จตรุ ฺภุเช ขฑฺคหสเฺ ต มหาฑมรุธารณิ ิ।
ศริ ะปาตรฺ ธเร เทวิ เอกวเี ร นโม(อ)สตฺ ุ เต॥
คาอ่าน จะตรุ บุหเ์ จ ขดั คะหัสเต มะฮาดะมะรธุ ารณิ ิ
ชิระฮะ ปาตระธะเร เดวิ เอกะวเี ร นโมสตุ เต
แปล - ความนอบน้อมมีแด่พระองค์ พระเทวี เอกวีรา พระผู้ทรงสี่พระกร ทรงพระขรรค์ แลกลอง
บัณเฑาะว์อันเลิศเลอในพระหัตถ์ พระผู้ทรงไว้ซง่ึ บาตรจากส่วนของศีรษะ
ข้อความจากบท ศรี เรณุกา สโตตระ (บทสรรเสริญพระเรณุกา) โศลกที่เก้า โดย พระปรศุราม จาก
วายุปรุ าณะ
พระเทวี กับนาคหา้ เศยี ร
พระขรรค์แทนปญั ญาตดั ซงึ่ อวิชชา และมายาทั้งปวง
กลองบณั เฑาะว์ ส่งิ บันดาลแห่งการสร้าง การทานุบารงุ และการทาลายลา้ ง แห่งองคศ์ ิวะ - ศักติ
บาตร ภาชนะที่มาจากส่วนของกระโหลก เป็นสิ่งแทนสติปัญญาท่ีทาลายล้างซึ่งอวิชชา และการ
ควบคมุ รากษสภาวะในตน
บ่วงบาศมีนัยถึงพันธะในโลกวัตถุ คือ อวิชชา , กรรม และวาสนา อน่ึงยังแทนการควบคุมให้อยู่ใน
ธรรม
อันนาคนั้นคือ การปรากฏรูปของพระกุณฑลินีศักติ เศียรท้ังห้าน้ันมีนัยถึงประสาทสัมผัสท้ังห้า
และปัญจมหาภตู (ธาตุท้งั หา้ )
กุณฑลินี ศักตินั้นเป็นรูปหรือพลังอานาจของพระอาทิศักติ ซึ่งแทรกซึมอยู่ในทุกสรรพชีวิตในสกล
พรหมาณฑะ (จักรวาล อันมีรูปดังไข่ท่ีพระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างขึ้น) โดยทรงปรากฏรูปดังนาคินีท่ีขดองค์บรรทม
หลับใหลอยู่ ณ มูลาธาระ จักระ (मूलाधार चक्र / Mooladhara Chakra) อันเป็นจักระแรกในสูกษมะ
เทหะ (सूक्ष्म देह / Sukshma Deha) (ระบบกายละเอียด) ที่ต้ังอยู่ในบริเวณกระดูกกระเบนเหน็บ
(Sacrum) ซึ่งเป็นหน่ึงในส่วนแรกท่ีร่ายกายได้ก่อกาเนิดขึ้นในขณะอยู่ในครรภ์มารดา (ขณะตัวอ่อนได้เร่ิมก่อ
ร่างสร้างตัวขึ้นในโพรงมดลูกของมารดาด้วยอานาจแห่งพระพรหมา และเจตจานงค์ของพระอาทยะศักติ
ส่ิงแรกที่สร้างข้ึนนั้นคือส่วนของกระดูกสันหลัง และสมอง รวมถึงส่วนของระบบประสาททั้งหมด ก่อนท่ีจะ
สรา้ งอวยั วะอ่ืนๆ) ทรงรอคอยการตื่นตระหนักข้นึ ของชวี าตมัน หรอื จิตวญิ ญาณ พร้อมทงั้ การตื่นตวั ของจักระ
ต่างๆในรา่ งกาย ด้วยการทาโยคะ (การปฏบิ ัติจิตให้รวมเป็นหน่ึงกับร่างกาย/การทาจิตของตน ให้รวมเป็นหน่ึง
กับอภิมหาวิญญาน คือ ปรมาตมัน หรือ พระผู้เป็นเจ้า) และสมาธิ เม่ือเกิดการตระหนักรู้ในตัวเอง แม้จะ
เล็กนอ้ ย พร้อมกบั การตนื่ ตัวของจกั ระต่างๆ พระกณุ ฑลินจี ะทรงต่นื ขึ้นและจักทรงเดนิ ทางไปสู่จักระ (ทีเ่ ปรยี บ
ดังปัทมาสนะ (แท่พระอาสน์รูปดอกบัว) ซึ่งมีจานวนกลีบ และสีต่างๆกันไป)เบ้ืองบน ดังงูท่ีเล้ือยจากปลาย
พฤกษาชาติ สู่ยอดของพฤกษา โดยขออธิบายว่า ร่างกายน้ัน ก็เปรียบดังจักรวาล หรือ พิภพหน่ึง ซึ่งแต่ละใน
ส่วนของสกู ษมะ เทหะ (กายละเอียด) ก็เปรยี บดังพภิ พหนง่ึ แยกย่อย โดยมีศนู ย์กลางอยู่ทจ่ี ักระต่างๆ ซงึ่ แต่ละ
จักระน้ันจักมีเทพและส่ิงศักดิ์สิทธ์ิสถิตอยู่ พร้อมท้ังสามของพลัง หรือนาฑี (नाडी / Nadi) อันได้แก่ ปิงคลา
นาฑี (क्तिङ्गला नाडी / Pingala Nadi) ในทางขวา ซ่ึงควบคุมพลังหยาง (ธาตุร้อน , ความเป็นชาย) ใน
ร่างกาย อีฑา (ईडा नाडी / Ida Nadi) อันควบคุมพลังหยิน (ธาตุเย็น , ความเป็นหญิง) ในร่างกาย และ
สุษุมนา นาฑี (सुषुम्ना नाडी / Sushumna Nadi) อันอยู่เบื้องกลาง โดยพระกุณฑลินีจะเดินทางผ่านช่อง
พลังทัง้ สามน้ี ดงั งูสองตนท่กี าลังเล้ือยพันกนั สยู่ อด และบรรจบเป็นหนึ่งเดยี วในทา้ ยท่สี ุด
พระกุณฑลินี ศักติ จักทรงเดินทางจากจักระเบ้ืองล่าง คือ มูลาธาระ อันมีรูปเป็นปทุมชาติสี่กลีบ มีสี
แดงประการัง ซง่ึ มีพระคณปติ (श्री गणिक्ति / Sri Ganapati) และพระพรหมา (ब्रहमा / Brahma) เป็น
เทพผู้ดูแลควบคุมจักระน้ัน ไปสู่จักระเบื้องสูงข้ึน และเมื่อกุณฑลินี ศักติเดินทางผ่านจักระต่างๆ ผ่านช่องพลัง
ท้ังสามดังงูที่เล้ือยพันกันสู่ยอดไม้ ผ่านปิงคลา นาฑี แลอีฑา นาฑี เม่ือผ่านสู่อาชญา จักระ (आज्ञा चक्र /
Ajna Chakra) อันเป็นจักระที่หก มีรูปเป็นปทุมชาติสองกลีบ มีสีขาว บ้างว่ามีสีนิล ต้ังอยู่บนตาแหน่งระหว่าง
ค้วิ ทง้ั สองแลว้ รูปแหง่ พญานาคินีท้ังสองจะบรรจบเปน็ หนึ่งเดียวในสุษุมนา นาฑี ณ จักระนี้ สสู่ หสั ราระ จักระ
(सहस्रार चक्र / Sahasrara Chakra) อันเป็นจักระที่เจ็ดบนสุด มีรูปเป็นปทุมชาติพันกลีบ หลากสีสัน
เปรียบดังแท่นพระอาสน์ของพระนาง ซ่ึงจะทรงประทับคู่ร่วมกับพระสทาศิวะ ผู้ซ่ึงเป็นรูปแห่งอภิวิญญาณ
หรือปรมาตมัน ท่ีแทรกซึมอยู่ในชีวาตมัน และเป็นสักขีพยานต่อทุกการกระทา ของทุกสรรพชีวิต เมื่อพระแม่
กุณฑลินีเดินทางมาถึงสหัสราระแล้ว จักบังเกิดการตื่นรู้ หรือตะหนักตนของชีวาตมัน หรือจิตวิญญาณที่อยู่
ภายในขึ้น และสัมผัสถึงทิพยอานาจจากเบื้องบน ซ่ึงจุดประสงค์ของโยคะบางสานัก เช่น หฐะโยคะ , สหชะ
โยคะ และกณุ ฑลนิ ี โยคะ ก็เพอ่ื ปลกุ กณุ ฑลินี ศักติจากการหลบั ใหลน้แี ล
พระอังกาละ ปรเมศวรี แห่ง เมลมไลยะนรู
(Ankala Parameshwari of Melmalaiyanoor)
อังกาละ ปรเมศวรี (Ankala Parameshwari / அங்காை பேதமஸ்வாி) , อังกาลัมมา
(Ankalammaa / அங்காைம்மா) , องั กาลมั มัน (அங்காைம்மன் / Ankalamman) , องั กา
ลิ (Ankali / அங்காைி) หรืออังกาลัมมะ (Ankalamma / అంకాలమ్మ / ಅಂಕಾಲಮ್ಮ)
ในสาเนยี งภาษาเตลุคุ และกันนฑะ และอังกมั มะ (Ankamma / అంకమ్మ ของชาวเตลุค)ุ ทรงเปน็ เจ้า
แม่ทอ้ งถน่ิ หรือครามะเทวตา (เทพผ้พู ิทกั ษ์หมบู่ า้ น)ทผี่ นวกเป็นอวตารภาคหน่งึ ของ พระศักติ หรือพระแม่อุมา
ทรงเป็นที่สักการะนับถือในตมิฬนาฑุ , กรรนาฏกะ , อานธรประเทศ และบางส่วนของรัฐเตลังคณะ ทางตอน
ใต้ของอินเดีย แต่เทวสถานที่มีช่ือเสียงสุดของพระนาง อยู่ท่ีเมลมไลยะนูร (Melmalaiyanoor /
தமல்மனையனூர்) ในเขตตริ วุ ณั ณามะไล (Thiruvannamalai / ேிருவண்ணாமனை)
ของรัฐตมิฬนาฑุ อินเดียตอนใต้
ตานานของเทวสถาน กล่าวถึงคร้ังพระพรหมาทรงกระทายัชญะ ก่อเกิดนางอัปสรนาม ติโลตมา จาก
กองกูณฑ์พิธียัชญะนั้น นางอัปสรติโลตมานั้นสง่างามมาก แม้แต่พระพรหมายังทรงหลงใหล พระพรหมาคอย
แลมองนางตโิ ลตมาจนต้องเนรมิตเศียรท่ีห้าในทิศเบ้ืองบนเพื่อคอยทอดพระเนตรมองนางติโลตมา วนั หน่งึ นาง
อปั สรติโลตมาได้เดนิ ทางไปยังขนุ เขาไกลาศ พระพรหมาทราบเชน่ น้ันจงึ ตดิ ตามนางไปยังไกลาส
ณ ขุนเขาไกลาสพระนางปารวตี แลเห็นพระพรหมาทรงมีห้าเศยี รเหมือนพระศวิ ะเจา้ ผู้พระสวามีก็เข้า
พระทัยผิด คิดว่าเป็นพระศิวะเจ้า ไกลาสนาถ จึงกราบบูชาท่ีเบ้ืองบาทของพระพรหมา ด้วยทรงคิดว่าเป็นบดี
แห่งตน ภายหลังพระนางได้ทราบถึงความจริง ทรงอับอายเป็นอย่างยิ่ง จึงกราบทูลต่อพระศิวะผู้บดีว่า ควร
กาจัดเศยี รท่ีหา้ ของพระพรหมาเสีย
พระศิวะ จึงเข้าต่อสู้กับพระพรหมา และทรงตัดเศียรที่ห้าของพระพรหมา แต่พระพรหมาก็เนรมิต
เศียรใหม่น้ันขึ้นมาเสมอถึง 999 คร้ังด้วยกัน พระศิวะทรงตัดเศียรเหล่าน้ันมาทาเป็นพวงมาลัย และทรงตัด
เศียรท่ีเนรมิตขึ้นมาใหม่อีกหน่ึง และทรงยืนยันท่ีจะให้พระพรหมามีแค่สี่พักตร์ตามคาขอของพระแม่ปารวตี
พระพรหมาจงึ ทรงทาตามท่พี ระศิวะ และพระแม่อมุ าปรารถนา
ความทราบไปถึงพระแม่สรัสวตี ชายาแห่งพระพรหมา ทรงโกรธกร้ิวเป็นอย่างย่ิง ทรงกล่าวคาสาปให้
พระศิวะ ต้องทรงระหกระเหนิ ไปทุกหนแห่งไปกบั เศยี รพรหมทตี่ ิดในพระหัตถ์ และทรงหวิ โหย ตอ้ งทรงอย่ดู ้วย
การภิกขาจาร แต่โภชนาที่ได้รับมาเศียรพระพรหมาท่ีติดอยู่ในพระกรของพระองค์จะกลายเป็นมารร้ายคอย
แย่งชิงโภชนาน้ัน และโหยหิวจนต้องดับความหิวด้วยเถ้ากระดูกเพียงสามกามือเท่านั้น ส่วนพระแม่ปารวตี
พระแม่สรสั วตี ทรงสาปใหพ้ ระนางอยู่ในรปู ท่ีนา่ สะพรึงกลัว แตต่ ัวอย่างชาวเผ่า มบี ริวารเปน็ ภตู ผี
พระโยเคศวร ศิวะมหาเทพ จึงต้องระหกระเหินตามคาสาปน้ัน ทรงดารงอยู่ได้เพียงเถ้ากระดูก
เล็กนอ้ ย และการภิกขาจาร ซึ่งอาหารทไ่ี ด้จากการภิกขาจาร กปาละ หรือ เศียรพระพรหมาทตี่ ิดอยู่กับพระกร
พระองคด์ ังเจ้ากรรมนายเวร กจ็ ะคอยแย่งทานจนหมด
ส่วนพระแม่อุมา ผู้งดงามย่ิงบัดน้ีได้ตกอยู่ในรูปท่ีน่าเกลียดน่ากลัวตามคาสาปพระสรัสวตี พระ
นารายณ์ทราบความส่ิงที่บังเกิดขึ้นกับพระขนิษฐาจึงปรากฏองค์มากล่าวปลอบพระทัยพระนาง และทรงตรัส
ว่า คาสาปจะส้ินสุดลงและได้ประทับอยู่กับพระศิวะอีกครั้งเมื่อพระนางได้ไปชดใช้กรรมในพ้ืนปฐพีโลกและ
ปรากฏรปู นาคนิ ี ท่ี เมลมไลยะนูร
พระศิวะปริยา จึงระหกระเหินในพ้ืนปฐพีโลก พระเทวีทรงพบกับ พระกปิละมุนี ท่ีติรุวัณณามะไล
และทรงไดส้ รงสนาน ณ พรหมตีรถะ พระนางจงึ หลุดพ้นจากคาสาปของพระสรัสวตี
ณ เมลมไลยะนูร พระนางทรงแสดงทิพยลลี าต่อชาวประมง และทรงปรากฏองค์ให้ชาวประมงเหน็ ใน
รูปของนาคินีห้าเศียร ทรงสถิตภายในจอมปลวกในเขตสถานของเจ้าเมือง โดยให้ครอบครัวชาวประมงเป็นปู
จารีกระทาบูชาต่อพระนางในทุกวันๆ หากครอบครัวชาวประมงทาตามท่ีพระนางขอก็จักคุ้มครองช่วยเหลือ
ครอบครัวของชาวประมง ชาวประมงจึงเล่ือมใสศรัทธาในพระเทวี จึงปฏิบัติบูชาต่อพระเทวีในรูปนาคินีตามที่
พระนางปรารถนา
ความทราบถึงเจ้าเมือง เจ้าเมืองจึงเสด็จมาที่ศาลเจ้า เมื่อแลเห็นศาลจอมปลวกในอุทยานก็ทรงกร้ิว
ทรงใช้ผลกาลังเพื่อทาลายจอมปลวก อังกาลัมมัน จึงปรากฏให้เจ้าเมืองได้ทรรศนะ เจ้าเมืองได้ทรรศนะ พระ
องั กาลัมมัน ก็เกดิ ความเลือ่ มใสศรัทธาจึงถวายทด่ี นิ เพอ่ื สร้างเทวสถาน
ตอ่ มา พระโยเคศวร ทรงระหกระเหินมาถึงเมลมไลยะนรู และได้มาขออาหารท่ีเทวสถานพระอังกาลัม
มันน้ี เมื่อพระนางทรงทราบถึงการมาของ พระโยเคศวรก็ทรงปิติย่ิง ทรงระลึกถึงพระนารายณ์ผู้เชษฐา พระ
นารายณ์จึงปรากฏขึ้นเบอ้ื งพระพักตร์ของ พระเทวี พระเทวีได้ทรงขอคาปรึกษาหนทางการหลุดพ้นจากวิบาก
กรรมนี้จากพระนารายณ์ พระนารายณ์จึงให้เทวีจัดโภชนาเป็นสามส่วน สองส่วนถวายแด่พระโยเคศวร และ
กปาละ อีกส่วนให้ทาหล่นดังเป็นอุบัติเหตุมิได้เจตนา เม่ือกปาละลงมาเพื่อมาแย่งชินโภชนาน้ัน ให้พระเทวี
ปรากฏรูปร่างใหญ่โตเหยีบกปาละนั้นไว้ใต้เบ้ืองบาท พระศิวะจึงหลุดพ้นจากคาสาป และได้แนะนาพระลักษมี
และแมโ่ คสารพดั นึกสรุ ภี ในการช่วยเหลอื จัดเตรียมโภชนาอนั เลศิ รส
พระเทวีจึงจัดเตรียมโภชนาอันเลิศรสสามส่วนน้ัน และอันเชิญพระคณปติเป็นผู้ช่วยในการรับใช้ให้
ความสะดวกสบายแก่พระศิวโยเคศวร เมื่อพระเทวีถวายโภชนาตามแผน โภชนาท่ีหล่นไปกปาละได้เข้ามาชว่ ง
ชงิ พระเทวีจึงใชพ้ ระบาทกดเหยีบไวแ้ ละให้เปน็ บริวารของพระองค์
พระเทวี กับพระศวิ ะ จึงหลุดพ้นจากวิบากกรรม จากการทารา้ ยพระพรหม และกลบั อยรู่ ว่ มกันอีกครั้ง
พระเทวีได้ให้พรจักสถิต ณ เมลมไลยะนูร ในนาม อังกาละ ปรเมศวรี เพ่ืออานวยพรและพิทักษ์สาวกในพ้ืน
ปฐพีจากยุคเขญ็
มนตระ
ஓம் அங்காைம்மதன தபாற்றி
OM Ankaalammane Pottri
(OM salutations to Ankalamman)
โอม อังกาลมั มะเน โปตตริ
(โอม ขา้ พเจ้าขอน้อมสรรเสริญ อังกาลัมมนั )
Ellai Amman & Poleramma boundary Goddess
เอลไล อัมมนั และ โปเลรัมมะ เจา้ แม่ผคู้ ุม้ ครองหมู่บ้าน
ในตมิฬนาฑุ เอลไล อัมมัน (எல்னையம்மன் / Ellai Amman) ถือ เป็นเจ้าแม่ผู้คุ้มครอง
ดูแลเขตแดนหมู่บ้าน พระนางถือเป็นองค์เดียวกับ พระศรี เรณุกา ปรเมศวรี (ஸ்ரீ தேணுகா
பேதமஸ்வாி / Sri Renuka Parameshwari) และเกี่ยวขอ้ งผนวกกบั มารยิ มั มนั (மாாியம்மன்
/ Mariamman) เจ้าแม่ท่ีได้รับการบูชาในหลายหมู่บ้านในท้องถิ่นตมิฬ ทรงเป็นเทวีผู้ให้การคุ้มครองชุมชน
และประทานฟา้ ฟนสมบรู ณ์ อกี ทั้งขจัดโรคภยั ตา่ งๆ
ในขณะเดียวกัน ชาวเตลคุ ใุ นรฐั อานธรประเทศ และเตลังคณะก็มี โปเลรมั มะ (పోలేరమ్మ
/ Poleramma) เป็นเจ้าแม่ผู้ให้การคุ้มครองเขตแดนหมู่บ้าน ชุมชนต่างๆ และขจัดโรคภัยไข้เจ็บ เป็นเจ้าแม่
ท้องถิ่นด้งั เดิมที่ผนวกเปน็ อวตารพระกาลี (కాళీ / Kali) ทช่ี าวเตลุคุให้การเคารพนับถือ
เวปปิไลการิ พระเทวี กบั ใบสะเดา
ใบสะเดา (Neem leave) หรือ เวปปิไล (தவப்பினை / Veppilai) ในภาษาตมิฬน้ันถือเป็น
หนึ่งในเคร่ืองสักการะแก่เจ้าแม่ท้องถ่ินทั้งหลายในอินเดียตอนใต้ โดยเช่ือกันว่า ใบสะเดาสามารถขจัดโรค
ผิวหนัง และปัดเป่าส่ิงชั่วร้ายได้ หน่ึงในท่ีมาของความเช่ือนี้ปรากฏอยู่ในตานานของเทวสถาน ศรี เรณุกา
ปรเมศวรี หรือศรี เรณุกามบาล แห่งปฏเวฑุ ดงั นี้
กล่าวถึงเม่ือคร้ังพระฤๅษีชมทัคนีผู้ภัสดาแห่งพระเรณุกาเทวีได้ถูกสังหารลงด้วยกษัตริย์ (บ้างว่า ท้าว
การตวีรยารชุน บ้างว่า โอรสทั้งสามของท้าวเธอ) พระนางเรณุกาผู้ปดิวรัดาทรงเศร้าโศกเสียพระทัยย่ิง อีกทั้ง
ทรงตดั สินพระทยั ทจี่ ักปลงศพพระสวามี พร้อมกับตนเอง
พระนางเรณุกาจงึ ทรงจัดเตรยี มพธิ ีสังสการสดุ ท้ายแก่พระฤๅษชี มทัคนี พร้อมทงั้ สละชพี ของตนในกอง
เพลิงโดยหวังตดิ ตามรบั ใชภ้ สั ดาไปในโลกหน้า หากแตด่ ว้ ยพระประสงคแ์ ห่งพระโยเคศวร ทรงประทานสายฝน
โปรยปรายลงมาดับเพลิงอันร้อนแรงนั้น พระนางเรณุกาทรงฟ้ืนคืนชีพข้ึนพร้อมด้วยร่างกายท่ีพุพองจากเปลว
เพลิง มีเพียงพระพักตร์ท่ีมิต้องเปลวอัคคี ทรงใช้เพียงใบสะเดาเป็นอาภรณ์ปกคลุมร่างกายเพ่ือรักษาบรรเทา
อาการจากแผลพุพองนั้น จากน้ันพระสทาศิวะ ทรงปรากฏองค์ข้ึน ทรงอานวยพรแก่พระนางเรณุกา ให้พระ
นางไดร้ ับการบูชาในฐานะพระเทวีผูค้ ้มุ ครอง และขจัดโรคภัยไขเ้ จบ็
พระนางเรณุกา ทรงปรารถนาอยู่บนโลกเพียงแค่ พระเศียรเท่าน้ัน จึงปรากฏองค์เพียงแค่พระเศียร
เป็นสวยัมภู มูรติ (รูปเคารพที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มักเป็นหินที่มีรูปร่างแปลกจากธรรมชาติ) ส่วนพระ
วรกายนน้ั ไปยังโลกเบื้องบนพร้อมกบั พระมนุ ศี วร ชมทคั นี
จากการที่พระนางทรงใช้ใบสะเดา (Neem leave) เป็นอาภรณ์ปกคลุมพระวรกายท่ีเป็นแผลพุพอง
จากความร้อนนี้เอง พระนางจึงได้รับการบูชาด้วยใบสะเดา อีกท้ังเชื่อว่า พระเทวีจักทรงใช้ใบสะเดาน้ีในก าร
รักษาบรรเทาจากโรคผิวหนังทง้ั ปวง และขับไลส่ ่งิ ชั่วรา้ ยออกไป (ในสมัยกอ่ นเชื่อว่า โรคภยั ไข้เจ็บเกิดจากภูตผี
ปศี าจ วิญญาณชว่ั ร้าย) ดว้ ยเหตุนเ้ี อง พระนางจึงทรงมีนามหนึ่งวา่ เวปปไิ ลการิ (தவப்பினைக்காாி
/ Veppilaikari) อันมีความหมายว่า หญิงสาวแห่งใบสะเดา หรือเทพีแห่งใบสะเดา ผู้รักษาโรค และขจัดส่ิงชั่ว
ร้ายดว้ ยใบสะเดา
ศรี มาตาปรุ ะนิวาสินี ชคทามพา เทวี
มาตาปุระ (मािािुर / Matapura) หรือ มาฮรู (माहूर / Mahur) ในปัจจบุ นั อนั ตง้ั อยู่ในรัฐมหา
ราษฏระ (महाराष्ट्र / Maharashtra) ในบริเวณตะวันออกของรัฐใกล้กับเขตพรมแดนระหว่างรัฐ
มหาราษฏระ กับรัฐเตลังคณะ ถือเป็นอีกหน่ึงปุณยสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู เชื่อกันว่า ณ ท่ีแห่งน้ีเป็นที่
ประสูติของพระทตั ตาเตรยะ (श्री दत्तात्रेर् / Shri Dattatreya) และเป็นที่ตัง้ ของอาศรมพระฤๅษีอัตริ (श्री
ऋक्तष अक्तत्र आश्रम / Shri Rishi Atri Ashram) อีกท้ังเป็นสถานท่ีๆ พระนางเรณุกาเทวีได้รับมุกติ เป็น
ท่ีตั้งของศรี เรณุกา เทวี ศักติปีฐะ หรือศรี เอกวีรา ศักติปีฐะ (श्री रेणुका देवी शक्ति िीठ / श्री
एकवीरा शक्ति िीठ) (Shri Renuka Devi Shakti Peetha / Shri Ekavira Shakti Peetha)
ตานานเทวสถาน ศรี มาตาปรุ ะนวิ าสนิ ี ชคทามพา เทวี (श्री मािािरु क्तनवाक्तसनी जगदाम्प्बा
देवी मंददर / Shri Matapura Nivasini Jagadamba Devi Mandir) หรือศรี เรณุกา เทวี ศักติปีฐ (श्री
रेणकु ा दवे ी शक्ति िीठ / Shri Renuka Devi Shakti Peeth) ได้กลา่ วถงึ เม่อื ครั้งพระมหาฤๅษีชมทัคนี
(श्री जमदक्ति महर्षप / Shri Jamadagni Maharshi) ได้ถูกสังหารลงโดยโอรสท้ังสามของท้าว
การตวีรยารชุน พระนางเรณุกาเทวีผู้ปดิวรัดาทรงโศกเศร้าเสียพระทัยย่ิง ทรงกันแสง แลชกตีพระอุระตนเอง
ถึง 21 คร้ังดว้ ยกนั (ซึง่ เปน็ มลู เหตขุ องการกวาดล้างทรราชบนพ้ืนปฐพี 21 คร้งั ของพระปรศุราม) พระนางทรง
มีประสงค์ท่ีจักปลงศพภัสดา พร้อมกับการพลีชีพตน ณ ปุณยสถานอันศักด์ิสิทธิ์ใกล้กับอาศรมพระฤๅษีอัตริ
และพระนางอนุสูยาผู้ปดิวรัดา จึงมีรับสั่งให้รามภัทร หรือปรศุราม (रामभद्र / िरशुराम -
Ramabhadra / Parashurama) ผูบ้ ุตร แบกหามร่างของพระชมทคั นี และตนไปยงั ปณุ ยสถานนนั้
ณ ปุณยสถานน้ัน พระทัตตาเตรยะ (श्री दत्तात्रेर् / Shri Dattatreya) ได้ปรากฏองค์ขึ้น กล่าว
สรรเสรญิ พระนางเรณุกาเทวี ในฐานะพระศักติ ผทู้ รงเปน็ มารดาแห่งทกุ สรรพส่ิง และประกอบพิธีสงั สการครั้ง
สุดท้ายแก่พระชมทัคนี และพระนางเรณุกาเทวี พระนางเรณุกาเทวีจงึ ได้รับมุกติ กลับคืนสู่พระศักติ และทรง
สถิต ณ ปุณยสถานแห่งน้ี ในนามศรี เรณุกา เทวี ปุณยสถานแห่งนี้จึงได้นาว่า มาตฤปุระ (मािृिुर /
Matripura) หรือ มาตาปุระ (मािािुर / Matapura) และ มาตฤตีรถะ (मािृिीर्थप / Matri Teertha)
อนั หมายถึง เมอื งแหง่ มารดา ซง่ึ เปน็ หนึง่ สถานที่แสวงบุญอนั ศกั ด์สิ ทิ ธขิ์ องศากตะนิกาย
โดยเทวสถานของพระเทวนี ้นั ตั้งอยบู่ นภูเขา รูปเคารพของพระนางนั้นเป็นสวยัมภู มูรติ หรอื รูปเคารพ
อนั เกิดขนึ้ เองตามธรรมชาติ ซ่งึ เปน็ หนิ มลี ักษณะคล้ายใบหน้าของคน รูปเคารพของพระนางนั้นได้การชโลมทา
โดยผงสินดูรสีแสด ประดับด้วยภูษาภรณ์ แลเคร่ืองอลงกรณ์ต่างๆ ซึ่งได้รับการทรรศนะจากเหล่าสาวกผู้
ศรัทธาในพระนางท่เี ดนิ ทางมาจากท่ัวทกุ สารทิศของอินเดีย