The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Penporn Paradee, 2024-02-16 08:39:59

การศึกษาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15

เอกสารรายงานการวิจัย

รายงานการวิจัย เรื่อง การศึกษาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา ในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 15 สำนักงานศึกษาธิการภาค 15 สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ


ก กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยฉบับนี้ สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีโดยการส่งเสริม สนับสนุนจาก ศึกษาธิการภาค 15 และบุคลากรของสำนักงานศึกษาธิการภาค 15 ขอขอบคุณศึกษาธิการจังหวัด ลำปางที่ให้ความอนุเคราะห์การทดลองใช้เครื่องมือในการวิจัย ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านที่ได้ตรวจสอบเครื่องมือที่ช่วยในการวิจัยและให้ คำแนะนำ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือประเมินคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ขอขอบพระคุณผู้บริหาร บุคลากร สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดในพื้นที่เขตตรวจ ราชการที่ 15 ทุกท่าน ที่ให้การช่วยเหลือสนับสนุนการเก็บข้อมูลการวิจัย ให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ และทดลองใช้ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ที่พัฒนาขึ้น คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีจากงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยขอมอบแด่ผู้มีพระคุณทุกท่าน เพ็ญพร ปะระดี


ข บทคัดย่อ การวิจัยเรื่อง การศึกษาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา ใน พื้นที่เขตตรวจราชการที่ 15 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการพัฒนา ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 2) พัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้าน การศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 และ 3) ศึกษาประสิทธิภาพของการใช้งานระบบข้อมูลสารสนเทศ ด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนา (Research and Development) เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบบันทึกเอกสาร แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยค่าสถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วย การวิเคราะห์เนื้อหาและเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. สภาพปัจจุบันและความต้องการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขต ตรวจราชการที่ 15 พบว่า สภาพปัจจุบันการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจ ราชการที่ 15 โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนความต้องการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศ เขต ตรวจราชการที่ 15 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2. ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 พัฒนาขึ้นในรูปแบบ โมบายแอปพลิเคชัน ชื่อ DataApp V.1 ใชไดทั้งในระบบ iOS และ ระบบ Android ผ่านการประเมิน คุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญมีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับดี 3. ประสิทธิภาพของการใช้งานระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการ ที่ 15 มีประสิทธิภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก คำสำคัญ : การพัฒนาระบบ, ระบบข้อมูลสารสนเทศ, ข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา, เขตตรวจ ราชการที่ 15


ค Abstract Analytical study to develop educational information systems Inspection Area 15, aims to1) study the current conditions and needs for developing educational information systems Inspection Area 15 2) develop educational information systems Inspection Area 15, and 3) study the efficiency of using educational information systems Inspection Area 15. Use research and development methods (Research and Development), collecting data with documentary form. Questionnaires were analyzed quantitatively using statistics, frequency, percentage, mean, standard deviation. Qualitative data were analyzed by content analysis and descriptive writing. The research results can be summarized as follows. 1. Current conditions and needs for development of educational information systems Inspection Area 15 were that the current situation in the development of educational information systems Inspection Area 15 is overall at a moderate level. As for the need to develop information systems Inspection Area 15 is overall at the highest level. 2. Educational information system Inspection Area 15 of Mobile Application named DataApp V.1, available for iOS and Android systems. It has passed the quality assessment by experts and has overall quality at a good level. 3. Efficiency of the use of educational information systems Inspection Area 15 has overall efficiency at a high level. Keywords : system development, information system, Educational information, Inspection Area 15


ง สารบัญ หน้า กิตติกรรมประกาศ ก บทคัดย่อภาษาไทย ข บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ค สารบัญ ง สารบัญตาราง ฉ สารบัญภาพ ฌ บทที่ 1 บทนำ 1 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 2. คำถามการวิจัย 3 3. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 3 4. ความสำคัญของการวิจัย 4 5. กรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัย 4 6. ขอบเขตของการวิจัย 6 7. นิยามศัพท์เฉพาะ 6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 10 1. หลักการ แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนาระบบ 10 2. กระบวนการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 27 3. หลักการ แนวคิดเกี่ยวกับข้อมูล และระบบสารสนเทศ 41 4. แนวคิดเกี่ยวกับการประเมินประสิทธิภาพของระบบสารสนเทศ 59 5. บริบทของเขตตรวจราชการที่ 15 61 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 70 7. สรุป 78 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 81 ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศ 84 ด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ขั้นตอนที่ 2 การศึกษากระบวนการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา 87 เขตตรวจราชการที่ 15


จ สารบัญ (ต่อ) หน้า ขั้นตอนที่ 3 การศึกษาประสิทธิภาพของการใช้งานระบบข้อมูลสารสนเทศ 93 ด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 บทที่ 4 ผลการวิจัย 95 ตอนที่ 1 ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศ 95 ด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ตอนที่ 2 ผลการศึกษากระบวนการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา 119 เขตตรวจราชการที่ 15 ตอนที่ 3 ผลการศึกษาประสิทธิภาพของการใช้งานระบบข้อมูลสารสนเทศ 142 ด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 147 1. สรุปผล 147 2. อภิปรายผล 150 3. ข้อเสนอแนะ 153 บรรณานุกรม 155 ภาคผนวก 163 ภาคผนวก ก : รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจัย 164 ภาคผนวก ข : เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 167 ภาคผนวก ค : คู่มือการใช้งานระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา 180 เขตตรวจราชการที่ 15 ภายใต้ชื่อ DataApp V.1 ภาคผนวก ง : ภาพประกอบการดำเนินการวิจัย 197 ประวัติผู้วิจัย 202


ฉ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 การสังเคราะห์กระบวนการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 26 2 การสังเคราะห์ระบบข้อมูลสารสนเทศที่ดี 53 3 การสังเคราะห์องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ 59 4 จำนวนสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงอื่น ๆ 65 เขตตรวจราชการที่ 15 ปีการศึกษา 2565 5 จำนวนนักเรียน นักศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงอื่น ๆ 66 เขตตรวจราชการที่ 15 ปีการศึกษา 2565 6 จำนวนครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการและ 67 กระทรวงอื่น ๆ เขตตรวจราชการที่ 15 ปีการศึกษา 2565 7 คะแนนเฉลี่ยผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) 68 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2564 ภาพรวมระดับ เขตตรวจราชการที่ 15 8 คะแนนเฉลี่ยผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) 69 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2564 ภาพรวมระดับ เขตตรวจราชการที่ 15 9 คะแนนเฉลี่ยผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) 70 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2564 ภาพรวมระดับ เขตตรวจราชการที่ 15 10 ผลการสังเคราะห์กระบวนการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศ 96 ด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 11 รายละเอียดของกระบวนการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา 98 เขตตรวจราชการที่ 15 12 ค่าความถี่ และร้อยละของข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 102 13 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัจจุบัน 103 และความต้องการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจ ราชการที่ 15 โดยภาพรวมและรายด้าน


ช สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 14 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัจจุบัน 104 และความต้องการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจ ราชการที่ 15 ด้านการวิเคราะห์ระบบ โดยภาพรวมและรายด้าน 15 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพ ปัจจุบันและความต้องการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา 107 เขตตรวจราชการที่ 15 ด้านการออกแบบระบบ โดยภาพรวมและรายด้าน 16 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัจจุบัน 109 และความต้องการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจ ราชการที่ 15 ด้านการพัฒนาระบบ โดยภาพรวมและรายด้าน 17 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัจจุบัน 112 และความต้องการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจ ราชการที่ 15 ด้านการทดสอบระบบ โดยภาพรวมและรายด้าน 18 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัจจุบัน 114 และความต้องการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจ ราชการที่ 15 ด้านการนำระบบไปใช้ โดยภาพรวมและรายด้าน 19 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัจจุบัน 116 และความต้องการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจ ราชการที่ 15 ด้านการบำรุงรักษาระบบ โดยภาพรวมและรายด้าน 20 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเกี่ยวกับการประเมินคุณภาพของ 138 ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 โดยภาพรวม 21 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเกี่ยวกับการประเมินคุณภาพของ 139 ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ด้านความถูกต้อง (Accurate) 22 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเกี่ยวกับการประเมินคุณภาพของ 139 ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ด้านความทันต่อเวลา (Timeliness)


ซ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 23 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเกี่ยวกับการประเมินคุณภาพของ 140 ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ด้านความสมบูรณ์ครบถ้วน (Complete) 24 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเกี่ยวกับการประเมินคุณภาพของ 141 ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ด้านความสอดคล้องกับความต้องการ (Relevance) 25 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเกี่ยวกับการประเมินคุณภาพของ 141 ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ด้านการตรวจสอบได้ (Verifiable) 26 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เกี่ยวกับประสิทธิภาพของการใช้งาน 142 ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 โดยภาพรวม 27 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เกี่ยวกับประสิทธิภาพของการใช้งาน 143 ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ด้านการตรง ตามความต้องการของผู้ใช้ระบบ (Functional Requirement Test) 28 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เกี่ยวกับประสิทธิภาพของการใช้งาน 144 ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ด้านการทำงาน ทำงานได้ตามฟังก์ชันงานของระบบ (Functional Test) 29 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เกี่ยวกับประสิทธิภาพของการใช้งาน 145 ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ด้านความง่าย ต่อการใช้งานระบบ (Usability Test) 30 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เกี่ยวกับประสิทธิภาพของการใช้งาน 146 ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ด้านการรักษา ความปลอดภัยของข้อมูลในระบบ (Security Test)


ฌ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 กรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัย 5 2 แผนภูมิองค์ประกอบที่สำคัญของระบบ 16 3 วงจรการพัฒนาระบบ 26 4 องค์ประกอบของสารสนเทศ 58 5 ขั้นตอนการวิจัย 83 6 แผนภาพบริบทระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 88 7 การออกแบบรายงานบนหน้าจอ 89 8 การออกแบบจอภาพส่วนติดต่อกับผู้ใช้ 89 9 สัญลักษณ์ AppSheet 90 10 ตัวอย่างขั้นตอนการพัฒนาระบบการออกแบบตารางข้อมูลใน google sheet 90 11 ตัวอย่างขั้นตอนการพัฒนาระบบการนำเข้าตารางข้อมูล 90 12 ตัวอย่างขั้นตอนการพัฒนาระบบการออกแบบส่วนติดต่อกับผู้ใช้ 91 13 ตัวอย่างขั้นตอนการพัฒนาระบบการออกแบบรายงน 91 14 กระบวนการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 121 15 ไอคอนแอปพลิเคชัน DataApp V.1 บนโทรศัพท์มือถือ 122 16 หน้าจอ Login ของ DataApp V.1 123 17 หน้าจอลงทะเบียนใช้งานระบบ 123 18 หน้าจอเมนู Login เข้าสู่ระบบ 124 19 การ Login เข้าสู่ระบบ 124 20 หน้าจอแสดงการกรอกข้อมูล Login ไม่ตรงกับที่ลงทะเบียนไว้ 125 21 หน้าจอเมนูหลักของระบบ DataApp V.1 125 22 หน้าจอเมนูสถานศึกษา และหน้าจอแสดงข้อมูลจำนวนสถานศึกษา 126 23 หน้าจอเมนูนักเรียน/นักศึกษา และหน้าจอแสดงข้อมูลจำนวนนักเรียน/นักศึกษา 126 24 หน้าจอเมนูครูและบุคลากรทางการศึกษา และหน้าจอแสดงข้อมูลจำนวนครู 127 และบุคลากรศึกษา 25 หน้าจอเมนูรายชื่อสถานศึกษา และหน้าจอแสดงข้อมูลรายละเอียดสถานศึกษา 127 26 แสดงหน้าจอการค้นหาสถานศึกษา 128


ญ สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า 27 หน้าจอเมนูหน่วยงานการศึกษา และหน้าจอแสดงข้อมูลหน่วยงานการศึกษา 128 28 หน้าจอการดูแผนที่หน่วยงาน และเปิดเป็นแผนที่นำทาง 129 29 หน้าจอเมนูประชากรวัยเรียนอายุ 3-17 ปี หน้าจอเมนูย่อย 5 เมนู 130 และหน้าจอแสดงข้อมูลจำนวนประชากรวัยเรียนอายุ 3-17 ปี 30 หน้าจอเมนูคะแนน O-NET หน้าจอเมนูย่อย 3 เมนู และหน้าจอแสดงข้อมูล 131 คะแนนสอบ O-NET 31 หน้าจอเมนูคะแนน V-NET และหน้าจอแสดงข้อมูลคะแนน V-NET 132 32 หน้าจอเมนูคะแนน N-NET และหน้าจอเมนูย่อย 6 เมนู 133 33 หน้าจอแสดงข้อมูลคะแนนสอบ N-NET 133 34 หน้าจอเมนูดาวน์โหลด และหน้าจอแสดงข้อมูลรายละเอียดสถานศึกษา 134 35 หน้าจอเมนูติดต่อผู้ดูแลระบบ และหน้าจอฟอร์มกรอกข้อมูลการติดต่อ 134 36 หน้าจอเมนูออกจากระบบ และหน้าจอแสดงสถานการณ์ออกจากระบบเรียบร้อย 135 37 หน้าจอเมนูสภาพทั่วไป และหน้าจอแสดงข้อมูลสภาพทั่วไป 135 38 หน้าจอเมนู Map และหน้าจอแสดงข้อมูลหมุดแผนที่สถานศึกษาทั้งหมด 136 39 หน้าจอเมนู All User และ หน้าจอแสดงข้อมูลผู้ใช้งาน 136 40 หน้าจอเมนู Admin และ หน้าจอแสดงข้อมูลการติดต่อจากผู้ใช้งาน 138


1 บทที่ 1 บทนำ 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ปัจจุบันระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรที่จะเข้ามาช่วยอำนวย ความสะดวกในการดำเนินงาน ทำให้การเข้าถึงข้อมูลมีความรวดเร็ว การติดต่อสื่อสารมีประสิทธิภาพ และช่วยประหยัดต้นทุนในการดำเนินงานด้านต่างๆ ของหน่วยงานที่เชื่อมต่อในระบบอินเทอร์เน็ต เช่น การรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ การมีเว็บไซต์สำหรับเป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์ข่าวสาร ต่างๆ การใช้ระบบสารสนเทศในการจัดการข้อมูลและเอกสารต่าง ๆ เป็นต้น ข้อมูลถือเป็นสิ่งสำคัญ อย่างยิ่งในการบริหารงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล หน่วยงานนั้นจะทำอย่างไรเพื่อให้ ได้มาซึ่งข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว และครอบคลุมตามความต้องการของผู้ที่จะใช้ข้อมูล และสามารถ บริหารจัดการข้อมูลเพื่อนำเสนอต่อผู้บริหารได้ตรงตามที่ต้องการ ข้อมูลสารสนเทศเป็นทรัพยากรที่ จำเป็นอย่างยิ่งผู้ใดได้ข้อมูลสารสนเทศที่ถูกต้องรวดเร็วกว่าจะเป็นผู้ใด้เปรียบ เพราะสามารถใช้ สารสนเทศเหล่านั้นในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว เพราะว่าข้อมูลสารสนเทศมี ความสำคัญต่อการตัดสินใจดำเนินการต่าง ๆ โดยเฉพาะการวางแผนการศึกษาและการกำหนด นโยบาย ต้องมีระบบข้อมูลสารสนเทศที่มีคุณภาพ มีความละเอียด ครบถ้วน ถูกต้อง ตรงตามความ ต้องการ และทันสมัย จึงจะช่วยให้การวางแผนการบริหารจัดการและการตัดสินใจดำเนินไปอย่าง ถูกต้องด้วยดีดังนั้น ระบบข้อมูลสารสนเทศ จึงเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่จะช่วยให้องค์กรสามารถ ดำเนินการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะนอกจากจะใช้ในการวางแผนการดําเนินงาน และ ประกอบการตัดสินใจแล้ว ยังสามารถเป็นเครื่องชี้นําในการดําเนินงานต่าง ๆ ได้ตามวัตถุประสงค์ (เกรียงศักดิ์ พราวศรี. 2544 : 3) และในขณะเดียวกันนั้น ระบบข้อมูลสารสนเทศยังมีความสำคัญต่อ ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานทุกระดับในการตัดสินใจการวางแผนเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องแม่นยํา และ ทันต่อเหตุการณ์อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือช่วยในการวิเคราะห์สาเหตุ ปัญหา หรือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ในการดําเนินงาน สามารถนํามาปรับปรุงในการดําเนินงานให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมาก ยิ่งขึ้น (ปิยะรัตน์ วงศ์เติง. 2551 : 23) ในส่วนของการศึกษานั้น กระทรวงศึกษาธิการก็ได้ให้ความสำคัญกับข้อมูลสารสนเทศเป็น อย่างมาก จึงมีการประกาศใช้ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการบริหารข้อมูลสารสนเทศด้าน การศึกษา พ.ศ. 2560 หมวดที่ 1 หมวดทั่วไป ข้อ 6 การบริหารข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา มีวัตถุประสงค์ 1) ใช้ในการวางแผน ตัดสินใจ กำหนดนโยบาย และทิศทางการพัฒนาการศึกษาของ ส่วนราชการ หน่วยงาน และสถานศึกษา 2) เพื่อสร้างโอกาสความเสมอภาคในการเข้าถึงข้อมูล และ


2 การบริหารทางการศึกษา 3) เพื่อบูรณาการฐานข้อมูลของส่วนราชการ หน่วยงานและสถานศึกษาเข้า ด้วยกันให้เป็นระบบ และ 4) เพื่อการบริหารราชการแผ่นดิน และการบริการประชาชน และหมวด 3 ข้อ 17 ให้มีคณะกรรมการบริหารข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาภาค มีอำนาจหน้าที่บริหารข้อมูล สารสนเทศด้านการศึกษาระดับภาคและระดับจังหวัดเพื่อการวางแผนการจัดการศึกษา และสนับสนุน การตรวจราชการและติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของ กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีศึกษาธิการภาคเป็นประธานกรรมการ และข้อ 20 กำหนดให้สำนักงาน ศึกษาธิการภาคมีหน้าที่ ศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาระดับภาค ให้สอดคล้องกับ นโยบายและแผนพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2560) สำนักงานศึกษาธิการภาค 15 เป็นหน่วยงานที่ถูกจัดตั้งขึ้นตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษา ความสงบแห่งชาติ ที่ 19/2560 เรื่อง การปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ รับผิดชอบในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 15 ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน และ แม่ฮ่องสอน เพื่อปฏิบัติภารกิจของกระทรวงศึกษาธิการในระดับพื้นที่ ทำหน้าที่ขับเคลื่อนการศึกษา ในระดับภาคและจังหวัด โดยการอํานวยการ ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาการศึกษาแบบร่วมมือและ บูรณาการกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานอื่น หรือภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง มีบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบในการศึกษา วิเคราะห์ ประสาน และจัดระบบการพัฒนาข้อมูล สารสนเทศด้านการศึกษา รวมทั้งการวิเคราะห์สถานการณ์ด้านการศึกษาในพื้นที่ จึงต้องมีการจัดเก็บ รวบรวมและประมวลผลข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา อาทิ ข้อมูลสถานศึกษา ข้อมูลครูและ บุคลากรทางการศึกษา ข้อมูลนักเรียน/นักศึกษา ข้อมูลประชากรวัยเรียน ข้อมูลหน่วยงานทาง การศึกษา ข้อมูลด้านคุณภาพการศึกษาที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลผลการทดสอบ O-NET, V-NET และ N-NET ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญในการตัดสินใจ การวางแผน กำหนดนโยบายและทิศทางการ พัฒนาการศึกษาทั้งในระดับนโยบาย ระดับเขตตรวจราชการ และระดับจังหวัด สำหรับผู้บริหารและ ผู้เกี่ยวข้องทุกระดับ ซึ่งปัจจุบันก็ได้มีการจัดเก็บและเผยแพร่ข้อมูลผ่านเว็บไซต์ระบบศูนย์กลางข้อมูล การศึกษา แต่พบว่าระบบดังกล่าวยังจัดเก็บและนำเสนอข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาที่ยังไม่ ครบถ้วนสมบูรณ์รวมถึงปัญหาในการใช้งานระบบที่มีความยุ่งยากและซับซ้อนในการเข้าถึงข้อมูล สำหรับผู้บริหารและผู้ใช้งานทั่วไป ประกอบกับผู้บริหารและผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันใช้โทรศัพท์มือถือ ในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ ที่สามารถดูได้ในทุกที่โดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ แต่การดูข้อมูล สารสนเทศเหล่านั้นผ่านระบบศูนย์กลางข้อมูลดังกล่าว ยังไม่มีความสะดวกเท่าที่ควรจึงทำให้ได้รับ ข้อมูลสารสนเทศไม่ครบถ้วนตามที่ต้องการ จากปัญหาและความจำเป็นของระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา จึงต้องทำการศึกษา เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ให้มีการจัดเก็บข้อมูลอย่าง


3 ถูกต้อง ครบถ้วนและทันสมัย ให้สามารถใช้งานง่าย สะดวกรวดเร็ว ไม่ยุ่งยากและไม่ซับซ้อน สามารถ ใช้งานได้ทุกที่และใช้ได้หลากหลายอุปกรณ์เพื่อให้เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้บริหารระดับสูงทั้งใน และนอกกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาทุกระดับ รวมไปถึง ผู้บริหารสถานศึกษา ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย สะดวก รวดเร็วและทันเวลา สามารถนำ ข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องในการวางแผน กำหนด นโยบายและทิศทางการพัฒนาการศึกษาแบบบูรณาการในระดับภาค รวมถึงสนับสนุนการตรวจ ราชการของผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการทั้งในระดับนโยบาย ระดับเขตตรวจราชการ และ ระดับจังหวัด และเพื่อใช้ข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาในการบริหารราชการของหน่วยงาน และการ บริการประชาชนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นข้อค้นพบจากการศึกษาจะเป็นประโยชน์ ให้กับสำนักงานศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ตลอดจนหน่วยงานทางการศึกษา ที่เกี่ยวข้อง ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาของหน่วยงานที่จะ ก่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดต่อไป 2. คำถามของการวิจัย 1. สภาพปัจจุบันและความต้องการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจ ราชการที่ 15 เป็นอย่างไร 2. ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ควรเป็นอย่างไร 3. ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 มีประสิทธิภาพของการ ใช้งานในระดับใด 3. วัตถุประสงค์ของการวิจัย การวิจัยเรื่อง การศึกษาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา ในพื้นที่ เขตตรวจราชการที่ 15 มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 2. เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 3. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการใช้งานระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจ ราชการที่ 15


4 4. ความสำคัญของการวิจัย 1. นักเรียน/นักศึกษา ครู/อาจารย์ สถานศึกษา บุคลากรทางการศึกษาและหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องตลอดจนประชาชนทั่วไป สามารถนำข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาจากระบบไปใช้ ประโยชน์ตามความต้องการได้ 2. ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 เป็นต้นแบบในการพัฒนา ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาของหน่วยงานอื่น ๆ 3. ผู้สนใจสามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาให้แก่ หน่วยงานที่จัดการศึกษาสังกัดอื่น ๆ ต่อไป 5. กรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยเรื่อง การศึกษาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา ในพื้นที่ เขตตรวจราชการที่ 15 ผู้วิจัยได้กำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย โดยการศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์ แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 1. การพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ผู้วิจัยได้ศึกษาวิเคราะห์ตามแนวคิดวงจรการพัฒนาระบบ SDLC ของนักวิชาการ ได้แก่ พรเทพ รู้แผน (2546), ฉันทวิท กุลไพศาล (2551), โอภาส เอี่ยมสิริวงศ์ (2554), ประสงค์ ปราณีตพล กรัง และคณะ (2541), ศรีไพร ศักดิ์รุ่งพงศากุล และ เจษฎาพร ยุทธนวิบูลย์ชัย (2549) ณัฎฐพันธ์ เขจรนันทน์ (2551) และ McLeod (1995) สังเคราะห์เป็นกระบวนการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศ ด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การวิเคราะห์ระบบ (Analysis) 2) การออกแบบระบบ (Design) 3) การพัฒนาระบบ (Development) 4) การทดสอบ ระบบ (Testing) 5) การนำระบบไปใช้(Implementation) และ 6) การบำรุงรักษาระบบ (Maintenance) โดยนำวงจรคุณภาพ (PDCA) ตามแนวคิดของ ณัฎฐพันธ์ เขจรนันทน์ (2546), บังอร มธุรสสุวรรณ (2542), ธนา นนทพุทธ (2555), วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ (2555), สำนักบริหารงาน การศึกษาพิเศษ (2555), วิฑูรย์ สิมะโชคดี (2545), สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์ (2542) สรุปเป็นกรอบ แนวทางในการพัฒนาตามกระบวนการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการ ที่ 15 ประกอบด้วย 1) การวางแผน (Plan) 2) การดำเนินการตามแผน (Do) 3) การตรวจสอบ (Check) และ 4) การปรับปรุงแก้ไข (Act) 2. การประเมินคุณภาพของระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ผู้วิจัยได้ศึกษาวิเคราะห์ตามแนวคิดของ วีระ สุภากิจ (2539), ศรีไพร ศักดิ์รุ่งพงศากุล และเจษฎาพร ยุทธนวิบูลย์ชัย (2548), ศรีสมรัก อินทุจันทร์ยง (2549), ณัฎฐพันธ์ เขจรนันท์ และ ไพบูลย์ เกียรติโกมล (2551) และ ณรงค์ แก้วกัญญา (2555) สังเคราะห์เป็นกรอบแนวคิดในการ


5 ประเมินคุณภาพของระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ประกอบด้วย 1) ความถูกต้อง (Accurate) 2) ความทันต่อเวลา (Timeliness) 3) ความสมบูรณ์ครบถ้วน (Complete) 4) ความสอดคล้องกับความต้องการ (Relevance) และ 5) การตรวจสอบได้ (Verifiable) 3. การศึกษาประสิทธิภาพของการใช้งานระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจ ราชการที่ 15 โดยใช้วิธีการแบบ Black Box Testing (โอภาส เอี่ยมสิริวงศ์, 2560) โดยมีการศึกษา ประสิทธิภาพด้านการตรงตามความต้องการของผู้ใช้ระบบ (Functional Requirement Test) ด้าน การทำงานได้ตามฟังก์ชันงานของระบบ (Functional Test) ด้านความง่ายต่อการใช้งานระบบ (Usability Test) และ ด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในระบบ (Security Test) ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัย


6 6. ขอบเขตของการวิจัย 1. ขอบเขตด้านเนื้อหา การวิจัย เรื่อง การศึกษาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา ใน พื้นที่เขตตรวจราชการที่ 15 จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับระบบและ กระบวนการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 กำหนดขอบเขต ด้านเนื้อหาของการวิจัย โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.1 การวิเคราะห์ระบบ (Analysis) 1.2 การออกแบบระบบ (Design) 1.3 การพัฒนาระบบ (Development) 1.4 การทดสอบระบบ (Testing) 1.5 การนำระบบไปใช้(Implementation) 1.6 การบำรุงรักษาระบบ (Maintenance) 2. ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ บุคลากรของสำนักงานศึกษาธิการภาค 15 และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 15 จำนวนทั้งสิ้น 184 คน กำหนดขนาด ของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของ Krejcie & Morgan ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 125 คน 2.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ บุคลากรของสำนักงานศึกษาธิการภาค 15 และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 15 จำนวน 125 คน ได้แก่ ผู้บริหาร จำนวน 10 คน ผู้อำนวยการกลุ่ม จำนวน 37 คน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงาน จำนวน 53 คน ได้มาโดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 7. นิยามศัพท์เฉพาะ การวิจัยเรื่อง การศึกษาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา ในพื้นที่ เขตตรวจราชการที่ 15 ผู้วิจัยได้ให้คำนิยามศัพท์ที่ใช้เฉพาะการวิจัยในครั้งนี้ ดังนี้ 1. ข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา หมายถึง ข้อมูลสารสนเทศพื้นฐานด้านการศึกษา ประกอบด้วย ข้อมูลถานศึกษา ข้อมูลจำนวนนักเรียน/นักศึกษา ข้อมูลจำนวนครู/บุคลากรทางการ ศึกษา ข้อมูลสารสนเทศด้านคุณภาพการศึกษา ประกอบด้วย ข้อมูลคะแนนเฉลี่ยผลการทดสอบทาง การศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ข้อมูลคะแนนเฉลี่ยผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติด้าน อาชีวศึกษา (V-NET) ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และข้อมูลคะแนนเฉลี่ยผลการทดสอบ ทางการศึกษาระดับชาติด้านการศึกษานอกระบบโรงเรียน (N-NET) ระดับประถมศึกษา ระดับ


7 มัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ของนักเรียนในสถานศึกษาในพื้นที่เขตตรวจ ราชการที่ 15 ข้อมูลประชากรวัยเรียนอายุ 3-17 ปี ข้อมูลสภาพทั่วไปพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 15 และข้อมูลหน่วยงานทางการศึกษาในเขตตรวจราชการที่ 15 2. ระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 หมายถึง ระบบข้อมูล สารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ในรูปแบบโมบายแอปพลิเคชัน ภายใต้ชื่อ DataApp V.1 ที่จัดเก็บรวบรวม ประมวลผล รายงานผลและบริการข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา ประกอบด้วย ข้อมูลสารสนเทศพื้นฐานด้านการศึกษา ได้แก่ ข้อมูลสถานศึกษา, ข้อมูลจำนวน นักเรียน/นักศึกษา, ข้อมูลจำนวนครู/บุคลากรทางการศึกษา, ข้อมูลสารสนเทศด้านคุณภาพการศึกษา ได้แก่ ข้อมูลคะแนนเฉลี่ยผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6, ข้อมูลคะแนนเฉลี่ยผล การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติด้านอาชีวศึกษา (V-NET) ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และข้อมูลคะแนนเฉลี่ยผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติด้านการศึกษานอกระบบ โรงเรียน (N-NET) ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ของนักเรียนในสถานศึกษาในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 15, ข้อมูลประชากรวัยเรียนอายุ 3-17 ปี, ข้อมูลสภาพทั่วไปพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 15 และข้อมูลหน่วยงานทางการศึกษาในเขตตรวจราชการ ที่ 15 ที่ใช้งานในรูปแบบ โมบายแอปพลิเคชัน ภายใต้ชื่อ DataApp V.1 3. การพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 หมายถึง การ พัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ในรูปแบบโมบายแอปพลิเคชัน ภายใต้ชื่อ DataApp V.1 สำหรับจัดเก็บ รวบรวม ประมวลผล รายงานและบริการข้อมูลสารสนเทศ ด้านการศึกษา ตามกระบวนการพัฒนาระบบ 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การวิเคราะห์ระบบ (Analysis) 2) การออกแบบระบบ (Design) 3) การพัฒนาระบบ (Development) 4) การทดสอบระบบ (Testing) 5) การนำระบบไปใช้ (Implementation) และ 6) การบำรุงรักษาระบบ (Maintenance) โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 3.1 การวิเคราะห์ระบบ (Analysis) หมายถึง การวางแผน การกำหนดเป้าหมายและ แนวทางการดำเนินงานการวิเคราะห์ระบบ การวิเคราะห์สภาพปัจจุบันของระบบที่มีอยู่เดิมและสภาพ ความต้องการของระบบที่จะพัฒนา การมอบหมายทีมงานหรือบุคลากรผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ การรวบรวมความต้องการข้อมูลสารสนเทศที่จะนำเข้าสู่ระบบที่ต้องการพัฒนา การติดตามตรวจสอบ และประเมินผลจากการดำเนินงาน การรายงานผลหากพบปัญหาเพื่อปรับปรุงแก้ไข ซึ่งสามารถ ดำเนินการได้จากการรวบรวมเอกสาร การออกแบบสอบถาม และการสังเกตการณ์บนสภาพแวดล้อม การทำงานจริง


8 3.2 การออกแบบระบบ (Design) หมายถึง การวางแผน การกำหนดเป้าหมายและ แนวทางการดำเนินงานในการออกแบบระบบ การมอบหมายทีมงานหรือผู้รับผิดชอบในการออกแบบ ระบบเพื่อกำหนดคุณสมบัติของโปรแกรมหรือคุณสมบัติของระบบ ได้แก่ การออกแบบรายงาน (Output Design) และการออกแบบจอภาพส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface) ซึ่งจะเป็นการ ออกแบบระบบให้เหมาะสมกับการใช้งานและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้รวมทั้งการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลจากการดำเนินงาน การรายงานผลหากพบปัญหาเพื่อปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 3.3 การพัฒนาระบบ (Development) หมายถึง การกำหนดแผนงาน การกำหนด เป้าหมายและแนวทางในการดำเนินงานพัฒนาระบบ การมอบหมายทีมงานหรือผู้รับผิดชอบในการ พัฒนา การพัฒนาโปรแกรมด้วยการสร้างชุดคําสั่งหรือเขียนโปรแกรมเพื่อสร้างระบบงาน โดย โปรแกรมที่ใช้ในการพัฒนาจะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมกับเทคโนโลยีที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน พัฒนาระบบให้สามารถใช้งานง่าย สะดวก และรวดเร็วผ่านอุปกรณ์เทคโนโลยีได้อย่างหลากหลาย มีการติดตามตรวจสอบและประเมินผลการพัฒนาระบบเป็นระยะ มีการรายงานผลหากพบปัญหาเพื่อ ปรับปรุงแก้ไขให้การพัฒนาระบบเป็นไปตามที่ได้ออกแบบไว้ 3.4 การทดสอบระบบ (Testing) หมายถึง การวางแผน กำหนดเป้าหมาย แนวทางใน การทดสอบระบบก่อนที่จะนำไปใช้งานจริง มีการมอบหมายผู้รับผิดชอบทดสอบความถูกต้องของ ผลลัพธ์ที่ได้ และทดสอบว่าระบบที่พัฒนาตรงตามความต้องการของผู้ใช้หรือไม่ ระบบมีความสมบูรณ์ ถูกต้อง และครอบคลุมตามวัตถุประสงค์ของการพัฒนาระบบมากน้อยเพียงใด โดยการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลหากพบปัญหาให้รายงานเพื่อปรับปรุงแก้ไขระบบใด้ดียิ่งขึ้น 3.5 การนำระบบไปใช้ (Implementation) หมายถึง การวางแผน กำหนดเป้าหมาย และแนวทางการนำระบบที่พัฒนาขึ้นไปใช้ในสถานการณ์จริง การประชุมอบรมและมอบหมาย ผู้รับผิดชอบในการนำระบบไปใช้ การติดตามและประเมินผลการใช้ระบบจากเกณฑ์ที่กำหนดขึ้น ทำการประเมินผลการปฏิบัติงานโดยรวมของระบบ การรายงานผลและหากพบปัญหาให้รายงานเพื่อ ปรับปรุงแก้ไขระบบ จนมีความมั่นใจว่าระบบสามารถทำงานได้จริงและตรงกับความต้องการของผู้ใช้ 3.6 การบำรุงรักษาระบบ (Maintenance) หมายถึง การกำหนดแผนงาน กำหนด เป้าหมายและแนวทางการบำรุงรักษาระบบที่พัฒนาขึ้น การมอบหมายทีมงานหรือผู้รับผิดชอบในการ บำรุงรักษาระบบ การตรวจสอบประเมินการบำรุงรักษาระบบและปรับปรุงแก้ไขระบบให้ถูกต้องหาก พบข้อผิดพลาดทั้งที่เกิดจากระบบเอง หรือมีการปรับเปลี่ยนระบบตามเทคโนโลยีที่มีการพัฒนา รวมทั้งการเพิ่มคุณสมบัติใหม่ ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อระบบและความต้องการของผู้ใช้ว่าต้องการ ระบบแบบใดและข้อมูลสารสนเทศอะไร


9 4. คุณภาพของระบบ หมายถึง ความสามารถที่ทำให้เกิดผลในการทำงานของระบบ สารสนเทศว่าดีหรือตรงตามความต้องการของผู้ใช้มีความถูกต้อง สามารถทำงานได้ทันตามเวลา มีความครบถ้วนสมบูรณ์ สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ และสามารถตรวจสอบได้ผ่านการ ยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญ 5. ประสิทธิภาพระบบ หมายถึง กระบวนการประเมินระบบข้อมูลสารสนเทศด้าน การศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ภายใต้ชื่อ DataApp V.1 ที่พัฒนาขึ้น โดยใช้วิธีการแบบ Black Box Testing ที่มีการทดสอบการทำงานของระบบตามฟังก์ชั่นการทำงาน ด้านการตรงตามความ ต้องการของผู้ใช้ระบบ (Functional Requirement Test) ด้านการทำงานได้ตามฟังก์ชันงานของ ระบบ (Functional Test) ด้านความง่ายต่อการใช้งานระบบ (Usability Test) และ ด้านรักษาความ ปลอดภัยของข้อมูลในระบบ (Security Test) เพื่อแสดงให้เห็นว่าระบบข้อมูลสารสนเทศที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพในการใช้งาน สามารถทำงานได้ตรงตามความต้องการ 6. เขตตรวจราชการที่ 15 หมายถึง พื้นที่รับผิดชอบในการตรวจราชการของผู้ตรวจ ราชการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นพื้นที่ในความดูแลของสำนักงานศึกษาธิการภาค 15 ประกอบด้วย 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน


10 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การศึกษาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา ในพื้นที่ เขตตรวจราชการที่ 15 ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็น ข้อมูลพื้นฐานประกอบการศึกษา โดยมีประเด็นสำคัญ และรายละเอียด ดังนี้ 1. หลักการ แนวคิด ทฤษฎีการพัฒนาระบบ 1.1 ทฤษฎีระบบ 1.2 ประเภทของระบบ 1.3 องค์ประกอบของระบบ 1.4 วงจรการพัฒนาระบบ 2. กระบวนการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 3. หลักการ แนวคิดเกี่ยวกับข้อมูล และระบบสารสนเทศ 3.1 ความหมายของข้อมูล 3.2 ความหมายของสารสนเทศ 3.3 ความหมายของระบบสารสนเทศ 3.4 ความสำคัญของระบบสารสนเทศ 3.5 คุณสมบัติของข้อมูลและระบบสารสนเทศที่ดี 3.6 องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ 4. แนวคิดเกี่ยวกับการประเมินประสิทธิภาพของระบบสารสนเทศ 5. บริบทของเขตตรวจราชการที่ 15 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6.1 งานวิจัยในประเทศ 6.2 งานวิจัยต่างประเทศ 1. หลักการ แนวคิด ทฤษฎีการพัฒนาระบบ 1.1 ทฤษฎีระบบ ระบบเป็นแนวความคิดหนึ่งที่นำมาใช้ในการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ ความเป็น ระบบ เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยให้การทำงานใดๆ ประสบผลสำเร็จตามที่กำหนดไว้ การ ทำงานอย่างเป็นระบบจะช่วยให้ประหยัดแรงงาน เวลาและค่าใช้จ่าย ความสำคัญของความเป็นระบบ


11 ดังกล่าวมีนักวิชาการหลายท่านและหน่วยงานหลายแห่งได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “ระบบ” ไว้ ดังนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน (ราชบัณฑิตสถาน. 2554, ออนไลน์) ได้ให้คำจำกัด ความไว้ว่า ระบบหมายถึงกลุ่มของสิ่งซึ่งมีลักษณะประสานเข้าเป็นสิ่งเดียวกันตามหลักแห่ง ความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกัน ด้วยระเบียบของธรรมชาติหรือหลักเหตุผลทางวิชาการ พงษ์ศักดิ์ ผกามาศ (2553) กล่าวว่า ระบบ (System) หมายถึงกลุ่มส่วนประกอบหรือ ระบบย่อยต่าง ๆ ที่มีการทำงานร่วมกันเพื่อให้ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้โดย ส่วนประกอบและความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบต่าง ๆ ในระบบจะเป็นตัวกำหนดว่า ระบบจะ สามารถทำงานได้อย่างไรเพื่อที่จะให้ผลลัพธ์ที่ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ศิริพงษ์ เศาภายน (2556) ได้กล่าวโดยสรุปว่า ระบบ เป็นหน่วยบูรณภาพของสิ่งที่เป็น รูปธรรมหรือนามธรรม ประกอบด้วยหน่วยย่อย (องค์ประกอบหรือระบบหน่วยย่อย) ที่เป็นอิสระแต่มี ความสัมพันธ์กัน เพื่อให้การดำเนินงานของหน่วยใหญ่เป็นไปตามจุดมุ่งหมาย นิตยา เงินประเสริฐศรี(2555) กล่าวว่า ระบบเป็นกลุ่มภายในองค์กรที่มีหน้าที่ต่าง ๆ หรือกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายองค์กร โกวัฒน์ เทศบุตร (2554) ให้ความหมายของระบบไว้ว่า หมายถึงส่วนประกอบต่างๆ ซึ่งประกอบขึ้นมาเป็นหนึ่งเดียว (ชุดองค์ประกอบ) ที่มีความสัมพันธ์กันในทางหนึ่งทางใด เพื่อบรรลุ เป้าหมายตามที่ต้องการ และการเปลี่ยนแปลงในส่วนหนึ่งจะมีผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ ด้วย ส่วนประกอบแต่ละส่วนก็จะมีระบบย่อยในตัวของมันเอง เช่น โรงเรียนเป็นหน่วยระบบซึ่งประกอบไป ด้วยระบบบริหารวิชาการ ระบบบริหารงบประมาณ ระบบบริหารบุคลากร และระบบบริหารทั่วไป ใน ขณะเดียวกันฝ่ายต่างๆ ก็เป็นระบบซึ่งประกอบด้วยระบบย่อยลงไปอีกคือ ประกอบด้วยงานต่างๆ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใดที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งของระบบย่อยมีผลต่อเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่ จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า ระบบต้องมีองค์ประกอบสำคัญที่มีความสัมพันธ์ ระหว่างกันและมีความเกี่ยวข้องกัน มีการทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง ร่วมกัน ระบบอาจแบ่งเป็นส่วนย่อยๆ เรียกว่าระบบย่อย ที่ร่วมกันทำงานอย่างผสมผสานเพื่อปฏิบัติ หน้าที่ให้บรรลุถึงเป้าหมายที่กำหนด 1.2 ประเภทของระบบ ธงชัย สันติวงษ์ (2539. 92-93) กล่าวว่า ลักษณะของระบบอาจแยกออกได้ 2 ชนิดคือ 1. ระบบปิด (Closed System) เป็นความสนใจเฉพาะภายในระบบเท่านั้นจะ เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบภายในระบบองค์กรการพิจารณาปัญหาต่างๆ ในเชิงระบบปิดจะช่วยให้มี โอกาสทราบถึงผลที่จะกระทบถึงส่วนต่างๆ ได้อย่างทั่วถึงภายในระบบและในการนี้การตัดสินใจของ


12 ส่วนใดส่วนหนึ่งขององค์กรย่อมช่วยให้สามารถทราบได้ว่าจะมีผลกระทบต่อส่วนรวมของระบบ อย่างไรบ้าง 2. ระบบเปิด (Open System) มีลักษณะที่มีความหมายกว้างกว่าและสมบูรณ์ กว่าระบบปิดทั้งนี้เนื่องจากระบบเปิดจะขยายความสนใจไปถึงระบบภายนอกที่อยู่ภายนอกองค์กร ควบคู่กันไปกับตัวองค์กร ระบบขององค์กรเป็นส่วนหนึ่งของระบบใหญ่และจะมีความเกี่ยวพันกันอยู่ เสมอการกระทำใดๆ โดยองค์กรก็ย่อมสามารถส่งผลกระทบต่อส่วนที่อยู่ภายนอกองค์กรหรือระบบ ด้วยเสมอ ในทางกลับกันถ้าหากสภาพแวดล้อมภายนอกเปลี่ยนแปลงไปก็ย่อมส่งผลกระทบต่อองค์กร ได้เช่นเดียวกัน โกวัฒน์ เทศบุตร (2552) กล่าวถึงประเภทระบบว่ามี 2 ประเภท ดังนี้ 1. ระบบปิด (Closed system) เป็นการศึกษาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสตร์ทาง กายภาพ ศึกษาถึงการตัดสินใจที่จะแก้ไขปัญหาภายในตัวของระบบเอง การแก้ไขและตัดสินปัญหา เป็นไปตามเหตุผล ซึ่งเหตุผลดังกล่าว ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎเกณฑ์และระเบียบที่ได้ตั้งไว้องค์กรถูก พิจารณาว่าเป็นปัจจัยอิสระจากสภาพแวดล้อมภายนอก 2. ระบบเปิด (Open system) เป็นการมององค์กรในลักษณะระบบเปิด ทำให้ ระบบทางชีววิทยาและสังคมเป็นระบบที่เคลื่อนไหว มีความสัมพันธ์กับสภาวะแวดล้อม ระบบเปิดมิได้ คำนึงถึงแต่ความความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม แต่ระบบเปิดยังคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัย ต่าง ๆ ที่อยู่ภายในองค์กร ระบบเปิดปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมตลอดเวลา โดยการ เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง และขบวนการของปัจจัยต่าง ๆ ที่อยู่ภายในองค์กร จิรพัฒน์ เทียมศักดิ์ (2548 : 10) กล่าวว่า ลักษณะของระบบอาจแยกออกได้ 2 ชนิด คือ ระบบปิด (Closed System) และระบบเปิด (Open System) มีรายละเอียด ดังนี้ 1. ระบบปิด (Closed System) เป็นความสนใจเฉพาะภายในระบบเท่านั้นจะ เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบภายในระบบขององค์กร การพิจารณาปัญหาต่างๆ ในเชิงระบบปิดจะช่วย ให้มีโอกาสทราบถึงส่วนต่างๆ ได้อย่างทั่วถึงภายในระบบและในการนี้การตัดสินใจของส่วนใดส่วน หนึ่งขององค์กรก็ย่อมจะช่วยให้สามารถทราบได้ว่าจะมีผลกระทบต่อส่วนรวมของระบบอย่างไรบ้าง 2. ระบบเปิด (Open System) มีลักษณะที่มีความหมายกว้างกว่าและสมบูรณ์ กว่าระบบปิด ทั้งนี้เนื่องจากระบบเปิดจะขยายความสนใจไปถึงระบบภายนอกที่อยู่ภายนอกองค์กร ควบคู่กันไปกับตัวองค์กร ระบบขององค์กรเป็นส่วนหนึ่งของระบบใหญ่และมีความเกี่ยวพันกันอยู่ เสมอ การกระทำใดๆ โดยองค์กรย่อมส่งผลกระทบต่อส่วนที่อยู่ภายนอกองค์กรหรือระบบด้วยเสมอ ในทางกลับกันหากสภาพแวดล้อมภายนอกเปลี่ยนแปลงไปย่อมส่งผลกระทบต่อองค์กรได้เช่นกัน ประสงค์ ปราณีตพลกรัง และคณะ (2541 : 40) กล่าวว่า ระบบแบ่งออกเป็น ระบบ เปิดและระบบปิด ซึ่งระบบปิด หมายถึง ระบบที่มุ่งภายในตนเอง และไม่มีปฏิกิริยาหรือทำงาน


13 แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน ข้ามเส้นแบ่งเขตของระบบกับสภาพแวดล้อม ไม่มีปฏิกิริยาสัมพันธ์ ระหว่างกันของส่วนประกอบในระบบนั้น และระบบเปิด หมายถึง ระบบที่มีปฏิกิริยาและทำการ แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันกับสภาพแวดล้อมของมัน มหาวิทยาลัยรามคําแหง (2545 : 56) เสนอว่า ระบบจำแนกออกเป็น 7 ประเภท ประกอบด้วย 1. ระบบเชิงกายภาพ (Physical Description) และระบบเชิงแนวคิด (Logical Description) ระบบเชิงกายภาพ หมายถึง ระบบซึ่งกำหนดออกมา หรือเห็นออกมาได้ชัดเจน ส่วน ระบบเชิงแนวคิดจะเป็นการมองระบบโดยอิงกับหลักการทางทฤษฎี เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วยสิ่งเข้ากระบวนการ สิ่งออก จะเป็นการมองระบบในเชิงแนวคิด แต่ถ้ากำหนดว่าแผงเป็น อักขระ (Keyboard) เป็นอุปกรณ์นําออกข้อมูล จะเป็นการอธิบายในเชิงกายภาพ 2. ระบบธรรมชาติ (Natural System) และระบบที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man–Made System) ระบบธรรมชาติเป็นระบบที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ระบบสิ่งมีชีวิต ส่วนระบบที่มนุษย์ สร้างขึ้น เช่น ระบบการบริหารในองค์กรต่าง ๆ 3. ระบบสังคม (Social System) และระบบกึ่งมนุษย์กึ่งเครื่องจักร (Man– Machine System) และระบบเครื่องจักร (Machine System) ระบบสังคม เป็นระบบที่ประกอบด้วย คน และเครื่องมือเครื่องจักรเข้ามาเกี่ยวข้อง และระบบเครื่องจักรจะเป็นระบบที่ประกอบด้วย เครื่องจักรแต่เพียงอย่างเดียว เช่น ระบบห้ามล้อ เป็นระบบทำงานด้วยตนเอง 4. ระบบเปิด (Open System) และระบบปิด (Closed System) ระบบเปิด หมายถึง ระบบที่มีการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนระบบปิด หมายถึง ระบบที่การเปลี่ยนแปลงของ สิ่งแวดล้อมไม่กระทบต่อระบบ หรือมีตัวปิดกั้นไม่ให้ไปกระทบกับระบบ โดยปกติแล้ว ระบบทั่วไปจะ มีลักษณะเป็นระบบเปิด ตัวอย่างของระบบปิด ได้แก่ ระบบในห้องทดลอง ซึ่งพยายามลด หรือตัด ผลกระทบหรือองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อการศึกษาผลที่เกิดขึ้น หรือปัญหาทางธุรกิจบางอย่าง ก็พยายามทำให้เป็นระบบปิด เพื่อจําลองสถานการณ์ให้ง่ายขึ้น เพื่อหาคําตอบในขั้นแรก 5. ระบบซึ่งมีความสามารถในการปรับตัว (Adaptive System) และระบบซึ่งไม่มี ความสามารถในการปรับตัว (Non-Adaptive System) ระบบซึ่งมีความสามารถในการปรับตัว เป็น ระบบที่ปรับตัวเองตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เป็นการปรับตัวให้มีความสามารถสูงขึ้น หรือมีโอกาสอยู่รอดมากขึ้น เช่น สิ่งมีชีวิต ส่วนระบบซึ่งไม่มีความสามารถในการปรับตัว จะเป็นระบบ ที่ไม่สามารถปรับตัวเองตามสภาวะแวดล้อม 6. ระบบถาวร (Permanent System) และระบบชั่วคราว (Temporary System) การกำหนดว่าระบบมีลักษณะที่เป็นระบบถาวร หรือระบบชั่วคราว ขึ้นอยู่กับการกำหนด ระยะเวลา สถานการณ์เช่น นโยบายกิจการมีลักษณะถาวรเมื่อเปรียบเทียบกับการดําเนินงานที่


14 เกิดขึ้น ส่วนระบบชั่วคราวเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อปฏิบัติงาน หรือดำเนินการตามระยะเวลาที่ กำหนด เช่น กลุ่มที่ตั้งขึ้นมาเพื่อวิจัย ทดลองเรื่องต่าง ๆ 7. ระบบคงที่ (Stationary System) และระบบไม่คงที่ (Non-Stationary System) ระบบคงที่เป็นระบบที่มีคุณสมบัติ และการทำงานเกือบจะคงที่ มีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก หรือเปลี่ยนแปลงในลักษณะเป็นวงจรที่ซ้ำ ๆ เช่น โรงงานผลิตสินค้าอัตโนมัติระบบซูเปอร์มาเก็ต ส่วน ระบบไม่คงที่จะเป็นระบบที่มีคุณสมบัติ และการดำเนินการไม่คงที่ มีการเปลี่ยนแปลง เช่น ระบบ โฆษณาสินค้าระบบการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น จากที่กล่าวมา สรุปได้ว่า ระบบมี 2 ประเภท คือ ระบบเปิด และระบบปิด ระบบเปิด เป็นระบบที่มีการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมีผลกระทบหรือไม่ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของระบบ และการเปลี่ยนแปลงของระบบ ส่วนระบบปิด เป็นระบบที่ไม่มีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก 1.3 องค์ประกอบของระบบ จันทรานี สงวนนาม (2545 : 86-87) กล่าวว่า ระบบ (System) มีองค์ประกอบ ดังนี้ 1. ปัจจัยนำเข้า (Input) หมายถึง ทรัพยากรทางการบริหารทุกด้าน ได้แก่ บุคคล (Man) งบประมาณ (Money) วัสดุอุปกรณ์ (Materials) การบริหารจัดการ (Management) การจูง ใจ (Motivations) ที่เป็นส่วนเริ่มต้นและเป็นตัวจักรสำคัญในการปฏิบัติงานขององค์กร 2. กระบวนการ (Process) หมายถึง การนำเอาปัจจัยหรือทรัพยากรทางการ บริหารทุกประเภทมาใช้ดำเนินการอย่างเป็นระบบ เนื่องจากในกระบวนการจะมีระบบย่อยๆ ร่วมกัน อยู่หลายระบบครบวงจร ตั้งแต่การบริหาร การจัดการ การนิเทศ การวัดและประเมินผล และการ ติดตามตรวจสอบ เป็นต้น เพื่อให้ปัจจัยทั้งหลายเข้าสู่กระบวนการทุกกระบวนการได้อย่างมี ประสิทธิภาพบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ 3. ผลลัพธ์ (Product or Output) เป็นผลที่เกิดจากการนำเอาสิ่งที่ป้อนเข้าและ เกิดกระบวนการเรียบร้อยแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เป็นเกณฑ์ในการประเมินว่าผลที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไป ตามวัตถุประสงค์หรือไม่ 4. ผลกระทบ (Outcome or Impact) เป็นผลที่เกิดขึ้นภายหลังจากผลลัพธ์ที่ได้ ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่คาดไว้หรือไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ โกวัฒน์ เทศบุตร (2545 : 4) กล่าวว่า ระบบมีองค์ประกอบ 3 ส่วน เช่น ระบบ โรงเรียน ประกอบด้วย 1) สัญลักษณ์ (Symbols) ได้แก่ สื่อ ภาษา คำสั่ง 2) วัตถุ (Objects) เช่น โต๊ะ เก้าอี้ สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ 3) บุคคล (Subjects) ได้แก่ ครู อาจารย์ นักเรียน ผู้ปกครอง เป็นต้น โดย องค์ประกอบแต่ละส่วนเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ดังนี้ ปัจจัยป้อน (Input) กระบวนการ (Process) ผลผลิต (Output)


15 ทิศนา แขมมณี (2551 : 199-200) กล่าวว่า ระบบควรประกอบด้วยส่วนสำคัญอย่าง น้อย 3 ส่วน ได้แก่ 1. ตัวป้อน (Input) คือ องค์ประกอบต่างๆ ของระบบนั้น หรืออีกนัยหนึ่งคือสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบนั้น องค์ประกอบต่างๆ ของระบบใดระบบหนึ่ง จะมีจำนวนและความสำคัญมาก น้อยเพียงใดมักขึ้นอยู่กับความรู้ ความคิดและประสบการณ์ของผู้จัดระบบ 2. กระบวนการ (Process) หมายถึง การจัดความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆ ของ ระบบให้มีลักษณะที่เอื้ออำนวยต่อการบรรลุเป้าหมาย ระบบใดระบบหนึ่งอาจมีองค์ประกอบ เหมือนกันแต่อาจมีลักษณะของการจัดความสัมพันธ์แตกต่างกันได้ แล้วแต่ความคิดความรู้และ ประสบการณ์ของผู้จัดระบบ 3. ผลผลิต (Product) คือ ผลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการดำเนินงานหากผลที่เกิดขึ้น เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ แสดงว่าระบบนั้นมีประสิทธิภาพ หากผลที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามที่ คาดหวังแสดงว่าระบบนั้นยังมีจุดบกพร่อง ควรที่จะพิจารณาแก้ไขปรับปรุงกระบวนการและตัวป้อน ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดผลนั้น ส่วนประกอบที่สำคัญทั้ง 3 ส่วนนี้ ถือว่าเป็นส่วนประกอบเบื้องต้นของระบบและ ระบบที่สมบูรณ์ ควรมีส่วนประกอบที่สำคัญเพิ่มขึ้นอีก 2 ส่วนคือ 4. กลไกควบคุม (Control) คือกลไกหรือวิธีการที่ใช้ในการควบคุมหรือตรวจสอบ กระบวนการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 5. ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) หมายถึง ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ระหว่างผลผลิตกับจุดมุ่งหมาย ซึ่งจะเป็นข้อมูลป้อนกลับไปสู่การปรับปรุงกระบวนการและตัวป้อน ซึ่ง สัมพันธ์กับผลผลิตและเป้าหมายนั้น (ทิศนา แขมมณี. 2551 : 200)


16 Ludwig (1968 : 42-43) กล่าวว่า ระบบมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ ดังนี้ 1. ปัจจัยนำเข้า (Inputs) หรือตัวรับเข้า (Receptors) หมายถึง สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ใน การดำเนินงานของระบบ ซึ่งในการสื่อสารอาจจะเปรียบได้กับอวัยวะหรืออินทรีย์ที่ใช้ในการรับรู้ (Sense Organ) 2. กระบวนการ (Process) หมายถึง ขั้นตอนหรือวิธีดำเนินการเปลี่ยนปัจจัยนำเข้า ไปสู่ผลผลิตที่ต้องการ สำหรับในทางการสื่อสารอาจจะเปรียบได้รับกระบวนการทางสมองที่ทำหน้าที่ ควบคุมการรับจากกระบวนการควบคุมการรับรู้ข่าวสาร (Control Apparatus) 3. ผลผลิต (Outputs) หรือตัวแสดงผล (Effectors) หมายถึง ผลที่ได้รับจาก กระบวนการดำเนินงานของระบบ ซึ่งถ้าในทางการสื่อสารอาจจะเปรียบได้กับข่าวสาร (Message) ที่ ได้รับจากกระบวนการควบคุมการรับรู้ข่าวสาร 4. ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) หมายถึง การนำผลที่ได้รับจากระบบเป็นข้อมูล ย้อนกลับไปสู่ปัจจัยนำเข้า กระบวนการในลักษณะการป้องกันและควบคุมตนเอง (Self-regulating) เพื่อรักษาสภาวะสมดุลของระบบ Paul (1994 : 33) กล่าวว่า องค์ประกอบของระบบสรุปได้ 5 ประการ ดังนี้ 1. แหล่งทรัพยากร (Sources) หมายถึง แหล่งทรัพยากรต่างๆ สำหรับปัจจัยแต่ละ ปัจจัยที่นำเข้าสู่ระบบ กลไกควบคุม (Control) กระบวนการแปรสภาพ (Process) ปัจจัยนำเข้า (Input) ผลผลิต (Output) ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) ที่มา : ทิศนา แขมมณี (2551 : 200) ภาพที่ 2 แผนภูมิองค์ประกอบที่สำคัญของระบบ


17 2. ปัจจัยนำเข้า (Inputs) หมายถึง แหล่งของวัตถุดิบหรือปัจจัยแต่ละปัจจัยที่นำเข้าสู่ ระบบซึ่งจะมีผลต่อกระบวนการปฏิบัติงานและผลผลิตที่ได้รับตามลำดับต่อไป 3. กระบวนการและการแปรสภาพ (Process and Transformation) หมายถึง กรรมวิธีในการแปรสภาพวัตถุดิบหรือปัจจัยนำเข้าไปสู่ผลผลิตที่ต้องการ กระบวนการที่มีประสิทธิภาพ จึงขึ้นอยู่กับปัจจัยนำเข้าที่เหมาะสม 4. ผลผลิต (Outputs) หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่ออกมาจากกระบวนการของระบบและเข้า ไปสู่สิ่งแวดล้อมภายนอกระบบซึ่งอาจจะออกมาในรูปสสาร พลังงาน หรือข้อมูลสารสนเทศทั้งที่เป็น รูปธรรม และนามธรรม 5. ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) หมายถึง สารสนเทศที่ได้มาจากการดำเนินงานของ ระบบ ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อการเลือกปัจจัยนำเข้า กระบวนการ และผลผลิตต่อไปในอนาคต จากที่กล่าวมา สรุปได้ว่า ระบบมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ส่วนคือ ข้อมูลนำเข้า (Input) กระบวนการ (Process) ผลผลิต (Output) และข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) ซึ่งทั้ง 4 ส่วนมี ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 1.4 วงจรการพัฒนาระบบ (System Development Life Cycle : SDLC) ฉันทวิท กุลไพศาล (2551 : 51) ได้เสนอวงจรการพัฒนาระบบ ประกอบด้วย 7 ระยะ ดังนี้ 1. การกำหนดปัญหา เป็นระยะที่ค่อนข้างสำคัญทีเดียว เนื่องจากนักวิเคราะห์ระบบจะต้อง ศึกษาเพื่อค้นหาปัญหา ข้อเท็จจริง ซึ่งหากปัญหาที่ค้นพบมิใช่ต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริง ระบบงานที่ พัฒนาขึ้นมาก็จะตอบสนองการใช้งานไม่ครบถ้วน โดยขั้นตอนของระยะกำหนดปัญหาสามารถสรุปได้ ดังนี้ 1.1 รับรู้สาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น 1.2 ค้นหาต้นเหตุของปัญหา รวบรวมปัญหาของระบบงานเดิม 1.3 ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการพัฒนาระบบ 1.4 จัดเตรียมทีมงาน และกำหนดเวลาในการทำโครงการ 1.5 ลงมือดำเนินการ 2. การวิเคราะห์ เป็นระยะที่จะต้องรวบรวมข้อมูลความต้องการ (Requirements) ต่างๆ ให้มากที่สุด ซึ่งการสืบค้นความต้องการของผู้ใช้สามารถดำเนินได้จากการรวบรวมเอกสาร การ สัมภาษณ์ การออกแบบสอบถาม และการสังเกตการณ์บนสภาพแวดล้อมการทำงานจริง ซึ่งสามารถ สรุปขั้นตอนในระยะการวิเคราะห์ ดังนี้ 2.1 วิเคราะห์ระบบงานปัจจุบัน 2.2 รวบรวมความต้องการ และกำหนดความต้องการของระบบใหม่ 2.3 วิเคราะห์ความต้องการเพื่อสรุปเป็นข้อกำหนด


18 2.4 สร้างแผนภาพ DFD และแผนภาพ E-R 3. การออกแบบ เป็นระยะที่ได้นำผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ที่เป็นแบบจำลองเชิง ตรรกะมาพัฒนาเป็นแบบจำลองเชิงกายภาพ โดยแบบจำลองเชิงตรรกะที่ได้จากการวิเคราะห์ มุ่งเน้น ว่ามีอะไรบ้างที่ต้องทำในระบบ ในขณะที่แบบจำลองเชิงกายภาพจะนำแบบจำลองเชิงตรรกะมา พัฒนาต่อด้วยมุ่งเน้นว่าระบบจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เกิดผลตามต้องการ สามารถสรุปขั้นตอน ของระยะการออกแบบได้ดังนี้ 3.1 พิจารณาแนวทางในการพัฒนาระบบ 3.2 ออกแบบสถาปัตยกรรมระบบ 3.3 ออกแบบรายงาน 3.4 ออกแบบหน้าจออินพุตข้อมูล 3.5 ออกแบบผังงานระบบ 3.6 ออกแบบฐานข้อมูล 3.7 การสร้างต้นแบบ 3.8 การออกแบบโปรแกรม 4. การพัฒนา เป็นระยะที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโปรแกรม โดยทีมงานโปรแกรมเมอร์ จะต้องพัฒนาโปรแกรมที่นักวิเคราะห์ระบบได้ออกแบบไว้ การเขียนชุดคำสั่งเพื่อสร้างเป็นระบบงาน ทางคอมพิวเตอร์ขึ้นมา โดยโปรแกรมเมอร์สามารถนำเครื่องมือเข้ามาช่วยในการพัฒนาโปรแกรมได้ ซึ่งสามารถสรุปขั้นตอนในการพัฒนาได้ดังนี้ 4.1 พัฒนาโปรแกรม 4.2 เลือกภาษาโปรแกรมที่เหมาะสม 4.3 สามารถนำเครื่องมือมาช่วยพัฒนาโปรแกรมได้ 4.4 สร้างเอกสารประกอบโปรแกรม 5. การทดสอบ เมื่อโปรแกรมได้พัฒนาขึ้นแล้ว ยังไม่สามารถนำระบบเข้าไปใช้งานได้ทันที จำเป็นต้องดำเนินการทดสอบระบบก่อนที่จะนำระบบไปใช้งานจริงเสมอ ควรมีการทดสอบข้อมูล เบื้องต้นก่อน ด้วยการสร้างข้อมูลจำลองขึ้นมาเพื่อใช้ตรวจสอบการทำงานของระบบงาน หากพบ ข้อผิดพลาดก็ปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง สามารถสรุปขั้นตอนการทดสอบได้ดังนี้ 5.1 ทดสอบไวยากรณ์ภาษาคอมพิวเตอร์ 5.2 ทดสอบความถูกต้องของผลลัพธ์ที่ได้ 5.3 ทดสอบว่าระบบที่พัฒนาตรงตามความต้องการของผู้ใช้หรือไม่ 6. การนำระบบไปใช้ เมื่อดำเนินการทดสอบระบบ จะมั่นใจว่าระบบที่ได้รับการทดสอบนั้น พร้อมที่จะนำไปติดตั้งเพื่อใช้งานบนสถานการณ์จริง ขั้นตอนการนำไปใช้งานมีดังนี้


19 6.1 ศึกษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ก่อนที่จะนำระบบไปติดตั้ง 6.2 ติดตั้งระบบให้เป็นไปตามสถาปัตยกรรมที่ออกแบบไว้ 6.3 จัดทำคู่มือ 6.4 ฝึกอบรมผู้ใช้ 6.5 ประเมินผลการใช้งานของระบบใหม่ 7. การบำรุงรักษา หลังจากระบบงานที่พัฒนาขึ้นใหม่ถูกนำไปใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนการบำรุงรักษาจึงเกิดขึ้น ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 7.1 กรณีเกิดข้อผิดพลาดขึ้นจากระบบ ให้ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง 7.2 อาจจำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเพิ่มเติม กรณีผู้ใช้มีความต้องการเพิ่ม 7.3 วางแผนรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 7.4 บำรุงรักษาระบบงานและอุปกรณ์ พรเทพ รู้แผน (2546 : 41-43) กล่าวว่า การพัฒนาระบบประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) เป็นการศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบต่างๆ ภายในระบบว่ามีอะไรบ้าง โดยการจำแนกองค์ประกอบ ตลอดจนพิจารณาความสัมพันธ์ของ องค์ประกอบในระบบให้เข้าใจและเปลี่ยนแปลงปรับปรุงแก้ไของค์ประกอบนั้นให้เหมาะสมสอดคล้อง กับสภาพแวดล้อมของระบบอันจะนำไปสู่ความสำเร็จของการปฏิบัติต่อไป ดังนั้น การวิเคราะห์ระบบ จึงเป็นการวางแผนระบบซึ่งประกอบด้วย การนิยามพฤติกรรมของระบบที่สนใจในอนาคต การ วิเคราะห์สภาพปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง การพยากรณ์ผลของทางเลือกตามที่เสนอขึ้นมาและการประเมิน โอกาสที่มีอยู่ ซึ่งการวิเคราะห์ดังกล่าวจะนำไปสู่การนิยามขอบเขตและจำแนกประเภทวัตถุประสงค์ ของระบบตลอดจนให้แนวทางการปฏิบัติเพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์ของระบบและการวัดประเมิน ประสิทธิผลของระบบ 2. การสังเคราะห์ระบบ (System Synthesis) เป็นขั้นตอนการรวมองค์ประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเข้าด้วยกันอย่างมีเหตุผล และหรือกำหนดเป็นองค์ประกอบใหม่โดยใช้ สารสนเทศที่ได้รับจากการวิเคราะห์ระบบ ลำดับขั้นตอนของการสังเคราะห์ระบบนี้จะรวมไปถึงกล ยุทธ์และวิธีการที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาตามลำดับความสำคัญตลอดจนจำแนกแนวทางหรือวิธีการ ประเมินผลและติดตามการนำไปปฏิบัติด้วย 3. การออกแบบระบบ (System Design) เป็นขั้นตอนกำหนดโครงสร้างของระบบ หรือสร้างรูปแบบจำลองของระบบ โดยแสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวขององค์ประกอบ (Flow chart) รวมทั้งลำดับขั้นสำคัญๆ และที่รองลงมาในลักษณะขั้นต่อขั้น (Step by step) โดยใช้แผนภูมิแท่งมี เส้นเชื่อมโยงหรือแสดงด้วยวิธีอื่นๆ ซึ่งสามารถแสดงได้หลายวิธี


20 4. การตรวจสอบระบบ (System Verification) เป็นขั้นตอนการพิจารณาว่าระบบที่ สร้างขึ้นมีความสมบูรณ์ ถูกต้อง และครอบคลุมวัตถุประสงค์ของการสร้างระบบมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและความเป็นไปได้ในการนำไปปฏิบัติจริงของ องค์ประกอบต่างๆ ในระบบเป็นสำคัญ 5. การปรับปรุงระบบ (System Improvement) เป็นขั้นตอนเชิงสร้างสรรค์ซึ่ง ต่อเนื่องจากการตรวจสอบระบบ โดยทำการปรับปรุงและพัฒนาองค์ประกอบต่างๆ ในระบบที่ยังขาด ความสมบูรณ์ถูกต้องให้มีความสมบูรณ์ถูกต้องมากที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากโดยปกติแล้วระบบที่ได้รับการ ยอมรับทั่วไปหรือมีความเที่ยงสูงจะให้ความสำคัญกับวิธีการเพื่อบรรลุพันธกิจของระบบเป็นสำคัญ ดังนั้นส่วนประกอบย่อยทุกส่วนจะต้องได้รับการตรวจสอบและปรับปรุงพัฒนาเพื่อทำให้แน่ใจว่า ระบบจะสามารถปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่คาดหวังไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยอาศัยกระบวนการ ทดสอบในสถานการณ์ที่เป็นพลวัตร 6. การนำระบบไปใช้ (System Implementation) เป็นขั้นตอนการนำระบบไปใช้ใน สถานการณ์จริง (Live Circumstance) ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีลำดับขั้นตอนในการผสมผสาน แบบจำลองที่ได้รับการพัฒนาและระบบย่อยตามที่เราสนใจกับแผนที่เราออกแบบไว้ล่วงหน้า เพื่อ บรรลุผลประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ ทั้งนี้เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจว่าระบบจะใช้ได้ดีในสถานการณ์จริง จากนั้นจึงทำการประเมินผลการปฏิบัติงานโดยรวมของระบบ ซึ่งพิจารณาจากเกณฑ์ที่กำหนดขึ้น จาก การออกแบบระบบ โดยปกติแล้วการประเมินผลการใช้ระบบจะใช้พหุเกณฑ์ (Multi-Criteria) ซึ่ง ประกอบด้วยองค์ประกอบของเกณฑ์ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ อย่างไรก็ตามในการประเมินระบบ โดยทั่วไปจะมุ่งเน้นกระบวนการและผลที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรมของระบบเป็นสำคัญ โอภาส เอี่ยมสิริวงศ์(2554 : 26-32) กล่าวว่า การพัฒนาระบบมีกระบวนการขั้นตอน ดังนี้ 1. การกำหนดปัญหา (Product Definition) เป็นขั้นตอนของการกำหนดขอบเขต ปัญหา สาเหตุของปัญหาจากการดําเนินงานในปัจจุบัน ความเป็นไปได้กับการสร้างระบบใหม่การ กำหนดความต้องการ (Requirements) ระหว่างนักวิเคราะห์ระบบกับผู้ใช้งาน โดยข้อมูลเหล่านี้ได้ จากการสัมภาษณ์การรวบรวมข้อมูลจากการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อทำการสรุปเป็นข้อกําหนด มีการ ติดตั้งและใช้งานแล้ว ในขั้นตอนนี้อาจเกิดปัญหาของโปรแกรม (Bug) ซึ่งโปรแกรมเมอร์จะต้องปรับแก้ ไขให้ถูกต้อง หรือเกิดจากความต้องการของผู้ใช้งานที่ต้องการเพิ่มโมดูลในการทำงานอื่น ๆ ซึ่งทั้งนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับ Requirement Specification ที่เคยตกลงก่อนหน้าด้วย 2. การวิเคราะห์(Analysis) การวิเคราะห์เป็นขั้นตอนของการวิเคราะห์การดําเนินงาน ของระบบปัจจุบัน โดยการนําความต้องการที่ได้มาจากขั้นตอนแรกมาวิเคราะห์รายละเอียด เพื่อทำ การพัฒนาเป็นแบบจำลองลอจิคัล (Logical Model) ซึ่งประกอบด้วย แผนภาพกระแสข้อมูล (Data Flow Diagram) คำอธิบายการประมวลผลข้อมูล (Process Description) แบบจําลองข้อมูล (Data


21 model) ในรูปของ ER-Diagram ทำให้ทราบถึงรายละเอียดขั้นตอนการดําเนินงานในระบบว่า ประกอบด้วยอะไรบ้าง มีความเกี่ยวข้อง หรือมีความสัมพันธ์กับสิ่งใด 3. การออกแบบ (Design) การออกแบบเป็นขั้นตอนของการนําผลลัพธ์ที่ได้จากการ วิเคราะห์ทางลอจิคัลมาพัฒนาเป็น Physical Model ให้สอดคล้องกัน โดยการออกแบบจําลองข้อมูล (Data Model) การออกแบบรายงาน (Output Design) และการออกแบบจอภาพในการติดต่อกับ ผู้ใช้งาน (User Interface) การจัดทำพจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary) ซึ่งขั้นตอนของการ วิเคราะห์และออกแบบจะมุ่งเน้นถึงการแก้ปัญหาอะไร (What) และมุ่งเน้นการแก้ปัญหาอย่างไร (How) 4. พัฒนา (Development) การพัฒนาเป็นขั้นตอนของการพัฒนาโปรแกรมด้วยการ สร้างชุดคําสั่งหรือเขียนโปรแกรมเพื่อสร้างระบบงาน โดยโปรแกรมที่ใช้ในการพัฒนาจะต้องพิจารณา ถึงความเหมาะสมกับเทคโนโลยีที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ภาษาระดับสูงได้มีการพัฒนาในรูปแบบของ 4GL ซึ่งช่วยอํานวยความสะดวกต่อการพัฒนา รวมทั้งการมี CASE (Computer Aided Software Engineering) 5. ทดสอบ (Testing) การทดสอบระบบนั้นเป็นขั้นตอนของการทดสอบระบบก่อนที่ จะปฏิบัติการใช้งานจริง ทีมงานจะทำการทดสอบข้อมูลเบื้องต้นก่อน ด้วยการสร้างข้อมูลจําลองเพื่อ ตรวจสอบการทำงานของระบบ หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นก็จะย้อนกลับไปในขั้นตอนการพัฒนา โปรแกรมใหม่โดยการทดสอบระบบนี้จะมีการตรวจสอบอยู่ 2 ส่วน ด้วยกันคือ การตรวจสอบแบบ ภาษาเขียน (Syntax) และการตรวจสอบวัตถุประสงค์งานตรงกับความต้องการหรือไม่ 6. ติดตั้ง (Implementation) ขั้นตอนต่อมาหลังจากที่ได้ทำการทดสอบจนมีความ มั่นใจแล้วว่าระบบสามารถทำงานได้จริง และตรงกับความต้องการของผู้ใช้ระบบ จากนั้นจึง ดำเนินการติดตั้งระบบเพื่อใช้งานจริงต่อไป 7. บำรุงรักษา (Maintenance) เป็นขั้นตอนของการปรับปรุงแก้ไขระบบ หลังจากที่ได้ มีการวิเคราะห์ระบบ ซึ่งประกอบด้วย การวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ว่าต้องการระบบแบบใด และสารสนเทศอะไร ประสงค์ ปราณีตพลกรัง และคณะ (2541 : 285-288) กล่าวว่า กระบวนการพัฒนาระบบ ประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้ 1. การตรวจสอบเบื้องต้น (Preliminary Investigation) เริ่มจากผู้ใช้ได้ประสบปัญหา หรือโอกาสเกี่ยวกับระบบที่ทำงานอยู่ในปัจจุบัน และได้จัดทำแบบร้องขอต่อฝ่ายระบบสารสนเทศเพื่อ การจัดการ หลังจากได้ตรวจสอบในเบื้องต้นอย่างคร่าว ๆ เกี่ยวกับปัญหาหรือโอกาสที่เกิดขึ้นแล้ว ฝ่ายระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ จะจัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับวิธีการแก้ปัญหา หรือหนทางที่จะเป็น ประโยชน์ต่อผู้บริหารสำหรับการดำเนินการในขั้นตอนต่อไป


22 2. วิเคราะห์ความต้องการ (Requirement Analysis) เมื่อผู้บริหารได้ศึกษารายงาน จากฝ่ายระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการเกี่ยวกับผลการตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว ถ้ามีการตัดสินใจที่จะ ดำเนินการต่อไป ขั้นตอนต่อไปที่จะดำเนินการคือ การวิเคราะห์ความต้องการ Requirement Specification ที่ชัดเจน ในขั้นตอนนี้หากเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่อาจเรียกขั้นตอนนี้ว่า ขั้นตอน การศึกษาความเป็นไปได้(Feasibility Study) 3. การออกแบบระบบ (System Design) เมื่อทราบความต้องการเกี่ยวกับระบบแล้ว และผู้บริหารได้ตัดสินใจที่จะดำเนินการต่อไป เพื่อแก้ปัญหาหรือฉวยโอกาสในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขั้นตอนที่จะต้องดำเนินการต่อมาคือ การออกแบบระบบ ซึ่งจะเป็นการออกแบบระบบที่สอดคล้องกับ ความต้องของผู้ใช้และสภาพแวดล้อมขององค์การ 4. การจัดหาระบบ (System Acquisition) หลังจากรายละเอียดของการออกแบบ ระบบได้เสร็จสิ้นลง การพิจารณาเกี่ยวกับประเภทของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และการบริการต่าง ๆ ที่ จําเป็นจะติดตามมา แนวทางการจัดหา ได้แก่การซื้อและการเช่า จึงต้องนํามาพิจารณาว่า แนวทางใด ที่จะเป็นประโยชน์แก่องค์การมากที่สุด 5. การติดตั้งเพื่อใช้งาน และการบำรุงรักษา (System Implementation and maintenance) ในขั้นตอนนี้ระบบจะถูกติดตั้งเพื่อการใช้งาน และการปรับแต่งหรือปรับปรุงตาม ความเหมาะสม ผู้ใช้ระบบจะได้รับการอบรม เพื่อให้เข้าใจและสามารถใช้ระบบได้อย่างมี ประสิทธิภาพหลังจากการติดตั้ง หลังจากนั้นการดูแลรักษาระบบจะต้องมีการดำเนินการควบคู่กันไป ตลอดจนมีการปรับแต่งระบบ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ และสภาพแวดล้อมทาง ธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป McLeod (1995 : 25) กล่าวว่า วงจรในการพัฒนาระบบ ประกอบด้วย 1. ขั้นตอนการวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) เป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นแล้ว หลังจาก มีการร้องขอหรือมีความต้องการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ระบบมีความเหมาะสมกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งเมื่อ นำมาวิเคราะห์ระบบให้เกิดความเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วต้องมีการศึกษาถึงความเป็นไปได้ก่อนที่จะมี การออกแบบใหม่ 2. ขั้นตอนออกแบบระบบ (System Design) เป็นขั้นตอนของการออกแบบคุณสมบัติ ของโปรแกรมหรือคุณสมบัติของระบบที่เกี่ยวข้องหรือให้เหมาะสมกับการใช้งานก่อนที่จะได้มีการ สร้างเป็นต้นแบบของระบบ 3. ขั้นการพัฒนาระบบ (System Development) เป็นขั้นสุดท้ายของวงจรชีวิตตาม ระบบซึ่งขั้นนี้จะต้องมีการพัฒนาระบบให้เป็นต้นแบบที่มีความสมบูรณ์มีการประเมินผลและ ตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับเพื่อให้เกิดความเหมาะสมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่จะนำระบบ ดังกล่าวไปสู่ผู้ใช้


23 ศรีไพร ศักดิ์รุ่งพงศากุล และ เจษฎาพร ยุทธนวิบูลย์ชัย (2549 : 304-305) ได้เสนอวงจร การพัฒนาระบบ โดยแบ่งเป็น 7 ระยะ ดังนี้ 1. การกำหนดปัญหา เป็นขั้นตอนของการกำหนดขอบเขตของปัญหา สาเหตุของ ปัญหาจากการดำเนินงานในปัจจุบัน ความเป็นไปได้กับการสร้างระบบใหม่ การกำหนดความต้องการ ระหว่างนักวิเคราะห์ระบบกับผู้ใช้งาน โดยข้อมูลเหล่านี้ได้จากการสัมภาษณ์ การรวบรวมข้อมูลจาก การดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อทำการสรุปเป็นข้อกำหนดที่ชัดเจน ในขั้นตอนนี้หากเป็นโครงการที่มีขนาด ใหญ่ อาจเรียกขั้นตอนนี้ว่า ขั้นตอนของการศึกษาความเป็นไปได้ 2. การวิเคราะห์เป็นขั้นตอนของการวิเคราะห์การดำเนินงานของระบบปัจจุบัน โดย การนำข้อกำหนดความต้องการที่ได้มาจากขั้นตอนแรกมาวิเคราะห์ในรายละเอียด เพื่อทำการพัฒนา เป็นแบบจำลองตรรกะ ซึ่งประกอบด้วย แผนภาพกระแสข้อมูล คำอธิบายการประมวลผลข้อมูล และ แบบจำลองข้อมูล ในรูปแบบของ ER-Diagram ทำให้ทราบถึงรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงานใน ระบบว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง มีความเกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์กับสิ่งใด 3. การออกแบบ การออกแบบเป็นขั้นตอนของการนำผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ ของตรรกะมาทำการออกแบบระบบ โดยการออกแบบจะเริ่มจากส่วนของอุปกรณ์และเทคโนโลยี ต่าง ๆ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่นำมาพัฒนาการออกแบบจำลองข้อมูล การออกแบบรายงาน และการออกแบบ จอภาพในส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ การจัดทำพจนานุกรมข้อมูล 4. การพัฒนา เป็นขั้นตอนของการพัฒนาโปรแกรม ด้วยการสร้างชุดคำสั่งหรือเขียน โปรแกรมเพื่อการสร้างระบบงาน โดยโปรแกรมที่ใช้ในการพัฒนาจะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสม กับเทคโนโลยีใช้งานอยู่ ซึ่งในปัจจุบันภาษาระดังสูงได้มีการพัฒนาในรูปแบบของ 4GL (Fourth Generation Language) ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกต่อการพัฒนา รวมทั้งการมีวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยต่าง ๆ มากมายให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม 5. การทดสอบ เป็นขั้นตอนของการทดสอบระบบก่อนที่จะนำไปปฏิบัติการใช้งานจริง ทีมงานจะทำการทดสอบข้อมูลเบื้องต้นก่อน ด้วยการสร้างข้อมูลจำลองเพื่อตรวจสอบการทำงานของ ระบบ หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นก็จะย้อนกลับไปในขั้นตอนของการพัฒนาโปรแกรมใหม่ โดยการ ทดสอบระบบนี้ จะมีการตรวจสอบอยู่ 2 ส่วนด้วยกัน คือ การตรวจสอบรูปแบบภาษาเขียน (Syntax) และการตรวจสอบวัตถุประสงค์งานตรงกับความต้องการหรือไม่ 6. การนำระบบไปใช้ หลังจากที่ได้ทำการทดสอบ จนมีความมั่นใจแล้วว่าระบบ สามารถทำงานได้จริงและตรงกับความต้องการของผู้ใช้ระบบ จากนั้นจึงดำเนินการติดตั้งระบบเพื่อใช้ งานจริง 7. การบำรุงรักษา เป็นขั้นตอนของการปรับปรุงแก้ไขระบบหลังจากที่ได้มีการติดตั้ง และใช้งานแล้วในขั้นตอนนี้อาจเกิดจากจุดบกพร่องของโปรแกรม ซึ่งโปรแกรมเมอร์จะต้องรีบแก้ไขให้


24 ถูกต้อง หรือเกิดจากความต้องการของผู้ใช้งานที่ต้องการเพิ่มโมดูลในการทำงานอื่นๆ ซึ่งทั้งนี้ก็จะ เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดความต้องการที่เคยตกลงกันก่อนหน้าด้วย ณัฎฐพันธ์ เขจรนันทน์ (2551 : 53) กล่าวว่า การพัฒนาระบบ (system development) ให้มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จตามความต้องการของผู้ใช้ ภายใต้กรอบงบประมาณและ ภายในระยะเวลาที่กำหนดนั้น นอกจากจะต้องได้รับความเห็นชอบและส่งเสริมจากผู้บริหารแล้ว ผู้ที่ เกี่ยวข้องจะต้องมีความเข้าใจและจะต้องมีกระบวนการหรือขั้นตอนในการพัฒนาระบบสารสนเทศ โดยแบ่งออกเป็น 5 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การวางแผนระบบ (Systems Planning) หมายถึง ปัญหาหรือความ ต้องการในการเปลี่ยนแปลงระบบสารสนเทศหรือวิธีการประมวลผลทางธุรกิจ โดยการสำรวจเบื้องต้น หรือการศึกษาความเป็นไปได้ ระยะที่ 2 การวิเคราะห์ระบบ (Systems Analysis) หมายถึง ความเข้าใจในความ ต้องการของธุรกิจ รวมไปจนถึงการสร้างแบบจำลองเชิงตรรกะของระบบใหม่ โดยการสร้าง แบบจำลองข้อมูล แบบจำลองการประมวลผล และแบบจำลองวัตถุ ระยะที่ 3 การออกแบบระบบ (System Design) หมายถึง การสร้างแบบพิมพ์เขียว ของระบบใหม่ตามความต้องการในเอกสารความต้องการระบบ ในการกำหนด สิ่งที่จำเป็น เช่น การนำเข้า (Input) การแสดงผล (Output) ส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface) และการประมวลผล (Processing) ระยะที่ 4 การปรับใช้ระบบ (System Implementation) คือการเขียนโปรแกรม การทำการทดสอบ การจัดทำเอกสาร และการนำระบบลงติดตั้งเพื่อใช้งานจริง การจัดการฝึกอบรม ผู้ใช้รวมไปจนถึงการปฏิบัติการในช่วงต่อของการเปลี่ยนแปลงระบบเก่ากับระบบใหม่ รวมถึงขั้นการ ประเมินผล (System Evaluation) เพื่อตัดสินระบบอย่างเหมาะสม และเพื่อคาดการณ์เกี่ยวกับ ค่าใช้จ่ายรวมทั้งผลประโยชน์ที่จะได้รับ ระยะที่ 5 การบำรุงรักษาระบบ (System Maintenance) คือการแก้ไขข้อผิดพลาด และการปรับเปลี่ยนตามสิ่งแวดล้อม รวมไปจนถึงการเพิ่มลักษณะเฉพาะใหม่ๆ รวมทั้งสิ่งที่จะเป็น ประโยชน์ต่อระบบ


25 จากแนวคิดของ พรเทพ รู้แผน (2546 : 41-43) โอภาส เอี่ยมสิริวงศ์ (2554 : 26-32) ประสงค์ ปราณีตพลกรัง และคณะ (2541 : 285-288) ฉันทวิท กุลไพศาล (2551 : 51) ศรีไพร ศักดิ์รุ่งพงศากุล และ เจษฎาพร ยุทธนวิบูลย์ชัย (2549 : 304-305) ณัฎฐพันธ์ เขจรนันทน์ (2551 : 53) McLeod (1995 : 25) ผู้วิจัยได้นำมาสังเคราะห์แนวคิดเพื่อให้ได้กระบวนการ พัฒนาระบบ สารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ดังแสดงในตารางที่ 1 การวางแผนระบบ (Systems Planning) การวิเคราะห์ระบบ (Systems Analysis) การออกแบบระบบ (Systems Design) การปรับใช้ระบบ (Systems Implementation) การบำรุงรักษาระบบ (Systems Maintenance) ภาพที่ 3 วงจรการพัฒนาระบบ ที่มา : ณัฎฐพันธ์ เขจรนันทน์, 2551 หน้า 53


26 ตารางที่ 1 การสังเคราะห์กระบวนการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจ ราชการที่ 15 พรเทพ รู้แผน โอภาส เอี่ยมสิริวงศ์ ประสงค์ ปราณีตพลกรัง และคณะ ฉันทวิท กุลไพศาล ศรีไพร ศักดิ์รุ่งพงศากุล ณัฎฐพันธ์ เขจรนันทน์ McLeod รวม ผู้วิจัย นักวิชาการ ขั้นตอนการพัฒนาระบบ การวิเคราะห์ 7 การสังเคราะห์ 2 การออกแบบ 7 การทดสอบ 4 การปรับปรุง 1 การนำระบบไปใช้ 4 การกำหนดปัญหา 3 การพัฒนา 4 การติดตั้ง 2 การบำรุงรักษา 4 การจัดหาอุปกรณ์ 1 การวางแผน 1 จากตารางที่ 1 การสังเคราะห์กระบวนการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 ผู้วิจัยเลือกทำการสังเคราะห์จากนักวิชาการ จำนวน 7 คน โดยเลือกขั้นตอน การพัฒนาระบบที่มีความถี่สูงสุด 6 ลำดับ ประกอบด้วย 1) การวิเคราะห์ 2) การออกแบบ 3) การพัฒนา 4) การทดสอบ 5) การนำระบบไปใช้ และ 6) การบำรุงรักษา ผู้วิจัยสรุปได้ว่า การพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 มีกระบวนการในการพัฒนาระบบสารสนเทศ 6 ขั้นตอน คือ 1) การวิเคราะห์ระบบ (Analysis) 2) การออกแบบระบบ (Design) 3) การพัฒนาระบบ (Development) 4) การทดสอบระบบ (Testing) 5) การนำระบบไปใช้(Implementation) และ 6) การบำรุงรักษาระบบ (Maintenance)


27 2. กระบวนการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 การพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเป็นกระบวนการที่ใช้เทคนิคการศึกษา การวิเคราะห์ และการออกแบบ ให้ระบบสามารถดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีการศึกษาและวิเคราะห์ กระบวนการการไหลเวียนของข้อมูล ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยนำเข้า ทรัพยากร ดำเนินงาน และผลลัพธ์ มีแนวทางและกระบวนดำเนินงานที่เป็นระบบ เพื่อทำการออกแบบระบบ สารสนเทศใหม่ ให้ระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นมีความสมบูรณ์ตรงตามความต้องการและสร้างความพึงพอใจ แก่ผู้ใช้สำหรับกระบวนการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา เขตตรวจราชการที่ 15 มี ขั้นตอนการพัฒนาระบบ ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. การวิเคราะห์ระบบ (Analysis) การวิเคราะห์ระบบ เป็นกระบวนการขั้นตอนแรกของกระบวนการพัฒนาระบบ ที่ต้อง ทำการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจในระบบเดิม ให้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบ รวมถึงความต้องการ ของผู้ใช้ระบบด้วย ซึ่งมีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงการวิเคราะห์ระบบ (Analysis) ไว้ดังนี้ ฉันทวิท กุลไพศาล (2551) กล่าวว่า การวิเคราะห์เป็นระยะที่จะต้องรวบรวมข้อมูล ความต้องการ (Requirements) ต่าง ๆ ให้มากที่สุด ซึ่งสามารถดำเนินการได้จากการรวบรวมเอกสาร การสัมภาษณ์ การออกแบบสอบถาม และการสังเกตการณ์บนสภาพแวดล้อมการทำงานจริง พรเทพ รู้แผน (2546) กล่าวว่า การวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) เป็น การศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบต่าง ๆ ภายในระบบว่ามีอะไรบ้างโดยการจำแนกองค์ประกอบ ตลอดจนพิจารณาความสัมพันธ์ขององค์ประกอบในระบบให้เข้าใจและเปลี่ยนแปลงปรับปรุงแก้ไข องค์ประกอบนั้นให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของระบบอันจะนำไปสู่ความสำเร็จของการ ปฏิบัติ โอภาส เอี่ยมสิริวงศ์(2554) ได้กล่าว การวิเคราะห์(Analysis) เป็นขั้นตอนวิเคราะห์ การดำเนินงานของระบบปัจจุบันโดยการนําความต้องการที่ได้มาจากขั้นตอนแรกมาวิเคราะห์ รายละเอียด เพื่อทำการพัฒนาเป็นแบบจำลองลอจิคัล (Logical Model) ซึ่งประกอบด้วย แผนภาพ กระแสข้อมูล (Data Floe Diagram) คำอธิบายการประมวลผลข้อมูล (Process Description) แบบจําลองข้อมูล (Data model) ในรูปของ ER-Diagram ทำให้ทราบถึงรายละเอียดขั้นตอนการ ดําเนินงานในระบบว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง มีความเกี่ยวข้อง หรือมีความสัมพันธ์กับสิ่งใด ประสงค์ ปราณีตพลกรัง และคณะ (2541) กล่าวว่า เมื่อผู้บริหารได้ศึกษารายงานจาก ฝ่ายระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการเกี่ยวกับผลการตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว ถ้ามีการตัดสินใจที่จะ ดำเนินการต่อไป ขั้นตอนต่อไปที่จะดำเนินการคือ การวิเคราะห์ความต้องการ Requirement Specification ที่ชัดเจน ในขั้นตอนนี้หากเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่อาจเรียกขั้นตอนนี้ว่า ขั้นตอน การศึกษาความเป็นไปได้(Feasibility Study)


28 McLeod (1995) กล่าวว่า ขั้นตอนการวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) เป็น ขั้นตอนที่เกิดขึ้นแล้ว หลังจากมีการร้องขอหรือมีความต้องการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ระบบมีความ เหมาะสมกว่าที่เป็นอยู่ซึ่งเมื่อนำมาวิเคราะห์ระบบให้เกิดความเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วต้องมีการศึกษา ถึงความเป็นไปได้ก่อนที่จะมีการออกแบบใหม่ ณัฎฐพันธ์ เขจรนันทน์ (2551) กล่าวว่า การวิเคราะห์ระบบ (Systems Analysis) หมายถึง ความเข้าใจในความต้องการของธุรกิจ รวมไปจนถึงการสร้างแบบจำลองเชิงตรรกะของ ระบบใหม่ โดยการสร้างแบบจำลองข้อมูล แบบจำลองการประมวลผล และแบบจำลองวัตถุ ศรีไพร ศักดิ์รุ่งพงศากุล และ เจษฎาพร ยุทธนวิบูลย์ชัย (2549) กล่าวว่า การวิเคราะห์ เป็นขั้นตอนของการวิเคราะห์การดำเนินงานของระบบปัจจุบัน โดยการนำข้อกำหนดความต้องการที่ ได้มาจากขั้นตอนแรกมาวิเคราะห์ในรายละเอียด เพื่อทำการพัฒนาเป็นแบบจำลองตรรกะ ซึ่งประกอบด้วย แผนภาพกระแสข้อมูล คำอธิบายการประมวลผลข้อมูล และแบบจำลองข้อมูล ในรูปแบบของ ER-Diagram ทำให้ทราบถึงรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงานในระบบว่า ประกอบด้วยอะไรบ้าง มีความเกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์กับสิ่งใด จากแนวคิดที่กล่าวมา สรุปได้ว่า การวิเคราะห์ระบบ (Analysis) หมายถึง การวิเคราะห์ สภาพปัจจุบันของระบบที่มีอยู่เดิมและสภาพความต้องการของระบบที่จะพัฒนา โดยการรวบรวม ความต้องการข้อมูลสารสนเทศที่จะนำเข้าสู่ระบบที่ต้องการพัฒนา ซึ่งสามารถดำเนินการได้จากการ รวบรวมเอกสาร การสัมภาษณ์ การออกแบบสอบถาม และการสังเกตการณ์บนสภาพแวดล้อมการ ทำงานจริง 2. การออกแบบระบบ (Design) การออกแบบระบบ เป็นกระบวนการที่นำผลจากการวิเคราะห์ระบบมาศึกษาเพื่อหาวิธี ออกแบบระบบใหม่ตามความต้องการ ซึ่งมีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงการออกแบบระบบ ไว้ดังนี้ โอภาส เอี่ยมสิริวงศ์(2554) กล่าวว่า การออกแบบ (Design) เป็นขั้นตอนของการนํา ผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ทางลอจิคัลมาพัฒนาเป็น Physical Model ให้สอดคล้องกัน โดยการ ออกแบบจําลองข้อมูล (Data Model) การออกแบบรายงาน (Output Design) และการออกแบบ จอภาพในการติดต่อกับผู้ใช้งาน (User Interface) การจัดทำพจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary) ซึ่งขั้นตอนของการวิเคราะห์และออกแบบจะมุ่งเน้นถึงการแก้ปัญหาอะไร (What) และมุ่งเน้นการ แก้ปัญหาอย่างไร (How) ฉันทวิท กุลไพศาล (2551) กล่าวว่า การออกแบบ เป็นระยะที่ได้นำผลลัพธ์ที่ได้จาก การวิเคราะห์ที่เป็นแบบจำลองเชิงตรรกะมาพัฒนาเป็นแบบจำลองเชิงกายภาพ โดยแบบจำลองเชิง ตรรกะที่ได้จากการวิเคราะห์ มุ่งเน้นว่ามีอะไรบ้างที่ต้องทำในระบบ ในขณะที่แบบจำลองเชิงกายภาพ


29 จะนำแบบจำลองเชิงตรรกะมาพัฒนาต่อด้วยมุ่งเน้นว่าระบบจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เกิดผลตาม ต้องการ เช่น การออกแบบสถาปัตยกรรมระบบ ออกแบบรายงาน ออกแบบหน้าจออินพุตข้อมูล ออกแบบผังงานระบบ เป็นต้น ณัฎฐพันธ์ เขจรนันทน์ (2551) กล่าวว่า การออกแบบระบบ (System Design) หมายถึง การสร้างแบบพิมพ์เขียวของระบบใหม่ตามความต้องการในเอกสารความต้องการระบบ ใน การกำหนดสิ่งที่จำเป็น เช่น การนำเข้า (Input) การแสดงผล (Output) ส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface) และการประมวลผล (Processing) พรเทพ รู้แผน (2546) กล่าวว่า การออกแบบระบบ (System Design) เป็นขั้นตอน กำหนดโครงสร้างของระบบหรือสร้างรูปแบบจำลองของระบบ โดยแสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวของ องค์ประกอบ (Flow chart) รวมทั้งลำดับขั้นสำคัญๆ และที่รองลงมาในลักษณะขั้นต่อขั้น (Step by step) โดยใช้แผนภูมิแท่งมีเส้นเชื่อมโยงหรือแสดงด้วยวิธีอื่นๆ ซึ่งสามารถแสดงได้หลายวิธี ศรีไพร ศักดิ์รุ่งพงศากุล และ เจษฎาพร ยุทธนวิบูลย์ชัย (2549) กล่าวว่า การออกแบบ เป็นขั้นตอนของการนำผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ของตรรกะมาทำการออกแบบระบบ โดยการ ออกแบบจะเริ่มจากส่วนของอุปกรณ์และเทคโนโลยีต่าง ๆ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่น ำมา พัฒนาการออกแบบจำลองข้อมูล การออกแบบรายงาน และการออกแบบ จอภาพในส่วนต่อประสาน กับผู้ใช้ การจัดทำพจนานุกรมข้อมูล ประสงค์ ปราณีตพลกรัง และคณะ (2541) กล่าวถึงการออกแบบระบบไว้ว่า การ ออกแบบระบบ (System Design) เมื่อทราบความต้องการเกี่ยวกับระบบแล้ว และผู้บริหารได้ ตัดสินใจที่จะดำเนินการต่อไป เพื่อแก้ปัญหาหรือฉวยโอกาสในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขั้นตอนที่จะต้อง ดำเนินการต่อมาคือ การออกแบบระบบ ซึ่งจะเป็นการออกแบบระบบที่สอดคล้องกับความต้องการ ของผู้ใช้และสภาพแวดล้อมขององค์การ McLeod (1995) กล่าวว่า ขั้นตอนออกแบบระบบ (System Design) เป็นขั้นตอน ของการออกแบบคุณสมบัติของโปรแกรมหรือคุณสมบัติของระบบที่เกี่ยวข้องหรือให้เหมาะสมกับการ ใช้งานก่อนที่จะได้มีการสร้างเป็นต้นแบบของระบบ จากแนวคิดที่กล่าวมา สรุปได้ว่า การออกแบบระบบ (Design) หมายถึง ขั้นตอนใน การออกแบบคุณสมบัติของโปรแกรมหรือคุณสมบัติของระบบ ได้แก่ การออกแบบรายงาน (Output Design) และการออกแบบจอภาพส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface) ซึ่งจะเป็นการออกแบบระบบ ให้เหมาะสมกับการใช้งานและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้


30 3. การพัฒนาระบบ (Development) การพัฒนาระบบ เป็นกระบวนการที่นำระบบที่ได้ออกแบบไว้มาพัฒนาโดยการใช้ โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่มีความเหมาะสมสำหรับระบบนั้น ๆ ในการพัฒนาให้ใช้งานได้ตามความ ต้องการ ซึ่งมีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงการพัฒนาระบบ ไว้ดังนี้ โอภาส เอี่ยมสิริวงศ์(2554) กล่าวว่า การพัฒนา (Development) เป็นขั้นตอนของ การพัฒนาโปรแกรมด้วยการสร้างชุดคําสั่งหรือเขียนโปรแกรมเพื่อสร้างระบบงาน โดยโปรแกรมที่ใช้ ในการพัฒนาจะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมกับเทคโนโลยีที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ภาษาระดับสูงได้ มีการพัฒนาในรูปแบบของ 4GL ซึ่งช่วยอํานวยความสะดวกต่อการพัฒนา รวมทั้งการมี CASE (Computer Aided Software Engineering) ฉันทวิท กุลไพศาล (2551) กล่าวว่า การพัฒนา เป็นระยะที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา โปรแกรม โดยทีมงานโปรแกรมเมอร์จะต้องพัฒนาโปรแกรมที่นักวิเคราะห์ระบบได้ออกแบบไว้ การ เขียนชุดคำสั่งเพื่อสร้างเป็นระบบงานทางคอมพิวเตอร์ขึ้นมา โดยโปรแกรมเมอร์สามารถนำเครื่องมือ เข้ามาช่วยในการพัฒนาโปรแกรมได้ ศรีไพร ศักดิ์รุ่งพงศากุล และ เจษฎาพร ยุทธนวิบูลย์ชัย (2549) กล่าวว่า การพัฒนา เป็นขั้นตอนของการพัฒนาโปรแกรม ด้วยการสร้างชุดคำสั่งหรือเขียนโปรแกรมเพื่อการสร้าง ระบบงาน โดยโปรแกรมที่ใช้ในการพัฒนาจะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมกับเทคโนโลยีใช้งานอยู่ ซึ่งในปัจจุบันภาษาระดังสูงได้มีการพัฒนาในรูปแบบของ 4GL (Fourth Generation Language) ซึ่ง ช่วยอำนวยความสะดวกต่อการพัฒนา รวมทั้งการมีวิศวกรรมซอฟต์แวร์ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยต่าง ๆ มากมายให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม McLeod (1995) กล่าวว่า การพัฒนาระบบ (System Development) เป็นขั้น สุดท้ายของวงจรชีวิตตามระบบซึ่งขั้นนี้จะต้องมีการพัฒนาระบบให้เป็นต้นแบบที่มีความสมบูรณ์มีการ ประเมินผลและตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับเพื่อให้เกิดความเหมาะสมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่ จะนำระบบดังกล่าวไปสู่ผู้ใช้ จากแนวคิดที่กล่าวมา สรุปได้ว่า การพัฒนาระบบ (System Development) หมายถึง การพัฒนาโปรแกรมด้วยการสร้างชุดคําสั่งหรือเขียนโปรแกรมเพื่อสร้างระบบงาน โดยโปรแกรมที่ใช้ ในการพัฒนาจะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมกับเทคโนโลยีที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน เมื่อนำมาใช้ พัฒนาระบบที่ออกแบบแล้ว ระบบสามารถใช้งานง่าย สดวก และรวดเร็ว 4. การทดสอบระบบ (Testing) การทดสอบระบบ เป็นกระบวนการทดสอบระบบที่ได้มีการพัฒนาด้วยโปรแกรมหรือ ชุดคำสั่งต่าง ๆ แล้ว ก่อนที่จะนำระบบไปใช้ปฏิบัติงาน เพื่อเป็นการทดสอบว่าระบบที่พัฒนาขึ้นนั้นมี ข้อที่ต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไร ซึ่งมีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงการทดสอบระบบ ไว้ดังนี้


31 โอภาส เอี่ยมสิริวงศ์ (2554) กล่าวว่า การทดสอบระบบนั้นเป็นขั้นตอนของการ ทดสอบระบบก่อนที่จะปฏิบัติการใช้งานจริง ทีมงานจะทำการทดสอบข้อมูลเบื้องต้นก่อน ด้วยการ สร้างข้อมูลจําลองเพื่อตรวจสอบการทำงานของระบบ หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นก็จะย้อนกลับไปใน ขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรมใหม่โดยการทดสอบระบบนี้จะมีการตรวจสอบอยู่ 2 ส่วน ด้วยกันคือ การ ตรวจสอบแบบภาษาเขียน (Syntax) และการตรวจสอบวัตถุประสงค์งานตรงกับความต้องการหรือไม่ ฉันทวิท กุลไพศาล (2551) กล่าวถึงการทดสอบไว้ว่า เมื่อโปรแกรมได้พัฒนาขึ้นแล้ว ยังไม่สามารถนำระบบเข้าไปใช้งานได้ทันที จำเป็นต้องดำเนินการทดสอบระบบก่อนที่จะนำระบบไป ใช้งานจริงเสมอ ควรมีการทดสอบข้อมูลเบื้องต้นก่อน ด้วยการสร้างข้อมูลจำลองขึ้นมาเพื่อใช้ ตรวจสอบการทำงานของระบบงาน หากพบข้อผิดพลาดก็ปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง เช่น การทดสอบ ไวยากรณ์ภาษาคอมพิวเตอร์ ทดสอบความถูกต้องของผลลัพธ์ที่ได้ และทดสอบว่าระบบที่พัฒนาตรง ตามความต้องการของผู้ใช้หรือไม่ ศรีไพร ศักดิ์รุ่งพงศากุล และ เจษฎาพร ยุทธนวิบูลย์ชัย (2549) กล่าวว่า การทดสอบ เป็นขั้นตอนของการทดสอบระบบก่อนที่จะนำไปปฏิบัติการใช้งานจริง ทีมงานจะทำการทดสอบข้อมูล เบื้องต้นก่อน ด้วยการสร้างข้อมูลจำลองเพื่อตรวจสอบการทำงานของระบบ หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ก็จะย้อนกลับไปในขั้นตอนของการพัฒนาโปรแกรมใหม่ โดยการทดสอบระบบนี้ จะมีการตรวจสอบ อยู่ 2 ส่วนด้วยกัน คือ การตรวจสอบรูปแบบภาษาเขียน (Syntax) และการตรวจสอบวัตถุประสงค์ งานตรงกับความต้องการหรือไม่ พรเทพ รู้แผน (2546) กล่าวว่า การตรวจสอบระบบ (System Verification) เป็น ขั้นตอนการพิจารณาว่าระบบที่สร้างขึ้นมีความสมบูรณ์ ถูกต้อง และครอบคลุมวัตถุประสงค์ของการ สร้างระบบมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและความเป็นไป ได้ในการนำไปปฏิบัติจริงขององค์ประกอบต่างๆ ในระบบเป็นสำคัญ จากแนวคิดที่กล่าวมา สรุปได้ว่า การทดสอบระบบ (Testing) หมายถึง การทดสอบระบบ ก่อนที่จะนำไปใช้งานจริง ทดสอบความถูกต้องของผลลัพธ์ที่ได้ และทดสอบว่าระบบที่พัฒนาตรงตาม ความต้องการของผู้ใช้หรือไม่ ระบบมีความสมบูรณ์ ถูกต้อง และครอบคลุมตามวัตถุประสงค์ของการ พัฒนาระบบมากน้อยเพียงใด 5. การนำระบบไปใช้ (Implementation) การนำระบบไปใช้ เป็นกระบวนการหลังจากที่มีการทดสอบระบบแล้ว และมั่นใจว่า ระบบสามารถทำงานได้จริงตรงกับความต้องการของผู้ใช้โดยการประเมินผลการใช้งานของระบบใหม่ จากผู้ใช้งาน ซึ่งมีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงการนำระบบไปใช้ ไว้ดังนี้ ฉันทวิท กุลไพศาล (2551) กล่าวถึงการนำระบบไปใช้ไว้ว่า เมื่อดำเนินการทดสอบ ระบบ จะมั่นใจว่าระบบที่ได้รับการทดสอบนั้นพร้อมที่จะนำไปติดตั้งเพื่อใช้งานบนสถานการณ์จริง


32 โดยมีการศึกษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ก่อนที่จะนำระบบไปติดตั้ง ทำการติดตั้งระบบให้เป็นไปตาม สถาปัตยกรรมที่ออกแบบไว้ จัดทำคู่มือ ฝึกอบรมผู้ใช้ และประเมินผลการใช้งานของระบบใหม่ ณัฎฐพันธ์ เขจรนันทน์ (2551) กล่าวว่า การปรับใช้ระบบ (System Implementation) คือการเขียนโปรแกรม การทำการทดสอบ การจัดทำเอกสาร และการนำระบบลง ติดตั้งเพื่อใช้งานจริง การจัดการฝึกอบรมผู้ใช้รวมไปจนถึงการปฏิบัติการในช่วงต่อของการ เปลี่ยนแปลงระบบเก่ากับระบบใหม่รวมถึงขั้นการประเมินผล (System Evaluation) เพื่อตัดสิน ระบบอย่างเหมาะสม และเพื่อคาดการณ์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายรวมทั้งผลประโยชน์ที่จะได้รับ พรเทพ รู้แผน (2546) กล่าวว่า การนำระบบไปใช้ (System Implementation) เป็น ขั้นตอนการนำระบบไปใช้ในสถานการณ์จริง (Live Circumstance) ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีลำดับ ขั้นตอนในการผสมผสานแบบจำลองที่ได้รับการพัฒนาและระบบย่อยตามที่เราสนใจกับแผนที่เรา ออกแบบไว้ล่วงหน้า เพื่อบรรลุผลประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ ทั้งนี้เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจว่าระบบจะ ใช้ได้ดีในสถานการณ์จริง จากนั้นจึงทำการประเมินผลการปฏิบัติงานโดยรวมของระบบ ซึ่งพิจารณา จากเกณฑ์ที่กำหนดขึ้น จากการออกแบบระบบ โดยปกติแล้วการประเมินผลการใช้ระบบจะใช้ พหุเกณฑ์ (Multi-Criteria) ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบของเกณฑ์ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ อย่างไรก็ตามในการประเมินระบบโดยทั่วไปจะมุ่งเน้นกระบวนการและผลที่ได้รับจากการปฏิบัติ กิจกรรมของระบบเป็นสำคัญ ศรีไพร ศักดิ์รุ่งพงศากุล และ เจษฎาพร ยุทธนวิบูลย์ชัย (2549) กล่าวถึงการนำระบบ ไปใช้ไว้ดังนี้ หลังจากที่ได้ทำการทดสอบ จนมีความมั่นใจแล้วว่าระบบสามารถทำงานได้จริงและตรง กับความต้องการของผู้ใช้ระบบ จากนั้นจึงดำเนินการติดตั้งระบบเพื่อใช้งานจริง จากแนวคิดที่กล่าวว่า สรุปได้ว่า การนำระบบไปใช้ (Implementation) หมายถึง การนำ ระบบที่พัฒนาขึ้นไปใช้ในสถานการณ์จริง มีการประเมินผลการใช้ระบบจากเกณฑ์ที่กำหนดขึ้น ทำการประเมินผลการปฏิบัติงานโดยรวมของระบบ จนมีความมั่นใจว่าระบบสามารถทำงานได้จริง และตรงกับความต้องการของผู้ใช้ 6. การบำรุงรักษาระบบ (Maintenance) การบำรุงรักษาระบบ เป็นกระบวนการปรับปรุงแก้ไขระบบหลังจากที่ได้นำระบบไปใช้ งานแล้วและเกิดข้อผิดพลาดขึ้นจากระบบ หรือระบบยังไม่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ จึงต้องมี การบำรุงรักษาระบบให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง การบำรุงรักษาระบบ ไว้ดังนี้ โอภาส เอี่ยมสิริวงศ์(2554) กล่าวว่า การบำรุงรักษา (Maintenance) เป็นขั้นตอน ของการปรับปรุงแก้ไขระบบ หลังจากที่ได้มีการวิเคราะห์ระบบ ซึ่งประกอบด้วย การวิเคราะห์ความ ต้องการของผู้ใช้ว่าต้องการระบบแบบใดและสารสนเทศอะไร


33 ณัฎฐพันธ์ เขจรนันทน์ (2551) กล่าวว่า การบำรุงรักษาระบบ (System Maintenance) คือการแก้ไขข้อผิดพลาด และการปรับเปลี่ยนตามสิ่งแวดล้อม รวมไปจนถึงการเพิ่ม ลักษณะเฉพาะใหม่ๆ รวมทั้งสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อระบบ ฉันทวิท กุลไพศาล (2551) กล่าวถึงการบำรุงรักษาระบบไว้ว่า หลังจากระบบงานที่ พัฒนาขึ้นใหม่ถูกนำไปใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนการบำรุงรักษาจึงเกิดขึ้น กรณีเกิดข้อ ผิดพลาดขึ้นจากระบบ ให้ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง อาจจำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเพิ่มเติม กรณีผู้ใช้ มีความต้องการเพิ่ม วางแผนรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต บำรุงรักษาระบบงานและ อุปกรณ์ ศรีไพร ศักดิ์รุ่งพงศากุล และ เจษฎาพร ยุทธนวิบูลย์ชัย (2549) กล่าวว่า การ บำรุงรักษา เป็นขั้นตอนของการปรับปรุงแก้ไขระบบหลังจากที่ได้มีการติดตั้งและใช้งานแล้ว ในขั้นตอนนี้อาจเกิดจากจุดบกพร่องของโปรแกรม ซึ่งโปรแกรมเมอร์จะต้องรีบแก้ไขให้ถูกต้อง หรือเกิดจากความต้องการของผู้ใช้งานที่ต้องการเพิ่มโมดูลในการทำงานอื่นๆ ซึ่งทั้งนี้ก็จะเกี่ยวข้องกับ ข้อกำหนดความต้องการที่เคยตกลงกันก่อนหน้าด้วย จากแนวคิดที่กล่าวมา สรุปได้ว่า การบำรุงรักษาระบบ (Maintenance) หมายถึง การ ปรับปรุงแก้ไขระบบกรณีที่เกิดข้อผิดพลาดขึ้นจากระบบ ให้มีการแก้ไขให้ถูกต้อง หรือการปรับเปลี่ยน ระบบตามสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการเพิ่มลักษณะเฉพาะใหม่ ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อระบบ และความ ต้องการของผู้ใช้ว่าต้องการระบบแบบใดและสารสนเทศอะไร และในกระบวนการพัฒนานั้น ผู้วิจัยได้นำแนวคิดวงจรคุณภาพ (PDCA) มาเป็นกรอบใน การพัฒนาตามกระบวนการในแต่ละขั้นตอน เพื่อให้เกิดกระบวนการทำงานที่เป็นระบบและมีการ พัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีนักวิชาการหลายท่านและหน่วยงานหลายแห่งได้กล่าวถึงวงจร คุณภาพ (PDCA) ไว้ดังนี้ ณัฎฐพันธ์ เขจรนันทน์ (2546 : 77-80) กล่าวว่า วงจรคุณภาพ ตามแนวคิดของ เอดวาร์ด เดมมิ่ง (Edward Deming) หรือวงจร PDCA ประกอบด้วยกระบวนการ 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การวางแผน (Plan) เป็นจุดเริ่มต้นของวงจรการบริหารคุณภาพเพราะแผนจะกำหนด เป้าหมายและทิศทางในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาคุณภาพ โดยแผนจะอธิบายความจำเป็นและการ สร้างความเข้าใจในการแก้ปัญหา ซึ่งต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจจากทุกหน่วยงานในการปรับปรุง แก้ไขอุปสรรคและข้อบกพร่องต่าง ๆ ขององค์การให้หมดไปอย่างเป็นขั้นตอนเพื่อให้องค์การสามารถ ดำเนินงานบรรลุความสำเร็จตามที่ต้องการ การวางแผนการสร้างคุณภาพมี 4 ขั้นตอนคือ 1.1 ตระหนักและกำหนดปัญหาที่ต้องการแก้ไขหรือปรับปรุง โดยสมาชิกทุกคนจะ ร่วมมือกันในการระบุปัญหาที่เกิดขึ้นในการดำเนินงาน เพื่อที่จะร่วมกันทำการศึกษาและวิเคราะห์ หาแนวทางแก้ไขต่อไป


34 1.2 เก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับวิเคราะห์และตรวจสอบการดำเนินงานหรือหาสาเหตุ ของปัญหา เพื่อใช้ในการปรับปรุง 1.3 อธิบายปัญหาและกำหนดทางเลือก วิเคราะห์ปัญหา เพื่อใช้กำหนดสาเหตุของ ความบกพร่องและสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้สมาชิกทุกคนในทีมงานคุณภาพเกิดความเข้าใจใน สาเหตุและปัญหาอย่างชัดเจนแล้วร่วมกันระดมความคิด สร้างทางเลือกที่เป็นไปได้ในการตัดสินใจ แก้ปัญหา เพื่อมาทำการวิเคราะห์และตัดสินใจเลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดมาดำเนินงาน 1.4 เลือกวิธีการแก้ปัญหา หรือปรับปรุงการดำเนินงาน โดยร่วมกันวิเคราะห์และ วิจารณ์ทางเลือกต่าง ๆ ผ่านการระดมความคิดและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของสมาชิกเพื่อ ตัดสินใจเลือกวิธีการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมที่สุดในการดำเนินงาน ให้สามารถบรรลุตามเป้าหมายได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจจะต้องทำวิจัยและหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือกำหนดทางเลือกใหม่ที่มีความ น่าจะเป็นในการแก้ปัญหาได้มากกว่าเดิม 2. การดำเนินงานหรือการปฏิบัติ (Do) เป็นการนำทางเลือกที่ตัดสินใจไปวางแผน ปฏิบัติงานและลงมือปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าปัญหานั้นเป็น งานที่สามารถดำเนินการแก้ไขได้ภายในกลุ่มก็สามารถปฏิบัติได้ทันที หากปัญหามีความซับซ้อน เกี่ยวข้องกับหน่วยหรือกลุ่มอื่น ก็ต้องแจ้งให้ผู้บริหารสั่งการให้หน่วยงานอื่นประสานงานและร่วมมือ แก้ไขปัญหาให้สำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ 3. การตรวจสอบ (Check) เป็นการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลงานที่ปฏิบัติโดย การเปรียบเทียบผลการทำงานก่อนการปฏิบัติงาน และหลังปฏิบัติงานว่ามีความแตกต่างกันมากน้อย เพียงใด ถ้าผลลัพธ์ออกมาตามเป้าหมาย ก็จะนำไปจัดทำเป็นมาตรฐานสำหรับการปฏิบัติงานในครั้ง ต่อไป แต่ถ้าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ทีมงานคุณภาพต้องทำการศึกษาและ วิเคราะห์หาสาเหตุ เพื่อทำการแก้ไขปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพขึ้น 4. การปรับปรุง (Act) เป็นการกำหนดมาตรฐานจากผลการดำเนินงานใหม่ เพื่อใช้เป็น แนวทางปฏิบัติในอนาคต หรือทำการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่เกิดจากความไม่สอดคล้องกับความ ต้องการ ปัญหาที่ไม่ได้คาดหวังและปัญหาเฉพาะหน้าในการดำเนินงาน จนได้ผลลัพธ์ที่พอใจ และ ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายแล้ว จึงจัดทำเป็นมาตรฐานการปฏิบัติงานในอนาคตและจัดทำรายงาน เสนอต่อผู้บริหาร และกลุ่มอื่นได้ทราบต่อไป บังอร มธุรสสุวรรณ (2542 : 23–24) ได้เสนอขั้นตอนการบริหารงานวงจรคุณภาพเดมมิ่ง (Deming Cycle) ไว้ 4 ขั้นตอน คือ 1. การจัดทำและวางแผน (Plan) 1.1 ทำความเข้าใจวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนแล้วกำหนดหัวข้อควบคุม (Control items) ซึ่งตามปกติได้แก่ Q-C-D-M-E (Quality Cost Delivery Safety Morale Environment)


35 1.2 กำหนดค่าเป้าหมายที่ต้องการบรรลุให้แก่หัวข้อควบคุมแต่ละข้อ 1.3 กำหนดวิธีดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 2. การปฏิบัติตามแผน (Do) 2.1 หาความรู้เกี่ยวกับวิธีดำเนินการนั้นด้วยวิธีการฝึกอบรมหรือศึกษาด้วยตนเอง 2.2 ดำเนินการตามวิธีการที่กำหนด 2.3 เก็บรวบรวมบันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้องและผลลัพธ์ของหัวข้อควบคุม 3. การติดตามประเมินผล (Check) 3.1 ตรวจสอบว่าการปฏิบัติงานเป็นไปตามวิธีการทำงานมาตรฐานหรือไม่ 3.2 ตรวจสอบว่าค่าที่วัดได้ (ของตัวแปรที่เกี่ยวข้อง) อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ 3.3 ตรวจสอบว่า (ของหัวข้อควบคุม) ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ 4. การกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้ไม่เป็นไปตามแผน (Act) 4.1 ถ้าการปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามวิธีการทำงานมาตรฐาน ก็หามาตรการแก้ไข 4.2 ถ้าผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ก็ค้นหาสาเหตุและแก้ไขที่ต้นตอเพื่อมิให้ เกิดปัญหาซ้ำขึ้นอีก 4.3 ปรับปรุงระบบการทำงานและเอกสารวิธีการทำงานมาตรฐาน เดมมิ่ง (Demin.2004 : 17, อ้างถึงใน สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์, 2552 : 21) กล่าวว่าการ จัดการอย่างมีคุณภาพเป็นกระบวนการที่ดำาเนินการต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลผลิตและบริการที่มี คุณภาพขึ้นโดยหลักการที่เรียกว่าวงจรคุณภาพ (PDCA) หรือวงจรเดมมิ่ง ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ การวางแผน การปฏิบัติตามแผน การตรวจสอบ และการปรับปรุงแก้ไขดังนี้ 1. Plan คือการกำหนดสาเหตุของปัญหา จากนั้นวางแผนเพื่อการเปลี่ยนแปลงหรือ ทดสอบเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้น 2. Do คือ การปฏิบัติตามแผนหรือทดลองปฏิบัติเป็นการนำร่องในส่วนย่อย 3. Check คือ ตรวจสอบเพื่อทราบว่าบรรลุตามแผนหรือหากมีสิ่งใดที่ทำผิดพลาดหรือได้ เรียนรู้อะไรมาบ้างแล้ว 4. Act คือ ยอมรับการเปลี่ยนแปลง หากบรรลุผลเป็นที่น่าพอใจหรือหากผลการปฏิบัติไม่ เป็นไปตามแผน ให้ทำซ้ำวงจรโดยใช้การเรียนรู้จากการกระทำในวงจรที่ได้ปฏิบัติไปแล้ว แม้ว่าวงจร คุณภาพจะเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องแต่สามารถเริ่มต้นจากขั้นตอนใดก็ได้ขึ้นอยู่กับปัญหาและ ขั้นตอนการทำงานหรือเริ่มจากการตรวจสอบสภาพความต้องการ เปรียบเทียบสภาพที่เป็นจริงจะทำ ให้ได้ข้อสรุปว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนไปตาม เป้าหมายที่วางไว้


36 ธนา นนทพุทธ (2555) กล่าวว่า วงจรการบริหารงานคุณภาพ PDCA ประกอบด้วย P = Plan คือการวางแผนงานจากวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ได้กำหนดขึ้น D = Do คือการปฏิบัติตาม ขั้นตอนในแผนงานที่ได้เขียนไว้อย่างเป็นระบบและมีความต่อเนื่อง C = Check คือการตรวจสอบผล การดําเนินงานในแต่ละขั้นตอนของแผนงานว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จำเป็นต้องแก้ไขแผนงานใน ขั้นตอนใด A = Action คือ การปรับปรุงแก้ไขส่วนที่มีปัญหาหรือถ้าไม่มีปัญหาใด ๆ จึงยอมรับแนว ทางการปฏิบัติตามแผนงานที่ได้ผลสำเร็จเพื่อนําไปใช้ในการทำงานครั้งต่อไป เมื่อได้วางแผน (P) นําไปปฏิบัติ (D) ระหว่างปฏิบัติก็ดำเนินการตรวจสอบ (C) พบปัญหาก็ทำการแก้ไขหรือปรับปรุง (A) การปรับปรุง โดยเริ่มจากการวางแผนวนไปเรื่อง ๆ จนครบรอบ จึงเรียกว่าวงจร PDCA สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ (2555: 279) เสนอว่า วงจรคุณภาพ (PDCA: Plan Do Check Act) คือกระบวนการทำงานที่เป็นวงจรซึ่งเสนอว่าการทำงานมี 4 ขั้นตอน Plan : P การวางแผนการทำงาน Do : D การปฏิบัติตามแผน Check : C การตรวจสอบ Act : A การประเมินผล วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ (2555 : 194) ได้สรุปหลักการของวงจรคุณภาพไว้ว่า การ ดำเนินการควบคุมคุณภาพในสถานศึกษา ใช้วิธีการดำเนินงานตามขั้นตอนที่เรียกว่า วัฏจักรเดมมิ่ง (Deming Cycle) ซึ่งมีอยู่ 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การวางแผนแก้ปัญหา (Plan) ประกอบด้วยการค้นหาสาเหตุของปัญหา โดยใช้วิธีการ ระดมสมอง เขียนเป็นแผนภาพแสดงสาเหตุและผล เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาก่อนที่จะทำการ แก้ไขปัญหาโดยใช้เครื่องมือของการควบคุมคุณภาพต่าง ๆ และควรเลือกปัญหาที่สำคัญมาแก้ไขก่อน 2. ลงมือแก้ปัญหาตามแผนที่วางไว้ (Do) นั่นคือ ลงมือปฏิบัติตามแผนการที่วางไว้ 3. ตรวจสอบหลังจากการแก้ปัญหาแล้ว (Check) เป็นการตรวจสอบดูว่าหลังจากลงมือ ปฏิบัติการแก้ไขตามแผนแล้ว สภาพของปัญหานั้นได้ลดลงจนถึงเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ตาม เป้าหมายก็ต้องวางแผนแก้ไขใหม่ต่อไป การตรวจสอบทำได้โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลภายหลังลงมือ ปฏิบัติแล้ว 4. ปรับปรุงแผนใหม่แล้วลงมือปฏิบัติ(Act) ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่าผลการดำเนินงานไม่ได้ เป็นไปตามเป้าหมายก็ต้องวางแผนใหม่ การตรวจสอบผลใหม่จนกว่าจะได้ผลตามเป้าหมายที่กำหนด ไว้ วิฑูรย์ สิมะโชคดี (2545 : 43-47) กล่าวถึง วงจรคุณภาพ (PDCA) เป็นกิจกรรมที่จะนำ ไปสู่การปรับปรุงงานและการควบคุมอย่างเป็นระบบอันประกอบด้วย การวางแผน (Plan) การนำ แผนไปปฏิบัติ (Do) การตรวจสอบ (Check) และการปรับปรุงแก้ไข (Act) กล่าวคือ จะเริ่มจากการ


37 วางแผน การนำแผนที่วางไว้มาปฏิบัติ การตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้ และหากไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ คาดหมายไว้ จะต้องทำการทบทวนแผนการโดยเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่งและทำตามวงจรคุณภาพซ้ำอีก เมื่อวงจรคุณภาพหมุนซ้ำไปเรื่อย ๆ จะทำให้เกิดการปรับปรุงงานและทำให้ระดับผลลัพธ์สูงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น การกระทำตามวงจรคุณภาพ จึงเท่ากับ การสร้างคุณภาพที่น่าเชื่อถือมากขึ้นโดยจุดเริ่มต้นของ วงจรคุณภาพอยู่ที่การพยายามตอบคำถามให้ได้ว่า ทำอย่างไรจึงจะดีขึ้น ขั้นตอนที่ 1 การวางแผน (Plan) ในบรรดาองค์ประกอบทั้ง 4 ประการของวงจรคุณภาพนั้น ต้องถือว่าการวางแผนเป็นเรื่อง ที่สำคัญที่สุด การวางแผนจะเป็นเรื่องที่ทำให้กิจกรรมอื่น ๆ ที่ตามมาสามารถทำงานได้อย่างมี ประสิทธิผล เพราะถ้าแผนการไม่เหมาะสมแล้ว จะมีผลทำให้กิจกรรมอื่นไร้ประสิทธิผลตามไปด้วย แต่ ถ้ามีการเริ่มต้นวางแผนที่ดี จะทำให้มีการแก้ไขน้อย และกิจกรรมจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขั้นตอนที่ 2 การนำแผนไปปฏิบัติให้เกิดผล (Do) เพื่อให้มั่นใจว่ามีการนำแผนการไปปฏิบัติอย่างถูกต้องนั้น เราจะต้องสร้างความมั่นใจว่า ฝ่ายที่รับผิดชอบในการนำแผนไปปฏิบัติได้รับทราบถึงความสำคัญและความจำเป็นในแผนการนั้น ๆ มีการติดต่อสื่อสารไปยังฝ่ายที่มีหน้าที ่ในการปฏิบัติอย่างเหมาะสม มีการจัดให้มีการศึกษาและการ อบรม ที่ต้องการเพื่อการนำแผนการนั้น ๆ มาปฏิบัติ และมีการจัดหาทรัพยากรที่จำเป็นในเวลาที่ จำเป็นด้วย ขั้นตอนที่ 3 การตรวจสอบ (Check) การตรวจสอบและประเมินผลลัพธ์ของการปฏิบัติตามแผน ควรจะต้องมีการประเมินใน 2 ประการ คือ มีการปฏิบัติตามแผนหรือไม่ หรือตัวแผนการเองมีความเหมาะสมหรือไม่ การที่ไม่ ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้เป็นเพราะไม่ปฏิบัติตามแผนการหรือความไม่เหมาะสมของ แผนการ หรือจากทั้งสองประการรวมกัน เราจำเป็นต้องหาว่าสาเหตุมาจากประการไหนทั้งนี้ เนื่องจากการนำไปปฏิบัติการปรับปรุงแก้ไขจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถ้าความล้มเหลวมาจากแผนการที่จัดทำขึ้นไม่เหมาะสม อาจเป็นผลมาจากสาเหตุ ดังต่อไปนี้ 1. ความผิดพลาดในการทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ 2. เลือกเทคนิคที่ใช้ผิดเนื่องจากมีข้อมูลข่าวสารไม่เพียงพอและมีความรู้ในขั้นตอนการ วางแผนไม่เพียงพอ 3. ประเมินผลกระทบจากการปฏิบัติตามแผนผิดพลาด 4. ประเมินความสามารถของบุคลากรที่ต้องนำแผนมาใช้ผิดพลาด ถ้าความล้มเหลวมาจากการไม่ปฏิบัติตามแผน อาจเป็นผลมาจากสาเหตุต่อไปนี้ 1. ขาดความตระหนักถึงความจำเป็นในการปรับปรุง


38 2. การติดต่อสื่อสารที่ไม่เหมาะสมและมีความเข้าใจในแผนไม่เพียงพอ 3. การให้การศึกษาและการฝึกอบรมไม่เพียงพอ 4. ปัญหาเกี่ยวกับตัวผู้นำและการประสานงานระหว่างการปฏิบัติ 5. ประเมินทรัพยากรที่ต้องใช้น้อยเกินไป ขั้นตอนที่ 4 ปฏิบัติการปรับปรุงแก้ไข (Act) ถ้าความล้มเหลวมาจากการวางแผนที่ไม่เหมาะสม การทบทวนแผนการเท่านั้นไม่เพียงพอ ต่อการแก้ปัญหา ต้องมีการปรับปรุงคุณภาพของกระบวนการวางแผนโดยการหาปัจจัยที่ไม่เหมาะสม สาเหตุของการวางแผน และทำการปฏิบัติการแก้ไข ความก้าวหน้าของการปรับปรุงจะเกิดขึ้นได้ โดย การกำจัดสาเหตุ และขั้นตอนที่สำคัญ ก็คือ การทบทวนแผนการที่ต้องมีการชี้บ่งถึงสาเหตุแห่งความ ล้มเหลวอย่างถูกต้องและมีการเปลี่ยนแปลงแผนเพื่อให้สามารถดำเนินกิจกรรมไปได้อย่างมี ประสิทธิผลเพิ่มขึ้น ควรมีการวางแผนการปรับปรุงคุณภาพเป็นรายปี และมีการทบทวนทุกปีเพื่อให้ มั่นใจว่าแผนการดังกล่าว มีความเชื่อถือได้และเหมาะสม การนำวงจรคุณภาพไปปฏิบัติอย่างจริงจัง และต่อเนื่องในทุกระดับขององค์กร จะทำให้เราสามารถปรับปรุงและเพิ่มคุณภาพงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และเห็นผลลัพธ์ ที่ชัดเจน เมื่อปัญหาเดิมหมดไปเราก็สามารถแก้ปัญหาใหม่ ๆ ได้ด้วย วงจรคุณภาพต่อไป เมลนิค และเดนซเลอร์ (Melnyk & Denzler อ้างถึงใน เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ, 2545 : 98- 99) กล่าวถึงแนวคิดของเดมมิ่งว่าผู้บริหารระดับสูงต้องมีบทบาทหลายด้าน และการจัดการคุณภาพที่ ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยหลักการที่เรียกว่า วงจรคุณภาพ (PDCA) แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การวางแผน (Plan) หมายถึง วางแผนโดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่หรืออาจเก็บรวบรวม ขึ้นมาใหม่ นอกนั้นอาจทดสอบเพื่อเป็นการนำร่องก่อนก็ได้ ขั้นตอนที่ 2 การทำ (Do) หรือลงมือทำ หมายถึงลงมือเอาแผนไปทำ ซึ่งอาจทำในขอบข่าย เล็กๆ เพื่อทดลองดูก่อน ขั้นตอนที่ 3 การตรวจสอบ (Check) หมายถึง การตรวจสอบ หรือสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามี การเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใดและเป็นไปในทางใด ขั้นตอนที่ 4 การแก้ไข (Act) หรือลงมือแก้ไข (corrective action) หมายถึง หลังจากที่ได้ ศึกษาผลลัพธ์ดูแล้ว อาจไม่เป็นไปตามที่ต้องการหรือมีปัญหาที่ต้องแก้ไข ก็ต้องดำเนินการแก้ไขตามที่ จำเป็น หลังจากนั้นสรุปเป็นบทเรียนและพยากรณ์เพื่อเป็นพื้นฐานในการคิดหาวิธีการใหม่ๆ ต่อไป การลงมือปฏิบัติดังกล่าวนี้แสดงได้ สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์ (2542 : 188-190) กล่าวถึง จุดหมายที่แท้ของวงจรคุณภาพ (PDCA) ว่าเป็นกิจกรรมพื้นฐานในการบริหารคุณภาพนั่นมิใช้เพียงแค่การปรับแก้ผลลัพธ์ที่เบี่ยงเบนออกไป


39 จากเกณฑ์มาตรฐานให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องการเท่านั้น แต่เพื่อก่อให้เกิดการปรับปรุงในแต่ละ รอบของ PDCA อย่างต่อเนื่องเป็นระบบและมีการวางแผน PDCA ที่ม้วนไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ วงจรควบคุมคุณภาพ PDCA มีภารกิจหลัก 4 ขั้นตอน ขั้นที่ 1 การวางแผน (Plan-P) ขั้นที่ 2 การดำเนินตามแผน (Do-D) ขั้นที่ 3 การตรวจสอบ (Check-C) ขั้นที่ 4 การแก้ไขปัญหา (Act-A) ขั้นตอนที่ 1 การวางแผน (Plan) การวางแผนงานจะช่วยพัฒนาความคิดต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่ รูปแบบที่เป็นจริงขึ้นมาในรายละเอียดให้พร้อมในการเริ่มต้นลงมือปฏิบัติ แผนที่ดีควรมีลักษณะ 5 ประการ ซึ่งสรุปได้ ดังนี้ 1. อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง (realistic) 2. สามารถเข้าใจได้ (understandable) 3. สามารถวัดได้ (measurable) 4. สามารถปฏิบัติได้ (behavioral) 5. สามารถบรรลุผลสำเร็จได้ (achievable) การวางแผนที่ดีควรมีองค์ประกอบ ดังนี้ 1. กำหนดขอบเขตปัญหาให้ชัดเจน 2. กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย 3. กำหนดวิธีการที่จะบรรลุถึงวัตถุประสงค์และเป้าหมายให้ชัดเจนและถูกต้องแม่นยำ ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ขั้นตอนที่ 2 ปฏิบัติ (Do) ประกอบด้วยการทำงาน 3 ระยะ 1. การวางแผนกำหนดการ 1.1 การแยกกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการกระทำ 1.2 กำหนดเวลาที่คาดว่าต้องใช้ในกิจกรรมแต่ละอย่าง 1.3 การจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ 2. การจัดการแบบแมทริกซ์ การจัดการแบบนี้สามารถช่วยดึงเอาผู้เชี่ยวชาญหลาย แขนงจากแหล่งต่างๆ มาได้ และเป็นวิธีช่วยประสานระหว่างฝ่ายต่างๆ 3. การพัฒนาขีดความสามารถในการทำงานของผู้ร่วมงาน 3.1 ให้ผู้ร่วมงานเข้าใจถึงงานทั้งหมดและทราบเหตุผลที่ต้องกระทำ 3.2 ให้ผู้ร่วมงานพร้อมในการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสม 3.3 พัฒนาจิตใจให้รักการร่วมมือ


Click to View FlipBook Version