The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การใช้เทคโนโลีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้-ม.ปลาย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by rawa_30, 2023-11-02 12:39:00

การใช้เทคโนโลีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้-ม.ปลาย

การใช้เทคโนโลีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้-ม.ปลาย

134 ที่ไม่แน่นอนงานบริการที่ทำซ้ำ ๆ มี ความเข้มข้นต่อความรู้สึกของพนักงานและธุรกิจ บริการมี 4 ประเภท คือ ประเภทแรกเป็นการบริการ ต่อร่างกายลูกค้า เป็นการบริการที่มี การถูกเนื้อต้องตัวลูกค้าโดยตรง เช่น ตัดผมนวดแผนโบราณ บริการ ที่พักอาศัย เช่น โรงแรม ประเภทที่สอง การบริการต่อจิตใจลูกค้า ด้านอารมณ์ หรือ ความรู้สึกของ ลูกค้า เช่น โรงภาพยนตร์ โรงเรียน วัด โบสถ์ ประเภทที่สาม เป็นการบริการต่อสิ่งของของ ลูกค้า เช่น บริการ ซัก อบ รีด ประเภทที่สี่ การบริการต่อสารสนเทศของลูกค้า จะเป็น สิ่งของที่ไม่มีตัวตน ซึ่งเป็น ข้อมูลสารสนเทศของลูกค้า เช่น ธนาคารบริการที่ปรึกษาทาง ธุรกิจ บริการวิจัยตลาด


135 เรื่องที่ 6 สรุปองค์ความรู้หลักการขายออนไลน์ ความหมายและความเป็นมาของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (2542) พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนิน ธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การผลิต การกระจาย การตลาด การขาย หรือการ ขนส่งผลิตภัณฑ์และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ( WTO, 1998 ) ความหมายของการขายออนไลน์ 1. ความหมายของการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (2542) ได้ให้ความหมายการซื้อขายออนไลน์ หมายถึง พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ( E-Commerce ) เป็นการทำธุรกรรมการซื้อขายสินค้า ระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยทั้งสองฝ่ายไม่ต้องพบกัน แต่ใช้การติดต่อ ขายทางอินเทอร์เน็ตก็สามารถซื้อขายสินค้าได้ทุกรูปแบบ 2. ความหมายของการขายออนไลน์ ให้ความหมายของการขายออนไลน์ หมายถึง การนำสินค้าไปประกาศขายตาม เว็บไซต์ที่เป็นทำเล หรือ Marketplace ที่ผู้ซื้อกับผู้ขายออนไลน์พบกัน ไม่ว่าจะเป็น เว็บไซต์ในประเทศไทย เช่น Trade.com และ weloveshopping.com หรือใน ต่างประเทศ เช่น amazon.com และ ebaly.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์สำเร็จรูปที่สามารถ ประกาศขายได้ทันทีมีบุคคลเข้ามาดูสินค้าหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม 3. ความหมายของการเปิดร้านค้าออนไลน์ ให้ความหมายการเปิดร้านค้าออนไลน์ หมายถึง การสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อนำ สินค้าของตนเองมาจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งร้านค้าออนไลน์จะเหมือนกับร้านค้า ทั่วไปที่นำสินค้ามาวางขายแต่มีความแตกต่างกันตรงที่ทำการซื้อขายทุกขั้นตอนผ่าน อินเทอร์เน็ตเท่านั้น สามารถซื้อขายได้ทุกที่ทุกเวลาไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของโลก เพียงเข้า อินเทอร์เน็ตก็สามารถเข้าซื้อสินค้าได้ง่ายมีปัญหาในเรื่องการทำเลที่ตั้งของร้านค้า


136 ความสำคัญของการขายออนไลน์ การซื้อขายออนไลน์ : สามารถซื้อขายได้ทุกที่ สร้างความสดวกสบายให้ผู้ซื้อและ ผู้ขาย เทคโนโลยี : ก็ถือยังเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจ E-Commerce เติบโต ไปได้อย่างรวดเร็วมาก เป็นช่องทางใหม่สำหรับผู้ประกอบการ : ซึ่งถือเป็นช่องทางหนึ่งที่ ช่วยสร้างโอกาสในการขยายช่องทางการค้าขายให้ผู้ประกอบการได้มากยิ่งขึ้น เป็นวิธีที่ดี ในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก : เพราะปัจจุบันสังคมออนไลน์ถือเป็นสื่อหลักที่ช่วยใน การโฆษณาและประชาสัมพันธ์ได้อย่างดีเยี่ยม ลักษณะของการขายออนไลน์ ใช้ต้นทุนต่ำกว่าการเปิดร้านจริง กลุ่มลูกค้ามีจำนวนมาก เปิดร้านค้าได้ทุกวัน เพิ่มช่องทางในการขายสินค้า ใช้เวลาไม่มากทำเป็นอาชีพเสริมได้ องค์ประกอบของการขายออนไลน์ องค์ประกอบต่าง ๆ ของการขายออนไลน์ หรือแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นสิ่ง สำคัญผู้ประกอบการซึ่งมีหน้าร้านบนโลกไซเบอร์จะต้องทำความเข้าใจเป็นอย่างดี เพื่อจะ ได้จัดกิจกรรมทางการตลาดอย่างได้เหมาะสม และเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ดังนั้น การมีเว็บไซต์เพื่อจำหน่ายสินค้าจึงไม่ใช่เครื่องรับประกันความสำเร็จทาง ธุรกิจ เพราะยังมีองค์ประกอบที่เป็นตัวแปรสำคัญ คือ " การตลาด " แต่เดิมนั้น หลายท่าน อาจจะรู้จักส่วนผสมทางการตลาดเพียง 4 P's คือ Product Price Place Promotion แต่ปัจจุบันท่านต้องรู้จักกับอีก 2'P ใหม่คือ Personalization และ Privacy เพื่อให้เกิด แนวคิดประยุกต์ใช้องค์ประกอบการตลาดดั้งเดิมบวกกับความสามารถพิเศษของ เทคโนโลยี ทำให้เกิดองค์ประกอบการตลาดแบบใหม่ได้ดังนี้ 1. ผลิตภัณฑ์ ( Product ) 2. ราคา ( Price ) 3. ช่องทางการจัดจำหน่าย ( Place ) 4. การส่งเสริมการจำหน่าย ( Promotion )


137 5. การให้บริการแบบเจาะจง ( Personalization ) 6. การรักษาความเป็นส่วนตัว ( Privacy ) 7. ขอบเขตของธุรกิจการขายออนไลน์ 8. ทำการขายออนไลน์หรืออี-คอมเมิร์ชแบบง่าย 9. ทำการขายออนไลน์หรืออี-คอมเมิร์ชแบบที่มีขาดใหญ่


138 กิจกรรมที่ 1 แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 4 1. การขายออนไลน์ หมายถึง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. โลโก้ (Logo) คือ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. วัตถุประสงค์ของการออกแบบบรรจุภัณฑ์คือ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………


139 4. การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ดีได้แก่ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. ประเภทของการบริการ ประเภทของธุรกิจบริการ มีกี่ประเภท ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………


140 กิจกรรมที่ 2 การค้าออนไลน์ มอบหมายให้ผู้เรียนทำโครงงานประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการค้าออนไลน์ผ่าน ช่องทางออนไลน์ เช่น เพจ, เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม, ติ๊กต๊อก


141 บทที่ 5 การใช้โปรแกรมสำเร็จรูปและเครือข่ายสังคมเพื่อการเรียนรู้ สาระสำคัญ ในสังคมปัจจุบันโปรแกรมสำเร็จรูปเขามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนางานด้าน ต่าง ๆ ช่วยลดขั้นตอนการทำงาน ลดความยุ่งยากในการจดการเอกสารและตัวเลขที่ ซับซ้อน สร้างความ เป็นระเบียบและสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดั่งนั้น การศึกษาเกี่ยวกบการใช้ งาน โปรแกรมสำเร็จรูป จะช่วยให้ผู้ใช้ งานสามารถเลือกใช้ โปรแกรมสำเร็จรูป ได้เหมาะสมกับลักษณะ ของงานและเป็นพื้นฐานความรู้สาหรับการใช้ งานโปรแกรมสำเร็จรูปไป องค์ประกอบสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์จาก การใช้คอมพิวเตอร์คือ “โปรแกรมสำเร็จรูป”ที่สามารถตอบสนองความตองการในใช้งาน ตามวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทางานได้หากไม่มี โปรแกรมควบคุมการทำงาน ดังนั้น ประสิทธิภาพของโปรแกรมสำเร็จรูปขึ้นอยู่กับ สมรรถภาพของผู้ ใช้ โปรแกรมเป็นสำคัญ ตัวชี้วัด 1. สามารถใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อการเรียนรู้ได้ 2. สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ขอบข่ายเนื้อหา เรื่องที่ 1 การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 1. การใช้โปรแกรม Microsoft word 2. การใช้โปรแกรม Microsoft Office Excel 3. การใช้โปรแกรม Microsoft PowerPoint เรื่องที่ 2 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน เวลาที่ใช้ในการศึกษา 15 ชั่วโมง สื่อการเรียนการสอน หนังสือแบบเรียนวิชาการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต


142 เรื่องที่ 1 การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ความหมายของโปรแกรมสำเร็จรูป 1. ความหมายของโปรแกรมสำเร็จรูป 1.1 สุดารัตน์ เพ็งขุนทด (2564) ได้ให้ความหมายโปรแกรม หรือ ซอฟแวร์ หมายถึง ชุดของคำสั่งที่มีการจัดเรียงลำดับได้อย่างถูกต้อง ซึ่งสามารถทำงานและได้ผล ลัพธ์ตามที่ผู้ใช้โปรแกรมต้องการ นอกจากนี้ โปรแกรมจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. โปรแกรมที่ผู้ใช้เขียนขึ้นเอง (User's Written Program) เป็นโปรแกรมที่ผู้ใช้ เขียนสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ตามความต้องการ หรือ ตรงตามวัตถุประสงค์ และ เหมาะสมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ โดยใช้เทคนิคและความชำนาญของผู้เขียนโปรแกรมด้วย ภาษาคอมพิวเตอร์ ที่นิยมใช้ เช่น ภาษาเบสิก ภาษาซี เป็นต้น 2. โปรแกรมสำเร็จรูป (Package Program) เป็นโปรแกรมที่มีผู้เขียนได้เขียนไว้ เรียบร้อยแล้ว โปรแกรมสำเร็จรูปจะให้ความสะดวกในการใช้งานมาก โดยที่ผู้ใช้ไม่ จำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์มากนัก เพียงแต่เรียนรู้วิธีการใช้งาน ซึ่งส่วนมาก จะมีคำอธิบายการใช้โปรแกรมมาให้ และในขณะทำงานก็สามารถขอรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ตลอดเวลาในการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป 1.2 โปรแกรมสำเร็จรูป (Package Software) โปรแกรมสำเร็จรูป (Package Software) คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมประยุกต์ที่มี ผู้จัดทำไว้ เพื่อใช้ในการทำงานประเภทต่างๆ โดยที่ผู้ใช้คนอื่นๆ สามารถนำโปรแกรมไปใช้ กับข้อมูลของตนเองได้ แต่จะไม่สามารถทำการดัดแปลงหรือแก้ไขโปรแกรมภายในได้ ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเองทั้งหมด ซึ่งประหยัดเวลาและแรงงาน เพียงแต่มา เรียนรู้วิธีใช้เท่านั้น บางครั้งจะเรียกซอฟต์แวร์ประเภทนี้ว่า COTS : Commercial off the helf (http://202.143.168.214/uttvc/HardwareUtility/page2_2.html) ซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในสำนักงานทั่ว ๆ ไป สร้างโดยบริษัทที่มีความชำนาญ ในด้านนั้น ๆ โดยเฉพาะมีการปรับปรุงรุ่น (Version) ของซอฟต์แวร์ให้มีประสิทธิภาพสูง ขึ้นอยู่เสมอ โปรแกรมสำเร็จรูปสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้คือ 1. โปรแกรมประมวลผลคำ ใช้สำหรับพิมพ์เอกสารรายงานหรือสร้างตารางแบบ ต่าง ๆ


143 2. โปรแกรมตารางงาน ใช้สำหรับคำนวณ สร้างกราฟ และจัดการด้าน ฐานข้อมูล 3. โปรแกรมนำเสนอผลงาน ใช้ในการนำเสนอผลงานและนำเสนอข้อมูลในรู แปบบสไลด์ 4. โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล คือ โปรแกรมที่ทำหน้าที่ในการจัดการฐานข้อมูล 5. โปรแกรมเว็บเพจ ใช้ในการเขียนเว็บเพจเพื่อใช้งานในเว็บไซต์ของอินเทอร์เน็ต 6. โปรแกรมสื่อสารระยะไกล ใช้ในการติดต่อสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต 7. โปรแกรมเขียนแบบ ใช้ในการออกแบบและเขียนแบบด้านต่าง ๆ เช่น ชิ้นงาน อาคาร 8. โปรแกรมการฟิกส์ ใช้ในการสร้างและจัดการรูปภาพในคอมพิวเตอร์ 9. โปรแกรมเพื่อความบันเทิง ได้แก่ เกมส์ ภาพยนต์และเสียงเพลงต่าง ๆ องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 5 ส่วนด้วยกัน คือ โรงเรียนตากพิทยาคม (2564) ได้ให้ความหมาย ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง สิ่งที่มองเห็นและจับต้องสัมผัสได้ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่อง คอมพิวเตอร์ (Case) เมนบอร์ด (Mainboard) และอุปกรณ์ต่อพ่วงรอบข้าง (Peripheral) ที่เกี่ยวข้อง เช่น ฮาร์ดดิสก์ แป้นพิมพ์ เม้าส์ หน่วยประมวลผลกลาง จอภาพ เครื่องพิมพ์ และอุปกรณ์อื่น ๆ ฮาร์ดแวร์จะไม่สามารถทำงานด้วยตัวเองเดี่ยว ๆ ได้ จะต้อง นำมาต่อเชื่อมเพื่อทำงานร่วมกันเป็นระบบที่เรียกว่า "ระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System)" ที่มีโครงสร้างของระบบจะทำงานตามโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้น 2. โรงเรียนตากพิทยาคม (2564) ได้ให้ความหมาย ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึงโปรแกรม (Program) หรือชุดคำสั่งที่ควบคุมให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานให้ได้ผล ลัพธ์ตามที่ต้อง การ ซึ่งคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ที่ประกอบออกมาจากโรงงานจะยังไม่ สามารถทำงานได้ใน ทันที ต้องมีซอฟต์แวร์ซึ่งเป็นโปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่สั่งให้ฮาร์ดแวร์ ทำงานตาม ต้องการได้ โดยโปรแกรมหรือชุดคำสั่งนั้นจะเขียนจากภาษาต่าง ๆ ที่มนุษย์ สร้างขึ้น เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์ (Programming Language) ภาษาใดภาษาหนึ่ง และ


144 มีโปรแกรมเมอร์ (Programmer) หรือนักเขียนโปรแกรมเป็นผู้ใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ เหล่านั้นเขียนซอฟต์แวร์แบบ ต่าง ๆ ขึ้นมา ซอฟต์แวร์ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1) โรงเรียนตากพิทยาคม (2564) ได้ให้ความหมาย ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) เป็น ซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่จัดการและควบคุม ทรัพยากรต่าง ๆ ของ คอมพิวเตอร์ และอำนวยความสะดวกด้านเครื่องมือสำหรับการทำงานพื้นฐานต่าง ๆ ตั้งแต่ผู้ใช้เริ่มเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ การทำงานจะเป็นไปตามชุดคำสั่งที่เขียนขึ้น ตลอดจนควบคุมการสื่อสารข้อมูลในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 2) โรงเรียนตากพิทยาคม (2564) ได้ให้ความหมาย ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่สร้างหรือพัฒนาขึ้น เพื่อใช้งานด้านใดด้าน หนึ่งโดยเฉพาะตามที่ผู้ใช้ต้องการ เช่น งานด้านการจัดทำเอกสาร การทำบัญชี การจัดเก็บ ข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนงานด้านอื่น ๆ ตามแต่ผู้ใช้ต้องการ 3. โรงเรียนตากพิทยาคม (2564) ได้ให้ความหมาย ข้อมูล/สารสนเทศ (Data/Information) คือ ข้อมูลต่าง ๆ ที่เรานำมาให้คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผล คำนวณ หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้ได้มาเป็นผลลัพธ์ที่เราต้องการ ยกตัวอย่าง เช่น ข้อมูลบุคลากรเกี่ยวกับรายละเอียดประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษาหรือ ประวัติการ ทำงาน ซึ่งอาจนำมาจำแนกเป็นรายงานต่าง ๆ เกี่ยวกับบุคลากรในหน่วยงานได้ หรือข้อมูล เกี่ยวกับตัวเลขมาตรๆ ไฟฟ้าของบ้านแต่ละหลัง ก็ใช้สำหรับคำนวณเป็นปริมาณไฟฟ้า ที่ใช้ ในแต่ละเดือน แล้วคิดเป็นเงิน ที่จะต้องชำระให้กับการไฟฟ้าฯ 4. โรงเรียนตากพิทยาคม (2564) ได้ให้ความหมาย บุคคลากร (Peopleware) คือ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานต่าง ๆ และผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในหน่วยงานนั้น ๆ บุคลากรด้าน คอมพิวเตอร์นั้น มีความสำคัญมาก เพราะการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานต่าง ๆ นั้น จะต้องมีการจัดเตรียมเปลี่ยนระบบ จัดเตรียมโปรแกรมดำเนินการต่าง ๆ หลายอย่าง ซึ่ง ไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ ถ้าหากไม่ใช่ผู้ที่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์มากนัก เราจึงถือว่าบุคลากร เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของ ระบบคอมพิวเตอร์ด้วย ซึ่งสามารถสรุปเป็นประเภท ใหญ่ ๆได้ดังนี้


145 - เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ (Operator) - บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับระบบ (System) - ผู้จัดการศูนย์ประมวลผลคอมพิวเตอร์ (Electronic Data Processing Manager) - ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ (Computer user) 5. กระบวนการทำงาน (Documentation/Procedure) เป็นขั้นตอนการทำงาน เพื่อให้ได้ ผลลัพธ์หรือข้อสนเทศจากคอมพิวเตอร์ ในการทำงานกับคอมพิวเตอร์จำเป็นที่ จะต้องให้ผู้ใช้เข้าใจขั้นตอนการทำงาน ต้องมีระเบียบปฏิบัติให้เป็นแบบเดียวกัน มีการ จัดทำคู่มือการใช้คอมพิวเตอร์ให้ทุกคนเรียนรู้และใช้อ้างอิงได้นอกจาก นั้นเมื่อการใช้ มาตรฐาน ช่วยให้การประสานงาน ระหว่างหน่วยงานย่อย ๆ ราบรื่น การจัดซื้อจัดหา ตลอดจนการบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ และซอฟต์แวร์ก็จะง่ายขึ้นเพราะทุกหน่วยงาน ใช้มาตรฐานเดียวกันในบรรดาซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่มีใช้กันทั่วไป ซอฟต์แวร์สำเร็จ (package) เป็นซอฟต์แวร์ที่มีความนิยมใช้กันสูงมาก ซอฟต์แวร์สำเร็จเป็นซอฟต์แวร์ที่ บริษัทพัฒนาขึ้นแล้วนำออกจำหน่าย เพื่อให้ผู้ใช้งานซื้อไปใช้ได้โดยตรง ไม่ต้องเสียเวลาใน การพัฒนา ซอฟต์แวร์สำเร็จแล่งเป็น 5 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ซอฟต์แวร์ประมวลคำ (word processing software) ซอฟต์แวร์ตารางการทำงานspread sheet software) ซอฟต์แวร์ จัดการฐานข้อมูล (database mangement software) ซอฟต์แวร์นำเสนอ (presentation software) และซอฟต์แวร์สื่อสารข้อมูล (data communication software) ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปด้านงานกราฟฟิก เนื่องจากคอมพิวเตอร์กราฟิกเป็นงานที่สิ้นเปลืองเวลา ทั้งยังต้องใช้กำลังสมองและ กำลังกายเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้น เราจึงต้องพิจารณาว่าโปรแกรมกราฟิกที่จะนำมาใช้ งาน ควรจะเป็นโปรแกรมสำเร็จรูป หรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นเอง หรือใช้โปรแกรมทั้งสอง ชนิดร่วมกัน แนวทางการตัดสินใจเลือกใช้โปรแกรมกราฟิก อาจจะพิจารณาได้จากข้อมูล ต่าง ๆ (มณฑิกา ดวงเงา, 2564) ดังต่อไปนี้


146 1. โปรแกรมสำเร็จรูปสามารถใช้งานได้ทันที โดยเสียเวลาศึกษาวิธีการใช้โปรแกรม เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โปรแกรมสำเร็จรูปจึงเหมาะกับงานเร่งด่วน และใช้ในการศึกษาของผู้ เริ่มต้น 2. โปรแกรมสำเร็จรูปแต่ละโปรแกรม มีจุดมุ่งหมายของการใช้งานแตกต่างกัน เช่น บางโปรแกรมเน้นทางด้านการพิมพ์ภาพ บางโปรแกรมเน้นทางด้านการพิมพ์ตัวอักษร ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเลือกโปรแกรมมาใช้งานจึงต้องทำการศึกษาและอาจจะต้อง ทดลองใช้โปรแกรมนั้นดูก่อน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สิ้นเปลืองเวลา และถ้าเลือกโปรแกรมไม่ เหมาะสมก็จะยิ่งทำให้เสียทั้งเวลาและทรัพย์สินไปโดยเปล่าประโยชน์ 3. มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่โปรแกรมสำเร็จรูปเพียงโปรแกรมเดียว จะสามารถ ทำงานให้ตรงกับความต้องการของเราได้ครบถ้วน เช่น โปรแกรมจากต่างประเทศใช้สร้าง อักษรไทยไม่ได้ สร้างเสียงที่เราต้องการไม่ได้ จึงอาจจำเป็นจะต้องใช้โปรแกรมร่วมกันครั้ง ละหลายโปรแกรม กรณีมีปัญหาดังกล่าวนี้ การเขียนโปรแกรมขึ้นเองจึงเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ ดีที่สุด เพราะเราสามารถเขียนโปรแกรมให้ทำทุกอย่างได้ตามที่เราต้องการ 4. ในระยะยาว การใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทำให้สิ้นเปลืองมากกว่า เนื่องจากจะต้อง หาซื้อโปรแกรมรุ่นใหม่มาใช้แทนโปรแกรมรุ่นเก่าอยู่เสมอ โปรแกรมที่เปลี่ยนรุ่นเร็วจะมีผล ให้ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเร็วกว่าด้วย ต่างกับโปรแกรมที่เขียนขึ้นเองซึ่งเราสามารถ ปรับปรุงเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับความต้องการ และสมัยนิยมด้วยค่าใช้จ่ายต่ำกว่า 5. ผู้ผลิตโปรแกรมสำเร็จรูปมีฐานะเป็นผู้ขายหรือผู้รับเงิน ส่วนผู้ใช้โปรแกรม สำเร็จรูปมีฐานะเป็นผู้ซื้อหรือผู้จ่ายเงิน ถ้าผู้ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปไม่พยายามพัฒนาความรู้ ความสามารถก็คงต้องเป็นผู้ซื้อตลอดไป วิธีการที่เหมาะสมสำหรับระยะยาวก็คือผู้ใช้ โปรแกรมสำเร็จรูปในวันนี้ ควรจะพยายามศึกษาและสร้างโปรแกรมขึ้นใช้เองให้ได้ เพื่อให้ สามารถพึ่งตนเองได้ในวันข้างหน้า และอาจจะเปลี่ยนเป็นผู้ขายโปรแกรมสำเร็จรูปใน อนาคต 6. การเขียนโปรแกรมขึ้นใช้เอง ทำให้เราเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ และ ซอฟต์แวร์ของคอมพิวเตอร์ ที่ใช้งานด้านกราฟิกได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลให้เรามีความมั่นใจและ ภูมิใจในความรู้ความสามารถของตนเอง


147 ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปด้านงานเอกสาร (ที่มา : http://pampamlovemom95.blogspot.com/2018/03/5.html) การใช้โปรแกรม Microsoft word ในปัจจุบัน คุณสมบัติทั่วไปของโปรแกรมด้านเอกสาร ส่วนใหญ่จะมีคุณสมบัติที่ ช่วยให้สามารถใช้งานได้ง่ายกว่าเครื่องพิมพ์ดีดธรรมดา คุณสมบัติพื้นฐานต่าง ๆ ของ โปรแกรมประมวลผลคำรุ่นใหม่ จะประกอบด้วยเครื่องมือช่วยในการพิมพ์ เครื่องมือช่วย ในการแก้ไขข้อมูล การควบคุมการ แสดงตัวอักษรและการจัดรูปแบบหน้าเอกสาร การทำ จดหมายเวียนและจ่าหน้าซองจดหมาย เครื่องมือช่วยในการพิมพ์ของโปรแกรมด้านเอกสารนั้น ช่วยให้ผู้ใช้งานพิมพ์ ข้อความได้อย่างต่อเนื่องด้วยคุณสมบัติที่เรียกว่า การม้วนคำ (Word Wrap) ที่ช่วยแยก ข้อความขึ้นบรรทัดใหม่ เมื่อจบคำในแต่ละบรรทัดพอดีผู้ใช้สามารถพิมพ์ข้อความ โดยไม่ ต้องกังวลว่า ข้อความจะยาวกว่าเส้นขอบขวาของบรรทัดที่กำหนดไว้เมื่อพิมพ์ข้อความ เสร็จเรียบร้อย ก็สามารถบันทึกเก็บไว้ในรูปของแฟ้มข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่มีชื่อแฟ้มข้อมูล กำกับ โดยไม่จำเป็นต้องพิมพ์ซ้ำใหม่ทั้งหมด เครื่องมือช่วยในการแก้ไขข้อมูลของโปรแกรมด้านเอกสาร เช่น การพิมพ์เพิ่มเติม ที่เรียกว่า การแทรก (Insert) โดยโปรแกรมจะทำการร่นคำที่มีอยู่เดิมนั้น ให้เลื่อนไป ทางขวามือ เพื่อให้มีช่องว่าสำหรับคำใหม่ หรือ การเขียนทับ (Overwrite) ด้วยการพิมพ์ ข้อความใหม่ที่ถูกลงไป ทับแทนคำ หรือข้อความเดิมที่ผิด โดยไม่จำเป็นต้องลบคำเดิมออก ก่อน และยังมีเครื่องมือที่ช่วยในการค้นหา และแทนที่คำ เพื่อช่วยให้สามารถแก้ไข คำต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น ด้วยการไม่ต้องพิมพ์คำที่ผิดเหมือนกันใหม่ทุกครั้ง โปรแกรมก็จะทำ การค้นหา และแทนที่ให้อย่างอัตโนมัติ และครบทุกคำ


148 การควบคุมการแสดงตัวอักษร และการจัดรูปแบบหน้าเอกสารนั้น โปรแกรมด้าน เอกสารส่วนใหญ่ จะมีความสามารถในการจัดตัวอักษร และย่อหน้าได้อย่างสวยงาม อีกทั้ง กำหนดขนาดและรูปแบบตัวอักษรได้หลายรูปแบบ และยังมีชุดตัวอักษรให้เลือกหลาย รูปแบบ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ได้ตามความพอใจ และตามความเหมาะสมของเอกสาร ส่วนการจัดหน้าเอกสารนั้น โปรแกรมประมวลผลคำสามารถควบคุมการจัดวางหน้าใหม่ โดยอัติโนมัติทุกครั้ง ที่มีการแก้ไขเอกสาร เช่น การกำหนดให้ข้อความในบรรทัด เริ่มที่เส้น ขอบซ้ายตรงกัน หรือกำหนดให้ข้อความอยู่ตรงกลางของบรรทัด เป็นต้น เครื่องมือช่วยในการทำจดหมายเวียน และจ่าหน้าซองจดหมาย เครื่องมือนี้จะช่วย สร้างจดหมายหลักไว้1 ฉบับ พร้อมทั้งกำหนดตำแหน่ง ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงข้อมูล และ สร้างแฟ้มข้อมูล สำหรับบันทึกชื่อและที่อยู่ของผู้รับไว้ เมื่อสั่งพิมพ์จดหมายเวียนนั้น หรือ จ่าหน้าซองจดหมาย โปรแกรมจะนำข้อมูลมาใส่ในตำแหน่งที่กำหนด ไว้ให้อย่างอัตโนมัติ จนครบทุกคน ในปัจจุบัน โปรแกรมด้านเอกสารมีการพัฒนาไปอย่างมาก คือ มีเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยในการพิมพ์หรือสร้างเอกสารเป็นพิเศษ เช่น งานสร้างตาราง การจัดแบ่งข้อความ เป็นคอลัมน์ การตรวจสอบตัวสะกด การตรวจสอบไวยากรณ์ การแทรกรูปภาพลงใน เอกสาร การใช้งานร่วมกับโปรแกรมอื่น ๆ และความสามารถในการสร้างเว็บเพจ ดังนั้น โปรแกรมประมวลผลคำ จึงถูกนำมาใช้แทนการใช้เครื่องพิมพ์ดีด และสามารถใช้งาน เสมือนโรงพิมพ์ตั้งโต๊ะ การใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด (Microsoft Word) โปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด (Microsoft Word) เป็นโปรแกรมที่นิยมใช้ใน การพิมพ์เอกสารต่าง ๆ เช่น จดหมาย รายงาน ซึ่งมีคุณสมบัติในการสร้าง ตกแต่งสีและ จัดรูปแบบเอกสารให้สวยงาม และสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว การเรียกใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด มีขั้นตอนปฏิบัติดังนี้ 1. คลิกปุ่ม Start ไปที่ Programs 2. คลิกเมาส์เพื่อเลือก Microsoft Word จะปรากฏหน้าต่างของ Microsoft Word


149 การใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด เพื่อพิมพ์เอกสาร สามารถปฏิบัติดังนี้ 1. เลือกแบบตัวอักษร และขนาดตัวอักษรที่ต้องการ 2. พิมพ์ข้อความตามต้องการ 3. การแก้ไขข้อความ ถ้าต้องการแก้ไขข้อความก็สามารถทำได้ ดังนี้ - เลื่อนเมาส์มาในหน้าเอกสาร เคอร์เซอร์ (Cursor) จะเปลี่ยนเป็น I (Ibeam) - นำเคอร์เซอร์ไปคลิกตรงข้อความที่ต้องการแก้ไข และทำการแก้ไข ดังนี้การแทรกข้อความ (สุวรรณ ปิ่นทอง, 2564) มีขั้นตอนดังนี้ 1) ใช้เมาส์คลิกตำแหน่งที่ต้องการแทรก 2) พิมพ์ข้อความที่ต้องการแทรกลงไป การลบตัวอักษรและข้อความ มีขั้นตอนดังนี้ 1) ลบตัวอักษรทีละตัว ทำได้โดยคลิกให้เครื่องหมายเคอร์เซอร์อยู่หลัง อักษร แล้วกดปุ่ม Backspace 2) ลบข้อความยาว ๆ ให้คลิกเมาส์ด้านซ้ายค้างไว้ แล้วลากไปที่ข้อความ ที่ต้องการลบให้เป็นแถบสีดำ แล้วกดปุ่ม Enter หรือ Delete การพิมพ์เอกสารในกระดาษ มีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้ 1) คลิกที่เมนู File เลือกคำสั่งพิมพ์ จะปรากฏหน้าต่างการพิมพ์ขึ้น 2) กำหนดเครื่องพิมพ์ที่ใช้ 3) เลือกส่วนของระยะหน้า เช่น - พิมพ์ทั้งหมด เครื่องจะพิมพ์ทุกหน้าที่อยู่ในแฟ้ม - หน้าปัจจุบัน เครื่องจะพิมพ์หน้าที่มีเครื่องหมายเคอร์เซอร์อยู่ - หน้า ให้ระบุหน้าที่จะพิมพ์ เช่น 1-5, 8-10 4) เลือกจำนวนชุด ตอบเป็นชุด แล้วคลิกปุ่มตกลง การจัดเก็บเอกสาร มีขั้นตอนดังนี้ 1) เลือกเมนู File แล้วคลิกที่ Save หรือ Save As จะปรากฏหน้าต่าง Save As ขึ้น 2) เลือกที่สำหรับจัดเก็บ 3) ตั้งชื่อไฟล์ 4) คลิก Save


150 การปิดเอกสารและออกจากโปรแกรม 1) ถ้าปิดเอกสาร ถ้าต้องการปิดเอกสารให้กดปุ่ม X ที่อยู่มุมขวาของ เอกสารนั้น ถ้าเอกสารนั้นยังไม่ได้ Save จะมีหน้าต่างขึ้นมาถามว่าต้องการ Save หรือไม่ ถ้าต้องการให้คลิกที่ใช่ (Yes) ถ้าไม่ต้องการให้คลิกที่ไม่ใช้ (No) แต่ถ้าต้องการ ยกเลิกการปิดเอกสารให้คลิกที่ ยกเลิก (Cancel) 2) การออกจากโปรแกรม มีขั้นตอนดังนี้ (1) คลิกที่เมนู File (2) เลือกที่ Exit หรือคลิกที่ปุ่ม X ที่มุมขวาของโปรแกรม ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปด้านงานตารางการทำงาน (ที่มา : http://pampamlovemom95.blogspot.com/2018/03/5.html) การใช้โปรแกรม Microsoft Office Excel ความหมายและความสำคัญของโปรแกรม Microsoft Excel โปรแกรม Microsoft Excel 2010 เป็นหนึ่งในชุดโปรแกรม Microsoft office และเป็นโปรแกรมที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ผลิตโดยบริษัทไมโครซอฟท์ ฯ (Microsoft) ซึ่งเป็นโปรแกรมที่เกี่ยวกับการคำนวณด้านตัวเลข โดยมีพื้นฐานมาจาก โปรแกรม Lotus คือ แบ่งออกเป็นแถวและคอลัมน์ แต่อย่างไรก็ตาม โปรแกรม Microsoft Excel มีประสิทธิภาพและความสามารถมากกว่า เพราะมีการพัฒนามาโดยตลอด และมี เครื่องมืออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้มากมาย


151 ความหมายของโปรแกรม Microsoft Excel นายสหรัถ ภูมิเพ็ง (2564) ได้ให้ความหมาย โปรแกรม Microsoft Excel เป็น โปรแกรมตารางงาน หรือโปรแกรมประเภท สเปรตชีต (Spread Sheet) ซึ่งก็คือ โปรแกรมสำเร็จรูปที่มีความสามารถในการคำนวณตัวเลขโดยเฉพาะและจะให้ผลลัพธ์ที่ ถูกต้อง รวดเร็ว และแม่นยำ โดยการสร้างตารางและคำนวณสูตรที่ใช้ในการคำนวณไว้ ก่อน แล้วจึงป้อนข้อมูลลงไป สามารถกำหนดผลลัพธ์ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ เช่นตัวเลข หรือ กราฟ และยังสามารถแก้ไขเพิ่มเติมและจัดรูปแบบของข้อมูลได้อีกด้วย ความสำคัญของโปรแกรม Microsoft Excel นายสหรัถ ภูมิเพ็ง (2564) ความสำคัญของโปรแกรม Microsoft Excel คือ เป็นโปรแกรมที่เหมาะกับงานการคิดคำนวณได้หลากหลาย และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ ในการทำงานต่าง ๆ ได้อย่างมาก เช่น การฝาก หรือถอนเงิน การกู้เงิน การจัดทำบัญชี และงบการเงิน การวิเคราะห์ทางการเงิน หรือวิจัยตลาดการคำนวณค่าทางสถิติที่ใช้ทำ ผลงานทางวิชาการ การคำนวณคะแนน หรือผลการเรียนของนักเรียนนักศึกษา เป็นต้น คุณสมบัติของโปรแกรม Microsoft Excel 1. สร้างและแสดงรายงานของข้อมูล ตัวอักษร และตัวเลข โดยมี ความสามารถในการ จัดรูปแบบให้สวยงามน่าอ่าน เช่น การกำหนดสีพื้น การใส่แรเงา การ กำหนดลักษณะและสีของ เส้นตาราง การจัดวางตำแหน่งของตัวอักษร การกำหนดรูปแบบ และสีตัวอักษร เป็นต้น 2. อำนวยความสะดวกในด้านการคำนวณต่าง ๆ เช่น การบวก ลบ คูณ หาร ตัวเลข และยังมีฟังก์ชั่นที่ใช้ในการคำนวณอีกมากมาย เข่น การหาผลรวมของตัวเลข จำนวนมาก การหา ค่าทางสถิติและการเงิน การหาผลลัพธ์ของโจทย์ทางคณิตศาสตร์ เป็น ต้น 3. สร้างแผนภูมิ (Chart) ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อใช้ในการแสดงและการ เปรียบเทียบ ข้อมูลได้หลายรูปแบบ เช่น แผนภูมิคอลัมน์ แผนภูมิเส้น แผนภูมิวงกลม ฯลฯ 4. มีระบบขอความช่วยเหลือ (Help) ที่จะคอยช่วยให้คำแนะนำ ช่วยให้ผู้ใช้


152 สามารถ ทำงานได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เช่น หากเกิดปัญหาเกี่ยวกับการใช้งาน โปรแกรม หรือสงสัย เกี่ยวกับวิธีการใช้งาน แทนที่จะต้องเปิดหาในหนังสือคู่มือการใช้งาน ของโปรแกรม ก็สามารถขอ ความช่วยเหลือจากโปรแกรมได้ทันที 5. มีความสามารถในการค้นหาและแทนที่ข้อมูล โดยโปรแกรมจะต้องมี ความสามารถในการค้นหาและแทนที่ข้อมูล เพื่อทำการแก้ไขหรือทำการแทนที่ข้อมูลได้ สะดวก และรวดเร็ว 6. มีความสามารถในการจัดเรียงลำดับข้อมูล โดยเรียงแบบตามลำดับ จาก A ไป Z หรือจาก 1 ไป 100 และเรียงย้อนกลับจาก Z ไปหา A หรือจาก 100 ไป หา 1 7. มีความสามารถในการจัดการข้อมูลและฐานข้อมูล ซึ่งเป็นกลุ่มของข้อมูล ข่าวสาร ที่ถูกรวบรวมเข้าไว้ด้วยกันในตารางที่อยู่ใน Worksheet ลักษณะของการเก็บ ข้อมูลเพื่อใช้เป็น ฐานข้อมูลมนโปรแกรมตารางงานจะเก็บข้อมูลในรูปแบบของตาราง โดย แต่ละแถวของรายการจะ เป็นระเบียนหรือเรคอร์ด (Record) และคอลัมน์จะเป็นฟิลด์ (Field) การเรียกใช้โปรแกรม Excel 2.1 เริ่มต้นการใช้งานโปรแกรม Microsoft Excel 2010 1. คลิกปุ่ม Start 2. เลือก All Programs 3. เลือก Microsoft Office 4. เลือก Microsoft Office Excel (ที่มา : http://pampamlovemom95.blogspot.com/2018/03/5.html)


153 2.2 การปิดโปรแกรม Microsoft Excel วิธีที. 1 คลิก แฟ้ม > จบการทำงาน วิธีที. 2 คลิก จบการทำงาน (ที่มา : http://pampamlovemom95.blogspot.com/2018/03/5.html) 2.3 การบันทึกงานโปรแกรมไมโครซอฟเอ็กเซล วิธีที. 1 คลิก แฟ้ม > บันทึก (หรือ บันทึกเป็น เพื่อเราไม่ต้องการเซฟทับไฟล์งาน เดิม) > พิมพ์ชื่อ > คลิก บันทึก วิธีที. 2 กดปุ่มที่แป้นพิมพ์ Ctrl + S (ที่มา : http://pampamlovemom95.blogspot.com/2018/03/5.html)


154 ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปด้านการนำเสนอ (ที่มา : http://pampamlovemom95.blogspot.com/2018/03/5.html) การใช้โปรแกรม Microsoft PowerPoint การใช้งาน Microsoft Power Point เบื้องต้น การใช้งาน Microsoft Power Point ซึ่งเป็นโปรแกรมoffice ที่ใช้กันโดยทั่วไป และต้องมีประจำเครื่องคอมพิวเตอร์หรือ โน้ตบุ๊ก ซึ่งโปรแกรมนี้จะเป็นการใช้งานใน รูปแบบการนำเสนองานหรือการทำโชว์ผลงานที่ต้องการให้ผู้อื่นรับทราบซึ่งจะเป็นการง่าย ต่อการเข้าใจและมีลูกเล่นสีสันที่เราสามารถปรับแต่งให้เข้ากับตัวเราหรือปรับแต่งให้เป็นที่ หน้าสนใจต่อผู้พบเห็น Microsoft Power point ได้มีการพัฒนาโปรแกรมหรือรูปแบบที่ให้ง่ายต่อการใช้ งานของผู้ใช้มากขึ้นแต่ในบ้างครั้งในการปรับแต่งรูปแบบนั้นการทำให้ผู้ใช้ไม่เข้าใจหรือหา เครื่องมือยากขึ้นเพราะยังยึดติดกับรูปแบบเดิม ๆ ที่ใช้กันอยู่ คือ Microsoft Power point 2003 แต่ Microsoft Power point ได้มีการพัฒนาขึ้นมาใหม่คือ Microsoft Power point 2007 ได้มีการพัฒนาให้ผู้ใช้ได้ใช้งานได้ง่ายขึ้งและมีรูปแบบที่สวยงานมาก กว่าเดิม แต่ทั้งนี้จากที่ได้ยินเสียงตอบรับมามากจากผู้ใช้ก็คือ หาเครื่องมือไม่เจอ ไม่เข้าใจ กับรูปแบบ ใช้งานยากกว่า Microsoft Power point 2003 ซึ่งในส่วนของนี้เป็นเพียงกลุ่ม บุคคลบางส่วนที่ยังยึดติดกับรูปแบบเดิมของ Microsoft Power point2003 แต่ก็มีบาง สวนที่ยอมรับและคิดว่า Microsoft Power point 2007 มีรูปแบบที่ใช้ง่ายและหา


155 เครื่องมือเร็วกว่าเดิม มีสีสันที่สวยงามกว่าซึ่งตรงนี้จึงได้เร็งเห็นในส่วนนี้จึงได้จัดทำรูปแบบ การใช้งานเบื่องต้นขึ้นเพื่อให้คนที่สนใจและได้ศึกษาเบื่องต้น (สุรศักดิ์ ศรกล้า, 2564) เรียกใช้โปรแกรม PowerPoint คลิกปุ่ม Start จากนั้นเลือก Program แล้วเลือกตัวเลือกMicrosoft PowerPoint หรือเลือกจาก Short Cut ที่สร้างไว้ดังรูป (ที่มา : http://pampamlovemom95.blogspot.com/2018/03/5.html) มุมมองต่าง ๆ ของสไลด์ มุมมองแบบ Normal View เป็นมุมมองที่จะสามารถมองเห็นรายละเอียดของแต่ละสไลด์3 ส่วนด้วยกันคือ หัวข้อของแต่ละสไลด์,สไลด์, และส่วนสุดท้ายคือส่วนของคำอธิบายของสไลด์นั้น ๆ (ที่มา : http://pampamlovemom95.blogspot.com/2018/03/5.html) มุมมองแบบ Slide Sorter Viewเป็นมุมมองที่สามารถเห็นได้พร้อมกันมากกว่า 1 สไลด์ซึ่ง มุมมองแบบนี้เหมาะสำหรับการย้ายสลับตำแหน่งของแต่ละสไลด์ก๊อบปี้สไลด์หรือ แม้กระทั่งการลบสไลด์ก็สามารถใช้มุมมองนี้ได้เช่นกัน


156 รูปแบบเมนูบาร์ 1. Menu bar >Home (ที่มา : http://pampamlovemom95.blogspot.com/2018/03/5.html) 1. ใช้สำหรับคัดลอก จัดว่าง ตัด สั่งที่นำเข้ามาหรือไม่ต้องการให้อยู่บนงาน 2. ใช้สำหรับเลือกแบบการใช้งาน เพิ่มหน้าสไลด์ ลบหน้าสไลด์ หรือเรียกกลับ 3. ใช้สำหรับจัดรูปแบบตัวอักษรที่เขียน ซึ่งจะเหมือนกับเครื่องมือใน Microsoft Word 4. ใช้สำหรับจัดตำแหน่ง ใส่หัวข้อ ทิศทางข้อความ รวมทั้งใส่รูปแบบโครงสร้าง หรือผังงาน 5. ใช้สำหรับใส่สัญลักษณ์ ตำแหน่ง สีพื้นหลังขอความ ใส่กลอบข้อความและ ลักษณะของกลอบข้อความ 6. ใช้สำหรับเชื่อมข้อความตัวอักษร 2. Menu bar > Insert (ที่มา : http://pampamlovemom95.blogspot.com/2018/03/5.html) 1. ใช้สำหรับสร้างตาราง 2. ใช้สำหรับใส่รูปภาพ สัญลักษณ์ ลักษณะ แผนภูมิ 3. ใช้สำหรับเชื่อมโยง ข้อความ รูปภาพ หรือเชื่อมไปยังหน้าเว็บไซน์ 4. ใช้สำหรับใส่ข้อความศิลป์ กล่องข้อความ ตารางเวลา 5. ใช้สำหรับใส่เสียง วีดีโอ 3. Menu bar >Desiw (ที่มา : http://pampamlovemom95.blogspot.com/2018/03/5.html)


157 1. การตั่งค่าหน้ากระดาษและการปรับหน้าต่างแนวตั่งและแนวนอน 2. การตั่งค่ารูปแบบและลักษณะของรูปแบบต่าง ๆ เช่น สีสัน สีพื้นหลัง 3. การตั่งค่าสีของรูปแบบที่เลือก สีตัวอักษร สีของพื้นผิว 4. การเปลี่ยนสีพื้นหลัง 4. Menu bar >Design (ที่มา : http://pampamlovemom95.blogspot.com/2018/03/5.html) 1. ใช้สำหรับแสดงส่วนที่เราได้ตั่งค่าไว้ 2. ใช้สำหรับตั่งค่าการเคลื่อนไหวของรูปภาพหรือข้อความ 3. ใช้สำหรับการเปลี่ยนหน้าสไลด์โชว์และตั่งค่าว่าเวลา ความเร็วในการเปลี่ยนหน้า ใส่เสียงเวลาเปลี่ยนหน้า 5. Menu bar >Slide show (ที่มา : http://pampamlovemom95.blogspot.com/2018/03/5.html) 1. ใช้สำหรับโชว์สไลด์ ในส่วนที่ต้องการให้แสดง 2. ใช้สำหรับกำหนดค่า ซ่อนหน้า กำหนดเวลา 3. ใช้สำหรับกำหนดขนาดของการแสดงสไลด์โชว์ 6. Menu bar >Review (ที่มา : http://pampamlovemom95.blogspot.com/2018/03/5.html) 1. ใช้สำหรับตรวจสอบตัวอักษรที่เราใช้ 2. ใช้สำหรับทำกระดาษโน้ต ใส่ในหน้าสไลด์


158 7. Menu bar >View (ที่มา : http://pampamlovemom95.blogspot.com/2018/03/5.html) 1. ใช้สำหรับดูมุมมองต่าง ๆ ของ ของหน้าต่างการทำงาน 2. ใช้สำหรับแสดงไม่บรรทัด และ เส้นแบ่งหน้ากระดาษเพื่อให้ง่ายต่อการจัดระยะ 3. ใช้สำหรับการขยายหน้ากระดาษหรือมองเต็มกระดาษเต็มหน้า 4. ใช้สำหรับการตั้งค่าสีของการทำงานว่าจะให้เป็นสีหรือขาวดำ 5. ใช้สำหรับการเปิดหน้าต่างใหม่ในไฟล์งานเดียวกันและสามารถลิ้งค์งานเข้าหากันได้ 6. ใช้สำหรับจัดหน้าต่างงานที่เปิดขึ้นมาให้เป็นระเบียบ ส่วนที่เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำงาน ซึ่งในส่วนของตรงนี้เป็นคล้ายกับรูปแบบของ Microsoft Power point 2003 แต่ สำหรับ Microsoft Power point 2007จะโชว์การทำงานขึ้นมาให้เราเลือกเลยโดยที่เรา ไม่ต้องไปค้นหารูปแบบที่เราต้องการ ซึ่งจะทำให้ง่ายและรวดเร็วกว่าแต่รูปแบบก็ไม่ต่างกัน มากนัก ทั้งรูปแบบการ save การสั่ง Print (ที่มา : http://pampamlovemom95.blogspot.com/2018/03/5.html)


159 เรื่องที่ 2 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน ความหมายและความสำคัญในการนำ ICT มาใช้ในการเรียนรู้ โดยความเป็นจริงแล้ว ครูเราใช้ ICT จัดการเรียนการสอนมานานแล้ว เพียงแต่ยัง ใช้รูปแบบเดิม ซึ่งหากมีการพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การรวบรวมการ จัดเก็บข้อมูล การประมวลผล การพิมพ์ การสร้างงาน การสื่อสารข้อมูล ฯลฯ ซึ่งรวมไปถึง การให้บริการ การใช้ และการดูแลข้อมูล จะทำให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ มากขึ้น นักเรียนสามารถค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งความรู้ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น Akravit (2564) ได้ให้ความหมาย ICT หมายถึง การนำเทคโนโลยีดิจิตอล เครื่องมือสื่อสาร หรือเครือค่ายคอมพิวเตอร์ มาใช้ในการเข้าถึง จัดการ บูรณาการ ประเมินผล และสร้างข้อมูล เป้าหมายของการใช้ ICT เพื่อการเรียนรู้ – เป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มผลงาน และการติดต่อสื่อสาร – ความร่วมมือของนักเรียน โดยการวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกัน – บริหารจัดการข้อมูล โดยการค้นคว้าข้อมูล – ความร่วมมือของครู โดยครูทำงานร่วมกันเอง ทำงานร่วมกับนักเรียน และเพื่อน ภายนอกโรงเรียน – ความร่วมมือระหว่างโรงเรียน โดยนักเรียนทำงานร่วมกับผู้อื่นที่อยู่นอกโรงเรียน – การสร้างงาน โดยการจัดทำชิ้นงาน การเผยแพร่ผลงาน – ช่วยบททวนบทเรียน โดยซอร์ฟแวร์เสริมการเรียน ICT จะมีความสำคัญ ก็ต่อเมื่อ – ถูกใช้เป็นเครื่องมือแก้ปัญหา และพัฒนาความคิดวิเคราะห์ – ใช้ในการสร้างกลยุทธ์ เพื่อไขปัญหาที่ซับซ้อน และพัฒนาความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง สำหรับเรื่องที่สนใจ ประโยชน์จากการนำระบบ ICT มาประยุกต์ใช้ พอสรุปได้ดังนี้ ความสะดวกรวดเร็วในระหว่างการดำเนินงาน 1. ลดปริมาณผู้ดำเนินงานและประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงได้อีกทางหนึ่ง 2. ระบบการปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีระเบียบมากขึ้นกว่าเดิม


160 3. ลดข้อผิดพลาดของเอกสารในระหว่างการดำเนินการได้ 4. สร้างความโปร่งใสให้กับหน่วยงานหรือองค์กรได้ 5. ลดปริมาณเอกสารในระหว่างการดำเนินงานได้มาก (กระดาษ) 6. ลดขั้นตอนในระหว่างการดำเนินการได้มาก 7. ประหยัดเนื้อที่จัดเก็บเอกสาร (กระดาษ) เทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทต่อการศึกษาอย่างมาก โดยเฉพาะ เทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์และการสื่อสารโทรคมนาคมมีบทบาทที่สำคัญต่อการ พัฒนาการศึกษา Akravit (2564) ดังนี้ 1. เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีส่วนช่วยเรื่องการเรียนรู้ ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ช่วย สนับสนุนการเรียนรู้หลายด้านมีระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ระบบสนับสนุนการรับรู้ ข่าวสาร เช่น การค้นหาข้อมูลข่าวสารเพื่อการเรียนรู้ใน World Wide Web 2. เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาสนับสนุนการจัดการศึกษาโดยเฉพาะการจัด การศึกษาสมัยใหม่จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารเพื่อการวางแผน การดำเนินการ การ ติดตามและประเมินผลซึ่งอาศัยคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารโทรคมนาคมเข้ามามี บทบาทที่สำคัญ 3. เทคโนโลยีสารสนเทศกับการสื่อสารระหว่างบุคคล ในเกือบทุกวงการทั้ง ทางด้านการศึกษาจำเป็นต้องอาศัยสื่อสัมพันธ์ระหว่างตัวบุคคล เช่น การสื่อสารระหว่าง ผู้สอนกับผู้เรียน โดยใช้องค์ประกอบที่สำคัญช่วยสนับสนุนให้เกิดประสิทธิภาพในการ ดำเนินงาน เช่น การใช้โทรศัพท์ โทรสาร ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เทเลคอมเฟอเรนซ์ เป็น ต้น 4. พัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยเกิดการศึกษาในรูปแบบใหม่ กระตุ้นความสนใจ แก่ผู้เรียน โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อในการสอน (Computer-Assisted Instruction : CAI) และการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์ (Computer-Assisted Learning : CAL) ทำให้ ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในบทเรียนมากยิ่งขึ้น ไม่ซ้ำซากจำเจผู้เรียนสามารถเรียนรู้สิ่ง ต่าง ๆ ได้ด้วยระบบที่เป็นมัลติมีเดีย นอกจากนั้นยังมีบทบาทต่อการนำมาใช้ในการสอน ทางไกล (Distance Learning) เพื่อผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษาในชนบทที่ห่างไกล


161 เทคโนโลยีกับการเรียนการสอน (ที่มา : https://docs.google.com/document/preview?hgd=1&id=1RIdUQmDotqIkLTo45DCaNZR k-qugbxxgJsOfJGEW1ok) เทคโนโลยีจะเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน 3 ลักษณะ คือ 1. การเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี (Learning about Technology) ได้แก่เรียนรู้ ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ เรียนรู้จนสามารถใช้ระบบคอมพิวเตอร์ได้ ทำระบบ ข้อมูลสารสนเทศเป็น สื่อสารข้อมูลทางไกลผ่าน Email และ Internet ได้ เป็นต้น 2. การเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยี (Learning by Technology) ได้แก่การเรียนรู้ ความรู้ใหม่ ๆ และฝึกความสามารถ ทักษะ บางประการโดยใช้สื่อเทคโนโลยี เช่น ใช้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ทางโทรทัศน์ที่ส่งผ่านดาวเทียม การ ค้นคว้าเรื่องที่สนใจผ่าน Internet เป็นต้น 3. การเรียนรู้กับเทคโนโลยี (Learning with Technology) ได้แก่การเรียนรู้ด้วย ระบบการสื่อสาร 2 ทาง กับเทคโนโลยี เช่น การฝึกทักษะภาษากับโปรแกรมที่ให้ข้อมูล ย้อนกลับถึงความถูกต้อง (Feedback) การฝึกการแก้ปัญหากับสถานการณ์จำลอง เป็นต้น แนวคิดในการเพิ่มคุณค่าของเทคโนโลยีช่วยการเรียนรู้ 1. การใช้เทคโนโลยีพัฒนากระบวนการทางปัญญา ระบบคอมพิวเตอร์ที่จะช่วย พัฒนาผู้เรียนให้มีความฉลาดในกระบวนการทางปัญญา โดยครูอาจจัดข้อมูลในเรื่องต่าง ๆ ในวิชาที่สอน ให้ผู้เรียนฝึกรับรู้ แสวงหาข้อมูล นำมาวิเคราะห์กำหนดเป็นความคิดรวบ ยอดและใช้คอมพิวเตอร์ช่วยแสดงแผนผังความคิดรวบยอด (Concept Map) โยงเป็น กฎเกณฑ์ หลักการ ซึ่งผู้สอนสามารถจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนฝึกการนำกฎเกณฑ์ หลักการ


162 ไปประยุกต์ จนสรุปเป็นองค์ความรู้อย่างมีเหตุผล บันทึกสะสมไว้เป็นคลังความรู้ของ ผู้เรียนต่อไป 2. การใช้เทคโนโลยีพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน เป็นศูนย์กลางสามารถออกแบบแผนการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีโอกาสทำโครงงาน แสวงหาความรู้ตามหลักสูตรเพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ลักษณะนี้จะเริ่มต้นด้วยการกำหนด ประเด็นเรื่อง ตามมาด้วยการวางแผนกำหนดข้อมูลหรือสาระที่ต้องการ ผู้สอนอาจจัดบัญชี แสดงแหล่งข้อมูล ทั้งจากเอกสารสิ่งพิมพ์และจาก Electronic Sources เช่น ชื่อของ Web ต่าง ๆ ให้ผู้เรียนแสวงหาข้อมูล วิเคราะห์ สังเคราะห์ เป็นคำตอบ สร้างเป็นองค์ ความรู้ต่าง ๆ โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือช่วย และครูช่วยกำกับผลการเรียนรู้ให้เป็นไป ตามมาตรฐานคุณภาพที่ต้องการ การจัดปัจจัยสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีช่วยการเรียนรู้ ปัจจัยพื้นฐานคือการสร้างความพร้อมของเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มีสมรรถนะ และจำนวนเพียงต่อการใช้งานของผู้เรียน รวมถึงการอำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนสามารถ ใช้เทคโนโลยีได้ตลอดเวลาจะเป็นปัจจัยเบื้องต้นของการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อการ เรียนรู้ สิ่งที่ควรเป็นปัจจัยเพิ่มเติมคือ 1. ครูสร้างโอกาสในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ การที่ครูออกแบบ กระบวนการเรียนรู้ให้เอื้อต่อการทำกิจกรรมประกอบการเรียนรู้ เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้ กระบวนการแสวงหาความรู้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ทั้งจากการสังเกตในสถานการณ์จริง การทดลอง การค้นคว้าจากสื่อสิ่งพิมพ์และจากสื่อ Electronic 2. ครูและผู้เรียนจัดทำระบบแหล่งข้อมูลสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ ปัจจัยด้าน แหล่งข้อมูลสารสนเทศ (Information Sources) เป็นตัวเสริมที่สำคัญที่ช่วยเพิ่มคุณค่า ของระบบเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน ครูและผู้เรียนควรช่วยกันแสวงหาแหล่งข้อมูล สารสนเทศที่มีเนื้อหาสาระตรงกับหลักสูตรหรือสนองความสนใจของผู้เรียน 3. สถานศึกษาจัดศูนย์ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ ศูนย์ข้อมูลสารสนเทศ เพื่อการเรียนรู้ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ของครูและผู้เรียน เรียกว่าห้องสมุด เสมือน (Virtual Library) หรือ E – Library จะมีคุณประโยชน์ในการมีแหล่งข้อมูล สารสนเทศเพื่อการศึกษาค้นคว้าในวิทยาการสาขาต่าง ๆ 4. การบริการของกรมหรือหน่วยงานกลางทางเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ กรมต้น สังกัดหรือหน่วยงานกลางด้านเทคโนโลยีควรส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีของสถานศึกษาด้วย การบริการด้านข้อมูลสารสนเทศ (บริษัท โปรซอฟท์ เอชซีเอ็ม จำกัด, 2564)


163 รูปแบบการใช้ ICT เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และการแข่งขันการพัฒนาทางด้าน ซอฟต์แวร์ ในปัจจุบัน ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ นำคอมพิวเตอร์มาใช้ในด้านการศึกษากัน มาก การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน(Computer Assisted Instruction) มีบทบาทและมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีรูปแบบการใช้ ICT ดังนี้ 1. จัดการเรียนรู้“ตลอดเวลา” (Anytime) เวลาใดก็สามารถเรียนรู้ได้ ระยะ แรกเริ่มให้นักเรียนสามารถใช้ Computer สืบค้นหาความรู้จากห้องสมุด ซึ่งมีเครื่อง คอมพิวเตอร์ให้บริการระบบ Internet 2. เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้“ทุกหนแห่ง” (Anywhere) นักเรียนสามารถเรียนรู้ ร่วมกันจากสื่อต่าง ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ วีดิทัศน์ โทรทัศน์ CAI และอื่น ๆ 3. การให้ทุกคน (Anyone) ได้เรียนรู้พัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพของตน ตั้งแต่ ระดับอนุบาลเป็นต้นไป การใช้ ICT เพื่อการเรียนรู้ การเรียนรู้ในปัจจุบันแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหมายความว่า ผู้เรียนมี โอกาส มีอิสระในการเรียนรู้ด้วยตนเอง สร้างองค์ความรู้ สร้างทักษะด้วยตนเอง ครูเปลี่ยน บทบาทจากผู้สอนมาเป็น ผู้ให้คำแนะนำ นอกจากนี้ทั้งครูและศิษย์สามารถเรียนรู้ไปพร้อม กันได้ การจัดการเรียนที่โรงเรียนดำเนินการได้ในขณะนี้ 1. การสอนโดยใช้สื่อ CAI ช่วยสอนให้เกิดการเรียนรู้ตามความสนใจ เช่น วิชา คณิตศาสตร์ วิชาภาษาไทย วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาสังคม หรือ สปช. วิชาภาษาอังกฤษ 2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักสืบค้นวิทยาการใหม่ ๆ จากอินเทอร์เน็ต จาก E-book จาก E-Library 3. ส่งเสริมการเรียนรู้และสร้างเจตคติที่ดีในการเรียนและการค้นคว้าหาความรู้ โดยกำหนดให้ผู้เรียนได้เล่นเกมการศึกษา (Education Games ) ที่ผ่านการวิเคราะห์ของ ครูผู้รับผิดชอบว่าไม่เป็นพิษภัยต่อผู้เล่น และเป็นการสร้างเสริมความคิดสร้างสรรค์ที่ดี ให้กับเด็ก 4. ใช้แผนการสอนแบบ ICT บูรณาการเรียนรู้ในสาระวิชาต่าง ๆ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และ คอมพิวเตอร์ 5. จัดระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการเรียนรู้ 6. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดระบบและเผยแพร่ความรู้ 7. จัดระบบข้อมูลสารสนเทศแหล่งเรียนรู้ภายในโรงเรียน และภูมิปัญญาชุมชน ท้องถิ่น 8. พัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ในการจัดการเรียนรู้ของผู้สอน


164 หลักการ แนวปฏิบัติในการจัดการเรียนการสอนด้วย ICT และโปรแกรมปฏิบัติการ คอมพิวเตอร์ หลักการสอนด้วย ICT และโปรแกรมปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ เลือกใช้โปรแกรม (Soft ware) ที่เหมาะสมกับวิชา ออกแบบการสอน (Instructional Design) โดยใช้โปรแกรมทั้งหมด หรือ บางส่วน เพื่อมุ่งสู่ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังหรือวัตถุประสงค์ตามแผนการสอนผสมผสาน โปรแกรมกับหลักการ แนวคิดทฤษฏีการสอนโดยทั่วไปที่จะช่วยให้การเรียนการสอนมี ชีวิตชีวา (Active Learning) ทั้งในและนอกห้องเรียน ก่อให้เกิดการเรียนรู้เร็ว รู้จริง รู้แจ้ง เชื่อมโยงกับความรู้เดิม และนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ การใช้ ICT และโปรแกรม ปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ในกลุ่มสาระ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ภาษาอังกฤษ มีโปรแกรม ที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน(โรงเรียนในฝัน) ดังนี้ Sketchpad Graphic Calculator Visual lab ProDesktop PhotoShop Namo Dreamweaver Swish GSP Crocodile Java Applete Flash Tell Me More ข้อดีของ ICT 1. เอื้ออำนวยให้กับการติดต่อสื่อสารที่รวดเร็ว ไม่จำกัดเวลาและสถานที่ รวมทั้ง บุคคล 2. ผู้เรียนและผู้สอนไม่ต้องการเรียนและสอนในเวลาเดียวกัน 3. ผู้เรียนและผู้สอนไม่ต้องมาพบกันในห้องเรียน 4. ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน และผู้สอนที่ไม่พร้อมด้านเวลา ระยะทางใน การเรียนได้เป็นอย่างดี ผู้เรียนที่ไม่มีความมั่นใจ กลัวการตอบคำถาม ตั้งคำถาม ตั้งประเด็นการเรียนรู้ใน ห้องเรียน มีความกล้ามากกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องแสดงตนต่อหน้าผู้สอน และเพื่อนร่วม ชั้น โดยอาศัยเครื่องมือ เช่น E-Mail, Webboard, Chat, Newsgroup แสดงความคิดเห็น ได้อย่างอิสระ ข้อเสียของ ICT 1. ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึก ปฏิกิริยาที่แท้จริงของผู้เรียนและผู้สอน 2. ไม่สามารถสื่อความรู้สึก อารมในการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง 3. ผู้เรียน และผู้สอน จะต้องมีความพร้อมในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ทั้งด้านอุปกรณ์ ทักษะการใช้งาน 4. ผู้เรียนบางคน ไม่สามารถศึกษาด้วยตนเองได้


165 แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 5 1. ความหมายของโปรแกรมสำเร็จรูป คือ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ซอฟต์แวร์แบ่งเป็นกี่ประเภทอะไรบ้าง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. โปรแกรมสำเร็จรูปในงานสำนักงานมีโปรแกรมอะไรบ้าง .…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. เทคโนโลยีจะเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน มีกี่ลักษณะ .…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………


166 บทที่ 6 แหล่งเรียนรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สาระสำคัญ อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงเพื่อค้นหา แลกเปลี่ยน เรียนรู้ได้อย่างแทบไม่มีขีดจำกัด การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อประโยชน์ดังกล่าว จำเป็นที่เราจะต้องมีความรู้และทักษะในการค้นหาข้อมูล (Search) รู้จักแหล่ง เรียนรู้ และวิธีการนำเสนอข้อมูลความรู้และผลงานอย่างเหมาะสม กิจกรรมนี้ จะช่วยให้เราสามารถใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการสืบค้นข้อมูลในหัวข้อ เรื่องที่นักเรียนสนใจ ข้อมูลที่อยู่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในปัจจุบันมีมากมาย และกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ ดังนั้นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ วิธีการใช้บริการอินเทอร์เน็ตและเลือกใช้ให้เหมาะสม เพื่อการค้นหาข้อมูลในการ เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถใช้อินเทอร์เน็ตในการสืบค้น ข้อมูล ศึกษา ค้นคว้า และวิจัยได้หลายวิธีด้วยกัน วิธีที่เป็นที่นิย มมากที่สุดใน ปัจจุบัน ตัวชี้วัด 1. สามารถอธิบายความหมายและความสำคัญประเภทของแหล่งเรียนรู้ 2. การใช้แหล่งเรียนรู้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 3. สามารถเข้าถึงและสามารถใช้แหล่งเรียนรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้อย่าง ปลอดภัย ขอบข่ายเนื้อหา เรื่องที่ 1 ความหมายและความสำคัญประเภทของแหล่งเรียนรู้ เรื่องที่ 2 การค้นหาข้อมูล (Search) รู้จักแหล่งเรียนรู้ และวิธีการนำเสนอข้อมูล ความรู้และผลงานอย่างเหมาะสม เรื่องที่ 3 แหล่งเรียนรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เวลาที่ใช้ในการศึกษา 15 ชั่วโมง สื่อการเรียนการสอน หนังสือแบบเรียนวิชาการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต


167 เรื่องที่ 1 ความหมายและความสำคัญประเภทของแหล่งเรียนรู้ ความหมายของแหล่งเรียนรู้ กรมสามัญศึกษา (2564) แหล่งเรียนรู้ หมายถึง แหล่งข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ และประสบการณ์ ที่สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้เรียนใฝ่ เรียน ใฝ่ รู้แสวงหาความรู้และเรียนรู้ ด้วยตนเองตามอัธยาศัย อย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิด กระบวนการเรียนรู้และเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้ให้ความสำคัญของแหล่งการ เรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง จึงได้กำหนดให้รัฐต้องส่งเสริมการดำเนินงานและการจัดตั้งแหล่งการ เรียนรู้ ไว้ในมาตรา 25 ดังนี้ “มาตรา 25 รัฐต้องส่งเสริมการดำเนินงานและการจัดตั้ง แหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบได้แก่ ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวน สัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬา และนันทนาการแหล่งข้อมูลและแหล่งการเรียนรู้อื่นอย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพ” ความสำคัญของแหล่งเรียนรู้ แหล่งเรียนรูมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ดังนี้ 1. เป็นแหล่งที่มีข้อมูล/ความรู ตามวัตถุประสงคของแหล่งเรียนรูนั้น เชน สวน สัตว ให ความรูเรื่องสัตว พิพิธภัณฑ์ใหความรูเรื่องโบราณวัตถุสมัยต่าง ๆ 2. เป็นสื่อการเรียนรูสมัยใหม่ที่ความรู้ก่อใหเกิดทักษะ และช่วยการเรียนรู้สะดวก รวดเร็ว เชน อินเทอร์เน็ต 3. เป็นแหล่งช่วยเสริมการเรียนรูของการศึกษาประเภทต่าง ๆ ทั้งการศึกษาใน ระบบ การศึกษา นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย 4. เป็นแหล่งการเรียนรูตลอดชีวิตที่มนุษย์เขาไปหาความรูไดด้วยตนเองตามความ สนใจ และ ความสามารถ 5. เป็นแหล่งที่มนุษย์สามารถเขาไปปฏิบัติได้จริง เชน การประดิษฐ์เครื่องใชต่าง ๆ การซอมเครื่องยนต์ เป็นตน ช่วยกระตุ้นให้เกิดความสนใจ ความใฝรู 6. เป็นแหล่งที่มนุษย์สามารถเขาไปเรียนรูเกี่ยวกับวิทยาการใหม่ ๆ ยังไม่มีของจริง ใหเห็น หรือไม่สามารถเขาไปดูจากของจริงได้โดยเรียนรูการดูภาพยนตร์ วิดิทัศน์ หรือ สื่ออื่น ๆ


168 7. เป็นแหล่งสงเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนในทองถิ่นหเกิดความตระหนัก และ เห็น คุณคาของแหล่งเรียนรู 8. เป็นสิ่งที่ช่วยเปลี่ยนแปลงทัศนคติ คานิยมใหเกิดการยอมรับสิ่งใหม่ แนวคิดใหม่ เกิด จินตนาการ และความคิดสร้างสรรคกับผู้เรียนเรียน 9. เป็นการประหยัดคาใชจ่ายและเพิ่มรายได้ใหแหล่งเรียนรูของชุมชน


169 เรื่องที่ 2 การค้นหาข้อมูล (Search) รู้จักแหล่งเรียนรู้ และวิธีการนำเสนอ ข้อมูลความรู้และผลงานอย่างเหมาะสม (ที่มา : https://sites.google.com/site/ffyrmuti/) การนำความรู้เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต มาประยุกต์ใช้ในการศึกษาหาความรู้ ได้แก่ การสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต โดยการใช้งานอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับการศึกษานี้จะ สามารถแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ระดับดังนี้ 1. การสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต 2. การนำข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตมาใช้งาน 3. การสร้างแหล่งข้อมูลด้วยตนเอง การสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ในโลกไซเบอร์สเปซมีข้อมูลมากมายมหาศาล การที่จะค้นหาข้อมูลจำนวน มากมายอย่างนี้เราไม่อาจจะคลิกเพื่อค้นหาข้อมูลพบได้ง่ายๆ จำเป็นจะต้องอาศัยการ ค้นหาข้อมูลด้วยเครื่องมือค้นหาที่เรียกว่า Search Engine เข้ามาช่วยเพื่อความสะดวก และรวดเร็ว เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลมีมากมายหลายที่ทั้งของคนไทยและ ถ้าเรา เปิดไปทีละหน้าจออาจจะต้องเสียเวลาในการค้นหา และอาจหาข้อมูลที่เราต้องการไม่พบ การที่เราจะค้นหาข้อมูลให้พบอย่างรวดเร็วจึงต้องพึ่งพา Search Engine Site ซึ่งจะทำ หน้าที่รวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ต่าง ๆ เอาไว้ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมู่ ผู้ใช้งานเพียงแต่ ทราบหัวข้อที่ต้องการค้นหาแล้วป้อน คำหรือข้อความของหัวข้อนั้น ๆ ลงไปในช่องที่ กำหนด คลิกปุ่มค้นหา เท่านั้น รอสักครู่ข้อมูลอย่างย่อ ๆ และรายชื่อเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องจะ ปรากฏให้เราเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ทันที (วริสรา ขาวหล้า, 2564)


170 การค้นหาข้อมูลมี 2 วิธี คือ 1. การค้นหาในรูปแบบ Index Directory 2. การค้นหาในรูปแบบ Search Engine การค้นหาในรูปแบบ Index Directory วิธีการค้นหาข้อมูลแบบ Index นี้ข้อมูลจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่า การค้นหาข้อมูลด้วย วิธีของ Search Engine โดยมันจะถูกคัดแยกข้อมูลออกมาเป็น หมวดหมู่ และจัดแบ่งแยก Site ต่าง ๆ ออก เป็นประเภท สำหรับวิธีใช้งาน คุณสามารถที่ จะ Click เลือกข้อมูลที่ต้องการจะดูได้เลยใน Web Browser จากนั้นที่หน้าจอก็จะแสดง รายละเอียดของหัวข้อปลีกย่อยลึกลงมาอีกระดับหนึ่ง ปรากฏขึ้นมาให้เราเลือกอีกส่วนจะ แสดงออกมาให้เลือกเยอะแค่ไหนอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของฐานข้อมูลใน Index ว่าในแต่ ละประเภท จัดรวบรวมเก็บเอาไว้มากน้อยเพียงใด เมื่อคุณเข้าไปถึงประเภทย่อยที่คุณ สนใจแล้ว ที่เว็บเพจจะแสดงรายชื่อของเอกสารที่เกี่ยวข้องกับ ประเภทของข้อมูลนั้น ๆ ออกมา หากคุณคิดว่าเอกสารใดสนใจหรือต้องการอยากที่จะดูสามารถ Click ลงไป ยัง Link เพื่อขอเชื่อต่อทางไซต์ก็จะนำเอาผลของข้อมูลดังกล่าวออกมาแสดงผล ทันทีนอกเหนือไปจากนี้ไซต์ที่แสดงออกมานั้นทางผู้ให้บริการยังได้เรียบเรียงโดยนำเอา Site ที่มีความเกี่ยว ข้องมากที่สุดเอามาไว้ตอนบนสุดของรายชื่อที่แสดง การค้นหาในรูปแบบ Search Engine วิธีการอีกอย่างที่นิยมใช้การค้นหาข้อมูลคือการใช้Search Engine ซึ่งผู้ใช้ส่วน ใหญ่กว่า 70% จะใช้วิธีการค้นหาแบบนี้ หลักการทำงานของ Search Engine จะแตกต่าง จากการใช้Indexลักษณะของมันจะเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่มหาศาลที่กระจัดกระจายอยู่ ทั่วไป บน Internet ไม่มีการแสดงข้อมูลออกมาเป็นลำดับขั้นของความสำคัญ การใช้งาน จะเหมือนการสืบค้นฐานข้อมูล อื่นๆคือ คุณจะต้องพิมพ์คำสำคัญ(Keyword) ซึ่งเป็นการ อธิบายถึงข้อมูลที่คุณต้องการจะเข้าไป ค้นหานั้นๆเข้าไป จากนั้น Search Engine ก็จะ แสดงข้อมูลและ Site ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องออกมา การค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตผู้คนจะนิยมให้เว็บไซต์หลักๆ ในการค้นหา ข้อมูลที่ต้องการ มีหลักๆ 3 เว็บไซต์คือ


171 Google (กูลเกิ้ล) www.google.co.th (ที่มา : https://www.google.co.th/) Yahoo (ยาฮู) www.yahoo.com (ที่มา : https://sites.google.com/site/ffyrmuti/) Bing (บิ้งค์) www.bing.com (ที่มา : https://sites.google.com/site/ffyrmuti/)


172 **** ข้อแตกต่างระหว่าง Index และ Search Engine คือวิธีในการค้นหาข้อมูลแบบ Index จะใช้คนเป็นผู้จัดรวบรวมและทำระบบ ฐานข้อมูลขึ้นมา ส่วนแบบ Search Engine นั้นระบบฐานข้อมูลของมันจะได้รับการ จัดสร้างโดยใช้Software ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับงานทางด้านนี้โดยเฉพาะมาเป็นตัวควบคุม และจัดการ ซึ่งเจ้า Software ตัวนี้จะมี ชื่อเรียกว่า Spiders การทำงานข้องมันจะใช้ วิธีการเดินลัดเลาะไปตามเครือข่ายต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงถึง กันอยู่เต็มไปหมด ใน Internet เพื่อค้นหา Website ที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ รวมทั้งยังสามารถตรวจสอบหาความ เปลี่ยนแปลงของ ข้อมูลใน Site เดิมที่มีอยู่ ว่าที่ใดถูกอัพเดตแล้วบ้าง จากนั้นมันก็จะ นำเอาข้อมูลทั้งหมดที่สำรวจเข้ามาได้เก็บใส่เข้าไปในฐานข้อมูลของตน อัตโนมัติยกตัวอย่างของผู้ให้บริการประเภทนี้เช่น Excite , Lycos Infoserch เป็น ต้น การค้นหาด้วยวิธีSearch Engine นั้นมักจะได้ผลลัพธ์ออกมากว้างๆชี้เฉพาะเจาะจง ได้ยาก บางครั้งข้อมูลที่ ค้นหามาได้อาจมีถึงเป็นร้อยเป็นพัน Site แล้วมีใครบ้างหละที่ อยากจะมานั้งค้นหาและอ่านดูที่จะเพจ ซึ่งคง ต้องเสียเวลาเป็นวันๆแน่ ซึ่งก็ไม่รับรองด้วย ว่าคุณจะได้ข้อมูลที่คุณต้องการหรือไม่ ดังนั้นจริงมีหลักในการค้นหา เพื่อให้ได้ข้อมูล ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด ซึ่งจะขอกล่าวในตอนหลัง ประเภทของ Search Engine Search Engine แต่ละแห่งมีวิธีการและการจัดเก็บฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไปตาม ประเภทของSearch Engine ที่แต่ละเว็บไซต์นำมาใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ดังนั้นการที่คุณ จะเข้าไปหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ โดยวิธีการ Search นั้น อย่างน้อยคุณจะต้องทราบว่า เว็บไซต์ที่คุณเข้าไปใช้บริการ ใช้วิธีการหรือ ประเภทของ Search Engine อะไร เนื่องจาก แต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป ทีนี้ลองมาดูว่า Search Engine ประเภทใดที่เหมาะกับการค้นหาข้อมูล 1. Keyword Index เป็นการค้นหาข้อมูล โดยการค้นจากข้อความในเว็บเพจที่ได้ ผ่านการสำรวจมาแล้ว จะอ่านข้อความ ข้อมูล อย่างน้อย ๆ ก็ประมาณ 200-300 ตัวอักษร แรกของเว็บเพจนั้น ๆ โดยการอ่านนี้จะหมายรวมไปถึงอ่านข้อความที่อยู่ในโครงสร้าง ภาษา HTML ซึ่งอยู่ในรูปแบบของข้อความที่อยู่ในคำสั่งalt ซึ่งเป็นคำสั่ง ภายใน TAG คำสังของรูปภาพ แต่จะไม่นำคำสั่งของ TAG อื่น ๆ ในภาษา HTML และ คำสั่งในภาษา JAVA มาใช้ในการค้นหา วิธีการค้นหาของ Search Engine ประเภทนี้จะ ให้ความสำคัญกับการเรียงลำดับข้อมูลก่อน-หลัง และความถี่ในการนำเสนอข้อมูลนั้น การ ค้นหาข้อมูล โดยวิธีการเช่นนี้จะมีความรวดเร็วมาก แต่มีความละเอียดในการจัดแยก


173 หมวดหมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อย เนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดของเนื้อหาเท่าที่ควร แต่หากว่าคุณต้องการแนวทางด้านกว้างของข้อมูล และความรวดเร็วในการค้นหา วิธีการนี้ ก็ใช้ได้ผลดี 2. Subject Directories การจำแนกหมวดหมู่ข้อมูล Search Engine ประเภทนี้ จะจัดแบ่งโดยการวิเคราะห์เนื้อหา รายละเอียด ของแต่ละเว็บเพจ ว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับ อะไร โดยการจัดแบ่งแบบนี้จะใช้แรงงานคนในการพิจารณาเว็บเพจ ซึ่งทำให้การจัด หมวดหมู่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนจัดหมวดหมู่แต่ละคนว่าจะจัดเก็บข้อมูลนั้น ๆ อยู่ ในเครือข่ายข้อมูลอะไร ดังนั้นฐานข้อมูลของ Search Engine ประเภทนี้จะถูกจัดแบ่งตาม เนื้อหาก่อน แล้วจึงนำมาเป็นฐานข้อมูลในการค้นหาต่อไป การค้นหาค่อนข้างจะตรงกับ ความต้องการของผู้ใช้ และมีความถูกต้องในการค้นหาสูง เป็นต้นว่า หากเราต้องการหา ข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์Search Engine ก็จะประมวลผลรายชื่อเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ล้วน ๆ มาให้ เลย 3. Metasearch Engines จุดเด่นของการค้นหาด้วยวิธีการนี้ คือ สามารถเชื่อมโยง ไปยัง Search Engine ประเภทอื่น ๆ และยังมีความหลากหลายของข้อมูล แต่การค้นหา ด้วยวิธีนี้มีจุดด้อย คือ วิธีการนี้จะไม่ให้ความสำคัญกับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษร และ มักจะผ่านเลยคำประเภท Natural Language (ภาษาพูด) ดังนั้น หากคุณจะใช้Search Engine แบบนี้ละก็ ขอให้ตระหนักถึงข้อบกพร่องเหล่านี้ด้วย หลักการค้นหาข้อมูลของ Search Enine สำหรับหลักในการค้นหาข้อมูลของ Search Engine แต่ละตัวจะมีลักษณะที่ แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าทางศูนย์บริการต้องการจะเก็บข้อมูลแบบไหน แต่โดยส่วน ใหญ่แล้วจะมีกลไกใน การค้นหาที่ใกล้เคียงกัน หากจะแตกต่างก็คงจะเป็นเรื่อง ประสิทธิภาพเสียมากกว่า ว่าจะมีข้อมูล เก็บรวบรวมไว้อยู่ในฐานข้อมูลมากน้อยขนาด ไหน และพอจะนำเอาออกมาบริการให้กับผู้ใช้ ได้ตรงตามความต้องการหรือเปล่า ซึ่ง ลักษณะของปัจจัยที่ใช้ค้นหาโดยหลักๆจะมีดังนี้ 1. การค้นหาจากชื่อของตำแหน่ง URL ใน เว็บไซต์ต่าง ๆ 2. การค้นหาจากคำที่มีอยู่ใน Title (ส่วนที่Browser ใช้แสดงชื่อของเว็บเพจอยู่ ทางด้าน ซ้ายบนของหน้าต่างที่แสดง 3. การค้นหาจากคำสำคัญหรือคำสั่ง keyword (อยู่ใน tag คำสั่งใน html ที่มีชื่อ ว่า meta) 4. การค้นหาจากส่วนที่ใช้อธิบายหรือบอกลักษณะ site


174 5. ค้นหาคำในหน้าเว็บเพจด้วย Browser ซึ่งการค้นหาคำในหน้าเว็บเพจนั้นจะ ใช้สำหรับกรณีที่คุณเข้าไปค้นหาข้อมูลที่เว็บ เพจใด เว็บเพจหนึ่ง แล้วภายในมีข้อความ ปรากฏอยู่เต็มไปหมด จะนั่งไล่ดูทีละบรรทัดคงไม่สะดวก ในลักษณะนี้เราใช้ ใช้browser ช่วยค้นหาให้ ขึ้นแรกให้คุณนำ mouse ไป click ที่ menu Edit แล้วเลือก บรรทัดคำสั่ง Find in Page หรือกดปุ่ม Ctrl + F ที่ keyboard ก็ได้ จากนั้นใส่คำที่ ต้องการค้นหาลงไปแล้วก็กดปุ่ม Find Next โปรแกรมก็จะวิ่งหาคำดังกล่าว หากพบมันก็ จะกระโดดไปแสดงคำนั้น ๆ ซึ่งคุณสามารถกดปุ่ม Find Next เพื่อค้นหาต่อได้อีกจนกว่า คุณจะพบข้อมูลที่ต้องการ ***เทคนิค 11 ประการที่ควรรู้ในการค้นหาข้อมูล (สุทธิพร ใจกว้าง, 2564) ในการค้นหาข้อมูลด้วย Search Engine ส่วนใหญ่แล้วปัญหาที่ผู้ใช้งานทั่วไปมักจะ พบเห็น หรือประสบอยู่เสมอๆก็คงจะหนีไปไม่พ้นข้อมูลที่ค้นหาได้มีขนาดมาก จนเกินไป ดังนั้นเพื่อ ความสะดวกในการใช้งานคุณจึงน่าที่จะเรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อช่วย ลดหรือ จำกัดคำที่ค้น หาให้แคบลงและตรงประเด็นกับเรามากที่สุด ดังวิธีการต่อไปนี้ 1. เลือกรูปแบบการค้นหาให้ตรงกับสิ่งที่ต้องการมากที่สุด ควรเลือกใช้วิธีที่ เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการจะค้นหาข้อมูลที่มีลักษณะทั่วไป ไม่ชี้ เฉพาะเจาะจง ก็ควรเลือกบริการสืบค้นข้อมูลแบบ Index อย่าง ของ yahoo เพราะ โอกาสที่จะเจอนั้น เปอร์เซ็นต์สูงกว่าจะมานั่งสุ่มหาโดยใช้วิธี แบบ Search Engine 2. ใช้คำมากกว่า 1 คำที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกันช่วยค้นหา เพราะจะได้ผลลัพธ์ที่มี ขนาด แคบลงและชี้เฉพาะมากขึ้น (ย่อมจะดีกว่าหาคำเดียวโดด ๆ) 3. ใช้บริการของผู้ให้บริการเฉพาะด้าน เช่นการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวของ ภาพยนตร์ก็น่าที่จะเลือกใช้Search Engine ที่ให้บริการใกล้เคียงกับเรื่องพวกนี้เพราะ ผลลัพธ์ที่ได้น่าจะเป็นที่น่าพอใจกว่า 4. ใส่เครื่องหมายคำพูดครอบคลุมกลุ่มคำที่ต้องการ เพื่อบอกกับ Search Engine ว่าเรา ต้องการผลการค้นหาที่มีคำในกลุ่มนั้นครบและตรงตามลำดับที่เราพิมพ์ทุก คำ เช่น "free shareware" เป็นต้น 5. การขึ้นต้นของตัวอักษรตัวเล็กเท่ากันหมด Search Engine จะเข้าใจว่าเรา ต้องการ ให้มันค้นหาคำดังกล่าวแบบไม่ต้องสนใจว่าตัวอักษรที่ได้จะมีขนาดเล็กหรือ ใหญ่ดังนั้นหากคุณต้องการอยากที่จะให้มันค้นหาคำตรงตามแบบที่เขียนไว้ก็ให้ใช้ตัว


175 อักษรใหญ่แทน 6. ใช้ตัวเชื่อมทาง Logic หรือตรรกศาสตร์เข้ามาช่วยค้นหา มีอยู่ 3 ตัวด้วยกันคือ - AND สั่งให้หาโดยจะต้องมีคำนั้น ๆ มาแสดงด้วยเท่านั้น! โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องติดกัน เช่น phonelink AND pager เป็นต้น - OR สั่งให้หาโดยจะต้องนำคำใดคำหนึ่งที่พิมพ์ลง ไปมาแสดง - NOT สั่งไม่ให้เลือกคำนั้น ๆ มาแสดง เช่น food and cheese not butter หมายความว่า ให้ทำการหาเว็บที่เกี่ยวข้องกับ food และ cheese แต่ต้องไม่ มีbutter เป็นต้น 7. ใช้เครื่องหมายบวกลบคัดเลือกคำ + หน้าคำที่ต้องการจริง ๆ - (ลบ)ใช้นำหน้า คำที่ไม่ต้องการ () ช่วยแยกกลุ่มคำ เช่น (pentium+computer)cpu 8. ใช้ * เป็นตัวร่วม เช่น com* เป็นการบอกให้หาคำที่มีคำว่า com ขึ้นหน้าส่วน ด้านท้ายเป็น อะไรไม่สนใจ *tor เป็นการให้หาคำที่ลงท้ายด้วย tor ด้านหน้าจะเป็นอะไร ไม่สนใจ 9. หลีก เลี่ยงการใช้ตัวเลข พยายามเลี่ยงการใช้คำค้นหาที่เป็นคำเดี่ยว ๆ หรือ เป็นคำที่มีตัวเลขปน แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้คุณก็อย่าลืมใส่เครื่องหมายคำพูด (" ") ลงไปด้วย เช่น "windows 98" 10. หลีก เลี่ยงภาษาพูด หลีกเลี่ยงคำประเภท Natural Language หรือเรียก ง่ายๆ ว่าคำหรือข้อความที่เป็นภาษาพูด หรือเป็นประโยค คุณควรสรุปเป็นเพียงกลุ่มคำ หรือวลี ที่มีความหมายรวมทั้งหมดไว้Advanced Search อย่าลืมที่จะใช้Advanced Search เพราะจะมีส่วนช่วยคุณได้มาก ในการบีบประเด็นหัวข้อ ให้แคบลง ซึ่งจะทำให้ คุณได้รายชื่อเว็บไซต์ ที่ตรงกับความต้องการของคุณมากขึ้น 11. อย่าละเลย Help ซึ่งในแต่ละเว็บ จะมี ปุ่ม help หรือ Site map ไว้คอย ช่วยเหลือคุณ แต่คนส่วนใหญ่มักจะมองข้าม ซึ่ง help/site map จะมีประโยชน์มากใน การอธิบาย option หรือการใช้งาน/แผนผังปลีกย่อยของแต่ละเว็บไซต์ (สุทธิพร ใจกว้าง , 2564)


176 เรื่องที่ 3 แหล่งเรียนรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แหล่งเรียนรู้บนอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตสามารถให้ผู้เรียนติดต่อสื่อสารกับผู้คนทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว และ สามารถสืบค้นหรือเผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศจากทั่วโลก จึงทำให้เกิดการเรียนรู้ตาม อัธยาศัยการประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตกับกิจกรรมตามหลักสูตรเดิมที่มีอยู่ ทำให้ผู้เรียนเกิด ทักษะในด้านการคิดอย่างมีระบบ (High - Order Thinking Skills) การคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) การวิเคราะห์สืบค้น ( Inquiry - Based Analytical Skill) การ วิเคราะห์ข้อมูล การแก้ปัญหา และการคิดอย่างอิสระเป็นการสนับสนุนกระบวนการสห สาขาวิชาการ (Interdisciplinary) คือ ในการนำเครือข่ายมาใช้เชื่อมโยงกับกิจกรรมการ เรียนการสอนนั้น นักการศึกษาสามารถที่จะบูรณาการการเรียนการสอนในวิชาต่าง ๆ เช่น คณิตศาสตร์ ภูมิศาสตร์ สังคม ภาษา วิทยาศาสตร์ ฯลฯ เข้าด้วยกันอินเทอร์เน็ตเมื่อ นำมาใช้ในการพัฒนาการศึกษาก็จะทำให้เกิดประโยชน์และสร้างความเท่าเทียมกันในด้าน การศึกษาให้มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างแหล่งเรียนรู้บนอินเทอร์เน็ต Anonymous (25654) E-Book ย่อมาจากคำว่า Electronic Book หมายถึง หนังสือที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดย ปกติมักจะเป็นแฟ้มข้อมูลที่สามารถอ่านเอกสารผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทั้งในระบบ ออฟไลน์ และออนไลน์ คุณลักษณะของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถเชื่อมโยงจุดไปยัง ส่วนต่าง ๆ ของหนังสือ เว็บไซต์ต่าง ๆ ตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์และโต้ตอบกับผู้เรียนได้ นอกจากนั้นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถแทรกภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว แบบทดสอบ และสามารถสั่งพิมพ์เอกสารที่ต้องการออกทางเครื่องพิมพ์ได้ อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถปรับปรุงให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะไม่มี ในหนังสือธรรมดาทั่วไป Electronic Journals (e-Journals) หรือ วารสารอิเล็กทรอนิกส์ คือ วารสารที่ ตีพิมพ์ เผยแพร่ เนื้อหา (บทความ) ที่เข้าถึงได้ทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet Access) ผู้ใช้บริการหลายท่านคุ้นเคยและชื่นชอบด้วยเพราะความสะดวก รวดเร็วในการ เข้าถึงและติดตามอ่านข้อมูล นับเป็นยุคการเปลี่ยนแปลงของวารสารฉบับพิมพ์ไปสู่วารสาร


177 อิเล็กทรอนิกส์ ด้วยเหตุผลสำคัญคือความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ และแผนทาง ธุรกิจการตลาดที่สำคัญของสำนักพิมพ์ (Business Mode) E-newspaper เป็นเทคโนโลยีการแสดงผลที่เลียนแบบลักษณะการใช้หมึกบน กระดาษปกติ แต่แตกต่างจากจอแสดงผลแบบจอแบนโดยทั่วไป ตรงที่มีการใช้แบคไลต์ เพื่อให้ความสว่างแต่เซลล์ภาพ (pixel) ทำให้กระดาษอิเล็กทรอนิกส์สะท้อนแสงได้เหมือน กระดาษทั่วไป และสามารถบันทึกข้อความและภาพโดยไม่ต้องอาศัยไฟฟ้า หรือการใช้ กำลังประมวลผล ขณะเดียวกันก็สามารถเปลี่ยนกระดาษได้ด้วย คุณลักษณะสำคัญอย่าง หนึ่งที่จำเป็นก็คือ เซลล์ภาพจะมีเสถียรภาพด้านภาพแบบไบสเตเบิล ที่ให้สถานะของแต่ ละเซลล์ภาพสามารถคงอยู่ โดยไม่ต้องมีการจ่ายกำลังไฟ E-Magazine คือ นิตยสารดิจิตอล หรือหนังสือที่จัดเก็บในรูปแบบ อิเล็กทรอนิกส์ รูปแบบใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน เนื่องจาก ต้นทุนการผลิตต่ำกว่า การผลิต ด้วยสื่อกระดาษ อีกทั้ง เป็นการร่วมสนับสนุน ความร่วมมือ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของ องค์กร การเรียนรู้ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ความหมายของเครือข่ายการเรียนรู้ สิริศักดิ์ พัฒนสาร (2564) ได้ให้ควงามหมาย เครือข่ายการเรียนรู้ หมายถึง การเรียนรู้ ในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ประกอบกิจกรรมทางการศึกษาทุกระดับ มีองค์ประกอบสำคัญ คือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ คุณลักษณะพิเศษของเครือข่ายการเรียนรู้ 1. สามารถเข้าถึงได้กว้างขวาง ง่าย สะดวก เรียกข้อมูลมาใช้ได้ง่าย 2. เป็นการเรียนแบบร่วมกันและทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม 3. สร้างกิจกรรมการเรียนรู้ 4. ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเรียนการสอน 5. จัดให้เครือข่ายการเรียนรู้เป็นเสมือนชุมชนของการเรียนรู้แบบออนไลน์


178 แนวทางการบริหารจัดการและพัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ 1. ขั้นการก่อรูปเครือข่ายการเรียนรู้ (Leaning Network Forming) 2. ขั้นการจัดระบบบริหารเครือข่ายการเรียนรู้ (Leaning Network Organizing) 3. ขั้นการใช้เครือข่ายการเรียนรู้(Leaning Network Utilizing) 4. ขั้นการธำรงรักษาเครือข่ายการเรียนรู้(Leaning Network Maintaining) กระบวนการและวิธีการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ มีขั้นตอนและวิธีต่าง ๆ ดังนี้ 1. การตระหนักถึงความจำเป็นในการสร้างเครือข่าย 2. การติดต่อกับองค์กรที่จะร่วมเป็นเครือข่าย 3. การสร้างพันธกรณีร่วมกัน 4. การพัฒนาความสัมพันธ์ร่วมกัน 5. การทำกิจกรรมร่วมกัน 6. การรวมตัวกันจัดตั้งองค์กรใหม่ร่วมกัน ความหมายของ E-Learning หมายถึง การเรียนการสอนในลักษณะใดก็ได้ ที่ใช้การถ่ายทอดเนื้อหาผ่านทางอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ โดยผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือระบบอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งเนื้อหา หรือสารสนเทศสำหรับการสอนหรือการอบรม ใช้การนำเสนอตัวอักษร ภาพนิ่ง ผสมผสานกับ การใช้ภาพเคลื่อนไหว วีดีทัศน์และเสียง E-Learning ในประเทศไทย แบ่งได้ 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ - การนำเสนอในลักษณะ Web Based Instruction (WBI) - การนำเสอนในลักษณะ E-Learning ปัญหาการพัฒนาระบบการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย 1. ปัญหาการสนับสนุนด้านงบประมาณและบุคลากร 2. ปัญหาเรื่องราคาของซอฟต์แวร์ CMS/LMS และการลิขสิทธิ์ 3. ปัญหาเรื่องทีมงานดำเนินการ 4. ปัญหาเกี่ยวกับ Infrastructure 5. ปัญหาเกี่ยวกับมาตรฐานการจัดทำระบบ CMS/LMS


179 ข้อดีและข้อเสียของการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ข้อดี 1. ผู้เรียนและผู้สอนไม่ต้องการเรียนสอนในเวลาเดียวกัน 2. ผู้เรียนและผู้สอนไม่ต้องมาพบกันในห้องเรียน ข้อเสีย 1. ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึก ปฏิกิริยาที่แท้จริงของผู้เรียนและผู้สอน 2. ไม่สามารถสื่อความรู้สึกอารมณ์ในการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง ข้อคำนึงในการจัดการเรียนรู้ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 1. ความพร้อมของอุปกรณ์และระบบเครือข่าย 2. ทักษะใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต 3. ความพร้อมของผู้เรียน 4. ความพร้อมของผู้สอน 5. เนื้อหา บทเรียน เว็บไซต์ที่เป็นเครือข่ายการเรียนรู้ Trueplookpanya.com (ที่มา : https://sites.google.com/site/internetjamesji/na-senx-neuxha-cak-kar-reiyn-ru-dwy-tnxeng/hnwythi-7-kar-reiyn-ru-phan-rabb-kherux-khay-xinthexrnet)


180 Kroobannok.com (ที่มา : https://sites.google.com/site/internetjamesji/na-senx-neuxha-cak-kar-reiyn-ru-dwy-tnxeng/hnwythi-7-kar-reiyn-ru-phan-rabb-kherux-khay-xinthexrnet) หลักการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย ในปัจจุบันมีผู้ใช้บริการ บนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั่ว โลก เพราะเป็นช่องทางที่สามารถติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงธุรกิจและพาณิชย์ในด้านต่าง ๆ ช่วยในเรื่องการลดระยะเวลาและต้นทุนในการ ติดต่อสื่อสาร แต่อย่างไรก็ตามผู้ใช้โดยทั่วไป ยังไม่เห็นความสำคัญ ของการใช้งาน อินเทอร์เน็ตที่ปลอดภัยเท่าที่ควร เนื่องจากยังขาดความรู้ในการใช้งานและวิธีป้องกัน หรือ อาจคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรมาก ในการใช้งาน แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับตัวเองแล้ว ก็ทำให้ ตนเองเดือดร้อน เราสามารถป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้ (บริษัท ไอทิดิจิทเซิร์ฟ จำกัด,2564) ดังนี้ 1. ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว 2. ไม่ส่งหลักฐานส่วนตัวของตนเองและคนในครอบครัวให้ผู้อื่น เช่น สำเนาบัตรประชาชน เอกสารต่าง ๆ รวมถึงรหัสบัตรต่าง ๆ เช่น เอทีเอ็ม บัตร เครดิต ฯลฯ 3. ไม่ควรโอนเงินให้ใครอย่างเด็ดขาด นอกจากจะเป็นญาติสนิทที่เชื่อใจ ได้จริง ๆ 4. ไม่ออกไปพบเพื่อนที่รู้จักทางอินเทอร์เน็ต เว้นเสียแต่ว่าได้รับอนุญาต จากพ่อแม่ผู้ปกครองและควรมีผู้ใหญ่หรือเพื่อนไปด้วยหลายๆ คน เพื่อป้องกัน การลักพาตัว หรือการกระทำมิดีมิร้ายต่าง ๆ 5. ระมัดระวังการซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตรวมถึงคำโฆษณาชวนเชื่ออื่นๆ เด็กต้องปรึกษาพ่อแม่ผู้ปกครอง โดยต้องใช้วิจารณญาณ พิจารณาความน่าเชื่อถือ ของผู้ขาย


181 6. สอนให้เด็กบอกพ่อแม่ผู้ปกครองหรือคุณครู ถ้าถูกกลั่นแกล้งทาง อินเทอร์เน็ต (Internet Bullying) 7. ไม่เผลอบันทึกยูสเซอร์เนมและพาสเวิร์ดขณะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ สาธารณะอย่าบันทึก!ชื่อผู้ใช้และพาสเวิร์ดของคุณบนเครื่องคอมพิวเตอร์ นี้” อย่างเด็ดขาด เพราะผู้ที่มาใช้เครื่องต่อจากคุณ สามารถล็อคอินเข้าไป จากชื่อ ของคุณที่ถูกบันทึกไว้ แล้วสวมรอยเป็นคุณ หรือแม้แต่โอนเงินในบัญชีของคุณจ่าย ค่าสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่เขาต้องการ ผลก็คือคุณอาจหมดตัวและล้มละลายได้ 8. ไม่ควรบันทึกภาพวิดีโอ หรือเสียงที่ไมเหมาะสมบนคอมพิวเตอร์ หรือบนมือถือ เพราะภาพ เสียง หรือวีดีโอนั้น ๆ รั่วไหลได้ เช่นจากการแคร็ก ข้อมูล หรือถูกดาวน์โหลด ผ่านโปรแกรม เพียร์ ทู เพียร์ (P2P) และถึงแม้ว่าคุณจะลบไฟล์นั้นออกไปจากเครื่องแล้ว ส่วนใดส่วนหนึ่งของไฟล์ยังตกค้างอยู่ แล้วอาจถูกกู้กลับขึ้นมาได้ โดยช่างคอม ช่างมือถือ 9. จัดการกับ Junk Mail จังค์ เมล์ หรือ อีเมล์ขยะปกติ การใช้อีเมล์จะมีกล่อง จดหมายส่วนตัว หรือ Inbox กับ กล่องจดหมายขยะ Junk mail box หรือ Bulk Mail เพื่อแยกแยะประเภทของอีเมล์ เราจึงต้องทำความเข้าใจ และเรียนรู้ที่จะคัดกรอง จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ด้วยตัวเอง เพื่อกันไม่ให้มาปะปนกับจดหมายดีๆ ซึ่งเราอาจเผลอ ไปเปิดอ่าน แล้วถูกสปายแวร์ แอดแวร์เกาะติดอยู่บนเครื่อง หรือแม้แต่ถูกไวรัส คอมพิวเตอร์เล่นงาน 10. จัดการกับแอดแวร์ สปายแวร์ จัดการกับสปายแวร์แอดแวร์ที่ลักลอบเข้ามาสอดส่องพฤติกรรมการใช้เน็ตของคุณ ด้วย การซื้อโปรแกรมหรือไปดาวน์โหลดฟรีโปรแกรมมาดักจับและขจัดเจ้าแอดแวร์ สปายแวร์ ออกไปจากเครื่องของคุณ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมฟรีได้ที่แต่แค่มีโปรแกรมไว้ใน เครื่องยังไม่พอ คุณต้องหมั่นอัพเดทโปรแกรมออนไลน์และสแกนเครื่องของคุณบ่อยๆด้วย เพื่อให้เครื่องของคุณปลอดสปาย ข้อมูลของคุณก็ปลอดภัย * โปรแกรมล้าง แอดแวร์ และ สปายแวร์ จะใช้โปรแกรมตัวเดียวกัน ซึ่งบางครั้งเขาอาจตั้ง ชื่อโดยใช้แค่เพียงว่า โปรแกรมล้าง แอดแวร์ แต่อันที่จริง มันลบทิ้งทั้ง แอดแวร์ และสปาย แวร์พร้อมๆ กัน เพราะเจ้าสองตัวนี้ มันคล้ายๆ กัน 11. จัดการกับไวรัสคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจำเป็นต้องมีโปรแกรมสแกนดักจับและฆ่าไวรัส ซึ่งอันนี้ควร


182 จะดำเนินการทันทีเมื่อซื้อเครื่องคอม เนื่องจากไวรัสพัฒนาเร็วมาก มีไวรัสพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น ทุกวัน แม้จะติดตั้งโปรแกรมฆ่าไวรัสไว้แล้ว ถ้าไม่ทำการอัพเดทโปรแกรมทางอินเทอร์เน็ต เวลาที่มีไวรัสตัวใหม่ๆ แอบเข้ามากับอินเทอร์เน็ต เครื่องคุณก็อาจจะโดนทำลายได้ ใช้Adult Content Filter ในโปรแกรม P2P สำหรับผู้ชื่นชอบการดาวน์โหลดผ่านโปรแกรมแชร์ข้อมูล P2P ให้ระวังข้อมูลสำคัญ ไฟล์ภาพ วีดีโอส่วนตัว หรืออะไรที่ไม่ต้องการจะเปิดเผยสู่สาธารณะชน ควรบันทึกลงซีดี ดี วีดี หรือเทปไว้ อย่าเก็บไว้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะคุณอาจถูกเจาะเอาข้อมูลเหล่านี้ไป ได้ 12. กรองเว็บไม่เหมาะสมด้วย Content Advisor ในอินเทอร์เน็ต เอ็กซ์ พลอเรอในโปรแกรมเว็บ บราวเซอร์ อย่าง อินเทอร์เน็ต เอ็กซ์พลอเรอ ก็มีการตั้ง ค่า คอนเทนท์ แอดไวเซอร์ หรือฟังก์ชั่น การกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมสำหรับ เด็ก ซึ่งจะทำให้เด็กไม่สามารถเปิดเข้าไปในเว็บไซท์ที่มีภาพและเนื้อหา โป๊ เปลือย ภาษาหยาบคาย รุนแรงได้ และยังมีการตั้งพาสเวิร์ด หรือรหัส สำหรับ ผู้ปกครอง เพื่อกันเด็กเข้าไปแก้ไขการตั้งค่าของคุณ ซึ่งคุณสามารถเข้าไปปลดล็ อกได้ทุกเมื่อ ถ้าคุณจำเป็นต้องเข้าเว็บไซท์บางเว็บไซท์ วิธีใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย 1. เก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ให้ปลอดภัยอยู่เสมอ นายจ้างหรือลูกค้าที่มีค เคารพมากพอ พวกเขาจะไม่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของคุณ ฉะนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้อง รู้สถานะความสัมพันธ์ส่วนตัว หรือที่อยู่บ้านของคุณ วิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องรู้คือ ความสามารถของคุณเกี่ยวกับอาชีพ และวิธีการติดต่อกับคุณเท่านั้น ดังนั้นคุณจึงไม่ จำเป็นต้องส่งข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดให้กับคนแปลกหน้า และอย่าให้ข้อมูลเหล่านี้แก่ผู้คน นับล้านบนโลกออนไลน์ 2. เปิดการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของคุณไว้นักการตลาดจะอยากทราบข้อมูล ทั้งหมดเกี่ยวกับตัวคุณ และแฮกเกอร์ทำเช่นกัน ทั้งสองคนสามารถเรียนรู้ได้จากการเรียกดู และการใช้งานโซเชียลมีเดียของคุณ แต่คุณสามารถดูแลข้อมูลของคุณได้ ตามที่ระบุไว้ใน Lifehacker เว็บเบราเซอร์และระบบปฏิบัติการบนมือถือจะมีการตั้งค่าเพื่อปกป้องความ เป็นส่วนตัวของคุณทางออนไลน์ เว็บไซต์ที่สำคัญเช่น Facebook มีการตั้งค่าการเพิ่ม ความเป็นส่วนตัวที่พร้อมใช้งาน การตั้งค่าเหล่านี้จะทำให้ข้อมูลของคุณไม่ปรากฎบนโลก


183 ออนไลน์ และค้นหาได้ยากขึ้น เนื่องจาก บริษัท ต้องการให้ข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ สำหรับมูลค่าทางการตลาด อย่าลืม! ตรวจสอบว่าคุณได้เปิดใช้งานการป้องกันความเป็น ส่วนตัวเหล่านี้แล้ว 3. เลือกเว็บเบราเซอร์ที่ปลอดภัย ไม่เลือกที่จะเดินผ่านย่านที่อันตราย – อย่าไปที่ ย่านที่เป็นอันตรายในโลกออนไลน์ อาชญากรไซเบอร์ใช้เนื้อหาที่น่ากลัวเป็นเหยื่อ พวกเขา รู้ว่าบางครั้งคนถูกล่อลวง โดยเนื้อหาที่น่าสงสัยและอาจทำให้การระวังตัวของพวกเขา ต่ำลงเมื่อได้ค้นหาได้ทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ การคลิกอย่างประมาทอาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวหรือทำให้อุปกรณ์ของเกิดการติดเชื้อมัลแวร์ ได้ และเป็นการกระตุ้นให้แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่เหล่านั้นในการโจมตี 4. ตรวจสอบว่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของคุณมีความปลอดภัย เมื่อออนไลน์ใน ที่สาธารณะ ตัวอย่างเช่น โดยใช้การเชื่อมต่อ Wi-Fi สาธารณะ PCMag จะแจ้งว่าคุณไม่ สามารถควบคุมความปลอดภัยได้โดยตรง ผู้เชี่ยวชาญระบบความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ กังวลเกี่ยวกับ “จุดปลายทาง” ซึ่งเป็นที่ที่เครือข่ายส่วนตัวเชื่อมต่อกับโลกภายนอก ปลายทางที่ไม่ปลอดภัยคือการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในสถานที่ที่คุณอาศัยอยู่ การ ตรวจสอบจะช่วยตุณสังเกตว่าอุปกรณ์ของคุณปลอดภัย ดังนั้นโปรดรอสักครู่จนกว่าระบบ จะตรวจสอบเสร็จ เรียบร้อย ก่อนที่จะให้ข้อมูลเช่น หมายเลขบัญชีธนาคาร 5. ระวังสิ่งที่คุณดาวน์โหลด เป้าหมายสูงสุดของอาชญากรไซเบอร์ คือการ หลอกลวงให้คุณดาวน์โหลดโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันมัลแวร์ที่มีมัลแวร์ หรือพยายาม ขโมยข้อมูล มัลแวร์เหล่านี้สามารถปลอมตัวเป็นแอพพลิเคชั่นใดใดได้ ตามคำแนะนำของ PCWorld อย่าดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นที่ดูน่าสงสัย หรือมาจากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ


Click to View FlipBook Version