The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by scout thai, 2020-06-16 21:54:46

คู่มือส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมลูกเสือทักษะชีวิตในสถานศึกษา ประเภทลูกเสือสามัญ หลักสูตรลูกเสือโท ประถมศึกษาปีที่ 5

ลูกเสือสามัญ ป5

9. ถ๎าดา๎ มมดี หรอื ดา๎ มขวานหลวม แตก หรอื รา๎ วตอ๎ งรบี ซํอมแซมใหม๎ ั่นคง เพอื่ ความปลอดภยั
ในการพกพา

การใช้มีดเหลาสมอบก ในการอยคํู ํายพักแรมลูกเสืออาจตอ๎ งตดั ไมใ๎ นปาู มาทาํ สมอบก จงึ ควร
ปฏิบตั ิดงั นี้

1. หาไม๎เนอื้ แข็ง เส๎นผาํ นศนู ยก๑ ลาง ประมาณ 1 น้ิว มา 2-3 ต๎น โดยลดิ กิง่ กา๎ นออกใหห๎ มด

2. ทอนไมใ๎ หเ๎ ป็นทอํ นๆ ยาวประมาณ 1 ฟุต ตามจํานวนทต่ี ๎องการ
3. ใชม๎ ดี อีโต๎หรอื มดี พร๎า เสีย้ มปลายทอํ นไมด๎ ๎านหน่ึงโดยทาํ มมุ เอยี งประมาณ 45 องศา และไมํ
ตอ๎ งให๎ปลายแหลมมากนกั เพราะจะทาํ ให๎ปลายหักงํายเวลาตอก
4. หากลกู เสอื มแี ตํมดี พก เมอ่ื ตอ๎ งการเหลาสมอบก เนอื่ งจากตอ๎ งออกแรงมากและมดี อาจแฉลบได๎
5. เหลาตวั สมอบกให๎เกลย้ี งเกลา

การใชข้ วานผ่าไมแ้ ละตัดไม้
การใชข๎ วานตดั ผาํ ไมเ๎ พอื่ เตรยี มกํอกองไฟ

การใช๎ขวานตัดผําไมร๎ ะวังอยาํ ให๎พลาดเขา๎ หาตัวไมํตัด

ตาไมแ๎ ขง็ ๆ เมื่อลิดกิง่ ท่แี หง๎ หรอื เกะกะรอบๆ ต๎นไม๎ให๎ลิดตาม

ก่งิ อยํายอ๎ นก่ิง อยาํ ตัดไม๎สดจากตน๎ จนเหลอื ใช๎ ควรอนุรักษ๑ลํา

ตน๎ และก่ิงใกล๎ๆ ยอดให๎เจรญิ เติบโตตํอไปมิให๎เกิดอันตรายตํอ

ต๎นไม๎ การใชข้ วานผ่าไม้

วิธีตัดหรือผําไม๎ กํอนจะตัดหรือผํา ไม๎ให๎หาขอนไม๎

หรอื สงิ่ ของอยาํ งใด รองพน้ื ทเี่ สยี กํอนจะฟนั เฉียงลง อยําฟันตรงๆ และระวงั ในเรอ่ื งท่ีหมาย จับขวานให๎ม่ัน

ฟันลงทีจ่ ุดตามตอ๎ งการ แตอํ ยาํ เพิม่ แรงในขณะที่ฟนั ลงไป

การใชข๎ วานตดั ไม๎และผําไม๎

คู่มือส่งเสริมและพฒั นากิจกรรมลกู เสือทกั ษะชีวิตในสถานศึกษา ลกู เสอื โท ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 5 99
คู่มือส่งเสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลูกเสือทักษะชีวิตในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสอื สามัญ หลกั สูตรลูกเสือโท
92 ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5

แผนการจัดกิจกรรมลูกเสือสามญั ลกู เสอื โท ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5

หนว่ ยท่ี 5 ทักษะในทางวิชาลกู เสอื
แผนการจัดกิจกรรมที่ 16 การผูกเงือ่ นสาหรบั ช่วยชีวติ เวลา 1 ชวั่ โมง

1. จุดประสงค์การเรยี นรู้
ลกู เสอื สามารถผูกเง่ือนทใี่ ชส๎ ําหรับชวํ ยชีวิตคนได๎

2. เนอ้ื หา
2.1 การผกู เงอื่ นบํวงสายธนู
2.2 การผูกเง่ือนบํวงสายธนูสองชนั้

2.3 การผกู เง่อื นบวํ งสายธนสู ามช้ัน
2.4 การผกู เงื่อนบํวงสายธนพู นั หลัก
2.5 การผกู เงอ่ื นเกา๎ อ้ี

3. สอ่ื การเรยี นรู้
3.1 แผนภมู เิ พลง
3.2 แผนภูมเิ งอ่ื นบํวงสายธนู เงอื่ นบวํ งสายธนู 2 ชัน้ เงอื่ นบํวงสายธนู 3 ชนั้ เง่อื นบวํ งสายธนู
พนั หลัก เง่ือนเกา๎ อี้
3.3 เชอื กประจาํ กายสาํ หรับใชผ๎ ูกเง่ือน และเชือกสาํ หรบั สาธิตการผูกเงอื่ น
3.4 ใบความร๎ู
3.5 เร่อื งส้นั ท่ีเป็นประโยชน๑

100 ค่มู อื สง่ เสริมและพฒั นากจิ กรรมลูกเสือทกั ษะชีวติ ในสถานศึกษา ลกู เสือโท ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 5

คมู่ อื สง่ เสริมและพัฒนากิจกรรมลูกเสือทักษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสือสามัญ หลกั สตู รลกู เสือโท 93
ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 5

4. กิจกรรม

1) พิธเี ปดิ ประชมุ กอง (ชกั ธงขนึ้ สวดมนต๑ สงบนง่ิ ตรวจแยก)
2) เพลง หรอื เกม

3) กจิ กรรมตามจดุ ประสงค๑การเรียนรู๎

1) ผ๎กู าํ กับลูกเสอื นําสนทนาถึงเหตกุ ารณ๑อนั ตรายทเี่ กดิ ขนึ้ และอาจมีคนต๎องการ

ความชวํ ยเหลอื เลํน การตกนาํ้ การตกเหว การไตจํ ากทส่ี งู

2) รํวมกนั อภปิ รายถงึ การชํวยเหลือทอ่ี าจทําได๎โดยการใชเ๎ ชือกและเงอ่ื นตาํ ง ๆ

3) แบงํ หมลูํ ูกเสอื เรยี นผูกเงือ่ นตามฐาน โดยผู๎กาํ กบั อธิบายและสาธติ แล๎วให๎ลกู เสอื
ฝกึ ปฏบิ ัติ ดงั น้ี
ฐานที่ 1 เงื่อนบํวงสายธนู
ฐานที่ 2 เงอ่ื นบวํ งสายธนู 2 ชน้ั และ 3 ชัน้
ฐานที่ 3 เงอื่ นบํวงสายธนพู นั หลกั
ฐานที่ 4 เงอื่ นเกา๎ อ้ี

4) ผู๎กาํ กับลูกเสือเลาํ เรอื่ งสัน้ ทเี่ ปน็ ประโยชน๑
5) พิธีปดิ ประชมุ กอง (นัดหมาย ตรวจเครอื่ งแบบ ชกั ธงลง เลกิ )

5. การประเมินผล
5.1 สงั เกต ความสนใจ
5.2 ตรวจสอบความถูกตอ๎ งการแสดงวธิ ีผกู เงอื่ นบวํ งสายธนูและเงอ่ื นเกา๎ อ้ี

6. คณุ ธรรม
6.1 ความพอเพยี ง
6.2 ซ่อื สตั ยส๑ จุ ริต
6.3 รบั ผดิ ชอบ
6.4 ความกตญั ๒ู
6.5 อดุ มการณค๑ ณุ ธรรม

ภาคผนวกประกอบแผนกิจกรรมที่ 16

เพลง

เงอื่ น

คมู่ อื ส่งเสรมิ และพฒั นากิจกรรมลูกเสอื ทักษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ลกู เสอื โท ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 101

94 คมู่ อื สง่ เสริมและพฒั นากจิ กรรมลูกเสือทกั ษะชวี ติ ในสถานศึกษา ประเภทลูกเสือสามญั หลกั สตู รลูกเสอื โท
ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5

6.3 รับผิดชอบ
6.4 ความกตญั ๒ู

6.5 อดุ มการณค๑ ณุ ธรรม

ภาคผนวกประกอบแผนกิจกรรมท่ี 16

เพลง

เงอื่ น

คู่มือส่งเสรมิ แลสะอพงฒั เเสชนน๎อืากกไมจิขกํเนทรารําดมกเลนัทกู ตาํเสกลอื อันทดักษะชีวิตในสถานศึกษสตมาอํ กาลธันกู สิ ดเสอ๎วือดยโตทเงํออ่ื ชกนนั้นั พปเปรริ ะอน็ ถดเมสศน๎ ึกยษาาวปีที่ 5 101

บวํ งสายธนู อาจชวํ ยกู๎ชวี ิตยนื ยาว

กระหวัดไม๎ใช๎เชอื กเส๎นยาว (ซาํ้ ) ลากอ๎าวๆ ไมขํ าดหลุด เลย

เรอื่ งสน้ั ที่เปน็ ประโยชน์ คดิ กอ่ นพูด

ชายสองคนเปน็ พี่น๎องกัน พวกเขาเลี้ยงหมาสีขาวหนึ่งตัว วันหน่ึงชายผู๎น๎องออกไปเย่ียมญาติ
ระหวํางทางฝนเทลงมาอยํางหนักทําให๎เสอ้ื สีขาวของเขาเปียกโชก เมื่อไปถึงบ๎านญาติจึงต๎องเปลี่ยน

ใสํเสื้อผ๎าชุดดําแทน เมื่อกลับบ๎านในตอนเย็น หมาจําเขาไมํได๎จึงเหํากระโชกเป็นการใหญํ ชายผู๎น๎อง
โกรธมาก รอ๎ งดาํ พลางไลํตีหมาไปรอบๆ บ๎าน ชายผู๎พ่ีมาพบเข๎าจึงร๎องห๎ามพร๎อมกับพูดวํา “อยําตีมัน
อยําตีมัน” ชายผู๎น๎องพูดวํา “ตีให๎ตาย หมาระยํา จําเจ๎าของไมํได๎” ชายผู๎พ่ีจึงกลําวเตือนสติผู๎น๎องวํา
“ถา๎ หมาสีขาวของเรามันออกจากบา๎ นไปแลว๎ กลายเป็นหมาดาํ เมอื่ กลับมาเจ๎าจะจําไดห๎ รอื ไมํ” ชายผน๎ู อ๎ ง
จึงไดส๎ ติ เพราะไมํสามารถตอบคาํ ถามของพไี่ ด๎

เร่อื งน้ีสอนให้รวู้ า่ เวลาเราจะทาํ หรอื พดู อะไรกต็ ามจะตอ๎ งคดิ ใหร๎ อบคอบเสยี กอํ น

คู่มอื ส่งเสรมิ และพัฒนากิจกรรมลกู เสือทกั ษะชีวิตในสถานศกึ ษา ประเภทลูกเสอื สามญั หลักสูตรลกู เสือโท 95
ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 5

ใบความรู้

เง่อื นเชือก

เง่อื นเชือกกย็ ังมีบทบาทและความสาํ คญั สําหรับการดําเนินชีวิตของคนเรา ถึงแม๎วําเทคโนโลยี
ตาํ งๆ จะเจริญเข๎ามากต็ าม จะเห็นได๎วําเง่ือนเชือกจะเก่ียวข๎องกบั เราตง้ั แตแํ รกเกิดเมือ่ เราคลอดออกมา
หมอจะให๎เชอื กในการผกู สายสะดอื ตอนเดก็ ใช๎เงือ่ นเชอื กผกู ทําเปลนอน ผูกสายมุ๎ง ตอนโตใช๎เง่ือน
เชอื กผูกรองเท๎า ผูกเนคไท ผกู สิง่ ของตํางๆ และยังใช๎เงือ่ นเชือกถักเปน็ เสอ้ื ผา๎ เครอ่ื งนมํุ หมํ และเครือ่ ง
ใชต๎ ํางๆ หลายชนิด บางครัง้ เงอ่ื นเชือกยังมบี ทบาทกบั เราอกี อาจจะชํวยชีวิตให๎รอดพ๎นจากอันตรายได๎
ตอนเสียชวี ิตเชือกยงั มบี ทบาทอกี เงื่อนเชือกมีความสมั พันธ๑เกีย่ วขอ๎ งกบั การดาํ เนนิ ชีวติ ของเรา เพราะ
ฉะนั้นลกู เสือควรจะตอ๎ งศกึ ษาเรอ่ื งเงื่อนเชอื กเพ่ือจะได๎นําไปใช๎ประโยชน๑ในโอกาสตตอ่ ํอไไปป

คุณสมบตั ิของเชอื กและการใช้ประโยชนจ์ ากเงอื่ นเชอื กตา่ งๆ
เชือกเปน็ สิง่ สาํ คัญสําหรับผูก จากวัสดุตํางๆ ท่ีเป็นเส๎นเล็กๆ ยาวๆ เอามาทบกันหลายๆ เส๎น

หรือจะนาํ มาฟั่นกนั เปน็ เกลียวทาํ ใหม๎ ขี นาดใหญแํ ละยาว เหมาะแกกํ ารใช๎งานประเภทตาํ งๆ ทีต่ ๎องการ

เชือกแบ่งเปน็ ประเภทใหญ่ๆ ได้ 4 ประเภท คอื
เชือกท่ีทาจากพืช โดยนําสํวนตํางๆ ของพืช เชํน ต๎น เปลือก ใยของพืชมาทําความสะอาด

แล๎วนํามาฟ่ันเป็นเกลียวหรือทบกันให๎มีขนาดพอดี พืชที่สามารถนํามาทําเป็นเชือกได๎ เชํน เถาวัลย๑
กาบกล๎วยตากแหง๎ ใยมนลิ า ตน๎ กก หวาย ใยฝาฺ ย เปลือกปอ ไมไ๎ ผํ (ทําตอกมดั สงิ่ ของได)๎ เป็นต๎น

เชือกทาจากอวัยวะบางส่วนของสัตว์ เชํน หนังสัตว๑ ใยไหม เป็นต๎น โดยนํามาเป็นเส๎นเล็กๆ
แล๎วนาํ มาฟ่ันให๎เป็นเกลยี วหรอื ทบกนั ให๎มขี นาดเหมาะสมกบั การใช๎งาน

คมู่ ือส่งเสริมและพฒั นากจิ กรรมลกู เสือทักษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ลกู เสอื โท ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 103

96 คู่มอื ส่งเสรมิ และพฒั นากิจกรรมลกู เสอื ทกั ษะชวี ติ ในสถานศึกษา ประเภทลกู เสือสามัญ หลกั สูตรลกู เสอื โท
ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 5

เชอื กทาจากแรโ่ ดยเอาแร่บางชนดิ เชํน แรํเหลก็ อลูมิเนียมมารีดให๎เป็นเส๎นเล็กๆ เรียกวําเส๎น
ใยโลหะ เอาหลายๆ เส๎น แลว๎ นํามาฟน่ั ให๎เป็นเกลยี วหรอื ใช๎งานเป็นเสน๎ เลก็ ๆ ลวด ลวดสลิง เปน็ ตน๎

เชือกทาจากสารเคมี หรือเชือกที่ทําจากเส๎นใยสังเคราะห๑ ได๎จากการนําเอาสารเคมีบางชนิดมา
สังเคราะหด๑ ๎วยกรรมวิธตี าํ งๆ จนไดเ๎ ป็นเส๎นใยแลว๎ นําเสน๎ ใยมาทบกัน ฟั่นเปน็ เชอื ก เชือกไนลํอน เปน็ ต๎น

เชือกทเี่ รานามาใช้งานทว่ั ไปในปจั จุบนั ท่ที าจากวัสดุต่าง ๆ มชี อ่ื เรียก คือ
- เชือกปูาน ทําจากเปลือกต๎นเฮมพ๑ หรือกัญชาเป็นเชือกสีเหลืองอํอน มีความเหนียวและ
แข็งแรงดี แตํมีความทนทานน๎อย ผุงํายขาดเร็ว ในการท่ีจะใช๎เชือกปูานให๎ได๎ทนทาน จึงเอา
เชอื กปูานชบุ นํ้ามันดิน เราเรียกวําเชือกน้ํามัน มีคุณสมบัติอํอนตัวไมํดูดอมนํ้า จึงเหมาะที่จะ
ใชใ๎้ นการผกู๎สสิง่ งขิ่ ขออองงไงไดไดด๎ดด้ ด้ี ี เี ชเชอื อื กกนน้ํา้�ำมมนั นั ขขนนาาดดเเลล็กก็ 1 น้ิว เรยียกกววา่ าํ เเชชอื ือกกกกญั ัญชชาาชาชวาเวรเอื รนือิยนมิยใมชใผ้ ชกู ๎ผโูกยโงยเรงอื
เแรลือะแใลชะผ้ ใกูชสผ๎ ว่ กู นสปํวรนะปกรอะบกเอสบาใเบสเารใอืบเเลรก็ือเลก็
- เชือกมะลิลา ทํามาจากเปลือกต๎นอะคาบามีมากในประเทศฟิลิปปินส๑ เชือกเหนียวแข็งแรงกวํา
เชือกปูานชุบน้ํามันดนิ มคี วามอํอนตวั กวาํ แตํผุเร็วกวําเชือกปูาน มีประโยชน๑ใช๎ทํารอก ทําสลิง
ใช๎ผูกโยงเรอื

- เชอื กกาบมะพรา๎ ว ทําจากเส๎นใยมะพร๎าว มีนาํ้ หนักเบาลอยน้ําได๎ มคี วามฝืดดี ไมํอมน้ํา ผุยาก
จึงเปน็ เชือกท่ีเหมาะสมกับการใช๎งานในนํ้า ประโยชน๑ ใช๎ทําเชือกลากจูงหรือโยงเรือ พํวงเรือ
ทําความสะอาดงําย แตมํ ีความเหนียวน๎อยกวาํ เชอื กอ่ืนๆ ขนาดเดียวกนั

- เชือกมะเล็น เป็นเชือกปูานขนาดเล็ก แตํน้ําไปชุบนํ้ามันดิน ใช๎ได๎ทนกวําเชือกปูานธรรมดา
ไมอํ มนา้ํ ผูกมัดพันรอบปากขอรอก ปฺองกนั ไมใํ ห๎ส่งิ ของทแ่ี ขวนอยใํู นรอกหลดุ ออกจากขอ

- เชือกน้ํามัน เป็นเชือกปูานขนาดใหญํท่ีชุบนํ้ามันดิน อํอนตัวกวําเชือกปูานธรรมดา ใช๎ได๎ทน
ไมอํ มนา้ํ กรํา่ แดดกรํา่ ฝนได๎ดีกวําเชอื กอ่นื ๆ

- เชือกปอ ทําจากปอกระเจา เป็นเชือกขนาดเล็กแข็งกํอนใช๎นําไปชุบนํ้ากํอน เชือกจะอํอนตัว
และเหนยี ว ทาํ ใหผ๎ กู งาํ ยขึ้น เชือกปอทาํ ในประเทศไทยเป็นสํวนใหญํ

- เชือกสปันยาร๑น เป็นเชือกเกลียวหยาบ ฟ่ันเป็นเกลียว 3 – 4 เกลียว บางชนิดชุบนํ้ามันดิน
ทําใหเ๎ ชือกอํอนตวั ไมํอมน้ํา ใชส๎ ําหรับอุดรรู ่วั ตํางๆ เชนํ อุดตะเข็บเรอื ขนาดใหญํกอํ นยาเรอื ด๎วยชนั

- เชือกด๎าย ทําจากด๎ายดิบหรือด๎ายฟอก เป็นเชือกที่อํอนตัวมาก ขดเก็บได๎งําย มีสีขาว
มอดปลวกไมํชอบอาศัยกัดกิน ประโยชน๑ใช๎ทําแห อวน สวิง หรือผูกมัดสิ่งของเล็ก มีหลาย
ชนิด ขนาดเลก็ มากๆ ใช๎ในการปกั เยบ็

- เชือกสายล็อค ทําจากปูานอยํางดี ถักเป็นเส๎น ไมํได๎ใช๎ฟ่ันเป็นเกลียวอยํางเชือกชนิดอื่นๆ
ใชท๎ ําสายลอ็ คเคร่ืองวดั ระยะทางเดินเรือ ใช๎ทําบํวงบาศ ชนิดท่ีทําจากใยไนลอนใช๎โรยตัวจาก
ที่สงู ได๎ คณุ สมบัติไมํอมน้ํา ไมํขาดงําย

- เชือกลวด ทําจากโลหะเส๎นเล็กๆ ใช๎ทําลวดสลิงขึงโยงวัตถุตํางๆ คุณสมบัติแข็งแรง ไมํอมนํ้า
ทนทาน รับนํ้าหนักได๎มาก ใช๎ผูกมัดส่ิงของก็ได๎ และเชือกลวดชนิดฟั่นเป็นเกลียวมีไส๎เป็นลวด

104 ค่มู ือส่งเสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลกู เสอื ทักษะชีวิตในสถานศกึ ษา ลูกเสอื โท ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 5

คูม่ อื สง่ เสริมและพัฒนากิจกรรมลูกเสอื ทกั ษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ประเภทลูกเสอื สามญั หลักสตู รลกู เสือโท 97
ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5

แขง็ งอเกบ็ ได๎ยม้ กกี ม�ำีกลงาํั ยลกังยแกลแะลฉะุดฉไดุ ดไม้ ดา๎มกากปรปะรโะยโชยนช์นใชใทช้ ๎ท�ำลําวลดวขดงขึ โึงยโงยสงลสงลิ ยิงยดึ ึสดงสิ่ ติ่ง่าตงํางๆๆ ให๎อ้ ยํูก่ บั ท่ี
เชนํ โยงยดึ เสาไฟฟฺา
- เชือกไนลอน ทําจากเส๎นใยไนลอนซึ่งเป็นใยสังเคราะห๑ คุณสมบัติเหนียวมาก ไมํดูดนํ้าทนตํอ
ดินฟฺาอากาศและความชืน้ มอดปลวกไมํกดั กิน แตมํ ีความยดื ตัวได๎มากกวําเชือกประเภทอื่นๆ
เหมาะใชง๎ านทงั้ บนบกและในนํา้ ขอ๎ เสยี คอื ปมเงอื่ นจะคลายงําย

เงอ่ื นเชอื กตามหลกั สตู รลกู เสอื โลกมีดงั น้ี
เงื่อนพิรอด (Reef Knot)

ประโยชน์ 1. ใช๎ตอํ เชอื กทม่ี ขี นาดเดยี วกนั
2. ใช๎เปน็ เง่ือนในการพยาบาล เชํน ผ๎าผกู พนั แผล
3. ใช๎ผูกปลายเชือกของเงอื่ นกากบาทญ่ปี ูนุ

วิธผี ูก วิธที ี่ 1

ข้นั ท่ี 1 ปลายเชอื กดา๎ นซา๎ ยทบั ดา๎ นขวา
ขัน้ ที่ 2 – 3 อ๎อมปลายเชอื กดา๎ นซา๎ ยลงใต๎เสน๎ เชือกดา๎ นขวาให๎ปลายเชอื กตั้งข้นึ แลว๎ รวบปลาย
เชอื กเขาห้ หาากกนั นั โดโดยยใหใหด๎ ด้ ๎าา้นนขขววาาททบั บั ดด๎าา้นนซซ๎าา้ยย
ขนั้ ท่ี 4 ออ๎ มปลายเชือกขวามอื ลอดใตเ๎ ส๎นซา๎ ยมอื จดั เงอื่ นให๎เรียบร๎อย

วธิ ีผกู วธิ ีท่ี 2 (เงอื่ นพริ อด) เมอปลายเชือกมคี วามแขง็ มาก 105
ขั้นท่ี 1 ขดปลายเชอื กดา๎ นซายงอเปนบวํ ง สอดปลายเชอื กดา๎ นขวาขนึ้ ในบวํ ง
ขน้ั ท่ี 2 ม๎วนเสน๎ ขวามอื ลงออ๎ มดานหลงั ของบวํ ง
ข้ันที่ 3 สอดปลายเชือกเส๎นขวามือลงในบวํ ง แลว๎ จัดเง่ือนให๎เรียบร๎อย

ค9มู่8อื ส่งเสคชรมู่นั้ิมอืปแสรลง่ะะเถสพมรัฒศิมกึ แนษลาาะกปพิจทีฒั กี่ น5รารกมจิ ลกูกรรเมสลอื กู ทเสกั ือษทะกั ชษีวะติ ชใวี นติ สในถสาถนาศนึกศกึษษาา ลปกูระเสเภอื ทโลทกู เชสือั้นสปารมะญั ถมหศลักกึ สษูตารปลีทูกเี่ ส5อื โท

ขนั ที่ 1 ขนั ท่ี 2 ขนั ที่ 3

เงอ่ื นขดั สมาธิ (Sheet Bend)
ประโยชน์ 1. ใช๎ตอํ เชือกทมี่ ขี นาดตํางกัน

2. ใชผ๎ กู กับส่งิ ทีเ่ ป็นขอหรอื เป็นหูอยแูํ ล๎ว เชํน ธงชาติ เปน็ ตน๎

วิธผี ูก ขั้นท่ี 1 งอเชอื กเสน๎ ใหญํให๎เปน็ บํวง สอดปลายเสน๎ เล็กเขา๎ ในบวํ งโดยสอดจากข๎างลําง
ข้ันท่ี 2 ม๎วนเสน๎ เลก็ ลงออ๎ มดา๎ นหลงั เสน๎ ใหญํท้งั คํู
ข้ันที่ 3 จบั ปลายเสน๎ เลก็ ขนึ้ ไปลอดเสน๎ ตัวเองเปน็ การขดั ไว๎ จดั เงอื่ นให๎แนนํ และเรยี บรอ๎ ย

่ื ปเ๎ งรอ่ื ะน๎โยผชูก็ นก์ระ12ห..วเใปชัด็น๎ใไนมเงเ้งอ่ื(ือ่Sนนiผmบกู pกุ สlเeัตบวTิก๑uเโรrดnอื ยaแปnพิดdหไTววั wก๎เงoบั อ่ื หHนลaตกัlะfหกHรรiดุอืtcหเhบํว)็ดงกนั เงอ่ื นตะกรดุ เบ็ดหลุดหรอื คลาย
3. เป็นเงือ่ นที่ผกู งาํ ยแก๎งาํ ย

วิธผี กู ขัน้ ที่ 1 ออ๎ มปลายเชอื กไปคลอ๎ งหลกั หรอื ราวหรอื บวํ ง ใหป๎ ลายเชือกอยขํู ๎างบนเสน๎ เชอื ก
ขนั้ ท่ี 2 สอดปลายเชือกลอดใตเ๎ ชอื กเขา๎ ไป
ขั้นท่ี 3 ออ๎ มปลายเชอื กขา๎ มเสน๎ ที่เป็นบวํ งและเส๎นทีเ่ ป็นตัวเชือก

106 คู่มอื สง่ เสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลกู เสอื ทกั ษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ลกู เสือโท ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 5

คมู่ อื ส่งเสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลกู เสอื ทกั ษะชีวิตในสถานศึกษา ประเภทลกู เสือสามญั หลักสูตรลกู เสือโท 99
ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 5

ขั้นท่ี 4 สอดปลายเชอื กลอดใต๎ตัวเชอื ก เลยข๎ามไปเสน๎ บวํ งจดั เงือ่ นใหเ๎ รียบรอ๎ ย

ขนั ที่ 1 ขันท่ี 2 ขนั ที่ 3 ขนั ท่ี 4

เงอื่ นบ่วงสายธนู (Bowline)

ประโยชน์ 1. เป็นเงอ่ื นท่ไี มรํ ดู เขา๎ ไปรดั สง่ิ ทผี่ ูก จงึ เหมาะทจ่ี ะคล๎องสัตวไ๑ วก๎ ับหลกั ทําใหห๎ มนุ ไดร๎ อบ
2. ใชเ๎ ปน็ บํวงคล๎องชวํ ยคนตกน้ํา ขณะทีล่ ากขน้ึ มาจะไมํรูดเข๎าไปรดั (เวลาลากตอ๎ งจับต๎นคอ
คนตกนา้ํ ใหห๎ งายขน้ึ เพื่อใหจ๎ มกู พ๎นนํา้ )
3. ใช๎คล๎องคนหยํอนจากทส่ี งู หรือดงึ จากทตี่ ่าํ ขนึ้ ท่สี งู

วิธีผูก วธิ ที ่ี 1 ทําบํวงนอกตวั (เพอื่ ชํวยเหลอื หรือคลอ๎ งผ๎ูอื่น)
ขั้นที่ 1 ขดเชือกใหเ๎ ปน็ บวํ งคลา๎ ย เลข 6 ถอื ไว๎ดว๎ ยมอื ซา๎ ย
ขั้นท่ี 2 มือขวาจบั ปลายเชือกสอดเข๎าไปในบํวง (สอดจากดา๎ นลําง)
ข้ันท่ี 3 จับปลายเชอื กอ๎อมหลงั ตวั เลข 6 แล๎วสอดปลายลงในบวํ งหัวเลข 6 จดั เง่ือนให๎แนํนและ
เรยี บร๎อย

ขนั ท่ี 1 ขนั ที่ 2 ขันท่ี 3

วธิ ีท่ี 2 (เงอ่ื นบํวงสายธนู) เปน็ การผกู หํวงในตวั เพื่อชํวยเหลอื ตนเอง
ขน้ั ท่ี 1 ใชม๎ ือซ๎ายจบั เชือกใหเ๎ หลอื สวํ นปลายเชือกประมาณ 1 เมตร มือขวาออ๎ มไปหลงั จบั ปลาย
เชือกขน้ึ มาจนเปน็ บํวงคลอ๎ งลําตวั ปลายเชอื กอยํบู นเส๎นเชือก
ขนั้ ท่ี 2 พลิกขอ๎ มือขวาเข๎าหาตัว ตักเชือกจากมือซ๎าย (2ก) จนตัวเชือกเข๎าไปคล๎องข๎อมือขวา
เป็นบํวงเลข 6 (2ข)

1ค0ู่ม0ือส่งเสคชรู่มั้นมิ ือปแสรลง่ะะเถสพมรฒัศิมึกแนษลาาะกปพิจีทฒั กี่ น5รารกมิจลกกูรรเมสลอื ูกทเสกั อื ษทะักชษวี ะติ ชใวี นติ สในถสาถนาศนกึศกึษษาา ลปกูระเสเภือทโลทกู เชสือั้นสปารมะัญถมหศลักึกสษูตารปลทีูกเี่ ส5ือโท 107

ข้ันท่ี 3 สอดปลายเชอื กออ๎ มลอดใตเ๎ สน๎ มือซ๎าย มือซา๎ ยแลว๎ ดึงลงในชํองหมายเลข 6 ชักมือขวา
ออกจากบํวงเลข 6 พร๎อมดงึ ปลายเชอื กมอื ซา๎ ยถึงเชือกจัดเงือ่ นให๎เรยี บรอ๎ ย

เง่ือนตะกรดุ เบด็ (Clove Hitcขhัน)ท่ี 1 ขันที่ 2 ขนั ที่ 3

ประโยชน์ 1. เง่อื นตะกรดุ เบ็ดใช๎ในการผกู แนํน เชนํ ผูกกากบาท
2. ใชผ๎ ูกโยง เรอื แพ สตั วเ๑ ลยี้ งไวก๎ ับเสาหรอื รว้ั

3. ใช๎ทาํ บนั ไดเชือก บนั ไดลงิ

วิธีผกู วิธที ่ี 1 (เมอ่ื สามารถทาํ เป็นหวํ งสวมหัวเสาได)๎

ขัน้ ที่ 1 พักเชอื กใหเ๎ ปน็ บวํ งสลบั กัน (ดงั รูป)
ขน้ั ที่ 2 เลอื่ นบํวงใหเ๎ ข๎าไปซอ๎ น (รูป ก.) จนทบั กันเปน็ บวํ งเดยี ว (รปู ข.)

ข้นั ท่ี 3 นําบํวงจากขน้ั ที่ 2 ข. สวมลงในเสาแล๎วดึงปลายเชอื กจดั เงอ่ื นให๎แนํ

วิธีที่ 2 ขนั ที่ 1 ขันที่ 2 ขันท่ี 3
(เง่ือนตะกรดุ เบด็ )

เมอ่ื ตอ๎ งการผูกกับหลกั เสา ต๎นไม๎ ซง่ึ ไมสํ ามารถทําเป็นบํวงไปสวมกบั วิธีท่ี 1 ได๎

(วิธีนี้ใชม๎ าก ลกู เสอื ตอ๎ งฝกึ ให๎คลอํ งทั้งสภาพเสาทีต่ ัง้ อยํู หรือคานทอ่ี ยใูํ นแนวนอน)

ขั้นท่ี 1 พาดปลายเชอื กออ๎ มหลกั ไปดา๎ นหลงั วกกลบั มาด๎านหนา๎ ใหป๎ ลายเชือกอยํใู หต๎ วั เชือก

ข้นั ท่ี 2 ยกปลายเชือก พรอ๎ มที่ออ๎ มหลงั อกี คร้งั หนึง่

ข้ันท่ี 3 อ๎อมปลายเชอื กไปดา๎ นหลังแลว๎ วกกลับมาด๎านหนา๎ ลอดตวั เอง จดั เงอื่ นใหเ๎ รยี บรอ๎ ย

คมู่ ือสง่ เสริมและพฒั นากิจกรรมลูกเสอื ทักษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสอื สามญั หลักสตู รลกู เสือโท 101
ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 5

108 คู่มือสง่ เสรมิ และพัฒนากิจกรรมลูกเสอื ทกั ษะชีวติ ในสถานศึกษา ลกู เสอื โท ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 5

ขนั ที่ 1 ขันท่ี 2 ขนั ที่ 3 ด้านหลงั

เงอ่ื นประมง (Fisherman’s Knot)
ประโยชน๑ เป็นเงอื่ นท่ใี ชต๎ อํ เชอื กสองเสน๎ ขนาดเดยี วกันอยํางงาํ ยทสี่ ุด และรับกําลงั ลากได๎อยาํ งดี

บางคน เรยี กวาํ เงอื่ นหัวล๎านชนกนั

วิธผี ูก ขน้ั ที่ 1 ใหป๎ ลายเชอื กซอ๎ นกนั ดงั รูป

ขนั้ ท่ี 2 ผกู ปลายเชอื ก ก. รอบตัวเชือก A ดว๎ ยผูกขดั ชั้นเดยี วธรรมดา
ขั้นท่ี 3 ผูกปลายเชอื ก ข. รอบตวั เชือก B
ข้นั ท่ี 4 ดงึ เส๎นเชือก A, B ให๎ปมเงอื่ นเข๎าไปชนกนั

เงือ่ นผูกซงุ (A Timber Hitch) 109
ประโยชน์ 1. ใชผ๎ กู ซุงหรือเสาหนกั ๆ เพื่อลาก

2. ผูกสัตว๑ เรอื แพ ไวก๎ บั หลกั จะยิง่ แนนํ เมื่อถกู ดึง
3. ใช๎เปน็ เงือ่ นเรม่ิ ตน๎ ในการผูกทแยง
วิธผี กู ข้นั ที่ 1 สอดเชอื กให๎คลอ๎ งรอบตน๎ ซุงหรือเสา
ขนั้ ที่ 2 งอปลายเชอื กคล๎องตัวเชือก

1ค0่มู 2อื ส่งเสคชรมู่้ันมิ ือปแสรลง่ะะเถสพมรัฒศิมกึ แนษลาาะกปพิจีทฒั กี่ น5รารกมิจลกกูรรเมสลอื กู ทเสกั ือษทะักชษีวะิตชใีวนติ สในถสาถนาศนึกศกึษษาา ลปกูระเสเภอื ทโลทูกเชสอืั้นสปารมะัญถมหศลักกึ สษูตารปลีทกู เี่ ส5อื โท

ขน้ั ท่ี 3 พันปลายเชอื กรอบเสน๎ ตวั เอง 3 – 5 รอบ ดึงตวั เชอื ก A ให๎เงื่อนแนนํ

เง่อื นผูกรั้ง (Tar buck Knot)
ประโยชน์ ใชผ๎ ูกสายเตน็ ทย๑ ดึ เสาธงเพอ่ื กนั ลม๎ ใชร๎ ง้ั ต๎นไม๎เป็นเงอ่ื นเลอ่ื นใหต๎ งึ และหยอํ นได๎
วธิ ีผูก ข้นั ที่ 1 นาํ เชอื กคลอ๎ งกบั หลังเสาหรือบวํ ง

ขั้นที่ 2 ใชป๎ ลายเชือกพันเชอื กเสน๎ ยาว โดยพนั ปลายเกลียวประมาณ 3 – 4 เกลียว พันลงมา
ทางดา๎ นเป็นหวํ ง

ขั้นที่ 3 ดึงปลายเชือกขนึ้ ไปดา๎ นบน แลว๎ พนั กบั เชอื กเสน๎ ยาวดา๎ นบนเพอ่ื กนั ไมใํ หเ๎ กลยี วเชือกหลดุ

เงอื่ นหมายเลข 8 หรอื ปมตาไก่
ประโยชน์ 1. ใช๎ผูกปลายเชือกให๎เปน็ ปม

2. ใช๎ผูกแทนการพันหัวเชือกชั่วคราวเอาตัวเชือกทําเป็นบวํ ง c ทับปลาย a แล๎วอ๎อมเชอื ก a
อ๎อมออกมาทบั บวํ ง c สอดปลาย b เข๎าในบวํ ง c ดงึ ปลาย a และ b จะเกดิ ปม

ค่มู อื สง่ เสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลูกเสอื ทักษะชวี ติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลูกเสือสามญั หลกั สูตรลกู เสือโท 103
ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5

แผนการจดั กจิ กรรมลูกเสอื สามญั ลกู เสือโท ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 5

แผนการจดั กจิ กรรมลูกเสอื สามญั ลูกเสือโท ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 5
หน่วยท่ี 5 ทักษะในทางวิชาลกู เสอื
แผนการจดั กิจกรรมท่ี 17 การผกู เงื่อนท่ใี ชใ้ นชีวิตประจาวัน เวลา 1 ชว่ั โมง

1. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

1.1 สามารถผกู เงอ่ื นประมง เง่อื นผกู รนํ เง่ือนผกู คนลากได๎
1.2 สามารถผูกเงอื่ นขดั สมาธิ หรอื เง่อื นขัดสมาธิ 2 ชนั้ ได๎
1.3 สามารถผกู เงอ่ื นผูกซงุ เงอื่ นตะกรดุ เบ็ด เงอื่ นผูกรงั้ ได๎

2. เนอ้ื หา

2.1 การผกู เงอ่ื นโดยใชเ๎ ชือกท่ีมขี นาดเดยี วกนั เชนํ เงื่อนประมง เงอ่ื นผูกรนํ เง่อื นผูกคนลาก
2.2 การผูกเงอื่ นโดยใชเ๎ ชือกทีม่ ขี นาดตาํ งกัน เชนํ เงือ่ นขดั สมาธิ ขดั สมาธิ 2 ชนั้
2.3 การผกู เงอื่ นโดยใช๎เชอื กกับวัสดอุ ยาํ งใดอยาํ งหน่ึง เชํน เง่อื นผกู ซงุ เงอื่ นตะกรดุ เบด็ เงื่อน
ผูกร้ัง

3. สอื่ การเรียนรู้

3.1 แผนภมู เิ พลง
3.2 แผนภูมิขัน้ ตอนการผูกเงอื่ นประมง เงอ่ื นผกู รนํ เงอ่ื นผกู คนลาก เง่ือนขัดสมาธิ เงอ่ื นขดั สมาธิ 2 ชน้ั

เงื่อนผกู ซงุ เงอื่ นตะกรุดเบด็ และเงอ่ื นผกู รัง้
3.3 เชือกประจํากายสาํ หรบั ใชผ๎ กู เงอ่ื น และเชือกสาํ หรับสาธิตการผูกเงอื่ น
3.4 เชอื กสําหรับผูกเง่ือน

3.5 เรอ่ื งสนั้ ทเ่ี ป็นประโยชน์

คู่มอื ส่งเสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลกู เสอื ทกั ษะชีวติ ในสถานศึกษา ลกู เสือโท ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 5 111

104 คู่มือส่งเสริมและพฒั นากิจกรรมลกู เสือทกั ษะชีวติ ในสถานศึกษา ประเภทลกู เสือสามัญ หลกั สูตรลูกเสือโท
ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5

3.5 เร่ืองสัน้ ทเี่ ปน็ ประโยชน๑

4. กิจกรรม

1) พธิ เี ปิดประชุมกอง (ชกั ธงขึน้ สวดมนต๑ สงบนง่ิ ตรวจ แยก)
2) เพลง หรอื เกม
3) กิจกรรมตามจดุ ประสงค๑การเรยี นรป๎ู ระสงค๑

1) ผก๎ู าํ กับลกู เสอื และลูกเสอื ชวํ ยกนั อภิปรายถึงประโยชนข๑ องเชอื กในชีวิต ประจําวัน และ
การใชเ๎ ชือกขนาดตาํ งๆ

2) แบงํ หมลูํ ูกเสอื เรยี นตามฐาน ใหผ๎ ก๎ู าํ กบั อธบิ ายและสาธิตแลว๎ ใหล๎ ูกเสอื ปฏบิ ตั ิ ดงั นี้
ฐานที่ 1 เงอื่ นผกู คนลาก เงอื่ นผกู ซุง
ฐานท่ี 2 ผกู เงอื่ นขดั สมาธิ เงอื่ นขดั สมาธิ 2 ชั้น
ฐานท่ี 3 เง่ือนตะกรุดเบ็ด เงอ่ื นประมง
ฐานที่ 4 เง่อื นผูกรํน เง่ือนผกู ร้งั

4) ผ๎กู าํ กบั ลกู เสอื เลาํ เรอ่ื งส้ันทีเ่ ป็นประโยชน๑
5) พธิ ีปิดประชุมกอง (นดั หมาย ตรวจเครือ่ งแบบ ชักธงลง เลิก)
5. การประเมนิ ผล
5.1 สงั เกต การรวํ มกิจกรรม
5.2 ทดสอบการผูกเงอื่ น

6. คุณธรรม
6.1 ความพอเพยี ง
6.2 ซอื่ สตั ยส๑ จุ ริต
6.3 รบั ผดิ ชอบ
6.4 ความกตัญ๒ู
6.5 อดุ มการณ๑คณุ ธรรม

ภาคผนวกประกอบแผนการจัดกจิ กรรมท่ี 17

เพลง ปา่ ดงพงพี

112 คมู่ ือส่งเสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลกู เสือทกั ษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ลูกเสอื โท ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 5

คูม่ ือส่งเสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลูกเสือทักษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสอื สามญั หลักสตู รลกู เสือโท 105
ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 5

6.5 อดุ มการณ๑คณุ ธรรม

ภาคผนวกประกอบแผนการจดั กิจกรรมที่ 17

เพลง

ป่าดงพงพี

ปาู ดงพงพขี องไทยเรานี้มีมากเกนิ พอ อยาํ มวั รีรอเชญิ ชวนชํวยกนั
112 ขคมู่มขี อื มสันง่ เสถร่นิ ิมไแทลยะพนัฒีแ้ ดนนากสจิ ขุ กสรนัรมตล๑ ูกเสอื ทักษะชวี ติ ในสถหานลศากกึ ษพานั ลธูก๑ุไเมสง๎อื าโมทสชดน้ั สปี ระถมศกึ ษาปีท่ี 5

ตน่ื เถดิ เรายามเชา๎ มุงํ งานทนั ที จอบและเสยี มของเราก็มี

สนิ ทรัพย๑ทวดี ว๎ ยการกสิกรรม (ซ๎าํ )

ปาู ดงพงพีของไทยเราน้ีอดุ มครนั อยูํในไพรวัลยร๑ ักคนื ถิ่นไทยใจหรรษา
แหลํงธารนา๎ํ ซํานหลง่ั ไหล
หวํางไพรนี้งามหนักหนา
ถ่ินแดนทองเรานคี้ วรปองคณุ คํา
หม่ันขยันทกุ วนั เวลา

สินทรัพยไ๑ ดม๎ าดว๎ ยการกสิกรรม (ซา้ํ )

ใบความรู้

เงือ่ นประเภทตา่ ง ๆ
เงือ่ นปมตาไก่ ( A Figure of Eight Knot)

ใช๎ขมวดปลายเชือกให๎เปน็ ปม ถ๎าตอ๎ งการปมขนาดใหญใํ ห๎ขมวดหลายๆคร้งั

ประโยชน์
1. ใช๎ผูกปลายเชอื กใหเ๎ ปน็ ปม เพอ่ื ให๎ถนดั ในการถือหรอื ห้ิว
2. ใชผ๎ ูกกันหวั เชือกลุยํ ชวั่ คราว

วธิ ผี กู
ใช๎ปลายเชือกด๎านหนึ่งวางทับบนตัวเชือก แล๎วพันรอบตัวเชือก 2 รอบ จากนั้นสอดปลาย

เชือกเขา๎ ในบํวงแล๎วดึงปลายเชอื กอีกด๎านหนงึ่ ให๎ตงึ

เงอื่ นผูกซงุ ( Timber Hitch )
106 คชู่มั้นอืปใสชรง่ะ๎สเถสํามรหศมิ กึรแษลับาะผปพูกทีัฒ่ีสน5ิ่งากขจิ อกงรตรมาํ ลงกู เๆสือใหทักย๎ ษดึ ะตชวีดิ ิตกในันสแถนานนํ ศกึ เษปาน็ ปเรงะื่อเภนททล่ีผูกเกู สงอื สาํ ายมญัแกห๎งลํากั ยสูตแรลตูกยํ เส่ิงอื ดโทงึ ย่งิ แนนํ

วิธผี ูก

ใช๎ปลายเชือกด๎านหน่ึงวางทับบนตัวเชือก แล๎วพันรอบตัวเชือก 2 รอบ จากนั้นสอดปลาย
เชือกเขา๎ ในบํวงแลว๎ ดึงปลายเชอื กอกี ด๎านหนง่ึ ใหต๎ งึ

เงื่อนผูกซุง ( Timber Hitch )
ใช๎สําหรบั ผูกสง่ิ ของตาํ ง ๆใหย๎ ดึ ตดิ กันแนนํ เปน็ เง่อื นทผ่ี กู งาํ ย แกง๎ าํ ย แตยํ งิ่ ดงึ ยิ่งแนํน

ประโยชน์ 113
1. ใช๎ผกู สัตว๑ เรอื หรอื แพ ไวก๎ บั หลกั
2. ใชม๎ ดั ลากวตั ถุทรงกระบอก หรือทรงกลม เชํน ลากซงุ

คมู่ ือส่งเสริม3แ.ละใพชัฒ๎ผนูกาหกินจิ กแรทรนมสลมูกเอสเอื รทอื ักหษระชอื วีใิตชใ๎ผนูกสกถับานหศินกึ แษทานลสกู มเสอือบโกทกช็ไ้นัดป๎ ระถมศกึ ษาปที ี่ 5
4. ใช๎เปน็ เง่ือนเริ่มตน๎ ในการผูกทแยง

วธิ ผี ูก
ใช๎ปลายเชอื กด๎านหน่ึงพันรอบไม๎ 1 รอบ แล๎วพนั ทับตัวเชือกตามรูป จากน้ันดึงปลายเชือก

อีกดา๎ นหนง่ึ ให๎ตึง

เงอื่ นผูกร้งั (Tarbuck Knot)
ใช๎ผูกยึดกับสงิ่ อ่นื มลี ักษณะพิเศษคอื สามารถปรบั ใหต๎ งึ หรอื หยํอนได๎ตามความต๎องการ

ประโยชน์ 1. ใช๎ผูกยึดสายเต็นท๑ เสาธง สมอบก
2. ใช๎ผกู รัง้ ตน๎ ไม๎
3. ใช๎ผกู กับหํวงตาํ ง ๆ

วธิ ผี ูก
คล๎องเชือกรอบหลกั แล๎วสอดปลายเชือกพันเกลยี วยอ๎ นกับเชือกเส๎นหลกั 3 รอบ ใชป๎ ลายเชอื ก

เดิมสอดลงใต๎เชอื กเสน๎ หลัก แลว๎ ยอ๎ นขึ้นในบวํ งที่เกิดข้ึนใหมํ จากน้ันดึงให๎แนนํ

เงือ่ นประมง (Fisherman's Knot)
ใช๎สาํ หรบั ตํอเชือกท่ีมขี นาดเดียวกนั รจ๎ู กั กันท่ัวไปอกี ชอ่ื หนง่ึ วาํ เงอ่ื นหวั ล๎านชนกนั

114 ค่มู ือคสมู่ ่งเือสสร่งิมเแสลระิมพแัฒลนะาพกฒัิจกนรรามกลิจูกกเสรอืรมทกัลษูกะเชสีวือติ ทใักนสษถะาชนวี ศติ ึกใษนาสปถราะนเภศทกึ ลษูกาเสลือสูกาเมสชญัอื นั้ โปทหรละกัชถส้ันมูตศปรกึ รลษะูกาถเปสมอืที ศโี่ ท5กึ ษาปีท1่ี057

เงอื่ นประมง (Fisherman's Knot)
ใชส๎ าํ หรบั ตอํ เชอื กทมี่ ขี นาดเดยี วกนั รจ๎ู กั กันท่ัวไปอกี ช่ือหนง่ึ วาํ เงอื่ นหวั ลา๎ นชนกนั

ปร1ะ1โ4ยชน์ 1. คใใชชู่มต๎ือต๎ อํสอํ ่งเเชเชสอื อืรกมิกทแทลมี่ มี่ ะีขขีพนนฒั าานดดาเเกลทิจ็กํากเกชรนัรนํ มลสกู าเยสเอื บทด็ ักษสะาชยวี เติ อใน็ นสถานศกึ ษา ลูกเสอื โท ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 5
2.

3. ผูกคอขวดสาํ หรบั เป็นท่ถี อื ห้วิ

4. ใช๎ตํอเชือกที่มขี นาดใหญํ เพ่อื ใชล๎ ากจูงเพราะสามารถรบั กาํ ลงั ลากไดด๎ ี

วิธีผูก นาํ เชอื ก 2 เสน๎ (a และ b) พันกันตามลกู ศรในรปู ที่ 1 ทําให๎เกดิ ปมเชือก 2 ปม ( a และ b)

จากนน้ั ดงึ เชือกท้งั 2 เส๎นใหป๎ ม a และ b เลอ่ื นเขา๎ หากนั เชอื กทงั้ 2 เสน๎ จะตํอกนั แนนํ

เรื่องส้ันทเี่ ป็นประโยชน์ ไมเ่ ช่อื ฟงั ผูใ้ หญ่

ในกาลครั้งหน่ึงมีพํอค๎าเกวียนคนหนึ่งพาบริวารออกไปค๎าขาย และได๎พักอยูํที่ตําบลหนึ่งใน
ตําบลแหํงน้ีมีบํอเกํา ๆ อยํูบํอหน่ึงแตํไมํมีนํ้า พํอค๎าจึงพากันขุดเพื่อจะได๎นํ้าพอกินครั้นขุดลึกลงไปก็
พบ แก๎วไพฑูรย๑ เป็นจํานวนมาก แมจ๎ ะไดม๎ ากเพยี งใดก็ยงั ไมํพอความตอ๎ งการของบรรดาบริวารจึงขุด
ลึกลงไปอีก พํอค๎าหัวหน๎าเห็นอัศจรรย๑เชํนนี้จึงพูดวํา “พวกเราควรจะพอกันเสียที เราได๎มากมายพอ
ความตอ๎ งการแลว๎ ไมํควรขดุ ตํอไปอีกจะโลภไปถงึ ไหนกัน” บรรดาบริวารไมํเช่ือฟังจงึ ขดุ ลึกลงไปอีก

จนกระทงั่ ดินทะลถุ ึงถ่ินทอ่ี ยูํพญานาค พญานาคเห็นมนุษย๑มารบกวนเชํนนั้นก็โกรธพํนพิษขึ้นมา

ใสํบรวิ ารพอํ คา๎ จนถึงแกคํ วามตหามยดหมด คงเหลือแตํพํอค๎าหัวหน๎าคนเดียว ตํอมาพญานาคได๎ปลอมตัว
เปน็ บุรษุ ผ๎ูหน่งึ มาหาพอํ คา๎ แลว๎ ถามวาํ “เกดิ เร่ืองอะไรหรือ”พํอคา๎ ก็เลาํ เรือ่ งให๎ฟังโดยตลอดพญานาคได๎
ฟังดังน้นั ก็เปรยขึ้นวํา “เพราะความโลภแท๎ๆ เอาเถอะฉันจะขนแก๎วไพฑูรย๑ไปให๎เราแบํงกันคนละคร่ึง”
พํอค๎ายอมตาม พญานาคพาพํอคา๎ ไปสงํ ถงึ บา๎ น แล๎วกลับไปอยํูท่ีของตน พํอค๎ากลายเป็นคนร่ํารวยเอา
ทรพั ย๑ออกมาทําบญุ ทาํ ทานเพ่ือกศุ ลผลบุญในภายภาคหน๎า

เรอ่ื งนส้ี อนให้รู้วา่ ลกู เสือและเนตรนารเี ม่อื ไดฟ๎ งั เร่อื งราวเชํนน้ีแล๎ว จงตระหนกั อยูเํ สมอวํา
เราจะต๎องเชอ่ื ฟังคําส่งั ของผ๎ูบังคบั บัญชาหรือผใ๎ู หญํอยูํเสมอ

108 คู่มอื ส่งเสรมิ และพฒั นากิจกรรมลูกเสอื ทักษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลูกเสือสามญั หลกั สตู รลูกเสอื โท
ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 5

คมู่ ือส่งเสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลกู เสือทกั ษะชีวติ ในสถานศึกษา ลกู เสอื โท ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 115

แผนการจดั กิจกรรมลูกเสือสามญั ลกู เสอื โท ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5
หนว่ ยท่ี 5 ทักษะในทางวิชาลกู เสือ

แผนการจดั กจิ กรรมที่ 18 การผูกแนน่ เวลา 1 ช่วั โมง

1. จุดประสงค์การเรียนรู้
1.1 ลกู เสือสามารถผูกแนนํ แบบตํางๆ ได๎
1.2 บอกประโยชนข๑ องการผกู แนนํ แบบตํางๆ ได๎

2. เน้ือหา
การผกู แนนํ

2.1 ผกู ประกบ ประกบ 2 ประกบ 3 ประกบ 4
2.2 ผกู ทแยง
2.3 ผกู กากบาท
2.4 ตํอเชอื ก ตํอยาว ตํอสนั้

3. สือ่ การเรียนรู้
3.1 แผนภูมเิ พลง
3.2 แผนภูมขิ น้ั ตอนการผกู แนํนแบบตํางๆ
3.3 ไมพ๎ ลอง หรอื ไมไ๎ ผํ
3.4 เชือกประจํากาย
3.5 เรือ่ งส้ันที่เป็นประโยชน๑

4. กจิ กรรม
4.1 พิธีเปิดประชมุ กอง (ชักธงขน้ึ สวดมนต๑ สงบนง่ิ ตรวจ แยก)
4.2 เพลง หรอื เกม
4.3 กิจกรรมตามจดุ ประสงคก๑ ารเรยี นรู๎

1) ผ๎กู าํ กับลกู เสอื และลกู เสอื ชวํ ยกันอภปิ รายถงึ ประโยชนข๑ องเชอื กในชวี ติ ประจาํ วัน
2) แบํงหมลูํ กู เสอื เรยี นตามฐาน ให๎ผ๎กู าํ กบั อธบิ ายและสาธิตแล๎วให๎ลกู เสอื ปฏบิ ัติ ดังนี้

ฐานที่ 1 การผกู ประกบและประโยชน๑
ฐานท่ี 2 การผกู ทแยงและประโยชน๑
ฐานที่ 3 การผกู กากบาทและประโยชน๑
4.4 ผ๎ูกํากบั ลกู เสอื เลําเรื่องสัน้ ท่เี ปน็ ประโยชน๑

4.5 พธิ ีปดิ ประชมุ กอง (นดั หมาย ตรวจเครือ่ งแบบ ชกั ธงลง เลิก)

116 คมู่ ือส่งเสริมและพัฒนากจิ กรรมลกู เสอื ทกั ษะชวี ติ ในสถานศึกษา ลูกเสือโท ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 5

คมู่ อื ส่งเสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลูกเสอื ทักษะชวี ติ ในสถานศึกษา ประเภทลูกเสือสามญั หลักสตู รลกู เสอื โท 109
ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5

5. การประเมินผล
5.1 สงั เกต การรํวมฝึกปฏิบตั ิ
5.2 ทดสอบการผกู แนํนแบบตาํ ง ๆ

6. คณุ ธรรม

6.1 ความพอเพียง
6.2 ความซอ่ื สตั ย๑สจุ รติ
6.3 ความรบั ผดิ ชอบ
6.4 ความกตญั ๒ู
6.5 อดุ มการณค๑ ุณธรรม

ภาคผนวกประกอบแผนการจดั กจิ กรรมท่ี 18
เพลง

เงอ่ื น

เงื่อน คอื เชอื กทผ่ี ูกเป็นปมไว๎ เงื่อนนาํ ไปใช๎ประโยชน๑ได๎ตํางๆ กนั
ผูกช่วั คราว เราผูกเงอ่ื นกระหวัดไม๎ ผูกถาวรตอ๎ งใช๎บวํ งสายธนูมน่ั
เงือ่ นพิรอดใชต๎ ํอเงอ่ื นขนาดเทาํ กนั เง่ือนขดั สมาธนิ ้นั ตอํ เชอื กตํางขนาดเอย

เร่ืองสัน้ ทีเ่ ปน็ ประโยชน์

ที่พงึ่

ท่ีพง่ึ ของคนมอี ยํู 2 อยาํ ง คือ ทพี่ ่ึงภายนอกอยาํ งหน่งึ ทพี่ ึ่งภายในอยาํ งหนงึ่
ท่พี ่ึงภายนอก ได๎แกมํ คี นเปน็ ทพ่ี งึ่ เชนํ พง่ึ บดิ ามารดา ครูอาจารย๑ ญาติพี่น๎อง พวกพ๎องเพื่อนฝูง
เป็นต๎น สํวนท่ีพึ่งภายใน ได๎แกํ มีธรรมเป็นที่พึ่ง คือ มีคุณความดีในตัวจนเป็นท่ีพ่ึงของตนได๎ เชํน
มคี วามประพฤติดี ความรด๎ู ี ความเพยี รดี ความรจ๎ู ักประมาณตนเองในการดาํ รงชีวิต เปน็ ต๎น

ท่พี งึ่ ทง้ั สองอยํางน้ี พระพุทธองค๑ทรงสอนให๎ทุกคนพยามยึดท่ีพึ่งภายใน โดยอยํามํุงหวังที่พ่ึง
ภายนอกใหม๎ ากนัก เพราะทพ่ี งึ่ ภายนอกยอํ มเปน็ ทพี่ ึ่งของคนไดไ๎ มตํ ลอด เชํน บดิ า มารดา แมท๎ ํานจะรกั
และเมตตาหวังดีตํอเราอยํางมากมาย แตํทํานไมํอาจอยูํยั่งยืนตลอดไป หรือญาติพี่น๎อง เพ่ือนฝูงก็
เชนํ กนั แมว๎ ําพงึ่ กันได๎บา๎ ง แตพํ งึ่ ไดใ๎ นยามทยี่ งั รกั และนับถอื กนั อยูํ แตํในยามท่โี กรธกัน เกลยี ดกันก็พ่ึง
กันไมํได๎ สํวนการพงึ่ คุณธรรมความดีนัน้ เทํากบั พึ่งตนเองฉะนัน้ จึงควรมํงุ พ่ึงตนเองดีกวําจะมุํงหวงั ผ๎ูอ่ืน
เพราะทีพ่ ึง่ อื่นอนั ใดจะดีเกนิ ไปกวาํ ท่ีพึง่ ตนเองนนั้ ไมมํ ี

เรอื่ งน้ีสอนให้รวู้ า่ ตนเองเปน็ ที่พึง่ แหํงตน

คูม่ อื ส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมลกู เสอื ทักษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ลกู เสือโท ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 5 117

110 คู่มอื สง่ เสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลูกเสือทกั ษะชวี ติ ในสถานศึกษา ประเภทลูกเสือสามญั หลักสูตรลกู เสอื โท
ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 5

ใบความรู้

การผูกแนน่

การผกู แนํนเป็นการผกู วตั ถุให๎ตดิ แนํนเขา๎ ด๎วยกัน โดยใช๎เชอื กหรอื วัสดุทคี่ ล๎ายเชอื ก แบงํ ออกเป็น 3
ประเภท

1. ผกู ประกบ (sheer Lashing)
2. ผูกกากบาท (square Lashing)
3. ผูกทแยง (Diagonal Lashing)

ผูกประกบ (sheer Lashing)
เปน็ การผูกไม๎ทอํ นทว่ี างขนานกนั ให๎แนํน สามารถผูกได๎หลายวธิ ี ทีน่ ิยมได๎แกํ ผูกประกบ

2 ทํอน และผกู ประกบ 3 ทํอน
ประโยชน์ 1. ใช๎ตอํ ไม๎หลาย ๆ ทอํ นให๎ยาวออกไป

2. ใช๎ผูกตํอไม๎ในการกอํ สรา๎ ง
3. ใชผ๎ ูกตอํ พลองทาํ เสาธงลอย
วธิ ีผกู ผกู ประกบ 2 ทอ่ น

1) นําไม๎ที่จะตํอมาวางช๎อนขนานกันตรงปลายที่จะตํอ ระยะซ๎อนประมาณ ¼ ของความยาวไม๎
หรือเสา เริ่มจากผูกเง่ือนตะกรุดเบ็ดกับไม๎ทํอนหน่ึง แล๎วบิดพันปลายเชือกเข๎ากับตัวเชือก(แตํงงานกัน)

ใช๎ลม่ิ ยดั ระหวาํ งทอํ นไม๎
2) พันเชือกรอบไม๎ท้ัง 2 ทํอนให๎เชือกเรียงกัน ความหนาของเชือกที่พันมีขนาดกว๎างเทําความ

กว๎างของไม๎ 2 ทอํ นรวมกัน แล๎วสอดเชอื กเขา๎ ตรงกลางระหวํางไม๎ 2 ทํอน พนั หักคอไกํ (พันรอบเส๎นเชือก
ชวํ งทอ่ี ยูรํ ะหวํางไม๎ 2 – 3 รอบ แลว๎ ดงึ ให๎แนํน)

3) ผกู ปลายเชือกเป็นเงื่อนตะกรุดเบ็ดบนไมอ๎ ีกทอํ นหนึ่งที่ไมํใชํอนั เริ่มต๎นผูก

หมายเหตุ รูป 6 ไมมํ หี ักคอไกํ แตํใช๎ลิม่ อัด ทาํ ให๎เชือกที่ผูกไวร๎ ัดแนนํ

118 ค่มู ือส่งเสริมและพฒั นากิจกรรมลกู เสือทกั ษะชีวิตในสถานศกึ ษา ลูกเสือโท ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5

คู่มอื สง่ เสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลกู เสือทกั ษะชวี ติ ในสถานศึกษา ประเภทลกู เสอื สามญั หลกั สตู รลกู เสอื โท 111
ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5

ผูกประกบ 3 ท่อน (Tripod Lashing) มี 2 วิธี

12

วิธีท่ี 1 ผูกตะกรุดเบด็ ท่ีเสาหลัก(ต๎นกลาง) เอาปลายเชอื กบดิ ขวั้นเขา๎ ดว๎ ยกนั แล๎วพนั เชือกรอบเสา
ท้ัง 3 ตน๎ ให๎มคี วามกวา๎ งของเชือกท่ีพนั อยาํ งนอ๎ ยเทาํ กับเส๎นผําศนู ยก๑ ลางของเสาหลัก ปลายเชอื กพนั
หักคอไกํแล๎วดงึ ใหแ๎ นํน จากน้ันผูกปลายเชือกดว๎ ยเงื่อนตะกรดุ เบ็ดที่เสาต๎นรมิ

12

วธิ ที ่ี 2 ผกู ตะกรุดเบ็ดที่เสาตน๎ รมิ ต๎นหนงึ่ ปลายเชือกพันแตํงงานกัน จากน้ันพันเชือกรอบเสาท้ัง 3 ต๎น
สลับเป็นเลข 8 ให๎มีความกว๎างอยํางน๎อยเทํากับเส๎นผําศูนย๑กลางของเสาหลัก ตามด๎วยพันหักคอไกํ
ระหวาํ งเสาทั้ง 2 ชอํ ง รัดจนแนนํ ดแี ล๎ว จึงผูกเง่อื นตะกรุดเบด็ ทีเ่ สาต๎นริมท่เี ปน็ คนละต๎นกบั ต๎นแรก

คู่มอื ส่งเสรมิ และพัฒนากิจกรรมลูกเสือทกั ษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ลกู เสอื โท ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 5 119

112 คู่มือสง่ เสริมและพฒั นากิจกรรมลกู เสอื ทักษะชีวิตในสถานศึกษา ประเภทลูกเสือสามญั หลักสูตรลกู เสือโท
ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5

ผกู ทแยง (Diagonal Lashing)
เป็นการผกู ทอํ นไม๎ทีไ่ ขวก๎ นั อยูํให๎ตดิ แนนํ เขา๎ ดว๎ ยกัน เชนํ ผกู น่งั ร๎านในการกํอสร๎าง ผูกตอมอํ

สะพาน สรา๎ งทพี่ กั อาศัยด๎วยไมไ๎ ผํ เป็นตน๎

ประโยชน์ 1. ใช๎ผกู น่ังร๎านในการกอํ สร๎างใหเ๎ กิดความม่นั คง
2. ใช๎ผกู ไมค๎ ้ํายันเสาเพอื่ ปฺองกนั เสาลม๎
3. ใช๎ผูกตอมํอเสาสะพาน

วธิ ผี กู ใชเ๎ ชอื กพันรอบเสาไม๎ทัง้ 2 ต๎น ตรงระหวาํ งมมุ ตรงขา๎ มกนั แล๎วผกู ดว๎ ยเง่ือนผกู ซุง ปลายเชือก
บดิ พนั เขา๎ กบั ตัวเชือก แล๎วจึงพนั เชือกรอบเสาไม๎ทัง้ 2 ตน๎ ทแยงไขวไ๎ ปมาขา๎ งละ 2 – 3 รอบ
ตามดว๎ ยพนั หกั คอไกํ (พนั รอบเชอื กทอ่ี ยูรํ ะหวาํ งไม๎) อีก 2 – 3 รอบ ดงึ เชอื กให๎แนนํ จากนั้นผกู
ปลายเชอื กดว๎ ยเงื่อนตะกรดุ เบ็ดท่ีเสาไม๎ต๎นใดตน๎ หนง่ึ แล๎วเกบ็ ปลายเชือกให๎เรยี บร๎อย

ผูกกากบาท (Square Lashing)
เป็นการผกู ทอํ นไมท๎ ี่ไขวก๎ ันอยูใํ ห๎ตดิ แนํนเข๎าดว๎ ยกัน คล๎ายกันกบั การผูกทแยง

ประโยชน์

1. ใช๎ผกู น่งั ร๎านในการกอํ สรา๎ ง เชนํ ทาํ นง่ั ร๎านทาสีอาคาร
2. ใช๎ผูกสรา๎ งคาํ ยพกั แรมและอุปกรณ๑คํายพักแรม
3. ใชผ๎ ูกทาํ รว้ั หรอื คอกสตั ว๑ และผกู ตอมํอเสาสะพาน

120 คู่มือส่งเสริมและพฒั นากจิ กรรมลูกเสือทกั ษะชวี ติ ในสถานศกึ ษา ลูกเสือโท ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5

คู่มอื สง่ เสริมและพัฒนากิจกรรมลกู เสอื ทกั ษะชีวิตในสถานศึกษา ประเภทลกู เสอื สามญั หลักสูตรลกู เสือโท 113
ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5

วิธีผูก

ผูกเชอื กด๎วยเงอ่ื นตระกรดุ เบ็ดทไี่ ม๎อนั ต้ัง (หรอื จะผูกอนั ขวางกํอนกไ็ ด๎) เอาปลายเชอื กบิดเข๎า
กับตัวเชอื ก (แตํงงานกัน) ใหเ๎ รียบรอ๎ ย จากนน้ั ดึงเชือกออ๎ มใตไ๎ มอ๎ นั ขวางทางดา๎ นซ๎ายของไมอ๎ ันต้งั
(ขวากไ็ ด)๎ ออ๎ มไปหลังไม๎อันขวาง ดงึ เชือกขนึ้ ขา๎ งบนทางซ๎ายของไมอ๎ นั ตัง้ แล๎วดงึ เชอื กอ๎อมมาดา๎ นหนา๎
ไมอ๎ ันตั้งใหเ๎ ชอื กอยํูเหนอื และไปทางขวาของไม๎อนั ขวาง ออ๎ มเชือกไปดา๎ นหลังไมอ๎ ันขวาง ดงึ เชอื กลงใต๎
ไม๎อันขวางทางขวาของไม๎อันตง้ั ดงึ ออกมาทางด๎านหนา๎ ไมอ๎ ันตง้ั จนครบรอบ พนั ออ๎ มมาทางซ๎ายแล๎วเร่มิ
พันจากซ๎ายไปใหมํ ทกุ รอบทีพ่ นั ต๎องเรียงเชอื กใหเ๎ รียบร๎อย พนั อยํางน้ีประมาณ 3 – 4 รอบ แลว๎ หกั คอไกํ
2-3 รอบ เอาปลายเชือกผกู ด๎วยเง่อื นตระกรดุ เบ็ดทีไ่ มอ๎ นั ขวาง

แผนการจดั กิจกรรมลกู เสือสามญั ลกู เสือโท ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 5 121

คมู่ อื ส่งเสรมิ และพฒั นากิจกรรมลูกเสือทักษะชีวิตในสถานศึกษา ลกู เสือโท ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5

114 ค่มู อื สง่ เสริมและพฒั นากจิ กรรมลูกเสอื ทกั ษะชวี ติ ในสถานศึกษา ประเภทลกู เสอื สามัญ หลกั สูตรลกู เสอื โท
ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5

แผนการจดั กิจกรรมลกู เสือสามญั ลกู เสือโท ชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 5

หนว่ ยท่ี 5 ทกั ษะในทางวิชาลูกเสือ เวลา 1 ชัว่ โมง
แผนการจดั กจิ กรรมที่ 19 สัญญาณเกย่ี วกับกาลอากาศ

1. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1.1 บอกฤดูกาลตาํ งๆ ในทอ๎ งถนิ่ ของตนได๎

1.2 บอกทิศทางลมและชื่อลมประจําฤดกู าลทพี่ ดั ผาํ น
1.3 บอกลกั ษณะอากาศตามฤดกู าลนน้ั ๆ ได๎

2. เนอ้ื หา

2.1 การเกิดฤดูกาลตาํ งๆ ในประเทศไทย
2.2 สัญญาณหรอื สาเหตุที่ทาํ ให๎ลกั ษณะอากาศเปลี่ยนแปลง
2.3 ลมตํางๆ ที่เกดิ ข้นึ ในประเทศไทย

3. ส่อื การเรียนรู้

3.1 แผนภูมเิ พลง
3.2 ใบความร๎ูเร่ืองกาลอากาศ
3.3 เรื่องสนั้ ท่ีเปน็ ประโยชน๑

4. กจิ กรรม
4.1 พิธเี ปิดประชมุ กอง (ชักธงขน้ึ สวดมนต๑ สงบนง่ิ ตรวจ แยก)
4.2 เพลง หรอื เกม

4.3 กจิ กรรมตามจดุ ประสงค๑การเรยี นรู๎
1) ผูก๎ ํากับลกู เสอื นําสนทนาถงึ ลกั ษณะอากาศทีเ่ กดิ ขน้ึ ตามฤดูกาล
2) ผก๎ู ํากับลกู เสอื อธบิ ายเกย่ี วกบั เครอ่ื งมอื ท่ีใชบ๎ อกสัญญาณเก่ียวกบั กาลอากาศ เชนํ
เทอรโ๑ มมิเตอร๑ ไฮโดรมิเตอร๑ และบารอมเิ ตอร๑ และการฟงั รายงานจากพยากรณอ๑ ากาศ
ประจําวนั
3) ใหล๎ ูกเสอื ดาํ เนนิ การอภิปรายกลุมํ ตามหัวขอ๎ ตอํ ไปน้ี

กลุมํ ที่ 1 ลกั ษณะอากาศในฤดูร๎อน
กลํมุ ที่ 2 ลกั ษณะอากาศในฤดฝู น
กลํุมที่ 3 ลกั ษณะอากาศในฤดูหนาว
กลุํมท่ี 4 ลมประจําถ่ิน
กลมุํ ท่ี 5 ลมบก ลมทะเล ลมภเู ขา ลมหุบเขา

122 ค่มู ือคส่มู ่งเือสสรง่ิมเแสลระมิ พแัฒลนะาพกฒัิจกนรรามกลจิ กู กเสรอืรมทักลษูกะเชสีวือิตทใกันสษถะาชนวี ศิตึกใษนาสปถราะนเภศทกึ ลษูกาเสลอื สูกาเมสชญัือ้นั โปทหรละกัชถสัน้มูตศปรึกรลษะกู าถเปสมือที ศโ่ี ท5ึกษาปีท1่ี155

4) ผ๎ูกาํ กบั ลกู เสอื และลกู เสอื ชวํ ยกนั สรปุ และจดบนั ทึกไว๎ และเสนอตดิ ตามขาํ วการ
พยากรณ๑อากาศประจาํ วนั ของสถานีโทรทัศน๑ชํองตาํ งๆ และฟงั ขาํ วจากวทิ ยทุ อ๎ งถิน่ ซงึ่
จะเปน็ ประโยชน๑อยํางมาก

4.4 ผกู๎ ํากับลูกเสอื เลําเรื่องสนั้ ทเ่ี ป็นประโยชน๑
4.5 พิธีปดิ ประชุมกอง (นดั หมาย ตรวจเครื่องแบบ ชกั ธงลง เลกิ )
5. การประเมนิ ผล
5.1 สังเกต ความสนใจในการรํวมกิจกรรม
5.2 สอบถามและทดสอบ
5.3 ใหม๎ าเลาํ ขําวประจาํ วนั ในโอกาสตอํ ไป

6. คุณธรรม
6.1 ความพอเพยี ง
6.2 ซอื่ สตั ยส๑ จุ ริต
6.3 รบั ผิดชอบ
6.4 ความกตัญ๒ู
6.5 อดุ มการณค๑ ุณธรรม

ภาคผนวกแผนการจัดกิจกรรมท่ี 19

เพลง

ยามค่า

ฟาฺ มดื มัวลมเยน็ พดั โชยกระหนา่ํ ฝนก็ตกพราํ ๆ ฟาฺ มดื คํ่ามัวไป
ใจคิดถงึ เม่ือครัง้ มาพักแรมในปูาแสนจะสขุ ใจ พอมดื คํ่าทไี รเราเบิกบานใจฝนกระหนา่ํ ลงมา
เสือเผําไทยเดนิ ไปในแดนดงปาู แมเ๎ หน็ดเหนอื่ ยกายาเราสุขอุราเพลินใจ
ถงึ หนักเอาเบาสู๎ สามคั คีเราอยํู แสนจะสขุ ใจ พอมดื คาํ่ ทีไรเลนํ รอบกองไฟเราสนุกเฮฮา

เกม

ลูกเสอื ลอดถ้า
วธิ ีเล่น

1. ให๎ลูกเสอื เข๎าแถวตอนเปน็ หมๆํู ไป ยืนหาํ งกนั ประมาณ 1 เมตร และยืนถาํ งขา

2. ผูก๎ ํากับลูกเสอื ใหส๎ ัญญาณเร่มิ เลนํ

คู่มือส่งเสริมและพฒั นากจิ กรรมลูกเสอื ทักษะชีวิตในสถานศกึ ษา ลกู เสอื โท ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 123
คมู่ ือส่งเสรมิ และพฒั นากิจกรรมลกู เสือทักษะชวี ติ ในสถานศึกษา ประเภทลกู เสอื สามญั หลกั สตู รลูกเสอื โท
116 ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5

2.1 ลูกเสือคนยนื หลงั สุดของแถวคลานลอดขาคนท่ยี นื อยขูํ ๎างหน๎าจนไปถงึ คนแรก และไปยนื อยํู
ดา๎ นหนา๎ คนแรกสุดของแถว

2.2 คนท่ี 2-3 ตามคนแรกไปจนถึงคนท่ียืนอยํคู นแรกของแถว แล๎วไปยนื อยูํหนา๎ คนแรกสดุ ของแถว
2.3 เมือ่ ถอดถํา้ (ขา) ครบทกุ คนแล๎วใหน๎ ั่งลง
กตกิ า หมใูํ ดเสรจ็ แลว๎ นง่ั ลงกอํ น หมํูน้นั เปน็ ผู๎ชนะ

เร่ืองส้นั ทีเ่ ป็นประโยชน์

อายขุ ัยของต้นไม้

มีการแกต่ ายเหมอื นกับคนเรา ใช่หรือไม่?
คําตอบ....ไมํใชํ ต๎นไมม๎ ีความแตกตาํ งจากคน เพราะคนเรามีชํวงชวี ติ ทแ่ี นํนอน คือ คนสามารถ

มชี วี ิตอยํูไดม๎ อี ายหุ น่ึงไมํนานไปกวาํ นัน้ ทกุ วันนโ้ี ดยเฉลย่ี คนมีชํวงชวี ิตอยํูประมาณ 74 ปี น๎อยคนนักท่ี
จะอยํูจนถึงอายุ 90 ปี หรือมากกวํานั้น อยํางไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร๑เช่ือวํา เป็นไปไมํได๎เลยทาง
กายภาพ ที่คนเราจะมีชวี ิตยนื ยาวเกิน 120 ปี

ตน๎ ไม๎ทุกต๎นตอ๎ งตายในทสี่ ุดเหมอื นกนั แตํไมํมีชํวงชวี ติ ที่กําหนดตายตัวเหมือนอยํางคนเราโดย
เฉล่ียอาจยืนต๎นอยํูเป็นจํานวนปีท่ีแนํนอนข้ึนอยูํกับวําเป็นต๎นไม๎ชนิดใด ตัวอยําง เชํน ต๎นสนบริสเซิล
โคนในรัฐแคลิฟอร๑เนยี นกั วิทยาศาสตร๑คน๎ พบวํามันมีอายุเกินกวํา 4,000 ปีด๎วยซํ้า

ทาํ ไมตน๎ ไม๎จงึ มีชวี ติ ยืนยาว เหตุผลก็คือ ต๎นไม๎มีโครงสร๎างท่ีเรียบงําย ต๎นไม๎ไมํมีสมอง หลาย
สวํ นของมันอาจตายไป แตํก็ไมํทาํ ให๎ตน๎ ไม๎ทัง้ ตน๎ ตายไปด๎วย ซ่ึงท่ีจริงแลว๎ ต๎นไม๎ท่ีดูปกติสมบูรณ๑ดี กลับ
มีสวํ นทตี่ ายแล๎วประกอบอยเูํ ป็นสวํ นใหญํ เชํน เนื้อไม๎ใจกลางลําตน๎ สํวนของตน๎ ไม๎ท่ีมีชีวิตอยํูเป็นเพียง
ช้นั เน้อื เย่ือบางๆ ใตเ๎ ปลือกไม๎ ท่ีเรยี กวํา แคมเบียม (cambium) ใบไม๎ ปลายราก และกง่ิ ก๎านเทํานนั้

แตใํ นปจั จุบัน ตน๎ ไม๎สวํ นมากมกั ถกู “ฆํา” เสยี ต้ังแตํในชํวงตน๎ ของชีวิต โดยการตัดไม๎ทําลายปูา
ขยะและมลพิษทําใหเ๎ กดิ ภาวะโลกร๎อนพนื้ ทแ่ี หง๎ แลง๎ ขาดความอดุ มสมบรู ณ๑ น้ําทํวม พายุ โรคพืช แมลง
ศตั รูพชื ทาํ ลาย ฯลฯ ทัง้ หมดเปน็ ผลจากการทําลายสมดุลของธรรมชาติซ่ึงเปน็ ฝีมือของคนท้งั ส้นิ !

เรื่องน้สี อนให้รู้ว่า “ต๎นไม๎คอื ชวี ิต” เพราะมนั ผลิตออกซเิ จนใหค๎ นและสตั วบ๑ นโลกได๎หายใจและมชี ีวติ
อยไํู ด๎ แตถํ า๎ ต๎นไมไ๎ มํมชี วี ติ อยํแู ล๎ว คนและสัตวก๑ อ็ ยไูํ มไํ ดเ๎ ชํนกนั

124 คมู่ อื ส่งเสริมและพฒั นากิจกรรมลูกเสอื ทักษะชวี ิตในสถานศึกษา ลูกเสอื โท ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 5

คมู่ ือส่งเสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลกู เสือทักษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ประเภทลูกเสือสามญั หลกั สตู รลูกเสอื โท 117
ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 5

ใบความรู้

กาลอากาศ

กาลอากาศ

กาลอากาศ หมายถึง สภาพของอากาศที่เกิดข้ึนเป็นเวลา หรือเกิดข้ึนเป็นคร้ังคราว ดังน้ัน
กาลอากาศ จงึ มีความแตกตาํ งกันอยํู 2 ชนดิ ได๎แกํ

ภูมิอากาศ คือ ลักษณะอากาศในระยะเวลานาน หรือลักษณะอากาศเฉลี่ยของภูมิภาคใด
ภมู ิภาคหนึ่ง ในชํวงระยะเวลาหนึ่ง เชํน เป็นเดือน เป็นปี หรือเป็นทศวรรษก็ได๎ อากาศประจําถ่ินของ
ทอ๎ งถิ่นไดม๎ าจาการตรวจอากาศประจาํ วันของทอ๎ งถ่ินนนั้ แล๎วคํอยนําไปหาคําเฉลยี่ กจ็ ะไดเ๎ ป็นภมู อิ ากาศ
ของทอ๎ งถิ่นน้นั ๆ

ลมฟา้ อากาศ คอื สภาวะของอากาศซ่ึงมีการเปล่ียนแปลงตํอเน่ืองกันอยูํตลอดเวลา มีอิทธิพล
ตอํ มนุษย๑ สัตว๑และพชื ในการปฏิบัตภิ ารกิจประจําวันและการดาํ รงชพี

สาเหตุหรืออทิ ธิพลท่ีทาใหก้ าลอากาศเปล่ียนแปลง
มอี งคป๑ ระกอบหลายประการทที่ ําใหอ๎ ากาศบนพนื้ โลกเปล่ยี นแปลง คือ

1. อุณหภมู ิ คอื ระดับความร๎อนหนาว โลกได๎รับความร๎อนจากดวงอาทติ ย๑ และความร๎อนท่ีโลก

ไดร๎ ับน้ี มีความแตกตํางกันตามชํวงเวลา เชํน กลางวนั อณุ หภมู จิ ะสงู กวํากลางคนื ฤดรู ๎อนอุณหภูมิจะสูง
กวําฤดหู นาว ยอดเขาสูงอณุ หภมู ิตาํ่ กวาํ บริเวณเชิงเขา เป็นต๎น

2. ความกดอากาศ เนื่องจากอุณหภูมิบริเวณพ้ืนผิวโลกมีไมํเทํากันทุกแหํง บริเวณใดที่ได๎รับ
ความร๎อนจากดวงอาทติ ย๑มาก อากาศจะร๎อนจงึ ขยายตัวลอยสูงขึ้น ทําให๎เกิดเปน็ เขตท่ีมคี วามกดอากาศ
ตํ่า และบรเิ วณที่ได๎รบั ความร๎อนนอ๎ ยกวาํ อากาศจะเย็นมีความกดดันสูงจึงไหลเข๎าไปแทนท่ี ที่เรียกวํา
กระแสลม

3. ลมและฝน การเคล่ือนท่ีของลมจากเขตความกดอากาศสูงไปสูํเขตความกดอากาศต่ํานี้
ถา๎ กระแสลมน้ันพัดผาํ นทะเลหรือมหาสมทุ รซึ่งเป็นแหลํงทีม่ ไี อน้ํามาก ก็จะหอบละอองไอน้ํานั้นไปด๎วย
และเม่อื กระทบกบั ความเยน็ ก็จะกลัน่ ตวั เป็นหยดนํ้าตกลงมาเป็นฝน

4. ความชน้ื คอื ปรมิ าณไอนํ้าทม่ี อี ยํูในอากาศ ถ๎าอากาศมไี อนาํ้ หรอื มีความชนื้ มาก โอกาสท่จี ะ

มีฝนตกจึงเปน็ ไปได๎มาก แตํถา๎ อากาศมคี วามช้นื อยนูํ อ๎ ยอากาศจะแห๎ง โอกาสที่จะมีฝนตกมีอยูนํ อ๎ ยมาก
5. ลักษณะภูมิประเทศ ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศทเี่ ป็นเทอื กเขาจะขวางกนั้ ทศิ ทางลม และถา๎ ลมนัน้ พัด

มาจากทะเลจะทาํ ใหด๎ ๎านตน๎ ลม หรือด๎านหน๎าเขามีฝนตกอยํางเต็มท่ี สํวนด๎านปลายลม ทางหลังเขามักมี
อากาศแห๎งแล๎ง นอกจากนน้ั ลกั ษณะภูมิประเทศท่เี ป็นที่ราบและภูเขาแมจ๎ ะอยํใู นตาํ บลเดียวกันก็มีลักษณะ
อากาศตาํ งกนั

ลมต่างๆ ทเ่ี กิดขึ้นในประเทศไทย

คู่มือส่งเสริมและพฒั นากิจกรรมลูกเสอื ทักษะชีวติ ในสถานศึกษา ลกู เสอื โท ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 5 125
คู่มือสง่ เสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลูกเสือทกั ษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสือสามญั หลักสูตรลูกเสอื โท
118 ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 5

ลมต่าง ๆ ท่ีเกิดขึน้ ในประเทศไทย
อาจจาํ แนกลมทพี่ ัดเปน็ ประจําในประเทศไทย ไดด๎ ังน้ี
1. ลมประจาฤดูกาล คือ ลมที่พัดประจําในชํวงเวลาท่ีใกล๎เคียงแนํนอน ลมชนิดน้ีในประเทศ

ไทย ได๎แกํ ลมมรสมุ ซ่งึ มคี วามแตกตาํ งกนั 2 ชนดิ คอื
ลมมรสมุ ฤดหู นาว เป็นลมทีพ่ ดั อยํางเดํนชัดเปน็ เวลาประมาณ 6 เดือน คือ ต้ังแตเํ ดือนตลุ าคม

ถึงเดอื นมีนาคม ในชวํ งนโี้ ลกหนั ซกี โลกใต๎ซ่งึ สวํ นใหญํเปน็ พน้ื นํ้าเขา๎ หาดวงอาทิตยแ๑ ละหันซีกโลกเหนือ
ซ่ึงพ้นื ทีส่ วํ นใหญเํ ป็นผืนแผํนดินออกจากดวงอาทิตย๑ จึงทาํ ให๎ซีกโลกใตม๎ ีความกดอากาศตา่ํ และซีกโลก
เหนือซ่ึงมีความกดอากาศสูงกวํามีอากาศไหลเข๎าไปแทนที่ เรียกตามทิศทางที่ลมพัดวํา ลมมรสุม
ตะวันออกเฉียงเหนือและด๎วยเหตุที่ลมน้ีพัดจากภาคพื้นทวีปออกไปในชํวงฤดูหนาว จึงเรียกอีกอยําง
หนึ่งวาํ ลมมรสุมฤดหู นาวท่ีแหง๎ แลง๎

ลมมรสมุ ฤดูร้อน ในทางกลบั กนั ในระหวาํ งเดือนเมษายนถงึ เดือนกันยายน โลกหันซีกโลกเหนือ
ใหด๎ วงอาทิตย๑ จงึ ทําให๎ซีกเหนือของโลกเป็นฤดูร๎อน และซีกโลกใต๎อากาศหนาวเย็นมาก จึงมีลมพัดจาก
มหาสมทุ รทางซกี โลกใต๎ไปสภูํ าคพ้ืนทวีปทางซกี โลกเหนือ จากทิศตะวนั ตก-เฉยี งใต๎ แตดํ ว๎ ยเหตทุ ลี่ มน้ีพัด
ผํานทะเล และมหาสมุทร จงึ นาํ ความชุมํ ช้นื ไปสํูภาคพื้นทวีปและอากาศก็ไมํหนาวเยน็ นัก จึงเรียกอีกอยําง
หนึ่งวาํ ลมมรสุมฤดูร๎อน

2. ลมประจาถนิ่ คอื ลมที่พดั เฉพาะภมู ิภาคตํางๆ ในประเทศไทยมีลมวําว ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจาก
ในชํวงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน มีหยํอมความกดอากาศตํ่าเกิดข้ึนทางภาคกลางตอนบน สํวน
บรเิ วณอาํ วไทยความกดอากาศสูงกวําจงึ มผี ลพดั เขา๎ ไปแทนท่ี จากทางใต๎สเูํ ขตลํมุ นา้ํ เจ๎าพระยา และชวํ ง
น้ีเกษตรกรวํางเว๎นจากการทํานาจึงนยิ มเลนํ วาํ วกนั จงึ เรยี กลมท่ีเกดิ ขึ้นในชํวงน้ีวํา ลมวาํ ว

3. ลมประจาเวลา เป็นลมท่ีพดั เดํนชัดในชํวงเวลาใดเวลาหนึ่งในรอบวัน เปน็ ลมท่พี ดั บริเวณ
แคบๆ และลมพัดไมํเรว็ มากนกั ไดแ๎ กํ

ลมบก เกิดในเวลากลางคืน เป็นลมที่พัดจากฝั่งสํูทะเล เพราะในเวลากลางคืน พื้นดินคลาย
ความรอ๎ นไดเ๎ ร็วกวําพ้นื นา้ํ จงึ ทําใหอ๎ ณุ หภมู ิของอากาศเหนอื พน้ื ดนิ ต่าํ กวาํ อณุ หภมู ขิ องอากาศเหนอื พื้น
น้ํา ความกดดันของอากาศบนพืน้ ดินจึงสงู กวาํ พ้ืนนา้ํ อากาศจงึ เคลื่อนจากฝัง่ ออกสูํทะเล

ลมทะเล เกิดในเวลากลางวัน เปน็ ลมทพี่ ัดจากทะเลเขา๎ สํูฝงั่ เพราะในเวลากลางวนั พน้ื ดนิ รอ๎ นกวาํ
พนื้ นํ้า ความกดดันของอากาศบนพื้นดนิ จงึ ตํา่ กวาํ ความกดดนั ของอากาศบนพื้นนํ้า อากาศจึงเคลื่อนจาก
ทะเลเขา๎ สูฝํ ่งั
ฤดูกาลของประเทศไทย

ประเทศไทยต้ังอยํูในเขตร๎อน พ้ืนที่สํวนใหญํอยูํภายในพื้นแผํนดินใหญํของทวีปเอเชีย แตํมี
บางสํวนท่ีเป็นคาบสมุทรย่ืนลงไปในทะเล จึงทําให๎ได๎รับอิทธิพลทั้งทางภาคพ้ืนทวีปและอิทธิผลจาก
ทะเล มหาสมุทร กลําวคือ ทําให๎อุณหภูมิและความกดอากาศบริเวณพ้ืนนํ้า และแผํนดินแตกตํา งกัน
นอกจากนั้นประเทศไทยยังอยํูในเขตมรสุมของทวีปเอเชีย ซึ่งมีอิทธิพลตํอลักษณะฤดูกาลในประเทศ
ไทยอกี ด๎วย

126 ค่มู ือคสมู่ ่งเือสสรง่มิ เแสลระมิ พแัฒลนะาพกัฒิจกนรรามกลจิ ูกกเสรอืรมทกัลษูกะเชสีวอื ติ ทใกันสษถะาชนีวศติ กึ ใษนาสปถราะนเภศทกึ ลษกู าเสลือสูกาเมสชญัือนั้ โปทหรละกัชถสน้ัมตู ศปรกึ รลษะกู าถเปสมือที ศโ่ี ท5ึกษาปที1ี่159

ประเทศไทย มีฤดกู าลอยู่ 3 ฤดู คอื
1. ฤดูฝน จะเปน็ ฤดทู ีล่ มมรสมุ ตะวนั ตกเฉยี งใต๎พัดเข๎าสํูประเทศไทย เรม่ิ ตั้งแตํเดอื นพฤษภาคม

ถงึ เดือนตลุ าคม ประมาณ 5 เดอื น ฝนจะตกชุก ในเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน และแตํละปีจะมีฝน
ตกตามภมู ภิ าคตาํ งๆ โดยประมาณ ได๎ดังน้ี

(1) ภาคเหนือ ประมาณ 6-8 เดือน
(2) ภาคใต๎ ประมาณ 8-11 เดอื น
(3) ภาคตะวนั ออก ประมาณ 9-11 เดือน
(4) ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ประมาณ 4-6 เดอื น
(5) ภาคกลาง ประมาณ 5-7 เดอื น
2. ฤดูหนาว จะเป็นฤดูที่ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดเข๎าสูํประเทศไทย เร่ิมตั้งแตํเดือน
พฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ๑ ประมาณ 3 เดือน อากาศโดยทั่วไปไมํหนาวเย็นมากนัก ยกเว๎นทาง
ภาคเหนอื และภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ซึง่ เป็นที่สงู จะมีอากาศหนาวเป็นครงั้ คราว

3. ฤดูร้อน เป็นฤดูที่มีกระแสลมจากทะเลจีนใต๎ เร่ิมพัดเข๎าสํูประเทศไทยจากทิศใต๎และทิศ

ตะวันออกเฉียงใต๎ ต้ังแตํประมาณเดือนกุมภาพันธ๑ถึงเดือนพฤษภาคม เป็นเวลาประมาณ 3 เดือน
ประกอบกับในชํวงน้ี แสงอาทิตย๑เคลื่อนมาตั้งได๎ฉากกับประเทศไทย จึงทําให๎อากาศร๎อนอบอ๎าวมาก
โดยเฉพาะเดอื นเมษายนเป็นเดือนที่อณุ หภูมโิ ดยเฉลยี่ สูงทีส่ ุดของประเทศไทย

แผนการจัดกจิ กรรมลกู เสือสามัญ ลกู เสอื โท ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 5

คมู่ ือส่งเสรมิ และพฒั นากิจกรรมลูกเสอื ทักษะชีวิตในสถานศกึ ษา ลกู เสือโท ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 5 127
ค่มู อื ส่งเสริมและพฒั นากจิ กรรมลูกเสือทักษะชีวติ ในสถานศึกษา ประเภทลกู เสอื สามญั หลักสตู รลกู เสือโท
120 ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 5

แผนการจดั กิจกรรมลกู เสือสามญั ลกู เสือโท ชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 5

หนว่ ยท่ี 6 งานอดเิ รกและเร่ืองทส่ี นใจ เวลา 1 ชั่วโมง
แผนการจดั กิจกรรมที่ 20 งานอดิเรก

1. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. บอกความหมายของงานอดิเรกได๎
2. ทบทวนตัวเองแลว๎ เลอื กงานอดิเรกทลี่ ูกเสอื ชอบและสนใจ

2. เนือ้ หา

1. งานอดิเรกและเรอ่ื งท่ีสนใจ เชํน การศกึ ษาธรรมชาตริ อบๆ ตวั
2. บอกกิจกรรมทีเ่ ป็นงานอดิเรกได๎

3. สอ่ื การเรียนรู้
3.1 แผนภมู ิเพลง
3.2 แบบสํารวจงานอดเิ รกในโรงเรยี น
3.3 แบบสํารวจงานอดเิ รกที่บ๎าน
3.4 เรือ่ งสั้นท่ีเป็นประโยชน๑

4. กจิ กรรม
4.1 พิธเี ปิดประชมุ กอง (ชักธงขน้ึ สวดมนต๑ สงบน่งิ ตรวจ แยก)
4.2 เพลง หรือ เกม
4.3 กิจกรรมตามจุดประสงค๑การเรยี นร๎ู
1) ผ๎ูกํากบั ลกู เสอื นาํ สนทนา อภปิ รายถงึ ความหมายของงานอดิเรก และประเภทงานอดิเรกตาํ งๆ
2) ใหล๎ ูกเสอื เลําถึงงานอดเิ รกท่ีลกู เสอื เคยทาํ ท้งั ทบี่ า๎ นและท่ีโรงเรียน
3) มอบหมายใหล๎ กู เสอื เลอื กงานอดิเรกทสี่ นใจปฏบิ ตั ิ
4) ผกู้ าํ กบั ลูกเสือซกั ถามถงึ ความเขา๎ ใจในเรื่องงานอดเิ รก และเรอื่ งท่ีได๎เรียนรว๎ู าํ มี
ความสาํ คัญอยํางไร มอบหมายใหท๎ ํางานอดิเรกและสํงรายงาน

4.4 ผ๎กู าํ กบั ลูกเสอื เลาํ เรื่องสนั้ ทีเ่ ป็นประโยชน๑
4.5 พิธีปิดประชุมกอง (นดั หมาย ตรวจเครอื่ งแบบ ชักธงลง แยก)

5. การประเมินผล
5.1 สนทนา ซักถาม
5.2 สังเกตการเขา๎ รวํ มกจิ กรรม

128 คู่มอื คสูม่ ง่ เือสสร่งิมเแสลระิมพแัฒลนะาพกฒัิจกนรรามกลจิ กู กเสรือรมทกัลษูกะเชสีวือิตทใักนสษถะาชนวี ศติ ึกใษนาสปถราะนเภศทึกลษกู าเสลอื สูกาเมสชญัอื ัน้ โปทหรละกัชถสน้ัมูตศปรกึ รลษะกู าถเปสมือีทศโ่ี ท5กึ ษาปีท1่ี251

6. คณุ ธรรม
6.1 ความพอเพียง
6.2 รับผิดชอบ

ภาคผนวกประกอบแผนการจดั กจิ กรรมที่ 20
เพลง

งานสงิ่ ใด

งานสิ่งใด งานสง่ิ ใด แมใ๎ ครละเลยทง้ิ ปลํอย
มวั แตํคอย เฝาฺ แตคํ อย หวังคอยแตเํ กยี่ งโยนกลอง
ไมํมีเสรจ็ ไมํมีเสรจ็ รบั รอง
จาํ ไวท๎ ุกคนต๎อง ทาํ งานเราตอ๎ งชํวยกนั
ชวํ ยกัน ชวํ ยกนั ชวํ ยกนั

มอบดวงใจ
(ทานอง เพลงรักแม่หม้าย)

ยากนกั เขา๎ คําย ตอ๎ งใหไ๎ ด๎คาํ ชม บุกโคลนลยุ ตม
ไมรํ า๎ วระบมหรอื หนาํ ย อดทนย่งิ เอยไมํเคยบนํ ลา ท้ังชวี ามอบให๎
ไมํขอทาํ ผิด อยาํ คิดสงสัย มอบไวด๎ วงใจดกี วาํ

เรือ่ งสั้นท่เี ปน็ ประโยชน์

คนตกเบด็ กับลกู ปลา
คนตกเบ็ดคนหน่งึ ตกปลาตง้ั แตํเช๎ายนั ค่ํา ไมไํ ดป๎ ลาสักตวั เดียว แตํกํอนที่จะกลับบ๎านเม่ือวัดคัน
เบด็ ขึน้ ปรากฏวาํ มลี ูกปลาตวั หนงึ่ ติดเบ็ดอยํู ลกู ปลาพยายามวิงวอนให๎คนตกเบด็ ปลอํ ยตนไป
“ขา๎ เปน็ ปลาตัวเล็กแคํนี้ทาํ นนําไปกนิ กไ็ มํอ่ิมหรอก ไว๎รอใหข๎ ๎าโตและอ๎วนกวาํ นี้ จะรีบมาให๎ทําน
จับไปเปน็ อาหารทันที” แตคํ นหาปลาไมํปลอํ ยและตอบวํา
“คงไมมํ วี นั นัน้ หรอกหากปลํอยเจ๎าลงนํ้าเจา๎ คงจะหวั เราะเยาะข๎ามากกวาํ ”

เร่ืองนสี้ อนใหร้ ู้ว่า อยาํ หมายน้ําบอํ หน๎าปลาตวั เดียวในมอื ดีกวําปลาทง้ั ฝงู ในนา้ํ

คู่มอื ส่งเสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลกู เสอื ทักษะชวี ิตในสถานศึกษา ลกู เสอื โท ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 129
คมู่ อื สง่ เสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลกู เสอื ทกั ษะชวี ิตในสถานศึกษา ประเภทลูกเสอื สามัญ หลักสตู รลูกเสอื โท
122 ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 5

ใบความรู้

การอนุรักษ์และบารงุ รักษาหนังสือ

การอนรุ กั ษห์ นังสือ
ห๎องสมุดเป็นแหลํงรวมหนังสอื อันหลากหลายและสนบั สนนุ ใหเ๎ กิดการอําน เปน็ ประโยชนใ๑ นการ

เรียนรูไ๎ ด๎อยาํ งไมจํ ํากัด การปอฺ งกันและบํารงุ รกั ษาหนังสอื ซงึ่ เป็นวัสดุท่ีมีความสําคัญท่ีสุดของห๎องสมุด
จงึ ถอื เปน็ เรื่องท่ีจําเป็น เพือ่ ใหเ๎ กิดการใช๎ประโยชนไ๑ ดส๎ งู สุด การอนรุ ักษห๑ นงั สอื อาจทาํ ได๎ ดงั นี้

1. ดูแลครภุ ัณฑ๑ท่เี กี่ยวข๎องกบั หนงั สอื เชนํ ชน้ั วางหนังสอื ต๎องไมํวางหนังสอื หนาแนนํ จนเกนิ ไป
ใช๎ทกี่ ้ันหนงั สือเพอื่ รักษารปู ทรงหนงั สือ เป็นตน๎

2. ไมวํ างหนงั สือ ซ๎อนกนั เป็นกองๆ หรอื สูงจนเกนิ ไป
3. ระวังมใิ ห๎หนังสอื ตกและมฝี นูุ มากเกนิ ไป
4. ระวงั สัตวต๑ ํางๆ เชํน แมลง มอด ปลวก หนู กดั แทะ
5. ชแี้ จงแนะนาํ ผ๎ใู ช๎หนงั สือให๎ระมดั ระวังทั้งทางตรงและทางอ๎อม
6. จัดทําหนงั สอื ใหมใํ ห๎มั่นคงแขง็ แรงเพ่ือยดื อายกุ ารใช๎งาน
7. ซอํ มแซมหนังสอื เกาํ หรอื ชาํ รดุ เพอ่ื ใช๎งานไดอ๎ กี

การบารงุ รักษาหนังสือ
เป็นการระมัดระวงั หนงั สือไมํใหช๎ าํ รดุ จากสาเหตตุ ําง ๆ เชํน ปลวก แมลง แสงแดด ความช้ืน และ

จากการใช๎งานของคนที่อํานหนังสือ รวมถึงการดูแลรักษา และการทําให๎หนังสืออยูํในสภาพเรียบร๎อย
แนนํ หนา แขง็ แรง ทนทาน สามารถใช๎งานไดน๎ าน และไมํชํารดุ กํอนถึงเวลาอันควร

วธิ กี ารใช้หนงั สือ มีขอ๎ ควรระวัง ดงั นี้
1. ไมํขดี เขยี นหรอื ทําเคร่ืองหมายใด ๆ ลงในหนังสอื จะทาํ ใหห๎ นังสือสกปรก เลอะเทอะ ไมนํ ําใช๎
2. ไมํพบั มมุ หนังสือ ควรใชท๎ ่ีคน่ั หนงั สอื หรอื กระดาษบาง ๆ ค่นั ไว๎
3. ไมคํ วรวางหนงั สอื ควํ่าหนา๎ จะทาํ ให๎สนั หนงั สือหกั และขาดงาํ ย
4. หยิบหนังสอื ควรจบั ท่กี ลางตวั เลมํ อยําดึงสนั หนงั สอื จะทาํ ใหส๎ นั หลดุ ออกจากตัวเลมํ และฉีกขาด
5. ใชห๎ นังสอื อยํางระมดั ระวงั อยําใหห๎ นงั สอื โดนน้ําฝน หรอื ทําใหเ๎ ปยี กชน้ื

การซอ่ มหนังสอื
การซํอมหนงั สอื เป็นการแก๎ไขสภาพหนังสือที่ชํารุดเสียหายให๎กลับคืนสํูสภาพดีดังเดิม โดยไมํ

จําเปน็ ต๎องซํอมหนังสอื ท่ชี าํ รุดทกุ เลมํ เพราะหนงั สอื บางเลํมอาจไมคํ มุ๎ คําในการซอํ ม

130 ค่มู ือสง่ เสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลูกเสือทกั ษะชีวิตในสถานศกึ ษา ลูกเสือโท ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5

คมู่ อื สง่ เสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลกู เสอื ทกั ษะชวี ติ ในสถานศึกษา ประเภทลูกเสอื สามญั หลกั สตู รลูกเสือโท 123
ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 5

ลกั ษณะหนังสือทคี่ วรซอ่ ม
- หนงั สอื ทีไ่ มํขาดมากจนหมดสภาพ หรอื เหลอื งกรอบเพราะใช๎งานมาเป็นเวลานาน
- ไมมํ รี อยเปอ้ื นสกปรกจนดไู มนํ าํ อาํ น ไมํชาํ รุดมาก ไมํถกู ตดั ถกู ฉีก หรือถูกแมลงกัดกนิ
- เนือ้ หาทันสมัยเป็นปจั จบุ นั หนงั สอื ทม่ี ีคุณคาํ และไมมํ หี นังสอื อื่นมาแทนได๎

ลักษณะหนังสือท่ไี มค่ วรซอ่ ม
- หนงั สอื ทหี่ มดสภาพแล๎ว กลาํ วคือ กระดาษเหลอื งกรอบ เขา๎ เลมํ กย็ ังกรอบฉกี ขาดงําย
- หนงั สือทีม่ ีรอยขีดเขยี นด๎วยหมึก ดนิ สอ เลอะเทอะ สกปรกทงั้ เลมํ จนไมนํ าํ อาํ น
- หนังสือทีช่ ํารดุ มาก เชํน หนา๎ ขาดหายไปหลายหนา๎ แมลงกดั กิน แตสํ ามารถซอ้ื เลมํ ใหมแํ ทนได๎
- หนงั สือท่มี คี ณุ คํานอ๎ ย เนอื้ หาล๎าสมยั ไมมํ ผี ู๎สนใจอําน
- หนังสอื ทมี่ อี ยูหํ ลายฉบับ จาํ นวนทีเ่ หลอื เพยี งพอกบั ความต๎องการ

แยกประเภทหนังสือท่ีควรซ่อม ดังน้ี
- ซํอมเลก็ นอ๎ ย เชํน ขาดเลก็ น๎อย เป็นต๎น
- ปกขาดไปจากตัวหนังสอื แตํอื่น ๆ อยใํู นสภาพเรียบรอ๎ ย
- ต๎องเขา๎ ปกใหมํ
- ตอ๎ งสํงไปจา๎ งซอํ ม

วสั ดอุ ปุ กรณท์ ใ่ี ชใ้ นการซ่อมหนงั สอื
1. ประเภทผา๎ ไดแ๎ กํ ผา๎ แลกซีน ผา๎ ดบิ ชนิดยาง ผ๎าขาวบาง ผ๎าค้ิว ผ๎าสําหรับรีดและเช็ดทําความ

สะอาดหนังสอื
2. ประเภทกระดาษ ได๎แกํ กระดาษแข็งทําปกเบอร๑ 20-42 กระดาษแลคซีน กระดาษปอนด๑

อยํางหนา 100 แกรม หรือ 120 แกรม กระดาษปิดสันหนังสือ กระดาษแก๎วหรือกระดาษสา กระดาษ
หนงั สอื พิมพ๑สําหรบั รองทากาว

3. อปุ กรณ๑ท่ีใชเ๎ จาะและตดั ได๎แกํ เครอ่ื งตดั กระดาษ กรรไกร คัตเตอร๑ สวํานและดอกสวําน เหล็ก
หนบี เจาะหนงั สอื

4. อ่ืนๆ คือ คอ๎ น ด๎ายฟอกหรือดา๎ ยหลอดสําหรบั เยบ็ เลํมหนังสอื กาวหรือแปฺงเปยี ก กระจกทากาว
แปรงทากาว เข็มเย็บผ๎าขนาดใหญํ ขนาด 2 3/4 - 3 1/2 น้ิว ไม๎เนียน เคร่ืองอัดหนังสือ ลูกกลิ้ง ปากกา
ไฟฟาฺ และเทปรองเขยี น ภาชนะใสกํ าว เทปใส

คู่มือส่งเสรมิ และพัฒนากิจกรรมลกู เสอื ทักษะชวี ติ ในสถานศกึ ษา ลกู เสอื โท ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 5 131

124 คู่มือส่งเสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลกู เสือทักษะชีวิตในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสือสามญั หลกั สูตรลูกเสือโท
ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 5

ลักษณะการชารดุ และวธิ ีการแก้ไข
1. หน๎าหนังสือที่มีรอยพับมาก ๆ หรือยับ ทําให๎เรียบด๎วยการใช๎พูํกันจุํมน้ําเล็กน๎อยทาบริเวณ

รอยยบั หรอื ถา๎ มีรอยยับมาก ใหใ๎ ชท๎ ฉ่ี ดี นาํ้ ฉดี ใสํกระดาษซบั สขี าว 2 แผนํ พอประมาณ แทรกระหวํางหน๎า
หนงั สือที่มรี อยพับ นาํ เขา๎ เครอ่ื งอดั หรือ ใช๎ของหนักๆ ทับไวจ๎ นเรยี บและแหง๎

2. หน๎าหนังสือที่มรี อยฉีกขาด ใช๎เทปกาวทม่ี ีคุณสมบตั ิเฉพาะในการซอํ มหนงั สือปิดตามรอยขาด
ทั้งสองด๎าน หรือใชก๎ ระดาษลอกลาย หรอื กระดาษทใ่ี ช๎ทําวําว ไมํควรใชเ๎ ทปกาวทีข่ ายตามท๎องตลาดท่ัวไป
โดยตัดกระดาษลอกลายหรอื กระดาษวาํ วตามรอยขาดในหนังสอื กวา๎ งประมาณ
คร่ึงนิว้ ทากาวลาเทก็ ซเ๑ หลวบนกระดาษทีต่ ดั เตรียมไว๎ ปิดตามรอยขาดในหน๎าหนังสือ ระวังอยําให๎กาว
เลอะออกนอกแนวกระดาษทซี่ อํ ม รอให๎กาวแห๎งสนทิ กอํ นจงึ ปิดหนงั สอื ได๎

3. หนังสือถูกตัดหรือฉีกขาดหายไปบางสํวน ทั้งแผํนหรือหลายแผํน ควรคัดลอกข๎อความจาก
หนังสอื เรื่องเดียวกนั เลํมอืน่ ลงไปด๎วย

4. หนงั สอื หลดุ ออกทงั้ ยกหลายแผนํ แตสํ ํวนอนื่ ยังเรียบรอ๎ ยดี เรยี งหนา๎ ใหถ๎ ูกตอ๎ ง เย็บปกทห่ี ลุด
ให๎ติดกับตัวเลมํ

5. ตวั เลมํ หนงั สอื หลุดออกจากปก แตํทงั้ ปกและตัวเลํมหนังสือยังอยูํในสภาพดี ใช๎กาวทารํองสัน
เพื่อให๎ปกตดิ กบั ตวั เลํม

6. ปกหลุดจากตัวเลมํ ซึ่งเย็บเลมํ แลว๎ แตํสันหลวม สํวนตัวปกยังดีอยูํ ให๎เคาะสันหนังสือให๎เรียบ
ทากาวใหท๎ ว่ั สนั หนงั สอื ท้ิงไวใ๎ ห๎แหง๎ แลว๎ ทากาวรองสนั เพื่อใหป๎ กกับตัวเลํมตดิ กัน

7. หนังสอื ทม่ี มุ ปกและสนั ปกชาํ รุด แกไ๎ ขดงั นี้
7.1 เลาะปกหนังสือออกจากตัวเลํม ทําความสะอาดทั้งสันปกและสันหนังสือ ใช๎มีดขูดสันที่เป็น
เศษกระดาษออกใหส๎ ะอาดเรียบร๎อย
7.2 ตดั เศษผ๎าหรือกระดาษแลกซนี เป็นรปู สเี่ หล่ียมคางหมู จํานวน 4 ชิ้น สําหรับปกหน๎า และปก
หลงั อยาํ งละ 2 ชิน้ ขนาดฐานประมาณ 3” ด๎านตรงขา๎ มและสวํ นสูง 2” อาจใหญํหรอื เล็กกวาํ นตี้ ามขนาดเลํม
หนังสือ
7.3 ทากาวด๎านในผา๎ หรือกระดาษทตี่ ัดไว๎ แล๎วนําไปตดิ เขา๎ กับมุมปกหนงั สือทั้ง 4 มุม ให๎แนํนและ
เรยี บ โดยให๎ด๎านฐานอยทูํ แยงมุมกบั ปกหนังสือ ดา๎ นบนอยํูเลยมุมปกออกไปประมาณ ครึ่งนิ้ว มุมท่ีฐาน 2
ด๎านอยูํพอดีริมปกทงั้ 2 ด๎าน
7.4 พับผ๎าหรอื กระดาษสํวนทเ่ี หลือเขา๎ กบั ดา๎ นในของปกหนังสอื ใหก๎ ระชับและเรยี บ
7.5 ตดั ผ๎าเพ่ือซํอมสันหนงั สือให๎มขี นาดกว๎างกวําสันหนังสือ ประมาณ 4 นิ้ว และยาวกวําความ
ยาวของสันหนังสอื ประมาณ 3 นว้ิ ทากาวบนผา๎ ดา๎ นในทงั้ แผนํ นําสนั ปกมาวางทาบบนผ๎าท่ีทากาวแล๎ว
ใหส๎ นั ปกอยกํู ึงกลางของผา๎ กรณีสนั ปกชํารุดมากใช๎ไมไํ ดใ๎ หท๎ าํ สันปกใหมํ โดยใช๎กระดาษการด๑ ตดั ให๎มี
ขนาดเทาํ กับของเดิมใช๎มีดหรอื กรรไกรตดั ผ๎าออกใหเ๎ ป็นรอยบาก
7.6 ทากาวบนผ๎าทเ่ี ตรยี มไว๎ แล๎วนําปกแข็งของหนังสือท้ังสองแผํนติดเข๎ากับสันหนังสือ โดยเว๎น
ระยะรํองสันทัง้ สองขา๎ งระหวํางปกหนังสอื กับสนั หนังสอื ประมาณ 1/4 นว้ิ เพ่อื เปน็ บานพบั ปิด-เปิดหนังสือ

132 ค่มู อื ส่งเสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลกู เสอื ทกั ษะชวี ิตในสถานศึกษา ลกู เสอื โท ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 5

ค่มู ือสง่ เสรมิ และพฒั นากิจกรรมลูกเสอื ทกั ษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลูกเสอื สามญั หลกั สูตรลูกเสอื โท 125
ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 5

พับผ๎าทั้งด๎านบนและด๎านลํางเข๎าติดกับด๎านในของปกให๎เรียบร๎อย ใช๎ไม๎เนียนรีดทับให๎แนํนและเรียบ
ท้งิ ไวจ๎ นแหง๎

7.7 นําปกหนังสือท่ีผนึกกบั สนั ปกหนังสอื เรียบร๎อยแลว๎ มาเข๎ากบั ตัวหนงั สอื ตํอไปตามวิธีเข๎าเลํม
หนังสือ

การเข้าเลม่ หนังสอื
1. นาํ ปกและตัวเลมํ หนงั สอื มาวัดขนาดใหพ๎ อดีท้ัง 2 ด๎าน เช่ือมตัวหนังสือเข๎ากับปกโดยใช๎กาว
ลาเท็กซ๑ผสมน้ําให๎เจอื จางลง ทากาวลงบนใบรองปกท้ัง 2 ด๎าน (ทาํ ทีละด๎าน) เพื่อติดกับปกหนังสือ จับ
ใหแ๎ นนํ ใช๎ไมเ๎ นยี นรีดตรงรอํ งสนั ทั้งด๎านหน๎าและดา๎ นหลัง
2. นําเข๎าเครอื่ งอดั หนงั สอื ทง้ิ ไว๎ เพอ่ื หนงั สือและปกทซี่ อํ มใหมจํ ะได๎ตดิ สนิทและแขง็ แรง

สมนุ ไพร

พืชสมุนไพร หมายถึง พืชท่ีใช๎ทําเป็นยารักษาโรค โดยใช๎สํวนตําง ๆ ของพืช ชนิดเดียวหรือ

หลายชนิดพร๎อมกัน บางชนิดใช๎รับประทาน บางชนิดใช๎ทาหรือทําเป็นลูกประคบ ตัวอยําง เชํน เชํน
ใบชะพลู มะขามปอฺ ม มะระข้ีนก ตะไคร๎ ขิง ขํา หัวหอม ฟาฺ ทะลายโจร ขมิน้ ชัน ไพล เป็นต๎น

ยารักษาโรคปัจจุบันหลายขนานที่ผลิตเป็นอุตสาหกรรม มีท่ีมาจากการศึกษาวิจัยการใช๎
พืชสมุนไพรพื้นบ๎าน ของกลํุมชนพ้ืนเมืองตามปูาเขาหรือในชนบท ที่ได๎รับการถํายทอดมาจาก
บรรพบุรุษที่ได๎สังเกตวําพืชใดนํามาใช๎บําบัดโรคได๎ มีสรรพคุณอยํางไร รวมท้ังจากการเรียนร๎ู
ดว๎ ยประสบการณแ๑ ละการทดลองแบบพ้นื บ๎านท่ีไดท๎ ัง้ ขอ๎ ดแี ละขอ๎ ผิดพลาด

ความสาคญั ของพืชสมุนไพร
1. ความสาคัญในด้านสาธารณสขุ
พืชสมุนไพร เป็นผลผลิตจากธรรมชาติ ที่มนุษย๑ร๎ูจักนํามาใช๎เป็นประโยชน๑ เพ่ือการรักษา

โรคภยั ไข๎เจบ็ ตั้งแตํโบราณกาลแล๎ว เชํน ในเอเชียก็มีหลักฐานแสดงวํามนุษย๑ร๎ูจักใช๎พืชสมุนไพรมากวํา
6,000 ปี แตํหลังจากทีค่ วามรด๎ู ๎านวทิ ยาศาสตร๑ มกี ารพัฒนาเจริญก๎าวหน๎ามากข้ึน มีการสังเคราะห๑ และ

ผลติ ยาจากสารเคมีในรูปท่ใี ชป๎ ระโยชน๑ไดง๎ ําย สะดวกสบายในการใช๎มากกวําสมุนไพร ทําให๎ความนิยมใช๎
ยาสมนุ ไพรลดลงอยํางมาก ความรแ๎ู ละวิทยาการด๎านสมุนไพรจึงขาดชํวงการพฒั นาไป

ในปัจจุบันท่ัวโลกตํางยอมรับวํา สารสกัดสมุนไพรให๎คุณประโยชน๑ดีกวํายาท่ีเป็นสาร
สงั เคราะห๑ทางเคมี และประเทศไทยเป็นแหลํงทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ๑ มีพืชตํางๆที่ใช๎เป็น
สมุนไพรได๎อยํางมากมายนับหม่ืนชนิด ขาดแตํเพียงการศึกษาและวิจัยทางวิทยาศาสตร๑เทํานั้น

ความตื่นตวั ท่ีจะพัฒนาความร๎ูดา๎ นพืชสมนุ ไพรจงึ เรมิ่ ขึน้ อกี ครง้ั หนง่ึ โดยมกี ลวิธกี ารพัฒนาสมุนไพรและ
การแพทยแ๑ ผนไทยในงานสาธารณสขุ มูลฐาน คอื

คมู่ ือส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมลูกเสือทกั ษะชวี ิตในสถานศึกษา ลกู เสอื โท ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 5 133
คู่มือส่งเสริมและพฒั นากิจกรรมลกู เสอื ทักษะชวี ติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสือสามัญ หลกั สตู รลูกเสือโท
126 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5

(1) สนับสนุนและพัฒนาวิชาการและเทคโนโลยีพื้นบ๎านอันได๎แกํ การแพทย๑แผนไทย
เภสชั กรรมแผนไทย การนวดไทย สมุนไพร และเทคโนโลยีพืน้ บา๎ น เพอื่ ใช๎ประโยชน๑ในการแก๎ไขปัญหา
สขุ ภาพของชุมชน

(2) สนบั สนนุ และสงํ เสรมิ การดูแลรกั ษาสขุ ภาพของตนเอง โดยใชส๎ มนุ ไพร การแพทย๑พ้นื บ๎าน
การนวดไทย ในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน ให๎เป็นไปอยํางถูกต๎อง เป็นระบบ และสามารถ

ประยุกต๑เขา๎ กบั การดูแลสุขภาพแผนปจั จุบันได๎
จงึ อาจกลาํ วไดว๎ าํ สมนุ ไพรสาํ หรบั สาธารณสุขมลู ฐาน คือสมุนไพรที่ใชใ๎ นการสงํ เสรมิ สขุ ภาพ

และการรักษาโรคหรืออาการเจบ็ ปวู ยเบ้อื งตน๎ เพอ่ื ให๎ประชาชนสามารถพง่ึ ตนเองไดม๎ ากขึ้น

2. ความสาคัญในด้านเศรษฐกิจ
พืชสมนุ ไพรเปน็ พืชเศรษฐกจิ ชนดิ หน่ึงทห่ี ลายประเทศกาํ ลงั ลงทุนสกัดหาตวั ยาเพอ่ื รกั ษาโรค

ตาํ ง ๆ และมีหลายประเทศท่ีนําสมุนไพรไทยไปปลูกและทําการค๎าขายแขํงกับประเทศไทย สมุนไพร
หลายชนิดทีเ่ ราสงํ ออกเปน็ รูปของวตั ถดุ ิบคอื กระวาน ขมิน้ ชนั เรวํ เปล๎าน๎อย และมะขามเปียก เป็นต๎น
ซึ่งสมุนไพรเหลํานี้ตลาดตํางประเทศยังคงมีความต๎องการอีกมาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ๑จึงมี
โครงการวิจัยเพ่ือหาความเป็นไปได๎ ในการพัฒนาคุณภาพและแหลํงปลูกสมุนไพรเพ่ือสํงออก โดย
กําหนดชนดิ ของสมนุ ไพรที่มศี ักยภาพ 13 ชนิด คือ มะขามแขก กานพลู เทียนเกล็ดหอย ดองดึง เรํว
กระวาน ชะเอมเทศ ขมิน้ จันทรเ๑ ทศ ใบพลู พรกิ ไทย ดีปลี และน้ําผึ้ง
ประโยชนข์ องพืชสมนุ ไพร

1. สามารถรักษาโรคบางชนดิ ได๎ โดยไมํต๎องใชย๎ าแผนปจั จบุ นั ซง่ึ บางชนดิ อาจมรี าคาแพง และตอ๎ ง
เสยี คําใช๎จํายมาก อกี ทง้ั อาจหาซื้อไดย๎ ากในทอ๎ งถิ่นนน้ั

2. ให๎ผลการรกั ษาไดด๎ ใี กล๎เคยี งกบั ยาแผนปัจจบุ ัน และใหค๎ วามปลอดภยั แกผํ ใู๎ ช๎มากกวาํ แผน
ปัจจุบนั

3. สามารถหาไดง๎ าํ ยในทอ๎ งถน่ิ เพราะสํวนใหญไํ ดจ๎ ากพชื ซงึ่ มอี ยํูทว่ั ไปทง้ั ในเมอื งและ ชนบท
4. มีราคาถกู สามารถประหยดั คาํ ใชจ๎ าํ ยในการซอ้ื ยาแผนปัจจบุ นั ท่ตี อ๎ งส่งั ซอ้ื จากตํางประเทศ

เปน็ การลดการขาดดลุ ทางการคา๎

5. ใช๎เป็นยาบาํ รุงรกั ษาให๎รํางกายมสี ขุ ภาพแขง็ แรง
6. ใช๎เปน็ อาหารและปลูกเปน็ พืชผกั สวนครัวได๎ เชํน กระะเพเพรราาโโหหรระะพพาาขขิงงิ ขขาํ า่ ตตาํ ำ� ลลงึ งึ
7. ใชใ๎ นการถนอมอาหารเชํน ลกู จนั ทร๑ ดอกจนั ทรแ๑ ละกานพลู
8. ใชป๎ รุงแตงํ กล่นิ สี รส ของอาหาร เชํน ลกู จนั ทร๑ อบเชย พรกิ ไทย ใช๎ปรุงแตํงกลน่ิ อาหารพวก

ขนมปัง เนย ไสก๎ รอก แฮม เบคอน

9. สามารถปลกู เปน็ ไม๎ประดับอาคารสถานทต่ี ําง ๆ ให๎สวยงาม เชนํ คนู ชมุ เหด็ เทศ
10. ใช๎ปรุงเปน็ เครอ่ื งสําอางเพื่อเสรมิ ความงาม เชนํ วํานหางจระเข๎ ประคําดคี วาย
11. ใชเ๎ ป็นยาฆําแมลงในสวนผัก, ผลไม๎ เชนํ สะเดา ตะไครห๎ อม ยาสบู

134 คูม่ อื ส่งเสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลูกเสอื ทักษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ลกู เสอื โท ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5

คูม่ อื สง่ เสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลูกเสอื ทักษะชีวิตในสถานศกึ ษา ประเภทลูกเสอื สามญั หลกั สตู รลกู เสือโท 127
ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5

12. เปน็ พชื ที่สามารถสงํ ออกทาํ รายไดใ๎ หก๎ บั ประเทศ เชํน กระวาน ขม้นิ ชัน กระชาย
13. เปน็ การอนุรกั ษม๑ รดกไทยใหป๎ ระชาชนในแตํละทอ๎ งถน่ิ ร๎ูจกั ชวํ ยตนเองในการนาํ พืชสมุนไพรใน

ทอ๎ งถน่ิ ของตนมาใชใ๎ หเ๎ กิดประโยชนต๑ ามแบบแผนโบราณ
14. ทําใหค๎ นเหน็ คณุ คําและกลบั มาดาํ เนินชวี ิตใกลช๎ ิดธรรมชาตยิ ่ิงขน้ึ
15. ทาํ ให๎เกดิ ความภมู ิใจในวฒั นธรรม และคณุ คาํ ของความเปน็ ไทย

แผนการจดั กจิ กรรมลูกเสอื สามญั ลูกเสือโท ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 5

คู่มือส่งเสริมและพฒั นากจิ กรรมลกู เสอื ทกั ษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ลกู เสอื โท ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 135
ค่มู อื สง่ เสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลกู เสือทกั ษะชีวิตในสถานศกึ ษา ประเภทลูกเสือสามญั หลกั สตู รลูกเสือโท
128 ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5

แผนการจดั กิจกรรมลกู เสือสามญั ลกู เสือโท ชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 5

หนว่ ยที่ 6 งานอดิเรกและเรื่องท่ีสนใจ เวลา 1 ชัว่ โมง
แผนการจัดกจิ กรรมที่ 21 งานอตดามิเรคกวามสนใจ

1. จุดประสงค์การเรียนรู้
ลกู เสือสามารถนาํ เสนองานอดเิ รกทไ่ี ดป๎ ฏิบตั ิ

2. เนอ้ื หา
2.1 การทํางานอดิเรกตามความสนใจ
2.2 การนําเสนองานอดเิ รก

3. ส่ือการเรยี นรู้
3.1 แผนภมู เิ พลง
3.2 การนาํ เสนอผลงานงานอดิเรกของลกู เสือเปน็ หมูํ
3.3 เรือ่ งส้นั ท่ีเปน็ ประโยชน๑

4. กจิ กรรม
1) พิธีเปิดประชุมกอง (ชกั ธงขนึ้ สวดมนต๑ สงบนงิ่ ตรวจ แยก)
2) เพลง หรือ เกม
3) กิจกรรมตามจดุ ประสงค๑การเรยี นร๎ู
1) ลกู เสอื จดั นทิ รรศการงานอดเิ รก
2) ผก๎ู าํ กับลกู เสอื ใหล๎ กู เสือนาํ เสนอนทิ รรศการงานอดเิ รกท่ไี ด๎ปฏบิ ตั เิ ปน็ ระบบหมํู
4) ผ๎ูกาํ กับลกู เสอื เลําเรอ่ื งส้ันทีเ่ ปน็ ประโยชน๑
5) พธิ ปี ิดประชุมกอง (นัดหมาย ตรวจเครื่องแบบ ชกั ธงลง แยก)

5. การประเมนิ ผล
5.1 สังเกตการทาํ งาน
5.2 ตรวจสอบผลงานทีท่ ําสาํ เร็จ

6. องค์ประกอบทกั ษะชีวิตสาคญั ท่เี กิดจากกจิ กรรม
คือ ความคิดวเิ คราะห๑ ความคดิ สร๎างสรรค๑ เข๎าใจตนเองและเหน็ ใจผู๎อนื่ รบั ผดิ ชอบตํอสงั คม

7. คณุ ธรรม
7.1 ความพอเพยี ง
7.2 รบั ผิดชอบ

136 คู่มือคสูม่ ง่ เอื สสรง่มิ เแสลระิมพแัฒลนะาพกฒัจิ กนรรามกลิจูกกเสรอืรมทกัลษูกะเชสวีอื ติ ทใักนสษถะาชนีวศติ ึกใษนาสปถราะนเภศทกึ ลษกู าเสลือสูกาเมสชัญอื ้นั โปทหรละกัชถสน้ัมตู ศปรกึ รลษะกู าถเปสมือีทศโี่ ท5กึ ษาปีท1ี่259

ภาคผนวกประกอบแผนการจัดกจิ กรรมท่ี 21

เพลง

ลกู เสือปลูกปา่

ฉนั พอใจหนกั หนา สมเจตนาที่ไดม๎ ารํวมงาน
พวงมาลนี นั้ มีสเี สรมิ พนั ธ๑ุ (ซาํ้ ) คนดีนนั้ โลกนยิ ม
ชมพฤกษาโขดเขา
ชมดอกไมใ๎ นพนา ความรอ๎ นเราํ ด๎วยการปลกู ปูา
เราทงั้ หลายๆ ชวํ ยบรรเทา เราทกุ คนยดึ ม่ันสร๎างสรรค๑ชาติไทย
เราลูกเสอื สามญั อนรุ กั ษป๑ าู กนั

ปูานเ้ี ขาวาํ มวี หิ ค ปา่ นีม้ วี หิ ค
มาชํวยกนั ๆชมไพร
ปาู นีเ้ ขาวาํ มีความสุข หมนูํ กนบั รอ๎ ยพัน
มากา๎ วเดินๆชมไพร นะเพอื่ นเอยให๎เพลิดเพลนิ
สนกุ ดังเช้ือเชญิ
นะเพอื่ นเอย วไิ ลตา

เรอ่ื งสนั้ ท่ีเป็นประโยชน์

หมาจ้งิ จอกกับหนา้ กาก

หมาจ้งิ จอกตัวหนึง่ ลอบเขา๎ ไปหาอาหารในบา๎ นของนกั เลนํ ละคร เห็นหน๎ากากอันหน่ึงวางอยูํใน
ทส่ี ูง ซงึ่ หากไมพํ ิจารณาให๎ดกี ็จะดเู หมอื นมคี นกาํ ลังจอ๎ งมองลงมา ตอนแรกหมาจงิ้ จอกตกใจเกอื บจะโจน

หนี แตรํ ้งั สตไิ ว๎ได๎ มนั ปนี ขน้ึ ไปดใู กลๆ๎ จึงรู๎วาํ เป็นเพียงหนา๎ กากทม่ี นุษยใ๑ ช๎สวมใสํตอนเลํนละคร
หมาจ้ิงจอกรําพึงกับตนเองวํา “หน๎ากากอันนี้มองดูภายนอกชํวงสวยสงํางามนําเกรงขาม

เหลือเกิน แตํนําเสยี ดายท่ภี ายในนัน้ กลวงและวาํ งเปลาํ ”

เรื่องนส้ี อนให้ร้วู ่า เราจะดูคนแตํเพียงเปลือกนอกไมไํ ด๎ ควรพิจารณาถึงเนอ้ื ในหรอื สํวนประกอบ
อนื่ ๆ ดว๎ ย เชนํ บางคนดูภายนอกแสนดีแตจํ ติ ใจกลบั สกปรกเลวทราม บางคน
ตอํ หน๎าแสดงทําทีรกั ใครํช่ืนชมแตํลับหลังกบั นินทาวําร๎าย บางคนดูทาํ ทางเปน็
ผร๎ู อบรแู๎ ตคํ วามจริงไรส๎ มอง

คมู่ อื ส่งเสริมและพัฒนากจิ กรรมลกู เสือทักษะชวี ติ ในสถานศึกษา ลกู เสอื โท ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 137
คูม่ ือสง่ เสรมิ และพฒั นากิจกรรมลูกเสอื ทักษะชีวิตในสถานศึกษา ประเภทลกู เสอื สามญั หลกั สตู รลกู เสอื โท
130 ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5

แบบสอบถาม เรอ่ื งการเลน่ เกม ช้นั ป.4 - ป.6
คาํ อธบิ าย : วงกลมรอบหัวขอ๎ ทีต่ รงกับความเหน็ ของตนเอง

1. เคยเลนํ เกมจากสอ่ื อิเลค็ ทรอนกิ สป๑ ระเภทใดบ๎าง (เลอื กตอบไดห๎ ลายขอ๎ ตามความเปน็ จรงิ )

ก. ไมเํ คยเลนํ เกม ข. เกมกด

ค. เกมวีดีโอ ง. เกมคอมพิวเตอร๑

จ. เกมออนไลน๑ ฉ. อื่นๆ ........................................(ระบ)ุ

2. เลํนเกมชํวงเวลาใดบ๎าง (เลอื กตอบไดห๎ ลายข๎อตามความเปน็ จรงิ )

ก. กอํ นมาโรงเรียน ข. เวลาเรยี น

ค. ชวํ งเยน็ หลงั เลกิ เรยี น ง. กลางคนื

จ. วนั หยดุ ฉ. อื่นๆ........................................(ระบุ)

3. เวลาเฉลีย่ ท่ใี ชใ๎ นการเลนํ เกมแตํละครั้ง

ก. น๎อยกวาํ 1 ชั่วโมง ข. 1 ชวั่ โมง ถงึ 3 ช่ัวโมง

ค. มากกวํา 3 ชวั่ โมง แตไํ มํถึง 5 ช่วั โมง ง. มากกวํา 5 ช่ัวโมงขนึ้ ไป

4. จํานวนเงนิ ทใี่ ช๎ในการเลนํ เกมแตํละครั้ง

ก. น๎อยกวํา 10 บาท ข. 10 บาท ถึง 30 บาท

ค. มากกวาํ 30 บาท แตไํ มถํ ึง 50 บาท ง. มากกวํา 50 บาทข้ึนไป

จ. อนื่ ๆ ระบ.ุ .......................

5. เหตุผลที่ชอบเลนํ เกม (เลือกตอบได๎หลายขอ๎ ตามความเป็นจริง)

ก. สนุก เพลิดเพลิน ข. อยากเอาชนะ

ค. จะไดเ๎ ข๎ากับเพอ่ื นได๎ ง. ชอบตรงความตืน่ เตน๎ หวาดเสยี ว

จ. เหงาไมรํ ๎จู ะทาํ อะไร ฉ. อน่ื ๆ ระบ.ุ ..................................

6. เกมทเ่ี คยเลํนมเี รอื่ งเกย่ี วกับอะไรบา๎ ง (เลอื กตอบไดห๎ ลายข๎อตามความเป็นจรงิ )

ก. ตํอส๎ู เอาชนะ ข. บ๏ลู า๎ งผลาญ ดว๎ ยอาวุธนานาชนดิ
ค. แขงํ ขนั ประลองความเรว็ ง. ผจญภัย ตน่ื เตน๎ หวาดเสยี ว

จ. อื่นๆ ระบ.ุ .......................................................................................................

7. เคยมกี ารกระทาํ ใดบา๎ งในขอ๎ ตอํ ไปนี้ (เลอื กตอบได๎หลายขอ๎ ตามความเปน็ จริง)

ก. เลนํ เกมเพลนิ จนลมื กินขา๎ ว ข. นอนดึกเพราะเลํนเกมตดิ พนั

ค. เลํนเกมจนลมื ทาํ การบ๎าน ง. เลํนเกมตนื่ เต๎นหวาดเสยี วจนเกบ็ ไปฝนั

จ. อนื่ ๆ ระบ.ุ .........................................................................................................

8. นกั เรียนคิดวาํ ตนเองติดเกมหรือไมํ เพราะอะไร

ก. ตดิ ข. ไมตํ ดิ

เหตุผล.................................................................................................................

............................................................................................................................

138 คมู่ ือส่งเสริมและพัฒนากจิ กรรมลูกเสือทักษะชีวติ ในสถานศึกษา ลูกเสือโท ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5

คู่มอื ส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมลกู เสือทกั ษะชวี ติ ในสถานศึกษา ประเภทลกู เสอื สามญั หลักสตู รลูกเสอื โท 131
ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5

แบบรายงานผลการสารวจ

ผลการสาํ รวจนกั เรียนชนั้ .....................จํานวนทงั้ หมด.....................คน

1. เคยเลํนเกมจากสอื่ อิเลค็ ทรอนิกส๑ประเภทใด

ก. ไมํเคยเลํนเกมเลย .............คน ข. เคยเลํนเกมกด.............................คน

ค. เคยเลนํ เกมวดี ีโอ.................คน ง. เคยเลํนเกมคอมพิวเตอร๑..............คน

จ. เคยเลนํ เกมออนไลน๑............คน ฉ. อ่นื ๆ ระบุ............................จํานวน..............คน

2. เลํนเกมชํวงเวลาใดบ๎าง

ก. กํอนมาโรงเรยี น.......... คน ข. เวลาเรียน.........คน

ค. ชํวงเยน็ หลงั เลกิ เรยี น.........คน ง. กลางคนื .........คน

จ. วนั หยดุ .........คน ฉ. อื่นๆ ระบุ.............................จาํ นวน............คน

3. เวลาเฉล่ียทใี่ ชใ๎ นการเลนํ เกมแตํละคร้ัง

ก. น๎อยกวํา 1 ช่ัวโมง..........คน ข. 1 ชัว่ โมง ถงึ 3 ช่ัวโมง..........คน

ค. มากกวํา 3 ชั่วโมงแตํไมํถงึ 5 ชัว่ โมง..คน ง. มากกวาํ 5 ช่ัวโมงข้ึนไป.............คน

4. จาํ นวนเงินทใ่ี ช๎ในการเลนํ เกมแตลํ ะครัง้

ก. น๎อยกวาํ 10 บาท..........คน ข. 10 บาท ถงึ 30 บาท..............คน

ค. มากกวํา 30 บาท แตํไมํถึง 50 บาท...คน ง. มากกวํา 50 บาทขึ้นไป..........คน

จ. อนื่ ๆ ระบุ................. จํานวน..............คน

5. เหตุผลที่ชอบเลนํ เกม

ก. สนุก เพลิดเพลนิ .....................คน ข. อยากเอาชนะ.....................คน

ค. จะไดเ๎ ข๎ากับเพ่อื นได.๎ ...............คน ง. ชอบตรงความตื่นเตน๎ หวาดเสียว........คน

จ. เหงาไมรํ จ๎ู ะทาํ อะไร......................คน ฉ. อื่นๆ ระบุ ...................จาํ นวน.

6. เกมที่เคยเลํนมเี รอ่ื งเกี่ยวกบั อะไรบา๎ ง
ก. ตํอสู๎ เอาชนะ......................คน ข. บูล๏ ๎างผลาญ ด๎วยอาวธุ นานาชนดิ ........คน

ค. แขํงขนั ประลองความเรว็ ................คน ง. ผจญภัย ต่นื เต๎น หวาดเสยี ว..............คน

จ. อืน่ ๆ ระบุ...............จาํ นวน.............คน

7. เคยมกี ารกระทาํ ใดบ๎างในขอ๎ ตอํ ไปนี้

ก. เลํนเกมเพลนิ จนลมื กนิ ขา๎ ว..........คน

ข. นอนดกึ เพราะเลํนเกมตดิ พนั .............คน

ค. เลนํ เกมจนลืมทําการบา๎ น.........คน

ง. เลํนเกมตนื่ เตน๎ หวาดเสียว จนเกบ็ ไปฝัน..............คน

จ. อ่ืนๆ ระบ.ุ ..........................................................................จํานวน.............คน

8. คดิ วําตนเองตดิ เกม.............คน ไมํตดิ เกม....................คน

1ค3มู่ 2ือส่งเสคชรมู่้ันมิ ือปแสรล่งะะเถสพมรฒัศมิ ึกแนษลาาะกปพจิีทัฒก่ี น5รารกมจิ ลกกูรรเมสลือูกทเสักอื ษทะกั ชษีวะติ ชใีวนิตสในถสาถนาศนึกศึกษษาา ลปกูระเสเภือทโลทกู เชสือนั้ สปารมะญั ถมหศลักึกสษตู ารปลทีูกเี่ ส5อื โท 139

9. เหตผุ ลของคนทีบ่ อกวาํ ตดิ เกม ไดแ๎ กํ
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
10. เหตุผลของคนทีบ่ อกวาํ ไมตํ ดิ เกม ไดแ๎ กํ
...........................................................................................................................................................

...........................................................................................................................................................

140 คมู่ อื ส่งเสริมและพฒั นากจิ กรรมลกู เสือทักษะชวี ติ ในสถานศึกษา ลูกเสือโท ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 5

คู่มอื ส่งเสรมิ และพัฒนากิจกรรมลูกเสอื ทักษะชีวติ ในสถานศึกษา ประเภทลูกเสอื สามญั หลักสตู รลกู เสือโท 133
ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 5

แผนการจัดกิจกรรมลูกเสอื สามญั ลกู เสอื โท ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5

หน่วยที่ 7 คาณุ ปธฏริญรมาณจแริลยะธกรฎรมของลกู เสอื
แผนการจดั กิจกรรมที่ 22 การปฏิบตั ติ ามคาปฏญิ าณและกฎของลกู เสือ เวลา 2 ชัว่ โมง

1. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
ลูกเสอื สามารถปฏิบตั ติ ามคาํ ปฏญิ าณและกฎของลกู เสอื ได๎

2. เนื้อหา
คาํ ปฏิญาณและกฎของลกู เสือ

3. สือ่ การเรยี นรู้
3.1 แผนภมู เิ พลง เกม
3.2 ใบความรู๎ เร่อื งคําปฏิญาณและกฎของลกู เสอื
3.3 เร่ืองส้นั ที่เปน็ ประโยชน๑

4. กิจกรรม
4.1 กจิ กรรมครงั้ ท่ี 1
1) พธิ เี ปิดประชุมกอง (ชกั ธงขึน้ สวดมนต๑ สงบนิ่ง ตรวจ แยก)
2) เพลง หรอื เกม
3) กจิ กรรมตามจดุ ประสงค๑การเรียนรู๎
(1) ผกู๎ ํากับลูกเสอื ใหล๎ กู เสอื ทบทวนคําปฏิญาณและกฎของลกู เสอื

(2) มอบหมายงานให๎ลูกเสือแตํละหมูํรํวมกันคิดการแสดงบทบาทสมมุติ หมูํละ 1 เร่ือง
ที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตประจําวัน ที่สอดคล๎องกับคําปฏิญาณและกฎของลูกเสือ ข๎อใด
ขอ๎ หนงึ่ หรือหลายข๎อ โดยสํงตัวแทนแสดงบทบาทสมมุติ หลังแสดงบทบาทสมมุติ จน
ให๎ลูกเสือหมูํอ่ืนทายวําสอดคล๎องกับกฎของลูกเสือข๎อใด แล๎วจึงเฉลยพร๎อมอธิบาย
เพ่ิมเตมิ

(3) ผก๎ู ํากบั ลกู เสอื และลกู เสือรํวมกันสรปุ การปฏิบตั ติ ามคําปฏิญาณและกฎของลกู เสอื

4) ผ๎กู าํ กบั ลกู เสอื เลําเร่อื งส้นั ทเี่ ปน็ ประโยชน๑
5) พิธีปดิ ประชมุ กอง (นดั หมาย ตรวจเครื่องแบบ ชักธงลง เลิก)

4.2 กิจกรรมครั้งที่ 2

1) พิธเี ปิดประชมุ กอง (ชกั ธงขน้ึ สวดมนต๑ สงบน่ิง ตรวจ แยก)
2) เพลง หรอื เกม
3) กิจกรรมตามจดุ ประสงคก๑ ารเรยี นร๎ู

คู่มอื ส่งเสรมิ และพัฒนากิจกรรมลูกเสือทกั ษะชีวิตในสถานศกึ ษา ลกู เสอื โท ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 141
คูม่ อื ส่งเสรมิ และพัฒนากิจกรรมลกู เสือทกั ษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสือสามัญ หลกั สูตรลกู เสือโท
134 ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 5

(1) ให๎ลูกเสือแตํละหมูํท่ียังไมํได๎แสดง สํงตัวแทนแสดงบทบาทสมมุติ หลังแสดง
บทบาทสมมตุ จิ บ ใหล๎ ูกเสือหมํูอน่ื ทายวําสอดคล๎องกบั กฎของลกู เสือข๎อใด แล๎วหมํู
ทแ่ี สดงจึงเฉลย พรอ๎ มอธิบายเพ่ิมเติม จนครบทุกหมูํ
(2) ผก๎ู ํากับลูกเสอื อธบิ ายสรปุ ขอ๎ คิด
4) ผกู๎ ํากับลกู เสอื เลาํ เรื่องส้นั ทเ่ี ป็นประโยชน๑
5) พธิ ีปิดประชุมกอง (นัดหมาย ตรวจเครอ่ื งแบบ ชกั ธงลง เลิก)

5. การประเมินผล
5.1 สงั เกตการทาํ งานระบบหมํู การทาํ หนา๎ ทผี่ น๎ู ําและสมาชกิ ทด่ี ขี องกลมํุ
5.2 ตรวจสอบ ความเข๎าใจเร่ืองคําปฏิญาณและกฎลกู เสือทบ่ี ูรณาการกับชีวิตจริง

6. คุณธรรม
6.1 รบั ผดิ ชอบ
6.2 อดุ มการณ๑คุณธรรม

ภาคผนวกประกอบแผนการจดั กจิ กรรมท่ี 22
เพลง

กฎของลูกเสอื
กฎท่ีหนง่ึ พึงจําใหด๎ ี ลูกเสือต๎องมเี กียรตเิ ช่ือถือได๎
กฎที่สอง นน้ั รองลงไป ตอ๎ งจงภกั ดีในผ๎มู พี ระคณุ
กฎทส่ี าม นน้ั บาํ เพ็ญบญุ ชวํ ยเหลือเกอ้ื กูล เพือ่ ประโยชนเ๑ รื่อยไป

นะเธอ อยําลมื อยาํ ลมื นะ นะ นะเธอ อยาํ ลมื อยาํ ลืม
กฎทสี่ ี่ อันนี้นาํ คิด ลกู เสอื เปน็ มิตรกบั ท่วั ไป
กฎทีห่ ๎า ทาํ นวาํ เอาไว๎ มารยาทน้นั ไซร๎ กราบไหว๎งาม ๆ
กฎท่ีหก นรกไมตํ าม ลกู เสือมคี วามกรุณาสัตวม๑ นั

นะเธอ อยําลมื อยาํ ลืม นะ นะ นะเธอ อยาํ ลืม อยาํ ลืม
กฎที่เจด็ จงเชอื่ จงฟงั ในคาํ สง่ั โดยดุษฎี
กฎท่ีแปด ยิม้ ๆ ไวซ๎ ี ลกู เสอื ตอ๎ งมนี ํ้าอดน้ําทน
กฎที่เกา๎ ออมไวห๎ น๎ามล ถึงคราวอบั จน เงินทองมากมี
กฎที่สบิ ประพฤติจงดี ทง้ั กายวจี มโนพรอ๎ มกัน

142 คมู่ ือส่งเสรมิ และพัฒนากิจกรรมลกู เสือทกั ษะชวี ิตในสถานศกึ ษา ลกู เสือโท ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 5

คมู่ อื สง่ เสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลูกเสอื ทกั ษะชีวิตในสถานศึกษา ประเภทลกู เสือสามญั หลกั สูตรลกู เสือโท 135
ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 5

เกม

หาคู่
วิธีเลํน ให๎ลูกเสือยืนเป็นวงกลม วงซ๎อนกัน โดยยืนหันหน๎าเข๎าหากัน แล๎วจําไว๎วําคูํของตน
คือใคร ให๎วงกลมทั้งสองทําขวาหัน แล๎วเดินสวนกันในวงกลมตามเพลง (เปิดวิทยุหรือ ให๎ลูกเสือ
ร๎องเพลงงํายๆ ตามที่ผ๎ูกาํ กับกําหนด) เมื่อผู๎กาํ กับเปูานกหวีด ให๎ลูกเสือหาคูํของตนเองเมื่อเจอแล๎ว
ให๎จับมือน่งั ลง คํูท่ีหาคํูช๎าทีส่ ุด จะต๎องออกจากการแขงํ ขัน เสร็จแล๎วเร่ิมต๎นใหมํ คูํท่ีเหลือเป็นคํูสุดท๎าย
จะเป็นผู๎ชนะ

เรอ่ื งสน้ั ทเ่ี ป็นประโยชน์

ลูกชายทัง้ เกา้
เศรษฐีคนหนงึ่ มีลกู ชายเก๎าคน ครั้นแกํเฒําก็ร๎จู ักเปน็ หวํ งทรพั ย๑สินของตนเองและอนาคตของลูกๆ
วันหนึ่งเศรษฐีได๎เรียกลูกท้ังเก๎ามาพบแล๎วบอกวํา พํอจะทดสอบวําใครเหมาะสมท่ีจะเป็นผู๎ดูแลสมบัติ
หลังจากท่ีพํอได๎ตายแล๎ว เศรษฐีกําเมล็ดถ่ัวไว๎แล๎วพูดกับลูกวํา เจ๎าจงนําเมล็ดถ่ัวฝักยาวไปปลูกและ
บาํ รุงรักษาใหด๎ ที ่สี ดุ หากเมลด็ ถ่ัวของผ๎ใู ดงอกงามใหฝ๎ ักอวบอว๎ นสมบรู ณ๑ พํอจะตัดสินให๎ผู๎น้ันเป็นผู๎ดูแล
ทรพั ย๑สมบตั ิของพํอตอํ ไป แล๎วลูกชายทงั้ เกา๎ ก็รบั ถั่วไปคนละเมด็ แลว๎ ย๎ายไปปลกู ทีท่ างของตน
คร้นั ไดเ๎ วลาถวั่ ออกฝัก ก็อวบอ๎วนสมบรูณ๑เหมอื นๆ กนั ทกุ คน มีแตํลูกชายคนสุดท๎ายเทํานั้นท่ี
ไมํได๎นําฝักถ่ัวของตนเองมาให๎พํอดู เศรษฐีสงสัยจึงถามวํา เจ๎าสุทธิไหนลํะถ่ัวท่ีเป็นผลผลิตของ
เจ๎าเศรษฐถี าม เจา๎ สุทธคิ กุ เขําลงข๎างพํอ ผมเอาเมล็ดถ่ัวที่พํอให๎ไปปลูกดูแลรักษาอยํางดี แตํเทําไรก็
ไมยํ อมแตกหนํอข้ึนเปน็ ตน๎ แทนทเ่ี ศรษฐีจะตําหนิ กลับหวั เราะ ฮาํ ฮาํ ุ. ดมี ากลกู เอย๐ เจ๎าเป็นคนดี
มคี วามชื่อสตั ย๑ สวํ นพท่ี ัง้ แปดคนล๎วนแยพํ อๆ กัน
พูดจบเศรษฐีก็เอ้ือมมือลูบหัวสุทธิลูกชายคนสุดท๎อง แล๎วประกาศความจริงให๎ลูกที่ดี มีความ
ซอ่ื สตั ย๑มารบั ภาระรักษาสมบัติสบื ทอดตํอไป ซ่ึงที่จริงแล๎วเมล็ดถ่ัวท่ีเศรษฐีให๎ลูกๆ ไปปลูกน้ัน ถูกนําไป
คว่ั จนสกุ กอํ นแล๎ว จะปลูกขึ้นได๎อยํางไร ดงั น้ันลกู ทงั้ แปดของเศรษฐีก็พากันตบตาผู๎เป็นพํอ ด๎วยการนํา
เมล็ดถ่วั พันธด๑ ีๆ มาปลูก มีแตํสุทธิลูกชายคนเล็กของเศรษฐีเทําน้ัน ดั้งน้ันเขาจึงได๎รับการแตํงต้ังให๎
เป็นผู๎ดแู ลมรดกตั้งแตนํ ้ันมา

เรื่องนี้สอนใหร้ วู้ า่ ความซื่อสัตยส๑ ุจริตเปน็ คณุ สมบตั ทิ ส่ี ําคญั ทส่ี ดุ สาํ หรบั คนท่ีจะทาํ งานเพอื่ สวํ นรวม

ความโลภและความริษยา
กาลคร้ังหนึ่ง นานมาแล๎ว มีชายสองคนซ่ึงเป็นเพ่ือนบ๎านกัน วันหนึ่งได๎ชวนกันไปเฝฺาเทพจูปี
เตอรห๑ รอื ซีอสุ ผเู๎ ป็นราชาแหงํ เทพเจ๎าท้ังปวง เทพจปู เี ตอร๑รูว๎ าํ ชายคนแรกนัน้ เป็นคนท่มี ีแตคํ วามโลภ
สํวนชายอกี คนหนึ่งในใจของเขามแี ตคํ วามริษยา เพอื่ เป็นการสั่งสอนและลงโทษ เทพจปู ีเตอร๑จึง
อนุญาตใหท๎ ้ังชายสองนึกขอพรในใจได๎ตามปรารถนาแตํมขี อ๎ แม๎วําทํานจะบันดาลให๎อีกคนหนึ่งได๎รับพร

คูม่ ือส่งเสริมและพฒั นากิจกรรมลูกเสอื ทักษะชวี ติ ในสถานศึกษา ลกู เสือโท ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 143
คมู่ ือสง่ เสรมิ และพฒั นากิจกรรมลกู เสือทักษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสือสามญั หลกั สตู รลกู เสอื โท
136 ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 5

เป็นสองเทาํ ของผท๎ู ีข่ อ “ข๎าตอ๎ งการเพชรนิลจนิ ดาและทองคําเต็มหอ๎ ง”ชายผม๎ู คี วามโลภนกึ ขอพรเป็นคน
แรก แตํแล๎วเขาก็ต๎องเสียใจเพราะเพิ่งนึกได๎วําเพื่อนของตนจะต๎องได๎เพชรนิลจินดาถึงสองห๎องแม๎จะ
สมปรารถนาชายผู๎มีความโลภก็หาความสุขใจมิได๎แม๎แตํน๎อย สํวนชายอีกคนหนึ่งไมํร๎ูวําบัดนี้ตนเอง
กลายเป็นมหาเศรษฐีไปโดยบังเอญิ เพราะความโลภของเพื่อนบ๎านเขาคิดแตํวําไมํอยากให๎เพ่ือนของตน
เสวยสุขกับพรทไี่ ดร๎ บั จากเทพเจ๎าจงึ ขอพรให๎ตวั เองตาบอดขา๎ งหนงึ่ เพื่อให๎ชายผม๎ู ีความโลภตาบอดสองขา๎ ง

เรือ่ งนส้ี อนให้รู้วา่ ความโลภและความรษิ ยา เป็นหนทางไปสํคู วามวิบัติ

ใบความรู้

คาปฏญิ าณและกฎลกู เสือสามัญ

คาปฏิญาณลูกเสือสามัญ 3 ขอ๎ ด๎วยเกียรตขิ องขา๎ ขา๎ ขอสญั ญาวาํ
ข๎อ 1 ข๎าจะจงรกั ภักดตี อํ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย๑

(ความหมาย – ลกู เสือจะต๎องมีความศรทั ธา เชือ่ มนั่ ในชาติ ศาสนาและพระมหากษัตรยิ ข๑ อง
ตน เคารพเทดิ ทนู ท้ัง 3 สถาบนั ด๎วยความซอ่ื สตั ย)๑

ข๎อ 2 ขา๎ จะชวํ ยเหลือผ๎อู นื่ ทุกเมอื่
(ความหมาย – ลูกเสอื จะตอ๎ งประพฤติปฏิบตั ิตนใหเ๎ ปน็ ประโยชนต๑ ํอผ๎อู น่ื ในทุกโอกาสทกุ สถานการณ๑
เทาํ ทจ่ี ะทาํ ได๎ โดยเรม่ิ ต้ังแตํครอบครัวจนถึงสังคมภายนอก)

ขอ๎ 3 ขา๎ จะปฏบิ ตั ิตามกฎของลูกเสือ
(ความหมาย - ลูกเสือต๎องปฏิบัติตนตามกฎ 10 ข๎อ ของลูกเสือซึ่งเป็นหลักยึดเหน่ียวให๎ลูกเสือ
ปฏิบัติแตํส่ิงดีงาม)

กฎของลูกเสอื มี 10 ข้อ ดังนี้คอื
1. ลกู เสือมเี กียรตเิ ช่อื ถอื ได๎
2. ลูกเสอื มคี วามจงรกั ภกั ดีตอํ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย๑ และซอ่ื ตรงตํอผมู๎ พี ระคณุ
3. ลกู เสอื มหี นา๎ ทีก่ ระทําตนให๎เปน็ ประโยชน๑และชวํ ยเหลือผอ๎ู น่ื

4. ลกู เสอื เปน็ มติ รของคนทกุ คนและเปน็ พน่ี ๎องกบั ลูกเสืออน่ื ทัว่ โลก
5. ลูกเสือเปน็ ผ๎ูสภุ าพเรยี บรอ๎ ย
6. ลูกเสือมคี วามเมตตากรุณาตอํ สัตว๑
7. ลกู เสือเช่อื ฟังคาํ ส่ังของบดิ า มารดา และผบ๎ู ังคบั บญั ชาดว๎ ยความเคารพ
8. ลกู เสอื มิใจรําเริงและไมํยอํ ท๎อตอํ ความยากลําบาก
9. ลกู เสือเป็นผ๎มู ธั ยสั ถ๑

10. ลกู เสอื ประพฤตชิ อบดว๎ ยกาย วาจา ใจ

144 ค่มู ือส่งเสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลูกเสือทักษะชวี ติ ในสถานศกึ ษา ลกู เสือโท ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5

คมู่ อื สง่ เสรมิ และพฒั นากจิ กรรมลกู เสอื ทกั ษะชวี ติ ในสถานศึกษา ประเภทลูกเสือสามญั หลกั สตู รลูกเสอื โท 137
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5

ขอ๎ 1. “ลูกเสือมเี กียรตเิ ช่อื ถอื ได๎” คือ เปน็ ผมู๎ เี กยี รตเิ ป็นที่ไว๎วางใจของผ๎อู น่ื เชือ่ ถือได๎ เม่ือกลําวสิง่
ใดออกไปแลว๎ ต๎องรกั ษาสัจจะ ปฏิบัตเิ หมือนปากพูดเสมอ เม่ือได๎รับมอบหมายส่ิงใดต๎องทําส่ิงนั้นให๎เสร็จ
เรียบรอ๎ ยดว๎ ยความตั้งใจจริงจนเต็มความสามารถ ตามสติกําลงั ไมํเพกิ เฉยหลกี เลี่ยง

ข๎อ 2. “ลูกเสือมีความจงรักภักดีตํอชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย๑ และซื่อตรงตํอผ๎ูมีพระคุณ”

หมายความวํา จะต๎องมีความจงรักภักดีตํอประเทศชาติของตน ศาสนา พระมหากษัตริย๑ ด๎วยใจจริง
ประพฤตติ นเปน็ พลเมอื งดี ปฏิบตั ติ ามกฎหมาย ระเบียบแบบแผน ประเพณี และมีความซื่อตรงตอํ พํอแมํ
ครู อาจารย๑ ผบู๎ ังคบั บญั ชาและผู๎มีพระคณุ

ข๎อ 3. “ลูกเสือมีหน๎าที่กระทําตนให๎เป็นประโยชน๑และชํวยเหลือผ๎ูอื่น” หมายความวํา จะต๎อง
พยายามทําประโยชนแ๑ กํผอ๎ู น่ื เตรยี มพรอ๎ มเสมอทีจ่ ะชวํ ยชวี ติ ผอ๎ู ่ืนให๎รอดพ๎นจากอนั ตราย

ขอ๎ 4. “ลูกเสือเป็นมิตรของคนทุกคนและเป็นพี่น๎องกับลูกเสืออ่ืนท่ัวโลก” หมายถึง ลูกเสือจะต๎อง
เปน็ ผ๎ูโอบอ๎อมอารีแกํคนทวั่ ไปโดยไมํเลือกชาตหิ รือชั้นวรรณะโดยถอื วาํ เป็นพนี่ อ๎ งกันทวั่ โลก

ข๎อ 5. “ลูกเสือเป็นผ๎ูสุภาพเรียบร๎อย” หมายความวํา เป็นผู๎มีกิริยาวาจาสุภาพแกํบุคคลท่ัวไป
โดยเฉพาะเด็กและคนชรา

ข๎อ 6. “ลกู เสอื มีความเมตตากรุณาตํอสตั ว๑” หมายถึง เป็นผม๎ู ีจิตใจเมตตา กรุณา ไมํฆํา ไมํทรมาน
สัตว๑ เมื่อปูวยต๎องดูแลรักษา ถ๎าเป็นสัตว๑ท่ีใช๎งานก็พยายามใช๎แคํพอสมควร และให๎สัตว๑น้ันได๎รับความ

สบายพอสมควร
ข๎อ 7. “ลูกเสือเช่ือฟงั คาํ สง่ั ของบิดา มารดา และผบู๎ ังคับบัญชาดว๎ ยความเคารพ” หมายความวํา

ลูกเสอื จะต๎องเป็นผูป๎ ฏิบัตติ ามคาํ สัง่ โดยไมํลังเลใจ กระทาํ ด๎วยความเต็มใจเขม๎ แข็ง
ข๎อ 8. “ลกู เสอื มีใจราํ เรงิ และไมํยํอทอ๎ ตอํ ความยากลําบาก” หมายถงึ เป็นผ๎มู คี วามย้มิ แย๎มแจํมใส

ไมบํ ํน ไมํยอํ ท๎อตอํ ความยากลาํ บาก แมจ๎ ะพบอุปสรรค๑กต็ อ๎ งฟนั ฝาู และอดทน
ขอ๎ 9. “ลูกเสอื เป็นผม๎ู ธั ยสั ถ๑” หมายความวาํ ลกู เสอื จะตอ๎ งเปน็ ผรู๎ ๎จู ักประหยัด รู๎จักเก็บหอมรอม

ริบ ใช๎จํายอยํางประหยัด ไมํปลํอยเวลาให๎เสียไปโดยเปลําประโยชน๑ และรู๎จักรักษาทรัพย๑ส่ิงของทั้งของ
ตนเองและผูอ๎ ่นื

ข๎อ 10. “ลูกเสอื ประพฤติชอบดว๎ ยกาย วาจา ใจ” หมายความวาํ ลูกเสือจะตอ๎ งประพฤตติ นดีงาม
วาจาเรียบร๎อย มีจติ ใจสะอาด มคี วามสะอาดตอํ บาปและเกรงกลัวตํอความชัว่ มีสตเิ หนยี่ วรง้ั ไมยํ อมกระทําสง่ิ ผิด

คมู่ ือส่งเสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลูกเสอื ทักษะชวี ติ ในสถานศึกษา ลกู เสือโท ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 5 145

138 คมู่ อื สง่ เสริมและพฒั นากิจกรรมลูกเสอื ทกั ษะชีวติ ในสถานศึกษา ประเภทลกู เสอื สามญั หลกั สูตรลกู เสือโท
ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 5

แผนการจัดกจิ กรรมลกู เสอื สามัญ ลูกเสอื โท ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 5
หนว่ ยที่ 6 คาณุ ปธฏรญิ รมาณจแรลิยะธกรฎรมของลกู เสอื

แผนการจัดกจิ กรรมที่ 23 เพ่ิมพนู ประสบการณ์ มุง่ ม่ันส่คู วามสาเรจ็ เวลา 1 ชัว่ โมง

1. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
ลกูกเเสสอื ือสสาามมาารรถถววางาแงแผผนนกการาสรอสบอวบชิวาิชพาพเิ ศเิ ษศลษกู ลเูกสเอื สสือาสมาญั มไัญดไ้ ด๎

2. เนอ้ื หา
วชิ าพิเศษลกู เสือสามัญ

3. สือ่ การเรยี นรู้
3.1 แผนภมู เิ พลง
3.2 แผนภมู ิการสอบวชิ าพิเศษลกู เสอื สามญั
3.3 เรือ่ งส้นั ท่ีเปน็ ประโยชน๑

4. กิจกรรม
4.1 พธิ เี ปิดประชุมกอง (ชักธงขนึ้ สวดมนต๑ สงบนงิ่ ตรวจ แยก)
4.2 เพลง หรอื เกม
4.3 กจิ กรรมตามจุดประสงคก๑ ารเรียนรู๎
1) ผ๎กู าํ กบั ลกู เสอื อธบิ ายถึงความสาํ คญั ของการสอบวชิ าพเิ ศษทล่ี กู เสอื สามญั ทุกคนได๎สอบ
เพ่อื เพมิ่ พนู ทักษะทางลกู เสอื
2) ลกู เสือศึกษาจากหลักสูตรวิชาพิเศษลกู เสือสามญั แล๎วใหล๎ ูกเสอื ไปฝึกปฏบิ ัติในวิชาทจ่ี ะสอบ
3) ให๎ลูกเสอื วางแผนการสอบวิชาพิเศษตามที่ตนสนใจ โดยนัดหมายการสอบกบั ผกู๎ ํากบั ลกู เสอื
4.4 ผ๎กู ํากบั ลูกเสอื เลาํ สน้ั เร่อื งที่เปน็ ประโยชน๑
4.5 พิธีปิดประชุมกอง (นดั หมาย ตรวจเครอ่ื งแบบ ชักธงลง เลิก)

5. การประเมินผล
5.1 ทดสอบตามเกณฑว๑ ิชาพิเศษลูกเสอื สามญั
5.2 ข๎อเสนอแนะ ใหเ๎ วลาลกู เสอื ไปฝกึ อบ เวลา 1 สัปดาห๑ แลว๎ จงึ นดั หมายการทดสอบ

6. คณุ ธรรม
6.1 ความพอเพยี ง
6.2 ซือ่ สัตยส๑ จุ ริต
6.3 รบั ผดิ ชอบ
6.4 ความกตญั ๒ู
6.5 อุดมการณ์คณุ ธรรม

146 คู่มือส่งเสรมิ และพัฒนากิจกรรมลูกเสอื ทกั ษะชีวิตในสถานศึกษา ลกู เสอื โท ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5

คู่มอื ส่งเสรมิ และพัฒนากจิ กรรมลกู เสอื ทกั ษะชวี ติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลูกเสอื สามัญ หลักสูตรลกู เสอื โท 139
ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 5

ภาคผนวกประกอบแผนการจดั กิจกรรมท่ี 23

เพลง

บรกิ าร

บรกิ าร บริการ งานที่พวกเราทาํ เป็นประจํา เราทําไปไมํเคยคดิ รวนเร เฮ๎ (สรอ๎ ย) (ซา้ํ )

เกบ็ กวาดเราทาํ ทกุ สงิ่ ไมเํ คยคดิ ทจ่ี ะเบอ่ื
เพราะเรานี่เปน็ ลูกเสือ ชํวยเหลอื หนา๎ ทบ่ี รกิ าร (สร๎อย)
เก็บกวาดเราทาํ ทุกอยําง สะอาดทุกทางท่ีผาํ น
หนา๎ ที่ทกุ ๆ สถาน เราน้นั บริการทั่วไป (สรอ๎ ย)

เร่ืองส้ันทเ่ี ปน็ ประโยชน์

อันนินทากาเล

ฝกึ ให๎ตนเองเขา๎ ใจเรอ่ื งของการนนิ ทา หมายความวํา เราเกิดมาก็ต๎องรู๎ตัววํา เราต๎องถูกนินทา
แนนํ อน ดงั นั้นเมอ่ื ถกู นนิ ทาขอใหร๎ ู๎วาํ เรามาถกู ทางแลว๎ แปลวาํ เรายงั มตี วั ตนอยํูบนโลก คนท่ีชอบเต๎น
โมโหโกรธกับคํานินทาก็คือคนไมํร๎ูเทําทันโลก แม๎แตํคนเป็นพํอแมํก็ยังนินทาลูก ลูกก็นินทาพํอ แมํ
นับประสาอะไรกับคนอ่นื

ถ๎าเราห๎ามตนเองไมใํ ห๎ นินทาคนอื่นไดเ๎ มอื่ ไหรํ คอํ ยมาคดิ วําเราไมํถูกนนิ ทา

เร่ืองนสี้ อนให้รู้วา่ ไมมํ ใี ครทไ่ี มถํ ูกนนิ ทา

148 คู่มอื ส่งเสริมและพฒั นากิจกรรมลูกเสอื ทกั ษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ลูกเสอื โท ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 5

140 คูม่ อื ส่งเสรมิ และพัฒนากิจกรรมลกู เสอื ทกั ษะชีวติ ในสถานศกึ ษา ประเภทลกู เสือสามัญ หลกั สูตรลกู เสอื โท
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5

ใบความรู้

วชิ าพเิ ศษลูกเสือสามัญ

ลูกเสอื สามญั อาจสอบวชิ าพิเศษลูกเสอื สามัญได๎ตามหลกั สูตรทก่ี ําหนดไว๎ วิชาพิเศษเหลําน้ี
มํุงหมายให๎ลูกเสือได๎แสดงออกทางทักษะ และความสนใจของตนเอง เพื่อให๎ได๎มีสํวนในการปฏิบัติ

กจิ กรรมรวํ มกับลกู เสืออ่นื ๆ ด๎วย วชิ าพเิ ศษลูกเสอื สามญั มดี ังตอํ ไปน้ี

1. นกั จักสาน 19. นักผจญภยั ในปูา 37. นักเคร่อื งบนิ เลก็
2. ชาํ งไม๎ 20. นักสํารวจ 38. นักสะสม
3. ชํางหนัง 21. มัคคุเทศก๑ 39. บรรณารักษ๑
4. ชาวนา 22. ชํางเขียน 40. นักกรีฑา
5. ชาวสวน 23. นักสญั ญาณ 41. นักขีม่ ๎า

6. ชาวไรํ 24. นักบกุ เบกิ 42. มวยไทยเบ้อื งตน๎
7. นกั เลยี้ งสตั ว๑เลก็ 25. นกั ธรรมชาตศิ ึกษา 43. มวยสากลเบอื้ งตน๎
8. นกั จกั รยาน 2 ลอ๎ 26. ชาํ งเบด็ เตล็ด 44. กระบก่ี ระบองเบ้ืองตน๎
9. นกั วํายนาํ้ 27. ผบู๎ ริบาลคนไข๎ 45. นกั ยิงปืนเบื้องตน๎
10. ผช๎ู วํ ยคนดับเพลิง 28. นกั จับปลา 46. นกั อนุรกั ษเ๑ บ้อื งต๎น

11. ผช๎ู วํ ยผ๎ปู ระสบภัย 29. ผ๎ูชวํ ยต๎นเดนํ 47. การหามิตร
12. ผใ๎ู หก๎ ารปฐมพยาบาล 30. นกั พายเรอื 48. มารยาทในสงั คม
13. นกั สังเกตและจาํ 31. นายท๎ายเรอื บด 49. นเิ วศวทิ ยา
14. การพราง 32. นักกรรเชียงเรอื 50. การพัฒนาชมุ ชน
15. ชาวคําย 33. นกั แลนํ เรือใบ 51. การใชพ๎ ลังงานทดแทน
16. ผ๎ปู ระกอบอาหารในคาํ ย 34. นักดาราศาสตรเ๑ บ้ืองตน๎ 52. ลกู เสอื โทพระมงกุฎเกลา๎ ฯ

17. ลําม 35. นกั อุตุนิยมวิทยาเบอื้ งตน๎ 53. ลกู เสอื เอกพระมงกุฎเกลา๎ ฯ
18. นักดนตรี 36. ยามอากาศเบ้อื งต๎น 54. สายยงยศ

คูม่ ือส่งเสรมิ แคลมู่ ือะพส่งฒั เสนรมิากแลจิ ะกพรฒั รมนลากูกจิ เกสรือรทมลักูกษเสะชือทีวิตกั ษในะชสวี ถติ าในนสศถกึ าษนาศกึ ลษกู าเปสรอื ะโเทภทชลน้ัูกเปสรอื ะสถามมัญศกึ หษลากั ปสูตีทรี่ ล5กู เสือโท 114491
ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5


Click to View FlipBook Version