ปฏิบตั ิการช่วยชีวิตทางยทุ ธวิธี ขนั้ พืน้ ฐาน
( Tactical Combat Casualty Care )
วตั ถปุ ระสงค์
สามารถอธบิ ายหลักการ ข้ันตอนและปฏิบัตกิ ารดแู ลผู้บาดเจบ็ ทางยุทธวธิ ี
(Tactical Combat Casualty Care, TCCC)
1. สามารถดูแลชว่ ยเหลือผูบ้ าดเจบ็ ทางยทุ ธวธิ ีได้
2. สามารถดูแลผู้บาดเจบ็ ระหว่างการปะทะ (Care under fire)
เน้นการหา้ มเลอื ดดว้ ยสายยางรัดห้ามเลอื ด และการขนั ชะเนาะแบบแสวงเครอ่ื งได้
ถกู ต้อง
3. สามารถอธิบายและปฏบิ ตั ติ ามข้ันตอนการดแู ลในพืน้ ทห่ี ลงั การปะทะ (Tactical
Field Care)
4. สามารถอธบิ ายและปฏบิ ตั ิ การส่งกลับทางยทุ ธวธิ ี, การลาเลยี ง และ การคดั แยกผู้บาดเจ็บไดถ้ กู ต้อง
2
ความ เหตุผลสาคญั ท่ีต้องเรยี นรู้
รนุ แรง การดูแลผูบ้ าดเจ็บทางยุทธวธิ ี (TCCC)
ของการ
บาดเจบ็ คือ
และการ
เสียชีวิต TCCC ชว่ ยทาใหผ้ บู้ าดเจ็บในสนาม
รบมชี ีวิตรอด
3
ความแตกต่างของการดแู ลกอ่ นถึง รพ. ระหว่าง ทหาร กบั พลเรอื น
❑ การดูแลภายใตก้ ารปะทะ
❑ สภาพแวดลอ้ มท่ีเลวร้าย
❑ ลักษณะความแตกตา่ งทางระบาดวิทยาของบาดแผล
❑ เคร่ืองมืออปุ กรณท์ จ่ี ากดั
❑ ความตอ้ งการทางยุทธวธิ ี
❑ ระยะเวลาการส่งไปยังสถานพยาบาลทย่ี าวนาน
❑ การฝึกและประสบการณข์ องนายสิบพยาบาล
4
ความสาคัญของผชู้ ว่ ยเหลือคนแรก ( First Responder; FR )
❑ ประมาณ 90 เปอรเ์ ซ็นต์ ของการเสียชีวติ ในสนามรบเกิดขึ้นก่อนท่ผี ้บู าดเจ็บจะ
ไปถึงสถานพยาบาล
❑ ชีวติ ของผบู้ าดเจบ็ อยใู่ นมือของบคุ คลแรกท่เี ขา้ ไปให้ความชว่ ยเหลือ เชน่ นาย
สิบพยาบาล นายสบิ กู้ชีพ หรือ แมแ้ ต่กาลงั พลเหล่าอื่นๆท่ีไมใ่ ช่เหลา่ แพทย์
❑ เปา้ หมายของ TCCC คือ ชว่ ยกาหนดการรกั ษาผบู้ าดเจบ็ ไมใ่ หเ้ สยี ชวี ติ จาก
การตายทส่ี ามารถปอ้ งกนั ได้ ทาใหเ้ ขาเหล่าน้ันมชี วี ิตรอดจนถึง รพ.
❑ การเสียชวี ติ ส่วนใหญเ่ หล่านไ้ี ม่สามารถทจี่ ะปอ้ งกนั ได้ ตวั อยา่ งเชน่ การ
บาดเจบ็ ทศ่ี รี ษะอยา่ งรุนแรง การบาดเจบ็ ทรี่ ่างกายอย่างรนุ แรง เปน็ ต้น
5
การจดั การดูแลผู้บาดเจ็บ
❑ ถ้าผู้บาดเจบ็ ถกู นาสง่ ไปยงั รพ.พลเรอื น หรือ ศูนย์ดูแลผบู้ าดเจบ็
ไดร้ บั การรกั ษาจากทีมแพทย์ท่ใี ชเ้ ทคโนโลยที ี่ทนั สมยั ทสี่ ดุ และ
ทางานภายใต้เง่อื นไขที่สามารถควบคมุ ได้ อยู่ในพ้นื ทีป่ ลอดภัย
❑ ถา้ เป็นการบาดเจบ็ ในสถานการณท์ างยทุ ธวิธี จะเกิดอะไรข้นึ
❑ TCCC จะช่วยนาทางใหเ้ รารู้วา่ เราควรจะทาอย่างไร
❑ TCCC ช่วยทาใหเ้ กิดสงิ่ ท่ีเรียกว่า
“การแพทยด์ ี ด้วยเทคนิควธิ ีการที่ดี”
6
การเสียชีวิตในการรบทผี่ า่ นมา
❑ เสียชีวิตในการรบ : 31% แผลทะลทุ ีศ่ รี ษะ
❑ เสียชวี ิตในการรบ : 25% บาดแผลฉกรรจท์ ่ลี าตวั
❑ เสียชีวิตในการรบ : 10% บาดเจบ็ ที่ต้องผ่าตัด
❑ เสียชีวิตในการรบ : 9% การตกเลอื ดจากบาดแผลที่แขน/ขา
❑ เสยี ชวี ิตในการรบ : 7% แผลอวัยวะฉีกขาดจากการระเบิด
❑ เสยี ชวี ิตในการรบ : 4% แรงดันในชอ่ งเยอื่ หุม้ ปอด
❑ เสียชีวติ ในการรบ : 2% ปัญหาทางเดินหายใจ
❑ เสยี ชวี ิตจากบาดแผล: 5% สว่ นมากจากการติดเชื้อและอาการชอ็ ก แทรกซอ้ น
7
❑ การเสยี ชีวติ ในการรบ อนั ดับ 1 เสยี ชีวติ ในการรบ :
9% การเสียเลอื ดจากบาดแผล ทแี่ ขน/ขา
❑ การเสยี ชวี ติ ในการรบ อนั ดบั 2 เสยี ชวี ิตในการรบ :
4% แรงดันในช่องเยอ่ื หมุ้ ปอด
❑ การเสยี ชวี ติ ในการรบ อนั ดับ 3 เสยี ชวี ติ ในการรบ :
2% ปัญหาทางเดินหายใจ
8
โอกาสรอดชวี ิต
ผู้บาดเจบ็ ประมาณ 15 % เสียชีวติ กอ่ นถงึ รพ. สามารถรอดชวี ติ ไดห้ าก
ได้รบั การรกั ษาพยาบาลทเี่ หมาะสม ไดแ้ ก่
✓ ทาการหา้ มเลือด
✓ ชว่ ยลดแรงดนั ในช่องเยื่อหุ้มปอด
✓ ช่วยเปิดทางเดนิ หายใจ
เป้าหมายของ TCCC
1. ปฏบิ ตั ิภารกจิ ให้สาเรจ็ ลลุ ว่ ง
2. ลดการเสยี ชีวิตท่ีปอ้ งกันได้
3. ปอ้ งกันไม่ให้มีผู้บาดเจบ็ เพมิ่ เตมิ
9
หลกั การดแู ลผบู้ าดเจบ็ ทางยทุ ธวิธี (TCCC) แบง่ เป็น 3 ห้วง
1. การดแู ลระหว่างการปะทะ (Care Under Fire)
2. การดแู ลในพนื้ ท่ีหลงั จากการปะทะ (Tactical Field Care)
3. การส่งกลบั ทางยทุ ธวิธี (Tactical Evacuation Care)
10
การดแู ล
ระหว่าง
การปะทะ
Care
Under
Fire
11
(2) สามารถอธบิ ายขนั้ ตอนการดแู ลผบู้ าดเจบ็ ระหวา่ งการปะทะ (Care under fire)
❑ เน้นการยงิ โต้ตอบ
❑ การห้ามเลือดด้วยสายยางรัดห้ามเลอื ด
❑ การขันชะเนาะแบบแสวงเครื่อง
การดแู ลระหว่างการปะทะ (Care under fire)
➢ ในสถานการณน์ ท้ี ัง้ ผูเ้ ขา้ ชว่ ยเหลือ และผบู้ าดเจ็บ ยังคงอย่ภู ายใต้การโจมตี
ของข้าศึก อยู่ในภาวะอันตราย
➢ การรกั ษาพยาบาลกระทาได้อยา่ งจากดั เชน่ มีเพียงกระเปา๋ นายสิบพยาบาล
12
แนวทางการดูแลผ้บู าดเจ็บระหวา่ งการปะทะ
1. ยงิ ตอบโตใ้ นทกี่ าบงั คานึงถึงความปลอดภยั ของเรากอ่ นเปน็ ลาดบั แรก
2. เข้าชว่ ยเหลือผูบ้ าดเจบ็ เมอื่ สถานการณป์ ลอดภัย
3. เคล่ือนย้ายผูบ้ าดเจ็บเขา้ สู่ทก่ี าบงั และให้ทาการชว่ ยเหลอื ตัวเองก่อน (self-aid) ถา้
ผู้บาดเจบ็ สามารถชว่ ยเหลือตัวเองได้
4. หลกี เลยี่ งการทาให้มีผูบ้ าดเจ็บเพมิ่ เตมิ
5. ปอ้ งกนั การเสยี ชีวิตจากการเสยี เลอื ดทนั ทีทีท่ าได้
ให้ผบู้ าดเจบ็ ทาการช่วยเหลอื ตวั เองก่อน(self-aid)ถ้าสามารถช่วยเหลือตัวเองได้
ใช้สายยางรัดห้ามเลือดในการห้ามเลอื ดในบรเิ วณแขน ขา ที่มบี าดแผลเลือดออก
(รายละเอยี ดการใชอ้ ยใู่ นเรอ่ื งการใชส้ ายยางรดั ห้ามเลอื ด)
เคลื่อนย้ายผบู้ าดเจบ็ เขา้ ทกี่ าบงั
13
แนวทางการดูแลผบู้ าดเจ็บระหว่างการปะทะ (ต่อ)
เนน้ การทาภารกจิ ใหส้ าเรจ็ และทาการดูแลผู้บาดเจ็บภายใต้การยิงเม่อื ปลอดภัย
ส่งิ ที่ดที ส่ี ุดในการดแู ลผูบ้ าดเจ็บอาจจะไมใ่ ชส่ ิ่งทีด่ ีที่สดุ สาหรบั ภารกจิ
ถา้ ยงั มกี ารยิงเกดิ ขน้ึ อย่จู ะยังไมท่ าการเข้าไปช่วยเหลือผบู้ าดเจ็บในบรเิ วณทม่ี ี
อนั ตราย (Kill Zone)
ยงิ ตอบโตข้ า้ ศึกด้วยอานาจการยิงท่เี หนอื กวา่ แลว้ จึงเขา้ ไปชว่ ยเหลือผ้บู าดเจ็บ
และเคล่ือนย้ายเข้าสทู่ ่ีกาบงั เมอ่ื สถานการณ์ปลอดภยั
ยงิ ตอบโตข้ ้าศึกดว้ ยอานาจการยงิ ที่เหนอื กวา่ จะชว่ ยลดความเสี่ยงของทีมทจี่ ะเข้า
ไปชว่ ยเหลือผู้บาดเจบ็ เพื่อไม่ใหม้ ีผู้บาดเจบ็ เพิ่มขึ้น
อานาจการยิงทเ่ี หนือกวา่ เกิดจากการช่วยกนั ของทีมทีจ่ ะเขา้ ชว่ ยและตวั
ผูบ้ าดเจบ็ เอง “ยาท่ดี ที ส่ี ดุ ในสนามรบคืออานาจการยงิ ทีเ่ หนอื กว่า”
14
การเคลอ่ื นย้ายผ้บู าดเจ็บเข้าสู่ทกี่ าบัง
➢ ถา้ ผูบ้ าดเจ็บสามารถเคลอื่ นทเ่ี องได้ ใหเ้ คลอ่ื นท่ีเขา้ ทก่ี าบังเอง โดยให้
ระวงั การยงิ จากฝา่ ยข้าศกึ
➢ ถา้ ผบู้ าดเจบ็ ไมส่ ามารถเคลอ่ื นที่เองได้หรอื ไมร่ สู้ ึกตัว การเข้าช่วยเหลือ
จะตอ้ งรอกอ่ นจนกว่าสถานการณ์จะปลอดภัย
➢ ถ้าผ้บู าดเจ็บรู้สึกตัวแต่ไมส่ ามารถเคล่ือนทเี่ องได้ การเข้าช่วยเหลือ
จะต้องรอก่อนจนกวา่ สถานการณจ์ ะปลอดภยั
15
การเขา้ ช่วยเหลอื ผูบ้ าดเจบ็ ภายใต้การยิง
โดยทไี่ ม่มอี าวุธในการตอ่ สูแ้ ละปอ้ งกันตวั เอง
พยายามชว่ ยเหลอื ผบู้ าดเจ็บเขา้ สูท่ ่กี าบงั
มีทมี เข้ามาช่วยเหลือเพม่ิ อีก
16
คนแรกท่ีเข้ามาช่วยถูกยงิ
คนแรกทเี่ ขา้ มาชว่ ยถูกยิงที่ศีรษะลม้ ลง
โดยพลแม่นปนื ของฝา่ ยขา้ ศกึ
17
การเคล่อื นยา้ ยผบู้ าดเจบ็ เข้าสทู่ ่ีกาบงั (ต่อ)
❑ การลากดว้ ยบคุ คลคนเดยี ว
❑ การลากดว้ ยบคุ คลสองคน
1. การเคลือ่ นยา้ ยดว้ ยบคุ คลคนเดยี ว
ข้อดี: สามารถถืออาวธุ ได,้ ใช้คนช่วยเหลอื คนเดียว
ข้อเสีย: เคลือ่ นที่ไดช้ า้ , ผูบ้ าดเจบ็ ตอ้ งถูกลาก อาจอยู่ในทา่ ทไี่ ม่เหมาะสม
18
วธิ ีปฏบิ ตั ิ การลากดว้ ยบุคคลคนเดียว
✓ เม่อื สถานการณ์ปลอดภัย
✓ ผเู้ ข้าทาการช่วยเหลอื จึงเข้าหาผู้บาดเจบ็ ด้วยความระมดั ระวงั
โดย การคลานตา่ เขา้ เขยา่ ลกุ แล้ว ลากคอเสือ้ /สายโยงบ่า เขา้ ทีก่ าบงั
✓ ใช้มอื ข้างถนดั ถอื อาวุธปนื เพ่ือระวังปอ้ งกัน
✓ ใช้มือข้างไม่ถนดั จบั เสื้อ/คอเส้อื /สายโยงเป้/เสื้อเกราะของผบู้ าดเจบ็ เพ่อื ใช้
ในการเคล่ือนยา้ ย
✓ ขณะเคลอ่ื นยา้ ยผู้บาดเจบ็ เข้าทก่ี าบังจะตอ้ งทาการระวังป้องกันจากการยิง
ของข้าศึกไปดว้ ย
19
2. การลากดว้ ยบคุ คลสองคน
ขอ้ ดี: เคลอื่ นทีเ่ ข้าสูท่ ี่กาบังได้เร็วกวา่ แบบคนเดยี ว
ข้อเสีย: ใชท้ มี ช่วยเหลอื เขา้ เสย่ี งเพิม่ ขน้ึ
20
การลากดว้ ยบคุ คลสองคน
วิธีปฏบิ ัติ
✓ เมอ่ื สถานการณป์ ลอดภัย
✓ ผ้เู ขา้ ทาการช่วยเหลือจึงเข้าหาผู้บาดเจ็บด้วยความระมัดระวัง
โดย การคลานต่าทง้ั 2คน เข้าเขยา่ ลุกแลว้ ลากคอเสื้อ/สายโยงบา่ เข้าท่ีกาบงั
✓ ผู้ชว่ ยเหลอื คนหน่ึงใช้มือขา้ งถนัดถอื อาวธุ ปนื เพ่ือระวงั ป้องกนั
✓ ใช้มือข้างไม่ถนดั จับเสอื้ /คอเสื้อ/สายโยงเป้/เสอ้ื เกราะของผู้บาดเจ็บเพื่อใชใ้ น
การเคลือ่ นยา้ ย
✓ ขณะเคลอ่ื นยา้ ยผบู้ าดเจบ็ เข้าทกี่ าบงั ผู้ชว่ ยเหลือคนทถ่ี อื ปนื จะต้องทาการระวัง
ป้องกันจากการยิงของขา้ ศกึ ไปดว้ ย
21
ความเรง่ ดว่ นทางการแพทย์อนั ดับแรก ในระหวา่ งการปะทะ
❑ รีบทาการหา้ มเลือด ทีมีเลอื ดออกจานวนมาก
❑ การเสยี เลือดจานวนมากที่แขน-ขา พบไดบ้ อ่ ยทส่ี ดุ และเป็นการตายที่
สามารถปอ้ งกันได้
❑ ทหารมากกวา่ 2,500 นาย ทีไ่ ดร้ บั บาดเจ็บจากการส้รู บในสงครามเวียดนาม
เสียชวี ติ จากเลือดไหลออกท่ีแขน-ขา จานวนมาก ซึ่งทาให้เกดิ ภาวะช็อก
และเสยี ชวี ิตในทส่ี ุด
❑ ควรรีบทาการหา้ มเลือดทีท่ าใหเ้ กิดความเสี่ยงต่อการสญู เสยี ชีวติ ในระหว่าง
การปะทะ
22
การห้ามเลอื ด ( M : Massive hemorrhage control )
❑ ทหารทกุ นาย ท่อี อกปฏบิ ัตภิ ารกิจจงึ ต้องมีความรู้ในการป้องกันการเสียเลอื ด
❑ ควรมีสายรัดหา้ มเลือด (สายยางรดั ห้ามเลอื ด หรือ CAT ) ประจากาย
❑ ต้องทาการฝึกและรวู้ ธิ ีการใชอ้ ย่างถูกต้อง
❑ สามารถหา้ มเลอื ดได้ เพอ่ื เป็นการชว่ ยเหลอื ตวั เองในเบอ้ื งตน้ (self-aid)
❑ การเสียเลอื ดทีพ่ บได้บ่อยคือบริเวณแขน-ขา
❑ การบาดเจ็บตอ่ เส้นเลือดขนาดใหญ่
ตอ้ งทาให้เลือดหยุดโดยเรว็ ท่ีสุด
เพราะสามารถทาใหเ้ กดิ “ภาวะชอ็ ก”
23
การสงั เกตเลอื ดท่ีออกจากบาดแผล
1. เลือดที่ออกจากเสน้ เลือดแดง: มสี แี ดงสด ไหลแรง พงุ่ ออกตาม
จงั หวะการเต้นของหวั ใจ
*** ถา้ เจอเลอื ดออกลกั ษณะนใี้ หร้ ีบใชส้ ายรดั หา้ มเลอื ด (สายยางรดั หา้ มเลอื ด
หรือ CAT ) ทันที
2. เลือดท่อี อกจากเสน้ เลือดดา: มีสแี ดงคล้า ไหลออกมาเรอ่ื ยๆ ไหลไมแ่ รง
3. เลือดทีอ่ อกจากเสน้ เลือดฝอย : สแี ดงคลา้ ไหลซมึ ออกมาช้าๆ
24
วธิ ีการการหา้ มเลอื ดในระหว่างการปะทะ
ใช้สายรดั ห้ามเลอื ด (สายยางรดั หา้ มเลอื ด หรือ CAT )
เปน็ อุปกรณช์ ้นิ แรก ในการหา้ มเลอื ดระหวา่ งการปะทะ
สายยางรัดห้ามเลอื ด C-A-T
25
การใช้สายยางรดั หา้ มเลอื ด
1. ใชไ้ ดก้ บั การตกเลือดท่แี ขนขา
2. แขนขาขาด ถูกระเบิด บาดแผลฉกรรจ์
3. ใหใ้ ชส้ ายยางรดั หา้ มเลอื ดไว้ ตอ้ งรัดใหแ้ นน่ พอที่จะทาให้เลือดหยดุ ได้
หรือคลาชีพจรส่วนปลายไมไ่ ด้
***การคลาชีพจรใหใ้ ช้นว้ิ ช้ีและนวิ้ กลาง ห้ามใช้นวิ้ หัวแมม่ อื เพราะเส้นเลือดท่ี
นิ้วหัวแมม่ ือเตน้ แรง อาจทาใหส้ ับสนวา่ เปน็ ชพี จรของผู้บาดเจบ็ หรอื ผจู้ บั ชีพจร
26
การใช้สายยางรดั ห้ามเลอื ด (ตอ่ )
➢ การสงั เกตเลอื ดทอี่ อกหลังจากรดั แนน่ พอ คือ เลอื ดจากหลอดเลอื ดแดงหยดุ ไหล
แต่เลอื ดจากหลอดเลอื ดดาในส่วนทอ่ี ยู่ตา่ ลงไปของแขนขาจะไหลออก จนกระท่งั
เลอื ดทอี่ ยใู่ นหลอดเลอื ดดาไหลออกหมดจึงจะหยุด ฉะน้นั อย่ารดั ใหแ้ น่นขน้ึ อกี
➢ ถ้ารัดแน่นเกนิ ไปทาใหข้ าดเลอื ดไปเล้ยี งส่วนทต่ี า่ กวา่ สายรดั อาจทาใหเ้ น้อื เยอ่ื
ส่วนนัน้ ตาย จนต้องถกู ตดั แขนหรือขา
27
การใช้สายยางรดั หา้ มเลอื ด (ต่อ)
การวางสายรดั ห้ามเลอื ด ควรรดั ใหเ้ หนอื ตน้ แขนหรอื ต้นขา เพราะมีกระดกู
ชนิ้ เดยี ว จึงกดเส้นเลอื ดแดงได้ดกี ว่าแขนขาทอ่ นล่างซ่ึงมกี ระดกู 2 อนั
ขอ้ ควรจา: หา้ มใชส้ ายยางรัด รัดบนขอ้ ศอกและขอ้ เขา่
1. ไม่ควรคลายสายรัดออกจนกว่าจะถึงมอื แพทย์
2. ต้องรีบนาผบู้ าดเจบ็ ส่งแพทย์โดยเรว็ ท่ีสดุ
28
การใช้สายยางรดั ห้ามเลอื ด (ตอ่ )
ขอ้ ดี :
1. ทาไดง้ า่ ยและรวดเร็ว ได้ผลเร็วทีส่ ดุ
2. เหมาะสมทจ่ี ะใชใ้ นชว่ งเวลาทีม่ ีการปะทะ
ขอ้ เสยี :
1. เพม่ิ ความเจ็บปวดให้แก่ผบู้ าดเจบ็
2. ทาใหเ้ ส้นประสาท หลอดเลือดและเนอ้ื เย่อื ไดร้ ับบาดเจบ็
และขาดเลอื ดมาเลย้ี งของอวยั วะทีต่ า่ กว่าสายรัดอาจตอ้ งตัดอวยั วะน้ันท้งิ
29
การใช้สายยางรัดหา้ มเลอื ด (ตอ่ )
1. ยืดสายรดั ห้ามเลือดออกให้มากท่ีสุด
✓ รดั ต้นแขนบริเวณรักแร้ หรือ ต้นขาบริเวณขาหนบี
✓ รัดลงบนเสือ้ ผา้ ได้โดยไม่ตอ้ งตดั เส้ือผ้าออก เนือ่ งจากเวลามีจากดั ในกรณีทไี่ ม่
สามารถประเมนิ ตาแหนง่ และความรนุ แรงของบาดแผลในขณะน้ันได้
✓ ผูกเง่ือนตายให้แนน่ ที่สดุ
2. ถา้ ใชส้ ายรดั หา้ มเลอื ดเสน้ แรกแล้วเลอื ดยังไม่หยดุ ไหล
✓ ใหร้ ัดสายรดั หา้ มเลอื ดเสน้ ที่ 2
โดยรัดเหนอื เสน้ แรก ห้ามถอดเสน้ แรกออก
30
การใช้สายยางรัดห้ามเลอื ด (ตอ่ )
3. หา้ มคลายสายยางรัดออกโดยเดด็ ขาด จนกว่าจะถึงมอื แพทย์
เขยี นตัว T ไวท้ หี่ น้าผากผบู้ าดเจบ็ ดว้ ยปากกา หรอื ใช้เลอื ดของ
ผู้บาดเจบ็ เขยี น เขียนบรเิ วณที่ท่เี จา้ หนา้ ท่ีแพทยม์ องเหน็ ไดง้ ่าย
4. บนั ทึกเวลารดั สายยางไวใ้ นบตั รบันทึกผบู้ าดเจ็บในสนาม
31
วิธีการใช้สายยางรัดห้ามเลอื ด
ยดื สายยางรดั ออกใหม้ ากทสี่ ดุ
32
การวางสายยางรัดห้ามเลอื ดเหนอื บาดแผล
บริเวณต้นขาข้างท่ีไดร้ บั บาดเจ็บ ในห้วงระหว่างปะทะ
ใช้สายยางรัดหา้ มเลอื ด หรอื CAT รัดให้สงู ท่สี ดุ จนเกอื บชดิ รกั แร้ หรือ ขาหนบี
และขันให้แนน่ จนเลอื ดหยดุ ไหล ( สงู และแนน่ ; High and Tight )
เพ่ือช่วยเหลอื ตัวเอง ( self-aid )
33
พันสายยางรดั หา้ มเลอื ด 2 รอบ บริเวณตน้ ขาข้างท่ไี ด้รบั บาดเจ็บ
ผกู เง่ือนตายให้แนน่ ท่ีสุด
34
❑ หากผู้บาดเจ็บ ไมส่ ามารถทาการหา้ มเลือดดว้ ยตนเองได้ ใหผ้ ู้ชว่ ย (Buddy-aid)
ทาการห้ามเลอื ดให้ ดว้ ยการใชเ้ ขา่ กดบรเิ วณเส้นเลอื ดใหญ่ที่รักแร้ หรือ ทข่ี าหนีบ
แลว้ ใช้สายรัดหา้ มเลอื ด ( สายยางรดั ห้ามเลือด หรือ CAT ) รัดให้สงู ที่สดุ จน
เกือบชดิ รักแร้ หรือ ขาหนบี และขนั ใหแ้ นน่ จนเลือดหยดุ ไหล
( สูงและแนน่ ; High and Tight )
❑ ให้ตรวจสอบการห้ามเลือดทีไ่ ด้ทาไวอ้ ีกครัง้ รวมทง้ั ตรวจหาว่ามีบาดแผลทอ่ี นื่ อีก
หรอื ไม่ หากสายรัดห้ามเลอื ด (สายยางรดั หา้ มเลอื ด หรอื CAT ) อนั แรก
ไมส่ ามารถห้ามเลอื ดได้ ใหใ้ ช้สายรัดหา้ มเลอื ดเส้นทส่ี อง รดั เหนอื ตอ่ เส้นแรกและ
ขันให้แนน่ จนเลอื ดหยดุ ไหล
35
การใชส้ ายรดั ห้ามเลอื ด แบบ C-A-T
(Combat Application Tourniquet)
เปน็ สายรัดห้ามเลอื ดในสนามรบทป่ี ระเทศสหรัฐอเมรกิ า นิยมใชเ้ น่อื งจากมปี ระสิทธภิ าพ
และใชไ้ ดร้ วดเรว็ สะดวก สามารถใช้ไดด้ ้วยมอื ข้างเดียว มขี นาดเล็กและเบา
แถบติดในตัว
สายรดั clip (Self–Adhering Band)
(Windlass Strap)
ตวั clip ล็อคแทง่ ขนั
แ(Rทo่งขdนั) (Windlass Clip)
36
วิธใี ช้ C-A-T tourniquet
1. สอดห่วง Tourniquet เข้าไปตามแขนขาข้างทม่ี แี ผลเลือดออกมาก
2. วาง Tourniquet ไว้เหนือตน้ แขน – ตน้ ขา ขา้ งทมี่ ีบาดแผล
37
3. ดงึ ปลายสายของหว่ ง 4. แดขงึ นปโลดายยยสังาไยมหใ่ หว่ ง้ผร่าดั นใตหวั แ้ cนli่นpรอบ
ใหเ้ กดิ การรดั ท่แี น่นขึ้น
5. หมนุ แทง่ ขันให้แนน่ 6. ยดึ แท่งขันไว้กับตวั clip เพือ่
จนเลือดหยดุ ปอ้ งกันการคลายเกลียว
38
7. พันสายห่วงทับผา่ นแท่งขันไป
8. พนั ทบั สายห่วงและแทง่ ขนั ดว้ ยสายรดั clip โดยตอ้ งรดั ใหแ้ น่น
39
สรปุ ประเดน็ การห้ามเลอื ด
❑ ทหารทกุ นายตอ้ งสามารถใชส้ ายรดั หา้ มเลอื ด (สายยางรัดหา้ มเลอื ด หรอื CAT)
เพื่อช่วยเหลือตนเองได้
❑ ควรมกี ารฝกึ ฝนทกั ษะการใชส้ ายรัดห้ามเลือด จากชุดปฐมพยาบาลประจากาย
ทหาร ท่เี กบ็ ไว้ในบริเวณท่ที ราบโดยทว่ั กัน
❑ ทหาร และ นายสิบพยาบาลทต่ี กอยู่ในอันตราย ใชส้ ายรดั ห้ามเลอื ด โดยไม่ต้อง
ลงั เล รัดบริเวณตน้ แขน-ขา รัดให้สูงและแน่น ( High and Tight )
❑ ไม่ควรใชส้ ายรัดห้ามเลอื ด ถ้าเป็นแผลเลือดออกเล็กนอ้ ย
❑ การตัดสินใจใช้สายรัดห้ามเลอื ด ควรพจิ ารณาถึงความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บทีจ่ ะ
เกดิ ข้นึ และการเสยี เลือดที่อาจจะทาใหเ้ สียชวี ิต
40
สรปุ ประเดน็ การห้ามเลอื ด (ตอ่ )
❑ เลือดออกทไี่ ม่เปน็ อันตรายถึงชีวิต ควรใหก้ ารรักษาในระยะถดั ไปทอ่ี ยู่ใน
ระยะเวลาหลังการปะทะ
❑ ในระยะปะทะ การรัดสายยางรัดหา้ มเลอื ด หรอื CAT ให้รัดบนเสอื้ ผา้ ได้เลย
ไมจ่ าเป็นต้องถอดเสอ้ื ผ้าออก
❑ รัดใหแ้ นน่ พอ เพ่อื ทาใหเ้ ลือดหยดุ ไหล
❑ รดั เสน้ ที่สองใหเ้ หนอื เส้นแรกขึน้ ไป
❑ ไม่รัดบนข้อศอก หรอื ขอ้ เขา่
❑ ไม่รดั บนกระเปา๋ ซ่งึ อาจจะมสี ่ิงของอยู่ภายใน ทาใหไ้ มม่ ีประสิทธิภาพ
41
สรปุ ประเดน็ สาคญั ระหว่างการปะทะ
❑ ทาการยิงตอบโต้
❑ แนะนาใหพ้ ลรบ และ คนทีบ่ าดเจบ็ ใหท้ าการยิงต่อสตู้ ่อไป
❑ บอกใหผ้ ู้บาดเจ็บเข้าทีก่ าบัง
❑ ปอ้ งกันไมใ่ หม้ กี ารบาดเจบ็ เพิ่มเตมิ
❑ นาผู้บาดเจ็บออกจากยานพาหนะ อาคารที่กาลังลุกไหม้
❑ การเปดิ ทางเดินหายใจไมค่ วรทาในระยะน้ี แตค่ วรทาหลังการปะทะส้นิ สุดลง
❑ ควรรบี ทาการห้ามเลอื ดให้ได้
❑ บอกให้ผบู้ าดเจบ็ ทาการห้ามเลอื ดด้วยตนเอง ถ้าเป็นไปได้
42
การดแู ลใน
พนื้ ที่หลงั
การปะทะ
Tactical
Field
Care
43
(3) สามารถอธบิ ายขน้ั ตอนการดแู ลในพนื้ ที่รบหลงั การปะทะ (Tactical Field Care)
❑ เน้นการห้ามเลอื ดเพิ่มเตมิ ดว้ ยแตง่ แผล และอุปกรณห์ ้ามเลือดอน่ื ๆ
❑ การเปดิ ทางเดนิ หายใจ การดแู ลการหายใจและบาดแผลทรวงอก
❑ การประเมินระดับการรู้สติ การประเมนิ อาการผ้บู าดเจบ็
การดูแลในพืน้ ที่รบหลงั การปะทะ (Tactical Field Care)
➢ เป็นสถานการณ์เมอ่ื ผู้ช่วยเหลอื และผ้บู าดเจ็บไมอ่ ยู่ในพ้ืนท่กี ารรบ แตม่ ี
อปุ กรณ์ทางการแพทยจ์ ากดั
➢ การดูแลในระยะนี้มีเปา้ หมาย คอื ผู้เข้าชว่ ยเหลอื สามารถดแู ลผ้บู าดเจบ็ ปฐม
พยาบาลบาดแผลทไ่ี มเ่ ป็นอนั ตรายถงึ ชวี ิต
44
แนวทางการปฏบิ ัตเิ พอื่ ความปลอดภัย ณ ท่เี กิดเหตุ (Scene safety)
1. สวมถงุ มือทุกครั้งทที่ าการประเมินอาการผ้บู าดเจบ็
2. ตรวจสอบความปลอดภัยของสถานการณ์ เพื่อความปลอดภัยของผู้ชว่ ยชีวติ เชิง
ยุทธวธิ ี และ ผบู้ าดเจบ็
3. รายงานสถานการณใ์ ห้ผู้บังคับบญั ชารบั ทราบ โดยยอ่ เชน่ ผู้ปว่ ยเจบ็ กี่นาย
และหรอื รอ้ งขอความช่วยเหลอื เมือ่ เกินความสามารถ
4. ปลดอาวุธ และ เริ่มทาการคดั แยก
45
แนวทางการประเมินผู้บาดเจ็บ
❑ ประเมนิ อาการสาคญั และสิ่งที่บง่ บอกอาการทจี่ ะเปน็ สาเหตแุ ห่งการเสยี ชีวิต
❑ ตรวจร่างกายอย่างรวดเร็ว: - ประเมินรา่ งกายทุกสว่ นครา่ วๆ
- หาจุดเลอื ดออกหรือกระดกู หกั เพ่ิมเติม
- ประเมินดบู าดแผลและปริมาณการเสียเลอื ด
- ดเู ลอื ดทีเ่ ปยี กชุม่ บนเสอ้ื ผา้
- ดทู างเขา้ และทางออกของบาดแผล
- ตรวจหา และหา้ มเลอื ดบาดแผลอื่นๆ
46
แนวทางการประเมินผู้บาดเจ็บและปฐมพยาบาล (ต่อ)
❑ การประเมนิ เบ้อื งตน้ ในหว้ งที่ไม่มีการปะทะ หรือภยั คุกคามผา่ นพ้นไปแล้ว อยู่
ในทก่ี าบงั อยา่ งปลอดภยั
❑ ให้เร่ิมทาการประเมนิ และปฐมพยาบาล ตามลาดบั ตัวอกั ษรย่อ MARCH
M: Massive hemorrhage การหา้ มเลือดออกปริมาณมาก
A: Airway การประเมิน และจัดการทางเดนิ หายใจ
R: respiration การประเมนิ การหายใจ และจดั การบาดแผลท่ีทรวงอก
C: Circulation การประเมินการไหลเวยี นโลหิต
H: Hypothermia and Head injury การป้องกันภาวะอุณหภมู ิตา่
และประเมนิ การบาดเจ็บที่ศีรษะจากระดับความรู้สึกตวั
47
Massive hemorrhage
การหา้ มเลอื ดออกปรมิ าณมากในพนื้ ท่หี ลงั การปะทะ
ขั้นตอน การหา้ มเลอื ดออกปรมิ าณมากในพน้ื ทห่ี ลงั การปะทะ
❑ ให้ตรวจสอบการหา้ มเลือดทไี่ ด้ทาไปแลว้ จากการใชส้ ายรัดห้ามเลอื ด
และตรวจหาบาดแผลอืน่ ๆ ท่ยี งั ไม่ได้ทาการหา้ มเลอื ด
❑ ใหต้ ัดเสอ้ื ผา้ ออก แลว้ ใช้สายรัดห้ามเลอื ดอีกเส้น รัดแล้วขนั เหนือแผล
ประมาณ 2-3 น้ิว จนเลอื ดหยุดไหล (คลาชีพจรสว่ นปลายไม่ได)้
❑ แล้วคลายสายรดั หา้ มเลอื ดเดิมทีข่ นั ไว้ตงั้ แตห่ ว้ งการดแู ลระหว่างการปะทะ
หรือ care under fire ออก
❑ หากสายรัดหา้ มเลอื ดเส้นท่ีรัดเหนอื แผล 2-3 น้วิ ไม่สามารถห้ามเลือดได้
ใหใ้ ชส้ ายรดั หา้ มเลอื ดอกี เส้นรดั ขันไวเ้ หนอื ต่อสายรดั หา้ มเลือดเส้นน้ัน
48
ข้ันตอน การหา้ มเลอื ดออกปรมิ าณมากในพนื้ ท่หี ลงั การปะทะ (ตอ่ )
❑ หากพบบาดแผลมเี ลอื ดออกปรมิ าณมากทบ่ี รเิ วณรอยตอ่ ของแขนขา เชน่ ท่ี
ขาหนบี หรอื รกั แร้ ให้ทาการห้ามเลือดโดยใช้ผา้ ก๊อซชุบสารห้ามเลอื ด
คอ่ ยๆยดั เขา้ ไปในโพรงบาดแผลใหแ้ น่น โดยยัดไปในทศิ ทางของศรี ษะ แล้ว
กดดว้ ยแรงคงที่ให้แนน่ อย่างนอ้ ยเปน็ เวลา 3 นาที จนเลอื ดหยุด แตถ่ ้าใช้ผา้
กอ๊ ซทไ่ี มช่ บุ สารหา้ มเลอื ดใหก้ ดแผลนาน 10 นาที
❑ หลังจากนัน้ ให้ปดิ ผ้าพันแผล พนั คล้องกบั เอวหรอื เขม็ ขัดไวเ้ พื่อชว่ ยเพม่ิ แรง
กดลงบนแผล
49
วธิ กี ารหา้ มเลอื ดเพม่ิ เติมในระยะน้ี ไดแ้ ก่
1.) การขันชะเนาะแบบแสวงเครอ่ื ง
2.) การกดโดยตรงที่บาดแผล
3.) การใช้ผา้ แตง่ แผล
4.) การใช้ผา้ มว้ นแบบยดื ได้
5.) การใชผ้ า้ สามเหลีย่ ม
1.) วธิ กี ารใชข้ นั ชะเนาะแบบแสวงเครื่อง
❑ สามารถประกอบข้นึ จากวสั ดุท่ียืดหยุ่น มคี วามแขง็ แรง เชน่ ผ้ากอ๊ ซ
ผ้ามสั ลิน (Muslin) หรือเส้ือผา้ ควรมีความกว้างประมาณ 2 น้วิ
❑ ใชร้ ว่ มกับวัตถุแข็งเปน็ แทง่
50