The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิเคราะห์หลักสูตร ว30245 ม.6

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by rattiya2252, 2022-09-20 12:49:25

วิเคราะห์หลักสูตร ว30245 ม.6

วิเคราะห์หลักสูตร ว30245 ม.6

หนว่ ยที่ ช่อื หนว่ ยกำรเรยี นรู้ มำตรฐำน ผเู้ รยี นร้อู ะไร
กำรเรียนรู้/ ทำอะไรได้

ตวั ช้ีวัด นักเรยี นรูอ้ ะไร
ว 2.1 ม 1/1อธบิ าย • สมบัตทิ างกายภาพบ
สมบตั ทิ างกายภาพ ประการ ของธาตุโลหะ
บางประการ ของธาตุ อโลหะ และกง่ึ โลหะ
โลหะ อโลหะ และกง่ึ
โลหะ โดย ใช้
หลกั ฐานเชิงประจักษ์
ทไ่ี ด้จากการ สังเกต
และการทดสอบ และ
ใชส้ ารสนเทศ ทไี่ ด้
จากแหล่งขอ้ มูล
ต่าง ๆ รวมทัง้ จดั
กลุ่มธาตุเป็นโลหะ
อโลหะ และก่ึงโลหะ

นักเรยี นทำอะไรได้
• จดั กลมุ่ ธาตุเปน็ โลห
อโลหะ และกง่ึ โลหะ

ควำมคิดหลัก สำระสำคัญ/ควำมคดิ รวบยอด

สารบริสุทธปิ์ ระกอบดว้ ยสารเพียง
บาง สมบตั ิทางกายภาพบางประการ ชนิดเดียว ส่วนสารผสมประกอบด้วย
ะ ของธาตุโลหะ อโลหะ และกง่ึ โลหะ สารตงั้ แต่2 ชนดิ ขึ้นไป สารบริสุทธ์ิ

แต่ละชนิด มีสมบตั ิบางประการที่
เป็นค่าเฉพาะตวั มีค่าคงที่ เช่น จุด
เดอื ด จุดหลอมเหลว และความ
หนาแนน่ แตส่ ารผสมมีจุดเดือด จดุ
หลอมเหลว และความหนาแน่นไม่
คงทขี่ ึ้นอยู่กบั ชนิดและสัดส่วนของ
สารทผี่ สมอย่ดู ว้ ยกัน

หะ

หนว่ ยท่ี ชื่อหนว่ ยกำรเรียนรู้ มำตรฐำน ผู้เรยี นรอู้ ะไร
กำรเรียนรู้/ ทำอะไรได้

ตวั ช้ีวัด

ว 2.1 ม 1/2 นักเรยี นร้อู ะไร

วเิ คราะห์ผลจาก • การใช้ธาตุโลหะ

การใช้ธาตโุ ลหะ อโลหะ กึง่ โลหะ และ

อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตุกัมมนั ตรังสี ที่มตี อ่

และธาตุ สง่ิ มีชวี ติ สงิ่ แวดลอ้ ม

กัมมนั ตรงั สี ทม่ี ีตอ่ เศรษฐกิจและสงั คม

สง่ิ มีชวี ติ

สง่ิ แวดล้อม

เศรษฐกิจและสังคม

จากขอ้ มูลที่

รวบรวมได้

ควำมคดิ หลัก สำระสำคญั /ควำมคิดรวบยอด

การใช้ธาตโุ ลหะ อโลหะ กึ่ง สารบรสิ ทุ ธ์ิสามารถแบง่ ออกเปน็ ธาตแุ ละ
โลหะ และธาตุกมั มนั ตรงั สี สารประกอบ ธาตมุ ีองค์ประกอบเพยี ง
ชนิดเดยี วและไมส่ ามารถแยกสลาย เป็น
อ สารอ่ืนได้ด้วยวธิ ีทางเคมสี ่วน
สารประกอบธาตอุ งค์ประกอบตัง้ แต่ 2
ชนดิ ขน้ึ ไปรวมตวั กนั ทางเคมใี นอัตราส่วน
คงที่ มสี มบัตแิ ตกต่างจากธาตทุ ่ีเป็น
องค์ประกอบ สามารถแยกองค์ประกอบ
ของสารประกอบออกจากกนั ได้ด้วยวธิ ี
ทางเคมี โดยธาตุแต่ละชนดิ ประกอบดว้ ย
อนุภาคท่ีเลก็ ท่ีสุดเรียกวา่ อะตอม
อะตอมประกอบด้วยโปรตอน นวิ ตรอน
และอิเลก็ ตรอน ซงึ่ โปรตอนและนิวตรอน
รวมกนั ตรงกลางอะตอมเรยี กว่า
นวิ เคลียส สว่ นอเิ ล็กตรอนเคลือ่ นท่ีรอบ
นิวเคลียส อะตอม ของแต่ละธาตุ
แตกตา่ งกนั ที่จานวนโปรตอน

หนว่ ยท่ี ชื่อหนว่ ยกำรเรยี นรู้ มำตรฐำน ผูเ้ รียนร้อู ะไร
กำรเรยี นรู้/ ทำอะไรได้

ตัวชีว้ ัด นกั เรยี นทำอะไรได้
• วเิ คราะห์ผลจากการ
ธาตุโลหะ อโลหะ
ก่ึงโลหะ และธาตุ
กมั มนั ตรังสี ทมี่ ีต่อ
ส่งิ มชี ีวิต สิง่ แวดล้อม
เศรษฐกจิ และสงั คม

ควำมคดิ หลัก สำระสำคญั /ควำมคดิ รวบยอด
รใช้

หนว่ ยที่ ช่อื หนว่ ยกำรเรยี นรู้ มำตรฐำน ผ้เู รยี นรอู้ ะไร
กำรเรยี นรู้/ ทำอะไรได้

ตวั ชี้วัด นักเรยี นรอู้ ะไร
• คุณคา่ ของการใชธ้ าต
ว 2.1 ม 1/3 โลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ
ตระหนกั ถงึ คณุ ค่า ธาตุกมั มันตรงั สี
ของการใช้ธาตุ
โลหะ อโลหะ กึง่ นักเรยี นทำอะไรได้
• เขยี นคุณค่าของการ
โลหะ ธาตุ ธาตโุ ลหะ อโลหะ
กมั มนั ตรงั สี โดย กงึ่ โลหะ ธาตุ
เสนอแนวทางการ

ใชธ้ าตุอย่าง
ปลอดภยั คมุ้ คา่

ควำมคดิ หลัก สำระสำคัญ/ควำมคดิ รวบยอด

ตระหนักถึงคุณคา่ ของการใช้ธาตุ • ธาตุโลหะ อโลหะ และก่ึงโลหะ ที่
ตุ โลหะ อโลหะ ก่งึ โลหะ ธาตุ สามารถแผร่ ังสีได้ จดั เป็ นธาตุ
ะ กมั มนั ตรงั สี กมั มนั ตรงั สี
• ธาตุมีท้งั ประโยชนแ์ ละโทษ การ
รใช้ ใชธ้ าตุโลหะ อโลหะ ก่ึงโลหะ ธาตุ
กมั มนั ตรังสี ควรคานึงถึงผลกระทบ
ตอ่ สิ่งมีชีวติ สิ่งแวดลอ้ ม เศรษฐกิจ
และสสาร

หนว่ ยท่ี ช่อื หนว่ ยกำรเรยี นรู้ มำตรฐำน ผเู้ รียนรูอ้ ะไร
กำรเรียนรู้/ ทำอะไรได้

ตัวช้ีวัด

นกั เรียนรอู้ ะไร

• จดุ เดือดของสาร

ว 2.1 ม 1/4 บรสิ ุทธแ์ิ ละสารผสม
เปรียบเทียบจุด • จุดหลอมเหลวของส
บริสทุ ธแ์ิ ละสารผสม
เดือด จุด

หลอมเหลวของสาร นักเรียนทำอะไรได้
บริสุทธแิ์ ละสาร • เขยี นกราฟ แปล
ผสม โดยการวัด ความหมาย ขอ้ มูลจาก
อณุ หภมู ิ เขยี น กราฟ
กราฟ แปล

ความหมาย ข้อมูล

จากกราฟ หรือ

สารสนเทศ

ควำมคิดหลัก สำระสำคัญ/ควำมคิดรวบยอด

เปรียบเทียบจดุ เดอื ด จุด สารบริสุทธ์ิประกอบดว้ ยสารเพยี ง

หลอมเหลวของสารบริสุทธแ์ิ ละสาร ชนิดเดียว ส่วนสารผสมประกอบ

ผสม ดว้ ยสารต้งั แต่ 2 ชนิดข้ึนไป สาร
สาร บริสุทธ์ิแตล่ ะชนิดมีสมบตั ิ บาง

ประการท่เี ป็ นค่าเฉพาะตวั เช่น จดุ

เดือดและจดุ หลอมเหลว คงที่ แต่

สารผสมมีจุดเดือดและจุด

หลอมเหลวไม่คงท่ี ข้นึ อยกู่ บั ชนิด
ก และสดั ส่วนของสารทีผ่ สมอยู่

ดว้ ยกนั

หนว่ ยท่ี ช่อื หนว่ ยกำรเรยี นรู้ มำตรฐำน ผเู้ รยี นรู้อะไร
กำรเรยี นรู้/ ทำอะไรได้

ตัวชี้วัด นักเรียนรูอ้ ะไร
• ความหนาแนน่ ของส
ว 2.1 ม 1/5 บรสิ ทุ ธ์ิ
อธบิ ายและ • ความหนาแนน่ ของส
เปรยี บเทยี บความ ผสม
หนาแนน่ ของสาร
บริสทุ ธแิ์ ละสาร นกั เรยี นทำอะไรได้
• เขยี นผังมโนทศั น์
ผสม เกยี่ วกบั สารบริสุทธแิ์ ล
สารผสม

ควำมคิดหลัก สำระสำคญั /ควำมคิดรวบยอด

ความหนาแนน่ ของสารบริสทุ ธ์ิ สารบริสุทธ์ิแตล่ ะชนิดมีความ
สาร หนาแน่น หรือมวลตอ่ หน่ึง

สาร

ละ

หนว่ ยท่ี ชื่อหนว่ ยกำรเรยี นรู้ มำตรฐำน ผเู้ รียนร้อู ะไร
กำรเรียนรู้/ ทำอะไรได้

ตวั ชี้วัด นกั เรยี นรูอ้ ะไร
• วดั มวลและปรมิ าตร
ว 2.1 ม 1/6 ของ สารบรสิ ุทธิ์
ใช้เคร่อื งมือเพ่ือวดั • วดั มวลและปรมิ าตร
มวลและปรมิ าตร ของ สารผสม
ของ สารบรสิ ทุ ธ์ิ
นักเรยี นทำอะไรได้
และสารผสม • ใช้เคร่อื งมือวัดมวลแ
ปริมาตรของ สารบริส
และสารผสม
• การหาปริมาตรของ
สารโดยใช้ถว้ ยยรู กี า

ควำมคิดหลัก สำระสำคญั /ควำมคิดรวบยอด

ใช้เคร่ืองมอื เพอ่ื วดั มวลและ หน่วยปริมาตรคงที่ เป็ นคา่ เฉพาะ

ร ปริมาตรของ สารบรสิ ุทธ์แิ ละสาร ของสารน้นั ณ สถานะและ อณุ หภมู ิ

ผสม หน่ึง แตส่ ารผสมมีความหนาแน่น

ร ไม่คงทข่ี ้ึนอยกู่ บั ชนิด และสดั ส่วน

ของสารทผี่ สมอยดู่ ว้ ยกนั

และ
สุทธ์ิ

หนว่ ยท่ี ชื่อหนว่ ยกำรเรยี นรู้ มำตรฐำน ผู้เรยี นรอู้ ะไร
กำรเรียนรู้/ ทำอะไรได้

ตัวช้วี ัด นกั เรียนรูอ้ ะไร
• อนภุ าค
• อะตอม

ว 2.1 ม 1/7 นักเรยี นทำอะไรได้
อธิบาย • วาดภาพจาลอง
ความสมั พันธ์ อะตอมของธาตุ
ระหวา่ งอะตอม
ธาตุ และ
สารประกอบ โดย
ใชแ้ บบจาลอง และ
สารสนเทศ

ควำมคิดหลัก สำระสำคัญ/ควำมคิดรวบยอด

ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอะตอม ธาตุ • สารบริสุทธ์ิแบ่งออกเป็นธาตุและ
และสารประกอบ สารประกอบ ธาตุประกอบดว้ ย
อนุภาคทีเ่ ล็กทีส่ ุดทย่ี งั แสดงสมบตั ิ
ของธาตนุ ้นั เรียกวา่ อะตอมธาตุ แต่
ละชนิดประกอบดว้ ยอะตอมเพยี ง
ชนิดเดียวและไม่สามารถ แยกสลาย
เป็นสารอื่นไดด้ ว้ ยวธิ ีทางเคมี ธาตุ
เขียนแทนดว้ ย สญั ลกั ษณ์ธาตุ
สารประกอบเกิดจากอะตอมของ
ธาตุต้งั แต่ 2 ชนิด ข้ึนไปรวมตวั กนั
ทางเคมีในอตั ราส่วนคงท่ี มีสมบตั ิ
แตกต่าง จากธาตุทเ่ี ป็นองคป์ ระกอบ
สามารถแยกเป็นธาตไุ ดด้ ว้ ยวธิ ีทาง
เคมี ธาตุและสารประกอบสามารถ
เขียนแทนไดด้ ว้ ย สูตรเคมี

หนว่ ยท่ี ชื่อหนว่ ยกำรเรยี นรู้ มำตรฐำน ผเู้ รยี นรูอ้ ะไร
กำรเรยี นรู้/ ทำอะไรได้

ตัวช้ีวัด

นกั เรียนรอู้ ะไร

โครงสร้างอะตอม

• นวิ เคลียส

• โปรตอน

ว 2.1 ม 1/8 • นิวตรอน
อธิบายโครงสร้าง • อิเลก็ ตรอน
นกั เรียนทำอะไรได้
อะตอมท่ี • วาดโครงสรา้ งอะตอม
ประกอบด้วย

โปรตอน นิวตรอน

และอเิ ลก็ ตรอน

โดย ใช้แบบจาลอง

ควำมคดิ หลัก สำระสำคญั /ควำมคดิ รวบยอด
โครงสร้างอะตอม
• อะตอมประกอบดว้ ยโปรตอน
ม นิวตรอน และอิเล็กตรอน โปรตอน
มีประจไุ ฟฟ้าบวก ธาตุชนิดเดียวกนั
มีจานวนโปรตอนเทา่ กนั และเป็น
คา่ เฉพาะของธาตุน้นั นิวตรอนเป็น
กลางทางไฟฟ้า ส่วนอิเล็กตรอนมี
ประจไุ ฟฟ้าลบ เม่ืออะตอมมีจานวน
โปรตอน เทา่ กบั จานวนอิเล็กตรอน
จะเป็นกลางทางไฟฟ้า โปรตอนและ
นิวตรอนรวมกนั ตรงกลางอะตอม
เรียกวา่ นิวเคลียส ส่วนอิเลก็ ตรอน
เคลื่อนทอี่ ยใู่ นท่ีวา่ งรอบนิวเคลียส

หนว่ ยที่ ช่อื หน่วยกำรเรียนรู้ มำตรฐำน ผ้เู รียนร้อู ะไร
กำรเรยี นรู้/ ทำอะไรได้

ตวั ช้ีวัด

นักเรียนรูอ้ ะไร

• การจดั เรยี งอนภุ าค

แรงยึดเหนีย่ วระหว่าง

ว 2.1 ม 1/9 อนุภาค และการ
อธบิ ายและ เคล่ือนท่ีของอนุภาคข
เปรียบเทียบการ สารชนดิ เดยี วกนั ใน
จดั เรยี งอนภุ าค สถานะต่าง ๆ

แรงยดึ เหน่ยี ว

ระหวา่ งอนุภาค

และการเคลื่อนท่ี

ของอนุภาคของ

สสารชนิดเดยี วกนั

ในสถานะ ของแข็ง

ของเหลว และแก๊ส

โดยใช้แบบจาลอง

ควำมคิดหลัก สำระสำคญั /ควำมคดิ รวบยอด

การจดั เรยี งอนภุ าค แรงยึด สสารทกุ ชนิดประกอบดว้ ยอนุภาค โดย

เหนย่ี วระหว่างอนภุ าค และ สสารชนิดเดียวกนั ทีม่ ีสถานะของแขง็

ง การเคลื่อนที่ ของอนุภาค ของเหลว แก๊ส จะมีการจดั เรียงอนุภาค แรง

ของสสาร ยดึ เหนี่ยวระหวา่ งอนุภาค การเคล่ือนที่ของ

ของ อนุภาคแตกต่าง กนั ซ่ึงมีผลตอ่ รูปร่างและ

ปริมาตรของสสาร อนุภาคของของแขง็

เรียงชิดกนั มีแรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งอนุภาค

มากทีส่ ุด อนุภาค สน่ั อยกู่ บั ที่ ทาใหม้ ี

รูปร่างและปริมาตรคงที่ อนุภาคของ

ของเหลว อยใู่ กลก้ นั มีแรงยดึ เหน่ียว

ระหวา่ งอนุภาคนอ้ ยกวา่ ของแขง็ แต่

มากกวา่ แกส๊ อนุภาคเคลื่อนทีไ่ ดแ้ ต่ไม่เป็ น

อิสระเทา่ แกส๊ ทาให้ มีรูปร่างไม่คงท่ี แต่

ปริมาตรคงที่ อนุภาคของแกส๊ อยหู่ ่างกนั

มาก มีแรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งอนุภาคนอ้ ย

ทสี่ ุด อนุภาคเคล่ือนทไี่ ดอ้ ยา่ ง อิสระ

ทุกทิศทาง ทาใหม้ ีรูปร่างและปริมาตร

ไม่คงที่

หนว่ ยที่ ช่อื หนว่ ยกำรเรยี นรู้ มำตรฐำน ผู้เรยี นรู้อะไร
กำรเรยี นรู้/ ทำอะไรได้

ตัวชว้ี ัด นกั เรียนทำอะไรได้
• เปรยี บเทียบการ

จัดเรยี งอนุภาค แรงย
เหน่ยี วระหวา่ งอนภุ า
และการเคลือ่ นทขี่ อ
อนภุ าคของสารชนิด
เดยี วกนั ในสถานะตา่ ง

ควำมคิดหลัก สำระสำคญั /ควำมคิดรวบยอด

ยึด
าค
อง

งๆ

หนว่ ยที่ ช่อื หนว่ ยกำรเรยี นรู้ มำตรฐำน ผู้เรียนรูอ้ ะไร
กำรเรียนรู้/ ทำอะไรได้

ตวั ชี้วัด

นักเรยี นรอู้ ะไร

• ความสัมพนั ธร์ ะหว่า

พลงั งานความร้อนกบั

ว 2.1 ม 1/10 การเปลี่ยนสถานะของ

อธบิ าย สสาร

ความสมั พันธ์ • ระบุการเปล่ียนแปล

ระหวา่ ง พลังงาน สถานะของสสารทอี่ ยู่

ความร้อนกบั การ รอบตวั ได้

เปล่ยี นสถานะ ของ

สสาร โดยใช้

หลักฐานเชิง

ประจกั ษ์และ

แบบจาลอง

ควำมคิดหลัก สำระสำคัญ/ควำมคิดรวบยอด

ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง พลังงาน สารท่ีอยู่รอบตัวเราล้วนมีสมบัติ
าง ความร้อนกบั การเปลยี่ นสถานะ ทางกายภาพ และสมบัติทางเคมีท่ี
บ ของสสาร แตกต่างกัน ซึ่งอุณหภูมิภายนอกมี
ง ผลต่อสถานะของสาร ซ่ึงเป็นสมบัติ
ทางกายภาพของสารอย่างหน่ึง เช่น
ลง น้าแข็ง (ของแข็ง) เมื่อได้รับความ
ร้ อ น จ ะ ล ะ ล า ย ก ล า ย เ ป็ น น้ า
(ของเหลว) เมื่อน้าได้รับความร้อน
ต่ อเน่ื องจะเดื อด และระเหย
กลายเป็นไอ (แก๊ส) เป็นต้น ซึ่งความ
ร้อนที่ทาให้ของแข็งเปล่ียนสถานะ
เป็นของเหลว เรียกว่า ความรอ้ นแฝง
ของการหลอมเหลว และเรียกความ
ร้อนท่ีทาให้ของเหลวเปลี่ยนสถานะ
เป็นแก๊สว่า ความร้อนแฝงของการ
กลายเปน็ ไอ

เอกสำรหมำยเลข ๔

รำยวชิ ำ วิทยำศำสตร์ 1 (ว21101) โครงสร

ชัน้ มัธยมศึกษำปีที่ 1 สำระกำรเรยี นรแู้ กนกล

จำนวน 1.5 หนว่ ยกิต • เซลล์เปน็ หนว่ ยพืน้ ฐานของส

หนว่ ยท่ี ชอื่ หนว่ ย มำตรฐำน/ สง่ิ มชี ีวิต บางชนดิ มเี ซลล์เพยี ง
เดียว เช่น อะมบี า พารามีเซีย
กำรเรียนรู้ ตวั ชวี้ ัด บางชนิดมีหลายเซลล์ เช่น
พชื สตั ว์
3 หนว่ ยพนื้ ฐำน ว 1.2 ม 1/1

ของส่ิงมีชีวิต

(เซลล์)

รำ้ งรำยวชิ ำ

กลมุ่ สำระกำรเรียนรวู้ ิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

ภำคเรียนท่ี 1 เวลำ 60 ช่วั โมง

อัตรำสว่ นคะแนน 80 : 20

ลำง สำระสำคญั /ควำมคดิ รวบยอด เวลำ น้ำหนัก

(ช่วั โมง) คะแนน

ส่งิ มีชีวติ เซลลส์ ง่ิ มีชวี ติ มีสว่ นประกอบพ้นื ฐาน 3 5

งเซลล์ สาคญั 3 สว่ น ได้แก่ เย่ือหุม้ เซลล์

ยม ยสี ต์ ไซโทพลาซมึ และนิวเคลยี สแตเ่ ซลล์พชื

และเซลล์สตั วจ์ ะมบี างสว่ นประกอบท่ี

แตกต่างกนั เชน่ เซลล์พืชจะมผี นงั เซลล์

หอ่ หมุ้ เย่อื หมุ้ เซลล์อกี ชน้ั หนง่ึ และมี

คลอโรพลาสต์ ทาหน้าที่สร้างอาหาร

ใหแ้ ก่เซลล์ ซง่ึ ท้งั ผนงั เซลล์และ

คลอโรพลาสต์จะไม่พบในเซลล์สตั ว์

หนว่ ยท่ี ชอ่ื หนว่ ย มำตรฐำน/ สำระกำรเรยี นรู้แกนกล
กำรเรียนรู้ ตวั ชี้วัด
ว 1.2 ม 1/2 • โครงสร้างพ้นื ฐานทพ่ี บทัง้ ใน
และเซลล์สตั ว์และสามารถสังเ
ด้วยกล้องจลุ ทรรศนใ์ ช้แสง
ได้แก่ เยอ่ื หุม้ เซลล์ ไซโทพลาซ
นวิ เคลยี ส โครงสรา้ งทีพ่ บในเซ
ไม่พบในเซลลส์ ัตว์ ได้แก่ ผนงั
คลอโรพลาสต์
• โครงสรา้ งต่าง ๆ ของเซลลม์
แตกตา่ งกัน
- ผนังเซลล์ ทาหน้าท่ีให้ความ
แกเ่ ซลล์
- เย่ือหุ้มเซลล์ ทาหนา้ ทีห่ ่อหมุ้
และควบคุม
การลาเลยี งสารเขา้ และออกจ
- นิวเคลยี ส ทาหนา้ ท่ีควบคมุ ก
ทางานของเซลล์
- ไซโทพลาซึม มอี อรแ์ กเนลล
หน้าทแี่ ตกต่างกัน

ลำง สำระสำคญั /ควำมคิดรวบยอด เวลำ นำ้ หนกั
(ชวั่ โมง) คะแนน
นเซลลพ์ ชื โครงสร้างพื้นฐานท่พี บทงั้ ในเซลล์พืช
เกตได้ และเซลล์สตั วแ์ ละสามารถสงั เกตได้ดว้ ย 3 3

กลอ้ งจลุ ทรรศน์ใช้แสง ได้แก่
ซึม และ เย่อื หมุ้ เซลล์ ไซโทพลาซมึ และนิวเคลียส
ซลลพ์ ชื แต่ โครงสรา้ งทพ่ี บในเซลลพ์ ืชแตไ่ ม่พบใน
งเซลลแ์ ละ เซลลส์ ัตว์ ไดแ้ ก่ ผนังเซลลแ์ ละ

คลอโรพลาสต์
มีหน้าที่

มแข็งแรง

มเซลล์

จากเซลล์
การ

ล์ทีท่ า

หนว่ ยท่ี ชอ่ื หน่วย มำตรฐำน/ สำระกำรเรียนรแู้ กนกล
กำรเรยี นรู้ ตวั ช้ีวัด
- แวควิ โอล ทาหนา้ ท่เี กบ็ นา้ แ
ว 1.2 ม 1/3 ตา่ ง ๆ
- ไมโทคอนเดรีย ทาหนา้ ท่เี กีย่
สลายสารอาหารเพอื่ ให้ไดพ้ ลัง
เซลล์
- คลอโรพลาสต์ เป็นแหลง่ ทเ่ี ก
สังเคราะห์ดว้ ยแสง
• เซลล์ของส่งิ มชี ีวิตมรี ปู ร่าง ล
หลากหลายและมีความเหมาะ
หน้าทีข่ องเซลล์น้นั เช่น
เซลลป์ ระสาทสว่ นใหญ่ มีเส้น
ประสาทเป็นแขนงยาว นากระ
ประสาทไปยงั เซลลอ์ ืน่ ๆ ที่
อยไู่ กลออกไป เซลล์ขนราก เป
ผวิ ของรากท่มี ผี นงั เซลล์และเย
เซลล์ยื่นยาวออกมาลักษณะค
เส้นเล็ก ๆ เพื่อเพิ่มพื้นท่ีผิวใน
การดดู น้าและธาตอุ าหาร

ลำง สำระสำคญั /ควำมคิดรวบยอด เวลำ นำ้ หนกั
และสาร (ชว่ั โมง) คะแนน

ยวกับการ 2
งงานแก่

กดิ การ

ลักษณะ ที่ เซลล์ (cell) เป็นหนว่ ยพ้นื ฐานท่ีเลก็ ทสี่ ุด 1
ะสมกบั ของสงิ่ มชี ีวิต ทัง้ สิง่ มชี วี ิตเซลลเ์ ดยี วและ

สิ่งมีชวี ิตหลายเซลล์ ซง่ึ เซลล์แต่ละชนดิ
นใย จะมรี ูปร่างและลกั ษณะท่แี ตกตา่ งกัน
ะแส โดยทั่วไปเซลลข์ องสงิ่ มีชวี ติ จะมขี นาด

เล็กไม่สามารถมองเห็นได้ดว้ ยตาเปล่า
ป็นเซลล์ จึงตอ้ งใชก้ ลอ้ งจุลทรรศนใ์ นการศึกษา
ยอ่ื หุม้ รปู รา่ งและลกั ษณะของเซลล์
คล้ายขน


หนว่ ยที่ ชอ่ื หน่วย มำตรฐำน/ สำระกำรเรยี นรู้แกนกล
กำรเรียนรู้ ตวั ชว้ี ัด
ว 1.2 ม 1/4 • พชื และสัตว์เปน็ ส่ิงมชี ีวติ หล
การจัดระบบ โดยเร่มิ จากเซล
เน้ือเย่อื อวยั วะ ระบบอวัยวะ
สงิ่ มีชีวติ ตามลาดับ เซลล์หลา
เซลลม์ ารวมกันเป็นเน้อื เย่ือ เน
หลายชนิดมา รวมกนั และทาง
รว่ มกันเป็นอวัยวะ อวัยวะตา่ ง
ทางานรว่ มกนั เปน็ ระบบอวัยว
อวยั วะทกุ ระบบทางานร่วมกนั
สงิ่ มชี ีวิต

ลำง สำระสำคัญ/ควำมคิดรวบยอด เวลำ นำ้ หนัก
(ชั่วโมง) คะแนน
ลายเซลลม์ ี สิง่ มีชวี ติ ทุกชนดิ มีเซลลเ์ ป็นหน่วยที่
ลล์ไปเป็น เลก็ ท่ีสุดเปน็ องค์ประกอบ ซ่ึงส่ิงมชี ีวติ 1 2
ะ และ บางชนิดสามารถดารงชีวิตอยู่ได้เพียง
าย เซลลเ์ ดียว บางชนิดจาเปน็ ต้องมีหลาย
นอื้ เยื่อ เซลล์มารวมกันเป็นเนื้อเย่อื ซึง่ มีรปู ร่าง
งาน และหนา้ ที่แตกต่างกัน
งๆ
วะ ระบบ
นเป็น

หน่วยท่ี ช่อื หน่วย มำตรฐำน/ สำระกำรเรียนรแู้ กนกล
3 กำรเรียนรู้ ตวั ชว้ี ัด
ว 1.2 ม 1/5 • เซลลม์ ีการนาสารเข้าสู่เซลล
(กำรลำเลยี งสำร กระบวนการตา่ ง ๆ ของเซลล
เข้ำออกนอก การขจดั สารบางอย่างทเี่ ซลลไ์
เซลล์) ออกนอกเซลล์ การนาสารเข้า
จากเซลล์มีหลายวธิ ี เชน่ การแ
เปน็ การเคลอื่ นท่ีของสารจากบ
ความเขม้ ข้นของสารสงู ไปสู่บร
ความเขม้ ขน้ ของสารต่า สว่ นอ
เปน็ การแพรข่ องนา้ ผ่านเยื่อห
จากดา้ นทมี่ ีความเขม้ ขน้ ของ
สารละลายต่าไปยงั ด้านท่มี คี ว
ของสารละลายสูงกว่า

ลำง สำระสำคญั /ควำมคิดรวบยอด เวลำ นำ้ หนัก
(ชว่ั โมง) คะแนน
ล์ เพื่อใช้ใน เซลล์ของสง่ิ มชี ีวติ ต้องมกี ระบวนการ
ล์ และมี นาสารเข้าและออกจากเซลล์ เพื่อใช้ใน 4 5
ไมต่ ้องการ กระบวนการดารงชวี ติ ของเซลล์ เช่น
าและออก การแพร่เปน็ กระบวนการเคลือ่ นทีข่ อง
แพร่ อนุภาคสารจากบรเิ วณทม่ี ีความเขม้ ข้น
บริเวณท่ีมี สงู ไปสบู่ ริเวณที่มีความเขม้ ข้นต่า หรอื
รเิ วณทม่ี ี การออสโมซสิ เปน็ กระบวนการเคลือ่ นที่
ออสโมซิส ของโมเลกุลน้าจากบริเวณท่มี คี วาม
หุ้มเซลล์ เขม้ ขน้ ของสารละลายต่าไปสบู่ ริเวณที่มี

ความเข้มขน้ ความเข้มขน้ ของ
วามเข้มข้น สารละลายสูง เปน็ ตน้

หน่วยท่ี ช่ือหน่วย มำตรฐำน/ สำระกำรเรยี นรแู้ กนกล
4 กำรเรียนรู้ ตัวช้วี ัด
กำรดำรงชวี ติ ว 1.2 ม 1/6 • กระบวนการสังเคราะห์ด้วย
ของพชื พืชทีเ่ กดิ ขึ้นในคลอโรพลาสต์
(กำรสังเครำะห์ จาเป็นต้องใชแ้ สง
ด้วยแสง) แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์
คลอโรฟิลล์ และนา้ ผลผลิตท
การสงั เคราะห์ด้วยแสง ไดแ้ ก
และแกส๊ ออกซิเจน

ว 1.2 ม 1/7 • การสงั เคราะห์ดว้ ยแสง เป็น
กระบวนการทส่ี าคญั
ต่อส่งิ มีชวี ติ

ลำง สำระสำคัญ/ควำมคดิ รวบยอด เวลำ นำ้ หนกั
ยแสงของ (ช่วั โมง) คะแนน
กระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสงของพชื ที่
ที่ไดจ้ าก เกิดขน้ึ ในคลอโรพลาสต์ โดยมีน้าและ 3 5
ก่ นา้ ตาล แกส๊ คาร์บอนไดออกไซดเ์ ปน็ สารตง้ั และ
ได้ผลติ ภัณฑ์เป็นน้าตาลกลโู คส น้า และ
แก๊สออกซิเจน

น กระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสง 2 3

(photosynthesis) เปน็ กระบวนการ

ผลิตอาหารของพชื โดยพชื จะใชส้ าร

คลอโรฟลิ ล์ทีอ่ ยใู่ นใบดดู กลืนพลังงาน

แสงจากดวงอาทติ ย์มาเปลี่ยนให้เปน็

พลงั งานเคมีในรปู ของสารอนิ ทรีย์จาพวก

นา้ ตาล

หนว่ ยที่ ชอ่ื หนว่ ย มำตรฐำน/ สำระกำรเรยี นรแู้ กนกล
กำรเรียนรู้ ตัวชว้ี ัด
ว 1.2 ม 1/8 กระบวนการเดียวท่สี ามารถน
แสงมาเปลี่ยนเปน็ พลงั งาน
ในรปู สารประกอบอนิ ทรียแ์ ละ
สะสมในรูปแบบต่าง ๆ ในโคร
ของพชื พืชจงึ เปน็ แหลง่ อาหา
พลงั งานทสี่ าคญั ของสงิ่ มชี ีวติ อ
นอกจากนกี้ ระบวนการสงั เคร
แสงยังเป็นกระบวนการหลกั ใ
สร้างแกส๊ ออกซิเจนใหก้ บั
บรรยากาศเพ่ือให้สิ่งมชี วี ิตอนื่
กระบวนการหายใจ

ลำง สำระสำคัญ/ควำมคดิ รวบยอด เวลำ นำ้ หนกั
(ช่วั โมง) คะแนน
นาพลงั งาน กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสงยังเป็น
กระบวนการหลักในการสรา้ งแก๊ส 2 3

ะเกบ็ ออกซเิ จนใหก้ บั บรรยากาศเพอื่ ให้ซงึ่
รงสรา้ ง สิง่ มีชวี ิตนาแก๊สออกซเิ จนมาใชใ้ น
ารและ กระบวนหายใจ
อ่นื
ราะหด์ ว้ ย
ในการ

น ใช้ใน

หนว่ ยท่ี ชอื่ หนว่ ย มำตรฐำน/ สำระกำรเรยี นร้แู กนกล
4 กำรเรยี นรู้ ตัวชวี้ ัด
ว 1.2 ม 1/9 • พืชมีไซเลม็ และโฟลเอม็ ซ่ึงเ
กำรดำรงชวี ติ เนือ้ เยือ่ มลี กั ษณะคล้ายท่อ เร
ของพืช ว 1.2 ม 1/10 เป็นกลุ่มเฉพาะทโ่ี ดยไซเล็มทา
(การลาเลียง ลาเลียงนา้ และธาตุอาหารมีทิศ
น้า ธาตอุ าหาร ลาเลยี งจากรากไปส่ลู าต้น ใบ
และอาหารของ ส่วนต่าง ๆ ของพชื เพือ่ ใช้ในก
พชื ) สงั เคราะห์ด้วยแสงรวมถงึ กระ
อน่ื ๆ สว่ นโฟลเอ็มทาหน้าที่
ลาเลียงอาหารทไี่ ด้จากการสงั
ดว้ ยแสงมีทิศทางลาเลียงจากบ
การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงไปส่สู ่ว
ของพชื
ทศิ ทางลาเลียงจากบริเวณท่มี
สังเคราะหด์ ้วยแสงไปสสู่ ่วนตา่
ของพชื

ลำง สำระสำคัญ/ควำมคดิ รวบยอด เวลำ น้ำหนกั
(ชัว่ โมง) คะแนน
เป็น พืชมรี ะบบลาเลียงสาร โดยพชื จะอาศัย
รยี งตัวกนั เนอ้ื เยอ่ื ที่ทาหน้าทเ่ี ฉพาะในการลาเลียง 3 5
าหน้าท่ี สาร เรียกวา่ เน้ือเย่ือลาเลยี ง เช่น ท่อไซ
ศทาง เล็ม (xylem) ทาหน้าที่ลาเลยี งน้าและ 5
บ และ แร่ธาตุจากรากไปสู่ใบ สว่ นท่อโฟลเอ็ม
การ (phloem) ทาหนา้ ที่ลาเลยี งอาหารจาก
ะบวนการ ใบไปยงั ส่วนตา่ ง ๆ ของพืช

งเคราะห์
บริเวณทมี่ ี
วนต่าง ๆ

มีการ ทิศทางลาเลยี งจากบรเิ วณทีม่ กี าร 2
าง ๆ สงั เคราะห์ดว้ ยแสงไปสสู่ ว่ นต่าง ๆ

ของพชื

หนว่ ยท่ี ชอ่ื หน่วย มำตรฐำน/ สำระกำรเรียนรแู้ กนกล
กำรเรียนรู้ ตวั ชี้วัด
ว 1.2 ม 1/11 • พชื ดอกทุกชนดิ สามารถสบื พ
อาศัยเพศไดแ้ ละบางชนิดสาม
สบื พนั ธุ์แบบไม่อาศัยเพศได้

ว 1.2 ม 1/12 • การสบื พนั ธุแ์ บบอาศัยเพศเป
สืบพนั ธทุ์ ี่มีการผสมกันของสเป
เซลลไ์ ข่ การสืบพนั ธุ์ แบบอาศ
ของพืชดอกเกิดขนึ้ ทีด่ อก โดย
อับเรณขู องสว่ นเกสรเพศผู้มีเร
หนา้ ทีส่ ร้างสเปิรม์ ภายในออว
ส่วนเกสรเพศเมียมีถุงเอ็มบริโ
หน้าทีส่ รา้ งเซลลไ์ ข่
• การสบื พันธุ์แบบไมอ่ าศัยเพศ
การสบื พนั ธทุ์ พ่ี ืชต้นใหม่ไมไ่ ดเ้
การปฏสิ นธิระหวา่ งสเปริ ์ม
กบั เซลลไ์ ข่ แตเ่ กดิ จากสว่ นต่า
พืช เช่น ราก ลาตน้ ใบ มีการ
เจริญเตบิ โตและพฒั นาขึ้นมาเ
ใหม่ได้

ลำง สำระสำคญั /ควำมคิดรวบยอด เวลำ นำ้ หนกั
(ชั่วโมง) คะแนน
พันธแ์ุ บบ พชื ดอกทุกชนดิ สามารถสืบพนั ธุ์แบบ
มารถ อาศัยเพศได้และบางชนิดสามารถ 1 5

สบื พนั ธุ์แบบไม่อาศัยเพศ

ปน็ การ ดอกไม้ เป็นอวัยวะสืบพันธุ์ของพืช 2 6
ปิรม์ กับ เม่ือถูกผสมเกสร ดอกจะเจริญกลายเปน็
ศัยเพศ ผลซึ่งภายในมีเมล็ด ทาหน้าที่กระจาย
ยภายใน พันธ์ุพืช โดยพืชต้นใหม่จะมีลักษณะที่
รณู ซ่ึงทา แตกตา่ งไปจากตน้ พอ่ แม่
วลุ ของ
โอ ทา

ศ เป็น
เกิดจาก

าง ๆ ของ

เปน็ ต้น

หนว่ ยท่ี ชอ่ื หน่วย มำตรฐำน/ สำระกำรเรยี นรู้แกนก
กำรเรยี นรู้ ตัวชว้ี ัด
ว 1.2 ม 1/13 • การถา่ ยเรณู คอื การเคล่อื
เรณูจากอบั เรณูไปยังยอดเกส
ซึง่ เก่ยี วข้องกับลักษณะและโ
ของดอก เชน่ สขี อง กลีบดอ
ตาแหนง่ ของเกสรเพศผ้แู ละเ
เมยี โดยมีส่งิ ที่ชว่ ยในการถา่
แมลง ลม
• การถา่ ยเรณูจะนาไปสกู่ าร
จะเกดิ ขึ้นที่ ถงุ เอม็ บริโอภาย
หลังการปฏิสนธิจะได้ ไซโกต
เอนโดสเปริ ม์ ไซโกตจะพฒั น
เป็นเอ็มบรโิ อ ออวุลพฒั นาไป
และรงั ไข่ พฒั นาไปเป็นผล
• ผลและเมล็ดมีการกระจาย
ต้นเดมิ โดยวธิ ีการตา่ ง ๆ เม
ตกในสภาพแวดลอ้ มทีเ่ หมาะ
การงอกของเมลด็ โดยเอม็ บ
ภายในเมล็ดจะเจริญออกมา
ระยะแรกจะอาศัยอาหารที่ส
ภายในเมลด็ จนกระทั่งใบแท

กลำง สำระสำคญั /ควำมคดิ รวบยอด เวลำ นำ้ หนัก
(ชัว่ โมง) คะแนน
อนยา้ ยของ พชื ดอกมีดอกเปน็ อวยั วะสบื พนั ธุ์
สรเพศเมยี ภายในมีส่วนประกอบทท่ี าหนา้ ที่สรา้ ง 3 4
โครงสรา้ ง เซลลส์ ืบพนั ธเุ์ พศผู้ (สเปริ ม์ ) และเซลล์
อก สืบพันธุ์เพศเมยี (เซลล์ไข)่ ซ่ึงการ
เกสรเพศ ปฏสิ นธริ ะหว่างสเปิร์มกบั เซลล์ไขจ่ ะ
ายเรณู เชน่ เกิดขน้ึ ภายในรังไข่ แล้วเจริญเป็นเมล็ด

อยภู่ ายในผล เม่ือถึงเวลาขยายพนั ธุ์เมล็ด
รปฏสิ นธิ ซง่ึ ที่อยู่ภายในผลจะแตกออกและกระจาย
ยในออวลุ ไปยงั ทีต่ ่าง ๆ เมื่ออย่ใู นสภาวะแวดลอ้ ม
ต และ และมปี จั จัยท่ีเหมาะสม เมล็ดจะงอกต้น
นาตอ่ ไป อ่อนท่ีมลี ักษณะที่หลากหลาย หรอื
ปเปน็ เมล็ด แตกต่างไปจากต้นพอ่ และต้นแม่

ยออกจาก
มือ่ เมลด็ ไป
ะสมจะเกดิ
บริโอ
า โดย
สะสม
ทพ้ ัฒนา

หนว่ ยที่ ชอ่ื หน่วย มำตรฐำน/ สำระกำรเรียนรแู้ กนก
กำรเรียนรู้ ตวั ช้วี ัด
จนสามารถสงั เคราะห์ดว้ ยแ
ว 1.2 ม 1/14 เตม็ ที่ และสรา้ งอาหารได้เอ
• พชื ต้องการธาตุอาหารทจี่
ชนิดในการเจริญเตบิ โตและ
ดารงชวี ติ

ว 1.2 ม 1/15 • พืชตอ้ งการธาตอุ าหารบาง
ปรมิ าณมาก ได้แก่ไนโตรเจน
ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แค
แมกนเี ซียม และกามะถัน ซ
อาจมีไม่เพียงพอสาหรบั การ
เจริญเติบโตของพชื จึงต้องม
ธาตุอาหารในรูปของปุ๋ยกบั พ
เหมาะสม

กลำง สำระสำคญั /ควำมคดิ รวบยอด เวลำ น้ำหนกั
(ชวั่ โมง) คะแนน
แสงได้
องตามปกติ 1 4
จาเป็นหลาย พชื สามารถผลติ อาหารไดจ้ าก
ะการ กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง เพื่อ 2 4

เปน็ แหลง่ พลงั งานให้กบั พืช เพอื่ ใช้ใน
การเจรญิ เตบิ โต เช่น การเพมิ่ จานวน
เซลล์ การขยายขนาดของเซลล์ และการ
เปลย่ี นแปลงรปู รา่ งของเซลลไ์ ปทาหนา้ ท่ี
เฉพาะตา่ ง ๆ
งชนิดใน พชื สามารถผลติ อาหารได้จาก
น กระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง เพื่อ
คลเซยี ม เป็นแหลง่ พลังงานให้กับ พชื ใบเลยี้ ง
ซึ่งในดิน เดีย่ ว และพืชใบเลี้ยงคู่ มลี ักษณะท่ี
ร แตกต่างกัน เนอื่ งจากขั้นตอนการ
มีการให้ เจรญิ เติบโตของรากและลาตน้ ในพชื ทง้ั
พชื อยา่ ง สองชนดิ แตกตา่ งกนั นอกจากน้พี ืช
ตอ้ งการธาตอุ าหารทจ่ี าเปน็ หลายชนดิ
สาหรบั การเจรญิ เติบโตและการ
ดารงชวี ติ ของพชื

หนว่ ยท่ี ชอ่ื หน่วย มำตรฐำน/ สำระกำรเรยี นรูแ้ กนกล
กำรเรียนรู้ ตวั ชี้วัด
ว 1.2 ม 1/16 • มนษุ ย์สามารถนาความรเู้ ร่อื
สืบพนั ธุ์แบบอาศัยเพศและไม
มาใชใ้ นการขยายพันธ์เุ พ่อื เพิ่ม
พืช เชน่ การใชเ้ มล็ด

ว 1.2 ม 1/17 • เทคโนโลยกี ารเพาะเล้ยี งเน
เป็นการนาความรูเ้ ก่ียวกับปจั
จาเป็นตอ่ การเจรญิ เติบโตของ
ในการเพม่ิ จานวนพชื และทา
สามารถเจริญเติบโตได้ในหลอ
ซง่ึ จะได้พชื จานวนมากในระย
และสามารถนาเทคโนโลยกี าร
เพาะเลยี้ งเนอื้ เยื่อมาประยกุ ต
เพอ่ื การอนรุ ักษพ์ นั ธุกรรมพชื
พันธพ์ุ ชื ทม่ี คี วามสาคญั ทางเศ
การผลติ ยาและสารสาคญั ในพ
อ่ืน ๆ

ลำง สำระสำคญั /ควำมคดิ รวบยอด เวลำ นำ้ หนกั
(ช่วั โมง) คะแนน
องการ วธิ ีการขยายพนั ธพุ์ ืชใหเ้ หมาะสมกบั ความ
มอ่ าศยั เพศ ตอ้ งการของมนษุ ย์ โดยใชค้ วามรูเ้ กี่ยวกบั 3 3
มจานวน การ สบื พนั ธขุ์ องพชื แบบอาศัยเพศและไม่
4 5
อาศยั เพศ มาใช้ในการขยายพันธเุ์ พ่ือ
เพม่ิ จานวนพชื

นือ้ เยอ่ื พืช เทคโนโลยชี ีวภาพของพชื เปน็ การ
จจัยที่ นาเอาความรทู้ างดา้ นวทิ ยาศาสตรม์ า
งพชื มาใช้ ประยุกตใ์ ชก้ บั พืช เพ่ือใหเ้ ป็น ประโยชน์
าให้พืช และเพยี งพอต่อความตอ้ งการของมนุษย์
อดทดลอง เชน่ การขยายพนั ธ์พุ ชื ด้วยการเพาะเล้ยี ง
ยะเวลาสั้น เนอ้ื เยอ่ื ซง่ึ เปน็ การนาช้นิ สว่ นเน้อื เยอื่
ร ของพชื มาเลย้ี งในอาหารสังเคราะห์
ต์ การปรับปรุงพนั ธ์ุพืช และการดดั แปร
ช ปรับปรุง พนั ธกุ รรมของพืช โดยใช้ยนี จากสิง่ มชี ีวติ
ศรษฐกจิ อ่ืนมาแทรกลงในสารพนั ธุกรรมของพชื
พชื และ เพอื่ ใหไ้ ด้ผลผลิตทีม่ ีปริมาณและคุณภาพ

มากขนึ้

หนว่ ยที่ ชอ่ื หน่วย มำตรฐำน/ สำระกำรเรยี นรแู้ กนกล
กำรเรียนรู้ ตวั ชีว้ ัด
ว 1.2 ม 1/18 การสืบพนั ธ์แุ บบอาศัยเพศมา
วิธีการนจี้ ะได้พชื ในปริมาณมา
มีลักษณะที่แตกต่างไปจากพ่อ
การตอนก่ิง การปกั ชา การตอ่
ตดิ ตา การทาบกงิ่ การเพาะเล
เนอื้ เยอื่ เปน็ การนาความรูเ้ รอ่ื
สบื พนั ธ์แุ บบไมอ่ าศัยเพศของพ
ในการขยายพนั ธุ์เพ่ือให้ได้พชื
ลกั ษณะเหมือนต้นเดิม ซง่ึ การ
ขยายพันธแ์ุ ต่ละวธิ ี มขี ั้นตอนแ
กัน จึงควรเลือกให้เหมาะสมก
ต้องการของมนุษย์ โดยตอ้ งค
ชนิดของพืชและลกั ษณะการส
ของพืช

ลำง สำระสำคญั /ควำมคดิ รวบยอด เวลำ น้ำหนกั
(ช่ัวโมง) คะแนน
าเพาะเลี้ยง การสืบพันธแุ์ บบอาศยั เพศมาเพาะเลี้ยง
าก แตอ่ าจ วธิ ีการนจี้ ะได้พชื ในปริมาณมาก แตอ่ าจ 1 5
อแม่ ส่วน มีลักษณะท่แี ตกต่างไปจากพอ่ แม่ ส่วน
อกิง่ การ การตอนกง่ิ การปักชา การต่อก่งิ การติด
ลย้ี ง ตา การทาบก่ิง การเพาะเลี้ยง
องการ เนือ้ เยอ่ื เป็นการนาความรู้เร่ืองการ
พชื มาใช้ สบื พนั ธ์ุแบบไมอ่ าศัยเพศของพชื มาใชใ้ น
ชทมี่ ี การขยายพันธเ์ุ พือ่ ใหไ้ ด้พชื ทม่ี ีลกั ษณะ
ร เหมือนตน้ เดิม
แตกต่าง
กับความ
คานึงถงึ
สืบพันธ์ุ


Click to View FlipBook Version