การศึกษาและพัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนการสอนโดยรูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) นายกฤษศณกันต์ สิงห์น้อย 62100103125 วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร สาขาวิชาทัศนศิลป์คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ประจำปีการศึกษา 2566
จ การศึกษาและพัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนการสอนโดยรูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) นายกฤษศณกันต์ สิงห์น้อย 62100103125 วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร สาขาวิชาทัศนศิลป์คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ประจำปีการศึกษา 2566
ฉ ชื่อเรื่อง การศึกษาและพัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนการสอนโดยรูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ผู้วิจัย นายกฤษศณกันต์ สิงห์น้อย อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย อาจารย์รตบงกช อิฐไธสง และ อาจารย์พศิน เวียงแก้ว คุณครูพี่เลี้ยง นายสราวุธ ใจแจ้ง ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต ปีการศึกษา 2566 อาจารย์ควบคุมการวิจัยในชั้นเรียน คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี อนุมัติให้นับงานวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา ทัศนศิลป์ ลงชื่อ………………………………………………………..หัวหน้าสาขาวิชาทัศนศิลป์ (อาจารย์พศิน เวียงแก้ว) คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน ลงชื่อ……………………………………………อาจารย์ที่ปรึกษา (อาจารย์รตบงกช อิฐไธสง) ลงชื่อ……………………………………………หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ (นายพัฒนะ นรินทร์) ลงชื่อ……………………………………………ครูพี่เลี้ยง (นายสราวุธ ใจแจ้ง)
ก ชื่อเรื่อง การศึกษาและพัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนการสอนโดยรูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ผู้วิจัย นายกฤษศณกันต์ สิงห์น้อย อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย อาจารย์รตบงกช อิฐไธสง และ อาจารย์พศิน เวียงแก้ว คุณครูพี่เลี้ยง นายสราวุธ ใจแจ้ง ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อศึกษา และพัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์งาน ทัศนศิลป์ของนักเรียนที่ใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยการศึกษาในครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อน และหลังการสอนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา (One Group Pretest-Posttest Design) กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กนักเรียนชาย-หญิง ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาเขต 20 จำนวน 1 ห้องจำนวนนักเรียนทั้งหมด 30 คน ผู้วิจัยได้ศึกษาและสร้างเครื่องมือ ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนตามการจัดการเรียนรู้ รูปแบบรูปแบบซิปปา จำนวน 4 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 1 ครั้ง รวม 4 สัปดาห์ และแบบ ประเมินทักษะ เรื่อง ประวัติศาสตร์ทัศนศิลป์ตะวันตก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นแบบมาตราส่วน ประเมินค่า 4 ระดับ โดยใช้เกณฑ์การประเมิน (Rubric Score) ประเมินความคิดสร้างสรรค์ในการ ออกแบบชิ้นงาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาการเรียนรู้โดยวิธีการสอนแบบรูปแบบซิปปาวิชาทัศนศิลป์เรื่อง ประวัติศาสตร์ทัศนศิลป์ ตะวันออกและตะวันตก สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 82/88.67 สูงกว่าเกณฑ์75/75 การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนน เฉลี่ย เท่ากับ 16.40 คะแนน และ 17.73 คะแนนตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนน ก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05
ข ทักษะกระบวนการคิดสร้างสรรค์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6มีค่าเฉลี่ย 17.73 คะแนน คิดเป็น ร้อยละ 88.67 และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างเกณฑ์กับคะแนนหลังเรียนของนักเรียน พบว่า ทักษะ กระบวนการสร้างสรรค์หลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 และการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยวิธีการ สอนโมเดลซิปปา วิชาทัศนศิลป์ เรื่อง ประวัติศาสตร์ทัศนศิลป์ตะวันออกและตะวันตก สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยรวมอยู่ในระดับ มาก (x̅ = 3.79)
ค กิตติกรรมประกาศ รายงานวิจัยฉบับนี้ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาทัศนศิลป์ เรื่อง ประวัติศาสตร์ทัศนศิลป์ตะวันตก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยรูปแบบการจัดการ เรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) รายงานวิจัยนี้สำเร็จลงได้ด้วยด้วยความกรุณาและความ ช่วยเหลือจากอาจารย์รตบงกช อิฐไธสง และอาจารย์พศิน เวียงแก้ว อาจารย์สาขาวิชาทัศนศิลป์คณะ ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี โดยท่านได้ให้คำแนะนำและคำปรึกษาพร้อมทั้งได้ตรวจสอบ ความถูกต้องของรูปแบบเนื้อหาตลอดจนการเก็บรวบรวมข้อมูลและการสรุปผลการวิจัย จนสำเร็จ ออกมาเป็นรูปเล่มมาในขณะนี้ ผู้จัดทำรายงานการวิจัยจึงขอขอบคุณพระคุณท่านไว้ ณ ที่นี้ ขอขอบพระคุณผู้เชี่ยวชาญ นายพัฒนะ นรินทร์หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ นานายสราวุธ ใจแจ้ง ครูพี่เลี้ยงกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ และนายอภิชาต โยธะพล ครูประจำการ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ที่กรุณาตรวจสอบ คุณภาพของเครื่องมือในการวิจัยของข้าพเจ้า และขอขอบคุณกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 ทุก ๆ คนที่ให้ความร่วมมือในการทำวิจัยในครั้งนี้ สุดท้ายนี้ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณครอบครัว และทุก ๆ ท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี กฤษศณกันต์ สิงห์น้อย
ง สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ก-ข กิตติกรรมประกาศ ค บทที่ 1 บทนำ 1 ที่มาและความสำคัญ 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2 สมมตฐานของการวิจัย 3 ขอบเขตของการวิจัย 3 นิยามศัพท์เฉพาะ 4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 5 กรอบแนวคิดการวิจัย 6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 7 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 7 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 11 สาระการเรียนรู้ศิลปะ ความหมายของความคิดสร้างสรรค์ 16 แนวคิดเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ 18 ความหมายของการออกแบบ 21 แนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบ 23 รูปแบบการเรียนการสอนตามการจัดการเรียนรู้ 27 โดยใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศและต่างประเทศ 33 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 37 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 37 รูปแบบในการทดลอง 37 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 38 การเก็บรวบรวมข้อมูล 40 การวิเคราะห์ข้อมูล 41 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 41
จ บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 43 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 43 ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 43 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 44 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 48 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 48 สมมติฐานของการวิจัย 48 วิธีการดำเนินการวิจัย 49 สรุปผลการวิจัย 50 อภิปรายผลการวิจัย 51 ข้อเสนอแนะของการวิจัย 52 บรรณานุกรม 54 ภาคผนวก ก 57 ภาคผนวก ข 118 ภาคผนวก ค 132 ภาคผนวก ง 135 ภาคผนวก จ 140 ประวัติผู้วิจัย 169
ฉ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า ตารางที่ 3.1 แบบแผนการทดลอง 38 ตารางที่ 4.1 การพัฒนาการเรียนรู้โดยวิธีการสอน 44 แบบรูปแบบซิปปา วิชาทัศนศิลป์เรื่อง ประวัติศาสตร์ทัศนศิลป์ตะวันตก สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 ตารางที่ 4.2 คะแนนผลงานก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน 45 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติทดสอบที และระดับนัยสำคัญทางสถิติของการทดสอบเปรียบเทียบคะแนนที่ 6 ตารางที่ 4.3 การเปรียบเทียบทักษะกระบวนการวิเคราะห์ของ 45 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล เรื่อง ประวัติศาสตร์ทัศนศิลป์ตะวันตก หลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 75 ตารางที่4.4 การศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ 46 โดยวิธีการสอนโมเดลซิปปา วิชาทัศนศิลป์ เรื่อง ประวัติศาสตร์ทัศนศิลป์ตะวันออกและตะวันตก สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
7 สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) 30 โดย ทิศนา แขมมณี (2542)
1 บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จึงเน้นให้มีการจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้มีคุณภาพด้านความรู้ และ ทักษะที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง และแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ยึดผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ถือว่าผู้เรียน มีความสำคัญที่สุด การจัดการศึกษาของไทยตามที่ปรากฏในแผนต่าง ๆของชาติ มีเป้าหมายและแนวทาง ไปในทิศทางเดียวกัน คือ การจัดการศึกษาต้องพัฒนาคนให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต(กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) เกษม วัฒนชัย (2545) ได้กล่าวว่า กระบวนการสอนและกระบวนการเรียนรู้ เป็นกระบวนการ เรียนรู้เกิดจากรับการถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อ ศรัทธา เจตคติ ค่านิยมทักษะต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมของผู้เรียนตามที่กำหนดไว้ ในวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้กระบวนการเรียนรู้เกิดกับผู้เรียนโดยผู้เรียนเท่านั้น ส่วนกระบวนการสอน เป็นกระบวนการที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในตัวผู้เรียนครูผู้สอนมีหน้าที่สร้างสิ่งแวดล้อมเพื่อกระตุ้น และ ชี้แนะและคอยช่วยเหลือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้การปฏิรูปการเรียนรู้จึงเน้นที่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้วิธีเรียนรู้ตลอดชีวิต คือ เรียนเป็น เรียนแล้วต้องคิดเป็นทำเป็น คิดดีทำดีอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ และ สามารถไปสู่จุดหมายชีวิตได้ ดังนั้นการเรียนรู้ คือ หัวใจของการปฏิรูปการศึกษาไทย ซึ่งการเรียนรู้เป็นการ เรียนเฉพาะบุคคลของผู้เรียนแต่ละคน ความสำนึกและความพร้อมของผู้เรียน อันได้แก่ การเชื่อศรัทธา ในสิ่งที่เรียนจะเกิดประโยชน์ มีคุณค่า ความใส่ใจ มีแรงบันดาลใจและความพร้อมที่จะเรียนรู้ ของผู้เรียนเป็นปัจจัยสำคัญ การเรียนรู้ที่แท้จริงเป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง การสอนเป็นกระบวนการสำคัญ เพื่อช่วยให้เกิดการเรียนรู้ ครูผู้สอนเปรียบเสมือนแหล่งความรู้หนึ่ง และเป็นผู้จัดการให้เกิดการเรียนรู้ ประเด็นสำคัญที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ คือ ต้องให้ผู้เรียนได้ค้นคว้า สืบเสาะหารความรู้ด้วยตนเอง จึงจะทำ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ครูผู้สอนต้องเป็นผู้ชี้แนะให้ความรู้ที่ครบถ้วนเป็นจริงและให้เห็นคุณค่าของสิ่งที่ จะเรียน การเรียนรู้ที่จะเกิดขึ้นได้ดีก็ต่อเมื่อผู้เรียนมีสมาธิ และรู้จักควบคุมตนเองได้ปัญหาที่สำคัญจาก การจัดกิจกรรม การเรียนการสอนและการประเมินผลรายวิชาศิลปะที่ผ่านมาครูศิลปะส่วนมากจะใช้ วิธีสอนแบบเดิม ๆ เช่น การสอนแบบบรรยายแบบบอกและการสาธิตให้นักเรียนทำตามแบบที่ครูกำหนด
2 บางครั้งเน้นการสอนให้ฝึกปฏิบัติมากเกินไปยึดครูเป็นตัวตั้งไม่มีการยึดนักเรียนเป็นสำคัญ (ประเวศ วะสี, 2543) ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนครูขาดประสบการณ์ การสอนและการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจ การสอนควรใช้วิธีการสอนหลาย ๆวิธีหรือหลากหลายเทคนิคเน้น นักเรียนเป็นสำคัญนักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมฝึกให้นักเรียนได้ทำ งานได้ลงมือปฏิบัติจริง เปิดโอกาส ให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดมีความรับผิดชอบและรู้จักการทำงานกับผู้อื่น (สุภาภรณ์ โม้แซง, 2551) ปัญหานักเรียนขาดทักษะการปฏิบัติงานทำให้การปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายในชั้นเรียน นักเรียนส่วนใหญ่ปฏิบัติได้ช้า ซึ่งก็จะมีปัญหาตามมา คือ เมื่อปฏิบัติช้าแต่เวลามีจำกัดทำให้ผู้เรียน เกิดการเลียนแบบงานที่ให้ทำ หรือลอกเลียนแบบชิ้นงานของเพื่อน ทำให้ผู้เรียนขาดความคิดสร้างสรรค์ ในการสร้างชิ้นงาน และเวลาในชั้นเรียนของนักเรียนที่จำกัดและไม่เพียงพอต่อการเรียน ทำให้ต้องใช้ วิธีการสอนที่เป็นทฤษฎีเป็นส่วนมากเข้ามาประกอบ ทำให้การเรียนการสอนได้ไม่เต็มที่ มีเวลาสร้าง ชิ้นงานที่ไม่เพียงพอ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ได้ศึกษาค้นคว้าวิธีการสอนที่จะสามารถพัฒนาทักษะ การ ปฏิบัติงานและความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน และวิธีที่นำมาแก้ปัญหา คือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบโมเดล ซิปปา (CIPPA MODEL) มาช่วยในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สามารถทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ แล้วยังสามารถพัฒนาทักษะปฏิบัติและความคิดสร้างสรรค์ที่จะสร้างขึ้นงานของผู้เรียนให้มีความแตกต่าง แปลกใหม่เพิ่มมากขึ้น จากเหตุผลที่นำเสนอข้างต้น ดังนั้นผู้วิจัยจึงต้องการศึกษาผลสัมฤทธิ์และเปรียบเทียบความคิด สร้างสรรค์ในการออกแบบชิ้นงานในรายวิชาทัศนศิลป์ ตามการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีผลต่อการมีความคิดสร้างสรรค์ในรายวิชาทัศนศิลป์อย่างไร และเพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนวิชาศิลปะให้มีประสิทธิภาพต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาด้านความคิดสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ของนักเรียนที่ใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2. เพื่อพัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ของนักเรียนที่ใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
3 สมมตฐานของการวิจัย 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ ที่เรียนการจัดการ เรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างก่อนเรียนกับหลัง เรียน 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอุบลรัตน์พิทยาคม มีทักษะความคิดสร้างสรรค์ในการ ออกแบบชิ้นงาน โดยจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน หลัง เรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตการวิจัย ดังนี้ 1. ประชากร ประชากรเป็นเด็กนักเรียนชาย-หญิง ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่กำลัง ศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 20 จำนวน 5 ห้อง จำนวนนักเรียนทั้งหมด 247 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กนักเรียนชาย-หญิง ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/11 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัด อุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 20 จำนวน 1 ห้อง จำนวนนักเรียนทั้งหมด 30 คน 3. ตัวแปรที่ศึกษา 3.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) 3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบชิ้นงาน ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล หลังเรียนที่สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 4. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาที่ผู้วิจัยนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในครั้งนี้คือวิชา ศิลปะ 5 (ทัศนศิลป์-ดนตรี) เรื่อง ประวัติศาสตร์ทัศนศิลป์ตะวันตก ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตร แกนกลางขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีรายละเอียดดังนี้
4 หน่วยที่ หน่วยการเรียนรู้ จำนวนชั่วโมง 7 ศิลปะคืออะไร 1 ทัศนศิลป์ตะวันตก 1 หากเราเกิดในยุคนั้น (ยุคก่อนประวัติศาสตร์) (ทฤษฎี) (ปฏิบัติ) 2 ทัศนศิลป์ยุคโบราณ (ทฤษฎี) (ปฏิบัติ) 2 ทัศนศิลป์ยุคกลาง (ทฤษฎี) (ปฏิบัติ) 2 ทัศนศิลป์ยุคกลาง ช่วงฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (ทฤษฎี) (ปฏิบัติ) 2 ทัศนศิลป์สมัยใหม่ (ทฤษฎี) (ปฏิบัติ) 2 รวม 10 5. ระยะเวลาในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้ระยะเวลาในการทดลองในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ใช้เวลาการทดลอง จำนวน 4 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ นิยามศัพท์เฉพาะ เพื่อให้การดำเนินการวิจัยในครั้งนี้มีความชัดเจน ผู้วิจัยจึงได้กำหนดความหมายของคำศัพท์ที่ใช้ ในการวิจัย ดังนี้ 1. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชาย-หญิง ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 20 2. การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) หมายถึง กิจกรรมการเรียนรู้ที่ สามารถให้ผู้เรียนได้เคลื่อนไหว และลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเหมาะสมกับวัยของนักเรียน เป็น กิจกรรมที่ท้าทายความคิดติปัญญาของผู้เรียน สามารถกระตุ้นความคิดของผู้เรียนได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้ ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดี
5 การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) มีขั้นตอน 7 ขั้น ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นการทบทวนความรู้เดิม เป็นการสนทนาซักถามถึงกิจกรรมที่เคยเรียนรู้ หรือพื้นความรู้ของนักเรียนใน เรื่องที่จะดำเนินการสอน ขั้นที่ 2 ขั้นการแสวงหาความรู้ใหม่ หมายถึง ให้นักเรียนได้รู้จักแหล่งที่จะค้นหาความรู้ เช่น แหล่งเรียนรู้ใน โรงเรียนไม่ว่าจะเป็นห้องสมุด สื่อเอกสาร มุมประสบการณ์ต่าง ๆ หรือแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เช่น ภูมิปัญญา สถานที่สำคัญในชุมชน เป็นต้น ขั้นที่ 3 ขั้นการศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่และเชื่อมโยงความรู้ใหม่ กับความรู้เดิม เป็นกิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียนได้นำความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้ามาทำความ เข้าใจแล้วใช้กระบวนการคิดในการประมวลข้อมูลที่รับเข้ามาใหม่กับข้อมูลเดิมทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ หรือสิ่งใหม่ ขั้นที่ 4 ขั้นการแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนเมื่อได้เรียนรู้แล้ว นำองค์ความรู้นั้นมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อสะท้อนความคิดของตน ขั้นที่ 5 ขั้นการสรุปและการจัดระเบียบความรู้ เพื่อให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนได้ง่าย เป็นกิจกรรมสรุปร่วมกัน โดยสังเคราะห์ สิ่งที่ได้เรียนรู้ ขั้นที่ 6 ขั้นการแสดงผลงาน เป็นกิจกรรมเสนอสิ่งที่เรียนรู้ในรูปของการจัดกิจกรรม ขั้นที่ 7 ขั้นการประยุกต์ใช้ความรู้ นำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ หรือเพื่อแก้ปัญหาในสิ่งที่ต้องการคำตอบ 3. ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบชิ้นงาน หมายถึง ความพยายามของมนุษย์ในการที่ จะใช้ความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นเพื่อประโยซน์ที่จะนำสู่การดำรงชีวิตที่ดีงาม การสร้างสรรค์ การออกแบบย่อมต้องมีเป้าหมายไปสู่สิ่งที่ดีกว่าและมีความเหมาะสมกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ ซึ่งอาจจะมีความ เหมาะสมทั้งด้านวัสดุอุปกรณ์ในการผลิต ความนิยม สภาพเศรษฐกิจ ประโยชน์ใช้สอยและคุณค่าทาง ความงาม
6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย 1. ทำให้ทราบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาทัศนศิลป์ การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิป ปา (CIPPA MODEL) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2. ทำให้ทราบผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาทัศนศิลป์ ที่เรียนด้วยการ จัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างก่อนเรียน กับหลังเรียน กรอบแนวคิดการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย ดังนี้ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม การจัดการเรียนรู้โดย ใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ทักษะความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบ ชิ้นงาน โดยจัดการการเรียนรู้ด้วยการใช้ การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน
7 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นแนวทางในการ ดำเนินงานวิจัย ดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้ศิลปะ 3. ความหมายของความคิดสร้างสรรค์ 4. แนวคิดเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ 5. ความหมายของการออกแบบ 6. แนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบ 7. รูปแบบการเรียนการสอนตามการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) 8. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) 9. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศและต่างประเทศ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ให้เป็น หลักสูตรแกนกลางของประเทศ โดยกำหนดจุดหมาย และมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายและกรอบ ทิศทางในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีขีดความสามารถในการ แข่งขันในเวทีระดับโลก พร้อมกันนี้ได้ปรับกระบวนการพัฒนาหลักสูตรให้มีความสอดคล้องกับเจตนารมณ์ แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ที่มุ่งเน้น การกระจาอำนาจทางการศึกษาให้ท้องถิ่นและสถานศึกษาได้มีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนา หลักสูตร เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพ และความต้องการของท้องถิ่น เอกสารหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นี้จัดทำขึ้นสำหรับท้องถิ่น และสถานศึกษาได้นำไปใช้เป็นกรอบและทิศทางในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา และจัดการเรียนการ สอนเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้มีคุณภาพด้านความรู้และทักษะ
8 ที่จำเป็นสำหรับ การดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง และแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองอย่าง ต่อเนื่องตลอดชีวิต มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ในเอกสารนี้ ช่วยทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุก ระดับเห็นผลคาดหวังที่ด้องการในการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ชัดเจนตลอดแนวซึ่งจะสามารถช่วยให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับท้องถิ่นและสถานศึกษาร่วมกันพัฒนาหลักสูตรได้อย่างมั่นใจ ทำให้การจัดทำ หลักสูตรในระดับสถานศึกษามีคุณภาพและมีความเป็นเอกภาพยิ่งขึ้นอีกทั้งยังช่วยให้เกิดความชัดเจนเรื่อง การวัดแถะประเมินผลการเรียนรู้ และช่วยแก้ปัญหาการเทียบโอนระหว่างสถานศึกมา ดังนั้นในการพัฒนา หลักสูตรในทุกระดับตั้งแต่ระดับชาติจนกระทั่งถึงสถานศึกษา จะต้องสะท้อนคุณภาพตามมาตรฐานการ เรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมทั้งเป็นกรอบทิศทางในการ จัดการศึกมาทุกรูปแบบและครอบคลุมผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมายในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การจัดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานจะประสบความสำเร็จดามเป้าหมายที่คาดหวังได้ทุกฝ่ายที่ เกี่ยวข้องทั้งระดับชาติ ชุมชน ครอบครัวและบุคคลต้องร่วมรับผิคชอบ โดยร่วมกันทำงานอย่างเป็นระบบ และต่อเนื่อง ในการวางเผน คำเนินการ ส่งเสริมสนับสนุน ตรวจสอบ ตลอดจน ปรับปรุงแก้ไข เพื่อพัฒนา เยาวชนของชาติไปสู่คุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกยาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็น มนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งค้านร่างกายความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะ พื้นฐาน รวมทั้ง เจตกติ ที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิตโดยมุ่งเน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาคนเองได้เต็มตามสักยภาพ หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญ อังนี้ 1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการ เรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคดิ และคุณธรรมบนพื้นฐาน ของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่าง เสมอภาคและมีคุณภาพในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความด้องการของท้องถิ่น 3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วม 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มี โครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้เวลาและ การจัดการเรียนรู้
9 5. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สมารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและ ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยืดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง 2. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีและมี ทักษะชีวิต 3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย 4. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและ การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมี ความสุข สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในการพัฒนาตู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียน ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ดังนี้ 1. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1.1 ความสามารถในการสื่อสารเป็นความสามารถในการรับและส่งสารมี วัฒนธรรมในการใช้กามาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของคนเองเพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาดนเองและสังคมรวมทั้งการ เจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลัก เหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มี ต่อคนเองและสังคม
10 1.2 ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิด สังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การ สร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการดัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมใด้อย่างเหมาะสม 1.3 ความตามารถในการแก้ปัญหาเป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและ อุปสรรคด่าง า ที่เผชิญใด้อย่างถูกต้องหมาะสมบนพื้นฐานของหลักหลุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้มา ใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาและมีการตัคสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อ ตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 1.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำ กระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการคำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยคนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องการ ทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคลการจัดการปัญหา และความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและ สภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเสี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 1.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีค้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาคนเองและสังคม ในด้านการ เรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม 2. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2. ซื่อสัตย์สุจริต 3. มีวินัย 4. ใฝ่เรียนรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 6.มุ่งมั่นในการทำงาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ นอกจากนี้ สถานศึกมาสามารถกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้ สอดกล้องตามบริบทและจุดเน้นของตนเอง
11 มาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงกำหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี ภาษาต่างประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ใด้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำคัญของการ พัฒนาคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรม และคำนิยม ที่พึงประสงค์เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสำคัญ ในการ ขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ พราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการอะไร จะสอน อย่างไร และประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาโดย ใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอก ซึ่งรวมถึงการทคสอบระดับเขด พื้นที่การศึกษา และการทดสอบระดับชาติระบบการตรวจสอบเพื่อประกันคุณภาพลังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่ ช่วยสะท้อนภาพการจัดการศึกมาว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพคามที่มาตรฐานการเรียนรู้กำหนด เพียงใด หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ทำไมต้องเรียนศิลปะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะเป็นกลุ่มสาระที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีจินตนาการทางศิลปะ ชื่นชมความงาม มีสุนทรียภาพ ความมีคุณค่า ซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์ กิจกรรมทางศิลปะช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม ตลอดจน การนำไปสู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นในตนเอง อันเป็นพื้นฐาน ในการศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพได้
12 เรียนรู้อะไรในศิลปะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะวิธีการทาง ศิลปะ เกิดความซาบซึ้งในคุณค่าของศิลปะ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงออกอย่างอิสระในศิลปะแขนงต่าง ๆ และมีความรู้ความเข้าใจองค์ประกอบศิลป์ ทัศนธาตุ สร้างและนำเสนอผลงานทางทัศนศิลป์ จากจินตนาการ โดยสามารถใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม รวมทั้งสามารถใช้เทคนิค วิธีการของศิลปินในการ สร้างงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่างานทัศนศิลป์เข้าใจความสัมพันธ์ ระหว่างทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่างานศิลปะที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล ชื่นชม ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ ๑ ทัศนศิลป์ มาตรฐาน ศ ๑.๑ สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ตามจินตนาการ และความคิด สร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่างานทัศนศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดต่องานศิลปะอย่าง อิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มาตรฐาน ศ ๑.๒ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่างานทัศนศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และสากล จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ รู้และเข้าใจเรื่องทัศนธาตุและหลักการออกแบบและเทคนิคที่หลากหลายในการ สร้างงาน ทัศนศิลป์ ๒ มิติ และ ๓ มิติ เพื่อสื่อความหมายและเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างมีคุณภาพ วิเคราะห์รูปแบบ เนื้อหาและประเมินคุณค่างานทัศนศิลป์ของตนเองและผู้อื่น สามารถเลือกงานทัศนศิลป์โดยใช้เกณฑ์ที่ กำหนดขึ้นอย่างเหมาะสม สามารถออกแบบรูปภาพ สัญลักษณ์ กราฟิก ในการนำเสนอข้อมูลและมี ความรู้ ทักษะที่จำเป็นด้านอาชีพที่เกี่ยวข้องกันกับงานทัศนศิลป์ รู้และเข้าใจการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของงานทัศนศิลป์ของชาติและท้องถิ่น แต่ละยุคสมัย เห็นคุณค่างานทัศนศิลป์ที่สะท้อนวัฒนธรรมและสามารถเปรียบเทียบงานทัศนศิลป์ ที่มาจากยุคสมัยและวัฒนธรรมต่าง ๆ
13 รู้และเข้าใจถึงความแตกต่างทางด้านเสียง องค์ประกอบ อารมณ์ ความรู้สึก ของบท เพลงจากวัฒนธรรมต่าง ๆ มีทักษะในการร้อง บรรเลงเครื่องดนตรี ทั้งเดี่ยวและเป็นวงโดยเน้นเทคนิคการ ร้องบรรเลงอย่างมีคุณภาพ มีทักษะในการสร้างสรรค์บทเพลงอย่างง่าย อ่านเขียนโน้ต ในบันไดเสียงที่มี เครื่องหมาย แปลงเสียงเบื้องต้นได้ รู้และเข้าใจถึงปัจจัยที่มีผลต่อรูปแบบของผลงานทางดนตรี องค์ประกอบของผลงานด้านดนตรีกับศิลปะแขนงอื่น แสดงความคิดเห็นและบรรยายอารมณ์ความรู้สึกที่มี ต่อบทเพลง สามารถนำเสนอบทเพลงที่ชื่นชอบได้อย่างมีเหตุผล มีทักษะในการประเมินคุณภาพของบท เพลงและการแสดงดนตรี รู้ถึงอาชีพต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับดนตรีและบทบาทของดนตรีในธุรกิจบันเทิง เข้าใจถึงอิทธิพลของดนตรีที่มีต่อบุคคลและสังคม รู้และเข้าใจที่มา ความสัมพันธ์ อิทธิพลและบทบาทของดนตรีแต่ละวัฒนธรรมในยุคสมัย ต่าง ๆ วิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้งานดนตรีได้รับการยอมรับ รู้และเข้าใจการใช้นาฏยศัพท์หรือศัพท์ทางการละครในการแปลความและสื่อสาร ผ่านการแสดง รวมทั้งพัฒนารูปแบบการแสดง สามารถใช้เกณฑ์ง่าย ๆ ในการพิจารณาคุณภาพ การแสดง วิจารณ์เปรียบเทียบงานนาฏศิลป์ โดยใช้ความรู้เรื่ององค์ประกอบทางนาฏศิลป์ ร่วมจัดการแสดง นำแนวคิดของการแสดงไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน รู้และเข้าใจประเภทละครไทยในแต่ละยุคสมัย ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง ของนาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์พื้นบ้าน ละครไทย และละครพื้นบ้าน เปรียบเทียบลักษณะเฉพาะ ของการแสดงนาฏศิลป์จากวัฒนธรรมต่าง ๆ รวมทั้งสามารถออกแบบและสร้างสรรค์อุปกรณ์ เครื่องแต่งกายในการแสดงนาฏศิลป์และละคร มีความเข้าใจ ความสำคัญ บทบาทของนาฏศิลป์ และละครในชีวิตประจำวัน จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ รู้และเข้าใจเกี่ยวกับทัศนธาตุและหลักการออกแบบในการสื่อความหมาย สามารถใช้ศัพท์ ทางทัศนศิลป์ อธิบายจุดประสงค์และเนื้อหาของงานทัศนศิลป์ มีทักษะและเทคนิคในการใช้วัสดุ อุปกรณ์ และกระบวนการที่สูงขึ้นในการสร้างงานทัศนศิลป์ วิเคราะห์เนื้อหาและแนวคิด เทคนิควิธีการ การ แสดงออกของศิลปินทั้งไทยและสากล ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ในการออกแบบสร้างสรรค์งานที่
14 เหมาะสมกับโอกาส สถานที่ รวมทั้งแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพสังคมด้วยภาพล้อเลียนหรือการ์ตูน ตลอดจนประเมินและวิจารณ์คุณค่างานทัศนศิลป์ด้วยหลักทฤษฎีวิจารณ์ศิลปะ วิเคราะห์เปรียบเทียบงานทัศนศิลป์ในรูปแบบตะวันออกและรูปแบบตะวันตก เข้าใจ อิทธิพลของมรดกทางวัฒนธรรมภูมิปัญญาระหว่างประเทศที่มีผลต่อการสร้างสรรค์ งานทัศนศิลป์ในสังคม รู้และเข้าใจรูปแบบบทเพลงและวงดนตรีแต่ละประเภท และจำแนกรูปแบบของ วงดนตรีทั้งไทยและสากล เข้าใจอิทธิพลของวัฒนธรรมต่อการสร้างสรรค์ดนตรี เปรียบเทียบอารมณ์และ ความรู้สึกที่ได้รับจากดนตรีที่มาจากวัฒนธรรมต่างกัน อ่าน เขียน โน้ตดนตรีไทยและสากล ในอัตราจังหวะ ต่าง ๆ มีทักษะในการร้องเพลงหรือเล่นดนตรีเดี่ยวและรวมวงโดยเน้นเทคนิคการแสดงออกและคุณภาพ ของการแสดง สร้างเกณฑ์สำหรับประเมินคุณภาพการประพันธ์การเล่นดนตรีของตนเองและผู้อื่นได้อย่าง เหมาะสม สามารถนำดนตรีไประยุกต์ใช้ในงานอื่น ๆ วิเคราะห์ เปรียบเทียบรูปแบบ ลักษณะเด่นของดนตรีไทยและสากลในวัฒนธรรมต่าง ๆ เข้าใจบทบาทของดนตรีที่สะท้อนแนวความคิดและค่านิยมของคนในสังคม สถานะทางสังคม ของนักดนตรี ในวัฒนธรรมต่าง ๆ สร้างแนวทางและมีส่วนร่วมในการส่งเสริมและอนุรักษ์ดนตรี มีทักษะในการแสดงหลากหลายรูปแบบ มีความคิดริเริ่มในการแสดงนาฏศิลป์เป็นคู่และ เป็นหมู่ สร้างสรรค์ละครสั้นในรูปแบบที่ชื่นชอบ สามารถวิเคราะห์แก่นของการแสดงนาฏศิลป์และละครที่ ต้องการสื่อความหมายในการแสดง อิทธิพลของเครื่องแต่งกาย แสง สี เสียง ฉาก อุปกรณ์ และสถานที่ที่ มีผลต่อการแสดง วิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์และละคร พัฒนาและใช้เกณฑ์การประเมินในการประเมิน การแสดง และสามารถวิเคราะห์ท่าทางการเคลื่อนไหวของผู้คนในชีวิตประจำวันและนำมาประยุกต์ใช้ใน การแสดง เข้าใจวิวัฒนาการของนาฏศิลป์และการแสดงละครไทย และบทบาทของบุคคลสำคัญ ใน วงการนาฏศิลป์และการละครของประเทศไทยในยุคสมัยต่าง ๆ สามารถเปรียบเทียบการนำการแสดงไป ใช้ในโอกาสต่าง ๆ และเสนอแนวคิดในการอนุรักษ์นาฏศิลป์ไทย ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระที่1 ทัศนศิลป์ มาตรฐาน ศ 1.1 สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ตามจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่างานทัศนศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดต่องานศิลปะอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
15 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.4-6 1. วิเคราะห์การใช้ทัศนธาตุ และหลักการ ออกแบบในการสื่อความหมายในรูปแบบ ต่าง ๆ - ทัศนธาตุและหลักการออกแบบ 2. บรรยายจุดประสงค์และเนื้อหาของงาน ทัศนศิลป์โดยใช้ศัพท์ทางทัศนศิลป์ - ศัพท์ทางทัศนศิลป์ 3. วิเคราะห์การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ และ เทคนิคของศิลปินในการแสดงออกทาง ทัศนศิลป์ - วัสดุ อุปกรณ์ และเทคนิคของศิลปิน ในการแสดงออกทางทัศนศิลป์ 4. มีทักษะและเทคนิคในการใช้วัสดุอุปกรณ์ และกระบวนการที่สูงขึ้น ในการ สร้างงานทัศนศิลป์ - เทคนิค วัสดุ อุปกรณ์ กระบวนการในการ สร้างงานทัศนศิลป์ 5. สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยเน้นหลักการออกแบบและการจัด องค์ประกอบศิลป์ - หลักการออกแบบและการจัดองค์ประกอบ ศิลป์ด้วยเทคโนโลยี 6. ออกแบบงานทัศนศิลป์ได้เหมาะกับ โอกาสและสถานที่ - การออกแบบงานทัศนศิลป์ 7. วิเคราะห์และอธิบายจุดมุ่งหมายของ ศิลปินในการเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ เทคนิค และเนื้อหา เพื่อสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ - จุดมุ่งหมายของศิลปินในการเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ เทคนิคและเนื้อหา ในการสร้างงาน ทัศนศิลป์ 8. ประเมินและวิจารณ์งานทัศนศิลป์โดยใช้ ทฤษฎีการวิจารณ์ศิลปะ - ทฤษฎีการวิจารณ์ศิลปะ 9. สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ไทย สากล โดยศึกษาจากแนวคิดและวิธีการสร้างงาน ของศิลปินที่ตนชื่นชอบ - การสร้างงานทัศนศิลป์จากแนวคิดและ วิธีการของศิลปิน 10. วาดภาพ ระบายสีเป็นภาพล้อเลียน หรือภาพการ์ตูนเพื่อแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับสภาพสังคมในปัจจุบัน - การวาดภาพล้อเลียนหรือภาพการ์ตูน
16 สาระที่ 1 ทัศนศิลป์ มาตรฐาน ศ 1.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่างานทัศนศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และสากล ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแกนกลาง ม.4-6 1. วิเคราะห์ และเปรียบเทียบงานทัศนศิลป์ ในรูปแบบตะวันออกและรูปแบบตะวันตก - งานทัศนศิลป์รูปแบบตะวันออกและ ตะวันตก 2. ระบุงานทัศนศิลป์ของศิลปินที่มีชื่อเสียง และบรรยายผลตอบรับของสังคม - งานทัศนศิลป์ของศิลปินที่มีชื่อเสียง 3. อภิปรายเกี่ยวกับอิทธิพลของวัฒนธรรม ระหว่างประเทศที่มีผลต่องานทัศนศิลป์ ในสังคม - อิทธิพลของวัฒนธรรมระหว่างประเทศ ที่มีผลต่องานทัศนศิลป์ ความหมายของความคิดสร้างสรรค์ ในวงการศึกษาถือว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องสำคัญของมนุษย์ จึงได้มีการศึกษา ค้นคว้า อย่างต่อเนื่อง และได้มีผู้ให้ความหมายของความคิดสร้างสรรค์ไว้ในแง่มุมต่าง ๆ ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2535: 43) ได้กล่าวว่า การคิดสร้างสรรค์ เป็นการคิดแบบหลากหลายทิศทาง อันนำไปสู่กระบวนการคิดสิ่งที่แปลกใหม่ รวมทั้งการคิด การค้นพบ การแก้ปัญหาใหม่ ตลอดจนการคิดค้นทฤษฎีต่าง ๆ อันก่อให้เกิด การเปลี่ยนแปลง และเกิดประโยชน์ต่อสังคม ป.มหาขันธ์ (2539: 2-3) กล่าวว่า ความสร้างสรรค์แสดงออกได้หลายด้าน เช่น การวาดภาพ การปั้น การประดิษฐ์ และอีกมากมาย ซึ่งจะมีความคิดที่ต่างไปจากของผู้อื่น ตลอดจน การสอดแทรกอารมร์เข้าไปในงานนั้นด้วย ความสร้างสรรค์ เป็นคุณสมบัติของมนุษย์ ที่ทำให้มนุษย์ ต่างจากสัตว์ เช่น นกเคยทำรังอย่างไร ก็สร้างรังอยู่อย่างนั้น ซึ่งต่างจากมนุษย์ ที่รู้จักสร้างกระท่อม สร้างบ้าน มีการต่อเติมส่วนต่าง ๆ ตามความคิดของตัวเอง และมีการปรับปรุงและแก้ไขอยู่ตลอด ซึ่งเป็นความแปลกใหม่ ไม่ซ้ำของผู้ใดที่มีอยู่เดิม ทน เขตกัน (2539: 12) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์ เป็นความสามารถที่มีอยู่ ในตัวบุคคลแต่ละบุคคล ซึ่งผลงงานเหล่านั้นจะเป็นผลงานที่แปลกใหม่ สวยงาม และนำไปใช้ประโยชน์ได้
17 กิลฟอร์ด (ทน เขตกัน. 2550: 6 อ้างอิงจาก Guilford. 1958: 63) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถทางสมอง สามารถคิดได้หลายทาง มีความคล่องแคร่วในการคิด ความยืดหยุ่น และความคิดเฉพาะของตนเอง มีความเป็นอิสระในการคิด แอนเดอร์สัน (ทน เขตกัน. 2550: 6 อ้างอิงจาก Anderson. 1995: 135) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์ คือ ความสามารถของบุคคลในการใช้สมองในการคิดแก้ปัญหาด้วยการคิดอย่างลึกซึ้ง ซึ่งนอกเหนือไปจากการคิดแบบปกติธรรมดา เป็นลักษณะของการคิดในแง่มุมที่หลากหลายผสมผสาน จนได้ผลผลิตที่สมบูรณ์ อารีย์ รังสินันท์ (ทน เขตกัน. 2550: 5 อ้างอิงจาก อารีย์ รังสินันท์. 2535: 2) ให้ ความหมายว่า การคิด การจินตนาการ และการประยุกต์ ที่สามารถนำไปสู่สิ่งใหม่ ๆ ซึ่งเป็นความคิดใน ลักษณะที่อาจคาดไม่ถึงหรือมองข้าม เป็นความคิดที่หลากหลาย คิดได้กว้างไกล นำไปสู่สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ทางเทคโนโลยี อาจเกิดจากการคิดผสมผสานเชื่อมโยงกันระหว่างความคิดใหม่ ๆ ที่แก้ปัญหา และ เอื้ออำนวยประโยชน์ต่อตนเองและสังคม เดอ โบโน (เกษร ธิตะจารี. 2535: 39; อ้างอิงจาก De Bono. 1970: 117) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์ คือ สิ่งที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์เอง ซึ่งจะมีมากหรือนอบขึ้นอยู่กับตัวของบุคคล หรือ เข้าใจว่า อยู่ที่ความถนัด หรือความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์นอกจากจะขึ้นเองจากตัวบุคคลแล้ว ยังสามารถเกิดขึ้นได้จากการสะสมประสบการณ์ และแก้ปัญหา ซึ่ง De Bono (1970) ได้กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์สามารคเกิดขึ้นได้โดยใช้โรงเรียนเป็นฐานข้อมูลที่ต้องสอนให้นักเรียนมีประสบการณ์ ในการแก้ไขปัญหา และรู้จักใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา ซึ่งความคิดสร้างสรรค์เกิดจาก ความคิดริเริ่ม ซึ่งเป็นความคิดที่อยู่ภายในจิตใจ ความเพ้อฝัน จินตนาการ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีเหตุทำให้ เกิดความคิดสร้างสรรค์แบบฉับพลัน ธูปทอง ศรีทองท้วม (2539: 10; อ้างอิงจาก วิจิตร วรุตยางกูร. 2520 และ วิชัย วงษ์ใหญ่ 2523: 4) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์ คือ จินตนาการประยุกต์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา นอกเหนือจากการคิดแก้ปัญหาแบบปกติ และเป็นการรวมกันระหว่างความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่ เข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดผลผลิตใหม่ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ สรุปว่า ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง เป็นคุณสมบัติของมนุษย์ ที่ทำให้มนุษย์มีความพิเศษ ต่างจากสัตว์ เนื่องจากมนุษย์มีการพัฒนาความคิดอยู่ตลอดเวลา เป็นความสามรถส่วนบุคลที่ใช้แก้ปัญหา อย่างลึกซึ้ง นอกเหนือไปจากการคิดแบบธรรมดา จะทำให้เกิดแนวความคิดใหม่ ที่ใกล้เคียง กับความคิดเดิม หรืออาจพิสดารไปจากเดิม ซึ่งเกิดจากจินตนาการ และวิถีที่แตกต่างไปตามวิธีทางการคิด ของแต่ละบุคคล หรือ อาจเกิดจากการบูรณาการความรู้ต่าง ๆ ที่ได้จากประสบการณ์เดิมแล้วเชื่อมโยง
18 กับสถานการณ์ใหม่ ซึ่งความคิดสร้างสรรค์ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งใหม่ระดับโลก อาจะเป็นเพียงกระบวนการ หรือวิธีการเท่านั้นก็ได้ แนวคิดเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ ความหมายของความคิดสร้างสรรค์ มีแตกต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้ แนวคิดทางด้านความคิด สร้างสรรค์ย่อมแตกต่างกันออกไป ดังนี้ ชาญณรงค์ พรรุ่งโรงน์ (2543: 45-46; อ้างอิงจาก Mednick: 1970) อธิบายความคิด สร้างสรรค์ในรูปแบบของกระบวนการคิดแบบโยงสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองต่าง ๆ ที่แปลก ใหม่ซึ่งความคิดสร้างสรรค์เป็นการคิดแบบหลายทาง และมีประสิทธิภาพมากกว่าการคิดแบบทิศทางเดียว ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ จึงเป็นผู้ที่สามารถคิดหา และค้นพบความสัมพันธ์ใหม่ ๆ ระหว่างสิ่ง ต่าง ๆ มีความสามรถในการแก้ปัญหาเป็นอย่างดี ทน เขตกัน (2550: 9 อ้างอิงจาก สมเกียรติ ภักดี 2537: 44-45) การสร้างสรรค์ให้เกิดผล งานที่แปลกใหม่ขึ้นได้นั้น เกิดจากแนวคิดดังนี้ 1. การสลับให้ต่างจากที่เห็น 1.1 การสลับให้ผิดจากตำแหน่งเดิมที่เคยเห็นมาก่อน เช่น การกลัดเข็มกลัด ซึ่งคน ส่วนใหญ่กลัดเข็มกลัดที่หน้าอก อาจะนำมาวดัดแปลงตำแหน่งในการกลัดเข็มกลัดในตำแหน่งอื่น ๆ จากที่ เคยเห็น เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างสรรค์โดยสลับให้ผิดจากตำแหน่งเดิม 1.2 การสลับให้มีรูปร่างรูปทรงต่างไปจากเดิม เช่น ขยายบางส่วนให้โตขึ้น หรือทำ ให้บางส่วนเล็กลง การสลับขนาดและรูปร่างนี้เราจะพบเห็นอยู่ทั่วไป ซึ่งถือว่าเป็นแนวคิดทำให้เกิดการ สร้างสรรค์เช่นเดียวกัน 1.3 การสลับให้มีสีสันแตกต่างไปจากเดิม ซึ่งจะทำให้แปลกตาต่อผู้พบเห็น และสี เกี่ยวข้องกับเรื่องแสงและเงา เพราะสีมีความสัมพันธ์กับแสงและเงาด้วย 1.4 การสลับให้เกิดประโยชน์ใช้สอยต่างกันจากที่เคยพบเห็นมาก่อน เช่น การนำกระติบข้าวมาทำแจกัน การนำขวดพลาสติกมาทำเป็นพัดลม การนำเชือกมาทำเป็นดอกไม้ เป็นต้น 2. การสร้างความคิดให้สับสน 2.1 การดำเนินเรื่องโดยสร้างเป็นเรื่องใหม่ต่างจากที่เคยเห็นมาก่อน 2.2 การเน้นส่วนที่ไม่สำคัญที่เด่นขึ้น 2.3 การสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่ให้เห็นว่าอาจจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้
19 3. การปรับแต่งดัดแปลงใหม่ 3.1 การทำให้ใหม่ขึ้นโดยปรับของเดิมให้แปลกใหม่ขึ้น 3.2 การปรับปรุงให้เหมาะสมกับเวลาและบริเวณต่าง ๆ เช่น การแสดงละคร ที่ต้องใช้เวลาให้น้อยลง การจัดฉากให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ เป็นต้น มาสโลว์ และ โรเจอร์ (ชลธิชา. 2554: 14–16 อ้างอิงจาก Maslow: 1908-1970 และ Rogers: 1902-1987) กล่าว่า ผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ คือผู้ที่เข้าใจ และยอมรับตนเอง รู้จักกตนเองทั้งใน ส่วนที่ดีหรือส่วนที่บกพร่อง สามารถพึ่งพาตันเอง และสามารถคิดริเริ่มด้วนตัวเองได้ มองเห็นคุณค่าของ ตนเอง สามารถคิดสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดประโยชน์ต่อสังคม โดยกลุ่มมนุษย์นิยมได้เน้นถึงสถานการณ์ ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ซึ่งต้องประกอบด้วย 1. ภาวะความปลอดภัยทางจิต 1.1 การยอมรับในค่าของตนเอง 1.2 ไม่มีการตีราคา หรือเปรียบเทียบ 1.3 การเต็มใจรับผิดชอบในสิงที่ตัวเงอตัดสินใจ 2. ภาวะที่มีเสรีในการแสดงออก 2.1 มีจิตใจที่กว้าง เต็มใจรับความรู้และประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่ เกิดขึ้นบนโลก 2.2 มีความปรารถนาที่จะเล่นกับความคิด รู้จักสภาพความเป็นจริง มีเสรีภาพใน การแสดงออก จะสามารถทำให้เกิดผลงานที่สร้างสรรค์ได้ ดาวิส (กรมวิชาการ, 2544, น. 6-7 อ้างอิงจาก Davis, 1973 ) ได้มีการวบรวมแนวคิด เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ของนักจิตวิทยาที่ได้กล่าวถึงทฤษฎีของความคิดสร้างสรรค์ โดยสามารถ แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 4 กลุ่ม ดังนี้ 1. ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงจิตวิเคราะห์ ฟรอยด์ (Freud) และคริส (Kris) ได้เสนอ แนวคิดเกี่ยวกับการเกิดความคิดสร้างสรรค์ว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นผลมาจากความขัดแย้งภายในจิตใต้ สานึกระหว่างแรงขับทางเพศ กับความรู้สึกรับผิดชอบทางสังคม 2. ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงพฤติกรรมนิยม Pryor, Haag, and O’Reily (1969) มีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องความคิดสร้างสรรค์ว่า เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้เป็นบางอย่างที่ เกิดขึ้นโดยไม่เกิดจากสิ่งปกติที่มนุษย์ทำ เน้นที่ความสำคัญของการเสริมแรงเป็นหลัก การตอบสนองที่ ถูกต้องกับสิ่งเร้าเฉพาะหรือสถานการณ์ นอกจากนี้ยังเน้นความสัมพันธ์ทางปัญญา คือการโยง ความสัมพันธ์จากสิ่งเร้าหนึ่งสิ่งไปยังสิ่งเร้าต่าง ๆ ทำให้เกิดความคิดใหม่ หรือสิ่งใหม่เกิดขึ้น
20 3. ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงมนุษยนิยม นักจิตวิทยาในกลุ่มนี้ เช่น แฟร์ (Faire),อลิส (Illich) และนีล (Neil) มีแนวคิดว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่มนุษย์มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ผู้ที่สามารถนำความคิดสร้างสรรค์ออกมาใช้ได้คือผู้ที่รู้จักตนเอง พอใจตนเอง และใช้ตนเองเต็มตาม ศักยภาพของตนมนุษย์จะสามารถแสดงความคิดสร้างสรรค์ของตนเองมาได้ย่างเต็มที่นั้นขึ้นอยู่กับการ สร้างสภาวะหรือบรรยากาศที่เอื้ออำนวย 4. ทฤษฎีอูต้า (AUTA) ทฤษฎีนี้เป็นรูปแบบของการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ให้เกิดขึ้นในตัวบุคคล โดยมีแนวคิดว่าความคิดสร้างสรรค์นั้นมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนและสามารถพัฒนา ให้สูงขึ้นได้ซึ่งประกอบด้วย 4.1 การตระหนัก (Awareness) คือ การตระหนักถึงความสำคัญของความคิด สร้างสรรค์ที่มีต่อตนเอง และสังคม ทั้งในปัจจุบันและอนาคต 4.2 ความเข้าใจ (Understanding) คือ มีความรู้ ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งใน เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์ 4.3 เทคนิควิธี (Techniques) คือ เทคนิคในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทั้งที่ เป็นเทคนิคส่วนบุคคล และเทคนิคที่เป็นมาตรฐาน 4.4 การตระหนักในความจริงของสิ่งต่าง ๆ (Actualization) คือ การรู้จักหรือ ตระหนักในตนเอง พอใจในตนเอง และพยายามใช้ตนเองเต็มศักยภาพ รวมทั้งการเปิดกว้างรับ ประสบการณ์ต่าง ๆ โดยมีการปรับตัวได้อย่างเหมาะสม การตระหนักถึงเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน การ ผลิตผลงานด้วยตนเอง และมีความคิดที่ยืดหยุ่นเข้ากับทุกรูปแบบของชีวิต วิรุณ ตั้งเจริญ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิริพรรณ ตันติรัตนไพศาล 2543, 14 – 15 อ้างอิงจาก วิรุณ ตั้งเจริญ 26 : 7) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งล้ำค่าที่อยู่ในมนุษย์เท่านั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับการ คิดในสิ่งใหม่ และการสร้างขึ้นมาใหม่นั้นต้องคุณค่า และสามารถใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งมนุษย์จะสามารถแสดง แนวความคิดที่แปลกใหม่และเป็นประโยชน์ได้ในบรรยากาศที่เป็นเสรีภาพต่อตนเอง เลิศ อานันทนะ (2535: 42) กล่าวว่า ความคิดเริ่มสร้างสรรค์ไม่ได้เกิดจาพรสวรรค์ หรือมา จากรรมพันธุ์ที่สืบทอดกันมา แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังเช่นเดียวกับบุคลิกภาพ เป็นสิ่งที่ดีงาม สามารถ ส่งเสริมให้เจริญงอกงามได้ เป็นคุณสมบัติที่มีอยู่ในทุก ๆ คน ในเรื่องของการคิด การอกแบบและ แสดงออกในลักษณะต่าง ๆ ที่มีความแปลกใหม่ เป็นสิ่งที่มนุษย์ดำรงชีวิตได้ดีกว่าเดิม อีริค ฟรอมม์ (รองศาสตรจารย์เกษม สุดหอม, อาจารย์บำรุง กลัดเจริญ และอาจารย์ทอง เรียน อมรัชกุล: 213 อ้างอิงจาก Erid Fromm) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์ เป็นความสามารถที่จะเห็น หรือรู้เห็น และมีปฏิกิริยาโต้ตอบ (Creativity is the ability to see and to be aware and to respond) เช่น การเห็นสิ่งที่สวยงามเราก็จะรู้สึกชื่นชอบ และสามารถบรรยายออกมาได้ แต่ในส่วนคนที่
21 ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ก็จะมองเห็นสิ่งสวยงามแล้วไม่รู้สึกอะไรเลย ซึ่งการเห็นแล้วเกิดปฏิกิริยามีตัวอย่าง บุคคล เช่น Newton เห็นผลแอปเปิลตก ก็สามารถคิดทฤษฎีแรงดึงดูดได้ส่วน Jame Watt มองเห็นไอ น้ำที่ปากหม้อ ก็สามารถคิดค้นเครื่องจักรจากไอน้ำได้ เป็นต้น จาการสังเคราะห์เอกสารต่าง ๆ สามารถสรุปเกี่ยวกับแนวคิดที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ ได้ว่า เป็นการคิดในสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งมีการตอบสนองกลับมา เป็นการคิดแบบหลากหลายหนทาง ซึ่งดีกว่าการ คิดเพียงทางเดียว เป็นสิ่งที่ไม่ได้มาจากพันธุกรรม แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ภายหลัง เช่นเดียวกับบุคลิกภาพใน ตัวบุคคล ที่สามารถเจริญงอกงามได้อยู่เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ล้ำค่าในตัวของมนุษย์ จึงทำให้มนาย์มีความพิเศษ กว่าสัตว์อื่น ๆ เพราะมนุษย์สามรถมาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดประโยชน์แก่ตนเองได้ และทำให้มนุษย์อยู่ รอด แต่พอมองไปที่นก มันเคยทำรังอย่างไร ก็ทำรังอยู่เพียงแค่แบบเดิม ๆ ทำให้บางสายพันธ์ก็สูญพันธ์ไป เนื่องจากไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถาพแวดล้อมได้ เป็นต้น ความหมายของการออกแบบ ความหมายของคำว่า “การออกแบบ” มีความหมายที่แตกต่างกันออกไป ได้มีผู้ให้ความหมาย ของความคิดสร้างสรรค์ไว้ในแง่มุมต่าง ๆ ดังนี้ วิรุณ ตั้งเจริญ (2526: 19 - 134) กล่าวว่า การออกแบบ คือ การวางแผนสร้างสรรค์ หรือ การจัดส่วนขององค์ประกอบ ให้สัมพันธ์กับประโยชน์ใช้สอย วัสดุ และการผลิตในสิ่งที่ต้องการ เช่นการทำ หมวก โดยการสร้างหมวกในรูปแบบใหม่ โดยเน้นที่ความเหมาะสมของรูปทรง สี เส้น หรือองค์ประกอบ อื่น ๆ เป็นองค์ประกอบทางความงามทางด้านประโยชน์ใช้สอย เช่น ออกแบบให้เข้ากับรูปทรงของ กะโหลกของคนแต่ละทวีป ต้องออกแบบให้เกมาะสมกับวัสดุที่ใช้ และต้องออกแบบให้สัมพันธ์กับการผลิต เป็นต้น ในการออกแบบนอกจากจะสร้างแรงในบริเวณว่าง และเชื่อกันว่า การออกแบบนอกจากจะสร้าง จะสร้างความน่าสนใจในชิ้นงานแล้วยังสามารถสร้างแรงพลังในการเคลื่อนไหวได้อีกด้วย ซึ่งจะปรากฏ ออกมาในรูปแบบของของการใชประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน พบเห็นได้ตามธรรมชาติ ซึ่งจะก่อให้เกิด ความสร้างสรรค์ตามมา อาจเป็นในรูปแบของสองมิติหรือสามมิติที่มุ่งเสนอให้เกิดความงามและอารมณ์ สะเทือนใจ แปลกใหม่ เร้าใจ และดีงาม ซึ่งการสร้างสรรค์นั้นอาจจะพัฒนาสิ่งเดิมที่มีอยู่แล้ว หรือสร้างขึ้นใหม่ก็ได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ การออกแบบทั้งหลายควรมีการทดลองปฏิบัติร่างแบบก่อนที่จะ สรุปชิ้นใดชิ้นหนึ่ง ที่เห็นว่าดีที่สุดจากหลาย ๆ แบบที่ออกแบบมา โดยการออกแบบจะไม่เชื่อว่าความคิด ครั้งแรกเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ และความคิดครั้งแรกไม่ใช่ความคิดที่ดีที่สุด
22 ประเสริฐ ศิลรัตนา (2538: 2 - 3) กล่าวว่า การออกแบบ คือ การสร้างสิ่งใหม่ หรือการ ปรับปรุงสิ่งเดิมที่มีอยู่ให้มีความแปลกใหม่มากยิ่งขึ้น โดยจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องอาศัยรากฐานเก่า หรือรูปแบบเก่าเป็นตัวกำหนดเปรียบเทียบความใหม่หรือความแปลกใหม่ไปยจากเดิม โดยแหล่งที่มา สามารถพบเห็นได้ทั่วไปนั้น มีเพียง 2 แหล่งที่มา คือ แหล่งที่มาจากสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ และแหล่งที่มา จากมนุษย์สร้างขึ้น เนื่องจากในสมัยก่อนมนุษย์อิงจากธรรมชาติเป็นสำคัญ พาศนา ตัณฑลักษณ์ (2526: 2) กล่าวว่า การออกแบบ คือ การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ การ เข้าใจในเนื้อหา ซึ่งเกิดจากความคิดและสติปัญญา อารมณ์ และทัศนคติของผู้ที่สร้างสรรค์งานศิลป์ เพราะ แต่ละคนมีความคิดและสติปัญญาที่ต่างกัน เช่น สถาปนิก ต้องใช้ความคิดสติปัญญาในการออกแบบ ใน การสร้างยจินตนาการ นำจินตนาการมาสร้างรูปแบบ หาเทคนิคการวางผังมาวางก่อสร้าง มีความรู้และ เข้าใจในการเลือกใช้วัสดุให้ตรงกับวัตถุประสงค์ สะดวกสบายแก่ผู้อยู่อาศัย เป็นต้น กองบริการการศึกษามหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ (2527: 1 - 7) กล่าวว่า สิ่งของ เครื่องใช้ต่าง ๆ ในปัจจุบัน ที่เกิดขึ้นมากมายล้วนเป็นผลจากการออกแบบซึ่งมีอิทธิพลมาก ๆ ต่อการใช้ ชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างมาก เพื่อให้เกิดความแปลกใหม่ ให้ความคิด เป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงความสารถของ มนุษย์ในด้านการสร้างสรรค์อีกด้วย วัฒนะ กตะวิกาด (2527: 11 - 12) ได้ให้ความหมายของการออกแบบไว้หลายความหมาย ดังนี้ การออกแบบ เป็นการสร้างสรรค์ผลงานขึ้นโดยไม่ต้องเลียนแบบของเดิม หรือความคิด เดิมที่มีมาก่อน เพื่อสนองประโยชน์หรือความต้องการ อาจมาในรูปแบบสองมิติ หรือสามมิติ การออกแบบ คือ การสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบสองมิติ สามมิติ ให้เกิดความสวยงาม และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ใช้สอย และเหมาะสมกับสภาพต่าง ๆ การออกแบบ คือ การสร้างและปรับปรุงส่วนต่างขององค์ประกอบของศิลปะ เพื่อให้ เกิดรูปร่างรูปทรงใหม่ตามความต้องการให้เกิดประโยชน์ใช้สอยมากที่สุด การออกแบบ คือ การแก้ปัญหา และรู้หลักการในศิลปะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ใช้ สอยและเกิดความสวยงาม การออกแบบ คือ การวางโครงการ หรือการจัดการองค์ประกอบศิลป์ต่าง ๆ เพื่อให้เกิด ความพึงพอใจแก่ผู้พบเห็น นวลน้อย บุญวงษ์ (2542: 1-3) ได้นิยามความหมายของคำว่าออกแบบไว้ว่า การออกแบบ คือ การจัดระเบียบหรือวางผังอย่างตั้งใจสำหรับที่ว่างง เรื่องราวหรือกิจกรรมตาม จุดมุ่งหมายที่กำหนด หรือการเสนอแนะสิ่งใหม่ ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น เป็นการสร้างความคิดขึ้นสำหรับ ชิ้นงานหรือระบบ และการแสดงออกของความคิดให้มีรูปทรงเป็นตัวเป็นตน เป็นกระบวนการคิดค้นข้าม
23 สาขาวิชา ซึ่งมนุษย์ซึ่งค้นคว้าได้จากความพึงพอใจ และเกี่ยวกับประสบการณ์ ความชำนาญและความรู้ซึ่ง สะท้อนถึงความเอาใจใส่ต่อการปรับเปลี่ยนของสภาพแวดล้อมรอบข้างด้วย ทำนอง จันทิมา (ทำนอง จันทิมา: 2537 อ้างอิงจาก Webster Dictionary) ได้กล่าวว่า การออกแบบ คือ โครงการหรือแผนงานที่กำหนดไว้ในสมอง ซี่งมีจุดหมายปลายทางไว้เรียบร้อยแล้ว จุดหมายที่กำหนดอาจถูกกำหนดไว้ในรูปแบบของงานเดียว หรือ งานกลุ่ม การจัดการฐานข้อมูลต่าง ๆ ซี่ง จะนำไปสู่การสร้างสรรค์งานศิลปะ สรุปได้ว่า ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง การจัดสรรองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความ สวยงาม และเกิดประโยชน์ใช้สอยสูงสุด โดยไม่ต้องเลียนแบบสิ่งต่าง ๆ โดยเป็นการจัดสรรแบบมีระบบ มี การวางแผนและมีเป้าหมายที่ชัดเจนไว้อยู่แล้ว เป็นกระบวนการคิดแบบข้ามสาขาวิชา นำมาใช้เพื่อเกิด ประโยชน์ตามความพึงพอใจ หรือประสบการณ์ของผู้สร้างสรรค์โดยแหล่งที่มาสามารถพบเห็นได้ทั่วไปนั้น มีเพียง 2 แหล่งที่มา คือ แหล่งที่มาจากสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ และแหล่งที่มาจากมนุษย์สร้างขึ้น เนื่องจาก ในสมัยก่อนมนุษย์อิงจากธรรมชาติเป็นสำคัญ แนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบ ความหมายของการออกแบบ มีแตกต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้แนวคิดทางด้านการออกแบบย่อม แตกต่างกันออกไป ดังนี้ กมลวรรณ บุญสาย (2562: 12) กล่าวว่า การออกแบบ หมายถึง การรู้จักวางแผนจัดตั้ง ขั้นตอน และรู้จักเลือกใช้วัสดุวิธีการเพื่อทาตามที่ต้องการนั้น โดยให้สอดคล้องกับลักษณะรูปแบบและ คุณสมบัติของวัสดุแต่ละชนิดตามความคิดสร้างสรรค์ และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา เช่น เราจะทาเก้าอี้ นั่งซักตัวจะต้องวางแผนไว้เป็นขั้นตอนโดยต้องเริ่มเลือกวัสดุที่จะใช้ทาเก้าอี้นั้นจะใช้วัสดุอะไรที่เหมาะสม วิธีการต่อยึดนั้นควรใช้กาว ตะปูนอต หรือใช้ข้อต่อแบบใด คานวณสัดส่วนการใช้งานให้เหมาะสม ความแข็งแรงของเก้าอี้นั่งมากน้อยเพียงใด สีสันควรใช้สีอะไรจึงจะสวยงาม และทนทานกับการใช้งาน เป็นต้น การออกแบบมีการใช้ความคิดเชิงสร้างสรรค์ 4 ลักษณะ 1. ความคิดริเริ่ม 2. ความคล่องในการคิด 3. ความยืดหยุ่นในการคิด 4. ความคิดละเอียดลออ
24 วัฒนะ จูฑะวิภาต (2545 ; 69-71) กล่าวว่า มนุษย์รู้จักการออกแบบมานานแล้ว จาก หลักฐานโบราณคดีทำให้ทราบว่า 6,000 ปีที่ผ่านมามีการออก ออกแบบ ในระยะแรกไปในรูปแบบของ ความคิดสร้างสรรค์ ที่มีการอิงตามความเป็นธรรมชาติวัตถุประสงค์ที่ต้องการ และต่อมาเมื่อโลกมีการ เปลี่ยนแปลง เข้าสู่สมัยใหม่ มีที่พึ่งพิงทางธรรมชาติน้อยลง การออกแบบจึงมีบทบาทมากขึ้น จนกล่าวได้ ว่าทุกสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นล้วนมาจากการออกแบบก่อนเสมอ การออกแบบ จึงเป็นการ กำหนดความนึกคิด ตามความต้องการที่จะแสดงออก ซึ่งสร้างสรรค์จากสิ่งใหม่ หรือแก้ไขสิ่งเดิมที่มีอยู่ให้เหมาะสมกับ ประโยชน์ใช้สอย และเหมาะสมกับยุคสมัย ตามความหมายจะเห็นได้ว่าการออกแบบ ต่างจากอีกคำทั้งสองคำ คือ การลอกแบบ และ การเลียนแบบ ในทางศิลปะได้ให้คำจำกัดความของการ ออกแบบว่า เป็นการรวมมูลฐานทางศิลปะทั้งหลายเข้าด้วยกันด้วยการเลือกหรือการจัดไม่ว่าจะจัดด้วย วัสดุอะไรผู้ออกแบบจะต้องนำเอาซึ่งสิ่งนั้นไปใช้คือ เส้น รูปร่าง รูปทรง สี ช่องว่าง และความงามของพื้นผิว และคุณสมบัติของนักออกแบบที่ดี คือ เป็นผู้ที่สามารถประยุกต์ใช้ หลักการและ ประสบการณ์ที่ได้พบเห็นเพื่อการออกแบบได้อย่างเหมาะสม สามารถศึกษาความต้องการของคน เพราะ การออกแบบที่ดีนั้น ต้องมาจากความเป็นจริงและสามารถสนองความต้องการของคนในขณะนั้นได้ ซึ่งมี ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีความรู้และเข้าใจในเรื่องวัสดุต่าง ๆ และกระบวนการทำงานได้เป็นอย่างดี ถ่ายทอดความคิดของตนให้ผู้อื่นเข้าใจได้ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการสร้างผลงานใหม่ ๆ อยู่เสมอ มี ใจที่กว้างไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลใด ๆ เป็นผู้เข้าใจขั้นตอนของการออกแบบตามจุดมุ่งหมายและสามารถแก้ไข ปัญหาได้อย่างฉับไว เบอร์รีแมน (วิรุณ ตั้งเจริญ 2545;9-10 อ้างอิงจาก เบอร์รีแมน) กล่าวว่า รากฐานทางด้าน เทคนิค ความคิด และพื้นฐานทางทัศนสื่อสาร เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะ สถานะผู้วิพากษ์วิจารณ์หรือผู้ สร้างสรรค์โดยตรง ความรู้ความสามารถในระดับพื้นฐานเป็นสิ่งที่สำคัญ สำหรับกระบวนการศึกษา ทางด้านการออกแบบ และต้องเป็นไปในลักษณะที่มีความเข้มข้น กับการมีพื้นฐานการออกแบบที่ดี จะ ช่วยให้นักออกแบบสามารถพัฒนาและแก้ปัญหาบนพื้นฐานของประสบการณ์ได้อย่างดี ถ้าการออกแบบ เป็นเพียงทางเลือกที่ฉาบฉวยก็ย่อมเป็นสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างมาก เซอร์เมเยฟฟ์ (วิรุณ ตั้งเจริญ 2545;10-11 อ้างอิงจาก Chermayeff) ได้เสนอความคิดว่า การออกแบบเหมือนกับเครื่องมือในการจัดระบบ เป็นกระบวนการพัฒนาให้เกิดความปลอดภัยและมี ผลลัพธ์ที่ดีการออกแบบจะต้องตอบสนองความจำเป็นของมนุษย์การแสดงออก จะต้องสร้างเห็นชัดเจน หรือตรวจสอบได้ จึงต้องมีหลักเกณฑ์ที่พิสูจน์ได้เพื่อตัดสินใจในคุณค่าของงาน การออกแบบเป็นความ ต้องการเร่งด่วนในสังคมไม่ใช่ส่วนเกิน การออกแบบจึงเป็นส่วนสำคัญ สำหรับการอยู่รอดหรือการวางแผน ในเชิงทรัพยากร การออกแบบที่มีคุณค่าสามารถที่จะประหยัดเศรษฐกิจโดยลดต้นทุนทางด้านแรงงาน อุปกรณ์และจำนวนงานออกแบบ สามารถประหยัดเวลาโดยการนำเสนอเสนอข้อมูลที่ชัดเจน กระตุ้นการ
25 สื่อสารเป็นการช่วยให้บุคคลจำนวนมากขึ้น มีความเข้าใจสื่อที่เสนอ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่กว้างและ รวดเร็ว ทำให้การใช้งาน การผลิต และการเตรียมงานง่ายและสะดวกมากขึ้น การออกแบบ ต่างไปจาก คณิตศาสตร์หรือเคมี เพราะการออกแบบมีทางแก้ปัญหามากกว่าหนึ่งทางในแต่ละปัญหา หรืออาจจะ เรียกว่าเป็นการแก้ปัญหาที่มีทางเลือก นักออกแบบจึงพยายามที่จะค้นหาทางออกที่ดีที่สุดเพื่อนำมาใช้ ประโยชน์ ในการออกแบบจะมีปัญหาแตกต่างกันออกไปในแต่ละจุดซึ่งเป็นปัญหาที่จะต้องควบคุมส่วน ปลึกย่อยทั้งหมด ให้เป็นหนึ่งเดียวซึ่งประสบการณ์จะช่วยนักออกแบบให้กระจ่างในปัญหาได้ ซึ่งทางเลือก ในการแก้ปัญหา มีทางแก้หลายทางถ้าเรายอมรับความจริงได้ จะสามารถก้าวลงสู่ปัญหาที่แท้จริงได้ โดย ลำดับกระบวนการมีดังนี้ 1. ขั้นแยกปัญหา (Identify) เป็นการพิจารณาปัญหาให้กระจ่างชัดเพื่อหา ข้อจำกัดต่าง ๆ 2. ขั้นเริ่มต้น (prelimminary) เป็นการหาความคิดที่เป็นรูปธรรม มีการ ร่างแบบคร่าว ๆ 3. ขั้นกระจ่างชัด (refindment) เป็นการคัดเข้ากลุ่มเพื่อแสดงศักยภาพที่ชัดเจน 4. ขั้นวิเคราะห์ (analyze) ขั้นนี้จะเป็นการคิดประเมินผล สำรวจ ทดสอบ และตรวจทาน 5. ขั้นตอตัดสินใจ (decide) เป็นขั้นที่สรุปตัวเลือกที่ดีที่สุด มีการเปรียบเทียบหา ข้อแตกต่างและกำหนดกรอบการผลิตอย่างชัดเจน 6. ขั้นผลผลิต (implement) เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการออกแบบ วรพงศ์ วรชาติอุดมพงศ์ (2535; 191) กล่าวว่า แนวทางการออกแบบนำมาจากการ รวบรวมความคิดและความหมายมาผสมผสานกันโดยกำหนดเป็นรูปร่างลักษณะคร่าวคร่าวก่อน อาจเป็น ภาพตัวอักษรหรือรูปภาพจากธรรมชาติมาจัดวางลงในรูปแบบที่ต้องการจะให้อยู่ในรูปของวงกลม วงรี สี่เหลี่ยมสามเหลี่ยมหรือรูปทรงอิสระ การออกแบบควรยึดหลักการกว้าง ๆ เพื่อเป็นแนวคิดดังนี้ 1. แนวคิดเกี่ยวกับความงาม 2. แนวคิดเกี่ยวกับความหมาย 3. แนวคิดในการสร้างความเด่น และน่าสนใจ 4. ความเหมาะสมในการออกแบบและการใช้งาน ชาญชัย สัญพึ่ง (ดุรงค์ฤทธิ์ เอกวงษา 2560:32 อ้างอิงจาก ชาญชัย สัญพึ่ง 2521:6) กล่าว ว่า ควรมีการ สัมผัส ด้วยตนเองหรือมีกันแต่ต้องสิ่งต่างๆด้วยตนเองเพื่อให้ได้รับความรู้สึก ได้ดียิ่งขึ้น อาจจะใช้ธรรมชาติโดยตรง เช่น การเขียนรูปหรือธรรมชาติ การระบายเลียนแบบธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้จะ
26 ทำให้เกิดสัญลักษณ์เมื่อนำมาประยุกต์เข้ากับการออกแบบจะกล่าวด้วยว่า แนวคิดหรือที่มาสิ่งแรกที่จะทำ ให้เกิดแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานออกแบบส่วนใหญ่มาจากธรรมชาติ เป็นต้น พิทยา เวียงแก้ว (ดุรงค์ฤทธิ์ เอกวงษา 2560:39-40 อ้างอิงจาก พิทยา เวียงแก้ว 2542 : 4 ) กล่าวว่า การออกแบบเป็นกิจกรรมที่กิดขึ้นควบคู่กับการดำรงชีวิตของมนุษย์ มีความสำคัญ และ มีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของมนุชย์ทั้งในค้านอาหารการกิน ที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ เครื่องนุ่งห่ม วิทยาศาสตร์ การคมนาคม อุตสาหกรรม เทคโนโถยี และศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ ซึ่งกำหนดประเด็น ความสำคัญและประโยชน์ข้องการออกแบบได้หลายประการ ดังนี้ 1. การออกแบบเป็นสื่อกลางในการสื่อความหมายให้เกิดความเข้าใจตรงกันระหว่าง ผู้ออกแบบกับบุคคลอื่น ๆ 2. การออกแบบเป็นการช่วยจัดระเบียบทางความคิด สาระข้อมูลในการออกแบบให้มี ความชัดเจนและเข้าใจง่าย 3. การออกแบบจะช่วขวางแผนให้การปฏิบัติงานจริงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว และมี ประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ประหขัดเวลา แรงงานและประหยัดเงิน 4. การออกแบบจะกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เกิดการคิดค้นทคลองเทคนิคและ วิธีการใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา 5. การออกแบบจะช่วยกำหนดรูปแบบของความงาม การเลือกวัสดุและวิธีการทำงาน ได้อย่างเหมาะสม 6. การออกแบบจะช่วยสนับสนุนและส่งเสริมค่านิยมทางความงาม จรรโลงจิตใจของ คนในสังคม ให้เห็นคุณค่าทางสุนทรียภาพ 7. การออกแบบเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ อย่าง กว้างขวาง ทั้งด้านศิลปกรรม พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนพัฒนาการ ทางด้านวิทยาการค้านต่าง ๆ 8. การออกแบบจะช่วยยกมาตรฐาน ฐานะ อาชีพ ความเป็นอยู่ของสังคมให้มีระดับสูง ขึ้น มีความสะดวกสบายมากขึ้น 9. การออกแบบสามารถตอบสนองความต้องการของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ ทั้งที่เป็นสิ่ง อุปโภค และบริโภค และสาธารณูปโภคได้มากขึ้น 10. การออกแบบผลงานด้านศิลปกรรมจะบ่งบอกหรือแสดงออกถึงคุณค่าทางความ งาม(Aesthetical Value) คุณค่าทางประวัติศาสตร์ (Ethnological Value) และคุณค่าทางปรัชญา (Philosophical Value) ฯลฯ
27 สรุปได้ว่าการออกแบบ คือ การคิด การสร้างสรรค์ที่ไม่ได้ลอกเลียนแบบใคร ใช้สติปัญญา ที่แสดงออกให้เห็นถึงจินตนาการ และประโยชน์ใช้สอย โดยการออกแบบจะต้องเน้นไปในการเสนอ ความคิดริเริ่มที่แปลกใหม่ มีความน่าสนใจ มีทัศนะไปในทางที่ดีงาม ซึ่งการออกแบบนั้นอาจจะเป็นการคิด ขึ้นมาใหม่ หรือเป็นการที่เรานำสิ่งเดิมที่มีอยู่แล้ว มาพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ต้องมีความเข้าใจในการออกแบบให้ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ มีควาสะดวกสบาย โดยการออกแบบที่ดีที่สุด คือการสังเกตจากสิ่งแวดล้อม เพราะธรรมชาติมีอะไรหลาย ๆ อย่าง ทำให้เราเกิดอยากรู้อยากเห็น ซึ่งแต่ละคนมีความต่างกันอยู่แล้วซึ่ง การออกแบบยังช่วยส่งเสริมให้แต่ละคนคิดค้น แสวงหาสิ่งที่แปลกใหม่ การแสดงออกในรูปแบบที่ต่างกัน ซึ่งมีวิวัฒนาการที่ไม่มีการสิ้นสุด จากความหมายและคำอธิบายที่เกี่ยวช้องกับความคิดสร้างสรรค์กับการออกแบบที่มี ความเข้าใจ และมาจากหลากหลายแนวคิดอาจสรุปเป็นความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับความหมายของ ความคิดสร้างสรรค์ได้หลากหลายทัศนะ ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถของบุคคลที่ได้แสดงออก ทางความคิด และจินตนาการ ความสามารถอันนี้เป็นการแสดงออกโดยการได้ตอบสนองต่อสิ่งเร้า โดยสิ่งเร้าจะกระตุ้นให้เกิดความคิดต่อเนื่องกันไปจนเกิดเป็นผลิตผลสิ่งใหม่ ๆ โคยไม่ช้ำรูปแบบเดิม และเป็นไปอย่างถูกต้องดีงาม ปัจจัยที่ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ อาจแบ่งได้ 4 ประการ คือ 1. ความคิดที่มนุษย์มีอยู่เดิม 2. สิ่งแวดล้อม 3. ทัศนคติ 4. อารมณ์ ดังนั้น การสร้างสรรค์งานออกแบบเป็นความพยายามของมนุษย์ในอันที่จะใช้ความคิด สร้างสรรค์ให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นเพื่อประโยซน์ที่จะนำสู่การดำรงชีวิตที่ดีงาม การสร้างสรรค์การออกแบบ ย่อมต้องมีเป้าหมายไปสู่สิ่งที่ดีกว่าและมีความเหมาะสมกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ ซึ่งอาจจะมีความเหมาะสมทั้งด้าน วัสดุอุปกรณ์ในการผลิต ความนิยม สภาพเศรษฐกิจ ประโยชน์ใช้สอยและคุณค่าทางความงาม รูปแบบการเรียนการสอนตามการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ทิศนา แขมมณี (2548;7-23) ผู้พัฒนาต้นแบบของ “รูปแบบซิปปา CIPPA MODEL” อาจารย์ ประจำภาคสาขาวิชาประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้พัฒนารูปแบบนี้ขึ้น เพื่อช่วยเหลือครูที่กำลังประสบปัญหาขาดความเข้าใจ และแนวทางในการจัดการเรียนการสอนโดยยึด ผู้เรียนเป็นสำคัญ หรือยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ได้กล่าวถึงความเป็นมาของการสังเคราะห์นวัตกรรมการ จัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ว่า ในปี 2545 – 2546 ในโรงเรียนในโครงการวิจัย
28 และพัฒนาเพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ ทั้งโรงเรียน (วพร.) จำนวน 8 โรงเรียน สินใจนำรูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ใช้ในการเรียนรู้และดำเนินการวิจัย และพัฒนาเพื่อพัฒนาผู้เรียนตามจุดเน้นเฉพาะของโรงเรียน พัฒนาเป็นพิเศษ ดังนี้ ที่ ชื่อโรงเรียน ที่ตั้ง สังกัด 1 โรงเรียนทุ่งเสียน อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี สพฐ. 2 โรงเรียนบ้านคลองสงค์ อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี สพฐ. 3 โรงเรียนเพชรผดุงเวียงไชย อำเภอไชย จังหวัดสุราษฎร์ธานี สช. 4 โรงเรียนคันธุลี อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี สพฐ. 5 โรงเรียนวัดมหาถูปาราม อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี สพฐ. 6 โรงเรียอนุบาลศิริวรรณ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม สช. 7 โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย 2 หลวงพ่อเงินอนุสรณ์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม สพฐ. 8 โรงเรียนเทศบาลท่าอิฐ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ เทศบาล รูปแบบ “CIPPA MODEL” ที่แต่ละโรงเรียนเลือกใช้นั้น นอกจากนำมาใช้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ของนักเรียนแล้ว แต่ละโรงเรียนยังได้เลือกเป้าหมายเฉพาะที่โรงเรียนต้องการพัฒนา ให้เกิดขึ้นกับนักเรียน เป็นพิเศษ ตามปัญหา และความต้องการ โดยแต่ละรงเรียนมีเป้าหมายแตกต่างกัน โดยโรงเรียน 8 แห่ง เลือกนำรูปแบบซิปปา มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น เคยได้รับการอบรม เกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้ว เคยอ่านเกี่ยวกับเรื่อและคาดว่าจะทำได้ มีขั้นตอนที่ชัดเจน เคยจัดการเรียนรู้แบบนี้ แล้วนักเรียนชอบ โรงเรียนแต่ละแห่งเริ่มมีการทำความเข้าใจ และลงมือปฏิบัติตามความเข้าใจ อาจมีการ คลาดเคลื่อนจากต้นฉบับไปบ้าง แต่ช่วยให้ครูได้เกิดกระบวนการใหม่ ๆ ได้ความรู้และแนวคิดใหม่ ๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆ รูปแบบการสอนแบบซิปปา จึงเป็นกระบวนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความคิด และ การตัดสินใจอย่างเป็นระบบ สามารถสร้างความรู้ ค้นพบความรู้ได้ด้วยตนเอง นักเรียนมีบทบาทมากใน กิจกรรมการเรียนการสอน และผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ รูปแบบการสอนซิปปา ได้พัฒนาขึ้นจากแนวคิดหลัก 5 แนวคิด ได้แก่ แนวคิดการสรรค์สร้างความรู้ (Constructivism) แนวคิดเรื่องกระบวนการกลุ่ม และการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Group Process and Cooperative Learning)
29 แนวคิดเกี่ยวกับความพร้อมในการเรียนรู้ (Learning Readiness) แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้กระบวนการ (Process Learning) แนวคิดเกี่ยวกับการถ่ายโอนการเรียนรู้ (Transfer of Learning) โดยพื้นฐานของแนวคิดหลักทั้ง 5 ข้างต้น คือ ทฤษฎีสำคัญ 2 ทฤษฎี ได้แก่ ทฤษฎีพัฒนาการมนุษย์ (Human Development) ทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning รูปแบบซิปปา หรือ CIPPA สามารภแยกความหมายตามตัวอักษรได้ ซึ่งมีความหมายดังนี้ C (Construction) คือ ครูจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีโอกาสสร้างความรู้ด้วยตนเองทำให้ ผู้เรียนมีความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายต่อตนเอง ซึ่งการที่ผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความรู้ด้วย ตนเองนี้เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา I (Interaction) คือ ให้นักเรียนทำกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้มี ปฏิสัมพันธ์ทาง สังคมกับบุคคลและแหล่งความรู้ที่หลากหลาย กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มี ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคล และแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ทางสังคม P (Physical Participation) คือ จัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้เคลื่อนไหวร่างกาย การเรียนรู้ ต้องอาศัยการเรียนรู้การเคลื่อนไหวทางกายจะช่วยให้ประสาทการรับรู้ "active" และรับรู้ได้ดีดังนั้น ในการสอนจึงจำเป็นต้องมีกิจกรรมให้ผู้เรียนต้องเคลื่อนไหวที่หลากหลาย และเหมาะสมกับวัยและ ความสนใจของผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการรับรู้และเรียนรู้ P (Process Learning) คือ จัดกิจกรรมที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่างๆ เช่น กระบวนการคิด กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการทำงานให้สำเร็จ อ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรเปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ เช่น กระบวนการคิด กระบวนการท างาน กระบวนการ แสวงหาความรู้ กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม ฯลฯ ซึ่งเป็นทักษะที่จ าเป็นต่อการด ารงชีวิต และเป็นสิ่งที่ผู้เรียนจำเป็นต้องใช้ตลอดชีวิต A (Application) คือ การจัดกิจกรรมที่ให้นักเรียนได้นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวัน การช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ในด้านใดด้านหนึ่งหรือหลาย ๆ ด้าน แล้วแต่ลักษณะของสาระและกิจกรรมที่จัด นอกจากนี้ การนำความรู้ไปใช้เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิต เป็นเป้าหมายสำคัญของการจัดการศึกษาและการเรียนการสอo สรุปได้ว่า กิจกรรมการเรียนรู้ที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนได้เคลื่อนไหว และลงมือปฏิบัติได้ อย่างสมวัย และตามความสนใจของนักเรียน และเป็นกิจกรรมที่ท้าทายต่อความคิด และสติปัญญา
30 สามารถกระตุ้นให้ใช้ความคิดได้อย่างเต็มที่ นักเรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งส่งผลต่อความรู้สึกของนักเรียนโดยตรง กิจกรรมการเรียนรู้ที่มีลักษณะดังกล่าว เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการรอบด้าน นอกจากจะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดีแล้วยังช่วยส่งเสริม พัฒนาการต่าง ๆ ไปพร้อมกันในหลาย ๆ ด้านอีกด้วย ภาพที่ 1 การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) โดย ทิศนา แขมมณี(2542)
31 การจัดกระบวนการเรียนการสอนตามหลัก CIPPA นี้สามารถใช้วิธีการและกระบวนการที่ หลากหลาย ซึ่งอาจจัดเป็นแบบแผนได้หลายรูปแบบ รูปแบบหนึ่งที่มีการนำเสนอไว้และได้มีการนำไป ทดลองใช้แล้วได้ผลดี ประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ 7 ขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ 1 การทบทวนความรู้เดิม เป็นการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียน ช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการ เชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน ขั้นที่ 2 การแสวงหาความรู้ใหม่ เป็นการแสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ของนักเรียนจากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่าง ๆ ครูอาจจัดเตรียมแหล่งข้อมูลมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้นักเรียน ไป แสวงหาก็ได้ ขั้นที่ 3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความเดิม เป็นขั้นที่นักเรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูล/ความรู้ที่หามาได้นักเรียน จะต้องสร้างความหมายของข้อมูล/ประสบการณ์ใหม่ๆ โดยใช้กระบวนการต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น ใช้กระบวนการคิด และกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้น ๆ ซึ่ง จำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงกับความรู้เดิม ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม เป็นขั้นที่นักเรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตน รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนเองให้กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจ ของตนแก่ผู้อื่นไปพร้อม ๆ กันกับการรับความรู้ความเข้าใจจากผู้อื่น ขั้นที่ 5 การสรุปและจัดระเบียบความรู้ เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่ และสิ่งที่เรียน ให้เป็นระบบระเบียบเพื่อช่วยให้นักเรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย ขั้นที่ 6 การปฏิบัติ และ/หรือการแสดงผลงาน เป็นขั้นที่ช่วยให้นักเรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ ช่วยให้นักเรียนได้ตอกย้ำหรือตรวจสอบความเข้าใจของตนเอง ช่วยส่งเสริมให้นักเรียนใช้ความคิด สร้างสรรค์และช่วยให้นักเรียนได้ปฏิบัติหรือแสดงผลงานตามข้อความรู้ที่ได้ ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้ เป็นขั้นของการส่งเสริมให้นักเรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ความเข้าใจของตนไปใช้ใน สถานการณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและ
32 ความจำในเรื่องนั้น ๆ อาจจะมีการนำเสนอผลงานหลังจากการประยุกต์อีกครั้งก็ได้หรืออาจไม่มีการ นำเสนอผลงานในขั้นที่ 6 แต่นำมารวมแสดงในขั้นตอนท้ายหลังขั้นการประยุกต์ใช้ก็ได้ ขั้นที่ 1-6 เป็นกระบวนการของการสร้างความรู้ (Construction of knowledge) โดยครู สามารถจัดกิจกรรมให้นักเรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน (Interaction) และฝึกฝนทักษะ กระบวนการต่าง ๆ (Process learning) อย่างต่อเนื่อง ขั้นตอนแต่ละขั้นตอนช่วยให้นักเรียนได้ทำ กิจกรรมหลากหลายที่มีลักษณะให้นักเรียนได้มีการเคลื่อนไหวทางกาย ทางสติปัญญา ทางอารมณ์ และ ทางสังคม อย่างเหมาะสม (Physical participation) ส่วนขั้นตอนที่ 7 เป็นขั้นตอนที่ช่วยให้นักเรียน นำความรู้ไปใช้ (Application) จากกระบวนการดังกล่าวทำให้เป็นรูปแบบนี้มีคุณสมบัติครบ ตามหลัก CIPPA ทิศนา แขมมณี (กิ่งดาว กุลชา 2562 : 7 อ้างอิงจาก ทิศนา แขมมณี: 2542) ซึ่งในงานวิจัยของ ผู้วิจัยใช้แนวคิดขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบCIPPA มี 7 ขั้นของทิศนา แขมมณี ดังนี้ 1. ขั้นการทบทวนความรู้เดิม หมายถึงกิจกรรมที่สร้างความกระตือรือร้น และจูงใจให้ นักเรียนเกิดความสนใจมุ่งมั่นใฝ่เรียน หรือเพื่อทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนในเรื่องที่จะเรียน เพื่อ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม ซึ่งผู้สอนต้องใช้วิธีการต่าง ๆ อย่างหลากหลาย 2. ขั้นการแสวงหาความรู้ใหม่ หมายถึงการทำความเข้าใจความรู้ใหม่โดยผู้เรียนแสวงหา ความรู้ใหม่จากสื่อ หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลหรือความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับ ความรู้เดิม 3. ขั้นการศึกษาความเข้าใจข้อมูลความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม หมายถึงการจัดให้นักเรียนเข้ากลุ่มย่อย เพื่อทำกิจกรรมสร้างความเข้าใจข้อมูลความรู้ที่ได้ใหม่กับประเด็น ความรู้เดิมโดยลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยความรับผิดชอบของนักเรียนในกลุ่มช่วยกันทำงานเพื่อให้ได้ ความคิดรวบยอดหรือความรู้ใหม่ที่มีความหมายสำหรับนักเรียนจากกระบวนการกลุ่ม 4. ขั้นการแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม หมายถึงเป็นกิจกรรมอภิปรายหรือสรุป ความรู้ที่ได้รับทั้งหมดภายในกลุ่ม ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่ แล้วจัดสิ่งที่เรียนให้เป็นระบบระเบียบง่าย ต่อการจดจำ 5. ขั้นการสรุปและจัดระเบียบความรู้ หมายถึงกิจกรรมที่จัดให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอ ผลงานของกลุ่มตนเอง โดยส่งตัวแทนนำเสนอผลงานการแก้ปัญหาของกลุ่ม หรือวิธีคิดหาคำตอบของกลุ่ม อื่นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกลุ่ม 6. ขั้นการปฏิบัติและหรือการแสดงความรู้และผลงาน หมายถึงกิจกรรมการจัดสถานการณ์ ต่าง ๆ ให้นักเรียนนำความรู้ หรือความคิดรวบยอดที่ได้รับจากขั้นที่ผ่านมามาใช้ฝึกปฏิบัติ
33 7. ขั้นการประยุกต์ใช้ความรู้ หมายถึงกิจกรรมการเรียนรู้ที่เสริมสร้างให้นักเรียนปรับขยาย หรือปรับเปลี่ยนความรู้ที่ได้รับมาใช้อธิบาย หรือแก้ปัญหา หรือปฏิบัติกิจกรรมในสถานการณ์ที่กำหนดให้ แล้วตรวจสอบประเมินผลการปฏิบัติกิจกรรมในสถานการณ์ดังกล่าว งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้ารวบรวมเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เข้าใจ แนวทาง หลักการ และทฤษฎีตลอดจนผลการวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยโดยแยกเนื้อหาต่าง ๆ ดังนี้ 1. งานวิจัยในประเทศไทย 2. งานวิจัยต่างประเทศ 1. งานวิจัยในประเทศไทย มานิตย์ ลังก้า (มานิตย์ ลังก้า 2564 ; 32 อ้างอิงจาก กนกพรรณ ภูกองพลอย:2552) ได้ ศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการคิดวิเคราะห์และความพึงพอใจในการเรียนรู้ กลุ่มสาระ การงานอาชีพและเทคโนโลยีเรื่อง ธุรกิจในชีวิตประจำวันของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการ เรียนรู้แบบ CIPPA กับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ พบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนกลุ่มสาระ การเรียนรู้ การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง ธุรกิจในชีวิตประจำวันด้วยวิธีการเรียนรู้แบบ CIPPA และที่ เรียนรู้แบบปกติมีค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 และ นักเรียนที่เรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ CIPPA มีคะแนนค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียน หลังเรียน การคิดวิเคราะห์ และความพึงพอใจในการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยวิธีการ จัดการเรียนรู้แบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทีระดับ .01 อาบีดะฮ์ คงสิเหร่ (อาบีดะฮ์คงสิเหร่2562 : 79 อ้างอิงจาก วณิชชา สีหาวงษ์ 2560: 93) ได้ศึกษาการพัฒนาทักษะการเขียนคำที่สะกดไม่ตรงมาตรา โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับโมเดลซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะการเขียนคำ ที่สะกดไม่ตรงมาตรา ก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะ ร่วมกับโมเดลซิปปา คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 อดิศร ศิริ (รชาดา บัวไพร 2552: 43-44 อ้างอิงจาก อดิศร ศิริ 2543: บทคัดย่อ) ได้ทำ การวิจัยเรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางโดยใช้โมเดลซิปปา สำหรับ
34 วิชาชีววิทยา ในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบซิปปา เปิดโอกาสให้ นักเรียนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในการเรียนการสอน นักเรียนทุกคนได้คิด ได้ปฏิบัติด้วยตนเอง ได้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนและครูอย่างเต็มที่ ครูสามารถปรับเนื้อหากิจกรรมการเรียนการสอนตาม ความคิดเห็นของผู้ร่วมวิจัยตามความเหมาะสม และนักเรียนได้เรียนตามที่นักเรียนต้องการมากยิ่งขึ้น ทำให้นักเรียนเกิดความสนุกสนานในการเรียนการสอน เมื่อนักเรียนเกิดความสนุก ก็มีความพร้อมทำให้ เกิดความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรม ส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีตามมา ดอกแก้ว สิงห์เผ่น (พรพิทักษ์ หมู่หัวนา 2561 : 61 อ้างอิงจาก ดอกแก้ว สิงห์เผ่น 2550, น. 64) ได้ศึกษาผลการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องทฤษฎีกราฟเบื้อต้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบชิปปากลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2549 ของโรงเรียนพรเจริญวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหนองคายเขต 3จำนวน 47 คนจาก 1 ห้องเรียนได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ใน การศึกษาค้นคว้าประกอบด้วย1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบชิปปาเรื่องทฤษฎีกราฟเบื้องต้น 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจำนวน 1 ฉบับเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือกจำนวน 30 ข้อมีค่า อำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.20ถึง 1.00 และค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ เท่ากับ 0.85 จุดมุ่งหมาย เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องทฤษฎีกราฟเบื้องตันชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบชิปปาให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผล ของการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องทฤษฎีกราฟเบื้องต้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดย ใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบชิปปาและศึกษาความคงทนในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องทฤษฎีกราฟ เบื้องต้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบชิปปาสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละค่าเฉลี่ยส่วนเบียงเบนมาตรฐานและทดสอบสมมุติฐานโดยใช้ t-test (DependentSample) ผล การศึกษาค้นคว้าพบว่า 1) แผนการจัดการเรียกรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องทฤษฎีกราฟเบื้อง ตันชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบชิปปามีประสิทธิภาพเท่ากับ83.97/75.16 2) ดัชนี ประสิทธิ ผลของการจัดการเรียนรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องทฤษฎี กราฟเบื้องตันชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปามีค่าเท่ากับ 0.6650 3) นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องทฤษฎีกราฟเบื้องตันโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบชิป ปามีความคงทนในการเรียนรู้
35 2. งานวิจัยต่างประเทศ มัวร์(พรพิทักษ์ หมู่หัวนา 2561 : 64 อ้างอิงจาก Moore 2005, pp. 478-A) ได้ศึกษา เกี่ยวกับกลุ่มสร้างสรรค์ความรู้ที่มีการทำงานเป็นกลุ่มและผลกระทบต่อประสิทธิภาพในตัวเอง แรงกระตุ้น และทักษะด้านการทำงานกลุ่มที่เกี่ยวกับนักเรียนคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาตอนตัน จากการศึกษาพบ ค้นว่า การใช้วิธีการแบบกลุ่มสร้างสรรค์ความรู้ จะสามารถทำให้บรรลุผลลัพธ์ที่ดีได้ รวมไปถึงการเพิ่มแรง กระตุ้นและความมีประสิทธิภาพในตัวเอง ยิ่งกว่านั้นการพึ่งพากันระหว่างนักเรียน จะก่อให้เกิดการเห็น คุณค่ามากยิ่งขึ้นโดยมีแรงกระตุ้นไปสู่ความสำเร็จเพิ่มมากขึ้น มีการใช้ความพยายามมากขึ้นและอดทน มากขึ้น มีการใช้ยุทธวิธีทางด้านเหตุผลในระดับสูงขึ้น ในอัตราที่บ่อยขึ้น มีการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคลในกลุ่ม ความมั่นใจเพิ่มขึ้น นักเรียนมียุทธวิธีในการรับรู้เรื่องราวได้ดีขึ้น พร้อมที่จะทำงานเพิ่มรู้สึก ว่ามีความสำเร็จ มีส่วนร่วม มีการร่วมมือกัน วิพากษ์อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งผลเหล่านี้ช่วยสนับสนุนการศึกษา นี้ในการใช้การเรียนรู้แบบสร้างสรรค์ความรู้ที่มีการทำงานแบบเป็นทีม คอสเตอร์ (กนกรัตน์ นาครัชตะอมร 2549 : 75-76 อ้างอิงจาก Kosters 1991 : 2255,) ได้ ศึกษาเรื่อง "ผลของวิธีเรียนแบบร่วมมือต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติต่อการเรียนในห้องเรียน แบบดั้งเดิม" วัตถุประสงค์ของการวิจัยในครั้งนี้เพื่อศึกษาผลของการใช้วิธีการเรียนแบบร่วมมือในระดับ มัธยมศึกษาในห้องเรียนที่เรียนวิชาสังคมศึกษาแบบดั้งเดิมว่าผลการเรียนรู้และเจตคติต่อการเรียนใน ทางบวกหรือไม่ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่เรียนวิชาประวัติศาสตร์อเมริกา กลุ่ม ทดลองใช้วิธีเรียนแบบร่วมมือแบบ STAD ผสมกับการเรียนแบบดั้งเดิม และกลุ่มควบคุมใช้การเรียนแบบ ดั้งเดิมอย่างเดียว ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มทดลองมีพัฒนาการในการเรียนดีกว่ากลุ่มควบคุมและจากการทค สอบเจตคติพบว่ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีเจตคติต่อการเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ และจาก การสังเกตในระหว่างทดลองพบว่า นักเรียนในกลุ่มทดลองมีพฤติกรรมทางบวกสอดคล้องกับผลการวิจัย นักเรียนมีความสนุกสนานในการเรียนร่วมกัน สนใจการเรียนมากขึ้น จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า นักเรียนในห้องที่ใช้วิธีการเรียนแบบ STAD ร่วมกับวิธีเรียนแบบดั้งเดิมมีผลสัมฤทธิ์และเจตคติในทางบวก ซึ้งชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพของวิธีการเรียนแบบร่วมมือที่สามารถใช้ในการสอนวิชาสังคมศึกษาในระดับ มัธยมได้อย่างดี ทดสอบภายหลัง 3 สัปดาห์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (Multivariate analysis of convariance) สถิติทดสอบที่ และสถิติบรรยายผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่ามี ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของวิธีการจัดการเรียนรู้ นั่นคือนักเรียนที่เรียนด้วยวิธีการเรียนแบบร่วมมือ แบบ STAD มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความคงทนในการเรียน และเจตคติต่อการสอนของครูสูงกว่าการ เรียนแบบปกติ เรนเนอร์ และ มาเรค (รชาดา บัวไพร 2552 : 44 อ้างอิงจาก Renner and Marek: 1988) ได้ศึกษาโดยการนำทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์มาออกแบบทดลองสอนวิทยาศาสตร์ โดย
36 ใช้วัฏจักรการเรียนรู้ (the learning cycle) พบว่า โมเดลนี้มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ช่วยให้ นักเรียนพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะทางสังคมและการเข้าใจความหมายของค า การแก้ปัญหา และช่วยให้นักเรียนเรียนรู้วิธีคิด โคลเวอร์ (Clover. 1980 : 3 - 16) ศึกษาการใช้กิงกรรมฝึกความคิดสร้างสรรค์นักศึกษา ระดับวิทยาลัย จำนวน 44 คน โดยการฝึกฝนและให้การเสริมแรง มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มความคิด สร้างสรรค์3 ด้าน คือความคิดคล่องแคล่ว ( Fluency) ความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) และความคิดริเริ่ม (Originaliy) ทั้งในค้านนำสิ่งของมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และค้านการแก้ปัญหาในแบบฝึกหัด พบว่า หลังจากการฝึกกลุ่มตัวอย่าง สามารถทำคะแนนในแบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ของทอแรนซ์ได้สูงขึ้น เป็นอย่างมาก และเมื่อมีการติดตามผลในระยะ 11เดือนต่อมาก็พบว่า กลุ่มตัวอย่างขังคงทำคะแนนได้ สูงขึ้นเหมือนเดิมจากการศึกษางานวิชัยที่กถ่าวมานี้ แสดงให้เห็นว่าการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ กิจกรรมอย่างหลากหลาย เช่น การเรียนแบบร่วมมือ หรือสื่อต่างๆ เช่นชุดการสอน สัญญาณการเรียน ซึ่ง มีความเหมาะสมกับวิชากลุ่มสังคมศึกษา ตาสนา และวัฒนธรรมแล้ว ย่อมทำให้ผถสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียน และความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าการสอนแบบปกติ ดังนั้นผู้วิจัยจึงมั่นใจว่าการจัดการเรียนการ สอนแบบโมแดลซิปปาก็ย่อมทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงกว่าการเรียนการสอนแบบปกติ
37 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและพัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนการสอนโดยรูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 20 จำนวน 1 ห้อง จำนวนนักเรียน ทั้งหมด 41 คน โดยมีหัวข้อในการดำเนินการวิจัย ดังนี้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตการวิจัย ดังนี้ 1. ประชากร ประชากรเป็นเด็กนักเรียนชาย-หญิง ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่กำลัง ศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 20 จำนวน 5 ห้อง จำนวนนักเรียนทั้งหมด 247 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กนักเรียนชาย-หญิง ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 20 จำนวน 1 ห้อง จำนวนนักเรียน ทั้งหมด 30 คน รูปแบบในการทดลอง การศึกษาในครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังการสอน ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา (One Group Pretest-Posttest Design) (สมชาย วรกิจเกษมสกุล. 2552: 140) ดังแสดงในตารางที่ 3.1
38 ตารางที่ 3.1 แบบแผนการทดลอง ก่อนเรียน ทดลอง หลังเรียน E1 X E2 สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง E1 แทน การทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา X แทน การสอนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบรูปแบบซิปปา E2 แทน การทดสอบหลังการจัดการเรียนรู้รูปแบบรูปแบบซิปปา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาและสร้างเครื่องมือที่สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์การวิจัย ดังนี้ 1.1 แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนตามการจัดการเรียนรู้รูปแบบรูปแบบซิปปา จำนวน 4 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 1 ครั้ง รวม 4 สัปดาห์ 1.2 แบบประเมินทักษะ เรื่อง ประวัติศาสตร์ทัศนศิลป์ตะวันตก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า 4 ระดับ โดยใช้เกณฑ์การประเมิน (Rubric Score) ประเมินความคิด สร้างสรรค์ในการออกแบบชิ้นงาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนอุดรพิทยานุกูล 1.3 แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยวิธีการสอน โมเดลซิปปา วิชาทัศนศิลป์ เรื่อง ประวัติศาสตร์ทัศนศิลป์ตะวันออกและตะวันตก สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 2. การสร้างและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา ผู้วิจัยได้ดำเนินการ สร้างและพัฒนา ดังนี้ 2.1.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1.2 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้วิชาศิลปะ โดยใช้รูปแบบซิป ปา เรื่อง ประวัติศาสตร์ทัศนศิลป์ตะวันออกและตะวันตก จำนวน 4 สัปดาห์ จำนวน 4 แผน ใช้เวลา 14 ชั่วโมง ซึ่งมีสาระการเรียนรู้ ดังนี้
39 แผนที่ เนื้อหา จำนวนชั่วโมง 1 หากเราเกิดในยุคนั้น (ยุคก่อนประวัติศาสตร์) 2 2 ทัศนศิลป์ยุคกลาง 2 รวม 4 2.1.3 เสนอแผนการจัดการเรียนรู้ฉบับร่างให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน 2.1.4 ปรับปรุงแผนตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 2.1.5 นำแผนไปทดลองใช้ (Try Out) กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง 2.1.6 ปรับปรุงแก้ไข และจัดพิมพ์เป็นแผนฉบับสมบูรณ์และนำไปทดลองสอนกับ นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง 2.2 แบบประเมินทักษะ เรื่อง ประวัติศาสตร์ทัศนศิลป์ตะวันตก ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า 4 ระดับ โดยใช้เกณฑ์การประเมิน (Rubric Score) ประเมินทักษะการวาดเส้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนอุดรพิทยานุกูล 2.3 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาจำนวน 3 ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านการสอนวิจัย และการวัดผลและประเมินผล เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแผนการจัดการเรียนรู้ โดยพิจารณาจากการตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการจัดการ เรียนรู้ มีรูปแบบ ดังนี้ 2.4 นำเอกสารรูปแบบการจัดการเรียนรู้ชีววิทยาเพื่อพัฒนาการคิดแก้ปัญหา ไปให้ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน พิจารณาตรวจสอบความสอดคล้องและความเป็นไปได้ของรูปแบบ การจัดการเรียนรู้ โดยกําหนดระดับคะแนนความเหมาะสมและความพึงพอใจของผู้เชี่ยวชาญเป็น 5 ระดับ ดังนี้ เหมาะสมมากที่สุด ให้ 5 คะแนน เหมาะสมมาก ให้ 4 คะแนน เหมาะสมปานกลาง ให้ 3 คะแนน เหมาะสมน้อย ให้ 2 คะแนน เหมาะสมน้อยที่สุด ให้ 1 คะแนน กำหนดเกณฑ์ระดับคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ ค่าเฉลี่ย 4.51 - 5.00 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับมาก
40 ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 - 1.50 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับน้อยที่สุด จากนั้นนำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการประเมินและข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญ ทั้ง 3 ท่าน ได้แก่ 1) นายพัฒนะ นรินทร์ตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล จังหวัด อุดรธานี ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและประเมินผล 2) นายอภิชาติ โยธพล ตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล จังหวัด อุดรธานี ผู้เชี่ยวชาญด้านความถูกต้องด้านเนื้อหาวิชาชีววิทยา 3) นายสราวุธ ใจแจ้ง ตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล จังหวัด อุดรธานี ผู้เชี่ยวชาญด้านความถูกต้องด้านแผนการจัดการเรียนรู้ 2.5 การแก้ไขปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ นำผลการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญมา พิจารณาแก้ไขปรับปรุง ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ได้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ฉบับสมบูรณ์ ที่มี ค่าความเหมาะสมเฉลี่ย 4.42 พร้อมจะนำไปทดลองใช้จริงต่อไป 2.6 ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ประวัติศาสตร์ทัศนศิลป์ตะวันตกจำนวน 4 ชุดกิจกรรมการ เรียนรู้ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ละ 2 ชั่วโมง รวม 4 ชั่วโมงต่อโรงเรียนตามขั้นตอนดังนี้ 2.6.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะการความคิดสร้างสรรค์ในการ ออกแบบชิ้นงาน ของนักเรียนตามหลักสูตรการศึกษาแกนกลาง ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่ กำหนด การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 1. นำแบบฝึกทักษะ เรื่อง ประวัติศาสตร์ทัศนศิลป์ตะวันตกเรื่องที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพมาทำ การทดสอบก่อนเรียนกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง 2. ดำเนินการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา จำนวน 2 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 1 ครั้ง จำนวน 4 สัปดาห์ 3. นำแบบทดสอบทักษะ เรื่อง ประวัติศาสตร์ทัศนศิลป์ตะวันตกจำนวน 2 เรื่อง ที่ผ่าน เกณฑ์คุณภาพมาทำการทดสอบกับหลังเรียนกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง 4. นำคะแนนที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ และสรุปผลการวิจัย