34 แต่กิจกรรมหลายอย่างของพนักงานก็ถูกเฝ้าดูด้วย พนักงานสูญเสียความเป็นส่วนตัว ซึ่ง การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการผิดจริยธรรม 3. การใช้ข้อมูลลูกค้าจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อผลประโยชน์การขยายตลาด 4. การรวบรวมหมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล์ หมายเลขบัตรเครดิต และ ข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ เพื่อนำไปสร้างฐานข้อมูลประวัติลูกค้าขึ้นมาใหม่ แล้วนำไปขายให้กับ บริษัทอื่น ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและ สารสนเทศ จึงควรจะต้องระวังการให้ข้อมูล โดยเฉพาะการใช้อินเทอร์เน็ตที่มีการใช้ โปรโมชั่น หรือระบุให้มีการลงทะเบียนก่อนเข้าใช้บริการ เช่น ข้อมูลบัตรเครดิต และที่อยู่ อีเมล์ 2. ความถูกต้อง (Information Accuracy) ในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการรวบรวม จัดเก็บ และเรียกใช้ข้อมูลนั้น คุณลักษณะที่ สำคัญประการหนึ่ง คือ ความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูล ทั้งนี้ ข้อมูลจะมีความน่าเชื่อถือมาก น้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความถูกต้องในการบันทึกข้อมูลด้วย ประเด็นด้านจริยธรรมที่ เกี่ยวข้องกับความถูกต้องของข้อมูล โดยทั่วไปจะพิจารณาว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อ ความถูกต้องของข้อมูลที่จัดเก็บและเผยแพร่ เช่น ในกรณีที่องค์การให้ลูกค้าลงทะเบียน ด้วยตนเอง หรือกรณีของข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ อีกประเด็นหนึ่ง คือ จะทราบได้ อย่างไรว่าข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดจากความจงใจ และผู้ใดจะเป็นผู้รับผิดชอบ หากเกิดข้อผิดพลาด ดังนั้น ในการจัดทำข้อมูลและสารสนเทศให้มีความถูกต้องและน่าเชื่อถือนั้น ข้อมูล ควรได้รับการตรวจสอบความถูกต้องก่อนที่จะนำเข้าฐานข้อมูล รวมถึงการปรับปรุงข้อมูล ให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ นอกจากนี้ ควรให้สิทธิแก่บุคคลในการเข้าไปตรวจสอบความ ถูกต้องของข้อมูลของตนเองได้ เช่น ผู้สอนสามารถดูคะแนนของนักศึกษาในความ รับผิดชอบ หรือที่สอนเพื่อตรวจสอบว่าคะแนนที่ป้อนไม่ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลง 3. ความเป็นเจ้าของ (Information Property) สิทธิความเป็นเจ้าของ หมายถึง กรรมสิทธิ์ในการถือครองทรัพย์สิน ซึ่งอาจเป็น ทรัพย์สินทั่วไปที่จับต้องได้ เช่น คอมพิวเตอร์ รถยนต์ หรืออาจเป็นทรัพย์สินทางปัญญา (ความคิด) ที่จับต้องไม่ได้ เช่น บทเพลง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่สามารถถ่ายทอดและ บันทึกลงในสื่อต่าง ๆ ได้ เช่น สิ่งพิมพ์ เทป ซีดีรอม เป็นต้น
35 ในสังคมของเทคโนโลยีสารสนเทศ มักจะกล่าวถึงการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ เมื่อ ท่านซื้อโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีการจดลิขสิทธิ์ นั่นหมายความว่าท่านได้จ่ายค่าลิขสิทธิ์ใน การใช้ซอฟต์แวร์นั้น สำหรับท่านเองหลังจากที่ท่านเปิดกล่องหรือบรรจุภัณฑ์แล้ว หมายถึง ว่าท่านได้ยอมรับข้อตกลงเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ในการใช้สินค้านั้น ซึ่งลิขสิทธิ์ในการใช้จะ แตกต่างกันไปในแต่ละสินค้าและบริษัท บางโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะอนุญาตให้ติดตั้งได้ เพียงครั้งเดียว หรือไม่อนุญาตให้ใช้กับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์ เครื่องนั้น ๆ ท่านเป็นเจ้าของ และไม่มีผู้อื่นใช้ก็ตาม ในขณะที่บางบริษัทอนุญาตให้ใช้ โปรแกรมนั้นได้หลายๆ เครื่อง ตราบใดที่ท่านยังเป็นบุคคลที่มีสิทธิในโปรแกร ม คอมพิวเตอร์ที่ซื้อมา การคัดลอกโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้กับเพื่อน เป็นการกระทำที่ จะต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนว่าโปรแกรมที่จะทำการคัดลอกนั้น เป็นโปรแกรม คอมพิวเตอร์ที่ท่านมีสิทธิ์ในระดับใด 4. การเข้าถึงข้อมูล (Data Accessibility) ปัจจุบันการเข้าใช้งานโปรแกรม หรือระบบคอมพิวเตอร์มักจะมีการกำหนดสิทธิ ตามระดับของผู้ใช้งาน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันการเข้าไปดำเนินการต่าง ๆ กับข้อมูลของ ผู้ใช้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และเป็นการรักษาความลับของข้อมูล ตัวอย่างสิทธิในการใช้งาน ระบบ เช่น การบันทึก การแก้ไข/ปรับปรุง และการลบ เป็นต้น ดังนั้น ในการพัฒนาระบบ คอมพิวเตอร์จึงได้มีการออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงของผู้ใช้ และการ เข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมนั้น ก็ถือเป็นการผิดจริยธรรมเช่นเดียวกับ การละเมิดข้อมูลส่วนตัว ในการใช้งานคอมพิวเตอร์และเครือข่ายร่วมกันให้เป็นระเบียบ หากผู้ใช้ร่วมใจกันปฏิบัติตามระเบียบและข้อบังคับของแต่ละหน่วยงานอย่างเคร่งครัดแล้ว การผิดจริยธรรมตามประเด็นดังที่กล่าวมาข้างต้นก็คงจะไม่เกิดขึ้น จริยธรรมและคุณธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศร่วมกัน ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมีเป็นจำนวนมากและเพิ่มขึ้นทุกวัน การใช้งานระบบเครือข่ายที่ ออนไลน์และส่งข่าวสารถึงกันย่อมมีผู้ที่มีความประพฤติไม่ดีปะปนและสร้างปัญหาให้กับ ผู้ใช้อื่นอยู่เสมอ หลายเครือข่ายจึงได้ออกกฎเกณฑ์การใช้งานภายในเครือข่าย เพื่อให้ สมาชิกในเครือข่ายของตนยึดถือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และได้รับประโยชน์สูงสุด ดังนั้น ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนที่เป็นสมาชิกเครือข่ายจะต้องเข้าใจกฎเกณฑ์ ข้อบังคับของ เครือข่ายนั้นมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้ร่วมใช้บริการคนอื่นและ
36 จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองที่เข้าไปขอใช้บริการต่าง ๆ บนเครือข่ายบน ระบบคอมพิวเตอร์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต แต่เป็นการเชื่อมโยงของเครือข่ายต่าง ๆ เข้าหากันหลายพันหลายหมื่นเครือข่ายมีข้อมูลข่าวสารอยู่ระหว่างเครือข่ายเป็นจำนวน มาก การส่งข่าวสารในเครือข่ายนั้นอาจทำให้ข่าวสารกระจายเดินทางไปยังเครือข่ายอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก ดังนั้นผู้ใช้บริการต้องให้ความสำคัญและตระหนักถึงปัญหาปริมาณ ข้อมูลข่าวสารที่วิ่งอยู่บนเครือข่าย การใช้งานอย่างสร้างสรรค์และเกิดประโยชน์จะทำให้สังคมอินเทอร์เน็ตน่าใช้และ เป็นประโยชน์ร่วมกันอย่างดี กิจกรรมบางอย่างที่ไม่ควรปฏิบัติจะต้องหลีกเลี่ยงเช่นการส่ง กระจายข่าวไปเป็นจำนวนมากบนเครือข่าย การส่งเอกสารจดหมายลูกโซ่ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ จะเป็นผลเสียโดยรวมต่อผู้ใช้และไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อสังคมอินเทอร์เน็ต บัญญัติ 10 ประการ ต่อไปนี้เป็นจรรยาบรรณที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตยึดถือไว้เสมือนเป็นแม่บทแห่งการ ปฏิบัติเพื่อระลึกและเตือนความจำเสมอ 1. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายหรือละเมิดผู้อื่น 2. ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น 3. ต้องไม่สอดแนมหรือแก้ไขเปิดดูในแฟ้มของผู้อื่น 4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร 5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ 6. ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์ 7. ต้องไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์ 8. ต้องไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน 9. ต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมอันติดตามมาจากการกระทำ 10. ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎระเบียบ กติกามารยาท จรรยาบรรณเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมอินเทอร์เน็ตเป็นระเบียบความรับผิดชอบต่อ สังคมเป็นเรื่องที่จะต้องปลูกฝังกฎเกณฑ์ของแต่ละเครือข่ายจึงต้องมีการวางระเบียบ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีระบบและเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน บางเครือข่ายมี
37 บทลงโทษและจรรยาบรรณที่ชัดเจน เพื่อช่วยให้สังคมสงบสุขและหากการละเมิดรุนแรง กฎหมายก็จะเข้ามามีบทบาทได้เช่นกัน (นิสรีน อ่อนเกลี้ยง, 2564)
38 แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 1 บทที่ 1 เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศ 1. จงอธิบายซอฟต์แวร์ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญและจำเป็นมากในการควบคุมการทำงาน ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือมีอะไรบ้างจง อธิบาย .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. 2. จงยกตัวอย่างปัญหาด้านจริยธรรมหรือความรับผิชอบต่อสังคมที่มีความสัมพันธ์กับการ จัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................
39 บทที่ 2 การใช้งานอินเทอร์เน็ต (Internet) สาระสำคัญ ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตมีบทบาทและมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของคนเราเป็น อย่างมาก เพราะทำให้วิถีชีวิตเราทันสมัยและทันเหตุการณ์อยู่เสมอ เนื่องจากอินเทอร์เน็ต จะมีการเสนอข้อมูลข่าวปัจจุบันและสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นให้ผู้ใช้ทราบเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน สารสนเทศที่เสนอในอินเทอร์เน็ตจะมีมากมายหลายรูปแบบเพื่อสนองความสนใจและ ความต้องการของผู้ใช้ทุกกลุ่ม อินเทอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งสารสนเทศสำคัญสำหรับทุกคน เพราะสามารถค้นหาสิ่งที่ตนสนใจได้ในทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปค้นคว้าใน ห้องสมุด หรือแม้แต่การรับรู้ข่าวสารทั่วโลกก็สามารถอ่านได้ในอินเทอร์เน็ตจากเว็บไซต์ ดังนั้นอินเทอร์เน็ตจึงมีความสำคัญกับวิถีชีวิตของคนเราในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่อยู่ในวงการธุรกิจ การศึกษา ต่างก็ได้รับประโยชน์ จากอินเทอร์เน็ตด้วยกันทั้งนั้น ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 1. สามารถอธิบายถึงความหมาย ประเภทของอินเทอร์เน็ต 2. อธิบายถึงความหมาย การใช้งานเว็บไซต์ได้ 3. อธิบายอุปกรณ์สำหรับการเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ 4. สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตในการสืบค้นข้อมูลได้ 5. การรับส่งข่าวสารโดยใช้อีเมล์ ขอบข่ายเนื้อหา 1. อินเทอร์เน็ตคืออะไร ประเภทของ Internet Account เว็ปไซด์ คืออะไร อุปกรณ์และส่วนประกอบสำหรับการเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตการติดตั้งการ เชื่อมต่อและการตัดการเชื่อมต่อ 2.การใช้งานอินเทอร์เน็ตในการสืบค้นข้อมูลการเก็บเว็บไซต์ที่ชอบ การ Link การ ปรับข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน การค้นหาเว็บไซด์ การบันทึก การสั่งพิมพ์เอกสาร
40 3. การสมัครสมาชิกเพื่อใช้อีเมล์การลงชื่อเข้าใช้ การรับส่งข่าวสารโดยใช้ อีเมล การเปิดดูไฟล์ที่แนบ การส่งอีเมล การส่งเอกสารแนบไฟล์ไปกับอีเมล์การลบ อีเมล และการส่งต่ออีเมล เวลาที่ใช้ในการศึกษา 15 ชั่วโมง สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือแบบเรียนวิชาการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้รหัสรายวิชา ทร3200018 2. สมุดบันทึกกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบหนังสือแบบเรียนวิชาการใช้เทคโนโลยีเพื่อการ เรียนรู้
41 เรื่องที่ 1 อินเทอร์เน็ตคืออะไร ประเภทของ Internet Account เว็ปไซด์ คืออะไร เป็นอุปกรณ์และส่วนประกอบสำหรับการเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต การติดตั้ง การเชื่อมต่อและการตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (อังกฤษ: Internet) ช่อทิพ สิทธิ(2564) ได้ให้ความหมายอินเทอร์เน็ตหมายถึง เครือข่าย คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลาย ๆ เครือข่ายทั่วโลก โดย ใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล ( protocol) ผู้ใช้ เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้ในหลาย ๆ ทาง อาทิ อีเมล เว็บบอร์ด และ โซเชียลเน็ต เวิคแนวโน้มล่าสุดของการใช้อินเทอร์เน็ตคือการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ เพื่อสร้างเครือข่ายสังคม ซึ่งพบว่าปัจจุบันเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมดังกล่าวกำลัง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเช่น Facebook (เฟซบุ๊ก)Twitter(ทวิตเตอร์) Instragram (อินสตราแกรม) และการใช้เริ่มมีการแพร่ขยายเข้าไปสู่การใช้อินเทอร์เน็ตผ่าน โทรศัพท์มือถือ (Mobile Internet) มากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันสนับสนุนให้การ เข้าถึงเครือข่ายผ่านโทรศัพท์มือถือทำได้ง่ายขึ้นมาก และเป็นผลสืบเนื่องมาจากเทคโนโนยี 3 จี และ 4 จี ประเภทของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต การเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการในการใช้งานเป็นสำคัญ เช่นใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อค้นหาข้อมูลที่บ้าน ใช้ในเชิงธุรกิจ ใช้เพื่อความบันเทิง หรือใช้ ภายในองค์กรขนาดใหญ่ ดังนั้นการเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตจึงมีความแตกต่างกันซึ่ง ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านความต้องการ รวมทั้งเงินทุนที่จะใช้ในการติดตั้งระบบด้วย ปัจจุบัน การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่นิยมใช้มี5 ลักษณะ ( Komaudio, 2564 ) คือ 1. การเชื่อมต่อแบบ Dial Up เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เคยได้รับความนิยมในยุคแรกๆโดยใช้เครื่อง คอมพิวเตอร์บุคคลกับสายโทรศัพท์บ้านที่เป็นสายตรงต่อเชื่อมเข้ากับโมเด็ม (Modem) ก็ สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้แล้ว ในปัจจุบันมีโมเด็มให้เลือกใช้อยู่ 3 ชนิด คือ โมเด็มแบบ อินเทอร์นอลโมเด็มแบบเอ็กซ์เทอร์นอล และโมเด็มแบบไร้สายผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตต้อง ทำการติดต่อกับผู้ให้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านหมายเลขโทรศัพท์บ้านโดยผู้ ให้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจะกำหนดชื่อผู้ใช้(Username) และ รหัสผ่าน (Password) มาให้เพื่อเข้าใช้บริการอินเทอร์เน็ต
42 ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบ Dial Up คือ 1. อุปกรณ์มีราคาถูก 2. การติดตั้งง่าย 3. การเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ทำได้ง่าย ข้อเสีย คืออัตราการรับส่งข้อมูลค่อนข้างต่ำเพียงไม่เกิน 56 kbit (กิโลบิต) ต่อวินาที 2. การเชื่อมต่อแบบ ISDN (Internet Services Digital Network) ISDN Line เป็นเส้นทางการสื่อสารที่ใช้สายโทรศัพท์ธรรมดาแต่ทำให้สามารถ ส่งทั้ง เสียงพูด และข้อมูลได้พร้อมกันทำให้สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้พร้อมกับการคุย โทรศัพท์โดยข้อมูลหรือเสียงที่รับ - ส่งนั้นอยู่ในรูปของสัญญาณดิจิตอลซึ่งมีข้อดีมากว่า สัญญาณอนาล็อกนอกจากนี้การใช้บริการ ISDN Line ยังสามารถ มัลติเพล็ก (Multiplex) สัญญาณได้มากกว่า 3 สัญญาณส่งไปในคราวเดียวกัน ทำมี ความเร็วในการส่งข้อมูลมากกว่าสายโทรศัพท์ธรรมดาโดยความเร็วในการรับ – ส่งข้อมูล สูงสุดคือ 128 Kbps ผู้ใช้ที่ต้องการใช้ช่องทางการสื่อสารเป็น ISDN line จำเป็นต้องเลือกใช้โมเด็ม ชนิดพิเศษที่สามารถสื่อสานผ่าน ISDN Line ได้เรียกว่า “ISDN modem” ซึ่งจะทำให้การ ใช้งานอินเทอร์เน็ต เช่น การดาวน์โหลดไฟล์ข้อมูล การชมเว็บไซต์หรือการประชุมด้วย เทคโนโลยีVideoconference สามารถทำได้อย่างรวดเร็วถูกต้องและชัดเจนนั่นเองดังนั้น ในการเชื่อมต่อ ดังนั้นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ ISDN จะต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ คือ 1. ต้องติดต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ที่ให้บริการการเชื่อมต่อแบบ ISDN 2. การเชื่อมต่อต้องใช้ISDN Modem ในการเชื่อมต่อ 3. ต้องตรวจสอบว่าสถานที่ที่จะใช้บริการนี้ อยู่ในอาณาเขตที่ใช้บริการ ISDN ได้ ข้อดีคือไม่มีสัญญาณรบกวน มีความเร็วสูง และยังคงสามารถใช้โทรศัพท์เพื่อพูดคุยไปได้ พร้อม ๆ กับการเล่นอินเทอร์เน็ต ข้อเสีย คือมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าระบบ Dial-Up 3. การเชื่อมต่อแบบ DSL (Digital Subscriber Line) เป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงโดยใช้สายโทรศัพท์ธรรมดา ที่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตและพูดผ่านสายโทร ศัพท์ปกติได้ในเวลาเดียวกัน DSL เป็นอีก หนึ่งทางเลือกของเส้นทางการสื่อสารที่เป็นสัญญาณดิจิตอลโดยเหมาะสำหรับสำนักงาน
43 ขนาดเล็กหรือผู้ใช้ตามบ้านทั่วไป โดย DSL มีลักษณะการทำงานเหมือนกับ ISDN Line เพียงแต่มีความเร็วในการรับ – ส่งข้อมูลสูงกว่า ISDN Line เท่านั้น สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการติดตั้งระบบอินเทอร์เน็ตแบบ DSL ก็คือ 1. ต้องตรวจสอบว่าสถานที่ที่ติดตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ให้บริการระบบโทรศัพท์ แบบ DSL หรือไม่ 2. บัญชีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในแบบ DSL 3. การเชื่อมต่อต้องใช้DSL Modem ในการเชื่อมต่อ 4. ต้องติดตั้ง Ethernet Adapter Card หรือ Lan Card ไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ ใช้ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วย ข้อดีคือมีความเร็วสูงกว่าแบบ Dial-Up และ ISDN ข้อเสีย คือไม่สามารถระบุความเร็วที่แน่นอนได้ ADSL (Asymmetric DSL) เป็นเส้นทางการสื่อสาร DSL ชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็น อย่างมาก เนื่องจากอัตราการรับ – ส่งข้อมูลที่แตกต่างกัน โดยสามารถส่งข้อมูลได้ด้วย ความเร็วสูงถึง 640 Kbps แต่สามารถรับข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงถึง 9Mbps ทำให้ ตอบสนองต่อการใช้งานอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดีเนื่องจากความต้องการใน การดาวน์โหลดข้อมูลของผู้ใช้งานมีมากกว่าการอัพโหลดข้อมูล 4. การเชื่อมต่อแบบ Cable เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยผ่านสายสื่อสารเดียวกับ Cable TV จึงทำให้เราสามารถ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไปพร้อม ๆ กับการดูทีวีได้ โดยต้องจัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติม คือ 1. ใช้Cable Modem เพื่อเชื่อมต่อ 2. ต้องติดตั้ง Ethernet Adapter Card หรือ Lan Card ไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วย ข้อดีคือถ้ามีสายเคเบิลทีวีอยู่แล้ว สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้โดยเพิ่มอุปกรณ์Cable Modem ก็สามารถเชื่อมต่อได้ ข้อเสีย คือถ้ามีผู้ใช้เคเบิลในบริเวณใกล้เคียงมาก อาจทำให้การรับส่งข้อมูลช้าลง 5. การเชื่อมต่อแบบดาวเทียม (Satellites) เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ระบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เรียกว่า Direct Broadcast Satellites หรือ DBS โดยผู้ใช้ต้องจัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติม คือ
44 1. จานดาวเทียมขนาด 18-21 นิ้ว เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวรับสัญญาณจากดาวเทียม 2. ใช้Modem เพื่อเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ต ข้อเสีย ของการเชื่อมต่อแบบดาวเทียม (Satellites) ได้แก่ 1. ต้องส่งผ่านสายโทรศัพท์เหมือนแบบอื่น ๆ 2. ความเร็วในการรับส่งข้อมูลต่ำมากเมื่อเทียบกับแบบอื่น ๆ 3. ค่าใช้จ่ายสูง ตารางแสดงความเร็ว ข้อดี และข้อเสียของบริการสายสื่อสารแต่ละชนิด บ ร ิ ก า ร ส า ย สื่อสาร ความเร็ว ข้อดี ข้อเสีย Dial-up Line (สายโทรศัพท์) 56 Kbps - ราคาถูก - มีใช้กันอย่าง กว้างขวาง - ใช้เวลามากใน การดาวน์โหลด ไฟล์ที่มีขนาดใหญ่ Leased Line ขึ้นอยู่กับสาย สื่อสารที่ใช้ -กำหนดค่าใช้จ่าย ได้ - มีความคล่องตัว ใ น ก า ร ใ ช ้ ง า น เครือข่าย - หากไม่มีผู้ใช้งาน ตลอดเวลาจะทำ ให้ใช้ประโยชน์จาก สายสื่อสารได้ไม่ เต็มที่ ISDN Line 64-128 Kbps - มีความเร็วกว่า สายโทรศัพท์ - ส่งทั้งเสียงพูด แ ล ะ ข ้ อ ม ู ล ไ ด้ พร้อมกัน - ค่าใช้จ่ายสูงกว่า ส า ย โ ท ร ศ ั พ ท์ ธรรมดา - มีใช้เฉพาะบาง พื้นที่ ADSL Line 128 Kbps9Mbps - เร็วกว่า ISDN Line - มีบริการเสริม - ค ่ า ใ ช ้ จ ่ า ย ค่อนข้างสูง - มีใช้เฉพาะบาง พื้นที่
45 CATV 128 Kbps2.5Mbps - มีความเร็วสูง - ใช้สายเคเบิลทีวี ที่มีการติดตั้งตาม บ้านเรือน - ค ่ า ใ ช ้ จ ่ า ย ค่อนข้างสูง - มีใช้เฉพาะบาง พื้นที่ T1 Line 1.555 Mbps - มีความเร็วสูง -สายสื่อสารมีราคา สูง - ค่าใช้จ่ายในการ ติดตั้งสูง T3 Line 44 Mbps - เสียค่าบริการราย เ ด ื อ น ต า ม ระยะทางของสาย (ที่มา : http://sank15004.blogspot.com/2013/08/blog-post_1705.html) ความหมายของเว็บไซต์และองค์ประกอบต่างๆ เว็บไซต์(Website) หมายถึง หน้าเว็บเพจที่จัดทำขึ้น เพื่อนำเสนอข้อมูลต่างๆ ผ่านทาง คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต โดยจะมีหน้าเว็บเพจหลายๆ หน้าที่เชื่อมโยงเข้ากับไฮเปอร์ ลิ้งค์ เพื่อให้สามารถเปิดไปยังหน้าเพจต่างๆ ได้อย่างง่ายดายและถูกจัดเก็บไว้ใน www. (เวิลด์ไวด์เว็บ) โดยเว็บไซต์ส่วนใหญ่นั้นก็มีทั้งเว็บไซต์ที่เปิดให้เข้าชมได้ฟรี และเว็บไซต์ที่ ต้องสมัครสมาชิกและเสียค่าบริการ จึงจะเข้าใช้งานเว็บได้ ซึ่งข้อมูลในเว็บก็จะมี หลากหลายแบบ ขึ้นอยู่กับความต้องการนำเสนอของเจ้าของเว็บไซต์ การเรียกดูเว็บไซต์ จะเรียกดูผ่านทางซอฟต์แวร์ ในลักษณะของเบราว์เซอร์ (ที่มา : https://www.1belief.com/article/website/) เว็บเบราว์เซอร์(Web browser) คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการท่องเว็บ และมี การจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศต่างๆ ด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษา HTML ซึ่งก็เปรียบเสมือน กับเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่า
46 เวิลด์ไวด์เว็บ นอกจากนี้ยังสามารถดูเอกสารในเว็บเซิร์ฟเวอร์ได้ ไม่ว่าเว็บเหล่านั้นจะแสดง ข้อมูลในลักษณะของภาพ ระบบมัลติมีเดีย รูปภาพหรือข้อความ ในปัจจุบันเว็บเบราว์เซอร์ ที่รองรับระบบ HTML 5 สามารถอ่าน CSS 3 ได้อย่างสวยงาม และกำลังได้รับความนิยม มากที่สุด ก็มี 4 ประเภทดังนี้ - Internet Explorer - Mozilla Firefox - Google Chrome - Safari โฮมเพจ (Home Page) ก็คือหน้าแรกของเว็บไซต์เมื่อเปิดเข้าไปยังเว็บไซต์ใดเว็บไซต์ หนึ่ง โดยหน้าแรกนี้จะรวมเมนูและเรื่องราวต่างๆ ไว้มากมาย ซึ่งก็มีความสำคัญเป็นอย่าง มาก เพราะหากหน้าแรกมีการออกแบบได้อย่างสวยงามและจัดหน้าอย่างเป็นระเบียบก็จะ ทำให้ผู้ชมเกิดความสนใจและอยากเข้าชมเว็บมากขึ้น (ที่มา : https://www.1belief.com/article/website/) เว็บเพจ (Web Page) ก็คือหน้าเอกสารต่างๆ ที่อยู่ในรูปของ HTML โดยจะนำเสนอ ข้อมูลหรือเรื่องราวต่างๆ เป็นหน้าๆ ไป และใช้การเชื่อมโยงเพื่อให้สามารถคลิกไปหน้าเว็บ เพจแต่ละหน้าได้ง่ายขึ้น เว็บ Static คือเว็บที่แสดงผล เพื่อให้ความรู้หรือข้อมูลแก่ผู้เข้าชมเว็บเพียงอย่างเดียว ไม่ สามารถโต้ตอบหรือรับส่งข้อมูลกับผู้ที่เข้าชมเว็บได้ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเว็บไซต์ประเภทนี้ ก็ จะเป็นเว็บ Gallery รูปภาพ เว็บของบริษัทหรือองค์กรต่างๆ และเว็บให้ความรู้ทั่วไป
47 เว็บ Dynamic เป็นเว็บไซต์ที่สามารถตอบโต้ และรับส่งข้อมูลระหว่างผู้เข้าชมกับเว็บไซต์ ได้ซึ่งเว็บเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็จะมีระบบเว็บบอร์ด รวมไปถึง Social Media ประเภท ต่างๆ มีการสมัครสมาชิก หรือเป็นเว็บขายสินค้าออนไลน์ที่มีระบบแชทกับผู้ขาย เป็นต้น Web Service เป็นบริการด้านข้อมูล ที่สามารถดึงข้อมูลของอีกเว็บหนึ่งไปแสดงผลในอีก เว็บหนึ่ง Hosting เป็นพื้นที่ของคอมพิวเตอร์แม่ข่าย ที่ทางผู้ให้บริการได้ทำการจัดสรรมาให้เช่า โดยส่วนใหญ่จะมีการให้เช่าเป็นแบบรายเดือน รายปีหรือตามแต่ผู้ให้บริการกำหนด อินเทอร์เน็ต (Internet) เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อให้ผู้คนสามารถท่องเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย และช่วยให้กลุ่มองค์กร ธุรกิจหรือบริษัทสามารถนำเสนอข้อมูลของตนลง บนอินเทอร์เน็ต ผ่านทางเว็บไซต์ เป็นการให้ความรู้และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารต่อกันได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ของการทำเว็บไซต์ ประโยชน์ของการทำเว็บไซต์ ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ในการนำเสนอข้อมูล ให้กับผู้ใช้งานได้ ทราบเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย ได้แก่ ขยายช่องทางในการขายสินค้าและบริการ ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ต้องการได้มาก ขึ้น และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป สำหรับการทำธุรกิจร้านค้าออนไลน์หรือขายของ บนเว็บไซต์ จะทำให้มีหน้าร้านเป็นของตัวเอง ซึ่งก็คือโฮมเพจ และเป็นการเปิดตัวสินค้าสู่ ตลาดโลกเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณะขององค์กร ร้านค้าและบริษัท ให้มีความ น่าเชื่อถือและทันสมัยมากยิ่งขึ้นมีความเป็นสากล ด้วยช่องทางการติดต่อลูกค้าที่ หลากหลาย ทั้งอีเมล Facebook Line และอื่น ๆ เพิ่มความสะดวกให้กับกลุ่มผู้บริโภค โดยสามารถซื้อสินค้าหรือบริการผ่านทางเว็บไซต์ได้ตลอดเวลา องค์กรและสินค้าให้เป็นที่ รู้จักอย่างแพร่หลาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศทำหน้าที่ในการส่งเสริมการขาย และ บริการของบริษัทช่วยยกระดับมาตรฐานในการซื้อขายระหว่างประเทศ และสามารถ เสริมสร้างธุรกิจให้มีความแข็งแรงได้ดี ขั้นตอนในการพัฒนาเว็บไซต์ การสร้างเว็บไซต์ที่มีคุณภาพแล้วนั้นจะมีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องอยู่มากมายซึ่ง ผู้พัฒนาเว็บไซต์จะต้องศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล ก่อนถึงขั้นตอนลงมือปฏิบัติจริง ยกตัวอย่างเช่น วัตถุประสงค์ของเว็บไซต์คืออะไร และกลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์คือใคร
48 และเทคโนโลยีที่จำนำมาใช้ รูปแบบของเว็บเพจควรจะเป็นอย่างไร ซึ่งที่ได้กล่าวมาเป็นสิ่ง ที่ให้ความสำคัญซึ่งในส่วนของขั้นตอนในการพัฒนาเว็บไซต์มีดังนี้ 1. กำหนดเป้าหมายและวางแผน ในการพัฒนาเว็บไซต์ เราควรกำหนดเป้าหมาย และควรวางแผนล่วงหน้า ซึ่งต้องมีขั้นตอนที่ชัดเจน ได้แก่ 1. กำหนดวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์ 2. กำหนดกลุ่มเป้าหมาย 3. การเตรียมแหล่งข้อมูล 4. การพัฒนาทักษะของบุคลากร 5. การเตตรียมทรัพยากรต่าง ๆ ที่จำเป็น 2. วิเคราะห์และจัดโครงสร้างของระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ขั้นตอนนี้จะ เป็นการนำข้อมูลต่าง ๆ ที่รวบรวมได้จากขั้นแรก ไม่ว่าจะเป็น วัตถุประสงค์ของเว็บไซต์ คุณลักษณะ ข้อจำกัดของกลุ่มเป้าหมาย รวมไปถึงเนื้อหาหลักของเว็บไซต์ นำมาประเมิน วิเคราะห์ และจัดระบบ เพื่อให้ได้โครงสร้างข้อมูล และข้อกำหนด โดยจะนำไปสร้าง แผนผังเว็บไซต์ รูปแบบของเมนู รวมไปถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ของเว็บ เช่น รูปภาพและ กราฟฟิก, เสียง, วิดีโอ, มัลติมีเดีย 3. ออกแบบเว็บเพจและเตรียมข้อมูล ขั้นตอนนี้เป็นการออกแบบโครงหน้าตา และลักษณะในด้านกราฟฟิกของหน้าเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์เกิดอารมณ์ในการ รับรู้ ดังนั้นผู้ที่ทำหน้าที่นี้ควรมีความสามารถทางด้านศิลปพอสมควร โปรแกรมที่เหมาะจะ ใช้ในการออกแบบคือ Adobe Photoshop หรือ Macromedia Fireworks 4. ลงมือสร้างและทดสอบ เป็นขั้นตอนที่เว็บเพจจะถูกสร้างขึ้นมาจริงทีละหน้าๆ โดยการอาศัยเค้าโครง และองค์ประกอบกราฟฟิกตามที่ออกแบบไว้ เนื้อหาต่าง ๆ จะถูก นำมาใส่และจัดรูปแบบ ลิงค์และระบบนำทางถูกสร้างองค์ประกอบเสริมต่าง ๆ 5. เผยแพร่และส่งเสริมให้เป็นที่รู้จัก โดยทั่วไปการนำเว็บไซต์ขึ้นเผยแพร่บน อินเทอร์เน็ต จะทำด้วยการอัพโหลดไฟล์ทั้งหมด คือ HTML และไฟล์อื่นที่เกี่ยวข้อง ขึ้นไป แก้บนเซิร์ฟเวอร์ที่เราเปิดบริการไว้ การอัพโหลดเว็บไซต์หรือบางครั้งเราเรียกว่า “พับลิช” อาจทำด้วยโปรแกรมสร้างเว็บไซต์เอง 6. การดูแลและพัฒนา เมื่อเว็บไซต์ถูกเผยแพร่ออกไป ควรดูแลโดยตลอด ซึ่ง หน้าที่นี้ครอบคลุมหลายเรื่อง ตั้งแต่การตรวจสอบเว็บเซิร์ฟเวอร์ว่าไม่หยุดทำงานบ่อย ๆ ลิงค์ที่เชื่อมโยงไปภายนอกยังคงใช้ได้หรือไม่ค่อยตอบคำถามที่มีผู้มาฝากไว้บนเว็บเพจ ถ้า เป็นเว็บข่าวสารก็ต้องปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา และถ้ามีการใช้ฐานข้อมูลก็ ต้องแบ็คอัพข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
49 หลังจากเว็บไซต์ได้รับการเผยแพร่ไประยะหนึ่งแล้ว เราควรปรับปรุงเพื่อให้ผู้ชมรู้สึก ว่ามีความเปลี่ยนแปลง มีความสดใหม่ ทันสมัย ไม่ล้าหลัง โดยการที่เรานำข้อมูลสถิติที่ รวบรวมไว้มาพิจารณาประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงทำได้ทั้งในส่วนของเนื้อหาโครงสร้าง เว็บไซต์และการออกแบบหน้าตา โดยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาเพิ่ม (ชลภัสส์วงษ์ ประเสริฐ, 2555) คุณลักษณะของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะนํามาเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เมื่อได้ทราบถึงประวัติความเป็นมา รวมทั้งความหมายของระบบอินเทอร์เน็ตแล้ว ถ้าเราต้องการที่จะเชื่อต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อใช้งาน เราจะต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง นอกจากสิ่ง ที่เรามองเห็น คือเครื่องคอมพิวเตอร์ ฉะนั้น เราจะต้องทราบถึงอุปกรณ์ วิธีการเชื่อมต่อ แบะการพิจารณาผู้ให้บริการด้านอินเทอร์เน็ต เพื่อสมัครเป็นสมาชิกในการใช้บริการ อินเทอร์เน็ต ซึ่งทุกอย่างจะเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเชื่อมต่อเพื่อใช้งานในระบบ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดนจะแสดงขั้นตอนและวิธีการในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสำหรับ การใช้งานภายในบ้าน ซึ่งเราจะต้องเป็นบุคคลที่จะต้องจัดหาอุปกรณ์ทุกอย่างด้วยตัวเอง เพื่อทำให้สามารถเลือกอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้งานได้อย่างถูกต้องซึ่งจะแตกต่างกับวิธีการ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากหน่วยงาน เพราะเราจะเป็นเพียงผู้ใช้เท่านั้นโดยไม่จำเป็นต้อง ดำเนินการติดตั้ง หรือเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น การปรับแต่งคอมพิวเตอร์สำหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ต สำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อใช้งานภายในบ้าน จำเป็นต้องมีส่วนประกอบ สำคัญที่จะสามารถเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้กับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เพราะการใช้งาน อินเทอร์เน็ตนั้น จะต้องเกิดจากการเชื่อมต่อของทั้งสองฝั่งก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้ ซึ่ง จะประกอบด้วยส่วนประกอบที่สำคัญ ( Kingston, 2564 ) ดังนี้ 1. อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ 2. โมเด็ม (Modem) 3. โปรแกรมสำหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ต 4. วิธีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต 5. การเลือกผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต
50 อุปกรณ์อินเทอร์เน็ต 1. เมนบอร์ด (Mainboard) เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ควรมีประสิทธิภาพสูง พอสมควรในปัจจุบันคอมพิวเตอร์โดยทั่วไป จะมีซีพียูรุ่น Celeron, Pentium IV และ AMDซึ่งซีพียูเหล่านี้จะสนับสนุนการใช้งานเพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และซีพียู เหล่านี้จะรับรองการใช้งานระบบ มัลติมีเดียด้วย ไม่ว่าจะเป็นการ์ดจอ การ์ดเสียง และ ลำโพง เพราะการท่องเว็บนั้นจะมีทั้งภาพเคลื่อนไหว และเสียง จึงจำเป็นต้องมีระบบ รองรับการใช้งาน เพื่อให้สามารถท่องเว็บได้อย่างสมบูรณ์ และทำให้น่าสนใจมากขึ้น 2. หน่วยความจำแรม (RAM) การเลือกหน่วยความจำแรมจะขึ้นอยู่กับ ระบบปฏิบัติการที่ใช้ แต่อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 64-128 MB แต่ในปัจจุบัน ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้คือ Windows XP หน่วยความจำแรมไม่ควรต่ำกว่า 256 MB เพราะโปรแกรมที่ใช้บริการต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ตจะต้องใช้หน่วยความจำมาก พอสมควร 3. จอภาพและการ์ดแสดงผล จอภาพสามารถแสดงผลได้ตั้งแต่ 256 สีขึ้นไป ความละเอียดไม่ควรต่ำกว่า 800x600 pixels ซึ่งปัจจุบันจอภาพจะสามารถแสดงได้ถึง 16 ล้านสีแล้ว ทำให้สามารถแสดงภาพได้ดีโดยเฉพาะภาพถ่าย 4. ระบบมัลติมีเดีย คือการ์ดเสียงพร้อมลำโพง หรือถ้าใช้โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต ก็จะต้องมีไมโครโฟนด้วย และถ้าต้องการพูดคุยแบบให้เห็นหน้าทั้งสองฝ่ายก็ต้องมีกล้อง วิดีโอที่มีความละเอียดต่ำ หรือที่เรียกว่า“เว็บแคม” (Webcam) ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ทุก รุ่นจะมีให้เฉพาะการ์ดเสียง และลำโพงเท่านั้น อุปกรณ์เสริมอื่น ๆ คือ ไมโครโฟน และ กล้องเว็บแคม ผู้ใช้จะต้องหาเพิ่มเติมเองเมื่อต้องการใช้งาน โมเด็ม โมเด็ม หรือ Modem (Modulator/Demodulator) มีหน้าที่แปลงข้อมูลในรูปแบบ ดิจิทัล (Digital) ของระบบคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณเสียงในรูปแบบแอนะล็อก (Analog) เพื่อให้สามารถส่งไปทางสายโทรศัพท์ได้ เรียกว่า การ Modulate โดนที่ ปลายทางก็จะมีโมเด็มทำหน้าที่แปลงสัญญาณเสียงในรูปแบบแอนะล็อก (Analog) ซึ่ง รับมาจากโทรศัพท์ให้กลับมาเป็นข้อมูลแบบดิจิทัล (Digital) เพื่อใช้งานกับเครื่อง คอมพิวเตอร์ เรียกว่า การ Demodulate
51 โมเด็มมาตรฐานในปัจจุบัน จะมีความเร็วในการสื่อสารข้อมูล ที่ 56 kbps คือ ใน 1 วินาที สามารถดึงข้อมูลได้ 56,000 bit หรือประมาณ 7 kbyte ต่อวินาที เนื่องจาก สายโทรศัพท์ส่วนใหญ่จะสามารถส่งข้อมูลได้ ไม่เกิน 56 kbps ดังนั้น ถ้าเราเลือกโมเด็มที่ มีความเร็วมากกว่านี้ ก็ไม่สามารถทำให้การส่งข้อมูลเร็วขึ้นได้เพราะต้องสื่อสารผ่าน สายโทรศัพท์ โมเด็มจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ตามลักษณะของการใช้งาน คือ 1. โมเด็มแบบภายใน (Internal) มีลักษณะเป็นการ์ดเสียบเข้ากับสล็อตแบบ PCI ภายในตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ ข้อดี 1. ไม่เปลื้องเนื้อที่เพราะติดตั้งภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ 2. ไม่ต้องเสียบไฟฟ้า 3. มีราคาถูก ข้อเสีย 1. การติดตั้งยาก เพราะต้องเปิดเครื่องเพื่อที่จะเสียบการ์ดในสล็อต PCI ภายในตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ 2. ไม่สามารถมองเห็นการทำงานของโมเด็ม 3. เคลื่อนย้ายไปใช้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้ยาก 4. ต้องการเครื่องที่มีความเร็วสูง 5. พบปัญหาต่างๆ ได้บ่อย เช่น สายหลุดง่าย (ที่มา: https://sites.google.com/site/karcheuxmtxxintexrne/kar-cheuxm-tx-xintexrnet)
52 2. โมเด็มแบบภายนอก (External) จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อภายนอกเครื่อง คอมพิวเตอร์โดยจะต่อเข้าที่ Serial Port และ USB Port ของคอมพิวเตอร์ ข้อดี 1. ติดตั้งง่าย 2. สามารถมองเห็นการทำงานของโมเด็มได้ 3. สามารถใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าได้ 4. ไม่ค่อยมีปัญหาในการใช้งาน 5. สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย ข้อเสีย 1. เปลืองเนื้อที่ในการวางโมเด็ม 2. มีราคาแพง 3. ต้องมีแหล่งจ่ายไฟและต่อสายไฟ 4. ต้องใช้Serial Port หรือ USB Port ในการต่อกับโมเด็ม ทำให้เปลือง Port ที่มีไว้สำหรับนำไปต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ (ที่มา : https://sites.google.com/site/karcheuxmtxxintexrne/kar-cheuxm-tx-xintexrnet) 3. โมเด็มแบบ PCMCIA เป็นโมเด็มที่มีขนาดเล็กและบางที่สุด ซึ่งมีขนาดเท่ากับ บัตรเครดิต โมเด็มแบบ PCMCIA จะถือเป็นโมเด็มแบบภายใน ซึ่งได้ออกแบบมาสำหรับ การใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค (Notebook Computer) เท่านั้น โดนที่เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คจะมีช่องสล็อตไว้เสียบโมเด็ม PCMCIA ได้ทันที โมเด็มแบบนี้จะใช้ กระแสไฟฟ้าจากเครื่องคอมพิวเตอร์
53 โปรแกรมสำหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ต เมื่อมีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแล้ว ก็ต้องมีโปรแกรม หรือ ซอฟต์แวร์ สำหรับใช้ในการปฏิบัติงานอินเทอร์เน็ต ซึ่งโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ หมายถึง ชุดคำสั่ง ที่เขียนขึ้นเพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน ดังนั้น โปรแกรมต่างๆ เหล่านี้ ก็ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสามารถให้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ สำหรับโปรแกรมที่มี ความสำคัญในการใช้งานอินเทอร์เน็ต ประกอบด้วย 5 ประเภท ดังต่อไปนี้ 1. โปรแกรมระบบปฏิบัติการ เป็นโปรแกรมที่จำเป็นมากสำหรับการใช้งานเครื่อง คอมพิวเตอร์ทุกชนิด เพราะจะเป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ในระบบ เช่นหน่วยความจำ การบันทึกข้อมูล และอุปกรณ์ต่อเชื่อมอื่น ๆ เช่น เครื่องพิมพ์ โมเด็ม และจอภาพ โปรแกรมระบบปฏิบัติการยังทำให้ผู้ใช้สามารถปฏิบัติงานกับเครื่อง คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ ดังนั้น ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ใดไม่มี โปรแกรมระบบปฏิบัติการ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นก็จะไม่สามารถปฏิบัติงานได้ และ โปรแกรมระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ Microsoft Windows เช่น Windows 95/98 Windows Me Windows NT/2000 และ Windows XP เป็นต้น 2. โปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์คือ โปรแกรมที่ใช้ในการเปิดเว็บเพจต่าง ๆ ใน อินเทอร์เน็ตซึ่งโปรแกรมนี้จะมีความสามารถมากมายที่จะเป็นประโยชน์ในการท่องเว็บ และโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ยังเปรียบเสมือนตัวแปลภาษา เพราะเว็บเพจเหล่านั้นจะใช้ รูปรูปแบบคำสั่งภาษา HTML ซึ่งโปรแกรมเว็บเบาร์วเซอร์จะแปลคำสั่งต่าง ๆ มาแสดงผล ทางจอภาพ โปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์มีหลายชนิด เช่น Netscape Communicator, Internet Explorer, Opera เป็นต้น แต่ที่รู้จักดีเป็นที่นิยมใช้งานมากที่สุดคือ Internet Explorer เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ใช้ระบบปฏิบัติการของ Windows 3. โปรแกรมรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ทำหน้าที่เก็บข้อมูลจดหมายโดยสร้าง โฟลเดอร์สำหรับเก็บจดหมายไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา และโปรแกรมจะทำการดึง จดหมายของเราจากเครื่อง Mail Server มาไว้ในโฟลเดอร์ที่ได้สร้างไว้ เพื่อเราจะสามารถ เรียกอ่านจดหมายได้ตลอดเวลาแม้ในขณะที่ไม่ได้ทำการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โปรแกรม รับส่งจดหมายที่นิยม ได้แก่ Microsoft Outlook, Microsoft Outlook Expressฯลฯ
54 4. โปรแกรมสำหรับการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับดาร สื่อสารระหว่างผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตด้วยกัน ทั้งในรูปแบบของการพิมพ์ข้อความโต้ตอบ ที่ เรียกว่าการ Chat รูปแบบของเสียงโดยการสนทนาผ่านไมโครโฟน และในปัจจุบันได้มี โปรแกรมสำหรับการสื่อสารโดยสามารถมองเห็นภาพ และพูดคุยด้วยเสียงระหว่างคู่ สนทนาได้ เป็นการสื่อสารแบบทางไกล เช่น โปรแกรม MSN Messenger, Microsoft Chat, Microsoft NetMeeting, ICQ, Pirch, Yahoo Messenger ฯลฯ 5. โปรแกรมมัลติมีเดียบนอินเทอร์เน็ต การใช้งานบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งรูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง วีดิทัศน์ เป็นต้น ดังนั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนการทำงานในรูปแบบมัลติมีเดียของระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จะต้องติดตั้งโปรแกรมประเภทนี้ไว้ ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานสามารถรับข้อมูลประเภทมัลติมีเดียได้ อย่างมีประสิทธิภาพ โปรแกรมมัลติมีเดียที่ได้รับความนิยมสำหรับการใช้งานบนเครือข่าย อินเทอร์เน็ต ได้แก่ โปรแกรม Real, Windows Media Player, Real Video ฯลฯ วิธีการเชื่อมต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ต การเชื่อมโยงโดยตรงด้วยเกตเวย์เป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เข้ากับ Backbone ของอินเทอร์เน็ต โดยผ่านเกตเวย์ (Gateway) หรือ IP Router สายสื่อสาร ความเร็วสูงมาก มักใช้กับองค์กรขนาดใหญ่ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงมาก การเชื่อมโยงต่อ ผ่านInternet Service Providers(ISP)เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ เข้าสู่อินเทอร์เน็ต โดยผ่านบริษัทผู้ให้บริการจัดสรรการเชื่อมโยง การให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 1. บริการอินเทอร์เน็ตผ่าน ISDN (Integrated Service Digital Network) เป็นการเชื่อมต่อสายโทรศัพท์ระบบใหม่ที่รับส่งสัญญาณเป็นดิจิทัลทั้งหมด อุปกรณ์และชุมสายโทรศัพท์จะเป็นอุปกรณ์ที่สนับสนุนระบบของ ISDN โดยเฉพาะ ไม่ว่า จะเป็นเครื่องโทรศัพท์ และโมเด็มสำหรับ ISDN (ที่มา : https://sites.google.com/site/karcheuxmtxxintexrne/kar-cheuxm-tx-xintexrnet)
55 หน้าที่ประเภทของโมเด็ม โมเด็น (Modem)เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณ คอมพิวเตอร์ให้สามารถ เชื่อมคอมพิวเตอร์ที่อยู่ระยะไกลเข้าหากันได้ด้วยการผ่านสายโทรศัพท์ โดยโมเด็ม จะทำ หน้าที่แปลงสัญญาณ ซึ่งแบ่งออกเป็นทั้งภาคส่ง และภาครับ โดยภาคส่งจะทำการแปลง สัญญาณคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณโทรศัพท์ (Digital to Analog) ในขณะที่ภาครับนั้น จะทำการแปลงสัญญาณโทรศัพท์กลับมาเป็นสัญญาณคอมพิวเตอร์ (Analog to Digital) ดังนั้นในการเชื่อมต่อข่ายระยะไกลๆ เช่น อินเทอร์เน็ต จึงจำเป็นต้องใช้โมเด็ม โดยโมเด็มมี ทั้งแบบภายใน (Internal Modem) ที่มีลักษณะเป็นการ์ด, โมเด็มภายนอก (External Modem) ที่มีลักษณะเป็นกล่องแยกออกต่างหาก และรวมถึงโมเด็มที่เป็นแบบ PCMCIA ที่มักใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ความสำคัญของอินเทอร์เน็ต Pongpanot Inpanya (2564) ได้ให้ความสำคัญของอินเทอร์เน็ต ในปัจจุบัน อินเทอร์เน็ตมีบทบาทและมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของคนเราเป็นอย่างมาก เพราะ ทำให้วิถีชีวิตเราทันสมัยและทันเหตุการณ์อยู่เสมอ เนื่องจากอินเทอร์เน็ตจะมีการเสนอ ข้อมูลข่าวปัจจุบัน และสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ผู้ใช้ทราบเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน สารสนเทศที่ เสนอในอินเทอร์เน็ตจะมีมากมายหลายรูปแบบเพื่อสนองความสนใจและความต้องการ ของผู้ใช้ทุกกลุ่ม อินเทอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งสารสนเทศสำคัญสำหรับทุกคนเพราะสามารถ ค้นหาสิ่งที่ตนสนใจได้ในทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปค้นคว้าในห้องสมุด หรือแม้แต่ การรับรู้ข่าวสารทั่วโลกก็สามารถอ่านได้ในอินเทอร์เน็ตจากเว็บไซต์ต่าง ๆของหนังสือพิมพ์ ดังนั้นอินเทอร์เน็ตจึงมีความสำคัญกับวิถีชีวิตของคนเราในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ในทุก ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่อยู่ในวงการธุรกิจ การศึกษาต่างก็ได้รับประโยชน์จาก อินเทอร์เน็ตด้วยกันทั้งนั้น 1. ด้านการศึกษา อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญ ดังนี้ 1. สามารถใช้เป็นแหล่งค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทาง วิชาการ ข้อมูลด้านการบันเทิง ด้านการแพทย์ และอื่น ๆ ที่น่าสนใจ 2. ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นห้องสมุด ขนาดใหญ่
56 3. นักเรียนนักศึกษาสามารถใช้อินเทอร์เน็ตติดต่อกับมหาวิทยาลัยหรือ โรงเรียนอื่น ๆ เพื่อค้นหาข้อมูลที่กำลังศึกษาอยู่ได้ ทั้งที่ข้อมูลที่เป็นข้อความเสียง ภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ 2. ด้านธุรกิจและการพาณิชย์ อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญดังนี้ 1. ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ 2. สามารถซื้อขายสินค้า ทำธุรกรรมผ่านระบบเครือข่าย 3. เป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์ โฆษณาสินค้า ติดต่อสื่อสาร 4. ผู้ใช้ที่เป็นบริษัท หรือองค์กรต่าง ๆ ก็สามารถเปิดให้บริการ และ สนับสนุนลูกค้าของตนผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เช่น การให้คำแนะนำ สอบถาม ปัญหาต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้า แจกจ่ายตัวโปรแกรมทดลองใช้ (Shareware) โปรแกรมแจกฟรี (Freeware) 3. ด้านการบันเทิง อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญดังนี้ 1. การพักผ่อนหย่อนใจ สันทนาการ เช่น การค้นหาวารสารต่าง ๆ ผ่านระบบ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่เรียกว่า Magazine Online รวมทั้งหนังสือพิมพ์และข่าวสารอื่น ๆ โดยมีภาพประกอบที่จอคอมพิวเตอร์เหมือน กับวารสารตามร้านหนังสือ 2. สามารถฟังวิทยุหรือดูรายการโทรทัศน์ผ่านระบบเครือข่าย อินเทอร์เน็ตได้ 3. สามารถดึงข้อมูล (Download) ภาพยนตร์มาดูได้วิธีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แต่ละประเภท การเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต เมื่อท่านต้องการเข้าใช้บริการต่าง ๆในอินเทอร์เน็ตนั้นท่านจำเป็นต้องทำการเชื่อมต่อกับ อินเทอร์เน็ต ซึ่งการเชื่อมต่อที่นิยมกันมีอยู่สามประเภทดังนี้ • เชื่อมต่อกันโดยตรง(Direct conection) • เชื่อมต่อผ่านเครือข่ายโทรศัพท์แบบ Dialup IP • เชื่อมต่อผ่านเครือข่ายโทรศัพท์แบบ Terminal Emulation เว็บไซต์สำหรับสืบค้น(SearchEngine) คือเครื่องมือหรือโปรแกรมที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลบนเว็บไซต์ต่างๆโดยการกรอก ข้อมูลหรือคำสำคัญ (Keyword) ที่ต้องการค้นหา เข้าไปใส่ช่องค้นหา (Search Box) แล้ว รายชื่อเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคำสำคัญจะถูกแสดงออกมา การค้นหาข้อมูลด้วย Google Google เป็นเว็บไซต์ฐานข้อมูลที่ใช้สำหรับสืบค้น (Search Engine) ที่ใหญ่ที่สุด
57 ซึ่งมี เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) กระจายอยู่กว่า 36 ประเทศทั่วโลกและมีโปรแกรม สนับสนุนภาษาต่าง ๆ ทั่วโลกกว่า 80 ภาษา (รวมทั้งภาษาไทย) (ที่มา : https://sites.google.com/site/computerbcyschool/khxmphiwtexr-p-6/searching-internet) การใช้เทคนิคการค้นหา หมายถึง วิธีการที่ใช้ในการค้นหา เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด เทคนิคในการค้นหานั้น สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. การค้นหาแบบพื้นฐาน (Basic Search) เป็นการค้นหาโดยใช้ คำสำคัญ หรือ คีย์เวิร์ด (Keyword) ซึ่งคำที่ใช้ควรเป็นคำที่ตรงประเด็น กระชับจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ รวดเร็วและตรงตามความต้องการ เพื่อค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ โดยคำสำคัญต่างๆ เช่น 1. ชื่อผู้แต่ง เป็นการค้นหาโดยใช้ชื่อผู้แต่งซึ่งอาจจะเป็นชื่อบุคคล กลุ่มคน นามปากกา หรือเจ้าของบทความ เช่น ชื่อหน่วยงาน/องค์กร ที่เป็นผู้แต่งหรือผู้เผยแพร่ บทความ เช่น รศ.ดร. วรรณพงษ์ เตรียมโพธิ์ เป็นต้น 2. ชื่อเรื่อง เป็นการค้นหาข้อมูล ด้วยชื่อเรื่อง เช่น ชื่อหนังสือ ชื่อบทความ ชื่อเรื่องสั้น นวนิยาย ชื่องานวิจัย หรือวิทยานิพนธ์ เช่น ชนิดของคำในภาษาไทย เป็นต้น 3. หัวเรื่อง คือ คำสั้นๆ ที่กำหนดขึ้นมา เพื่อใช้แทนภาพรวมของเนื้อหา หรือข้อมูลที่ต้องการค้นหา เช่น การท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ เป็นต้น 4. คำหรือวลีสั้นๆ คือ การค้นหาด้วยคำหรือวลีสั้นๆ โดยทั่วไปคำจะมี ลักษณะที่สั้น กะทัดรัด ได้ใจความ มีความหมาย เป็นคำนามหรือเป็นศัพท์ ภายในเนื้อหา ข้อมูลที่ต้องการ เช่น การเดินทางไปทะเลแหวก เป็นต้น 2. การใช้เทคนิคการค้นหาขั้นสูง (Advanced Search) เป็นการเพิ่มความ ซับซ้อนในการค้นหามากกว่าการค้นหาแบบพื้นฐานโดยมีเทคนิคที่ช่วยให้การค้นหาได้ผล ลัพธ์การค้นหาที่แคบลง หรือตรงกับความต้องการมากที่สุด เช่น การตัดคำ การจำกัดการ ค้นหาการใช้ตัวดำเนินการ การระบุรูปแบบของข้อมูลหรือชนิดของไฟล์ ดังรายละเอียด
58 ต่อไปนี้ 1. การใช้เครื่องหมายคำพูด เช่น “ท่องเที่ยวทะเลในประเทศไทย” เพื่อ กำหนดขอบเขตของข้อมูลในการค้นหา จะทำให้ได้ผลลัพธ์แคบลง 2. การใช้เครื่องหมายบวกลบคัดเลือกคำ + (บวก) หน้าคำที่ต้องการจริง – (ลบ) ใช้นำหน้าคำที่ไม่ต้องการ เช่น การท่องเที่ยวที่ไม่ใช่ภูเขา แต่เป็นทะเล 3. การใส่เครื่องหมายคำพูด (” “) กรณีค้นหาคำที่มีตัวเลขปน เช่น “windows 10” ไม่ควรค้นหาตัวเลขเดี่ยวๆ เพราะข้อมูลจะเยอะมาก 4. ระบุประเภทของเว็บไซต์เช่น ค้นหาโรงเรียนเฉพาะเว็บไซต์ของสถานศึกษาใน ประเทศไทย โรงเรียน Site:ac.th (ที่มา : https://sites.google.com/site/computerbcyschool/khxmphiwtexr-p-6/searching-internet)
59 เรื่องที่3 การสมัครสมาชิกเพื่อใช้อีเมล์การลงชื่อเข้าใช้การรับส่งข่าวสารโดยใช้ อีเมล์การเปิดดูไฟล์ที่แนบ การส่งอีเมล์การส่งเอกสารแนบไฟล์ไปกับอีเมล์ การลม อีเมล์และการส่งต่ออีเมล์การใช้งานโปรแกรมที่ใช้ในการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ศิวกร แสงแก้ว(2564) ได้ให้ความหมาย E-mail (EIectronic - Mail)คือ จดหมาย ที่ใช้รับส่งกันโดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ บางแห่งใช้เฉพาะภายในบางแห่งใช้เฉพาะ ภายนอกองค์กร (สำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คือ internet การใช้งานก็เหมือนกับเราพิมพ์ข้อความในโปรแกรม word จากนั้นก็คลิกคำสั่ง เพื่อส่งออก ไป โดยจะมีชื่อของผู้รับ ซึ่งเราเรียกว่าEmail Address เป็นหลักในการรับส่งข้อมูล จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-Mail) การส่งข้อความหรือข่าวสารจากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคล อื่น ๆ ผ่านทางคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายเหมือนกับการส่งจดหมาย แต่อยู่ในรูปแบบ ของสัญญาณข้อมูลที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์โดยเปลี่ยนการนำส่งจดหมายจากบุรุษไปรษณีย์มา เป็นโปรแกรม และเปลี่ยนจากการใช้เส้นทางจราจรคมนาคมทั่วไปมาเป็นช่องสัญญาณ รูปแบบต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะตรงเข้ามาสู่ Mail Box ที่ถูก จัดสรรใน Server ของผู้รับปลายทางทันที E-Mail ปัจจุบันนี้ด้วยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก ทำให้ระบบการ ติดต่อสื่อสารข้อมูลถึงกันสามารถทำได้อย่างง่ายดาย อินเทอร์เน็ตนับเป็นระบบจดหมาย อิเล็กทรอนิกส์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เพราะมีผู้ใช้งานมากกว่า 25 ล้านคน ติดต่อเข้าใช้ อินเทอร์เน็ต เพื่อส่ง E-Mail E-Mail นับเป็นทางเลือกใหม่ของการติดต่อสื่อสาร ด้วยความก้าวหน้าของ เทคโนโลยีระบบเครือข่าย ทำให้การส่งหรือรับ E-Mail ไม่ว่าผู้ส่งและผู้รับจะอยู่ที่ใด เป็นไปได้ในช่วงเวลาที่สั้นและรวดเร็ว สามารถส่งหรือรับข้อมูลได้ทันที และตลอดเวลาที่ เครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบ โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะสัมพันธ์กับค่าโทรศัพท์ที่ ใช้ และค่าธรรมเนียมในการขอใช้บริการจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เราใช้E-Mail เพื่อส่งข้อมูลที่สามารถจัดเก็บในรูปแบบของแฟ้มข้อมูล (File) คอมพิวเตอร์ ได้ทุกประเภท ไม่ว่านั่นจะเป็นเพียงข้อความจดหมายเพื่อพูดคุยธรรมดาหรือเป็น แฟ้มข้อมูลรูปภาพ รวมทั้งยังสามารถแนบแฟ้มข้อมูลเอกสาร หรือข้อมูลต่าง ๆ ได้อีกด้วย ในเชิงธุรกิจ E-Mail จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการติดต่อสื่อสาร นอกจากนี้ยังสามารถส่งจดหมายฉบับเดียวกันถึงผู้รับปลายทางได้เป็นจำนวนมาก ทำให้มี การนำ E-Mail มาใช้เพื่อการโฆษณา หรือประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการได้อีกด้วย
60 ระบบการทำงานของ E-mail อีเมลเป็นการส่งข้อความในรูปของจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ จากคอมพิวเตอร์เครื่อง หนึ่งไปยังคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งโดยการส่งผ่านข้อความดังกล่าวจะถูกส่งผ่าน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ไปยังเมลเซิร์ฟเวอร์ (Mail Server) ผ่านไปทางอินเตอร์เน็ต จากนั้น ข้อมูลก็จะถูกนำไปเก็บไว้ในเมลบล็อกของผู้รับที่เราส่งไปการส่งอีเมลก็จะประกอบไปด้วย 3 ส่วนที่สำคัญ ได้แก่ 1. ในการส่งอีเมล เราจะต้องทำการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต เพื่อเข้าไปใช้งานในเมล เซิร์ฟเวอร์ โดยจะมีโปรโตคอลที่ใช้ในการส่งอีเมล ก็คือ SMTP-Simple Mail Transfer Protocol 2. การส่งข้อมูลผ่านเซิร์ฟเวอร์ หลังจากที่เราได้เขียนข้อความในอีเมลเรียบร้อยแล้ว คอมพิวเตอร์ก็จะส่งอีเมลไปยังเซิร์ฟเวอร์ซึ่งเซิร์ฟเวอร์ก็จะก็จะทำการตรวจสอบชื่อ และที่ อยู่ของผู้รับอีเมล แล้วจึงส่งอีเมลนั้นไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้รับ 3. ผู้รับอีเมล หลังจากที่อีเมลของผู้ส่งได้ถูกส่งมายังเมลบ็อกซ์ของผู้รับแล้ว อีเมลก็ จะปรากฏอยู่ในเมลบ็อกซ์จนกว่าผู้รับจะได้เปิดอ่าน และทำการลบอีเมลนั้นทิ้งไป รูปแบบชื่อ Email Address จะเป็น [email protected] 1. youname คือ ชื่อที่สามารถตั้งเป็นชื่ออะไรก็ได้ (แต่ต้องไม่ซ้ำกับของ คนอื่น) 2. เครื่องหมาย @ สำหรับกั้นระหว่าง ชื่อกับ ชื่อเว็บไซต์ หรือ domain name 3. sanook.com คือ ชื่อเว็บไซต์ หรือ domain name ชนิดของการรับส่ง E - mail 1. การรับส่งโดยใช้โปรแกรม E-mail โดยเฉพาะ เช่น Outlook Express, Eudora 2. การส่งโดยผ่าน Web site เช่น www.sanook.com, www.yahoo.com 3. การส่งโดยผ่าน web Browser เช่น Netscape เป็นต้น การรับส่งอีเมลในแบบที่ 1 ตามปกติจะต้องการกำหนด Configuration เพื่อ กำหนด Incoming Mail และ Outgoing Mail Server ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากในการ Check mail เนื่องจากบางคนไม่ได้มีเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นของตนเองหรือบางคนอาจจะ ต้องเดินทางบ่อย ๆ ให้ไม่ค่อยสะดวก ดังนั้นการรับส่ง แบบที่ 2 คือ Check e-mail ผ่าน web site จึงมีผู้นิยมมากที่สุดในโลกเนื่องจากไม่จำเป็นต้องกำหนด Configuration อะไรทั้งสิ้น เพียงเป็นสมาชิกกับ Web site ที่ให้บริการ แค่จำชื่อ User และ Password เท่านั้น ก็สามารถจะตรวจสอบ E - mail ได้จากที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
61 Web site ที่ให้บริการ E-mail ฟรีได้แก่ www.sanook.com www.chaiyo.com www.gmail.com อื่นๆ วิธีการใช้งาน 1. To หมายถึง ชื่อ E-mail สำหรับผู้รับ 2. FROM หมายถึง ชื่อ E-mail สำหรับผู้ส่ง 3. SUBJECT หมายถึง หัวข้อเนื้อหาของจดหมาย 4. CC หมายถึง สำเนา E-mail ฉบับนี้ไปให้อีกบุคคลหนึ่ง 5.BCC หมายถึง สำเนา E-mail ฉบับนี้ไปให้อีกบุคคลหนึ่ง แต่ผู้รับ(TO)จะไม่ทราบว่า เราสำเนาให้ใครบ้าง 6. ATTACHMENT ส่ง file ข้อมูลแนบไปพร้อมกับ E-mail
62 แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 2 จงอธิบายความหมายของ E-mail และวิธีการใช้งาน .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................
63 บทที่ 3 ทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล(Digital literacy) สาระสำคัญ ทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล หรือ Digital literacy หมายถึง ทักษะ ในการนำเครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอยู่ในปัจจุบัน อาทิ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ แทปเลต โปรแกรมคอมพิวเตอร์และสื่อออนไลน์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ใน การสื่อสาร การปฏิบัติงาน และการทำงานร่วมกัน หรือใช้เพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน หรือระบบงานในองค์กรให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 1 สามารถอธิบายถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้ 2 สามารถเข้าใจและเข้าถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขอบข่ายเนื้อหา เรื่องที่ 1. เพิ่มทักษะในกานำเครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอยู่ในปัจจุบันอาทิ แท็บเล็ต โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และสื่อออนไลน์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการสื่อ การ การปฏิบัติงานและการทำงานร่วมกันหรือใช้เพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน หรือ ระบบงานในองค์กรให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ เรื่องที่ 2.ทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล 9 ด้าน เวลาที่ใช้ในการศึกษา 25 ชั่วโมง สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือแบบเรียนวิชาการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต รหัสรายวิชา 2. สมุดบันทึกกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบหนังสือแบบเรียนวิชา
64 เรื่องที่ 1 เพิ่มทักษะในการนำเครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอยู่ในปัจจุบัน อาทิ แท็บเล็ตโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และสื่อออนไลน์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดใน การสื่อการ การปฏิบัติงานและการทำงานร่วมกันหรือใช้เพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน หรือระบบงานในองค์กรให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ เป้าหมายของการพัฒนาทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาข้าราชการและบุคลากรภาครัฐให้ สามารถนำเครื่องมือ อุปกรณ์และเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอยู่ในปัจจุบันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ สูงสุด ซึ่งจะนำไปสู่การบริหารจัดการภาครัฐ การให้บริการภาครัฐ ความคล่องตัวในการปฏิบัติราชการ ความคุ้มค่าในการใช้ทรัพยากร การสร้างงานที่มีมูลค่าสูง สะดวก รวดเร็ว ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้ง่าย
65 ตรงต่อความต้องการของประชาชน (ที่มา : https://www.ocsc.go.th/DLProject/process-dev) 1. การสร้างการรับรู้และกระตุ้นให้ข้าราชการ บุคลากรในสังกัดเกิดความสนใจและ รับทราบถึงประโยชน์ รวมถึงความจำเป็นของการพัฒนาทักษะความ เข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy)เพื่อให้ทราบถึงระดับ การพัฒนาการของแต่ละบุคคล รวมถึงการนำทักษะดังกล่าวไป ประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน พร้อมทั้งให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ข้าราชการ และบุคลากรในสังกัดด้วย 2.กำหนดเป็นนโยบายของส่วนราชการ เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการปรับปรุง และวางแนวทางการพัฒนา ทักษะของบุคลากรของส่วนราชการในลำดับต่อไป 3.สร้างบรรยากาศการทำงานแบบ Digital ให้เกิดขึ้นในองค์กรโดยมีการ ดำเนินการดังต่อไปนี้ในการพัฒนาทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยี ดิจิทัล (Digital Literacy) ให้แก่ ข้าราชการและบุคลากรในสังกัด รวมถึงนำทักษะที่ได้จากการพัฒนามาประยุกต์ใช้ใน การปฏิบัติงาน และการให้บริการประชาชน ทั้งนี้เพื่อสร้างคุณค่าร่วมกัน ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม 4. พัฒนาข้าราชการและบุคลากรในสังกัดให้มีทักษะความ เข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยมีการดำเนินการ ดังต่อไปนี้ ตั้งคณะทำงานหรือผู้รับผิดชอบหลักในการสร้าง บรรยากาศการทำงานแบบ Digital โดยมีรองหัวหน้าส่วน ราชการขึ้นไปเป็นหัวหน้าคณะทำงาน
66 5. พัฒนาข้าราชการและบุคลากรในสังกัดให้มีทักษะความ เข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยมีการดำเนินการ ดังต่อไปนี้ ส่วนราชการวางแผนการพัฒนาทักษะความเข้าใจและใช้ เทคโนโลยีดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรในสังกัด โดย อาจจำแนกบุคคลออกเป็นกลุ่มตามความสามารถและ ความสนใจในการพัฒนา และกำหนดแนวทางในการ พัฒนาให้สอดคล้องกับศักยภาพของบุคคลส่งเสริมและ สนับสนุนให้ข้าราชการพัฒนาทักษะความเข้าใจและใช้ เทคโนโลยีดิจิทัลด้วยตนเอง โดยอาจนำวิธีการพัฒนา ทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (6 Step) มาใช้ เป็นแนวทางการพัฒนา 6. ติดตามผลการพัฒนาทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยี ดิจิทัล ข้าราชการและบุคลากรในสังกัดเพื่อให้ทราบถึงระดับ การพัฒนาการของแต่ละบุคคล รวมถึงการนำทักษะดังกล่าวไป ประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน พร้อมทั้งให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ ข้าราชการและบุคลากรในสังกัดด้วย รายงานผลการนำทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐมายังสำนักงาน ก.พ.เพื่อ นำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการปรับปรุง และวางแนว ทางการพัฒนาทักษะของบุคลากรของส่วนราชการในลำดับ ต่อไป
67 (ที่มา : https://www.ocsc.go.th/DLProject/process-dev) แนวทางการดำเนินการสำหรับส่วนราชการ ปัจจัยสำคัญของการบริหารนั้นประกอบไปด้วยสิ่งสำคัญ 4 ประการ นั่นก็คือ มนุษย์, เงินทุน, วัสดุอุปกรณ์ต่าง, และการบริหารจัดการ ใน 4 ประการนี้ส่วนที่มี ความสำคัญที่สุดเห็นจะเป็นมนุษย์นั่นเอง เพราะนี่คือทรัพยากรที่มีคุณค่าและเป็น ประโยชน์มากที่สุดในการบริหารจัดการแต่ละองค์กร บุคคลที่มีศักยภาพย่อมทำงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้องค์กรพัฒนาได้อย่างมีศักยภาพในคราวเดียวกันด้วย การ บริหารจัดการทรัพยากรบุคคลนี้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้องค์กรเคลื่อนไป ข้างหน้าได้อย่างไม่สะดุดใด ๆ หน้าที่ในการบริหารจัดการบุคคลนี้ถือว่าเป็นภาระกิจสำคัญ อย่างยิ่งสำหรับฝ่ายทรัพยากรบุคคล ซึ่งการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลให้มี ประสิทธิภาพนั้นต่างก็มีรายละเอียดมากมายด้วยเช่นกัน Digital literacy คืออะไร ทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล หรือ Digital literacy หมายถึง ทักษะในการนำ เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอยู่ในปัจจุบัน อาทิ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ แทปเลต โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และสื่อออนไลน์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการ สื่อสาร การปฏิบัติงาน และการทำงานร่วมกัน หรือใช้เพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน หรือ ระบบงานในองค์กรให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ
68 เรื่องที่ 2 ทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล 9 ด้าน ในปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากยุค Analog ไปสู่ยุค Digital และยุค Robotic จึงทำให้เทคโนโลยีดิจิทัลมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตและการทำงาน ข้าราชการซึ่ง เป็นแกนหลักของการพัฒนาประเทศ จึงต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทของการ เปลี่ยนแปลง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด culture shock เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี และเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม เช่น การสูญเสีย การเป็นส่วนตัว ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การโจรกรรมข้อมูล การโจมตีทางไซ เบอร์ เป็นต้น Digital literacy หรือทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เป็นทักษะด้าน ดิจิทัลพื้นฐานที่จะเป็นตัวช่วยสำคัญ สำหรับข้าราชการในการปฏิบัติงาน การสื่อสาร และ การทำงานร่วมกันกับผู้อื่นในลักษณะ “ทำน้อย ได้มาก” หรือ “Work less but get more impact” และช่วยส่วนราชการสร้างคุณค่า (Value Co-creation) และความคุ้มค่า ในการดำเนินงาน (Economy of Scale) เพื่อการก้าวไปสู่การเป็นประเทศไทย 4.0 อีกทั้ง ยังเป็นเครื่องมือช่วยให้ข้าราชการ สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองเพื่อให้ได้รับโอกาสการ ทำงานที่ดีและเติบโตก้าวหน้าในอาชีพราชการ (Learn and Growth) ด้วย ประโยชน์สำหรับข้าราชการ • ทำงานได้รวดเร็วลดข้อผิดพลาดและมีความมั่นใจในการทำงานมากขึ้น • มีความภาคภูมิใจในผลงานที่สามารถสร้างสรรค์ได้เอง
69 • สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น • สามารถระบุทางเลือกและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น • สามารถบริหารจัดการงานและเวลาได้ดีมากขึ้น และช่วยสร้างสมดุลในชีวิตและ การทำงาน • มีเครื่องมือช่วยในการเรียนรู้และเติบโตอย่างเหมาะสม ประโยชน์สำหรับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ • หน่วยงานได้รับการยอมรับว่ามีความทันสมัย เปิดกว้าง และเป็นที่ยอมรับ ซึ่งจะ ช่วยดึงดูดและรักษาคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพสูง มาทำงานกับองค์กรด้วย • หน่วยงานได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากประชาชนและผู้รับบริการมากขึ้น • คนในองค์กรสามารถใช้ศักยภาพในการทำงานที่มีมูลค่าสูง (High Value Job) • กระบวนการทำงานและการสื่อสารของงองค์กร กระชับขึ้น คล่องตัวมากขึ้น • หน่วยงานสามารถประหยัดทรัพยากร (งบประมาณและกำลังคน) ในการ ดำเนินงานได้มากขึ้น (สำนักงานข้าราชการพลเรือน, 2564)
70 แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 Digital literacy คืออะไรจงอธิบาย และใช้เทคโนโลยีดิจิทัล 9 ด้านมีอะไรบ้างจงอธิบาย ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………….……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………..
71 บทที่ 4 การค้าออนไลน์ สาระสำคัญ ในโลกปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในชีวิต ไม่เพียงแต่การ สืบค้นข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ การติดต่อสื่อสารในกลุ่มเพื่อน แต่รวมไปถึงการซื้อขายสินค้า แบะบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือ ที่เรียกกันว่า E-Commerce เพราะ E-Commerce คือ บริการการซื้อขายออนไลน์ มีความสำคัญ ดังนี้ ทำให้การซื้อขาย ออนไลน์ สามารถซื้อขายได้ทุกที่ สร้างความสะดวกสบายให้ผู้ซื้อและผู้ขาย เทคโนโลยี ก็ ยังถือปัจจัยหลักที่ช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจ E-Commerce เติบโตไปได้อย่างรวดเร็วมาก เพราะทำธุรกิจ E-Commerce ปัจจุบัน สามารถใช้งานได้หลากหลายช่องทางทั้งทาง สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือ คอมพิวเตอร์ ซึ่งระบบของ E-Commerce มีความปลอดภัย โดย เว็บไซต์E-Commerce ส่วนใหญ่จะมีระบบการจ่ายเงินที่สะดวกสบายแต่ระบบความ ปลอดภัยสูงมากเป็นช่องทางใหม่สำหรับผู้ประกอบการ ซึ่งถือเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยสร้าง โอกาสในการขยายช่องทางการค้าขายให้ผู้ประกอบการได้มากยิ่งขึ้น และเป็นตัวช่วยหนึ่ง ในการเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายและตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เป็นวิธีที่ดีในการสร้างแบรนด์ ให้เป็นที่รู้จัก เพราะปัจจุบันสังคมออนไลน์ถือเป็นสื่อหลักที่ช่วยในการโฆษณาและ ประชาสัมพันธ์ได้อย่างดีเยี่ยม ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ตัวชี้วัด 1. มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการค้าออนไลน์ 2. มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสัญลักษณ์ หรือโลโก้สำหรับการค้าออนไลน์ 3. มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ 4. มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการให้บริการต่าง ๆ 5. สามารถสรุปความหมายและความสำคัญของการค้าออนไลน์
72 ขอบข่ายเนื้อหา เรื่องที่ 1 ความหมายและความสำคัญของการค้าออนไลน์ เรื่องที่ 2 ความหมายของสัญลักษณ์ หรือโลโก้ เรื่องที่ 3 ความหลากหลายของบรรจุภัณฑ์ เรื่องที่ 4 หลักการออกแบบบรรจุภัณฑ์ เรื่องที่ 5 การให้บริการในรูปแบบต่าง ๆ เรื่องที่ 6 สรุปองค์ความรู้หลักการขายออนไลน์ เวลาที่ใช้ในการศึกษา 25 ชั่วโมง สื่อการเรียนการสอน หนังสือแบบเรียนวิชาการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้
73 เรื่องที่ 1 ความหมายและความสำคัญของการค้าออนไลน์ ความหมายของการขายออนไลน์ สุดารัตน์ เพ็งขุนทด (2564) ได้ให้ความหมาย การขายออนไลน์ หมายถึง การนำ สินค้าไปประกาศขายตามเว็บไซต์ที่เป็นทำเล หรือ Marketplace ที่ผู้ซื้อกับผู้ขายออนไลน์ พบกัน ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ในประเทศไทย เช่น Trade.com และweloveshopping.com หรือในต่างประเทศ เช่น amazon.com และ ebaly.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์สำเร็จรูปที่ สามารถประกาศขายได้ทันทีมีบุคคลเข้ามาดูสินค้าหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ความสำคัญของการขายออนไลน์ ในโลกปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในชีวิต ไม่ เพียงแต่การสืบค้นข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ การติดต่อสื่อสารในกลุ่มเพื่อน แต่รวมไป ถึงการซื้อขายสินค้าแบะบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือ ที่เรียกกันว่า E-Commerce เพราะ E-Commerce คือบริการการซื้อขายออนไลน์มีความ สำคัญดังนี้ 1. การซื้อขายออนไลน์ สามารถซื้อขายได้ทุกที่ สร้างความสะดวกสบาย ให้ผู้ซื้อและผู้ขาย เทคโนโลยี ก็ยังถือปัจจัยหลักที่ช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจ E-Commerce เติบโตไปได้อย่างรวดเร็วมาก เพราะทำธุรกิจ E-Commerce ปัจจุบัน สามารถใช้งานได้หลากหลายช่องทางทั้งทางสมาร์ท โฟน แท็บเล็ต หรือ คอมพิวเตอร์ ซึ่งระบบของ E-Commerce มีความปลอดภัย โดย เว็บไซต์E-Commerce ส่วนใหญ่จะมีระบบการจ่ายเงินที่สะดวกสบายแต่ ระบบความปลอดภัยสูงมาก 2. เป็นช่องทางใหม่สำหรับผู้ประกอบการ ซึ่งถือเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วย สร้างโอกาสในการขยายช่องทางการค้าขายให้ผู้ประกอบการได้มากยิ่งขึ้น และ เป็นตัวช่วยหนึ่งในการเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายและตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เป็นวิธีที่ดีในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก เพราะปัจจุบันสังคมออนไลน์ถือเป็นสื่อ หลักที่ช่วยในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ได้อย่างดีเยี่ยม ได้รับความนิยมอย่าง แพร่หลาย ดังนั้น จึงถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการช่วยขยายแบรนด์ ซึ่งช่วยเพิ่มฐานลูกค้า และขยายฐานธุรกิจออกไปอีกด้วย (สุดารัตน์ เพ็งขุนทด, 2564)
74 ลักษณะของการขายออนไลน์ 1. ใช้ต้นทุนต่ำกว่าการเปิดร้านจริง 2. กลุ่มลูกค้ามีจำนวนมาก 3. เปิดร้านค้าได้ทุกวัน 4. เพิ่มช่องทางในการขายสินค้า 5. ใช้เวลาไม่มากทำเป็นอาชีพเสริมได้ ประโยชน์ของ E-commerce 1. เพิ่มโอกาสทางการตลาด ขยายโอกาสในการเข้าถึงตลาด เพิ่มช่องทางการจัด จำหน่ายมากยิ่งขึ้นสนองความต้องการของตลาด และขยายตลาดได้อย่างรวดเร็วนำ เทคโนโลยีมาใช้ สร้างผลกำไรแก่องค์กร ตามทันสื่อการตลาดยุคใหม่เพิ่มโอกาสโลกตลาด ออนไลน์ รู้ทันพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อการทำการตลาด ทางตรงสร้างการรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว ย่นระยะเวลาการนำสินค้าเข้าสู่ตลาดเปิดบริการ ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน สะดวกในการค้นหาข้อมูล และติดต่อซื้อ - ขายนำเสนอข้อมูล สินค้าได้เป็นจำนวนมาก และสามารถสื่อสารกับลูกค้า ได้ในลักษณะ Interactive Market (การตลาดเชิงตอบโต้)เพิ่มโอกาสทางการตลาดในการบริหารข้อมูลลูกค้าจากระบบ อิเล็กทรอนิกส์ปรับปรุงหรือ Update ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการได้ตลอดเวลา 2. ลดต้นทุนในการจัดซื้อ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้า ตลอดจนค่าใช้จ่ายในกระบวนการซื้อที่ลดลงสามารถควบคุม ขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างได้ ขั้นตอนไม่ซับซ้อนสะดวกและรวดเร็วขึ้นสามารถเลือก ผู้ผลิต/ ผู้จำหน่ายสินค้าและบริการได้อย่างหลากหลาย ประหยัดเวลาในการเปรียบเทียบสินค้า และผู้ขายเป็นผลให้ได้สินค้าคุณภาพดี และราคาเป็นที่น่าพอใจ ตรงกับความต้องการที่สุด 3. สนับสนุนการซื้อ – ขาย มีระบบค้นหาสินค้าจาก “คำค้นหาสินค้า” และ ช่องทางการเข้าถึงข้อมูลทาง“สารบัญข้อมูล” แบ่งออกเป็นหมวดหมู่และประเภทอย่าง ชัดเจน เพื่อความสะดวกในการค้นหาเลือกดูสินค้า หรือบริษัท ได้ตามความต้องการระบบ ผู้ติดต่อ และระบบข้อความทางหน้าเว็บไซต์ เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการติดต่อสื่อสาร ระหว่างกันส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลของผู้เข้าชมเว็บไซต์จำนวนมาก สามารถมองเห็นสินค้า และบริษัทของคุณได้อย่างง่ายดาย ผ่านทางหน้าเว็บไซต์สามารถทำกำไรได้มากกว่าระบบ
75 การซื้อ - ขายแบบเดิม เนื่องจากต้นทุนการจัดซื้อและจัดจำหน่ายต่ำกว่าทำให้ต้นทุนต่อ หน่วยลดลงและ กำไรจากการขายต่อหน่วยเพิ่มขึ้น 4. ส่งเสริมการขายการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ลดต้นทุนการส่งเสริมการตลาด โฆษณาและประชาสัมพันธ์ เช่น ลดต้นทุนการโฆษณาผ่านสื่อปกติอื่น ๆ ลดต้นทุนการจัด กิจกรรมทางการตลาด ซึ่งสามารถใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์บริหารจัดการได้สร้างภาพลักษณ์ที่ ดีให้กับธุรกิจหรือองค์กร ในเรื่องของความทันสมัย และเป็นโอกาสที่จะทำให้สินค้าหรือ บริการเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วในวงกว้าง 5. ลดการใช้ทรัพยากร ลดเวลาในการหาข้อมูลสินค้าหรือผู้ขาย และย่นเวลาใน การนำสินค้าเข้าสู่ตลาด ลดขั้นตอนทางการตลาด ลดพลังงานในการเดินทาง ลดการใช้ ทรัพยากรด้านองค์ประกอบทางธุรกิจ เช่น พื้นที่การขาย อาคารประกอบการ ทำเลที่ตั้ง โกดังเก็บสินค้า เป็นต้น ลดต้นทุนด้านช่องทางจำหน่ายในรูปแบบร้านค้า, ค่าใช้จ่ายในการ ขายและบริหาร รวมทั้งค่าเช่าพื้นที่ขายหรือการลงทุนในการสร้างร้าน ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุน ของธุรกิจต่ำลง (ที่มา : https://blog.sogoodweb.com/Article/Detail/9137/) การเตรียมตัวเปิดรานค้าออนไลน์(บริษัท เชส สตูดิโอ จำกัด,2564) 1. ชื่อแบรนด์ ชื่อร้าน การคิดชื่อไม่ซ้ำใครถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแต่การที่ชื่อร้านตามใจ ชอบแปลกไม่ซ้ำใคร ซึ่งมีผลต่อการจดจำแบรนด์เป็นอย่างมากหากคุณเลือกชื่อที่อ่านออก เสียงยาก ไม่คุ้นหูคนไทย ไม่กล้าแนะนำแบรนด์ให้กับคนอื่น ๆ เพราะกลัวออกเสียงผิด ทำ ให้ลูกค้าไม่จดจำร้าน เสียทั้งลูกค้าหน้าใหม่แถมยังสร้างฐานลูกค้า Loyalty อีกด้วย ดังนั้น
76 ควรคิดทบทวนให้ดีกว่าควรคิดชื่อที่หรูแต่จำยากหรือชื่อเบสิกที่จำง่าย และสอดคล้องกับ สินค้าหรือบริการที่เป็นหลักของร้านจะทำให้ลูกค้าจดจำและหาร้านคุณเจอได้ง่ายขึ้น 2. สินค้าและบริการ เราสามารถเลือกขายสินค้าที่ชื่นชอบ จากการที่มีความรู้ เกี่ยวกับสินค้าตัวนั้น เพราะสามารถให้ข้อมูลแก่ลูกค้าได้อย่างชัดเจน แถมได้ขายของที่ ชอบเป็นความสุขที่ได้ทำสิ่งที่รัก แต่ถ้าหากไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษแต่อยากมีรายได้จาก การขายของออนไลน์ จะต้องเริ่มต้นด้วยการสำรวจตลาดว่าสินค้าอะไรกำลังเป็นที่ต้องการ สินค้าอะไรที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี สามารถทำกำไรได้ อย่างเช่น คนใช้ สมาร์ทโฟนกันแทบทุกคน อุปกรณ์เสริมสำหรับสมาร์ทโฟนจึงเป็นที่ต้องการ พวกเคสกัน กระแทก ฟิล์มกันหน้าจอแตก ไม้เซลฟี่ พาวเวอร์แบงค์ เป็นต้น ข้อควรคำนึงถึงราคาต้นทุนและกำไรที่จะได้รับ เพราะการขายของบนโลกออนไลน์ มักมีการตัดราคากันอยู่เสมอ การเริ่มด้วยสินค้าที่มีต้นทุนต่ำจึงเป็นควรทำในตอนแรก 3. เงินลงทุน ควรวางแผนเงินทุนด้วยการจัดเตรียมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ครอบคลุม ขั้นตอนการทำงานไว้ทั้งหมด ตั้งแต่เงินทุนที่ใช้ลงทุนกับสินค้าที่สั่งมาขาย ค่าใช้จ่ายด้าน การตลาด อย่างค่าโปรโมทเพจ ค่าโฆษณา Google Adwards ไปจนถึงขั้นตอนการจัดส่ง สินค้าให้แก่ลูกค้า การวางแผนที่ดีจะทำให้คุณสามารถบริหารต้นทุนได้ดีและมองเห็นว่า เงินทุนของคุณสามารถทำอะไรได้มากมายและทำให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด ฉะนั้นจึงควร รอบคอบแบ่งสรรปันส่วนเงินลงทุนของคุณให้ดีที่สุด 4. สร้างความตัวตนของแบรนด์หลังจากที่เลือกสินค้าได้แล้วก็มาถึงการคิดแล้วว่า สินค้าที่นำมาขายเหมาะสมกับการขายแบบปลีกหรือแบบขายส่งมากกว่ากัน การเลือกขาย ส่งในราคาถูกอาจเป็นคำตอบสำหรับสินค้าบางชนิด แม้กำไรน้อยแต่เน้นปริมาณก็อาจจะ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีกำไรเป็นกอบเป็นกำได้ ในบางสินค้าก็ต้องขายปลีกแบบกำไรสูงๆ ได้ ขึ้นอยู่กับการกำหนดจุดยืนของแบรนด์ว่าต้องการทิศทางแบบใด 5. ช่องทางการจัดจำหน่าย การเปิดร้านค้าออนไลน์หลายท่านคิดว่าง่ายที่สุดก็คือ Facebook เพราะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย แถมเข้าถึงกลุ่มได้ง่ายอีกต่างหาก ไปจนถึง การเปิดเพจซึ่ง Facebook มีความเสี่ยงเช่นกัน พ่อค้าแม่ค้าหลายคนสร้างบัญชีใหม่เพื่อ ขายสินค้าในหน้าโปรไฟล์ของตัวเอง แต่วันดีคืนดีบัญชี Facebook ก็ไม่สามารถเข้าใช้งาน ได้ ไม่ว่าจะด้วยการโดนสแปมจากคู่แข่ง รายงานโปรไฟล์ปลอม ไปจน Facebook ตรวจสอบบัญชีผู้ใช้เองแล้วปิดการใช้งาน Facebook ส่วน Fanpage ก็อาจโดนลดการ เข้าถึงอัตโนมัติได้Facebook สามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ตลอดเวลา ดังนั้นพ่อค้า
77 แม่ค้าออนไลน์ที่ขายของตาม Facebook จึงมีความเสี่ยงสูงที่บัญชีผู้ใช้จะถูกปิดการใช้งาน ได้ เว็บไซต์มีความปลอดภัยกว่า Facebook และ Fanpage เว็บไซต์เป็นเสมือนหน้า ร้านสามารถลงโฆษณาและกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ตามที่ต้องการ และยังตรวจสอบผู้เข้า ชมเว็บไซต์ทำให้สามารถวิเคราะห์ผู้ใช้ที่จะกลายมาเป็นลูกค้าของเราได้อีกด้วย 6. กำหนดแผนการตลาด แม้การมีสินค้าคุณภาพดีราคาถูกจะเป็นสิ่งที่จูงใจ ผู้บริโภคได้แต่หากไม่มีคนรู้จักร้านก็ไม่มีประโยชน์ แผนการตลาดจึงเป็นตัวกำหนดชะตา ของแบรนด์ การวางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของการโปรโมทร้านหรือสินค้า การสื่อสารกับลูกค้า กระตุ้นลูกค้าอย่างไร ดึงดูดใจด้วยโปรโมชั่นอะไรที่จะทำให้ลูกค้าเข้า มาซื้อสินค้าที่ร้าน หาวิธีเอาชนะร้านอื่น ๆ ที่เปิดมาก่อนทำอย่างไรให้ร้านที่เปิดใหม่ของเรา อยู่ได้ การวางแผนจะต้องมีขั้นตอน เริ่มจากการวางเป้าหมายอย่างชัดเจน มีขั้นตอนการ ปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมาย จัดงบประมาณต่าง ๆ ที่ใช้เพื่อให้ขั้นตอนที่วางแผนไว้สำเร็จ กำหนดเวลาแล้วประเมิน วัดผล ตรวจสอบแล้วมาทำการปรับปรุงแผนให้แบรนด์พัฒนาขึ้น ไปอีก 7. ช่องทางการชำระเงิน การทำให้ลูกค้าสามารถชำระเงินได้ง่ายในการซื้อของ ออนไลน์ถือเป็นอีกเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนเปิดร้านออนไลน์เลยก็ว่า ได้ สำหรับเมื่อก่อนนั้นการเปิดบัญชีธนาคารหลายๆ ธนาคารเพื่อรองรับลูกค้าที่ไม่ต้องการ เสียค่าธรรมเนียมโอนข้ามธนาคารเป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ปัจจุบันการโอนเงินข้ามธนาคาร หลายธนาคารเริ่มที่จะฟรีค่าธรรมเนียมก็เป็นผลดีกับทั้งทางลูกค้า เลือกธนาคารที่เป็นที่ นิยมจึงเป็นทางเลือกที่ดี หากมีแผนที่จะขายสินค้ากับลูกค้าที่อยู่ต่างประเทศก็ควรที่จะมี บัญชีที่รองรับการโอนเงินจากต่างประเทศ คุณต้องมีแผนรองรับสำหรับการส่งสินค้าไป ต่างประเทศโดยที่ไม่ขาดทุน การใช้บัญชี Paypal จึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับ พ่อค้าแม่ค้าบนออนไลน์ (ที่มา : https://www.chessstudio.co.th/)
78 8. มีความอดทนและมุ่งมั่น ไม่ว่าใคร ๆ ก็อยากรวยเร็วๆ แต่การที่เราหวังให้การ ลงทุนผลิตกำไรตั้งแต่ตอนแรกที่เริ่มเปิดร้านถือเป็นเรื่องเพ้อฝัน เพราะเมื่อเริ่มเปิดร้านแล้ว ความเป็นไปได้ที่จะมีลูกค้าไหลมาแบบมหาศาลเป็นไปไม่ได้เลย ในอาทิตย์แรกๆ จะมี ลูกค้าเข้ามาให้ความสนใจสินค้าแล้วก็กลับไปเก็บข้อมูลเป็นส่วนใหญ่ ไม่ต้องตกใจเพราะยัง ไม่มีใครรู้จักร้านของเราเลย ขอให้ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งรีบลดราคาแล้วขายทุกอย่างให้คืนทุน ขอให้คุณมั่นใจและตรวจสอบแผนการตลาดว่าเป็นไปตามคาดหรือไม่ ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ไปเรื่อย ๆ ทำอะไรใหม่ๆ เพื่อเรียกลูกค้าเข้ามา กระตุ้นลูกค้าให้รับรู้แบรนด์ของคุณด้วย เครื่องมือต่าง ๆ อย่างไม่ลดละ 9. บริหารเวลาให้ดี หากต้องการทำงานประจำแต่อยากทำการขายออนไลน์เป็น อาชีพเสริม ก็จะต้องบริหารเวลาให้ดี เนื่องจากความต้องการของลูกค้ามีระยะเวลาจำกัด ตัวเลือกที่เป็นคู่แข่งก็มีมากมาย ถ้าตอบลูกค้าช้าไม่ทันเวลาก็จะทำให้เสียลูกค้าไปได้ ใน กรณีที่ตอบบทสนทนาจากลูกค้าในเวลาที่ไม่ว่างอาจจะใช้การตอบกลับอัตโนมัติ ทั้งแชท ของ Facebook และการตอบกลับอัตโนมัติของ LINEat ก็สามารถทำได้ (ที่มา : https://www.chessstudio.co.th/)
79 เรื่อง 2 การออกแบบโลโก้ (ตราสัญลักษณ์ของสินค้า) (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=643§ion=4&issues=27) ปัจจุบัน โลโก้บริษัท ถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นโลโก้แบรนด์ สินค้า โลโก้ร้าน เพราะโลโก้ จะเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจมีความก้าวหน้า และประสบ ความสำเร็จได้ ซึ่งการทำโลโก้นั้น จะต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการเป็น หลัก เพื่อให้โลโก้มีความแปลกใหม่ โดดเด่น และไม่เหมือนใคร โดยเป้าหมายส่วนใหญ่ของ การทำโลโก้ขึ้นมานั้น ก็เพื่อการสร้างแบรนด์ให้กับสินค้าหรือบริการต่าง ๆ นั่นเอง ดังนั้นการออกแบบโลโก้ จึงมีความสำคัญมากที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อการสร้างแบรนด์ สินค้าให้โดดเด่น และน่าสนใจ และยังเป็นการช่วยส่งเสริมธุรกิจให้เติบโตขึ้นอีกทางหนึ่ง ด้วย (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=643§ion=4&issues=27)
80 ความหมายของสัญลักษณ์ หรือโลโก้ Productivity & Operations (2564) สัญลักษณ์หรือโลโก้ (Logo) มาจากคำเต็ม Logotype หมายถึง สัญลักษณ์ เครื่องหมาย ตัวแทน หรือสื่ออย่างใดอย่างหนึ่งที่บ่งบอก ประเภท รูปแบบ หรือรูปพรรณสัณฐานของสิ่งที่เป็นเจ้าของสัญลักษณ์ หรือโลโก้ (Logo) นั้น ๆ โลโก้ (Logo) คือ สัญลักษณ์ที่แสดงถึงภาพสัญลักษณ์ และเครื่องหมายต่าง ๆ ได้แก่ สินค้าและบริษัทผู้ผลิต การออกแบบโลโก้สินค้า และบริษัทให้มีเอกลักษณ์แบบ เฉพาะตนเอง จะช่วยให้มีความน่าเชื่อถือ และตราตรึงต่อผู้บริโภคตลอดไป ดังนั้น โลโก้จึงสามารถสร้างแรงบันดาลใจ ความเชื่อ ความนิยม และการจดจำ เกี่ยวกับองค์กรหรือสินค้าและมันคืองานของ Designer ในการสร้างสรรค์โลโก้ เพื่อ วัตถุประสงค์ดังกล่าว เพราะโลโก้นั้นไม่ได้เป็นแค่เครื่องหมายเฉย ๆ แต่โลโก้นั้นสะท้อนถึง ภาพลักษณ์ในทางการตลาดของธุรกิจอีกด้วย จุดประสงค์หลักของการออกแบบโลโก้ โลโก้ (Logo) ที่ปรากฏต่อสายตาเป็นภาพลักษณ์แรกที่ลูกค้าจะได้รู้จัก ดังนั้นจึงมี ความหมายต่อธุรกิจอย่างไม่ต้องสงสัย โลโก้ที่ดีจะช่วยสร้างเครดิตให้กับกิจการหรือองค์กร ธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้าขายสินค้าคุณภาพ โลโก้นั้นต้องสะท้อนสิ่งนี้ให้เห็นได้อย่าง ชัดเจน ดังนั้นจุดประสงค์หลักของการออกแบบโลโก้ มีดังนี้ 1. เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในตัวแบรนด์ เพิ่มความจงรักภักดี (Loyalty) ของแบรนด์ 2. เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพ 3. เพื่อช่วยสะท้อนถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ 4. เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึก ความเชื่อมั่น เกิดความเข้าใจในตัวสินค้า และ ยอมรับในตัวสินค้า (Productivity & Operations, 2564) ความสำคัญของการออกแบบโลโก้ ปัจจุบันการออกแบบโลโก้ควรใช้เวลาคิด วิเคราะห์ข้อมูลหลาย ๆ อย่าง เพื่อให้โล โก้ที่ออกแบบมานั้นตอบโจทย์กับบริษัท สินค้าหรือบริการนั้น ๆ สามารถสะท้อนถึง ภาพลักษณ์ที่ต้องการออกไปสู่คนภายนอกได้อย่างถูกต้องตามที่คาดหวังไว้ ดังนั้น ความสำคัญของการออกแบบโลโก้ มีดังนี้
81 1. การออกแบบโลโก้ ช่วยในการนำเสนอด้วยสัญลักษณ์หรือรูปภาพกราฟิก ง่ายเป็นสัญลักษณ์ของบริษัท องค์กร หรือห้างร้าน แต่สิ่งสำคัญคือต้องมีอำนาจในการ ดึงดูด และแสดงภาพลักษณ์ ของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ได้ เช่น ผลิตภัณฑ์ของผู้ชาย โลโก้ควรจะ สื่อถึงความเข้มแข็ง มาดมั่น หรือสมาร์ท 2. การออกแบบโลโก้ที่ดี จะช่วยให้ผู้คนหรือลูกค้าเป้าหมายสามารถจดจำได้ ทันทีที่เห็น สามารถสร้างแรงบันดาลใจ สร้างความซื่อสัตย์ต่อแบรนด์ การยอมรับและ ความชื่นชม โลโก้ที่ดีจึงเป็นพื้นฐานของแนวความคิดหรือคุณค่าของบริษัทที่สมบูรณ์แบบ 3. การออกแบบโลโก้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การสร้างความประทับใจให้กับผู้มอง ซึ่งจะต้องมีความหมายและจำได้ง่ายเป็นสัญลักษณ์ที่สามารถจะเข้าไปอยู่ในใจของลูกค้าได้ จะต้องมีเอกลักษณ์และไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเวลา นอกจากนี้มันจะต้องมีความ ยืดหยุ่นในเรื่องของขนาดเพราะมันจะต้องถูกนำไปใช้ในสถานที่ต่าง ๆ เช่นป้ายประกาศ บิลบอร์ดขนาดใหญ่ หนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญก็คือมีความคมชัด มองเห็นได้ง่าย 4. การออกแบบโลโก้ เป็นกระบวนการที่ค่อนข้างซับซ้อน เสมือนการกำหนด ตัวตนของธุรกิจ นอกจากนี้ต้องเหมาะหรือตรงกับความชอบและค่านิยมของลูกค้า เป็น การบ่งบอกถึงคุณค่าของบริษัทที่จะต้องทำความเข้าใจอย่างระมัดระวัง มีความชัดเจน และสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ 5. การออกแบบโลโก้และการสร้างแบรนด์ เป็นองค์ประกอบที่ผสมผสานกัน ระหว่างปัจจัยสองอย่างคือ คุณภาพและการพบเห็น และในโลกโลกาภิวัฒน์นี้เป็นการบ่ง บอกความชาญฉลาดของบริษัทที่จะสามารถเอาตัวรอดไปได้ตลอดจากเงื่อนไขของเวลา และการแข่งขัน ประเภทของโลโก้ ในปัจจุบันเราทุกคนรู้จักโลโก้ดี ๆ มากมาย แต่เชื่อไหมครับว่าเราแทบไม่รู้กันเลย ว่าโลโก้ที่ดีเหล่านั้นไม่ง่ายเลยที่จะสร้างขึ้นมา เมื่อเริ่มต้นออกแบบโลโก้ของธุรกิจมีหลาย อย่างที่ต้องพิจารณาตั้งแต่แนวคิด (Concept) ของสี ไปจนถึงการออกแบบงานแต่ใน ปัจจุบันเราแบ่งโลโก้ (Logo) ออกเป็น 4 ลักษณะดังต่อไปนี้
82 1. Wordmark เป็นโลโก้ที่ออกแบบโดยการนำตัวอักษรหลายตัวมาจัดเรียงเข้า ด้วยกันหรือที่ เรียกว่า Logotype บริษัทที่ใช้โลโก้ลักษณะนี้ เช่น eBay, IBM, CNN, Google, และ Kleenex เป็นต้น (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=643§ion=4&issues=27) 2. Letterform โลโก้ลักษณะนี้สร้างจากการประดิษฐ์ตัวอักษรตัวเดียวให้มี ลักษณะพิเศษชวนจดจำ เช่น Honda, Uber, Unilever, McDonald’s เป็นต้น (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=643§ion=4&issues=27) 3. Pictorial เป็นโลโก้ที่มีลักษณะเป็นรูปเชิงสัญลักษณ์ที่เรา สามารถเห็นแล้ว จดจำได้ง่าย เช่น Starbucks, Twitter หรือ Playboy โลโก้ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่มี ลักษณะเป็นรูปสัญลักษณ์ทั้งสิ้น (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=643§ion=4&issues=27)
83 4. Abstract ตัวโลโก้ไม่ได้สื่อถึงสิ่งใด แต่สามารถจดจำได้ง่าย ดูแล้วเหมือนกับ ภาพศิลปะแบบนามธรรม แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดที่ใช้โลโก้ลักษณะนี้ดูเหมือนจะ เป็น Nike (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=643§ion=4&issues=27) โลโก้ใช้เพื่ออะไร การที่จะเริ่มทำกิจการธุรกิจใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการค้า บริษัท ห้าง ร้าน และองค์กรอื่น ๆ การออกแบบโลโก้ คุณต้องเข้าใจก่อนว่า โลโก้ คือใช้อะไร เป็น ตัวแทน และเอาไว้ใช้ทำอะไร โลโก้นั้นไม่ได้เป็นแค่เครื่องหมายเฉย ๆ แต่โลโก้นั้นสะท้อน ถึงภาพลักษณ์ในทางการตลาดของธุรกิจของคุณ (Brand: ยี่ห้อ) ผ่านทาง รูปร่าง ตัวอักษร สี หรือรูปภาพ ดังนั้นโลโก้ใช้เพื่ออะไร มีดังนี้ 1. ด้านจิตวิทยาคือ การต้องการให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึก ความเชื่อมั่น เกิดความ เข้าใจในตัวสินค้าและยอมรับในตัวสินค้า และที่สำคัญคือความต้องการที่จะสร้างให้ ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกประทับใจ 2. ด้านพฤติกรรมคือ การที่ต้องการให้ผู้บริโภคแสดงพฤติกรรมตอบสนองการจูงใจ ของเอกลักษณ์ขององค์กร 3. ด้านภาพพจน์ คือ ต้องการให้ผู้บริโภคเกิดทัศนคติที่ดี มีความนิยมชมชอบต่อ ผู้ผลิต