The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by parkerloykhampom99, 2021-12-28 01:10:08

DEVA ATTHAKATHA

DEVA ATTHAKATHA

ปจั ไจ อัมมัน

ปัจไจ อัมมัน (பச்னசயம்மன் / Pacchai Amman) หรือเจ้าแม่เขียว (Green Goddess)
ทรงเป็นเทพี หรือเจ้าแม่ในระดับท้องถ่ินองค์หน่ึงที่ศรัทธากันอย่างแพร่หลายในตมิฬนาฑุ เทวสถานอันมี
ชื่อเสียงของพระนางตั้งอยู่ในเมืองติรมุ ุลไลวายัล (ேிருமுல்னைவாயல் / Thirumullaivayal) เขต
ปรมิ ณฑลของเชนไน

ตานานของปัจไจ อัมมัน มักเก่ียวโยงกับตานานการเล่นหยอกล้อตามภาษาผู้หญิงของพระปารวตี ซึ่ง
พระนางได้แอบเข้ามาปิดพระเนตรของพระศิวะจากเบ้ืองหลัง ทาให้ทั่วสกลพิภพมืดมนไปขณะหน่ึง เหตุน้ีทา
ให้พระศิวะทรงกรวิ้ เปน็ อยา่ งย่ิง จงึ ส่งพระนางไปยงั พนื้ พภิ พเพ่ือบาเพญ็ ตนสานึกตนและไถบ่ าปจากการกระทา
ผิดนี้

บนพ้ืนพิภพพระปารวตีทรงบาเพ็ญตน และบาเพ็ญตบะอย่างหนักโดยการยืนบาทเดียวบนเข็ม โดย
มสี ัปตฤๅษี และสัปตกัณณิยัร (สัปตมาตฤกา) เปน็ ผู้คอยพิทักษค์ ุ้มครองพระนาง ดว้ ยเหตนุ ้ภี ายในเทวสถานของ
พระนางในติรมุ ุลไลวายลั จึงประดิษฐานสปั ตฤๅษี พร้อมทัง้ สัปตกัณณิยรั

ในสว่ นของที่มาของพระนาม ปจั ไจ อมั มันน้นั ศรี รามนะ มหรรษี ได้เคยอธบิ ายไว้ว่า มาจากเดชตบะ
ของพระนางเองท่ไี ด้เปลย่ี นแปลงพระฉววี รรณของพระนางให้คล้าเขยี วดงั มรกต

อกี ท่ีหนึ่งกลา่ ววา่ พระเคาตมะ ฤๅษี ไดอ้ นั เชิญพระเทวีประทับบนอาสนะซ่ึงทาจากหญ้าศักดิส์ ิทธ์ิ เมื่อ
พระนางประทับบนอาสนะน้ัน รัศมีจากอาสนะก็ต้องพระวรกายของพระนางเป็นสีเขียวเหลือง จึงทาให้พระ
นางไดร้ บั นามในภาษาตมิฬวา่ ปัจไจ อัมมนั ซ่ึงหมายถึง พระแม่เขียว

เทวปฏมิ าของปัจไจยมั มัน มักปรากฏเป็นเทวีซ่งึ มสี ิริโฉมงดงาม ประทบั น่ังบนแท่นพระอาสน์ ทรงสอง
กร ถึงสี่กร ซ่ึงใช้รูปแบบปฏิมาเดียวกันกับพระมีนากษี , ภุวเนศวรี และมาริอัมมัน หากเป็นปฏิมาดินป้ัน ปูน
ปั้นจะชัดเจนขน้ึ ดว้ ยฉววี รรณสีเขยี ว และมกั มนี กแกว้ ปรากฏบนสงิ่ ของทพี่ ระนางถอื ในพระหตั ถห์ ลกั ด้วย

กุษฐโรคหะรา

กุษฐโรคหะรา (कु ष्ठरोगहरा / Kushtharogahara) เป็นนามหนึ่งของพระศรีเรณุกาเทวี อันปรากฏ
อยูใ่ นศรี เรณกุ า อัษโฏตตระศตนาม (श्री रेणकु ा अष्टोत्तरशिनाम / Shri Renuka Ashtottarashata
Nama) หรือ 108 พระนามศรีเรณุกา เทวี ซึ่งมีความหมายว่า พระนางผู้ทรงขจัดโรคเร้ือน (กุษฐโรค)
(Leprosy) อันเป็นโรคระบาดร้ายแรงในสมัยก่อนท่ีทาให้ผู้คนต่างหวาดกลัว ด้วยเป็นโรครา้ ยแรงทาให้เสยี โฉม
และถูกรังเกียจจากสงั คม

เร่ืองราวระหว่างพระเทวี กับโรคเรื้อน มีปรากฏในตานานพื้นบ้านของพระเรณุกา เทวี โดยกล่าวถึง
เมื่อครงั้ พระเรณกุ าเทวีทรงป้ันหม้อน้าจากทราย เพื่อนานา้ จากแมน่ า้ ไปยงั อาศรมตามปกติ หากแต่ขณะท่ีพระ
นางตกั น้าจากแม่นา้ นัน้ เอง พระนางเองกไ็ ด้แลเห็นถงึ เงาของคนธรรพ์นาม จติ รรถ (क्तचत्ररर्थ / Chitraratha)
กาลังละเล่นหยอกล้ออยู่กับเหล่านางอัปสร อยู่บนนภากาศ พระนางเรณุกาเม่ือแลเห็นดังน้ัน ก็มีความสนเท่ห์
ในความงามของคนธรรพ์ และมีความน้อยพระทัยในชีวิตคฤหัสถ์ของตนที่มีความแตกต่างกันอย่างส้ินเชงิ เมื่อ
ทรงบังเกิดความคิดเช่นน้ันข้ึน พลันหม้อทรายน้ันก็แตกไม่เหลือช้ินดี และไม่สามารถป้ันข้ึนมาได้อีก ด้วย
ความคิดนัน้ เปน็ มลทินแปดเปื้อนความเปน็ ปดวิ รัดาของพระนาง

เมอ่ื พระชมทัคนิ (जमदक्ति / Jamadagni) ผภู้ สั ดาทรงทราบความด้วยญานก็กร้วิ เปน็ ย่ิงนัก ทรงขับ
ไล่พระเรณุกาไปจากอาศรม อีกท้ังสาปให้เป็นเร้ือน เป็นท่ีรังเกียจแก่ผู้พบเห็น พระนางเรณุกาจึงระหกระเหิน
ไปยังชุมชนจัณฑาล พระนางได้ทาการบูชาถึงพระศิวะ ตามคาแนะนาของมุนีสององค์นาม เอกนาถ

(एकनार्थ / Ekanatha) และโชคีนาถ (जोगीनार्थ / Joginatha) จนกระทั่งพระศิวะทรงพึงพอพระทัย
ทรงชาระมลทินด้วยการประทานสายน้าคงคาจากมวยพระเกศา อันทาให้พระนางหลุดพ้นจากคาสาปของ
ภสั ดา และกลับไปยังอาศรม หากแต่พระชมทัคนิไม่ยอมรับพระนาง และมรี บั สง่ั ให้ปรศรุ ามผู้บุตรสงั หารมารดา
เสีย ด้วยความเกรงกลัวเพลิงพิโรธของบิดา พระปรศุรามจึงทาตามคารับสั่ง พระชมทัคนิพึงพอพระทัยในปรศุ
รามจงึ ใหป้ รศรุ ามขอพรไดต้ ามต้องการ ปรศุรามจงึ ขอใหพ้ ระชมทคั นคิ ืนชพี แก่มารดาตน และเหล่าภารดาของ
ตน พระชมทัคนิพึงพอพระทัยในคาขอนั้น จึงคืนชีพแก่เรณุกาเทวี และ บุตรท้ังสามของตนท่ีถูกเผาด้วยเพลิง
พโิ รธของตน ดว้ ยเหตนุ พ้ี ระแมเ่ รณกุ า จึงเปน็ เทวผี ู้ขจัดซ่ึงโรคเร้อื น และโรคผวิ หนังท้งั หมด

ส่วนตานานพ้ืนบ้านของตมิฬกล่าวต่างไปว่า เม่ือครั้งพระนางเรณุกาเทวี ทรงกระทาพิธีสตีพลีชีพตาม
ภัสดาไปน้ัน พระศิวะทรงประทานฝนโปรยปรายดับไฟน้ัน และอานวยพรให้พระนางได้รับการบูชาในฐานะ
พระเทวีองค์หนึ่ง ผู้คุ้มครองชุมชน และขจัดโรคภัย หากแต่ร่างของพระนางเป็นแผลผุพองจากไฟ ทรงมีเพียง
ใบสะเดาเป็นอาภรณ์ เพื่อบรรเทาอาการจากแผลพุพองน้ัน บ้างว่า ทรงฟื้นมาพร้อมกับตุ่มโรคไข้ทรพิษ

(smallpox) ด้วยเหตุน้ีพระนางจึงได้รับการบูชาในฐานะ มุตตุมาริ (முத்துமாாி / Mutthu Mari) ผู้ขจัด
โรคไข้ทรพิษ และโรคผวิ หนงั ท้ังปวง

พระเรณุกามพา และ พระมาตงั คี

พระศรีเรณุกา ปรเมศวรี (ஸ்ரீ தேணுகா பேதமஸ்வாி / श्री रेणुका िरमेश्वरी)
(Sri Renuka Parameshwari) ทรงเป็นรูปปรากฏแห่งพระปราศักติ ในฐานะเทพผู้คุ้มครองชุมชน หมู่บ้าน
ต่างๆ (Village Deity) ซ่ึงสันสกฤตเรียกว่า ครามะเทวตา (ग्रामदेविा / Grama Devata) หรือ
ครามะ เดวะไต (கிோம தேவனே / Grama Devathai) และกาวัล เดย์วัม (காவல்
பேய்வம் / Kaval Deivam) (Guardian Deity) ในภาษาตมิฬ อีกทั้งทรงเป็นเทวีผู้ขจัดโรคภัยไข้เจ็บ
ต่างๆ ซึ่งทรงได้รับการบูชาในพระนามต่างๆ กันไป เช่น เอลไล อัมมัน (எல்னையம்மன் / Ellai
Amman) ในฐานะผูค้ มุ้ ครองดูแลหมู่บ้านตา่ งๆ

มารอิ ัมมัน (மாாியம்மன் / Mariamman) ในฐานะผู้ประทานฟ้าฝนและความอดุ มสมบรู ณ์
กรมุ าริ / กฤษณะมาริ / นาคัมมา / นาคาตตมั มา (கருமாாி / கிருஷ்ணமாாி / நாகம்மா
/ நாகாத்ேம்மா) (Karumari / Krishnamari / Nagamma / Nagathamma) ในฐานะผู้ทรงปรากฏ
เปน็ พญานาคสี ีดา

มุตตุมาริ (முத்துமாாி / Mutthumari) ในฐานะผู้ทรงประทานพรอันล้าค่าดังเม็ดไข่มุกแก่
ชาวนา และขจดั โรคไข้ทรพิษ , อีสุกอีใส และโรคผิวหนงั ตา่ งๆ ท่ีปรากฏตุ่มบนกายเหมอื นไขม่ ุก

พระมาตังคี (ஸ்ரீ மாேங்கி / श्री मािङ्गी / Matangi) พระแม่มาตังคี ทรงได้รับการ
สักการะบูชาในฐานะเทวีแห่งคาพูด , มนตระ และศาสตร์ศิลป์ทั้งปวง ในทางตันตระ และทรงเป็นเทวีท่ีได้รับ
การบูชาจากทกุ ชนชนั้ ไม่ข้นึ กบั วรรณะใดๆ เช่นเดยี ว กับพระเรณุกา หรือเอลลมั มะ ผทู้ รงนามมารดาแห่งทุกผู้
(เอลลมั มะ / ชคทามพา)

พระมาตังคี ทรงเป็นรูปแห่งพระศักติ ในฐานะผู้สนองต่อความต้องการของสาวกผู้ภักดี คือ พระฤๅษี
มาตังคะ (மாேங்க ாிஷி / मािङ्ग ऋक्तष / Matanga Rishi) ผู้มาจากชนชั้นจัณฑาล ท่ีทรง
บาเพ็ญตบะอย่างแรงกล้าต่อพระปราศักติ เพื่อให้พระนางเสด็จลงมาอานวยพรแก่ตนในฐานะบุตรสาว ด้วย
เหตุนี้พระนางจึงมีนามว่า มาตังคี (मािङ्गी / Matangi) , มาตังคะกันยา (मािङ्गकन्र्ा /
Matangakanya) และมาตังคะตนยา (मािङ्गिनर्ा / Matangatanya)

เรื่องราวความเก่ียวข้องระหว่างพระเทวีทั้งสองมีปรากฏในตานานพื้นบ้านของพระเรณุกา โดย
กล่าวถึง เม่ือคร้ังพระเรณุกาทรงได้รับโทษทัณฑ์จากพระชมทัคนีผู้ภัสดา โดยการปลิดชีพด้วยน้ามือปรศุรามผู้
บุตร พระนางเรณุกาได้ออกระหกระเหิน ไปขอความช่วยเหลือจากชุมชนจัณฑาล (บ้างว่า อาศรมของพระมา
ตังคะมุนี) เพื่อขอท่ีหลบซ่อนที่พักพิงอาศัย ซ่ึงทางชุมชนน้ันให้การปรนนิบัติรับใช้เป็นอย่างดี ทรงได้รับการ
ดูแลเป็นอยา่ งดโี ดยจณั ฑาลนิ ี (มาตังคี) หากแตป่ รศรุ ามก็ตามมาจนพบ และเขา้ มาหวังทาตามคารับสงั่ ของบิดา
ใหส้ าเร็จ

เม่ือนางจัณฑาลินีแลเห็นดังน้ัน ก็ออกมาเข้าช่วยพระนางเรณุกาจนถูกจามด้วยขวานของปรศุรามไป
ด้วยกันท้ังสองคน

พระชมทัคนิพึงพอพระทยั ในองคป์ รศรุ าม จึงให้ปรศรุ ามขอพรไดต้ ามปรารถนา ปรศุราม จงึ ขอใหพ้ ระ
ชมทัคนิคืนชีพแก่เรณุกา เทวี มารดาของตน และสหายของนาง พระชมทัคนิพึงพอพระทัยในคาขอน้ัน จึง
ประทานหม้อกมณฑละท่ีบรรจุน้าศักด์ิไว้ ใหป้ รศรุ ามพรมน้าศักด์สิ ิทธน์ิ ั้นบนร่างของนางท้ังสอง แล้วทัง้ สองจะ
ฟน้ื คนื ชพี

ปรศุรามจึงรับหม้อน้าน้ันไว้ แล้วรีบเดินทางไปยังชุมชนน้ัน แล้วต่อศีรษะของทั้งสองเข้ากับร่างและ
ประพรมน้าศักดิ์สิทธ์ิน้ัน แต่ด้วยความรีบร้อนจึงต่อสลับร่างกัน ต้ังแต่นั้นมาทั้งสองจึงดารงฐานะสหายของกัน
ละกัน เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของกันละกัน เมื่อบรรลุเป็นเทพก็ยังคงดารงฐานะพระสหายกัน หรือร่วมเข้าเป็น
หนึง่ เดียว ในฐานะพระชคทามพา

ชคทัมพา ชคัทวนั ทยฺ า มหาศักตริ -มะเหศวะรี

มหาเทวี มหากาลี มหาลักษมีห์ สรัสวตี

มหาวรี า มหาราตรหิ ์ กาละราตรศิ จะ กาลิกา

สทิ ธวทิ ยา รามะมาตา ศิวา ศานตา ฤษปิ รยิ า

แปล - พระผู้ทรงเป็นมารดาแห่งพิภพ พระผู้ทรงได้รับการเคารพศรัทธาจากทุกผู้ พระมหาศักติ
(พระผู้ทรงเป็นพลังอานาจอันย่ิงใหญ่) พระมเหศวรี (พระนางผู้เป็นเจ้าผู้ทรงความย่ิงใหญ่) พระมหาเทวี พระ
มหากาลี (พระนางผทู้ รงเปน็ กาลเวลาอนั ย่ิงใหญ)่ พระมหาลกั ษมี (พระนางผู้ทรงเปน็ บุคลาธิษฐานของโชคลาภ
และสิริมงคลทั้งหมด) พระสรัสวดี (พระนางผู้เยือกเย็นดังสายน้า) พระนางผู้ทรงความกล้าหาญย่ิง พระมหา
ราตรี แลกาลราตรี (พระนางผู้ทรงเป็นบุคลาธิษฐานของราตรีอันมืดมดิ แห่งบรรลยั กัลป์ ) พระกาลกิ า พระนาง
ผู้ทรงเป็นวิชาแห่งความสาเร็จ พระนางผู้ทรงเป็นมารดาแห่งรามะ พระนางผู้ทรงเป็นส่วนหน่ึงขอ งศิวะ
พระนางผู้ทรงดารงอยใู่ นความสงบสุข พระนางผทู้ รงเป็นท่ีรกั ของฤๅษี

ข้อความจาก ศรี เรณกุ า อัษโฏตตระศตนามะ สโตตระ (108 นาม พระศรีเรณุกา) โศลกที่ 1 และ 2

จามุณฑี จณั ฑิกานนั ตา รตั นาภะระณะภูษิตา

วศิ าลากษี จะ กามากษี มีนากษี โมกษะทายนิ ี

แปล - พระจามุณฑี (พระผู้ทรงสังหารจัณฑะ แลมุณฑะ) พระจัณฑิกา (พระผู้ทรงความดุร้าย)
พระอนันตา (พระนางผู้ทรงหาท่ีส้ินสุดมิได้) พระผู้ทรงไว้ซึ่งภูษาแลรัตนาภรณ์ พระนางผู้ทรงมีดวงเนตรอัน
กลมโต แลพระผู้ทรงนัยเนตรอันน่าหลงใหลสเน่หา พระผู้ทรงมีดวงเนตรดังมัจฉา (กลมโตเรียวยาวดังมัจฉา)
พระนางผ้ทู รงประทานการหลดุ พ้น

ข้อความจากบท ศรี เรณกุ า อษั โฏตตระศตนามะ สโตตระ (108นาม พระศรีเรณกุ า) โศลกที่ 10 (พระ
นามที่ 71 – 78 )

ศรี เรณกุ า ปรเมศวรี โษฑศนามาวลี
(16พระนาม พระศรี เรณกุ า ปรเมศวร)ี

1. ศรี เรณุกาเทวไย นะมะห์
- ความนอบน้อมมีแก่พระศรีเรณกุ า เทวี (พระเทวี ผู้ทรงดารงอยทู่ ุกหนแหง่ ดงั เมด็ ทราย)
2. ชคทัมพาไย นะมะห์
- ความนอบนอ้ มมแี ก่พระชคทัมพา (พระผูท้ รงเป็นมารดาแหง่ ทกุ สรรพส่ิง [เอลลัมมะ])
3. กาลไย นะมะห์
- ความนอบนอ้ มมีแกพ่ ระกาลี (พระผทู้ รงเป็นรูปแห่งกาลเวลา)
4. กามะทายินไย นะมะห์
- ความนอบนอ้ มมีแก่พระกามทายินี (พระผู้ทรงตอบสนองตอ่ ทุกความปรารถนาของผ้ศู รัทธา)
5. ปทั มะโลจนาไย นะมะห์
- ความนอบน้อมมแี ก่พระปทั มโลจนา (พระผู้ทรงมีดวงเนตรเรียวงามดจุ กลบี บัว [มุณฑกะกัณณ]ิ )
6. รักตกุมุทะวทนาไย นะมะห์
- ความนอบน้อมมีแก่ พระรักตกุมุทวทนา (พระผู้ทรงมีพระพักตร์อันอ่อนโยน และแดงด่ังบัวสายสี
แดง)

7. เรณตุ นยาไย นะมะห์
- ความนอบน้อมมีแกพ่ ระเรณุตนยา (พระผู้ทรงเปน็ ธดิ าของท้าวเรณ)ุ
8. ชมทัคนิปริยาไย นะมะห์
- ความนอบน้อมมีแก่ พระชมทัคนิปรยิ า (พระผทู้ รงเปน็ ทีร่ กั แห่งพระชมทคั นิ)
9. ภารควะกฏุ ุมพนิ ไย นะมะห์
- ความนอบนอ้ มมแี ก่ พระภารควะกุฏุมพินี (พระผูท้ รงเปน็ แมศ่ รีเรือนของวงศ์ภารควะ)
10. ศรี รามะมาเตร นะมะห์
- ความนอบนอ้ มมแี ก่ พระศรีรามมาตา (พระผู้ทรงเป็นมารดาแห่งองคพ์ ระปรศรุ าม)
11. ศรกี ฤษณะมารไย นะมะห์
- ความนอบน้อมมีแก่ พระศรีกฤษณะมารี (พระผู้ทรงเป็นด่ังเมฆฝน (จากรูปศัพท์ มาริ ในภาษาตมิฬ
หมายถงึ ฝน) [กรุมาริ])
12. มนี ะเนตรไย นะมะห์
- ความนอบนอ้ มมีแก่ พระมีนเนตรี (พระผู้ทรงมดี วงเนตรอนั กลมโตเรยี วงามดุจมจั ฉา [องั คยัรกัณณิ])
13. ศรที ตั ตะปชู ิตาไย นะมะห์
- ความนอบน้อมมแี ก่ พระทตั ตบูชิตา (พระผทู้ รงได้รับการบชู าจากพระทัตตะ)
14. ศรี สวรรณะมารไย นะมะห์
- ความนอบน้อมมีแก่ พระสวรรณะ มารี (พระผู้ทรงประทานฝนอันมีค่าดุจดั่งทองคา (ความหมาย
ตามรูปศพั ท์ตมฬิ ) [ปนมาร]ิ )
15. โยนิรูปาไย นะมะห์
- ความนอบนอ้ มมแี ก่ พระโยนริ ปู า (พระผทู้ รงเป็นรปู แหง่ การกาเนดิ )
16. ศรี กุณฑลนิ ี ศรี เรณุกา ปะระเมศวัรไย นะมะห์
- ความนอบนอ้ มมแี ก่ พระศรกี ุณฑลินี ศรเี รณุกา ปรเมศวรี (พระผู้ทรงสิริ พระนางผทู้ รงเปน็ เจา้ ผู้ทรง
ความย่งิ ใหญ่ ผู้ทรงดารงอยู่ในทกุ หนแห่งด่ังเม็ดทราย ผทู้ รงรปู อันคดไปมาดงั พญานาคผี ูท้ รงศรี)

ศรี มีนากษี อัษฏกัม รจนาโดย ศรี กุฬันได อานันทะ สวามิกลั
โศลกท่ี 1

มาธุรฺเยมหิเม มหาคริ ิสุเต มลาทิ สหารณิ ิ มลู าธารกฤฺ เต มหามรกเต โศเภ มหาสนุ ทฺ รี।
มาตงคฺ ี มหเิ ม มหาสรุ วเธ มนฺโตฺรตฺตเม มาธวิ มนี ากฺษี มธุรามฺพเิ ก มหมิ เย มามฺ ปาหิ มนี ามพฺ เิ ก॥
คาอ่าน มาดุรเยมะฮเิ ม มะฮากหิ ร์ สิ เุ ต มะลาดิ ซังหาริณิ มลู าดาระกรเิ ต มะฮามะระกะเต โชเบห์ มะฮาซุนดะรี
มาตังกีห์ มะฮเิ ม มะฮาสรุ ะวะเดห์ มันโตรตตะเม มาดห์ะวิ มนี ากชี มดหุ ร์ ามบิเก มะฮิมะเยมามปาฮิ มีนามบเิ ก
แปล - พระนางผู้ทรงเสน่ห์และยิ่งใหญ่ พระธิดาแห่งมหาคิรี พระนางผู้ทาลายมลทินเป็นอาทิ พระ
ผูก้ ระทาการคา้ จนุ รากฐาน พระนางผู้เป็นดังแกว้ มรกตอันทรงความยง่ิ ใหญ่และงดงาม พระนางผูท้ รงความงาน
อันยง่ิ ใหญ่ พระธดิ าแหง่ ฤๅษีมาตงั คะ พระผทู้ รงความยิง่ ใหญ่ พระผู้ทรงทาลายจอมอสูร พระผ้ทู รงเป็นเลิศแห่ง
มนตระ พระนางผู้ทรงความอ่อนหวานดังมธุรส พระนางผู้มีดวงเนตรดุจดังมัจฉา พระมารดาแห่งมธุราผู้ทรง
ความย่งิ ใหญ่ ข้าแต่พระมีนามพิกาขอพระองค์ทรงปกป้องคุ้มครองขา้ พเจ้า

ศรีมนี ากชี อัษฏกมั โศลกท่ี 2

นานารตนฺ วภิ ูษเณ นวคเณ โศเภ มหาสนุ ฺทริ
นติ ยฺ านนทฺ วเร นริ ูปณคเุ ณ นิมฺโนนฺนเต ปงฺกเช।
นาฏฺเย นาฏกเวษธารณิ ิ ศิเว นาเถ กาลนรฺตกิ
มนี ากษฺ ิ มธุรามฺพิเก มหิมเย มามฺ ปาหิ มีนามฺพิเก
คาอ่าน นานารัตนะ - วภิ ูษะเณ นะวะคะเณ โศเภ มะหาสุนทะริ
นิตยานนั ทะวะเร นริ ปู ะณะคเุ ณ นิมโนนนะเต ปังกะเช
นาฏเย นาฏะกะเวษะธาริณี ศิเว นาเถ กาละนรรตะกิ
มนี ากษิ มะธุรามพิเก มะหิมะเย มาม ปาหิ มนี ามพิเก
แปล - พระนางผ้ทู รงรัตนวิภูษณะ(เครื่องประดับ)อนั หลากหลาย พระนางผทู้ รงบรวิ ารทั้งเก้า พระนาง
ผทู้ รงงดงาม พระนางผทู้ รงความงดงามอนั ย่ิงใหญ่ พระนางผทู้ รงประทานความสุขสาราญอยูเ่ ป็นนิตย์ พระนาง
ผู้ทรงปรากฏรปู ด้วยคุณะ พระนางผู้ทรงความยิ่งใหญ่ พระนางผู้เปรียบดังปทุมชาติ พระนางผู้ทรงร่ายรา พระ
นางผู้ทรงสวมใส่เครื่องอาลงกรณ์แห่งนาฏก (นางรา , นางละคร) พระนางผู้ทรงความมงคล พระนางผู้เป็นเจ้า
พระนางผู้ทรงเป็นนักร่ายราแห่งกาลเวลา พระนางผู้มีดวงเนตรดุจมัจฉา พระมารดาแห่งมธุราผู้ทรงความ
ยิ่งใหญ่ ข้าแต่พระมีนามพกิ าขอทรงโปรดคมุ้ ครองข้าพเจา้

ศรี นรซมิ ฮะ ประณามะ
(บทสรรเสรญิ พระนรสงิ ห์)

นมสฺเต นรุสหิ าย ปรฺ หฺลาท-อาหลฺ าท-ทายิเน।
หริ ณฺยกศิโปรฺ วกฺษะ - ศลิ า - ฏก นขาลเย॥
อิโต นฤุสหิ ะ ปรโต นฤุสิโห ยโต ยโต ยามิ ตโต นฤุสิหะ।
พหริ ฺ นฤุสิโห หฤทเย นฤุสิโห นฤุสิหมฺ อาุทิ ศรณ ปรฺ ปทเฺ ย॥
คาอ่าน นะมสั เต นะระซิมฮายะ ประฮฺลาดะ อาฮฺลาดะ ดายิเน
ฮริ ณั ยะกะชโิ ปร วักชะ ซลิ า ดงั กะ นะขาละเย
อโิ ต นรซิ มิ ฮะ ปะระโต นริซิมโฮ ยะโต ยะโต ยามิ ตะโต นริซิมฮะ
บะฮิร นริซมิ โฮ หรดิ ะเย นริซิมโฮ นริซงิ ฮัม อาดิม ชะระณา ประปัดเย
แปล - ความนอบน้อมมีแด่ พระนรสิงห์ พระผู้ทรงประทานความสุขแก่ประหฺลาดะ พระผู้ทรงฉีก
ทรวงอก แลเส้นโลหิตของหิรัณยกศปิ ุ ด้วยกรงเล็บอันคมดงั่ ดาบ ทางนค้ี อื นรสงิ ห์ ทางโนน้ คือ นรสงิ ห์ ไมว่ ่าข้า
จะไปแห่งหนใดย่อมมีพระนรสงิ ห์อยู่เสมอ ภายนอกมีพระนรสิงห์ ในใจมีพระนรสิงห์ ข้าพเจ้าขอพระองค์เปน็
สรณะ พระนรสงิ ห์ พระผู้ทรงเป็นดัง่ ต้นกาเนดิ แห่งทุกสิ่งสรรพ

ปนมาริ หรอื กนกธารา

ศรี กนกธารา ลักษมี (श्री कनकधारा लक्ष्मी / Shri Kanakadhara Lakshmi) หรือ ปนมาริ
(பபான்மாாி / Ponmari) ในภาษาตมิฬ เป็นพระนามหน่ึงของพระลักษมี ในฐานะพระเทวีแห่งโภค
ทรพั ย์ ผู้ทรงประทานทองดง่ั สายฝน

อันพระนามมาจากคาสนั สกตสองคาคือ กนก (कनक / Kanaka) ซึ่งมคี วามหมายถงึ ทองคา (Gold)
สมาสกับ ธารา (धारा / Dhara) อันมีความหมายถึง กระแสธาร , การหลั่งใหลอย่างต่อเน่ือง (torrent ,
stream) กนกธารา จึงมีความหมายวา่ กระแสแหง่ ทองคา หรือผู้ประทานทองคาด่ังกระแสธาร

อีกท้ังพระนามในภาษาตมิฬนั้นมาจาก ภาษาตมิฬเก่าสองคา คือ ปน (பபான் / Pon) หมายถึง
ทองคา (Gold / ேங்கம்) กบั คาว่า มาริ (மாாி / Mari) ซึง่ มคี วามหมายถึง สายฝน (Rain / மனழ)

ที่มาของพระนามยังเกี่ยวโยงกับตานานของ ศรี ชคัทคุรุ อาทิศังกราจารย์ (श्री जगद्गुरु आदद
शङ्कराचार्प / Shri Jagadguru Aadi Shankaracharya) อีกด้วย โดยกล่าวถึง เม่ือท่านยังเยาว์วัย และ
ยังมิได้ออกบวชเป็นสันยาสีเป็นเพียงแค่บุตรของพราหมณ์ผู้ยากจน ท่านได้ออกภิกขาจาร ในทุกๆ เช้า ในเช้า
วันหนึ่งน้นั เอง ท่านไดภ้ กิ ขาจารมาถึงบ้านของนางพราหมณผี ูย้ ากไร้ เม่อื กมุ ารศังกรได้มายืนอยหู่ นา้ ประตูบ้าน
และรอ้ งขอการให้ทาน นางพราหมณมี ีความกระตอื รือร้นเป็นอย่างยิ่งต่อการใหท้ าน นางได้บอกให้กุมารน้ันรอ
ก่อน และค้นหาส่ิงของที่มีอยู่ในบ้านที่พอเป็นทานได้บ้าง ปรากฏว่า ท้ังบ้านของนางมีเพียงผลมะขามป้อม
(emblic fruit) เพียงลูกเดียวท่ีพอเป็นทานให้ได้ นางจึงออกมาพร้อมมะขามป้อมเพียงผลเดียว มอบให้เป็น
ทานแกพ่ ราหมณกมุ าร

พราหมณกุมาร ศังกร มีความปิติยินดีต่อความตั้งใจในการให้ทานของนางพราหมณี จึงระลึกถึง และ
กล่าวสรรเสริญพระลักษมี เป็นบทกวีสันสกฤต จานวน 18 โศลกด้วยกัน ซ่ึงเน้ือหาน้ันกล่าวสรรเสริญพระ

ลักษมี ในฐานะพระศักติในนาม และรูปต่างๆ และในฐานะพระมเหสีในองค์พระวิษณุ อีกท้ังอ้อนวอนขอความ
เมตตา กรุณาจากพระนาง พระลกั ษมที รงพงึ พอพระทัย จึงประทานทองคารปู ผลมะขามป้อมลงมา

บ้างว่า พราหมณกุมาร ศังกร ได้อาราธนาถึงพระลักษมี ให้โปรดประทานโภคทรัพย์แก่นางพราหมณี
หากแต่พระลกั ษมีทรงปรากฏต่อศังกร และทรงตรสั ตอบปฏิเสธศงั กร ดว้ ยว่า ความยากจนของนางนนั้ มเี หตุมา
จากผลกรรมแต่ชาติปางกอ่ น

พราหมณกุมารจึงกล่าวตอบไปว่า นางพราหมณีผู้น้ีได้ชดใช้ผลกรรมน้ันแล้ว อีกท้ังนางยังมีจิตกุศล
ทาน ไม่เหน็ แกต่ ัว อกี ท้ังกล่าววา่ พระนางคอื พระศักติ พระนางทรงสามารถเปล่ยี นพรหมลิขติ ได้ และสวดอ้อน
วอนดว้ ยโศลกสบิ แปดบทนั้น พระลกั ษมีจึงทรงพอพระทยั และประทานโภคทรัพยแ์ ก่นางพราหมณนี น้ั

บทสรรเสริญพระลกั ษมี โดยพระชคทั ครุ ุ อาทศิ ังกราจารย์นนั้ ตอ่ มาไดร้ ู้จกั กันในนามวา่ ศรี กนกธารา
สโตตระ (श्री कनकधारा स्िोत्र / Shri Kanakadhara Stotra) ซ่ึงมีการรจนาเพิ่มเติม ในส่วนของผล
สตุติ (ผลบุญจากการทอ่ งบทสโตตระนนั้ ) ไปสามโศลก จึงมดี ว้ ยกนั 21 โศลกด้วยกนั

ผูป้ รารถนาผลทางวัตถุ โภคทรพั ย์ต่างๆ จงึ สวดสาธยายบทสโตตระน้ี พรอ้ มกบั การบูชารูปเคารพของ
พระลกั ษมี หรอื ศรี กนกธารา ลกั ษมี ยันตระ

ซงึ่ ยันตรด์ ังกล่าวสามารถพบได้ทวั่ ไปในรา้ นคา้ ท่ีเปิดใหจ้ าหนา่ ยเครอื่ งบูชาต่างๆ

ในการณน์ ้ีจงึ ขอยกโศลกหนง่ึ ของ ศรี กนกธารา สโตตระ มาใหล้ ้มิ รสสัมผัส และได้สวดสาธยายกัน

दद्याद् दर्ानुिवनो द्रक्तवणाम्प्बधु ाराम् अक्तस्मन्नदकञ्चनक्तवहङ्गक्तशशौ क्तवषण्ण।े

दषु ्कमपघममप िनीर् क्तचरार् दरू ं नारार्णरणक्तर्नीनर्नाम्प्बुवाहः॥

ททยฺ าทฺ ทยานุปวโน ทฺรวณิ ามพฺ ุธารามฺ อสฺมินนฺ กญิ จฺ น-วิหงฺคศิเศา วิษณเฺ ณ।

ทุษฺกรมฺ -ฆรมฺ มปนีย จริ าย ทูร นารายณปฺรณยินี-นยนามฺพวุ าหะ॥

คาอา่ น ทัทยาท ทยานุปะวะโน ทระวณิ ามพุธาราม อัสมินนะกิญจะนะ วิหังคะศิเศา วษิ ัณเณ

ทษุ กรรมะ ฆรรมะมะปนยี ะ จิรายะ ทรู า นารายะณะประณะยนิ ี นะยะนามพุวาหะห์

แปล - เมื่อได้พัดพาความร้อนอันเป็นกรรมช่ัวให้ไกลออกไปแล้ว ขอดวงนัยเนตรแห่งพระผู้ทรงเป็นที่
รกั ย่งิ ในองค์พระนารายณ์ทเ่ี ป็นดังเมฆฝนน้นั โปรดประทานความม่งั ค่ังดง่ั สายฝน แลความเมตตากรุณยด์ ่ังสาย
ลม ตอ่ ผู้ยากจนนี้ซงึ่ เปน็ ดงั วหิ คนอ้ ยท่ีออ่ นแอ

ข้อความจาก ศรี กนกธารา สโตตระ โศลกท่9ี

ราธา คือ รูปธรรมของทิพยอานาจของกฤษณะ หรือเป็นหนึ่งเดียวกับกฤษณะ มิใช่อวตารของพระ
ลักษมี แตค่ ือทิพยอานาจของกฤษณะเอง

ตามที่ได้กล่าวไว้แล้วในคัมภีร์ศรี พรหมะไววรรตะ มหาปุราณะ และศรีมัทภาควตะ มหาปุราณะ
พระกฤษณะทรงเป็นอาทิปุรุษะ และพระนางราธาทรงเป็นอาทิศักติ (ทิพยอานาจสูงสุด) แม้นพระลักษมี และ
รปู แห่งเทวีต่างๆ น้นั กม็ าจากพระนาง แม้กระท้งั โคปีทงั้ แปด หรอื อัษฏสขี และเหล่านางโคปิกาทัง้ หลาย ก็เป็น
ภาคปรากฏจากพระนางราธาเอง

ราธา คือ ผู้ส่งเสริมลีลาทั้งหมดของกฤษณะ หากไม่มีความเมตตาจากพระนางราธาก็มิมีทางสามารถ
เข้าถึงพระกฤษณะได้ แม้นองคก์ ฤษณะก็ทรงสกั การะบาทบงกชของพระนางราธา

และราธา ในโลกวัตถุไม่ได้วิวาห์เป็นชายาของกฤษณะ (ด้วยต้องคาสาปจากสาวกให้ต้องจากกฤษณะ
เป็นเวลาร้อยปี พระนางจึงต้องอวตารมาในโลกวัตถุ แสดงลีลาคู่กับกฤษณะ และตอบสนองต่อคาสาปของศรี
ดามะ ตามท่ีได้กล่าวถึงใน พรหมะไววรรตะ มหาปุราณะ) แต่ในโคโลก พระองค์ทั้งสองทรงประทับอยู่คู่กัน
เป็นนจิ นิรันดร์

หลายคนเขา้ ใจผิดว่า ในมหาภารตะมเี รื่องราวของกฤษณะ กบั พระนางราธาอยู่ แตผ่ ดิ

ในมหาภารตะนั้นแทบจะไม่ได้กล่าวถงึ ราธาเลย เรอ่ื งราวของพระนางราธา และเรื่องราวอย่างละเอียด
ของพระกฤษณะน้ันจักปรากฏอยู่ในคัมภีร์ศรีมัทภาควตัม (ศรีมัทภาควตะ มหาปุราณะ) และคัมภีร์พรหมะ
ไววรรตะ มหาปรุ าณะ ทงั้ เรื่องในโลกทพิ ย์ และการอวตารในโลกเบื้องล่าง

ซ่งึ ทงั้ สองคัมภีร์นี้เปน็ รากฐานให้กบั คตี โควินทะ (วรรณกรรมทก่ี ล่าวถงึ ลลี าของกฤษณะ กับราธา และ
เหล่าโคปี) และกฤษณะกรรณามฤตะ (วรรณกรรมท่ีกล่าวถึงลีลาของกฤษณะ ดังน้าอมฤตชโลมโสตประสาท
ของผู้ที่ได้รับฟัง) อีกทั้งศรีมันนารายณียัม อันเป็นวรรณกรรมท่ีเรียบเรียงจากบางส่วนของศรีมัทภาควตัม อัน
แพร่หลายในเกรละ และนยิ มสวดสาธยายแก่ พระครุ ุวายรู ปั ปัน (รูปแบบหนึ่งของกฤษณะในเกรละ)

เมื่อนึกถงึ มทุไร

- นครพนั วัด
- ราชธานีแห่งแคว้นปาณฑยิ รั (ปาณฑยะ)
- ศนู ยร์ วมวฒั นธรรมตมฬิ
- ไวไกนที
- ตาฬัมปู กงุ กมุ มั (กงุ กุมัมกลนิ่ ดอกลาเจียก) อนั มที ี่มาจากเทวสถาน ศรี มีนากชี สุนทเรศวร
- ดอกมะลิ (เมืองน้ีขึ้นช่อื เร่อื งดอกมะลิ)
- ภาษาตมิฬ และภาษาเสาราษฏระ (นอกจากภาษาตมิฬแล้ว ยังมีภาษาเสาราษฏระ ที่เชื่อกันว่า
อพยพมาพรอ้ มกับ ชาวเสาราษฏระ ในบริเวณคชุ ราต มทุไรถือเปน็ ชุมชนใหญ่ของชาวเสาราษฏระ)
- พระศรีมนี ากชี - สุนทเรศวร
- พระอฬกัร (พระวิษณุ) แห่ง มทุไร
- พระมารอิ ัมมนั แห่ง เตปปักกุลัม
- พระสพุ รหมัณยะ แห่ง ติรุปะรังกนุ ดรัม (สถานท่ีพระองค์ทรงวิวาหก์ บั นางเทวเสนา)
- ปาณฑิ มุนีศวรัน

พระนางราธา ในคตศิ ากตะ นกิ าย

พระนางราธา ในคติความเช่ือของศากตะนิกายนั้นถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์ศรีเทวี ภควตปุราณะ (श्री
दवे ी भगवििुराण / Sri Devi Bhagavata Purana) หรือศรีเทวี ภควตมั (श्री दवे ी भगविम् / Sri
Devi Bhagavatam) โดยในคมั ภรี ศ์ รเี ทวี ภควตัม สกนั ทะที่ 9 ได้กลา่ วไวว้ า่

พระนารายณมุนี ทรงกล่าวต่อพระนารทมุนีว่า พระนางราธา แลพระทุรคา ทรงเป็นมูลประกฤติ
(मूलरकृ क्ति / Moola Prakriti) (มูลฐานของการเป็นไปในจักรวาล) พระนางราธาทรงเป็นเจ้าแห่งปราณะ
(พลังชีวิต) แลพระนางทุรคาน้ันทรงเป็นเจ้าแห่งพุทธิ (สติปัญญา) ทั้งสองคือ มูลประกฤติ ซึ่งสร้างทุกสรรพส่ิง
ขึ้น ศักติทั้งสองได้รังสรรค์สร้างจากจักรวาลเล็กๆ สู่จักรวาลอันยิ่งใหญ่ ทุกสรรพส่ิงไม่ว่าจะเคลื่อนไหว หรือมิ
เคลื่อนไหวล้วนอยู่ภายใต้มูลประกฤติ หากมิได้รับพระเมตตาจากพระมารดาท้ังสองมุกติ (การหลุดพ้นจาก
มายา อันประกฤติเป็นผู้สร้างขึ้น)ก็เป็นเพียงความฝัน ดังนั้นเราจึงควรแสดงความนอบน้อมสักการะแด่พระ
มารดาทงั้ สอง เพือ่ ใหพ้ ระมารดาท้ังสองทรงพึงพอพระทัย และแสดงความเมตตากรุณาต่อเรา

จากนั้นพระนารายณมุนี ก็ได้แสดงมนตร์แห่งพระนางราธาต่อฤๅษีนารท ท่ีแม้แต่พระพรหมา พระ
วิษณุ แลเหล่าทวยเทพท้ังหลายก็สวดสาธยายซ่ึงมนตร์น้ี คือ ศรีราธาไย สวาหะ ด้วยมนต์หกพยางค์นี้ ธรรม
และผลอ่ืนๆ ท้ังหมด (ผลจากการสวดมูลมนต์นี้) ย่อมมาได้อย่างง่ายได้ หากสวดมนต์อันศักด์ิสิทธ์ินี้ตามหลัง
พีชะ หรีม มนต์ศักดิ์สิทธ์ินี้จักให้รัตนะตามท่ีปรารถนาเสียจนแม้แต่ ปาก และชิวหานับพันโกฏิก็มิสามารถ
อธบิ ายถงึ ความย่งิ ใหญข่ องมนตน์ ้ไี ด้

มนต์น้ีถ่ายทอดจากพระศรีกฤษณะสู่พระวิษณุ จากพระวิษณุสู่พระพรหมา จากพระพรหมา สู่ท้าว
ธรรม จากท้าวธรรมสู่ข้า (องคน์ ารายณมนุ )ี

หากปราศจากการสักการะบูชาต่อพระนางราธา การบูชาพระศรีกฤษณะก็มีข้ึนไม่ได้ ดังน้ันแล้วผู้ท่ี
อทุ ศิ ตนภกั ดีตอ่ พระวิษณุ (ไวษณพ) ควรสักการะบชู าซึง่ พระนางราธากอ่ นเสมอ

พระนางราธา ทรงเป็นเจ้าแห่งปราณะ พระนางทรงสถิตอยู่ในทุกสรรพชีวิต แม้แต่องค์กฤษณะเองก็
ทรงขึ้นต่อพระนางราธา ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งราสมณฑล (มณฑลแห่งการร่ายราราสลีลา) พระนางทรงประทับ
สถติ อยู่ ณ เบ้อื งซ้ายของศรีกฤษณะ พระนางทรงประทับเคียงขา้ งพระกฤษณะเสมอ กฤษณะจะประทับอยู่ท่ีใด
ไดไ้ มน่ าน หากมมิ ีพระนางราธาประทับเคียงคู่ด้วย

ซึ่งที่กล่าวมานั้นสอดคล้องกับความเช่ือของทางไวษณพ ที่ได้กล่าวไว้ใน ศรีมัทภาควตะ มหาปุราณะ
และพรหมไววรรตะ ปรุ าณะ

โดยเฉพาะอย่างย่ิงในพรหมะไววรรตะ มหาปรุ าณะ (ब्रह्मववै िप महािुराण / Brahmavaivarta
Mahapurana) ขัณฑ์ท่ี 2 ประกฤติ ขัณฑะ (रकृ क्ति खण्ड / Prakriti Khanda) อันกล่าวถึง พระประกฤติ
โดยกล่าวว่า เทวีทั้งห้า อันได้แก่ พระนางราธา , พระลักษมี , พระสรัสวตี , พระทุรคา , พระสาวิตรี และพระ
คายตรี คือ รูปทง้ั หา้ ของพระประกฤติ

ราคสฺโตตรฺ วิจาร-เวทวิภเว รมเฺ ย รโตลฺลาสนิ ิ

ราชีเวกฺษณิ ราช รางคฺ ณรเณ ราชาธิราเชศวฺ ริ।

ราชญฺ ิ ราชสฺ-สตฺตว-ตามสคเุ ณ ราเธ รมาโสทริ

มนี ากฺษิ มธรุ ามฺพเิ ก มหมิ เย มา ปาหิ มนี ามพฺ ิเก॥

คาอา่ น ราคสั โตตระ (ราคะ - สฺโตตระ) วจิ าระ เวทะวภิ ะเว รมั เย ระโตลลาสินิ

ราชเี วกษะณิ ราชะ รางคะณะระเณ ราชาธิ ราเชศวะรี

ราชญิ ราชัส สัตตวะ ตามะสะคเุ ณ ราเธ ระมาโสทะริ

มนี ากษี มะธรุ ามพเิ ก มะหมิ ะเย มาม ปาหิ มนี ามพเิ ก

แปล - พระนางผู้ทรงมง่ั ค่ังในพระเวท พระผ้ทู รงพิจารณาท่วงทานองของสโตตระ (บทสรรเสริญ) พระ
นางผู้ทรงความสง่างาม พระนางผู้ทรงอภิรมย์ในกามบันเทิง พระนางผู้ทรงได้รับการสักการะบูชาด้วยดอกรา
ชีวะ (นิโลบล) รายาผู้ทรงโปรดปรานในดอกเข็ม พระผู้ทรงเป็นเจ้าเหนือรายาทั้งปวง พระจักรพรรดินี พระผู้
กอปรไปด้วยรชัส สัตตวะ และตมัส (ตริคุณะ อันก่อเกิดมาจากประกฤติ) พระผู้ทรงเป็นดังพระขนิษฐาในองค์
พระนางราธา แลพระนางรมา (ลักษมี) พระมีนากษี (พระผู้ทรงมีดวงเนตรอันกลมโต และเรียวงามดุจมัจฉา)
พระมารดาแหง่ มธรุ าผ้ทู รงความยิ่งใหญ่ ขา้ แตพ่ ระมนี ามพกิ าขอพระองค์ทรงปกป้องคุม้ ครองขา้ พเจา้ เทอญ.

ข้อความจาก ศรี มนี ากษี อษั ฏกัม โศลกที่ 6

พระทุรคา และการถอื พรตในวนั เอกาทศี

ในกฤดายุคน้ันมีอสูรตนหนึ่งนามว่า มุระ (Demon Mura) มันทรงพละกาลังมาก มันได้สร้างความ
เดือดร้อนความวุ่นวายไปท่ัวท้ังตรีภพ แม้กระท้ัง เทวราชอินทระ , พระกุเวรจอมยักษา , พระยมเทพ , พระ
วรณุ , พระอัคนี , พระวายุ และคนธรรพร์ าช กย็ ังมอิ าจปราบมันได้

เหล่าเทวะและมุนีทั้งหลายจึงพากันไปเข้าเฝ้าพระศิวะ (Bhagavan Shiva) ผู้ประทับบนยอดเขา
ไกรลาส

พระศวิ ะ ทรงตรัสแกเ่ หลา่ เทวและมุนีทงั้ หลายว่า มแี ต่พลงั อานาจของพระวิษณุ (Bhagavan Vishnu)
เทา่ นั้นท่สี ามารถปราบมุราสรุ ะได้

พระศิวะ , พระพรหม และเหล่าเทวดาพร้อมมุนีท้ังหลายจึงต่างพากันเข้าเฝ้าพระวิษณุ ณ ไวกุณฐะ
อนั เป็นทิพยวิมานของพระองค์ พระวษิ ณุ ไวกุณฐนาถ

เหล่าเทวะและมุนที ้ังหลายจึงทูลถึงความช่ัวร้ายของมุระ ตอ่ พระองค์ปัทมนาภะ พระวิษณุเมื่อได้สดับ
ฟังจึงทรงตรัสข้ึนว่า "อย่าได้กังวลและเกรงกลัว เม่ือพวกท่านทั้งหลายมาหาเราให้เป็นท่ีพึ่ง เราจะปราบมุราสุ
ระเพอ่ื ความสขุ สันติแกพ่ วกทา่ นท้ังหลาย"

บัดน้ัน พระวิษณุทรงครฑุ และไปทาสงครามกับมุราสุระ เพียงไม่นานนักพระวิษณุทรงทาลายกองทพั
รากษสของมุราสุระจนหมดส้ิน ทรงขว้างสุทรรศน จักร (Sudarshana Chakra) หวังบ่ันคอมุระให้ขาดสะบั่น
แต่สุทรรศนะ จักร ก็มอิ าจทาอะไรตอ่ มรุ าสรุ ะได้

พระองค์จึงคว้าคทาเกาโมทกี (Kaumodaki Gada) หวังทุบมันให้แหลกลาน แต่เกาโมทกีก็มิอาจทา
อะไรต่อมันได้ ทั้งสองจึงเร่ิมสู้กันตัวต่อตัว โดยไม่มีอาวุธใดๆ โดยการสู้กันระหว่างพระภควานวิษณุ และ
มรุ าสรุ ะ ดาเนนิ ไปถงึ หนง่ึ หมืน่ ปี

เม่ือการต่อสู้ดาเนินไปถึงหนึ่งหม่ืนปี ทาให้เหล่าเทวะ และมุนีท้ังหลายต่างกังวลใจและเริ่มเส่อื มความ
มนั่ ใจในองค์พระวิษณุ ขณะที่พระพรหม และพระศวิ ะทรงทอดพระเนตรการรบน้ันด้วยความเงยี บสงบ

ต่อมาพระวิษณุได้อันตธานหายพระองค์ไปจากสนามรบ ทรงไปปรากฏองค์ประทับบรรทมในถ้า
เหมวตี (Hemavati Caves) ในภัทริกาศรม (Badrikashram) *(บ้างก็กล่าวว่าทรงปรากฏประทับบรรทมบน
เศษนาค ในเกษยี รสมทุ รอนั เป็นอกี ท่หี นึ่งทพี่ ระองคส์ ถิตนอกจาก ทพิ ยวิมานไวกุณฐะ)

อันแท้จริงแล้ว การบรรทมของพระวิษณุคือ การบาเพ็ญโยคะอย่างหนึ่งเรียกว่า โยคนิทรา
(Yoganidra)

เมื่อพระวิษณุทรงอันตรธานหายไปจากสมรภูมิ จอมอหงั การมุระไดต้ ามหาพระองค์ดว้ ยความกระหาย
ในสงคราม จนมาถึงท่ีซ่งึ พระองคป์ ระทับกระทาโยคะนทิ ราอยู่

เม่อื มุราสรุ ะแลเห็น องคป์ ทั มนาภะประทบั บรรทมอยจู่ งึ กระโจนเข้าหาพระองค์พร้อมอาวุธในมือหวัง
ทุบพระองคใ์ ห้แหลกลาน

บัดนั้น เทวีองค์หนึ่งจึงปรากฏข้ึนด้วยความเกรี้ยวกราด เข้าคว้าอาวุธและเหวี่ยงร่างของมันกระเด็น
ออกไป เม่ือแลเห็นพระเทวี มุราสุระจึงแปลกใจ ที่พระเทวีซึ่งมีความคล้ายคลึงพระวิษณุทุกประการได้ปรากฏ
ขน้ึ และได้เหว่ียงมันด้วยพลงั อานาจอนั มหาศาลได้ถงึ เพยี งน้ี

แท้จริงแล้ว องค์เทวีที่ปรากฏขึ้นต่อหน้ามุราสุระ คือ รูปปรากฏของพลังอานาจแห่งพระวิษณุ อันมี
หน้าท่คี ุ้มครองอารกั ขาพระวษิ ณใุ นขณะกระทาโยคะนิทรา

พระเทวีทรงมีหลายพระนามดังน้ี โยคมายา (Yogamaya) , โยคนิทรา (Yoganidra) , ไวษณวี
(Vaishnavi) , วิษณมุ ายา (Vishnumaya) , นารายณี (Narayani) และทรุ คา (Durga) เปน็ ตน้

พระเทวีทรงปรากฏขึ้นด้วยความเกร้ียวกราด และทรงขว้างจักรบ่ันคอมุระจนขาดสะบั่นลงกับพื้น
และทรงปลุกพระนารายณจ์ ากโยคะนิทรา

พระวิษณุทรงยินดีต่อการปรากฏข้ึนของพระเทวี ทรงแต่งต้ังให้เป็นพระขนษิ ฐาของพระองค์ พระนาง
จึงได้นามว่า วิษณุโสทรี (Vishnusodari) อันหมายถึง พระนางผู้เป็นขนิษฐาแห่งพระวิษณุ และพระองค์ทรง
ปรารถนาจะมอบของขวญั แก่พระนาง หรอื ประทานพรแกพ่ ระนาง

พระองคจ์ ึงทรงตรัสข้ึน "เทวีเรายนิ ดียิ่งต่อการปรากฏตวั ขึน้ ของเจ้า เจ้าปรารถนาส่ิงใด เราจกั มอบแก่
เจา้ เป็นการตอบแทนทเ่ี จา้ ไดช้ ว่ ยเหลือเราไว"้

พระเทวีเม่ือได้สดับฟังเช่นน้ันจึงทรงตรัสข้ึน "โอ้ข้าแต่ พระผู้แผ่ซ่านไปทั่ว (วิษณุ) พระสี่กร (จตุรภุช)
พระผูท้ รงมีฉวีวรรณอันคลา้ (กฤษณะ / รามะ / ศยามะ) พระผมู้ ีดวงเนตรดงั ปทมุ ชาติ (ปทั มากษ / กมลากษ)
พระผู้มีนาภีอ่อนโยนดังปทุมชาติ (ปทั มนาภะ) ข้ามติ อ้ งการสิ่งใด แตเ่ มอ่ื พระองค์ปรารถนาจักมอบใหแ้ ก่หม่อม
ฉัน หม่อมฉันขอให้ผู้ถือพรตถวายแก่พระองค์ในวันเอกาทศี (11 ค่า) ให้เขาผู้นั้นได้รับพรจากพระองค์ และ
หม่อมฉัน ท้ังโภคทรัพย์ , พุทธิ , เสาภาคย์ , อโรคยา และชาระบาปผู้น้ันไปก่ึงหนึ่ง ขอพระองค์ทรงอานวยพร
แก่หมอ่ มฉัน"

เม่ือพระวิษณุได้สดับฟังเช่นน้ันจึงพึงพอพระทัยในคาขอของพระเทวีเป็นอย่างย่ิง จึงอานวยพรตามท่ี
พระเทวีปรารถนา และประทานพระนามแกพ่ ระนางว่า เอกาทศี (Ekadashi) อันหมายถึง ลาดับท่ี 11

นอกจากนี้ในทวารปายุค ( Dwarpayuga) พระวิษณุได้ทรงอวตารมาเป็น กฤษณาวตาร
(Krishnavatara) พระเทวีก็ได้แบ่งภาคอวตารมาเป็นพระขนิษฐานามว่า สุภัทรา (Subhadra) เป็นธิดาในองค์
วสุเทวะ (Vasudeva) และพระนางโรหนิ ี (Rohini) ภายหลังจากพระนางทรงปรากฏรูปเป็นธิดาของพระนันทะ
กับพระนางยโสธา ตัวตายตัวแทนของพระกฤษณะ พระนางได้อวตารมารับใช้พระภควานอีกคราในฐานะพระ
ขนิษฐา ทรงกาเนดิ เป็นธิดาของพระวสุเทวะ กบั โรหินี ชายาองค์แรกในองค์วสเุ ทวะ

ภายหลังเม่ือพระนางสุภัทราทรงเจริญพรรษาได้วิวาห์กับมหาวีระ อรชุน (Arjuna) และทรงให้กาเนิด
โอรสนามว่า อภิมันยุ (Abhimanyu) ซ่ึงต่อมาได้เข้าร่วมสงคราม ณ ทุ่งกุรุเกษตร (Kurukshetra) กับพระราช
บดิ า และได้ส้ินชพี อย่างชาตินักรบในสมรภูมิ

อันการถือพรตในวันเอกาทศีนั้น ผู้ถือพรตต้องตื่นแต่รุ่งสาง กระทาการบูชาต่อพระวิษณุ เช่น การทา
อุปจาระซ่ึงมีในยามรุ่งอรโุ ณทัย และยามสนทยา การถวายมนตระ เชน่ วษิ ณสุ หัสนามาวลี เปน็ ตน้ และทาการ
อดอาหาร รับประสาซ (โภชนาซ่ึงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าแล้ว) ในเวลาท่ีกาหนด ในวันรุ่งขึ้นก็เช่นกัน การถือ
พรตจึงเสรจ็ สมบูรณ์

โดยประสาซที่จัดข้ึนในวันเอกทศีจะต้องไม่มีธัญญาหาร แต่ควรเป็น ผัก และผลไม้เพียงอย่างเดียว
เท่าน้ัน

ในคตฮิ ินดูน้ันกลา่ ววา่ พิภพมีส่ียคุ ดว้ ยกันคอื

ยุคแรกคือ กฤดายุค หรือ สตั ยยคุ เป็นยคุ แหง่ ความดงี าม

ยคุ ท่สี องคอื เตรตายคุ (เร่อื งราวในรามายณะเกดิ ในยคุ น้ี) เปน็ ยุคทีค่ วามดงี ามลดหลงมีเพยี ง สามส่วน
สี่

ยุคท่ีสามคือ ทวารปายุค (เรื่องราวในมหาภารตะเกิดในยุคน้ี) เป็นยุคท่ีความดีงามเหลือเพียงแค่ สอง
ส่วนสี่

ยุคสุดท้ายคือ กลียุค ยุคแห่งความมืดมน ยุคท่ีอธรรมครองพ้ืนพิภพ ยุคท่ีประเพณีจารีตอันงดงาม
เส่ือมถอยลง ยุคท่ีผู้คนต่างหันหลังละทิ้งพระเจ้า ละท้ิงคัมภีร์พระเวทอันถือเป็นศรุติ (คากล่าวของพระผู้เป็น
เจ้า) และหันมาบูชาสรรเสริญภูตผีปีศาจ และความเช่ือความงมงายที่เกิดจาก กาม ราคะ และ กิเลสทั้งหลาย
แพร่สะพดั ไปทั่ว

การถือพรตละเว้นจากการทานธญั พชื ในวนั เอกาทศี

การถือศีลละเว้นจากการรับประทานธัญพืชในวันเอกาทศี (11 ค่า) น้ันมีปรากฏในปัทมปุราณะ ซึ่ง
พระฤๅษีวยาสได้แสดง ต่อไชมินิมุนีถึงเรื่องการถือพรตในวันเอกาทศีนี้ โดยกล่าวว่า เมื่อครั้งพระภควานทรง
สร้างทุกสรรพส่ิง และดาเนินการเป็นไปในจักรวาลแล้ว พระวิษณุเองทรงสร้างบุรษุ หนึ่งข้ึนจากบาปต่างๆ เพ่ือ
ลงโทษมนุษย์จากบาป หรือผลของการกระทาที่ตนก่อข้ึน เรียกว่า ปาปะปุรุษะ เมื่อพระปุรุโษตตมะ ทรงสร้าง
ซง่ึ บาปบุรุษแลว้ พระองคท์ รงแลเหน็ ว่า ควรมีผู้ควบคมุ ดูแลซ่ึงบาปบุรษุ น้ี ด้วยเหตุน้พี ระองค์ทรงสร้าง ยมเทพ
อีกท้ังยมโลก และนรกขุมต่างๆ ข้ึน เพ่ือควบคุมบาปบุรุษ และประทานความทุกข์แก่ดวงวิญญาณท่ีมีบาป
ท้งั หลาย

ทุกสิ่งดาเนนิ ไปตามพระประสงค์ของพระองค์ ครน้ั พระวษิ ณทุ รงระลึกถึงทั้งสอง และสรรพชวี ิตท่ีต้อง
ได้รับความทุกข์ยากจากบาป พระองค์จึงทรงประทับบนหลังครุฑจากไวกุณฐะไปยังยมโลก เม่ือยมเทพทราบ
การมาถึงขององค์พระลักษมีบดี ก็ทรงปิติยินดีย่ิง ทรงถวายการต้อนรับและการบูชาอย่างดีแด่พระศรีนาถ

ในขณะท่ีองค์พระนารายณ์ได้รับการบูชาอยู่นั้นเอง พระองค์ทรงได้ยินเสียงโหยหวนมาจากทางทิศใต้
ของยมโลก พระองคจ์ ึงตรสั ถามยมเทพถึงเสยี งร้องอนั นา่ เวทนาดังกล่าว

พระยมเทพจึงกราบทูลว่า เสียงร้องดังกล่าวมาจากดวงวิญญาณที่ได้ความทุกข์ทรมานจากบาปกรรม
เม่อื พระองคท์ รงได้สดับฟงั เช่นนัน้ จงึ เสดจ็ ไปทอดพระเนตรนรกดว้ ยองคเ์ อง เมือ่ พระองคท์ รงทอดพระเนตรซ่ึง
สัตว์นรกท่ีกาลงั ได้รับความทุกข์ทรมานจากบาปกรรมนัน้ แลว้ ก็ทรงรู้สึกเวทนายง่ิ เม่ือเหล่าสัตว์นรกไดแ้ ลเหน็
ถึงพระองค์ ต่างพากันเรียกร้องถึงพระองค์ให้ชว่ ยตนจากเคราะห์กรรม ด้วยความกรุณาของพระองค์ พระองค์
ทรงปรากฏรูป แห่งเอกาทศี เทวีข้ึน เมื่อเหล่าสัตว์นรกได้แลเห็น และต่างพากันอาราธนาถึงพระเอกาทศี ดวง
วิญญาณเหลา่ น้ันก็ตา่ งหลุดพ้นจากเคราะห์กรรมไปสู่ไวกุณฐะ

ด้วยความเกรงกลัวในอานาจแห่งพระเอกาทศี บาปบุรุษจึงไปเข้าเฝ้าพระวิษณุ พร้อมกราบทูลว่า ตน
นั้นกาเนิดข้ึนจากความประสงค์ของพระองค์ เพ่ือลงทัณฑ์สรรพชีวิตจากการกระทาบาปท้ังปวง แต่บัดนี้ด้วย
การปรากฏข้ึนของพระนางเอกาทศี ข้าพเจ้ากาลังถูกทาลาย หากข้าพเจ้าถูกทาลายแล้วไซร้ ความเป็นไปใน
จกั รวาลทีพ่ ระองคส์ ร้างข้ึนกจ็ ะเสอื่ มสูญ หากพระองค์มิปรารถนาเชน่ นนั้ ขอทรงโปรดปกป้องข้าพเจา้ จากความ
กลัวในพระนางเอกาทศี

ด้วยความกลัวในเทวีเอกาทศี ข้าพเจ้าได้หลบซ่อนในสรรพสิง่ ต่างๆ หากแต่มิมีท่ีใดที่ข้าพเจ้าจะหนีไป
จากนางเอกาทศีได้เลย จากนั้นบาปบุรุษก็ทรุดตัวลงศิโรราบต่อเบ้ืองบาทบงกช แห่งพระปุรุโษตตมะ เม่ือพระ
ปัทมนาภะทรงแลเห็นดังนัน้ แล้ว ก็แย้มสรวล แล้วตรัสข้ึนว่า โอ้ บาปบุรุษ ลุกข้ึนเทอญ อย่าได้หวาดกลัว และ
จงฟังข้าว่าเจ้าจักอยู่ท่ีใดได้วันเอกาทศี ในดิถีเอกาทศีเจ้าสามารถหลบซ่อนได้ในธัญพืช มิต้องกังวลอีกต่อไป
ดว้ ยรูปปรากฏของข้าในฐานะเอกาทศีจกั ไม่ขดั ขวางเจ้าอีกต่อ

ดังนั้น บุคคลผู้หวังซึ่งผลประโยชน์ทางจิตวิญญาณจึงควรละเว้นจากธัญพืชในดิถีเอกาทศี (11 ค่า)
ด้วยบาปท้ังหมดจักสถิตอยู่ในธัญพืชในวันเอกาทศีน้ี ผู้ท่ีถือพรตในวันเอกาทศีเขาจะห่างใกลจากบาปทั้งปวง
และมิตกไปสนู่ รก

การถือพรตในวันเอกาทศี ในช่วงดิถีเอกาทศีผู้ศรัทธาควรตื่นในยามอรุณรุ่ง ชาระร่างกาย และ
ตระเตรียมเคร่ืองบูชาท้ังหมดให้เรียบร้อย แล้วจึงเริ่มปรนนิบัติบูชาแด่พระวิษณุ ด้วยการทาอุปจาระบูชา แล
การทาอรรจนา บชู า (ถวายดอกไม้ หรอื ใบตุลสีแดพ่ ระวิษณุ พร้อมสวดท่องพระนามท้งั 108 หรอื พนั พระนาม)
ผู้ถือพรตจะอดอาหารในยามเช้า และรับประซาดัม (อาหาร หรือขนมท่ีไม่ปรุงจากธัญพืช หรือถั่วมีตาทั้งปวง)
หลังจากช่วงเท่ียงวัน ละเว้นซึ่งสุรา และของมึนเมา อีกท้ังกิจกรรมทางเพศ หรือกามบันเทิง ในยามว่างควร
สวดชปะ (สวดนับประคา) ถึงพระวษิ ณุ ดว้ ยการสวดทอ่ งพระนาม

พระคายตรี

พระคายตรีนน้ั ทรงเป็นบุคลาธษิ ฐานของมนตระ 24 พยางค์ในฤคเวท (คายตรี มหามนตระ) ทรงได้รับ
การนับถือเป็นเทวีแห่งพระเวท , กวีศิลป์ , ฉันทลักษณ์ และปัญญาญาณ อีกท้ังทรงเป็นเทวีแห่งยามสนทยา
(ช่วงคาบเกี่ยวต่อของวัน คือ รุ่งอรุณ , เท่ียงวัน และยามเย็น) ทรงเป็นเทวีผู้ให้การคุ้มครองแก่เหล่าทวิชะ (ผู้
เกิดสองคร้งั คือ ผทู้ ไี่ ดร้ บั การอุปนยนะ คลอ้ งสายยัชโญปวีต อันไดแ้ ก่ พราหมณ์ , กษัตรยิ ์ และแพศย์)

นอกจากน้ีพระคายตรี ยงั ทรงได้รบั การนับถอื ในฐานะพระศักติ หรือพระชายาของพระวริ าฏวิศวกรรม
(พรหมา / สทาศิวะ) อกี ด้วย

พระคายตรี ในยุคพระเวทน้ันถือเป็นองค์เดียว กับพระสาวิตฤ (พระอาทิตย์องค์หน่ึง) ซึ่งบทมนต์
คายตรี อันรจนาโดยพระฤๅษีวิศวามิตรก็มีเพื่อสักการะแด่เทพสาวิตฤน้ี ต่อมาในยุคปุราณะ พระคายตรี หรือ
สาวิตรี ไดร้ ับการกล่าวถงึ ในฐานะรูป และนามหน่งึ ของพระสรสั วดี ในฐานะมารดาแหง่ พระเวท

ในปทั มปุราณะ และในตานานทอ้ งถิ่นของราชสถาน ในอินเดยี เหนือกลา่ วว่า พระคายตรี ทรงเป็นพระ
ชายาอกี องคห์ นึ่งของพระพรหมา เพื่อช่วยพระพรหมาประกอบพิธยี ชั ญะใหเ้ สรจ็ สมบูรณ์ ทีเ่ มอื งปุษกร

ในพรหมไววรรตะ มหาปุราณะ พระคายตรี ทรงถือเป็นหน่ึงในรูปปรากฏท้ังห้าของพระประกฤติ คือ
ราธา , ลักษมี , สรสั วตี , ทรุ คา และคายตรี หรอื สาวิตรี

ในคัมภีร์ทางไศวะนิกาย พระคายตรี หรือมโนนมนี (ผู้อยู่เหนือจิตใจ) ทรงเป็นรูปแห่งพระศักติ ทรง
เป็นพระมเหสีของพระสทาศิวะ ทรงมีห้าพระพักตร์ (ปัญจมุขี) พร้อมด้วยพระกรท้ังสิบ ซ่ึงรูปแบบของพระ
คายตรีในคติไศวะนเ้ี องทีย่ ดึ ถอื กนั อยา่ งแพร่หลาย

อนั พระพักตรท์ ้ังหา้ ของพระคายตรีนั้นเป็นองค์แทนแห่งปญั จโกศะ หรอื เปลือกทั้งห้าของร่างวตั ถุที่ปก
คลุมอาตมันอยู่ อันได้แก่

1. อันนามยะ โกศะ คือ เปลือกนอกสดุ คือ รา่ งกาย หรือรา่ งวัตถทุ ่ตี อ้ งการอาหารเพอื่ ความอยรู่ อด

2. ปราณมยะ โกศะ คือ ร่างกายทขี่ ับเคลือ่ นดว้ ยปราณ หรือพลังชวี ิต อันเปน็ กายภายใน

3. มโนมยะ โกศะ คือ กายแห่งประสาทสัมผัสต่างๆ

4. วิญานโกศะ คอื กายแหง่ สติปัญญา ความนึกคิด ความรสู้ ึกผิดชอบชวั่ ดี

5. อานันทมยะ โกศะ คือ กายแห่งความสุขสงบจากภายใน อยู่ลึกกว่ากายภาพและอารมณ์ความรู้สึก
ทัง้ ปวง เปน็ กายทเี่ ป่ยี มไปด้วยความรักทไ่ี ร้เงื่อนไข ไรต้ วั ตน ไรก้ ารแบ่งแยก และเปน็ หนงึ่ เดียวกับทกุ สรรพชีวิต
เป็นช้ันท่ีจะเข้าถึงได้ก็ต่อเม่ือเราสามารถขจัดภาพลวงต่างๆ ของกายภาพ อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ ออกไปได้
เป็นกายทีต่ ้องอาศัยความเพยี รในการฝกึ ฝนโยคะอย่างตอ่ เน่ืองยาวนานเพื่อให้บรรลสุ ชู่ ้ันสุดท้ายนีไ้ ด้

อกี ทั้งพระพักตรท์ งั้ ห้ายงั เป็นองคแ์ ทนแห่งปัญจปราณะ วายุ (ลมปราณท้งั ห้าในร่างกาย) อนั ได้แก่

1. ปราณะ คือ พลังปราณในทรวงอก และคอ ซ่ึงการทางานของอวัยวะในระบบทางเดินหายใจ และ
ระบบไหลเวยี นโลหติ ถูกควบคมุ โดยปราณะน้ี

2. อปานะ คือ พลงั ปราณในช่องท้องซึ่งควบคมุ ระบบขบั ถ่าย และระบบสืบพนั ธุ์

3. สมานะ คอื พลงั ปราณในระหวา่ งชอ่ งทอง และทรวงอก ซึ่งควบคมุ ระบบย่อยอาหาร

4. อทุ านะ คือ พลังปราณระหว่างคอ , ใบหนา้ และศีรษะ อันควบคุมซง่ึ ระบบประสาท

5. วยานะ คอื พลังปราณที่แผซ่ า่ นไปทัว่ ท้งั ร่างกาย ควบคุมการทางานท้งั หมดของรา่ งกาย

นอกจากน้ีพระพักตร์ทั้งห้าของพระนางยังเป็นองค์แทนแห่งปัญจมหาภูตะ หรือธาตุท้ังห้า อันได้แก่
ดิน , น้า , ลม , ไฟ และอากาศธาตุ อีกทั้งพระพักตร์ทั้งห้านั้นยังแทนซึ่งองค์ประกอบท้ังห้าของวรรณกรรม
หรอื กวี อันได้แก่

1. ฉันท์ คอื รูปแบบของบทกวีทกี่ าหนดเสียงสัมผสั ของบทกวีนั้น

2. คุณะ คอื คณุ สมบตั ขิ องกวี หรอื รปู แบบของกวี

3. มารคะ คือ รปู แบบการแสดงของกวี

4. อลังการ คือ รปู แบบของไวยากรณ์ หรอื การใชส้ านวนของบทกวี

5. รส หรอื ภาวะ คือ การแสดงอารมณ์ หรือความรู้สึกของบทกวี

พระคายตรี เทวี ทรงไดร้ บั การบูชาในฐานะเทวีแห่งแสงสว่าง , พทุ ธปิ ัญญาทีเ่ ปรยี บดังแสงสวา่ งท่ีขจัด
ความมืด คือ อวิชชา และยังทรงเป็นเทวีแห่งสนธยา (ช่วงคาบเกี่ยวของวัน โดยการโคจรของพระอาทิตย์บน
ฟา้ ) โดยทรงปรากฏเป็นสามรปู ในแต่ละสนทยา คือ พระพราหมี ในยามรงุ่ อรุณ พระมาเหศวรี ในยามเท่ียงวัน
และพระไวษณวี ในยามสายัณห์

พระนางทรงได้รับการบูชาในทุกสนธยาม โดยเหล่าทวิชะ ด้วยทวิชาติเหล่าน้ันต่างกระทาซึ่งสนธยา
วันทนะ และกล่าวอาราธนาถึงพระนาง พระคายตรี เทวีผู้เป็นแสงสว่าง เป็นพลังอานาจอันศักด์ิสิทธ์ิผู้
ขบั เคลอื่ นทุกสรรพสิ่ง

พระมโนนมณี

พระมโนนมนี หรือมโนนมณี (मनोन्मनी / मनोन्मणी , மதனான்மணி ,
Manonmani) ทรงเป็นรูปปรากฏแห่งพระปราศักติ (िराशक्ति / போசக்ேி / Parashakti) ในฐานะ
พระชายาแหง่ พระสทาศิวะ (सदाक्तशव / சோசிவ / Sadashiva) ผทู้ รงสรรค์สรา้ งทกุ ส่งิ สรรพ พระนาง
ทรงเป็นพระมารดาผู้ทรงเป็นพลังอานาจอันศักดิ์สิทธ์ิผู้ทรงขับเคล่ือนทุกสิ่งในจักรวาล พระนางยังเป็นรูปแห่ง
มนตอ์ ันศกั ด์ิสทิ ธิ์ คายตรี มหามนตร์ อันประทานพทุ ธปิ ัญญา และแสงสว่างแกผ่ ู้อาราธนาถงึ

พระมโนนมณี ทรงมีส่ีพระกร สองพระกรแรกทรงแสดงซึ่งอภยหัสตะ (แสดงพระหัตถ์หงายข้ึน ส่ือถึง
การคุ้มครองจากภัย) และวรทหัสตะ (แสดงพระหัตถ์หงายลง ส่ือถึงการให้พร) สองพระกรบนทรงไว้ซึ่ง ปทุม
ชาติ (บัวหลวงแดง) และนิโลบล (บัวเผ่ือนฟ้าม่วง) บ้างก็ทรงชปะมาลา (สร้อยประคา) แทนบัวเผื่อน แลอีกรูป
หนึ่งทรงมหี ้าพระพกั ตร์ สบิ พระกรเฉกเช่นพระสทาศิวะ

อษั ฏภารยา

อัษฏภารยา (अष्टभार्ाप / Ashtabharya) หรือพระมเหสีทั้งแปดนางของพระวาสุเทพ กฤษณะ (8
consorts of Vasudeva Krishna) ซ่ึงท้ังแปดนางล้วนแต่เป็นขัตติยธิดา จากราชวงศ์ต่างๆ อันทั้งแปดนางน้ัน
ล้วนแต่เป็นผูภ้ กั ดีต่อพระกฤษณะโดยการพฒั นาภักติจากการมคี วามรักให้แก่พระมาธวะเอง อันพระ ชคัน
โมหนะ (ผู้ทรงยงั ให้ท้ังพิภพหลงใหล) นั้น ทรงเปน็ ผู้มคี วามกรณุ าดุจสาคร ทรงตอบสนองต่อทุกความปรารถนา
ของผู้ภักดี ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงรับขัตติยกันยาทั้งแปดเป็นพระมเหสี อันคอยปรนนิบัติรับใช้แทบเบ้ืองบาท
บงกชแห่งองคพ์ ระทวารกาทีศะอยเู่ สมอ

อษั ฏภารยา กอปรด้วยขตั ติยกันยาทงั้ แปดเหล่าน้ี อนั ได้แก่
1. พระนางรกุ มณิ ี (रुक्तक्मणी / Rukmini)

พระนางรุกมิณี ทรงเป็นพระธิดาของท้าวภีษมกะ (भीषमक / Bhishmaka) พระมหาราชแห่ง
แคว้นวิทรรภ (क्तवदभप / Vidarbha) *(ปัจจุบันคือ เขตนาคปูร และอมราวตีในตอนบนของรัฐมหาราษฏร)
ทรงมพี ระเชษฐาพระนามวา่ รุกมณิ (रुक्तक्मण / Rukmin)

พระนางนัน้ ทรงเป็นอวตารแห่งพระศรมี หาลกั ษมี (श्री महालक्ष्मी / Sri Mahalakshmi)

ทรงหลงรักพระกฤษณะ แมไ้ ดย้ นิ เพียงแค่พระนาม และเกียรตยิ ศของพระองค์เทา่ นนั้

แต่ทว่า พระเชษฐารุกมิณทรงไม่เห็นดีเห็นงาม เพราะทรงเป็นพันธมิตรกับชราสันธ์ ราชาแห่งแคว้น
มคธ ซ่ึงเป็นศัตรูร้ายกาจของพระกฤษณะ เหตุจากพระกฤษณะสังหารกังสะผู้มีศักดิ์เป็น พระชามาดา (บุตร
เขย) ของกษตั ริย์ชราสันธ์

และจับหม้ันหมายกับศิศุปาล (क्तशशुिाल / Shishupala) กษัตริย์แห่งแคว้นเจที ซ่ึงเป็นพันธมิตร
องค์โปรดของชราสันธ์

พระนางรุกมิณี จึงส่งสาส์นขอความช่วยเหลือไปถึงพระกฤษณะ โดยฝากพราหมณ์ที่เช่ือถือไว้ใจไ ด้
นาไปถวายแกพ่ ระทวารกาทศี กฤษณะ

พระกฤษณะ ทรงยินดีต่อสาสน์ของพระนางรุกมิณี ด้วยเพราะทรงมีความเสน่หาในนางเช่นกัน
พระกฤษณะจึงทรงยกทพั ไปชิงตัวพระนางรุกมิณี ขณะไปเทวสถานพระทรุ คา กอ่ นเข้าพธิ ีววิ าห์กบั ศศิ ปุ าล

2. พระนางสตั ยภามา (सत्र्भामा / Satyabhama)

พระนางสัตยภามา ทรงเป็นพระธิดาในองค์สัตราชิต (सत्राक्तजि / Satrajit) หน่ึงในราชนิกุลของ
วงศ์ยทุ (र्दु वंश / Yadu dynasty) เช่นเดียวกับพระกฤษณะ พระนางสัตยภามาน้ันทรงเป็นอวตารของ
ภเู ทวี (भूदवे ी / Bhudevi) หรือภลู ักษมี (भूलक्षमी / Bhulakshmi) เทวแี ห่งพืน้ ปฐพี

พระสัตราชิต พระบิดาของพระนางน้ันทรงมอบพระนางให้กับพระกฤษณะเพื่อไถ่โทษที่เข้าพระทัยใน
พระองคผ์ ดิ ว่าสังหารประเสนะอนชุ าของตน และชิงแก้วมณสี ยมนั ตกะ (स्र्मन्िक मक्तण / Syamantaka
Mani) ท่ีได้รบั มาจากสรู ยะเทพไป อีกทั้งปล่อยข่าวเท็จนน้ั ออกไป ทาใหพ้ ระยทนุ าถ (เจา้ แห่งยทุวงศ)์ เสอ่ื มเสีย

และพระนางสัตยภามา ยงั เปน็ ผู้ออกไปทาสงครามกับนรกาสรุ ะ (नरकासुर / Narakasura) เคียงคู่
กบั พระกฤษณะท่ีเมืองปราคชโยติษปุระ (राग्जर्ोक्तिषिुर / Pragjyotish Pura) อีกด้วย

3. พระนางชามพวนั ตี (जाम्प्बवन्िी / Jambavanti)

พระนางชามพวันตี ทรงเป็นธิดาของชามพวนต์ (जाम्प्बवन्ि / Jambavanta) จอมฤกษ์ (หมี) ซึ่ง
ในเตรตายุค ชามพวนต์น้ันเป็นหน่ึงในหารเอกของพระราม ในการทาสงครามกับเหล่ารากษส ณ สุวรรณนคร
ลงกา

ชามพวนต์ ได้มอบธิดาของตนชามพวันตี เพื่อเป็นของขวัญ แลไถ่โทษต่อพระกฤษณะ ที่ได้ต่อสู้กับ
พระองค์ โดยมิทราบว่า แท้จริงแล้วพระองค์ก็คือ พระศรีรามท่ีได้เสด็จมาหาตนในทวารปายุค ในขณะท่ี
พระกฤษณะออกตามหาแก้วมณีสยมนตกะ เพื่อคืนแก่พระสัตราชิต และพิสูจน์ตนว่า ตนน้ันบริสุทธิ์มิได้
เกยี่ วขอ้ งกบั การสนิ้ ชพี ิตักษยั ของพระประเสน และไมไ่ ด้ชงิ แก้วมณไี ปครอง

4. พระนางกาลินที หรือยมุนา (काक्तलन्दी / र्मुना – Kalindi / Yamuna)

พระนางกาลนิ ที หรอื ยมี ยมุนาก็เรียก พระนางทรงเปน็ พระธิดาในองคพ์ ระสูรยะเทพ และพระกนษิ ฐา
ในองคย์ มเทพ

พระนางทรงได้รับการช่วยเหลือจากอรชุน (अजुपन / Arjuna) พระสหายคนสนิท และพระญาติฝ่ัง
บิดาของกฤษณะ ในการสู่ขอพระกฤษณะเป็นพระสวามี ด้วยพระนางน้ันทรงปรากฏองค์ต่อขัตติยะท้ังสอง
ขณะด่ืมน้าพักผ่อนบนตลิ่งริมน้ายมุนา ขัตติยะท้ังสองสนใจในตัวนาง อรชุนจึงเข้าไปสนทนากับพระนาง จึง
ทราบว่า พระนางนั้นมีความประสงค์จะเป็นมเหสีของกฤษณะ อีกท้ังทรงอ้อนวอนให้อรชุนนาความไปบอก
พระกฤษณะ อรชุนจึงแจ้งใหม้ าธวะทราบ เม่ือทราบเช่นน้นั พระศรนี าถจึงรบั นางเป็นพระมเหสี สนดงั ใจหมาย

5. พระนางสตั ยา หรอื นัคนชิติ (सत्र्ा / निक्तजक्ति – Satya / Nagnajiti)

พระนางสัตยา ทรงเป็นพระราชธิดาของท้าวนัคนชิต (निक्तजि / Nagnajita) แห่งแคว้นโกศล
(कोसल / Kosala) ด้วยเหตนุ จี้ ึงมอี ีกนามว่านัคนชิติ (निक्तजक्ति / Nagnajiti) และเกาศลั ยา (कौसल्र्ा
/ Kausalya)

พระนางนคั นชิติ ทรงเปน็ อวตารของพระนลี า เทวี (नीला दवे ी / Neela Devi) พระมเหสีองคห์ น่ึง
ของพระวษิ ณุ

พระกฤษณะทรงได้รับชัยชนะในพิธีสยุมพรของพระนาง โดยพระองค์ทรงการาบโคถึกถึงเจ็ดตัวไว้ได้
จึงได้พระนางเป็นพระมเหสี โดยที่พระนางก็แอบมีพระทัยให้กฤษณะมานานแล้วเช่นกัน และในการการาบโค
ถึกนน้ั เองพระองค์ทรงไดส้ ร้างความเชื่อมั่นให้แก่พระนางสัตยาว่า ถงึ แมน้ พระองค์จักทรงมีพระมเหสีและสนม
มากมาย หากแต่พระองค์ทรงอยู่กับทุกพระนางอย่างเท่าเทียมกัน มิต้องกังวลว่าจะห่างเหิน ด้วยพระองค์ทรง
แบง่ ตนเอง เป็นเจ็ดองคเ์ ข้าการาบโคถกึ

6. พระนางมติ รวนิ ทา (क्तमत्रक्तवन्दा / Mitravinda)

พระนางมิตรวินทา ทรงเป็นพระธิดาของท้าวชัยเสน (जर्सेन / Jayasena) กษัตริย์แห่งแคว้น
อวันตี (अवन्िी / Avanti) ทรงมีพระเชษฐาสองพระองค์นามว่า วินทยะ (क्तवन्द / Vinda) และอนุวินทยะ
(अनुक्तवन्द / Anuvinda) ซ่งึ เปน็ พันธมติ รกับทรุ โยธน์

พระนางมิตรวินทา ทรงหมายมั่นกฤษณะเป็นคู่ครอง หากแต่พระเชษฐามิเห็นด้วย และปรารถนาให้
นางได้ครองคู่กับทุรโยธน์มากกว่า ในพิธีสยุมพรพระนางจึงแอบส่งสาสน์ให้กฤษณะช่วย พระกฤษณะจึงลักพา
ตวั นางในพิธสี ยุมพร

7. พระนางภัทรา (भद्रा / Bhadra)

พระนางภัทรา ทรงเป็นพระธิดาของท้าวธฤษฏเกตุ (धृष्टके िु / Drishtaketu) กษัตริย์แห่งไกเกยะ
(कै के र् / Kaikeya) ด้วยเหตุนจ้ี งึ มอี กี นามหนง่ึ วา่ ไกเกยี (कै के र्ी / Kaikeyi)

พระนางภัทราเองน้นั กแ็ อบหมายมั่นในกฤษณะเชน่ กนั และพระนางก็เลือกกฤษณะในพธิ สี ยุมพร

8. พระนางลกั ษมณา (लक्ष्मणा / Lakshmana)

พระนางลักษมณา ทรงเป็นพระธิดาของกษัตริย์แห่งแคว้นมัทระ ในศรีมัทภาควตะปุราณะกล่าวว่า
พระกฤษณะทรงลักพาตัวนางจากพิธสี ยุมพร อีกตานานกลา่ ววา่ ทรงได้รบั ชัยชนะในพิธีสยุมพร

นอกจากน้ีพระกฤษณะยังมีพระสนมอีก 16,100 นาง ซ่ึงนางเหล่าน้ันมาจากการท่ีพระองค์มีชัยเหนือ
นรกาสรุ ะ (नरकासुर / Narakasura) อสรู นรกะได้ลักพาตวั พวกนางมากักขังไว้ เมอ่ื พระกฤษณะทรงปราบ
อสูรร้ายลง พวกนางไดร้ บั อิสระ แตพ่ วกนางไมม่ ีที่พึ่งพิง อกี ทงั้ เสน่หาในองค์กฤษณะ จึงอาราธนาถงึ กฤษณะให้
รบั พวกนางไว้ พระกฤษณะจึงรับพวกนางไว้เปน็ สนม จะเหน็ ได้วา่ พระองค์ไม่ไดว้ ิวาห์กบั พวกนางด้วยราคะ แต่
ทรงรับพวกนางไว้ด้วยความกรุณา และทรงตอบสนองต่อทุกความปรารถนาต่อผู้ท่ีมีความรัก ความภักดีต่อ
พระองค์ มิใช่เป็นไปอย่างท่ีบางคนเอาไปพูดกล่าวถึงในทานองว่า กฤษณะเป็นคาสโนว่า โชกโชนเร่ืองรักใคร่
วิวาห์นับคร้ังไม่ท้วนเหมือนบุรุษท่ัวไปในโลกวัตถุ ซึ่งเป็นความคิดของปุถุชนทั่วไป ในความเป็นจริงแล้ว เหล่า
พระมเหสี และสนมทั้งหลายต่างเป็นผู้ภักดีต่อพระองค์ และบาเพ็ญเพื่อให้เขาถึงพระองค์มานานหลายชาติ
หลายยุค หลายสมัยแล้ว ด้วยการบาเพญ็ น้นั จงึ สง่ ให้พวกเขาเหล่านั้นไดม้ าใกลช้ ดิ รับใช้พระองคใ์ นสถานะต่างๆ
กันไป เช่นเดียวกัน วสุเทพ , เทวกี , นันทะ และยโศธา อีกทั้งเหล่าโคบาล และโคปิกา พวกเขาเหล่าน้ันต่าง
ผ่านการบาเพ็ญมาแล้วหลายชาติ หลายยุค หลายกัลป์ เพื่อเข้าถึงกฤษณะ และพระปุรุโษตตมะก็ทรง
ตอบสนองตอ่ พวกเขาเหลา่ นัน้

พระนางรุกมณิ ี มเหสอี งคแ์ รกของพระกฤษณะ

พระนางรุกมิณี (रुक्तक्मणी / Rukmini) ทรงเป็นพระธิดาของท้าวภีษมกะ (भीषमक /
Bhishmaka) กษัตริย์แห่งแคว้นวิทรรภะ (क्तवदभप / Vidarbha) *(ปัจจุบันคือ เขตนาคปูร และอมราวตีใน
ตอนบนของรฐั มหาราษฏร)

ทรงมีพระเชษฐาพระนามวา่ รกุ มิณ (रुक्तक्मण / Rukmin)
พระนางนน้ั ทรงเปน็ อวตาร แหง่ พระศรีมหาลักษมี (श्री महालक्ष्मी / Shri Mahalakshmi)
พระนางทรงหลงรักพระกฤษณะ แม้ได้ยนิ เพียงแค่พระนาม และเกยี รตยิ ศ ของพระองคเ์ ทา่ นนั้
แต่ทว่า พระเชษฐารุกมิณทรงไม่เห็นดีเห็นงาม เพราะทรงเป็นพันธมิตรกับชราสันธ์ ราชาแห่งแคว้น
มคธ ซ่ึงเป็นศัตรูร้ายกาจของพระกฤษณะ เหตุจากพระกฤษณะสังหารกังสะ ผู้มีศักดิ์เป็นพระชามาดา (บุตร
เขย) ของกษัตริย์ชราสันธ์ และจับหมั้นหมายกับศิศุปาล (क्तशशुिाल / Shishupala) กษัตริย์แห่งแคว้นเจที
ซง่ึ เปน็ พันธมติ รองค์โปรดของชราสันธ์

พระนางรุกมิณี เหมือนดังเป็นเหย่ือการเมือง โดยฝีมือของพระเชษฐา ทรงโศกเศร้าเสียพระทัย และ
ตกอยู่ในความกลัว และวิตกกังวล ถึงกระนั้นก็ยังทรงมีความหวัง ทรงขอความช่วยเหลือจาก พราหมณ์ให้นา
สาสนไ์ ปทูลกฤษณะ แหง่ ทวารกา

ซึ่งเม่ือพระกฤษณะได้รับสาสน์นั้นแล้ว ทรงยินดีเป็นอย่างย่ิง เพราะพระกฤษณะพระองค์เอง ยังหลง
รักพระนางรกุ มณิ ี แมเ้ พยี งไดย้ ินนามและพระเกยี รตยิ ศเช่นกนั จึงตอบรับสาสนแ์ ละแผนการของพระนาง

ในวันงานพิธีวิวาห์ พระนางรุกมิณี ทรงดาเนินไปยังวัดพระทุรคา เพื่อสักการะขอพร และขณะนั้นเอง
พระกฤษณะ พร้อมกองทัพกม็ าถงึ และชงิ ตวั พระนางรุกมิณสี าเร็จตามแผนดังกล่าว

ซง่ึ ขณะน้ัน พระนางทรงมีพระชนมายุเพียง 16 พรรษา (องิ ตามคัมภีร์ ศรีมัทภาควตะปุราณะ ในขณะ
ท่ีสกันทปุราณะ กล่าวว่า 8 พรรษา) และพระกฤษณะ 25 - 30 พรรษา (อินเดียโบราณแต่งงานเร็วมาก) สร้าง
ความแค้นต่อศิศุปาล และชราสันธเ์ ป็นอยา่ งย่ิง

ลิงคะ รปู เคารพของพระเจ้าในฐานะตน้ กาเนดิ แหง่ ทกุ สรรพสง่ิ

ลงิ คะ (क्तलङ्ग / Linga) หรือลงิ กมั (லிங்கம் / Lingam) ถอื เปน็ หนึง่ ในรูปเคารพท่ีเก่าแก่ท่ีสุด
ของพระศวิ ะ เป็นที่เคารพบูชาเป็นอย่างย่ิงในทุกสาขาของไศวะนิกาย

ลงิ คะ หมายถงึ เพศ หรอื เครื่องเพศ โดยมีความหมายเจาะจงไปทีเ่ ครื่องเพศชาย ทาไมพระเปน็ เจ้าถึง
ไดร้ ับการบชู าในรปู เครื่องเพศ?

นั่นเพราะเครื่องเพศนั้นเป็นรูปแบบแห่งการกาเนิดข้ึนของทุกสรรพชีวิต สรรพชีวิตชั้นสูงน้ันล้วนต้อง
ใชเ้ ครือ่ งเพศเพ่ือการดารงเผ่าพันธุ์ จากคตคิ วามเช่ือนี้ ยังนามาซ่ึงความเชื่อเรื่องสัญลักษณ์ หรือเครอ่ื งรางแทน
ความอดุ มสมบรู ณ์ คตเิ ชน่ น้มี ักพบในลทั ธิ หรอื ศาสนาโบราณต่างๆ

ในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูนั้น ลิงคะ คือ รูปแบบแห่งการกาเนิด ด้วยลิงคะน้ันเป็นผู้หว่านเมล็ดพันธ์ุ
แห่งชีวิต และเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ เพราะการสืบเผ่าพันธุ์ หรือการสืบวงศ์วาน คือหนึ่งใน
ความสมบูรณ์อย่างหน่ึง ต่อมาลิงคะถือว่าเป็นรูปเคารพ หรือองค์แทนของพระศิวะ ในฐานะบิดาแห่งทุกสรรพ
ชีวิต โดยมีตานานเก่ียวโยงในคัมภีร์ศิวะปุราณะ ว่าพระศิวะน้ันทรงสรรค์สร้างซึ่งทุกสรรพสิ่ง รวมถึงพระ
พรหมา และพระวิษณุ อีกทั้งทรงปรากฏรูปเป็นแท่งไฟ (ชโยติลิงค์) แก่พระพรหมมา แลพระวิษณุให้ประจักษ์
เห็น พระพรหมากับพระนารายณ์ต่างพยายามหาท่ีสิ้นสุดของแท่งไฟน้ี แต่ก็ไม่พบที่ส้ินสุด หรือแหล่งท่ีมาของ
แท่งไฟน้ี จึงยอมศิโรราบต่อพระศิวะในรูปของชโยติลิงค์น้ัน ลิงคะจึงถือเป็นรูปแรกของพระศิวะที่ทรงปรากฏ
ข้ึน และมีอกี หลายส่วนในคมั ภรี ป์ รุ าณะท่กี ล่าวถึงพระศวิ ะ กบั ลงิ คะ

ลงิ คะทสี่ มบูรณ์นน้ั มีด้วยกนั ส่ีส่วน คอื

1. รุทระภาค (रुद्रभाग / Rudra Bhaga) คือ ส่วนของลิงค์ท่ีประดิษฐานอยู่ด้านบนสุด แทนองค์
พระรทุ ระ ซ่งึ เปน็ รปู แห่งพระสทาศิวะในฐานะ เทพแห่งการทาลายล้าง ผ้คู วบคุมตโมคณุ ะ (ตมสั )

2. โยนิปีฐะ (र्ोक्तनिीठ / Yoni Peetha) คือ ส่วนของฐานโยนิ สัญลักษณ์เคร่ืองเพศหญิง หรือ
ช่องคลอด มีนัยความหมายเช่นเดียวกันกับลิงคะ เป็นองค์แทนของพระอาทิปราศักติ (आदद िराशक्ति /
Aadi Parashakti) หรอื ประกฤติ (रकृ क्ति / Prakriti) ธรรมชาตใิ นฐานะมารดาผ้ใู หก้ าเนดิ ทกุ สรรพชีวิต

3. วิษณุภาค (क्तवष्णुभाग / Vishnu Bhaga) คือ ส่วนของฐานต่อจากแท่นโยนิ แทนองค์พระวษิ ณุ
ซึ่งเป็นรูปแหง่ พระสทาศวิ ะในฐานะ เทพผ้ปู กปักษ์รักษา เทพผ้คู วบคุมรโชคณุ ะ (รชสั )

4. พรหมภาค (ब्रह्मभाग / Brahma Bhaga) คือ ส่วนของฐานใต้สุด แทนองค์พระพรหมา ซ่ึงเป็น
รูปแหง่ พระสทาศวิ ะในฐานะ เทพผสู้ รรคส์ ร้าง เทพผคู้ วบคุมสัตตะวะคุณ

ด้วยเหตุน้ีการบูชาลิงคะ จึงเท่ากับการบูชาซึ่งพระปรศิวะ หรือสทาศิวะ และพระอาทิปราศักติ อีกท้ัง
ตริมรู ติ และตริศักติ หรือตรเิ ทวี อนั เปน็ รูปคณุ ทงั้ สามของทั้งสอง

ลงิ คะน้นั สามารถได้จากวสั ตตุ า่ งๆ จากธรรมชาติ เช่น

ไศลชะ ลิงค์ คอื ลงิ คะอันมาจากหนิ

รัตนชะ ลงิ ค์ คือ ลงิ คะอนั มาจากอัญมณี เชน่ หินควอตซ์ หรือหนิ อเวนเจอรีน เป็นตน้

โลหชะ ลงิ ค์ คอื ลงิ คะอันมาจากโลหะ เช่น ทอง , ทองแดง , ทองเหลอื ง และปรอท

ทารชุ ะ ลงิ ค์ คอื ลงิ คะอันแกะมาจากไม้

ในส่วนของการบูชาพระศังกรในรูปของลิงคะน้ัน บูชาเฉกเช่นรูปเคารพเทพอื่นๆ คือ ถวายการอุปจา
ระบชู า และ อรรจนา (ถวายบปุ ผชาติ หรอื ผงวิภตู ิ พร้อมสวดพระนาม 16 / 108 / 1000 พระนาม แกล่ งิ คะ)

ในการทาพธิ ีอภเิ ษกสรงสนานนั้นมักกระทาในฤกษอ์ นั เปน็ มงคลต่อการบูชาพระศิวะ เชน่ โสมวาร (วนั
จนั ทร)์ , ประโทษะ (ชว่ งเยน็ ถึงช่วงค่า ของตระโยทศี หรอื 13 คา่ ) และศวิ ราตรี (ทกุ กฤษณปักษ์ จตุรทศี หรอื
แรม 14 คา่ ของทกุ เดือน) ดว้ ยนา้ นมโค , นมส้ม (โยเกิรต์ ) , ฆี (เนยจากนมโค) , นา้ ผึง้ , น้าอ้อย หรอื นา้ ตาล ,
ผลไม้ห้าอย่างบด , น้าผสมผงจันทน์ , ผงวิภูติ , น้าผสมผงขมิ้น , น้ากุหลาบ และน้าบริสุทธ์ิ อีกท้ังการถวาย
บทสโตตระต่างๆ และการสวดชปะมนตระ (การสวดนบั ประคา) แกพ่ ระศิวะ หรือลงิ คะน้ัน

ศรีวฐิ ฐละ แหง่ ปณั ฒรปูร

พระวิฐฐละ (क्तवठ्ठल / Vitthala) หรือวิโฐพา (क्तवठोबा / Vithoba) และในอีกพระนาม
ปาณฑรุ ังคะ (िांडुरंग / Panduranga)

ทรงเป็นภาคปรากฏหน่ึงของศรีกฤษณะ (श्रीकृ ष्ण / Sri Krishna) ในเมืองปัณฒรปูร (िंढरिूर /
Pandharpur) ในเขตโสลาปูร (सोलािूर / Solapur) ของรัฐมหาราษฏร (महाराष्ट्र / Maharashtra)
หรอื เขตของชาวมราฐา (मराठा / Maratha) *ผพู้ ูดภาษามราฐี (मराठी / Marathi)

พระวิฐฐละ ทรงเป็นท่ีเคารพศรัทธากันในหมู่ชาวอินเดีย (เฉพาะที่เป็นฮินดู) ทางตอนใต้ ต้ังแต่
มหาราษฏร ในอินเดียตอนกลาง เตลังคณา ลงมายังอานธรประเทศ ของชาวเตลุคุ และกรรนาฏกะ ของชาว
กนั นฑิคะ และทางตอนเหนือของรฐั ตมฬิ นาฑุ ของชาวตมิฬ

ตานานท้องถ่ินกล่าวว่า พระกฤษณะ (श्रीकृ ष्ण / Sri Krishna) ทรงมาพบกับสาวกรูปหนึ่งนาม
ปณุ ฑรกิ (भि िुडं क्तलक / Bhakta Pundalik) ปุณฑริกเป็นหนมุ่ ยากจน อาศัยอยูใ่ นบ้านไม้เล็กๆ กบั บิดา
- มารดาซึ่งป่วยอยู่เนอื งๆ

ในขณะนัน้ เอง กฤษณะได้มาพบเขาท่หี นา้ ประตูบ้าน ซ่งึ ขณะน้ันเขากาลังปรนนบิ ัติดูแล บดิ า - มารดา
ที่ป่วยอยู่ ปณุ ฑรกิ จึงนาอฐิ มาให้กฤษณะประทับรอ และกลา่ วกับกฤษณะว่า "ขอทรงรอขา้ พเจ้าปรนนิบัติรับใช้
บิดา - มารดาของข้าใหเ้ รียบรอ้ ยก่อน แล้วข้าจะจดั เตรียมดูแลสถานท่ี และรบั ใชพ้ ระองค"์

ศรีกฤษณะทรงประทับยืนรอบนก้อนอิฐ ในอิริยาบถเท้าเอว ศรีกฤษณะทรงพึงพอพระทัย กับ
พฤติกรรม หรือการปรนนิบัติของพระสาวกปุณฑริก จึงมีความประสงค์จะประทับอยู่ ณ สถานที่แห่งน้ี
(ปัณฒรปูร) กับพระมเหสี คอื พระนางรุกมณิ ี หรอื รขุมาอี (श्री रुक्तक्मणी / श्री रखुमाई - Sri Rukmini
/ Sri Rakhumai) เพ่อื เฝ้าดูพระสาวก ท้งั สองพระองคจ์ ึงปรากฏรปู เปน็ พระปฏมิ า อยู่ ณ สถานที่แหง่ น้นั

พระศรีรงั คนาถ สวามี แห่ง ศรรี ังคมั

เทวสถานศรีรงั คนาถ สวามี อนั ตัง้ อยูบ่ นเกาะศรรี ังคมั (ஸ்ரீ ேங்கம் / Sri Rangam) กลางแม่น้า
กาเวริ (காதவாி நேி / Kaveri River) ในเขตติรุจจิราปปัลลิ (ேிருச்சிோப்பள்ைி /
Thiruchirappalli) ของตมิฬนาฏุ ทางตอนใต้ของอินเดีย ถือเป็นเทวสถานท่ีใหญ่ท่ีสุดในอินเดีย ซึ่งมีห้อง
สักการะ 81 ห้อง ศาลา 39 หลัง และโคปุรัม (ซุ้มประตู) 21 หลัง โดยองค์เทวประทานน้ัน คือ ศรี รังคนาถ
สวามี หรือพระนารายณบ์ รรทมสินธุ์

เทวสถานศรีรังคัม ยังถือเป็นศูนย์รวมของสานักเตนกะไล (பேன்கனை / Thenkalai) หนึ่งใน
สองสาขาของศรีไวษณพ (ஸ்ரீ னவஷ்ணவ / Sri Vaishnava) อันเปน็ สาขาหน่ึงของไวษณพนิกาย ท่ี
แพรห่ ลายในทางตอนใต้ของอนิ เดีย

ตานานของพระศรีรังคนาถ สวามี (श्री रंगनार्थ स्वामी / ஸ்ரீ ேங்கநாே சுவாமி /
Sri Ranganatha Swami) กล่าวถงึ เมอ่ื ครัง้ กวนเกษยี รสมทุ ร รปู เคารพแห่งพระศรีรังคนาถ ไดป้ รากฏข้ึนพร้อม
กับวิมานจากเกษียรสมุทรนั้น พระพรหมา (ब्रह्मा / Brahma) ทรงรับรูปเคารพแห่งพระอนันตศายิน ไปยัง

สัตยโลก (सत्र्लोक / Satyaloka) อันเป็นท่ีประทับของพระองค์ ทรงปรนนิบัติบูชาต่อรูปเคารพนั้นเป็น
อย่างดี ต่อมาทรงประทานหน้าท่ีการปรนนิบัติบูชาต่อพระศรีรังคนาถให้แก่พระสูรยเทพ ( सूर्पदेव /
Suryadeva) จากน้ันพระสูรยเทพทรงประทานรูปเคารพนี้แด่พระไววสั วตะ มนุ ผู้พระโอรส จากพระมนุสู่ทา้ ว
อกิ ษวากุ (इक्ष्वाकु / Ikshvaku) และตกทอดกนั มาถงึ ทา้ วทศรถ (दशरर्थ / Dasharatha)

ท้าวทศรถ ทรงไร้ซ่ึงผู้สืบสกุลจึงจัดพิธีปุตรกาเมษฏิ ยัชญะ(िुत्रकामेक्तष्ट र्ज्ञ / Putrakameshti
Yajna) ข้ึน เพ่ือขอพระโอรสสืบสกุล

กล่าวถึง พระธรรมวรมา โจฬะ (धमपवमाप चोळ / ேர்மவர்ம தசாழர் / Dharma
Varma Chola) กษัตริย์แห่งแคว้นโจฬะ จากทางตอนใต้ ทรงเป็นหนึ่งในกษัตริย์ที่ได้เข้าร่วมพิธีปุตรกาเมษฏิ
และยังได้ทรงทรรศนะซ่ึงพระศรีรังคนาถ เม่ือทรงได้ทรรศนะแล้วก็ทรงหลงใหล รักใคร่ในองค์รังคนาถเป็นย่ิง
นัก ถึงขั้นทรงเอ่ยพระโอษฐ์ตรัสขอกับท้าวทศรถ แต่ก็ต้องกลับไปด้วยความโทมนัส ด้วยท้าวทศรถนนั้ ทรงหวง
ซ่งึ พระวคิ ระฮะ แห่งพระศรรี งั คนาถเปน็ ยงิ่ นัก ด้วยสาคัญว่าเป็นสงิ่ ตกทอดมาจากบรรพบุรษุ

ด้วยเหตุนั้นพระธรรมวรมา จึงบาเพ็ญตนระลึกถึงพระรังคนาถ สวามี เพื่อให้พระรังคนาถทรงเสด็จ
มายังแคว้นโจฬะ กาลเวลาล่วงเลยผ่านไป ทศรถนันทนะ ศรีราม (दशरर्थनन्दन श्री राम /
Dasharatha Nandana Sri Rama) ทรงมีชัยเหนือ ลังเกศวร ราวณะ และได้กลับคืนนคร หลังทรงเนรเทศตน
จาก โยธยาสู่พงไพรตามคารับส่ังของพระบิดา ถึงสิบสี่ปีด้วยกัน หลังจากทรงเข้าพิธีราชาภเิ ษก เถลิงราชย์เปน็
กษัตริย์แล้ว พระองค์ทรงประทานรางวัล และปูนบาเหน็จแก่เหล่าทหาร แลมิตรสหายท่ีได้ให้การช่วยเหลือ
เข้าร่วมสงครามต่อกรกับทศานน หนึ่งในน้ันคือท้าววิภีษณะ (क्तवभीषण / Vibhishana) หรือที่ไทยรู้จักกัน
ในนามพิเภก หนึ่งในอนุชาของราวณาสุระ ท่ีได้เข้ามาช่วยเหลือพระราม พระรามทรงตัดสินพระทัยประทาน
พระศรีรังคนาถ พร้อมวิมานแก่วิภีษณะ แต่ทรงตรัสกาชับไว้วา่ อย่าได้วางรูปเคารพน้ีลงโดยยังไม่ถึงลงกา ด้วย
ว่า หากรูปเคารพนีส้ ัมผสั พ้นื ปฐพี ณ ทีแ่ ห่งใด รูปเคารพนีจ้ ะประดษิ ฐาน ณ ที่แห่งนนั้ มิสามารถเคลื่อนย้ายได้

วิภีษณะรับไว้ด้วยเกล้า แล้วจึงทูลลากลับไปยังสุวรรณนคร ลงกา ขณะเหาะกลับผ่านสู่ทิศทักษิณ
นั้นเอง พอดีเวลานั้นเข้าสู่ยามสนธยา วิภีษณะจาต้องปฏิบัตตามธรรมเนียมพราหมณ์ คือ ประกอบกิจพิธี
สนธยาวันทนะ บังเอิญแลเห็นชายหนุ่มเล้ียงโคคนหนึ่งใกล้ริมฝั่งแม่น้ากาเวรี จึงเรียกให้มาแบกพระปฏิมาไว้
โดยกาชับไวว้ ่า อยา่ ได้วางลงเป็นอนั ขาด แล้วจงึ ไปประกอบกจิ พธิ ี โคบาลอนั เปน็ พระวนิ ายกจาแลงองค์มาแบก
พระปฏมิ าไว้อย่างหนักหน่วง และตะโกนเรียกวิภษี ณะให้รบี มารับสามครั้งดว้ ยกนั แล้วจึงวางพระปฏมิ าลงแล้ว
อันตรธานหายไป

วิภีษณะ เมื่อประกอบสนธยาวันทนะเสร็จสิ้นลงแล้ว เมื่อได้แลเห็นสิ่งที่เกิดข้ึนเช่นนั้น ก็บังเกิดความ
โทมนัสยิ่ง ร้องให้คร่าครวญอยู่เบื้องพระพักตร์พระรังคนาถ พระรังคนาถจึงแสดงฤทธ์ิเดชต่อวิภีษณะ ทรง
ปรากฏในรปู ของเสียง ตรัสต่อวภิ ษี ณะวา่ อย่าได้คร่าครวญไปเลย ถึงตัวเราจะมิไดไ้ ปยงั ลงกา หากแตต่ วั เรานั้น
จะคอยแลมองเจา้ และลงกาอยเู่ สมอจากตรงน้ี ด้วยเหตุน้พี ระรังคนาถจงึ ทรงแปรพระพักตรไ์ ปสู่ทศิ ใต้

วิภีษณะ เม่ือได้สดับฟังเช่นน้ันแล้วก็สงบใจลง และทูลลาจากไปยังนครลงกา นิวาสถานแห่งตน (เชื่อ
กันวา่ ในทกุ ๆ 12 ปี วิภษี ณะจะเข้ามาสักการะพระรังคนาถ)

ต่อมา เรื่องของพระศรีรังคนาถที่ได้มาประดิษฐานอยู่ในแคว้นของตน ได้ไปถึงพระกรรณของพระ
ธรรมวรมา จงึ เสด็จมาทอดพระเนตรทรรศนะดว้ ยองค์เอง และมรี บั สง่ั ให้สรา้ งเทวสถานขนึ้ ทแ่ี หง่ นัน้ จงึ ได้นาม
ว่า ติรุวะรังคัม (ேிருவேங்கம் / Thiruvarangam) หรือศรีรังคัม (ஸ்ரீ ேங்கம் / Sri Rangam)
และศรรี ังคธามะ (श्री रंगधाम / Sri Rangadhama) ภายหลังเทวสถานไดถ้ กู ปล่อยท้งิ รา้ ง จนกษตั รยิ ์โจฬะ
องค์หน่ึงได้เสด็จมาถึง และปรากฏมีนกแก้วมาเล่าเกี่ยวกับเรื่องพระรังคนาถให้กษัตริย์นั้นฟัง กษัตริย์น้ันจึงได้
ค้นพบพระรังคนาถ และได้ทาการบูรณะเทวสถาน ต่อมากษัตริย์นั้นรู้จักกันในนาม กิลิ โจฬัร (கிைி
தசாழர் / Kili Chozhar) หรือกิลลิวลวัน (கிள்ைிவைவன் / Killivalavan)

เทวสถานพระศรีรังคนาถน้ันได้รับการอุปถัมภ์ และการบูรณะหลายคร้ังจากหลายราชวงศ์ที่เข้ามา
ปกครองศรีรงั คมั ได้แก่ โจฬะ , ปาณฑิยรั , วิชยนคร และนายกะ จนถึงยคุ ปจั จบุ นั ภายใต้รฐั บาลรฐั ตมฬิ นาฏุ

พระธมู าวตี

พระนางธูมาวตี (धूमाविी / Dhumavati) เป็นเทวีฝ่ายตันตระ (िन्त्र / Tantra) ทรงเป็นมหา
วิทยาองค์ที่เจ็ดในทศมหาวิทยา (दशमहाक्तवद्या / Dasa Mahavidya) ทั้ง 10 องค์

พระแมธ่ ูมาวตี ทรงเป็นเทวแี ห่งหญิงม่าย , ความตาย , ความทุกข์ทรมาน สงั เกตไดจ้ ากทรงภูษาภรณ์
สีขาว ไม่ทรงเครอ่ื งประดับ ไมเ่ จิมตลิ กใดๆ ทรงอกี า หรอื รถเทียมมา้ ท่ีไม่มีม้า

เทวปกรณ์มีอยู่ว่า คร้ังหน่ึงพระทักษะ ประชาบดี (दक्ष रजािक्ति / Daksha Prajapati) ได้จัด
พธิ ียชั ญะขน้ึ ไดอ้ นั เชิญเทวะทงั้ หลายไปรว่ มงาน แตม่ ิไดเ้ ชิญพระศิวะ (भगवान् क्तशव / Bhagavan Shiva)
และพระนางทากษายณี หรืออีกพระนามที่เรารู้จักกันคือ พระสตี (दाक्षार्णी / सिी – Dakshayani /
Sati) ผพู้ ระธิดาไปร่วมงาน

เม่ือพระทากษายณีทราบข่าวก็กระวนกระวาย กลุ้มพระทัยเป็นอย่างยิ่งอยากจะทราบความจากพระ
บิดา เหตใุ ดจงึ ไมเ่ ชญิ ตนพร้อมพระราชสวามีไปรว่ มงาน

จงึ กล่าวขอพระราชทานอนญุ าตจากพระราชสวามี พระอีศวรเจา้ จอมไกลาส โปรดประทานอนญุ าตให้
ตนไปยังมณฑลพิธี

พระโยคศี วรทรงคัดค้านคาขอของพระนาง ถงึ กระน้นั พระนางก็ยงั ท่ีจะทูลขออยู่ทุกเพลา จนพระองค์
พระมเหศวรพระราชทานอนุญาต และจดั ขบวนคณะติดตามพระนางไปด้วย โดยมีนนทิเป็นหัวหน้าคณะ

เมื่อพระทากษายณี มาถึงมณฑลพิธี พระทักษะได้แสดงอาการกริยาอันไม่สมควรขึ้นต่อพระนางผู้ธดิ า
พระทากษายณีตรสั ทลู ถามเหตุใดจึงมิเชญิ ตนพรอ้ มพระสวามีมาร่วมพธิ ี แต่คาตอบท่ีได้รบั กลบั มาดังสายฟ้าผ่า
ลงมายังดวงกมล พระทักษะได้กล่าวดูถูกดูหม่ินพระศิวะผู้เปน็ พระราชสวามีของพระนางด้วยคาหยาบคาย ต่อ
เบื้องพระพกั ตร์พระเทวะ เทวี และผู้ท่ีไดร้ บั เชญิ สู่มณฑลพิธที ัง้ หลาย

พระทากษายณีทรงเศร้าโศกพระทัยยิ่ง ทรงมิอาจรับคาดูถูกจากพระราชบิดาได้ จึงทรงกระโดดเผา
ตนเองในกองเพลิงประกอบพิธี (บ้างก็ว่าทรงใช้ตบะโยคะเป็นเพลิงเผาตน) และมีเทวีอันมีรูปร่างน่าเกลียดน่า
กลัวออกมาจากควันเพลิงท่ีเผาสรีระของพระทากษายณี พระเทวีองค์นั้นจึงนามว่า ธูมาวตี เกิดจากความเศรา้
หมองของพระสตี

พระเทวีได้ไปยังไกลาสและตรัสขอโภชนาจากพระโยคีศวร (พระศิวะจอมโยคี) แต่พระมเหศวรทรง
ปฏิเสธ ด้วยความหิวโหยจึงกลืนกนิ พระศวิ ะเจ้าไป พระปรเมศวรขอร้องพระนางให้ปล่อยตน พระนางจึงคลาย
พระองคอ์ อกมา

บางตานานกล่าวว่า พระนางธูมาวตี และมหาวิทยาองค์อื่น เกิดจากความกริ้วที่มีต่อพระสวามีของ
พระทากษายณี ที่ทูลขออนุญาตไปพิธียาคะของพระทักษะมิได้ จึงปรากฏรูปท้ังสิบล้อมรอบพระศิวะ จนพระ
ศิวะประทานอนุญาต บ้างก็วา่ พระนางคอื การทาลายล้าง (ปาลย) ทรงกลนื จกั รวาลเข้าไป

กล่าวกันว่า พระนางธูมาวตีทรงสถิตใน สถานท่ีฌาปนกิจศพ ทรงเป็นเทวีของหญิงม่าย และเป็นเทวี
แห่งความทุกข์ทรมาน และความตาย ทรงเปน็ หนึง่ ในมหาวทิ ยา ซึ่งพระเทวีทรงสื่อถงึ ความรู้ในกาลเวลา มเี กิด
ย่อมมีดับ และความตาย

ในส่วนของมนตร์ เหล่าตานตริกะ (ผู้สืบสานตันตระ) ใช้พีชมนตร์ ซึ่งเปรียบดังรหัสลับในการเข้าถึง
พระเจ้า และอมนุษย์ท้ังหลาย และพีชมนตร์ยังทรงพลังอานาจมาก พีชมนตร์มักได้ต่อกันมาจากคุรุเหล่า
ตันตราจารย์ทั้งหลาย

ในส่วนน้ขี อเผยแพร่แคบ่ ทเดียว คอื ุธู ธูมาวตี สวฺ าหา (ธมู ธูมาวตี สวาหา)

พระฉนิ นมัสตา

พระฉินนมัสตา (क्तिन्नमस्िा / chinnamasta) หรือฉินนมัสติกา (क्तिन्नमक्तस्िका /
Chinnamastika) และประจัณฑะ จณั ฑกิ า (रचण्ड चक्तण्डका / Prachanda Chandika) ทรงเป็นหนงึ่ ใน
ทศมหาวิทยาเทวี ซึ่งเป็นคณะเทวีที่ได้รับการบูชาในคติตันตระ ทรงเป็นเทวีแห่งปัญญาญาน อันอยู่เหนือ
กามารมณ์ และการตะหนกั รูใ้ นตนเอง

พระนามของพระนางน้ันมาจากศัพทภ์ าษาสนั สกฤตสองคา คอื
ฉินนะ (क्तिन्न / Chinna) ซึ่งหมายถึง การตัด , การฉีก , ฉีกขาด และการแบ่ง สมาสกับ มัสตะ
(मस्ि / Masta) หรือมัสตกะ (मस्िक / Mastaka) อันหมายถึง ศีรษะ เมื่อนามาเป็นนามสตรี จึงมีการลง
เสยี งเพือ่ บอกเพศ จงึ ได้รปู ฉนิ นมัสตา (क्तिन्नमस्िा / Chinnamasta) และฉินนมสั ตกิ า (क्तिन्नमक्तस्िका
/ Chinnamastika) อันหมายถึง นางผตู้ ัดเศยี ร , นางผมู้ พี ระเศยี รทฉี่ ีกขาด
ส่วนนามประจัณฑะ จัณฑิกาน้ัน มาจากคาว่า ประจัณฑะ (रचण्ड / Prachanda) ซึ่งหมายถึง ดุ
ร้าย , รุนแรง , ร้อนแรง และความน่าเกรงขาม สมาสกับ จัณฑิกา (चक्तण्डका / Chandika) นามหนึ่งของ
พระเทวี อันมคี วามหมายในทานองเดยี วกัน ประจัณฑะ จัณฑิกาจึงหมายถงึ พระนางจัณฑิกา ผทู้ รงความดุรา้ ย
น่าเกรงขาม

ในส่วนของตานานน้ัน ในคัมภีร์ปราณะโตษิณิ ตันตระ (राणिोक्तषक्तण िन्त्र / Pranatoshini
Tantra) ไดก้ ลา่ วถึงการปรากฏรูปแห่งพระฉนิ นมสั ตะ ถึงสองตานานดว้ ยกัน

โดยตานานแรกกล่าวว่า เม่ือคร้ังพระปารวตี (िावपिी / Parvati) ทรงเสด็จสรงสนานอยู่ ณ แม่
น้ามันทากินีน้ัน ทรงตกอยู่ภายใต้ความร้อนแรงจนพระวรกายคล้าแดง ในขณะนั้นเอง พระบริวารท้ังสององค์
คือ ฑากิณี (डादकणी / Dakini) และวรรณินี (वर्णपनी / Varnini) ได้รู้สึกหิวกระหายข้ึนมา จึงทูลกล่าว
แก่พระบรรพตี พระมาเตศวรีจึงทรงตัดพระเศียรของตนด้วยพระนขา (เล็บ) บังเกิดโลหิตพวยพุ่งประทานแก่
นางบรวิ ารท้ังสองให้ไดด้ ่ืมกิน

อีกตานานหนึ่งจาก ปราณะโตษิณิ ตันตระ (राणिोक्तषक्तण िन्त्र / Pranatoshini Tantra) และ
คัมภีร์สวตันตระ ตันตระ (स्विन्त्र िन्त्र / Swatantra Tantra) กล่าวถึง พระศิวะและพระจัณฑิกา ทรง
เสพสงั วาสรว่ มกนั ในท่าขี่ม้า ด้วยความร้อนแรง แลความเสน่หา พระนางจณั ฑิกาผู้ทรงอภิรมย์ในกามกรีฑานั้น
อย่างร้อนแรงทรงตดั พระเศยี รของพระองค์เอง บงั เกดิ โลหิตพวยพ่งุ ออกมา บัดนนั้ นางบริวารทัง้ สอง อันได้แก่
ฑากณิ ี และวรรณินี จึงปรากฏกายข้ึนเขา้ รองรบั พระโลหติ จากพระมหาเทวี

ในส่วนคัมภีร์พฤหัทธรรมะ ปุราณะ (बृहद्धमप िुराण / Brihaddharma Purana) อันเป็นหนึ่งใน
ปุราณะย่อย ได้กล่าวถึงการปรากฏขึ้นของทศมหาวิทยา ทั้งสิบองค์ไว้ว่า เม่ือคร้ังพระทักษะ ประชาปติ (दक्ष
रजािक्ति / Daksha Prajapati) ได้จัดพิธีมหายัชญะขึ้น ทรงเชิญเหล่าทวยเทพไปร่วมพิธี หากแต่มิได้เชิญ

พระทากษายณี หรือพระนางสตี (दाक्षार्णी / सिी – Dakshayani / Sati) ผู้เป็นพระธดิ า และพระศิวะ
โยเคศวร ผู้พระชามาดา (ลูกเขย) ไปร่วมพิธีด้วย ด้วยทรงมิยอมรับในองค์พระโยเคศวร อีกทั้งดูแคลนใน
พระองค์ เม่ือพระนางทากษายณี ทราบความดงั นั้น ก็ร้อนรุ่มพระทัย ทรงเข้ากราบทูลพระภเู ตศวรศิวะเจา้ ให้
ทรงประทานอนุญาตให้พระนางเสด็จไปยังพิธี เพื่อทวงถามศักด์ิศรีของพระองค์ แลพระนางเอง หากแต่พระ
ไกลาสบดี ทรงปฏิเสธคาขอของพระนาง พระนางทูลขออยู่หลายครา หากแต่ทรงตรัสตอบปฏิเสธพระเทวีอยู่
ทุกครั้งไป ด้วยเหตุน้ีพระนางทากษายณีจึงโกรธกริ้ว ปรากฏรูปแห่งพระเทวีทั้งสิบรูป คือ ทศมหาวิทยา เข้า
ล้อมรอบพระศวิ ะอยูท่ ั้งสิบทศิ โดยพระฉนิ นมัสตา ทรงอยทู่ างทิศตะวันตก ดา้ นหลังของพระศวิ ะ

ในส่วนเทวลักษณะ พระฉินนมัสตะ ทรงปรากฏรูปเป็นพระเทวี ผู้ทรงดูร้าย รุนแรง มีพระวรกายคล้า
เปน็ สแี ดง น้าเงนิ หรือดา ทรงประทับยนื หรือน่งั บนสรีระของชาย - หญิงทกี่ าลังเสพสงั วาสกนั อยู่ คือ กามเทพ
กับนางรติ บ้างว่า เป็นพระศิวะ และพระนางจัณฑิกาเอง อันหมายถึงทรงอยู่เหนือกามารมณ์ โดยทรงถือไว้ซ่ึง
อาวุธ คือ พระขรรค์ หรือกรรไกร และพระเศียรที่ถูกตัดไว้ในพระกร อีกทั้งทรงสวมพวงมาลัยเป็นหัวมนุษย์
เคยี งข้างดว้ ยบริวาร คอื ฑากณิ ี และวรรณนิ ี คอยรองรบั และดมื่ กินซ่งึ โลหติ จากพระศอของพระนางอยู่

พระมลยธวช พระราชบิดาในองคพ์ ระมีนากษีกับบทบาทใน
มหาภารตะ

พระมลยธฺวช ปาณฑยะ (मलर्ध्वज िाण्डर् / மையத்வஜ பாண்டிய /
Malayadhwaja Pandya) ในคัมภีร์หาลาสยะ มาหาตมยัม (हालास्र् माहात्म्प्र्म् / Halasya
Mahatmyam) อันเป็นคัมภีร์ท่ีว่าด้วยตานานของเมืองมทุไรน้ัน ได้กล่าวถึงพระองค์ ในฐานะทรงเป็นกษัตริย์
ปกครองแคว้นปาณฑยะ ทางตอนใต้ของภารตวรรษ โดยมีมธุราปุรี หรือมทุไรเป็นราชธานี อีกทั้งทรงเป็นพระ
ราชบิดาในองค์พระศรีมีนากษี (श्री मीनाक्षी / ஸ்ரீ மீனாக்ஷி / Sri Meenakshi) อันเป็นอวตาร
ของพระอัมพิกา และพระราชสวามีของพระนางกาญจนมาลา (काञ्चनमाला / Kanchanamala) ขัตติย
นารีจากราชวงศ์โจฬะ ซ่ึงบทบาทของพระองค์ในคัมภีร์หาลาสยะ มาหาตมยัม และศิวลีลารณวะ (อันกล่าวถึง
ลีลาแห่งองค์พระศิวะท่ีทรงแสดงในเมืองมทุไร) ก็ไมม่ อี ะไรโดดเดน่ กว่าทเี่ ราทราบกนั มากนกั

หากแต่ในมหาภารตะ (महाभारि / Mahabharata) ก็ได้กล่าวถึงพระองค์เช่นกัน โดยทรงได้รับ
การกล่าวถึงในนาม สารังคธฺวชะ (सारङ्गध्वज / Sarangadhwaja) อันมีความหมายว่า ผู้มีคชสารเป็น
ตราสัญลกั ษณ์ ทรงไดร้ ับการกล่าวถึงในบรรพทส่ี อง (สภาบรรพ) บรรพท่ีเจด็ (โทรณะบรรพ) และบรรพท่ีแปด
(กรรณะบรรพ) ตามลาดบั

โดยในมหาภารตะทรงได้รับการกล่าวถึง ในฐานะกษัตริย์แห่งแคว้นปาณฑยะ (िाण्डर् / Pandya)
ซ่ึงปกครองอยทู่ างตอนใตส้ ดุ ของภารตวรรษ

ในโทรณะบรรพ (द्रोण िावप / Drona Parva) กล่าวว่า คร้ังหนึ่งท้าวสารังคธวชั เคยมีพระราชดาริ
จะยกทัพไปตีทวารกา (द्वारका / Dwaraka) เพื่อแก้แค้นพระกฤษณะ (कृ ष्ण / Krishna) ที่ได้ยกทัพมาตี
ปาณฑยะ และปลิดชีพพระราชบิดาของตนลง พระองคจ์ ึงขอใช้ศาสตราวุธจากโทรณะ (द्रोण / Drona) , ภษี
มะ (भीष्म / Bhishma) , ปรศุราม (िरशुराम / Parashurama) และกฤปะ (कृ ि / Kripa) เม่ือได้อาวุธ
จากท่านเหล่านั้นแล้ว ท้าวสารังคธวัช จึงมีอานาจเทียมรุกมิน (रुक्तक्मन् / Rukmin) , กรรณะ (कणप /

Karna) , อรชุน (अजुपन / Arjuna) และอัจยุตะ หรือกฤษณะ (अच्र्ुि / कृ ष्ण – Achyuta / Krishna)
หากแต่พระฤๅษีอคัสตยะได้หยุดท้าวสารังคธวัชไว้ และโน้มน้าวให้พระองค์หยุดความคิดท่ีจะแก้แค้น และหัน
มาถือกฤษณะเป็นสรณะแทน ซึ่งต่อมาในสงครามกุรุเกษตร ท้าวสารังคธวัชได้เข้าร่วมกับปาณฑพ ในการทา
สงครามกบั ฝงั่ เการพ

ในสภาบรรพ (सभा िवप / Sabha Parva) ไดก้ ลา่ วถงึ พระองค์ในฐานะกษัตริย์แห่งแคว้นปาณฑยะ
ท่ีได้ส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแก่ท้าวยุธิษฐีระ (र्ुक्तधक्तष्ठर / Yudhishdhira) ในพิธีราชสูรยะ โดย
เครื่องบรรณาการนั้นประกอบด้วย หม้อทองคาที่บรรจุไปด้วยอัญมณี และแก่นจันทน์ อีกทั้งไม้จันทน์จากเขา
มลยะ (เขานี้ข้นึ ชื่อเร่ืองไม้จนั ทน์ ต้งั อยทู่ างตอนใต้)

ในกรรณะบรรพ (कणप िवप / Karna Parva) ไดก้ ลา่ วถงึ ทา้ วสารงั คธวัช หรอื มลยธวัช ในฐานะนกั รบ
ผู้น่าเกรงขาม แลดูเหมือนพระยม และพระอินทร์ ปรากฏในสนามรบ ทรงเข้าตีกองทัพของศัตรูอย่างดุเดือด
ด้วยศาสตราวุธอันทรงพลานุภาพต่างๆ แต่ท้ายสุดก็ถูกปลิดชีพโดยอัศวัตถามา ( अश्वत्र्थामा /
Ashwatthama) บตุ รแหง่ โทรณะ

ในหาลาสยะ มาหาตยัม (हालास्र् माहात्म्प्र्म् / Halasya Mahatmyam) และศิวลีลารณวะ
(क्तशवलीलाणपव / Shivalilarnava) พระมลยธวัชทรงได้รับการกล่าวถึงในฐานะ พระโอรสของท้าวกุล
เศขร ปาณฑยะ (कु लशेखर िाण्डर् / குைதசகே பாண்டிய / Kulashekhara Pandya)
ทรงมีพระมเหสีคือ พระนางกาญจนมาลา (काञ्चनमाला / Kanchanamala) (காஞ்சனமானை
/ Kanchanamalai) ขตั ติยนารจี ากราชวงศโ์ จฬะ ซึง่ อดีตชาตขิ องพระนางนน้ั คือ นางวทิ ยาวตี (क्तवद्याविी
/ வித்யாவேி / Vidyavati) ธดิ าคนธรรพ์ ซง่ึ ไดบ้ าเพญ็ ตบะถึงพระอัมพิกา จนพระเทวีนัน้ พึงพอพระทัย
เสด็จมาให้พรตามท่ีนางประสงค์ โดยนางวิทยาวดีได้ขอให้พระเทวีมาเป็นธิดาแห่งตน พระเทวีจึงอานวยพรท่ี
ตานางปรารถนา

ดังนั้น เมื่อท้าวมลยธวัช ปาณฑยะ พร้อมท้ังพระยางกาญจนมาลา ได้ประกอบพิธีปุตระกาเมษฏิ
ยชั ญะ (ितु ्रकामेक्तष्ट र्ज्ञ / Putrakameshti Yajna) เพ่อื ขอทายาทสืบสกุล พระอมั พกิ าจึงทรงอุบัตขิ ้ึนจาก
กองกูณฑ์น้ัน ในรูปของบาลิกาวัยสามพรรษา ทรงเถลิงพระนามว่า ตฏาตกา หรือตฏาตไก (िटािका /
Tathataka) (ேடாேனக / Tadathagai) ทรงอุบัติมาพร้อมพระถันทั้งสาม ซ่ึงทรงได้รับคาทานายว่า
พระถันที่สามจะหายไปเม่ือทรงพบคู่ครองของพระนาง เม่ือพระมลยธวัชได้ส้ินพระชนม์ลง พระนางตฏาตกา
จึงไดค้ รองราชย์ โดยเถลงิ พระนามว่า มนี ากษี (मीनाक्षी / மீனாக்ஷி / Meenakshi) อนั หมายถงึ ตา
มัจฉา โดยมีคาอธิบายวา่ พระนางน้ันมีดวงเนตรที่เรียวงาม และกลมโตเหมือนตัวมัจฉา และอีกคาอธิบายหนึง่
เปรียบพระนางเหมอื นแมม่ ัจฉาทไ่ี ม่เคยปิดตาหลบั ไหล เพอ่ื ดูแลลกู ๆ ของตน

จากนน้ั พระนางได้ยกทัพพชิ ิตแควน้ ต่างๆ รวมถงึ ยกทพั ไปพชิ ิตเทวโลก จนถงึ ไกลาสพระนางได้พบกับ
พระศิวะ และไดพ้ ิชิตพระทัยองคพ์ ระศังกร พระมเหศวรจึงตอ้ งเสด็จมาวิวาห์กับพระนางในรปู ของกษัตริย์ และ
ปกครองอาณาจกั รรว่ มกบั พระนาง

กลา่ วถึง พระนางกาญจนมาลา พระนางทรงปรารถนาท่ีจะชาระตนตามตีรถะ (ท่าน้าศักดิส์ ิทธ์ิ) ต่างๆ
ก่อนจะสิ้นพระชมน์ หากแต่ด้วยวัยและสังขารนั้นไม่เอื้ออานวย พระนางมีนากษีจึงทูลต่อพระสุนทเรศ (พระ
ศวิ ะ) ใหท้ รงช่วยเหลือตอบสนองความปรารถนาของพระราชมารดา พระสุนทเรศวร จงึ ทรงเรยี กทิพยวารี จาก
มหาสาครท้ังเจด็ มาส่มู ทุไร และเชิญพระนางกาญจนมาลา เสด็จมาชาระตนในสระน้าน้นั เมื่อพระนางชาระตน
ในสระน้าน้ันจึงหลุดพ้นจากร่างวัตถุ พลันวิมานจากเทวโลก พร้อมด้วยพระมลยธวัช ก็เสด็จลงมารับพระนาง
ขึ้นไปส่โู ลกเบือ้ งบน

พระนางนคั นชิติ

พระนางสตั ยา หรือนัคนชิติ (सत्र्ा / निक्तजक्ति – Satya / Nagnajiti) ทรงเป็นพระราชธิดาของ
ทา้ วนคั นชติ (निक्तजि / Nagnajita) แห่งแคว้นโกศล (कोसल / Kosala) ด้วยเหตุนี้จงึ มอี ีกนามวา่ นัคนชิติ
(निक्तजक्ति / Nagnajiti) และเกาศัลยา (कौसल्र्ा / Kausalya)

พระนางนคั นชติ ิ ทรงเป็นอวตารของพระนีลา เทวี (नीला दवे ी / Neela Devi) พระมเหสีองค์หนึ่ง
ของพระวษิ ณุ

พระกฤษณะทรงได้รับชัยชนะในพิธีสยุมพรของพระนาง โดยพระองค์ทรงการาบโคถึกถึงเจ็ดตัวไว้ได้
จึงได้พระนางเป็นพระมเหสี โดยที่พระนางก็แอบมีพระทัยให้กฤษณะมานานแล้วเช่นกัน และในการการาบโค
ถึกน้ันเองพระองค์ทรงได้สร้างความเชื่อมน่ั ให้แก่พระนางสัตยาว่า ถึงแมน้ พระองคจ์ ักทรงมีพระมเหสีและสนม
มากมาย หากแต่พระองค์ทรงอยู่กับทุกพระนางอย่างเท่าเทียมกัน มิต้องกังวลว่าจะห่างเหิน ด้วยพระองค์ทรง
แบง่ ตนเอง เป็นเจด็ องคเ์ ขา้ การาบโคถกึ

ตลุ กุ กะ นาจจิยาร หญิงสาวมุสลมิ ผูม้ คี วามภักดตี ่อมาหาวิษณุ

ตุลุกกะ นาจจิยาร (துலுக்க நாச்சியார் / Tulukka Nacchiyar) หรือบิบิ นาจจิยาร
(பிபி நாச்சியார் / Bibi Nacchiyar) หญงิ สาวเช้อื สายเติร์ก ราชกมุ ารแี ห่งราชวงศม์ ฆุ ลั ผไู้ ด้รับการยก
ย่องว่า เป็นหน่งึ ในผ้จู งรกั ภักดีอยา่ งสดุ ต่อพระมหาวิษณุ

ตานานกล่าวถึงช่วงที่อาณาจักรมุสลิมของสุลต่านมาลิก คาฟุร์ (Sultan Malik Kafur) ได้บุกโจมตี
อาณาจักรทางตอนใต้ของอินเดีย และกองทัพของเขาเล่ืองช่ือเรื่องความป่าเถ่ือนเป็นอันมาก ท้ังฆ่าปล้น
ชาวบ้าน และศาสนสถานต่างๆ ได้ถูกปล้นและทาลายลงในศรีรังคัม เม่ือผู้คนรับรู้ล่วงหน้าถึงการบุกรุกของ
อาณาจักรมุสลิม พราหมณ์ และชาวบ้านบางส่วนได้ช่วยกันขนยา้ ยอุตสวะ มูรติ (พระเทวปฏิมาสาฤทธิ์) ต่างๆ
ภายในวัด แต่ในช่วงเวลาที่คับขัน และเวลาท่ีจากัด พวกกองทัพมุสลิมได้บุกมาถึง น่าเศร้าใจที่พวกเขาได้เพยี ง
นาอุตสวะมูรติ ของศรีรังคะนาจจิยาร (พระมหาลักษมี) ไปซ่อนฝังไว้ใต้ดิน กองทัพได้บุกเข้ามาปล้นฆ่าผู้คน
และได้นาอุตสวะมูรติ ของพระรังคนาถไป ซ่ึงเทวปฏิมามากมายที่พวกมุฆัลขนไป พวกมุฆัลจะนาไปหลอมเปน็
โลหะเคร่อื งประดับแกร่ าชนิกลุ ของราชวงศม์ ุคัล

แต่เมื่อพระเปรุมาล เดินทางมาถึงราชวังของอาณาจักรมุฆัล บิบิ พระราชธิดาในองค์จักรพรรด์ิ กลับ
หลงใหลในความงามของพระเปรุมาลเข้า จึงทลู ขอต่อพระราชบิดาว่า อย่านารูปปน้ั นัน้ ไปหลอมได้หรือไม่ ดว้ ย


Click to View FlipBook Version