ปก
In the Name of Allah,
the Most Gracious,
the Most Merciful.
คำ�นำ�
จากความสำ� เรจ็ ของหนงั สอื “บาบา๋ ภเู กจ็ เสนห่ ว์ ถิ รี ว่ มสมยั ”
วัฒนธรรมแรกท่ีอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
เหน็ คณุ คา่ และนำ� เสนอการรวบรวมเรอื่ งราวของภเู กต็ ในวนั วานทเ่ี ปน็
แรงบนั ดาลใจ ในการชว่ ยกระตกุ ความคดิ การนำ� ไปตอ่ ยอดในทางธรุ กจิ
สามารถเชอื่ มโยงกบั การออกแบบผลติ ภณั ฑ์ ของทร่ี ะลกึ เพอื่ ทอ่ งเทยี่ ว
สร้างสรรค์เป็นธุรกิจบริการที่แฝงไปด้วยอัตลักษณ์อันทรงคุณค่าของ
ชาวบาบ๋าภูเก็ต เกิดแรงผลักดันให้เกิดการค้นคว้าเพื่อรวบรวมคุณค่า
ในแง่มุมอื่นๆ เพ่ิมขึ้น เพ่ือเป็น “ต้นทุนวัฒนธรรม” ในการท�ำธุรกิจ
อย่างย่ังยืน ส่งผลให้เกิดการต่อยอดผลิตภัณฑ์และบริการในรูปแบบ
ตา่ งๆมากมาย ในระยะเวลาท่ผี ่านมา
อทุ ยานวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เล็งเหน็ วา่
ในภาคใต้ ยังมีอีกหนึ่งวัฒนธรรมท่ียังมีบทบาทในชีวิตประจ�ำวันของ
ผ้คู นมากมาย นน่ั คอื “ศิลปะอิสลาม” โดยรปู แบบของศลิ ปะอิสลามไม่
ได้ถูกก�ำหนดจากศาสนาโดยตรง แต่เป็นภาพสะท้อนในหลักศรัทธา
เกิดลวดลายและสีสันท่ีมีพลังอันย่ิงใหญ่ แฝงไปด้วยความงาม ความ
เช่ือมั่นและศรัทธาไว้อย่างเหนียวแน่น ศิลปะอิสลามมีเอกลักษณ์
ที่แตกต่างไปจากศิลปะอื่นๆ เป็นเพราะศิลปะอิสลามน้ันแฝงไว้ด้วย
วัฒนธรรมอันงดงามของชาวมุสลิมที่มีความภักดี เกิดการสร้างสรรค์
ด้วยความศรัทธาอันแรงกล้าผ่านผลงานศิลปะและสถาปัตยกรรมที่มี
ความงดงาม ตระการตา อีกท้ังยังมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และ
แผข่ ยายไปยงั ประเทศตา่ งๆ ทว่ั โลก เนอ่ื งจากศลิ ปะอสิ ลามแพรก่ ระจาย
ไปท่วั โลก จึงเกิดการผสมผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่นนั้นๆ ท�ำให้เกิด
เป็นผลงานทางศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ของอิสลามท่ีหลากหลายและ
แปรเปล่ยี นไปตามยคุ สมัยตัง้ แต่อดีตถึงปัจจบุ ัน
ในโอกาสนี้ อทุ ยานวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
ได้รบั เกียรติจากสถาบันศลิ ปะอิสลามแห่งประเทศไทย เป็นผู้ถา่ ยทอด
ข้อมลู ศลิ ปะอสิ ลาม จนเป็นหนังสือ “ศิลปะอสิ ลาม สนุ ทรยี ะ เสน่ห์
และแรงบันดาลใจ” ที่สะท้อนความงามของศิลปะอิสลามในยุค
ต่างๆ ทว่ั โลก ผ่านประติมากรรม ศิลปกรรม งานผ้า เครื่องแต่งกาย
เคร่ืองปั้นดินเผา และของใช้ในชีวิตประจ�ำวันอ่ืนๆ เทคนิคทฤษฎี
เบื้องต้นของศลิ ปะอิสลาม อกี ทงั้ ยงั มีการยกตวั อย่างการน�ำเอาศิลปะ
อสิ ลามไปใชป้ ระโยชนใ์ นแงม่ มุ ตา่ งๆ โดยทางสถาบนั ฯ ไดค้ น้ ควา้ สงั่ สม
และรวบรวมขอ้ มลู จากแหลง่ ตา่ งๆ ทวั่ โลก เปน็ ระยะเวลาถงึ 5 ปี จงึ นบั
ได้ว่าหนังสือ “ศิลปะอิสลาม สุนทรียะ เสน่ห์และแรงบันดาลใจ”
เล่มน้ี เป็นหนังสือท่ีมีการพูดถึงศิลปะอิสลามในหลายแง่มุม และมี
ความสมบูรณ์มากที่สดุ เล่มหนึ่งเลยทีเดยี ว
หนงั สอื “ศลิ ปะอสิ ลาม สนุ ทรยี ะ เสนห่ แ์ ละแรงบนั ดาลใจ”
จงึ เปน็ แหลง่ ขอ้ มลู “ตน้ ทนุ วฒั นธรรม” สำ� คญั ทจี่ ะสรา้ งแรงบนั ดาลใจ
ใหภ้ าคธรุ กจิ สามารถนำ� ไปประเดน็ ทเี่ ปน็ เสนห่ ข์ องศลิ ปะอสิ ลามไปตอ่ ย
อดเป็นผลิตภณั ฑ์และบริการ ที่สะท้อนตัวตนใหม้ ีความชัดเจนมากขน้ึ
ซ่ึงอาจจะสร้างโอกาสส�ำคัญให้ธุรกิจประสบความส�ำเร็จในตลาดโลก
ตอ่ ไป
ศนู ย์นวตั กรรมการออกแบบ อุทยานวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์
สารบัญ
บทท่ี 1 10
30
แนวคิดปรัชญา 152
สุนทรียะ 182
ศิลปะอิสลาม
บทที่ 2
ประวัติศาสตร์
ศิลปะอิสลาม
บทที่ 3
ลวดลายประดับ
ในศิลปะอิสลาม
บทที่ 4
ศิลปะอิสลาม
ในประเทศไทย
บทที่
1
แนวคิด
ปรัชญา
สุนทรียะ
ศิลปะอิสลาม
บทท่ี 1
แนวคิดปรชั ญาและสนุ ทรยี ะของศิลปะอิสลาม
แนวคิดปรัชญาศาสนาอสิ ลาม
ศาสนาอิสลาม คือ ศาสนาที่เชื่อม่ันว่าสรรพสิ่ง
ทง้ั หลายนนั้ เปน็ สง่ิ ทอ่ี ลั ลอฮท์ รงสรา้ งขนึ้ ทง้ั โลกและมนษุ ย์
รวมถึงเป็นผกู้ ําหนดรูปแบบการดําเนินชวี ติ ของชาวมสุ ลิม
ศาสนาอิสลามมีการเผยแพร่ศาสนาเรื่อยมา โดย
มีศาสดามุฮัมมัดเป็นศาสนทูตองค์สุดท้ายท่ีอัลลอฮ์ส่ง
มายงั โลกมนษุ ย์ ณ นครมกั กะฮใ์ นคาบสมุทรอาระเบีย โดย
ปัจจบุ นั คอื ที่ตัง้ ของประเทศซาอุดิอาระเบยี 1 นน่ั เอง
ค�ำว่า “อิสลาม” มีความหมายถึงการยอมจํานน
ความนอบน้อม เช่ือฟัง และสันติภาพ เรียกได้ว่าอิสลาม
นั้นคือการยอมตนนอบน้อมต่อพระเจ้า พระอัลลอฮ์เพียง
องค์เดียว โดยยึดหลักคมั ภรี ์อลั กรุ อานทีร่ วบรวมวจนะหรือ
คํากล่าวของอัลลอฮ์ที่มอบให้แก่มนุษย์มาเป็นแนวทางใน
การดําเนินชีวิตในทุกด้านโดยที่ไม่แบ่งแยกอายุ เพศ หรือ
ฐานะ
1พบิ ลู ไวจติ รกรรม. (2563). การศกึ ษาศลิ ปกรรมอสิ ลามทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั มัสยดิ ในกรุงเทพฯ. (ออนไลน์)
11
บทท่ี 1
แนวคดิ ปรชั ญาและสนุ ทรยี ะของศิลปะอสิ ลาม
แนวคิดปรัชญาศาสนาอิสลาม เป็นหลัก
ปรัชญาเพ่ือทําให้ชีวิตมีความสุข เหมือนกับศาสนาอ่ืนๆ
ในโลกทส่ี อนใหด้ าํ เนนิ ชวี ติ ดว้ ยความมงุ่ มน่ั ศรทั ธา มสี นั ติ
มรี ะเบยี บวินัย และไมป่ ระมาท ไม่ลุ่มหลงฟุง้ เฟอ้ ไม่หลง
ระเรงิ และตอ้ งอยใู่ นแนวทางของศาสนา เพอ่ื วนั หนงึ่ ทเ่ี รา
กลบั คนื สพู่ ระองคแ์ ละจะไดร้ บั ความสขุ ทถี่ าวรในโลกหนา้
ศาสนาอิสลามนั้นฝังรากลึกลงไปในวิถีชีวิต
ของผู้คนตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ได้มีการถ่ายทอด
ผ่านส่ิงต่างๆ ท้ังประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต พิธีกรรม
วรรณกรรม หลักธรรม คําสอนที่บอกเล่าต่อกันมา รวม
ถึงศิลปะ เนื่องจากศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ช่ืนชอบ
ความสวยงามและปรารถนาสุนทรียภาพในทุกส่ิง แต่
เน่ืองจากบทบัญญัติที่ยังต้องยึดถือและปฏิบัติ ทํา
ให้การสร้างสรรค์งานศิลปะเป็นไปโดยไม่ขัดต่อหลัก
การแนวคิดของศาสนา แม้ว่าในพระคัมภีรอัลกุรอาน
ไม่ได้กล่าวถึงศิลปะโดยตรง แต่มักจะมีการบรรยาย
ถึงความงามท่ีพระอัลลอฮ์ทรงสร้างไว้ น่ันจึงส่งผลให้
ศิลปินสร้างสรรค์ผลงานศิลปะผ่านทางลวดลายและ
อักษรประดิษฐ์ เกิดเป็นศิลปะอิสลามท่ีมีความโดดเด่น
เป็นเอกลักษณ์ และกลายเป็น รูปแบบเฉพาะของศิลปะ
อิสลาม
12
ISLAMIC ARTบทที่ 1
แนวคิดปรัชญาและสุนทรยี ะของศิลปะอิสลาม
ศลิ ปะอิสลาม
ศลิ ปะอสิ ลาม เป็นศลิ ปะทเี่ กิดขนึ้ ภายใต้แนวคิดของ
ศาสนาอสิ ลาม สามารถจาํ แนกออกเป็น 2 ประเภท
1
ศิลปกรรมอสิ ลามเพอ่ื ศาสนา
เปน็ การสรา้ งสรรค์ขึ้นเพอ่ื ม่งุ สรรเสรญิ
และระลกึ ถึงคําสอนพระผู้เป็นเจ้า
2
ศิลปกรรมอิสลามเพื่อวถิ ชี วี ติ ทวั่ ไป
(Muslim Art)
เป็นการสรา้ งสรรค์และประดับบนขา้ วของเครอื่ งใช้ต่างๆ
ศิลปกรรมอิสลามเพอ่ื ศาสนา ศลิ ปกรรมอิสลามเพื่อวิถชี วี ติ บน
ข้าวของเครอ่ื งใชต้ ่างๆ
14
บทที่ 1
แนวคิดปรัชญาและสนุ ทรยี ะของศิลปะอสิ ลาม
โดยศิลปะอิสลามนั้นสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้แนวคิด
ความเช่ือ และวัฒนธรรมของศาสนาอิสลาม ควบคู่ไปกับ
การหลีกเลี่ยง ข้อห้ามตามเง่ือนไขที่ศาสนากําหนด ได้แก่
การวาดรปู คนและสตั ว์ เพอื่ ปอ้ งกนั การสรา้ งรปู เคารพ สกู่ าร
สร้างสรรค์แนวความคิดทางศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ และ
เนอ่ื งจากศิลปะอิสลามแพร่หลายไปทว่ั โลก สง่ ผลใหศ้ ิลปะ
วัฒนธรรมของแต่ละภูมิภาคผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรม
อิสลามจนเกิดเป็นศิลปะอิสลามท่ีหลากหลาย โดยที่ยังคง
ไว้ซ่ึงจุดเด่นและด�ำเนินตามแนวคิดทางศาสนาอันเป็น
แกนหลกั สําคัญ
ความงามในทัศนะของมุสลิม คือความงามท่ี
เก่ยี วข้องกบั พระเจ้า แนวคดิ ปรัชญาตา่ งๆ ทางศาสนาของ
ศิลปะอสิ ลาม เกิดข้ึนจากการศรัทธาในพระผูเ้ ปน็ เจ้าสงู สดุ
เพียงหนึ่งเดียว ในคัมภีร์อัลกุรอานหรืออัลฮะดีษ (บันทึก
คาํ กลา่ วและวตั รปฏิบตั ขิ องศาสดามุฮมั มดั ) ไมไ่ ด้กล่าวถึง
ศิลปะโดยตรง แต่กล่าวว่าความงามสูงสุดคือส่ิงที่เกิดขึ้น
จากพลังอํานาจในการสร้างสรรค์ของพระเจ้า ซ่ึงหมายถึง
ทุกสรรพส่ิงบนโลกน้ี ศิลปะอิสลามจึงสะท้อนถึงความ
สามารถ พลัง และสติปัญญาท่ีพระเจ้ามอบให้ รวมถึง
ถ่ายทอดความงดงามที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้ในสากล
จกั รวาล ดังค�ำกล่าวทว่ี า่
15
บทท่ี 1
แนวคิดปรชั ญาและสนุ ทรียะของศิลปะอิสลาม
“ และโดยแน่แท้
เราให้มี
หมู่ดวงดาว
ในท้องฟ้า
และเราได้ประดับ
ให้สวยงาม
แก่บรรดา
ผู้เฝ้ามอง ”
/
(อัลกุรอาน บทอัลฮิจญร์, 15:16)
ศิลปะอิสลามมีเอกลักษณ์พิเศษที่แตกต่างไป
จากศิลปะตะวันตก หรือศิลปะของอาณาจักรอ่ืนๆ เพราะ
ศลิ ปะอสิ ลามนนั้ แฝงไวด้ ว้ ยวฒั นธรรมอนั งดงามของมสุ ลมิ
ผู้รังสรรค์ด้วยจิตภักดี สะท้อนถึงการสร้างสรรค์ด้วยความ
ศรทั ธาอยา่ งแรงกลา้ ทม่ี ตี อ่ ศาสนาอสิ ลามผา่ นผลงานศลิ ปะ
และสถาปตั ยกรรมทยี่ งั่ ยนื มาอยา่ งยาวนาน และแผข่ ยายไป
สูด่ นิ แดนต่างๆ ทว่ั ทกุ มุมโลก2
2 ปยิ ะแสง จันทรว์ งศไ์ พศาล. (2561). ศลิ ปะอิสลาม, กรุงเทพฯ: ส�ำนกั พมิ พจ์ ุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั , หนา้ 20.
บทที่ 1
แนวคิดปรัชญาและสุนทรยี ะของศิลปะอิสลาม
ศิลปะจึงเป็นสิ่งท่ีมนุษย์สร้างข้ึนเพื่อรําลึกถึง
อลั ลอฮด์ ว้ ยการแสดงออกผา่ นความงาม ซงึ่ แนน่ อนวา่ แหลง่
ท่ีมาของความสวยงามนั้นคือ อัลลอฮ์ (พระนามหนึ่งของ
พระองค์คอื อลั -ญะมลี หมายถึง ผู้ทรงสวยงาม)
“ อะลิฟ ลาม มีม รออฺ
เหล่านี้คือบรรดาโองการแห่งคัมภีร์
และสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เจ้า
จากพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นสัจธรรม
และแต่ส่วนมากของมนุษย์ไม่ศรัทธา ”
/
ซูเราะห์ท่ี 13 อัร-เราะอฺด์ อายะหท์ ี่ 1
“ อัลลอฮ์คือผู้ทรงยกช้ันฟ้าท้ังหลาย
ไว้โดยปราศจากเสาค้�ำจุน ซ่ึงพวกเจ้า
มองเห็นมัน แล้วทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์
และทรงให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
เป็นประโยชน์ (แก่มนุษย์) ทุกส่ิงโคจร
ไปตามวาระที่ได้กําหนดไว้
ทรงบริหารกิจการทรงจําแนกโองการ
ทั้งหลายให้ชัดแจ้ง เพื่อพวกเจ้าจะได้
เชื่อม่ันในการพบพระเจ้าของพวกเจ้า ”
/
ซูเราะห์ที่ 13 อรั -เราะอฺด์ อายะห์ที่ 2
17
บทที่ 1
แนวคิดปรัชญาและสนุ ทรียะของศลิ ปะอิสลาม
“ และพระองค์คือผู้ทรงแผ่แผ่นดิน
และในนั้นทรงทําให้มันมีภูเขาม่ันคง
และลําน�้ำมากหลาย และจากพืชผล
ทุกชนิดทรงให้มีจํานวนคู่
ทรงให้กลางคืนครอบคลุม
กลางวันแท้จริง
ในการน้ันแน่นอนย่อมเป็นสัญญาณ
สําหรับหมู่ชนผู้ใคร่ครวญ ”
/
ซเู ราะห์ท่ี 13 อรั -เราะอดฺ ์ อายะห์ท่ี 3
“ และในแผน่ ดนิ มีเขตแดน
ตดิ ต่อใกล้เคียงกัน และมสี วนพฤกษา
เช่น ต้นองุ่น และตน้ ท่มี ีเมลด็
และต้นอนิ ทผลมั ทม่ี าจากรากเดียวกนั
และมิใช่รากเดยี วกัน
ได้รับแหล่งน้ำ� เดียวกัน
และเราไดใ้ ห้บางชนิด
ดเี ด่นกวา่ อีกบางชนิด
ในรสชาติ แทจ้ ริง
ในการน้นั แนน่ อนเปน็ สัญญาณ
สาํ หรบั หมู่ชนผ้ใู ช้ปัญญา ”
/
ซูเราะห์ท่ี 13 อัร-เราะอฺด์ อายะหท์ ่ี 4
18
บทท่ี 1
แนวคดิ ปรัชญาและสุนทรียะของศลิ ปะอสิ ลาม
หนง่ึ ในหลายๆ โองการจากคมั ภรี อ์ ลั กรุ อานทก่ี ลา่ ว
ถงึ ระบบความสมั พนั ธข์ องสรรพสง่ิ ทอ่ี ลั ลอฮส์ รา้ งใหม้ นษุ ย์
มองเห็นความสวยงามน้ัน และเรียกร้องให้มนุษย์ผู้มีความ
สามารถทางสตปิ ัญญาศรทั ธาต่อพระเจา้ ผูส้ รา้ งหน่งึ เดียว
ในสากลโลก ศิลปินซ่ึงไม่สามารถคาดเดาถึงความยิ่งใหญ่
ของพระเจ้าผู้ทรงสร้างได้จึงถ่ายทอดความงามจากคัมภีร์
อัลกุรอานเพ่ือรําลึกถึงพระเจ้าและให้ผู้ศรัทธาเช่ือมั่นใน
การมีอยู่ของพระองค์ ศิลปะอิสลามจึงถูกถ่ายทอดออกมา
ในเชิงบรรยายความสวยงามของมคั ลูค (ส่ิงทถ่ี กู สรา้ ง) และ
ถา่ ยทอดสจั ธรรมผา่ นศลิ ปะนามธรรมเพอ่ื ใหเ้ ปน็ สญั ญาณ
หนึ่งให้มนุษย์ได้รําลึก ใคร่ครวญต่อพระองค์อัลลอฮ์ผ่าน
ศลิ ปะและความงามเหลา่ น้ัน
19
หลักแนวคิดของ 1
ศาสนาอสิ ลามกับศิลปะ 4
จากการศึกษาและการทาํ งานของสถาบันศลิ ปะอิสลาม
แห่งประเทศไทย มีการสรุปแนวทางพ้ืนฐานในการทํางาน
ศิลปะอสิ ลามว่าควรจะคาํ นงึ ถงึ องค์ประกอบ ดงั น้ี
3
ละเว้นจากข้อห้ามตาม
บทบัญญัติทางศาสนา
ขอ้ ห้ามสาํ คัญทีป่ รากฏในคัมภีร์อลั กรุ อาน และคําสอน
จากทา่ นศาสดา วา่ ดว้ ยเรอ่ื งการหา้ มเขยี นภาพหรอื ปน้ั รปู คน และ
สตั ว์ที่อาจเกิดความสุ่มเส่ียง และนาํ ไปสู่การสรา้ งรูปเคารพ
อตั เตาฮดี 2
การใหเ้ อกภาพตอ่ พระองคอ์ ลั ลอฮ์ หรอื ความงดงาม
เช่ือมั่นต่อพระองค์อัลลอฮ์ คือ การที่มนุษย์
เช่ือม่ันว่าพระเจ้า ผู้สมควรแก่การกราบไหว้ ความงดงามทาง
และสักการะมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีสิ่งใดเทียบ สุนทรียศาสตร์อันตั้งอยู่บน
เคียงพระองค์ ซึ่งเป็นผู้สร้างสรรค์ สรรพสิ่ง บรรทดั ฐานแหง่ ศาสนาและ
แห่งสากลโลก และเช่ือม่ันในคุณลักษณะต่างๆ ขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม
ของพระองค์ ว่าทรงมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์ ทางสังคม ซ่ึงต้องไม่ขัดต่อ
ครบถ้วนปราศจ ากสิ่งบกพร่องทุกประการจาก หลกั การศาสนาอิสลาม
พระนามอันประเสริฐทงี่ ดงามและมคี ณุ ลักษณะ
ท่ีสูงส่ง
เจตนาท่ีดี
การต้ังอยู่ในเจตนารมณ์ท่ีดีงามและ
บรสิ ทุ ธน์ิ น้ั เปน็ หลกั คาํ สอนในการเรม่ิ ตน้ ของการ
ประกอบกจิ การงานต่างๆ
5 ความรับผิดชอบ
ศิลปินผู้สร้างสรรค์ต้องมีความ สํานึกรับผิดชอบต่อ
ผลงานการสร้างสรรค์ของตน ต้องเข้าใจเสมอว่าทุกๆ งานที่
ปฏบิ ตั นิ นั้ จะตอ้ งถกู สอบสวนจากอลั ลอฮ์ และในสว่ นของความ
รับผิดชอบน้ีผู้วิจารณ์หรือ ผู้ตีความต่อไปก็จําต้องอยู่ในสํานึก
แหง่ ความรับผิดชอบเชน่ กัน
บทท่ี 1
แนวคิดปรัชญาและสุนทรยี ะของศลิ ปะอิสลาม
ขอ้ อนญุ าต อสิ ลามมขี อ้ หา้ มทศ่ี าสนากาํ หนดตอ่ การสรา้ งสรรค์
ข้อหา้ ม งานศิลปะ คือ ห้ามในการทํารูปสิ่งมีชีวิตอันเป็นสิ่งที่จะนํา
ข้ออนุโลม ไปสรา้ งรูปเคารพของพระผู้เป็นเจา้ แต่แทจ้ รงิ แล้วในคัมภีร ์
อัลกุรอานน้ันไม่ได้กล่าวโดยตรงว่าการทํารูปสิ่งมีชีวิตหรือ
รปู เหมอื นตา่ งๆ เปน็ ขอ้ หา้ ม เพยี งแตม่ บี นั ทกึ ของทา่ นศาสดา
มุฮัมมดั ท่กี ลา่ ววา่
“ แท้จรงิ มะลาอิกะฮ์ (เทวดา)
ไมเ่ ข้าบา้ นใดที่มสี ง่ิ ปฏมิ ากรรมหรือรูป ”
/
(รายงานโดยอะหมัดและท่านอ่ืนๆ จากอะบสี ะอีด)
“ อลั ลอฮท์ รงดํารสั ว่า และใครเลา่
จะฉอ้ ฉลยงิ่ ไปกวา่ บุคคลทจี่ ัดการสรา้ ง
เหมือนกบั การสรา้ งของข้า ”
/
(รายงานโดยอะหมัดและท่านอน่ื ๆ จากอะบีฮรุ อ็ ยเราะฮ์)
“ แท้จรงิ บรรดาผู้ท่ีทาํ รปู เหลา่ นี้ขึน้ นั้น
จะตอ้ งถกู ลงโทษในวันกยิ ามะฮ์
(วันส้ินโลก วันพพิ ากษาคร้งั สุดท้าย)
และมผี ูก้ ลา่ วกับเขาวา่ พวกเจา้ จงให้ชีวติ
แกส่ ิ่งทพี่ วกเจ้าสรา้ งสิ ”
/
(รายงานโดยอลั บคุ อรียแ์ ละทา่ นอนื่ ๆ จากอิบนิอุมัร)
22
บทท่ี 1
แนวคิดปรัชญาและสนุ ทรียะของศิลปะอสิ ลาม
จากคํากลา่ วเหลา่ น้ี ทาํ ใหม้ ุสลิมสว่ นใหญต่ คี วาม
ว่าการทํารูปส่ิงมีชีวิต หรืองานศิลปะที่มีภาพของส่ิงเหล่านี้
เปน็ ขอ้ หา้ มในอสิ ลาม แตน่ ักวิชาการทางศาสนาได้ตคี วาม
คาํ วา่ “รปู ” ในคาํ กลา่ วของทา่ นศาสดาวา่ หมายถงึ รปู เคารพ
หรือ ประติมากรรมรูปเทพเจ้า มากกว่าจะหมายถึงรูปคน
สตั ว์ สิ่งมชี วี ติ ในเชงิ ศลิ ปกรรม
Nasir-al-Mulk Mosque ถึงกระน้ันมุสลิมส่วนใหญ่นับตั้งแต่อดีตจนถึง
photo by Steven Su ปัจจุบันก็ไม่นิยมทํารูปส่ิงมีชีวิต เพราะเกรงว่ารูปน้ันจะมี
ความเส่ียงท่ีจะส่ือถึงรูปเคารพ เหตุผลอีกประการท่ีมุสลิม
ไมน่ ยิ มสรา้ งสรรค์รูปสงิ่ มชี วี ิต เน่อื งจากการสร้างสรรคน์ ้จี ะ
ถือเป็นการเทียบเคียง ความสามารถของตนเองกับพลังใน
การสรา้ งสรรพสงิ่ ของพระเจา้ เพราะพระเจา้ คอื ผสู้ รา้ งความ
งดงามทกุ สรรพส่ิงในสากลจักรวาลนัน่ เอง
23
บทท่ี 1
แนวคดิ ปรชั ญาและสนุ ทรยี ะของศิลปะอสิ ลาม
ในการสร้างสรรค์งานโดยที่ต้องตั้งอยู่บนข้อห้าม
ตามบทบัญญตั ินนั้ กม็ ขี ้ออนโุ ลมสําหรับการสรา้ งสรรค์งาน
ส่ิงมชี ีวิตอยู่ เช่น ภาพคน และสตั ว์
ตอ้ งเปน็ การสรา้ งสรรคเ์ พอื่ การศกึ ษาทถ่ี กู ถา่ ยทอด
ผ่านการจดบันทึก ภาพประกอบในวรรณกรรม และของ
เล่นสําหรับเด็ก เน่ืองจากภาพเหล่าน้ีมักมีตัวละครหน้าตา
คล้ายคลึงกันหมด ไม่มีความเป็นปัจเจกของแต่ละบุคคล
และมักมคี ํากลอนหรือขอ้ ความประกอบภาพเสมอ
เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าภาพเหล่านี้มีไว้เพื่อประกอบ
เน้ือหาเท่านั้น เพียงแต่ต้องละเว้นการเขียนรูปจําลองของ
พระองค์อัลลอฮ์ ท่านศาสดาต่างๆ ท่านนบีมุฮัมมัดและ
อัครสาวกทั้งส่ีท่าน แม้จะเป็นรูปจากจินตนาการก็ยังเป็น
ส่ิงต้องห้ามสําหรับการสร้างสรรค์งานศิลปะอิสลาม ดังน้ัน
การไม่สนับสนุนให้ทํารูปสิ่งมีชีวิตนั้น จํากัดอยู่ในการใช้
งานด้านศาสนาเท่าน้ัน หากนอกเหนือจากงานที่เกี่ยวข้อง
กับศาสนาถือวา่ เปน็ ไปได้
ภาพประกอบ
‘The House of Bijapur’
24
บทที่ 1
แนวคดิ ปรัชญาและสนุ ทรยี ะของศิลปะอสิ ลาม
25
บทท่ี 1
แนวคดิ ปรชั ญาและสนุ ทรยี ะของศิลปะอสิ ลาม
แม้จะมีข้อจํากัดในการทํารูปต่างๆ แต่นั่นไม่ใช่
อปุ สรรคตอ่ การสรา้ งสรรคผ์ ลงานเลย กลับเปน็ การเปิดทาง
ให้มุสลิมแสวงหาแรงบันดาลใจจากสิ่งอื่นที่ไม่ขัดกับหลัก
การอิสลามแทน จากแนวคิดที่ว่าความงามของอิสลามคือ
ทกุ สงิ่ ทเี่ กี่ยวข้องกับพระเจ้า ศลิ ปินชาวมสุ ลิมจึงนําคําสอน
ในคัมภีร์อัลกุรอานซ่ึงเป็นพระวจนะของพระองค์ออกมา
เป็นงานเขียน เรียกว่า “อักษรวิจิตร (Calligraphy)” หรือ
การนําพรรณไม้ในธรรมชาติมาลดทอนเป็นลวดลาย เรียก
ว่า “ลวดลายพรรณพฤกษา (Arabesque)” หรือลวดลาย
ที่ตีความจากพลงั ของพระเจ้า เรียกว่า “ลวดลายเรขาคณติ
(Geometric Pattern)” ดว้ ยความตอ่ เนอื่ งของลวดลายและ
การจดั วางอยา่ งเปน็ ระบบ เปน็ การสอ่ื ถงึ การสรา้ งสรรคแ์ ละ
จัดระเบยี บสิ่งตา่ งๆในโลกนี้ของพระผู้เป็นเจา้
ศาสนาอสิ ลามอนญุ าตใหศ้ ลิ ปะอสิ ลามสามารถนาํ
ไปประยกุ ต์ ปรบั ใชไ้ ดห้ ลายรปู แบบ และใชไ้ ดก้ บั ศลิ ปกรรม
ทุกแขนง ไม่เพียงแต่เป็นศิลปะเพ่ือศาสนาเท่านั้น เพราะ
ศาสนาอสิ ลามสอนใหร้ จู้ กั การปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สถานการณ์
และทอ้ งถนิ่ ตา่ งๆ มสุ ลมิ สามารถรบั เอาวถิ ชี วี ติ มาปรบั ใชไ้ ด้
โดยไมใ่ หข้ ดั กบั หลกั การทางศาสนา
ศิลปะอิสลามไม่มีรูปแบบท่ีตายตัว ลวดลาย
สามารถแปรผันไปได้ตามแต่ละท้องถ่ิน โดยปรับเข้ากับ
วัฒนธรรมของท้องถิ่นนั้นๆ เช่น ลายพรรณพฤกษาของ
ศิลปะอิสลามในประเทศไทย มีการนําดอกพุดตานหรือ
ดอกบัวซึ่งเป็นดอกไม้ท่ีพบในงานศิลปะไทยมาประกอบ
ในลาย หรือในตุรกีก็จะนิยมใช้ดอกทิวลิปเป็นลวดลาย
เน่ืองจากเปน็ ดอกไม้ทอ้ งถิ่น เป็นตน้
26
บทท่ี 1
แนวคดิ ปรชั ญาและสนุ ทรยี ะของศลิ ปะอิสลาม
โดยสรุปแล้วศิลปะอิสลามเป็นศิลปะท่ีเกิดขึ้น
ภายใต้แนวคิดของศาสนา สร้างสรรค์ผลงานภายใต้
ข้อกาํ หนดและ ข้อห้ามตา่ งๆ ตามที่ทางศาสนาบญั ญตั ิ
ไว้ เป็นผลงานทแ่ี ฝงไปด้วยความงาม ความเชื่อมั่นและ
ศรัทธาในพระอัลลอฮ์ ที่เป็นพระผู้เป็นเจ้าสูงสุดเพียง
หนึง่ เดียว
รูปแบบของศิลปะอิสลามไม่ได้ถูกกําหนดจาก
ศาสนาโดยตรง แต่เป็นภาพสะท้อนในหลักศรัทธาและ
หลักปฏิบัติของชาวมุสลิม สอดคล้องกับความเช่ือท่ี
ว่าพระเจ้าเป็นผู้กําหนดสรรพสิ่งในโลกนี้ อีกท้ังยังไม่มี
รูปแบบตายตัว เน่ืองจากศิลปะอิสลามแพร่กระจายไป
ทว่ั โลกตามทศ่ี าสนาเผยแผ่ไปถึง ศิลปะจึงเกิดการผสม
ผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่นนนั้ ๆ และจากขอ้ หา้ ม และ
ขอ้ อนโุ ลมตา่ งๆ ทาํ ใหเ้ กดิ เปน็ ผลงานทางศิลปะอันเปน็
เอกลักษณ์ของอิสลามท่ีหลากหลายและแปรเปลี่ยนไป
ตามยุคสมัยตั้งแต่อดีตถงึ ปัจจุบัน
27
บทที่
2
ประวัติศาสตร์
ศิลปะอิสลาม
บทที่ 2
ประวัติศาสตรศ์ ิลปะอสิ ลาม
ประวตั ศิ าสตร์ศลิ ปะอสิ ลาม
ประวัติศาสตร์องค์ความรู้และแหล่งท่ีมาของ
ความเข้าใจที่ถูกน�ำออกจากวิชาการของชาวตะวันตก
แต่ก็มิอาจหลบซ่อนความตราตรึงอันเป็นที่ประจักษ์
ชัดแจ้งแห่งความงดงามของศิลปะอิสลามที่ยังคง
ดึงดูดใจให้เราค้นหาถึงที่มาเหล่านั้น
/
“Titus Burkckardt”
31
PRE-ISLAMIC
& UMAYYAD
CALIPHATE
ยุคแรกของการแผ่ขยายของอสิ ลาม
และสมยั ราชวงศอ์ มุ ยั ยะฮ์
Pre-Islamic
AD 622 - 632
AH 1 - 11
Rashidun Caliphate
AD 632 - 661
AH 11 - 40
Umayyad Caliphate
AD 661 – 750
AH 40 - 132
บทที่ 2
ประวตั ศิ าสตรศ์ ิลปะอิสลาม
ยคุ แรกของการแผข่ ยายของศลิ ปะ
อสิ ลาม หรอื ยคุ สมัยกอ่ นอิสลาม
(Pre-Islamic)
เปน็ ยคุ แหง่ จดุ เรมิ่ ตน้ ของศลิ ปะอสิ ลามเกดิ ขนึ้ เมอ่ื
เริ่มปีฮิจเราะห์ศักราชท่ี 1 หรือในปีคริสต์ศักราชท่ี 622 ซึ่ง
นับเม่ือศาสดามุฮัมมัด อพยพออกจากนครมักกะฮ์ ไปยัง
นครมะดนี ะฮ์ ในเวลานนั้ มกี ารสรา้ งมสั ยดิ หลงั แรกขน้ึ เรยี ก
วา่ “มสั ยดิ กบุ าอ์ (Masjid Quba’a)” ทางตอนใตข้ องเมอื ง
มะดีนะฮ์ สร้างเพ่ือเป็นที่พักระหวา่ งเส้นทางการอพยพของ
ทา่ นศาสดา ดว้ ยความมงุ่ หมายวา่ มสั ยดิ เปน็ ศนู ยร์ วมจติ ใจ
เปรียบด่ัง “บ้านของพระเจ้า (House of God)” การเร่ิม
สร้างมัสยิดจึงนับเป็นสถาปัตยกรรมท่ีเป็นเหมือนภาพรวม
ของโครงสรา้ งงานศลิ ปะทงั้ หมด กอ่ นจะแตกแขนงออกเปน็
ศิลปะประยุกตต์ ่างๆ ต่อมา
34
บทที่ 2
ประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะอสิ ลาม
ศลิ ปะอสิ ลามในอดตี ไดร้ บั การพฒั นามาจากหลาย
แหล่งทม่ี า เชน่ อิทธิพลจากศลิ ปะโบราณ ไม่วา่ จะเป็นกรกี
โรมัน ศลิ ปะของครสิ เตยี นตอนต้น หรือไบเซนไทน์ อทิ ธิพล
จากศิลปะเหล่าน้ีได้ถูกรับและถ่ายทอดออกมาในศิลปะ
อิสลามระยะต้น อิทธิพลจากศิลปะซาสซานิด (Sassanid)
ซึ่งเป็นศิลปะของเปอร์เซียก่อนอิสลาม รวมไปถึงศิลปะ
ของชนเผ่าเร่ร่อนในเอเชียกลางและจีน ได้สะท้อนไปสู่การ
สรา้ งสรรคศ์ ลิ ปะประเภทเครอ่ื งปน้ั ดนิ เผา เสอื้ ผา้ สง่ิ ทอ และ
จติ รกรรม ตอ่ มาไดม้ กี ารพฒั นาศลิ ปะอยา่ งตอ่ เนอ่ื งจนขยาย
ขอบเขตออกไปส่งู านประเภทต่างๆ
ดังนั้น ศิลปะอิสลามไม่ได้หมายถึงงานศิลปะที่
จ�ำกัดการท�ำข้ึนภายใต้อิทธิพลของศาสนาอิสลามเท่าน้ัน
เพยี งแตด่ นิ แดนอาหรบั มบี ทบาทสำ� คญั เปน็ อยา่ งสงู ในการ
ก่อก�ำเนิดวัฒนธรรมอิสลาม แต่ถึงกระน้ันอาหรับก็ไม่ใช่
เจา้ ของแบบอยา่ งศลิ ปะอสิ ลามเพยี งชนชาตเิ ดยี ว บรบิ ทของ
ศิลปะอิสลามมีความแตกต่างกันไปตามท้องถ่ินท่ีศาสนา
อิสลามน้ันแผ่ไปถึง ท�ำให้มีการผสมผสานกับวัฒนธรรม
ของแตล่ ะท้องถิ่น เพียงแตม่ หี ลกั เกณฑท์ ี่เหมอื นกันคอื การ
สร้างสรรค์งานศิลปะให้อยู่ภายใต้หลักปฏิบัติของศาสนา
อสิ ลาม
35
บทที่ 2
ประวัตศิ าสตรศ์ ิลปะอสิ ลาม
มัสยดิ กุบาอ์
(Quba Mosque)
มัสยิดกุบาอ์ได้รับการบันทึกว่าเป็นมัสยิดแห่ง
มะดีนะฮ์ แรกของศาสนาอิสลาม รู้จักกันในช่ือ “มัสยิดตักวา”
ประเทศซาอุดอี าระเบีย หมายถึงมัสยดิ ทส่ี รา้ งขน้ึ ดว้ ยความตัง้ ใจอันบริสุทธ์ิ
มสั ยดิ กบุ าอถ์ กู สรา้ งในระหวา่ งทที่ า่ นนบมี ฮุ มั มดั
(AD 622 / AH 1) อพยพจากนครมกั กะฮไ์ ปยงั นครมะดนี ะฮ์ ซงึ่ ทา่ นไดห้ ยดุ
พักท่ีเมืองกุบาอ์ เพื่อรอท่านอะลี (Ali) ในช่วงเวลาส้ันๆ
นั้น ท่านศาสดาได้ลงมือสร้างมัสยิดด้วยตัวท่านเองร่วม
กับบรรดาสหายผู้ติดตามของท่าน ท้ังหมดช่วยกันสร้าง
มัสยิดเล็กๆ ที่เรียบง่าย ก่อก�ำแพงเป็นชั้นๆ ไม่มีหลังคา
ใชเ้ พยี งกง่ิ ไมแ้ ละใบอนิ ทผลมั ใชเ้ วลาในการกอ่ สรา้ งเปน็
เวลา 14 วัน
มัสยดิ ในยุคแรก มัสยิดกุบาอ์ได้รับการบูรณะมาหลายยุค
‘Al-Masjid an-Nabawi’ สมัยจนถึงปัจจุบัน มีการขยายและต่อเติมครั้งล่าสุด
photo by بلال الدويك เมื่อปีคริสต์ศักราชท่ี 1986 โดยรัฐบาลของประเทศ
ซาอุดีอาระเบีย ได้ท�ำการบูรณะโดยใช้โครงสร้างของ
หินอ่อนจากมัสยิดสีขาวเป็นวัสดุส�ำคัญของผนังและตัว
อาคาร มสั ยดิ ประกอบดว้ ยโดม 6 หลงั และทงั้ 4 ทศิ ลอ้ ม
รอบไปด้วยหอ อะซาน (หอคอยประกาศเรยี กละหมาด)
36
บทที่ 2
ประวตั ิศาสตร์ศลิ ปะอสิ ลาม
Quba Mosque
Pre-Islamic, AD 622/AH 1
Medina, Saudi Arabia
37
บทที่ 2
ประวัติศาสตร์ศลิ ปะอิสลาม
เคาะลีฟะฮ์รอชิดีน
(Rashidun Caliphate)
ช่วงเวลา : AD 632 - 661 / AH 11 - 40
รวมระยะเวลาทง้ั สิ้น : 29 ปี
เมื่อท่านศาสดาเสียชีวิตลง จ�ำต้องมีผู้ปกครอง
รัฐอิสลามสืบทอดต่อ ในช่วงท้ายท่ีท่านศาสดามุฮัมมัด
ลม้ ปว่ ย ไดใ้ ห้ท่านอบูบกั รเ์ ปน็ ผู้นำ� ละหมาดแทน ดังนั้นเมอ่ื
ท่านศาสดาเสียชีวิต ชาวมุสลิมส่วนใหญ่จึงแต่งตั้งให้
ท่านอบูบักร์เป็นผู้น�ำคนแรกของอิสลาม หรือเรียกว่า
เคาะลีฟะฮ์ (เป็นชื่อเรียกแทนผู้น�ำศาสนาต่อจากท่าน
ศาสดา) มีการสถาปนาเขตปกครองเคาะลีฟะฮ์ หรือรู้จัก
กันอีกในนามวา่ “รฐั กาหลบิ ” โดยเป็นครงั้ แรกที่ชาวอาหรบั
รวมตัวกันได้และด้วยความเข้มแข็งนี้เอง ท�ำให้จักรวรรด ิ
ซาสซานิดล่มสลายลงและถูกเข้าปกครองแทนท่ีโดย
อาณาจกั รอสิ ลาม
รฐั เคาะลฟี ะฮร์ อชดิ นี มศี นู ยก์ ลางอยทู่ น่ี ครมะดนี ะฮ์
ได้ครอบครองพื้นที่ในดินแดนอาราเบียทั้งหมด ในสมัยท่ี
รุ่งเรืองที่สุดมีดินแดนครอบคลุมคาบสมุทรอาหรับ ตอน
เหนือของทวีปแอฟริกา ท่ีราบสูงอิหร่าน จนถึงเอเชียกลาง
ทางตะวันออก หลังท่านศาสดาเสียชีวิตจึงกลายเป็นช่วง
สมยั เคาะลฟี ะฮผ์ ปู้ ระเสริ ฐทงั้ 4 เรมิ่ ตง้ั แตส่ มยั อบบู กั ร,์ อมุ รั ,
อุษมาน จนถงึ อะลี ท่านท้ัง 4 ล้วนใชช้ วี ิตอย่างคนธรรมดา
พักในบ้านอย่างสมถะ ปฏิบัติตนอย่างคนปกติ เป็นเพียง
ผู้น�ำมุสลิม ไม่ได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์เหมือนท่ีเกิดขึ้นในสมัย
หลงั เปน็ ตน้ มา3 ซง่ึ รวมระยะเวลาดำ� รงต�ำแหน่งทง้ั สน้ิ 29 ปี
โครงสร้างงานศิลปะทั้งหมด ก่อนจะแตกแขนงออกเป็น
ศิลปะประยกุ ต์ตา่ งๆ ต่อมา
3 ปยิ ะแสง จันทรวงศ์ไพศาล. (2561). ศลิ ปะอสิ ลาม. หนา้ 22
บทท่ี 2
ประวัติศาสตรศ์ ลิ ปะอิสลาม
ราชวงศอ์ ุมัยยะฮ์
(Umayyad Caliphate)
ชว่ งเวลา : AD 661 – 750 / AH 40 - 132
รวมระยะเวลาท้ังส้ิน : 89 ปี
ราชวงศอ์ มุ ยั ยะฮ์ (Umayyad caliphate) ไดร้ บั การ
บนั ทกึ วา่ เปน็ ราชวงศม์ สุ ลมิ ราชวงศแ์ รก (The First Muslim
Dynasty) มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองชามหรือประเทศซีเรียใน
ปจั จุบัน เมืองหลวงคือเมืองดามสั กัส
ทา่ นมอุ าวยี ะฮ์ อบิ นุ อบี สฟุ ยาน ไดม้ คี วามขดั แยง้
กบั ท่านอะลี เคาะลฟี ะฮค์ นท่ี 4 จนเกดิ เป็นสงคราม ท�ำให้
เกิดการสูญเสียมากมาย หลังจากท่านอะลี เคาะลีฟะฮ์คน
ท่ี 4 เสียชีวิต ท่านหะสัน บุตรของท่าน อะลีได้รับเลือกต้ัง
เปน็ เคาะลฟี ะฮค์ นต่อไป แตด่ �ำรงต�ำแหน่งเคาะลฟี ะฮ์ไดไ้ ม่
กเ่ี ดอื น กย็ อมสละตำ� แหนง่ เคาะลฟี ะฮใ์ หแ้ กท่ า่ นมอุ าวยี ะฮ์
ทั้งน้ีเพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในรัฐอิสลาม พร้อมกับ
หลกี เลยี่ งความแตกแยกและการสญู เสยี ระหวา่ งชาวมสุ ลมิ
ดว้ ยกนั มากกวา่ นี้
ศิลปะในสมัยน้ีสะท้อนให้เห็นถึงสุนทรียภาพของ
ศิลปะอิสลาม มีการเร่ิมบูรณะความเป็นระเบียบภายใน
จกั รวรรดอิ สิ ลาม มกี ารออกเหรยี ญ และเงนิ อาหรบั แบบใหม่
มีการปฏิรูปภาษาอาหรับ โดยน�ำเอาสระและเครื่องหมาย
จุดมาใช้ จนเป็นภาษาอาหรับท่ีมีอิทธิพลจนถึงปัจจุบัน มี
การสร้างมัสยิดเพ่ือใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทาง
ศาสนาอิสลามมากข้ึน มีการใช้เทคนิคทางศิลปกรรมและ
สถาปัตยกรรมแบบเปอร์เซียโบราณและไบเซนไทน์ยุคต้น
ในงานศลิ ปกรรม และสถาปตั ยกรรมอสิ ลามของยคุ สมยั น4้ี
4 Hillenbrand Robert, (1999), Islamic Art and Architecture, London: Thames & Hudson World of Art
series, p. 23.
บทท่ี 2
ประวัตศิ าสตรศ์ ิลปะอสิ ลาม
40
บทท่ี 2
ประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะอสิ ลาม
Dome of the Rock
Umayyad, AD 691/AH 72
Jerusalem
41
บทที่ 2
ประวตั ศิ าสตรศ์ ิลปะอิสลาม
โดมศิลาทอง
(Dome of
the Rock) โดมศิลาทอง (Dome of the Rock) สร้างใน
สมยั เคาะลฟี ะห์ อบั ดลุ มาลดิ ถกู จดั วา่ เปน็ สถาปตั ยกรรม
เยรูซาเลม อิสลามที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง เป็นมัสยิดที่สวยงามและ
ประเทศอิสราเอล มชี อื่ เสยี งมากในกรงุ เยรซู าเลม สรา้ งขนึ้ ในปคี รสิ ตศ์ กั ราช
ท่ี 691
(AD 691 / AH 72) จุดเดน่ ของโดมศลิ าทอง (Dome of the Rock)
คอื การใชโ้ ดมใหญ่ (rotunda) ซงึ่ เปน็ ลกั ษณะการกอ่ สรา้ ง
แบบใหม่ส�ำหรบั สถาปตั ยกรรมอิสลาม
ตัวอาคารเป็นทรงแปดเหลี่ยม ตอนบนเป็นโดม
ไมท้ ต่ี ้ังอยู่บนเสา ตัวอาคารประดบั ดว้ ยหินอ่อนแกะสลกั
และกระเบ้ืองงานโมเสกด้วยลวดลายเรขาคณิต ใช้เวลา
สรา้ งทงั้ หมด 7 ปี
42
บทที่ 2
ประวัติศาสตรศ์ ลิ ปะอสิ ลาม
Dome of the Rock
Mosaic
Umayyad, AD 691/AH 72
Jerusalem
Dome of the Rock
Interior View
Umayyad, AD 691/AH 72
Jerusalem
43
บทท่ี 2
ประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะอสิ ลาม
มัสยดิ กลางแหง่ มสั ยดิ กลางแหง่ กรงุ ดามสั กสั สรา้ งขนึ้ ในสมยั ของ
ดามสั กัส เคาะลฟี ะฮอ์ ลั วะลดี บนฐานเดมิ ของเทวาลยั ของชาวโรมนั
(Great Mosque อาคารตกแตง่ ดว้ ยจติ รกรรมโมเสกแบบเทคนคิ ของศลิ ปะ
of Damascus) ไบแซนไทน์ เป็นภาพอาคาร ต้นไม้ และล�ำธาร คล้ายกับ
จ�ำลองภาพของสวนสวรรค์ในคติของศาสนาอิสลาม อีก
ดามัสกัส ทั้งยังเป็นตัวอย่างแรกๆ ของลายเรขาคณิตแบบศิลปะ
ประเทศซีเรยี อิสลามอีกด้วย มัสยิดแห่งน้ีได้กลายเป็นต้นแบบให้แก่
มัสยิดในยุคต่อมา เช่น มัสยิดกลางแห่งคอร์โดบาและ
(AD 706) มสั ยดิ กลางแหง่ ดยิ าร์บาคึร์
Photo by James Gordon Great Mosque of Damascus
Umayyad, AD 706
Damascus, Syria
44
Great Mosque of Damascus
Interior View
Umayyad, AD 706
Damascus, Syria
บทที่ 2 งานจิตรกรรมในสมัยอุมัยยะฮ์เป็นภาพของ
ประวตั ิศาสตรศ์ ิลปะอิสลาม ทัศนียภาพและภาพของลวดลายพรรณพฤกษา จะ
พบเหน็ ไดใ้ นรูปแบบงานโมเสกเปน็ ส่วนมาก เทคนิคคอื
งานจิตรกรรม การใชก้ ระเบอ้ื งเคลอื บสชี น้ิ เลก็ ๆ เรยี งตอ่ กนั ใหก้ ลายเปน็
(Painting) ภาพหรือลวดลาย เพื่อตกแต่งมัสยิดและสิ่งก่อสร้างให้
สวยงาม ดังเช่น “งานโมเสกท่ีกุบบะห์ตุสศ็อคเราะฮ์
Dome of the Rock หรอื โดมศิลาทอง (Dome of the Rock)” หรอื “งาน
‘Tree of Life’ โมเสกในก็อศร์ฮิชาม” ช่ือผลงาน “ต้นไม้แห่งชีวิต
The Great Mosque of (Tree of Life)”
Damascus
Mosaic on the facade “งานโมเสกในมัสยิดอุมัยยะฮ์ (Umayyad
Mosque) หรือ มหามัสยดิ แห่งดามสั กสั (The Great
Mosque of Damascus)” ทป่ี ระเทศซเี รีย บรเิ วณลาน
กว้างด้านในของมัสยิด มีการออกแบบและตกแต่ง
ด้วยกระเบ้ืองงานโมเสกอย่างงดงาม ส่ือถึงทิวทัศน์
สภาพแวดล้อม ท้ังภาพอาคาร บ้านเรือน พระราชวัง
ความอุดมสมบูรณ์ของพรรณไม้ต่างๆ บริเวณขอบ
ประดบั ดว้ ยลวดลายเรขาคณติ แบบมีจงั หวะสมำ่� เสมอ
46
Facade of Mshatta Palace
Umayyad, the 8th century AD
Amman, Jordan
photo by Joy of Museums
ประติมากรรม พระราชวงั มะชตั ตาสรา้ งขนึ้ ในชว่ ง ครสิ ตศ์ กั ราช
และงานแกะสลัก ที่ 743-744 ตามประตแู ละผนังตกแตง่ ดว้ ยงานประเภท
ทีพ่ ระราชวัง รูปบุคคลและสัตว์ในเทพนิยายที่ยังคงมีกล่ินอายของ
มะชัตตา ศิลปะจากไบแซนไทน์ แต่ผนังของอาคารฝั่งที่หันไป
(Mshatta) ทางกิบลัตหรือทิศของมัสยิดอัลฮะรอม ซึ่งเป็นทิศที่ต้อง
หันไปในยามละหมาดนั้นไม่ปรากฏภาพส่ิงมิชีวิตใดๆ
อัมมาน เลย มีเพียงลายพรรณพฤกษา แสดงให้เห็นว่าแนวคิด
ประเทศจอร์แดน ของมุสลิมในการแบ่งแยกศิลปกรรมเพ่ือศาสนาและ
ศิลปกรรมในชีวิตประจ�ำวันออกจากกันมีมาต้ังแต่ช่วง
(the 8th century AD) ต้นของอารยธรรมอสิ ลาม
ABBASID
CALIPHATE
ราชวงศ์อบั บาซียะฮ์
Abbasid Caliphate
AD 750 - 1258
AH 132 - 656
บทที่ 2
ประวตั ศิ าสตรศ์ ิลปะอิสลาม
ราชวงศ์อบั บาซยี ะฮ์
(Abbasid Dynasty)
AD 750 - 1258 / AH 132 - 656
รวมระยะเวลาท้งั สิน้ 508 ปี
หลังการล่มสลายของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ ดินแดน
อาหรับได้เปลี่ยนมาเป็นราชวงศ์อับบาซียะฮ์ (Abbasid
Dynasty) ไดย้ า้ ยเมอื งหลวงมาอยทู่ เ่ี มอื งแบกแดด ประเทศ
อิรัก ซ่ึงดินแดนน้ันเป็นเขตดินแดนของชาวเปอร์เซียเดิม
เน่ืองจากกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก เป็นศูนย์กลางของ
การค้าระหว่างโลกตะวันออกกับโลกตะวันตก ส่งผลให้ยุค
นี้มเี ศรษฐกิจที่ม่งั คั่ง ร�่ำรวย ถือเปน็ “ยคุ ทองแหง่ อิสลาม
(The Golden Age of Islam)” มีความเจริญก้าวหน้าทั้ง
ด้านวิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม ปรัชญา วรรณกรรม การค้า
แผนท่ี และศิลปะ ดังเช่น ความเจริญก้าวหน้าในยุคของ
เคาะลีฟะฮอ์ ัล มะอม์ ูน (Al Ma’mun) ทำ� ใหเ้ กิด “ศนู ยร์ วม
แหล่งความรู้ของโลกอย่างบัยตุ้ลฮิกมะฮ์ (บ้านแห่ง
วทิ ยปญั ญา หรอื House of Wisdom)”
50