The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by scout thai, 2020-06-16 21:54:46

คู่มือส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมลูกเสือทักษะชีวิตในสถานศึกษา ประเภทลูกเสือสามัญ หลักสูตรลูกเสือโท ประถมศึกษาปีที่ 5

ลูกเสือสามัญ ป5

คู่มือสง่ เสริมและพัฒนากิจกรรมลกู เสอื ทักษะชวี ิตในสถานศกึ ษา
ประเภทลูกสามัญ หลกั สตู รลูกเสอื โท
ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5

สำ� นักงานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ

คูม่ อื ส่งเสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลูกเสือทักษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ลกู เสือโท ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 1

ค่มู อื ส่งเสริมและพฒั นากิจกรรมลกู เสือทกั ษะชีวิตในสถานศึกษา

ประเภทลกู เสือสามญั

หลกั สตู รลกู เสือโท
ชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 5

ปีที่พมิ พ ์ พ.ศ. 2562
จ�ำ นวนพิมพ ์ 200 เล่ม
จดั ท�ำ โดย ส�ำ นกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ
พมิ พท์ ่ ี โรงพมิ พช์ ุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จ�ำ กัด
79 ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตจุ ักร กรุงเทพมหานคร 10900
โทร. 0-2561-4567 โทรสาร 0-2579-5101
นายโชคดี ออสุวรรณ ผู้พมิ พผ์ ูโ้ ฆษณา

คำนิ ยม

นับว่าเป็นโอกาสและประโยชน์ที่สาคัญ อีกเร่ืองหน่ึงที่สานักการลูกเสือ ยุวกาชาดและกิจการ
นักเรียน ซึ่งเป็นหน่วยงานหน่ึงในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ผลิตตารา
ในลักษณะคู่มือส่งเสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลูกเสือทักษะชวี ิตในสถานศกึ ษาชุดน้ีข้ึน ซ่ึงมีเนอื้ หาท่ีสอดคลอ้ ง
กับปัญหาตามวัยและพัฒนาการของผู้เรียน และมีการบูรณาการกิจกรรมการเรียนการสอน เข้ากับวิธีการ
ลูกเสอื ครู อาจารย์ ผู้กากับลูกเสือ และบุคลากรทางการลูกเสอื จะได้นาไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ประเทศไทยกาลังกา้ วสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” ดังนัน้ ความถกู ต้องและชัดเจนในเรื่องการจัด
กจิ กรรมลูกเสอื จึงเป็นตาราและคู่มือทางการวิชาการ สาหรับกิจกรรมลูกเสือเพื่อจะใชเ้ ป็นเครื่องมอื ในการ
พัฒนาเยาวชนใหเ้ ป็นพลเมอื งดี มีความรอบรู้ สามารถช่วยตนเองได้ อันจะเป็นแรงผลักดันให้การศึกษาของ
ประเทศไทยมคี วามเจรญิ เท่าเทียมกับประเทศสมาชิกอาเซยี น และอารยประเทศอน่ื ๆ ท่ัวโลก ขอขอบคุณ
และให้กาลงั ใจตอ่ ผู้ทรงคุณวุฒิทางการลกู เสือ และผ้มู ีสว่ นรว่ มในการจัดทาคมู่ อื ส่งเสริมและพัฒนากิจกรรม
ลูกเสือทักษะชีวิตในสถานศึกษาเล่มนี้ทุกท่าน ที่ได้เสียสละ กาลังความคิด จนทาให้เสร็จส้ินโดยสมบูรณ์
อันจะเป็นประโยชน์ต่อกจิ การลกู เสืออย่างมาก ทั้งในปจั จุบนั และอนาคต

(นายการณุ สกุลประดษิ ฐ)์
ปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
นายการุณ สกุลประดษิ ฐ์
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

คำนิ ยม

คู่มือส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมลูกเสือทักษะชีวิตในสถานศึกษา เป็นเครื่องมือสาคัญสาหรับ
ครูผู้สอน ลูกเสือ เนตรนารี ท่ีจะใช้สาหรับวางแผนการสอน การวัดและการประเมินผู้เรียน จัดทาข้นึ โดยมี
เป้าหมายสาคัญ คือ เสนอแนวทางท่ีเหมาะสมในการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาต่าง ๆ สาหรับ
ครูผู้สอนนาไปใช้เป็นหลักการในการจัดการเรียนการสอน โดยสามารถพัฒนาและปรับปรุงให้ดีข้ึนตาม
ความรู้ ความสามารถของครผู ู้สอน ตามบรบิ ทแตล่ ะภูมภิ าค

หลักสาคัญของเอกสารชุดนี้ นอกเหนือจากเสนอแนวทางด้านเนื้อหาสาระสาคัญ วิธีสอน
ท่ีเหมาะสม การวัดและประเมินผล ตัวอย่างแบบทดสอบ วิธีทดสอบ แล้วยังสามารถต่อยอดทางความคิด
ของครูผู้สอนได้ เน่ืองจากเป้าหมายท่ีต้องการคือ การนาเอากระบวนการลูกเสือมาจัดการเรียนรู้ให้แก่
ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ในการทากิจกรรมอย่างครบวงจร เพื่อให้เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม
ตามกระบวนการของลกู เสือ จงึ เชอื่ ได้ว่า หากผู้เรยี นเข้าใจและปฏิบตั ิได้แล้ว จะเป็นคนดีในสังคมตอ่ ไป

ขอขอบคุณ ผู้ร่วมดาเนินการในการจัดทาคู่มือส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมลูกเสือทักษะชีวิต
ในสถานศึกษาทุกภาคส่วน ท่ีเล็งเห็นประโยชน์ในการทาเอกสารชุดนี้จนสาเร็จเรียบร้อย สามารถเผยแพร่ได้
ซ่งึ นา่ จะเปน็ ประโยชน์ตอ่ เด็กและเยาวชนในทส่ี ดุ

(นายประเสรฐิ บุญเรอื ง)
รองนปาลยดัเปลกรขรระะาอเธทสงกิรรปวาิฐลงรบศดัสึกญุกำ� ษนรเระากั อืทธงงิกราาวนรงลศกู กึ เสษอืาแธหกิ าง่ รชาติ
เลขาธกิ ารสานักงานลูกเสือแหง่ ชาติ

ค�ำ นำ�

ส�ำนักการลูกเสอื ยุวกาชาดและกิจการนักเรยี น ส�ำนักงานปลดั กระทรวงศึกษาธิการร่วมกบั
สมาคมวางแผนครอบครวั แห่งประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์สมเด็จพระศรนี ครนิ ทราบรมราชชนนี
พฒั นาโครงการสง่ เสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลกู เสอื ทกั ษะชวี ติ ในสถานศกึ ษา มวี ตั ถุประสงคเ์ พอ่ื เสรมิ สรา้ ง
ทกั ษะชวี ติ ใหเ้ ดก็ และเยาวชนในสถานศกึ ษาดว้ ยกระบวนการลกู เสอื โดยใหเ้ ดก็ และเยาวชนลงมอื ปฏบิ ตั ิ
ดว้ ยตนเอง ในการทำ� กจิ กรรมอยา่ งครบวงจร ตงั้ แตก่ ารศกึ ษา วเิ คราะห์ วางแผน ปฏบิ ตั ติ ามแผน ประเมนิ
และปรบั ปรงุ การจดั กจิ กรรม รวมถงึ การทำ� งานเป็นระบบหมตู่ ามกระบวนการลกู เสอื ซง่ึ กจิ กรรมดงั กลา่ ว
เป็นการพฒั นาความเป็นมนุษยแ์ บบองคร์ วม ทงั้ ดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ สงั คม และสตปิ ัญญา ทำ� ใหเ้ ดก็ และ
เยาวชนมรี ะเบยี บวนิ ยั มจี ติ สำ� นึกในการทำ� ความดเี พอ่ื ทำ� ประโยชน์ใหก้ บั ครอบครวั ชุมชน สงั คม และ
ประเทศชาติ ต่อไป
เรม่ิ จากการศกึ ษาความเป็นไปได้ ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งทงั้ ในและต่างประเทศ
จดั ประชมุ ผเู้ ชย่ี วชาญทงั้ ดา้ นลกู เสอื ดา้ นทกั ษะชวี ติ รวมทงั้ ดา้ นการพฒั นาเดก็ และเยาวชน เพอ่ื กำ� หนด
กรอบโครงสรา้ งหลกั สตู รลกู เสอื เสรมิ สรา้ งทกั ษะชวี ติ ทส่ี อดคลอ้ งกบั ปัญหาตามวยั และพฒั นาการดา้ นตา่ ง ๆ
ของลกู เสอื แตล่ ะประเภท
คู่มือการจดั กิจกรรมลูกเสือเสริมสร้างทกั ษะชีวิต ฉบับทดลอง สมาคมวางแผนครอบครวั
แหง่ ประเทศไทยฯ ไดเ้ รม่ิ ใชใ้ นปี พ.ศ. 2553 มโี รงเรยี นจากทกุ ภมู ภิ าคของประเทศเขา้ รว่ มโครงการ จำ� นวน
26 โรงเรยี น โดยไดด้ ำ� เนินการควบคไู่ ปกบั การวจิ ยั และประเมนิ ผลการใชค้ มู่ อื และท�ำการปรบั ปรุงคมู่ อื
ครงั้ แรกเมอ่ื เมษายน พ.ศ. 2554 โดยไดเ้ พมิ่ เตมิ เพลง เกม นิทาน เรอ่ื งสนั้ และเน้ือหาใหค้ รบถว้ นยง่ิ ขน้ึ
การปรบั ปรงุ ครงั้ ทส่ี อง มถิ ุนายน พ.ศ. 2559 เกดิ ขน้ึ ตามขอ้ เสนอแนะจากการประชมุ ปฏบิ ตั กิ าร
“การขบั เคล่อื นกจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รยี นดว้ ยกระบวนการลูกเสอื ” ซ่งึ จดั โดยสำ� นักการลูกเสอื ยุวกาชาด
และกจิ การนักเรยี น ส�ำนักงานปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร โดยยดึ ขอ้ บงั คบั คณะลูกเสอื แห่งชาตวิ ่าดว้ ย
การปกครอง หลกั สูตรและวชิ าพเิ ศษลูกเสอื และเพม่ิ จ�ำนวนแผนการจดั กจิ กรรมให้ครบ 40 ชวั่ โมง
เพอ่ื ครอบคลมุ สาระทจ่ี ำ� เป็นอยา่ งครบถว้ น เป็นการเตรยี มการขยายผลในโรงเรยี นสงั กดั สำ� นกั งานคณะกรรมการ
การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน (สพฐ.) ทวั่ ประเทศ และไดแ้ บ่งคู่มอื ออกเป็น 11 เล่ม ส�ำหรบั ลูกเสอื แต่ละชนั้ ปี
เพอ่ื ความสะดวกของผสู้ อน รวมทงั้ ทางสำ� นกั การลกู เสอื ยวุ กาชาดและกจิ การนกั เรยี นไดด้ ำ� เนินการวจิ ยั
และประเมนิ ผลการใชค้ มู่ อื การจดั กจิ กรรมลกู เสอื เสรมิ สรา้ งทกั ษะชวี ติ จำ� นวน 53 โรงเรยี น คขู่ นานกบั
สมาคมวางแผนครอบครวั แหง่ ประเทศไทยฯ ดว้ ย
สำ� นกั การลกู เสอื ยวุ กาชาดและกจิ การนกั เรยี น และสมาคมวางแผนครอบครวั แหง่ ประเทศไทยฯ
ขอขอบพระคณุ หน่วยงานและบุคลากรทุกทา่ นทม่ี สี ว่ นรว่ มในโครงการใหส้ �ำเรจ็ ลุล่วง ณ โอกาสน้ี ตงั้ แต่
การริเริ่มโครงการการจดั ท�ำหลกั สูตรและคู่มือ การทดลองวิจยั และประเมินผลการใช้คู่มือ รวมทงั้
การปรบั ปรงุ คมู่ อื ทงั้ 2 ครงั้ หวงั เป็นอยา่ งยง่ิ วา่ คมู่ อื ชดุ น้ีจะชว่ ยสง่ เสรมิ ใหก้ จิ การลกู เสอื ของประเทศไทย
ซง่ึ ดำ� เนินมาครบวาระ 108 ปี ในปี พ.ศ. 2562 น้ี ไดเ้ ป็นเครอ่ื งมอื สำ� คญั และก่อใหเ้ กดิ ประโยชน์สงู สดุ
ตอ่ การพฒั นาเดก็ และเยาวชนของชาตติ ่อไป

สำ� นักการลกู เสือ ยวุ กาชาดและกิจการนักเรียน
สำ� นักงานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ



สารบญั หนา้

คานยิ ม 1
คานา 4
คาชี้แจงการใช้คมู่ ือ
แผนการจดั กิจกรรมลูกเสือสามัญ ลกู เสือโท ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 7

หนวํ ยที่ 1 ปฐมนเิ ทศ 10
แผนการจัดกจิ กรรมที่ 1 การปฐมนิเทศ 15
28
หนํวยที่ 2 การรจ๎ู กั ดูแลตนเอง 34
แผนการจัดกจิ กรรมที่ 2 การเตรียมสง่ิ ของสาํ หรบั การเดินทางไกล
แผนการจดั กจิ กรรมที่ 3 การกอํ ไฟสาํ หรับปรงุ อาหารและการกางเตน็ ท๑ 38
แผนการจดั กจิ กรรมที่ 4 อาหารปลอดภยั 42
แผนการจดั กจิ กรรมท่ี 5 การชํวยเหลือตัวเองจากอทุ กภยั 47
51
หนวํ ยที่ 3 การชํวยเหลอื ผู๎อื่น 56
แผนการจัดกจิ กรรมที่ 6 วธิ ีปฏิบตั ิเมือ่ เกิดบาดแผล
แผนการจัดกจิ กรรมท่ี 7 ชุมชนของฉนั 62
แผนการจัดกจิ กรรมที่ 8 การบรกิ ารและชํวยเหลือผูอ๎ ่ืน 71
แผนการจัดกจิ กรรมที่ 9 นาทวี ิกฤต 78
แผนการจัดกจิ กรรมท่ี 10 Nothing but net “ไมเํ อาอะไรนอกจากมง๎ุ ” 85

หนวํ ยที่ 4 การเดนิ ทางไปยงั สถานทต่ี ํางๆ 87
แผนการจดั กจิ กรรมที่ 11 ทศิ และการใช๎เข็มทศิ 93
แผนการจัดกจิ กรรมท่ี 12 แผนท่ี 104
แผนการจัดกจิ กรรมท่ี 13 นักเดนิ ทาง 109
แผนการจดั กจิ กรรมท่ี 14 ประเทศอาเซียน 115

หนํวยท่ี 5 ทกั ษะในทางวิชาลูกเสอื
แผนการจัดกจิ กรรมท่ี 15 การเกบ็ รกั ษาอุปกรณ๑ที่มีคม
แผนการจัดกจิ กรรมท่ี 16 การผกู เงอ่ื นสําหรบั ชํวยชีวิต
แผนการจดั กจิ กรรมท่ี 17 การผูกเงอื่ นทใี่ ช๎ในชวี ิตประจําวัน
แผนการจัดกจิ กรรมท่ี 18 การผกู แนํน
แผนการจดั กจิ กรรมที่ 19 สญั ญาณเก่ยี วกับกาลอากาศ

6 คูม่ อื ส่งเสรมิ และพัฒนากิจกรรมลูกเสอื ทักษะชวี ิตในสถานศึกษา ลกู เสอื โท ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 5

สารบญั (ต่อ)

หนํวยท่ี 6 งานอดเิ รกและเรื่องทส่ี นใจ หน้า
แผนการจัดกจิ กรรมท่ี 20 งานอดเิ รก
แผนการจดั กจิ กรรมที่ 21 งานตามความสนใจ 121
129
หนวํ ยที่ 7 คุณธรรม จรยิ ธรรม
134
แผนการจดั กจิ กรรมท่ี 22 การปฏบิ ัติตามคําปฏิญาณและกฎของลูกเสอื 139
แผนการจดั กจิ กรรมท่ี 23 เพ่ิมพนู ประสบการณ๑ มํุงมน่ั สคูํ วามสําเร็จ 142
แผนการจดั กจิ กรรมท่ี 24 การแสดงออกทางอารมณ๑อยํางเหมาะสม 146
แผนการจัดกจิ กรรมท่ี 25 คนดีในอุดมคติ 148
แผนการจดั กจิ กรรมที่ 26 สิ่งดีๆ ของฉัน 151
154
แผนการจัดกจิ กรรมที่ 27 มารยาททางสงั คม 157
แผนการจัดกจิ กรรมท่ี 28 คิดเชงิ บวก 161
แผนการจดั กจิ กรรมที่ 29 ทักษะการเตือน
แผนการจดั กจิ กรรมท่ี 30 เศรษฐกิจพอเพยี งระดบั ชมุ ชนและครอบครวั 168
หนวํ ยที่ 8 ระเบยี บแถว
182
แผนการจดั กจิ กรรมที่ 31 ทบทวนระเบียบแถว
หนํวยท่ี 9 ประเมนิ ผล 191

แผนการจัดกจิ กรรมท่ี 32 การประเมนิ ผล 195
หนวํ ยที่ 10 พธิ กี าร 206
209
แผนการจดั กจิ กรรมที่ 33 พธิ ีประดับเคร่อื งหมายลกู เสอื โท (ความภาคภมู ใิ จ) 229

ภาคผนวก
ภาคผนวก ก แนวคดิ เรอื่ งทกั ษะชีวิต
ภาคผนวก ข กิจกรรมลูกเสอื เสรมิ สร๎างทกั ษะชวี ิต
ภาคผนวก ค แนวปฏิบตั กิ ารสอบวชิ าพิเศษ

บรรณานุกรม

คมู่ ือส่งเสริมและพฒั นากจิ กรรมลูกเสอื ทกั ษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ลกู เสือโท ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 7

คาชแ้ี จงการใช้ค่มู ือ

คคู่มูํมือส่งํ เสริมและพัฒั นนาากกิจิจกกรรรรมมลลูกูกเเสสือือททักักษษะะชชีวีวิติตในในสสถถานานศึกศษึกาษชาุดชนุด้ีนจ้ี ัดจทัดํทาข�ำึ้นขส้ึนําสห�ำรหับรผับู๎
ผกกู้ํากำ� กบั บัลลกู กู เสเสืออืใชใชเ๎ ปเ้ ปน็ ็นแแนนววททาางงใในนกกาารรจจัดดั กกิจจิ กกรรรรมลกู เสอื ื มมจี จี ํา�ำนนววนน111เลเํมล่มแยแกยตกาตมาชมน้ั ชปนั้ ี ปสีําสหำ�รหับรลบัูกลเสกู อืเส4อื
4ปรปะรเะภเทภทคือคอืลกู ลเกู สเอื สสอื ําสรำ� อรงองลกูลเกู สเือสสอื าสมาญัมญั ลกูลเกู สเือสสอื าสมามัญญั รนุํรนุ่ใหใหญญํ แ่ แลละละลูกกูเสเสืออืววิสสิามามัญญั

หลกั สตู รลกู เสือเสริมสร๎างทักษะชีวิต มีเน้ือหาท่ีสอดคล๎องกับปัญหาตามวัยและพัฒนาการ
ด๎านตําง ๆ ของลูกเสือแตํละประเภท นอกจากนี้ยังมีเนื้อหาครบถ๎วน เป็นไปตามข๎อบังคับคณะ
ลูกเสอื แหํงชาติ วาํ ดว๎ ยการปกครองหลกั สูตรและวิชาพิเศษลูกเสอื สํารอง ลูกเสือสามัญ ลกู เสือสามัญ
รนํุ ใหญํ และลกู เสอื วสิ ามัญ อีกด๎วย

แผนการจัดกิจกรรมลูกเสือเสริมสร๎างทักษะชีวิตในคํูมือชุดน้ี ได๎ออกแบบโดยบูรณาการ
กิจกรรมที่เสริมสร๎างทักษะชีวิตเข๎ากับวิธีการลูกเสือ คือการใช๎ระบบหมํูหรือกลํุมยํอย โดยให๎เด็กเป็น
ศูนย๑กลาง และมีผูใ๎ หญํทําหน๎าที่ชํวยเหลอื และสงํ เสรมิ ใหเ๎ กดิ กระบวนการเรียนรู๎ในกลุํม แนะนํา ส่ังสอน
และฝกึ อบรมให๎สามารถพึ่งตนเองได๎ มีจิตอาสา รับผิดชอบตํอสํวนรวม ยึดม่ันในคําปฏิญาณและกฎของ
ลูกเสือ เสรมิ สร๎างคุณคาํ ในตนเอง รวมทง้ั ใช๎ระบบเคร่ืองหมายหรือสัญลักษณ๑ทางลูกเสือและเคร่ืองหมาย
วิชาพิเศษ เปน็ แรงกระต๎ุนไปสํูเปฺาหมายในการพัฒนาตนเอง

การเรยี งลาํ ดบั แผนการจัดกจิ กรรม จัดเรยี งลําดับเนื้อหาสาระตามหลักสูตรในข๎อบังคับคณะ
ลกู เสือแหงํ ชาติ วําด๎วยการปกครองหลักสตู รและวิชาพเิ ศษลกู เสอื สาํ รอง ลกู เสอื สามัญ ลูกเสือสามัญ
รุํนใหญํ และลกู เสือวสิ ามัญ การนาํ ไปใชข๎ น้ึ กับดลุ ยพินิจของสถานศึกษาในการเลือกวําแผนการจัด
กิจกรรมใดควรใช๎เมอื่ ใด

องค๑ประกอบในการประชุมกอง เน๎นการใช๎ชีวิตกลางแจ๎ง นอกห๎องเรียน ใกล๎ชิดธรรมชาติ
เรยี นรจู๎ ากการลงมอื ปฏบิ ตั ิด๎วยตนเอง เกม และการบริการผ๎ูอื่น ซ่ึงถือเป็นหัวใจของกิจกรรมลูกเสือ
ทุกประเภท โดยกจิ กรรมที่ใช๎ แบํงออกเป็น 5 ประเภท คอื การแสดงออก การสาํ รวจและการรายงาน
การวิเคราะห๑และการประเมิน เกมและการแขํงขัน การบําเพ็ญประโยชน๑ มีการออกแบบกิจกรรม
เพ่ือให๎ลูกเสือได๎ใชก๎ ระบวนการกลุํมในการแลกเปลี่ยนประสบการณ๑ แลกเปลี่ยนความคิดความเช่ือ
สร๎างองคค๑ วามรู๎และสรปุ ความคดิ รวบยอด รวมท้ังเปิดโอกาสให๎ลูกเสือได๎ประยุกต๑ใช๎ส่ิงท่ีได๎เรียนรู๎
ในชวี ิตจริงอกี ด๎วย

เนือ้ หาสาระในแผนการจัดกจิ กรรมประกอบดว๎ ย
1. กิจกรรมตามข๎อบังคับของคณะลูกเสือแหํงชาติ (ไมํรวมกิจกรรมทดสอบเพื่อรับ
เครือ่ งหมายหรือสัญลักษณท๑ างลูกเสอื และเครอ่ื งหมายวิชาพิเศษ)
2. กิจกรรมตามข๎อบังคับของคณะลูกเสือแหํงชาติที่ชํวยเสริมสร๎างทักษะชีวิตด๎านคุณธรรม
จรยิ ธรรม ความภาคภูมใิ จในตนเอง ความรบั ผิดชอบตํอสวํ นรวม
3. กิจกรรมเสริมสรา๎ งทักษะชวี ติ เพ่ือสรา๎ งภูมิค๎มุ กันทางสังคมตอํ เหตุการณ๑และสภาพปญั หา
ของเดก็ แตํละวยั

8 คู่มือส่งเสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลกู เสอื ทกั ษะชวี ติ ในสถานศึกษา ลกู เสอื โท ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
คู่มือส่งเสริมและพฒั นากิจกรรมลูกเสอื ทกั ษะชวี ติ ในสถานศึกษา ประเภทลูกเสอื สามญั หลักสูตรลกู เสอื โท
ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 5 1

คมูํ อื แตํละเลมํ ไดจ๎ ัดทําตารางหนํวยกิจกรรม และแผนการจดั กจิ กรรม 40 ชว่ั โมง เพ่อื ให๎เห็น
ภาพรวมของการจดั กจิ กรรมลูกเสอื เสริมสร๎างทกั ษะชีวิตของลูกเสอื ในแตลํ ะระดบั ชน้ั และมหี มายเหตุ
บอกไว๎ในตารางชอํ งขวาสุด วําเปน็ แผนการจดั กิจกรรมเสรมิ สร๎างทักษะชวี ิต

แผนการจดั กจิ กรรมประกอบด๎วย จุดประสงคก๑ ารเรียนร๎ู เน้ือหา สือ่ การเรยี นร๎ู กิจกรรม การ
ประเมินผล องค๑ประกอบทักษะชีวิตสําคัญท่ีเกิดจากกิจกรรม และภาคผนวกประกอบแผนการจัด
กจิ กรรม (เพลง เกม ใบงาน ใบความรู๎ เร่อื งทีเ่ ป็นประโยชน๑)

จุดประสงค์การเรียนรู้
ผู๎สอนควรทําความเข๎าใจให๎ชัดเจนวําเป็นจุดประสงค๑การเรียนร๎ูด๎านความรู๎ เจตคติ หรือ
ทักษะ เพือ่ จัดกจิ กรรมไดต๎ รงตามจดุ ประสงคก๑ ารเรยี นรูแ๎ ตํละด๎าน
จุดประสงคก๑ ารเรียนร๎ูด๎านความร๎ู มีจุดเน๎นท่ีการต้ังประเด็นให๎วิเคราะห๑ สังเคราะห๑เนื้อหา
ความร๎ู ใหเ๎ ขา๎ ใจอยาํ งถํองแท๎ และสามารถนําไปใชไ๎ ด๎ในชีวิตจรงิ
จดุ ประสงคก๑ ารเรียนรู๎ด๎านเจตคติ มีจดุ เน๎นท่อี ารมณ๑ความรู๎สึก และการต้ังประเด็นให๎ผ๎ูเรียน
ไดแ๎ ลกเปลย่ี นและตรวจสอบความคดิ ความเช่ือของตนเองกบั สมาชกิ กลุมํ คนอ่ืน ๆ

จุดประสงค๑การเรยี นร๎ูดา๎ นทักษะ เนน๎ ทีก่ ารทาํ ความเข๎าใจในขน้ั ตอนการลงมือทาํ ทกั ษะ และ
ได๎ทดลองและฝกึ ฝนจนชํานาญ

บางแผนการจัดกิจกรรมมีจุดประสงค๑การเรียนรู๎ซ๎อนกันมากกวํา 1 ด๎าน ให๎เน๎นด๎านท่ีเป็น
จดุ ประสงค๑หลกั ของแผนการจัดกิจกรรม

เนอื้ หา
เป็นผลการเรียนร๎ูที่เกิดขึ้นหลังการสอน ผู๎สอนควรตรวจสอบวําผ๎ูเรียนได๎เนื้อหาครบถ๎วน
หรือไมํ

สื่อการเรยี นรู้
เป็นส่อื อุปกรณ๑ ทีใ่ ชใ๎ นการจัดกิจกรรม เชนํ แผนภูมเิ พลง เกม ใบงาน ใบความร๎ู และเรื่องที่
เปน็ ประโยชน๑ ซึง่ มีรายละเอยี ดอยูใํ นภาคผนวกประกอบแผนการจดั กิจกรรม

กิจกรรม

กิจกรรมลูกเสือยังคงแบบแผนของลูกเสือไว๎ คือ การเปิดประชุมกอง/ปิดประชุมกอง และ
เพลง เกม นิทาน เรื่องที่เปน็ ประโยชน๑ ซึง่ ใสํไวใ๎ นทุกแผนการจัดกิจกรรม โดยผ๎กู าํ กับลูกเสือสามารถ
ปรบั เปลี่ยนไดต๎ ามความเหมาะสม ผ๎ูสอนควรจัดกจิ กรรมตามท่ีได๎ออกแบบไวเ๎ รยี งตามลาํ ดับข้ันตอน
การจัดกิจกรรม นอกจากน้ีกอํ นการจัดกจิ กรรมควรศึกษาแผนการจัดกิจกรรมให๎เข๎าใจอยํางถํองแท๎
ทกุ ขัน้ ตอน ศกึ ษาใบความร๎ูสําหรบั ผู๎สอน และใบงานสําหรบั ผ๎เู รียน เพ่ือท่ผี ๎สู อนจะไดจ๎ ัดกจิ กรรมการ
เรียนการสอนใหไ๎ ดเ๎ นื้อหาตรงตามจุดประสงค๑การเรียนรม๎ู ากที่สดุ

ทั้งนี้ผูก๎ าํ กบั ควรทาํ ความเขา๎ ใจแนวคิดเร่ืองทกั ษะชีวติ และกจิ กรรมลกู เสือเสริมสร๎างทกั ษะชวี ติ
ใหถ๎ อํ งแทด๎ ๎วย โดยศึกษาไดจ๎ ากภาคผนวก ก และภาคผนวก ข

คู่มือส่งเสรมิ และพฒั นากิจกรรมลกู เสอื ทกั ษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ลกู เสือโท ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 5 9

2 คมู่ ือส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมลูกเสือทกั ษะชวี ิตในสถานศึกษา ประเภทลกู เสือสามญั หลักสตู รลูกเสือโท
ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 5

การประเมินผล
สามารถประเมินได๎ทั้งระหวํางการจัดกิจกรรม และหลังการสอนจบแล๎ว ตามแนวทางที่ได๎ให๎ไว๎
ในแตํละแผนการจดั กิจกรรม

องค์ประกอบทักษะชีวิตสาคัญท่ีเกดิ จากกิจกรรม

ทักษะชีวิตเกิดข้ึนได๎หลายองค๑ประกอบในการจัดกิจกรรมแตํละครั้ง ในที่น้ีได๎ระบุเพียง
องคป๑ ระกอบทกั ษะชวี ิตสําคัญท่ีเกดิ ขน้ึ เทาํ นน้ั

ภาคผนวกประกอบแผนการจดั กิจกรรม
เป็นสือ่ อุปกรณ๑ ตามรายการที่ระบุไว๎ในส่ือการเรียนร๎ู เชํน เพลง เกม บัตรคํา ใบงาน ใบความร๎ู

และเร•่อื งสทสำ� มีเ่นปากั ็นคกปมารวระลาโงกูยแเชสผนอืน๑ ฯคยลรวุ ฯอกบาหชคาารกดวั มแีขลห๎อะํงกเปสจิ รนกะอาเทรแนนศกัะไเทเรพยี อื่ นฯการปรับปรงุ คูํมอื ชุดนี้ กรุณาตดิ ตอํ ที่

สเำ�ลนขกั ทงี่ า8นวปภิ ลาดั วกดรีระงัทสรติ วง4ศ4กึ ษแาขธวกิ งาลรากดรยะาทวรวเงขศตกึ จษตาจุ ธกั กิ รารกรุงเทพฯ 10900
ถนนราชดำ� เนินนอโกทเรขศตพั ดทสุ ๑ติ 0ก-2ร9งุ เ4ท1พ-2ฯ321030ต0อํ 151 โทรสาร 0-2561-5130
โทรศพั ท์ 02-628-6365 โทรสาร 02-628-6402

10 คู่มือส่งเสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลูกเสือทักษะชวี ติ ในสถานศึกษา ลกู เสอื โท ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 5
คู่มอื สง่ เสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลูกเสือทกั ษะชวี ติ ในสถานศึกษา ประเภทลูกเสือสามญั หลักสตู รลกู เสอื โท
ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5 3

แผนการจดั กจิ กรรมลกู เสอื สามญั
ลูกเสือโท

ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 5

คู่ม4ือส่งเสริมคชู่มแน้ั ือปลสระ่งะพเถสฒั มรศนิมึกแาษลกาะิจปพกีทัฒร่ี น5รมากลิจกู กเรสรอืมทลกูกั เษสอืะทชักวี ษติ ะใชนีวสติ ถในานสถศากึ นษศึกาษลากู ปเรสะือเภโททลูกชเนั้ สปอื สราะมถญั มศหึกลษักสาตูปรีทล่ีูก5เสือโท 11

แผนการจดั กิจกรรมลูกเสือสามญั ลูกเสอื โท ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 5

ช่อื หนว่ ยกิจกรรม ชือ่ แผนการจัดกิจกรรม จานวน หมายเหตุ
ตามหลักสูตรข้อบังคบั ชั่วโมง ทักษะชีวิต
คณะลกู เสือแห่งชาติ 1. การปฐมนิเทศ ทักษะชวี ิต
1. ปฐมนิเทศ 2. การเตรียมสง่ิ ของสําหรบั การเดินทางไกล 1 ทกั ษะชีวิต
2. การรู๎จักดูแลตนเอง 3. กํอไฟสําหรับปรุงอาหารและการกาง 1
2 ทักษะชวี ิต
3. การชวํ ยเหลอื ผ๎อู ืน่ เต็นท๑
4. อาหารปลอดภัย 1
4. การเดินทางไปยัง 5. การชวํ ยเหลือตวั เองจากอทุ กภยั 1
สถานที่ตาํ ง ๆ 6. วิธีปฏิบตั ิเมื่อเกดิ บาดแผล 1
7. ชมุ ชนของฉนั 1
5. ทักษะในทาง 8. การบรกิ ารและชวํ ยเหลอื ผ๎อู นื่ 1
วชิ าลูกเสอื 9. นาทีวกิ ฤต 1
10. Nothing but net “ไมํเอาอะไรนอกจากมง๎ุ ” 1
6. งานอดิเรกและ 11. แผนท่ี 1
งานทสี่ นใจ 12. ทศิ 12 1
13. นักเดนิ ทาง 2
7. คุณธรรม จริยธรรม 14. ประเทศอาเซียน 1
15. การเกบ็ รักษาอปุ กรณท๑ มี่ คี ม 1
16. การผูกเงอ่ื นสาํ หรับชวํ ยชวี ติ 1
17. การผูกเงอื่ นที่ใช๎ในชวี ิตประจาํ วนั 1
18. การผูกแนนํ 1
19. สญั ญาณเกี่ยวกับกาลอากาศ 1
20. งานอดิเรก 1
21. งานตามความสนใจ 1
22. คาํ ปฏิญาณและกฎในชวี ิตประจําวนั 1
23. เพม่ิ พูนประสบการณ๑มํงุ มันสํู 1
ความสาํ เร็จ
24. การแสดงออกทางอารมณ๑อยาํ ง 1
เหมาะสม
25. คนดใี นอุดมคติ 1

12 คมู่ ือสง่ เสรมิ และพัฒนากิจกรรมลกู เสอื ทักษะชีวิตในสถานศกึ ษา ลกู เสอื โท ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 5
คู่มือสง่ เสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลูกเสือทักษะชีวิตในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสอื สามัญ หลกั สูตรลกู เสือโท
ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 5

ชอ่ื หน่วยกจิ กรรม ช่อื แผนการจัดกิจกรรม จานวน หมายเหตุ
ตามหลักสูตรขอ้ บงั คบั ช่ัวโมง
คณะลกู เสอื แห่งชาติ 26. ส่ิงดๆี ของฉนั
27. มารยาททางสังคม 1
8. ระเบยี บแถว 28. คิดเชงิ บวก 1
9. ประเมินผล 29. ทกั ษะการเตือน 1
10. พิธีการ 30. เศรษฐกิจพอเพยี งระดับชมุ ชนและ 1
รวม 10 หนว่ ยกิจกรรม 1
ครอบครัว
31. ทบทวนระเบยี บแถว 2
32. การประเมินผล 2
33. พธิ ีประดบั เคร่อื งหมายลกู เสอื โท
1
(ความภาคภมู ใิ จ)
รวม 33 แผนการจดั กิจกรรม 40

6คมู่ ือส่งเชคสูม่ั้นรอืปมิ สรแ่งะเลถสมะรศพมิ กึ แัฒษลนาะปพาีทกัฒ่ีจิ น5การกรจิ มกรลรกู มเลสูกือเสทือกั ทษกั ะษชะีวชิตีวติในในสสถถานศศกึ กึ ษษาาปรละกู เภเสทอื ลโูกทเสอื ชสัน้ าปมญัระถหมลักศสึกตู ษรลากูปเีทสือี่ 5โท 13

แผนการจดั กิจกรรมลูกเสอื สามัญ ลกู เสือโท ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 5

หนว่ ยท่ี 1 ปฐมนิเทศ เวลา 1 ชว่ั โมง
แผนการจัดกจิ กรรมท่ี 1 การปฐมนเิ ทศ

1. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1.1 เพ่ือการทาํ ความร๎ูจักผบ๎ู ังคับบญั ชา
1.2 เพ่ือจัดหมลูํ ูกเสือ
1.3 เพอ่ื คดั เลือกนายหมํรู องนายหมํู
1.4 เพ่ือสรา๎ งข๎อตกลง
1.5 เพอื่ ใหท๎ ราบหลักสตู รวชิ าลูกเสือโท

2. เน้ือหา
2.1 ความหมายของ Boy Scout
2.2 คติพจนล๑ กู เสอื สามญั “จงเตรียมพรอ๎ ม”
2.3 วธิ ีการการไดร๎ บั เครื่องหมายลูกเสือโท
2.4 ตารางเวลาเรียนร๎กู จิ กรรมลกู เสอื โท

3. ส่อื การเรยี นรู้
3.1 แผนภูมิเพลง
3.2 ใบความร๎ู
3.3 แผนภมู ิความหมายของคาํ วาํ Boy Scout
3.4 ตารางเวลาเรียนรูก๎ จิ กรรมลกู เสอื โท
3.5 แผนภมู สิ ญั ลกั ษณ๑เคร่ืองหมายลกู เสือโท

4. กจิ กรรม
4.1 ลูกเสือรวมกองในหอ๎ งประชมุ หรอื ในสถานท่ี ๆ เหมาะสมกลางแจง๎
4.1.1 จดั หมลูํ กู เสอื

4.1.2 เลือกนายหมํู รองนายหมูํ
4.2 ผ๎ูกาํ กับลูกเสอื แนะนาํ ตนเอง
4.3 นําเสนอโครงสรา๎ งหลกั สตู รลกู เสือโท
4.2 ลูกเสือขับร๎องเพลงสวสั ดี เพลงศกั ดศ์ิ รลี ูกเสอื ไทย
4.3 ผูก๎ ํากบั ลูกเสอื ช้แี จงให๎ลูกเสือทราบถึงตารางเวลาเรยี นหรือเวลากิจกรรมลูกเสือ
4.4 ผกู๎ าํ กับลกู เสือนาํ สนทนาเกี่ยวกับความหมายของลกู เสอื สามญั และคตพิ จนข๑ องลูกเสอื สามญั

4.5 ผกู๎ ํากับลกู เสอื ซกั ถามและสนทนาเกีย่ วกับความเขา๎ ใจและใหค๎ วามรู๎เพิม่ เตมิ

14 คมู่ ือส่งเสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลูกเสอื ทักษะชวี ติ ในสถานศกึ ษา ลกู เสอื โท ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 5
คู่มือส่งเสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลูกเสอื ทกั ษะชวี ิตในสถานศึกษา ประเภทลกู เสอื สามัญ หลกั สูตรลกู เสอื โท
ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 5 7

4.6 ผ๎ูกํากับลูกเสือนําเสนอแผนภูมิสัญลักษณ๑เคร่ืองหมายลูกเสือโทวิธีการได๎รับเครื่องหมาย
มาประดับเครอ่ื งแบบอยํางภาคภมู ิ

5. การประเมินผล
5.1 สงั เกตความสนใจในการเขา๎ รํวมกจิ กรรม
5.2 สอบถามความรู๎ความเข๎าใจเก่ยี วกบั การจัดหมูํ การเลือกนายหมํู รองนายหมูํ และตําแหนํงอ่นื ๆ
และหลกั สตู รลูกเสอื โท

6. คุณธรรม
6.1 ความซอ่ื สตั ย๑ สุจริต
6.2 ความรับผดิ ชอบ
6.3 อดุ มการณ๑คุณธรรม

ภาคผนวกประกอบแผนการจดั กิจกรรมที่ 1

เพลง

สวัสดี
สวสั ดี สวสั ดี วนั น้ีเรามาพบกัน
เธอและฉัน พบกนั สวัสดี
สวัสดคี รับ....สวัสดีครบั (คะํ )

เพลงอยุธยาราํ ลกึ

อยุธยาเมอื งเกาํ ของเราแตกํ ํอน จิตใจอาวรณม๑ าเลําสํกู นั ฟงั

อยธุ ยาแตกํ ํอนนย้ี ัง เป็นดงั เมืองทองของพนี่ อ๎ งเผาํ พงศไ๑ ทย

เดี๋ยวนีซ้ เิ ป็นเมอื งเกาํ ชาวไทยแสนเศร๎าถกู ขา๎ ศกึ รุกราน

ชาวไทยทกุ คนหวั ใจร๎าวราน ขา๎ ศกึ เผาผลาญ แหลกลาญ วอดวาย

เราชนรนํุ หลงั ฟงั แล๎วเศร๎าใจ อนสุ รณ๑เตือนใหช๎ าวไทยจงมนั่

สมัครสมานรํวมใจกนั สามคั คี คงจะไมํมใี ครกลา๎ ราวชี าตไิ ทย

ค8่มู อื ส่งเสคชรูม่้ันมิ ือปแสรล่งะะเถสพมรฒัศมิ กึ แนษลาาะกปพิจีทฒั ก่ี น5รารกมจิ ลกูกรรเมสลอื ูกทเสักือษทะักชษีวะิตชใวี นิตสในถสาถนาศนึกศึกษษาา ลปกูระเสเภอื ทโลทูกเชสือน้ั สปารมะัญถมหศลกัึ สษูตารปลทีกู เ่ี ส5ือโท 15

ใบความรู้

Boy Scout

ลูกเสือมาจากภาษาอังกฤษ วํา Boy Scout เน่ืองจากกิจการลูกเสือเกิดขึ้นท่ีประเทศอังกฤษ
เม่อื ปี พ.ศ. 2451

คาว่า SCOUT มาจากตวั อักษรยอ่ ดังน้ี
S ยํอมาจาก SINCERITY แปลวาํ ความจริงใจ

C ยํอมาจาก COURTESY แปลวาํ ความสุภาพออํ นโยน

O ยํอมาจาก OBEDIENCE แปลวํา การเชอื่ ฟัง

U ยอํ มาจาก UNITY แปลวํา ความเปน็ ใจเดียวกนั

T ยํอมาจาก THRIFTY แปลวํา ความมธั ยัสถ๑

การเป็นลกู เสอื ตอ๎ งยดึ มนั่ ในคติพจนข๑ องลกู เสอื
คติพจน์ เป็นคาํ ทใ่ี ชเ๎ ตอื นใจใหล๎ ูกเสือยดึ ถือและปฏิบตั ิ
1. คตพิ จนข์ องลูกเสือท่วั ไป

คําวํา “เสียชีพ อยําเสียสัตย๑” เป็นคติพจน๑ที่ลูกเสือทุกคนต๎องยึดถือ ซึ่งมีความหมายวํา
ลูกเสือจะต๎องมีความซ่ือสัตย๑และมีสัจจะ ซึ่งจะต๎องรักษาไว๎ย่ิงกวําชีวิต แม๎วําจะถู กบีบบังคับอยํางไร
ลูกเสอื ก็จะไมํยอมเสียสจั จะอยํางเดด็ ขาดเพ่ือเกยี รตคิ ณุ คาํ ปฏิญาณและคําม่ันสัญญาของลกู เสอื

2. คตพิ จน์ของลกู เสือสามัญ
คือ “จงเตรียมพร๎อม” คําวํา “จงเตรียมพร๎อม” เป็นคติพจน๑ของลูกเสือสามัญโดยเฉพาะ

จึงเป็นส่ิงจําเป็นประการแรกของลูกเสือที่จะต๎องเตรียมพร๎อมสําหรับตนเอง มีความอดทนท่ีจะเพ่ิมพูน
ความร๎ูให๎ตนเองตลอดเวลา

ลูกเสือต๎องคิดลํวงหน๎าเสมอวํา จะต๎องพูดอะไร พบกับใคร ท่ีไหน เม่ือไร และจะทําอยํางไร
เพ่อื ใชเ๎ วลาที่มีอยูใํ ห๎ค๎ุมคํามากทส่ี ุด

เมื่อลูกเสือเตรียมตนเองพร๎อมอยูํแล๎วทั้งกาย วาจา ใจ ก็จะสํงผลให๎ลูกเสือมีความเชื่อม่ันใน
ตนเองจะเป็นผู๎นําและผู๎ตามที่ดี รู๎จักตัดสินใจในสิ่งท่ีตนเองเห็นวําถูกเห็นวําควรอยํางมีเหตุผล
กล๎าแสดงออกในการคิด การพดู การกระทํา และยอมรับผลแหํงการกระทําของตน เม่ือทําผิดพลาดก็กล๎า
ทจี่ ะยอมรบั ผิด

คนท่ีเตรยี มพร๎อมไดท๎ ั้งกายและใจตลอดเวลา จะทํางานส่ิงใดก็มักจะประสบความสําเร็จจะพา
ชวี ิตไปสํเู สน๎ ทางแหงํ ความสขุ ความเจรญิ เป็นนักพฒั นาและมีความคิดก๎าวหนา๎ อยาํ งแนํนอน

คตพิ จนข์ องลูกเสอื สามัญ
“ จงเตรียมพร้อม ”

16 ค่มู ือสง่ เสรมิ และพัฒนากิจกรรมลูกเสือทกั ษะชวี ติ ในสถานศึกษา ลูกเสือโท ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 5
คู่มอื ส่งเสริมและพัฒนากจิ กรรมลกู เสือทักษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลูกเสอื สามัญ หลักสตู รลูกเสอื โท
ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 9

แผนการจัดกิจกรรมลูกเสอื สามัญ ลกู เสือโท ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 5

หน่วยที่ 2 การรจู้ ักดูแลตนเอง เวลา 1 ช่วั โมง
แผนการจดั กิจกรรมที่ 2 การเตรียมสิง่ ของสาหรบั การเดินทางไกล

1. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
สามารถเตรียมและจัดส่ิงของและเคร่ืองปัจจุบันพยาบาลสํวนตัว บรรจุลงเครื่องหลังสําหรับ

การเดนิ ทางไกลไปอยูคํ ํายพกั แรมได๎

2. เนอ้ื หา
การเตรยี มสงิ่ ของและเครอื่ งปัจจุบันพยาบาลสวํ นตวั บรรจุลงเครอ่ื งหลังสําหรับการเดนิ ทางไกล

ไปอยคูํ าํ ยพกั แรม

3. สอ่ื การเรยี นรู้
3.1 แผนภูมิเพลง
3.2 เครอื่ งหลงั , ส่งิ ของเคร่ืองใช๎ท่จี ะนําไปอยํูคาํ ยพกั แรม, เคร่ืองปจั จบุ ันพยาบาล
3.3 ใบความรู๎ เรอ่ื งการเตรียมส่ิงของสาํ หรบั การเดนิ ทางไกล
3.4 เกมเกบ็ ของลงเครื่องหลงั
3.5 เร่อื งส้นั ทเ่ี ป็นประโยชน๑

4. กิจกรรม
4.1 พิธเี ปดิ ประชมุ กอง (ชกั ธงขน้ึ สวดมนต๑ สงบนง่ิ ตรวจ แยก)
4.2 เพลง หรือ เกม
4.3 กิจกรรมตามจดุ ประสงค๑การเรียนร๎ู
1) ผู๎กํากับลูกเสอื มอบหมายใหห๎ มูํลกู เสอื รํวมกนั วเิ คราะห๑วาํ สง่ิ ของเคร่ืองใชส๎ วํ นตวั ทีจ่ าํ เป็น
สําหรบั การเดนิ ทางไกลไปอยคํู าํ ยพกั แรมควรมอี ะไรบ๎าง และสํงตวั แทนรายงาน
2) ผ๎ูกํากับลูกเสอื สํุมให๎ลกู เสอื รายงาน 1 หมูํ ผูก๎ าํ กบั และลูกเสอื หมอูํ น่ื ๆ ชวํ ยวิเคราะห๑
ความจําเป็นของส่งิ ของเครอื่ งใชแ๎ ตลํ ะชนิ้ วําสิง่ ใดควรและไมคํ วรนาํ ไปด๎วย รวมทัง้
เพิ่มเตมิ สํวนทีข่ าด
3) ผู๎กาํ กบั ลกู เสอื อธบิ ายเพม่ิ เตมิ ถงึ เครอ่ื งปัจจบุ นั พยาบาลสํวนตัวทค่ี วรเตรียมไปดว๎ ย และ
ให๎แตํละหมํูทําบัญชรี ายการสง่ิ ของเคร่ืองใช๎และเครื่องปัจจบุ ันพยาบาลสํวนตัวท่ี
ควรบรรจุลงเครอื่ งหลงั เขยี นแยกลงแผนํ กระดาษขนาด เอ 4 ตดั ครง่ึ แผนํ ละ 1 รายการ
เพื่อใชเ๎ ป็น “บัตรคาํ ” ในการเลนํ เกมทดสอบ
4) ผก๎ู าํ กบั ลกู เสอื สาธิตการบรรจเุ ครอ่ื งหลัง และให๎ลกู เสอื เลนํ เกมทดสอบการเก็บของลง
เครอื่ งหลงั ชื่อ “เกมเก็บของลงเคร่ืองหลงั ”
5) ผก๎ู าํ กบั ลูกเสอื สรุปผลการเลนํ เกมทดสอบ และใหค๎ ําแนะนําเพมิ่ เติม

ค1มู่0อื ส่งเสคชรู่มนั้มิ ือปแสรลง่ะะเถสพมรัฒศิมกึ แนษลาาะกปพิจทีฒั ก่ี น5รารกมจิ ลกูกรรเมสลือูกทเสกั ือษทะกั ชษวี ะิตชใวี นติ สในถสาถนาศนึกศึกษษาา ลปกูระเสเภอื ทโลทกู เชสือ้นั สปารมะญั ถมหศลกัึ สษตู ารปลีทกู เ่ี ส5อื โท 17

4.4 ผ๎กู ํากับลกู เสือเลําเรอ่ื งส้ันทีเ่ ปน็ ประโยชน๑
4.5 พิธีปดิ ประชมุ กอง (นดั หมาย ตรวจเครอ่ื งแบบ ชกั ธงลง เลิก)
5. การประเมนิ ผล
สงั เกตการมสี ํวนรวํ มปฏบิ ัติกิจกรรม และผลงานของหมลํู ูกเสอื

6. คณุ ธรรม
6.1 ความพอเพยี ง
6.2 ความซอื่ สตั ย๑ สุจริต
6.3 ความรบั ผดิ ชอบ

ภาคผนวกประกอบแผนการจดั กิจกรรมท่ี 2

เพลง

เรยี งลาดับ

เรียงมาเรยี งลาํ ดับ ลาํ ดบั ลําดบั กอํ นหลงั
คนนําชัง มาทีหลงั ไมํเรียงลาํ ดับ
มากอํ นตอ๎ งอยํขู า๎ งหน๎า มาช๎าต๎องอยถํู ดั ไป
จาํ ไว๎ ลูกเสอื ไทย (ซา้ํ ) ระเบียบวนิ ยั เป็นสิง่ สาํ คญั (ซาํ้ )

ใบความรู้

การเตรียมส่ิงของสาหรับการเดนิ ทางไกล

ในการเดินทางไกลระยะสั้นๆ ที่ใช๎เวลาไมํนาน ลูกเสืออาจไมํต๎องเตรียมอาหารไปรับประทาน
แตํถ๎าไปไกลและใช๎เวลานานกวาํ คร่ึงวันก็ต๎องเตรียมอาหารไปรับประทานด๎วย เชํน ข๎าวหํอ ข๎าวต๎มมัด
หรอื อาหารหํออยํางอน่ื ในกรณเี ชํนนลี้ ูกเสอื จะต๎องมีเครอื่ งหลัง (ยําม) เพอ่ื ใสอํ าหารสําเร็จรปู และส่ิงของ
จาํ เปน็ อื่น ๆ หรือถา๎ มกี ารพกั แรมค๎างคืน กต็ อ๎ งมกี ารเตรยี มการเรอื่ งเครือ่ งหลงั ใหพ๎ ร๎อม และเหมาะสม
กบั การเดนิ ทางไกลไปพกั ค๎างคืน อุปกรณท๑ ีต่ อ๎ งจัดเตรียมแบงํ ออกเป็น 2 ประเภท คอื

1. อปุ กรณ๑เฉพาะบคุ คล หรอื อปุ กรณป๑ ระจาํ ตวั รวมท้ังเครื่องปัจจุบันพยาบาล
2. อุปกรณส๑ ํวนรวม หรืออุปกรณส๑ าํ หรบั หมหูํ รอื กอง

18 คู่มือส่งเสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลกู เสือทักษะชีวิตในสถานศกึ ษา ลกู เสือโท ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5
คู่มือส่งเสรมิ และพฒั นากิจกรรมลกู เสือทักษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสือสามัญ หลักสตู รลูกเสอื โท
ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 5 11

อปุ กรณเ์ ฉพาะบคุ คล ควรเปน็ สง่ิ จําเป็น และมีน้าํ หนกั ไมํมากนกั ได๎แกํ
1. กระตกิ นาํ้ ใสนํ าํ้ สะอาดให๎เต็ม
2. เครื่องใช๎ประจาํ ตัว เชํน ผ๎าเช็ดตัว ผ๎าขาวม๎า ผ๎าถุง สบํู แปรงสีฟัน ยาสีฟัน รองเท๎าแตะ ไฟฉาย

ช๎อนสอ๎ ม จานขา๎ ว ยาทากันยงุ เปน็ ต๎น
3. เครอื่ งแบบและเครอื่ งประกอบเครอื่ งแบบ ไดแ๎ กํ เสื้อ กางเกง (กระโปรงสําหรบั เนตรนารี) ผ๎าผูกคอ

หมวก เข็มขดั รองเท๎า ถุงเท๎า เป็นตน๎
4. เขม็ ทิศ แผนท่ี สมดุ จดบนั ทกึ การเดนิ ทาง ดนิ สอ ปากกา
5. ฤดูฝนตอ๎ งเตรียมชดุ กันฝน ฤดูหนาวใหเ๎ ตรยี มเสอ้ื กันหนาว
6. เครื่องนอน เชนํ เตน็ ท๑ ผ๎าปูทน่ี อน เส่ือ ผา๎ หมํ ถงุ นอน เปน็ ต๎น
7. ถงุ พลาสตกิ เพ่อื ใชส๎ าํ หรบั ใสํเสอ้ื ผ๎าเปยี กชื้นหรือเสอ้ื ผ๎าทใ่ี ช๎แลว๎
8. เชอื กหรือยางเพอื่ ใช๎ผกู รดั อุปกรณส๑ ิ่งของเลก็ ๆ นอ๎ ย ๆ

การเตรยี มเคร่ืองปจั จบุ ันพยาบาลส่วนตวั สาหรับการเดนิ ทางไกล
ในการปฏิบัติกิจกรรมเดินทางไกล บางครั้งลูกเสืออาจเกิดอาการเจ็บปูวยหรือไมํสบาย ดังน้ัน

ควรเตรียมเครื่องปัจจุบันพยาบาลสํวนตวั ไปดว๎ ย ดังนี้
1. ยาประเภทตําง ๆ เชํน ยาลม ยาแก๎ปวดลดไข๎ ยาแก๎ปวดท๎อง ยาแดง ยาเหลือง ทิงเจอร๑

แอมโมเนีย ขผี้ ง้ึ ฯลฯ
2. อปุ กรณก๑ ารปฐมพยาบาล เชํน ผา๎ พนั แผล สําลี ฯลฯ

อปุ กรณ์ ส่วนรวม หรืออปุ กรณ์สาหรับหมหู่ รือกอง
เป็นอุปกรณ๑ท่ใี ช๎สาํ หรบั ทกุ คนในหมํหู รือกอง ในการอยูํคํายพกั แรมรวํ มกนั และต๎องแบํงหน๎าที่กัน

นําสิ่งของไป เชนํ
- นายหมํู เอาตะเกียง มดี พรา๎ และแผนท่ี
- รองนายหมูํ นาํ พลวั่ สนาม เต็นท๑ กระดาษชาํ ระ กระเปา๋ ยาและอปุ กรณ๑ในการปฐมพยาบาล ถัง

นถง้ําั นก้�ำะกละลมะังมงัไมไม๎ขข้ดี ดีไฟไฟเชเชอื้ อ้ืไไฟฟยยาาขขดั ดั รรอองงเเททา๎ า้ ยยาขดั ั โลหะ
- หัวหนา๎ คนครวั เตรียมกระทะ หมอ๎ หุงขา๎ ว ทพั พี หม๎อสําหรับปรงุ อาหาร กระทะ มีดทําครัว
- รองหัวหน๎าคนครัว นํากับข๎าว เครื่องปรุง อาหารสด อาหารแห๎ง และอาหารกระป๋องสําหรับ

รับประทานทงั้ หมูํ

ส่งิ ทไ่ี มค่ วรบรรจุเครือ่ งหลงั
ไมคํ วรนาํ สิง่ ของอ่นื ๆ ท่ไี มจํ าํ เป็นและของมีคําทุกชนิดไป เชนํ สายสรอ๎ ยทองคาํ โทรศพั ท๑ ราคาแพง

เครอ่ื งเลนํ รวมถึงอปุ กรณอ๑ เิ ล็กทรอนิกส๑อน่ื ๆ นําเงนิ ตดิ ตวั ไปเทาํ ทจี่ ําเป็นตอ๎ งใช๎ รวมทัง้ ไมํพกพาอาวุธทกุ ชนดิ

ค1มู่2อื ส่งเสชครู่มั้นมิ อืปแสรลง่ะะเถสพมรัฒศมิ ึกแนษลาาะกปพจิทีัฒก่ี น5รารกมิจลกูกรรเมสลือูกทเสกั อื ษทะกั ชษีวะติ ชใีวนติ สในถสาถนาศนึกศึกษษาา ลปกูระเสเภือทโลทูกเชสือั้นสปารมะัญถมหศลักึ สษูตารปลทีูกเี่ ส5ือโท 19

การบรรจุสง่ิ ของลงในถุงเครอ่ื งหลงั หรือกระเป๋า
เครอื่ งหลงั คอื ถงุ หรือกระเป๋าสําหรับใสํส่ิงของตําง ๆ ใช๎สะพายหลงั เพอ่ื สามารถนําสิง่ ของตดิ ตวั

ไปไดส๎ ะดวก จัดเป็นสง่ิ สําคญั และมคี วามจําเปน็ มากสําหรับกจิ กรรมการเดินทางไกล เพราะลูกเสือต๎อง
ใชบ๎ รรจุอุปกรณป๑ ระตัว อุปกรณ๑ประจําหมูํ ทต่ี ๎องนําไปใชใ๎ นการอยํคู ํายพกั แรม

เครือ่ งหลังมีหลายชนิดแล๎วแตํลูกเสือจะเลือกใช๎เชํน กระเป๋า ยําม หรือ เปฺ ลูกเสือควรเลือกใช๎

เครือ่ งหลงั ทมี่ ีลักษณะคล๎ายเปฺ เพราะมชี ํองสําหรบั แยกบรรจสุ ่ิงของไดห๎ ลายประเภท
การบรรจสุ ่งิ ของลงในถุงเครอื่ งหลังหรอื กระเปา๋ มขี ๎อแนะนาํ ดังนี้
1. เลอื กเครอื่ งหลังที่มีขนาดพอเหมาะไมํเลก็ หรอื ใหญจํ นเกนิ ไป
2. บรรจุสิ่งของที่มีน้ําหนักมากหรือสิ่งของท่ีใช๎ภายหลังไว๎ข๎างลําง สํวนสิ่งของที่ใช๎กํอนหรือใช๎

รีบดํวน เชนํ ไฟฉาย เส้ือกนั ฝน ไมข๎ ดี ไฟ ฯ ใหบ๎ รรจุไวข๎ า๎ งบนสุดเพือ่ สามารถนาํ ออกมาใช๎ไดอ๎ ยาํ งสะดวก

3. บรรจุสงิ่ ของนมํุ ๆ เชํน ผ๎าเช็ดตัว ผา๎ หํม เสอ้ื ผา๎ ฯลฯ ตรงสวํ นทีส่ ัมผัสกับหลังของลูกเสือเพื่อ
จะได๎ไมเํ จ็บหลงั ขณะเดินทาง

4. ส่งิ ของบางประเภท เชนํ ยารักษาโรค ข๎าวสาร เป็นต๎น ควรใสํถุงผ๎าหรือถุงพลาสติกกํอน แล๎ว
จงึ บรรจลุ งเครื่องหลงั

5. ในกรณีที่ถุงนอน และผ๎าหํมบรรจุเคร่ืองหลังไมํได๎ ให๎ผูกถุงนอนและผ๎าหํมนอนของลูกเสือ
ไวน๎ อกเคร่ืองหลัง คลมุ ด๎วยแผนํ พลาสตกิ ใสเพอื่ กนั การเปียกนาํ้

6. เคร่อื งหลังทลี่ ูกเสือนาํ ไปต๎องไมํหนักจนเกินไป เพราะจะทําใหล๎ ูกเสอื เหน่ือยเร็ว น้ําหนักของ
เครือ่ งหลังควรหนักไมเํ กิน 1 ใน 5 ของนํา้ หนกั ตวั ลูกเสอื เชนํ ถ๎าลูกเสือหนกั 60 กโิ ลกรมั เคร่อื งหลงั ควร
หนักไมเํ กิน 12 กโิ ลกรมั เป็นตน๎

รองเท้าผ้าใบ ชุดลาลอง

รองเทา้ แตะ สมดุ บนั ทกึ

ยารักษาโรค ของใชส้ ว่ นตัว ไฟฉาย

20 คู่มอื สง่ เสรมิ และพฒั นากิจกรรมลูกเสือทักษะชีวิตในสถานศกึ ษา ลกู เสอื โท ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 5
คู่มือสง่ เสรมิ และพฒั นากิจกรรมลกู เสือทกั ษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ประเภทลูกเสือสามญั หลกั สูตรลกู เสอื โท
ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 13

เกม

เก็บของลงเครอ่ื งหลงั
วิธีเล่น
1. ใหล๎ กู เสอื แตลํ ะหมูวํ างแผนบรรจุสง่ิ ของลงเครอื่ งหลังตามทีไ่ ดเ๎ รยี นร๎ูจากการสาธิต ตามลําดับการ

บรรจุลงกอํ นหลัง
2. แจกบัตรคาํ ท่ีเขียนรายการสิง่ ของไว๎ (แผนํ ละ 1 รายการ) ใหส๎ มาชิกในหมูํคนละ 1 ใบ
3. เข๎าแถวตอนเรยี งบัตรคาํ ตามลําดับการบรรจเุ คร่อื งหลงั ทไ่ี ด๎วางแผนไว๎ โดยหัวแถวบรรจุลงกํอนเป็น

ลําดับแรกและท๎ายแถวบรรจลุ งทีหลังสดุ
4. หมใํู ดทาํ เสรจ็ กอํ นใหน๎ ่ังลง ผก๎ู ํากับลกู เสือเขา๎ ตรวจสอบความถกู ต๎อง
การตัดสนิ หมูํทที่ าํ เสร็จกอํ นและเรยี งได๎ถกู ตอ๎ งเป็นผชู๎ นะ

ตวั อย่างบตั รคา มีด ผ้าห่ม หมอน

ม้งุ หมอ้ ยาใสแ่ ผล
สดสดสด

เรื่องสนั้ ทเ่ี ปน็ ประโยชน์ ความสาเร็จของศกั ดด์ิ า

โรงเรียนแหํงหนง่ึ ซงึ่ อยูํไกลจากอําเภอพอสมควร มีนักเรียนพิการทางสายตาคนหนึ่ง ช่ือศักดิ์ดา

เป็นเด็กขยันหมั่นเพยี รตง้ั ใจเลําเรียนและมคี วามรบั ผิดชอบตอํ หน๎าที่
เมอื่ ถึงชวํ งสอบวัดผล นักเรียนทกุ คนตาํ งอํานหนังสอื อยาํ งต้งั ใจ เพือ่ เตรียมตัวในการสอบ ศักด์ิดา

มงํุ ม่นั อํานหนังสือเพอื่ เตรียมตัวสอบ แม๎จะมีข๎อจํากัดไมสํ ามารถมองเห็นไดช๎ ดั เจนเทําคนอื่น หลังจากการ
สอบเสรจ็ โรงเรียนประกาศผลการสอบ ปรากฏวาํ ศกั ดิ์ดาสอบได๎เป็นอันดับหนึ่งของโรงเรียน และยังได๎รับ
ทนุ การศึกษาของโรงเรียน เขาได๎รบั การคดั เลือกให๎เขา๎ เรยี นตอํ ในโรงเรยี นมัธยมประจําจงั หวดั อกี ดว๎ ย

วันรํุงขึ้นคุณครูให๎ศักดิ์ดาออกมาพูดแสดงความรู๎สึกท่ีได๎รับทุนการศึกษาและได๎รับคัดเลือกเข๎า
เรยี นตํอในโรงเรียนมัธยมประจําจังหวดั ศักด์ดิ ากลาํ วกับเพือ่ น ๆ และนอ๎ ง ๆ วํา

“ผมประสบความสาํ เร็จในครงั้ นเ้ี พราะผมมีความต้งั ใจในการเรียน ไมํเข๎าใจในวิชาใดก็ถามจากผู๎ร๎ู
ค๎นควา๎ จากห๎องสมุด ถึงแม๎จะพิการทางสายตาแตํไมํเคยท๎อแท๎ หรือหมดกําลังใจ ถ๎าทุกคนมีความต้ังใจ
และเพียรพยายาม ก็จะประสบความสําเร็จเชํนเดียวกับผม” เมื่อศักด์ิกลําวจบทุกคนรวมท้ังครูได๎ปรบมือ
ให๎กาํ ลงั ใจ

เรอ่ื งนสี้ อนใหร้ วู้ า่ ความสําเร็จจะเกดิ ขน้ึ ไดต๎ อ๎ งมีความมานะ วริ ยิ ะ อตุ สาหะ

ค1ู่ม4อื ส่งเสชครู่มน้ัมิ ือปแสรล่งะะเถสพมรฒัศมิ ึกแนษลาาะกปพิจทีัฒกี่ น5รารกมจิ ลกูกรรเมสลอื กู ทเสกั อื ษทะกั ชษีวะติ ชใีวนิตสในถสาถนาศนกึศกึษษาา ลปกูระเสเภอื ทโลทกู เชสอืัน้ สปารมะญั ถมหศลักึ สษตู ารปลีทูกเี่ ส5ือโท 21

แผนการจัดกจิ กรรมลกู เสอื สามญั ลกู เสอื โท ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 5

หน่วยท่ี 2 การรู้จักดูแลตนเอง
แผนการจดั กิจกรรมท่ี 3 การก่อไฟสาหรับปรุงอาหาร และการกางเตน็ ท์ เวลา 2 ชว่ั โมง

1. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1.1 สามารถกอํ ไฟในการประกอบอาหารและเครือ่ งดมื่ ร๎อนอยํางงาํ ยๆได๎
1.2 ร๎จู กั เตน็ ท๑ สามารถกางเต็นท๑แบบตาํ ง ๆ และใช๎ประโยชน๑จากเตน็ ท๑ได๎

2. เนือ้ หา
2.1 การกํอไฟ
2.2 การปรงุ เคร่ืองดม่ื ร๎อน
2.3 การปรงุ อาหารอยาํ งงําย ๆ
2.4 เต็นทแ๑ ละการกางเตน็ ท๑แบบตําง ๆ

3. สือ่ การเรียนรู้
3.1 แผนภมู เิ พลงทาํ ไมฝนจงึ ตก , งานสงิ่ ใด , พกั แรมสขุ ใจ
3.2 เตาแบบตาํ งๆ ,เตาแก๏ส
3.3 อุปกรณแ๑ ละเครอ่ื งปรงุ อาหาร – เครื่องดม่ื
3.4 ฐานสาธติ การกอํ ไฟดว๎ ยเตาแบบตาํ งๆสําหรบั ปรงุ อาหาร
3.5 การสาธติ การกางเต็นท๑แบบตํางๆ

3.6 เรือ่ งสน้ั ที่เปน็ ประโยชน๑

4. กิจกรรม

4.1 กจิ กรรมครั้งที่ 1
1) พิธเี ปดิ ประชมุ กอง (ชกั ธงขนึ้ สวดมนต๑ สงบน่ิง ตรวจ แยก)
2) เพลง หรือ เกม

3) กจิ กรรมตามจดุ ประสงคก๑ ารเรียนร๎ู
(1) หมลูํ กู เสือเรยี นรูจ๎ ากฐานสาธิตและฝึกปฏิบตั โิ ดยใช๎กิจกรรมเข๎าฐานดงั น้ี (จัดเตรียม
ลวํ งหน๎า)
- ฐานที่ 1 ชนดิ ของเตาไฟแบบตาํ ง ๆ
- ฐานท่ี 2 การกอํ ไฟและการดับไฟ
- ฐานที่ 3 การหุงขา๎ ว การปรงุ อาหารและเคร่อื งดืม่ อยาํ งงําย ๆ
(2) ฐานรวม ผกู๎ าํ กับลูกเสอื รวํ มกนั สรปุ ส่งิ ทีเ่ รยี นรูจ๎ ากฐานกิจกรรม

22 คมู่ ือส่งเสรมิ และพฒั นากิจกรรมลกู เสอื ทักษะชวี ติ ในสถานศึกษา ลูกเสอื โท ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 5
ค่มู อื ส่งเสรมิ และพัฒนากิจกรรมลกู เสอื ทักษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสือสามัญ หลักสตู รลูกเสือโท
ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 5 15

4) ผกู๎ ํากบั ลกู เสอื เลาํ เรอ่ื งสนั้ ที่เปน็ ประโยชน๑
5) พิธีปิดประชุมกอง (นดั หมาย ตรวจเครอ่ื งแบบ ชกั ธงลง เลกิ )

4.2 กจิ กรรมครงั้ ท่ี 2
1) พธิ ีเปดิ ประชมุ กอง (ชกั ธงขน้ึ สวดมนต๑ สงบน่ิง ตรวจ แยก)
2) เพลง หรือ เกม
3) กจิ กรรมตามจดุ ประสงค๑การเรียนร๎ู
- หมํลู ูกเสือเรยี นร๎จู ากฐานสาธติ และฝกึ ปฏบิ ตั โิ ดยใช๎กิจกรรมเข๎าฐาน ดงั น้ี
ฐานที่ 1 ชนิดของเต็นทแ๑ บบตาํ ง ๆ และการดูแลรักษาเต็นท๑
ฐานที่ 2 การกางเตน็ ท๑และการเก็บเตน็ ท๑

4.4 ผก๎ู ํากับลูกเสอื เลาํ เรื่องส้ันทเ่ี ป็นประโยชน๑
4.5 พธิ ปี ดิ ประชุมกอง (นดั หมาย ตรวจเครือ่ งแบบ ชักธงลง เลิก)

5. การประเมินผล
- สงั เกต การฝึกปฏิบตั ิและความใสํใจของลกู เสอื
- ตรวจสอบการปฏิบตั ิ สาธิตการกอํ ไฟ การกางเตน็ ทแ๑ บบตาํ ง ๆ

6. คุณธรรม
6.1 ความพอเพียง
6.2 ความซ่ือสตั ย๑
6.3 ความรับผิดชอบ

ค1ู่ม6อื ส่งเสชครูม่้ันิมอืปแสรลง่ะะเถสพมรฒัศิมึกแนษลาาะกปพิจทีฒั กี่ น5รารกมิจลกกูรรเมสลอื กู ทเสกั อื ษทะักชษวี ะิตชใีวนิตสในถสาถนาศนกึศกึษษาา ลปกูระเสเภอื ทโลทกู เชสือัน้ สปารมะญั ถมหศลกัึ สษตู ารปลทีกู เี่ ส5อื โท 23

ภาคผนวกประกอบแผนการจดั กิจกรรมที่ 3

เพลง

ทาไมฝนจงึ ตก

กบเอยทาํ ไมจงึ ร๎อง ๆ จาํ เป็นตอ๎ งรอ๎ งเพราะวําทอ๎ งมนั ปวด
ท๎องเอยทาํ ไมจึงปวด ๆ จําเปน็ ตอ๎ งปวดเพราะวําข๎าวมนั ดบิ
ขา๎ วเอยทาํ ไมจงึ ดบิ ๆ จาํ เป็นขา๎ วดบิ เพราะวาํ ฟนื มนั เปยี ก
ฟืนเอยทําไมจงึ เปียก ๆ ฟนื จําต๎องเปยี กเพราะวําฝนมนั ตก

ฝนเอยทําไมจงึ ตก ๆ จาํ เป็นตอ๎ งตกเพราะกบมนั ร๎อง

งานส่งิ ใด

งานสง่ิ ใด งานส่งิ ใด แมใ๎ ครละเลยท้ิงปลํอย
มวั แตํคอย เฝฺาแตคํ อย หวงั คอยแตํเถยี งโยนกอง

ไมมํ ีเสรจ็ ไมมํ เี สรจ็ รบั รอง จําไว๎ทุกคนต๎อง
ทาํ งานเราตอ๎ งชวํ ยกนั ชํวยกัน ชํวยกนั ชํวยกนั

เกม

ครอบครัวสตั ว์

1. อุปกรณ์ กระดาษเขยี นช่อื สัตวใ๑ หค๎ รบจาํ นวนผูเ๎ ลํน เชนํ
- ครอบครวั ที่ 1 ครอบครวั เสือ เขียนชอื่ พอํ เสอื แมํเสอื ลกู ชายเสอื ลกู สาวเสอื
- ครอบครวั ท่ี 2 ครอบครวั นก เขียนชือ่ พอํ นก แมนํ ก ลกู ชายนก ลกู สาวนก
- ครอบครัวที่ 3 ครอบครัว....................
ฯลฯ

2. วธิ เี ล่น
1. จัดวางเกา๎ อ้ไี วก๎ ลางสนามหาํ ง ๆ กนั
2. นาํ เอารายชื่อครอบครัวตาํ ง ๆ มาคละกันทง้ั หมด
3. ลูกเสือมาจบั ฉลากบัตรชื่อแลว๎ เกบ็ ไว๎เป็นความลับ ห๎ามบอกผู๎อน่ื วําตนเองจบั ฉลากได๎ชื่ออะไร
4. ผูก๎ าํ กบั ลูกเสอื ใหส๎ ัญญาณการเลนํ
1) เม่ือผู๎กํากับลูกเสือให๎สัญญาณการเลํน ให๎ผ๎ูเลํนทุกคนออกเสียงสัตว๑ตามท่ีตัวเอง

จับฉลากได๎ เพ่อื หาครอบครัวตนเอง

24 คมู่ อื สง่ เสรมิ และพฒั นากิจกรรมลูกเสอื ทกั ษะชีวิตในสถานศกึ ษา ลูกเสอื โท ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 5
คมู่ อื ส่งเสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลกู เสือทกั ษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลูกเสือสามญั หลกั สตู รลูกเสือโท
ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 5 17

1. จัดวางเกา๎ อี้ไวก๎ ลางสนามหําง ๆ กนั
2. นําเอารายช่ือครอบครัวตาํ ง ๆ มาคละกันทง้ั หมด
3. ลกู เสือมาจบั ฉลากบัตรชอื่ แลว๎ เก็บไว๎เป็นความลับ ห๎ามบอกผอ๎ู ืน่ วําตนเองจับฉลากได๎ชอ่ื อะไร
4. ผ๎ูกํากบั ลกู เสอื ใหส๎ ัญญาณการเลํน

1) เมื่อผู๎กํากับลูกเสือให๎สัญญาณการเลํน ให๎ผู๎เลํนทุกคนออกเสียงสัตว๑ตามที่ตัวเอง
จบั ฉลากได๎ เพ่อื หาครอบครวั ตนเอง

24 2) คเมู่มืออ่ื สค่งรเสอรบิมคแรลัวะสพัตฒั วน๑มาากรจิ วกมรรตมัวลกกู ันเสไอืดท๎คักรษบะตชาวี มติ ฉในลสาถกาชนอ่ื ศกึใหษา๎นลง่ั ลกู เงสือโท ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5

การตดั สนิ - ครอบครวั ท่มี ีสมาชกิ ครบถกู ต๎องและนงั่ ลงกํอนเปน็ หมทํู ี่ชนะ

18 คมู่ ือส่งเสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลกู เสือทักษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ประเภทลูกเสือสามัญ หลักสตู รลกู เสือโท
ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 5

ใบความรู้

การกอ่ ไฟ

ในการกอํ ไฟเพอ่ื หงุ หาอาหารจาํ เปน็ ตอ๎ งมีบริเวณที่ปลอดภยั และตอ๎ งมีวสั ดทุ จ่ี ะใช๎
กอํ ไฟ ใหค๎ วามรอ๎ น ใชห๎ งุ หาอาหารได๎

บรเิ วณท่ีจะใช๎กํอไฟต๎องอยหูํ ํางจากตน๎ ไม๎ หรือพุํมไม๎ไมนํ ๎อยกวาํ 3 เมตร ไมคํ วรมกี ่งิ ไม๎อยเํู หนอื
บรเิ วณที่จะกํอไฟ รอบๆ จุดที่จะกํอไฟต๎องเก็บกวาดให๎สะอาดเรียบร๎อย อยําให๎มีใบไม๎แห๎ง หญ๎าแห๎ง
หรือสิง่ ทตี่ ดิ ไฟงํายเกลอื่ นกลาด แลว๎ นํากอ๎ นหนิ ขนาดใหญํๆ สัก 3 - 4 กอ๎ น มาเปน็ ฐาน เก่ียวกบั การกํอไฟ
น้ีมีคาํ สองคําท่ลี กู เสอื ตอ๎ งร๎ู คอื

1. เช้ือเพลิง ได๎แกํ ไม๎ฟืน ซ่ึงได๎แกํกิ่งไม๎หรือต๎นไม๎ที่ยืนต๎นตาย หรือขอนไม๎ที่มีขนาดเล็ก

เป็นไม๎เน้ือแนนํ ไมํมีน้าํ มันหรือยางมากเกินไปและเป็นไม๎แห๎ง เมื่อเผาไหม๎จะมีควันน๎อย เม่ือได๎ไม๎ฝืน
มาแลว๎ จึงนํามาตดั ทอนใหส๎ ัน้ ลงประมาณ 1 ศอก แลว๎ จึงผําซีก

2. เชอ้ื ไฟ อาจใช๎กระดาษหรอื วัสดุท่หี าได๎ในธรรมชาติ เชนํ ใบไม๎แห๎ง เปลือกไม๎แห๎ง หญ๎าแห๎ง

หรอื กิ่งไมแ๎ ห๎งจักเปน็ ฝอย

วิธกี อ่ กองไฟ
การกํอกองไฟอาจทาํ ไดห๎ ลายแบบ กองไฟแตลํ ะ
แบบจะมลี ักษณะเดนํ ท่แี ตกตํางกนั ลูกเสอื ตอ๎ งเลือกแบบ
ของกองไฟใหเ๎ หมาะสมกบั ประโยชน๑ใช๎สอย เชนํ
1. แบบกระโจม ปกั ทอํ นไม๎ทเ่ี ปน็ เชอ้ื เพลงิ กบั พนื้
โดยทํามมุ เฉียงหนั ปลายไมไ๎ ปทางทศิ ทล่ี มพดั มา ใสเํ ช้อื ไฟ
และแขนงไม๎เลก็ ๆ มาพิงรอบๆ โดยเว๎นใหเ๎ ปน็ ชํองทางทิศ
ทล่ี มพัดมา นําไมฟ๎ นื มาพงิ รอบๆ อกี ชั้นหนง่ึ จดุ ไฟท่เี ชอ้ื
ไฟทอี่ ยตํู รงกลางกจ็ ะได๎กองไฟแบบกระโจม
2. แบบแนวนอน วางทํอนไมเ๎ ลก็ ๆ ให๎ทอํ นไมอ๎ ยํู
เหนือพน้ื เล็กนอ๎ ย ใสํเชอื้ ไฟขา๎ งใต๎ ขา๎ งๆ พิงไวด๎ ๎วยเศษไม๎
เลก็ ๆ ทางดา๎ นใตล๎ ม แล๎วทําการจดุ เหมอื นแบบกระโจม

26 คมู่ อื สง่ เสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลูกเสือทกั ษะชวี ติ ในสถานศกึ ษา ลูกเสอื โท ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 5

คูม่ ือส่งเสรมิ และพัฒนากิจกรรมลกู เสอื ทกั ษะชวี ิตในสถานศึกษา ประเภทลกู เสอื สามัญ หลักสูตรลูกเสือโท 19
ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 5

การดบั ไฟ
เม่ือลูกเสือหุงต๎มอาหารเสร็จแล๎ว เลิกใช๎ไฟต๎องดับไฟ
และปรับพ้ืนท่ีกลบถํานให๎เรียบร๎อยเสียกํอนจึงออกจากที่นั้นได๎
การดบั ไฟควรใช๎ดินรวํ นหรอื นํ้า คอํ ยๆ พรมรอบๆ กํอน แล๎วพรม

เข๎าไปหากลางกองไฟจนไฟดับ แลว๎ ใช๎ไม๎ทบุ หรือเทา๎ เหยียบไมํให๎
มปี ระกายไฟเหลืออยํู หรอื ขุดหลุมกลบเสยี เสร็จแล๎วกลบรํองรอย
โดยการเกล่ียพื้นดินเอาหญ๎าที่ขุดไว๎กํอนกํอกองไฟมาวางกลับ
เข๎าทีเ่ ดิม ปดิ รอํ งรอยเสยี ให๎เหมือนเดมิ เมอ่ื กํอนกอํ กองไฟ

การปรุงเครอ่ื งด่ืมรอ้ น
1. การชงกาแฟ - เคร่อื งด่มื บารงุ ร่างกาย

1.1 ต๎มนา้ํ ใหเ๎ ดือด

1.2 เทนาํ้ รอ๎ นลงถ๎วยกาแฟหรือถว๎ ยแกว๎

1.3 ตกั ผงกาแฟหรือโอวลั ติน ลงไปประมาณ 1-2 ช๎อนชา

แลว๎ คนให๎ผงละลายให๎หมด

1.4 เติมนมข๎น นมสด หรือครีมเทียม
1.5 เตมิ นํ้าตาล
1.6 คนใหเ๎ ขา๎ กนั อุปกรณ์บางอย่างในการปรงุ เคร่ืองดื่มร้อน

2. การตม้ นา้ มะตูม

2.1 ต๎มนํา้ ใหเ๎ ดอื ด

2.2 ใสํเปลือกมะตูมลงไป 2 - 3 ชิน้

2.3 ใสนํ ้าํ ตาลทรายลงไป กะให๎หวานตามท่ีชอบ

2.4 ยกลงดืม่ ได๎

ขอ้ เสนอแนะ ใหเ๎ ลือกสอนเน้อื หาทเ่ี หมาะสมกบั สภาพทอ๎ งถิน่ ของลูกเสือของตน ดังน้ี
1. อาหาร อยาํ งนอ๎ ย 1 อยําง

2. เคร่ืองดื่ม อยํางน๎อย 1 อยําง

การปรงุ อาหารอยา่ งง่ายๆ
1. การหงุ ข้าว หมายถึง การทาํ ขา๎ วให๎สุกด๎วยความรอ๎ น

เพ่ือใช๎เป็นอาหาร การหงุ ข๎าวใหส๎ กุ มี 2 วธิ ี ซึง่ นิยมกนั มากไดแ๎ กํ

ก. หุงขา๎ วเชด็ นาํ้ เป็นแบบทั่วๆ ไปท่ีชาวบ๎านใช๎กัน
ทว่ั ไป แตํการหุงขา๎ วเช็ดน้ําทําให๎แรํธาตุวิตามินสูญหายไปหมด
เพราะสิง่ ทีม่ ปี ระโยชนเ๑ หลาํ น้ีละลายอยูํในน้ําซ่งึ ถกู รนิ ทง้ิ ไปหมด แตกํ ็แก๎ไขโดยการรองนํ้าข๎าวไว๎ด่มื ตาํ งนํา้

ค่มู อื ส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมลกู เสือทกั ษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ลกู เสือโท ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 27

20 ค่มู ือส่งเสรมิ และพฒั นากิจกรรมลูกเสอื ทกั ษะชวี ติ ในสถานศึกษา ประเภทลกู เสือสามัญ หลกั สูตรลกู เสือโท
ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 5

ข. หุงข๎าวไมํเช็ดน้ํา เป็นวิธีหุงข๎าวไมํรินน้ําข๎าวท้ิง ทําให๎ข๎าวที่หุงมีคุณคําอาหารสูง
เพราะเกลอื แรํ วติ ามนิ โปรตีน ไมํสูญหายไปไหน นอกจากนั้นยงั มวี ิธอี ื่นๆ ท่ที าํ ขา๎ วใหส๎ กุ ได๎ เชนํ

ค. นึง่ ขา๎ ว เปน็ การหงุ ข๎าวให๎สกุ วิธีหนึง่ โดยใช๎ไอนํ้า
ง. หลามข๎าว เป็นการหุงขา๎ วให๎สุกวธิ หี น่ึง โดยใช๎ความรอ๎ นจากการแผํรงั สีความรอ๎ น

(1) การหงุ ข้าวไม่เชด็ นา้ ปฏิบัติดงั น้ี

1. ตวงข๎าวใสํภาชนะท่ีจะหุง (เชํน หม๎ออละลมู ูมเิ นิเนียมียม หม๎อดิน) แล๎วซาวข๎าวด๎วยน้ํา 1 ครั้ง
เพือ่ ลา๎ งละอองตาํ งๆ ออกจากข๎าว แลว๎ รินน้ําทง้ิ (ไมํควรซาวขา๎ วหลายหน จะทําให๎สํวนดีของขา๎ วละลาย
กบั นาํ้ ไปหมด)

2. ตวงน้ําสะอาดใสํหม๎อ โดยถือหลักข๎าว 1 สํวน ตํอนํ้า 2 หรือ 2 ½ สํวน แตํอยําให๎น๎อย
กวาํ น้ีจะทาํ ให๎ขา๎ วสกุ ๆ ดิบๆ

3. นําหมอ๎ ขนึ้ ตง้ั บนเตาไฟ ปดิ ฝาใหส๎ นทิ ตัง้ ไว๎ประมาณ 5 นาที เปิดฝาใช๎ทัพพีหรอื พายคน
ปอฺ งกันข๎าวไหม๎ ถ๎าเปน็ ขา๎ วใหมํๆ ตอ๎ งหมน่ั คนบํอยๆ (การใช๎ไฟตอ๎ งแรงมฉิ ะน้นั ข๎าวจะแฉะ)

4. พอข๎าวเดือด เปิดฝาใช๎ทัพพีคน พอน้ํางวดลงบ๎างตักไฟออกเสียบ๎าง ปิดฝาไว๎ให๎ข๎าวระอุดี
ประมาณ 20-25 นาที ข๎าวจะสุก (ถ๎าเปน็ ข๎าวใหมใํ ห๎ใสนํ ํา้ ทํวมข๎าวขึน้ มาประมาณ 2 เซนติเมตร)

(2) การหุงข้าวเช็ดน้า ถ๎าหุงข๎าวเช็ดนํ้า เวลาหุงใสํนํ้ามาก ให๎ระดับนํ้าทํวมข๎าวครึ่งตํอคร่ึง
ของระดับขา๎ ว ตม๎ นํ้าจนเดือด เปดิ ฝาคน สงั เกตดูวาํ ข๎าวบานมไี ตเล็กนอ๎ ยกย็ กลง ปดิ ฝาหมอ๎ เอาไม๎ขัดฝาให๎แนนํ
เอยี งหมอ๎ รินนํ้าข๎าวออกจนแหง๎ เปิดฝาเชด็ น้ําข๎าว แล๎วปดิ ฝา (เอาถํานออกเสียบ๎าง) ยกหม๎อขึ้นดงจน
ขา๎ วสกุ

(3) การนึ่งข้าว มีหลายวิธี คอื
1. การนึง่ ดว๎ ยลังถึง ซาวข๎าวแล๎วบรรจุในภาชนะ เชํน ขขนันออละมูลเูิมนิเียนมียม หรือถ๎วยกระเบื้องเคลือบ

ฯลฯ ใหม๎ ปี รมิ าณขา๎ วครงึ่ หนง่ึ ของภาชนะ แล๎วตกั น้ําใสํตามสํวนโดยปริมาตร คือ ข๎าว 1 สํวน ตํอ น้ํา 2 สํวน
(ใสํนํ้าทํวมข๎าวคร่ึงตํอคร่ึง) แล๎วยกเอาภาชนะบรรจุข๎าววางเรียงในลังถึง ใช๎ไฟแรงต๎มจนน้ําเดือด
นง่ึ ประมาณ 30 นาที ข๎าวจะสกุ ระอดุ ี (ถา๎ ต๎องการขา๎ วแฉะใหใ๎ สนํ ํ้าลงไปให๎ทวํ มขา๎ วมากสกั หนอํ ย)

2. การนึง่ ขา๎ วด๎วยหวดดินปัน้ หรือหวดสานดว๎ ยไม๎ไผํ ซาวข๎าวแล๎วบรรจุลงในหวดประมาณ
คร่งึ หวด (อยําให๎มาก) แล๎วปิดฝาหวด เอาหวดตั้งบนหม๎อนํ้าเดือด ใช๎ไฟแรง เอาผ๎าเตี่ยวชุบน้ําพันก๎นหวด
ตรงปากหมอ๎ ปฺองกันไมํให๎ไอนา้ํ ออก เม่ือน่ึงไปได๎ประมาณ 15 นาทีแล๎วใช๎พายคนข๎าว (คุ๎ยข๎าวข๎างลําง
ขึ้นข๎างบนๆลงข๎างลํางสักครั้ง) เพ่ือทําให๎ข๎าวหลวมตัวให๎ไอนํ้าผํานไปได๎ท่ัวหวด ตรงรอบๆ ฝาหวด
ก็ควรใช๎ผ๎าเตี่ยวชุบนํ้าพันรอบเหมือนก๎นหวด น่ึงประมาณ 30-45 นาที ข๎าวจะสุก การน่ึงข๎าวนิยมน่ึง
ขา๎ วเหนียว กอํ นน่ึงควรเอาข๎าวซาวและแชํน้าํ ไว๎ประมาณ 3 ชั่วโมง จึงใสหํ วด

28 คู่มอื สง่ เสริมและพฒั นากจิ กรรมลกู เสือทักษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ลกู เสือโท ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 5

ค่มู อื ส่งเสรมิ และพัฒนากิจกรรมลกู เสอื ทักษะชวี ิตในสถานศึกษา ประเภทลูกเสอื สามัญ หลกั สตู รลกู เสือโท 21
ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 5

3. นึ่งข๎าวด๎วยหม๎อหรือกระทะ หรือภาชนะหุงต๎ม เอาน้ําใสํหม๎อหรือกระทะต๎มให๎เดือด

แล๎วเอาขา๎ วใสํภาชนะหรือชามประมาณ หรือ ของชาม ใสํน้ําคร่ึงตํอครึ่ง (ข๎าว 1 สํวน น้ํา 2 สํวน)
เอาภาชนะใสํข๎าวไปตัง้ ในกระทะนาํ้ เดอื ด แลว๎ เอาฝาครอบปิดไวป๎ ระมาณ 30-40 นาที ขา๎ วจะสกุ

(4) การหลามขา้ ว มีวธิ ที าํ ดังนี้
1. เอาไม๎ไผสํ ดตัดเป็นปล๎อง เปดิ ชํองขา๎ งบนไวเ๎ พื่อใช๎บรรจุข๎าว
2. ซาวข๎าวด๎วยน้ํา 1 ครง้ั เพือ่ ล๎างสิง่ สกปรกและละอองตาํ งๆ แลว๎ แชนํ ้าํ ไวป๎ ระมาณ 3 ชวั่ โมง
3. กรอกข๎าวลงในกระบอกไมํไผํ เติมน้ําให๎ทํวมประมาณคร่ึงน้ิว แล๎วเอาใบตองแห๎งหํอ

กาบมะพรา๎ วอุดปากกระบอก ให๎มีชอํ งวาํ งตรงปากกระบอกไวพ๎ อสมควร เพอื่ ใหน๎ ํ้าเดือดได๎
4. ขุดเตาราง กํอไฟในเตารางให๎เชื้อเพลิงเผาไหม๎เป็นถํานอยํางดี เอาต๎นกล๎วยเสียบข๎าง

ทําเป็นขาหยั่งตั้งไว๎หัวท๎ายของต๎นกล๎วย (ใช๎ทํอนเหล็กก็ได๎) เอากระบอกไม๎ไผํพิงไว๎กับต๎นกล๎วย
ให๎ความร๎อนจากไฟที่กํอไว๎ตรงกลางแผํรังสีไปถูกกระบอกไม๎ไผํท่ีวางพิงไว๎กับต๎นกล๎วย หม่ันกลับ
กระบอกไมไ๎ ผใํ ห๎ไดร๎ ับความร๎อนจากกองไฟโดยท่วั ถงึ เม่อื ขา๎ วสกุ แลว๎ ปอกผิวกระบอกไมไ๎ ผทํ ่ีเกรียมออก
เพื่อสะดวกตํอการรบั ประทาน

วิธกี ารทาขา้ วหลาม

2. การทากบั ขา้ ว กบั ขา๎ วเป็นสิ่งทเ่ี ราใชร๎ ับประทานพรอ๎ มข๎าว เพอื่ ทาํ ใหก๎ ารรับประทานอาหาร
ได๎มากและอรํอย และทําให๎คุณคําทางอาหารเพ่ิมขึ้น กับข๎าวปรุง

จากอาหารพวกผัก เนื้อสัตว๑ ไขมัน และเกลือแรํ จัดเป็นของแห๎ง

หรือของเป็นน้ํามีรสตํางๆ ตามใจชอบ

อาหารพวกผัก อาจประกอบเป็นอาหารไดห๎ ลายอยําง เชนํ

ผดั ยํา ตม๎ เปน็ แกงตาํ งๆ

อาหารพวกเนอ้ื สตั ว๑ อาจประกอบได๎หลายอยาํ ง เชํน ต๎ม

แกง ทอด ยําง ปิง้ หรือนง่ึ เนอื้ สัตว๑แห๎งใชท๎ าํ ใหส๎ ุกดว๎ ยการปง้ิ

หรืออบป้งิ กไ็ ด๎ (ใชไ๎ ฟออํ นๆ) หรือใช๎ตม๎ แกงเมอื่ ต๎องการอาหาร

นาํ้

(1) การต้มแกง เป็นวิธีประกอบอาหารที่ดีรักษา
คุณภาพอาหารไดด๎ กี วาํ วธิ อี น่ื ๆ เพราะเกลือแรํจะละลายอยูํในนํา้
29

22 คมู่ อื ส่งเสริมและพฒั นากจิ กรรมลกู เสือทกั ษะชีวิตในสถานศกึ ษา ประเภทลูกเสอื สามัญ หลกั สูตรลกู เสอื โท
ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5

แกง การต๎มแกงควรใชเ๎ นื้อสด เพื่อเปน็ การรักษาคณุ คําในทางอาหารไมํให๎สูญเปลํา ควรต๎มน้ําให๎เดือด
เสียกํอนแลว๎ จงึ ใสํเนื้อสตั วล๑ งไปต๎ม ถ๎ามีกลิ่นคาวจัดควรใสํตะไคร๎ ใบมะกรูดลงไปด๎วยเพื่อดับกล่ินคาว
พอเน้ือสุกให๎รีบยกลง ไมํควรต๎มนานจะทําให๎เน้ือเหนียว แตํถ๎าต๎องการให๎เน้ือเป่ือย ก็เค่ียวตํอไป
นานๆ เม่อื เปื่อยตามต๎องการแล๎วจงึ ยกลง (กํอนยกลงควรปรงุ รส เปร้ยี ว เคม็ หวาน ตามต๎องการ)

(2) การปิ้ง เปน็ วธิ กี ารทาํ ใหเ๎ นอื้ สัตว๑สุก โดยตัง้ ขาหยงั่ เอาตะแกรงเหลก็ วาง เอาเนื้อสัตว๑วางบน
ตะแกรงตงั้ องั ไฟทเี่ ป็นถาํ นแดง คอยหม่นั พลกิ กลบั เนอื้ ไปมาให๎ถกู ความร๎อนโดยท่วั ๆ จนสกุ ท่วั กันก็เอา
ออกใสจํ าน

(3) การอบปิ้ง เนื้อสัตว๑บางชนิด เชํน ปลาชํอน ลูกเสืออาจใช๎ใบไม๎สด เชํน ใบตองหรือใช๎ดิน
เหนียวหอํ หรอื พอกเนอ้ื สตั วใ๑ หม๎ ดิ และหนาพอสมควร แล๎วนําไปวางลงบนกองไฟ เอาก๎อนถํานวางทับ

ข๎างบน คะเนวําอาหารสุกดีแล๎วก็นําออกจากกองไฟ แก๎ใบตองหรือใบไม๎ออก ถ๎าเป็นดินก็กะเทาะดิน
ออก จะได๎อาหารท่ีสะอาด รับประทานไดท๎ นั ที

หมายเหตุ ใบไม๎ที่ใช๎หํออาจใช๎ใบจาก ใบหมากก็ได๎ การหํอต๎องหํอหลายๆ ครั้งเพ่ือไมํให๎เนื้อไหม๎ไฟ
การอบป้ิงในหลุม โดยใช๎ดนิ เหนียวหรอื ใบไมห๎ อํ ห๎มุ เน้อื สตั วห๑ ลายช้นั หนาพอสมควร เอาก๎อนถํานท่ีสุกแดง
ใสํลงกน๎ หลมุ กอํ น จงึ เอาถํานไฟวางทบั หอํ อาหาร แลว๎ เอาดินปิดข๎างบน คะเนวําอาหารสุกก็เกล่ยี ถาํ นไฟ

และดินออก (การอบปิ้งด๎วยดินเหนียว เป็นวธิ ที ําให๎อาหารสุกของชาวยิปซี)
(4) การนึง่ เป็นการทาํ อาหารสกุ ด๎วยไอน้าํ โดยการเอานาํ้ ใสภํ าชนะ เชนํ กระทะ พอสมควรตง้ั

บนเตาไฟ เอาตะแกรงวางในภาชนะเหนอื นาํ้ นาํ อาหารหรอื เนื้อสัตวว๑ างบนตะแกรง อยาํ ใหอ๎ าหารหรือ
เน้อื สัตว๑ถกู นาํ้ ปดิ ภาชนะให๎สนทิ ใชไ๎ ฟแรงๆ ตม๎ จนนาํ้ เดือดเป็นไอ ความรอ๎ นของนาํ้ จะทาํ ใหอ๎ าหารและ
เนอ้ื สตั ว๑สกุ หรอื จะใชภ๎ าชนะอืน่ ใสอํ าหารหรือกอ๎ นเนอ้ื เอาไปต้ังในภาชนะใสนํ าํ้ ตัง้ บนไฟ ปิดฝาให๎สนิท

ใช๎ไฟแรงต๎มจนเดอื ด คะเนวําไอนํ้ารอ๎ นทําให๎อาหารหรือเนือ้ สตั วส๑ กุ จึงยกลง
(5) การตุ๋น เอาใสํหมอ๎ เล็กใสนํ ้ําพอสมควรปดิ ฝาใหส๎ นทิ นาํ ไปต้งั ในหมอ๎ ใหญหํ รือกระทะที่ใสํนํ้า

ตง้ั บนเตาไฟเอาฝาปดิ หมอ๎ ใหญหํ รอื กระทะใชไ๎ ฟแรง ต๎มใหน๎ า้ํ ในกระทะเดือด ความรอ๎ นจากนาํ้ เดือดใน
กระทะจะทําให๎อาหารในหม๎อเล็กสกุ การตุน๐ เป็นการทาํ อาหารใหส๎ ุกทร่ี ักษาคณุ คําของอาหารไว๎มากทสี่ ดุ

(6) การทอด คือ การทําให๎อาหารสุกด๎วยการใชน๎ ํา้ มันเดอื ด โดยเอาน้าํ มนั ใสํในกระทะตัง้ บนเตาไฟ
ทใี่ ช๎ไฟแรงพอสมควร เมื่อนา้ํ มันรอ๎ นเดือดกน็ ําอาหารหรือกอ๎ นเน้ือที่ตดั แลเํ ป็นชน้ิ หนาพอสมควรใสลํ งไปทอด

หมน่ั คอยกลับใหเ๎ นือ้ หรอื อาหารสกุ ทัว่ กนั แล๎วจงึ ตกั ขึ้นจากกระทะลงใสํจาน (ถา๎ ตอ๎ งการใหก๎ รอบตอ๎ งหั่น
เนื้อเปน็ ช้ินบางๆ ถา๎ ต๎องการเน้ือสุกและนมํุ ให๎หัน่ ชิ้นหนาๆ ใช๎นํ้ามันน๎อยๆ ไฟอํอนๆ ต๎องคอยดูน้ํามัน
ใหพ๎ อดีๆ)

(7) การย่าง เป็นการทาํ เนอื้ สตั วใ๑ หส๎ กุ โดยใช๎ความร๎อนจากไฟ เอาเนอ้ื สตั ว๑วางลงบนขาหย่ัง ให๎
เนอ้ื องั เปลวไฟอํอนๆ ท่ีรมดว๎ ยควนั ก๎อนเนื้อจะไดร๎ ับความรอ๎ นจากการพาความร๎อนของอากาศที่มากับควัน
คอยหมนั่ พลกิ กลับให๎ได๎รบั ความรอ๎ นเทาํ ๆ กัน โดยสม่ําเสมอทั่วๆ ไป จนเนอื้ สุกแห๎ง

30 คู่มอื สง่ เสรมิ และพฒั นากิจกรรมลูกเสอื ทักษะชีวิตในสถานศึกษา ลกู เสอื โท ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 5

คูม่ อื สง่ เสริมและพัฒนากิจกรรมลูกเสอื ทกั ษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสอื สามัญ หลักสูตรลูกเสอื โท 23
ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 5

การกางเต็นท์
เตน็ ท๑ทน่ี ยิ มนาํ ไปอยคํู าํ ยพกั แรมมี 3 ชนดิ
1. เต็นทอ๑ าํ นวยการ มีขนาดใหญํ ใชเ๎ ปน็ ทปี่ ระชุม
2. เตน็ ทห๑ มํู ใช๎เป็นทพี่ กั สาํ หรบั ลกู เสือทั้งหมูํ
3. เตน็ ท๑บุคคล สาํ หรับลกู เสอื 2 คน ท่ีนิยมใช๎มี 2 ชนิด ได๎แกํ เต็นท๑กระแบะหรือเต็นท๑ 5 ชาย

และเต็นท๑สําเร็จรูป

เต็นทก์ ระแบะ หรอื เต็นท์ 5 ชาย
เหมาะสําหรับลูกเสือ 2 คน มีขนาดเล็ก กะทดั รัด พกพาสะดวก ใช๎พื้นท่ีกางเต็นท๑ไมํกว๎างมาก

และวิธีกางเต็นท๑ไมยํ ุํงยาก มีลูกเสือชํวยกนั เพียง 2 คนกส็ ามารถกางเตน็ ท๑ได๎ สํวนประกอบของเต็นท๑ 5 ชาย
มีดงั นี้

1. ผา๎ เตน็ ท๑ 2 ผืน
2. เสาเตน็ ท๑ 2 ชุด ( 2 เสา ) ชดุ ละ 3 ทอํ น ( 3 ทอํ นตอํ กันเป็น 1 ชดุ หรอื 1 เสา )
3. สมอบก 10 ตัว ( หัวทา๎ ย 2 ตวั ชายดา๎ นลํางดา๎ นละ 3 ตัว ประตูหน๎า 1 ตัว และหลงั 1 ตัว )
4. เชือกยึดสมอบก 10 เส๎น (เชอื กยาวใชร๎ งั้ หัวท๎ายเตน็ ท๑ 2 เส๎น เชือกสนั้ ใชย๎ ึดชายเตน็ ท๑ 6 เสน๎

และประตหู นา๎ - หลัง 2 เส๎น )

การกางเตน็ ท์ 5 ชาย มี 5 ขนั้ ตอน ดังนี้
1. ติดกระดุมผ๎าเต็นท๑ท้ัง 2 ผืนเข๎าด๎วยกัน ด๎านที่ติดกระดุมเป็นด๎านสันของหลังคา รูตาไกํ

ท่ีซ๎อนกันและอยูํถัดจากระดุมจะเป็นท่ียึดเสาท้ัง 2 เสา สํวนด๎านที่มีรูตาไกํด๎านละ 3 รู จะเป็นชาย
ด๎านลาํ ง

2. นาํ เสาชุดท่ี 1 (ตอํ 3 ทอํ นเขา๎ ดว๎ ยกนั ) มาเสยี บทร่ี ูหลังคาเต็นท๑ ให๎คนที่ 1 จบั ไว๎
3. ให๎คนท่ี 2 ใชเ๎ ชือกยาว 1 เส๎นนาํ มายึดจากหวั เสา (หรือหํวง) ไปยังสมอบกด๎านหน๎า (ผูกด๎วย
เง่ือนตะกรดุ เบ็ด กระหวัดไม๎ หรือผูกร้ัง) แล๎วจึงใช๎เชือกสั้น 2 เส๎นยึดชายเต็นท๑เข๎ากับสมอบก เพ่ือให๎
เตน็ ท๑กางออกเปน็ รปู หน๎าจวั่ (ผกู ดว๎ ยเง่อื นปมตาไก)ํ
4. ใหค๎ นท่ี 2 เดนิ ออ๎ มไปอีกด๎านหนึ่ง ตํอเสาท่ี 2 เสียบเขา๎ กบั รหู ลงั คาเต็นทอ๑ กี ดา๎ นหนง่ึ แล๎วจับเสาไว๎
ให๎คนท่ี 1 ปลํอยมือจากเสาท่ี 1 แล๎วนําเชือกยาวเส๎นท่ี 2 ยึดจากหัวเสาที่ 2 ไปยังสมอบกด๎านหลัง
(ผกู ดว๎ ยเงือ่ นตะกรดุ เบ็ด กระหวดั ไม๎ หรือผกู ร้งั )
5. ให๎คนท่ี 2 ปลอํ ยมือจากเสาท่ี 2 ได๎ เต็นทจ๑ ะไมลํ ๎ม และทั้ง 2 คนชํวยกนั ใชเ๎ ชอื กยึดชายเต็นท๑
จดุ ทเี่ หลือเขา๎ กบั สมอบก แลว๎ ปรบั ความตึงหยํอนของเตน็ ท๑ให๎เรยี บรอ๎ ย

การร้ือเตน็ ท์ 5 ชาย มี 7 ข้ันตอน
1. แกเ๎ ชอื กทีร่ งั้ เสาหวั ท๎ายกบั สมอบกออก เตน็ ท๑จะลม๎ ลงทนั ที

คู่มือส่งเสริมและพัฒนากจิ กรรมลกู เสอื ทักษะชีวิตในสถานศึกษา ลกู เสือโท ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 5 31
คู่มือส่งเสริมและพฒั นากจิ กรรมลูกเสือทักษะชีวิตในสถานศึกษา ประเภทลกู เสือสามญั หลกั สูตรลกู เสือโท
24 ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 5

2. ถอนเสาเตน็ ทอ๑ อกเปน็ 6 ทอํ น นํามารวมกันไว๎
3. ถอนสมอบกทั้ง 10 ตัว นําไปรวมกันไว๎ที่ใกล๎ ๆ กับเสาเต็นท๑
4. แกเ๎ ชอื กและเก็บเชอื กใหเ๎ รียบร๎อย (เชือกสั้น 8 เสน๎ เชือกยาว 2 เส๎น รวม 10 เส๎น) นําไปรวม
ไว๎ใกล๎ ๆ กองสมอบก
5. แกะกระดุมเต็นทเ๑ พ่ือแยกผา๎ เตน็ ทอ๑ อกเปน็ 2 ผืน
6. ทาํ ความสะอาดอุปกรณ๑และเกบ็ พบั ผา๎ เตน็ ทใ๑ หเ๎ รียบร๎อย
7. นาํ ผา๎ เตน็ ท๑และอุปกรณเ๑ ก็บรวมไว๎ในท่ีเดยี วกัน
เตน็ ทส์ าเร็จรปู
ใช๎เป็นที่พักสําหรับลูกเสือทั้งหมูํ (1 หมูํ) มีขนาดใหญํกวํา และนํ้าหนักมากกวําเต็นท๑กระแบะ
แตํยังสามารถพกพาไปได๎สะดวก พื้นที่ที่ใช๎กางเต็นท๑มีบริเวณกว๎างพอสมควร วิธีกางเต็นท๑ไมํยุํงยาก
มีลูกเสือชํวยกันเพียง 2 คนก็สามารถกางเต็นท๑ได๎ เต็นท๑สําเร็จรูปมีหลายแบบ มีรูปทรงไมํเหมือนกัน
บางแบบคล๎ายเต็นท๑กระแบะ
สํวนประกอบของเต็นทส๑ าํ เร็จรปู มดี งั น้ี
1. ผา๎ เตน็ ท๑ 1 ชุด
2. เสาเตน็ ท๑ 2 ชดุ (2 เสา) ชุดละ 3 ทอํ น (3 ทอํ นตํอกนั เป็น 1 ชดุ หรือ 1 เสา)
3. สมอบก 12 ตัว (ยดึ มมุ พน้ื 4 ตวั ยึดชายหลงั คา 6 ตัว หวั 1 ตวั ท๎าย 1 ตวั )
4. เชือกยึดสมอบก 8 เสน๎ ทุกเสน๎ มัดตดิ กับแผํนเหลก็ สาํ หรับปรับความตงึ หยํอนของเชือก โดย
เชือกสนั้ 6 เสน๎ ใช๎ยดึ ชายหลงั คา และเชือกยาว 2 เส๎นใช๎รงั้ หวั ทา๎ ยเตน็ ท๑
วธิ กี างเต็นทส์ าเร็จรปู มี 5 ขน้ั ตอน ดังนี้
1. ยดึ พนื้ ของเต็นท๑ท้งั 4 มมุ ดว๎ ยสมอบก 4 ตัว
2. นาํ เสาชุดที่ 1 ( ตอํ 3 ทอํ นเข๎าดว๎ ยกัน ) มาเสยี บท่ีรูหลังคาเต็นท๑ ใหค๎ นท่ี 1 จับไว๎
3 . ให๎คน3ท. ี่ ใ2หค้ใชนท๎เช่ี2ือใกชเ้ยชาอื วกย1าวเส1๎นเสน้ยยึดดึจจาากกหัวั เสาา(ห(หรอื รหือว่ หง)ํวไงป)ยไงั ปสมยอังบสกมดอา้ บนกหดนา๎้ น(โดหยนผ๎ากู ด(โว้ ดยยเงผอ่ื ูนกตดะ๎วกยรเดุ งเื่อบนด็
ตหะรกอื รเดุ งเ่อื บนด็ กหรระอืหเวงดั่ือนไมก้ระไหมว่ตดั ้อไงมใ๎ชไ้เมงตํ ่อื อ๎ นงผใชูก๎เรงงั่ือ้ เนพผรู๎รา้ังะเพมแีราผะ่นมปีแผรบัํนปครวับามควตาึงมอตยึงู่แอลย้วูํแ)ลว๎แ)ลแ้วลใ๎วชใ้เชชเ๎ ชอื กอื กสสนั้ ้ัน22 เส้๎น
ยดึ ชายเตน็ ทเ์๑ ขา้๎ กบับสสมมออบบกกใใหหเ้ ๎เตตน็ ็นททก์ ๑กาางงอออกกเปเป็นน็รปูรปูหหนน้าจ๎าวัจ่ ว่ั
4 . ให๎คน4ท. ่ี ใ2หเค้ ดนินทอ่ี 2๎อเมดไนิ ปอออ้ ีกมดไ๎าปนอหกี ดนา้่ึงนตหํอนเ่งึ สตาอ่ทเี่ ส2าทเส่ี 2ียเบสเยีขบ๎าเกขับา้ กรูหบั ลรหูังคลงาั คเตาเ็นตทน็ ๑อทีกอ์ ดกี ๎าดนา้ นหหนนึ่ง่แงึ แลล๎วว้จจับบั เเสสาาไไวว๎ ้
ใใหหค๎ค้ นนทท่ีี่ 11 ปปลลอ่ ํอยยมมอื ือจจาากกเสเสาทาท่ี 1่ี 1แลแว้ลน๎ว�ำนเชําเอื ชกอื ยกายวเาสวน้ เสท๎น่ี 2ทยี่ 2ดึ จยาดึ กจหาวักเหสาัวทเส่ี 2าทไปี่ 2ยงัไสปมยองั บสกมดอา้บนกหดล๎างั น หลัง
5. ใหค๎ นที่ 2 ปลํอยมอื จากเสาท่ี 2 ได๎ เตน็ ท๑จะไมลํ ๎ม ทง้ั สองคนชํวยกันใช๎เชือกยึดชายหลังคาเต็นท๑
(จดุ ที่เหลือ) ใหเ๎ ขา๎ กับสมอบกแลว๎ ปรบั ความตงึ หยอํ นของเตน็ ทใ๑ ห๎เรียบร๎อย
วิธรี อ้ื เต็นทส์ าเรจ็ รูป มี 5 ข้ันตอน ดงั น้ี
1. แก๎เชอื กที่รงั้ เสาหัวทา๎ ยกับสมอบกออก เตน็ ท๑จะล๎มลงทนั ที
2. ถอนเสาเตน็ ทอ๑ อกเปน็ 6 ทอํ น นาํ มารวมกันไว๎
3. ถอนสมอบกทงั้ 12 ตัว นาํ ไปรวมกนั ไว๎ทใี่ กล๎ ๆ กบั เสาเต็นท๑
4. เก็บเชือกและแผํนปรับความตึงให๎เรียบร๎อย (เชือกสั้น 6 เส๎น เชือกยาว 2 เส๎น แผํนปรับ
ความตึง 8 อนั ) นําไปรวมไวใ๎ กล๎ ๆ กองสมอบก

32 คูม่ ือส่งเสริมและพฒั นากิจกรรมลูกเสือทักษะชวี ติ ในสถานศกึ ษา ลูกเสอื โท ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 5

คู่มือสง่ เสรมิ และพัฒนากิจกรรมลูกเสอื ทักษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสือสามัญ หลักสตู รลกู เสือโท 25
ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 5

5. ทาํ ความสะอาดอปุ กรณ๑ทุกชนิ้ แลว๎ นาํ ไปเกบ็

การเลอื กสถานทต่ี ั้งค่ายและกางเต็นท์
ตอ๎ งทาํ การสาํ รวจความเหมาะสมของพ้นื ที่ แหลงํ น้าํ และเสน๎ ทางคมนาคม เพ่ือปฺองกันปัญหาตําง ๆ

ทีจ่ ะตามมา ควรมลี กั ษณะดังนี้
1. เปน็ พืน้ ทีโ่ ลงํ กว๎าง เหมาะสาํ หรบั การต้ังคาํ ยและจดั กจิ กรรม

2. พืน้ ดินบริเวณท่ีต้งั คํายควรเปน็ ดินปนทราย พืน้ เปน็ ท่เี รยี บ ไมมํ นี าํ้ ขงั
3. อยใํู กล๎แหลํงนา้ํ สะอาด ปลอดภัย
4. อยํหู าํ งจากตน๎ ไม๎ใหญํ เพอื่ ปอฺ งกันอนั ตรายที่จะเกดิ จากก่งิ ไม๎หลํนลงมาทบั
5. ทิศทางของลมเพ่ือใชพ๎ ิจารณาในการต้งั เต็นท๑ทพ่ี ัก
6. สามารถหาเชอ้ื ไฟ เชนํ ฟนื เศษไม๎ สําหรบั หุงต๎มไดส๎ ะดวก

7. การคมนาคมสะดวก ใกล๎กับ โรงพยาบาล หรือ โรงพยาบาลสํงเสริมสุขภาพตําบล ใกล๎กับ
สถานตี าํ รวจ

8. ไดร๎ บั อนุญาตจากเจา๎ ของสถานทีก่ อํ นจะตง้ั คํายพกั แรม

ข้อควรระวังในการกางเตน็ ท์
1. เมอื่ ต๎องการกางเต็นท๑หลายหลังเป็นแนวเดียวกัน ควรเล็งให๎สมอบกตัวท่ีอยูํด๎านหน๎าสุดและเสา

ตน๎ แรกของทกุ เตน็ ท๑อยํใู นแนวเดียวกัน
2. การกางเต็นท๑แตํละหลงั ให๎เลง็ สมอบกตัวแรก เสาแรก เสาหลัง และสมอบกตัวหลังทั้ง 4 จุด

ให๎อยํูในแนวเดยี วกัน
3. เสาทกุ ต๎นทีย่ ดึ เตน็ ทจ๑ ะต๎องต้งั ฉากกบั พื้นเสมอหลงั คา
4. เต็นท๑ต๎องไมํมีรอยยํน สมอบกด๎านข๎างของเต็นท๑แตํละหลังต๎องเรียงกันอยํางเป็นระเบียบ

ถา๎ เต็นท๑ตึงไปอาจจะขาดได๎ หรือถ๎าหยํอนเกินไปก็จะกันฝนไมํได๎ ซึ่งจะเป็นสาเหตุทําให๎น้ําซึมได๎งําย
และถ๎าลมพดั แรงอาจทําให๎เตน็ ท๑ขาดได๎

5. การผกู เต็นทค๑ วรใชเ๎ งื่อนผกู รงั้ เพราะสามารถปรบั ให๎ตึงหยอํ นได๎ตามต๎องการ

การดแู ลรกั ษาเต็นท์
การดแู ลรักษาเตน็ ทใ๑ หม๎ ีอายกุ ารใช๎งานทย่ี าวนาน
1. ฝึกกางเต็นท๑ให๎ถูกวิธี เพราะการกางเต็นท๑ไมํถูกวิธี อาจทําให๎อุปกรณ๑บางชิ้นเ กิดความ

เสยี หายได๎ เชนํ ใสํเสาเต็นทผ๑ ิดอันทําให๎เกดิ ความเสยี หายเวลางอเสาเข๎ากับเตน็ ท๑ เปน็ ต๎น
2. อยําเก็บเตน็ ท๑ขณะเปยี กถา๎ ไมํจาํ เป็น เพราะจะทําให๎เกิดกล่ินอับ ควรจะนําเต็นท๑มาผึ่งลมให๎

แหง๎ กอํ นและนาํ เศษสิ่งสกปรกออกจากเต็นทก๑ อํ นปิดซปิ ให๎เรียบรอ๎ ย
3. ไมํควรใช๎สารเคมใี นการทําความสะอาดเต็นท๑ เพราะสารเคมีจะทําลายสารท่ีเคลือบเต็นท๑ไว๎

ควรใชแ๎ คํผา๎ ชุบนาํ้ เชด็ กพ็ อ หา๎ มใชแ๎ ปรงขัดเพราะแปรงจะทาํ ให๎สารเคลือบหลุดออกเชนํ กนั
4. ใช๎ผา๎ พลาสตกิ ปรู องพื้นกํอนกางเตน็ ท๑ เพ่ือชวํ ยปกปอฺ งตัวเต็นท๑จากหินและก่ิงไม๎ท่ีแหลมคม

ซึ่งอาจจะทําให๎พื้นเต็นท๑เกิดความเสียหายได๎ และนอกจากนี้ยังชํวยลดเวลาในการทําความสะอาด

เพราะเหลือแคทํ ําความสะอาดผ๎าปูรองพืน้ เทํานั้น

คูม่ อื ส่งเสรมิ และพฒั นากิจกรรมลูกเสอื ทักษะชีวิตในสถานศึกษา ลกู เสอื โท ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 5 33
คมู่ ือสง่ เสรมิ และพฒั นากิจกรรมลูกเสอื ทักษะชวี ติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสือสามัญ หลักสตู รลกู เสอื โท
26 ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 5

5. ใช๎สมอบกปักเตน็ ท๑ บางคนอาจคิดวาํ ไมํจําเป็นเพราะเต็นท๑สามารถทรงตวั อยูํไดเ๎ อง แตํเมื่อมี
ลมแรง ๆ เตน็ ทอ๑ าจพลิกทําให๎เกิดความเสียหายได๎ ในชํวงท่ีกางเต็นท๑และเกิดมีลมแรงควรนําสัมภาระ
เกบ็ ไวใ๎ นเตน็ ท๑แลว๎ ปกั สมอบกยดึ ไว๎ จะชํวยปอฺ งกันเตน็ ท๑พลกิ จากแรงลมได๎

6. ใช๎อุปกรณ๑ซํอมแซมเต็นท๑เม่ือเต็นท๑เกิดความเสียหาย เชํน ผนังเต็นท๑มีรอยฉีกขาดควรใช๎
พวกผ๎าเทปปดิ รอยขาดน้ันไว๎ มิฉะน้นั รอยขาดนน้ั จะใหญขํ นึ้ เรอื่ ยๆ อุปกรณ๑ซํอมแซมเต็นท๑สามารถหาซอ�ื
ได๎ตามร๎านอปุ กรณ๑แคมป์ป้งิ ทั่วไป

เรื่องส้นั ท่ีเป็นประโยชน์

ทอ้ งกับตัว
ครง้ั หน่ึงสํวนตําง ๆ ของรํางกายพูดได๎ เชํน มือ ปากและฟัน วันหนึ่งสํวนตําง ๆ ของรํางกาย
เกิดถกเถียงกันขึ้น เพราะ มือ ปากและฟัน ตํางก็ตํอวําให๎ทอ๎ งวาํ ทอ๎ งไมํได๎ทําอะไรเลยอยเํู ฉย ๆ คอยแตํ
จะกนิ และอิม่ เทํานนั้ มอื ตีน ต๎องทํางานตาํ ง ๆ อยํางเหนด็ เหนอื่ ย ปากกบั ฟันก็ต๎องเคีย้ วอาหารเพ่ือจะ
ใหท๎ ๎องอิ่ม คดิ วําเจา๎ ทอ๎ งน่ีเอาเปรยี บ
สวํ นตาํ ง ๆ ในราํ งกายอื่น ๆ ก็ประทว๎ งพากนั น่ิงเฉยไมํทาํ งาน มอื ก็ไมหํ ยบิ อาหาร / ขนมใสปํ าก
ปากกไ็ มอํ มอาหารไวแ๎ ละฟนั ก็ไมํเคยี้ ว โดยหวังวาํ จะแกล๎งทรมานใหท๎ ๎องอดอยาก ในไมํช๎าราํ งกายของ
คนผน๎ู ้ันก็ซูบผอมไป สวํ นคนทีค่ บคิดกันแกลง๎ ท๎องก็พากันอํอนเพลีย กระวนกระวายไปตามกัน จงึ ได๎
รูส๎ ํานกึ วําตัวผิด เพราะราํ งกายทุก ๆ สํวนต๎องอาศยั กนั จะแยกกันไมํได๎ ถ๎าแยกเสียแลว๎ ก็จะลําบากกัน
ทัง้ หมด

เรอ่ื งนส้ี อนให้รวู้ ่า กจิ การงานใดท่ีต๎องชวํ ยกนั ทําหลายคนและหากคนเหลาํ น้นั แกงํ แยํง ไมปํ รองดอง
ชวํ ยเหลือกันกจ็ ะเสียประโยชนด๑ ๎วยกันทกุ คน

แผนการจัดกิจกรรมลกู เสอื สามญั ลูกเสอื โท ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 5

หนว่ ยที่ 2 การรจู้ กั ดูแลตนเอง
34 คมู่ ือส่งเสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลกู เสือทักษะชวี ิตในสถานศึกษา ลกู เสือโท ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5

คู่มือส่งเสริมและพัฒนากจิ กรรมลกู เสือทักษะชีวติ ในสถานศึกษา ประเภทลกู เสอื สามัญ หลักสตู รลกู เสือโท 27
ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 5

แผนการจัดกจิ กรรมลกู เสือสามญั ลูกเสอื โท ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 5

หน่วยที่ 2 การรูจ้ กั ดูแลตนเอง
แผ3น4การจัดกจิ คก่มู รือรสม่งทเส่ีร4ิมแลอะพาฒัหนาารกปิจลกอรรดมภลัยูกเสือทักษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ลกู เสือโท ชัน้ ปเวระลถามศึก1ษาชปวั่ ที โ่ี ม5 ง

1. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
ลกู เสอื สามารถบอกอนั ตรายเกย่ี วกับสารพษิ ในอาหารท่ีเกิดจากการใช๎นาํ้ มนั ทอดซา้ํ ได๎

2. เนื้อหา
ผลกระทบตํอสขุ ภาพของผ๎รู ับประทานอาหารทท่ี อดจากนํา้ มนั ทอดซาํ้

3. สื่อการเรยี นรู้
3.1 แผนภมู ิเพลง เกม
3.2 ใบความรู๎ เรือ่ ง อนั ตรายจากอาหารท่ีใชน๎ าํ้ มันทอดซาํ้ , เรอื่ ง สารพิษในอาหาร
3.3 ตัวอยาํ งของนาํ้ มันท่ใี ชแ๎ ล๎ว และ ท่ยี ังไมไํ ดใ๎ ช๎
3.4 เรื่องส้ันทเ่ี ป็นประโยชน๑

4. กจิ กรรม
4.1 พิธเี ปดิ ประชมุ กอง (ชกั ธงขน้ึ สวดมนต๑ สงบน่ิง ตรวจ แยก)
4.2 เพลง หรือเกม
4.3 กจิ กรรมตามจุดประสงคก๑ ารเรียนร๎ู
1) ผ๎กู าํ กับลกู เสอื นาํ สนทนา เกย่ี วกบั อาหารทอดน้าํ มนั และแจกใบความรู๎
เร่อื ง “อนั ตรายจากอาหารท่ใี ช๎น้ํามนั ทอดซาํ้ ” ใหล๎ ูกเสอื แตํละหมไํู ด๎ศกึ ษา
2) มอบหมายใหห๎ มํลู ูกเสอื วางแผนออกสาํ รวจตามบา๎ น ตามหาบเรํ แผงลอย
รา๎ นขายอาหารทีข่ ายของทอด (เชํน กล๎วยแขก มันทอด ไกํทอด ปาทอํ งโก๐ แมลงทอด
ขนมทองพลุ เฟรนซฟ๑ รายส๑ ลกู ชนิ้ ทอด ไสก๎ รอกทอด ฯลฯ) หมํูละ 1 แหงํ วํานํ้ามนั ท่ี
ใชท๎ อดของแตํละรา๎ นมลี กั ษณะอยํางไรบา๎ ง และสํงตวั แทนรายงานในกองลกู เสอื ดงั น้ี
(1) ได๎ขอ๎ คดิ อะไรจากการทาํ กจิ กรรม
(2) จะนาํ ไปใชใ๎ นชีวิตประจําวันอยาํ งไร
3) ผู๎กํากับลกู เสอื และลกู เสอื ชวํ ยกนั สรปุ
4.4 ผูก๎ าํ กบั ลูกเสอื เลาํ เรอื่ งส้นั ท่เี ปน็ ประโยชน๑
4.5 พิธปี ดิ ประชุมกอง (นดั หมาย ตรวจเครื่องแบบ ชกั ธงลง เลกิ )

5. การประเมินผล
สังเกตความตงั้ ใจในการทาํ กจิ กรรม การมสี ํวนรวํ มคดิ วเิ คราะหแ๑ ละนําเสนอผลงาน

6. องค์ประกอบทกั ษะชีวติ สาคัญท่เี กดิ จากกจิ กรรม
คอืคูม่ กือสา่งรเสครดิ ิมวแิเลคะพราฒั ะนหาก๑ คจิ กวรารมลคูกิดเสสือรท๎าักงษสะรชรีวคิตใ๑แนลสถะาตนรศะกึ หษนา ักปรระู๎ถเภงึ ทอลนั ูกตเสรอื าสยามจญั ากหนลักา้ํ สมูตนั รลทกู อเสดอื ซโทาํ้
28
ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 5

3) ผ๎กู ํากับลูกเสอื และลกู เสอื ชวํ ยกนั สรปุ 35
4.4 ผ๎กู ํากบั ลูกเสอื เลําเรอ่ื งสัน้ ที่เปน็ ประโยชน๑
4.5 พิธปี ิดประชุมกอง (นัดหมาย ตรวจเคร่ืองแบบ ชกั ธงลง เลกิ )

5. การประเมินผล
สงั เกตความตัง้ ใจในการทาํ กจิ กรรม การมสี วํ นรวํ มคดิ วเิ คราะหแ๑ ละนาํ เสนอผลงาน

6. องคป์ ระกอบทกั ษะชวี ติ สาคัญท่เี กิดจากกจิ กรรม
คือ การคดิ วิเคราะห๑ ความคิดสรา๎ งสรรคแ๑ ละตระหนกั รู๎ถึงอนั ตรายจากนาํ้ มันทอดซาํ้

7. คุณธรรรม
คูม่ ือส่งเ7ส.ร1มิ คแลวะาพมัฒพนอาเพกิจียกงรรมลูกเสอื ทักษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ลกู เสอื โท ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 5

7.2 ความซื่อสัตย๑สจุ รติ
7.3 ความรับผดิ ชอบ

ภาคผนวกประกอบแผนการจดั กิจกรรมท่ี 4

เพลง

อาหารดี
อาหารดี มีประโยชน๑ คือ ผกั สด เนือ้ หมู ปู ปลา

เป็ด ไกํ ไขํ นม ผลไม๎ นานา
ลว๎ นมคี ณุ คาํ ตอํ รํางกายของเรา (ซ้าํ )

เกม

หนูกบั แมว
วิธเี ลน่ ให๎กองลกู เสอื ยืนจบั มือกนั เป็นวงกลมไว๎ เลอื กลกู เสือ 2 คน คนหนึ่งเป็นแมวอยํูในวงกลม อีก
คนหน่งึ เป็นหนูอยูํนอกวงกลม เรม่ิ เลนํ โดยแมวต๎องพยายามออกจากวงกลมใหไ๎ ด๎เพือ่ จบั หนู ลกู เสือท่ที ํา
วงกลมตอ๎ งพยายามเกาะมือกันไวใ๎ ห๎แนนํ และปฺองกนั ไมํให๎แมวออกมา เมื่อแมวสามารถออกจาก
วงกลมและจับหนไู ด๎ ก็เปล่ียนลกู เสือทเี่ ปน็ แมวและหนูใหมํ

คู่มอื สง่ เสริมและพัฒนากจิ กรรมลกู เสอื ทักษใะบชีวคิตใวนาสถมานรศู้ ึกษา ประเภทลกู เสือสามญั หลักสตู รลูกเสอื โท 29
ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 5
อันตรายจากนา้ มนั ทอดซ้า

ใบความรู้

อนั ตรายจากน้�ำมนั ทอดซำ้�

นํ้ามันทอดซ้ํา คือ นํ้ามันที่ใช๎ทอดอาหารตํอเน่ืองหลายครั้ง หากไปดูตามตลาดท่ีขายของทอด
เชํน ปาทํองโก๐ ไกํทอด กล๎วยแขก แมลงทอด ฯลฯ จะเห็นวํานา้ํ มันที่ใช๎ทอดซาํ้ มีสีดํา บางทีอาหารที่
ซื้อมาก็มีคราบนาํ้ มันสีดาํ เปื้อนอยูํ สาํ นักงานคณะกรรมการอาหารและยาได๎สาํ รวจตัวอยํางนํ้ามันที่ใช๎
ทอดจากร๎านแผงลอยรถเข็น ร๎านอาหารจานดํวน และโรงงานอุตสาหกรรมบะหมี่กึ่งสําเร็จรูป พบมี
นํา้ มันทอดซํ้าท่ีเสื่อมคุณภาพและอาจเป็นอันตรายตํอสุขภาพถึงร๎อยละ 13 น้าํ มันสวํ นใหญํจะเกิดการ
เสื่อมสภาพได๎ จากการที่ได๎รับความร๎อนสูงมากๆ การเก็บไว๎นานๆ มีความช้ืนสูง ถูกแสงแดด มีสาร
ปนเป้อื น และเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมีกบั ออกซเิ จน จะมีผลทาํ ให๎ไขมันน้ันมีสีดํา เหม็นหืน จุดเกิดควันตํ่า มีฟอง
และเหนยี วหนดื ขนึ้ หากนํ้ามนั นัน้ มีกรดไขมนั ไมอํ ิม่ ตวั สูงมากเทาํ ใด กจ็ ะเสือ่ มสภาพเร็วขึ้นเทาํ นั้น

ผลกระทบต่อสุขภาพของนา้ มนั ทอดซา้
น้าํ มันทผ่ี าํ นการทอดอาหารซ้าํ หลายครัง้ จะมีคุณคาํ ทางโภชนาการลดลง จากการทดลองให๎หนกู นิ

จะพบวําทาํ ใหก๎ ารเจรญิ เตบิ โตลดลง ตับและไตมีขนาดใหญํเพราะไขมันไปสะสม นอกจากนี้ยังมีโอกาส
เกิดอนุมูลอิสระในเลือดมากข้ึน ทําให๎เสี่ยงตํอการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือดได๎ไอระเหย
จากน้ํามันทอดอาหาร เมื่อสูดดมเป็นระยะเวลานาน ก็อาจมีอันตรายตํอสุขภาพได๎ เพราะมีการพบ
ความสมั พันธร๑ ะหวาํ งโรคมะเร็งปอด กับการสูดไอระเหยจากการผัดหรือทอดอาหารของผ๎ูหญิงจีนและ
ไต๎หวันท่ไี มไํ ดส๎ ูบบุหร่ี และพบวาํ มสี ารกํอกลายพนั ธุ๑ในไอระเหยของนํา้ มนั ทอดอาหาร ทั้งยังเป็นสารท่ี
กํอให๎เกิดเน้ืองอกในตับและปอด และกํอมะเร็งเม็ดเลือดขาวในหนูทดลอง นอกจากนี้ยังพ บกลุํมสาร
กํอมะเร็งในนา้ํ มันทอดซาํ้ อีกหลายชนิด ตัวอยํางเชํน สาร Malonedehyde (MDA) ทาํ ให๎เกิดมะเร็ง
ผิวหนังในหนูทดลอง การเจริญเติบโตผิดปกติ ลําไส๎ทํางานผิดปกติ ตับและไตโต โลหิตจาง วิตามิน
อีในเลือดและตับของหนูทดลองลดลง สาร 4-hydroxy-2-noenol (HNE) มีพิษตํอเซล และกํอให๎เกิด
การกลายพันธ๑ุได๎เชํนกัน

ขอ้ แนะนาในการเลือกซ้ืออาหารบรโิ ภค
ควรหลีกเลี่ยงไมํซ้ืออาหารทอดจากร๎านค๎าท่ีใช๎นํ้ามันมีกล่ินเหม็นหืน เหนียวสีดําคลํ้า ฟองมาก

เหมน็ ไหม๎ เวลาทอดมคี วนั ขึน้ มากแสดงวําน้ํามันใชม๎ านานทําให๎นํ้ามันเกิดควันที่อุณหภูมิต่ําลง อาหาร
อมนา้ํ มนั และหลังการบริโภคเกิดการระคายคอ

ขอ้ แนะนาในการใชน้ ้ามันทอดอาหาร
1. ในครวั เรือนไมคํ วรใช๎นํา้ มันทอดอาหารซํ้าเกนิ 2 คร้ัง
2. หากจําเป็นต๎องใช๎นํ้ามันซ้ําให๎เทนํ้ามันเกําท้ิงหน่ึงในสามและเติมน้ํามันใหมํกํอนเร่ิมการทอด

อาหารครงั้ ตํอไป แตถํ ๎าน้าํ มันทอดอาหารมกี ลน่ิ เหม็นหืน เหนยี วขน๎ สีดํา ฟองมาก เป็นควันงํายและเหม็น

ไหม๎ ควรทง้ิ ไป

ค3ู่ม0อื ส่งเสชคร่มูัน้มิ อืปแสรล่งะะเถสพมรัฒศมิ กึ แนษลาาะกปพจิีทฒั กี่ น5รารกมจิ ลกูกรรเมสลอื ูกทเสักือษทะักชษีวะติ ชใวี นติ สในถสาถนาศนกึศกึษษาา ประเภทลกู เสือสามญั หลักสูตรลูกเสือโท 37
ลกู เสอื โท ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 5

3. ไมทํ อดอาหารไฟแรงเกินไป อุณหภมู ทิ เี่ หมาะสมของน้าํ มนั ประมาณ 160 – 180 องศา
เซลเซียส

4. ซับนํ้าสวํ นทีเ่ กนิ บริเวณผวิ หนา๎ อาหารดบิ กอํ นทอด เพือ่ ชะลอการเสอ่ื มสลายตัวของนา้ํ มนั
5. หม่ันกรองกากอาหารท้ิงระหวาํ งและหลังการทอดอาหาร
6. เปล่ียนน้ํามันทอดอาหารบํอยขึ้น หากทอดอาหารประเภทเน้ือที่มีสํวนผสมของเกลือหรือ

เครอื่ งปรุงรสในปริมาณมาก
7. ปิดแก๏สทันทหี ลังทอดอาหารเสร็จ หากอยํูระหวํางชวํ งพกั การทอด ควรลดไฟลงเพอ่ื ชะลอการ

เสื่อมตัวของนํ้ามนั ทอดอาหาร
8. หลกี เลี่ยงการใชก๎ ระทะเหล็ก ทองแดง หรอื ทองเหลือง ในการทอดอาหาร เพราะจะไปเรํงการ

เสอื่ มสลายของนํา้ มนั ทอดอาหาร

9. เก็บน้าํ มันที่ผาํ นการทอดอาหารไว๎ในภาชนะสแตนเลส หรือแก๎วปิดฝาสนิท เก็บในท่ีเย็นและ
ไมโํ ดนแสงสวําง

10. ล๎างทําความสะอาดกระทะหรือเคร่ืองทอดอาหารทุกวัน นํ้ามันเกํามีอนุมูลอิสระของกรด
ไขมันอยูมํ าก จะไปเรงํ สารเสอื่ มสภาพของนํ้ามันทอดอาหารใหมทํ ี่เตมิ ลงไป

11. บริเวณทอดอาหารควรติดเครอ่ื งดดู ควันและมกี ารระบายอากาศที่ดี
(ท่ีมา : ศนู ย๑ปฏิบตั กิ ารความปลอดภยั ดา๎ นอาหาร กระทรวงสาธารณสขุ )

สารพิษในอาหาร
สารปรุงแตง่ อาหาร

สารปรุงแตํงอาหาร หมายถึง สารปรุงรสและวตั ถเุ จือปนในอาหารทน่ี าํ มาใช๎เพอื่ ปรงุ แตงํ
สี กล่นิ รส และคุณสมบตั ิอน่ื ๆ ของอาหาร มอี ยูํ 3 ประเภท

1. ประเภทท่ไี ม่เป็นอันตรายแก่ร่างกาย ไดแ๎ กํ

1.1 สตี ําง ๆ ทีใ่ ช๎ผสมอาหาร ซง่ึ เป็นสธี รรมชาติ ไดแ๎ กํ
สีเขียว จากใบเตยหอม พรกิ เขียว
สเี หลอื ง จากขมน้ิ ออ๎ ย ขมิน้ ชนั ลูกตาลยี ไขแํ ดง ฟกั ทอง ดอกคาํ ฝอย เมลด็ คาํ แสด
สแี ดง จากดอกกระเจี๊ยบ มะเขอื เทศ พริกแดง ถว่ั แดง ครง่ั
สีนา้ํ เงิน จากดอกอัญชัน

สีดาํ จากกากมะพร๎าวเผา ถัว่ ดํา ดอกดนิ
สนี ้ําตาล จากน้ําตาลเค่ียวไหม๎ หรือ คาราเมล
1.2 สารเคมบี างประเภท ได๎แกํ
1.2.1 สารเคมปี ระเภทใหร๎ สหวาน เชํน น้าํ ตาลทราย กลโู คส แบะแซ
1.2.2 สารเคมีบางประเภทให๎รสเปร้ยี วในอาหารเชนํ กรดอะซีตกิ (กรดนา้ํ ส๎ม)

กรดซิตริก (กรดมะนาว)

38 ค่มู ือสง่ เสริมและพัฒนากิจกรรมลกู เสือทักษะชีวิตในสถานศึกษา ลูกเสือโท ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5

คมู่ ือส่งเสรมิ และพัฒนากิจกรรมลกู เสอื ทักษะชวี ติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสือสามัญ หลักสตู รลูกเสอื โท 31
ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5

1.2.3 สารเคมที เี่ ป็นสารแตงํ กลนิ่ เชํน นาํ้ นมแมว หรือหัวน้ําหอมจากผลไมต๎ าํ ง ๆ
1.2.3 สารเคมที เ่ี ปน็ สารแตงํ กลน่ิ เชนํ นาํ้ นมแมว หรอื หวั นํ้าหอมจากผลไม๎ตําง ๆ
2. ประเภททีอ่ าจเกิดอนั ตรายหากใช้เกินขอบเขต
2.2ป.1ระสเีผภสทมทอี่ าหจเากรดิ ไอดัน้จตากรกายารหสางั กเคใชรา้เะกหนิ ๑สขาอรเบคเมขีตแม๎กฎหมายกําหนดใหใ๎ ชส๎ สี งั เคราะห๑ สําหรับ
ผสมอาหา2ร.1ไดส๎ แีผตสํหมาอกาใชห๎ใานรปไรดมิ ้จาาณกมกาากรแสลงั เะคบรอํ ายะกหอ็๑สาจรกเคํอมใหี แเ๎ กมิดก๎ อฎันหตมราายยกตาํ ํอหสนขุ ดภใาหพใ๎ ชผส๎บู ีสรงัโิ ภเคครไาดะ๎หป๑ รสิมาํ าหณรบัสี
ผทส่อี มนอุญาาหตาใรหไ๎ใดช๎ ผ๎แตสมํหใานกอใชาห๎ในาปรปริมระาเณภมทาเคกรแ่อื ลงะดบ่มื อํ ยไกอศ็อากจรกีมํอลใหูกกเ๎ กวิดาอดนั แตลระาขยนตมอํ หสวุขาภนาพมผดี บ๎ูังนรโิ้ี ภคได๎ ปริมาณสี
ทีอ่ นญุ าตใหใ๎ ชผ๎ สมในอาหารประเภทเครื่องดื่ม ไอศกรีม ลูกกวาด และขนมหวาน มีดังน้ี

2.1.1 สีทีใ่ ชไ๎ ดป๎ รมิ าณไมํเกนิ 70 มิลลกิ รัมตอํ อาหารในลกั ษณะทีใ่ ชบ๎ รโิ ภค 1 กโิ ลกรัม
2.1.1 สแีทดใ่ี ชงไ๎ ดไดป๎ แ๎ริมกําณเอไโมซเํ รกบู ินนี 7เ0ออมรลิโทลริกซรินมั ตอํ อาหารในลักษณะทใี่ ช๎บรโิ ภค 1 กิโลกรัม

สแีเหดลงอื งไดไแ๎ ดก๎แํ กเํอโตซารูบต๑ ีนราซเอนี อรซิโันทเรซซ็ตินเย็ลโลว๑ เอฟ็ ซี เอฟ็
สเี ขหยีลวอื งไดได๎แแ๎กกํ ํฟตาาสรต๑ต๑ รการซนี นี เซอนัฟ็ เซซต็ ี เยเอล็ ฟ็ โลว๑ เอ็ฟ ซี เอฟ็
สนีเขาํ้ ยี เงวนิ ไดได๎แ๎แกกํ ํฟอาินสดตโิ๑ กกครานี รม๑ เีนอห็ฟรือซอี นิ เดอิโฟ็ กตนิ
2.1.2 สีนทํา้ ใ่ี เชง๎ไนิ ด๎ปไรดมิ แ๎ ากณํ ไอมินํเดกิโนกค5า0ร๑มมีนลิ หลรกิ ือรอัมนิ ตดอํ ิโอกาตหนิ ารในลกั ษณะท่ใี ชบ๎ รโิ ภค 1 กโิ ลกรมั
2.1.2 สสแี ที ด่ีใงช๎ไดได๎ป๎แรกมิ ําณปอไงมโเํ ซกิน4 5อ0ารม๑ ลิ ลิกรัมตอํ อาหารในลกั ษณะทใี่ ช๎บรโิ ภค 1 กโิ ลกรัม
สนีแดาํ้ เงงนิ ไดไ๎แดกแ๎ ํ กปํ อบงรโลิซเล4ียนอบาลรู ๑ เอ็ฟ ซี เอ็ฟ
2.2 ผงชรู ส สเีนปาํ้น็ เสงาินรปไรดุง๎แกตํงรบสรอิลาเลหยีานร บมลีชู ่ือเทอา็ฟงเคซมี ีวเํอาฟ็ โมโนโซเดียมกลูตาเมท ผลิตจากแปฺง
มันสําปะหล2ัง.2หผรงือชจูรากสกาเปกน็ าํ้สตาราปลรงุลแักตษํงณรสะอขาอหงาผรงชมูรีชส่ือแททา๎จงะเคเปม็นีวเํากโลม็ดโหนรโือซผเดลียึกมสกีขลาวูตขาุํนเมทปลผาลยิตทจั้งา2กแขป๎าฺง
โมตันแสลาํ ะปมะันหลตังรหงกรลือาจงาคกอกดาเกลนก็ าํ้ คตลาา๎ ลยกลรักะดษกูณไะมขํมอคีงผวงาชมูรวสาวแแทบ๎จบะเสปะ็นทเ๎อกนลแ็ดสหงรือมผีรลสึกชสาีขตาิควลข๎าํุนยเปนล้ือาตย๎มท้ังปร2ิมขา๎าณง
ทโตใ่ี แชล๎คะวมรันใช๎เตพรียงงกเลา็กงนค๎ออยดเถล๎า็กบครลิโา๎ ภยคกมระาดกกูเกไินมไํมปคี อวาาจมมวีอาาวกแาบรบแสพะ๎ผทง๎อชนูรแสสไดง๎ คมวีรรสใชา๎ผตงิคชลูรส๎ายปเรนะ้ือมตาณ๎ม ป1ร/5ิม0า0ณ-
ท1/่ใี8ช0๎ค0วสรํวใชนเ๎ ขพอียงงอเลา็หกนาร๎อหยรถือ๎ปาบระรมิโภาคณม1ากชเ๎อกนิ ชไปาตอํอาจอมาหีอากราร1แ0พ๎ผถง๎วชยูรสตไวดง๎ แคลวะรไใชม๎ผํคงวชรูใรชส๎ผปงรชะมูรสาณใน1อ/5า0ห0าร-
ท1/า8ร0ก0แสลํวะหนญของิ งมอคี ารหรภาร๑ หรือประมาณ 1 ช๎อนชาตํออาหาร 10 ถ๎วยตวง และไมํควรใช๎ผงชูรส ในอาหาร
ทารกและห2ญ.3ิงมสีคารรรเภค๑มที ่ใี ชก้ ันเสียกันบูด เปน็ สารประกอบทางเคมีหรือของผสมของสารประกอบท่ีใช๎
เตมิ ลงในอา2ห.3าสราเรพเ่ือคชมะทีลอีใ่ ชก้กานั รเนสยีําเกสันียหบรูดือยเปดื ็นอสาายรุกปารระเกอ็บบอทาหางาเรคมโดีหยรือจะขไอปงยผับสยมั้งขกอางรสเาจรปิญรเะตกิบอโบตทขี่อใชง๎
เจตุลมิ ินลทงรใียน๑แอลาหะสาํวรนเพปรื่อะชกะอลบอขกอางรเอนนาํ เไสซียมห๑ รือซยึ่งดื ทอําาใยหุก๎กาารรเเกจบ็ รอิญาเหตาิบรโตโขดอยงจจะุลไินปทยับรีย๑ห้ังกยาุดรชเะจงรักิญหเตรือิบตโตายขไอดง๎
จนุลอินกทจารกียน๑แ้ยีลงัะมสํวผี นลตปอํระกการอแบบขํงอเซงเลอลน๑ยไบั ซยม้ัง๑ กาซร่ึงสทงั เําคใรหา๎กะาหรข๑ เอจรงโิญปเรตติบีนโตทขําอใงหจ๎ขุลบินวทนรกียา๑หรยแุดบชํงเะซงัลกลห๑หรือยตุดาชยะไงดัก๎
จนาํอนกวจนาจกลุนินย้ี ทงั มรยีผ๑จละตไอํ มกเํ พาร่ิมแขบนึ้ งํ เกซาลรลใ๑ยชับว๎ ัตย้ังถกกุ าันรเสสังียเไคมรจําะําหเปข๑ ็นอกงโ็ไปมรํคตวีนรใทชํ๎กาใรหณ๎ขีทบ่ีจวํานเปกา็นรตแ๎อบงํงใเชซ๎คลวลร๑หเลยือุดกชวะัตงัถกุ
จกาํันนเสวนียจทลุ ี่ปนิ ลทอรดยี ภ๑จัยะไแมลํเะพใ่มิชข๎ใน้ึ ปกราิมราใชณ๎วทัตี่กถฎุกหนั เมสาียยไกมําจหําเนปด็นกร็วไมํคทวั้งรตใ๎อชง๎กเรลณือกีทใ่ีจชํา๎ใเหป๎เ็นหตม๎อางะใสชม๎คกวรับเชลนือกิดวขัตอถงุ
กอาันหเสารียที่ปลอดภัยและใช๎ในปริมาณท่ีกฎหมายกําหนด รวมทั้งต๎องเลือกใช๎ให๎เหมาะสมกับชนิดของ
อาหาร
3. ประเภทเปน็ พิษไมป่ ลอดภยั เป็นอนั ตรายตอ่ ชวี ติ ได้
3. ปปรัจะจเุบภันทไเปด๎น็มีกพาิษรไใมชป่๎สาลรอเดคมภีตยั ําเงปน็ๆอปนั รตุงแราตยํงตอาอ่ หชาีวรติ เพได่ือ้ ให๎อาหารนํารับประทานเก็บได๎นาน
รวมทงั้ ราคปาัถจจกู ุบแันลไะดจ๎มากี กาารรใชต๎รสวาจรสเคอมบีตขําองหๆนํวปยรงุ าแนตขํงอองารหฐั าพรบเพวํา่ือมใีกหา๎อราใหชา๎สรานรํเาครมับีทปี่กระฎทหามนาเยกห็บ๎าไมดใ๎นชา๎ใน
รกวามรปทรงั้ งุรแาคตาํงถในูกอแาลหะาจราซก่ึงกทาํารใตหร๎เวกจิดสออันบตขรอางยหแนกวํ ํผยู๎บงารนิโภขคอถงรึงัฐชพีวบิตวไดําม๎ เีกชาํนรใบชอ๎สแารรกเคซม๑ สีทาี่กรฎฟหอมกาขยาหว๎าสมาใรชเ๎ใรนํง
กเนา้อืรแปดรุงแแตลํงะในสอาราโหพาลราซร่ึงท๑ ทใี่ ําชใเ๎ หค๎เลกอื ิดบอเัสน๎นตกราว๐ ยแเตกยี๋ ํผว๎ูบใหริโ๎เภปคน็ ถมึงันชเงีวาิตดไนู ดาํ๎ เกชินํนเปบน็อแตร๎นกซ๑ สารฟอกขาว สารเรํง
เนอื้ แดง และ สารโพลาร๑ทใ่ี ช๎เคลอื บเส๎นก๐วยเตีย๋ วใหเ๎ ปน็ มนั เงาดูนํากนิ เปน็ ตน๎

ค่มู ือส่งเสรมิ และพฒั นากิจกรรมลกู เสอื ทักษะชีวิตในสถานศึกษา ลกู เสือโท ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 5 39
39
คู่มือส่งเสริมและพัฒนากจิ กรรมลูกเสือทกั ษะชวี ิตในสถานศึกษา ลกู เสอื โท ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5
คมู่ ือส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมลูกเสือทกั ษะชีวิตในสถานศึกษา ประเภทลกู เสอื สามญั หลกั สตู รลูกเสอื โท
32 ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 5

เรื่องส้นั ทเ่ี ป็นประโยชน์

อาหารทเี่ พม่ิ ความเส่ียงตอ่ โรคไต

คนทั่วไปไมํเคยรู๎วําตนเองได๎รับเกลือโซเดียมเกินกวําท่ีรํางกายต๎องการ ซึ่งไมํควรเกินวันละ
2,400 มลิ ลกิ รมั (เทํากับเกลอื แกง 1 ช๎อนชาหรอื นํา้ ปลา 4 ช๎อนชา)

จากผลสาํ รวจของกรมอนามัยรํวมกบั สถาบันโภชนาการศมาหสาตวรทิม๑ ยหาาลวยั ทิ มยหาดิลลยั มระหบิดุวลา่ คระนบไทวุ าํยคนไทย
สํวนใหญํไดร๎ ับเกลือโซเดียมถึง 2 เทาํ ของปรมิ าณที่แนะนาํ ตํอวนั ซึ่งทําใหเ๎ พม่ิ ความเสย่ี งตํอของการ
เปน็ โรคความดนั โลหติ สงู และในระยะยาวก็จะกลายเป็นโรคไตเรอื้ รังได๎

ปจั จุบนั ประชากรไทยที่มอี ายตุ ง้ั แตํ 18 ปีข้ึนไป ปูวยเป็นโรคความดันโลหิตสูงเกือบ 20% หรือ
ประมาณ 8 ล๎านคน และปวู ยเป็นโรคไตเร้ือรังประมาณ 17% หรือประมาณ 7 ล๎านคน ส่ิงท่ีนํากังวลคือ
ผ๎ูปวู ยโรคไตเรอื้ รังจาํ นวนมากไมํทราบวําตนปวู ยเป็นโรคน้ี

อาหารท่มี เี กลือโซเดียมสูงมาก ได๎แกํ ของหมักดอง นํ้าพริก ปลาร๎า ส๎มตํา บะหม่ีกึ่งสําเร็จรูป
ปลาเคม็ เน้ือเค็ม แหนม ไส๎กรอก มันฝร่ังอบกรอบปรุงรส ขนมถุง ขนมขบเคี้ยว สาหรํายปรุงรส ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีอาหารจานเดียวยอดนิยมหลายชนิด เชํน ก๐วยเตี๋ยวนํ้า(1,500-3,000 มิลลิกรัมตํอชาม)
ข๎าวจานเดียว เชํน ขขา้ ๎าววกกระเพราไก่ํ ขา๎ วหน๎าเปด็ ข๎าวหมกไกํ ข๎าวคลุกกะปิ ขา๎ วหมูแดง ข๎าวขาหมู
ขา๎ วราดไขํพะโล๎ (1,000 มิลลิกรมั ตอํ จาน) เปน็ ตน๎ และหากมีการใสํผงชูรส และสารกันบูด ซงึ่ ไมมํ รี สเคม็
แตํมีเกลือโซเดียมสูงเชํนกัน หรือเติมน้�๎าำํ ปลาเพ่ิมเข๎าไปอีก ก็จะสํงผลให๎รํางกายได๎รับโซเดียมในปริมาณ
สูงขึ้นไปอีก ดังน้ันทุกคนจึงไมํควรมองข๎ามปัญหาน้ี และมาเริ่มต๎นหลีกเลี่ยงอาหารที่มีปริมาณเกลือ
โซเดยี มสงู ตงั้ แตํเดยี๋ วนี้

ทม่ี า www.thaihealth.or.th

เร่อื งนี้สอนใหร้ ู้ว่า ไมคํ วรมองข๎ามปญั หาท่ีเหน็ เปน็ เร่อื งเล็ก ๆ ใกลต๎ วั จนเคยชิน เพราะมันอาจเป็น
ปญั หาใหญใํ นอนาคตได๎

40 คู่มอื ส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมลกู เสอื ทกั ษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ลกู เสอื โท ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5

คู่มือส่งเสริมและพัฒนากจิ กรรมลกู เสือทกั ษะชวี ติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสอื สามญั หลกั สตู รลกู เสือโท 33
ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 5

แผนการจดั กจิ กรรมลกู เสือสามัญ ลูกเสอื โท ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 5
หน่วยท่ี 2 การรจู้ ักดูแลตนเอง

แผนการจดั กจิ กรรมที่ 5 การชว่ ยเหลือตัวเองจากอุทกภยั เวลา 1 ชัว่ โมง

1. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ลกู เสอื สามารถบอกสาเหตุจากการเกดิ อบุ ตั ภิ ัยทางน้ํา และวิธปี อฺ งกัน

2. เนอ้ื หา
อุบัติภยั ทางนํ้ามกั เกดิ จากความประมาท ไมํระมัดระวงั และไมมํ ที กั ษะในการปอฺ งกนั ตนเอง

3. สอ่ื การเรียนรู้

3.1 แผนภมู ิเพลง
3.2 ตัวอยาํ งอปุ กรณท๑ ช่ี วํ ยลอยตัวในนํ้า
3.3 ใบความรู๎ เรอ่ื ง การปอฺ งกนั อุบตั ภิ ัยทางนา้ํ
3.4 เรือ่ งสน้ั ท่ีเป็นประโยชน๑

4. กจิ กรรม
1) พิธเี ปดิ ประชมุ กอง (ชกั ธงขน้ึ สวดมนต๑ สงบนง่ิ ตรวจ แยก)
2) เพลง หรอื เกม
3) กิจกรรมตามจดุ ประสงคก๑ ารเรียนรู๎
1) ผู๎กํากบั ลกู เสอื ให๎ความร๎เู ร่อื งการเอาชีวิตรอดในน้ําดว๎ ยวธิ ีการลอยตัวในน้ําแบบตํางๆ และ

การร๎จู กั นําอปุ กรณ๑ตาํ งๆ ที่อยํกู ับตวั เรามาใช๎เป็นชูชีพ เชํน ขวดนํ้าด่ืมพลาสติก หมอนลม
ลกู มะพรา๎ ว เป็นต๎น
2) กองลูกเสอื ศึกษาการใช๎อปุ กรณท๑ สี่ ามารถใช๎เป็นชูชีพในการเอาชีวิตรอดในนา้ํ
3) ผู๎กํากับลูกเสือสรุปกิจกรรม และแนะนําให๎ลูกเสือทุกคนควรฝึกการวํายนํ้าให๎คลํอง เพ่ือ
ชํวยเหลือตนเองได๎ในคราวจําเป็น และยังเป็นวิธีการออกกําลังกายท่ีชํวยให๎รํางกาย
แข็งแรง นอกจากนยี้ งั สามารถสมคั รเข๎ารับการทดสอบการวํายน้ํา เพ่ือรับเคร่ืองหมายวิชา

พเิ ศษของลูกเสือสามัญได๎อีกด๎วย
4) ผูก๎ ํากับลูกเสอื เลาํ เร่ืองสน้ั ที่เป็นประโยชน๑
5) พิธีปดิ ประชมุ กอง (นดั หมาย ตรวจเครอ่ื งแบบ ชักธงลง เลกิ )

5. การประเมินผล
สงั เกต การใสํใจในการศกึ ษาการเขา๎ รวํ มกจิ กรรม

ค่มู อื ส่งเสริมและพฒั นากิจกรรมลูกเสอื ทักษะชวี ิตในสถานศึกษา ลกู เสือโท ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 41
คู่มือส่งเสริมและพฒั นากจิ กรรมลูกเสือทักษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลูกเสือสามัญ หลกั สตู รลกู เสอื โท
34 ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 5

6. คุณธรรม
6.1 รบั ผดิ ชอบ
6.2 อดุ มการณ๑คณุ ธรรม

ภาคผนวกประกอบแผนการจดั กิจกรรมท่ี 5

เพลง

มาสนกุ กนั หนา

มาสนกุ กนั หนามาสัญญารวํ มผกู พนั ธ๑ ทะระแร๏ก แทรก๏ แทรก๏
มาสนกุ กับฉนั เราลกู เสอื เช้ือชาตเิ ผําไทย ทะระแร๏ก แทร๏ก แทรก๏
แผนํ ดนิ ถ่ินนี้ทงั้ กลางเหนือใตร๎ วมทง้ั อสิ าน สามัคคเี ราอยูํรวํ มกนั

ไมมํ เี สือ่ มคลาย ทะระแรก๏ แทรก๏ แทร๏ก

42 คมู่ อื สง่ เสริมและพัฒนากจิ กรรมลูกเสือทกั ษะชีวติ ในสถานศึกษา ลกู เสอื โท ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 5

คู่มือสง่ เสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลูกเสอื ทักษะชีวติ ในสถานศึกษา ประเภทลูกเสอื สามัญ หลักสตู รลกู เสอื โท 35
ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 5

ใบความรู้

การปอ้ งกนั อบุ ตั ิภยั ทางนา้

การจมน้าํ เป็นสาเหตุสําคญั ของการเสียชีวติ ในเดก็ พบวําเด็กอายุต่ํากวํา 15 ปีท่ัวโลก เสียชีวิต
จากการจมนาํ้ ถึง ปีละ 230,000 คน และเด็กท่ีเสียชีวิตสํวนใหญํ วํายนํ้าไมํเป็น และบางคนแม๎วํายน้ําเป็น
แตกํ ลบั ไมสํ ามารถวํายนํ้าเพือ่ เอาชวี ิตรอดได๎เม่ือยามคับขนั

ในปี 2552 ชํวงปดิ เทอมตง้ั แตํเดือนมีนาคม – พฤษภาคม มเี ด็กไทยจมนํ้าเสียชีวิตเกือบ 500 ราย
(เฉล่ียวันละ 6 ราย) ชํวงเวลาที่เกิดเหตุสูงสุดคือชํวงเท่ียงถึงหกโมงเย็น จากการสํารวจเด็กไทยอายุ
ต่าํ กวาํ 15 ปี จํานวนกวาํ 13 ลา๎ นคน ในรอบ 5 ปี (พ.ศ. 2548 - 2552) พบวําเด็กไทย 100 คน จะวํายนํ้าเป็น
เพียง 17 คน โดยเด็กสํวนใหญํเรียนวาํ ยน้ําเมือ่ อายุ 9 ปีข้นึ ไป

กระทรวงสาธารณสขุ จงึ กาํ หนดใหว๎ ันเสาร๑แรกของเดือนมีนาคม เป็นวันรณรงค๑ปฺองกันเด็กจมนํ้า
ของประเทศไทย เร่ิมตงั้ แตปํ ี 2553 เปน็ ตน๎ ไป โดยมงํุ หวังใหเ๎ ดก็ อายุ 6 ปี ต๎องสามารถวํายน้ําเพื่อเอาชีวิต
รอดได๎ โดยตั้งเปฺาหมายภายใน 10 ปีข๎างหน๎า เด็กไทยที่อายุครบ 7 ปีจะสามารถวํายนํ้าเป็นทุกคน
เพื่อลดการเสียชีวิตของเด็กจากการจมน้ําปีละ 100 คนเป็นอยํางน๎อย การเรียนวํายนํ้าจึงเป็นวัคซีน
ปอฺ งกันการเสยี ชวี ติ จากการจมนํา้ ได๎ดีท่ีสดุ แตกํ ารวํายนาํ้ เป็นกับการวํายนํ้าเพื่อเอาชีวิตรอดน้ันแตกตํางกัน
ดงั น้ี

การวํายน้ําเพ่ือการแขํงขัน (Competition swimming) คือ การวํายนํ้า 4 ทํามาตรฐาน คือ
ทาํ ฟรสี ไตล๑ ทํากบ ทํากรรเชยี ง ทําผีเส้ือ ซ่ึงเป็นหลักสูตรท่ีใช๎สอนวํายน้ํามาต้ังแตํ 40-50 ปีท่ีแล๎ว แตํคน
ที่สามารถวาํ ยนา้ํ เป็นทง้ั 4 ทํามาตรฐาน บางคนเอาตัวรอดในน้ําไมํได๎ แม๎จะวํายนาํ้ เปน็ กช็ วํ ยคนตกนาํ้ ไมเํ ป็น
ถูกคนตกนํ้ากอดจมน้ําตายไปด๎วยก็เยอะ ไมํร๎ูจักวิธีท่ีจะดูแลปฺองกันอุบัติภัยทางน้ําเม่ือต๎องทํากิจกรรม
ทางนํา้ หรือเดนิ ทางทอํ งเท่ยี ว ซง่ึ ลว๎ นเปน็ สาเหตุของการเสียชีวิตจากอุบัติภัยทางนํ้า (ทั้งคนที่วํายน้ําเป็น
และไมํเปน็ )

การวํายน้ําเพื่อเอาชีวิตรอด (Survival swimming) จะไมํเน๎นการสอนทําวํายน้ํา 4 ทํามาตรฐาน
แตจํ ะเนน๎ วธิ ีการเอาชีวติ รอดในนาํ้ กอํ น ได๎แกํ การลอยตัวทําตํางๆทั้งแบบนอนหงาย นอนคว่ํา ลูกหมาตกน้ํา
สร๎างความคุ๎นเคยกับน้ํา ทักษะการหายใจสําหรับการวํายน้ํา (Bobbing หรือ Proper Breathing)
การเคลื่อนท่ีไปในนํา้ ดว๎ ยการเดิน การลอยตัวเคล่ือนท่ีการเคลอื่ นท่ีไปในนํ้าด๎วยทําคว่ําตัวและทําหงายตัว
(ทําเตะเท๎าคว่ํา ทําเตะเท๎าหงาย)

การวํายน้าํ เพ่ือเอาชีวิตรอด ไมใํ ชํการเรยี นวาํ ยนํ้าเพยี งอยํางเดยี ว แตเํ พ่ือความปลอดภยั ทางนํ้า
จะตอ๎ งมคี วามรเ๎ู ก่ยี วกับเร่อื งตํางๆดงั นี้

1. ความร๎ูพน้ื ฐานเก่ียวกับความปลอดภัยทางนํ้า (Water Safety Knowledge) ได๎แกํเร่ืองทั่วๆไป
เก่ยี วกบั ภัยอันตรายทางนาํ้ ทม่ี ี และที่อาจเกิดข้ึนได๎ภายในบ๎านพัก (จมนํ้าในถังสี กะละมังซักผ๎า โอํงน้ํา)
รอบ ๆ บริเวณบ๎าน (แอํงนํ้าใต๎ถุนบ๎าน) แหลํงนํ้าเส่ียงในชุมชน (ฝาทํอระบายนํ้าชํารุด ไมํได๎ปิด ขุดบํอ
เพ่ือทําการกํอสร๎าง คันคอนกรีตขอบรางระบายน้ําในชุมชน) จนถึงอันตรายทางนํ้าจากการเดินทางและ

คู่มอื ส่งเสริมและพัฒนากจิ กรรมลูกเสือทักษะชีวิตในสถานศกึ ษา ลกู เสอื โท ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 43
คู่มือสง่ เสริมและพัฒนากจิ กรรมลกู เสอื ทักษะชีวติ ในสถานศึกษา ประเภทลูกเสอื สามญั หลักสตู รลกู เสือโท
36 ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 5

ทํองเท่ยี ว รวมท้ังการทํากิจกรรมทางน้ําตํางๆ (การเลํนเรือใบ ตกปลา พายเรือ ดํานํ้า) เปฺาหมายเพ่ือให๎
ทกุ คนร๎ูวาํ ภัยอนั ตรายทางน้าํ น้นั อยูทํ ีไ่ หน ตรงไหน จุดใดเป็นจุดเสีย่ ง จะได๎เตรยี มการปฺองกันไว๎กํอน

2. การเอาชวี ติ รอดจากอบุ ัติภัยทางนํา้ (Self-Rescue) ทกั ษะแรก ก็คือ วํายนํ้าให๎เป็น จะเคล่ือนท่ี
ไปในนาํ้ ดว๎ ยทําอะไรกไ็ ด๎ ทกั ษะการวํายนาํ้ มาตรฐานมี 4 ทํา คือ ฟรีสไตล๑ กบ กรรเชียง ผีเสื้อ ทักษะที่ 2
คือ การวํายนํ้าเพ่ือเอาชีวิตรอด คือสุดยอดวิชา ท่ีจะทําให๎คนเราไมํจมน้ําตาย ได๎แกํ ทักษะการลอยตัว
แบบตาํ งๆ และการรู๎จักนําอุปกรณ๑ตํางๆ ที่อยํูกับตัวเรามาเป็นชูชีพ เชํน รองเท๎าแตะฟองนํ้า ขวดนํ้าด่ืม
พลาสตกิ เปน็ ต๎น

3. การให๎ความชํวยเหลือผู๎ประสบภัยทางนํ้า (Water Rescue) คือ การชํวยคนตกนํ้าหรือคน
จมนํ้า ด๎วยวิธีท่ีถูกต๎องและปลอดภัย สําหรับทุกคน ทุกระดับอายุ ต้ังแตํเด็กเล็กๆ คนวํายน้ําไมํเป็นไป
จนถึงผู๎ใหญํท่ีวํายน้ําเกํงๆ ให๎ร๎ูจักวิธีการชํวยผ๎ูประสบภัยทางน้ํา ซ่ึงได๎แกํ การร๎องเรียกให๎คนอื่นหรือ
ผ๎ูใหญํชํวย การชํวยด๎วยการโยนอุปกรณ๑ การชํวยด๎วยการย่ืนอุปกรณ๑ การลงน้ําวํายนํ้าออกไปชํวย
ผู๎ประสบภัย เราชํวยอยํางไรจงึ จะรอดและปลอดภัยทงั้ 2 ฝาู ย

4. การปฐมพยาบาล การก๎ูชีพด๎วยการผายปอดและนวดหัวใจ ( Cardio-Pulmonary
Resuscitation) จะกลําวถงึ ทฤษฎแี ละฝึกปฏบิ ัตใิ หร๎ ๎ูและเข๎าใจเหตุและผลวํา ทําไมการผายปอดจึงสามารถ
ชํวยเพม่ิ โอกาสการรอดชีวิตใหแ๎ กํผู๎ประสบภัย

มนุษย๑ไมํสามารถดํารงชีวิตอยูํได๎ถ๎าขาดนํ้า ดังนั้นจงอยําให๎น้ําเป็นฆาตกรครําชีวิตมนุษย๑ มา
ชวํ ยกนั สรา๎ งวัคซนี ปฺองกนั ภัยในชวํ งปิดเทอม ดว๎ ยการเรียนหลกั สูตรการวํายนํ้าเพ่อื เอาชีวิตรอดกันเถอะ

ท่มี า http://www.gotoknow.org/ask/coladisak/10294

เรื่องสั้นทีเ่ ป็นประโยชน์

นกั ดูดาว

ชายคนหนึ่งมีความสนใจในเร่ืองของดวงดาวเป็นอยํางมาก เขาศึกษาโหราศาสตร๑และเรียนร๎ู
อทิ ธิพลของดวงดาวจนแตกฉาน ในคือวันหนึ่งเขาออกไปเฝฺาสังเกตวิถีการโคจรของดวงดาวตั้งแตํหัวคํ่า
จนดึก

เขาเดนิ แหงนหนา๎ มองท๎องฟาฺ เท๎าก็เดินไปเรื่อย ๆ โดยไมํทันระวังตัว เขาพลัดตกลงในหนองน้ํา
ข๎างทาง เขาตะโกนรอ๎ งขอความชวํ ยเหลือจนเสยี งแหบแห๎ง กวาํ จะมีคนผาํ นมาชํวยดึงเขาขนึ้ จากหนองนํา้

เร่ืองน้สี อนใหร้ ้วู ่า ต๎องรู๎จกั ตนเองและการดาํ เนนิ ชวี ติ ของตนเองกํอน จึงจะไปร๎ูของผอ๎ู น่ื

44 คู่มอื ส่งเสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลูกเสอื ทกั ษะชีวิตในสถานศึกษา ลูกเสือโท ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 5

คมู่ ือสง่ เสรมิ และพฒั นากิจกรรมลกู เสอื ทกั ษะชวี ิตในสถานศึกษา ประเภทลูกเสือสามญั หลกั สูตรลูกเสือโท 37
ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 5

แผนการจดั กิจกรรมลูกเสอื สามัญ ลกู เสือโท ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5

หนว่ ยท่ี 3 การชว่ ยเหลือผอู้ น่ื เวลา 1 ชัว่ โมง
แผนการจัดกจิ กรรมที่ 6 วธิ ปี ฏบิ ตั เิ มื่อเกิดบาดแผล

1. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้

1.1 สามารถปฏบิ ตั กิ ารปฐมพยาบาลเบ้ืองตน๎ เมอ่ื มีบาดแผลที่เกดิ จากแมลงหรือสัตวม๑ ีพิษกดั
ตอํ ยได๎

1.2 สามารถปฏบิ ตั กิ ารปฐมพยาบาลเบ้อื งต๎น เมือ่ ถกู ไฟไหม๎ นํา้ รอ๎ นลวก และเปน็ ลมแดดได๎

2. เนอื้ หา
2.1 การปฐมพยาบาลเมือ่ ถกู แมลงหรอื สตั ว๑มพี ษิ กดั ตอํ ย
2.2 การปฐมพยาบาลเม่อื ถกู ไฟไหม๎ นํ้ารอ๎ นลวก เปน็ ลมแดด

3. ส่ือการเรยี นรู้

3.1 แผนภูมเิ พลง
3.2 ภาพแมลงและสตั ว๑ทม่ี พี ษิ
3.3 ใบความร๎ูเรอื่ งการปฐมพยาบาล
3.4 ยาทใี่ ช๎ในการปฐมพยาบาลเบ้ืองต๎น ยาดม ยาหมํอง ยาสฟี นั นาํ้ ปูนใส บวั หมิ ะ ฯลฯ
3.5 เร่อื งสัน้ ทเ่ี ปน็ ประโยชน๑

4. กิจกรรม
4.1 พธิ ีเปดิ ประชมุ กอง (ชักธงขน้ึ สวดมนต๑ สงบน่ิง ตรวจ แยก)
4.2 เพลง หรอื เกม
4.3 กิจกรรมตามจดุ ประสงคก๑ ารเรียนร๎ู
- ลูกเสือเรยี นรู๎จากกจิ กรรมฐานสาธิตดงั น้ี

ฐานที่ 1 วิธีปฐมพยาบาลเมอื่ ถูกแมลงมพี ิษกดั ตํอย
ฐานท่ี 2 วธิ ีปฐมพยาบาลเมอื่ ถูกงูและสนุ ขั กดั
ฐานที่ 3 วธิ ีปฐมพยาบาลเมอ่ื ถกู ไฟไหม๎ นํ้าร๎อนลวก
ฐานท่ี 4 วิธีปฐมพยาบาลคนเป็นลมแดด
4.4 ผกู๎ าํ กับลกู เสอื เลําเรอื่ งส้ันท่ีเป็นประโยชน๑
4.5 พธิ ปี ิดประชุมกอง (นดั หมาย ตรวจเครื่องแบบ ชักธงลง เลกิ )

5. การประเมนิ ผล
สังเกต และตรวจสอบการปฏิบตั ปิ ฐมพยาบาลในแตํละฐานกิจกรรม และครบทุกฐานกิจกรรม

คมู่ อื ส่งเสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลูกเสือทักษะชวี ติ ในสถานศกึ ษา ลกู เสอื โท ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 45

38 คมู่ ือส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมลกู เสอื ทักษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสือสามัญ หลกั สูตรลกู เสือโท
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5

6. คุณธรรม
6.1 ความพอเพียง
6.2 รับผิดชอบ
6.3 อุดมการณ๑คณุ ธรรม

ภาคผนวกประกอบแผนการจดั กจิ กรรมท่ี 6

เพลง

ปฐมพยาบาล

นกั ปฐมพยาบาล งานของเราเบ้ืองตน๎
คือคดิ จะชํวยคน ท่ีปวู ยกะทนั หนั
หากใจหยดุ เตน๎ ก็นวดเฟนฺ และผายปอดพลัน
เลอื ดออกมากนน้ั เรว็ ไวหา๎ มไวก๎ อํ น
จับนอนตะแคง เครือ่ งแตํงกายนน้ั ชวํ ยคลายผํอน

ซบเซาเฝาฺ นอน ห๎ามให๎ยาให๎อาหาร
ให๎ความอุนํ พอ และรีบตามหมอจดั การ
เราต๎องชํวยพยาบาล กํอนนาํ สงํ หมอ

เรือ่ งสัน้ ท่เี ปน็ ประโยชน์

ผูก้ ากับลกู เสอื แปลความจากคาประพันธ์

พฤกษภกาสร อกี กญุ ชรอนั ปลดปลง
โททนต๑เสนํงคง สาํ คัญหมายในกายมี

นรชาติวางวาย มลายสนิ้ ทง้ั อนิ ทรีย๑
สถติ ทิ ั่วแตชํ ่ัวดี ประดบั ไวใ๎ นโลกา

บรรดาสตั วเ๑ ม่อื ตายแลว๎ ยังท้ิงหนังและเขาไวเ๎ ปน็ ประโยชน๑ สํวนมนษุ ยเ๑ มอื่ ตายแลว๎ ไมมํ อี ะไรท่ี
จะเกิดประโยชน๑แกชํ นรุํนหลัง นอกจากคุณความดที ่ไี ดก๎ ระทาํ เม่ือยังมชี ีวติ อยูเํ ทาํ นน้ั

เรอื่ งนีส้ อนใหร้ ้วู ่า ความดไี มมํ สี ูญหาย
46 คู่มือสง่ เสริมและพัฒนากิจกรรมลูกเสือทกั ษะชวี ติ ในสถานศกึ ษา ลูกเสือโท ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5

คูม่ ือสง่ เสรมิ และพฒั นากิจกรรมลกู เสือทกั ษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสือสามัญ หลักสูตรลูกเสอื โท 39
ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5

ใบความรู้

การปฐมพยาบาลเมอื่ เกดิ บาดแผลจากสัตว์ แมลง และไฟไหมน้ า้ ร้อนลวก

การปฐมพยาบาลเมื่อแมลงหรอื สตั ว์มพี ษิ กดั ต่อย
1. แมลงทมี่ เี หลก็ ใน

แมลงหลายชนดิ มีเหลก็ ใน เชนํ ผึ้ง ตํอ แตน เป็นตน๎ เมื่อตอํ ยแล๎วมักจะทง้ิ เหล็กในไว๎ภายใน
เหล็กในจะมีพิษ พิษของแมลงพวกนี้มักมีฤทธิ์ที่เป็นกรด บริเวณท่ีถูกตํอยจะบวมแดง คัน และปวด
อาการปวดจะมากหรือนอ๎ ยข้ึนอยํูกับส่งิ ตํอไปนี้

(1) บรเิ วณท่ีถูกตํอย ถา๎ ถูกตอํ ยอวยั วะทสี่ ําคัญ เชนํ หนา๎ หรือคอ จะทําให๎คอบวม หายใจไมํออก
แตํถ๎าถูกตอํ ยบริเวณแขน ขา อาการเจบ็ ปวดก็จะไมมํ ากนกั

(2) จํานวนแมลงท่ีตํอยหรือจํานวนคร้ังท่ีถูกตํอย ถ๎าถูกแมลงเพียงตัวเดียวตํอยแหํงเดียว
ก็มักจะมีอาการน๎อยมาก แตํถ๎าถูกแมลงท้ังฝูงรุมตํอย จะมอี าการเจ็บปวดมากจนหมดสติ บางครงั้ อาจถงึ
เสยี ชีวติ ได๎

(3) สภาพราํ งกายของแตลํ ะบุคคล คนที่มภี ูมแิ พเ๎ ม่อื ได๎รับสารพิษของแมลงท่ีตอํ ยจะมีอาการ
รุนแรงมากกวาํ คนปกติ บางครงั้ ถ๎าแกไ๎ ขไมํทันอาจถึงตายได๎

วิธีปฐมพยาบาล

1. พยายามเอาเหลก็ ในออกใหห๎ มด โดยใชว๎ ตั ถุท่ีมรี ู เชํน ลกู กุญแจ กดลงไปตรงรอยท่ีถูกตํอย
เหลก็ ในจะโผลขํ น้ึ มาใหค๎ ีบออกได๎

2. ใช๎ผา๎ ชุบนาํ้ ยาที่มีฤทธิ์เปน็ ดาํ งอํอนๆ เชนํ นํ้าแอมโมเนีย นาํ้ โซดาไบคาร๑บอเนต นํ้าปูนใส
ทาบริเวณแผลให๎ท่วั เพ่อื ฆาํ ฤทธก์ิ รดท่ตี กคา๎ งอยใํู นแผล

3. อาจใชน๎ ้ําแข็งประคบบริเวณทีถ่ กู ตํอยถ๎าแผลบวมมาก
4. ถา๎ มีอาการปวดใหร๎ บี รับประทานยาแก๎ปวด ถ๎าคันหรือผิวหนังมีผ่นื ขน้ึ ให๎รบั ประทานยาแกแ๎ พ๎
5. ถา๎ อาการไมทํ เุ ลาลง ควรไปพบแพทย๑

2. แมงป่อง หรือตะขาบ

ผ๎ูที่ถูกแมงปูองตํอย หรือถูกตะขาบกัด จะมีอาการเจ็บปวดมากกวําถูกแมลงชนิดอื่นตํอย
เพราะแมงปอู งและตะขาบมีพิษมากกวําบางคนที่แพ๎สัตว๑ประเภทน้ีอาจมีอาการปวดและบวมมาก มีไข๎สูง
คลน่ื ไส๎ อาเจยี น บางคนมอี าการเกร็งของกลา๎ มเนือ้ และชักด๎วย

วิธปี ฐมพยาบาล
1. ใช๎สายรัดหรือขนั ชะเนาะเหนือบริเวณบาดแผล เพอ่ื ปอฺ งกนั ไมํใหพ๎ ิษแพรกํ ระจายออกไป
2. พยายามทําให๎เลอื ดไหลออกจากบาดแผลใหม๎ ากทส่ี ุด อาจทําได๎หลายวิธี เชํน เอามือบีบ

เอาวัตถทุ ม่ี รี กู ดให๎แผลอยูํตรงรูพอดี เลอื ดจะไดพ๎ าเอาพิษออกมาด๎วย
3. ใชแ๎ อมโมเนียหอม หรือทงิ เจอร๑ไอโอดนี 2.5% ทาบรเิ วณแผลใหท๎ ่ัว

คูม่ ือส่งเสริมและพฒั นากิจกรรมลกู เสอื ทกั ษะชวี ิตในสถานศึกษา ลกู เสือโท ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5 47
คูม่ อื สง่ เสรมิ และพฒั นากิจกรรมลกู เสือทักษะชวี ติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสือสามญั หลักสูตรลกู เสือโท
40 ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 5

4. ถา๎ มีอาการบวมอักเสบและปวดมาก ใช๎ก๎อนน้ําแข็งประคบบริเวณแผล เพื่อชํวยบรรเทา
ความปวด และอาจใหร๎ บั ประทานยาแก๎ปวดดว๎ ย

5. ถ๎าอาการยังไมทํ เุ ลา ต๎องรบี นําสงํ แพทย๑

3. แมงกะพรุนไฟ
แมงกะพรุนไพเป็นสัตว๑ทะเลชนิดหนึ่ง ซึ่งมีสารพิษอยูํท่ีหนวดของมัน แมงกะพรุนไฟ

มสี นี ํา้ ตาล เมอ่ื คนไปสมั ผสั ตวั แมงกะพรุนไฟ มนั จะปลอํ ยพษิ ออกมาถกู ผิวหนัง ทําใหร๎ ูส๎ ึกปวดแสบปวด
ร๎อนมาก ผิวหนังจะเป็นผื่นไหม๎ บวมพองและแตกออก แผลจะหายช๎า ถ๎าถูกพิษมากๆ จะมีอาการ
รุนแรงถงึ กับเปน็ ลมหมดสติ และอาจถงึ ตายได๎

วิธปี ฐมพยาบาล
1. ใช๎ผา๎ เช็ดตวั หรือทรายขดั ถบู ริเวณทถ่ี กู พษิ แมงกะพรนุ ไฟ เพอ่ื เอาพษิ ท่ีค๎างอยอูํ อกหรือใช๎

ผกั บ๎ุงทะเลซ่งึ หางํายและมอี ยํูในบริเวณชายทะเล โดยนํามาลา๎ งใหส๎ ะอาดตาํ ปดิ บริเวณแผลไว๎
2. ใช๎นา้ํ ยาทม่ี ฤี ทธิเ์ ปน็ ดําง เชํน นาํ้ แอมโมเนีย หรือน้ําปูนใส ชุบสําลีปิดบริเวณผิวหนังสํวน

น้ันนานๆ เพ่ือฆาํ ฤทธิ์กรดจากพษิ ของแมงกะพรนุ ไฟ
3. ใหร๎ ับประทานยาแกป๎ วด
4. ถ๎าอาการยังไมํทเุ ลา ให๎รบี นาํ สงํ แพทย๑โดยเร็ว

4. สุนขั บา้
โรคพิษสุนขั บา๎ เกดิ จากเชอื้ ไวรสั ชนิดหน่ึง ซ่ึงสามารถติดตํอและแพรํกระจายไปยังสัตว๑ท่ีเล้ียง

ลูกด๎วยนมตํางๆ ได๎หลายชนิด เชํน สุนัข ค๎างคาว ลิง แมว หมู วัว ควาย ม๎า แกะ แพะ หนู ฯลฯ
แตํเน่อื งจากโรคนี้สํวนใหญํมักจะเป็นกับสุนัขมากกวําสัตว๑อื่น ดังนั้น จึงเรียกโรคน้ีวํา โรคพิษสุนัขบ้า
เม่อื สตั ว๑ทีเ่ ป็นโรคน้ีไปกดั หรือขํวนสัตว๑ใด เชื้อไวรสั ทีอ่ ยใูํ นน้าํ ลายของสัตวน๑ นั้ กจ็ ะเข๎าสํูรํางกายของสัตว๑
ท่ถี ูกกดั หรือขวํ น แล๎วทาํ ให๎เปน็ โรคพิษสุนัขบา๎ หรือสัตวท๑ ่ีเปน็ โรค

48 คู่มือส่งเสรมิ และพฒั นากิจกรรมลกู เสือทักษะชวี ติ ในสถานศึกษา ลกู เสอื โท ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5

คู่มอื ส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมลกู เสอื ทักษะชวี ติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสอื สามัญ หลกั สูตรลูกเสอื โท 41
ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5


Click to View FlipBook Version