง จะเกดิ ขนึ้ ในเวลากลางคนื
ทีเ่ กิดจากดวงอาทติ ย์ โลก และดวงจนั ทร์ โคจรมาเรียงตวั อยูใ่ นแนวระนาบเดยี วกัน ตามลำดับ ซ่งึ ต้องเป็นช่วงท่ี
ดวงจันทร์เต็มดวง (ขนึ้ 15 ค่ำ) เท่าน้ัน ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเมอ่ื ดวงจันทร์มีการโคจรเข้าไปในเงาของโลก การท่ี
ดวงจนั ทรโ์ คจรเข้าไปในเงาโลก จะทำให้ดวงจนั ทรเ์ กิดการเวา้ แหว่ง และหากดวงจนั ทร์เคลอื่ นทเ่ี ขา้ ไปในเงามืดของ
โลกพอดี จะทำให้เรามองเหน็ ดวงจันทร์มีลกั ษณะกลมโตและมสี นี ำ้ ตาลอมแดง เรียกวา่ จนั ทรปุ ราคาเตม็ ดวง
ชนดิ ของจันทรุปราคา
1. จันทรปุ ราคาเต็มดวง (total eclipse) เกดิ จากดวงจันทร์ทัง้ ดวงโคจรเข้าไปในเงามืดของโลก คนทอี่ ยู่
บนโลกจะมองเหน็ ดวงจนั ทร์ เปน็ สีแดงอิฐ หรอื ที่เราเรยี กว่า พระจันทรส์ ีเลือด
2. จันทรุปราคาบางส่วน (partial eclipse) เกดิ จากดวงจันทร์บางส่วนโคจรเขา้ ไปในเงามดื ของโลก คน
ทีอ่ ยู่บนโลกจะมองเห็นดวงจันทรบ์ างสว่ นมดื ลง บางสว่ นมีสอี ฐิ
3. จนั ทรปุ ราคาเงามัว (penumbra eclipse) เกดิ จากดวงจันทรโ์ คจรเข้าไปในเงามัวเทา่ นน้ั ทำให้
มองเหน็ ดวงจนั ทร์เต็มดวง แตจ่ ะเห็นได้ไมช่ ดั เจน เพราะความสว่างของดวงจนั ทรจ์ ะลดนอ้ ยลง
การเกดิ ปรากฏการณจ์ นั ทรุปราคาจะเริ่มจากการเกดิ เงามวั ก่อน เราจะเห็นดวงจนั ทรม์ ลี ักษณะเว้าแหวง่
หรอื ท่เี รียกว่าปรากฏการณจ์ ันทรุปราคาบางสว่ น และดวงจนั ทร์จะเริ่มเคลอ่ื นท่เี ข้าส่เู งามดื ของโลกจนกระทั่งครบ
ทงั้ ดวง เรียกวา่ ปรากฏการณ์จันทรุปราคาเตม็ ดวง ซึ่งโดยทว่ั ไปการเกิดจนั ทรปุ ราคาเต็มดวง (Total Lunar
Eclipse) จะเกดิ ขน้ึ เพียง 1-2 ชัว่ โมงเทา่ นัน้
ความแตกตา่ งระหว่างสุริยปุ ราคาและจันทรุปราคา
สรุ ิยปุ ราคา เกดิ ในเวลากลางวันโดยดวงจันทรโ์ คจรเข้ามาอยู่ระหว่างดวงอาทติ ย์กับโลก
จันทรปุ ราคา เกิดในเวลากลางคืนโดยโลกโคจรเขา้ มาอยู่ระหว่างดวงอาทิตยแ์ ละดวงจนั ทร์
คนบนโลกสามารถสงั เกตปรากฏการณ์จนั ทรุปราคาไดด้ ว้ ยตาเปลา่ เพราะเปน็ ปรากฏการณ์ที่เกิดข้นึ ในเวลา
กลางคนื จึงไม่มีแสงของดวงอาทิตย์ทเี่ ป็นอนั ตรายต่อดวงตา ส่วนปรากฏการณส์ ุรยิ ุปราคาเป็นปรากฏการณท์ ี่
เกดิ ขึน้ เวลากลางวัน จึงไม่ควรสังเกตด้วยตาเปลา่ เพราะแสงของดวงอาทิตย์อาจทำให้ดวงตาได้รับอนั ตราย ดงั นนั้
ควรใชอ้ ปุ กรณ์ในการสังเกต ซ่ึงมีหลายชนดิ เช่น
1). แว่นตาดูดวงอาทิตย์
2). แผน่ กรองแสงอะลูมิเนียมไมลาร์
3). กระจกแผน่ กรองแสงสำหรบั หนา้ กากเช่ือมโลหะเบอร์ 14 ข้ึนไป
4). กล้องโทรทรรศน์สำหรบั ดูดวงอาทติ ยห์ รือกล้องโทรทรรศน์ทตี่ ิดแผ่นกรองแสงแบบกระจกเคลือบโลหะ
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 96
2.8 การกำหนดทิศ
เมอ่ื ยืนอยบู่ รเิ วณการแจง้ แลว้ มองออกไปรอบ ๆ จะเหน็ เสน้ ตดั ระหว่างพื้นโลกกบั ขอบฟ้า เรยี กวา่ ‘เสน้
ขอบฟ้า (Horizon)’ ในตอนเช้าเราจะเหน็ ดวงอาทติ ย์โพล่ข้ึนมาจากชอบฟ้าด้านหน่งึ เรียกวา่ ‘ทศิ ตะวนั ออก
(East)’ และในตอนเย็นเราจะเหน็ ดวงอาทิตย์ลบั ขอบฟ้าในทศิ ตรงข้ามเรยี กวา่ ‘ทศิ ตะวนั ตก (West)’ การขนึ้ ลง
ของดวงอาทิตยเ์ กิดจากการหมนุ รอบตัวเองของโลกตามแกน เหนอื - ใต้ โดยเมือ่ เราหนั หน้าไปทางทิศตะวันออก
จะเห็น ‘ทศิ เหนอื (North)’ อยู่ทางซ้าย และ ‘ทิศใต้ (South)’ จะอยทู่ างขวามือ
2.9 การบอกตำแหน่งดาว
1. มุมอาซิมทุ หรือมุมทศิ (Azimuth)
เปน็ มุมในแนวราบ เรม่ิ ต้นนับจากทิศเหนือไปทางทศิ ตามเข็มนาฬิกา ผ่านทศิ ตะวนั ออก, ทิศใต,้ ทิศ
ตะวนั ตก และกลบั มาสิน้ สดุ ที่ทศิ เหนอื อีกครั้งอีก มีคา่ มมุ ระหว่าง 0 – 360
2. มุมเงย (Altitude)
เปน็ มมุ ในแนวตั้ง นบั จากบรเิ วณเสน้ ขอบฟา้ ไปยังจดุ เหนือศีรษะ มีค่าระหวา่ ง 0 – 90
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 97
2.10 ดาวฤกษ์ (Stars)
กลุ่มดาวบอกทศิ
1. กลุ่มดาวจระเข้หรือกลุ่มดาวหมีใหญ่
อยูท่ างซีกฟา้ ดา้ นเหนือ จะขึ้นปรากฏทางทิศตะวันออกเฉยี งเหนอื คล้ายรูปกระบวยตักน้ำ ประกอบดว้ ย
ดาว 7 ดวงเรยี งกันคลา้ ยลำตัวและหางของจระเข้ด้วย โดยดาว 2 ดวงแรกเป็นตัวจระเข้ช้ไี ปยังดาวเหนอื หรือ
นอกจากนยี้ ังมีกลุ่มดาวหมเี ล็กท่ีสามารถนำไปสู่การหาทิศได้
2. กลมุ่ ดาวคา้ งคาว ถา้ ลากเสน้ ตดั ศูนย์กลางของกลมุ่ ดาวคา้ งคาวซงึ่ มลี ักษณะคล้ายอักษรตัว M จะชไี้ ปยงั
ดาวเหนอื
3. กลมุ่ ดาวนายพรานหรือกลมุ่ ดาวเต่า
มดี าวสุกสว่างหลายดวง โดยมีดาวสำคญั 4 ดวง เรียงกนั อยู่ทต่ี ำแหนง่ ขาเตา่ หน้าหลัง ดาวดวงทส่ี ว่างที่สุด
ในกลมุ่ น้ี คือ ปรากฏดาว 3 ดวง เรยี งเป็นเสน้ ตรงรูปคันไถ คนไทยจึงเรยี กวา่ กลุ่มดาวไถ
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 98
กลุ่มดาวจักรราศี
เราจะเหน็ ดวงอาทติ ย์อย่ทู ่ามกลางหมูด่ าว โดยมหี มดู่ าวจักรราศเี ป็นฉากหลัง หมู่ดาวท่ีเปน็ ฉากหลังอยู่
เบื้องหลงั ดวงอาทติ ยน์ น้ั มีลักษณะรูปร่างแตกต่างกันเปลีย่ นไปทกุ เดอื น เดือนละ 1 กลมุ่
ราศี ประจำเดอื น เป็นรปู
เมษ เมษายน แกะ
พฤษภ พฤษภาคม วัว
เมถนุ มิถนุ ายน คนคู่
กรกฎ กรกฎาคม ปู
สิงห์ สงิ หาคม สงิ โต
กันย์ กันยายน หญิงสาว
ตลุ ย์ ตลุ าคม คนั ช่ัง
พจิ ิก พฤศจิกายน แมงป่อง
ธนู ธนั วาคม คนยงิ ธนู
มังกร มกราคม มังกร (แพะทะเล)
กมุ ภ์ กมุ ภาพนั ธ์ คนถือหม้อน้ำ
มนี มนี าคม ปลาคู่
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 99
แผนท่ีดาว
วิธีการใช้แผนทดี่ าวในการดูดาว
1. หมุนแผนท่ีดาวให้วันที่และเดอื นตรงกับวนั เวลาทีต่ ้องการดูดาว
2. เม่อื ต้องการดดู าวด้านทิศเหนือ ใหใ้ ชแ้ ผนทีด่ าวด้านทิศเหนอื แลว้ หนั หน้าไปทางทิศเหนือ ดา้ นซา้ ยมือเป็น
ทศิ ตะวันตก ด้านขวามือเป็นทิศตะวนั ออก
3. ยกแผนที่ดาวขนึ้ เหนือศีรษะ ใหท้ ิศของแผนทด่ี าวตรงกับทศิ ของท้องฟ้าจรงิ แลว้ มองแผนที่ดาวตามทศิ
และคา่ มมุ เงยที่ระบุไว้ในแผนทด่ี าว
4. มองท้องฟา้ จริงเปรยี บเทยี บกับแผนที่ดาว
2.10 เทคโนโลยอี วกาศ
1. กลอ้ งโทรทรรศน์ - กาลิเลโอ ประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ชนิดหกั เหแสง
- เซอร์ ไอแซก นิวตนั ประดิษฐ์กลอ้ งโทรทรรศนช์ นิดสะทอ้ นแสง
2. สถานอี วกาศ - 1. ซัลยุท 1 (รสั เซีย) 19 เม.ย. 2514 – 11 ต.ค. 2514
2. สกายแล็บ (สหรฐั ) 14 พ.ค. 2516 – 11 ก.ค. 2522
3. เมียร์ (รสั เซีย) 19 ก.พ. 2529 – 23 ม.ี ค. 2544
4. ISS (นานาชาติ) 20 พ.ย. 2541 – 2554
5. เทยี งกง 1 (จีน) 29 ก.ย. 2554 – 2 เม.ย. 2561
- ใชง้ านในปัจจุบนั ไดแ้ ก่ สถานีอวกาศนานาชาติ ISS และ เทียงกง 2
3. ยานอวกาศ
1. ยานอวกาศที่มมี นุษยอ์ วกาศขบั คุม ได้แก่
- โครงการเมอร์คิวรี - โครงการเจมนิ ี - โครงการอะพอลโล
- ยานอวกาศวอสต็อกสง่ นักบินอวกาศคนแรกของโลก คอื ยรู ิ กาการิน พ.ศ. 2504
- ยานอวกาศอะพอลโล 11 นำ นีล อารม์ สตรอง ไปลงบนดวงจันทรเ์ ป็นครั้งแรก พ.ศ. 2512