The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การใช้เทคโนโลีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้-ม.ปลาย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by rawa_30, 2023-11-02 12:39:00

การใช้เทคโนโลีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้-ม.ปลาย

การใช้เทคโนโลีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้-ม.ปลาย

84 องค์ประกอบการออกแบบโลโก้ โลโก้ไม่ได้เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์เท่านั้น แต่การออกแบบโลโก้ที่มีประสิทธิภาพนั้น ยังสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือ การแสดงตัวตนและเก็บรักษาความทรงจำของแต่ละบุคคล บริษัทหรือองค์กร และองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการออกแบบโลโก้ที่สามารถเพิ่ม ประสิทธิภาพได้ดังนี้คือ 1. มีความสอดคล้อง โลโก้จะต้องมีความสอดคล้องกับความหมายในตัวของมัน เอง กับสโลแกน ตัวอักษรและแนวความคิดทางการตลาด การเพิ่มองค์ประกอบในส่วนที่มี ความคล้ายคลึงกันกับบริบทความแตกต่างกันทางด้านการตลาดจะช่วยให้ลูกค้าสามารถ สร้างความรู้สึกเชื่อมโยงต่อการออกแบบ โลโก้และแบรนด์ของบริษัทได้ 2. มีความน่าจดจำ การสอดคล้องกันจะนำไปสู่ความน่าจดจำ โลโก้ควรจะ ออกแบบให้มีความเรียบง่าย และชัดเจนเพื่อที่ผู้พบเห็นหรือลูกค้าจะสามารถจดจำมันได้ อย่างง่ายดาย ยกตัวอย่าง การออกแบบที่เรียบง่ายของบริษัทแอปเปิล ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะ เป็นไปได้เลย แต่มันก็นำไปสู่การจดจำอย่างไม่จำกัดของลูกค้า 3. ต้องมีความหมาย การออกแบบโลโก้ที่ดีจะต้องสามารถถ่ายทอดข้อความที่มี ความหมายของแบรนด์สินค้าไปสู่ลูกค้า การออกแบบของเว็บไซต์อเมซอนของอเมริกา เป็นการบ่งบอกว่าพวกเขาสามารถขายสินค้าได้ทุกอย่างจาก A-Z และลูกค้าก็มีรอยยิ้ม ด้วยความประทับใจกับการบริการ 4. ต้องไม่ซ้ำแบบใคร หากจะจินตนาการไปถึงโลโก้ที่มีความคล้ายคลึงกัน เลียนแบบกันกับโลโก้ในตลาด สิ่งที่ผู้ผลิตหรือบริษัทองค์กรจะได้รับก็คือ ลูกค้าจะเกิด ความรู้สึกสับสนในชื่อยี่ห้อที่พวกเขาต้องการจะซื้อ ดังนั้นการออกแบบโลโก้ที่ไม่ซ้ำกับใคร ก็เป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะดูซับซ้อนจนเกินไป อย่างเช่น โลโก้ของแมค โดนัลเป็นหนึ่งในบรรดาของโลโก้ที่ง่ายที่สุดสำหรับการออกแบบอัตลักษณ์ของสินค้าใน ตลาดที่สังเกตเห็นได้ชัดและแน่นอนว่ามันมีความเป็น เอกลักษณ์ในตัวเองด้วย 5. มีความเป็นมืออาชีพ บริษัทจะต้องมั่นใจว่าโลโก้ของตนมีการออกแบบให้ รองรับการพิมพ์งานได้ทุกวัสดุที่มี และต้องมีคุณภาพสูง นอกจากคุณภาพของกราฟิกก็ควร จะต้องมีความคมชัดและชัดเจน 6. ไม่มีขอบเขตทางด้านเวลา หมายถึงเวลาไม่สามารถจะทำให้ภาพลักษณ์ หรือ ความหมายของโลโก้เลือนหายไปได้ง่าย ๆ นอกจากว่าบริษัทจะมีการรีแบรนด์หรือสั่งทำโล


85 โก้ใหม่นั่นเอง ถ้าโลโก้มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ และต่อเนื่องกันตลอดก็จะส่งผลกระทบ ต่อแบรนด์สินค้า ลูกค้าจะรู้สึกไม่เชื่อถือในสินค้า ไม่รู้สึกเกิดความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ที่มี 7. การเลือกใช้สีสีของโลโก้ของบริษัทจะต้องมีความสอดคล้องกันในด้านของ ทฤษฎีสีและยังสื่อถึงการกำหนดตัวตนของบริษัทด้วย ดังนั้นการกำหนดสีจึงไม่ง่ายที่จะทำ ให้น่าสนใจแต่คงพื้นฐานไว้ที่สีขาวหรือ สีเทาโทน โมโนโครมหรือเทาซึ่งจะช่วยให้คนตา บอดสีเห็นได้ ดังนั้นองค์ประกอบการออกแบบโลโก้เหล่านี้สามารถที่จะประสบความสำเร็จให้ ได้รับความสนใจสำหรับธุรกิจหรือองค์กร ควรรับคำแนะนำหรือความคิดเห็นจาก ผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบแล้วธุรกิจหรือองค์กรจะได้รับโลโก้ที่ดี(Productivity & Operations, 2564) หลักการออกแบบโลโก้ที่ดี โลโก้ที่ดีจะต้องเป็นโลโก้ที่สามารถจดจำได้ง่าย และสามารถติดตามผู้บริโภคได้ ทันที เช่น โลโก้ของ Nike ซึ่งเป็นรูปเครื่องหมายถูก และโลโก้ของ Apple ที่สวยงามชวน มอง เป็นต้น โลโก้เหล่านี้ทำหน้าที่ของมันได้ดีมากในการดึงแบรนด์ให้โดดเด่นเหนือคู่แข่ง และทำให้ลูกค้าสนใจ รวมไปถึงเพิ่มยอดขายได้ซึ่งหลักการออกแบบโลโก้ที่ดี (Productivity & Operations, 2564) มีดังนี้คือ 1. อย่าใช้คลิปอาร์ต ควรเลือกใช้วิธีง่าย ๆ ในการออกแบบโลโก้ให้กับเว็บไซต์ หากเลือกใช้คลิปอาร์ตแจกฟรีบนอินเทอร์เน็ตให้ใช้ฟรีอย่างแพร่หลาย มีลูกค้าที่เคยเห็น คลิปอาร์ตนี้ เขาอาจจะจำได้ แล้วธุรกิจของเว็บไซต์นี้ก็จะไม่น่าเชื่อถือ 2. อย่าใส่ลูกเล่นหรือเอฟเฟ็กต์กับโลโก้ ไม่ควรใช้เอฟเฟ็กต์ต่าง ๆ เช่น แสงสว่าง เหลือง เงาด้านหลัง หรือมิตินูนต่ำกับโลโก้ เอฟเฟ็กต์พวกนี้เหมาะกับงานสร้างสรรค์กราฟิก และรูปภาพในเว็บไซต์มากกว่า ซึ่งการใช้เอฟเฟ็กต์จะส่งผลให้โลโก้ที่ได้ดูไม่ชัดเจน รก สายตา มากกว่าชวนมอง โลโก้ที่ดีควรจะสามารถดูได้ชัดเจน เห็นรายละเอียดครบ แม้จะ ใช้แค่สีขาว-ดำ เท่านั้น 3. โลโก้ไม่ใช่แบนเนอร์ ไม่ควรออกแบบโลโก้ให้มีลักษณะเหมือนแบนเนอร์ โฆษณาในเว็บไซต์ โดยเฉพาะรูปแบบที่เป็นการใส่โลโก้เข้าไปเต็มพื้นที่สี่เหลี่ยม อาจจะไม่ เป็นที่น่าสนใจกับลูกค้า 4. โลโก้ผสมรูปนักออกแบบโลโก้ ไม่ควรผสมผสานกราฟิกเข้าไปเป็นเนื้อเดียวกับ ตัวหนังสือที่ปรากฏในโลโก้เนื่องจากจะทำให้ดูค่อนข้างยาก เช่น ตัวอักษรที่ใช้กราฟิกแทน


86 อาจจะไปเหมือนกับโลโก้ของบริษัทอื่น เช่น การแทนตัว O ด้วย โลก ลูกตา และแว่นขยาย เป็นต้น 5. โลโก้ที่ใช้ตัวอักษรอย่างเดียว แม้การเลือกใช้โลโก้เป็นตัวอักษรทั้งหมด จะง่าย ต่อการออกแบบ แต่ก็ง่ายต่อการถูกละเลยเช่นกัน อาจจะต้องแก้ไขคุณสมบัติของตัวอักษร ที่ใช้ทำโลโก้ คือ ปรับเป็นตัวหนา เพื่อให้มีพื้นที่จดจำมากขึ้น หรือหารูปแบบฟอนต์ที่ไม่ เหมือนใคร ตลอดจนออกแบบใหม่เลย 6. โลโก้ที่เป็นชื่อย่อถ้าชื่อบริษัทยาวมาก การใช้ชื่อเต็ม ๆ มาสร้างโลโก้ดูจะเป็น เรื่องยาก เจ้าของกิจการส่วนใหญ่จะเลือกใช้ชื่อย่อแทน 7. โลโก้ซับซ้อน-รายละเอียดมากเกินไป สำหรับโลโก้ที่เป็นรูปวาด ภาพถ่าย หรือ เลย์เอาต์ที่ซับซ้อน เช่น ความสูงต่ำของอักษรที่ไม่เท่ากัน สีสันที่ไม่เข้าพวก ฯลฯ (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=643&section=4&issues=27) ขั้นตอนการออกแบบโลโก้ (Logo Design Process) ขั้นตอนในการออกแบบโลโก้แบบมืออาชีพ มีรายละเอียดที่สำคัญต่าง ๆ ดังนี้ 1. ศึกษาว่าโลโก้คืออะไร และมีหน้าที่อย่างไร ก่อนที่จะออกแบบโลโก้ ต้องเข้าใจ ก่อนว่า โลโก้คืออะไร ใช้เป็นตัวแทนของอะไร และเอาไว้ใช้ทำอะไร โลโก้นั้นไม่ได้เป็นแค่ เครื่องหมายเฉยๆ แต่โลโก้นั้นสะท้อนถึงภาพลักษณ์ในทางการตลาดของธุรกิจของคุณ (Brand: ยี่ห้อ) ผ่านทางรูปร่างตัวอักษร สี และรูป โลโก้สามารถสร้างแรงบันดาลใจ ความ เชื่อ ความนิยม และการจดจำเกี่ยวกับองค์กรหรือสินค้า 2. ศึกษาหลักการในการออกแบบโลโก้ที่ดี โดยหลักการพื้นฐานในการ ออกแบบโลโก้ มีดังนี้ - โลโก้ต้องสื่อตัวตนได้ - โลโก้ต้องเป็นที่จดจำ


87 - โลโก้ต้องสื่อได้แม้ไม่ได้ใช้สีสัน - โลโก้ต้องสื่อได้แม้ขนาดเล็ก ๆ 3. ศึกษาโลโก้ที่ประสบความสำเร็จ โลโก้ที่ประสบความสำเร็จ เช่น โลโก้ NIKE เป็นโลโก้ที่คลาสสิกมาก ๆ โดย ผู้ออกแบบ Caroline Davidson ในปี 1971 ในราคาเพียง $35 เท่านั้น แต่เป็นโลโก้ที่มี พลังมาก จดจำได้ง่าย สื่อได้แม้ไม่ได้ใช้สีสัน และสื่อได้แม้ขนาดเล็ก ๆ และธรรมดา ดู รวดเร็วและสื่อถึงปีกของรูปปั้นเทพธิดาแห่งชัยชนะของกรีก NIKE เป็นธุรกิจเครื่องแต่งกายทางกีฬาที่สมบูรณ์แบบ NIKE เป็นแค่หนึ่งในโลโก้ ที่ประสบความสำเร็จมากมาย ลองคิดถึงโลโก้ที่คุณรู้จักแล้วลองคิดดูว่าทำไม โลโก้นั้น ๆ ถึงประสบความสำเร็จ (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=643&section=4&issues=27) 4. กระบวนการออกแบบโลโก้ที่เสำคัญของนักออกแบบมืออาชีพ มีขั้นตอนดังนี้ - ค้นคว้าและช่วยกันออกไอเดีย - ร่างภาพโลโก้ และสร้างต้นแบบ - ส่งไปให้ผู้ว่าจ้างพิจารณา - ปรับปรุงจนเสร็จตามความต้องการ - ส่งไฟล์ให้ผู้ว่าจ้างและให้บริการหลังการขาย 5. เรียนรู้การใช้งานโปรแกรมและเสร็จสิ้นการทำโลโก้ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการ ออกแบบที่ดี ควรช่วยกันออกแบบลงในกระดาษก่อน แล้วสแกนออกมาเป็นไฟล์ดิจิตอล เพื่อจัดเก็บแล้วส่งไฟล์รวมถึงแนวคิดในการออกแบบโลโก้ ให้ผู้ว่าจ้าง เมื่อเป็นที่พอใจแล้ว ค่อยเริ่มใช้โปรแกรมทำให้เสร็จสมบูรณ์ จะช่วยประหยัดเวลาได้มาก สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการออกแบบโลโก้


88 การออกแบบโลโก้ เป็นส่วนสำคัญมาก โลโก้คือสิ่งแรกที่ผู้บริโภคจะมองและจะ อยู่คู่กับธุรกิจไปโดยตลอด และนอกจากโลโก้จะถือเป็นสัญลักษณ์ทางธุรกิจ เป็นเครื่องมือ ทางการตลาดที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถจดจำธุรกิจของเราได้แล้ว โลโก้ยังนำมาซึ่งการ คุ้มครองทางกฎหมายถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ผู้ใดจะมาละเมิดมิได้อีกด้วย ดังนั้นสิ่งที่ ควรคำนึงถึงในการออกแบบโลโก้ มีดังนี้ 1. ต้องการให้โลโก้สื่ออารมณ์ใดออกมา เพราะองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ใช้ ออกแบบโลโก้นั้นล้วนสามารถควบคุมให้สื่อสารอารมณ์ต่าง ๆ ออกมาได้ ดังนั้นสิ่งแรกที่ ควรนึกถึงคืออารมณ์ที่ต้องการให้คนทั่วไปรับรู้ ซึ่งนำไปสู่ภาพลักษณ์ขององค์กรหรือสินค้า และบริการต่าง ๆ ที่ผู้คนเหล่านั้น ได้รับรู้และเข้าใจ ซึ่งส่งผลโดยตรงกับผลประกอบการ หรือผลสัมฤทธิ์ของจุดมุ่งหมายขององค์กรได้ การเลือกสี เลือกรูปแบบตัวอักษร การจัดวางองค์ประกอบของโลโก้นั้นล้วนมีผล ต่ออารมณ์ที่จะสื่อออกมาทั้งสิ้น - รูปแบบตัวอักษร หากต้องการให้โลโก้สื่อถึงอารมณ์สนุกสนาน อารมณ์ดีก็ควร เลือกใช้ ตัวอักษรที่มีลักษณะโค้งมน ลื่นไหล ถ้าใช้ตัวอักษรที่มีหาง มีความคม ดูไม่มีความยืดหยุ่นก็ จะสื่อถึงความเก่าแก่ ความเป็นทางการได้ หากนำทั้ง 2 แบบมาผสมผสานกันก็จะดูมีความ ทันสมัยมากขึ้นได้ (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=643&section=4&issues=27) 2. ต้องการสื่อสารความหมายใดออกมา สีและการจัดวางองค์ประกอบของรูปโลโก้ นั้นมีผลอย่างมากต่อความหมายที่จะสื่อสารออกมาได้ ซึ่งหากเลือกใช้สีโทนร้อนจะช่วยใน การกระตุ้นอารมณ์ต่าง ๆ ของผู้พบเห็นได้ แต่สีโทนเย็นจะช่วยให้รู้สึกสงบลง อารมณ์เย็น ลงได้นอกจากนี้สีแต่และสีก็สื่อความหมายและมีผลต่ออารมณ์ในที่ต่างกัน ในเรื่องของการ


89 จัดวางองค์ประกอบควรจัดทุกสิ่งทุกอย่างโดยมีความหมายรองรับ ทั้งหมดและทำให้ดูรก ให้น้อยที่สุด อย่าผสมเล็กผสมน้อยจนมากเกินไปแล้ว ทำให้สื่อความหมายได้ไม่ชัดเจน 3. ความร่วมสมัยของโลโก้การออกแบบควรคำนึงถึงอายุการใช้งานของโลโก้ด้วย โดยพิจารณาถึงความร่วมสมัยของโลโก้ ออกแบบให้เรียบง่าย ไม่ออกแบบตามกระแส มี เอกลักษณ์ให้คนจดจำได้โดยง่าย เพื่อให้โลโก้ของเราตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้คน และนึกถึงได้ง่าย 4. การออกแบบให้สามารถมองดูแล้วเข้าใจได้ว่าเป็นโลโก้ของแบรนด์ใดแม้จะอยู่ ในรูปขาวหรือดำ จะช่วยยืนยันได้ว่าโลโก้ของเรานั้นเป็นที่จดจำและนึกถึงได้โดยง่าย 5. การย่อขนาดโลโก้ให้เล็กลง หรือขนาดโลโก้ที่ใหญ่ขึ้น การออกแบบโลโก้ควร มีความยืดหยุ่น และข้อจำกัดน้อย 10 สิ่งที่ควรรู้ในการออกแบบโลโก้ โลโก้เป็นงานออกแบบชิ้นหนึ่งที่ดูเหมือนจะง่ายแต่จริง ๆ แล้ว ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่ คิด เพราะโลโก้ส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จนั้นอาจจะดูว่ามันเป็นแค่ลายเส้นง่าย ๆ ที่ ใคร ๆ ก็น่าจะวาดได้ แต่เบื้องหลังความเรียบง่ายเหล่านั้น นักออกแบบอาจต้องคิดและร่าง แนวคิดเป็นสิบเป็นร้อยแบบ เพื่อให้ได้โลโก้ที่สามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์ จน เราเห็นและจำได้จนติดตาม ดังนั้นถ้าใครยังไม่มีพื้นฐานหรือทักษะที่ดีเยี่ยมจะต้อง ศึกษา 10 สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับการออกแบบ โลโก้ มีดังนี้ 1. โลโก้ที่ดีต้องจดจำได้ง่าย โลโก้เป็นตัวบ่งบอกถึงธุรกิจของคุณว่าแตกต่างจาก ธุรกิจอื่น ๆ หรือคู่แข่งขนาดไหน และโลโก้ที่ดีจะต้องสามารถทำให้คนจดจำแบรนด์ธุรกิจ ของเราได้ ยกตัวอย่างเวลาเห็นโลโก้ของ Apple แล้วเรา คิดถึง iPhone คิดถึง Macbook แต่พอเราเห็นโลโก้อื่น ๆ ที่มีรูปร่างคล้ายกันเราก็จะ คิดถึง Apple ก่อน เพราะโลโก้นั้นได้จดจำโดยสมองเราไปแล้ว (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=643&section=4&issues=27)


90 2. ตัวอักษรบนโลโก้สำคัญมาก คือฟอนต์ในโลโก้นั้นสำคัญมาก ๆ เพราะมันสามารถ ที่จะส่งเสริมหรือทำลายโลโก้ของเรานั้น ได้ในทันทีหากเราเลือกที่ไม่เหมาะสมกับบุคลิก ของธุรกิจ เทคนิคง่าย ๆ ของการใช้ฟอนต์กับโลโก้เราควรจะใช้ฟอนต์ไม่เกิน 10–20 ตัวอักษรเท่านั้น เพื่อไม่ให้โลโก้ของเรานั้นดูไม่รกและไม่อึดอัดจนเกินไปขนาด ระยะห่าง และน้ำหนักของตัวอักษรจัดให้ดี เพื่อส่งเสริมโลโก้และธุรกิจของเรา (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=643&section=4&issues=27) 3. เลือกสีให้เหมาะสม สีทุกสีมีความหมาย ทำให้เรามอง โลโก้แล้วรู้สึกถึงสิ่งที่ กำลังถูกสื่อออกมา พยายามเลือกสีให้เหมาะสมและดูบ่งบอกถึงธุรกิจของเรา เพราะสีที่เรา เลือกนั้นจะถูกจดจำไปในองค์กรตลอดไป 4. อย่าใช้ Effect บนโลโก้เยอะเกินไป โลโก้นั้นต้องการความเรียบง่าย และ ความหมายที่ดูแล้วสามารถจดจำได้ง่าย อย่าพยายามใช้ Effect แปลก ๆ บนโลโก้เพราะ นั่นจะทำให้โลโก้ของเรานั้นดูไม่มีพลังเลย (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=643&section=4&issues=27) 5. ออกแบบโลโก้จากพื้นหลังสีขาว เริ่มแรกออกแบบพยายามใช้พื้นหลังสีขาว ก่อน เพราะว่าจะสามารถทำให้เราเห็นองค์ประกอบต่าง ๆ ของโลโก้ได้ชัดมากขึ้น หลังจาก ออกแบบบนพื้นหลังสีขาวเสร็จแล้วค่อยนำไปต่อยอดทำอย่างอื่นต่อ เช่น พื้นหลังสีดำหรือ ทำเป็นลายไม้ สิ่งเหล่านี้จะมาคอยช่วยส่งเสริมโลโก้ของเราในภายหลัง


91 6. เล่นกับพื้นที่ว่าง ลองเล่นกับพื้นที่ในตัวโลโก้ ให้มีความหลากหลายมากขึ้น และ ที่สำคัญต้องทำให้โลโก้เกิดความสมดุลของการจัดวาง การเล่นกับพื้นที่ว่างนั้นจะสามารถ ทำให้โลโก้ที่เป็นตัวอักษรดูไม่อึดอัดจนเกินไป (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=643&section=4&issues=27) 7. อย่าใช้สีรุ้ง สีเยอะ ๆ ดูสวยดี แต่กับโลโก้นั้นไม่ใช่ โลโก้ที่ดีหรือโลโก้ระดับโลก นั้น สังเกตได้เลยว่าใช้สีไม่เกิน 1–2 สี เพียงเพื่อต้องการให้คนจดจำกับสีนั้นไปตลอดเวลา (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=643&section=4&issues=27) 8. โลโก้ไม่ใช่ดูดีอย่างเดียวแต่ต้องสื่อความหมายให้ได้โลโก้เป็นหน้าตาในส่วนแรก ของบริษัทที่ลูกค้าจะดู จึงไม่จำเป็นต้องออกแบบให้ดูดีมากมาย แต่ควรที่จะต้องออกแบบ ให้สื่อความหมายได้ และทำให้คนจดจำได้ง่าย เพราะโลโก้จะอยู่กับธุรกิจหรือแบรนด์นั้น ๆ ไปตลอด (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=643&section=4&issues=27)


92 9. อย่า Copy งานคนอื่น ถ้าคิดไม่ออกหรือทำไม่ได้ ไม่ควรจะไป Copy งานคนอื่น เพราะสมัยนี้โลกแห่งอินเทอร์เน็ตมันกว้างค้นหาไม่นานก็เจอ คำว่า Inspiration กับ Copy มันต่างกัน ถ้าเป็นแค่ Inspiration ยังพอได้แต่ถ้า Copy เลยอาจจะทำให้ความน่าเชื่อถือ ของเราลดลง 10. โลโก้ที่ดีต้องผ่านการคิดอย่างรอบคอบ หลายคนลงมือทำโลโก้ไปโดยที่ยังไม่ มีจุดประสงค์ หรือไอเดียด้วยซ้ำ ซึ่งมันไม่ดีเสียเลยเพราะเราต้องไม่ลืมว่าโลโก้นั้นจะต้องอยู่ กับธุรกิจหรือองค์กรนั้นต่อไปอีกนาน เพราะว่าก่อนเริ่มทำโลโก้ทุกครั้งควรจะต้องคิดให้ รอบคอบในทุก ๆ อย่างหรือทุกองค์ประกอบเสียก่อน บทสรุป โลโก้ (Logo) คือเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ เป็นผลของการออกแบบกราฟิกที่ เกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ (Symbolism) เป็นภาพสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายต่าง ๆ ที่ช่วย สร้างเอกลักษณ์ แก่สินค้าและบริษัทของตน โดยวัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อให้มีเอกลักษณ์ แบบเฉพาะของตนเอง สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ และเพื่อให้ผู้พบเห็นจดจำง่าย เกิดความ น่าเชื่อถือ หรือตราตรึงผู้บริโภคตลอดไป (Productivity & Operations, 2564)


93 เรื่องที่ 3 ความหลากหลายของบรรจุภัณฑ์ ในโลกธุรกิจยุคปัจจุบันที่มีการแข่งขันทางด้านการค้าสูงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มี ความเข้มแข็งด้านการจัดการตลาด หรือการพัฒนารูปแบบยังคงไม่เพียงพอ การพัฒนา บรรจุภัณฑ์จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจส่งเสริม เพื่อการยกระดับผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม วิสาหกิจชุมชนขนาดกลาง และขนาดเล็ก ให้มีความเข้มแข็งในการทำธุรกิจและขยาย ตลาด การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมาย ความเป็นมา ตลอดจนความสำคัญของ บรรจุภัณฑ์ เป็นแนวคิดในการเรียนรู้อดีต ศึกษาปัจจุบัน เพื่อก้าวไปในอนาคต ความเข้าใจ เรื่องราวของบรรจุภัณฑ์ในบทนี้จะช่วยให้การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้เหมาะสม เกิด ประสิทธิภาพสูงสุด เป็นทางเลือกให้กับผู้ประกอบการได้เล็งเห็นความสำคัญในการเลือก พัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้กับผลิตภัณฑ์ของตนเอง ได้อย่างโดดเด่นน่าสนใจ บรรจุภัณฑ์มีบทบาทสำคัญมากขึ้นต่อผู้ผลิต ซึ่งเป็นหน้าที่ของนักออกแบบที่ต้อง คำนึงถึงศาสตร์และศิลป์สำหรับใช้แก้ ปัญหา ในการออกแบบบรรจุภัณฑ์แต่ละด้านให้ เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และถูกใจผู้บริโภคมากที่สุด ซึ่งสิ่งสำคัญในการ ออกแบบบรรจุภัณฑ์ หรือออกแบบกราฟิกบนบรรจุภัณฑ์ ที่ผู้ออกแบบหรือผู้ผลิตต้อง เข้าใจคือ วัตถุประสงค์ของการออกแบบบรรจุภัณฑ์ องค์ประกอบของการออกแบบบรรจุ ภัณฑ์ การออกแบบกราฟิกสำหรับบรรจุภัณฑ์ ขั้นตอนการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การ วางแผนเพื่อผลิต บรรจุภัณฑ์ หรือแม้กระทั้งเทคนิคการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ดังนั้นการ บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์นั้น เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการจำหน่าย สินค้าทั้งในด้านการจัดจำหน่ายและการขนส่ง ตลอดจนการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า เพื่อให้ สามารถสู้คู่แข่งทางการค้าในตลาดได้อย่างมีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต ได้อย่างยั่งยืน (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=732&section=37&issues=28)


94 ประวัติความเป็นมาของบรรจุภัณฑ์ กำเนิดของการบรรจุภัณฑ์ จากวันนี้ย้อนกลับไปในอดีต ช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ในช่วงแรกอาหารจะนำไปบรรจุในภาชนะโลหะที่ปิดผนึกและถูกหลักอนามัย นั่นคือ กระป๋องบรรจุอาหารที่ทำจากดีบุก (Tin Can) หรือกล่องกระดาษแข็งได้ใช้กันอย่าง กว้างขวาง เพราะมีน้ำหนักเบา สามารถพิมพ์ทับลงไปได้ง่ายบนแผ่นกระดาษก่อนที่นำไป ทำแบบบรรจุ และเป็นการประหยัดพื้นที่ กล่องโลหะก็ได้รับการพัฒนากันอย่างกว้างขวาง เช่นเดียวกันในเวลานั้น เพราะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีกว่าการใช้กล่องกระดาษแข็ง โดยเฉพาะสินค้าที่บูดเน่าได้ เช่น ขนมปังกรอบ หรือขนมหวาน ทำให้ระดับความต้องการที่ จะเก็บรักษาสินค้าเพิ่มจำนวนมากขึ้น หันกลับมามองในศตวรรษที่ 20 ปัจจุบันนี้เทคนิคใน การผลิตได้ก้าวไกลไปมากพอที่จะทำให้บรรจุภัณฑ์โลหะเหล่านี้มีรูปแบบหรือรูปทรงต่าง ๆ ได้ตามต้องการด้วยการนำเทคนิคคอมพิวเตอร์มาช่วยในการผลิต รวมถึงพลาสติกที่ได้รับ การพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เราจึงนำมาใช้ในทุกวันนี้ เทคนิคการพิมพ์ที่เฟื่องฟูมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 นั้นต้องการการพัฒนาในเรื่อง เทคนิคการพิมพ์ บรรจุภัณฑ์ที่มีความรวดเร็ว ตราผลิตภัณฑ์หรือยี่ห้อนั้นจำเป็นต้องมีติด อยู่บนภาชนะบรรจุไม่ว่าจะเป็นวัสดุประเภทไหนก็ตาม ขวดแก้ว หม้อดินเผา กล่องหรือ กระป๋องโลหะ กล่องกระดาษแข็ง หรือกระดาษห่อธรรมดา ก็ต้องมีฉลากที่จะบอกยี่ห้อ ของผลิตภัณฑ์นั้น ผลที่ตามมานั้นไปไกลเกินคาดในเรื่องของการเพิ่มคุณค่า และความ สนใจให้กับสินค้าทั่วไป ตัวอย่างเช่น รูปภาพ สีสด ชัดเจน ที่อยู่บนกล่องผงซักฟอก ย่อมจะ ดึงดูดผู้บริโภคมากกว่าตัวผงซักฟอก ความหมายของการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ความหมายหรือนิยามของคำว่าการออกแบบ (Design) และบรรจุภัณฑ์ (Packaging) มีนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ ได้กล่าวไว้ ดังนี้ กูด (Good) กล่าวว่า การออกแบบ เป็นการวางแผนหรือกำหนดรูปแบบรวมทั้ง การตกแต่งในโครงสร้างรูปทรงของงานศิลปะ ทัศนศิลป์ดนตรี ตลอดจนวรรณกรรม วิรุณ ตั้งเจริญ กล่าวว่า การออกแบบ หมายถึง การวางแผนสร้างสรรค์รูปแบบ โดยการวางแผนจัดส่วนประกอบของการออกแบบให้สัมพันธ์กับประโยชน์ใช้สอย วัสดุ และการผลิต


95 นิไกโด เคล็คเตอร์ (Nikaido Clecture) กล่าวว่า บรรจุภัณฑ์ เป็นเทคนิคที่ส่งเสริม การขายกับการประสานประโยชน์ระหว่างวัตถุกับภาชนะบรรจุ โดยมีความมุ่งหมายเพื่อ การคุ้มครองในระหว่างการขนส่ง และการเก็บรักษาในคลัง จรูญ โกสีย์ไกรนิรมล กล่าวว่า บรรจุภัณฑ์ คือการนำเอาวัสดุ เช่น กระดาษ พลาสติก แก้ว โลหะ ไม้ ประกอบเป็นภาชนะห่อหุ้มสินค้า เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยที่มี ความแข็งแรง สวยงามได้สัดส่วนที่ถูกต้องสร้างภาพพจน์ที่ดี มีภาษาในการติดต่อสื่อสาร และทำให้เกิดความพึงพอใจจากผู้ซื้อสินค้า สรุปว่า การออกแบบบรรจุภัณฑ์ (Packaging Design) หมายถึง การกำหนด รูปแบบและโครงสร้างของบรรจุภัณฑ์ให้สัมพันธ์กับหน้าที่ใช้สอยของผลิตภัณฑ์ เพื่อการ คุ้มครองป้องกันไม่ให้สินค้าเสียหายและเพิ่มคุณค่าด้านจิตวิทยาต่อผู้บริโภค โดยอาศัยทั้ง ศาสตร์และศิลป์ในการสร้างสรรค์ (ปัทมาพร ท่อชู, 2564) (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=732&section=37&issues=28) วัตถุประสงค์ของการออกแบบบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ คือการนำเอาวัสดุ เช่น กระดาษ พลาสติก แก้ว โลหะ และไม้ ประกอบเป็นภาชนะห่อหุ้มสินค้า เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยที่มีความแข็งแรง สวยงามได้ สัดส่วนที่ถูกต้องสร้างภาพพจน์ที่ดี มีภาษาในการติดต่อสื่อสาร และทำให้เกิดความพึง พอใจจากผู้ซื้อสินค้า (ปัทมาพร ท่อชู, 2564) โดยวัตถุประสงค์ของการออกแบบบรรจุภัณฑ์ (ปัทมาพร ท่อชู, 2564) มีดังนี้ 1. เพื่อช่วยปกป้องคุ้มครองและรักษาคุณภาพสินค้า 2. เพื่อเป็นตัวชี้บ่ง และสื่อสารรายละเอียดสินค้า ดึงดูดผู้บริโภค ให้แสดงถึง ภาพลักษณ์


96 3. เพื่อสร้างบรรจุภัณฑ์ให้สามารถเอื้อประโยชน์ด้านหน้าที่ใช้สอยได้ดี มีความ ปลอดภัย ประหยัดและมีประสิทธิภาพ 4. เพื่อสร้างบรรจุภัณฑ์ให้สามารถสื่อสาร และสร้างผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยใช้ ความรู้แขนงศิลปะเข้ามาสร้างคุณ ลักษณะ เช่น มีเอกลักษณ์ลักษณะพิเศษที่ดึงดูดและ สร้างการจดจำ ตลอดจนเข้าถึงความหมายและคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ ความสำคัญของบรรจุภัณฑ์ ประเทศไทยของเรามีสินค้ามีผลิตผลทางด้านการเกษตรกรรม และการประมง มากมาย เช่น ผักสด ผลไม้สด และสินค้าที่เป็นอาหารจากทะเล สิ่งที่กล่าวมานี้จะได้รับ ความเสียหายมากเนื่องจากสภาวะของอากาศการบรรจุหีบห่อ และการขนส่งที่เหมาะสมมี ส่วนที่จะช่วยลดความเสียหายเหล่านั้นลงได้ซึ่งเป็นการช่วยให้ผลผลิตที่กล่าวถึงมือผู้บริโภค ในสภาพที่ดี และจะทำให้ขายได้ในราคาที่สูงอีกด้วย จะเห็นได้ว่าการบรรจุภัณฑ์นั้นมี ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อผลผลิต ซึ่งสามารถสรุปเป็นรายละเอียดได้ดังนี้ 1. รักษาคุณภาพ และปกป้องตัวสินค้าเริ่มตั้งแต่การขนส่ง การเก็บให้ผลผลิต หรือผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมิให้เสียหายจากการปนเปื้อนจากฝุ่นละออง แมลง คน ความชื้น ความร้อน แสงแดด และการปลอมปนอื่น ๆ เป็นต้น สามารถรวมหน่วยของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเป็นหน่วยเดียวได้ เช่น ผลไม้หลายผลนำลง บรรจุในลังเดียวหรือเครื่องดื่มที่เป็นของเหลวบรรจุลงในกระป๋องหรือขวดได้ เป็นต้น 3. ส่งเสริมทางด้านการตลาด บรรจุภัณฑ์เพื่อการจัดจำหน่ายเป็นสิ่งแรกที่ ผู้บริโภคเห็น ดังนั้นบรรจุภัณฑ์จะต้องจะทำหน้าที่บอกกล่าวสิ่งต่าง ๆ ของตัวผลิตภัณฑ์ โดยการบอกข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดของตัวสินค้าและนอกจากนั้นจะต้องมีรูปลักษณ์ที่ สวยงามสะดุดตาเชิญชวนให้เกิดการตัดสินใจซื้อ ซึ่งการทำหน้าที่ดังกล่าวของบรรจุภัณฑ์ นั้นเป็นเสมือนพนักงานขายที่ไร้เสียง (Silent Salesman) หน้าที่และประโยชน์ของบรรจุภัณฑ์ ทำหน้าที่ทั้งต่อตัวผลิตภัณฑ์โดยตรง และหน้าที่สื่อข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ มีดังนี้คือ 1. การทำหน้าที่บรรจุใส่สินค้า เช่น ใส่ห่อสินค้า ด้วยการชั่งตวงวัดหรือนับ 2. การทำหน้าที่คุ้มครองป้องกันตัวผลิตภัณฑ์ ไม่ให้สินค้าเสียรูปแตกหักไหลซึม 3. ทำหน้าที่รักษาคุณภาพอาหาร เช่น ป้องกันอากาศซึมผ่าน ป้องกันแสง และ ป้องกันความชื้น เป็นต้น


97 4. ทำหน้าที่เป็นฉลากแสดงข้อมูลรายละเอียดของสินค้า เช่น เครื่องหมายการค้า ข้อมูลส่วนผสม และแหล่งผลิต เป็นต้น 5. ทำให้ตั้งราคาขายได้สูงขึ้น เนื่องจากความสวยงามของบรรจุภัณฑ์จะสร้าง มูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้า 6. เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดวางขนส่งและจัดแสดง 7. สร้างความน่าสนใจและดึงดูดผู้บริโภค เป็นการส่งเสริมการขายและเพิ่ม ยอดขาย ประเภทของบรรจุภัณฑ์ ในสภาวะตลาดที่มีการแข่งขันกันสูงในปัจจุบัน การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์จะมีส่วน สำคัญในการเพิ่มมูลค่า และสร้างความโดดเด่นให้กับตัวสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่มี คุณสมบัติพิเศษเหนือกว่าสินค้าอื่นในท้องตลาด มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกใช้ บรรจุภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง เพื่อสามารถยกระดับมาตรฐานสินค้าให้สูงขึ้น โดยประเภทบรรจุ ภัณฑ์แบ่งได้หลายวิธีตามหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ดังนี้ 1. แบ่งตามวิธีการบรรจุและวิธีการขนถ่าย 1.1 บรรจุภัณฑ์เฉพาะหน่วย (Individual Package) คือ บรรจุภัณฑ์ที่สัมผัสอยู่กับ ผลิตภัณฑ์ชั้นแรก เป็นสิ่งที่บรรจุผลิตภัณฑ์เอาไว้เฉพาะหน่วย โดยมีวัตถุประสงค์ขั้นแรก คือเพิ่มคุณค่าในเชิงพาณิชย์เช่น การกำหนดให้มีลักษณะพิเศษเฉพาะหรือทำให้มีรูปร่างที่ เหมาะแก่การจับถือ และอำนวยความสะดวกต่อการใช้ผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งทำหน้าที่ให้ ความปกป้องแก่ผลิตภัณฑ์โดยตรงอีกด้วย 1.2 บรรจุภัณฑ์ชั้นใน (Inner Package) คือบรรจุภัณฑ์ที่อยู่ถัดออกมา เป็นชั้นที่ สอง มีหน้าที่รวบรวมบรรจุภัณฑ์ขั้นแรกเข้าไว้ด้วยกันเป็นชุด ในการจำหน่ายรวม ตั้งแต่ 2–24 ชิ้นขึ้นไป โดยมีวัตถุประสงค์ขั้นแรก คือ การป้องกันรักษาผลิตภัณฑ์จากน้ำ ความชื้น ความร้อน แสง แรงกระทบกระเทือน และอำนวยความสะดวกแก่การขาย ปลีกย่อย เป็นต้น โดยตัวอย่างของบรรจุภัณฑ์ประเภทนี้ ได้แก่ กล่องกระดาษแข็งที่บรรจุ เครื่องดื่ม จำนวน 1 โหล และสบู่1 โหล เป็นต้น 1.3. บรรจุภัณฑ์ชั้นนอกสุด (Out Package) คือบรรจุภัณฑ์ที่เป็นหน่วยรวมขนาด ใหญ่ที่ใช้ในการขนส่ง โดยปกติแล้วผู้ซื้อจะไม่ได้เห็นบรรจุภัณฑ์ประเภทนี้มากนัก เนื่องจาก ทำหน้าที่ป้องกันผลิตภัณฑ์ในระหว่างการขนส่งเท่านั้น ลักษณะของบรรจุภัณฑ์ประเภทนี้


98 ได้แก่ หีบ ไม้ ลัง กล่องกระดาษขนาดใหญ่ที่บรรจุสินค้าไว้ภายใน ภายนอกจะบอกเพียง ข้อมูลที่จำเป็นต่อการขนส่งเท่านั้นเช่น รหัสสินค้า (Code) เลขที่ (Number) ตราสินค้า และสถานที่ส่ง เป็นต้น 2. แบ่งตามวัตถุประสงค์ของการใช้ 2.1 บรรจุภัณฑ์เพื่อการขายปลีก (Consumer Package) เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ ผู้บริโภคซื้อไปใช้ไป อาจมีชั้นเดียว หรือหลายชั้นก็ได้ ซึ่งอาจเป็น Primary Package หรือ Secondary Package ก็ได้ 2.2 บรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่ง (Transportation Package) เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ รองรับหรือห่อหุ้มบรรจุภัณฑ์ขั้นทุติยภูมิ ทำหน้าที่รวบรวมเอาบรรจุภัณฑ์ขายปลีกเข้า ด้วยกันให้เป็นหน่วยใหญ่ เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการเก็บรักษา และการ ขนส่ง เช่น กล่องกระดาษลูกฟูกที่ใช้บรรจุยาสีฟัน กล่องละ 3 โหล 3. แบ่งตามความคงรูป 3.1 บรรจุภัณฑ์ประเภทรูปทรงแข็งตัว (Rigid Forms) ได้แก่ เครื่องแก้ว (Glass Ware) เซรามิก (Ceramic) พลาสติกจำพวก Thermosetting ขวดพลาสติก ส่วนมากเป็น พลาสติกฉีด เครื่องปั้นดินเผา ไม้ และโลหะ มีคุณสมบัติแข็งแกร่งทนทานเอื้ออำนวยต่อ การใช้งาน และป้องกันผลิตภัณฑ์จากสภาพแวดล้อมภายนอกได้ดี 3.2 บรรจุภัณฑ์ประเภทรูปทรงกึ่งแข็งตัว (Semi Rigid Forms) ได้แก่ บรรจุ ภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติกอ่อน กระดาษแข็งและอะลูมิเนียมบาง คุณสมบัติทั้งด้านราคา น้ำหนัก และการป้องกันผลิตภัณฑ์จะอยู่ในระดับปานกลาง 3.3 บรรจุภัณฑ์ประเภทรูปทรงยืดหยุ่น (Flexible Forms) ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ที่ ทำจากวัสดุอ่อนตัว มีลักษณะเป็นแผ่นบาง ได้รับความนิยมสูงมาก เนื่องจากมีราคาถูก หากใช้ในปริมาณมาก และระยะเวลานาน น้ำหนักน้อย มีรูปแบบ และโครงสร้างมากมาย 4. แบ่งตามวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ การจัดแบ่งและเรียกชื่อบรรจุภัณฑ์ในทรรศนะของผู้ออกแบบ ผู้ผลิต หรือนักการ ตลาดจะแตกต่างกันออกไป บรรจุภัณฑ์แต่ละประเภทก็ตั้งอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์หลักใหญ่ ที่คล้ายกันคือ เพื่อป้องกันผลิตภัณฑ์ เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และเพื่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์


99 ลักษณะของการบรรจุภัณฑ์ 1. บรรจุภัณฑ์ขั้นที่หนึ่ง (Primary Packaging) คือบรรจุภัณฑ์ที่มาห่อหุ้มตัวสินค้า เพื่อป้องกันรักษาไม่ให้ตัวสินค้าได้รับความ เสียหายหรือเพื่อความสะดวกในการนำไปใช้งาน ตัวอย่างเช่น หลอดยาสีฟัน ขวดแชมพู (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=732&section=37&issues=28) 2. บรรจุภัณฑ์ขั้นที่สอง (Secondary Packaging) คือบรรจุภัณฑ์ที่มาห่อหุ้มบรรจุภัณฑ์ขั้นที่หนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวสินค้าได้รับ ความเสียหาย อีกทั้งยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวสินค้า ช่วยในการขายสินค้าโดยการ ดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น กล่องยาสีฟัน และกล่องใส่ขวดเบียร์ (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=732&section=37&issues=28) 3. บรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่ง (Shipping Packaging) คือ บรรจุภัณฑ์ที่ทำหน้าที่ในการเก็บรักษาและขนส่งสินค้า ตัวอย่างเช่น ลัง ตู้คอน เทนเนอร์ เป็นต้น


100 (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=732&section=37&issues=28) องค์ประกอบของการออกแบบบรรจุภัณฑ์ องค์ประกอบที่ออกแบบไว้บนบรรจุภัณฑ์ เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อสินค้านั้น รายละเอียด หรือส่วนประกอบบนบรรจุภัณฑ์จะแสดงออกถึงจิตสำนึกของผู้ผลิตสินค้า และสถานะของบรรจุภัณฑ์ สามารถขยับเป็นสื่อโฆษณาระยะยาว ส่วนองค์ประกอบที่สำคัญบนบรรจุภัณฑ์อย่างน้อยที่สุดควรมี ดังนี้ 1. ชื่อสินค้า 2. ตราสินค้า 3. สัญลักษณ์ทางการค้า 4. รายละเอียดของสินค้า 5. รายละเอียดส่งเสริมการขาย 6. รูปภาพ 7. ส่วนประกอบของสินค้า 8. ปริมาตรหรือปริมาณ 9. ชื่อผู้ผลิตและผู้จำหน่าย (ถ้ามี) 10. รายละเอียดตามข้อบังคับของกฎหมาย เช่น วันผลิต และวันหมดอายุ เป็นต้น หลังจากที่มีการเก็บข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วจึงเริ่มกระบวนการออกแบบ ด้วยการเปลี่ยนข้อมูลที่ได้รับมาเป็นกราฟฟิกบนบรรจุภัณฑ์


101 (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=732&section=37&issues=28) ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาของบรรจุภัณฑ์ ในกระบวนการสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์ มีองค์ประกอบที่เข้ามาเกี่ยวข้องที่ส่งผลต่อ ราคาของการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ทั้งต่อราคารวมและราคาต่อหน่วย ดังนี้ 1. ราคาต้นทุนของวัสดุบรรจุภัณฑ์ 2. ราคาของกรรมวิธีการผลิตบรรจุภัณฑ์ 3. ราคาของการเก็บรักษาและการขนส่ง 4. ราคาของเครื่องมือเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตและบรรจุภัณฑ์ 5. ราคาของการใช้แรงงานที่เกี่ยวข้อง การใช้สีเพื่อการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การใช้สีเพื่อการออกแบบบรรจุภัณฑ์ช่วยให้การดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค เกิด ความสะดุดตาบ่งบอกถึงความหมาย และประโยชน์ใช้สอยของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ การ กำหนดความหมายจากสีจากความรู้สึก และกำหนดจากมาตรฐานสากลใช้ช่วยบอกถึง ลักษณะการใช้งานตามประโยชน์ใช้สอยของผลิตภัณฑ์ นอกเหนือจากการใช้สีเพื่อตกแต่ง ผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นการกำหนดโดยผู้ออกแบบและความนิยมของสภาวะตลาดในปัจจุบัน (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=732&section=37&issues=28)


102 การใช้สีสำหรับการตกแต่งหีบห่อบรรจุภัณฑ์ องค์ประกอบที่สำคัญในการเลือกใช้สีที่ควรคำนึงถึงสำหรับการตกแต่งหีบห่อบรรจุ คือ 1. สีต่าง ๆ ที่ใช้บนเนื้อที่ของหีบห่อบรรจุควรติดต่อกันอย่างได้เรื่องราวทั้งหมดไม่ ขัดกัน 2. ขอบเขตของสีที่ใช้บนหีบห่อบรรจุ แต่ละสีควรจะประกอบกันแล้วเข้าใจกันได้ หรือเป็นสคู่กันได้ 3. สีที่ใช้ควรเป็นสีที่ยอมรับของผู้บริโภคในตลาด ถูกต้องตามรสนิยมของผู้บริโภค 4. ขอบเขตของสิ่งที่จะทำให้หีบห่อบรรจุ ขัดแย้งหรือไม่เด่น เมื่อเปรียบเทียบกับ หีบห่อบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์คู่แข่งขัน 5. การใช้สีต้องดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคที่สุด ในกรณีที่จำหน่ายในสถานที่ ต่าง ๆ กันเช่น ร้านบริการเอง Supermarket ตู้แช่ หรืออื่น ๆ 6. การใช้สีที่ให้ความดึงดูดสูงสุด ภายใต้แสงสว่างมาก ๆ ซึ่งเป็นสภาวะปกติใน ร้านค้า 7. การใช้สีที่เหมาะกับค่านิยมของผู้บริโภค โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับประเภทของ ผลิตภัณฑ์ 8. ขอบเขตของสีที่สามารถทำให้ผู้บริโภคเกิดความประทับใจในตราสินค้า และ ขอบเขต การใช้สีนี้ซ้ำ ๆ กันในการจัดจำหน่ายและการโฆษณา 9. ขอบเขตของสีที่ใช้บนหีบห่อบรรจุที่เข้ากันได้กับสีของสินค้าและการ เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความประทับใจขึ้นมาก 10. ขอบเขตของสีที่มีผลต่อราคาของหีบห่อบรรจุ 11. การยอมรับของหีบห่อบรรจุต่อผู้บริโภคและผู้ขายปลีก 12. ขอบเขตของหีบห่อบรรจุที่อาจจะก้าวร้าวและข่มบรรจุภัณฑ์เพื่อการจำหน่าย ที่เด่น ๆ อาจจะดูแล้วน่าเบื่อ ทำให้ส่งเสริมบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์คู่แข่ง (ที่มา : http://www.thailandindustry.com/onlinemag/view2.php?id=732&section=37&issues=28)


103 ข้อพิจารณาในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ (บริษัท จอมพันธ์ กรุ๊ป จำกัด,2564) บรรจุภัณฑ์ที่ดีนั้นจะต้องสามารถผลิต และนำไปบรรจุได้ด้วยวิธีการที่สะดวก ประหยัด และรวดเร็ว การเลือกบรรจุภัณฑ์มีข้อพิจารณา (บริษัท จอมพันธ์ กรุ๊ป จำกัด ,2564) ดังต่อไปนี้ 1. ลักษณะของสินค้า คุณสมบัติทางกายภาพประกอบด้วย ขนาด รูปทรง ปริมาตร ส่วนประกอบหรือส่วนผสม ของแข็ง ของเหลว ผู้ออกแบบต้องทราบความเหนียวข้น ใน กรณีเป็นของเหลวและต้องรู้น้ำหนักหรือปริมาณหรือความหนาแน่นสำหรับสินค้าที่เป็น ของแห้งประเภทของสินค้าคุณสมบัติทางเคมี คือ สาเหตุที่ทำให้สินค้าเน่าเสียหรือเสื่อม คุณภาพจนไม่เป็นที่ยอมรับได้ และปฏิกิริยาอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น คุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ เช่น กลิ่น การแยกตัว เป็นต้น สินค้าที่จำหน่ายมีลักษณะเป็นอย่างไร มีคุณสมบัติทาง ฟิสิกส์ หรือทางเคมีอย่างไร เพื่อจะได้เลือกวัสดุในการทำบรรจุภัณฑ์ที่ป้องกันรักษาได้ดี 2. ตลาดเป้าหมาย ต้องศึกษาความต้องการของลูกค้าเป้าหมายเพื่อจะได้เลือก บรรจุภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของตลาดหรือกลุ่มลูกค้าการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ให้สนอง กับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ต้องวิเคราะห์จุดยืนของสินค้าและบรรจุภัณฑ์เทียบกับ คู่แข่งขันที่มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน เช่น ข้อมูลปริมาณสินค้าที่จะบรรจุขนาด จำนวนบรรจุ ภัณฑ์ ต่อหน่วยขนส่ง และอาณาเขตของตลาด เป็นต้น 3. วิธีจัดจำหน่าย การจำหน่ายโดยตรงจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคย่อมต้องการบรรจุ ภัณฑ์ลักษณะหนึ่ง แต่หากจำหน่ายผ่านคนกลาง เป็นคนกลางประเภทใด มีวิธีการซื้อของ เข้าร้านอย่างไร วางขายสินค้าอย่างไร เพราะพฤติกรรมของร้านค้าย่อมมีอิทธิพลต่อโอกาส ขายของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ รวมทั้งพิจารณาถึงผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งขันที่จำหน่ายในแหล่ง เดียวกันด้วย 4. การขนส่ง มีหลายวิธี และใช้พาหนะต่างกัน รวมทั้งระยะในการขนส่ง ความ ทนทาน และความแข็งแรงของบรรจุภัณฑ์ การคำนึงถึงวิธีที่จะใช้ในการขนส่งก็เพื่อ พิจารณาเปรียบเทียบให้เกิดผลเสียน้อยที่สุด รวมถึงประหยัดและปัจจัยเรื่องดินฟ้าอากาศ ในปัจจุบันนิยมการขนส่งด้วยระบบตู้บรรทุกสำเร็จรูป 5. การเก็บรักษา การเลือกบรรจุภัณฑ์จะต้องพิจารณาถึงวิธีการเก็บรักษา สภาพ ของสถานที่เก็บรักษา รวมทั้งวิธีการ เคลื่อนย้ายในสถานที่เก็บรักษาด้วย


104 6. ลักษณะการนำไปใช้งาน ต้องนำไปใช้งานได้สะดวกเพื่อประหยัดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่าย 7. ต้นทุนของบรรจุภัณฑ์ เป็นปัจจัยที่จะต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมาก และต้อง คำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อยอดขาย หรือความสูญเสียค่าใช้จ่ายอื่น ๆ บรรจุภัณฑ์ดีอาจต้อง จ่ายสูงแต่ดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อย่อมเป็นสิ่งชดเชยที่ควรเลือกปฏิบัติ รวมถึงผลการ ชดเชยในกระบวนการผลิต การบรรจุที่สะดวก รวดเร็ว เสียหายน้อย ประหยัด และลด ต้นทุนการผลิตได้ 8. ปัญหาด้านกฎหมาย บทบัญญัติด้านกฎหมายเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ที่ปรากฏชัน เจน คือ กฎระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับฉลากการออกแบบกราฟิกของผลิตภัณฑ์ต้อง เป็นไปตามข้อบังคับ นอกจากนี้ยังต้องศึกษาการใช้สัญลักษณ์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น และกฎระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น กฎหมายบรรจุภัณฑ์ที่ควรรู้ กฎหมายที่เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์นับวันจะมีมากยิ่งขึ้น เนื่องจากความตื่นตัวของ ผู้บริโภค เพื่อป้องกันการทำผิดกฎหมายแบบไม่ได้ตั้งใจ โดยรัฐบาลต้องออกกฎหมาย ควบคุมที่เกี่ยวข้องกับบรรจุภัณฑ์ที่เราควรรู้ไว้(บริษัท เอเซียเเพ็คพริ้นท์อินเตอร์เนชั่น แนล จำกัด,2564) 1.1 พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ.2466 พ.ร.บ. ฉบับนี้ร่างขึ้น เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ให้ได้บริโภคสินค้าตามปริมาณที่ กำหนด ซึ่งจะได้ผลดีเพียงใดขึ้นอยู่กับความร่วมมือของผู้ประกอบการ ในการดูแลเอาใจใส่ ในการบรรจุสินค้าของตนเองให้ถูกต้องตามกฎหมาย หน่วยที่แสดงปริมาณสินค้าตาม มาตรา ช่วง วัด ตวง ควรใช้ระบบเมตริก และตัวเลขที่ใช้สามารถใช้ตัวเลขอารบิค หรือ ตัวเลขไทยได้ขนาดของตัวเลขและตัวอักษรที่ใช้ต้องไม่เล็กกว่า 2 มิลลิเมตร นอกจากนี้ในประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับล่าสุด ฉบับที่ 13 ปี พ.ศ.2539 ได้ กำหนดให้สินค้าบางประเภท บรรจุสินค้าตามปริมาณที่กำหนด ผลิตภัณฑ์อาหารที่ กำหนดให้บรรจุตามปริมาณที่กำหนด ระบุอยู่ในบัญชีท้ายประกาศดังกล่าว ประกอบ ด้วย อาหารปรุงแต่ง เครื่องดื่ม และน้ำส้มสายชู โดยมีรายละเอียดดังนี้ - น้ำปลา ขนาดบรรจุเป็นมิลลิลิตร (มล.) มีขนาด 100, 200, 300, 530, 700, 750 ส่วนขนาดบรรจุต่ำกว่า 100 มล. และสูงกว่า 750 มล. ไม่กำหนดขนาดบรรจุ


105 - น้ำซีอิ๊ว ขนาดบรรจุเป็นมิลลิลิตร (มล.) มีขนาด 100, 200, 300, 500, 530, 620 ขนาดต่ำกว่า 100 มล. และขนาดสูงกว่า 620 มล. ไม่กำหนดขนาดบรรจุ - น้ำซอส ขนาดบรรจุเป็นมิลลิลิตร (มล.) มีขนาด 100, 150, 200, 300, 600, 700 ขนาดต่ำกว่า 100 มล. และขนาดสูงกว่า 700 มล. ไม่กำหนดขนาดบรรจุ - น้ำส้มสายชู ขนาดบรรจุเป็นมิลลิลิตร (มล.) มีขนาด 100, 200, 300, 530, 700, 750 ขนาดต่ำกว่า 100 มล. และขนาดสูงกว่า 750 มล. ไม่กำหนดขนาดบรรจุ 1.2 พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 สาระสำคัญในพระราชบัญญัติฉบับนี้ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การขอขึ้นทะเบียนตำรับ อาหาร และการขึ้นทะเบียนฉลากอาหาร 1.2.1 การขอขึ้นทะเบียนตำรับอาหาร ตามพระราชบัญญัติ อาหาร พ.ศ.2522 กำหนดให้ ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ซึ่งอาหารควบ คุมเฉพาะต้องนำอาหารนั้นมาขอขึ้นทะเบียน ตำรับอาหารก่อนเมื่อได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียนอาหารแล้ว จึงผลิตหรือนำเข้าเพื่อ จำหน่ายได้ หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือ ทั้งปรับทั้งจำ ประเภทอาหารที่ต้องขอขึ้นทะเบียนตำรับอาหาร แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ 1. อาหารควบคุมเฉพาะ มี 39 ประเภท 2. อาหารกำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานมี 9 ประเภท 3. อาหารที่กำหนดให้เป็นอาหารที่ต้องมีฉลากมี 2 กลุ่มคือ 3.1 กลุ่มอาหารที่ต้องส่งมอบฉลากให้คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พิจารณาก่อนใช้ 3.2 กลุ่มอาหารที่ไม่ต้องส่งมอบให้คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พิจารณา 1.2.2 การขอขึ้นทะเบียนฉลากอาหาร อาหารควบคุมเฉพาะที่กำหนดคุณภาพ และที่กำหนดให้มีฉลากต้องขึ้นทะเบียนอาหารและขออนุญาตใช้ฉลาก เมื่อได้รับอนุญาต แล้วจึงทำการผลิตอาหารที่ต้องขออนุญาตใช้ ฉลากอาหารมี 4 กลุ่ม คือ 1. อาหารควบคุมเฉพาะที่ผลิตจากสถานที่ผลิตที่ไม่เข้าข่ายเป็นโรงงาน คือ มี เครื่องจักรตั้งแต่ 5 แรงม้า หรือ คนงาน 7 คนขึ้นไป ฉลากอาหารที่ใช้ของกลุ่มนี้จะเริ่มต้น ด้วยตัวอักษร "ผ" โดยที่ "นป" หมายถึง น้ำปลา "ช" หมายถึง น้ำส้มสายชูซึ่งเป็นอาหาร


106 ควบคุมเฉพาะใน 39 ประเภทในกรณีที่ผลิตจากผู้ผลิตในประเทศ ที่ไม่เข้าข่าย โรงงาน อุตสาหกรรมจะใช้อักษรย่อ "ฉผ" หมายถึง ฉลากผลิต ดังนั้นบนทะเบียนฉลากอาหารจะ กลายเป็น "ฉผนป" และ "ฉผช" ตามลำดับ ส่วนหมายเลขที่ตาม คือ หมายเลขที่และปีที่ ได้รับการขึ้นทะเบียนฉลากอาหารนั้น ๆ ส่วนอาหารที่นำเข้า จะใช้อักษร "ส" แทน "ผ" และ "ฉผ" 2. อาหารที่ถูกกำหนดคุณภาพหรือมาตรฐาน 3. อาหารที่ถูกนำเข้าประเทศเพื่อจำหน่ายซึ่งไม่ใช่อาหารควบคุมเฉพาะ 4. อาหารอื่นที่มีการจำหน่าย และรัฐมนตรีออกประกาศกำหนดให้เป็นอาหารที่ ต้องมีฉลากคือ อาหารประเภทที่ 1 ที่ 2 และบางส่วนของประเภทที่ 4 ตามที่ประกาศ กำหนดให้มี ฉลากที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการ อาหารและยา ซึ่งต้อง มี ข้อมูลดังต่อไปนี้ 4.1 เครื่องหมายเลขทะเบียน หรือเลขอนุญาตใช้ฉลากอาหาร พร้อมปีที่ให้ อนุญาต ซึ่งอาจเขียนเต็ม เช่น 2541 หรือเขียนย่อ เช่น 41 ก็ได้ ผู้ที่ได้รับใบสำคัญการใช้ ฉลากอาหาร แล้วให้แสดงเลขที่อนุญาต ในฉลากอาหาร ด้วยตัวอักษรขนาดไม่เล็กกว่า 2 มิลลิเมตร ในกรอบพื้นสีขาว โดยสีของกรอบให้ตัดกับพื้นฉลาก 4.2 น้ำหนักสุทธิ หรือปริมาณสุทธิ ซึ่งหมายถึง น้ำหนักหรือปริมาตรของ อาหารที่ไม่รวมภาชนะบรรจุ ส่วนน้ำหนักอีกประเภทที่ให้แสดง คือ น้ำหนักเนื้ออาหาร (Drained Weight) ซึ่งเป็นน้ำหนักของอาหารที่เป็นเนื้อหรือของแข็งโดยได้กรองส่วนที่เป็น ของเหลวแยกออกแล้ว 4.3 ชื่อภาษาไทย กำหนดให้ใช้อักษรสีเดียวกัน ซึ่งอาจมีชื่อได้ 2 ส่วน คือ ชื่อ ตามกฎหมายที่กำหนดให้เรียกผลิตภัณฑ์นั้น เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และชื่อทางการค้า (Brand Name) 4.4 ส่วนประกอบที่สำคัญโดยประมาณ ซึ่งการระบุส่วน ประกอบนี้ต้องระบุ ปริมาณ เป็นร้อยละของน้ำหนัก และเรียงจากปริมาณมากไปหาน้อย องค์กรที่รับผิดชอบพระราชบัญญัติเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ พระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับบรรจุภัณฑ์รับผิดชอบโดยองค์กรต่อไปนี้ 1. สำนักงานกลางชั่งตวงวัด กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์


107 2. คณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข 3. คณะกรรมการผู้บริโภค สำนักนายกรัฐมนตรี 4. สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ นอกเหนือจากองค์กรที่รับผิดชอบต่อพระราชบัญญัติทั้ง 4 ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ยัง มีองค์กรทั้งส่วนของราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนที่มีกิจกรรมเกี่ยวข้องกับบรรจุภัณฑ์ สรุปได้ดังนี้ 1. ส่วนอุตสาหกรรมการเกษตร สำนักงานพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา กรม ส่งเสริมอุตสาหกรรม มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการศึกษา วิเคราะห์และวิจัยข้อมูลทาง เทคโนโลยี เศรษฐศาสตร์ อุตสาหกรรมการเกษตร เน้นการแปรรูป ผลิต ภัณฑ์จากพืชเพื่อ กำหนดและพัฒนาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ตามภาวการณ์ตลาด ประสานงานจัดหา ผู้ชำนาญการ เฉพาะด้านเพื่อฝึกอบรมสัมมนาและให้คำปรึกษาแนะนำเพื่อการแก้ไขปัญหา และปรับปรุงเทคนิคการผลิต ตลอดจนการให้บริการ ข้อมูลข่าว สารอุตสาหกรรม และ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องแก่สถานประกอบการ ผลิตบุคลากรในระดับต่าง ๆ ในสถานประกอบการ 2. ส่วนบรรจุภัณฑ์ สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม มีหน้าที่ให้บริการแนะนำ ส่งเสริมและพัฒนาบรรจุภัณฑ์แก่ผู้ประกอบการ กลุ่มบุคคล และ บุคคลทั่วไปที่ให้ความสนใจในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ทั้งทางด้านวิชาการ ด้านเทคโนโลยี การออกแบบและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยวิธีการต่าง ๆ ทั้งการฝึกอบรม สัมมนา นิทรรศการ และการจัดประกวด 3. ศูนย์บริการการออกแบบ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมการส่งออก ประเทศไทยได้เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาตัวสินค้ารัฐบาลไทยได้เห็น ความสำคัญข้อนี้จึงได้จัดตั้งศูนย์กลางบริการการออกแบบ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 เพื่อมุ่งพัฒนาการออกแบบสินค้า ส่งออกสำคัญ 4 ชนิด คือ เครื่องหนัง อัญมณี ผลิตภัณฑ์พลาสติก และของเด็กเล่น 4. ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศ ไทย นโยบายหลักของศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย มีดังนี้ 4.1 สนับสนุนนโยบายการบรรจุภัณฑ์ของประเทศ


108 4.2 เสริมสร้างขีดความสามารถขององค์กร เพื่อสนองความต้องการของ ผู้ประกอบการ 4.3 รวบรวม แลกเปลี่ยน และบริการข้อมูลด้านวิทยา ศาสตร์ และเทคโนโลยีการ บรรจุภัณฑ์ 4.4 ประสานงานระหว่างผู้ผลิต ผู้ใช้ ทั้งในและต่างประเทศ 5. สถาบันค้นคว้าและวิจัยผลิตภัณฑ์อาหาร มหา วิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมีขอบเขตการทำงาน ดังนี้ 5.1 วิจัย/พัฒนาวิชาการ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหา เพื่อปรับปรุง เศรษฐกิจของโรงงาน อาหารและการ เกษตรในประเทศไทย 5.2 บริการวิชาการเกี่ยวกับคุณภาพวัตถุดิบ เทคโนโลยีการผลิต ระบบการควบคุม คุณภาพของผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อการบริโภคทั้งในประเทศและการส่งออก 5.3 ให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคโนโลยีทางอาหาร และบริการความรู้ทางด้านนี้ แก่ผู้สนใจ 5.4 ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานของภาครัฐเอกชน ในการวิจัยการศึกษา ค้นคว้า และฝึกอบรมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีทางอาหาร 5.5 เป็นแหล่งข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีทางอาหาร นอกจากองค์กรของรัฐทั้ง 5 แล้ว ตามมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีการเปิดสอนวิชา ทางด้านบรรจุภัณฑ์ และเทคโนโลยีทางการอาหาร อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิ ที่สามารถให้คำปรึกษา ทดสอบพร้อมทั้งให้คำแนะนำต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบรรจุภัณฑ์ อาหารได้ (ปัทมาพร ท่อชู, 2564)


109 เรื่องที่ 4 หลักการออกแบบบรรจุภัณฑ์ (ที่มา : https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/30923) ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ ทรูปลูกปัญญา (2564) บรรจุภัณฑ์ (Package) หมายถึง สิ่งที่ห่อหุ้มหรือรองรับ สิ่งของต่าง ๆ ที่บรรจุอยู่ภายในให้มีความปลอดภัยต่อการขนส่ง บทบาทและหน้าที่ของบรรจุภัณฑ์ 1. ป้องกันและรักษาคุณภาพของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ 2. เป็นตัวบ่งชี้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ 3. ช่วยลดการขาดดุลทางการค้ากับต่างประเทศในกรณีสินค้าส่งออก (ที่มา : https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/30923)


110 หน้าที่ของบรรจุภัณฑ์ 1. หน้าที่ด้านเทคนิค มีดังนี้ 1) การบรรจุ การใส่หรือห่อสินค้าตามการชั่ง ตวง 2) การปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้สินค้าเสียรูป แตกหัก 3) การรักษาคุณภาพ โดยใช้วัสดุป้องกันอากาศ ป้องกันแสง ป้องกันความชื้น 4) การขนส่ง ได้แก่ กล่องกระดาษลูกฟูก ซึ่งบรรจุสินค้าเพื่อความสะดวกในการ เคลื่อนย้าย 5) การวางจำหน่าย ได้แก่ สามารถวางแนวนอนและแนวตั้งได้โดยสินค้าไม่ได้รับ ความเสียหาย 6) การรักษาสิ่งแวดล้อม โดยการใช้บรรจุภัณฑ์เป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้ง่าย (ที่มา : https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/30923) 2. หน้าที่ด้านการตลาด ได้แก่ 1) การส่งเสริมการขาย บรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบสวยงามสามารถนำมาใช้เป็นสื่อ โฆษณาได้ 2) การแสดงข้อมูล เป็นการแสดงข้อมูลของสินค้า 3) การตั้งราคา บรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบสวยงามจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า 4) การสร้างความนิยมในสินค้า โดยใช้ตราสินค้าทำให้ผู้บริโภคเกิดความภักดีใน สินค้า 5) การเพิ่มปริมาณการขาย โดยการขายรวม ขายเป็นห่อ แต่ราคาคงเดิม 6) การให้ความถูกต้องและรวดเร็ว โดยเพิ่มบาร์โค้ดบนบรรจุภัณฑ์เพื่ออำนวย ความสะดวก


111 7) การรณรงค์เรื่องต่าง ๆ โดยใช้สัญลักษณ์รีไซเคิล ฉลากเขียว การท่องเที่ยว การ ใช้สินค้าไทย (ที่มา : https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/30923) การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการใช้เป็นหลัก ดังนี้ 1. ใช้บรรจุและรักษาคุณภาพ รสชาติ อายุของสินค้าให้สะอาดและปลอดภัย ซึ่ง ควรเลือกบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับชนิดของสินค้าที่บรรจุอยู่ภายใน 2. ใช้เป็นสื่อการตลาดและการขาย ควรเลือกใช้กล่องที่ออกแบบรูปทรงหรือ ลวดลายกราฟิกสวยงาม น่าสนใจ พร้อมแสดงฉลาก ตราเครื่องหมายการค้า และ สัญลักษณ์อื่น ๆ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ประกอบด้วย 1. โครงสร้าง โดยเน้นกระบวนการบรรจุ การรักษาคุณภาพ และคุณลักษณะที่ เหมาะสมต่อการขนส่ง 2. กราฟิก เป็นการออกแบบรายละเอียดบนบรรจุภัณฑ์ เพื่อสร้างแรงดึงดูด และ สื่อความหมายให้แก่ผู้บริโภค ข้อมูลเบื้องต้นที่ควรคำนึงในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ มีดังต่อไปนี้ 1. สินค้า ควรมีข้อมูลสินค้า ได้แก่ ประเภท คุณสมบัติทางกายภาพและเคมี 2. ประโยชน์และความต้องการของผู้บริโภค ได้แก่ ปริมาณการบริโภค ฤดูกาลที่ เลือกซื้อ 3. ผู้รับรองคุณภาพสินค้าหรืออาหาร


112 ปัจจัยการออกแบบกราฟิกบนบรรจุภัณฑ์ มีองค์ประกอบ คือ รูปทรง ขนาด สี ความรู้สึก ความอ่อนและเข้ม เส้น และสัญลักษณ์จูงใจให้ซื้อ (ที่มา : https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/30923) ข้อมูลที่มีอิทธิพลในการออกแบบกราฟิกบนบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเป็นปัจจัยทางด้านการตลาด ได้แก่ 1. สภาวะตลาด คำนึงถึงตลาดที่วางจำหน่ายสินค้า 2. ผู้ซื้อและผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย การออกแบบที่ดีควรทราบความต้องการของ กลุ่มลูกค้า 3. กฎข้อบังคับ องค์การที่มีบทบาทควบคุมดูแล 4. ช่องทางการจัดจำหน่าย การออกแบบบรรจุภัณฑ์และเลือกใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ เหมาะสม 5. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การออกแบบบรรจุภัณฑ์โดยใช้วัสดุที่นำกลับมาใช้ ใหม่ กระบวนการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์มีขั้นตอนที่สำคัญดังต่อไปนี้ 1. การตั้งจุดมุ่งหมาย 2. การวางแผน สามารถใช้การวิเคราะห์แบบ 5W + 2H ดังนี้ WHY (ทำไม) ทำไมต้องพัฒนาการออกแบบกราฟิกบนบรรจุภัณฑ์ WHO (ใคร) ผู้รับผิดชอบในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์นี้มีใครเกี่ยวข้องบ้าง WHERE (ที่ไหน) สถานที่ที่วางจำหน่ายสินค้าอยู่ที่ไหน WHAT (อะไร) จุดมุ่งหมายการพัฒนาบรรจุภัณฑ์คืออะไร ข้อจำกัดในการ ออกแบบมีอะไรบ้าง


113 WHEN (เมื่อไร) ควรเริ่มงานการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เมื่อไร จะพัฒนาเสร็จและ วางตลาดเมื่อไร HOW (อย่างไร) ใช้เทคโนโลยีแบบใด อย่างไร เพื่อใช้วัดความสนใจของบรรจุภัณฑ์ ที่ออกแบบ HOW MUCH (ค่าใช้จ่ายเท่าไร) การพัฒนาบรรจุภัณฑ์มีค่าใช้จ่ายหรืองบประมาณ เท่าไร การประดิษฐ์บรรจุภัณฑ์ การประดิษฐ์บรรจุภัณฑ์มีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. การวางแผนประดิษฐ์บรรจุภัณฑ์ 2. การปฏิบัติงาน 3. การประเมินผล ข้อมูลประกอบการออกแบบบรรจุภัณฑ์ - ข้อมูลด้านการตลาด ได้แก่ สถานที่จัดจำหน่าย ฤดูกาล - รูปแบบการกระจายสินค้า (ปลีก/ส่ง) พฤติกรรมผู้บริโภค - ปริมาณและมูลค่าของสินค้าในตลาด (ส่วนแบ่งทางการตลาด ) - ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ประวัติความเป็นมา - คำอธิบาย จุดเด่น ประโยชน์ ขนาดปริมาณบรรจุ ความถี่/ปริมาณการใช้ที่ใช้ต่อ ครั้งราคาและต้นทุน ข้อควรระวัง ขั้นตอนการออกแบบบรรจุภัณฑ์ (K.V.J. Union Company Limited, 2564) ได้แก่ 1. กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ถือเป็นเรื่องสำคัญของการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพราะ กลุ่มเป้าหมายสามารถส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์ได้โดยตรง ผู้ประกอบการจะต้องศึกษา และเรียนรู้ความต้องการของตลาดและความต้องการของผู้บริโภค โดยกำหนด กลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อที่จะได้สามารถออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ตรงต่อความต้องการ ของกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด ตัวอย่าง กลุ่มเป้าหมาย เช่น วัยรุ่น วัยทำงาน แม่บ้าน เด็ก ฯลฯ เป็นต้น กลุ่มเป้าหมายที่ได้ยกตัวอย่างนี้ นอกจากจะมีความสนใจและความต้องการที่ แตกต่างกันแล้วกลุ่มเป้าหมายเดียวกันแต่ช่วงอายุต่างกันและมีสถานะทางสังคมที่แตกต่าง


114 กัน ก็ย่อมมีความต้องการแตกต่างกันด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้ลักษณะของบรรจุภัณฑ์ก็ต้องมี ความแตกต่างกันไปตามกลุ่มเป้าหมายนั้น ๆ หรือบางครั้งผลิตภัณฑ์บางอย่างผลิตขึ้นมา เพื่อผู้บริโภคกลุ่มหนึ่ง แต่ผู้บริโภคอีกกลุ่มหนึ่งกลับเป็นผู้เลือกและตัดสินใจซื้อ เช่น อาหารเสริมสำหรับเด็กหรือ นมผงสำหรับทารก จะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ทารกและ เด็กมิได้เป็น ผู้เลือกซื้อ แต่ผู้เลือกและตัดสินใจซื้อกลับเป็นผู้ปกครองซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้ เห็นว่าก่อนการออกแบบบรรจุภัณฑ์ผู้ประกอบการจำเป็นต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมาย เพื่อ ทำการศึกษาความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียดรอบครอบ และค้นหาวิธีว่าจะ ออกแบบอย่างไรให้บรรจุภัณฑ์ของท่านสามารถดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคตาม กลุ่มเป้าหมายให้ตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของท่าน 2. กำหนดชื่อตราสินค้า(Brand) ตราสินค้าใช้เป็นชื่อหรือเครื่องหมายสำหรับการ เรียกขานผลิตภัณฑ์ ผู้ประกอบการจะต้องทำการกำหนดชื่อตราสินค้าให้เรียบร้อยก่อน การออกแบบบรรจุภัณฑ์ โดยกำหนดให้ชื่อตราสินค้ามีความเป็นเอกลักษณ์ ชัดเจน น่าสนใจ ที่สำคัญจะต้องเป็นที่จดจำได้ง่ายแก่ผู้บริโภคตราสินค้าที่ดีนั้นสามารถยกตัวอย่าง ได้ดังนี้ คือตั้งตามชื่อเจ้าของกิจการ ตั้งตามความเชื่ออันเป็นมงคล ตั้งตามแหล่งที่มาของ ผลิตภัณฑ์ หรือตั้งโดยการผสมคำที่มีความหมายให้เกิดเป็นคำใหม่ที่มีเอกลักษณ์ เป็นต้น 3. วัสดุที่ใช้ทำบรรจุภัณฑ์ วัสดุมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การที่ผู้ประกอบการตัดสินใจว่าจะใช้วัสดุอะไรมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์นั้น ท่านควร คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และคุณสมบัติของ วัสดุแต่ละประเภท ที่จะนำมาผลิตบรรจุภัณฑ์เป็นสำคัญ เนื่องวัสดุแต่ละชนิดแต่ละชนิด จะมีคุณสมบัติที่เป็นข้อดีและข้อเสีย ในการคุ้มครองผลิตภัณฑ์ให้คงคุณภาพ การยืดอายุ ผลิตภัณฑ์ และการนำกลับมาใช้ใหม่(Recycle) ที่แตกต่างกันไป หากท่านเลือกใช้วัสดุไม่ ถูกต้องนอกจากจะทำให้เกิดผลกระทบต่อตัวผลิตภัณฑ์ ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมแล้ว ยัง เป็นสาเหตุให้เกิดต้นทุนในการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย 4. รูปทรง บรรจุภัณฑ์ ที่มีรูปร่างสวยงาม สามารถสร้างความประทับใจให้กับ ผู้บริโภค ถึงแม้ผู้บริโภคจะยังมิได้สัมผัสกับตัวผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใน รูปทรงของบรรจุภัณฑ์ สามารถสร้างความเป็นเอกลักษณ์ได้ กล่าวคือเมื่อผู้บริโภคเห็นรูปทรงสามารถรับรู้ได้ทันที ว่าเป็นผลิตภัณฑ์อะไรและมีชื่อตราสินค้าอะไร หรือจะเป็นผลิตภัณฑ์เดียวแตกต่างกันที่ชื่อ ตราสินค้า


115 5. สีสันและกราฟฟิค สีสันและกราฟฟิคนี้คือการรวมของการใช้สัญลักษณ์ ตัวอักษร ภาพประกอบ ลวดลายและพื้นผิว ซึ่งส่วนประกอบทั้งหมดสามารถบ่งบอกถึงชื่อ ตราสินค้า ลักษณะผลิตภัณฑ์ ที่บรรจุอยู่ภายในได้และสามารถแสดงถึงแหล่งที่มาของ ผลิตภัณฑ์ได้ด้วย ลักษณะที่ดีของตราสินค้าที่ดี - สั้น กะทัดรัด จดจำได้ง่าย ออกเสียงได้ง่ายมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะตัว - แปลเป็นภาษาต่างประเทศได้ง่ายมีความหมายที่เหมาะสม - สามารถบอกถึงคุณสมบัติที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ - สอดคล้องกับค่านิยมและวัฒนาธรรมของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายสามารถนำไปจด ทะเบียนการค้าได้ต้องไม่ซ้ำกับของเดิมที่มีอยู่ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ดี การออกแบบบรรจุภัณฑ์ ให้มีความสวยงามและความแปลกตา เท่านี้คงไม่เพียงพอ สำหรับบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์อาหารเพราะหัวใจของบรรจุภัณฑ์ คือ การเก็บรักษาคุณภาพ ของผลิตภัณฑ์ให้คงอยู่ยืนยาว ดังนั้น การออกแบบที่ดีผู้ประกอบการควรคำนึงถึงหน้าที่ ของบรรจุภัณฑ์เป็นสำคัญ (K.V.J. Union Company Limited, 2564) ดังนี้ 1. ป้องกันผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมในการบรรจุอาหารจะต้องสามารถ ป้องกันไม่ให้อาหารสัมผัสกับบรรยากาศภายนอก ซึ่งอาจจะเกิดการรั่ว การซึม แสง ความ ร้อนเย็น 2. เก็บรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ที่ต้องสามารถรักษาคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์มิให้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหรือรสชาติ 3. ยืดอายุผลิตภัณฑ์ จะต้องสามารถนำเทคโนโลยีที่สลับซับซ้อนมาช่วยในการ ออกแบบ เพื่อให้บรรจุภัณฑ์ สามารถยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ให้มีอายุยืนยาว 4. ความสะดวกในการใช้งาน 5. ความประหยัดในการขนส่ง


116 งานพิมพ์บรรจุภัณฑ์ ในการพิมพ์สิ่งพิมพ์ประเภทบรรจุภัณฑ์ ควรให้ความสำคัญในการเลือกใช้หมึก พิมพ์ที่ปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นบรรจุภัณฑ์ประเภทอาหาร ควรเลือกสีชนิด Food grade และควรเป็นสีที่คงทนต่อการใช้งานที่ต้องการพิมพ์บนวัสดุใช้พิมพ์ที่ต้องการ ได้ เช่น กระดาษแข็ง แผ่นกระดาษลูกฟูก โดยไม่ทำให้วัสดุใช้พิมพ์เสียหาย ในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ควรออกแบบให้ขนาดของชิ้นงานกับขนาดกระดาษ มาตรฐานที่ขึ้นขึ้นแท่นพิมพ์พอดี ไม่เหลือเศษขอบกระดาษมาก เพื่อความประหยัดต้นทุน กล่องเป็นบรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่ง (The Box as Transit Container) - เป็นบรรจุภัณฑ์พื้นฐานที่มุ่งเน้นการใช้งาน - เน้นเรื่องราคา ในการตัดสินใจซื้อ กล่องเป็นเครื่องมือทางการตลาด (The Box as a Marketing Tool) - เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้เป็นสื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์นอกเหนือจากการใช้งาน - การวางแนวคิดจะสอดคล้องกันระหว่างสินค้าบรรจุภัณฑ์ชั้นใน และบรรจุภัณฑ์ ชั้นนอก - ออกแบบสวยงามเน้นตราสินค้าและความเด่นเมื่อโชว์ตามร้านค้า หน้าที่ของบรรจุภัณฑ์ด้านการตลาด(Marketing Functions) 1. หน้าที่ส่งเสริมการขาย 2. หน้าที่สร้างมูลค่าเพิ่ม 3. หน้าที่ให้ความถูกต้อง รวดเร็วในการขาย 4. หน้าที่รักษาสิ่งแวดล้อม 5. หน้าที่ในการรณรงค์เรื่องต่าง ๆ เช่น กินของไทยใช้ของไทย ส่งเสริมการ ท่องเที่ยว หลัก 5 P ของกลยุทธ์ทางการตลาด P1 = Product (ตัวสินค้า) P2 = Place (สถานที่) P3 = Price (ราคา) P4 = Promotion (การประชาสัมพันธ์) P5 = Packaging (บรรจุภัณฑ์)


117 หลักการออกแบบบรรจุบรรจุภัณฑ์ ประกอบด้วยการออกแบบที่สำคัญ 2 ส่วนคือ 1. การออกแบบโครงสร้าง – เน้นคุณสมบัติของวัสดุใช้ทำบรรจุภัณฑ์และรูปแบบ บรรจุภัณฑ์ 2. การออกแบบกราฟิก – เน้นการสื่อความหมายด้วยภาพวาดสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ ช่วยส่งเสริมการขาย เนื้อหาการนำเสนอกราฟิกบนบรรจุภัณฑ์ Product & product in use แสดงผลิตภัณฑ์และการใช้ Ingredient แสดงเครื่องปรุงและส่วนผสม Dramatize the benefit เน้นประโยชน์อย่างน่าสนใจ Heritage/ origin แสดงวัฒนธรรมและแหล่งกำเนิด Mood/ characteristic แสดงอารมณ์และบุคลิกของสินค้า/ผู้ใช้ Type classification/family range แสดงชนิด/กลุ่มสินค้า Cumulative effect แสดงผลของการรวมหมู่ Season & occasion แสดงความเป็นเทศกาล โอกาสพิเศษ สีบนบรรจุภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ สีนับว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่ง เพราะสีเป็นสิ่ง ที่มีผลต่อประสาทสัมผัส เป็นเครื่องดูดความสนใจทำให้เกิดความรู้สึกอยากจับต้องอยาก สัมผัส โดดเด่น ความหมายของสี(artdesingn,2564) - เมื่อต้องการความสงบและการพักผ่อนจะใช้สีฟ้าและสีขาว - เมื่อต้องการความสำคัญจะได้แก่ สีม่วง แดงองุ่น และขาว เหลืองทองคำ และดำ - เมื่อต้องการความงดงาม ใช้สีซึ่งเข้ากันอย่างกลมกลืน และสมดุลย์ - เมื่อต้องการความรื่นรมย์ให้ใช้สีฟ้าอ่อน ฟ้ากับขาว หรือขาวกับแดง - เมื่อแต่ละตลาดมีลักษณะพิเศษของตนขึ้นอยู่กับรสนิยม ชนผิวสีไม่นิยมสีน้ำตาล ไหม้ แต่จะชอบสีเหลือง ชาวตะวันออกชอบสีสดใสสว่างสีที่จะใช้กับผลิตภัณฑ์อาหารจะ เป็นสีส้ม เหลืองอ่อน แดงสด เขียวอ่อน น้ำตาลอ่อน และสีน้ำตาล สำหรับเครื่องดื่มจะใช้ เหลืองปนน้ำตาล เหลืองแดง หรือเขียวปนฟ้า หรือฟ้า


118 สีน้ำตาล ให้ความรู้สึกขึงขังและมีประโยชน์ ใส่ความรู้สึกของความสมบูรณ์ของ ชีวิตและงานประจำ สีส้ม ให้ความรู้สึกถึงรัศมี และแสดงออกยิ่งกว่าสีแดง เป็นสีความเคลื่อนไหว ให้ ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย เช่น ไฟที่กำลังไหม้อยู่ในเตาผิง สีฟ้าหรือสีน้ำเงิน เป็นสีสรรที่ลึกซึ้งและเป็นผู้หญิง ให้ความรู้สึกพักผ่อน รู้สึกเป็น ผู้ใหญ่ แต่ก็ยังให้ความทรงจำวัยเด็ก เป็นสีที่ให้ชีวิตแต่ไม่เท่าสีแดง ขณะที่เป็นสีที่เงียบแต่ ไม่เท่าสีเขียวสีอ่อนจะดึงดูดน้อยกว่าสีเข้ม การมองให้ความรู้สึกสดชื่นสะอาด โดยเฉพาะ เมื่อรวมกับ สีขาว สีน้ำทะเล ให้พลังงานดังเช่นไฟ แต่เป็นไฟเย็นที่มีความสดชื่นดังน้ำทะเลใน ทะเลสาป สีเหลือง เป็นสีที่มีรัศมีที่สุด เป็นสีสว่าง และมีเสียงดัง เป็นความอ่อนวัยใน ทางตรงข้ามกับสีฟ้า สีเหลืองทองให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา ขณะที่สีเหลืองแกมเขียวให้ ความรู้สึกของความไม่สบาย เมื่อผสมกับสีแดงจะทำให้สบายตา ให้ความอบอุ่น ความ พอใจ ดังเช่นสีทองของทุ่งนา สีม่วง ให้ความมืดและอึดอัด มักจะเป็นสัญลักษณ์ของความหมดหวังและความ ตาย มีคุณลักษณ์ของความสิ้นหวังหมดโอกาส ความเงียบที่ไม่มีอนาคต ให้มีความรู้สึกเป็น กลุ่มก้อนที่แข็งแรง ให้ความรู้สึกของความสง่างามโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีผิวมัน สีขาว เป็นการแสดงออกถึงความบริสุทธิ์ โดยลักษณะสีสันของสีขาวก่อให้เกิด ความรู้สึกของความอ้างว้างไม่มีจุดจบ แต่ก็ให้ความรู้สึกสดชื่น และความรู้สึกของความ สะอาดเมื่อใช้กับสีน้ำเงิน สีเทา ไม่มีคุณลักษณะเฉพาะตัวเหมือนสีขาว หรือให้ความรู้สึกในทางเข้มแข็ง เหมือนสีดำ แต่แสดงออกซึ่งความเป็นกลาง เป็นลักษณะของการไม่ตัดสินใจ ไม่มีพลังงาน สีเทาอ่อนให้ความรู้สึกกลัว สีเขียว แสดงถึงความมีชีวิตชีวา มีลักษณะเข้มแข็ง และปราดเปรียว ให้ ความรู้สึกสง่างาม และมีเสน่ห์ สีแดง เป็นสีร้อน สีแดงจะสะดุดตาเมื่อแรกเห็น เราจะต้องมองไม่ว่าเราจะต้อง การมองหรือไม่ แต่ละโทนของสีแดงยังมีคุณสมบัติเฉพาะตัว เช่น แดง ให้ความรู้สึกมั่งคั่ง มีอำนาจ และสง่างาม สีแดงปานกลางให้ความรู้สึกถึงพลังงาน การเคลื่อนไหว และความ ต้องการ เราสามารถเลือกโทนของสีแดงมาใช้โดยที่ให้ความรู้สึกเบิกบานมีชีวิตชีวา สีชมพู ให้ความรู้สึกอ่อนหวาน เอียงอาย โรแมนติก แต่ขาดความมีชีวิตชีวา เป็นลักษณะของผู้หญิงและความรัก ให้ความรู้สึกของความอ่อนโยนและมีเสน่ห์


119 ข้อควรคำนึงในการเลือกใช้สีบนบรรจุภัณฑ์ - สีบรรจุภัณฑ์ที่เลือกใช้ควรกระตุ้นประสาททั้ง 5 เพื่อทำให้เกิดความอยากซื้อ - สีที่ใช้ควรเป็นสีที่จำง่าย สามารถทำให้นึกถึงยี่ห้อหรือผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ได้ทันที ใช้สีจดจำได้ง่ายดีกว่าใช้สีแปลกๆ ไม่คุ้นตา - ถ้าการขายเป็นลักษณะแบบช่วยตนเอง สีแท้เป็นสีที่ควรเลือกใช้ สำหรับการ ขายแบบตัวต่อตัว ก็ควรเลือกสีที่แตกต่างกันไป สีสว่างหรือสีที่คล้ายๆ กันมักให้ความรู้สึก ที่ดี สีนุ่มๆ เหมาะกับสินค้าราคาค่อนข้างสูง - สีที่ใช้บนบรรจุภัณฑ์ควรเป็นสีที่เหมาะกับผู้บริโภคในทุก ๆ สถานการณ์ที่ ผู้บริโภคนำมาใช้งาน - การเลือกใช้สีควรเลือกตามลักษณะของลูกค้า เพศ สังคม เศรษฐกิจ สภาพภูมิ ประเทศ ที่ตั้งลักษณะ - แสงที่ใช้ในร้านค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ก็ต้องนำมาพิจารณาด้วย เพราะแสงไฟที่ แตกต่างกันก็สามารถเปลี่ยนความรู้สึกต่อสี - การเลือกใช้สีประกอบบนบรรจุภัณฑ์ 2 – 3 สีที่เราคุ้นเคย ได้ผลดีกว่าใช้สี แปลก - สีที่เลือกใช้บนบรรจุภัณฑ์ควรใช้สีเพื่อทำการเน้นส่วนที่ต้องการจะเน้นให้ เด่นชัดนอกจากนั้นใช้สีที่สามารถดึงดูดได้รองๆ ลงมาตามลำดับความสำคัญ - สีที่เลือกควรเข้ากันได้กับวัสดุที่เลือกใช้ด้วยสีของผลิตภัณฑ์และสีของบรรจุ ภัณฑ์ควรเข้ากันได้ดี มิฉะนั้นจะเกิดความขัดแย้งเกิดขึ้น เมื่อเปิดสินค้าออกจากบรรจุภัณฑ์ - สีที่เลือกใช้จะต้องดูดีเมื่อพิมพ์ขาว – ดำ หรือออกทีวีขาว- ดำ หรือลงนิตยสาร อื่น ๆด้วย - ข้อจำกัดด้านราคามีผลในการกำหนดขอบเขตของสีด้วย - การใช้สีที่ไม่ถูกต้องทำให้ดูน่าเบื่อและกลายเป็นสิ่งส่งเสริมคู่แข่งได้


120 ประโยชน์ของสีบรรจุภัณฑ์ - เรียกร้องความสนใจเมื่อพบเห็น - จำได้เมื่อเห็นอีกครั้ง (มองหาได้ง่าย) - จดจำได้ง่าย - ข้อความชัดเจนอย่างง่าย - ให้ผลทางด้านการมองเห็น - บ่งบอกถึงสิ่งที่บรรจุ - กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกทางบวกต่อสินค้า - สนองความรู้สึกในการบริโภคสินค้า - ช่วยให้เกิดการยอมรับและความพอใจ - ช่วยแยกความแตกต่างในผลิตภัณฑ์ที่เป็นชุด - โน้มน้าวและให้ความมั่นใจแก่ผู้ซื้อ บทบาทของสีบนบรรจุภัณฑ์ที่มีต่อการขาย สีของบรรจุภัณฑ์จะมีความสำคัญมากต่อการตัดสินใจซื้อ ในกรณีที่ - ความภักดีของลูกค้าต่อสินค้าเสื่อมลง - ราคาและคุณภาพของสินค้าไม่ต่างกันมาก - ยอดการจำหน่ายไม่แน่นอน เนื่องจากเหตุผลทั้งสองข้อแรก ทำให้ลูกค้าอาจซื้อ สินค้าทดแทนกันได้ ยอดจำหน่ายจึงไม่แน่นอน การใช้สีบนบรรจุภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก มักเป็นสีที่แสดงความรู้สึกอ่อนโยน ไม่แข็งมาก เช่น สีขาว ชมพูฟ้า เขียวอ่อน เหลืองอ่อน ฯลฯ เป็นส่วนที่พื้นที่ใหญ่ๆ และอาจมีสีสดใสบางจุดบน บรรจุภัณฑ์ เช่น ตัวหนังสือกราฟิกต่าง ๆ ให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้นสีที่สามารถบ่งบอกถึง สถานะผู้บริโภคให้เป็นกลุ่มตามความเข้าใจทั่วไปแบ่งได้ดังนี้ - สีฟ้า หรือ สีน้ำเงิน แสดงถึง ผลิตภัณฑ์ของเด็กผู้ชาย - สีชมพูหรือแดง แสดงถึง ผลิตภัณฑ์ของเด็กผู้หญิง แต่บางกรณีการใช้สีก็อาจจะไม่เป็นไปตามนี้ก็ได้ ในกรณีที่เป็นสินค้าที่ไม่มีการแบ่ง เพศเช่น บรรจุภัณฑ์สีชมพู หมายถึง ผลิตภัณฑ์ธรรมดา แต่บรรจุภัณฑ์สีขาว หมายถึง ผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ สำหรับสีที่เป็นที่นิยมในการใช้เป็นสีบนบรรจุภัณฑ์มากที่สุดคือ สีขาว เนื่องจากให้ความรู้สึกสะอาด ปลอดภัย บริสุทธิ์ เหมาะสมสำหรับเด็ก การเลือกใช้สีบน


121 บรรจุภัณฑ์ จึงมีความสำคัญต่อการเลือกซื้อของผู้บริโภคไม่น้อยไปกว่าองค์ประกอบอื่น ๆ ดังที่กล่าวมา การพัฒนา ที่ส่งผลต่อการออกแบบบรรจุภัณฑ์ วิถีการดำเนินชีวิตผู้บริโภคสมัยใหม่ ที่ส่งผลต่อการออกแบบบรรจุภัณฑ์ - ประชากรผู้บริโภคที่มีอายุสูงเพิ่มขึ้น - การแต่งงานช้าลง ขนาดของครอบครัวเล็กลง - การอพยพเข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในเขตเมืองมากขึ้น - เวลาในการปรุงอาหารเองจำกัด - คำนึงถึงเรื่องสุขภาพมากขึ้น อุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศ - ผลของความตกลงพหุภาคีขององค์กรการค้าโลก ทำให้เกิดมาตรการบังคับใช้ที่ เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดกฎระเบียบ ในการนำเข้าและส่งออกสินค้าอาหาร - EU framework Directive 89/109/EEC Article 2 วัสดุที่ใช้สัมผัสอาหาร โดยตรงต้องผลิตจากหลักเกณฑ์การผลิตที่ดี ( GMF ) - วัสดุดังกล่าวต้องไม่แพร่องค์ประกอบในตัววัตถุไปยังอาหารในประมาณที่อาจเกิด อันตรายต่อสุขภาพ - EU Framework Directive 89/109/EEC Article 3 รายชื่อของวัสดุที่ยอมให้ ใช้สัมผัสกับอาหาร ( positive list ) กฎหมาย ระเบียบ และข้อกำหนดอื่น ๆ - การปิดฉลากและข้อความที่ต้องแสดงบนฉลาก - การให้ความคุ้มครองสิทธิบัตร และสิทธิต่าง ๆ ของผู้ที่เกี่ยวข้อง - การจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม ขยะชุมชน - ข้อกำหนดวัสดุบรรจุภัณฑ์ เช่น Monomer Directive 89/109/EEC รายชื่อโมโนเบอร์ที่ยอมให้ใช้ผลิตเป็นพลาสติกที่ใช้สัมผัสกับอาหารได้ ฉลากโภชนาการ คือ ฉลากอาหารที่มีการแสดงข้อมูล,โภชนาการ ของอาหารนั้นไว้ บนฉลากโดยแสดงเป็นกรอบข้อมูลโภชนาการ BAR CODE หรือรหัสแท่ง สัญลักษณ์ (Symbol)ที่อยู่ในรูปแท่งบาร์ สามารถอ่านได้ด้วยเครื่อง Scannerบาร์ เหล่านี้เป็นตัวแทนของตัวเลขและตัวอักษรรหัสแท่งประกอบด้วย บาร์ที่มีสีเข้ม และ


122 ช่องว่างสีอ่อน สีแท่งบาร์ควรเป็นสีเข้ม เช่น ดำ,น้ำเงิน, ม่วง และเขียว ฯลฯเลี่ยงการใช้ ก้ำกึ่งเช่นสีเทา แต่ที่ดีที่สุดคือ แท่งบาร์สีดำรองพื้นสีขาว (ที่มา : https://sites.google.com/site/thanyalak12557/) เครื่องหมายฮาลาล (Halal) เรื่องที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากสังคมไทย มิใช่ เพียงแต่ชาวไทยมุสลิมที่ จำเป็นต้องบริโภคอาหารฮาลาลเท่านั้น แต่ผู้ประกอบการซึ่งต้องการผลิตอาหารฮาลาล จำหน่ายแก่ผู้บริโภคมุสลิมในประเทศ และผลิตเพื่อการส่งออกในตลาดโลกมุสลิมก็ จำเป็นต้องให้ความสนใจอย่างจริงจัง และดำเนินกระบวนการผลิตอาหารฮาลาลให้ถูกต้อง ตามบัญญัติศาสนาอิสลามและระเบียบคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยว่าด้วย การรับรองฮาลาล พ.ศ. 2544 และฉบับที่ 2 พ.ศ. 2545 โดยผ่านการตรวจสอบและรับรอง จากคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยหรือคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด แล้วแต่กรณี และหากผู้ขอรับรองฮาลาลประสงค์จะใช้ "เครื่องหมายรับรองฮาลาล" จะต้อง รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายดังกล่าวจากคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยก่อน (ข้อ 7, ข้อ 8 แห่งระเบียบฯ) ประกอบกับประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของ โลก ตลาดโลกมุสลิมมีประชากรผู้บริโภคประมาณ 2,000 ล้านคน ดังนั้น อาหารฮาลาลจึง เป็นช่องทางการตลาด (Market Channel) ที่สำคัญ ซึ่งประเทศไทยควรจะต้องเจาะตลาด อาหารฮาลาลเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด (Market Segmentation) ให้มากขึ้น รัฐบาล ปัจจุบันจึงมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลเพื่อการส่งออกและได้แปลง นโยบายสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง ทั้งในด้านการพัฒนาวัตถุดิบ การส่งเสริมผู้ประกอบการ การแสวงหาตลาดและการพัฒนากลไกการรับรองมาตรฐานฮาลาลให้เป็นที่น่าเชื่อถือ ยอมรับของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยอำนาจหน้าที่ในการตรวจรับรอง และอนุญาตให้ใช้


123 เครื่องหมายรับรองฮาลาลเป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรศาสนาอิสลามเท่านั้น คือ คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด อาหารฮาลาลจึงเป็นเรื่องของความร่วมมือและผลประโยชน์ร่วมกันของ 3 ฝ่ายคือ มุสลิม ผู้บริโภค ผู้ประกอบการและประเทศชาติ กล่าวคือ 1) มุสลิมได้บริโภคอาหารฮาลาลที่เชื่อได้ว่าถูกต้องตามบัญญัติศาสนาอิสลาม มี คุณค่าอาหาร ถูกสุขอนามัย ปลอดภัยจากสิ่งต้องห้ามทางศาสนาอิสลาม (ฮารอม) และสิ่ง ปนเปื้อนต่าง ๆ 2) ผู้ประกอบการได้รับผลประโยชน์ทางธุรกิจโดยตระหนักถึงการผลิตอาหารฮาลาลที่ ถูกต้องตามบัญญัติศาสนาอิสลามและปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการกลางอิสลามแห่ง ประเทศไทยว่าด้วยการรับรองฮาลาลอย่างเคร่งครัด ตลอดจนบริหารคุณภาพอาหารตาม มาตรฐานฮาลาล 3) ประเทศชาติได้รับผลประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรัฐบาลให้การส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลอย่างครบวงจรทั้งในด้านการพัฒนาวัตถุดิบ ปัจจัย การผลิตของผู้ประกอบการการตลาดและการปรับปรุงกลไกการรับรอง "มาตรฐานอาหาร ฮาลาล" ขององค์กรศาสนาอิสลาม เพื่อส่งออกอาหารฮาลาลสู่ตลาดโลก (ที่มา : https://sites.google.com/site/thanyalak12557/) บรรจุภัณฑ์สินค้า OTOP นิยาม ผลิตภัณฑ์ OTOP - ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยกลุ่มชุมชนที่สะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาท้องถิ่น - ใช้วัตถุดิบในพื้นที่ของแหล่งผลิตหรือพื้นที่ใกล้เคียง - กระบวนการผลิตไม่ทำลายสภาพแวดล้อมและทรัพยากรท้องถิ่น - เป็นผลิตภัณฑ์ที่ชุมชนช่วยกันทำ ร่วมแรงทำเป็นกลุ่ม


124 ชนิดผลิตภัณฑ์ OTOP 6 กลุ่ม คือ - อาหารและผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป - เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ - ผ้าและเครื่องแต่งกาย ทั้งจากเส้นใยธรรมชาติและเส้นใยผสม - ของใช้และของประดับตกแต่ง เครื่องเรือน เครื่องใช้สอยตกแต่ง รวมทั้ง ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มจักสาน - ศิลปะประดิษฐ์และของที่ระลึก สิ่งประดิษฐ์ที่สะท้อนวิถีชีวิตและภูมิปัญญา ท้องถิ่น - สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร เครื่องสำอางสมุนไพร น้ำมันหอมระเหย เป็นต้น หน่วยงานสนับสนุนเครือข่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP - กรมการพัฒนาชุมชน - กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม - กรมส่งเสริมสหกรณ์ย่อม - กรมส่งเสริมการส่งออก - กรมประชาสัมพันธ์ - การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย - กรมทรัพย์สินทางปัญญา - สถาบันอาหาร - สถาบันรหัสสากล - สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาด - สถาบันอุดมศึกษา - กรมวิทยาศาสตร์บริการ - สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ปัญหาในการดำเนินงาน การผลิต การจัดจำหน่ายสินค้า OTOP · สุขลักษณะของแหล่งผลิตโดยเฉพาะสินค้า อาหาร เครื่องดื่ม สมุนไพร · ความเข้าใจในกฎระเบียบและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น อย. มผช. มกอช. · กระบวนการผลิตยังไม่เหมาะสม ไม่มีมาตรฐาน · คุณภาพและความสม่ำเสมอของสินค้า เช่นอาหารมีอายุการเก็บสั้น · การเลือกชนิดของวัสดุที่ใช้ทำบรรจุภัณฑ์ · การออกแบบทั้งตัวผลิตภัณฑ์และโครงสร้างรูปแบบบรรจุภัณฑ์ · การตลาด ช่องทางการจัดจำหน่าย · เงินทุน กรบริหารและการจัดการภายในกลุ่ม


125 มาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับสินค้า OTOP - มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช). – ข้อกำหนดคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่ผลิต โดยชุมชน(สมอ.รับผิดชอบจัดทำข้อกำหนดและให้การรับรอง ขอการรับรองได้ที่ อุตสาหกรรมจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ) - มาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร (มกอช.) –สัญลักษณ์ตัว Q ให้การรับรอง แหล่งผลิต ส่วนประกอบ วิธีการผลิต คุณภาพของสินค้าและความปลอดภัย - มาตรฐานที่ประกาศโดยกระทรวงสาธารณสุข (มาตรฐาน อย.) เป็นมาตรฐานที่ เกี่ยวกับสถานที่ผลิต ผลิตภัณฑ์การแสดงฉลากและการโฆษณา ปัญหาที่พบในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์สินค้า OTOP - ปริมาณการผลิตสินค้าของชุมชนแต่ละแห่งมีน้อย ทำให้ต้นทุนการสั่งผลิตบรรจุ ภัณฑ์ต่อหน่วยมีราคาสูง - คุณภาพของสินค้าไม่สม่ำเสมอ เช่น ขนาดของผลิตภัณฑ์ - สินค้าที่ผลิตส่วนหนึ่งมีมูลค่าน้อย ทำให้การเลือกชนิดของวัสดุบรรจุภัณฑ์ สามารถทำได้จำกัด เช่น การใช้ถุงพลาสติก การใช้ขวดแก้วมีรูปแบบจำกัด - ผู้ผลิตชุมชนขาดข้อมูลในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ OTOP - ผู้ผลิตชุมชนต้องรู้จักบทบาทและหน้าที่ของบรรจุภัณฑ์ เพื่อสามารถเลือกใช้ บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสินค้าของตน - การตื่นตัวของผู้ประกอบการ การสนับสนุนจากภาครัฐ และความต้องการของ ผู้บริโภคจะเป็นแรงผลักดันการพัฒนาและการใช้บรรจุภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพและได้ มาตรฐานมากขึ้น - แรงกดดันจากคู่ค้าในต่างประเทศให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบสากลทำให้สินค้าที่มี ศักยภาพและเป็นที่ต้องการของชาวต่างชาติต้องพัฒนาบรรจุภัณฑ์ (TECHNOSRI App for eduction 4.0,2564) สรุป ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าในขั้นตอนของการออกแบบบรรจุภัณฑ์นั้น นักออกแบบต้อง ใช้ ความรู้และข้อมูลจากหลาย ๆ ด้านมาประกอบกัน จึงจะทำให้ผลงานออกแบบโครงสร้างนี้ ผู้ออกแบบ จึงต้องเริ่มตั้งแต่การสร้างแบบ ด้วยใช้การร่างแบบตามแนวความคิดของรูปร่าง บรรจุภัณฑ์และสร้างภาพประกอบรายละเอียดด้วยการเขียนแบบ แสดงรายละเอียด มาตราส่วนที่แน่นอนเพื่อแสดงให้ผู้ผลิตผู้เกี่ยวข้องเข้าใจอ่านแบบได้ การใช้ทักษะทาง ศิลปะในการออกแบบคือเครื่องมือที่ผู้ออกแบบ จะต้องกระทำขึ้นมาเพื่อเป็นการนำเสนอ


126 ต่อเจ้าของงานหรือผู้ว่าจ้าง หรือผู้เกี่ยวข้องให้ช่วย พิจารณาปรับปรุง เพื่อให้ได้ผลงานที่ สำเร็จออกมามีประสิทธิภาพในการใช้งานจริง พื้นฐานที่จำเป็นสำหรับร้านค้าออนไลน์ ปัจจุบันมีผู้นิยมทำธุรกิจค้าขายออนไลน์จำนวนมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี เหตุเพราะด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง จากการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลก ทำให้คนรุ่น ใหม่ไม่ต้องการทำงานประจำ หรือเป็นมนุษย์เงินเดือนหากแต่อยากเป็นเจ้าของกิจการโดย เริ่มต้นจากร้านเล็ก ๆ และขายสินค้าในแบบที่ตนมีความถนัดหรือความชอบ ซึ่งสินค้าหรือ ผลิตภัณฑ์ก็มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การสั่งผลิตในแบรนด์ของตัวเอง หรือการ พัฒนาสินค้าผลิตด้วยตัวเอง จากการไปศึกษาขั้นตอนการผลิต การทำ รวมไปถึงขั้นตอน การตลาด อย่างไรก็ตาม การเปิดตลาดค้าขายออนไลน์ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่าย เพราะจะต้อง ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อจะได้ไม่เป็นปัญหาตามมาภายหลัง ซึ่ง ชี้ช่องรวย ได้รวบรวมขั้นตอนการเปิดร้านค้าออนไลน์ที่สามารถดำเนินการดิอย่างถูกต้อง (TECHNOSRI App for eduction 4.0,2564) ดังนี้ 1. ศึกษาสินค้าที่จะขาย คุณควรมีสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่สนใจและต้องการจะขายเสียก่อน และควรเข้าใจ จุดแข็ง จุดอ่อน ของสินค้าของคุณ รวมถึงจุดขายที่แตกต่างจากคู่แข่งในตลาดให้ดีก่อนที่ จะนำสินค้าเข้าสู่ตลาด และควรตอบคำถามให้ได้ว่า ทำไมผู้ใช้ถึงเลือกซื้อ และเลือกใช้ สินค้า หรือบริการของคุณ ซึ่งหากคุณสามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ จะช่วยให้คุณสามารถ ประกอบธุรกิจได้ประสบความสำเร็จได้มากขึ้นนั่นเอ 2. ศึกษาทำความเข้าใจกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การทำร้านค้าออนไลน์ หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้น คือการทำการค้าขายและธุรกรรมซื้อขายผ่านทางระบบออนไลน์ หรือทางอินเทอร์เน็ต นั่นเอง ซึ่งช่วยให้คุณสามารถขายสินค้าของคุณได้ทุกที่ ที่อินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึง โดย ไม่ต้องเช่าพื้นที่หน้าร้านในแหล่งชุมชนซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง และช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่าย ไปได้มาก อีกทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อจากทั่วโลกได้มีโอกาสพบเห็นสินค้าของคุณ สำหรับผู้ซื้อ ช่วยให้สะดวกสบายไม่ต้องเดินทางฝ่ารถติดไปซื้อสินค้าจากหน้าร้านค้าโดยตรง เพียงเลือก สินค้าผ่านอินเทอร์เน็ตอยู่ที่บ้าน ชำระเงินผ่านระบบที่น่าเชื่อถือ และรอสินค้ามาส่งถึงที่ บ้าน


127 3. เลือกระบบร้านค้าออนไลน์ คุณสามารถเลือกเปิดร้านค้าออนไลน์ได้หลากหลายรูปแบบ โดยทั่วไปที่นิยมมี 2 รูปแบบ คือ ใช้บริการร้านค้าสำเร็จรูป ซึ่งสามารถหาเว็บไซต์ที่ให้บริการเปิดร้านค้าเหล่านี้ ได้มามากเล่น weloveshopping, tarad.com, lnwshop, shopspot เป็นต้น หรือ คุณ สามารถเลือกใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เพื่อติดตั้งปรับแต่งได้ด้วยตัวเอง มีอิสระในการ ปรับแต่งมากกว่า แต่อาจจะยุ่งยากกว่าในการเริ่มต้น เช่น PrestaShop, Mageto เป็นต้น 1. จัดแต่งหน้าร้านค้าออนไลน์ รูปแบบ สีสัน ป้ายร้าน เมื่อคุณเลือกบริการร้านค้าได้แล้ว ก็เริ่มตกแต่งร้านค้าให้เหมาะสมและดึงดูด หลีกเลี่ยงการตกแต่งร้านค้าให้กระพริบ และมีลูกเล่นมากเกินความจำเป็น ยิ่งทำให้ผู้ใช้ งงงวย และใช้งานได้ยาก ควรเน้นที่สินค้าให้ดูค้นหาง่าย และสะอาดตา น่าเชื่อถือ และ ค้นหาสินค้า และสั่งซื้อได้ง่าย 2. จัดหมวดหมู่สินค้า ลงรูปสินค้า อัพเดทข้อมูล และราคาสินค้าลงเว็บไซต์ จากนั้นจัดหมวดหมู่สินค้าให้เหมาะสม ลงรายละเอียดสินค้าให้เรียบร้อย นำรูป สินค้าที่ชัดเจนสวยงาม เพื่อช่วยดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น 3. ทำการตลาดโปรโมทร้านออนไลน์ การเปิดร้านค้าออนไลน์ในโลกอินเทอร์เน็ตที่กว้างใหญ่ อาจทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถ เข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้ง่าย คุณควรทำการโปรโมทเว็บไซต์เพื่อให้เป็นที่รู้จัก และค้นหาได้ ง่ายผ่านทาง Google ซึ่งเรียกว่า Search Engine Optimization หรือเรียกสั้นๆ ว่า SEO


128 เรื่องที่ 5 การให้บริการในรูปแบบต่าง ๆ ความรู้เบื้องต้นการให้บริการ 1.1 ความหมายของการบริการ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมาย “บริการ” หมายถึง ปฏิบัติรับใช้ หรือ ให้ความสะดวกต่าง ๆ ดังนั้น การให้บริการจึงหมายถึง งานที่มีผู้คอยช่วยอำนวย ความสะดวกซึ่งเรียกว่า “ผู้ ให้บริการ” และ “ผู้มารับบริการ” ก็คือผู้มารับความสะดวก “การบริการ” ไม่ใช่สิ่งที่มี ตัวตน แต่เป็นกระบวนการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่ ต้องการใช้บริการ (ผู้บริโภค/ลูกค้า/ผู้รับบริการ) กับ ผู้ให้บริการ (เจ้าของ กิจการ/ พนักงานงานบริการ/ระบบการจัดการบริการ) ในการที่จะตอบสนองความต้องการอย่างใด อย่างหนึ่ง ให้บรรลุผลสำเร็จ ความแตกต่างระหว่างสินค้าและการบริการ ต่างก็ก่อให้เกิด ประโยชน์และความพึงพอใจแก่ลูกค้าที่มาซื้อ โดยที่ธุรกิจบริการจะมุ่งเน้นการกระทำที่ ตอบสนองความต้องการ ของลูกค้า อันนำไปสู่ความพึงพอใจที่ได้รับบริการนั้น ในขณะนี้ ธุรกิจทั่วไป มุ่งขายสินค้าที่ลูกค้าชอบ และทำให้เกิดความพึงพอใจที่ได้เป็นเจ้าของสินค้า นั้น (จิตตินันท์ เดชะคุปต์, 2549.) “การบริการ” เป็นกิจกรรมการกระทำและการปฏิบัติที่ ผู้ให้บริการจัดทำขึ้นเพื่อเสนอขาย และส่งมอบสู่ผู้รับบริการหรือเป็นกิจกรรมที่จัดทำขึ้น รวมกับการขายสินค้าเพื่อสนองความต้องการ และสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้รับบริการ อย่างทันทีทันใด ลักษณะของการบริการมีทั้งไม่มีรูปร่างหรือ ตัวตน ไม่สามารถสัมผัสหรือ จับแตะต้องได้และเป็นสิ่งที่เสื่อมสูญสลายได้ง่ายแต่สามารถนำมาซื้อขาย กันได้ ซึ่งองค์กร แต่ละองค์กรที่มีการแข่งขันกันสูงไม่ว่าจะด้านกลยุทธ์ต่าง ๆ โปแกรมที่นำเสนอ หรือ โปรโมชั่นพิเศษสุด สุดท้ายแล้วผู้บริโภคจะเลือกใช้บริการนั้นก็คือการบริการหลังการขาย ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์กรต่าง ๆ นำมาใช้เป็นกลยุทธ์ในการบริการหลังการขายและเป็นตัวเลือกที่ ดีในการเข้าใช้บริการ “การบริการ” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Service” ในความหมาย ที่ว่าเป็นการกระทำที่เปี่ยม ไปด้วยความช่วยเหลือ การให้ความช่วยเหลือการดำเนินการที่ เป็นประโยชน์ (จิตตินันท์เดชะคุปต์, 2540.) ซึ่งความหมายอักษรภาษาอังกฤษ 7 ตัวนี้ คือ S = Smiling & Sympathy ยิ้มแย้มและเอาใจเขามาใส่ใจเรา เห็นอกเห็นใจต่อความ ลำบาก ยุ่งยากของผู้มารับการบริการ E = Early Response ตอบสนองต่อความประสงค์ จากผู้รับบริการอย่างรวดเร็ว R = Respectful แสดงออกถึงความนับถือให้เกียรติ ผู้รับบริการ V = Voluntariness Manner การให้บริการที่ทำอย่างสมัครใจเต็มใจทำไม่ใช่


129 ทำงานอย่าง เสียไม่ได้I = Image Enhancing การรักษาภาพลักษณ์ของผู้ให้บริการและ ภาพลักษณ์ขององค์กร C = Courtesy ความอ่อนน้อม อ่อนโยน สุภาพมีมารยาทดีE = Enthusiasm ความกระฉับกระเฉง กระตือรือร้นขณะให้บริการและให้บริการมากกว่า ผู้รับบริการคาดหวังเอาไว้ สรุปได้ว่า การบริการหมายถึงงานที่ปฏิบัติรับใช้ หรืองานที่ให้ความสะดวกต่าง ๆ เกิดจากการ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่ต้องการใช้บริการกับผู้ให้บริการ ในรูปแบบกิจกรรม ผลประโยชน์หรือความพึง พอใจที่ผู้ขายจัดทำขึ้นเพื่อสนองความต้องการแก่ผู้บริโภค และ เพื่อส่งเสริมการขายให้มีประสิทธิภาพ 1.2 ความสำคัญของการบริการ การบริการที่ดีจะช่วยให้กิจการประสบ ความสำเร็จในที่สุด ดังนั้นความสำคัญของการบริการ สามารถแบ่งเป็น 2 ประเด็น (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. 2543: 14-16) ดังนี้ 1.2.1 ความสำคัญต่อผู้ให้บริการ แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ 1) งานบริหารบุคลากรที่ปฏิบัติงานบริการโดยเฉพาะผู้ที่ให้บริการส่วนหน้า เนื่องจาก เป็นบุคคลที่ปฏิสัมพันธ์กับผู้มารับบริการโดยตรงเริ่มตั้งแต่การต้อนรับผู้ที่เข้ามา ติดต่อจนกระทั่ง บริการต่าง ๆ สิ้นสุดลง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการบริการจะช่วยให้ ผู้ปฏิบัติงานบริการตระหนัก ถึงการปฏิบัติตนต่อผู้รับบริการด้วยจิตสำนึกของการ ให้บริการ และพัฒนาศักยภาพมีดังนี้ (1) รับรู้เป้าหมายของการให้บริการที่ถูกต้องโดยมุ่งเน้นที่ตัวลูกค้าหรือ ผู้บริโภค เป็นศูนย์กลางของการบริการด้วยการกระท าเพื่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้า และ ทำให้ลูกค้ามาใช้บริการพึงพอใจเป็นสำคัญ (2) เข้าใจและยอมรับพฤติกรรมของลูกค้าหรือผู้ที่ใช้บริการ (3) ตระหนักถึงบทบาทและพฤติกรรมของการบริการที่ผู้บริการพึงปฏิบัติ ซึ่งเป็น ภาพลักษณ์เบื้องต้น ที่สามารถทำให้ผู้รับบริการประทับใจใช้บริการจนเป็นลูกค้าประจำ (4) วิเคราะห์ความต้องการของผู้รับบริการและคุณลักษณะของการบริการ ที่สร้าง ความประทับใจแก่ผู้รับบริการรวมทั้งการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลาและ จำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนทักษะในการแก้ปัญหาเพื่อมิให้ผู้รับบริการเกิดความไม่พอใจใน การบริการ ที่ได้รับ 2) ผู้ประกอบการ ปัจจุบันผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าและบริการต่างตระหนักถึง


130 ความสำคัญของการบริการมากขึ้นและหันมาให้บริการเป็นกลยุทธ์การแข่งขันทาง การตลาดที่นับวัน จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการบริการจะ ช่วยให้ผู้บริหารการบริการ สามารถสร้างความเป็นเลิศในการด าเนินการบริการด้วย คุณภาพของการบริการที่ยอดเยี่ยมได้ ดังนี้ (1) ตระหนักถึงความสำคัญของลูกค้าเป็นอันดับแรกและรู้จักสำรวจความ ต้องการ ของลูกค้าในการเลือกซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ เพื่อนำข้อมูลมาใช้วางแผนและการ ปรับปรุง การดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม (2) เห็นความสำคัญของบุคลากรซึ่งมีบทบาทสำคัญที่จะดึงผู้บริโภคให้มา เป็น ลูกค้าประจำขององค์กรด้วยการสนับสนุนและเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาศักยภาพ ในการ บริการอย่างทั่วถึงทั้งในด้านความรู้และทักษะการบริการที่มีคุณภาพ (3) เข้าใจกลยุทธ์การบริการต่าง ๆ ที่สามารถใช้เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ มี ประสิทธิภาพโดยมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพ การสร้างเอกลักษณ์ในการบริการ ที่ ประทับใจ การบริหารองค์การที่มีประสิทธิภาพและการใช้เทคโนโลยีการบริการที่ ทันสมัย (4) วิเคราะห์ปัญหาข้อบกพร่องและแนวโน้มของการบริการเพื่อการ ปรับปรุงแก้ไข และกำหนดทิศทางของการบริการที่ตลาดต้องการได้ 1.2.2 ความสำคัญต่อผู้รับบริการ ถึงแม้ธุรกิจบริการจะให้ความสำคัญอย่างมากกับ ลูกค้าหรือ ผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจเลือกซื้อหรือใช้บริการต่าง ๆ และพยายามทุก วิถีทางที่จะสร้างความพึง พอใจสูงสุดแก่ลูกค้า ดังนั้น ลูกค้าจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้บทบาท และขอบเขตความเป็นไปได้ของการ ใช้บริการที่เหมาะสมด้วยความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ การบริการจะช่วยให้ผู้ใช้บริการเข้าใจ กระบวนการบริการและสามารถคาดหวังการบริการ ที่จะได้รับอย่างมีเหตุผลตามข้อจำกัดของ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น 1) รับรู้และเข้าใจลักษณะของงานบริการว่าเป็นงานหนักที่จะต้องพบกับคนจำนวน มากและตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้มารับบริการอยู่ตลอดเวลาอันส่งผลให้ การบริการ บางครั้งอาจไม่รวดเร็วทันกับความต้องการของผู้รับบริการทุกคนในเวลา เดียวกันได้ซึ่งผู้ใช้บริการ จ าเป็นต้องคาดหวังการบริการในระดับที่มีความเป็นไปได้ตาม ลักษณะของงานบริการต่าง ๆ


131 2) ตระหนักถึงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของผู้ใช้บริการผู้ที่แสดงเจตนาในการรับ บริการ ควรมีมารยาทที่ดีและใช้คำพูดที่ชัดเจนเข้าใจง่ายในการระบุความต้องการการ บริการเมื่อผู้ให้บริการ เข้าใจและเสนอการบริการที่ถูกใจผู้รับบริการก็จะทำให้เกิด ความรู้สึกและทัศนคติที่มีต่อการบริการ 1.3 ลักษณะของงานบริการ 1.3.1 ลักษณะที่เกิดจากความไว้วางใจ (trust) ผู้ใช้บริการต้องอาศัยความเชื่อถือ หรือความ ไว้วางใจในการบริการ เช่น ได้รับการบอกต่อถึงการบริการจากเพื่อนหรือคน ใกล้ชิดหรือได้รับรู้จาก ประสบการณ์โดยตรง หรือจากแหล่งอื่นจนเกิดความไว้วางใจและ ตัดสินใจไปใช้บริการ 1.3.2 ลักษณะที่ไม่สามารถจับต้องได้ (Intangibility) ผู้บริโภคไม่สามารถทดลอง ใช้ผลิตภัณฑ์ ก่อนที่จะทำการซื้อ เช่น การโดยสารบนเครื่องบิน เป็นต้น ผู้บริโภคไม่ สามารถรู้ผลของการบริการได้ จนกว่าจะมีการเดินทางจริง ผู้บริโภคพยายามจึงแสวงหาสิ่ง ที่จะบ่งบอกถึงคุณภาพของการบริการ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นที่จะใช้บริการนั้น ๆ 1.3.3 ลักษณะที่แบ่งแยกออกจากกันไม่ได้ (inseparability) ระหว่างผู้ให้บริการ และลูกค้า การบริการนั้นเริ่มจากการที่ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อแล้วจึงเกิดการบริการใน ขณะเดียวกัน เช่น การบริการ นวดแผนโบราณ ผู้นวดและลูกค้าจะต้องอยู่พร้อมกัน ณ สถานที่ที่ให้บริการ ในการตรวจรักษาแพทย์ และคนไข้จะต้องอยู่ที่เดียวกัน ทั้งสองฝ่ายก็ ไม่สามารถ แยกจากกันได้ในช่วงเวลาที่ให้บริการ 1.3.4 ลักษณะความแตกต่างของการบริการในแต่ละครั้ง (Variability or Heterogeneity) เนื่องจากการบริการต้องอาศัยคนหรือพนักงานในการให้บริการเป็นส่วน ใหญ่ซึ่งต้องขึ้นกับ องค์ประกอบในด้านร่างกายและจิตใจของพนักงาน เช่น พนักงานคน หนึ่งเมื่อวานนี้ให้บริการดีมาก ยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายลูกค้าเป็นอย่างดี แต่วันรุ่งขึ้น พนักงานคนเดียวกันอาจถูกร้องเรียนว่าบริการไม่ ดี ไม่ยิ้มแย้ม พูดจาไม่ไพเราะ สาเหตุ เนื่องมาจากพนักงานคนนั้นไม่ได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่มเพราะ ต้องดูแลลูกสาววัยหนึ่งปีที่ ป่วยเป็นไข้หวัดตลอดคืนที่ผ่านมาเป็นต้น 1.3.5 ลักษณะที่ไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้ (perish ability) การบริการต่าง ๆ ไม่ สามารถกักตุน จัดเก็บหรือสต็อกเอาไว้ได้เหมือนกับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้เพราะงาน บริการมีเงื่อนไขเรื่องเวลาเข้า มาเกี่ยวข้อง จึงไม่สามารถเก็บบริการเอาไว้ขายได้ เช่น ใน


132 ฤดูการท่องเที่ยว ห้องพักของโรงแรมจะมี ลูกค้าเข้าพักเต็ม และยังมีลูกค้าอีกจำนวนไม่ น้อยที่ไม่สามารถจองห้องพักในเวลานั้นได้ แต่ในช่วงฤดู ฝน ห้องพักของโรงแรมว่างเป็น จำนวนมาก ซึ่งไม่สามารถนาไปขายในฤดูกาลท่องเที่ยวที่ผ่านมาได้ เป็นต้น 1.3.6 ความต้องการที่ไม่แน่นอน (Fluctuating Demand) จำนวนลูกค้าที่มาใช้ บริการจะมาก หรือน้อยต่างกันขึ้นกับช่วงเวลาในแต่ละวัน วันในต้นสัปดาห์หรือท้าย สัปดาห์ รวมทั้งฤดูกาล เช่น ที่ สาขาของธนาคาร ช่วงพักกลางวันจะมีลูกค้ามาใช้บริการ มากกว่าช่วงบ่าย ช่วงวันจันทร์และวันศุกร์จะ มีลูกค้าฝากถอนเงินมากกว่าช่วงวันอื่น ๆ ใน สัปดาห์ 1.3.7 ลักษณะงานบริการที่ทำซ้ำ ๆ (Repetitiveness) เป็นการทำงานซ้ำ ๆ หลาย ครั้ง เช่น พนักงานเสิร์ฟอาหารในห้องอาหารมีหน้าที่ต้อนรับลูกค้า รับคำสั่งจากลูกค้า นำ คำสั่งไปสั่งอาหารและ เครื่องดื่ม นำอาหารและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟลูกค้า คอยดูแลความ เรียบร้อย เก็บเงินเมื่อลูกค้าต้องการ จะกลับ จัดโต๊ะอาหารเพื่อเตรียมต้อนรับลูกค้าคนใหม่ การทำงานของพนักงานเสิร์ฟอาหารในห้อง อาหารจะทำงานในลักษณะเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก หลาย ๆ ครั้ง จนกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน 1.3.8 ลักษณะมีความเข้มข้นต่อความรู้สึกของพนักงาน (Labor Intensiveness) การให้บริการ พนักงานจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ลูกค้ามีความต้องการที่แตกต่าง อุปนิสัยที่ไม่เหมือนกัน อารมณ์ ของลูกค้าอาจเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งแวดล้อมหรือปัจจัย อื่น ๆ พนักงานอาจจะพบกับลูกค้าที่มี อารมณ์ร้ายหรือลูกค้าที่จู้จี้จุกจิกสร้างปัญหา สรุป ลักษณะของงานบริการโดยทั่วไปมีดังนี้ 1) เกิดจากความไว้วางใจผู้ใช้บริการต้องอาศัย ความเชื่อถือหรือความไว้วางใจ 2) ไม่สามารถจับต้องได้ไม่สามารถทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ ก่อนที่จะทำ การซื้อ 3) แบ่งแยกออกจากกันไม่ได้ตัดสินใจซื้อแล้วจึงเกิดการบริการใน ขณะเดียวกัน 4) ความ แตกต่างของการบริการในแต่ละครั้งในด้านคุณภาพในการ ให้บริการ 5) ไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้ไม่ สามารถกักตุนจัดเก็บหรือสต็อกเอาไว้ได้ 6) ความต้องการที่ไม่แน่นอนจำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการ ขึ้นกับช่วงเวลาในแต่ละวัน วันในต้น สัปดาห์หรือท้ายสัปดาห์ รวมทั้งฤดูกาล 7) ลักษณะงานบริการที่ ทำซ้ำ ๆ 8) ลักษณะมี ความเข้มข้นต่อความรู้สึกของพนักงานพนักงานจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ที่ แตกต่าง อุปนิสัยที่ไม่เหมือนกัน 1.4 ประเภทของการบริการ ประเภทของธุรกิจบริการ สามารถจัดประเภทได้ 4 ประเภท ดังนี้


133 1.4.1 การบริการต่อร่างกายลูกค้า (People Processing Service) ประเภทนี้ เป็น บริการที่มี การถูกเนื้อต้องตัวลูกค้าโดยตรง เช่น ตัดผม นวดแผนโบราณ ฯลฯ หรือไม่ก็เป็น บริการทางกายภาพ เช่น บริการขนส่งมวลชน เคลื่อนย้ายตัวลูกค้าไปที่จุดหมายปลายทาง ซึ่งลูกค้าจำเป็นต้องอยู่ในสถานที่ ให้บริการตลอดทั้งกระบวนการให้บริการ จนกว่าจะ ได้รับผลประโยชน์ตามที่ต้องการจากบริการนั้น 1.4.2 การบริการต่อจิตใจลูกค้า (Mental Stimulus Processing Service) ประเภทนี้เป็นการ ให้บริการ โดยไม่จำเป็นต้องถูกเนื้อต้องตัวลูกค้า แต่เป็นการให้บริการ ต่อจิตใจอารมณ์หรือความ รู้สึก ของลูกค้า เช่น โรงภาพยนตร์ โรงเรียน วัด โบสถ์ ฯลฯ ซึ่ง ลูกค้าเป็นต้องอยู่ในสถานที่ให้บริการตลอดทั้ง กระบวนการให้บริการจนกว่าจะได้รับ ผลประโยชน์ตามที่ต้องการจากบริการนั้น 1.4.3 การบริการต่อสิ่งของของลูกค้า (Procession Processing Service) เป็น การซื้อบริการ ให้กับสิ่งของของเรา เช่น บริการ ซัก อบ รีดไปหาสัตวแพทย์ เป็นต้น บริการในกลุ่มนี้เป็นการให้บริการ โดยการถูกเนื้อต้องตัวสิ่งของสัตว์เลี้ยง หรือสิ่งของอย่าง ใดอย่างหนึ่งของลูกค้า ซึ่งลูกค้าจำเป็นต้องเอา สิ่งของหรือสัตว์เลี้ยงมาไว้ในสถานที่ ให้บริการ โดยตัวลูกค้าไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานบริการในระหว่างที่ เกิดการให้บริการก็ได้ 1.4.4 การบริการต่อสารสนเทศของลูกค้า (Information Processing Service) บริการในกลุ่มนี้ เป็นบริการที่ทำต่อสิ่งของของลูกค้าเช่นเดียวกับบริการประเภทที่ 3 แต่ ต่างกันที่ ลักษณะของ “สิ่งของ ของลูกค้า” โดย “สิ่งของของลูกค้า” ในบริการประเภทที่ 3 จะเป็นของที่มีตัวตน แต่สิ่งของในประเภทที่ 4 จะเป็นของที่ไม่มีตัวตน ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ข้อมูลสารสนเทศของลูกค้า บริการประเภทนี้ ได้แก่ ธนาคาร บริการที่ปรึกษาทางธุรกิจ บริการวิจัยการตลาด เป็นต้น จะเห็นได้ว่าความรู้เบื้องต้นในการให้บริการที่นักบริการต้อง ทราบคือ ความหมายของการ ให้บริการ การบริการหมายถึงงานที่ปฏิบัติรับใช้ หรือ งานที่ ให้ความสะดวกต่าง ๆ ตรงกับภาษาอังกฤษ ว่า “Service” เกิดจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ผู้ที่ต้องการใช้บริการกับผู้ให้บริการ ในรูปแบบกิจกรรม ผลประโยชน์หรือความพึงพอใจที่ ผู้ขายจัดทำขึ้นเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบหนึ่งเพื่อสนองความต้องการแก่ ผู้บริโภค และรูปแบบ กิจกรรมผลประโยชน์หรือความพึงพอใจที่ผู้ขายจัดทำขึ้น เพื่อเสริมกับสินค้าให้ การขาย และให้สินค้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นความสำคัญของการบริการมีทั้งด้านบริการที่ดี และ บริการที่ไม่ดี ซึ่งทั้งสองด้านจะส่งผลต่อผู้ให้บริการ โดยที่ลักษณะของงานบริการเป็น ลักษณะที่เกิด จากความไว้วางใจผู้ใช้บริการต้องไม่สามารถจับต้องได้แบ่งแยกออกจากกัน ไม่ได้มีความแตกต่างของ การบริการในแต่ละครั้งไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้มีความต้องการ


Click to View FlipBook Version