The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by parkerloykhampom99, 2021-12-28 01:10:08

DEVA ATTHAKATHA

DEVA ATTHAKATHA

เหตุพระนางจะนาไปเปน็ ตุก๊ ตาในรโหฐานของพระนาง ซ่ึงองคจ์ ักรพรรดแิ ห่งมุฆลั ทรงตามพระทัยพระนาง พระ
นางจงึ ประดษิ ฐานพระปฏิมาสาฤทธิ์ของพระเปรุมาลไวใ้ นรโหฐานของพระนาง พระนางทรงปฏิบัติต่อปฏิมาดัง
มิตรสหาย ทั้งการอาบน้า การแต่งตัว และการนาภักษาหารมาให้ ซ่ึงเป็นอาหารประเภทแป้งที่ช่ืนชอบกันใน
จกั รวรรดมิ ฆุ ลั กล่าวว่าพระนางทรงปฏบิ ัติจนไดร้ ับการทรรศนะ ทิพยทรรศนะของ ทรงปรากฏทพิ ยรปู ต่อพระ
นาง และพูดคุย ดารงอยู่กับพระนางอย่างสนิทสนม จนกระท่ังพระเปรุมาลได้ทรงมาในนิมิตของพระรามุชา

จารย์ (ோமானுஜாசார்யர் / Ramanujacharya) ทรงบอกถึงท่ีอยู่ของพระปฏิมาท่ีถูกขโมยไป จึง
ทรงจาริกไปในจักรวรรดิมุฆัลพร้อมคณะ ซ่ึงท่านท้ังหลายได้ร้องเพลงอันไพเราะถวายองค์จักรพรรด์ิ เพื่อแลก
กับการทูลขอพระปฏิมาคืน ซ่ึงเน้ือหาของคีตคือ การเรียกร้องถึงองค์เปรุมาล เมื่อองค์จักรพรรดิทรงโปรด
ปรานจงึ ไดต้ รสั ว่า ต้องการสงิ่ ใด จะให้ตามทีป่ รารถนา พระรามุชะจงึ ทูลขอ พระปฏมิ าสาฤทธ์ิของพระรังคนาถ
กลบั คนื สู่ศรรี งั คมั ซงึ่ องคจ์ ักรพรรดเิ มอื่ ไดส้ ดบั ฟังแล้วกท็ รงลาบากพระทัยเป็นอย่างย่ิง ด้วยทรงรูว้ า่ ปฏมิ านัน้
มีความสาคัญผูกพันกับพระราชธดิ ามากขนาดไหน แต่เมื่อตรัสไปแลว้ ก็จาเป็นที่จะต้องใหต้ ามที่สนั นยาสีรามนุ
ชะขอ เม่ือเพ่ือนรักของตนถูกพรากไป พระราชธิดาทรงโศกาเป็นอย่างย่ิง ทรงออกเดินทางตามคณะของ
พระรามนชุ ะไป ผ่านความยากลาบากแสนเข็ญ จนเดนิ ทางตามมาถงึ หนา้ ประตเู ทวสถานศรรี ังคนาถและส้ินใจ
ลง บ้างกล่าวว่า เมื่อองค์จักรพรรดิมาลิก คาฟุร ได้ทราบถึงความโศกเศร้าของพระราชธิดา และการเดินทาง
ตามคณะสันนยาสี ทาใหท้ รงโกรธาเป็นอย่างยง่ิ ทรงออกทัพตามสู่ทางใต้ จากเรื่องราวของพระราชธดิ าบิบิแห่ง
ราชวงศ์มุฆัล พระราชมนุชะจึงยกย้องพระนาง เป็นหนึ่งในผู้จงรักภักดีต่อพระมหาวิษณุ และหนึ่งในผู้โปรด

ปรานของพระมหาวิษณุ จึงถวายนามตุลุกกะ นาจจิยาร (துலுக்க நாச்சியார் / Tulukka
Nacchiyar) อันหมายถึง หญิงชาวเติร์กผู้ทรงเกียรติ อันตุลุกกะนั้นหมายถึงชาวเติร์ก (Turk) และนาจจิยาร
หมายถึง สตรผี ้สู ูงศกั ด์ิย่ิง

บ้างกล่าวต่างว่า จากความโหดร้ายของกุลโลตุงคะ โจฬัร (குல்தைாத்துங்க தசாழர் /

Kullotunga Chozhar) ทาให้พระรามานุชาจารย์ พร้อมคณะต้องหลบหนีไปเมลุโกเฏ (ಮೀಲುಕ ೀಟಿ /

Melukote) ในการนาฏกะ หรือเมลโกฏ์ไฏ (தமல்தகாட்னட / Melkottai) ในภาษาตมิฬ และได้

ล่วงรู้ถึงพระปฏิมาสาฤทธิ์ของเจลุ วะ นารายณะ สวามี (ಚಿಲುವ ನಾರಾಯಣ ಸ್ಾಾಮ /
Cheluvanarayana Swami) ทหี่ ายไปจากการรุกรานของจกั รวรรดิมฆุ ัล จงึ ตามไปทลู ขอคืนจากองคจ์ กั รพรรดิ
แตพ่ ระราชธดิ าผู้หลงรักในพระปฏมิ ากลบั โศกา ตามมาจนสนิ้ บญุ จงึ ไดร้ ับการยกยอ่ งเปน็ เทพีองคห์ นึ่ง

ปัจจุบันในอรชนุ มณฑปของเทวสถาน ศรรี งั คนาถ สวามี มีภาพจติ รกรรมของ ตลุ กุ กะ นาจจยิ าร ทรง
สวมภูษาภรณ์ อลงกรณ์ด้วยเคร่ืองประดับมากมายแบบ เทพีในศาสนาฮินดูอยู่ภายใน ซ่ึงท่ีภาพของพระนาง
ออกมาในรปู แบบนี้ เพอ่ื หลีกเลยี่ งขอ้ พพิ าทระหวา่ งศาสนา

ศรี ลลิตา ธยานะ มนตระ ประถมโศลก
(บททาการสมาธริ ะลกึ พระศรีลลิตา โศลกแรก)

สินทฺ ูรารณุ -วิคฺรหา ตฺรนิ ยนา มาณกิ ฺยเมาลิ สผฺ รู ตฺ
ตารานายก-เศขรา สมฺ ิตมุขี มาปนี -วกฺโษรหุ ามฺ।
ปาณภิ ยฺ ามลปิ ูรฺณ-รตนฺ -จษก รกโฺ ตตปฺ ล วิภรฺ ุตี
เสามยฺ า รตฺน-ฆฏสฺฐ รกตฺ จรณา ธยฺ าเยตฺ ปรามมฺพิกามฺ॥
คาอา่ น ซินดูรารุณะ วคิ ระฮาม ตรนิ ะยะนาม มาณิกยะเมาลิ สะพรู ตั ตารานายะกะ เชคะราม สะมิตะมุคี มาปี

นะ วักโชรุฮาม
ปาณิภยามะลปิ รู ณะ รัตนะ จะชะกา รักโตต๊ ปะลา วภิ ระตีม เสามยฺ า รัตนะ ฆะฏสั ฐะ รักตะจะระณาม ธฺยาเยต

ปะรามมั พกิ าม
แปล - พงึ เพง่ พินจิ ถึง พระปรามมั พิกา (ปะระอมั พิกา) (พระมารดาผ้ทู รงความยิ่งใหญ่) พระนางผู้ทรง
มีพระวรกายแดงดุจดังอรุณรุ่ง พระผู้ทรงมีสามพระเนตร พระผู้ทรงมีมงกุฎอันส่องประกายด้วยอัญมณี พระผู้
ทรงประดับเจ้าแห่งดารา (ดวงบุหลัน) ไว้บนเศียรเกล้า พระผู้ทรงมีพระพักตร์งดงามด้วยรอยแย้มสรวล พระ
นางผู้มีพระถันอันโอฬารดังขุนเขา พระผู้ซึ่งพระกรทั้งสองทรงไว้ซ่ึงเหยือกรัตนะ อันเต็มไปด้วยมธุรส แลอุบล
ชาติอันมีสีแดงกล่า พระนางผู้ทรงความความงดงาม พระผู้ซึ่งพระบาทอันแดงกล่าของพระองค์ต้ังอยู่เหนือ
หน้อรตั นะ

ศรี ศกุ เทว มนุ ี

พระศุกเทว มุนี (शुकदेव मुक्तन / ஸ்ரீ சுகதேவ முனி / Sri Shuka Deva Muni) หรือ
พระศุกพรหมะ มหรรษิ (श्रीशुक ब्रह्म महर्षप / ஸ்ரீ சுகப்பிேம்ம மகர்ஷி / Sri Shuka
Brahma Maharshi) ทรงเป็นบุตรของพระมหาฤๅษีเวทวยาส (महर्षप वेदव्यास / மகர்ஷி
தவத்வியாசர் / Maharshi Vedvyasa) เป็นผู้ที่ได้รับการกล่าวขานเล่อื งลือว่า เป็นผู้ท่ีชานาญในพระ
เวท และปรุ าณะทง้ั ปวง นอกจากน้ียังเชื่อกนั วา่ ทา่ นน้ันเป็นอวตารภาคหนึ่งของพระศรีกฤษณะเองอีกด้วย

การปรากฏอบุ ัติข้นึ ของทา่ นมีการกล่าวถึงแตกต่างกันไป บ้างวา่ ท่านอบุ ตั ิขึน้ จากกองกูณฑ์ อันเป็นผล
จากการบาเพ็ญตบะพรตของพระฤๅษีวยาส บ้างว่า ท่านกาเนิดขึ้นจากครรภ์พระนางวติกา ชายาในองค์ฤๅษี
เวทวยาส และบ้างวา่ อบุ ัตเิ กิดข้ึนจากน้ากามของฤๅษีวยาส ภายหลังไดช้ มเชยความงดงามของนางอัปสรฆฤตา
จี (अप्सरा घृिाची / தேவதைாக மங்னக கிருோசி / Ghritachi) ซ่ึงได้บินจากไปใน
รูปของนกแกว้ (สันสกฤตวา่ ศกุ ะ) ซ่งึ ต่อมาศุกะ (นกแก้ว) ไดม้ าเปน็ นามของท่าน

นอกจากน้ียังมีตานานการกาเนิดขึ้นของท่านที่กล่าวขานกันอย่างแพร่หลาย และเป็นท่ีน่าสนใจ โดย
ตานานน้ีกล่าวว่า คร้ังหน่ึง พระเทวรรษี นารท (देवर्षप नारद / தேவர்ஷி நாேேர் / Devarshi
Narada) ได้เดินทางไปยังไกลาส เพื่อเข้าพบพระศิวะ (भगवान् क्तशव / சிவபபருமான் / Lord
Shiva) และพระนางปารวตี (श्रीिाविप ी / ஸ்ரீ பார்வேி / Sri Parvati) หากแต่ในเพลานนั้ องค์พระ
โยคีศวร ทรงเขา้ ฌานสมาธอิ ยู่

พระเทวรรษี นารท จึงได้แต่เพียงทรรศนะรูปแห่งองค์พระไกลาสนาถ อันมีพระวรกายขาวบริสุทธ์ิ มี
พระศอสีคล้า ทรงชโลมพระวรกายดว้ ยผงขี้เถา้ และทรงสวมซึง่ มณุ ฑะมาลา (มาลัยหวั กะโหลก) เม่ือพระนารท
มุนีได้เพ่งพินิจซ่ึงรูปองค์แห่งพระภูเตศวรเช่นนี้แล้ว จึงกล่าวถามกับพระอัมพิกาว่า เหตุใดพระศังกร จึงทรง
สวมมาลัยหัวกะโหลก และกะโหลกเหล่าน้ันเป็นของผู้ใด? เม่ือได้สดับฟังคาถามน้ัน พระอุมาเองก็ทรงบังเกิด
ความสงสัยข้ึนเช่นกัน พระเทวีจึงทรงตรัสตอบพระเทวรรษีไปว่า เร่ืองนี้พระนางจักทรงทูลถามพระสวามีเอง
ขอทา่ นจงรอกาลอันเหมาะสมก่อน เม่อื ไดร้ ับคาตอบจากพระเทวแี ลว้ พระนารทมุนจี ึงกราบทลู ลา

พระไหมวตี ทรงรอคอยการออกจากสมาธิของพระสวามีอยเู่ นิ่นนาน เมื่อพระคิรีศะทรงออกจากสมาธิ
แล้ว พระคิรีชาจึงทรงตรัสทูลถามพระสวามีถึงมุณฑมาลา พระภูตนาถจึงทรงตรัสตอบข้อสงสยั ของพระเทวีวา่
อนั กะโหลกเหล่าน้เี ป็น กะโหลกของพระนางเองในชาติกาเนิดก่อนๆ หลังจากพระนางละทง้ิ ซงึ่ รา่ งนั้นๆ ไปแล้ว
องค์พระหระเองทรงโทมนัสย่ิง จึงนากะโหลกเหล่านั้นมาร้อยเป็นมาลัยคล้องพระศอ พระไศลนันทินีเมื่อได้
สดบั ฟังเชน่ นั้นกต็ กพระทยั ยิง่ ทพี่ ระองคเ์ องก็ทรงอยู่ภายใต้วฏั สงสาร จึงตรสั ถามวา่ เหตไุ ฉนองคพ์ ระสวามีเอง
จึงไมต่ กอยู่ภายใตว้ ัฏสงสาร และจักทาอย่างไรเพือ่ ใหห้ ลุดพ้นจากวฏั สงสาร

พระศังกรจึงตรัสว่า ด้วยพระองค์น้ันรู้ความลับแห่งการเป็นอมตะ ซ่ึงพระองค์จักถ่ายทอดให้แก่พระ
นาง ซึ่งจะมีผู้ใดอ่ืนร่วงรู้ไม่ได้ บัดน้ัน พระมหารุทระจึงเขย่ากลองฑมรุ (กลองบัณเฑาะว์) เพื่อให้สรรพชีวิตใน
บริเวณใกลเ้ คียงหลบหนีไปจากบริเวณนั้น และเร่มิ ถ่ายทอดพรหมญานนั้นแก่พระคริ ีตนยา หากแตเ่ มอ่ื สดับฟัง
ความรู้ทพิ ยน์ ั้นไปได้ช่วงหนึ่ง พระเทวีก็บงั เกิดงว่ งหงาวหาวนอนข้ึน และเผลอบรรทมไป ซ่ึงในแตล่ ะชว่ งท่ีพระ
ศิวะถ่ายทอดความรู้ทิพยุน้ีแก่พระเทวี พระเทวีจะทรงทาเสียง อืม! เพ่ือให้พระศังกรผู้สวามีร่วงรู้ว่า ตนน้ันฟัง
อยู่ (พระศิวะทรงถ่ายทอดวิชาในขณะท่ีพระองค์เองทรงหลับพระเนตรอยู่) ปรากฏว่ามีนกแก้วสร้างรังอยู่ใน
บริเวณนั้น และไม่ได้หวาดกลัวในเสียงกลองบัณเฑาะว์ อันเป็นสัญญาณเตือนจากพระรุทระ นกแก้วตนนั้นจึง
ได้ฟังทิพยวิชาน้ัน และได้ลอกเลียนเสียงพระเทวีอีกต่างหาก นกแก้วตนนั้นจึงส่งเสียงตอบโต้แทนพระเทวี แม้
พระเทวีจะทรงบรรทมหลับใหลอยู่ ภายหลังพระปศุปติทรงทราบว่า เสียงนั้นไม่ได้มาจากพระนางศิวา จึงทรง
พิโรธโกรธา ตามไล่ล่าส่ิงมีชีวิตน้ัน เม่ือนกแก้วรู้ว่ามีภัยแก่ตนก็บนิ หนีไปจากไกลาส นกแก้วตนน้ันได้บินหนจี น
มาถึงอาศรมพระฤๅษีเวทวยาส และเข้าไปหลบซ่อนในครรภ์ของนางวติกา ผ่านปากของนาง ในขณะที่นาง
กาลงั หาว

เมื่อพระศิวะทรงเสด็จมาถึง พระฤๅษีวยาสได้เข้ามาเกล้ียกล่อมพระองค์ โดยให้เหตุผลว่า นกแก้วนั้น
ได้รับฟังพรหมวิทยาน้ันแล้ว นกแก้วตนน้ันก็ย่อมเป็นอมตะ เหมือนราหูที่ได้รับน้าอมฤต พระอศุโตษเม่ือได้
สดบั ฟงั เช่นนัน้ แลว้ จึงอนั ตรธานหายไป

นกแก้วตนน้ันหลบซ่อนในครรภ์นางวติกา เป็นเวลา 12 ปี ไม่ยอมออกมา เพราะกลัวมายาจาก
ภายนอก พระฤๅษวี ยาสจึงอาราธนาถึงพระกฤษณะใหช้ ่วยเหลือ พระกฤษณะจึงปรากฏขึ้นและตรสั กลา่ วเกลี้ย
กล่อม ให้ศกุ เทวะนัน้ ออกมาจากครรภ์ และให้คาม่นั สัญญาว่า ศกุ เทพจะปลอดภัยจากอทิ ธพิ ลของโลกวัตถุ

ศุกะจึงออกมาจากครรภ์ของนางวติกา ต่อมาพระมหรรษิ เวทวยาส , พระคุรุพฤหัสปติ และท้าวชนก
ไดท้ าหน้าทใ่ี นการเป็นครุ แุ ก่ ศุกะสวามี

พระศุกพรหม มหรรษิ ท่านน้ันครองเพศพรหมจรรย์ และเป็นสันยาสี ท่านเชี่ยวชาญในพระเวท และ
ปุราณะเปน็ อยา่ งย่ิง ทา่ นได้แสดงศรมี ทั ภาควตะ มหาปรุ าณะ (श्रीमद्भागवि महािुराण / ஸ்ரீமத்
பாகவே மகாபுோணம் / Srimad bhagavata Mahapurana) ต่อกษัตริย์ปรีกษิต (िरीक्तक्षि
/ பாீக்ஷித் / Parikshit) เปน็ เวลา 7 วนั ก่อนท้าวเธอจะสวรรคตโดยตักษนาค ตามคาสาปของฤๅษีกุมาร
ศฤงคี (ऋक्तषकु मार शृंगी / சிருங்கி ாிஷி குமாேர் / Shringi Rishikumara) ผู้บุตรของ
ฤๅษีศมีกะ (शमीक ऋक्तष / சமீக ாிஷி) ซึ่งมาจากการท่ีท้าวปรีกษิต ได้ทาการดูหมิ่นฤๅษีศมีกะ
ในขณะทาการสมาธิโดยนางูมาไว้บนคอพระฤาษี ซง่ึ มาจากอิทธิพลของกลี เม่ือฤๅษีกุมาร ศฤงคีรู้เข้า จงึ เอ่ยคา
สาปให้ท้าวปรีกษิตถูกนาคราชตักษะ (नागराज िक्ष / நாகோஜ ேக்ஷகன் / Nagaraja
Taksha) กัดถึงแก่การม้วยมรณาภายในเจ็ดวัน เมื่อพระปรีกษิตทราบรวามจึงสละราชสมบัติ และกระทาปรา
โยปเวศนะ (रार्ोिवेशन / பிோதயாபதவசனம் / Prayopaveshana (การถือพรตอด
อาหารตลอดชีวิต) ณ ริมฝั่งแม่น้าคงคา ซ่ึงมีผู้เข้ามาประชุมกันอย่างมากมาย ณ ที่แห่งนั้น ซึ่งพระศุก มหรรษิ
ได้มาพบกับท้าวเธอและแสดง ศรีมัทภาควตัม อันเป็นเรื่องราวของพระเป็นเจ้าภควาน ศรีกฤษณะ อย่าง
ละเอียด ณ ที่ประชุมแห่งนั้นเป็นเวลาเจ็ดวัน เม่ือท้าวเธอสวรรคตด้วยพญาตักษะนาค ท้าวเธอจึงบรรจุมุกติ
จากการฟังเรอื่ ราวของพระเปน็ เจา้ ก่อนถึงการม้วยมรณา

ในส่วนของรูปลกั ษณะของท่าน กล่าวว่า ท่านปรากฏในรูปของชายหนุม่ นุ่งลมห่มฟ้า (เปลือยกาย) มี
ฉวีวรรณสีคลา้ ส่วนทางอินเดยี ใต้นัน้ โดดเด่นยิ่งด้วยเชื่อกันว่า ทา่ นมเี ศียรเป็นนกแก้วตามชื่อ และเหตแุ ห่งการ
กาเนิดของทา่ น

กปปุไฑยะ นายะกิ อมั มนั

กปปไุ ฑยะ นายะกิ อมั มัน (பகாப்புனடய நாயகி அம்மன் / Koppudaiya Nayagi
Amman) หรือกปปุไฑ อัมมัน (பகாப்புனட அம்மன் / Koppudai Amman) ทรงเป็นเจ้าแม่
แห่งเมืองกาไรก์กุฏิ (கானேக்குடி / Karaikudi) ในเขตอาเภอศิวกังไก (சிவகங்னக /
Sivagangai) ของรฐั ตมิฬนาฑุ (ேமிழ் நாடு / Tamil Nadu) ทางตอนใตข้ องอนิ เดยี

กาไรก์กุฏิ ถือเป็นหน่ึงในเมืองหลักของนครัตตาร (நகேத்ோர் / Nagaratthar) หรือนาฏุก์โกฏ
ไฑ เชฏฏิยาร (நாட்டுக்தகாட்னட பசட்டியார் / Nattukottai Chettiyaar) อันเป็น
วรรณะพ่อค้าในสังคมตมฬิ เกา่ แก่ในเขตเชฏฏินาฑุ (பசட்டிநாடு / Chettinadu)

ตานานพน้ื บา้ นอนั พสิ ดารของเจ้าแม่มปี รากฏดงั น้ี
ในโบราณกาลขณะท่ีกาไรก์กุฏิและพ้ืนท่ีโดยรอบยังเป็นป่าเขาอยู่ มีสองพ่ีน้องยักษีอาศัยสถิตอยู่ในป่า
ทึบน้ี สองพน่ี ้องยกั ษนี ีค้ ืออดีตของกปปุไฏ อัมมัน (பகாப்புனட அம்மன் / Koppudai Amman)
และกาฏฏมั มัน (காடடம்மன் / Kattamman)

สองพ่นี อ้ งยักษณิ ีนี้นัน้ รกั กนั มาก แตเ่ มอื่ ยกั ษผี ูพ้ ี่ หรือกาฏฏัมมาได้ใหก้ าเนดิ บุตรถงึ 7 ตน เรอ่ื งจงึ มีข้ึน
ด้วยเหตุยักษิณีผู้น้องผู้ไม่มีโชคนั้นรักบุตรท้ัง 7 ของผู้พ่ีมาก รักเปรียบดังลูกในอุทรตนเลยทีเดียว นางมักไปหา
พี่สาวและหลานๆ พรอ้ มดว้ ยอาหารท่ีหาและปรุงเองกบั มอื ซงึ่ ทาให้ยกั ษผี ู้พน่ี ั้นเริ่มไม่พอใจ ด้วยนางคิดว่า การ
ท่ีผู้หญิงผู้ไร้โชค ผู้มีดวงตากระหายในความเป็นมารดาน้ัน หากมองชมบุตรของตนด้วยความกระหายน้ันถือ
เป็นอัปมงคลแก่บุตรของตน (ในความเชื่ออินเดียโบราณ ผู้ไม่มีบุตรหลานสืบสกุลถือเป็นผู้มีบาป) นางจึงนา
บตุ รทั้งเจ็ดของตนไปซ่อน เม่ือยักษผี ู้น้องมาไม่พบหลานๆ และทราบความทีเ่ กิดข้นึ ก็โกรธเคืองเดือดดาลเป็น
อย่างยิง่ จงึ สาปบตุ รทง้ั เจ็ดของผู้พ่ีให้กลายเปน็ กอ้ นหินไป

ด้วยความโกรธนางได้จากพ่ีสาวไป เมื่อนางได้ตระหนักถึงการกระทาผิดของตนต่อพี่สาวและหลานๆ
นางจงึ บาเพญ็ ตบะอย่างแรงกล้าเพ่ือไถ่บาปนัน้ ต่อมานางไดต้ ื่นรู้ในตนเอง และไดก้ ลายเปน็ เทวี สถานท่ซี ง่ึ นาง
บาเพญ็ ตบะนัน้ ต่อมาได้ถูกถางกลายเปน็ เมืองนาม กาไรกก์ ฏุ ิ ในปจั จบุ ันนีเ้ อง

ณ เทวสถานแห่งนี้มีความพิเศษ และแปลกจากท่ีอ่ืน โดยรูปเคารพของเทวประทานในเทวสถาน และ
องค์เทวปฏิมาในการประกอบพิธีเฉลิมฉลองนั้นเป็นองค์เดียวกัน คือ เป็นเทวปฏิมาปัญจโลหะ มีรูปเป็นพระ
เทวีในอุคระรูป ทรงประทับยืนส่ีกร ทรงชวาละเกศะ (มีพระเกศาดังเปลวเพลิง) ท้ังสี่พระกรทรงไว้ซึ่งอภย
หสั ตะมุทรา (การใหก้ ารคุม้ ครอง) , ตรี , บว่ งบาศ และกปาละ

อีกทั้งองค์พระวิคระหะ (รูปเคารพอันเป็นดังร่างกายของเทพ) น้ันยังหันพระพักตร์ไปทางทิศ
ตะวันออก ซงึ่ ต่างจากอุคระเทวตาองคอ์ ่ืนท่ีมกั หนั พระพักตร์ไปทางทศิ เหนือ

พระศรีพนศงั กรี

พระศรีพนศังกรี (ಶ್ರೀ ಬನಶಂಕರಿ / श्रीबनशंकरी / Shree Banashankari) หรือที่รู้จักกันใน
นาม ศากัมภรี (ಶಾಕಂಭರಿ / शाकम्प्भरी / Shakambhari) ทรงเป็นรูปหน่ึงของพระศรีทุรคา (ಶ್ರೀ
ದುರ್ಾಾ / श्री दगु ाप / Shree Durga) ในฐานะเทวีแหง่ พชื ผัก และธัญญาหารท้ังปวง

อันนาม พนศังกรี น้ีมาจากคาในภาษาสันสกฤตสองคาคือ วนะ (वन / Vana) อันหมายถึงป่า และ
ศังกรี (शंकरी / Shankari) หมายถึง ชายาในองค์พระศังกร วนศังกรี (ವನಶಂಕರಿ / वनशंकरी /
Vanashankari) จงึ หมายถงึ พระศงั กรผี ู้พานักในพงไพร หรอื พระศังกรแี หง่ พงไพร

ในนาม พนศงั กรี เทวสถานอันมีชื่อเสียงของพระนางอยู่ในเมืองพาทามิ (ಬಾದಾಮ / Badami) รัฐ
กรรนาฏกะ (ಕನಾಾಟಕ / Karnataka) ทางตอนใต้ของอินเดีย ซ่ึงเทวสถานแห่งนสี้ รา้ งโดยกษัตริย์แห่งแคว้น
จาลุกยะ ต้ังแตค่ รสิ ตศ์ ตวรรษทีเ่ จด็

ตานานของพระนางมีปรากฏในคัมภีร์เทวีภควตปุราณะ โดยกล่าวถึงแทตย์นาม ทุรคมะ (ದುರ್ಾಮ್
/ दगु पम / Durgama) หรือทุรคมาสุระ (ದುರ್ಾಮಾಸುರ / दगु पमासुर / Durgamasura) ซึ่งได้กระทา
การบาเพ็ญตบะถึงพระพรหมาจนเปน็ เวลาเนิ่นนาน จนทาใหท้ ว่ั ทงั้ พิภพร้อนด้วยเดชแหง่ ตบะของทุรคมะ ร้อน
ถึงพระพรหมาต้องเสด็จลงมาปรากฏเบ้ืองหน้าทุรคมะ เพื่ออานวยพรตามท่ีมันประสงค์ เมื่อพระวิธาดาตรัส
ถามถงึ สิง่ ทท่ี ุรคมะประสงค์ ทรุ คมะจึงตรสั ขอพระเวททง้ั ส่จี ากพระปติ ามหะ

พระทรงหงส์จึงต้องจาพระทยั ให้พระเวทท้ังสแ่ี ก่ทุรคมาสุระครอบครองตามท่ีมันประสงค์ เมื่อทุรคมา
สุระได้ครอบครองพระเวทก็นาพระเวทน้ันไปใช้ในทางที่ผิด และยังใช้ให้พระเวทรวบรวมความรู้จากพระเวท
เองกลบั คืนมาสตู่ น ทาใหเ้ หล่าฤๅษี มนุ ีพราหมณ์ และบัณฑิตท้ังหลายตา่ งลมื เลือนบทมนตร์ และคาสอนในพระ
เวท ทาใหก้ ารบชู า การทาพธิ ยี ัชญะต่างๆ หยุดลง เมื่อเหล่าทวยเทพมไิ ด้เคร่ืองสักการะจากพธิ ียชั ญะ กห็ ลงลืม
หน้าท่ีของตน และหมดพลกาลังลง ซ่ึงทาให้ไม่มีผู้ใดดลบันดาลฝน และความอุดมสมบูรณ์แก่พ้ืนพิภพ ทาให้
เกิดความแห้งแล้งข้ึนในพื้นพิภพ เหล่าสรรพชีวิตต่างอดยากหิวโหย ป่วยและล้มตาย จากความอดยากนั้น
เดือดร้อนถึงเหล่าทวยเทพ เหล่ามหาฤๅษี รวมทั้งมหาเทพทั้งสาม ต้องอาราธนาถึงพระอาทิศักติ ให้ช่วยเหลือ
ขจดั ความแหง้ แลง้ ความอดยากนีไ้ ป

พระกรุณามยี เม่ือทราบถึงความวิบัติของตรีโลก อันเกิดจากทุรคมะ จึงแบ่งภาคปรากฏเป็นสองรูป
รูปแรก คือ พระศตากษี (ಶತಾಕ್ಷಿ / शिाक्षी / Shatakshi) พระเทวีผู้มีดวงเนตรนับร้อยดวงบนพระวรกาย
เมื่อทรงแลเห็น ความแห้งแล้ง ความหิวโหย สรรพสัตว์ต่างเจ็บป่วยล้มตายจากความหิวโหย ทรงบังเกิดความ
เวทนาสงสารแกเ่ หล่าสรรพชีวติ น้ัน พลนั น้าพระเนตรก็ไหลรนิ จากพระเนตรนบั ร้อยน้ันลงสู่พน้ื พิภพ กลายเป็น
สายน้า และแหล่งน้าตา่ งๆ

อกี รปู หนงึ่ คอื พระศากัมภรี (ಶಾಕಂಭರಿ / शाकम्प्भरी / Shakambhari) พระนางผูท้ รงไว้ซึ่งพืช
พรรณธัญญาหารท้ังปวง ทรงประทานพืชผัก และธัญญาหารกลับคืนสู่พ้ืนพิภพให้เจริญงอกงาม ขจัดซ่ึงความ
อดยากท้ังปวง

ต่อมา พระอาทิศักติ ในรูปสิงหวาหินี ทุรคา พร้อมทั้งกองทัพศักติเสนา ทรงเข้าต่อกรกับ ทุรคมาสุระ
และกองทัพอสูร และทรงปราบทุรคมาสุระ พร้อมกองทัพอสูรจนส้ินซาก ทรงคืนพระเวทท้ังสี่กลับคืนสู่พระ
พรหมาเชน่ เดมิ

พระศรอี ันนะปรู ณามพา

พระศรีอันนะปูรณา เทวี (श्री अन्निूणाप दवे ी / Shree Annapoorna Devi) หรืออันนะปูรณาม
พา (श्री अन्निूणापम्प्बा / Shree Annapoornamba) และศรี อันนปูรเณศวรี (श्री अन्निूणेश्वरी /
Shree Annapoorneshwari) ก็เรียก ทรงถือเป็นรูปหนึ่งของพระปารวตี ทรงเป็นรูปแห่งเทวีแห่งความอุดม
สมบรู ณ์ ในโภชนาท้งั ปวง

โดยพระนามของพระนางมาจากคาสันสกฤตสองคาคือ อันนะ (अन्न / Anna) หมายถึงอาหาร และ
ปรู ณะ (िूणप / Poorna) หมายถงึ สมบูรณ์ , บริบรู ณ์ อันนะปรู ณา (अन्निूणाप / Annapoorna) จึงหมายถึง
พระนางผบู้ รบิ รู ณ์ด้วยอาหาร

เทวสถานอันมีช่ือเสียงที่สุดของพระนางต้ังอยู่ในเมืองกาศี (काशी / Kashi) หรือวาราณสี
(वाराणसी / Varanasi) อันเก่ียวขอ้ งกบั ตานานการปรากฏรูปของพระนาง

ตานานกล่าวถึง พระศิวะ และพระปารวตี ทรงตรัสสนทนากันถึง โลกวัตถุ พระศิวะทรงตรัสว่า ทุกส่ิง
สรรพล้วนเป็นมายาแม้แต่อาหาร และพระนางเอง เมื่อพระปรรวตะนันทินี ทรงได้สดับฟังความเช่นน้ันก็ทรง
กริ้ว และทรงมิเหน็ ดว้ ยกับพระดารขิ องพระศัมภู วา่ อาหารนน้ั เปน็ เพียงมายา และเป็นสิ่งไม่มีค่าอะไร

พระศามภวี จึงทรงมีพระดาริจะแสดงให้พระศัมภูเห็นถึงคุณของอาหาร จึงทรงอันตรธานหายไป
พร้อมกับธัญญาหารทง้ั ปวงในพภิ พ

สิ่งท่ีบังเกิดข้ึนจึงสร้างความเดือดร้อนแก่สรรพสัตว์ท้ังปวงในพิภพ และยังร้อนถึงเหล่าทวยเทพท่ีคอย
ดูแลความเปน็ ไปในพิภพ และเป็นผู้รับเคร่อื งบัดพลอี นั ไดแ้ กธ่ ัญญาหารตา่ งๆ จากพธิ ยี ัชญะอีกด้วย

เหล่าเทพดา พร้อมท้ังเหล่านักสิทธิ์ และมุนีฤๅษีทั้งหลาย จึงต่างพากันอาราธนาถึง พระมหาศักติ ให้
ทรงขจัดซ่ึงความแห้งแล้ง ความขาดแคลนและความหิวโหยท้ังปวง พระกรุณมยีอัมพิกา เม่ือทรงสดับฟังคา
อาราธนา และแลเห็นถึงความเดือดร้อนของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งปวงซ่ึงเป็นดังลูกๆ ของพระนางแล้ว จึงทรง
ปรากฏองค์ในรูปแห่งเทวี ผู้ทรงเป่ียมด้วยความกรุณาสูงสุด ในพระหัตถ์หนึ่งทรงหม้อซึ่งพอกพูนด้วย
ธัญญาหารท้ังปวงหาท่ีส้ินสุดมิได้ และอีกหัตถ์หน่ึงทรงช้อนเพ่ือการแจกจ่ายธัญญาหารจากหม้อให้แก่สรรพ
ชีวติ ท้ังปวง

พระมารดาผู้เปี่ยมด้วยธัญญาหารทั้งปวง ทรงปรากฏองค์ขึ้นในวันศุกลปักษ์ ตฤตียา ไวสาขมาส
(शुक्लिक्ष िृिीर्ा वैशाख मास / Shuklapaksha Tritiya Vaishakha Masa) หรือขึ้น 3 ค่า เดือน

2 ตามปฏิทินจันทรคติฮินดู อันเป็นวันอักษยะ ตฤตียา (अक्षर्िृिीर्ा / Akshaya Tritiya) ณ เมืองกาสี
อันเป็นมหาปุณยภูมิ เมืองกาสีจึงกลายเป็นเมืองแห่งความอุดสมบูรณ์ จากการปรากฏองค์แห่งพระอันนะปู
รณามพา

เมื่อพระอันนะปูรเณศวรี ปรากฏองค์ขึ้นที่กาสี พระภวะ ผู้ทรงทนทุกข์จากการอันตรธานหายไปของ
องค์พระภวานี และความเดอื ดร้อนของทกุ สรรพชีวติ อกี ท้ังตระหนักถึง ความสาคญั ในองคพ์ ระมหามายา และ
อาหารแล้ว เมื่อทรงทราบว่าพระภวาณีทรงปรากฏรูปอันนปูรเณศวรี ท่ีมหาปุณยนคร กาสี จึงทรงไปปรากฏ
รูปเป็นโยคี พรอ้ มกับชามในพระหัตถ์ เดินทางไปหาพระอันนปรู ณา เพอื่ ขออาหารจากพระนางให้แก่สรรพชีวิต
ทั้งปวง และรับพระนางกลับไปประทับร่วมกัน ณ ขุนเขาไกลาสตามเดิม เม่ือการละเล่นของพระเทวีบรรลุผล
แลว้ พระเทวจี ึงประทานความอดุ มสมบูรณ์แก่พ้นื พิภพ และรวมเป็นหนง่ึ กบั พระศวิ ะอกี ครา

ท่ีวาราณสี พระนางทรงประทับในนามอันนปูรณา หรือวิศาลากษี และพระศิวะทรงประทับสถิตใน
นาม วิศวนาถ ซ่ึงชโยตลิ ึงค์ วศิ วนาถ ถอื เป็นเทวสถานอันศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ย่งิ ในวาราณสี

มธรุ ะ กาลอิ มั มัน

มธุระ กาลิอัมมัน (மதுேகாைியம்மன் / Madura Kali Amman) ทรงเป็นส่ิงศักด์ิสิทธิ์
ประจาหมู่บ้านศิรุวาจจูร (சிறுவாச்சூர் / Siruvacchur) เช่ือกันว่า พระนางทรงเป็นหน่ึงเดียวกับ
กณั ณะกิ (கண்ணகி / Kannagi) ผูส้ าปแชง่ มทไุ รใหเ้ ป็นเถา้ ถ่าน

ตานานท้องถิ่นกล่าวถึงหลังจากกัณณะกิได้เผามทุไรด้วยคาสาปแช่ง ด้วยความโกรธในการตายอย่าง
ไม่เป็นธรรมของโกวลันผู้พัสดาแล้ว นางได้เร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ เพ่ือหาที่สงบในการบาเพ็ญตน เพื่อการบรรลุ
หลุดพ้นจากความทุกข์โศก และความอาฆาตแค้นท้ังปวง จนมาถึงหมู่บ้านศิรุวาจจูร นางได้เลือกวัดของ
เศลลิยัมมัน (பசல்லியம்மன் / Chelliyamman) ในหมู่บ้านเป็นท่ีพักพิง ในคืนน้ันเอง เศลลิยัมมัน
ไดป้ รากฏองค์มาพบนาง และขอให้นางรบี ออกไปจากหมบู่ า้ นเสีย

กัณณะกิแปลกใจกับเศลลิยัมมัน และกล่าวตอบโต้เศลลยิ มั มันไปว่า ท่านเป็นเจ้าแม่ผ้คู ุ้มครองหมบู่ า้ น
แห่งนี้ ทา่ นควรคมุ้ ครองเรา เหตุไฉนจึงไล่เราไปเสยี

เศลลยิ ัมมันจงึ ทรงตรัสตอบ กลา่ วถึงตานตริกะ (ผู้บาเพ็ญตันตระ) ผ้มู วี ิชาอาคมตันตระ ได้กระทาการ
บูชาต่อพระนางด้วยวิชาตันตระน้ัน จนพระนางพึงพอพระทัยจนตกอยู่ภายใต้อาคมของตานตริกะนั้น และ
กลายเปน็ เครือ่ งมือในการตอบสนองผลประโยชน์ท้งั ปวงแก่ตานตรกิ ะนน้ั ไม่วา่ จะเป็นสิง่ ท่ีดี หรือไม่ดี

กัณณกิรู้สึกเวทนากับส่ิงท่ีเกิดขึ้นกับเจ้าแม่ผู้พิทักษ์หมู่บ้านแห่งนี้ และให้คาม่ันว่าจะช่วยเศลลิยัมมัน
จากอาคมของตานตริกะ

กัณณะกิจึงวางแผนสังหารตานตริกะน้ัน จึงอาราธนาถึงพระมหากาลี ผู้เป็นกุลเทวตา (เทพประจา
ตระกูล) ของเธอ เพื่อประทานการช่วยเหลือ พระมหากาลีจึงประทานการต่ืนรู้ให้แก่กัณณะกิ และรวมเข้าเปน็
หนึง่ เดยี วกบั พลังอานาจอันศกั ดิ์สิทธ์ิในองคพ์ ระกาลี

ในยามดกึ ของราตรนี ัน้ เอง ตานตริกะได้เขา้ มาทาพิธสี ักการะต่อเศลลยิ ัมมัน เมอ่ื ตานตรกิ ะร้องเรียกให้
อัมมันปรากฏองค์ข้ึนเบ้ืองหน้าตน เจ้าแม่กัณณะกิจึงปรากฏขึ้นด้วยความโกรธา พร้อมอาวุธในพระกรสังหาร
ซ่งึ ตานตรกิ ะ และปลดปลอ่ ยเศลลิยมั มัน จากพนั ธะทมี่ ีต่อตานตริกะนน้ั

เจา้ แมเ่ ศลลิ ทรงซาบซงึ้ พระทัยในการช่วยเหลือของปดิวรัดา เทวีจึงอาราธนาให้กัณณกิ อมั มนั ผูเ้ ป็น
เทวีแห่งปดิวรัดา ประทับในหมู่บ้านนใ้ี นฐานะเทพผู้คุ้มครองหมู่บ้านในนามมธุระ กาลี จักมิมีพลังอานาจมืดใด
เขา้ มายังหมูบ่ ้านไดภ้ ายใต้อานาจแหง่ มธรุ ะ กาลิอมั มัน ส่วนพระนางเองขอไปประทบั สถิตยังป่าเขาในเปริยะซา
มิมะไล (பபாியசாமி மனை / Periyasami Malai) โดยเศลลิยัมมันให้คามั่นแก่มธุระกาลิยัมมันว่า
หากมธรุ ะ กาลิยัมมันปรารถนาจะพบพระนาง สามารถไปพบพระนางได้ทุกเมื่อ

เทวสถานตริ ุวาจจรู มธรุ ะ กาลยิ ัมมัน ถอื วา่ มีความพิเศษ และแปลกเป็นอย่างยง่ิ เพราะเทวสถานแห่ง
น้จี ะเปดิ ให้เข้าสกั การะได้ทุกวนั จันทร์ และวันศกุ ร์เท่านนั้ เชือ่ ว่าในวันอ่ืน มธุระ กาลอิ ัมมันจักเสดจ็ ไประทับยัง
เขาเปรยิ ะซามิ กบั เศลลยิ มั มนั ผเู้ ป็นดไิ วน์ เฟรนด์

จักกุลัตตมั มะ

จักกุลัตตุกาวุ ภควตี (ചക്കുളത്തുകാവ് ഭഗവതി / Chakkulatthukavu
Bhagavati) หรือจักกุลัตตัมมะ (ചക്കുളത്തമ്മ / Chakkulatthamma) ทรงเป็นเทวีแห่งเมือง
จักกุลัตตุกาวุ ในเกรละ พระนางได้รับการบูชาในฐานะเป็นรูปหนึ่งของพระศรีวนทุรคา (ശ്രീ
വനദുർഗാ / श्री वनदगु ाप / Shree Vanadurga) และได้รับการบูชาในฐานะศุมภะ - นิศุมภะ
สังหาริณี (शमु्प्भ - क्तनशमु्प्भ सहं ाररणी / Shumbha - Nishumbha Samharini)

ตานานของปุณยสถาน กล่าวถึงนายพราน และภรรยา ซึ่งเข้าไปเก็บฟืนในป่า นายพรานพบเข้ากับ
อสรพิษ จงึ พยายามป้องกันตัวเองดว้ ยการจามขวานไปยังอสรพษิ แต่กไ็ ม่ถูกงตู นน้นั นายพรานกลัวงจู ะอาฆาต
และตามมาทาร้ายจึงตามงูไปหวังจะปลิดชีพพญางูให้ได้ นายพรานตามมาถึงจอมปลวก ซ่ึงพญางูได้อาศัยอยู่
นายพรานจึงจามลงไปท่ีจอมปลวกน้ัน เม่ือจอมปลวกนั้นผังทลายลง ปรากฏรูปเคารพของพระอัมพิกาขึ้น
พร้อมทั้งมีน้าที่เหนียวข้นดังน้าผ้ึง และน้าท่ีมีสีขาวดังน้านมผุดขึ้นโดยรอบ บัดน้ันปราชญ์ผู้หน่ึงจึงปรากฏขึ้น
(กล่าวว่า เป็นเทวรรษี นารทจาแลงตนมา) กล่าวแก่นายพราน และภรรยาผู้กาลังสบั สนในส่ิงท่ีเกิดข้ึนว่า รูป
เคารพท่ีปรากฏขึ้นเบ้ืองหน้าน้ันคือ พระวนทุรคา (พระทุรคาผู้พิทักษ์คั้มครองผืนป่า) และได้ทาการสถาปนา
พร้อมทั้งประกอบพิธีบูชาพระเทวี ณ ท่ีแห่งน้ัน ต่อมาชาวบ้านได้ยินเรื่องราวดังกล่าว จึงถางป่าสร้างศาลให้
พระนางขนึ้ โดยเรยี กขานทแี่ ห่งนวี้ า่ จกั กลุ ัตตกุ าวุ อนั มาจากนา้ ท่ขี ้นดังนา้ ตาลเชือ่ มท่ีผุดมาจากจอมปลวก

วัดน้ียังเป็นวัดระดับท้องถิ่นไร้ช่ืออยู่นานจนกระท้ังปี ค.ศ.1981 ได้มีการบูรณะวัดคร้ังใหญ่ มีการ
ประดษิ ฐานรูปเคารพของ พระวนทรุ คา แปดกร , ศวิ ลึงค์ , พระคณปติ , อัยยปั ปัน , พระสุพรหมัณยะ สวามี ,
ยักษี และนาคเทวตา จากการปรับปรงุ วดั ครั้งใหญ่นี้ วัดจึงมีช่ือเสียงและเป็นหนึง่ ในที่แสวงบญุ ของผู้ศรัทธาใน
องคพ์ ระเทวีในอินเดยี ตอนใต้

จั ก กุ ลั ต ตุ ก า วุ ป ง ก า ล ะ ( പ ക ് ക ു ള ത ് ത ി ക ാ വ ു പ ൊ ങ ് ക ാ ല /
Chakkulatthukavu Pongala) ถือเป็นเทศกาลท่ีโดดเด่นของเทวสถาน เป็นเทศกาลท่ีเหล่าสตรีจะปรุงปงกา
ละ (പൊങ്കാല / Pongala) หรือท่ีเรยี กว่าปงกลั (பபாங்கல் / Pongal) ในภาษาตมิฬ เป็น
ข้าวหุงกับนมและน้าตาลอ้อย ถือเป็นส่ิงท่ีพร ะเทวีโปรดปราน โดยจะจัดขึ้นในเดือนวฤศจิกา
(വൃശ്ചികാം / Vrishchikam) อนั เปน็ เดอื นท่ีเจ็ดตามปฏิทินจันทรคติของชาวมลยาลิ

เหล่าสตรีจะมารวมตัวกันที่เทวสถานเพ่ือปรุงปงกาละจากหม้อด้ิน โดยเหล่าสตรีที่มาร่วมน้ันมีจานวน
นบั แสนเลยทเี ดียว โดยต่อแถวกันปรุงปงกาละเป็นทางยาว นับได้ 40 กิโลเมตร ถึง 50 กิโลเมตรเลยทีเดียว

โดยเทศกาลนี้ เริ่มต้นจากตานานของครอบครัวนายพราน ซึ่งได้มาอุทิศตัวต่อพระเทวี ทุกวัน
ครอบครัวของเขาจะทาอาหาร โดยแบ่งส่วนหนึ่งสาหรับทานเอง และส่วนหนึ่งถวายแด่พระเทวีในหม้อดิน แต่
มีวันหนึ่งท่ีครอบครัวนายพรานออกไปหาฟืนในป่า และกลับมาทาอาหารไม่ทัน นายพรานเศร้าโศกเสียใจมาก
ท่ีไม่ได้ถวายเครื่องบัดพลีแก่พระเทวีในวันนน้ั เขาจึงไปก้มกราบขออภัยจากพระเทวี และรีบเตรียมปรุงอาหาร
มาถวาย แต่เมอ่ื กลับมาถวาย ปรากฏว่าเบอื้ งหน้ากลับเต็มไปด้วยอาหารทปี่ รุงเรยี บร้อยแลว้ ในหม้อดินอยู่เบื้อง
หน้า บัดนั้นนายพรานจงึ ตระหนกั ว่า นี้คือปาฏิหาริยข์ องพระเทวี พระเทวีจึงมาปรากฏในรูปแบบสรุ เสยี ง ทรง
ตรัสถึง ความพงึ พอพระทัยในการอุทิศตนของครอบครวั นายพราน บัดนเ้ี ราไดเ้ ตรยี มอาหารไว้เพ่ือพวกเจ้าแล้ว
เจ้าจงนาอาหารนี้ไปทานและพักผ่อนเทอญ ซึ่งการปรุงปงกาละถวายก็เพ่ืระลึกถึงความเมตตาของพระเทวที ม่ี ี
ต่อเหล่าสาวก และเพ่อื ใหพ้ ระนางพึงพอพระทยั นัน้ เอง

ครรภะรกั ษามพกิ า

ครรภะรักษามพิกา (गभपरक्षाक्तम्प्बका / Garbharakshambika) หรือกรรป์ปะรักษามพิไก และ
กรรป์ปะรัฏศามพิไก (க ர் ப் ப ே க்ஷ ா ம் ப ி ன க / க ர் ப் ப ே ட் ச ா ம் ப ி ன க –
Karpparakshambigai / Karpparatchambigai) ในสาเนียงภาษาตมิฬ ทรงเป็นเทวผี ้รู กั ษาผดุงครรภ์ ปกป้อง
ทารก และมารดา สถานท่ี สักการะพระนางต้ังอยู่ในเทวสถาน ศรี มุลไลวนะ นาถัร ( ஸ்ரீ
முல்னைவனநாேர் ேிருக்தகாயில் / Shree Mullaivananadhar Temple) ตั้งอยู่ใน
เมืองติรุกรุกาวูร (ேிருக்கருகாவூர் / Thirukarukavoor) ในเขตตัญจาวูร (ேஞ்சாவூர் /
Thanjavoor) รัฐตมฬิ นาฑุ อนิ เดียตอนใต้

ตานานของพระอัมพิกาในเทวสถาน กล่าวถึงพราหมณีนามเวทิกา (वेददका / Vedika)
(தவேினக / Vedikai / เวทไิ ก ในสาเนียงตมิฬ) และพราหมณ์นธิ รวุ ะ (क्तनध्रवु / Nidhruva) ผู้สามี ท้งั
สองอยกู่ ินกันฉันสามีภรรยานานหลายปี หากแตไ่ มม่ ีบตุ รสบื สกุล ตอ่ มาไดร้ ับคาแนะนาจากปราชญ์ให้สักการะ
ตอ่ ศรี มลุ ไลวนนาถ ซึง่ ต่อมานางก็ตั้งครรภ์

ในวนั หน่งึ พราหมณ์นิธรุวะ ตอ้ งออกไปทากิจนอกอาศรม นางเวทกิ าผกู้ าลงั ท้องแกจ่ ึงอาศยั อยเู่ พียงผู้
เดียว และกาลังพักผ่อนด้วยความเหน็ดเหนื่อยภายในอาศรม ขณะน้ันเองได้มีปราชญ์นามศรี อูรธวปาท (श्री
उधपविाद / Shree Urdhavapada) ได้มาเยือนยังอาศรม แต่ไม่มีใครออกมาต้อนรับ ถึงแม้จะตะโกนเรียก
แล้วก็ตาม ด้วยนางเวทิกากาลังหลับใหลด้วยความเหนื่อยล้า ปราชญ์อูรธวปาทแลเห็นนางเวทิกาพานักอยู่
ภายในแต่ไม่ออกมาต้อนรับ จึงโกรธและสาปแช่งด่าทอนาง ด้วยแรงโกรธน้ันเวทิกาจึงเจ็บปวดครรภ์ในบัดดล
เวทกิ าร้องดิน้ ด้วยความเจบ็ ปวดแสนสาหสั เวทิการะลกึ ไดจ้ ึงภาวนาถงึ พระอัมพิกา

พระอัมพิกาสดับฟังคาเรียกร้องของนาง จึงเสด็จมาปรากฏเบ้ืองหน้านางเวทิกา และได้ทาการย้าย
ทารกในครรภม์ าไว้ในหมอ้ กลศ และทรงเกบ็ รกั ษาดูแลไวจ้ นทารกเตบิ โตจนพรอ้ มออกมาสโู่ ลกภายนอก จงึ เปิด
กลศนาทารกกาเนิดออกมา และทรงประทานให้แก่นธิ รวุ ะ และเวทกิ า

เวทิกา จึงอาราธนาพระอัมพิกาสถิตยังมุลไลวนะ (ป่ามะลิ) ในนามครรภะรักษามพิกา หมายถึง พระ
มารดาผูป้ กป้องรักษาครรภ์ และดว้ ยเหตนุ ้ีเอง สถานท่แี ห่งน้ีจึงมนี ามว่าติรุกรุกาวูร (ேிருக்கருகாவூர்
/ Thirukarukavoor) อันมาจากการปกป้องตัวอ่อนในครรภ์

ต่อมาเวทิกาผลิตนา้ นมให้กุมารไม่ทัน จึงภาวนาถึงครรภรกั ษามพิกาอีกครา พระอัมพิการับคาภาวนา
ของนาง จึงส่งแม่โคกามเธนุ (कामधेनु / காமதேனு / Kamadhenu) มาให้นมกับกุมาร โดยแม่โค
กามเธนไุ ดใ้ ช้กบี เท้าสร้างบ่อขนึ้ ในเทวสถานและให้สายนมในบ่อนั้น บ่อนา้ ศักดิ์สิทธ์ิในวดั จึงมชี ื่อวา่ กษรี กุณฑัม
(क्षीरकु ण्डम् / Ksheera Kundam) หรือปาล กุลมั (பால் குைம் / Paal Kulam) ในภาษาตมฬิ อนั
หมายถึงบ่อน้านม

สาหรับสตรีที่ปรารถนาจะมีบุตร สตรีเหล่านั้นควรทาความสะอาดแท่นบูชาของพระอัมพิกา พร้อมทั้ง
วาดโกลมั หน้าแทน่ บชู า อกี ทั้งพึงกระทาการอรรจนา และถวายฆี (เนยใส) แดพ่ ระเทวี พร้อมทงั้ สวดภาวนาถึง
พระนาง และทานฆนี น้ั เป็นเวลาสส่ี ิบแปดวัน

อศิ กั กิ อัมมัน

อิศักกิ อัมมัน (இசக்கி அம்மன் / Isakki Amman) เป็นหน่ึงในเจ้าแม่ท้องถ่ินของชาวตมิฬ
เป็นเจ้าแม่ผพู้ ิทักษค์ ุ้มครองเดก็ หรือแม่ซื้อ เช่นเดยี วกับเปริยาจจิ อมั มัน

ตานานของพระนางเก่ียวโยงกบั อัมพิกา ยกั ษี หรือกุษมาณฑินี ยกั ษี ธรรมบาลิกาของศาสนาเชน โดย
กล่าวถงึ ครง้ั ยังมชี ีวิตอยเู่ ป็นมานวีนาม อมั พกิ า อยู่กินกับสามี และบุตร วันหนง่ึ สามไี ด้จัดเตรยี มของเซ่นไหว้แก่
บรรพบุรุษ พอดีขณะนั้นได้มีสันยาสีมาภิกขาจารขออาหารที่หน้าบ้าน อัมพิกาจึงนาของท่ีเตรียมไว้เซ่นไหว้แก่
บรรพบุรุษส่วนหนึ่งมาถวายแก่สันยาสี ทางด้านสามีพอรู้เข้าจึงโกรธกระทาการอเปหินาง และบุตรออกจาก
บา้ น อมั พิกาและบุตรจึงไปอาศยั อย่ใู นป่าเขา ต่อมาทางดา้ นฝ่ายสามตี ระหนักถงึ ความผิดพลาดน้ี จึงจะไปตาม
อมั พิกา และลกู กลบั มา แต่พออมั พิกาเห็นสามีก็คดิ ว่าจะมาทาร้ายตน จึงกระทาการอัตวินบิ าตกรรม วิญญาณ
ของนางดว้ ยยังคงติดอย่ใู นหว่ งทีป่ รารถนาเลย้ี งดูลกู ของตนจนเตบิ ใหญ่ จงึ ทาใหอ้ บุ ัตขิ ึน้ เปน็ ยักษณิ ี

(บ้างว่า อุบัติเป็นยักษีบนสรวงสวรรค์ แต่ด้วยห่วงและความปรารถนาของนาง พระอินทร์จึงเห็นใจ
ประทานอนุญาตให้นางกลับมายังพ้ืนพิภพเบ้ืองล่างได้) ชาวบ้านจึงสร้างศาลข้ึนใต้ต้นไม้แก่นาง (ชาวอินเดีย
เช่อื วา่ ยกั ษ์ และยกั ษิณีมักสถิตตามต้นไม้) และบชู าในฐานะเจ้าแม่ แม่ซ้อื ต่อมาผนวกเป็นอวตารพระกาลี หรือ
พระอุมา ซ่ึงอิศักกิ (இசக்கி / Isakki) ก็เป็นคาที่เพ้ียนมาจากอิยักกิ (இயக்கி / Iyakki) ซ่ึงเพี้ยนมา
จากคาสนั สกฤต ยักษี (र्क्षी / யட்சி / Yakshi) อีกทหี น่ึงนัน้ เอง

รูปปฏิมาของอิศักกิ อัมมัน มักปรากฏเป็นนารีประทับยืน หรือนั่ง มักมีสองถึงสี่กร ทรงตรี ในพระกร
ขวา และอุ้มกุมารในพระกรซ้าย บ้างก็ถือถ้วย มีพระพักตร์ดุดัน เนตรกลมโต มีเข้ียวออกมาจากมุมพระโอษฐ์
ทรงชวาลเกศะ (มพี ระเกศาดังเปลวเพลิง)

รูปเคารพของพระนางมักตั้งเป็นศาลใต้ไม้ใหญ่ เช่นต้นไทร และต้นโพธิ์ ซ่ึงมีโฉลมด้วยผงขมิ้นผสมน้า
และการห่มส่าหรีสีแดง สีเหลือง อีกท้ังแขวนกาไลถวาย และมีการผูกเปลและตุ๊กตาเด็ก เพ่ือการขอบุตรสืบ
สกุลของสตรีทง้ั หลายในหมบู่ า้ น บ้างก็สร้างเป็นศาลเป็นวดั ขนาดใหญ่

สามปณุ ยสถานศกั ติปีฐอันศกั ด์สิ ทิ ธ์ิของพระเทวใี นอนิ เดยี ใต้

1.พระมนี ากชี แห่งมนตริณี ปีฐะ เมืองมทไุ ร
ณ เมืองมทุไร เมืองใหญ่ลาดับสองในรัฐตมิฬนาฑุแห่งน้ี เป็นท่ีประทับของพระมาตังคี หรือ
พระมนตริณี เทวีแห่งศาสตร์ศิลป์ ในตันตระ และทรงเป็นมนตริณีแห่งศรีปุระ (นครอันศักด์ิสิทธ์ิของพระเทวี
บนขุนเขาเมรุ) บนภูโลก (โลกมนุษย์) โดยเรียกขานว่ามนตริณี ปีฐะ ในรูปนามแห่งพระศรีมีนากชี หรือมีนโลจ
นา และอังคยัรกัณณิ ในนามภาษาตมิฬ โดยตานานกล่าวว่า ทรงอวตารมาเป็นพระธิดาของพระมลยธฺวช
ปาณฑยะ และพระนางกาญจนมาลา แหง่ ราชวงศป์ าณฑยะ โดยทรงปรากฏองคจ์ ากกองกูณฑ์พิธีมหายาคะขอ
บตุ รของท้งั สอง และเม่อื เขา้ สูว่ ยั ดรณุ กี ็ไดร้ บั การอภเิ ษกสถาปนาเป็นจักรพรรดนิ ีแห่งปาณฑยะ และ ณ มธรุ าปุ
รี แห่งน้ียังเป็นที่ซึ่งประกอบพิธีอภิเษกสมรสระหว่างพระมีนากชี และพระสุนทเรศวร เป็นเรื่องราวการวิวาห์
มงคลของเทพเจ้าท่ีโด่งดังท่ีสุดในอินเดียใต้ พระศรีมีนากชีจึงได้รับการบูชาในฐานะเทวีแห่งความรัก ความสิริ
มงคล เทวีแห่งพิธีมงคลสมรส และเสาภาคย์ทั้งปวง นอกเหนือจากศาสตร์ศิลป์ และวาทศิลป์ ในฐานะภาค
อวตารของพระศยามลา หรอื มาตงั คี ซง่ึ ถือเปน็ รปู ปรากฏแห่งพทุ ธปิ ัญญาแห่งองคพ์ ระลลติ า ตรปิ รุ สนุ ทรีเอง
และในฐานะเทวแี หง่ ศาสตร์ศลิ ป์ และความรูน้ ้ีเอง จงึ เป็นองค์แทนแหง่ ชญฺ านะศักติ (พลงั แห่งความรู้)
2.พระปัทมาสนะ กามากชี แหง่ กามะโกฏิ ปีฐะ เมืองกาญจีปุรมั
ณ เมืองกาญจี เมืองในเขตปริมณฑลของเชนไน (มัทราส) ในรัฐตมฬิ นาฑซุ งึ่ ถกู เรยี กขานว่ากาศีแห่งทิศ
ทักษิณ เป็นหนึ่งในเจ็ดมหานครอันศักด์ิสิทธ์ิของศาสนาฮินดู และเป็นท่ีประทับของ พระลลิตา ตริปุรสุนทรี ผู้
ทรงเป็นจักรพรรดินีแห่งจักรวาลทั้งปวง พระผู้ทรงประทับในจินตามณีคฤหะ ในศรีปุระเหนือขุนเขาเมรุ และ
มณีทวีป บนภูโลกน้ีโดยเรียกขานว่ากามะโกฏิ ปีฐะ ในรูปนามแห่งพระศรีกามโกฏิกา กามากชี ณ มหานคร
กาญจีนี้ พระฤๅษีทุรวาสะ ได้สถาปนาอันเชญิ ศรียันตระ อันเป็นรูปจาลองมณฑลแห่งพระลลิตา ปรเมศวรี มา
สถติ ยงั ณ ภูโลก ในนามกามากชี ผใู้ ห้กาเนดิ พระกามเทพจากสายพระเนตร ด้วยพระเนตรคู่นน้ั ซ่งึ ได้สร้าง เทพ

แห่งความปรารถนาทั้งปวง จึงทรงนามกามากษี (ภาษาพูดคือ กามากชี) พระผู้ทรงมีดวงเนตรอันเปี่ยมด้วย
ความรักความเสน่หา และเติมเต็มความปรารถนาของพระสาวกด้วยดวงเนตรคู่น้ัน และกามโกฏิกา เทวีแห่ง
ความปรารถนาทั้งปวง ทาให้มหานครกาญจีแห่งน้ีเปรียบดังนาภีแห่งพ้ืนพิภพ และศรียันตระนี้ก็ได้รับการ
สถาปนาอีกคร้งั โดย พระอาทศิ งั กราจารย์

สว่ นตานานทางไศวะ กลา่ วถงึ ในฐานะพระปารวตี ผทู้ รงบาเพญ็ ตบะ และบูชาศวิ ลงึ คอ์ นั ทาจากดินอยู่
เป็นนิตย์ใต้ต้นมะม่วง เพื่อชาระล้างการกระทาผิดท่ีได้ปิดพระเนตรของพระศิวะทาให้จักรวาลทั้งปวงตกอย่ใู น
ความมืดมิดนานนับโกฏิ และชาระล้างบาปของสรรพสัตว์ทั้งหลาย จากตานานนี้ทาให้เทวสถานพระศิวะ
ประจาเมือง ทรงนามว่าเอกัมพเรศวร หรือเอกัมพรนาถ อันหมายถึงพระผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งต้นมะม่วงต้นหน่ึง
และที่กาญจเี ป็นที่เดยี วในสามศักตปิ ีฐะน้ี ทไ่ี ม่ได้ร่วมเทวสถานกบั พระศวิ ะ

และด้วยทรงได้รับการกล่าวถึงว่า ทรงเป็นมูลฐานแห่งความปรารถนาทั้งปวง และทรงตอบสนองต่อ
ทุกความปรารถนาของพระสาวก จงึ เปน็ องคแ์ ทนแหง่ อจิ ฉาศกั ติ (พลงั แหง่ ความปรารถนา)

3.พระอขลิ าณเฑศวรี แหง่ ชฺญานะ ปฐี ะ เมืองตริ ุวไนกาวลั

ณ เมืองติรุวไนกาวัล บนเกาะกลางน้ากาเวรี ศรีรังคัม ในเขตติรุจจิราปปัลลิ หรือติรุจจิ รัฐตมิฬนาฑุ
เป็นท่ีประทับของพระทัณฑนาถา หรือพระมหาวาราฮี ผู้เป็นมหาเสนานีแห่งศรีปุระ ในภูโลกโดยเรียกขานว่า
ชฺญานะ ปีฐะ ตามตานานวดั ซ่ึงเปน็ เทวสถานของไศวะนกิ าย กล่าวถงึ พระปารวตีได้ลงมาบาเพ็ญตนบชู าศิวลึงค์
จากน้าในแม่น้ากาเวรีใต้ต้นหว้า (สันสกฤตเรียก ชมฺพู) เพ่ือชาระล้างตนจากบาปที่ได้กล่าวดูถูกพระศิวะจาก
โทสะและความไม่พึงพอใจของตน พระศิวะทรงพึงพอพระทัยในการบาเพ็ญตนของพระนางและทรงปรากฏ
องค์ต่อเบ้ืองพระพักตร์แห่งพระเทวี และแสดงศิวะ ชฺญานะ (ความรู้อันศักด์ิสิทธิ์) ต่อพระเทวี ณ ท่ีแห่งน้ี
จากตานานน้ีพระศิวะจึงทรงนามชมพุเกศวร (พระผู้เป็นเจ้าแห่งต้นหว้า) และศักติปีฐะ ณ ที่แห่งน้ีจึงมีนาม
เรียกขานว่าชฺญานะ ปีฐะ องค์พระเทวีเองทรงถูกเรียกขานในนามอขิลาณเฑศวรี (พระนางผู้ทรงเป็นเจ้าแห่ง
จักรวาล) และอขิลาณฑวัลลี (พระนางผู้เปรียบดังเถาวัลย์แห่งจักรวาล) พระปฏิมาในห้องครรคฤหะทรงส่ีพระ
กร ทรงปทุมชาติ และแสดงอภัยหัสตะ (การคุ้มครอง) วรทหัสตะ (การให้พร) ดังพระลักษมี ซ่ึงในยามตกแต่ง
อลงกรณ์ด้วยกวจะมักทรงมีนกแก้วเกาะในพระหัตถ์ซ่ึงแสดงอภยหัสตะ ในส่วนอุตสวะมูรติ (องค์โลหะออก
แห่ง) ทรงมีเพียงสองกร ทรงอุบลชาติ และพระหัตถ์แนบลาตัว อันเป็นเทวปฏิมาท่ัวไปของพระปารวตี ยาม
ตกแต่งอลงกรณ์มกั ทรงมีนกแก้วเกาะบนอบุ ลชาติ

พระนางทรงเป็นตัวแทนแหง่ กรยิ าศักติ (พลงั แห่งการกระทา) และชฺญานะ ศกั ติ

นอกจากน้ี ปุณยสถานท้ังสามแห่งพระเทวไี ด้รับการบูชาในรูปแบบศรยี ันตระ ซึง่ สถาปนาโดยพระอาทิ
ศงั กราจารย์ จงึ กลา่ ววา่ เป็นสามศกั ติปีฐะท่ศี ักด์สิ ิทธิ์และมชี ่ืเสียงในรฐั ตมิฬนาฑุ และในอนิ เดียตอนใต้

พระกามากษี แหง่ ชนนวาฑะ
(Shree Kamakshi of Jonnawada)

เทวสถานศรี มัลลิการชุนะ สวามี - กามากษี ตัลลิ แห่งชนนวาฑะ ถือเป็นอีกหน่ึงปุณยสถานของชาว
เตลุคุ ตง้ั อยูใ่ นเมืองชนนวาฑะ (Jonnawada) เขตเนลลูรุ ( Nellooru , Nellore) รฐั อานธรประเทศ (Andhra
Pradesh) อนิ เดียตอนใต้

เทวตานานของเทวสถานกล่าวถึง เมื่อคร้ังพระกัศยปะ ประชาบดี (Kashyapa Prajapati) ได้มี
เจตนารมณ์ท่ีจักทาพิธียัชญะขึ้น บนขุนเขาริมฝั่งแม่น้าปินากินี หรือเปนารุ (Pinaakini Nadi / Penaaru) โดย
จัดโหมกุณฑ์ทั้งสามข้ึน พระศิวะทรงพึงพอพระทัยในพิธีมหายาคะนั้น จึงปรากฏรูปลึงค์จากกองกูณฑ์ และ
ทรงประสงคจ์ ักสถติ ในที่แหง่ นน้ั ในนาม ศรี มลั ลกิ ารชนุ ะ สวามี (Shree Mallikarjuna Swami)

ในเพลาน้ันพระปารวตี (Parvati) ทรงแปลกพระทัยต่อการอันตรธานหายไปของพระสทาศิวะ ผู้พระ
สวามีจึงเสด็จออกตามหา จนถึงปราพิธีริมฝั่งแม่น้าปินากินี ทางทักษิณทิศ จึงพบกับพระอีศวรผู้พระสวามี ใน
รูปลึงค์ และพระมัลลิการชุนะได้ทรงขอให้พระเทวปี ระทับอยู่กับพระองค์ ณ ท่ีแห่งนั้นด้วย พระเทวีจึงปรากฏ
รูปวิคระหะ (เทวปฏิมาอนั เปรียบดังร่างกาย) บนรมิ ฝั่งแมน่ า้ ปินากินี

กาลต่อมา เหลา่ ชาวประมงได้พบพระวิคระหะ แห่งพระเทวี ในแมน่ ้าเปนารุ จากการทอดแห จงึ นามา
ประดิษฐานบนริมฝั่งแม่น้า และเป็นท่ีสักการะของเหล่าชาวประมงและชาวบ้านระแวกนั้น กาลสมัยล่วงเลย
ต่อมา เมื่อพระอาทิศังกราจารย์ (Aadi Shankaracharya) จาริกมาถึง และได้พบกับพระเทวปฏิมาแห่งพระ
เทวี จึงเชิญไปประดิษฐานภายในเทวสถานคู่กับศรี มัลลิการชุนะ สวามี ถวายนามว่าศรี กามากษี (Shree
Kamakshi) อันหมายถึง พระนางผู้มีดวงเนตรอันชวนหลงใหลเปน็ ยอดปรารถนา และได้ประดิษฐานศรยี ันตระ
(Shree Yantra) ณ ทแ่ี หง่ นั้นด้วย

พระศรวี ิศาลากษี แหง่ มหานครกาศี
(Shree Vishalakshi Of Kashi)

พระศรีวิศาลากษี หรือพระศรีวิศาลากษี เคารี นั้นเป็นนามหนึ่งของพระปารวตีในมหานครกาศี หนึ่ง
ในมหานครศกั ด์ิสิทธทิ์ ั้งเจด็ ของศาสนาฮินดู และเปน็ นามของพระเทวปี ระจาศักติปีฐะ แห่งนครกาศี หรอื ทีร่ ู้จัก
กันแพร่หลายว่าพาราณสี

ตานานของศักติปีฐะในนครกาศี กล่าวถึงเมื่อคร้ังพระทากษายณี (พระสตี) ทรงเสด็จไปยังศาลาพิธี
มหายัชญะของพระทักษะ ประชาบดี ผู้พระบิดาโดยมิได้รับการเชิญ เพ่ือทวงถามว่าเหตุใดจึงมิเชิญตน พร้อม
พระศิวะผู้บดีเข้าร่วมพิธีมหายัชญะ แต่คาตอบของพระทักษะ เหมือนสายฟ้าผ่าลงมากลางดวงกมล ด้วยพระ
ทักษะ ทรงกล่าวดูหมิ่น ใช้วาจาหยาบคายจาบจว้ งพระศิวะต่อหน้าเหล่าทวยเทพ ฤาษีมุนี นักสิทธิ์ และผู้ที่เขา้
ร่วมพิธีทั้งหลาย ทาให้พระนางรู้สึกอับอายย่ิง จึงเผาตนเองด้วยเพลิงแห่งโยคะละท้ิงร่ายกายชาติกาเนิดของ
ทากษายณีผู้ธิดาของทักษะ ประชาบดีลง การกระทาอัตวินิบาตกรรมของพระนางทาให้พระศิวะทรงโศกเศร้า
และโกรธกร้ิวยง่ิ จึงทรงสร้างบุรุษหนึ่งจากพระเกศา ให้นามว่า วีรภัทร เข้าทาลายยาคะ ศาลา ของพระทักษะ
และลงทัณฑ์ผเู้ ขา้ รว่ มพิธที ง้ั หมด

วีรภัทร พร้อมคณะ ได้เข้าบุกทาลายยาคะ ศาลา ของพระทักษะ และเข้าทาร้ายผู้อยู่ในพิธีท้ังหมด
พระทักษะนั้นได้เข้าต่อสู้กับวีรภัทร และถูกตัดพระศอกระเด็นสู่กองเพลิงพิธี พระนางวีรณี หรือพระนาง
ประสูติ พระมเหสีของพระทักษะทรงตกอยู่ในความโศกเศร้า พระพรหมา และฤๅษีมุนีท้ังหลาย ต่างแนะนาให้
พระนางเข้าเฝ้าพระศิวะเพ่ือให้ประทานชีวิตใหม่แก่พระทักษะ พระศิวะทรงเป่ียมด้วยกรุณา จึงทรงประทาน
เศียรใหม่แก่พระทักษะ แต่เศียรนั้นเปน็ แพะ ตามคาสาปของนนทิท่ีเคยให้ไวต้ ่อพระทักษะ ให้มีพระพักตร์เป็น
เดรจั ฉาน

หากแต่พระศิวะยังทรงตกอยู่ในความเศร้าโศกต่อการจากไปของพระทากษายณี ทรงแบกอุ้มร่างของ
พระนางไปท่ัวทุกทศิ ทุกหนแห่ง เหลา่ เทวดาต่างตกอย่ใู นความกังวลในการกระทาดังกลา่ วของพระมหาเทพ จงึ
ทรงทูลต่อพระพรหมาเพ่ือหาทางแก้ไข พระพรหมาจึงนาเหล่าทวยเทพ แลฤาษีมุนีนักสิทธ์ิทั้งหลาย เข้าเฝ้า

พระวิษณุ เพื่อหาทางแก้ไขในส่ิงท่ีเกิดข้ึนน้ี ซ่ึงพระวิษณุก็ลาบากพระทัยในการช่วยเหลือพระศิวะ จากความ
เศร้าโศกท่ีสูญเสียพระมเหสีอันเป็นท่ีรักไป พระพรหมาได้ทูลเสนอให้พระวิษณุทรงใช้จักรตัดร่าง พระนาง
ทากษายณอี ันเป็นสงิ่ แห่งความทรงจาที่เหลอื อยู่ทง้ิ เสยี เพอื่ ใหพ้ ระศิวะหลุดจากความเศรา้ โศก

พระวิษณุจึงทรงใช้จักรายุธตัดรา่ งของพระนางทากษายณีเป็นชิ้นๆ ล่วงลงสู่พ้ืนปฐพี พระอาทยะศักติ
(พระนางผู้เป็นพลังอานาจเริ่มต้น) ทรงอานวยพรให้สถานท่ีใดที่ชิ้นส่วนของทากษายณีล่วงหล่น ที่น้ันจะเป็น
ปุณยเกษตร เป็นปีฐะ (แท่นท่ีพระทับ) ของพระนางในกาลต่อไป และพระศิวะ ได้ทรงแบ่งภาคแห่งไภรวะไป
สถิตค้มุ ครองปณุ ยเกษตรเหลา่ น้ัน

โดยส่วนของมณีกุณฑล บ้างว่าส่วนของพระเนตร และข้อพระกร ได้ล่วงหล่นสู่กาศี พระเทวีจึงทรง
ประทับในมหานครกาศี ในนาม มณิกรรณี (พระนางผู้มีพระกรรณดังอัญมณี) และวิศาลากษี (พระนางผู้มีดวง
เนตรอนั กลมโต) และทรงมีพระกาลไภรวะ เป็นไภรวะผู้คมุ้ ครอง

โดยพระนามวิศาลากษี (อ่านออกเสียงสาเนียงอินเดีย คือ วิศาลากชี) มาจากศัพท์สันสกฤตสองคาคือ
วิศาล อนั หมายถงึ ใหญโ่ ต สนธกิ ับคาว่า อักษี ซง่ึ หมายถึง ดวงตา (รูปคาเดิมคือ อกั ษะ แต่เพือ่ ให้เป็นนามสตรี
ลิงค์ จึงตัดเสียงอะ ออกแล้วเปล่ียนเป็นเสยี ง อี แทน) จึงได้รูปวิศาลากษี อันมีความหมายถึง พระนางผู้มีดวง
เนตรอันใหญ่โต

และยังมีเทวตานานเกี่ยวข้องกับพระอันนปูรณา อันเป็นเทวีที่มีช่ือเสียงในมหานครกาศีอีกด้วย และ
บ้างว่าเป็นองค์เดียวกัน โดยกล่าวว่า ครั้งหน่ึงพระมหาฤๅษีวยาสได้จาริกมายัง มหานครกาศี หากแต่มิมีผู้ใด
ทาบุญ หรือถวายการรับใช้ด้วยโภชนาหารแก่ท่านเลย พระฤๅษีวยาสจึงตกอยู่ในโทสะ กล่าวสาปแช่งกาศีให้
แห้งแล้งขาดแคลน พระวิศาลากษี ผู้เป็นท่ีรักไคร่โปรดปรานแห่งพระวิศวนาถจึงปรากฏรูปข้ึนทรงประทาน
โภชนาหารแก่พระมหามุนีวยาส และตรัสขอให้พระมุนีถอนคาสาปเสีย ด้วยเหตุกาศีน้ันเป็นปุณยเกษตรแห่ง
พระศิวะ ซึ่งพระศิวะทรงสร้างขึ้นและโปรดปรานย่ิง และทรงประทับในนามวิศวนาถ (เจ้าแห่งโลก) พระวยาส
ตระหนกั ถงึ การกระทาผิดล่วงเกินดงั กล่าวจงึ กลา่ วถอนคาสาป

อีกเทวปกรณ์กลา่ วว่า คร้งั หนงึ่ พระศวิ ะ ทรงสนทนากับพระเทวี ในเรื่องธรรมะ พระศิวะตรสั กล่าวทุก
สงิ่ ล้วนเปน็ มายา แมแ้ ตเ่ จ้าก็เป็นมายา หากแต่พระเทวีทรงตีความคาว่า มายาผิด จงึ กร้ิวทรงละทิ้งไกลาสเสด็จ
ไปประทับที่กาศี ทรงนามอันนปรู ณา อันหมายถงึ พระนางผู้เปยี่ มด้วยอาหาร

พระศิวะเม่ือทราบเช่นนั้น จึงเสด็จไปยังกาศี ในรูปของภิกขาจาร ทรงไปขอโภชนาหารจากพระ
อันนปูรณา พระอันนปูรณาจึงเสด็จออกมาประทานโภชนาหารด้วยองค์เอง และทรงยินดีท่ีจะกลับไปประทับ
ร่วมกันอีกครั้ง และในกาศี พระองค์ทรงประทับร่วมกันในนามวิศวนาถ และอันนปูรณา , วิศาลากษี และมณิ
กรรณี

ส่วนเทวลักษณะนั้น วิศาลากษีจัดเป็นเพียงแค่นามหน่ึงของพระเทวีเท่านั้น โดยได้มีสองเทวลักษณะ
ของพระเทวีที่เด่นและแพรห่ ลายกนั

โดยแบบแรก เป็นเทวลักษณะปฏิมาของพระปารวตี ทรงส่ีกร ที่นิยมแพร่หลายมากในอินเดียตอน
เหนือในสมัยก่อน ทรงประทับยืน ส่ีกร พระกรขวาล่างทรงอักษมาลา (ประคาในการสวดภาวนา) พระกรขวา
บนทรงปทุมชาติอันมีศิวลึงค์ประทับอยู่ภายใน ส่วนพระกรซ้ายล่างทรงหม้อกมณฑลุ พระกรซ้ายบนทรงปทุม
ชาติอนั มพี ระวิฆเนศวรประทับอย่ภู ายใน

ซ่ึงพระปฏิมานี้สามารถพบได้ตามเทวสถานเก่าแก่ของพระศิวะในอินเดียตอนเหนือ และเทวสถาน
ชโยติลึงค์อ่ืนๆ ในอินเดียตอนเหนือ เช่น โสเมศวร , นาเคศวร , มหากาเลศวร เป็นต้น และรวมถึงวิศวนาถ
แหง่ กาศีด้วย

สว่ นอกี เทวลกั ษณะ เป็นเทวลักษณะปฏมิ าทว่ั ไปของพระเทวีในอินเดยี ใต้ ทรงประทบั ยืนในทา่ อภังคะ
ทรงสองกร พระกรขวาทรงถือปทมุ ชาติ หรืออบุ ลชาติ และพระกรขวาทรงโฑละหัสตะ อันเปน็ ทา่ ประกอบการ
เดินของสตรี โดยปลอ่ ยมือไวข้ ้างลาตวั

โดยเทวปฏิมานี้อยู่ภายในเทวสถาน ศรีวิศาลากษี เคารี ซึ่งได้บูรณะโดยชาวตมิฬ ในสถาปัตยกรรม
แบบอนิ เดียใต้ ในปี 1971

ในอินเดียตอนใต้ มักพบเห็นภาพพระเทวีทั้งสามได้แก่ พระมีนากษี พระกามากษี และพระวิศาลากษี
ประทับร่วมกัน ท่ีปรากฏเช่นน้ีด้วยเหตุท่ีว่า พระเทวีทั้งสามน้ัน ทรงเป็นเทวีประจานครศักดิ์สิทธ์ิในความเชื่อ
ของชาวตมฬิ

โดยพระมีนากษี ทรงเป็นพระเทวีแห่งนครมทุไร ซึ่งทรงมีตานานท่ีโดดเด่นมาก ด้วยทรงอวตารเป็น
พระธิดาของกษัตริย์แห่งราชวงศ์ปาณฑยะ และทรงเป็นจักรพรรดินีแหง่ แควน้ ปาณฑยะ พระศิวะทรงมาในรปู
ของกษัตริย์วิวาห์กับพระเทวีในนครมทุไรแห่งนี้ อีกทั้งในโบราณกาลนั้นมทุไร เป็นเมืองศูนย์รวมของ
วฒั นธรรมตมฬิ ในแขนงตา่ งๆ อีกดว้ ย

พระกามากษี ทรงเป็นพระเทวีแหง่ มหานครกาญจี ทรงถอื ว่าเปน็ องค์เดยี วกับ พระลลิตา ตริปรุ สุนทรี

เป็นภาคปรากฏในพ้ืนปฐพี กาญจีเปรียบดังกาศีแห่งทิศใต้ ด้วยเป็นแหล่งรวมผู้แสวงบุญต่างๆ และเป็นหน่ึงใน
เจด็ มหานครอันศักดสิ์ ิทธขิ์ องศาสนาฮนิ ดูเชน่ เดียวกบั กาศี

พระวิศาลากษี ทรงเป็นพระเทวแี หง่ มหานครกาศี มหานครศักดิ์สทิ ธต์ิ ลอดกาลของฮินดชู น

หาลาสยฺ และ อาละวาย

หาลาสยะ (ออกเสยี งสาเนียงอนิ เดีย ฮาลาสยะ) (อกั ษรเทวนาครี हालास्र् อกั ษรอังกฤษ Halasya)
เป็นชื่อหน่ึงของเมืองมทุไร (เสียงสาเนียงอินเดีย มะดุไร) (மதுனே) (Madurai) ซ่ึงเป็นอดีตราชธานีของ
ราชอาณาจักรปาณฑิยะ (பாண்டிய / Pandiya) หรือปาณฑยะ (िाण्डर् / Pandya) อันต้ังอยู่ทาง
ตอนใตข้ องภารตวรรษ ปัจจบุ ันตงั้ อยู่ในรฐั ตมฬิ นาฑุ ทางตอนใตข้ องอนิ เดยี

อันนาม หาลาสยะ และ อาละวาย น้ีมีท่ีมา หรือตานานปรากฏในหาลาสยะ มหาตมยัม (हालास्र्
महात्मर्म्) (Halasya Mahathmyam) และศิวลีลารณวะ (क्तशवलीलाणपव) (Shivaleelarnava) ใน
ฉบับภาษาสันสกฤต และติรุวิไลยาฑัล ปุราณัม (ேிருவினையாடல் புோணம் )
(Thiruvilaiyadal Puranam) ในฉบับภาษาตมิฬ อันเป็นวรรณกรรมอันกล่าวถึง ลีลาทั้ง 64 ของพระหาลาสย
นาถ หรือโสมสนุ ทเรศวร แห่งหาลาสยะ (มทไุ ร)

ซึ่งที่มาของนาม หาลาสยะ หรืออาละวาย และติรุวาละวาย ปรากฏในลีลาที่ 49 กล่าวถึงคร้ังเมื่อ
หลังจากเกิดภัยพิบัติคล่ืนยักษ์กลืนกินพื้นแผ่นดิน หรือปลย ราชวงศ์ทั้งสามอันเก่าแก่ได้บังเกิดขึ้นอีกครั้ง คือ
ปาณฑยะ โจฬะ และเจระ

กษัตริย์ วังคิยะ เศขร ปาณฑิยะ (வங்கிய தசகே பாண்டியர்) (Vangiya Shekara
Pandiyar) หรือวังศเศขร ปาณฑยะ (वंशशेखर िाण्डर्) (Vamshashekara Pandya) ได้มาต้ังถิ่นอาศัย
ในที่ซึ่งเคยเป็นราชธานีเก่ามทุไร แต่หากนับวันประชากรยิ่งเพ่ิมจานวนขึ้นเร่ือยๆ องค์กษัตริย์ปาณฑยะ
ต้องการสร้างขอบเขตของราชธานีข้ึน จึงกระทาการสักการะบูชาต่อพระสุนทเรศวร ซึ่งมีเพียงวิมานของ
พระองค์ วมิ านของพระศรมี ีนากษี กนกามพชุ ตรี ถะ หรอื สวรรณกมล ตีรถะ (สระดอกบัวทอง) และขุนเขาอีก
สีล่ ูกเทา่ นั้นทไ่ี มถ่ กู คลนื่ ปลยถลม่

พระโสมะสุนทเรศวร ทรงปรากฏองค์ต่อกษัตริย์ในรูปของนักสิทธ์ิ ทรงมีอสรพิษเป็นพระวลัย (กาไล)
ทรงเสนอเข้าช่วยเหลือองค์กษัตริย์ปาณฑยะ ด้วยทรงให้พญาอสรพิษซ่ึงประดับเป็นพระวลัยพระองค์อยู่นั้น
ช่วยสร้างขอบเขตแห่งพระนครขึ้น พญาอสรพิษปรากฏร่างกายยาวใหญโ่ ตเลือ้ ยไปรอบท่ซี ่ึงเปน็ เขตพระนครที่
มีแต่โบราณ โดยหางและปากชนเข้าหากัน และกลับไปหาองค์พระสุนทเรศวรในรูปนักสิทธ์ิดังเดิม กษัตริย์ได้
จัดสร้างพระนครใหม่ แต่ทรงมิทราบว่าจักตั้งนามพระนครว่าอะไร พญาอสรพิษจึงขอให้ตั้งนามพระนครตาม
ช่ือตน คือ หาลาสยะ (हालास्र्) อันมาจากคาสันสกฤตสองคาคือ หาละ (हाल) อันหมายถึงพิษ หรือสุรา
และสนทิกับ อัสยะ (अस्र्) อันหมายถึง ปาก หรือหน้า หาลาสยะ จึงแปลความได้ว่า ผู้มีพิษในปาก คือ
อสรพิษ หรอื งนู น้ั เอง

เช่นเดียวกับในภาษาตมิฬ อาละวาย (ஆைவாய்) อันในส่วนของ อาละ (ஆை) (Aala) น้ัน
เพี้ยนมาจากสันสกฤต หาละ (हाल) (Haala) อันหมายถึงพิษ (Poison) และ วาย (வாய்) (Vaay) อันเป็น
คาตมิฬหมายถึง ปาก (mouth) อาละวาย จึงมีความเช่นเดียวกับ หาลาสยะ ในภาษาสันสกฤต และติรุวาละ
วาย (ேிருவாைவாய்) (Thiruvaalavaay) อนั หมายถงึ พระนครอาละวาย

ด้วยเหตุนี้ พระสุนทเรศวร หรือพระศิวะแห่งมทุไร จึงมีอีกนามว่า หาลาสฺยนาถ (हालास्र्नार्थ)
(Halasyanatha) อนั หมายถงึ พระผูเ้ ปน็ เจ้าแห่งหาลาสยะ หรอื พระผู้เปน็ นายแห่งอสรพิษ เทียบในภาษาตมิฬ
ว่า อาละวาย อาณฑะวรั (ஆைவாய் ஆண்டவர்) (Aalavaay Aandavar) หรือตริ ุวาละวาย อาณ
ฑะวรั (ேிருவாைவாய் ஆண்டவர்) (Thiruvaalavaay Aandavar)

นอกจากนี้ นครมทุไรยงั มีอีกหลายนามเชน่

กทัมพวนะ (Kadambavana) หมายถึง ป่ากระทุ่ม อันเป็นช่ือด้ังเดิมเมื่อครั้งเป็นป่ากระทุ่ม ซึ่งพระ
อินทรผ์ ้รู บั กรรมจากการฆา่ วฤตาสรู ผอู้ ยใู่ นวรรณะพราหมณ์ ได้มาสักการะพระสยมภลู งิ คะ (สนุ ทเรศวร) ณ ท่ี
แห่งนี้และหลุดพ้นจากบาป ต่อมาพระราชากุลเศขร แห่งราชวงศ์ปาณฑิยะได้รับรู้ถึงตานานน้ีจึงมาสร้างพระ
ราชธานที ี่กทมั พวนะ

มธรุ ะ , มธุรา และมธรุ าปุรี (Madhura , Madhuraa , Madhurapuri) หมายถึง เมืองอันหอมหวาน

มัลลิไก มานะคะรัม (மல்லினக மாநகேம்) (Malligai Managaram) หมายถึง มหานคร
แห่งมะลิ ดว้ ยมทไุ รนั้นข้นึ ชอ่ื เรือ่ งมะลิ เปน็ ดอกไมป้ ระจาเมือง

ตงู คานะคะรัม (தூங்காநகேம்) (Thoonga Nagaram) อนั หมายถึง เมืองที่ไมห่ ลับใหล

กูฑัล มานะคะรัม (கூடல் மாநகேம்) (Koodal Managaram) หมายถึง มหานครแห่งการ
ชุมนมุ ดว้ ยเคยเป็นเมอื งแห่งการชุมนุมของเหล่าปราชญ์ และกวีตมฬิ มาในสมยั ก่อน

โกอิล นะครัม (தகாயில் நகேம்) (Koil Nagaram) หมายถงึ เมอื งแหง่ วัด
เอเธนส์แห่งตะวันออก (Athens Of East) มาจากการแผนผังของเมืองโบราณถูกสร้างมาอย่างดีใน
รูปแบบดอกบัวโดยศูนย์กลางเป็นเทวสถาน ศรี มีนากษี สุนทเรศวร อันเป็นเทวสถานประจาเมือง และเคย
ตดิ ต่อค้าขายกบั กรีกโรมันตง้ั แต่สมัยโบราณ
โอม ศรมี ีนากษี - สนุ ทเรศวราภยาม นะโม นะมะห์
(โอม ความนอบน้อมมแี ก่ พระมนี ากษีผทู้ รงสริ ิ พร้อมทั้งองค์สนุ ทเรศวร)

มหาพเลศวร แหง่ โคกรรณะ
(ಗ ೀಕಣಾ ಮ್ಹಾಬಲೀಶಾರ / Mahabaleshwara of Gokarna)

มหาพเลศวร แหง่ โคกรรณะเปน็ หนึ่งในปุณยสถานของรัฐกรรนาฏกะ ทางตะวันตกเฉยี งใต้ของอินเดีย
เทวสถานพระศรีมหาพเลศวร ต้ังอยู่ในเมืองโคกรรณะ เขตอุตตระ กันนฑะ ของรัฐกรรนาฏกะ ถือเป็นหน่ึงใน
มกุ ติสถานของชาวกนั นาฑิคะ (ผใู้ ชภ้ าษากนั นฑะเปน็ ภาษาแม่ ซ่งึ เป็นชนพนื้ เมืองในกรรนาฏกะ) ซง่ึ มกุ ตสิ ถาน
คอื สถานท่ีศกั ดสิ์ ทิ ธทิ์ เ่ี ช่อื ว่าเมอื่ ไปจารกิ แสวงบุญแล้วจะได้รับการหลดุ พน้

โคกรรณะแห่งนี้ยังได้รับการเรียกขานว่าเป็นกาศีแห่งทักษิณด้วย เช่นเดียวกับเทวสถานอันมีชื่อเสียง
ของพระศวิ ะอีกหลายแหง่ ในอินเดยี ตอนใต้

ตานานแห่งปุณยสถานแห่งน้ี ย้อนกลับไปครั้งเตรตายุค อันเป็นยุคที่สองของกัลป์นี้ตามความเชื่อของ
ฮนิ ดู เมอ่ื พระนางไกกษีมารดาของจอมรากษสราวณะผเู้ ป็นลงั เกศวร ได้กระทาการบชู าต่อพระศวิ ะ ทาให้องค์
เทเวนทระ (พระจอมเทพ อันหมายถึงพระอินทร์) ทรงหวาดเกรง พระเทวราชจึงกล่ันแกล้งนางโดยการลักนา
ศิวลึงค์ทนี่ างรากษสไี กกษีกระทาสักการะ และภาวนาเป็นประจานาไปซอ่ น ซึ่งเป็นเช่นนอี้ ยหู่ ลายครา

พระนางไกกษีจึงนาความไปบอกต่อลังเกศวร ราวณะผู้โอรส และได้ขอให้ราวณะนาองค์พระศิวะมา
สถิตอยู่ ณ สวรรณะนครลงั กาใหไ้ ด้

ราวณะจึงเดินทางไปยังขุนเขาไกลาสด้วยบุษบกวิมาน ณ ขุนเขาไกลาส ราวณะได้เข้าสู่รบกับ พระ
ไกลาสนาถ เพื่อนาพระองค์ไปยงั ลังกานคร แต่ราวณะมิอาจเอาชนะพระองค์ได้ จึงคิดทจ่ี ะนาพระองคไ์ ปพร้อม
กับนิวาสถานของพระองค์เสียเลย เช่นนั้นราวณะจึงเนรมิตกายใหญ่โตมหึมาพยายามจะยกขุนเขาไกลาส ถึง
กระนั้นราวณะก็มิอาจยกขุนเขาไกลาสได้ ได้แค่เขย่าขุนเขาให้ส่ันสะเทือนเล่นเฉยๆ ด้วยเพราะองค์พระศิวะ
ทรงใช้เพียงองคุลีบาทกดไปยังพ้ืนแผ่นดินแห่งขุนเขาไกลาส และทาให้แขนของราวณะถูกขุนเขาทับลง สร้าง
ความปวดรา้ วต่อราวณะอยา่ งแสนสาหัส

ราวณะสานึกผิดจึงรจนาบทสรรเสริญถวายต่อพระองค์พระศิวะ และขับร้องออกมาด้วยความภักดี
เรียกบทนี้ว่า ศิวตาณฑวะ สโตตระ (บทสรรเสริญ พระศิวะผู้ร่ายราดว้ ยท่วงทา่ อันหนักแน่นและแข็งกรา้ ว) จน
พระศิวะพึงพอพระทัย ทรงปล่อยราวณะ และแสดงความกรุณาต่อราวณะ โดยให้ราวณะขอในส่ิงที่ปารถนา
จากพระองค์ ขณะน้ันเอง พระเทวฤๅษีนารททรงแลเห็นในสิ่งที่เกิดขึ้น จึงนาความไปกราบทูลต่อพระวิษณุ
และขอให้พระวิษณุทรงช่วยเหลือเหล่าเทวะและสรรพชีวิตทั้งปวง โดยดลใจให้ราวณาสุระขออย่างอื่นแทนตัว
พระศิวะ

พระวิษณุจึงดลใจให้ราวณะแลเห็นความงามของพระหิมคิรีตนยา (พระนางผู้เป็นธิดาแห่งขุนเขาอัน
ปกคลุมด้วยหิมะ) ผู้ประทับน่ังอย่างโสภาเคียงคู่พระนีลกัณฐ์ (พระผู้มีพระศอสีฟ้า) ราวณะจึงขอพระเทวีแทน
ซ่งึ พระองคต์ รัสไปแล้ววา่ จะประทานในสิ่งทีป่ รารถนาจึงจายอมประทานให้

ขณะท่ีราวณะกาลังกลับลังกาด้วยบุษบกวิมาน พระนารทมุนี ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าราวณะ และกล่าว
ว่า พระปารวตีท่ีเสด็จมาด้วยเป็นองค์ปลอม หาใช่องค์จริงไม่ องค์จริงน้ันทรงประทับอยู่ในบาดาล ราวณะจึง
ปล่อยองค์พระเทวีกลับไปหาพระศิวะ และมุ่งสู่บาดาล ซึ่งในบาดาลราวณะได้พบกับมนโททรีธิดาของ มายะ
ทานพ ผเู้ ป็นชา่ งของเหลา่ อสรู จึงไดว้ วิ าห์กับนาง

เมื่อกลับมายังกรุงลังกา พระนางไกกษไี ด้ทราบความทกุ อยา่ งจึงตาหนิติเตยี นราวณะ และใหร้ าวณะไป
บาเพ็ญตบะต่อพระศิวะมหาเทพ เฉกเช่นเดียวกับเม่ือคร้ังบาเพ็ญตบะต่อพระบรมบิดาพรหมา และเม่ือพระ
มหาเทพปรากฏองค์ขน้ึ ให้ขอ ศิวลงึ ค์อนั ศักดส์ิ ิทธิ์ ซึง่ เรยี กวา่ ปราณะลิงคะ หรอื อาตมะลิงคะ อันหมายถงึ ลิงคะ
ที่มีพลงั อานาจแห่งจิตวญิ ญานของพระองค์ มาประดิษฐานยังลงั กาสวรรณะนคร

ราวณะทาตามคาสัง่ ของพระมารดา ราวณะมงุ่ หนา้ สไู่ กลาสแต่มิไดเ้ ข้าพบพระไกลาสนาถ แต่หากกลับ
น่ังบาเพ็ญตบะเพ่ือให้พระองค์ลงมาอานวยพรด้วยองค์เอง การบาเพ็ญตบะดาเนนิ ไปเป็นเวลายาวนานหากแต่
พระตริโลจนะยังมิมาปรากฏองค์ ราวณะจึงกระทาการตัดเศียรท้ังสิบของตนพลีถวาย ด้วยความภักดีน้ีทาให้
พระกาตยายนีปรยิ ะ (พระผเู้ ปน็ ท่ีรักของธดิ าแห่งฤๅษีกาตยายนะ) ทรงพงึ พอพระทยั เป็นอย่างยิ่งจงึ ปรากฏองค์
และให้ในส่ิงที่ปรารถนา ราวณะจึงกล่าวขออาตมะลิงคะจากพระองค์ พระอุมาปติจึงประทานอาตมะลิงคะอัน
เป็นตัวแทนแห่งพระองค์ไป แต่มีข้อแม้ว่าก่อนถึงลังกาอย่าให้อาตมะลิงคะนี้สัมผัสกับพ้ืนปฐพี เพราะอาตมะ
ลงิ คะจะสถิตอยู่ ณ ท่ีนัน้ ตลอดไป

เหล่าเทวดาทราบความจึงไปเข้าเฝ้าพระวิษณุ เพ่ือหาทางหยุดราวณะ พระวิษณุจึงช้ีแนะให้เหล่า
เทวดาออ้ นวอนต่อพระคณปติใหช้ ่วยเหลือ เหลา่ เทวดาจึงไปเขา้ เฝ้าพระคณปติ พร้อมกบั พระไหมวตี (ธิดาแห่ง
หิมวตั ) เพื่อหาทางหยุดราวณะ

พระวินายกผู้ทรงกรุณาจึงช่วยเหลือเหล่าเทวดาดว้ ยมายาของพระองค์ ขณะท่รี าวณะกาลงั เหาะอยู่บน
อากาศทางทิศใต้ของภารตวรรษ พระอาทิตย์เหมือนได้เคลื่อนตัวสู่ยามสนทยา ราวณะจาเป็นท่ีจะต้องทาพิธี
สนทยา วันทนา จึงลงมาเพ่ือหาผู้ฝากองคอ์ าตมะลงิ คะ และกระทาสนทยา วนั ทนา

พระวิฆเนศวรจึงปรากฏองคข์ ้ึนในฐานะโคบาล และโค ราวณะแลเหน็ จึงเรียกใหโ้ คบาลชว่ ยรบั อาตมะ
ลิงคะไว้ขณะตนทาสนทยา วันทนา โดยกาชับว่าห้ามวางกับพ้ืนเป็นอันขาด ซึ่งโคบาลให้สัญญาว่า จะเรียก
ราวณะให้กลับมาสามคร้ังดว้ ยกัน หากราวณะไม่มาตนจะวางอาตมะลิงคะลงและจากไป

ราวณะสรงสนานเพ่ือทาให้ร่างกายให้บริสุทธิ์ก่อนกระทาสนทยา วันทนา ณ ทะเลในทิศทักษิณทาง
ตะวันตก ขณะโคบาลรออยู่บนชายหาด โคบาลได้พยายามเรียกราวณะเป็นระยะ เม่ือครบสามครั้งจึงวางอาต
มะลงิ คะลง ราวณะแลเหน็ เชน่ นัน้ จึงรบี ข้ึนมาจากทะเล และไลจ่ ับโคบาล โคบาลอันตรธานไปพรอ้ มกับโค ขณะ
โคกาลังจะอันตรธานหายไปน้ันราวณะได้คว้าหูของโคไว้ได้ ราวณะจึงได้แค่หูของโค ซ่ึงเป็นท่ีมาของชื่อปุณย
สถานแหง่ นีว้ ่าโคกรรณะ อนั หมายถึง หูโค

ราวณะพยายามจะยกย้ายอาตมะลิงคะ แต่ก็ทาไม่ได้ จึงจากไปมือเปล่า แต่ด้วยแรงของราวณะก็ทา
ให้ศิวลึงค์ได้รับความเสียหายแยกเป็นชิ้นส่วนกระจัดจายทั่วโคกรรณะ ซึ่งต่อมาทั้งหมดได้กลายเป็นเทวสถาน
พระศวิ ะรอบโคกรรณะ ซึง่ มหาพเลศวรก็เป็นหนึง่ ในนน้ั

ต่อมาเทวสถานได้ถูกจัดสร้างข้ึนโดยพระมยุระศรมา หรือมยุระวรมา กษัตรย์แห่งราชวงศ์กทัมพะ ซึ่ง
เป็นราชวงศเ์ ก่าแก่ท่ปี กครองกรรนาฏกะในชว่ งต้น โดยถวายพระนามแก่พระศิวะว่า มหาพเลศวร อันหมายถึง
เจา้ แห่งพลงั อันยง่ิ ใหญ่

ภควตี กับความสบั สนของผศู้ รัทธาชาวไทย

อันคาว่าภควตี (Bhagavati) หากกล่าวกันง่ายๆ นั้นหมายถึงเทพี หรือGoddess ในภาษาอังกฤษ
เทียบได้กบั คาวา่ ภควาน (พระผู้เป็นเจ้า) ซงึ่ เปน็ นามบุรษุ เพศ แต่แทท้ ่จี รงิ แลว้ รากศัพท์หมายถึง พระผมู้ ัง่ คั่ง

ผู้ที่จะเป็นภควาน หรือภควตีได้จะตอ้ งม่ังค่ังดว้ ยคุณสมบตั ิ 6 ประการดังนี้
1. มงั่ คงั่ ดว้ ยโภคทรัพย์ 2. มั่งค่ังดว้ ยอานาจ 3. มง่ั คง่ั ด้วยชื่อเสียง
4. มงั่ คง่ั ด้วยความสงา่ งาม5. มง่ั ค่ังดว้ ยปญั ญา 6. มงั่ คง่ั ดว้ ยความเสียสละ ไมเ่ หน็ แก่ตน
ดังน้ัน ภควตีจึงมิใช่นามของเทวีหรือเจ้าแม่องค์ใดองค์หนึ่ง หากแต่เป็นคานามเรียกเทพสตรีรวมๆ ว่า
ภควตี (พระนางผู้ทรงความมง่ั คั่ง) เชน่ เดียวกบั เทวี
ซ่ึงคาว่าภควตี นิยมเรียกขานกันมากในหมู่ชาวมลยาลิ (Malayali) ในเกรละ (Kerala) ซึ่งเทวี หรือ
ภควตใี นเกรละ มักเป็นรปู แบบของพระทรุ คา (Durga) และพระภัทรกาลี (Bhadrakali)
เม่ือชาวไทยเห็นก็เรียกภควตีไปหมด และเจาะจงว่าองค์นี้มีนามพระภควตี (เพียงอย่างเดียวแน่นอน)
ท้งั ๆ ที่องคน์ ้นั อาจเป็นรปู แบบของทรุ คา หรอื ภัทรกาลี
ส่วนใหญ่ชาวมลยาลมิ ักเรียก หรือขานนามเทพ - เทวีง่ายๆ ว่าเทพแี หง่ ตาบลนั้น ตาบลนี้ เจ้าพอ่ ตาบล
น้ัน ตาบลน้ี เจ้าแม่ตาบลนั้น ตาบลนี้ ตัวอย่างเช่น คุรุวายูรัปปัน (เจ้าพ่อแห่งคุรุวายูร) , โกฏุงงัลลูรัมมะ (เจ้า
แม่แห่งโกฏุงงัลลูร) , โกฏุงงัลลูร ภควตี (เทพีแห่งโกฏุงงัลลูร) , โจตตานิกกะระ ภควตี (เทพีแห่งโจตตานิกกะ
ระ) เป็นต้น
ภควตีจงึ มใิ ช่นามเฉพาะอยา่ งที่ใครหลายคนคดิ หรือเข้าใจ หากเป็นนามกลาง เรยี กขานเทพสตรี

เร่อื งราวของนรกาสรุ ะในกาลิกาปรุ าณะ
(The Story of Narakasura in Kalikapurana)

กาลิกาปุราณะ (काक्तलकािुराण) (Kalikapurana) น้ันถือเป็นอุปปุราณะ (ปุราณะย่อย) หนึ่ง ซึ่ง
รวบรวมโดยเทวยุปาสก (ผู้บูชาซึ่งพระเทวี) ในกาลีกุละ (ศากตะสายตระกูลพระกาลี) แห่งแคว้นกามรูป
(รัฐอัสสัมในปัจจุบัน) อันกล่าวถึงความย่ิงใหญ่ของพระแม่กามาขยาแห่งแคว้นกามรูป ซึ่งเช่ือมโยงกับคัมภีร์
ตันตระ

ในกาลิกาปรุ าณะน้ันกล่าวถึงการเกิดของนรกาสุระ (नरकासुर) (Narakasura) ว่านรกาสรุ ะนั้นเป็น
โอรสของพระภูเทวี (भूदेवी) (Bhu Devi) กับพระวราหะ (श्रीवराह) (Shree Varaha) หลังจากพระ
วราหาวตารทรงช่วยพระภูเทวจี ากหิรัณยากษะ (क्तहरण्र्ाक्ष) (Hiranyaksha) นรกะเกิดจากการร่วมกันของ
พระองคท์ ้ังสอง แต่โชคชะตาได้กาหนดให้พระกมุ ารทรงเปน็ อสูร

กุมารน้ันได้รับการเลี้ยงดูจากพระชนก (जनक) (Janaka) แห่งไวเทหะ ผู้พบกุมารจากพื้นดิน
จนกระทง่ั อายุสิบหกปี นรกะถกู สง่ ตวั ให้ไปปกครองเมืองปราคชโยติษปุระ ในแควน้ กามรูป อันเปน็ เมอื งที่สถิต
ของพระกามาขยาเทวี (श्रीकामाख्र्ा दवे ी) (Shree Kamakhya Devi)

นรกะไดร้ ับการแนะนาวา่ ควรปกครองอาณาจกั รด้วยความเปน็ ธรรม และเป็นผูม้ เี มตตาตอ่ วิสทุ ธชิ นทั้ง
ปวง และควรกระทาการบูชาต่อพระแม่กามาขยา ซ่ึงนรกะได้ให้คาสัตย์ว่าจะปฏิบัติตามคาแนะนา หากตนผิด
คาสาบานขอให้ตนไม่เป็นท่ีโปรดปรานของพระกามาขยาเทวี และความตายของเขาจะมาถึง จากการกระทา
พิธีสาธนาต่อพระกามาขยาทาให้นรกะได้พรวิเศษและพลังอานาจมากมาย และทาให้ความอหังการของเขา
เกิดข้ึน

นรกะปกครองแคว้นกามรูปเรื่อยมาจนกระทั้งวันหน่ึง พระมหาฤๅษีวสิษฏ์ทรงยาตรามาถึงและ
ปรารถนาจะสักการะต่อพระเทวี แต่หากนรกะได้หยุดฤาษีไว้และมิให้ผู้ใดเข้าไปในเทวสถาน พระมหาฤๅษี
วสิษฏ์ทรงมีความโศกเศรา้ และโทษะจึงกล่าวคาสาปวา่ พระเทวจี ะไม่สถิตในอาณาจักรของนรกะอีกต่อไป และ
นรกะจะไมเ่ ป็นทพี่ งึ พอพระทัยของพระเทวอี ีกตอ่ ไป

พระภูเทวีมารดาของนรกะ ทรงอธิษฐานต่อพระวิษณุให้การปกครองของนรกะยืนยาว พระวิษณุทรง
ประทานพรน้ัน แต่ทรงตรัสท้ิงท้ายว่า หากเขากระทาเกินขอบเขตศีลธรรม เราจะลงมาทาลายเขาในรูปแห่ง
กฤษณาวตาร

ด้วยความอหังการ และแรงแห่งคาสาปทาให้เขากลายเป็นอสูร และสรา้ งความเดือดร้อนไปท่ัวท้ังสาม
ภพ นรกาสุระได้โจมตีสวรรคแ์ ละทาสงครามกับเหล่าเทวะ พร้อมทงั้ ยดึ ของวเิ ศษทั้งหลายของเหลา่ เทวดา และ
ไดย้ ดึ กุณฑลของพระแม่อทติ ิมารดาของเหล่าเทพคณะอาทิตย์ไป และได้กระทาอนาจารต่อสตรแี ละลักพาสตรี
16000 คนไปกักขังไว้

ในราตรีหน่ึงพระกามาขยาได้ปรากฏตัวในวิหารของพระนางและทรงร่ายรา นรกาสุระได้ทรรศนะ
และตะลึงในความงามของพระเทวี นรกาสุระได้เข้าไปขอให้พระเทววี ิวาหก์ ับตน พระเทวีสรงสรวลและตรสั วา่
"หากเจา้ สามารถสรา้ งบนั ไดจากเนินเขามาสักการะข้าได้ก่อนไกข่ ันในยามรุ่งอรุณข้าจะยนิ ดวี วิ าห์กับเจ้า" นรกา
สรุ ะรับคาทา้ น้นั และสรา้ งบันไดโดยเร็ว การสรา้ งบนั ใดจากเนินเขาเป็นไปอย่างรวดเร็ว

เม่ือพระกามาขยาทราบถึงกับกังวลพระทัยทรงอาราธนาพระวิษณุให้จาแลงเป็นไก่ขัน ในขณะน้ันเอง
อีกไม่ก่ีช่ัวยามรุ่งอรุณจะมาถึง การสร้างบันไดยังเป็นไปอย่างต่อเนื่องขณะที่นรกะมีความเหนื่อย และเร่ิมท้อ
พระวิษณุทรงจาแลงองค์เป็นไกข่ ัน นรกาสรุ ะจงึ ปราชยั ลง และพระกามาขยาก็อนั ตรธานหายไปจากอาณาจักร

พระภูเทวีทรงทราบถึงการกระทาของโอรสตนจึงเจ็บปวดและเป็นทุกข์ยิ่ง พระภูเทวีอธิษฐานต่อ
พระกฤษณะ (श्रीकृ ष्ण) (Shree Krishna) เพื่อจุดจบของเขา พระกฤษณะทรงตกลงที่จะยุติการทาบาป
ของนรกะ ด้วยพรแหง่ พระกาลิกา

พระกฤษณะ พร้อมท้ังพระนางสัตยภามา (श्रीकृ ष्ण – सत्र्भामा) (Shree Krishna and
Satyabhama) ได้ทรงครุฑไปยังแควน้ กามรปู และทรงทาลายป้อมปราการของนรกะพร้อมท้ังกองทัพ และมรุ า
สุระเสนาของนรกะ พระกฤษณะทรงทาสงครามกับนรกาสุระอยู่นานด้วยศาสตราวุธต่างๆ จนกระท่ังพระองค์
ได้นาสุทรรศนจกั รขึ้นมา

นรกาสุระได้แลเห็นพระกฤษณะ เป็นทั้งพระกาลี เป็นทั้งพระกามาขยา อยู่ทุกหนแห่ง ในท่ีสุด
พระกฤษณะทรงใชส้ ทุ รรศนจักรตัดคอนรกะตกรถศึกรว่ งลงพื้นแม่พระภมู ี

พระภูเทวีเมื่อแลเห็นโอรสของตนล่วงลงมายังพ้ืนจึงปรากฏตัวข้ึนต่อเบื้องพระพักตร์พระกฤษณะดว้ ย
ความเศร้าโศกพระทัย และได้มอบกุณฑลของพระอทิติจากร่างของโอรสที่เขาได้ขโมยมาถวายแก่กฤษณะ
พระกฤษณะได้ปลอบโยนภูเทวีและได้นาสิ่งที่นรกะขโมยมากลับคืนสู่เจ้าของเดิม ส่วนสตรีท่ีนรกะลักพาตัวมา
นางเหลา่ นนั้ ไมม่ สี รณะ กฤษณะจงึ รับเปน็ สนมทง้ั หมด และพระกามาขยาได้กลบั คนื สู่แควน้ กามรปู อกี ครา

*แคว้นกามรปู ปกครองโดยกษัตรยิ ไ์ ทอาหม ชาวไทอาหมในอสั สัมจึงกล่าววา่ นรกะถอื เป็นกษัตริย์องค์
แรกของพวกเขา ตอ่ จากน้นั กษัตริย์ไทอาหมกไ็ ด้ปกครองต่อมาจนกระทัง่ บริติชไดเ้ ข้ามา

ศรี วรลักษมี วรต

ศรี วรลักษมี วรตัม (ஸ்ரீ வேைக்ஷ்மி விேேம் / Shree Varalakshmi Vratam) หรือ
การถือพรตบูชาต่อพระวรลักษมี (พระลักษมีผู้ทรงพร) ศรี วรลักษมี วรตัม ปูไจ กระทาโดยเหล่าสุหาสินี
(सुहाक्तसनी / Suhasini) หรือท่ีทางตมิฬเรียกว่าสุมังคลิ เปณกัล (சுமங்கலி பபண்கள் /
Sumangali Pengal) (เหลา่ หญงิ สาวท่ีแตง่ งานแลว้ ) ในบา้ น เพื่อความเป็นอยู่ท่ดี ี ความเจรญิ รงุ่ เรอื งของคนใน
บ้าน โดยกระทาในวันศุกร์ก่อนศราวณะ ปูรณิมา (วันเพ็ญเดือนห้า ตามปฏิทินจันทรคติฮินดูหลัก) หรือศุกร์
ก่อนวันเพ็ญ ในเดือนอาฏิ ตามปฏทิ นิ จนั ทรคติของทางตมฬิ

โดยในวนั น้ี แม่บา้ นชาวฮนิ ดใู นอินเดยี ตอนใต้ จะต่ืนขึ้นชาระรา่ งกาย จัดเตรยี มสถานที่บูชา (สว่ นใหญ่
เป็นห้องพระในบ้าน) และสถาปนากุมภะ บูชา (ประกอบ และทาพิธีอันเชิญ พระศรีวรลักษมีสู่หม้อกลศ อัน
เป็นองค์แทนรูปเคารพของพระนาง ซ่ึงเป็นสัญลักษณ์แห่งพิธีงานน้ีเลยก็ว่าได้) และกระทาการบูชารับใช้ตา่ งๆ
แก่พระศรวี รลักษมี (พระศรีลักษมีผู้ทรงประเสริฐ) เชน่ การอปุ จาระ การทาปษุ ปารจนา หรือกงุ กมุ ารจนา และ
การสวดสาธยายโศลกมนตร์ต่างๆ หรือการร้องเพลงสรรเสริญขับกล่อม ซึ่งผู้ประกอบพิธีคือ เหล่าแม่บ้านใน
บ้านร่วมกันจัดขึ้น เช่ือว่าการถือพรตบูชาต่อพระวรลักษมี เทียบเท่ากับการบูชาอัษฏลักษมี (अष्टलक्ष्मी /
அஷ்டைக்ஷ்மி / Ashtalakshmi) หรือพระลกั ษมีแปดปาง อันเปน็ บคุ ลาธิษฐานของสริ ิมงคลทั้งแปด
ในหนึ่งเดียว

โดยหลักของการถือพรต ก็เหมือนการถือพรตอื่นๆ คือ อดอาหารตั้งแต่รุ่งอรุณ จนพระอาทิตย์อัสดง
ในยามเช้าเม่ือตน่ื ข้ึนมา ใหช้ าระร่างกาย เตรียมเครอื่ งบูชาทกุ สง่ิ อยา่ ง เริ่มประกอบพธิ ีบูชาต่างๆ ในยามวา่ งให้
สวดภาวนาระลึกถึงเทพองค์นั้นๆ ท่ีเราอุทิศตนถวาย เมื่อทาพิธีบูชาในยามเย็นเสร็จ หลังพระอาทิตย์อัสดงจึง
ลาเคร่ืองบัดพลมี ารับประทานเป็นสริ มิ งคล

ตานานวรลักษมี พรต บูชา กล่าวถึงพระหิมคิริตนยา (क्तहमक्तगररिनर्ा / Himagiritanaya) ทรง
ตรัสถามพระมเหศวร (महशे ्वर / Maheshwara) ถึงพิธีถือพรตบูชาท่ีจะตอบสนองผลแก่สตรีทั้งหลาย ร่วม
ท้ังบริวารของนางเหลา่ น้นั ให้ เจริญสุขสวัสดิ์ เป่ียมด้วยเสาวภาคย์ และทรัพยส์ มบัตพิ ร้อมท้ังความอดุ มสมบูรณ์
ทุกประการอยู่อย่างเนืองนิตย์ พระมเหศวรจึงได้ตรัสแสดงถึงศรีวรลักษมี พรต ปูชา (श्री वरलक्षमी व्रि
िूजा / Shree Varalakshmi Vrat Pooja) ขึน้

อีกส่วนกล่าวถึงนางจารุมตี (चारुमिी / Charumati) หญิงสาวผู้หน่ึงในเมืองกุณฑินปุระ
(कु क्तण्डनिुर / Kundinapura) (ปจั จบุ นั เปน็ สว่ นหนึ่งของอมราวตี ในรฐั มหาราษฏระ) จารมุ ตเิ ปน็ หญิงสาว
ผู้หน่ึงท่ีอุทิศตนเพื่อพระเทวี ในราตรีหนึ่งพระศรีมหาลักษมี ได้เสด็จมาในนิมิตของนาง และช้ีแนะให้จารุมตี
กระทาการถือพรตบูชาต่อพระนางในนามวรลักษมี (พระลักษมีผู้ประเสริฐ) ในวันศุกร์ก่อนวันเพ็ญเดือน
ศราวณะ เพื่อความสุขสวัสด์ิและความเจริญรงุ่ เรืองของคนในบ้าน เมื่อนางต่ืนข้ึนในอรุณรุ่ง จึงนานิมิตมาบอก
กลา่ วแก่คนในบ้าน ซึ่งคนในบา้ นเหน็ ดเี ห็นงามด้วย และกระทาซ่ึงการถือพรตบชู านตี้ ามนิมติ พระลักษมีพึงพอ
พระทยั ตอ่ การถือพรตบูชาของพวกเขาเหล่าน้ันเปน็ อยา่ งย่ิง จึงดลบันดาลทรัพย์สมบัติ และความอุดมสมบูรณ์
นานบั การแกค่ รอบครวั ของจารุมตี

วรลกั ษมี พรต ปูชา ถอื ว่าเปน็ ฤกษห์ น่ึงทสี่ าคัญยิ่งตอ่ เหล่าแม่บา้ นในอินเดียตอนใต้มาก โดยแพร่หลาย
ในรัฐตมิฬนาฑุ , กรรนาฏกะ , อานธรประเทศ , เตลังคณะ และรัฐมหาราษฏระ


























Click to View FlipBook Version