The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

1. สรุปเนื้อหาเข้ม Sci P.6 O-NET 65 รวมทั้งหมด

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ลัดดา แผงอ่อน, 2022-06-30 04:20:22

1. สรุปเนื้อหาเข้ม Sci P.6 O-NET 65 รวมทั้งหมด

1. สรุปเนื้อหาเข้ม Sci P.6 O-NET 65 รวมทั้งหมด

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 100

2. ยานอวกาศที่ไม่มีมนุษย์อวกาศขบั คมุ ได้แก่

- ยานเซอร์เวเยอร์ ไปลงดวงจันทร์

- ยานไวกิ้ง ไปลงดาวอังคาร

- ยานกาลเิ ลโอ ไปสำรวจดาวพฤหสั บดี

- ยานแมกแจลแลน ไปสำรวจดาวศุกร์

- ยานแคสินี-ฮอยเกนส์ ไปสำรวจดาวเสาร์

4. ดาวเทียม - ดาวเทียมสปุตนกิ 1 (รสั เซีย) ดาวเทียมดวงแรกทข่ี น้ึ ไปโคจรรอบโลก

- ดาวเทยี มสปุตนิก 2 (รสั เซีย) และสนุ ขั ชอื่ ไลก้า ดาวเทียมดวงที่ 2

- ดาวเทยี มเอกซพ์ ลอเรอร์ 1 (สหรัฐอเมริกา ดาวเทยี มดวงแรกของสหรัฐอเมรกิ า)

ประเภท การใช้งาน ดาวเทยี ม

ส่ือสาร เป็นสถานีถ่ายทอดสัญญาณส่ือสาร ดาวเทยี มไทยคม (ประเทศไทย), ดาวเทียมปาลาปา,
อุตนุ ยิ มวทิ ยา
เชอื่ มกับระบบวิทยุ ดาวเทยี มอินเทลแซต, ดาวเทียมซากรุ ะ, ดาวเทยี มสกอร์ (SCORE)

ตรวจสอบสภาพ ลม ฟา้ อากาศ ดาวเทยี มไทรอส, ดาวเทียมทรานซติ , ดาวเทียมนมิ บัส,

การก่อตวั และเคล่ือนตวั ของพายุ ดาวเทียมคอสมอส, ดาวเทียมGMS–3 ของญี่ปุน่ ,

เมฆ บรรยากาศ ดาวเทียมNOAA (โนอา)–8, –9 ของสหรฐั อเมรกิ า

สำรวจ ลักษณะพืน้ ผิวโลก ดาวเทียมแลนดแ์ ซด(LANDSAT), ดาวเทยี มธีออส (THEOS) (ไทย),
ทรพั ยากร วตั ถุทอ้ งฟ้า ดาวเทียมไทยโชติ, ดาวเทยี มสปอต (SPOT) ของฝรง่ั เศส
ดาราศาสตร์ ดาวเทยี มเทสส์ (TESS), ดาวเทียมไวส์

ดาวเทียมนำรอ่ ง นำทาง ดาวเทียม GNSS
หรอื GPS ลาดตะเวนทางทหาร ดาวเทียมโคโรนา
ภารกจิ พเิ ศษ

ดาวเทียมไทพัฒ - ดาวเทียมสือ่ สาร, ดาวเทยี มอุตนุ ิยมวทิ ยา, ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก

วิวัฒนาการเทคโนโลยีอวกาศ

พ.ศ. เหตกุ ารณ์สำคญั

1. 2182 กาลเิ ลโอ กาลิเลอี ประดษิ ฐ์ กล้องโทรทรรศน์ และได้ค้นพบดวงจนั ทร์ 4 ดวง โคจรรอบ
ดาวพฤหัสบดี ซง่ึ การคน้ พบนี้ทำใหเ้ ปลีย่ นความเช่ือที่ว่า โลกเป็นศูนยก์ ลางของระบบสุริยะ

ประเทศสหรฐั อเมรกิ า ไดส้ ร้างกลอ้ งโทรทรรศน์ทมี่ ีขนาดใหญ่ขึน้ พฒั นาให้มองเหน็ สิง่ ตา่ ง ๆ

2. 2476 ในอวกาศไดช้ ัดเจนมากขนึ้ แต่มีข้อจำกดั ท่ีบรรยากาศของโลกบดบังการมองเห็นและระยะ

การมองเห็นไม่ไกลมากนัก ได้เร่ิมพัฒนากล้องโทรทรรศน์วิทยุเพ่ือใช้ศึกษาอวกาศ

3. 4 ตลุ าคม 2500 สหภาพโซเวยี ดสง่ ดาวเทียม สปตุ นกิ 1 ดาวเทยี มดวงแรกของโลกขนึ้ ไปโคจรรอบโลก

4. 3 พฤศจิกายน 2500 สหภาพโซเวียดสง่ ดาวเทียม สปุตนิก 2 พร้อมสุนขั ตัวแรกชอื่ ไลกา อยู่อวกาศไดน้ าน 7 วัน

5. 31 มกราคม 2501 สหรฐั อเมรกิ าสง่ ดาวเทียม เอกซพ์ ลอเรอร์ 1 ขึ้นสู่วงโคจรพร้อมกบั การทดลองวิทยาศาสตร์
เกี่ยวกับการค้นพบแถวรังสีของโลก

6. 1 ตลุ าคม 2501 สหรฐั อเมรกิ าก่อตั้งองค์การ นาซา ขึน้

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 101

พ.ศ. เหตุการณส์ ำคญั
7. 12 สิงหาคม 2502 สหภาพโซเวยี ตส่งยาน ลูนาร์ 2 ไปสัมผัสผิวดวงจันทรไ์ ด้เป็นลำแรก

8. 12 เมษายน 2504 สหภาพโซเวียตส่งนกั บนิ อวกาศคนแรกของโลกชอ่ื ยูริ กาการนิ
ขึ้นไปโคจรรอบโลกพร้อมกับยาน วอสตอ็ ก 1

9. 5 พฤษภาคม 2504 สหรฐั อเมรกิ าส่งนกั บนิ อวกาศคนแรกของอเมริกาชื่อ อลัน เชพารด์
ขึน้ ไปโคจรรอบโลกพร้อมกบั ยาน เมอร์ควิ รี ฟรดี อม 7

10. 16 มิถุนายน 2506 สหภาพโซเวยี ตส่งนักบินอวกาศหญิงคนแรกของโลกชือ่ วาเลนตินา เทเรซโควา นิโคเลเยฟ
ขน้ึ ไปโคจรรอบโลกพร้อมกบั ยาน วอสต๊อก 6

11. 16 พฤศจิกายน 2507 สหภาพโซเวียตส่งยาน วีนสั 3 เปน็ ยานลำแรกที่ไปสัมผัสพื้นผวิ ของดาวศกุ ร์

12. 24 เมษายน 2510 ยาน โซยุส 1 ของสหภาพโซเวียตกระแทกกับพืน้ โลกระหว่างเดินทางกลบั สโู่ ลก ทำให้
นักบิน วลาติเมยี ร์ โคมารอฟ เสียชวี ิตด้วยสาเหตุระบบชูชพี ไมท่ ำงาน

13. 21 ธนั วาคม 2511 ยาน อะพอลโล 8 นำนกั บนิ อวกาศ 3 คนแรกไปโคจรรอบดวงจันทร์

สหรฐั อเมรกิ าสง่ นกั บินอวกาศช่อื นลี อารม์ สตรอง เอ็ดวนิ อัลดรนิ และ ไมเคลิ คอลลินส์

14. 20 กรกฎาคม 2512 ไปกบั ยาน อะพอลโล 11 เพื่อลงสำรวจบนดวงจันทร์ และเป็นคร้ังแรกทม่ี ีมนุษยก์ า้ วลง

เหยียบบนดวงจันทร์ได้

15. 2515 สหรฐั อเมรกิ าและนานาประเทศใชย้ าน ขนสง่ อวกาศ ขนสง่ นกั บนิ อวกาศ และสมั ภาระไป
ปฏิบัติหน้าทใี่ นอวกาศแบบไปและกลับ และใชม้ าจนถึงปัจจบุ นั

16. 2518 สหรฐั อเมรกิ าโดยองคก์ ารนาซา ส่งยาน ไวกิง้ ลงจอดบนดาว องั คาร

17. 2520 – 2522 สหรฐั อเมริกาส่งยาน วอยเอเจอร์ 1 และ 2 ข้ึนไปสำรวจวงแหวนดาวเสารแ์ ละดวงจันทร์ท่ี
เปน็ บรวิ ารของดาวเสาร์ และยาน วอยเอเจอร์ 2 สำรวจดาวยูเรนัสและดาวเนปจูน

18. 2533 สหรฐั อเมริกา โดยองคก์ ารนาซา สง่ กล้อง โทรทรรศนอ์ วกาศฮบั เบิล ขน้ึ ไปโคจรรอบโลก

19. 2539 – 2540 สหรฐั อเมริกา โดยองคก์ ารนาซา ส่งยาน มาร์สพาธไฟน์เดอร์ เพื่อไปสำรวจดาวอังคาร โดย
ใชย้ านอวกาศหนุ่ ยนต์ 6 ลอ้ ชอ่ื โซเจอรเ์ นอร์ ถ่ายภาพดาวอังคาร

20. 2541 นานาประเทศใช้ สถานีอวกาศ จากความร่วมมือของหลายประเทศ เพอ่ื ทดลองร่วมกนั

21. 2548 องค์การนาซาสง่ ยาน ดีพอมิ แพค ไปสำรวจดางหาง ชอื่ เทมเปล 1

22. 2549 สหรฐั อเมริกา โดยองค์การนาซา สง่ ยานสำรวจแบบ บนิ ผา่ น (flyby) สำรวจดาวตา่ ง ๆ
ในระบบสรุ ยิ ะ เชน่ ยาน นวิ ฮอไรซนั ส์ ใช้สำรวจดาว พลโู ต

23. 2555 สหรฐั อเมริกา โดยองคก์ ารนาซา สง่ ยาน วอยเอเจอร์ เพื่อสำรวจนอกระบบสุริยะ

24. 2561 สหรัฐอเมรกิ า โดยองค์การนาซา สง่ ดาวเทยี ม สำรวจธารน้ำแข็ง ICEsat-2 เพื่อสำรวจและ
เกบ็ ข้อมลู ปริมาณการละลายของธารนำ้ แข็งบนผวิ โลก

25. 2561 สหรฐั อเมริกา โดยองค์การนาซา ส่งยาน Parker Solar (ปาร์คเกอร์ โซลาร์) ซึ่งเป็นยานท่ี
เคลื่อนท่เี ร็วที่สุด เพื่อสำรวจส่วนนอกสุดของชน้ั บรรยากาศดวงอาทติ ย์

26. 2562 บรษิ ทั เวอรจ์ ินกาแล็กติก ในสหรฐั อเมริกา สง่ ยาน วีเอสเอสยูนติ ี
เปน็ ยานอวกาศเพ่ือการทอ่ งเทยี่ ว มีผโู้ ดยสาร คือ เบท โมเสส

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 102

คำสำคญั จำขึน้ ใจ

1. กล้องโทรทรรศน์ - ใชส้ งั เกตวตั ถุบนท้องฟ้า วัตถทุ อี่ ยู่ไกล ๆ

2. จรวด - เป็นยานพาหนะท่ีใชใ้ นการสง่ ยานอวกาศเพื่อให้หลุดพน้ จากแรงโนม้ ถว่ งของโลก

3. ดาวเทยี ม - สง่ ขนึ้ ไปโคจรรอบโลก คล้ายกบั การโคจรรอบโลกของดวงจนั ทร์

4. ยานอวกาศ - เปน็ สงิ่ ประดษิ ฐท์ ใ่ี ช้ในการเดินทางเพ่ือสำรวจอวกาศของมนษุ ย์

5. สถานอี วกาศ - ยานอวกาศขนาดใหญ่ที่มนุษย์สามารถอาศยั อยไู่ ด้และปฏบิ ตั ิภารกจิ เปน็ เวลานานหลายเดอื น

6. ยานขนสง่ อวกาศหรอื กระสวยอวกาศ - ยานอวกาศท่ีสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้หลายครงั้

7. นักบนิ อวกาศหรือมนุษยอ์ วกาศ - ผู้ท่ขี ้ึนไปกับยานอวกาศ ทำหน้าท่คี วบคุมยานหรือวจิ ัย

8. กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบลิ - ใชถ้ า่ ยภาพท่ีอยนู่ อกช้ันบรรยากาศของโลก

เทคโนโลยีอวกาศสูก่ ารปรับใช้กบั เทคโนโลยบี นโลก

1. กล้องถ่ายรปู ในอวกาศ ===> กลอ้ งถ่ายรูปในโทรศัพท์เคล่ือนที่
2. ตาขา่ ยนริ ภยั ===> ตาข่ายจบั ปลาในทะเล
3. ฉนวนกันความร้อนของยานอวกาศ ===> ผ้าห่มอวกาศ
4. อาหารสำหรับนักบินอวกาศ ===> สตู รนมผงสำหรบั เดก็
5. ระบบจา่ ยเชื้อเพลงิ ในยานอวกาศ ===> เคร่ืองป๊ัมหัวใจเทียม
6. เคร่ืองกรองปสั สาวะในยานอวกาศ ===> เครื่องกรองน้ำของสระวา่ ยนำ้
7. อุปกรณ์ติดตามสุขภาพนกั บินอวกาศ ===> เครื่องวดั อัตราการเต้นของหัวใจ
8. ระบบตดั ส่วนเช่อื มต่อกระสวยอวกาศ ===> อปุ กรณ์ตัดโลหะ
9. ล้อรถของยานสำรวจดาว ===> ลอ้ รถยนต์วบิ าก
10. ชดุ หูฟังนักบนิ อวกาศ ===> หูฟังไรส้ ายเชื่อมกับโทรศพั ทม์ ือถือ

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 103

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 104



วทิ ยาศาสตร์แล1ะเ0ท5คโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 106

วทิ ยาศาสตร์ โลก และอวกาศ

ว 3.2 โลกและการเปลีย่ นแปลง

เข้าใจองค์ประกอบและความสมั พันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลยี่ นแปลงภายในโลกและบนผิวโลก ธรณพี บิ ัตภิ ยั กระบวนการ
เปลย่ี นแปลงลมฟา้ อากาศและภมู อิ ากาศโลก รวมทัง้ ผลต่อส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

หิน แร่

1. หิน - เป็นของแข็งท่ีประกอบดว้ ยแรช่ นิดเดียวหรอื หลายชนิดรวมกนั อยู่ตามธรรมชาติ

ที่ ชนดิ ของหนิ สี ลกั ษณะสำคัญ ประโยชน์ แหลง่ ทีพ่ บ

1. หนิ อัคนี เกิดจากสารทหี่ ลอมอยใู่ ตเ้ ปลอื กโลก เรยี กว่า แมกมา และไหลออกมาจากปลอ่ งภเู ขาไฟ เรียกว่า ลาวา

เม่อื ลาวาเยน็ ตัวลงจะแข็งกลายเปน็ หนิ อคั นี ถ้าเย็นตัวเรว็ จะเรียบคล้ายแกว้ เยน็ ตัวชา้ ผลึกจะหยาบ

1. หนิ แกรนติ เทา ชมพู เน้ือหยาบ ผลกึ ใหญ่ แข็ง กอ่ สรา้ ง หินแกะสลัก จันทบรุ ี เลย ลำปาง ตาก

ม่วง ทนทาน สวยงาม หินประดับ

2. หินบะซอลต์ เข้ม ดำ เนือ้ ละเอยี ด บางส่วนเปน็ กอ่ สรา้ งทำถนน จนั ทบุรี กาญจนบรุ ี ลำปาง
รพู รุน หนิ ต้นกำเนิดอัญมณี ศรษี ะเกษ บรุ รี ัมย์ ตราด

3. หนิ พัมมิซ ขาว เทา เนือ้ มีรูพรุนมากคลา้ ยฟองนำ้ (จากฟอง ทำวสั ดขุ ดั ตามชายฝงั่ ทะเล
แก๊สในลาวา) น้ำหนักเบา ลอยนำ้ ได้ ถู

4. หินออบซเิ ดยี น ดำ เน้อื หนิ มลี ักษณะเหมือน ทำอาวธุ สงครามในสมัย ยังไม่พบในประเทศไทย
(หนิ แกว้ ภูเขาไฟ) แก้ว มสี ดี ำผิวเรียบเปน็ มนั โบราณ

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 107

ท่ี ชนิดของหนิ สี ลักษณะสำคัญ ประโยชน์ แหล่งทีพ่ บ

2. หนิ ชั้นหรอื หินตะกอน เกิดจากการผุพังของหนิ ท่ีผวิ โลก กลายเป็นเศษหนิ อัดตวั /ตกตะกอน โดยมวี ัตถุประสานให้ติดกัน

1. หินทราย หลายสี เนอ้ื หยาบ ประกอบดว้ ย ก่อสรา้ ง หนิ แกะสลัก ทร่ี าบสงู โคราช (ชัยภูมิ
เมด็ ทรายเลก็ ๆ หนิ ประดับ กาฬสนิ ธุ์ ขอนแกน่ บุรรี ัมย์)

2. หนิ ปนู เทาจาง เนื้อแน่นละเอียด ปนู ซเี มนต์ ปนู ขาว ราชบรุ ี สระบุรี กาญจนบรุ ี
– เขม้ ดำ เกดิ ฟองแก๊สกับกรด อตุ สาหกรรมฟอกหนงั ลพบรุ ี เพชรบรู ณ์
พบซากพืช-สัตวใ์ นเนื้อหิน ฟอกน้ำตาล

3. หนิ กรวด หลายสี เนอ้ื หยาบประกอบด้วย กอ่ สรา้ ง ทำถนน ท่รี าบสงู โคราช (ชัยภูมิ
ก้อนกรวดและเม็ดทราย
หนิ แกะสลกั หินประดบั กาฬสินธุ์ ขอนแกน่ บุรรี มั ย์)

4. หนิ ดินดาน หลายสี เน้ือละเอียดเปน็ ชั้นบาง ๆ ปูนซเี มนต์ เซรามิก ภเู ก็ต สุราษฎร์ธานี สระบุรี
เหนียวและนมิ่ กาญจนบรุ ี

- ภูเขาหินปูน เป็นหนา้ ผาต้ังชนั มสี ันเขาเวา้ แหล่ง มหี นิ งอกหินยอ้ ย เชน่ เขาในสระ จ. กระบี่

- ภูเขาท่ีมยี อดราบคล้ายโตะ๊ เปน็ หินทราย หินกรวด เชน่ ภกู ระดงึ จ. เลย

- หนิ ศิลาแลง มสี นี ำ้ ตาล ใช้ก่อสรา้ ง เชน่ พระปรางค์สามยอด จ. ลพบุรี, ปราสาทเมืองสิงห์ จ. กาญจนบรุ ี

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 108

ที่ ชนิดของหนิ สี ลักษณะสำคัญ ประโยชน์ แหล่งทีพ่ บ

3. หินแปร เกิดจากการเปล่ียนแปลงของหนิ และแร่ประกอบหนิ แปรสภาพมาจากหนิ ตะกอน หินอคั นีหรือหินแปรเอง

เนื้อหนิ แนน่ เปน็ ช้ัน เรยี งตวั กนั เป็นแถบ เป็นร้ิวขนาน

1. หินชนวน เทา – ดำ เนื้อละเอียดแน่น มี หนิ ประดบั มงุ หลังคา สระบุรี กาญจนบรุ ี
(แปรจากหินดินดาน) แนวแตก ปพู นื้ สงขลา นครราชสีมา

2. หนิ ออ่ น หลายสี เนอื้ ละเอียด – หินประดบั วัสดุ สระบุรี ยะลา สุโขทยั
(แปรจากหนิ ปนู ) หยาบ กอ่ สรา้ ง ชัยนาท ประจวบคีรีขนั ธ์

หนิ ไนส์ เทา – เนอ้ื หยาบ หินประดบั วสั ดุ กาญจนบุรี ตาก
3. (แปรจากหนิ ดินดาน เทาเข้ม ก่อสร้าง เชียงใหม่

หินทราย หนิ แกรนติ )

4. หนิ ควอรต์ ไซด์ จาง เนื้อแน่นละเอยี ด วัสดกุ ่อสร้าง ตาก เชียงใหม่
(แปรจากหนิ ทราย)

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 109

2. วัฏจักรหนิ - การเปล่ียนแปลงของหินโดยกระบวนการทางธรณวี ิทยา (ขอ้ มูลหลักสูตรเก่า)
1. การหลอมเหลว เกิดเม่อื หินอัคนี หินตะกอน หนิ แปร อยใู่ นบรเิ วณที่มีอณุ หภูมิสูงใต้พื้นผวิ โลก

หินตา่ ง ๆ ถูกหลอมเหลวด้วยอุณหภูมิสงู จนกลายเปน็ หินหนดื และเย็นตวั ลงจนกลายเปน็ หินอคั นี
2. การผพุ ังและการกดั เซาะ เกิดโดยกระแสลม นำ้ คน ทำให้หนิ แตกและผุกร่อน มาทับถมกนั

กลายเป็นตะกอน อัดตวั เกิดเป็นผลึก กลายเป็นหินตะกอน
3. การแปรสภาพ เม่ือหินได้รบั ความร้อนจากภายในโลก ความกดดันจากการเคล่ือนที่ของ

เปลอื กโลกและปฏกิ ิริยาทางเคมีจากของเหลวและแกส๊ ต่าง ๆ จนทำให้ลักษณะของหินกลายเปน็ หนิ แปร

(ข้อมูลหลกั สูตรใหม)่

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 110

ตัวอย่างแบบฝึกหัดวฏั จกั รหิน

ก. การผพุ ัง
ข. การหลอมเหลว
ค. การแปรสภาพ
ง. การสะสมของตะกอนและ

การเช่อื มประสานตะกอน
จ. การเย็นตวั และตกผลกึ ของแมกมา
ฉ. การตกผลกึ หรือตกตะกอนของสารบางชนิด
ช. การเย็นตัวและตกผลกึ ของลาวา และ

การเย็นตวั และแขง็ ตัวของลาวา

1. การเย็นตัวและตกผลกึ ของแมกมาใต้ผวิ โลก จะทำใหเ้ กดิ เป็น หนิ อคั นีแทรกซอน
2. การเย็นตัว ตกผลกึ และแข็งตัวอย่างรวดเรว็ ของลาวาบนผิวโลก จะทำใหเ้ กดิ เป็น หินอัคนีพุ
3. ถ้าหนิ เกดิ การผุพงั สึกกรอ่ น และการทบั ถม หนิ ทุกชนดิ จะกลายเป็น ตะกอน
4. การสะสมตวั ของตะกอนและการเชื่อมประสานตะกอนเกดิ เป็น หนิ ตะกอน ที่มเี นอ้ื เป็น เม็ดตะกอน
5. การตกผลึกหรือตกตะกอนของสารบางชนดิ เกิดเปน็ หนิ ตะกอน ที่มเี น้ือเปน็ ผลึก
6. เมือ่ หนิ ทกุ ชนิดถูกความรอ้ นและความดนั มากระทำกจ็ ะกลายเป็น หนิ แปร
7. การทห่ี นิ ทุกประเภทท่ีอยู่ในระดับลึกใตผ้ ิวโลกหลอมเหลวกลายเป็น แมกมา

3. แร่ - ธาตหุ รือสารประกอบอนินทรีย์ท่เี กดิ ข้ึนเองตามธรรมชาตใิ นรูปของผลึก
- ความแขง็ ของแร่ ตามการกำหนดของโมส์ ความแข็ง 1 อ่อนทส่ี ดุ ความแข็ง 10 แข็งท่ีสุด

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 111

แร่ เปน็ สารที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ เกิดจากการตกผลกึ ซึ่งการตกผลึกของสารเปน็ กระบวนการทีส่ ารใน
สถานะแกส๊ ของเหลว หรือของแข็งทีม่ ีโครงสร้างไม่เป็นระเบยี บ มกี ารจัดเรียงตวั ของอนุภาคใหมใ่ หเ้ ปน็ ผลกึ ของแข็ง
ซงึ่ มโี ครงสร้างท่ีเป็นระเบียบ มรี ูปทรงทางเรขาคณิตที่แนน่ อนเฉพาะตวั
ประโยชน์ของหินและแร่
1. นำหินทรายมาทำหินลับมีด เพราะประกอบดว้ ยแรค่ วอตซ์ทม่ี ีความแขง็
2. นำหินแกรนิตทม่ี ีสีสันสวยงามและมีความแขง็ มาเปน็ วสั ดกุ ่อสรา้ ง ทำหนิ ประดับ ครกหิน โม่หิน
3. นำหนิ อ่อนท่ีแปรสภาพจากหนิ ปูน ซงึ่ มเี น้ือหนิ แนน่ มากมาใช้สรา้ งอาคารและประตมิ ากรรมตา่ ง ๆ
4. นำแร่ทลั ก์ซ่ึงเปน็ แร่ประกอบของหนิ ชสี ต์มาทำแป้งฝุน่
5. นำแรค่ วอตซจ์ ากหนิ ทรายทีม่ ีความแข็งมากมาทำเป็นกระจก
6. นำแร่ทองคำท่เี ป็นแร่ประกอบหนิ ของหนิ อัคนี หินตะกอน หนิ แปร มาทำเคร่ืองประดับหรือใชป้ ระโยชน์ทางการแพทย์
7. นำแร่ฟลูออไรด์ทเี่ ปน็ แรป่ ระกอบของหนิ อัคนีมาเปน็ ส่วนผสมในยาสฟี ัน

4. ซากดกึ ดำบรรพ์
ซากดกึ ดำบรรพห์ รือฟอสซิล (fossil) เกิดจากการทบั ถมหรือประทับรอยของส่ิงมีชีวติ ในอดีต แล้วผา่ น

กระบวนการเปลย่ี นแปลงทางธรรมชาติต่าง ๆ จนทำใหก้ ลายเปน็ โครงสร้างของซากหรือร่องรอยของสิ่งมชี วี ิต
โดยทั่วไปซากดึกดำบรรพ์ท่มี ีอายุมากมักอยู่ในชั้นหนิ ดา้ นล่าง ส่วนซากดึกดำบรรพท์ ี่มอี ายนุ อ้ ยจะอยู่ในชั้นหนิ ดา้ นบน
4.1 ประเภทของซากดกึ ดำบรรพ์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1. ซากดึกดำบรรพ์สตั ว์ เช่น ไดโนเสาร์ หายกาบคู่ ปลา เป็นตน้
2. ซากดึกดำบรรพพ์ ืช เชน่ ไม้กลายเป็นหนิ ใบไม้ เป็นต้น
3. ซากดกึ ดำบรรพ์ร่องรอย เช่น รอยเทา้ ไดโนเสาร์ เปน็ ต้น
4.2 ปัจจัยทที่ ำใหเ้ กดิ ซากดกึ ดำบรรพ์
1. องค์ประกอบของสิ่งมีชวี ิต

เม่ือสิง่ มชี วี ติ ตาย โครงร่างทเ่ี ป็นของแขง็ จะใช้เวลาในการย่อยสลายนาน หากในขณะนั้นมีตะกอนมาปดิ ทับ
ซากรวดเร็ว จะทำให้กลายเป็นซากดกึ ดำบรรพ์ไดง้ ่าย เชน่ กระดูก ฟัน กระดอง

2. อณุ หภมู ิ
เมื่อบริเวณใดมอี ุณหภูมิเย็นจัดหรอื แห้งแลง้ จัด จนเชอื้ จลุ นิ ทรยี ไ์ มส่ ามารถเจริญเตบิ โตได้ ซากส่ิงมชี ีวติ บาง

ชนิดจึงรอดพน้ จากการย่อยสลายของจุลนิ ทรีย์ตา่ ง ๆ
3. ระยะเวลาการทบั ถม
ระยะเวลาทต่ี ะกอนทบั ถมลงบนซากของส่งิ มชี วี ิตจะตอ้ งเกิดขน้ึ อย่างรวดเรว็ จนทำให้เชอ้ื จุลินทรียต์ ่าง ๆ ไม่

สามารถยอ่ ยสลายซากของสิง่ มีชวี ิตไดท้ ัน
4.3 การเกดิ ซากดึกดำบรรพ์ประเภทต่าง ๆ
1. การเกดิ ซากดกึ ดำบรรพแ์ บบซากกลายเป็นหิน เช่น ซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์

- สิ่งมชี ีวิตทต่ี ายแลว้ ถกู พดั พาลงไปใตน้ ำ้ ทำให้ถูกฝังอยู่ใต้ชั้นตะกอนดิน
- ส่วนทีอ่ ่อนจะเร่ิมเนา่ เปอ่ื ยแลว้ สลายไปเหลอื เพยี งโครงรา่ งของสตั ว์ ซึ่งเป็นส่วนท่ีมคี วามแขง็ เช่น กระดูก
ฟนั เมอ่ื เวลาผา่ นไปแร่ธาตจุ ะแทรกซึมเข้าไปสะสมในช่องว่างของโครงร่างของสตั ว์
- เมอื่ เวลาผา่ นไปหลายล้านปี ตะกอนดินและโครงรา่ งของสัตวจ์ ะแปรสภาพแล้วกลายเปน็ หิน

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 112

2. การเกดิ ซากดึกดำบรรพ์แบบรอยพิมพ์และแบบรูปหล่อ เช่น ซากดกึ ดำบรรพร์ อยเปลอื กหอย
- สงิ่ มีชวี ิตตายลง สว่ นทแ่ี ข็งของส่ิงมชี วี ติ ถกู ฝังไว้ใต้ตะกอน เช่น โคลน ทราย
- เวลาผา่ นไปสว่ นท่แี ข็งย่อยสลายไปหมดและจะเหลือรอยของส่งิ มชี ีวิตนน้ั

เป็นซากดึกดำบรรพ์แบบรอยพิมพ์
- เม่อื แรต่ ่าง ๆ เช้าไปตกผลึกในรอยพิมพ์จะกลายเป็นซากดกึ ดำบรรพร์ ูปแบบหลอ่

3. การเกิดซากดกึ ดำบรรพแ์ บบรอ่ งรอยกลายเปน็ หิน เชน่ รอยเท้าไดโนเสาร์
- ส่งิ มีชวี ิตทิง้ รอ่ งรอยการเดนิ เล้อื ย ฯลฯ
- เมื่อเวลาผา่ นไปรอ่ งรอยจะถูกฝังไวใ้ ตช้ น้ั ตะกอน และจะกลายสภาพเป็นหินทำให้เกิดเป็นซากดึกดำบรรพ์ขน้ึ

4. การเกิดซากดกึ ดำบรรพ์แบบคาร์บอนฟิล์ม
- สัตวข์ นาดเล็กท่ีมผี ิวหนงั อ่อน ใบไม้ถูกฝงั ไวใ้ ต้ตะกอนเนื้อละเอยี ด
- ความดันทำให้ของเหลวและแกส๊ ท่ีอยู่ในใบไมแ้ ละผวิ หนงั ของสัตวถ์ กู ขับออกจนหมด เหลอื สารจำพวก

คารบ์ อน เหน็ เป็นแผน่ ฟลิ ์มบาง ๆ
5. การเกิดซากดึกดำบรรพ์แบบการคงสภาพ

เกดิ มาจากการถกู คงสภาพจากตวั กลางท่แี ตกต่างกนั เชน่ ชา้ งแมมมอธถกู คงสภาพด้วยน้ำแข็งและสภาพ
อากาศหนาวเย็น แมลงถูกคงสภาพดว้ ยยางไมห้ รืออำพนั จะทำให้ได้ซากดึกดำบรรพ์ทีม่ ีสภาพใกลเ้ คยี งกับสภาพ
เดมิ ของสิ่งมชี ีวิตชนดิ นนั้ มากท่ีสดุ

4.4 ประโยชนข์ องซากดึกดำบรรพ์
1. เปน็ ขอ้ มลู ที่ใช้ในการสนั นิษฐานถิ่นกำเนิดและววิ ฒั นาการของสิ่งมีชวี ิต
2. ใชซ้ ากดึกดำบรรพ์ระบุอายุของหินในบรเิ วณท่ีพบซากดกึ ดำบรรพน์ ั้น ๆ
3. เปน็ ตวั ชว่ ยเพือ่ คาดคะเนว่า บรเิ วณนนั้ อาจจะมีแหลง่ แร่ แหล่งถ่านหิน หรอื แหลง่ นำ้ มัน
4. เปน็ หลักฐานหนงึ่ เพื่อช่วยบอกถงึ สภาพแวดล้อมและสภาพภูมอิ ากาศในอดีต ขณะเกิดสิง่ มีชีวิตชนิด ๆ น้ัน เชน่
หากพบซากดึกดำบรรพ์ของหอยน้ำจดื สภาพแวดล้อมบรเิ วณนั้นอาจเคยเปน็ แหลง่ นำ้ จืด หากพบซากดึกดำบรรพ์
ของพืช สภาพแวดลอ้ มบรเิ วณน้นั อาจเคยเปน็ ปา่

4.5 ซากดกึ ดำบรรพ์ทีค่ ้นพบในประเทศไทย
1. ซากดกึ ดำบรรพ์ไดโนเสาร์ มีการคน้ พบทแี่ รกที่อำเภอภูเวียง จังหวดั ขอนแกน่ มชี ่ือว่า ภูเวียงโกซอรัส

สริ ินธรเน (Phuwiangosaurus sirindhornae) เปน็ ไดโนเสาร์กินพืช เดิน 4 เทา้ มีคอและหางยาว และยงั ค้นพบ
ซากดึกดำบรรพ์ของภูเวยี งโกซอรสั สริ ินธรเน ในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือเพ่ิม เช่น ท่ีภูกุ้มขา้ ว อำเภอสหัสขันธ์
จงั หวัดกาฬสินธ์ุ ปจั จุบนั ต้องเป็นศูนยศ์ กึ ษาวิจยั และพิพธิ ภัณฑไ์ ดโนเสารภ์ กู ้มุ ขา้ ว หรอื พิพิธภัณฑ์สริ นิ ธร

2. ซากดึกดำบรรพ์หอยขม ค้นพบท่ีอำเภอแมเ่ มาะ จงั หวัดลำปาง โดยพบซากซากดึกดำบรรพ์หอยขมนำ้
จืดแทรกอยรู่ ะหว่างชนั้ ถ่านหิน หอยขมชนิดน้ีอาศัยอย่บู ริเวณดินโคลน และจะกนิ สาหรา่ ย ตะไคร่น้ำ จอกแหน แพลงก์
ตอน หรือสตั วน์ ำ้ ทีม่ ีขนาดเล็กเป็นอาหาร

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 113

3. ไมก้ ลายเปน็ หนิ ค้นพบได้มากในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือและภาคเหนอื ของประเทศ ส่วนภาคอน่ื พบ
บ้างเล็กนอ้ ย ไม้กลายเปน็ หนิ ทคี่ าดวา่ มีความยาวท่ีสดุ ในโลกค้นพบทต่ี ำบลตากออก อำเภอบ้านตาก จังหวดั ตาก

4. ซากดกึ ดำบรรพ์ฟนั กรามของชา้ งสเตโกดอน คน้ พบในถ้ำวงั กลว้ ยทีบ่ ้านคีรวี ง หมู่ที่ 7 ตำบลท่งุ หวา้
อำเภอทุ่งหวา้ จงั หวัดสตูล จากการตรวจสอบพอว่าเปน็ ซากกระดูกขากรรไกรและฟนั กรามซีท่ ่ี 2 และ 3 ด้านลา่ ง
ขวาของช้างดกึ ดำบรรพ์สกุลสเตโกดอน มลี กั ษณะเปน็ สนี ้ำตาลไหมใ้ นปัจจบุ ันซากดึกดำบรรพฟ์ ันกรามของ
ช้างสเตโกดอนมีการถูกนำมาจัดแสดงไว้ในศนู ยว์ ฒั นธรรมเฉลิมราช พพิ ิธภัณฑช์ ้างดกึ ดำบรรพท์ งุ่ หวา้

5. สสุ านหอยแหลมโพธิ์ ถกู ค้นพบบริเวณชายฝ่ังทะเลบา้ นแหลมโพธ์ิตำบล ไสไทย อำเภอเมืองกระบ่ี
จงั หวดั กระบ่ี สสุ านหอยมลี ักษณะเป็นแผน่ หินปูนหนามเี ปลือกของหายขมนำ้ จืดวางทับกนั โดยมีนำ้ ปูนเป็นตัว
ประสานให้ติดกันเปน็ แผน่

6. รอยเท้าไดโนเสารก์ ินเนื้อขนาดใหญ่ คน้ พบทบ่ี ริเวณเขตวนอทุ ยานภแู ฝก ตำบลภแู ล่นช้าง อำเภอนาคู
จังหวัดกาฬสนิ ธุ์ ส่วนรอยเท้าของไดโนเสารท์ ่เี ดิน 2 ขา ค้นพบท่ีเขตรกั ษาพันธส์ุ ตั วป์ ่าภูหลวง อำเภอภูหลวง จงั หวดั เลย

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 114

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 115

วิทยาศาสตร์ โลก และอวกาศ

ว 3.2 โลกและการเปล่ยี นแปลง

เข้าใจองค์ประกอบและความสมั พันธข์ องระบบโลก กระบวนการเปลย่ี นแปลงภายในโลกและบนผิวโลก ธรณพี ิบตั ิภยั กระบวนการ
เปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมอิ ากาศโลก รวมทัง้ ผลตอ่ สงิ่ มชี ีวิตและสิ่งแวดล้อม

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

น้ำ

โลกปกคลุมดว้ ยนำ้ รอ้ ยละ 70 ของพ้ืนท่ีท้งั หมด นำ้ บนโลกเปน็ นำ้ เคม็ ร้อยละ 97.5 ของปริมาณน้ำท้งั หมด

น้ำจดื

ร้อยละ 2.5

นำ้ พ้ืนดนิ

รอ้ ยละ 70 รอ้ ยละ 30

น้ำเคม็

รอ้ ยละ 97.5

แหลง่ น้ำ ปรมิ าณนำ้ ทั้งหมด (ร้อยละ)
แหลง่ น้ำเคม็ เชน่ มหาสมทุ รและทะเล 97.5
แหลง่ นำ้ จดื 2.5
1. แหลง่ น้ำจดื ท่ีไมส่ ามารถนำนำ้ มาใชไ้ ด้ 1.75

1.1 ธารน้ำแขง็ และพืดน้ำแขง็ 0.74
1.2 ชนั้ ดนิ เยอื กแขง็ คงตัว 0.01
1.3 นำ้ แขง็ ใตด้ ิน 100
1.4 ความช้ืนในดิน
1.5 ความชน้ื ในบรรยากาศ
1.6 น้ำในส่งิ มีชวี ติ
2. แหล่งน้ำจดื ท่ีสามารถนำน้ำมาใชไ้ ด้
2.1 แหลง่ นำ้ จดื ท่ีไมส่ ามารถนำนำ้ มาใช้ได้ทันที เชน่ น้ำใตด้ ิน
2.2 แหลง่ นำ้ จืดที่สามารถนำนำ้ มาใชไ้ ด้ทันที เชน่ ทะเลสาบ บงึ แมน่ ้ำ

รวมน้ำจากทุกแหล่งบนโลก

เรยี งลำดับปริมาณนำ้ จืดจากมากไปนอ้ ย

1. ธารนำ้ แข็งและพดื น้ำแข็ง 2. นำ้ ใตด้ ิน 3. ชนั้ ดนิ เยือกแข็งคงตัวและน้ำแข็งใต้ดนิ

4. ทะเลสาบ 5. ความช้ืนในดนิ 6. ความชืน้ ในบรรยากาศ

7. บงึ 8. แม่น้ำ 9. น้ำในส่ิงมชี ีวิต

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 116

ตัวอย่าง การอนรุ กั ษน์ ้ำ

1. พัฒนาแหลง่ นำ้ การขดุ ลอกคลองท่ตี นื้ เขินให้รับนำ้ ไดม้ ากข้นึ การสรา้ งฝาย การสรา้ งอ่างเก็บนำ้

2. ปลูกปา่ การปลูกป่าในบรเิ วณพื้นท่ีต้นน้ำ หรือ ภูเขา เพื่อให้ตน้ ไมเ้ ป็นตัวกักเก็บน้ำตามธรรมชาติ

3. ปอ้ งกันมลพษิ ของน้ำ โดยการไม่ท้ิงขยะและสารพษิ ลงในแหลง่ นำ้ หรอื พนื้ ดนิ ที่อยู่ใกลแ้ หลง่ นำ้

วัฏจักรนำ้

1. น้ำจากแหลง่ น้ำตา่ ง ๆ เมื่อไดร้ ับ
ความรอ้ นจากแสงอาทติ ยจ์ ะระเหยกลายเปน็
ไอลอยขึ้นไปในอากาศ
2. เม่ือไอน้ำในอากาศกระทบกับความ
เย็นในอากาศ จะควบแนน่ เป็นละอองนำ้
เลก็ ๆ แล้วละอองน้ำจะรวมตัวกนั จนเป็นกอ้ นเมฆ
3. เม่ือละอองน้ำในเมฆมมี ากจนอากาศ
ไมส่ ามารถพยงุ ไวไ้ ด้ จงึ ตกลงมาเป็นฝน
4. ฝนที่ตกลงมาจะไหลลงสแู่ หล่งน้ำ
ตามธรรมชาติ

ลม ฟา้ อากาศ

1. บรรยากาศ - เป็นอากาศที่ห่อหุ้มโลก มีขอบเขตสงู ขน้ึ ไปจากระดับน้ำทะเล 1,000 กโิ ลเมตร

- สงู ข้นึ ไปความหนาแนน่ ของอากาศจะลดต่ำลง

- ช่วยปรบั อณุ หภมู ิของโลกไม่ให้ต่ำหรอื สงู จนเกนิ ไป

- ถา้ ไมม่ บี รรยากาศ อณุ หภูมิกลางวันจะเปน็ 110C และกลางคนื จะเปน็ -180C
- กนั้ แสงจากดวงอาทติ ย์ไมใ่ ห้ร้อนจนเกนิ ไป และไม่หนาวจัดในเวลากลางคนื

- ป้องกนั อนั ตรายจากรงั สีและอนภุ าคต่าง ๆ ท่มี าจากนอกโลก

2. อากาศ เปน็ สารละลายประกอบด้วย

1. แกส๊ ไนโตรเจน 78 %

2. แกส๊ ออกซเิ จน 21 %

3. แก๊สอาร์กอน 1%

4. แกส๊ อืน่ ๆ

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 117

3. ช้ันบรรยากาศ เรียงลำดับจากใกล้พน้ื โลกสูงขนึ้ ไป ได้ดงั น้ี

ช้ันบรรยากาศ ความสูง ความสัมพนั ธ์กับอุณหภูมิ สมบตั ิ

- มีสิ่งมีชวี ิตอาศยั อยู่

1. โทรโพสเฟยี ร์ 0 – 10 กิโลเมตร สงู ข้ึนไปอณุ หภูมิลดลง - เกดิ ปรากฏการณ์ทางอุตุนิยมวิทยา

ลม เมฆ ฝน พายุ ฟ้งรอ้ ง ฟ้าแลบ

2. สตราโทสเฟยี ร์ 10 – 50 กิโลเมตร สงู ข้นึ ไปอุณหภมู ิเพิม่ ขึน้ - มแี ก๊สโอโซน
(โอโซโนสเฟียร)์ - เครือ่ งบิน บนิ ในช้นั น้ี(บินเหนือเมฆ)

3. มีโซสเฟยี ร์ 50 – 80 กโิ ลเมตร สูงขน้ึ ไปอณุ หภมู ิลดลง - ทำให้อุกกาบาตมีขนาดเล็กลง
4. เทอร์โมสเฟียร์ 80 – 600 กโิ ลเมตร สูงขน้ึ ไปอณุ หภูมเิ พ่ิมขน้ึ - มีการแตกตวั เป็นไอออน
- สะทอ้ นคลื่นวทิ ยุ
(ไอโอโนสเฟียร)์

5. เอกโซสเฟียร์ 600 กิโลเมตรขึน้ ไป - - ถดั จากชัน้ น้จี ะเปน็ ช้นั อวกาศ

4. เมฆ ความหมาย
คำสำคัญ - ไอน้ำในอากาศเกิดการควบแนน่ เป็นละอองนำ้ เล็ก ๆ ลอยอยู่ในระดับตำ่
- ไอนำ้ ในอากาศเกิดการควบแน่นเป็นละอองนำ้ เล็ก ๆ ลอยอยใู่ นระดับสูง
1. หมอก - ละอองน้ำในเมฆกระทบความเยน็ กลายเป็นหยดนำ้ ตกลงมาในสถานะของเหลว
2. เมฆ - ไอนำ้ ระเหิดกลับเป็นผลกึ นำ้ แขง็ ที่อณุ หภมู ติ ำ่ กว่า 0C และตกลงมาบนพน้ื โลก
3. ฝน - หยดนำ้ หรือผลึกน้ำแขง็ ในเมฆท่ถี ูกพัดวงข้ึนลงและเกิดการพอกตวั ของน้ำแขง็ เปน็ ชน้ั ๆ
4. หิมะ ตกมาเป็นของแขง็
5. ลกู เห็บ - ไอนำ้ ที่ควบแนน่ เปน็ หยดน้ำเกาะอยบู่ นวตั ถุใกลพ้ ืน้ โลก
- นำ้ ค้างท่ีอุณหภูมิตำ่ กวา่ 0C เปล่ยี นจากของเหลวเป็นของแข็ง
6. นำ้ คา้ ง - ภาคเหนอื เรยี ก น้ำคา้ งแขง็ บนยอดดอย เช่นดอยอนิ ทนนท์ ว่า เหมยขาบ
6.1 น้ำคา้ งแขง็ - ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (อีสาน)เรียก นำ้ ค้างแขง็ บนยอดภู เชน่ ภกู ระดึง ภูเรอื ว่าแม่คะนิง้
1. เหมยขาบ เป็นนำ้ ในสถานะตา่ ง ๆ ทตี่ กจากเมฆมาถงึ พ้ืน เชน่ ฝน หิมะ ลกู เหบ็
2. แมค่ ะนง้ิ แสดงวา่ เมฆ หมอก นำ้ ค้าง ไม่ใชห่ ยาดน้ำฟา้ เพราะไม่ได้ตกลงมา

หยาดนำ้ ฟา้

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 118

4.1 แบง่ เมฆตามรูปรา่ ง
1. ควิ มลู สั - ส่วนฐานแบน สว่ นบนนนู แนน่ เปน็ กอ้ น คล้ายดอกกะหล่ำ เมือ่ แสงกระทบส่วนบนสี
ขาว ส่วนลา่ งสเี ข้ม อาจกอ่ ใหเ้ กิดฝน
2. สเตรตสั - มีสีเทา เปน็ แผ่น อาจพบอยู่เป็นหยอ่ ม อาจก่อใหเ้ กดิ ฝน
3. เซอรร์ สั - เป็นร้วิ คล้ายขนนก

4.2 แบง่ เมฆตามระดับสูงตำ่

1. เมฆระดับสงู

1. เซอร์รสั - เบา เป็นร้วิ ๆ ดูคลา้ ยขนนกสีขาว ประกอบด้วยผลึกน้ำแข็ง

2. เซอรโ์ รคิวมลู สั - เปน็ ชั้นบางคล้ายปยุ ฝา้ ย ไม่มีเงาเมฆ ประกอบด้วยผลึกน้ำแข็งหรอื หยดนำ้ ที่เย็นจดั

3. เซอร์โรสเตรตสั - เปน็ ช้ันบางเกือบโปรง่ ใสหรือสีขาว ปกคลมุ ท้องฟา้ เปน็ บริเวณกว้าง

ทำใหเ้ กิดอาทติ ย์ทางกลด

2. เมฆระดบั กลาง - คล้ายม่านสฟี า้ /เทา ปกคลุมท้องฟ้าเปน็ บริเวณกว้างแต่แสงลอดมาได้
1. อลั โตสเตรตสั ไม่ทำให้เกิดอาทติ ย์ทางกลด
- คลา้ ยคล่ืนในทะเล มสี ีขาว/เทา และทำให้เกิดเงา ประกอบด้วยหยดนำ้
2. อลั โตควิ มูลัส หรอื ผลึกนำ้ แขง็

3. เมฆระดับตำ่ - มีสเี ทา เป็นแผน่ อาจพบอยู่เปน็ หย่อม อาจก่อให้เกดิ ฝน
1. สเตรตัส - มสี ีขาว/เทา สว่ นฐานค่อนข้างกลม ส่วนบนค่อนข้างแบน
2. สเตรโตควิ มลู ัส - สเี ข้ม/เทา บดบงั แสงอาทิตย์ มีขนาดใหญ่ มีฝนตกต่อเนอ่ื ง
3. นมิ โบสเตรตัส - ส่วนฐานแบน ส่วนบนนูนแน่น เปน็ กอ้ น คลา้ ยดอกกะหลำ่ เม่ือแสงกระทบ
4. ควิ มูลัส ส่วนบนสีขาว สว่ นล่างสเี ขม้ อาจก่อให้เกดิ ฝน
- มีขนาดใหญ่แน่น ผิวราบ สว่ นบนสูงใหญ่ คล้ายภเู ขาไฟขนาดใหญ่ ทำใหเ้ กดิ
5. ควิ มโู ลนมิ บัส ฟา้ แลบ ฟ้าร้อง บางคร้ังอาจกอ่ ใหเ้ กดิ พายทุ อร์นาโด

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 119

*** เมฆนมิ โบสเตรตสั - ทำใหฝ้ นตกพรำ ๆ ต่อเนื่อง ตกไม่หนัก
*** เมฆคิวมโู ลนิมบสั - ทำให้ฝนตกหนัก ในเวลาไม่นานนกั (ก่อตวั ในแนวตั้ง)

5. ความชนื้ และความกดอากาศ
5.1 การวดั ปรมิ าณน้ำฝน
การวัดปริมาณน้ำฝนทำไดโ้ ดยใชเ้ คร่ืองมือวัดทเ่ี รยี กว่า เคร่ืองวดั น้ำฝน ซง่ึ มีหลายชนดิ ไดแ้ ก่
1. เครอ่ื งวดั น้ำฝนแบบธรรมดาหรือแบบแก้วตวง เปน็ รูปกระบอกโลหะทสี่ ว่ นหน่ึงของกระบอกจะฝงั อยู่

ในพ้นื ดิน โดยฝงั ในท่โี ล่งหา่ งจากตวั ตกึ และตน้ ไม้ ภายในจะมีกระบอกซึง่ เปน็ ภาชนะรปู กระบอกอีกอนั หนึ่ง และ
กรวยรับนำ้ ฝนท่ีมขี วดรองรับอยู่ การวัดปรมิ าณนำ้ ฝนจะวัดจากความสงู ของน้ำฝนทเี่ กบ็ จากจุดนนั้ ๆ แล้วนำมาเท
ใสก่ ระบอกตวง ปรมิ าณน้ำฝนที่เกบ็ ไดจ้ ะวัดหน่วยเป็นมลิ ลเิ มตร

2. เครอ่ื งวัดนำ้ ฝนแบบบันทึก สามารถวดั ปรมิ าณน้ำฝนได้แบบอัตโนมตั ิ และสามารถบันทึกปริมาณ
น้ำฝนได้ตลอด 24 ช่ัวโมง หรือตลอดสปั ดาห์

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 120

5.2 ความชื้นของอากาศ
- ปรมิ าณไอนำ้ ในอากาศทเี่ กิดขน้ึ จากการระเหยของน้ำทพี่ ้ืนผวิ โลก
- ถ้าไอน้ำในอากาศมคี ่าน้อยกวา่ ไอนำ้ สูงสุดที่อากาศจะรับไวไ้ ด้ในขณะนั้น เรียกวา่ อากาศไม่อิ่มตัว
- อากาศทม่ี ีไอน้ำอยู่ในปริมาณสงู ไมส่ ามารถรบั ไว้ได้อีกเรียกวา่ อากาศอิ่มตัว
- อากาศมีความชน้ื สงู หมายความวา่ อากาศมีไอน้ำอยู่เปน็ ปรมิ าณมาก
- อากาศมคี วามชน้ื ตำ่ หมายความวา่ อากาศมีไอนำ้ อย่เู ป็นปริมาณน้อย
ความช้ืนของอากาศมีความหมายใน 2 ลกั ษณะ คอื
1. ความชน้ื สัมบรู ณ์ (absolute humidity) หมายถึง อตั ราสว่ นระหว่างมวลของไอน้ำใน

อากาศกบั ปริมาตรของอากาศ ณ อุณหภูมิเดยี วกนั มหี น่วยวดั เป็นกิโลกรมั ของไอนำ้ ในอากาศต่ออากาศ 1
ลูกบาศกเ์ มตร หรืออาจใชห้ น่วยวดั เปน็ กรมั ตอ่ ลูกบาศก์เมตร โดยใชส้ ูตร

ความชนื้ สัมบรู ณ์ (H) = มวลของไอน้ำในอากาศ (M) (กโิ ลกรมั )
ปรมิ าตรของอากาศ ณ อณุ หภูมิเดียวกนั (V) (ลูกบาศกเ์ มตร)

2. ความชืน้ สัมพัทธ์ (relative humidity) หมายถึง สัดส่วนของปริมาณไอน้ำที่มอี ยจู่ รงิ ใน

อากาศขณะน้ันต่อปริมาณไอนำ้ อ่มิ ตัว (ปริมาณไอน้ำสูงสุดทอ่ี ากาศจะสามารถรบั ไว้ได้) ท่อี ุณหภูมิและปริมาตรของ

อากาศเดยี วกัน โดยทวั่ ไปนยิ มแสดงคา่ ของความชน้ื สมั พัทธเ์ ปน็ ร้อยละหรือเปอร์เซน็ ต์

ความช้ืนสัมพทั ธ์ = มวลของไอน้ำท่ีมอี ยู่จริง x 100
มวลของไอนำ้ ในอากาศอ่มิ ตัว

การวดั ความชื้นในอากาศ
เคร่อื งมือท่ีใช้วดั ความชนื้ ในอากาศมีดงั น้ี
1. ไฮโกรมิเตอร์แบบกระเปาะเปียกและกระเปาะแห้ง (wet-dry hygrometer) เป็นเคร่ืองมือวดั
ความชืน้ ทอี่ าศัยหลักการระเหยของนำ้ ลักษณะโดยท่วั ไปประกอบดว้ ยเทอร์มอมเิ ตอร์ 2 อนั กระเปาะของเทอรม์ อ
มิเตอร์อนั หน่งึ จะถกู หุ้มดว้ ยวสั ดุทส่ี ามารถดูดความชน้ื ได้ เรียกวา่ กระเปาะเปยี ก สว่ นเทอร์มอมิเตอร์อีกอนั หน่งึ จะ
ไม่มีอะไรหุ้มกระเปาะเอาไว้ เรียกว่า กระเปาะแห้ง

2. เครอ่ื งมือวัดความช้นื แบบเส้นผมหรือแฮรไ์ ฮโกรมิเตอร์ (hair-hygrometer) เปน็ เครอ่ื งมือวัด
ความช้นื ทอี่ าศยั หลกั การเปล่ียนแปลงขนาดของวัสดุเมื่อได้รบั ความช้นื เม่อื ความชน้ื ในอากาศเพ่มิ ขน้ึ

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 121

5.3 ความกดอากาศ
คอื ค่าแรงดนั ของอากาศต่อหน่งึ หน่วยพ้ืนท่ีทีร่ องรบั แรงดนั น้ัน หรืออัตราสว่ นของแรงดนั ตอ่ หนว่ ยพื้นทตี่ ั้ง

ฉากทีแ่ รงดนั น้ันกระทำต่อบริเวณใด ๆ
นกั วทิ ยาศาสตร์ใช้ปรอทซึ่งเป็นของเหลวท่มี ีความหนาแนน่ มากกวา่ น้ำ 13.6 เทา่ ท่รี ะดับน้ำทะเลแทน

โดยอากาศดันปรอทใหข้ ึ้นไปสูง 76 เซนติเมตร หรือ 760 มลิ ลิเมตร และเรียกความกดอากาศทีส่ ามารถดันปรอท
ใหข้ นึ้ ไปสูง 760 มลิ ลิเมตรว่าเปน็ ความดัน 1 บรรยากาศ หรือมีคา่ เท่ากบั แรงดนั ประมาณหน่ึงแสนนวิ ตนั /ตาราง
เมตร ซ่งึ ความกดอากาศ ณ ระดบั ความสงู ต่าง ๆ มคี ่าตา่ งกัน

เม่อื ความสงู เพิ่มข้ึน ความกดอากาศจะมคี ่าลดลง และเมื่อความสงู เพม่ิ ข้นึ อุณหภูมิของอากาศจะค่อยๆ
ลดลง ดงั นนั้ กล่าวไดว้ า่ เมอ่ื ความสูงเพ่ิมขนึ้ อุณหภูมแิ ละความกดอากาศจะมีค่าลดลง

สรปุ ความสมั พันธ์ระหวา่ งอุณหภูมิของอากาศ ความช้นื และความกดอากาศไดด้ ังน้ี
1. สภาพอากาศทมี่ ีอุณหภูมสิ ูง อากาศจะขยายตัว ความกดอากาศจะต่ำ และอากาศจะมีน้ำหนักเบา
ส่วนสภาพอากาศทีม่ ีอณุ หภมู ิตำ่ อากาศจะหดตวั ความกดอากาศจะสูง และอากาศจะมีนำ้ หนักมาก
2. ทอ่ี ณุ หภมู สิ งู อากาศจะสามารถรบั ไอนำ้ ไว้ไดม้ าก ทำให้อากาศมคี วามช้นื อากาศชน้ื จะเบากวา่ อากาศแหง้
เพราะไอน้ำเบากว่าอากาศ อากาศท่ีเบากวา่ จะมคี วามกดอากาศต่ำ ดังนนั้ อากาศช้ืนจงึ มคี วามกดอากาศต่ำกว่า
อากาศแหง้

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 122

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 123

วทิ ยาศาสตร์ โลก และอวกาศ

ว 3.2 โลกและการเปล่ียนแปลง

เขา้ ใจองค์ประกอบและความสัมพนั ธข์ องระบบโลก กระบวนการเปลยี่ นแปลงภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพบิ ัตภิ ยั กระบวนการ
เปลี่ยนแปลงลมฟา้ อากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้ง ผลตอ่ สิง่ มีชวี ิตและสงิ่ แวดล้อม

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

ลม

1. ลม - เกิดจากความแตกต่างระหว่างความกดอากาศ
- บริเวณทีร่ อ้ นอากาศจะลอยตัวสูงข้นึ ความกดอากาศจงึ ต่ำลง
- บรเิ วณท่เี ยน็ อากาศจะจมลง ความกดอากาศจงึ สงู ข้นึ
- เกิดการไหลของอากาศจากความกดอากาศสงู ไปตำ่ หรือจากอากาศเย็นไปอากาศรอ้ น น่ันเอง
- พายุ เกดิ จาก พนื้ ที่ 2 บริเวณมอี ุณหภูมติ า่ งกันมากอากาศก็ย่ิงเคล่ือนท่เี ร็วข้นึ จึงเกดิ เป็นลมทีพ่ ัดแรงขึ้น

2. ชนิดของลม
2.1 ลมประจำปี (ลมประจำภูมิภาค)
- เกดิ ขนึ้ ตลอดปี
- บริเวณซีกโลกใต้มลี มพดั จากทศิ ตะวนั ออกเฉยี งใต้ไปยงั ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เรยี กว่า ลมสินคา้

2.2 ลมประจำฤดู
1. ลมมรสุมตะวันตกเฉยี งใต้ (ลมมรสุมฤดรู ้อน)

เปน็ ชว่ งทโี่ ลกจะเอียงขัว้ โลกเหนือเขา้ หาดวงอาทิตย์ ทำให้อากาศเหนือพ้ืนทวีปทางซีกโลกเหนอื มี
อุณหภูมิสงู กว่าอุณหภูมิของอากาศเหนือพน้ื มหาสมุทรทางซีกโลกใต้ พดั จากทะเลอนั ดามนั ทำใหฝ้ นตกชกุ
2. ลมมรสมุ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ (ลมมรสมุ ฤดูหนาว)

เป็นชว่ งทีโ่ ลกจะเอียงขวั้ โลกเหนอื ออกจากดวงอาทติ ย์ ทำให้อากาศเหนอื พ้ืนทวีปทางซกี โลกเหนอื มี
อณุ หภูมิตำ่ กว่าอุณหภูมขิ องอากาศเหนือพืน้ มหาสมุทรทางซีกโลกใต้ พดั จากประเทศจีนและไซบีเรีย ทำให้
หนาวเย็นและแหง้ แล้ง

- บ๊วยและกะหล่ำปลีแดง ท่ีปลูกทด่ี อยอา่ งขาง จงั หวดั เชยี งใหม่ จะติดผลหรือเจรญิ เตบิ โตได้ดี
ในช่วงอุณหภูมิ 13 – 20 องศาเซลเซยี ส อาศัยลมมรสมุ ตะวันออกเฉียงเหนือ

- การเกิดนำ้ ท่วมฉับพลันและน้ำปา่ ไหลหลาก เปน็ ผลมาจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
- การกัดเซาะชายฝง่ั เกดิ จากท้งั ลมมรสมุ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 124

2.3 ลมประจำถิ่น (ประจำเวลา)

ชนดิ ลม เวลาเกดิ อุณหภมู ิ ทิศทางลม
พัดจากทะเลสู่บก(ฝง่ั )
1. ลมทะเล เกิด เนื่องจากอากาศเหนือพื้นดินมีอณุ หภมู ิสูงจงึ ลอยตวั สงู ข้ึน
พัดจากบก(ฝ่งั )สู่ทะเล
กลางวนั ส่วนอากาศเหนือพ้นื น้ำมีอณุ หภมู ิตำ่ กว่าจึงเคลื่อนเข้ามาแทนท่ี

2. ลมบก เกดิ เนอื่ งจากอากาศเหนือพ้ืนดนิ มีอุณหภมู ิต่ำจึงเคลื่อนเข้ามาแทนท่ี

กลางคนื สว่ นอากาศเหนือพ้นื น้ำมีอุณหภมู ิสูงกว่าจึงลอยตวั สูงขนึ้

2.4 ลมพายุหมุนเขตร้อน
- เป็นลมพายุหมนุ เวียนเข้าหาศูนย์กลาง ความกดอากาศตำ่ กวา่ บริเวณรอบๆ มาก
- พายุหมุนเขตร้อนในซีกโลกเหนือลมจะพัดเวียนเขา้ หาศูนย์กลางพายุในทศิ ทวนเขม็ นาฬิกา
- พายหุ มุนเขตร้อนในซีกโลกใตล้ มจะพัดเวียนเข้าหาศนู ย์กลางพายุในทิศตามเข็มนาฬิกา

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 125

- พายุไตฝ้ นุ่ –มหาสมุทรแปซิฟกิ เชน่ อา่ วไทย ทะเลจนี ใต้

- พายุเฮอร์ริเคน –มหาสมุทรแอตแลนติก เชน่ อ่าวเมก็ ซโิ ก

- พายุไซโคลน –มหาสมุทรอินเดีย เช่น ทะเลอาหรบั ,อ่าวเบงกอล

- พายุบาเกียว –ประเทศฟิลิปปินส์

- พายวุ ลิ ลี-วิลลี –ประเทศออสเตรเลยี

- พายุทอร์นาโด –สหรฐั อเมริกา

Note !!

ไซโคลน-อินเดีย ออสเตรเลยี -วลิ ลวี ลิ ลี

เฮอร์รเิ คน-เม็กซโิ ก ทอร์นาโด-สหรฐั

บาเกยี ว(พัด)-ฟลิ ิปปินส์ ทะเลจนี ใต้-ไตฝ้ ุ่น

3. เครื่องวัดลม - วัดทิศทางลม เมื่อมีลมมาปะทะ ศรลมจะหันหวั ลูกศรทีม่ ขี นาดเลก็ ช้ไี ปยังทิศทีล่ มพดั มา
1. ศรลม - วดั ความเร็วลม เป็นรูปถว้ ยรบั ลม จำนวนรอบการหมนุ ต่อ 1 หน่วยเวลา คือ อัตราเร็วลมทว่ี ัด
2. แอนมิ อมเิ ตอร์

4. ภยั ธรรมชาติและธรณีพิบัติภัย

ภยั ธรรมชาติและธรณพี บิ ตั ภิ ัย ลกั ษณะ

1. น้ำทว่ มหรอื อุทกภยั - จากน้ำปา่ ไหลหลากและท่วมฉบั พลันหรือจากนำ้ ท่วมขงั และเอ่อลน้

2. ดนิ ถลม่ - การเคลอื่ นที่ของมวลดิน หิน โคลน และเศษต้นไม้ท่ีไหลลงมาตามแนวลาดเอียง
ตามแรงโน้มถ่วงของโลก

3. แผ่นดนิ ไหว - การส่นั สะเทอื นของแผ่นดนิ ท่รี สู้ กึ ได้ ณ บริเวณใดบรเิ วณหน่งึ บนผิวโลก ในพ้นื ท่ี
ท่ีเปน็ รอยเลอ่ื ยหรือรอยตอ่ ระหว่างแผ่นเปลือกโลกโดยไม่มีฤดูกาลที่แน่นอน

4. สึนามิ - คลนื่ ยกั ษ์ขนาดใหญ่ทเ่ี กิดในมหาสมุทรและเคลอื่ นตวั เขา้ สู่ชายฝ่ังโดยมีจุดกำเนิด
อยใู่ นเขตทะเลลึก

5. การกดั เซาะชายฝั่ง - การที่ชายฝั่งทะเลถกู กัดเซาะจากสาเหตุตา่ ง ๆ ทำใหช้ ายฝง่ั ร่นถอยออกไปใน
พ้ืนดนิ

6. ภัยแลง้ - เกิดจากการขาดแคลนนำ้ ในพื้นที่ใดพื้นทหี่ นง่ึ เป็นเวลานานสง่ ผลให้สภาพอากาศ
รอ้ นและแห้งแล้ง ซ่งึ เป็นสาเหตหุ นงึ่ ของการเกดิ ไฟปา่

7. หลุมยุบ - เกิดในพน้ื ทภี่ ูมิประเทศหินปูน โดยไมม่ ีช่วงเวลาการเกิดท่ีแน่นอน

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 126

ความหมาย สาเหตกุ ารเกดิ ผลกระทบ
1. น้ำทว่ ม (flood) หรืออุทกภยั

สง่ ผลใหพ้ ้นื ท่ีทางการเกษตรและการปศสุ ตั ว์

ปรากฏการณ์ท่ีน้ำไหลทว่ ม ฝนตกหนักและตอ่ เนื่องกนั เป็นเวลานาน แหลง่ นำ้ เกิดความเสยี หาย หน้าดนิ ถกู ชะ
พื้นดนิ หรอื พ้นื ทีแ่ ห้ง ลา้ ง สัตว์ป่าไมม่ ีท่ีอยู่อาศยั และหากมนี ้ำ

ท่วมขงั เปน็ เวลานานอาจก่อใหเ้ กิดโรค

2. ดินถล่ม (landslide)

การเคลือ่ นทขี่ องมวลดิน หนิ เปน็ ผลที่เกดิ ตามมาหลงั จากเกดิ น้ำป่า พืชผลทางการเกษตร ส่ิงปลูกสรา้ งต่าง ๆ
โคลน และเศษตน้ ไม้ที่ไหล ไหลหลาก สึนามิ แผ่นดินไหว ภเู ขาไฟ หน้าดนิ พังทลายจึงทำใหด้ นิ เสอ่ื มสภาพ
ลงมาตามแนวลาดเอียงตาม ระเบิด การตัดไม้ทำลายปา่ การกอ่ สร้าง สัตว์ปา่ ไม่มที ี่อยู่อาศยั รวมทง้ั ปดิ กนั เสน้ ทาง
แรงโน้มถ่วงของโลก หรอื ทำการเกษตรบริเวณเชงิ เขาทีม่ ี การคมนาคมและทางเดนิ ของแหลง่ นำ้
ความลาดชนั

3. แผน่ ดนิ ไหว (earthquake)

การสนั่ สะเทือนของแผน่ ดิน การเคลือ่ นทขี่ องแผ่นเปลือกโลกที่อาจ พนื้ ดนิ แยกหรือเกดิ การส่นั ไหว ภเู ขาไฟ
ท่รี ูส้ กึ ได้ ณ บรเิ วณใด เกดิ จากการคดโคง้ โกง่ ตวั อยา่ งฉับพลัน ระเบิด ดนิ ถล่ม สนึ ามิ เส้นทางการคมนาคม
บริเวณหนึ่งบนผิวโลก หรือสง่ิ ปลูกสร้าง เกิดความเสียหาย

4. สนิ ามิ (tsunami)

คลืน่ ยกั ษข์ นาดใหญ่ท่ีเกิดใน แผน่ ดินไหวท่มี ีจดุ ศูนยเ์ กิดแผ่นดินไหว สง่ ผลใหท้ ั้งส่ิงมีชีวิตและสงิ่ แวดลอ้ มท่ีอยูใ่ น
มหาสมุทรและเคลื่อนตวั เข้า อยใู่ ตท้ ะเลลกึ ทำใหน้ ำ้ ในทะเลและ ทะเลและท่อี ยู่ใกลช้ ายฝ่งั เชน่ มนษุ ยแ์ ละ
ส่ชู ายฝง่ั โดยมจี ุดกำเนิดอยู่ มหาสมทุ รได้รับแรงส่ันสะเทือน สัตว์บาดเจ็บ
ในเขตทะเลลึก

5. การกัดเซาะชายฝง่ั (coastal erosion)

การที่ชายฝงั่ ทะเลถูกกัด การกดั เซาะของคล่ืน ลมมรสุมและพายุ ชายฝั่งเกดิ การสึกกรอ่ นและพังทลาย แนว
เซาะจากสาเหตตุ ่าง ๆ ทำให้ การเกดิ น้ำขน้ึ -นำ้ ลง ชายฝัง่ จึงแคบลงเร่ือย ๆ ทำใหค้ ลืน่ สามารถ
ชายฝั่งร่นถอยออกไปใน การสรา้ งถนนริมชายหาด การสรา้ ง เข้าถงึ ฝ่งั มากขึ้น
พน้ื ดิน ทา่ เรอื การบุกรกุ และทำลายปา่ ชายเลน

5. ปรากฏการณเ์ รือนกระจก (greenhouse effect)
ปรากฏการณ์ที่แก๊สเรือนกระจกดดู ซับรงั สคี วามร้อนจากดวงอาทิตย์ไว้บางส่วนในเวลากลางวนั แล้วคายรังสีความรอ้ น

บางส่วนกลบั มาส่ผู ิวโลกในเวลากลางคืน ทำให้อณุ หภมู ิในบรรยากาศของโลกไมเ่ ปลย่ี นแปลงไปอยา่ งฉบั พลนั
- แก๊สเรอื นกระจก คือ แก๊สในบรรยากาศทีช่ ่วยดดู ซบั และคายรงั สีความร้อนกลับสพู่ ื้นโลก
- แกส๊ เรอื นกระจก ไดแ้ ก่ คลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs) ไฮโดรฟลูออโรคารบ์ อน (HFCs) ไอนำ้ (H2O) โอโซน (O3)
แกส๊ ไนตรสั ออกไซด์ (N2O) มีเทน (CH4) แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2)
- แก๊สทมี่ ีบทบาทสำคญั และมีปรมิ าณมากท่ีสดุ ในอากาศ คือ แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 127

ข้นั ตอนการเกิดปรากฏการณ์เรอื นกระจก

1. รังสจี ากดวงอาทิตย์ผา่ นชน้ั บรรยากาศเข้าสโู่ ลก
2. ชั้นบรรยากาศและเปลือกโลกสะท้อนรงั สีจากดวงอาทติ ยบ์ างส่วนออกไป
3. แก๊สเรือนกระจกดูดซับรังสีความร้อนบางสว่ นไว้ ทำใหเ้ ปลอื กโลกและชัน้ บรรยากาศเหนอื โลกขึน้ ไปมอี ุณหภมู ิสูงข้นึ
4. เมอื่ เปลอื กโลกได้รับความร้อนมากเกิดการปล่อยรงั สีความร้อนออกมามาก เนอ่ื งจากรังสคี วามร้อนไมส่ ามารถ
ผ่านชัน้ บรรยากาศทมี่ ีแกส๊ เรือนกระจกอยู่ได้

กิจกรรม ชนดิ ของแก๊สที่เกดิ ขึน้
1. การเผาป่า ถ่านหนิ นำ้ มนั แก๊ส เชอ้ื เพลิง แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2)
2. การปศสุ ตั ว์ การเผาไหม้เชอ้ื เพลงิ ชีวภาพ
3. เครื่องทำความเย็น โรงงานอตุ สาหกรรม มเี ทน (CH4)
4. การใส่ปุ๋ยไนโตรเจน การเผาไหมเ้ ช้ือเพลิงฟอสซิล คลอโรฟลอู อโรคาร์บอน (CFCs)
5. เครือ่ งปรับอากาศ ตัวทำความเยน็
แกส๊ ไนตรสั ออกไซด์ (N2O)
ไฮโดรฟลูออโรคารบ์ อน (HFCs)

แนวทางการปฏบิ ัตติ นเพอ่ื ลดการกอ่ แกส๊ เรือนกระจก
1. เลือกใช้ยานพาหนะที่ไมต่ ้องใชก้ ารเผาไหม้เช้อื เพลิง เชน่ การใชร้ ถจกั รยาน เพอ่ื ชว่ ยลดการปลอ่ ยแก๊ส
คารบ์ อนไดออกไซด์
2. ไม่เผาปา่ ไมเ่ ผาหญ้าริมถนน เพื่อลดแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์และเป็นการไม่ทำลายแหลง่ กกั เก็บแกส๊
คารบ์ อนไดออกไซด์
3. ช่วยกันปลูกตน้ ไม้ ไมต่ ดั ไม้ทำลายปา่ เพ่ือให้ต้นไมเ้ ป็นแหล่งดูดซบั แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์
4. ลดการใชพ้ ลงั งานไฟฟ้า เช่น ปดิ สวติ ชแ์ ละถอดปลก๊ั ของเครือ่ งใช้ไฟฟ้าหลงั การใช้งาน ปรบั อณุ หภมู ิ
เครอื่ งปรบั อากาศให้มีอุณหภมู ปิ ระมาณ 25 องศาเซลเซียส เพือ่ ลดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
5. ชว่ ยกนั ลดการใชส้ ารเคมใี นการเกษตรต่าง ๆ เพือ่ ลดการปลอ่ ยแกส๊ ไนตรสั ออกไซด์

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 128

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 129

เร่อื งสำคญั ท่ีหลกั สตู รใหมต่ ัดออก

1. ระบบไหลเวียนเลอื ด

ระบบไหลเวียนเลอื ด (Circulatory System) เป็นระบบทเ่ี ลือดทำหน้าท่ลี ำเลียงสารต่างๆ ท่เี ซลล์
ตอ้ งการไปให้เซลล์ และกำจดั สารต่างๆ ทเ่ี ซลล์ไม่ตอ้ งการออกจากรา่ งกาย

เลอื ดจะลำเลยี งสารอาหาร แก๊ส ของเสีย และอื่นๆ โดยเลือดจะไหลเวยี นในรา่ งกายได้ด้วยการทำงานของ
หวั ใจ โดยโครงสร้างสว่ นประกอบและหน้าที่ของอวัยวะของระบบหมนุ เวียนเลอื ด มีดงั น้ี

1. หวั ใจ (Heart) อยู่ระหว่างปอดท้ังสองขา้ ง ค่อนไปทางซา้ ยเล็กน้อย ประกอบด้วยกล้ามเนื้อพิเศษ เรยี กวา่

กลา้ มเน้อื หัวใจ แบง่ ออกเป็นหอ้ งบน 2 ห้อง เรียกวา่ เอเตรียม (Atrium) และห้องลา่ ง 2 หอ้ ง เรยี กว่า เวนตริเคิล
(Ventricle) โดยหัวใจหอ้ งบนจะมขี นาดเลก็ กวา่ หัวใจห้องลา่ ง และระหว่างหัวใจห้องบนและหอ้ งลา่ ง จะมลี ้ินกนั้ อยู่

เพ่อื ป้องกนั ไม่ให้เลือดไหลยอ้ นกลบั ได้แก่ ลน้ิ ไตรคสั พิด ก้นั อยรู่ ะหว่างห้องบนขวาและห้องลา่ งขวา และล้ินไบคัสพิด
กนั้ อยรู่ ะหว่างหอ้ งบนซา้ ยและห้องล่างซ้าย

หนา้ ที่ : สูบฉดี เลอื ดให้ไหลไปตามหลอดเลือดไปยังส่วนตา่ งๆของร่างกายแลว้ ไหลกลบั คืนสหู่ วั ใจ
2. หลอดเลือด (Blood vessel) ทต่ี ิดต่อกับหัวใจ มี 3 ชนดิ ได้แก่ หลอดเลือดอาร์เทอรี (Artery) หลอด

เลือดเวน (Vein) หลอดเลือดฝอย (Capillary)
3. ความดนั เลือด (Blood Pressure) เกดิ ข้ึนเมื่อหวั ใจบีบตวั ดันเลือดไปเล้ยี งส่วนต่างๆ ของรา่ งกายตาม

หลอดเลอื ดอาร์เทอรี และเมอ่ื หัวใจคลายตัว เลือดจะไหลกลับเข้าสหู่ ัวใจทางหลอดเลือดเวน โดยหลอดเลือดที่
เหมาะสมในการวดั ความดันเลือดมากท่สี ดุ คือ หลอดเลือดอาร์เทอรีท่ตี ้นแขน เน่ืองจากเปน็ หลอดเลือดทใ่ี กล้หวั ใจ

คา่ ทไี่ ด้จงึ ใกล้เคยี งกบั ความดันในหวั ใจมากทส่ี ุด แพทย์จะวัดความดันออกเปน็ ตัวเลข 2 คา่ เชน่ คนปกตใิ นวัยหนุ่ม
สาว จะวดั ความดนั เลอื ดอย่ใู นช่วง 110-140 / 65-90 มลิ ลเิ มตรปรอท ซึง่ ตวั เลข 110-140 มิลลิเมตรปรอท คือ ค่า

ความดนั สงู สุดในขณะทีห่ วั ใจบีบตัว เรยี กว่า ความดนั ซิสโทลกิ (Systolic Pressure) และตวั เลข 65-90
มิลลเิ มตรปรอท คอื ค่าความดันต่ำสดุ ขณะทห่ี วั ใจคลายตัว เรยี กวา่ ความดนั ไดแอสโทลกิ (Diastolic Pressure)

ปัจจยั ท่มี ีผลต่อการเปล่ียนแปลงค่าความดันเลอื ดไดแ้ ก่ อายุ เพศ อารมณ์ นำ้ หนกั ตวั อาหารท่รี บั ประทาน
สภาพร่างกาย สภาพภูมิอากาศ และโรคบางชนดิ

4. เลอื ด (Blood) ในร่างกายของคนมีของเหลวประมาณร้อยละ 60-70 ของนำ้ หนกั ตัว โดยจะเปน็ เลือด
ประมาณ ร้อยละ 7 ซงึ่ ประกอบด้วย น้ำเลือด เซลลเ์ มด็ เลือดแดง เซลลเ์ ม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด

4.1 น้ำเลือดหรือพลาสมา (Plasma) เป็นของเหลวใสสเี หลอื งอ่อน ประกอบดว้ ยนำ้ ประมาณ 91%
นอกนนั้ เป็นสารอื่นๆ ได้แก่ สารอาหารต่างๆ เอนไซม์ และแกส๊ นำ้ เลอื ดทำหน้าทล่ี ำเลยี งอาหารไปยงั เซลล์

4.2 เซลลเ์ มด็ เลอื ดแดง(Red Blood Cell) สร้างจากไขกระดูก มีรูปรา่ งค่อนขา้ งกลมแบน เมือ่ เกิดใหม่มี
นิวเคลยี ส แตข่ นาดโตเตม็ ทนี่ ิวเคลยี สจะสลายไปมีรงควัตถุสีแดง เรียกวา่ เฮโมโกลบนิ (Haemogloblin) ทำหนา้ ท่ี
ลำเลยี งแกส๊ ออกซิเจนไปยงั ส่วนต่างๆของร่างกาย ในผชู้ ายจะมมี ากกวา่ ผหู้ ญงิ มีอายุประมาณ 110-120 วัน
หลังจากน้นั จะถูกส่งไปทำลายที่ตบั และม้าม

4.3 เซลลเ์ ม็ดเลือดขาว (White Blood Cell) สรา้ งจากม้าม ไขกระดูก และต่อมน้ำเหลอื ง มรี ูปร่างกลม
สว่ นมากมขี นาดใหญก่ ว่าเซลลเ์ มด็ เลือดแดง แตม่ ีจำนวนน้อยกว่า ไม่มีสี มนี วิ เคลยี ส ทำหนา้ ท่ที ำลายเช้อื โรค มีอายุ
ประมาณ 7-14 วัน

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 130

4.4 เกลด็ เลือดหรอื เพลตเลต (Pletelet) ไม่ใชเ่ ซลล์ แตเ่ ป็นชิ้นส่วนของไซโทพลาสซมึ ของเซลลช์ นดิ หน่ึง
ในไขกระดูกหลุดเปน็ ชนิ้ ชน้ิ จึงมรี ปู รา่ งไม่แนน่ อน ไม่มีสี ไม่มนี ิวเคลยี ส ทำหน้าทีช่ ่วยในกระบวนการแข็งตัวของ
เลอื ด มีอายุประมาณ 10 วนั

หัวใจของสัตว์มีกระดกู สันหลัง แต่ละชนดิ มดี งั น้ี
- ปลา มหี ัวใจ 2 หอ้ ง
- สัตวส์ ะเทินนำ้ สะเทนิ บก มีหัวใจ 3 หอ้ ง
- สัตวเ์ ลอ้ื ยคลาน มหี ัวใจ 4 ห้อง แต่ไมส่ มบูรณ์ ยกเวน้ จระเข้ มีหัวใจ 4 หอ้ งสมบูรณ์
- นกและสตั วเ์ ลีย้ งลกู ดว้ ยนำ้ นม มีหวั ใจ 4 หอ้ งสมบรู ณ์

ระบบไหลเวยี นเลือด มีลำดบั การไหลเวยี นดงั ต่อไปน้ี
1. หลอดเลือดดำนำเลือดมาจากสว่ นตา่ งๆของร่างกาย ซึ่งมีปริมาณแกส๊ คาร์บอนไดออกไซดม์ าก เข้าสู่หวั ใจหอ้ งบน
ขวาผา่ นหลอดเลอื ด 2 หลอด ช่ือว่า ซพู เี รียวนี าคาวา (superior vena cava) มาจากส่วนหัวและแขน และอนิ ฟีเรยี
วนี าคาวา(inferior vena cava) มาจากสว่ นชอ่ งท้องและขา
2. หวั ใจหอ้ งบนขวาบบี ตวั ใหเ้ ลอื ดไหลลงสู่หวั ใจห้องล่างขวา ผ่านลิน้ หัวใจ ชอ่ื ไตรคสั ปิด (tricuspid valve) หัวใจ
หอ้ งล่างขวาบบี ตวั เพ่อื นำเลอื ดไปฟอกที่ปอดผา่ นหลอดเลือดช่อื พัลโมนารีอารเ์ ทอรี (pulmonary artery)
3. ปอดเกดิ การแลกเปลยี่ นแก๊สโดยแกส๊ ออกซเิ จนจากถุงลมปอดซมึ เขา้ สกู่ ระแสเลอื ด และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่
อยใู่ นกระแสเลือดซมึ เข้าสู่ถงุ ลมปอด
4. เลอื ดท่ฟี อกจากปอดแล้ว ซึ่งเปน็ เลอื ดท่ีมแี ก๊สออกซิเจนมาก

4.1 ไหลกลบั เขา้ สู่หวั ใจหอ้ งบนซ้าย ผ่านหลอดเลือดชอื่ วา่ พัลโมนารีเวน pulmonary vein)
4.2 หัวใจห้องบนซ้ายบีบตวั ใหเ้ ลอื ดไหลลงสหู่ วั ใจห้องลา่ งซา้ ย ผ่านลิ้นหัวใจ ช่อื ไบคัสปิด (bicuspid valve)
4.3 หัวใจห้องล่างซ้ายบบี ตัวสูบฉีดเลอื ดที่มแี กส๊ ออกซเิ จนมาก เขา้ สหู่ ลอดเลือดแดงชอื่ เอออร์ตา (aota) ซ่งึ เปน็
หลอดเลือดแดงทม่ี ีขนาดใหญ่ท่สี ุดในรา่ งกายและแตกแขนงเป็นหลอดเลอื ดอาร์เทอรเี พอื่ ไปเล้ียงส่วนต่างๆของรา่ งกาย

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 131

2. ระบบหายใจ

ระบบหายใจ ระบบทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับการสรา้ งและใช้พลังงานให้เปน็ ประโยชน์ การนำแกส๊ ออกซเิ จนและแก๊ส
คารบ์ อนไดออกไซด์ออกจากเลือด ตลอดจนอวัยวะต่างๆ ของการหายใจ

กระบวนการหายใจ (Respiration) คือ กระบวนการทแี่ ก๊สออกซิเจนเขา้ ทำปฏิกิริยากบั สารอาหารที่อยู่
ภายในเซลลแ์ ต่ละเซลล์ ทำให้สารอาหารปลอ่ ยพลงั งาน นำ้ และแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ซึง่ กระบวนการ
หายใจนจ้ี ะเกิดข้ึนตลอดเวลากับเซลลท์ กุ เซลล์

อวยั วะทส่ี ำคัญในระบบหายใจของคน ได้แก่ ปอด ซึ่งเป็นบริเวณทม่ี ีการแลกเปล่ียนแกส๊ ออกซเิ จนกบั แกส๊
คาร์บอนไดออกไซด์
การเคลอื่ นที่ของอากาศเข้าและออกจากปอด

การหายใจเขา้ (Inspiraion) และหายใจออก (Exspiration) เป็นกลไกการเคลื่อนที่ของอากาศเขา้ และออก
จากปอด ไมต่ ้องอาศัยการทำงานของกลา้ มเน้ือ 2 ชนิด คอื กลา้ มเนือ้ กระบังลมและกล้ามเน้อื ยดึ กระดูกซ่ีโครง
หายใจเขา้ และหายใจออกสามารถสรุปเป็นตารางได้ดังนี้

ขณะสดู ลมหายใจ กล้ามเน้ือ กลา้ มเน้ือยึด ปริมาตร ความดัน ผลทเ่ี กิดขน้ึ
1. การหายใจเข้า กระบงั ลม กระดกู ซี่โครง ช่องอก ภายในช่องอก
2. การหายใจออก สง่ กระดูกซโี่ ครง เพม่ิ ขึน้ อากาศจากภายนอก
หดตวั ให้ยกตัวสงู ขนึ้ ลดลง เคล่อื นตัวเข้าสูป่ อด
เลือ่ นต่ำลง สง่ กระดูกซโ่ี ครง ลดลง อากาศจากในปอดถกู
คลายตวั ให้ลดต่ำลง เพ่มิ ข้นึ
ยกสูงขนึ้ ดันสู่ภายนอก

การไอ การจาม การหาว และการสะอึก เก่ยี วข้องกับการหายใจ ดังนี้
1. การไอ การจาม เกดิ จากการหายใจเอาอากาศท่ีไมส่ ะอาดพอเข้าไปในรา่ งกาย รา่ งกายถึงพยายามขบั ส่งิ
แปลกปลอมเหลา่ นน้ั ออกมานอกร่างกาย
2. การหาว เกดิ จากการทีม่ ีแก๊สออกซิเจนในเลือดไม่เพียงพอ หรืออาจเกดิ จากการมปี ริมาณแกส๊
คาร์บอนไดออกไซด์สะสมอยู่ในเลอื ดมากเกินไป จึงต้องขบั ออกจากร่างกาย
3. การสะอึก เกดิ จากกระบังลมหดตวั เป็นจังหวะๆ ขณะหดตวั อากาศจะถูกดนั ผ่านลงสู่ปอดทนั ที ทำให้สายเสยี ง
สน่ั จงึ เกดิ เสียงข้นึ

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 132

3. ระบบขบั ถ่ายของเสยี

ของเสียในรา่ งกายทข่ี ับออกมีสถานะ
- ของแข็ง เชน่ อุจจาระ
- ของเหลว เช่น ปัสสาวะ เหง่อื
- แก๊ส เช่น ลมหายใจ

ปอด - ได้รบั แก๊สคารบ์ อนไดออกไซดท์ ีเ่ ลือดนำมาจากสว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกาย
- กำจดั แกส๊ นี้ออกทางลมหายใจออกของคนเรา

ทวารหนัก - กากอาหารทเี่ หลือจากการย่อยจะผ่านไปยงั ลำไส้ใหญ่
- ซงึ่ จะดูดซมึ น้ำและเกลือแร่ออกจากกากอาหารกลับเขา้ สู่กระแสเลือด
- จากน้ันขบั กากอาหารออกนอกร่างกาย

ผวิ หนงั - จะขบั ของเสยี ในรูปเหง่ือ โดยต่อมเหง่ือสกดั ของเสียท่ปี นอยใู่ นกระแสเลอื ดออกมาในรูปเหง่ือ
- และระบายออกทางรูเหงือ่ ตอ่ มเหงื่อจะสร้างและขับเหงื่ออย่ตู ลอดเวลา
เพื่อควบคุมอุณหภมู ขิ องร่างกายให้เหมาะสม

ไต - จะกรองของเสียจากเลือดออกมาในรปู ของนำ้ ปัสสาวะ และไหลไปรวมกนั ยังกระเพาะปัสสาวะ
เมอ่ื มนี ้ำปัสสาวะสะสมในปริมาณมากพอกจ็ ะขบั ออกนอกร่างกายทางท่อปัสสาวะ

4. ความสมั พันธ์ของระบบตา่ ง ๆ

ระบบย่อยอาหาร ย่อยอาหารและดดู ซึมสารอาหารเขา้ ส่รู ะบบไหลเวียนเลอื ด
เพอื่ นำไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ต้องการแก๊สออกซิเจนจากระบบหายใจ
ระบบหายใจ มาหลอ่ เลี้ยงเซลล์
ระบบไหลเวียนเลือด ทำงานโดยนำแก๊สออกซิเจนจากการหายใจเขา้ สู่ระบบไหลเวียนเลือดตอ้ งการสารอาหาร
จากระบบย่อยอาหารมาหล่อเลยี้ งเซลล์
นำแก๊สออกซิเจนไปเลี้ยงสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายและนำแก๊สคารบ์ อนไดออกไซดเ์ ข้าสู่
ระบบหายใจเพ่อื ขับออกจากร่างกายทางลมหายใจออก ทำงานโดยหวั ใจสูบฉีดเลอื ดเพ่ือ
นำแก๊สออกซิเจน ทไี่ ด้รบั จากระบบหายใจไปยงั ระบบย่อยอาหารและส่วนตา่ ง ๆ

5. แรงพยุงหรือแรงลอยตวั

- แรงท่ีของเหลวพยุงวตั ถุไวเ้ มื่อวตั ถุนนั้ อยู่ในของเหลว

วตั ถลุ อยในของเหลว วตั ถลุ อยปรม่ิ ในของเหลว วตั ถุจมในของเหลว

วัตถมุ ีความหนาแนน่ น้อยกวา่ ของเหลว วตั ถมุ ีความหนาแนน่ เท่ากับของเหลว วตั ถุมคี วามหนาแนน่ มากกวา่ ของเหลว

- หลักการของอาร์คมิ ิดสิ กลา่ ววา่ “วตั ถุใดๆ ท่ีอยใู่ นของเหลวจะถูกแรงพยุงกระทำ โดยแรงนี้จะมคี ่าเทา่ กบั น้ำหนกั
ของของเหลวที่ถูกแทนทดี่ ว้ ยสว่ นทีจ่ มอยู่ในของเหลวนนั้ ๆ”

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 133

หรอื แปลง่ายๆวา่ - เมื่อหย่อนวัตถลุ งในนำ้ ปริมาตรของน้ำสว่ นที่ลน้ ออกมาจะเทา่ กับปรมิ าตรของ
วัตถนุ ั้นท่เี ขา้ ไปแทนทน่ี ้ำ

- แรงพยงุ = นำ้ หนักของวตั ถุทชี่ ง่ั ในอากาศ – น้ำหนักของวตั ถทุ ่ีชั่งในนำ้ = ขนาดนำ้ หนักของของเหลวท่ีถูกวัตถุแทนท่ี

- ชงั่ วตั ถใุ นนำ้ วตั ถุจะมีน้ำหนักลดลง เพราะมีแรงพยงุ

- แรงพยุงของนำ้ มีทศิ ตรงขา้ มกับนำ้ หนักของวัตถุ น่นั คอื มีทศิ ขึน้ น่นั เอง

6. ความดนั ของเหลว

- แรงดันของของเหลวท่ีกระทำตงั้ ฉากต่อหนง่ึ หน่วยพืน้ ที่ท่รี อบรับแรงดนั

- ขึ้นอยกู่ ับ 1. ความลึกของของเหลว ลึกมากความดันมาก

2. ความหนาแน่นของของเหลว หนาแนน่ มากความดันมาก

- แรงดนั น้ำ ยง่ิ ลึกมาก แรงดันมาก ย่ิงพ่งุ ไกล เพราะแรงดันน้ำเพมิ่ ขึ้นตามความลึกหรอื ตามนำ้ หนกั ที่กดทับ

ประโยชนข์ องความดันของเหลว

1. การออกแบบเขื่อน

2. แรงดันน้ำจากเข่ือนไปหมุนเครือ่ งผลติ กระแสไฟฟา้

7. ความดันอากาศ

- แรงทอ่ี ากาศกระทำตอ่ หนึง่ หนว่ ยพ้นื ท่ีที่รอบรับแรงดัน
- แรงที่อากาศกดลงบนผวิ ของวัตถุในทกุ ทศิ ทางทำใหเ้ กดิ แรง เรียกวา่ แรงดนั อากาศ
- แรงดนั อากาศจะมากหรือน้อยขนึ้ อย่กู บั ขนาดพน้ื ท่ี และอุณหภูมิ
เครอ่ื งมือวดั ความดันอากาศ
- เรียกว่า บารอมเิ ตอร์ มี 4 ชนดิ คือ

1. บารอมเิ ตอร์แบบปรอท
2. แอนริ อยด์บารอมิเตอร์
3. บารอกราฟ
4. แอลติมิเตอร์

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 134

ประโยชน์ของความดันอากาศ
1. ทีแ่ ขวนตุก๊ ตาสำหรบั ติดกระจก
2. หลอดดดู น้ำ หลอดฉดี ยา
3. เจาะกระป๋องนม 2 รู
4. เครื่องปั๊มลม เครอื่ งสบู นำ้
5. เครือ่ งบิน เคร่ืองร่อน บอลลนู

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 135

เรือ่ ง ดิน

1. ดนิ - เกิดจากหนิ ทส่ี ึกกร่อนผุพังปะปนกบั ซากพชื ซากสัตว์ทีเ่ นา่ เป่ือยเปน็ เวลานาน
- ปกคลมุ อยเู่ ฉพาะสว่ นบนบริเวณผวิ โลก

2. องคป์ ระกอบของดนิ

2.1 อนินทรียวัตถุ 45 % การสลายตวั ของหนิ และแร่ กลายเปน็ วัตถุต้นกำเนดิ ดิน

2.2 อนิ ทรียวัตถุ 5 % การสะสมเศษก่ิงไม้ ใบไมแ้ ละสตั วท์ ่ีตายทบั ถมกนั บนดิน ทำใหด้ นิ มีสีดำกลายเปน็ ฮิวมัส

2.3 นำ้ 25 % แทรกอยตู่ ามเนื้อดนิ น้ำมีความสำคญั ต่อการงอกและการเจรญิ เตบิ โตของพืช

2.4 อากาศ 25 % แทรกอยตู่ ามเน้ือดิน รากพชื ใชแ้ ก๊สออกซเิ จนท่ีมีอยู่ในดนิ ในการหายใจ

3. ชัน้ ของดิน

ดินชั้นบน ดินช้ันลา่ ง

1. มซี ากพืชซากสัตวป์ นอยู่มาก 1. มกี รวดและหนิ ปนอยมู่ าก

2. มีสีคล้ำ 2. เปน็ ดินเน้ือแข็ง

3. มีประโยชน์ตอ่ การเพาะปลูก 3. แร่ธาตุ สารอาหารนอ้ ย ไม่เหมาะต่อการเพาะปลกู

3.1 ช้ัน O : ชั้นอนิ ทรียวตั ถุ อยบู่ ริเวณผวิ ดิน มกี ารยอ่ ยสลายของซากพืชซากสัตว์
จงึ มีฮวิ มัสอยู่มาก เหมาะแก่การเจรญิ เติบโตของพืช

3.2 ชั้น A : ชนั้ ดนิ แร่ ประกอบดว้ ยสารอินทรยี ์ที่สลายตัวแลว้ ผสมคลกุ เคลา้ กับ
แรธ่ าตทุ อี่ ยใู่ นดิน

3.3 ชั้น B : ชั้นสะสมของแร่ มีการสะสมตะกอนและแรท่ ม่ี ีองค์ประกอบของเหล็ก
อะลูมิเนยี มคารบ์ อเนต และซิลกิ า ทถี่ กู ชะล้างมาจากดินชั้นบน
ทำให้ดนิ มีเน้ือแน่น มีความชน้ื สงู และมีจดุ ประ (mottle) สีสม้ แดง
กระจายอย่ทู ัว่ ไปในชน้ั หนา้ ตดั ดิน ส่วนมากจะเปน็ ดนิ เหนียว

3.4 ชนั้ C : ชั้นการผพุ งั ของหนิ มหี ินผแุ ละเศษหนิ ทเ่ี กิดจากการแตกหักของหินดาน
ซึ่งเป็นหินต้นกำเนดิ ของดิน

3.5 ชั้น R : ชั้นหินดาน เป็นช้ันหินทเ่ี ปน็ วัตถุต้นกำเนิดดนิ ยงั ไมม่ ีการผุสลายตัวเป็นดนิ
4. ชนดิ ของดนิ

ดินแต่ละแห่งจะมลี ักษณะของเนอ้ื ดินแตกต่างกัน เนื่องจากมปี ริมาณของทราย ทรายแป้ง และดนิ เหนยี วท่ี
ผสมกันอย่ใู นดนิ ต่างกัน จำแนกดินได้เปน็ 3 ประเภท คือ

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 136

ชนดิ ส่วนประกอบของดิน (โดยประมาณ) ลักษณะของดิน
ของดนิ ทราย ทรายแปง้ ดินเหนยี ว
ดินทราย 65 % 20 % 15 % เมด็ ดินมขี นาดใหญ่ มีความพรุนมาก
นำ้ ซึมผา่ นงา่ ยและไมอ่ ุ้มน้ำ
ดินเหนยี ว 10 % 45 % 45 %
เนอ้ื แนน่ และละเอยี ด ลน่ื มอื ความพรนุ น้อย
ดินรว่ น 40 % 42 % 18 % น้ำซึมผา่ นได้ยากและอุ้มน้ำได้ดี

เน้ือดนิ มีความพรนุ มาก ค่อนขา้ งโปรง่ น้ำและอากาศไหล
ผา่ นดนิ ได้ดีกว่าดินเหนียว และอุ้มน้ำไดด้ ีกวา่ ดินทราย

ดินท่เี หมาะสมตอ่ การเจรญิ เติบโตของพืชโดยทว่ั ไปควรมีลกั ษณะดงั น้ี
1. เนื้อดิน ควรเป็นดนิ รว่ น
2. โครงสรา้ งของดิน ต้องโปร่งและร่วนซยุ
3. ความเปน็ กรดเปน็ ด่าง ต้องมคี วามเป็นกรดเปน็ ดา่ งท่ีเหมาะสม
4. ความสามารถในการอุ้มน้ำ ตอ้ งเป็นดินที่อุ้มน้ำและระบายอากาศได้ดี
5. ความอดุ มสมบรู ณ์ของดนิ ต้องเปน็ ดนิ ท่มี คี วามอดุ มสมบูรณ์สงู

5. ประโยชนข์ องดิน
1. การเกษตรกรรม
2. การเล้ียงสตั ว์
3. พื้นที่ปา่ ไม้
4. แหลง่ ทอี่ ยูอ่ าศยั
5. อุปกรณเ์ ครอื่ งใช้และการก่อสร้าง

6. การปรับปรงุ ดนิ และการบำรุงรักษาดิน

ปัญหาของดินอาจเกิดจากการตัดไม้ทำลายป่า การใช้ป๋ยุ เคมปี ริมาณมากเกินไป การขุดหน้าดนิ ไป

ขาย รวมทง้ั กระบวนการกดั เซาะและการพงั ทลายของดินที่เกิดจากกระแสลมและกระแสนำ้ ก็เปน็ สาเหตุท่ีทำให้

ความอุดมสมบูรณ์ของดนิ ลดลง

วธิ บี ำรงุ รักษาดิน ผลทีเ่ กดิ ขน้ึ กับดิน

1. การปลกู พืชแบบข้นั บันได - ชะลอการไหลของนำ้ ลดการกร่อนของดนิ ป้องกันการชะล้างพังทลายของ
ดิน และรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินไว้

2. การปลูกพชื คลมุ ดิน - ชว่ ยรักษาความอดุ มสมบรู ณข์ องหน้าดินไว้ไม่ให้ถกู น้ำและลมชะลา้ งและพดั พา

3. การปลกู หญ้าแฝก - ป้องกนั ไม่ให้ถูกนำ้ ชะลา้ งและพงั ทลาย รกั ษาความช่มุ ชนื้ ใหด้ นิ

4. การใสป่ ุ๋ยอนิ ทรีย์และการไถพรวน - เพิ่มแร่ธาตใุ ห้กบั ดิน ช่วยใหด้ ินอดุ มสมบรู ณ์ รว่ นซุย นำ้ และอากาศถา่ ยเทได้
สะดวก

5. การทำทางระบายนำ้ - ช่วยระบายนำ้ สู่แหล่งน้ำไดอ้ ย่างรวดเรว็ ปอ้ งกันการเกดิ ภาวะน้ำขงั จนดินอมุ้
นำ้ ไม่ไหวและเกิดการพงั ทลายของดนิ

6. การปลกู พืชหมุนเวยี นกับพืชตระกูลถว่ั - เพ่มิ แร่ธาตใุ ห้กับดิน ทำใหด้ ินอดุ มสมบรู ณ์

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 137

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 138

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 139

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ว 4.2 การคดิ เชงิ วทิ ยาการคำนวณ

เขา้ ใจและใชแ้ นวคดิ เชิงคำนวณในการแกป้ ัญหาทพ่ี บในชวี ติ จรงิ อย่างเป็นขั้นตอนและเปน็ ระบบใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารในการเรยี นรู้ การทำงาน
และการแก้ปัญหาได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ รเู้ ทา่ ทนั และมจี รยิ ธรรม

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

หนว่ ยที่ 1 เหตุผลเชงิ ตรรกะกบั ขน้ั ตอนวิธกี ารแกไ้ ขปญั หา
1. การแก้ปญั หาดว้ ยเหตุผลเชิงตรรกะ
2. อัลกอรทิ ึม
3. การทำนายผลลัพธ์จากปัญหาอย่างงา่ ย
4. แนวคิดในการแกป้ ญั หา

หนว่ ยท่ี 2 การเขียนโปรแกรมอยา่ งง่ายโดยใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะดว้ ย Scratch
1. โปรแกรม Scratch
2. การเขียนโปรแกรมภาษาคอมพวิ เตอร์ Scratch เบ้ืองตน้
3. การเขียนโปรแกรมโดยใช้ภาษา Scratch
4. การตรวจสอบขอ้ ผดิ พลาดของโปรแกรม

หน่วยท่ี 3 ขอ้ มูลสารสนเทศ
1. รจู้ กั ข้อมูล
2. เรียนร้แู หลง่ ข้อมลู

หน่วยที่ 4 การนำเสนอข้อมูลดว้ ยซอฟตแ์ วร์
1. การนำเสนอข้อมูลโดยใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์
2. การใช้ซอฟต์แวรใ์ นการทำงาน

หนว่ ยที่ 5 ความปลอดภยั ในการใช้งานอนิ เทอร์เนต็ เทคโนโลยสี ารสนเทศ
1. การใช้งานอนิ เทอร์เนต็
2. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในยคุ ดจิ ิทัลอย่างปลอดภยั

อา้ งองิ
ณฐั ภัทร แกว้ รตั นภัทร.์ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ป.4. พมิ พค์ รง้ั ที่ 1 ; กรุงเทพฯ : อกั ษรเจรญิ ทศั น์ , 2561
ณัฐภัทร แก้วรตั นภทั ร.์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ป.5. พิมพ์ครงั้ ท่ี 1 ; กรงุ เทพฯ : อกั ษรเจรญิ ทศั น์ , 2562
ณัฐภทั ร แก้วรตั นภทั ร.์ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ป.6. พิมพ์ครัง้ ที่ 1 ; กรุงเทพฯ : อกั ษรเจริญทัศน์ , 2563
ณัฐริกา ทองสมนึก จริ าณี เมืองจนั ทร์. ชุดแม่บทมาตรฐานเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ป.5. พมิ พค์ รง้ั ที่ 1 ; กรงุ เทพฯ :

อักษรเจรญิ ทศั น์ , 2562
ทมี วชิ าการ อจท. ชุดแมบ่ ทมาตรฐานเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ป.4. พมิ พค์ รงั้ ที่ 1 ; กรุงเทพฯ : อกั ษรเจรญิ ทัศน์ , 2561
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี เทคโนโลยี ป.4. พิมพค์ ร้ังที่ 5 ; กรุงเทพฯ : องคก์ ารค้า สกสค , 2563
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. เทคโนโลยี ป.5. พิมพ์ครั้งที่ 5 ; กรงุ เทพฯ : องคก์ ารคา้ สกสค , 2563
สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. เทคโนโลยี ป.6. พิมพ์ครง้ั ที่ 1 ; กรงุ เทพฯ : องค์การค้า สกสค , 2563
เอกพศิ ษิ ฎ์ อุตรา. ชดุ แม่บทมาตรฐานเทคโนโลยี (วทิ ยาการคำนวณ) ป.6. พมิ พค์ รั้งที่ 1 ; กรงุ เทพฯ : อักษรเจรญิ ทศั น์ , 2563

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 140

หนว่ ยที่ 1
เหตผุ ลเชิงตรรกะกับขน้ั ตอนวิธีการแก้ไขปัญหา

1. การแกป้ ัญหาดว้ ยเหตผุ ลเชงิ ตรรกะ

เหตุผลเชิงตรรกะ (logical reasoning) คอื การใชเ้ หตุผล กฎ กฎเกณฑ์ หรอื เง่อื นไขท่เี กีย่ วข้อง เพื่อตรวจสอบความ
สมเหตุสมผลหรือพิจารณาความเปน็ ไปไดข้ องการแกป้ ัญหา

2. อัลกอรทิ ึม

อัลกอริทึม (Algorithm) คือ กระบวนการแกป้ ญั หาทีม่ ีลำดับข้นั ตอนวิธีในการแก้ปัญหาใดปญั หาหนงึ่ อยา่ งเปน็ ขั้น
เปน็ ตอนและชดั เจน
1. ทำความเขา้ ใจปัญหา
2. คิดวธิ กี ารแกป้ ญั หา (อาจมีหลายวธิ กี าร)
3. เรยี งลำดบั ขน้ั ตอนกอ่ นและหลังในแต่ละวิธกี าร
4. ทบทวนข้นั ตอนในแตล่ ะวิธีการอีกคร้ัง
5. ตรวจสอบความถกู ต้องของผลลพั ธ์ท่ีไดจ้ ากข้นั ตอนในแตล่ ะวธิ ีการ
6. เลือกวิธกี ารทใ่ี ห้ผลลัพธ์ดที ่ีสุดเพือ่ นำไปใชแ้ กป้ ัญหา

2.1 การแสดงอัลกอริทึมด้วยข้อความ
คอื การใชข้ ้อความแสดงข้นั ตอนการทำงาน มสี ว่ นประกอบ 2 สว่ น คือ ลำดบั และขน้ั ตอนการทำงาน

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม่) เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 141

2.2 การแสดงอัลกอริทมึ ด้วยรหัสลำลองหรอื ซโู ดโคด้ (Pseudocode)
คอื การอธบิ ายดว้ ยข้อความทีละขัน้ ตอน โดยภาษาที่ใช้จะมีความก้ำก่งึ กบั ภาษาคอมพวิ เตอร์

2.3 การแสดงอัลกอริทมึ ด้วยผงั งานหรือโฟลวชารต์ (Flowchart)

คอื แผนผงั แสดงข้นั ตอนการทำงาน ซ่งึ สามารถใชแ้ ผนผังนี้แสดงขัน้ ตอนการทำงานของโปรแกรมได้

ช่ือเรียก ความหมาย สัญลักษณ์

Begin หรือ End จุดเรม่ิ ตน้ หรอื จุดส้นิ สุดของการทำงาน

Flow line ทศิ ทางการดำเนินงาน

Process การดำเนินงาน หรือ การประมวลผล

Manual input การนำเขา้ ขอ้ มูลด้วยการป้อนคา่ ทางแปน้ พิมพ์

Decision การตดั สนิ ใจตามเง่ือนไขท่กี ำหนดไว้

Connection จดุ เชอื่ มต่อ

Display การแสดงผลบนหน้าจอ

General input/output การนำข้อมลู เข้าหรือออกโดยไม่ระบชุ นิดของอปุ กรณ์

1. ผังงานแบบโครงสรา้ งเรยี งลำดับ (Sequential Structure)
เป็นผังงานทีแ่ สดงขั้นตอนเรียงลำดับต้ังแต่ ขั้นตอนแรก ข้ันตอนถดั ไป จนถึงขน้ั ตอนสุดท้าย และสน้ิ สุด

การทำงานเปน็ โครงสร้างสุดท้าย

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สตู รใหม่) เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 142

2. ผงั งานแบบโครงสรา้ งทางเลือก (Selection Structure)
เป็นผังงานท่ีใชแ้ สดงทางเลือกในการตดั สินใจ (Decision)

ประโยชน์ของอัลกอลิทึม
ไมท่ ำใหส้ บั สนกับขั้นตอนการทำงาน เพราะถูกจดั เรียงตามขนั้ ตอน วธิ ีการและทางเลือกไว้ คน้ หาต้นเหตุ

ของปัญหาได้

3. การทำนายผลลพั ธจ์ ากปัญหาอย่างงา่ ย

การแก้ปัญหา คือ ความสามารถในการนำความรู้ ทักษะ มาใชใ้ นการหาคำตอบเมอ่ื กำหนดสถานการณ์หรือวธิ ีการ
เชงิ ระบบ เพ่ือชว่ ยแก้ปญั หาเป้าหมายของการแกป้ ญั หาเบื้องต้น

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 143

4. แนวคิดในการแกป้ ัญหา

วิธีการแก้ปญั หาอย่างเปน็ ขั้นตอนจะชว่ ยใหก้ ารทำงานและการแก้ปัญหาทำได้ง่ายและมีประสทิ ธภิ าพ

4.1 แนวคดิ การทำงานแบบลำดับ
การทำงานแบบลำดับ คือ การทำงานทม่ี ีการกำหนดขั้นตอนเรยี งเป็นเร่อื งราวต่อเนอ่ื งกันไปเรอ่ื ย ๆ ทีละ

ขน้ั ไปตามลำดับขั้นตอน เช่น การทำความสะอาดบ้านต้องเรม่ิ จากบริเวณท่ีสูงก่อน แลว้ จึงไล่ลงมาจนถงึ บรเิ วณที่
อยู่ตำ่ ท่ีสุด

4.2 แนวคิดการทำงานแบบมีเงอ่ื นไข

การทำงานแบบมเี งื่อนไข คือ การทำงานทม่ี ีเงื่อนไขเปน็ ตัวกำหนด เราต้องเขา้ ใจเง่อื นไขก่อนจงึ นำเหตผุ ล

เชิงตรรกะมาชว่ ยพจิ ารณา เพ่ือใหไ้ ด้ผลลพั ธ์ตามเง่ือนไขที่กำหนด เชน่

ขยะรีไซเคลิ ถังสเี หลอื ง

ขยะท่ยี ่อยสลายได้ ถงั สีเขียว

ขยะทัว่ ไป ถงั สนี ้ำเงนิ

ขยะอนั ตราย ถงั สีแดง

4.3 แนวคดิ การทำงานแบบวนซำ้
การทำงานแบบวนซ้ำ คือ การทำงานหรือกจิ กรรมเดยี วกันหลาย ๆ คร้งั จนได้ผลลัพธต์ ามเงอ่ื นไขที่

กำหนดให้ มที ้ังแบบมจี ำนวนคร้งั ท่ีแน่นอนและจำนวนครงั้ ไมแ่ น่นอน ซึ่งช่วยใหอ้ อกแบบกระบวนการทำงานอย่าง
กระชบั ชัดเจน และไม่ซำ้ ซ้อน

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลกั สูตรใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 144

หนว่ ยท่ี 2
การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายโดยใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะดว้ ย Scratch

1. โปรแกรม Scratch

โปรแกรม Scratch เป็นบล็อกโปรแกรม (Block) นำมาต่อกันเพ่ือสรา้ งรหัสคำสั่ง (Code) เพือ่ สงั่ ให้
โปรแกรมทำงานตามท่ีไดเ้ ขียนไว้ นำมาพัฒนาซอฟต์แวรเ์ ชงิ สร้างสรรคไ์ ด้ เช่น การสรา้ งนทิ านทโ่ี ต้ตอบกบั ผูอ้ า่ นได้
การสรา้ งเกม สรา้ งหุน่ ยนต์ สรา้ งสอื่ นำเสนอข้อมลู

การเข้าใชง้ านโปรแกรม Scratch มี 2 วิธี คอื
1) การใช้งานแบบออนไลน์ (Online) มีขนั้ ตอน ดังนี้
1. เปิดเวบ็ เบราเซอร์โครม (Chrome Web Browser) และปอ้ น https://scratch.mit.edu/ ทชี่ ่องท่ีอยู่

เวบ็ กดแป้น Enter จะปรากฏหน้าตา่ งโปรแกรม Scratch
2. คลกิ Join Scratch
3. ปอ้ นช่อื ผใู้ ช้ (Scratch Username) เปน็ ภาษาองั กฤษโดยไม่ใช้ช่อื จริง
4. ปอ้ นรหสั (Password) ไม่น้อยกว่า 6 ตัวอักษร หรอื ตวั เลข และหา้ มบอกรหสั ผา่ นแก่ใคร
5. ปอ้ นรหสั ผ่านอกี คร้ังในชอ่ ง Confirm Password และคลกิ ถัดไป (Next)
6. ป้อน เดือนเกิด ปี ค.ศ. เกิด เพศ และประเทศ
7. ปอ้ นอเี มลของคุณครู หรือผู้ปกครอง และยนื ยันอเี มล
8. จะพบหน้าตา่ งต้อนรบั ให้คลิกปมุ่ OK Lets Go!
9. แจง้ คุณครู หรือผู้ปกครอง ให้ยนื ยันอเี มล โดยให้เข้าอีเมล และคลกิ Confirm my email address
10. เม่อื สมัครสมาชิกเสร็จแล้วจะปรากฏหนา้ ต่างนี้ให้ตรวจสอบชื่อผู้ใช้ที่มุมบนขวา
2) การใชง้ านแบบออฟไลน์ (Offline) มขี ัน้ ตอน ดังน้ี
1. เปดิ เว็บเบราเซอร์ และป้อน https://scratch.mit.edu/download ทชี่ ่องท่ีอยเู่ ว็บ แล้วกดแป้น

Enter จะปรากฏหน้าต่างโปรแกรม Scratch ใหด้ าวนโ์ หลด
2. เลื่อนลงมาจะพบใหด้ าวนโ์ หลดโปรแกรม Adobe AIR โดยเลือกตามระบบปฏบิ ตั ิการทใ่ี ช้
3. คลกิ ปุ่ม Download now
4. เมอื่ เสรจ็ สิน้ การดาวนโ์ หลด ใหค้ ลิกปุ่ม Next ที่อยู่ดา้ นลา่ งเพอ่ื ตดิ ตั้ง Adobe AIR
5. เม่อื ติดต้ัง Adobe AIR เสรจ็ แล้ว ให้กลบั มาหนา้ เว็บไซดเ์ ดมิ จะพบข้นั ตอนที่ 2 ใหด้ าวนโ์ หลด

โปรแกรม Scratch Offline Editor โดยเลอื กตามระบบปฏบิ ัติการท่ใี ช้
6. เม่อื เสร็จสิน้ การดาวนโ์ หลด ใหด้ ับเบิลคลกิ ไฟล์ที่อยดู่ า้ นล่างเพื่อติดตั้งโปรแกรม Scratch
7. เมอ่ื คลิกติดตงั้ โปรแกรม Scratch จะปรากฏหนา้ ต่าง Open File คลกิ ปมุ่ Run แล้วติดต้งั โปรแกรม

จากน้ันคลกิ ปุ่ม Continue
8. รอการตดิ ตั้งโปรแกรม Scratch เมอ่ื เสร็จส้ินการตดิ ตงั้ จะปรากฏหนา้ ตา่ งการเขยี นโปรแกรมภาษา

Scratch

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 145

2. การเขยี นโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ Scratch เบอ้ื งต้น

การเขยี นโปรแกรม Scratch ทำได้โดยการเขยี นคำสัง่ ใหต้ ัวละครทำงาน ซึ่งตัวละครหลักในโปรแกรม คือ
แมว มชี ่ือว่า เจ้า sprite
องคป์ ระกอบของโปรแกรม Scratch

องคป์ ระกอบของโปรแกรม Scratch มดี ังนี้
1. แถบเมนเู คร่ืองมือ (Toolbar)

2. เคร่อื งมือเวที (Stage Toolbar)

3. ข้อมลู ของเวที หรือตวั ละครทถ่ี ูกเลือก (Sprite Header Pane)
4. บลอ็ กโปรแกรมคำสั่ง (Block Palette)
5. ชุดคำส่ังของบล็อกท่เี ลือก
6. พ้ืนทที่ ำงาน (Script Area)
7. เวที (Stage)
8. รายการตวั ละคร และเวทีทใ่ี ชใ้ นโปรเจกตป์ ัจจบุ นั (Sprites Pane)
บลอ็ กโปรแกรมคำส่ัง เปน็ บล็อกคำสั่งโปรแกรมภาษาคอมพวิ เตอร์ท่ีใช้การให้โปรแกรม Scratch ทำงาน
ตามที่ได้ออกแบบไว้ โดยมีบล็อกโปรแกรมคำส่งั พน้ื ฐาน ดงั น้ี

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรใหม)่ เตรียมสอบ O-NET ป.6 และสอบเข้า ม.1 146

การเขยี นโปรแกรมใน Scratch คอื การเขียนสคริปตใ์ ห้ตัวละครแต่ละตวั รวมทง้ั ฉาก ทำงานรว่ มกันโดยที่
ตัวละครแต่ละตัวรวมท้ังฉาก สามารถมีได้หลายสคริปต์ หรือไม่มีสครปิ ต์ก็ได้
1. การเขยี นโปรแกรม Scratch

1. การกำหนดวตั ถุประสงคห์ รอื ปัญหา
2. การวางแผนการแกป้ ญั หา
3. การออกแบบซอฟต์แวร์ โดยใชผ้ ังงาน

นำผังงานทีไ่ ด้ออกแบบไวม้ าเขยี นโปรแกรมภาษาคอมพวิ เตอร์ Scratch
1. เลอื กตัวละคร Sprite 1

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 147

2. เลือกบลอ็ กรูปรา่ ง และลากบลอ็ กพูดไปใสไ่ ว้ที่พืน้ ท่ีเขียนโปรแกรม (Script Area)
3. คลิกช่องข้อความและแก้ไขเป็น คำทต่ี ้องการ
4. คลกิ พืน้ ท่ีของบล็อกเพื่อทำการประมวลผล หรือรนั โปรแกรม (Run) จากนนั้ ตวั ละคร Sprite 1 จะพูด
คำท่ีต้องการ บนฉากละคร
5. เลือกไฟล์และเลือกบันทึก เพอ่ื ทำการบนั ทกึ
6. ตรวจสอบการปรากฏและการสะกดของข้อความ
2. การเขยี นโปรแกรม Scratch ให้มีเสยี ง
1. การกำหนดวัตถุประสงคห์ รือปญั หา พร้อมมีเสยี ง
2. การวางแผนการแก้ปญั หา
3. การออกแบบซอฟต์แวร์ โดยใชผ้ ังงาน

นำผงั งานที่ได้ออกแบบไว้มาเขียนโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ Scratch
1. เลือกเหตุการณ์ และลากบล็อกโปรแกรม เมอ่ื ธงเขยี วถกู คลิก วางในพนื้ ทเ่ี ขยี นโปรแกรม (Script Area)
2. เลอื กบล็อกรปู รา่ ง (Looks) และลากบล็อก พดู --- ต่อเข้ากับบลอ็ ก เมือ่ ธงเขียวถูกคลิก
3. แก้ไขขอ้ ความในบล็อก พดู --- เป็น พูด---(คำทต่ี อ้ งการ)
4. เลือกเสยี ง (Sound) และเลือกบล็อก เล่นเสียง---จนจบ ตอ่ ลา่ งบล็อก พูด---(คำทีต่ ้องการ)
5. คลิกธงสีเขยี ว เพ่อื รนั โปรแกรม
6. บนั ทึกโปรแกรม
3. การสรา้ งฉากประกอบตัวละครในโปรแกรม Scratch
ในฉาก (Stage) มีพิกดั พืน้ ที่ ดงั นี้

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสตู รใหม)่ เตรยี มสอบ O-NET ป.6 และสอบเขา้ ม.1 148

การเลือกพิกดั และการสรา้ งฉากประกอบ

เมอื่ ไดพ้ ิกัดตวั ละครแลว้ เราใส่พ้นื หลงั ฉากไดโ้ ดยเลือกพืน้ หลงั
1. คลกิ ปมุ่ นำเขา้ เพอ่ื เลือกพ้ืนหลังฉากจากคลังพนื้ หลงั
2. เลอื กหมวดพน้ื หลงั และคลกิ ปมุ่ ตกลง
3. ปรากฏพน้ื หลังละครแบบต่าง ๆ เลอื กฉากทตี่ ้องการ และคลิกปุ่ม ตกลง

การทำใหต้ ัวละครเคลอื่ นท่ี
ตัวละครสามารถเคล่อื นที่ไปยังตำแหน่งใดกไ็ ดภ้ ายในกรอบเวที โดยตวั ละครจะเคลื่อนท่ีแบบเส้นตรง การ

ทำให้ตัวละครหรือเจ้า Sprite เดนิ ไปทางขวาแล้วให้สะท้อนกลับมาทางซา้ ยได้
ขั้นตอนในการสรา้ งตวั ละครให้เคลอ่ื นท่ี ดงั นี้
1. เลอื กท่สี คริปต์ เลือกบล็อกเหตุการณ์ และลากบลอ็ กโปรแกรม เม่ือธงเขยี วถูกคลกิ วางในพนื้ ทีเ่ ขียน

โปรแกรม
2. เลือกทีส่ ครปิ ต์ เลือกบล็อกควบคมุ จากนน้ั คลกิ เลือกทบ่ี ล็อกโปรแกรม วนซำ้ ตลอด วางตอ่ เขา้ กบั บล็อก

โปรแกรม
3. เลอื กท่ีสครปิ ต์ เลือกบล็อกควบคมุ จากนนั้ คลิกเลอื กทีบ่ ลอ็ ก ชดุ ถัดไป วางต่อเขา้ กบั บล็อกโปรแกรม
4. เลือกทส่ี ครปิ ต์ เลือกบล็อกควบคมุ จากนัน้ คลกิ เลอื กท่ีบลอ็ กโปรแกรม รอ 1 วนิ าที วางขา้ งบนของบล็อก

โปรแกรม ชดุ ถัดไป
5. ตวั ละครสามารถเคลื่อนที่ขยับเท้าได้ และถา้ ตวั ละครขยับเท้าเร็วเกนิ ไปให้เปล่ยี นตัวเลขจาก 1 เป็น 0.5 ใน

บลอ็ ก รอ 1 วนิ าที เป็น รอ 0.5 วินาที โปรแกรมน้ีได้
6. เลอื กที่สคริปต์ เลือกบล็อกเหตกุ ารณ์ และลากบล็อกโปรแกรม เมื่อธงเขียวถูกคลิก วางในพืน้ ทีเ่ ขียน

โปรแกรม เลือกสครปิ ต์ จากน้ันเลอื กบลอ็ กควบคุม จากนั้นคลกิ เลอื กทบี่ ลอ็ กโปรแกรม วนซ้ำตลอด วางต่อเข้ากบั
บลอ็ กโปรแกรม เมอื่ ธงเขียวถูกคลกิ

7. ให้คลกิ เลือกท่บี ลอ็ กคำสั่งการเคลอื่ นที่เลอื ก เคลอ่ื น 10 กา้ ว ถ้าชนขอบใหส้ ะท้อนกลับ ดังรูปแบบการ
หมุนซา้ ย-ขวา และ คลิกธงสเี ขยี ว เพอื่ รนั โปรแกรมให้ตวั ละครเคล่ือนท่ีไปมาได้

3. การเขยี นโปรแกรมโดยใช้ภาษา Scratch

การเขียนโปรแกรมภาษา Scratch คอื การเขียนคำสั่งควบคุมการทำงานให้กบั ตวั ละครแตล่ ะตัวทสี่ ร้างขน้ึ
โดยใช้คำสงั่ ที่เขา้ ใจงา่ ยในการสั่งการทำงาน ซึ่งในการเขียนโปรแกรมท่ีมีทางเลือกในโปรแกรม Scratch จะใช้คำสั่ง
if-then-else

ขั้นตอนการเขยี นโปรแกรม


Click to View FlipBook Version