The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

1. สรุปเนื้อหาเข้ม Sci P.6 O-NET 65 รวมทั้งหมด

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ลัดดา แผงอ่อน, 2022-06-30 04:20:22

1. สรุปเนื้อหาเข้ม Sci P.6 O-NET 65 รวมทั้งหมด

1. สรุปเนื้อหาเข้ม Sci P.6 O-NET 65 รวมทั้งหมด

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 149

1. วเิ คราะหป์ ัญหา
2. ออกแบบวิธแี ก้ปัญหา เช่น การเขียนผงั งาน
3. การเขียนโปรแกรม

ตามผงั งานหรือขอ้ ความท่ีออกแบบไว้ เช่น
1. ลบตัวละครเดิมออก

1.1 คลกิ ขวาที่ภาพตวั ละครเดมิ
1.2 เลือก delete เพ่อื ลบตวั ละคร
2. เลือกตวั ละครตามต้องการ
2.1 คลกิ เลอื ก Choose sprite from library
2.2 เลอื กตัวละครท่ตี ้องการ แล้วกด OK
3. เลอื กพน้ื หลัง
3.1 คลกิ เลอื ก Paint new sprite
3.2 คลิกเลือก Choose backdrop from library
3.3 เลอื กพน้ื หลงั ที่ต้องการ แล้วกด OK
4. เขียนคำสง่ั ควบคุมการทำงาน
4.1 คลิกเลอื ก Scripts
4.2 นำคำส่งั ใน Scripts มาเขียนโปรแกรมควบคุมการทำงาน
5. ตรวจสอบการทำงานของโปรแกรม
โดยการคลิกธงเขยี ว
3.1 การกำหนดตวั แปร
เปน็ การกำหนดคา่ ข้อมูลเข้า หรอื ระบคุ ่าของข้อมูลเพอื่ นำมาใช้ในการประมวลผลของโปรแกรมตาม
เงื่อนไขท่ีกำหนด
1. เลอื กเมนู Code
2. เลือกคำส่ัง Variables
3. คลกิ คำสั่ง Make a Variable
4. กำหนดช่อื ตวั แปร
5. กำหนดความสมั พนั ธ์ของตัวแปรกบั ตัวละคร
6. คลกิ OK
โปรแกรมภาษา Scratch ทีม่ ีการกำหนดตวั แปร
1. ออกแบบโปรแกรม
2. เขยี นโปรแกรม
3. ตรวจสอบการทำงาน
3.2 การเขยี นโปรแกรมแบบมีเงื่อนไข
เปน็ การเขียนคำสัง่ ให้โปรแกรมโดยมีการสร้างเงื่อนไขให้โปรแกรมทำงานตามเงื่อนไขท่รี ะบุไว้ ซึ่งมีคำสั่ง
โปรแกรมแบบมเี ง่ือนไข 2 คำสง่ั ดงั น้ี

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 150

โปรแกรมภาษา Scratch ทมี่ ีการทำงานแบบมเี งื่อนไข
1. ออกแบบโปรแกรม
2. เขียนโปรแกรม
3. ตรวจสอบการทำงาน
การใชร้ ายการข้อมูลหรือลิสต์ (List) ในการแสดงผลข้อมลู เปน็ การใชเ้ ครื่องมือในการแสดงผลตามลำดบั

ข้อมูล โดยการเลือกคำสงั่ Variables แล้วคลกิ คำสัง่ Make a List
3.3 การเขยี นโปรแกรมแบบวนซำ้

เปน็ การเขียนคำส่งั ใหโ้ ปรแกรมทำงานอยา่ งใดอย่างหน่ึงซำ้ กัน จนครบตามจำนวนรอบท่ีกำหนดหรอื หยดุ
ทำซ้ำเมื่อมีคำสัง่ ตรงตามเงอ่ื นไขที่กำหนดไว้

โปรแกรมภาษา Scratch ที่มีการทำงานแบบวนซำ้
1. ออกแบบโปรแกรม
2. เขียนโปรแกรม
3. ตรวจสอบการทำงาน

4. การตรวจสอบข้อผดิ พลาดของโปรแกรม

ความผดิ พลาดทเี่ กิดข้นึ จากการเขยี นโปรแกรม มี 3 ประเภท ไดแ้ ก่
1. ความผดิ พลาดทางไวยากรณ์
2. ความผิดพลาดทางการประมวลผล
3. ความผิดพลาดทางตรรกะ
ตรวจสอบโดยการพิจารณาคำสัง่ ควบคุมการทำงานของโปรแกรมควบค่กู บั ผงั งาน เชน่
- การพิม คำหรือข้อความ ผดิ พลาด
- การพมิ คำส่ัง ผดิ พลาด เชน่ การตรวจสอบเง่อื นไขบางอย่างตอ้ งใช้คำสง่ั if-then-else แต่ในโปรแกรม
ใชค้ ำส่ัง if เพยี งอยา่ งเดยี ว จงึ เกดิ ข้อผดิ พลาดได้

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 151

หนว่ ยที่ 3

ขอ้ มูลสารสนเทศ

1. รู้จักขอ้ มลู

ขอ้ มูล คือ ข้อเท็จจรงิ ที่เก่ยี วข้องกับสงิ่ ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเปน็ คน สัตว์ สิง่ ของ หรือเหตุการณต์ ่าง ๆ โดย

อาจจะเกดิ ขึ้นจากการสังเกต การจดบันทึก การสัมภาษณ์ การสอบถาม แล้วมกี ารรวบรวมข้อมูลไว้

1.1 ประเภทของข้อมลู มี 5 ประเภท คือ

1. ข้อมลู ตัวอักขระ เป็นข้อมลู ตวั อักษรภาษาไทยหรือภาษาตา่ งประเทศ รวมถึงข้อความทเี่ ปน็ ตวั เลข

ซึง่ นำไปคำนวณไมไ่ ด้ เช่น ปา้ ยทะเบยี นรถ บา้ นเลขที่

2. ขอ้ มลู ภาพ เป็นข้อมูลท่เี ปน็ ภาพในรูปแบบตา่ ง ๆ ท้ังภาพน่ิงและภาพเคลอื่ นไหว

3. ข้อมลู ตัวเลข เปน็ ขอ้ มลู ที่ประกอบด้วยตัวเลข 0 – 9 ทีเ่ รานำมาคำนวณหรอื ประมวลผลได้

เชน่ ราคาสนิ คา้ คะแนนสอบ

4. ขอ้ มลู เสยี ง เปน็ ข้อมลู ทเ่ี กิดจากการได้ยินเสียง ทงั้ เสยี งจากธรรมชาติและเสยี งจากอุปกรณ์

เทคโนโลยีตา่ ง ๆ

5. ขอ้ มูลอื่น ๆ เชน่ กล่ิน รสชาติ อุณหภูมิ

1.2 ลักษณะของข้อมลู ที่ดี

1. มคี วามถูกต้องเช่ือถือได้ 2. มคี วามสมบูรณ์ครบถว้ น สามารถนำไปใชง้ านได้

3. ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ 4. มคี วามทนั สมัย

5. มีความสอดคล้องกนั ของข้อมลู

1.3 ประโยชนข์ องข้อมูล

1. ชว่ ยในการตัดสินใจหรอื แก้ปญั หา 2. ชว่ ยในการตดิ ตอ่ ส่ือสาร

3. ชว่ ยในการเรียนหรือการทำงาน 4. ชว่ ยในการพฒั นาชุมชนและสงั คม

2. เรียนรูแ้ หล่งขอ้ มลู

แหลง่ ข้อมลู แบ่งเป็น 2 ประเภท คอื
1. แหลง่ ขอ้ มูลปฐมภมู ิ ให้ข้อมูลโดยตรงกับผ้รู บั ข้อมูล อาจเกิดจากการพบเหน็ ส่งิ ต่าง ๆ การสงั เกต
ทดลอง การสำรวจ
2. แหล่งขอ้ มูลทุติยภูมิ นำข้อมลู ท่ีผ้อู ่ืนรวบรวมไว้อยา่ งเป็นระบบมาใช้

2.1 การรวบรวมขอ้ มูล มี 5 ข้นั ตอน คือ
1. กำหนดวตั ถปุ ระสงคแ์ ละความตอ้ งการของสง่ิ ที่สนใจ
เปน็ ขน้ั ตอนแรกเพ่อื ใหร้ ้วู ่าต้องการรวบรวมขอ้ มลู เก่ียวกบั เร่ืองอะไรบ้าง
2. วางแผนและพจิ ารณาเลือกแหล่งข้อมลู
เลือกแหล่งขอ้ มูลท่มี คี วามนา่ เชื่อถอื หรือแหลง่ ข้อมลู ที่ตนเองได้เขา้ รว่ มอยูใ่ นเหตุการณ์
3. กำหนดวิธีการรวบรวมขอ้ มลู
เลือกวิธกี ารท่เี หมาะสมกบั แหล่งขอ้ มูล เชน่
1. การสังเกต สำรวจ และจดบันทกึ

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 152

2. การสอบถาม หรอื สมั ภาษณ์ผทู้ เ่ี ก่ียวข้อง

3. การสำรวจ โดยการใชแ้ บบสอบถาม แบบทดสอบ

4. การรวบรวมข้อมลู จากเอกสาร หรือข้อมลู ทีผ่ ู้อนื่ รวบรวมไวแ้ ล้ว

4. คน้ หาและรวบรวมข้อมลู

กำหนดสิง่ ที่จะตอ้ งทำแล้วลงมอื ปฏิบตั แิ ละเลอื กวธิ ีการรวบรวมขอ้ มลู ท่ีเหมาะสม

5. สรุปผลขอ้ มูล

นำข้อมลู มาจัดกระทำ ประมวลผลใหเ้ ป็นสารสนเทศ คือผา่ นกระบวนการจดั กระทำแล้วได้ผลลพั ธ์

ที่นำไปใช้ประโยชน์ได้

2.2 การประมวลผลข้อมูล

มหี ลายวธิ ี เช่น การเปรียบเทียบขอ้ มูล การจดั กลุ่มข้อมูล การแยกแยะข้อมลู การเรียงลำดับข้อมูล หรอื

การคำนวณผลข้อมลู

วิธีการประมวลผลขอ้ มลู โดยใชค้ อมพิวเตอรม์ ี 2 วิธี

1. การประมวลผลแบบเชอื่ มตรง (online processing)

หมายถงึ การทำงานในขณะที่ข้อมลู เดินทางไปบนสายสัญญาณเชื่อมต่อจากเคร่ืองปลายทางไปยัง

ฐานข้อมลู ของเครอื่ งหลักท่ีใช้ในการประมวลผล จึงเปน็ การประมวลผลโดยทันทที นั ใด เช่น การถอนเงิน

จากเคร่ืองเอทีเอ็ม

2. การประมวลผลแบบกลุ่ม (batch processing)

หมายถึง การประมวลผลในเร่ืองท่ีสนใจท่ีถกู เกบ็ สะสมไวใ้ นชว่ งเวลาที่กำหนด

2.3 การประเมนิ ความนา่ เช่ือถอื ของขอ้ มูล

1. มกี ารบอกวตั ถุประสงค์ในการจัดทำข้อมลู 2. มกี ารระบุช่อื ผู้เขยี นหรอื ผ้ใู ห้ขอ้ มูล

3. มีการระบุวันที่พมิ พ์ และคร้งั ท่ีปรับปรุง 4. มกี ารอา้ งองิ แหลง่ ทมี่ า

5. พจิ ารณาข้อมลู จากแหลง่ ข้อมูลท่เี ชือ่ ถือได้

3. การวิเคราะห์ข้อมูล

คือ การพจิ ารณาข้อมลู เพื่อทำความเขา้ ใจในแตล่ ะสว่ นโดยการพิจารณา การจำแนก การแยกแยะ การ
จัดเรียง การคำนวณ แลว้ นำเสนอในรปู แบบของกราฟหรือแผนภูมิ

การนำข้อมลู มาตัดสนิ ใจ คือการวิเคราะหข์ ้อมลู เพ่ือพิจารณาทางเลือกท่ีเปน็ ไปไดท้ งั้ หมด และจงึ ตดั สินใจ
เลือกทางเลือกท่เี หมะสมท่สี ุด

ซอฟต์แวรก์ ระดานคำนวณ หรือ Spreadsheet Software จะมลี กั ษณะเป็นตารางสำหรับการกรอกข้อมลู
และสามารถใส่สูตรหรือฟังก์ชันคำนวณ จัดเรียงข้อมลู และนำเสนอข้อมลู ในรูปแบบกราฟได้

เงือ่ นไข (Condition) ข้อจำกัดหรอื ข้อตกลงท่ีถกู กำหนดไว้ โดยจะอยู่ในประโยคหรอื ขอ้ ความ ถา้ ...แล้ว...
ฟังก์ชนั ที่ใชใ้ นการตัดสนิ ใจ มีดังนี้
= IF (เงื่อนไข, ค่าท่ีไดเ้ ม่ือเงื่อนไขเป็นจริง, ค่าท่ีได้เมือ่ เงื่อนไขเป็นเทจ็ )
IF แปลว่า ถ้า เปน็ ฟงั กช์ ันที่ใชส้ ำหรับการตรวจสอบเงื่อนไขโดยการใช้ฟงั กช์ ัน IF จะตอ้ งระบุ 2 ส่วน
ดว้ ยกัน คอื เงื่อนไขคา่ ท่ไี ด้เมื่อมเี งื่อนไขเป็นจรงิ (True) และค่าท่ีได้เม่ือมีเงื่อนไขเป็นเท็จ (False)

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 153

หน่วยท่ี 4
การนำเสนอขอ้ มลู ดว้ ยซอฟตแ์ วร์

1. การนำเสนอข้อมูลโดยใชซ้ อฟต์แวรป์ ระยกุ ต์

ซอฟตแ์ วร์ (Software) คือ ชุดคำสง่ั ทกี่ ำหนดใหค้ อมพวิ เตอร์ทำงาน มี 2 ประเภท คือ
1. ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) เปน็ โปรแกรมท่ใี ชค้ วบคุมเครื่อง เชน่ Windows, Mac OS
2. ซอฟตแ์ วรป์ ระยกุ ต์ (Application Software) เป็นโปรแกรมที่ใชท้ ำงาน และเป็นประโยชนต์ ่าง ๆ

2.1 ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป
- ซอฟตแ์ วรป์ ระมวลคำ เชน่ Microsoft Word
- ซอฟต์แวร์ตารางการทำงาน คอื Microsoft Excel
- ซอฟตแ์ วรน์ ำเสนอข้อมูล คือ Microsoft PowerPoint
- ซอฟตแ์ วรส์ ือ่ สารข้อมูล เช่น Facebook, Line

2.2 ซอฟต์แวรด์ ้านกราฟิก เช่น CorelDraw, Photoshop เป็นงานออกแบบ วาดภาพ จัดทำสิ่งพิมพ์
โปรแกรมทช่ี ว่ ยในการนำเสนอข้อมลู

1.1 การนำเสนอขอ้ มูลโดยใช้โปรแกรมในการพิมพ์งาน

1) องคป์ ระกอบโปรแกรมประมวลคำ

1. แถบเคร่อื งมือดว่ น (Quick Access Toolbar)

- แสดงแถบเครื่องมือท่ีใช้งานบ่อยเปน็ แถบท่เี รียกใช้งานเครื่องมือได้อย่างสะดวก และสามารถเพิ่มคำสง่ั ทใ่ี ช้งานได้

2. ชือ่ โปรแกรม และชือ่ แฟ้ม (Title Bar) - แถบแสดงชอื่ โปรแกรม และชื่อไฟล์เอกสาร

3. แถบคำส่ัง (Menu Bar) - เมนูคำสงั่ หลกั ของโปรแกรม

4. แบบอกั ษร (Font) - แถบที่ใช้กำหนดรปู แบบอักษร และลกั ษณะพเิ ศษของตัวอักษร

5. แถบรบิ บอน (Ribbon) - แถบท่แี สดงคำสงั่ ตา่ ง ๆ ที่ใช้ในการทำงานกบั เอกสาร

6. ไม้บรรทดั (Ruler) - แสดงความกวา้ งความยาวของกระดาษ ตั้งค่าหนา้ กระดาษ

7. ตำแหน่งการพิมพ์ หรือเคอร์เซอร์ (Cursor) - แสดงตำแหนง่ ของการพมิ พ์ข้อความ

8. แถบเลื่อน (Scroll Bar) วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 154
9. แถบสถานะ (Status Bar)
10. ย่อ/ขยาย (View Bar) - แถบเลื่อนดูหนา้ เอกสาร ใช้สำหรบั เล่อื นดูข้อความในแนวต้งั และแนวนอน
- แสดงสถานการณ์ทำงานปัจจบุ นั
- แสดงมมุ มองเอกสาร โดยการยอ่ และขยายหนา้ กระดาษ

2) แถบคำสั่งโปรแกรมประมวลคำ
1. หน้าแรก (Home)

- คำสง่ั เกยี่ วกับการเลอื กแบบอักษร ลักษณะตวั อักษร การกำหนดย่อหนา้ การทำงานกับข้อมลู ทีค่ ดั ลอกไว้
เคร่ืองมอื ค้นหา และการแทนท่ขี อ้ ความ
2. แทรก (Insert)

- คำสง่ั เกี่ยวกบั การแทรกประเภทตา่ ง ๆ ลงบนเอกสาร เชน่ รูปภาพ ตาราง ขอ้ ความ สญั ลักษณ์
3. เค้าโครงหนา้ กระดาษ (Page Layout)

- คำสง่ั เกี่ยวกบั การตงั้ ค่าหน้ากระดาษ กำหนดระยะย่อหน้า กำหนดพ้ืนหลัง
4. อา้ งอิง (References)

- คำส่งั เกี่ยวกบั เคร่ืองมือในการสร้างส่วนประกอบของเอกสารเพิ่มเตมิ เช่น สารบญั ดชั นี บรรณานุกรม
5. การสง่ จดหมาย (Mailings)

- คำสั่งเกี่ยวกบั การสรา้ งจดหมาย และ การเขียนและแทรกเขตข้อมลู ในจดหมาย
6. ตรวจทาน (Review)

- คำสั่งเกยี่ วกับการตรวจทานเอกสาร เชน่ การพิสจู น์อกั ษร การแทรกขอ้ คิดเหน็ บนเอกสาร การเปรียบเทียบ
เอกสาร
7. มมุ มอง (View)

- คำสั่งเกยี่ วกับการเลอื กมมุ มองในการทำงาน เชน่ การย่อเอกสาร การขยายเอกสาร แสดงส่วนประกอบ
หนา้ ตา่ งโปรแกรม

3) การปรับแต่งขอ้ ความในเอกสารให้น่าสนใจ
1. การเนน้ ขอ้ ความด้วยไฮไลท์ เป็นการทำแถบสี เพื่อเน้นความสำคญั ของขอ้ ความ มีขั้นตอนการทำ ดังนี้

1. คลกิ เครอ่ื งมือไฮไลท์และคลกิ เลือกสี
2. เมาสพ์ อยน์เตอรจ์ ะเปล่ียนรปู รา่ งเปน็ ปากกา แล้วนำไปคลกิ เลือกข้อความท่ตี ้องการเน้น
2. การทำตวั อักษรตัวแรกของยอ่ หน้าให้มีขนาดใหญ่ มีข้นั ตอนการทำ ดังน้ี
1. เลอื กข้อมลู ทต่ี ้องการทำตวั อักษรตวั แรกให้ใหญ่แล้วคลกิ Insert ทแี่ ถบเครือ่ งมือ
2. คลิกเลือก Drop Cap
3. คลกิ เลือกตัวเลือกตัวอักษรขึ้นตน้ ขนาดใหญ่จะปรากฏผลลพั ธ์

4) การใชเ้ ครื่องมือวาดรูป
- ช่วยใหง้ านเอกสารนา่ สนใจมากย่ิงข้นึ การใช้คำสง่ั กลมุ่ รูปรา่ งอัตโนมัติ

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 155

5) การแทรกรปู ภาพ
- ชว่ ยใหเ้ อกสารมคี วามนา่ สนใจ และสวยงามมากขน้ึ

การแทรกรปู ภาพโดยใช้แถบเครื่องมือแทรกรปู ภาพ
1. คลกิ ทีแ่ ทรก (Insert) เลือกรูปภาพ
2. ปรากฏหนา้ ต่างโพลเดอร์ต่าง ๆ เชน่ โฟลเดอร์งาน โฟล์เดอร์รปู ภาพ มาให้นักเรยี นสามารถเลือกรูปภาพที่ตอ้ งการ
และนำไปวางลงในโปรแกรม
3. คลกิ เลือกภาพทต่ี ้องการ
4. คลิกทปี่ มุ่ แทรก (Insert) เพอื่ เลือกภาพที่ต้องการ
5. สามารถเพิม่ รูปภาพทเ่ี ราต้องการมาใสใ่ นโปรแกรมได้

6) การสรา้ งตาราง
- ช่วยใหเ้ อกสารอ่านทำความเขา้ ใจได้ง่าย

การแทรกตารางโดยใชแ้ ถบเครอ่ื งมือแทรกตาราง

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 156

1. คลิก Insert
2. คลกิ Table จะปรากฏหน้าตา่ ง แลว้ คลิกเมาส์ลากคลุมจำนวนคอลัมนแ์ ละแถวของตารางตามท่ตี ้องการ
3. พิมพ์ขอ้ มลู ใสใ่ นแต่ละส่วนของตาราง
4. เม่ือพิมพเ์ สรจ็ แล้ว ตกแตง่ ตารางให้สวยงามโดย คลิกเมาส์ลากคลุมตาราง และคลิกขวา เลอื ก Borders and
Shading …
จะปรากฏหน้าต่างให้เลอื กแบบเส้นกรอบและสพี นื้ หลงั เลือกรูปแบบและสตี ามต้องการ

1.2 การนำเสนอข้อมูลโดยใช้โปรแกรมในการพมิ พเ์ อกสารในรูปแบบตาราง กราฟ และคำนวณข้อมลู ต่าง ๆ
1) การเปดิ ใชโ้ ปรแกรมตารางทำงาน
1. แถบชื่อ (Title Bar)

- แสดงช่อื โปรแกรมและหนา้ ต่างที่ใชอ้ ยู่
2. แถบเคร่อื งมือ (Quick Access)

- เป็นทเี่ ก็บเครื่องมือสำคัญ ๆ และใชเ้ ปน็ ประจำ โดยสามารถเพิ่มเครอ่ื งมือเขา้ มาไวไ้ ด้อีก
3. แถบคำสัง่ (เมนูบาร์) (Menu Bar)

- เมนคู ำสงั่ ต่าง ๆ ของโปรแกรม
4. แถบริบบอน (Ribbon)

- แถบทแ่ี สดงคำส่ังและเครอ่ื งมอื ตา่ ง ๆ โดยจดั แบ่งเป็นกลุ่ม ๆ เพอื่ ใหเ้ รยี กใชง้ านได้สะดวก
5. กลอ่ งชอื่ (Name Box)

- ใช้บอกตำแหนง่ เซลล์หรือช่ือเซลลท์ เ่ี ลือก
6. แถวสูตร (Formula Bar)

- เปน็ ช่องสำหรับพมิ พข์ ้อความ ตวั เลข และสูตรคำนวณทางคณติ ศาสตร์
7. คอลัมน์ (Column)

- แถวท่ีอยู่ในแนวต้ัง โดยมชี ่ือของหัวแถวเป็นตัวอกั ษร A, B, C, …
8. แถว (Row)

- แถวทอ่ี ยูใ่ นแนวนอน โดยมีชอ่ื ของหวั แถวเป็นตวั เลข 1, 2, 3, …
9. พ้ืนท่ที ำงาน (Work Space)

- พน้ื ทีส่ ำหรับพิมพข์ ้อความหรอื กรอกตวั เลขลงในชีต
10. ป้ายชอื่ ชตี งาน (Sheet Tab)

- เปน็ แถบช่ือของชตี งานที่เลอื กใช้งานขณะนน้ั ซ่งึ โดยปกติแลว้ จะมชี ตี งานเริ่มตน้ อยู่ 3 ชีตงานด้วยกนั

2) การป้อนข้อมลู ใส่โปรแกรมตารางทำงาน

1. การใส่ข้อความ คลิกเซลล์ท่ีตอ้ งการ พิมพ์ข้อความลงไปแลว้ กดแป้น Enter

2. การสร้างรปู แบบตาราง 1. คลกิ แล้วลากคลุมพน้ื ท่ีต้องการสรา้ งตาราง

2. คลิกขวาทเ่ี มาส์ Format Cells …

3. คลกิ Border แล้วกำหนดเส้นขอบ และเส้นค่นั ในเซลล์

4. คลกิ OK

3. การสรา้ งแผนภมู ิ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 157

เปน็ วธิ ีการนำเสนอขอ้ มลู ตัวเลขด้วยภาพเพื่อให้เข้าใจและเปรยี บเทยี บข้อมลู ได้ง่ายยงิ่ ข้ึน
1. คลกิ แล้วลากคลุมขอ้ ความท่ีต้องการ
2. คลิก Insert เลอื กประเภทของแผนภูมิ
3. คลกิ เลือกแบบแผนภมู ทิ ่ีตอ้ งการ
4. ปรากฏแผนภูมิตามท่ีเลอื ก จากนน้ั ตรวจสอบข้อมลู แถวและคอลัมน์วา่ ถกู ต้องหรือไม่

3) การคำนวณเบอื้ งต้นโดยใชโ้ ปรแกรมตารางทำงาน
1. วธิ หี าผลรวมโดยใชส้ ูตรที่โปรแกรมกำหนดให้

2. การหาค่าเฉล่ีย

1.3 การนำเสนอข้อมูลโดยใช้โปรแกรมในการนำเสนองานในรปู แบบสไลด์ หรอื ภาพนงิ่
การเปิดใช้โปรแกรมนำเสนอขอ้ มูล

- คลกิ Start
- คลิกเลอื ก Microsoft PowerPoint จะปรากฏหนา้ ตา่ งโปรแกรมนำเสนอข้อมลู
1. แถบเคร่อื งมือ (Quick Access)
- เปน็ ท่ีเกบ็ แถบเคร่อื งมือทีส่ ำคญั สำหรบั เรียกคำสง่ั พื้นฐานทตี่ อ้ งใชง้ านบ่อย ๆ ใหเ้ รว็ ข้นึ เชน่ คำส่งั บันทกึ
(Save) ยกเลกิ การทำงาน (Undo) ตรวจสอบก่อนพมิ พ์ (Print Preview) เป็นตน้
2. เมนูบาร์ (Menu Bar)
- แถบเมนู เป็นแถบแสดงคำสั่งตา่ ง ๆ
3. รบิ บอน (Ribbon)
- เป็นทร่ี วบรวมคำส่ัง เครื่องมือ และวัตถุทั้งหมดที่ใชใ้ นการสร้างผลงานนำเสนอ

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 158

4. แท็บภาพน่งิ (Slides) และเค้าร่าง (Outline)
- ใช้แสดงรายละเอียดท่อี ยู่ในสไลด์ทั้งหมด โดยแทบ็ ภาพน่ิงจะแสดงรายละเอียดเปน็ รูป ส่วนแทบ็ เคา้ รา่ ง

จะแสดงรายละเอยี ดเป็นข้อความ
5. แถบสถานะ (Status Bar)

- ใชแ้ สดงลำดบั ของสไลดแ์ ละรูปแบบของการออกแบบสไลด์
6. โนต้ เพน (Note Pane)

- สำหรับใสห่ มายเหตเุ พิ่มเติมในแต่ละสไลด์
7. แถบเครอ่ื งมือมมุ มอง (View)

- แสดงสไลดใ์ นรปู แบบตา่ ง ๆ ได้ท้งั หมด 4 แบบ
การใสข่ ้อความ

การตกแตง่ พ้นื หลงั สไลด์

การใสภ่ าพประกอบ

2. การใชซ้ อฟตแ์ วรใ์ นการทำงาน

1. ใช้ซอฟตแ์ วร์ในการพิมพ์เอกสาร
โดยใชโ้ ปรแกรมประมวลคำซึ่งมีหลกั การ คือ จำลองหน้าจอคอมพวิ เตอรใ์ หเ้ ป็นเหมอื นแผน่ กระดาษ

ผู้ใช้งานสามารถพิมพเ์ อกสารและสรา้ งภาพเพื่อประกอบข้อความได้
2. ใช้ซอฟต์แวร์ในการชว่ ยคำนวณ

โดยใชโ้ ปรแกรมตารางทำงาน ซึ่งมีหลกั การ คือ มีกระดาษทำการ หรอื กระดาษคำนวณขนาดใหญ่ แล้ว
แบ่งเป็นช่องแต่ละชอ่ งสามารถพิมพต์ ัวอักษร สูตรคำนวณต่าง ๆ

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 159

3. ใช้ซอฟต์แวรใ์ นการสรา้ งกราฟ
โดยใช้โปรแกรมตารางทำงาน ซง่ึ มหี ลักการ คือ การแปลผลขอ้ มูลทปี่ ้อนลงในโปรแกรมใหเ้ ปน็ กราฟ

รูปแบบต่าง ๆ ซ฿งสามารถโอนไฟลไ์ ปใชร้ ่วมกบั โปรแกรมอื่น ๆ ได้
4. ใชซ้ อฟตแ์ วรใ์ นการนำเสนอ

โดยใช้โปรแกรมนำเสนอ มหี ลักการ คือ มีสไลด์และมีเคร่อื งมอื ช่วยให้ผ้ใู ชส้ รา้ งภาพและตกแตง่ สไลด์ และ
บนั ทกึ เสียงประกอบการนำเสนอผลงานได้

5. ใชซ้ อฟต์แวร์ในการออกแบบ
โดยใชโ้ ปรแกรมในการออกแบบ มหี ลกั การ คือ ออกแบบลงบนพนื้ ทว่ี า่ งและมเี ครือ่ งมอื ต่าง ๆ สำหรับ

ออกแบบไว้ใหผ้ ู้ใชง้ านออกแบบตามตอ้ งการ เชน่
1. โปรแกรม Adobe Photoshop เป็นโปรแกรมในการออกแบบ การแต่งภาพ การใส่เอฟเฟกต์ ซึง่

สามารถใช้งานไดง้ า่ ย และมีความหลากหลาย ส่วนใหญจ่ ะใช้ในการตดั ตอ่ ภาพ และการแตง่ ภาพให้สวยคมชัดขึ้น
2. โปรแกรม Adobe illustrator (Ai) เปน็ โปรแกรมที่ใช้วาดภาพกราฟกิ เช่น ภาพการต์ ูน ภาพตาม

ใบปลิว แผ่นพับต่าง ๆ
3. โปรแกรม CoreIDRAW เป็นโปรแกรมที่ใชจ้ ดั การรปู ภาพชนิดหน่งึ ส่วนใหญเ่ ปน็ ภาพที่เกดิ จากจุด เส้น

และสี ซึง่ ผู้ใช้วาดภาพดว้ ยเคร่ืองมือตา่ ง ๆ แลว้ ตดั โปรแกรมจะสรา้ งสตู รต่าง ๆ ทีเ่ หมะสมให้ จากนั้นถงึ แสดงผล
ออกมาเป็นจุด เสน้ และสี ตามทีต่ ้องการ

การบนั ทกึ โปรแกรม
1. มกี ารบนั ทึกไฟล์งานตงั้ แต่เริ่มตน้ ทำงาน ระหว่างทำงาน จนกระทั่งจบการทำงาน เพราะป้องกนั การเกิดงานหาย
ลืมบันทึกงาน หรือเกิดเหตุฉกุ เฉนิ อย่างคอมพวิ เตอร์ไฟดบั ทำให้งานท่ีทำหาย จงึ ต้องมีการบันทึกชนิ้ งานอยู่ตลอดเวลา
2. บนั ทกึ ไฟลด์ ้วยชอ่ื ที่จำง่าย และใสข่ ้อมลู ทีส่ ำคญั อย่างวนั ท่ที ำงาน จะช่วยในการหาไฟล์ในคอมพวิ เตอร์ได้สะดวก
รวดเรว็
3. จดั การแฟม้ เอกสารโดยแยกประเภทไฟลง์ านใหเ้ ปน็ หมวดหมู่
4. สำรอข้อมลู ไฟล์งานไวใ้ นที่เก็บข้อมลู ภายนอก เชน่ แฟลชไดรฟ์ หรืออปั โหลดลงเว็บฝากข้อมูลเพื่อป้องกันขอ้ มลู
สูญหาย

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 160

หน่วยที่ 5
ความปลอดภัยในการใชง้ านอินเทอร์เน็ต เทคโนโลยีสารสนเทศ

1. การใชง้ านอนิ เทอรเ์ น็ต

อนิ เทอร์เนต็ (Internet) คือ เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรท์ ่ีเช่ือมต่อกันจำนวนมากและครอบคลุมไปท่ัวโลก
เครอื ข่ายนเี้ ชอื่ มหากนั ภายใต้กฎเกณฑ์ทเ่ี ปน็ มาตรฐานเดียวกัน ทำให้สามารถแลกเปลยี่ นข้อมลู และส่งผ่านข้อมูล
ระหวา่ งกันได้ เช่น

1. ไปรษณีย์อเิ ลก็ ทรอนกิ สห์ รอื อีเมล (Electronic Mail : E – mail)
- เปน็ บริการรบั สง่ จดหมาย และแนบไฟล์ภาพ เสยี ง คลปิ หรือเอกสารผา่ นเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ ทร่ี วดเร็ว

สามารถติดต่อกันได้ทวั่ โลก โดยผ้ใู ช้งานจะต้องมที ่ีอยู่อีเมล (E – mail Address) เพ่ือใช้ในการแสดงตวั ตน
- การเขา้ ใชง้ านอีเมล ถ้าผใู้ ช้ทย่ี งั ไม่มีบัญชีผ้ใู ชแ้ ละต้องการจะเข้าใช้งานอีเมลจะตอ้ งสรา้ งบญั ชีผ้ใู ช้กอ่ นจงึ

จะเข้าใช้งานได้ โดยมขี ัน้ ตอนปฏบิ ัติ ดังน้ี
1. เขา้ สู่เว็บไซดท์ ่ใี ห้บริการอีเมล เชน่ www.gmail.com
2. คลิกเลอื ก สร้างบญั ชี เพื่อสรา้ งบัญชีใหม่
3. กรอกข้อมลู ผใู้ ช้งาน เช่น ชือ่ นามสกุล ชอ่ื ผ้ใู ช้ รหัสผา่ น
4. คลิกเลอื ก ถัดไป
5. กรอกขอ้ มลู ผู้ใชง้ าน เชน่ เบอร์โทรศัพท์ วนั เดือนปีเกิด เพศ
6. คลิกเลือก ถัดไป
7. ถ้ามอี เี มลแลว้ เข้าใชง้ านด้วยการกรอบช่ือผูใ้ ช้ และรหสั ผ่านทหี่ น้า ลงชอ่ื เข้าใช้งาน ไดเ้ ลย

การเขยี นอเี มลเบ้ืองต้น
1. คลิกเลือก เขียน เพื่อเขยี นอีเมล
2. พิมพ์ทีอ่ ยู่อเี มลของผรู้ ับ
3. พมิ พ์ชอื่ เร่อื ง
4. เขยี นรายละเอยี ดเนือ้ หาตามต้องการ
5. คลิก ส่ง

2. การสนทนาผา่ นเครอื ขา่ ย (Chat)
- เปน็ บริการเพ่ือสนทนาแลกเปล่ียนข้อมูลความคิดเห็น ซง่ึ ผ่านการพมิ พ์ข้อความรับ – สง่ แฟ้มข้อมูล สนทนา

ด้วยเสียง และตดิ ต้งั กล้องเวบ็ แคม เพื่อให้เหน็ ภาพคู่สนทนาดว้ ย เช่น Line, Facebook, Messenger, Skype

3. เวลิ ด์ไวด์เว็บ (World – Wide – Web : WWW)
- เป็นบรกิ ารเครือข่ายที่เชื่อมโยงแหล่งข้อมูลขา่ วสารเข้าหากันและครอบคลุมทวั่ โลก ลักษณะของข้อมูลที่

สบิ ค้นได้จะเป็นเอกสารไฮเปอร์ลงิ คท์ ส่ี ร้างด้วยภาษาเอชทีเอ็มแอล (HTML) การเข้าถงึ ข้อมลู แตล่ ะแห่งจะเขา้ ไปยัง
โฮมเพจ (Homepage) และจะเช่อื มต่อไปยงั เว็บเพจ (Webpage) อืน่ ๆ ไดอ้ ีก

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 161

4. บล็อก (Blog)
เปน็ การเขียนเว็บไซต์รปู แบบหนง่ึ ทำไดง้ ่ายด้วยตนเองและไมเ่ สยี คา่ ใช้จา่ ย เน้นการนำเสนอข้อมลู เฉพาะดา้ น

ตามความสนใจ หรือความต้องการของผู้เขยี น โดยผู้อ่านและผู้เขยี นแสดงความคดิ เห็นแลกเปลี่ยนกันได้ เชน่ บล็อก
ทอ่ งเทยี่ ว บลอ็ กขายสนิ ค้า บลอ็ กการศึกษา เชน่ www.blogger.com, www.bloggang.com, www.medium.com
โดยผทู้ ่ีมีความชำนาญในการเขยี นบลอ็ ก หรือผู้ที่เขียนบล็อกเปน็ อาชีพ เรียกว่า บล็อกเกอร์ (Blogger)

การเขียนบล็อกโดยใช้โปรแกรม Blogger.com มีขั้นตอนดังน้ี
1. สมัครบญั ชขี อง Gmail เพ่ือนำไปสรา้ งบล็อก
2. เม่ือกดเขา้ ไปทเ่ี วบ็ ไซต์ www.blogger.com แล้วให้ทำการล็อกอนิ โดยคลิกทค่ี ำว่า ลงชื่อเขา้ ใช้ ใน
หน้าแรกของเว็บไซต์
3. คลิก สร้างบล็อกใหม่ เพ่ือสร้างและเขยี นบล็อกตามท่ีเราต้องการ
4. ตรงหวั ข้อใหพ้ ิมพ์ช่ือหัวขอ้ ของบล็อก
5. ตรงทีอ่ ยใู่ หต้ ้งั ช่ือ URL ซ่ึงควรใชช้ ือ่ เป็นภาษาอังกฤษและตัวเลข
6. ตรงธมี เปน็ การเลอื กรูปแบบของบล็อก
7. เม่ือเลอื กแลว้ ใหค้ ลกิ แถบเมนสู ร้างบล็อก
8. เติมขอ้ มูลใสล่ งในบล็อกของตนเอง โดยพิมพ์ขอ้ ความและใสร่ ูปภาพ จากนั้นตกแต่งให้สวยงามตาม
ความตอ้ งการ
9. กดอปั เดตการสรา้ งบลอ็ กของตนเอง
10. เมอ่ื เสรจ็ เรยี บรอ้ ยแล้วจะแสดงผลออกมาในรปู แบบของหน้าบลอ็ กที่เราต้องการ โดยทผี่ ู้อ่ืนสามารถ
เข้ามาศึกษาข้อมูลของบล็อกที่เราสรา้ งขน้ึ มาได้จากลิงคท์ ี่มี

5. การถ่ายโอนข้อมูล (File Transfer protocol : FTP)
- เปน็ บริการถ่ายโอนแฟม้ ข้อมลู ข่าวสาร บทความจากคอมพิวเตอร์เคร่ืองอ่นื มาลงในเครื่องคอมพิวเตอร์

ของเราเรียกว่า การดาวนโ์ หลด (Download) สว่ นการนำแฟ้มข้อมลู จากเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราไปไวย้ ังเครื่อง
คอมพวิ เตอรเ์ ครอื่ งอืน่ เรยี กว่า การอปั โหลด (Upload)

6. ชุมชนออนไลน์
- เป็นบรกิ ารเครอื ข่ายทผ่ี ูใ้ ช้สามารถส่งข้อความถึงกัน ติอต่อส่ือสารกับกลมุ่ เพือ่ น แลกเปลีย่ นประสบการณ์

และรปู ภาพกนั ได้ เชน่ เฟซบุ๊ก (facebook) ทวิตเตอร์ (twitter)
1.1 รปู แบบการสืบคน้ ข้อมลู ความรู้
1) การสบื ค้นในรูปแบบ Index Directory

- เปน็ การคน้ หาข้อมลู โดยการคลกิ เลือกข้อมูลทีต่ ้องการจะดูในเว๊บเบราเซอร์ (Web Browser) จากน้ัน
หน้าจอกจ็ ะแสดงรายละเอียดของหัวข้อยอ่ ยมาให้เลือก
2) การสืบค้นในรูปแบบ Search Engine

- เป็นการค้นหาข้อมูลความรู้ผ่านเวบ็ ไซตใ์ นอินเตอร์เน็ต โดยใชซ้ อฟต์แวรค์ น้ ผ่านเวบ็
- ลักษณะของ Search Engine จะเปน็ ฐานข้อมูลขนาดใหญท่ ก่ี ระจดั กระจายอยู่ทว่ั ไปบนอนิ เทอร์เนต็ ไมม่ ี
การแสดงข้อมลู ออกมาเปน็ ลำดับข้ันของความสำคัญ

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 162

- การใช้งานจะต้องพิมพ์คำค้น ซึง่ เป็นการอธิบายถึงข้อมูลทีต่ อ้ งการจะสบื ค้น จากนนั้ Search Engine จะ
แสดงขอ้ มูลและเว็บไซด์ต่าง ๆ ทเ่ี กยี่ วข้อง

1.2 การสบื คน้ ข้อมูลโดยใช้เว็บ Search Engine
- เว็บเสริ ช์ เอน็ จนิ หรือเว็บไซดจ์ ักรกลคน้ หา คือ ซอฟต์แวร์ โปรแกรม หรือเวบ็ ไซต์ทท่ี ำหน้าทค่ี น้ หาข้อมูล

เชน่ ข้อความ ภาพ คลิปวิดีโอ โดยการสบื ค้นข้อมูลจำเป็นต้องใช้ส่งิ ท่ีเรียกว่า คำค้น
- Web Search Engine ท่ีเรานิยมใชม้ าก คือ www.google.com
- การใช้งานเว็บ Search Engine มขี ัน้ ตอน ดังน้ี
1. เปดิ เว็บเบราเซอรโ์ ครม (Chrome) และป้อน www.google.co.th ทชี่ ่องที่อย่เู วบ็ แล้วกดแปน้ Enter

จะปรากฏหน้าต่างเวบ็ เสริ ช์ เอ็นจิน google
2. ป้อนคำคน้ ทีช่ ่องกลางหนา้ จอ และคลิกคน้ หาด้วย Google หรอื กดแป้น Enter จะพบรายการข้อมลู ที่

สอดคลอ้ งกับคำคน้ จำนวนมาก.
3. กำหนดคำคน้ ให้สบื ค้นเจาะจงประเภทของไฟลข์ ้อมูล (File Type) และนามสกลุ ของไฟลข์ ้อมลู ท่ี

ตอ้ งการ ดังน้ี
File Type : นามสกลุ หรือประเภทของไฟล์ข้อมลู คำค้น
เชน่ ต้องการสืบคน้ เฉพาะไฟลก์ ารนำเสนอ (ppt)
- File Type : ppt สตั ว์ป่าสงวน
จากท่พี บเวบ็ ไซด์ที่มขี ้อมลู เกี่ยวกับสตั วป์ า่ สงวนมากถงึ 1,660,000 รายการ แต่เม่ือ

สบื คน้ เฉพาะเจาะจง
ประเภทไฟล์ ppt พบว่าเหลอื 8,560 รายการ ทำให้ได้ข้อมูลที่ตรงต่อความตอ้ งการมากข้ึน

4. การสบื ค้นขอ้ มูลจาก www.google.co.th ยงั สามารถระบุรายละเอยี ดอ่ืน ๆ เพื่อเจาะจงการสืบคน้ ได้ ดังนี้
1. สืบคน้ ข้อมูลแบบระบุชว่ งเวลา คือ การสบื ค้นข้อมูล ไฟล์ ข่าวสาร ที่ถูกออนไลน์ในชว่ งเวลาที่

กำหนด โดยกำหนดคำคน้ ที่ต้องการ แล้วคลิก เครอื่ งมือ และเลอื กช่วงเวลาของข้อมูลที่ตอ้ งการ
2. สืบค้นรูปภาพทตี่ รงต่อความตอ้ งการมากท่ีสดุ
1. การสบื คน้ รปู ภาพแบบเจาะจงสี สืบคน้ ได้ 4 ประเภท โดยกำหนดคำคน้ ที่ต้องการ แล้วคลกิ
เครื่องมอื และเลือก สี

2. การสบื ค้นรปู ภาพแบบเจาะจงประเภท สบื ค้นได้ 5 ประเภท โดยกำหนดคำค้นทตี่ อ้ งการ
คลิก เครื่องมือ และเลือก ประเภท

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 163

3. การสืบค้นรปู ตามขนาดที่ต้องการ โดยกำหนดคำคน้ ทตี่ ้องการ คลิก เคร่ืองมอื และ
เลือก ขนาด

4. การสบื ค้นรูปเพ่ือปอ้ งกันการละเมดิ ลขิ สิทธ์ิ โดยกำหนดคำคน้ ท่ตี ้องการ คลกิ เครื่องมือ
และเลือกสทิ ธใ์ิ นการใชง้ าน

เมอ่ื สืบค้นข้อมูล และได้ข้อมูลทีต่ อ้ งการแลว้ ควรปฏิบตั ดิ ังน้ี

1. ประเมินความน่าเช่ือถือของข้อมูล โดยพจิ ารณาชื่อโดเมน วา่ มาจากหนว่ ยงานใด มีความนา่ เชือ่ ถือหรือไม่

โดเมน ความหมาย ตวั อย่าง

.go.th เว็บไซตท์ างรัฐบาลไทย www.moe.go.th

go มาจากคำว่า government หมายถึง รฐั บาล (กระทรวงศึกษาธกิ าร)

th มาจากคำว่า Thailand หมายถงึ ประเทศไทย

.ac.th เว็บไซตท์ างการศึกษา www.chula.ac.th

ac มาจากคำวา่ academic หมายถึง วิชาการ (จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย)

th มาจากคำวา่ Thailand หมายถึง ประเทศไทย

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 164

โดเมน ความหมาย ตวั อย่าง
.or.th เวบ็ ไซตอ์ งค์กรไมห่ วังผลกำไร www.niets.or.th
(สถาบนั ทดสอบทางการศึกษา
or มาจากคำว่า organization หมายถงึ องคก์ ร แห่งชาติ) (องค์การมหาชน)
th มาจากคำว่า Thailand หมายถงึ ประเทศไทย www.shopee.co.th
.co.th เว็บไซต์ทางการคา้ (ประเภทช็อปปิ้งออนไลน์)
co มาจากคำว่า commercial หมายถงึ การคา้
th มาจากคำวา่ Thailand หมายถงึ ประเทศไทย

2. ตรวจสอบข้อมูลว่ามีความถกู ต้อง และทันสมัย
3. ตรวจสอบการอ้างองิ แหลง่ ทีม่ าของข้อมูลว่ามาจากแหล่งใด และมีความน่าเช่อื ถอื มากนอ้ ยเพยี งใด
4. นำเนื้อหาข้อมลู ทส่ี ืบค้นได้มาเปรียบเทยี บกนั แล้วเลอื กข้อมูลทสี่ อดคล้องและตรงกนั
5. นำเสนอขอ้ มูล โดยนำขอ้ มูลมาเรียบเรยี ง แล้วสรุปเป็นสำนวนของตนเอง

การใชง้ านอนิ เทอรเ์ น็ต ควรปฏิบตั ิ ดงั นี้
1. ปฏิบัตติ ามกฎ กติกา และมารยาททแ่ี ต่ละเว็บไซตก์ ำหนด
2. การใช้ไปรษณีย์อิเล็กโทรนิกส์ ไม่ควรส่งจดหมายลูกโซไ่ ปสร้างความรำคาญใจใหแ้ ก่ผูอ้ นื่
3. การสนทนาผ่านเครอื ข่าย ควรสนทนากับผู้ท่ีต้องการสนทนาด้วยเท่านนั้ ใช้คำสุภาพ และไมล่ ะเมนิ เรื่องส่วนตัว
4. การใช้กระดานสนทนา (web board) ห้ามพาดพิงถงึ สถาบันสำคญั หา้ มเผยแพร่หรอื สง่ ต่อข้อมูลลามกอนาจาร
5. ไมค่ ัดลอกข้อมูลทางอนิ เทอร์เนต็ ไปใช้เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกจิ และไม่แอบอา้ งข้อมูลของผู้อนื่ มาเป็นข้อมูล
ของตนเอง
6. การส่งไฟล์ข้อมลู ไม่ควรส่งไฟล์ข้อมลู ท่ีมีกลุ่มซอฟต์แวร์ประสงคร์ า้ ยไปใหผ้ ู้อ่นื เช่น ไวรสั

อาชญากรรมทางอนิ เทอร์เนต็
คือ การใชค้ อมพิวเตอร์และเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์เปน็ เครื่องมอื ในการกระทำผิด เพอื่ ใหผ้ ู้อน่ื เกิดความเสียหาย

ดงั นี้
1. การกอ่ อาชญากรรมภายในโรงเรยี น

- เปน็ การใชอ้ ินเทอร์เน็ตในทางทไ่ี มเ่ หมาะสมของนกั เรยี นโดยรเู้ ทา่ ไม่ถงึ การณ์ เชน่ การใชโ้ ทรศัพทม์ ือถือ
ถ่ายรปู เพ่ือน แลว้ ส่งต่อไปยังบคุ คลอ่ืนผ่านอินเทอรเ์ นต็ โดยไม่ไดร้ ับอนุญาต
2. การละเมดิ ลิขสิทธ์ิ

- เป็นการคดั ลอก และนำผลงานของผู้อนื่ ทีม่ ลี ิขสทิ ธ์ไิ ปใชป้ ระโยชน์ โดยอาจจะนำไปจำหน่ายหรือเผยแพร่
โดยไม่ไดร้ ับอนุญาต
3. การแพร่ภาพอนาจารทางออนไลน์

- เปน็ การใช้คอมพวิ เตอรใ์ นการเผยแพร่ภาพนงิ่ หรือภาพเคล่ือนไหวลามกอนาจารลงบนอนิ เทอร์เน็ต
4. การก่ออาชญากรรมทางการเงิน

- เปน็ การนำขอ้ มูลทางการเงินของผู้อน่ื ไปใชป้ ระโยชน์โดยไม่ได้รบั อนุญาต แล้วทำใหผ้ เู้ ป็นเจา้ ของเกิด
ความเดอื ดร้อน

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 165

5. การเจาะระบบ
- เป็นการใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ในการทำลายระบบคอมพิวเตอรข์ องผู้อนื่ หรอื นำข้อมูลท่ีอย่ใู นระบบ

คอมพิวเตอร์ของผอู้ น่ื ออกมาใชโ้ ดยไมไ่ ดร้ ับอนญุ าตหรือส่งโปรแกรมไวรสั ไปรบกวนการทำงานระบบคอมพวิ เตอร์
ของผู้อื่น
6. การก่อการรา้ ยทางคอมพิวเตอร์

- เปน็ การเจาะระบบคอมพวิ เตอร์แลว้ นำข้อมูลไปใชป้ ระโยชน์ หรือนำมาขม่ ขู่เพื่อเรยี กร้องผลประโยชน์

แนวทางป้องกันการเกิดปัญหาอาชญากรรมทางอนิ เทอร์เน็ต
1. ตัดการเชอ่ื มต่ออินเทอรเ์ น็ตทกุ ครงั้ หลงั เลิกใช้งาน
2. การดาวน์โหลดขอ้ มูล ไฟล์ หรือเอกสารต่าง ๆ จากอินเทอรเ์ น็ต ควรดาวนโ์ หลดจากเวบ็ ไซต์ทเ่ี ชือ่ ถอื ได้เท่านัน้
3. ไม่เปดิ เผยข้อมูลส่วนตัวลงบนเวบ็ ไซตต์ ่าง ๆ หรือถ้าจำเปน็ ต้องเปิดเผยควรเปดิ เผยเท่าทีจ่ ำเปน็ เทา่ นน้ั
4. ตง้ั รหสั ผา่ นในการเข้าสเู่ คร่ืองคอมพิวเตอรใ์ ห้กับผอู้ นื่ รวมท้งั เปลย่ี นรหสั ผา่ นทุก ๆ 2 – 3 เดอื น
5. ตรวจสอบระบบว่ามโี ปรแกรมป้องกันไวรัสติดต้ังมาพรอ้ มระบบปฏบิ ัตกิ ารและตรวจสอบใหแ้ นใ่ จวา่ ไดต้ ง้ั ค่าให้
โปรแกรมทำงานแล้ว

2. การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศในยคุ ดิจทิ ัลอย่างปลอดภัย

เทคโนโลยสี ารสนเทศ (Information Technology : IT) คอื การประยุกต์ใชค้ อมพวิ เตอร์และอปุ กรณ์
โทรคมนาคม(เทคโนโลย)ี เพอื่ จดั เกบ็ คน้ หา ส่งผ่าน และประมวลผลข้อมลู ซ่ึงข้อมูลท่ีถูกประมวลผลเรียบร้อยแล้ว
จะเรยี กวา่ สารสนเทศ ในระบบสารสนเทศนนั้ ประกอบดว้ ย 5 สว่ นหลัก ได้แก่ บุคลากร ขั้นตอนการทำงาน
ซอฟต์แวร์ ฮารด์ แวร์ และข้อมูล
เทคโนโลยี หมายถงึ การประยกุ ต์นำความรู้ทางดา้ นวทิ ยาศาสตรม์ าใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์
สารสนเทศ หมายถงึ ขอ้ มูลท่ีเปน็ ประโยชนต์ อ่ การดำเนนิ ชวี ิตของมนุษย์
1.1 พลเมืองดิจิทัล (Digital Citizen)

บคุ คลทมี่ ีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี และสื่อดิจิทลั เป็นประจำได้อยา่ งปลอดภัย มคี วามรบั ผดิ ชอบ
และมีประสิทธิภาพ

1. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศใหเ้ กิดประโยชน์ตอ่ ตนเอง และผู้อนื่
2. ป้องกันคอมพิวเตอรจ์ ากภัยคุกคามต่าง ๆ เชน่ ไวรัสคอมพิวเตอร์ หรือผไู้ มห่ วังดี
3. ป้องกนั ข้อมูลส่วนตัว ไมเ่ ปิดเผยเลขประจำตัวประชาชนหรอื ทอ่ี ยู่
4. ไม่ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศในการก่อกวน สรา้ งความรำคาญ หรือสรา้ งความเดือดร้อนแก่ผอู้ ่นื
5. เคารพสิทธิสว่ นบคุ คล ปฏบิ ตั ติ ามกฎ กติกา และมคี วามรบั ผิดชอบต่อพฤติกรรมของตนเองในโลกออนไลน์
6. ควบคุมการใช้อปุ กรณค์ อมพวิ เตอรแ์ ละสมารต์ โฟนให้มีความเหมาะสม เพอื่ ไม่ใหเ้ กดิ อาการเสพตดิ และ
ไม่ส่งผลเสยี ตอ่ สขุ ภาพ
7. มีความร้เู ท่าทันสื่อดจิ ิทลั เชน่ ไม่หลงเชอ่ื ข่าวลือต่าง ๆ ไมห่ ลงเช่อื การโฆษณาชวนเช่อื ร้เู ทา่ ทันต่อ
รูปแบบและกลอุบายของอาชญากรบนเครือขา่ ย อินเทอร์เน็ต
8. ลดปริมาณการสอื่ สารแบบออนไลนม์ าเป็นรปู แบบการส่ือสารแบบด้ังเดิมบา้ ง เช่น การพูดคุยปรึกษากับ
ผปู้ กครองดว้ ยวาจาแทนการส่งข้อความ

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 166

1.2 ความรับผดิ ชอบของพลเมอื งดจิ ิทลั
1. ความรบั ผิดชอบต่อตนเอง (Self – Responsibilities)

การรกั ษาตนเองให้มคี วามปลอดภยั ทั้งด้านสขุ ภาพรา่ งกาย ทรพั ยส์ นิ อปุ กรณค์ อมพวิ เตอร์ สมาร์ตโฟน
และข้อมลู สว่ นบคุ คล เช่น การตั้งรหสั ผา่ นใน E – mail เปน็ ท้ังตัวเลขและตวั อักษรภาษาองั กฤษให้มีความยากเพื่อ
ป้องกนั การถูกโจรกรรมข้อมูลไปใชใ้ นเร่ืองท่ไี มด่ ี
2. ความรับผดิ ชอบตอ่ ครอบครวั และเพ่อื น (Family and Friends Responsibilities)

ความรับผิดชอบต่อครอบครัวและ เพื่อน ๆ เชน่ การชว่ ยงานครอบครัว การพูดคุยและให้กำลังใจเพ่ือน ๆ
การรบั ฟงั เมื่อคนในครอบครัวหรือเพื่อนมีปัญหา การสอนเพ่อื น ๆ ใช้งานอปุ กรณ์หรอื ซอฟต์แวร์ การร่วม
แลกเปลย่ี นความรใู้ นกลุ่มเพื่อน
3. ความรบั ผิดชอบตอ่ ชมุ ชน (Community Responsibilities)

การปฏบิ ตั ิตามกฎระเบียบ ข้อบังคบั ของโรงเรียน การปฏบิ ัติตามกฎหมาย และการไมส่ รา้ งความเดือดรอ้ น
แก่ผู้อ่นื เชน่ การใช้คอมพวิ เตอรใ์ นห้องสมดุ สืบค้นงาน หลังจากใช้งานคอมพวิ เตอร์เสร็จเรียบรอ้ ย ปิดเครื่องและ
ถอดปลัก๊ คอมพวิ เตอรท์ ี่เลิกใช้งานแล้ว

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 167

ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
และทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21

1. วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์

เป็นข้ันตอนการทำงานอยา่ งเปน็ ระบบของนักวทิ ยาศาสตร์ทใ่ี ช้ในการสบื เสาะหรอื ค้นหาความรูท้ าง
วิทยาศาสตรท์ ่เี กิดจากความสงสัย ประกอบดว้ ย 5 ข้ันตอน ได้แก่

1. ระบปุ ัญหา (ตั้งคำถาม)
เป็นการตงั้ คำถาม ต้ังปัญหา หรอื ตั้งข้อสงสัยทเ่ี กิดจากการสังเกตส่งิ ต่าง ๆ รอบตวั การสังเกตควรทำอยา่ ง
ละเอยี ดรอบคอบ โดยใช้ประสาทสมั ผสั ตา่ ง ๆ เขา้ มาช่วยในการสังเกต
2. ตั้งสมมติฐาน (คาดคะเนคำตอบ)
เป็นการคาดคะเนคำตอบของคำถามหรือปัญหาทตี่ อ้ งการศึกษาไว้ล่วงหน้า โดยอาศัยข้อมลู หรอื ความรเู้ ดิม
ซงึ่ สามารถตรวจสอบไดโ้ ดยการสงั เกต การสำรวจ หรือการทดลอง
3. รวบรวมขอ้ มูล
เป็นการรวบรวมข้อมูลหรือค้นหาคำตอบของปัญหาด้วยวิธีการตา่ ง ๆ เช่น สงั เกต สำรวจ ทดลอง หรอื
สรา้ งแบบจำลอง เพ่อื ให้ได้ขอ้ มลู แล้วบันทึกผลไว้
4. วิเคราะห์ข้อมูล
เปน็ การนำข้อมลู ที่ไดจ้ ากการรวบรวมข้อมูลด้วยวธิ ีการต่าง ๆ มาแปลความหมาย หรืออธิบายความหมาย
ของข้อเทจ็ จริงทมี่ ีอยู่ เพื่อนำไปสู่การสรุปผล
5. สรปุ ผล
เปน็ การสรุปผลของข้อมูลทไี่ ด้ศกึ ษาค้นควา้ มาเพื่อตรวจสอบว่าตรงกบั สมมตฐิ านทตี่ ้ังไวล้ ่วงหนา้ หรอื ไม่
จากนัน้ นำความรู้ทไ่ี ด้ไปประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตประจำวนั หรือต้ังเปน็ กฎเกณฑเ์ พ่อื ใชใ้ นการศึกษาต่อไป

2. ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์

เป็นทักษะกระบวนการทน่ี กั วิทยาศาสตรน์ ำมาใช้เพื่อการศึกษาค้นควา้ สืบเสาะหาความรู้และแกป้ ัญหา
ตา่ งๆ ได้อย่างถูกต้องเหมะสม ช่วยใหเ้ ราหาความรู้ไดอ้ ยา่ งเปน็ ระบบและมีความถูกต้อง
แบ่งออกเปน็ 2 ขั้น มี 14 ทักษะ
2.1 ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขนั้ พน้ื ฐาน มี 8 ทกั ษะ ดงั น้ี

1. ทักษะการสงั เกต
เป็นการใช้ประสาทสัมผสั อย่างใดอยา่ งหนง่ึ หรือใช้หลายอย่างร่วมกนั ได้แก่ ตา หู ลิน้ ผวิ กาย และ

จมูก เพื่อค้นหาและบอกรายละเอียดของส่งิ ตา่ ง ๆ ท่สี ังเกต โดยไม่ใส่ความคดิ เห็นของผ้สู ังเกตลงไป
2. ทักษะการจำแนกประเภท

เปน็ การแบง่ พวก การจัดกลมุ่ ส่ิงตา่ ง ๆ การเรยี งลำดับวตั ถุหรือเหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ ออกเป็น
หมวดหมู่ โดยใชค้ วามเหมอื นกันหรอื ใช้ความแตกต่างกนั มาเปน็ เกณฑใ์ นการจำแนกวตั ถุเหตุการณห์ รือสง่ิ
ตา่ ง ๆ ออกจากกัน

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 168

3. ทักษะการวดั
เปน็ การเลอื กเครื่องมือและการใชเ้ ครื่องมือตา่ ง ๆ เพ่ือวัดหาปรมิ าณของสง่ิ ตา่ ง ๆ ออกมาเปน็

ตวั เลขได้ถูกต้องและเหมาะสมกับสิง่ ทตี่ ้องการวัด รวมทั้งบอกหรือระบหุ น่วยของตวั เลขท่ีทำการวดั ได้
อย่างถูกต้อง
4. ทักษะการใช้จำนวน

เปน็ การใชค้ วามร้ทู างด้านจำนวนและการคำนวณ โดยการนบั จำนวนหรอื คดิ คำนวณ เพื่อบรรยาย
หรอื ระบุรายละเอียดเชิงปริมาณของสงิ่ ทส่ี งั เกตหรือทดลองได้
5. ทกั ษะการลงความเห็นจากขอ้ มูล

เปน็ การใช้ความคดิ เห็นจากประสบการณห์ รือความรเู้ ดิม เพ่อื อธิบายข้อมลู ที่ไดจ้ ากการสงั เกต
อยา่ งมีเหตผุ ล โดยอาศัยข้อมูลหรือสารสนเทศทเ่ี คยเกบ็ รวมรวมไวใ้ นอดีต
6. ทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมลู

เปน็ การนำข้อมูลทร่ี วบรวมได้จากวิธีการต่าง ๆ มาจดั กระทำใหอ้ ยใู่ นรูปแบบทีม่ ีความหมายหรือมี
ความสัมพนั ธก์ นั มากขนึ้ รวมท้งั นำข้อมลู มาจัดกระทำในรูปแบบตา่ ง ๆ เช่น แผนภาพ แผนภมู ิ ตาราง
กราฟ การเขยี นบรรยาย สมการ เพือ่ ทำให้ผ้อู ืน่ เข้าใจความหมายไดง้ ่ายข้นึ
7. ทักษะการหาความสัมพนั ธข์ องสเปซกับเวลา

-การหาความสมั พันธ์ระหวา่ งสเปซกบั สเปซ เป็นการหาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งพน้ื ที่ทว่ี ตั ถุตา่ ง ๆ
ครอบครองอยู่

-การหาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสเปซกบั เวลา เป็นการหาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งพืน้ ที่ทว่ี ตั ถุ
ครอบครองอยเู่ มื่อเวลาผา่ นไป
8. ทกั ษะการพยากรณ์

เปน็ การคิดคะเนผลลัพธ์ของปรากฏการณ์ สถานการณ์ การสงั เกต หรอื การทลองไว้ลว้ งหน้า โดย
อาศยั ขอ้ มูลหรือประสบการณ์ของเร่ืองนั้นทีเ่ กดิ ข้ึนซ้ำ ๆ เป็นแบบรูปมาช่วยในการคาดกการณส์ ่งิ ที่จะเกดิ ขึน้

2.2 ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ ้นั สูงหรือขัน้ ผสม มี 6 ทักษะ ดังน้ี
1. ทกั ษะการต้งั สมมติฐาน
เป็นการคดิ หาคำตอบล่วงหนา้ กอ่ นทำการทดลองโดยอาศัยการสังเกต ความรู้ หรือประสบการณ์
เดมิ เปน็ พนื้ ฐาน โดย คำตอบที่คดิ ลว่ งหนา้ นี้ยังไมท่ ราบ ไม่มีหลกั การ หรือไมเ่ ป็นทฤษฎีมาก่อน และ
สมมตฐิ านทีต่ ้ังขนึ้ อาจถูกหรือผิดก็ได้ ซึง่ จะทราบได้ภายหลังการทดลองแลว้
2. ทักษะการกำหนดนิยามเชิงปฏิบัตกิ าร
เปน็ การกำหนดความหมายและขอบเขตของสิง่ ต่าง ๆ ท่ีอยู่ในสมมตฐิ านหรือท่ีเกี่ยวข้องกับการ
ทดลอง เพ่ือใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจตรงกันและสามารถสังเกตหรือวดั ได้ โดยให้คำอธบิ ายเกยี่ วกบั การทดลอง
และบอกวธิ กี ารวดั ตวั แปรท่เี ก่ียวกบั การทดลองนัน้ ๆ
3. ทกั ษะการกำหนดและควบคมุ ตัวแปร
เป็นการกำหนดตัวแปรตน้ ตวั แปรตาม และตัวแปรควบคมุ ท่ตี อ้ งควบคมุ ให้คงท่ี โดยต้องให้
สอดคลอ้ งกบั การต้งั สมมติฐานของการทดลองหน่ึง ๆ

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 169

4. ทักษะการทดลอง
เป็นกระบวนการปฏิบตั ใิ นการออกแบบและวางแผนการทดลอง เพื่อหาคำตอบจากสมมตฐิ านท่ี

ต้องไว้ ซึง่ ประกอบดว้ ย 3 ขน้ั ตอน คือ การออกแบบการทดลอง การปฏบิ ัตกิ ารทดลอง และการบันทักผล
การทดลอง
5. ทกั ษะการตคี วามหมายข้อมลู และลงข้อสรุป

เป็นการแปลความหมายหรอื บรรยายลักษณะและสมบตั ิของข้อมูลท่ีมีอยู่ รวมท้ังสามารถสรุป
ความสัมพนั ธข์ องขอ้ มลู ทั้งหมดได้
6. ทักษะการสรา้ งแบบจำลอง

เปน็ การสร้างหรือใช้สิง่ ทีส่ รา้ งข้ึนมา เพื่อเลยี นแบบหรืออธิบายปรากฏการณ์ท่ีศึกษาหรือสนใจ
แล้วสามารถนำเสนอข้อมลู แนวคิด และความคดิ รวมยอด เพือ่ ให้ผ้อู นื่ เขา้ ใจในรปู แบบของแบบจำลอง
ต่างๆ เชน่ ชนิ้ งาน สิ่งประดษิ ฐ์ กราฟ รูปภาพ ข้อความ

3. จติ วทิ ยาศาสตร์

ลกั ษณะหรือพฤติกรรมของแต่ละคนท่เี กิดจากประสบการณ์ที่ไดจ้ ากการศึกษาในเรื่องต่าง ๆ โดยใช้
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษา คุณลกั ษณะหรือพฤติกรรมทางจิตวิทยาศาสตรท์ ่ีเหน็ ไดช้ ัดเจน เช่น

- ความซ่ือสตั ย์
เป็นลักษณะสำคญั ทีแ่ สดงออกมาอย่างตรงไปตรงมาตามสภาพความเป็นจรงิ ไม่ทจุ รติ ไม่

หลอกลวง มกี ารบนั ทกึ ข้อมูลตามความเป็นจรงิ
- ความสนใจใฝร่ ู้

เปน็ ลักษณะที่ชว่ ยใหเ้ ราสามารถค้นหาคำตอบของขอ้ สงสยั หรอื คน้ พบวิธีการแกป้ ญั หาที่ศึกษาได้
โดยผ้ทู ่มี คี วามสนใจใฝ่รจู้ ะมลี กั ษณะชอบศกึ ษา ค้นคว้า ทดลอง และใฝห่ าความรเู้ พิ่มเติมอยเู่ สมอ
- ความมงุ่ มัน่ เพียรพยายาม

เป็นลักษณะท่แี สดงออกถงึ ความเพยี รพยายาม เม่ือมีอุปสรรคหรอื มีความลม้ เหลวในระหว่างการ
ทำงานจะไม่ทอ้ ถอย โดยจะมีความมุง่ ม่ันและต้งั ใจในการแสวงหาองคค์ วามรู้นัน้ มา
- ยอมรบั ฟังความคดิ เหน็ ของผู้อน่ื

เป็นลกั ษณะสำคัญในการสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมใหมๆ่ ทำให้ได้ความรู้ที่มีประสิทธิภาพ
มากยิง่ ข้นึ โดยจะตอ้ งเปน็ ผทู้ ่ีมีความใจกว้าง ใหค้ วามสำคัญกบั เหตุผลของผอู้ ื่น และยอมรับฟงั ความ
คดิ เหน็ ของผูอ้ ่นื เสมอ
- ความมเี หตผุ ล

เปน็ ลักษณะสำคัญที่เราสามารถแสดงความคดิ เหน็ ตรวจสอบความถูกต้องและยอมรับข้อมูลนั้น
ไดม้ าจากการค้นควา้ หรอื การทดลองท่เี ชื่อถือได้

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@


Click to View FlipBook Version