The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต 2565
นายจิรพงศ์ ไมตรีจิตร นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยหาดใหญ่

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by จิรพงศ์ ไมตรีจิตร, 2022-04-10 11:42:21

การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา

การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต 2565
นายจิรพงศ์ ไมตรีจิตร นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยหาดใหญ่

การบรหิ ารงานวชิ าการของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
สังกัดสำนกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาภูเกต็
Academic Administration of Educational Institution Administrators
under the Phuket Primary Educational Service Area Office

จิรพงศ์ ไมตรจี ิตร
Jirapong Mitreejit

สารนิพนธ์นเี้ ป็นสว่ นหนึ่งของการศกึ ษาตามหลักสตู รปรญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ
สาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษา
มหาวิทยาลยั หาดใหญ่

A Minor Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for
the Master of Educational Degree in Educational Administration
Hatyai University
2565

(1)

การบรหิ ารงานวิชาการของผบู้ ริหารสถานศึกษา
สงั กดั สำนักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาภูเกต็
Academic Administration of Educational Institution Administrators
under the Phuket Primary Educational Service Area Office

จริ พงศ์ ไมตรีจติ ร
Jirapong Mitreejit

สารนิพนธน์ เี้ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของการศกึ ษาตามหลักสตู รปริญญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ
สาขาวิชาการบริหารการศกึ ษา
มหาวิทยาลยั หาดใหญ่

A Minor Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for
the Master of Educational Degree in Educational Administration
Hatyai University
2565
ลขิ สทิ ธิข์ องมหาวิทยาลยั หาดใหญ่
Copyright of Hatyai Universit

(2)

(3)

ช่อื สารนพิ นธ์ การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่
การศึกษาประถมศึกษาภเู กต็
ผู้วจิ ยั นายจริ พงศ์ ไมตรจี ติ ร
สาขาวิชา การบรหิ ารการศึกษา
ปีการศึกษา 2564
คำสำคญั การบรหิ ารงานวชิ าการ

บทคดั ย่อ

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์
ในการทำงานและขนาดของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนท่ีปฏิบัติหน้าท่ีการสอนในสังกัด
สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ปีการศึกษา 2564 โดยมีโรงเรียน 49 โรงเรียน
จำนวน 260 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซ่ีและมอร์แกน นำมาสุ่ม
แบบแบ่งช้ันตามขนาดของโรงเรียน แล้วสุ่มอย่างง่ายโดยวิธีการจับ สลาก เคร่ืองมือที่ใช้เป็น
แบบสอบถามเก่ียวกับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา ค่าความเชื่อมั่น .971 เก็บรวบรวม
ขอ้ มลู โดยใช้ Google Form สถิตทิ ่ีใช้ คือ คา่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที
การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวและการทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยรายคู่
โดยวิธีการของ Scheffe ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดเห็นของครูผู้สอนต่อการบริหารงานวิชาการ
ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต โดยภาพรวมอยู่ใน
ระดับมาก 2) ครูที่มีเพศต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาโดย
ภาพรวมไม่แตกต่างกัน เม่ือพิจารณารายด้าน พบว่าด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
มีความคิดเห็นแตกต่างกันที่นัยสำคัญทางสถิติ ท่ีระดับ .001 และด้านการวัดผลและประเมินผล
มีความคิดเห็นแตกต่างกันที่นัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 3) ครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกัน
มีความคิดเห็นต่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติ ท่ีระดับ .001 4) ครูที่มีประสบการณ์การทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารงาน
วิชาการของสถานศึกษา โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .001 และ
5) ครูสังกัดโรงเรียนท่ีมีขนาดโรงเรียน ต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารงานวิชาการ
ของสถานศกึ ษา สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษาภูเก็ต โดยภาพรวมแตกตา่ งกันอย่าง
มีนัยสำคญั ทางสถิติ ทีร่ ะดบั .001

(4)

Minor Thesis Title Academic Administration of Educational Institution Administrators
under the Phuket Primary Educational Service Area Office
Researcher Mr.Jirapong Mitreejit
Major Program Educational Administration
Academic Year 2021
Keywords Academic Administration

ABSTRACT

The objective of this research is to study academic administration in educational
institutions uunder the Phuket Primary Educational Service Area Office which is classified by gender,
educational background, work experience and school size. The sample groups are 260 teachers
from 49 schools under the Phuket Primary Educational Service Area Office for the academic year
2021. The sample size has been determined by using Craigie and Morgan’s table that is randomly
stratified, according to the size of the school, then randomly picked by drawing lots. The tool used
was a questionnaire about academic administration in educational institutions with a confidence
value of .971. Data was collected using Google Form. The statistics used were percentages, means,
and standard deviation. T test One-way ANOVA and double mean difference test by Scheffe's
method. The results showed that 1) the overall teachers' opinions towards academic administration
of educational institution administrators under the Phuket Primary Educational Service Area Office
were at a high level, 2) teachers of different sexes had no difference in opinion about academic
administration of educational institutions. When considering each aspect, It was found that the
teaching and learning activities had different opinions at a statistical significance at .001 level, and
the measurement and evaluation aspect had different opinions at the statistical significance at .05
level, 3) teachers with different educational backgrounds had an overall different opinion on
academic administration of educational institutions with statistically significant at .001 level,
4) teachers with different work experiences had different opinions on academic administration of
educational institutions with statistically significant at .001 level, and 5) teachers belonging to
schools with different school sizes had a different opinion on academic administration of
educational institutions under the Phuket Primary Educational Service Area Office Overall, with
statistically significant at .001 level.

(5)

กติ ตกิ รรมประกาศ

สารนิพนธ์เล่มน้ีเสร็จสมบูรณ์ด้วยความมานะพยายามท่ีผู้วิจัยได้ใช้กระบวนการ
ศึกษาค้นคว้าจนประสบความสำเร็จ โดยผู้ที่มีส่วนสำคัญในความสำเร็จคร้ังนี้ คือ ครูผู้ประสิทธิ์
ประสาทความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดร.สุดาพร ทองสวัสด์ิ อาจารย์ท่ีปรึกษาหลักที่ให้คำปรึกษา
คำชี้แนะแนวทางกระบวนการวิจัย อีกทั้งประธานคณะกรรมการสอบ ดร.ตรัยภูมินทร์ ตรีตรีศวร
และ ดร.ศิลป์ชัย สุวรรณมณี ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ได้สละเวลาอันมีค่าย่ิงในการให้ข้อคิดเห็นและคำชี้แนะ
ตา่ ง ๆ ทมี่ คี ุณค่าสง่ ผลใหส้ ารนิพนธ์เล่มนี้สมบรู ณ์ยิง่ ข้นึ

ขอขอบคุณผู้เช่ียวชาญทุกท่านท่ีให้ความอนุเคราะห์ตรวจสอบเคร่ืองมือในการทำ
สารนพิ นธ์ ประกอบด้วยดร.ธรี ะชัย รัตนรงั ษี รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษา วิทยฐานะ
ชำนาญการพิเศษ สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ ดร.เรวดี เชาวนาสัย
ผู้อำนวยการโรงเรียน วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านหน้าควนลัง(ราษฎร์สามัคคี)
สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสงขลา และรองศาสตราจารย์ ดร.จรัส อติวิทยาภรณ์
ผอู้ ำนวยการหลกั สูตรการบรหิ ารการศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยหาดใหญ่

ความสมบูรณ์ของสารนิพนธ์เล่มน้ีไม่อาจสำเร็จลุล่วงได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุน
และได้รับความร่วมมือจาก นางสาวธิดาพร เหล่าวิเศษกุล ผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนในเครือขจรเกียรติ
นายเพิ่มศักดิ์ เกษกุล ผู้อำนวยการโรงเรียนขจรเกียรติพัฒนาและคณะครูโรงเรียนขจรเกียรติพัฒนา
ทกุ ๆ คน รวมทัง้ ครผู ู้สอนทป่ี ฏิบัติหน้าท่ีในโรงเรียน สงั กัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
ภเู กต็ ที่ให้ความร่วมมือในการอำนวยความสะดวกตลอดจนตอบแบบสอบถาม ทำให้การวิจัยครง้ั น้ีได้
ค้นพบสิ่งท่ีมีประโยชน์ตอ่ การพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาต่อไป ซึง่ ผวู้ จิ ยั ขอขอบคุณทกุ ท่านไว้ ณ ที่น้ี

ท้ายสุดนี้ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณบิดา มารดา สมาชิกในครอบครัวของผู้วิจัย และผู้มี
ส่วนเก่ียวข้องทุกท่าน ที่ให้การสนับสนุนและเป็นกำลังใจในการทำวิจัยครั้งน้ี ตลอดจนขอขอบคุณ
มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ท่ีได้ใหโ้ อกาสผวู้ ิจัยได้เข้ามาศกึ ษาในสถาบนั แห่งน้ี และสามารถนำผลการวิจัย
ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการแกป้ ญั หาต่อไป

จิรพงศ์ ไมตรีจิตร

(6)

สารบัญ

หนา้
บทคดั ย่อ...................................................................................................................................... (3)
ABSTRACT.................................................................................................................................. (4)
กิตตกิ รรมประกาศ........................................................................................................................ (5)
สารบัญ......................................................................................................................................... (6)
สารบญั ตาราง............................................................................................................................... (8)
สารบัญภาพ ................................................................................................................................. (12)
บทท่ี
1 บทนำ .................................................................................................................................... 1

ความเป็นมาของปัญหา................................................................................................... 1
คำถามวิจัย...................................................................................................................... 5
วัตถุประสงค์ ................................................................................................................... 5
สมมติฐาน ...................................................................................................................... 6
ประโยชน์ของการวิจยั ..................................................................................................... 6
ขอบเขตของการวิจัย....................................................................................................... 6
นิยามศัพท์เฉพาะ............................................................................................................ 8
2 แนวคิด ทฤษฏี และงานวจิ ยั ที่เกยี่ วข้อง................................................................................. 11
ความหมายการบริหารการศึกษา .................................................................................... 12
ความสำคญั ของการบรหิ ารการศึกษา ............................................................................. 14
กระบวนการบรหิ ารการศึกษา......................................................................................... 16
ความหมายของการบรหิ ารงานวิชาการ........................................................................... 17
ความสำคญั ของการบรหิ ารงานวิชาการ .......................................................................... 21
หลักการบรหิ ารงานวชิ าการ............................................................................................ 26
ขอบข่ายของงานวชิ าการ ................................................................................................ 29
การจัดการศึกษาสงั กัดสำนักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาภูเกต็ .......................... 56
งานวจิ ัยทเี่ กีย่ วข้อง ......................................................................................................... 59
กรอบแนวคิดทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั ........................................................................................... 76

(7)

สารบญั (ตอ่ )

บทท่ี หนา้
3 วธิ ีดำเนนิ การวิจัย .................................................................................................................. 77

วจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ
พ้ืนท่ีท่ีใชใ้ นการวิจยั ........................................................................................................ 77
ประชากร การกำหนดขนาดตัวอยา่ ง กลุ่มตวั อย่าง วธิ ีการสุ่มตัวอย่าง............................. 77
เครอ่ื งมือในการวิจยั และการตรวจสอบคณุ ภาพเคร่อื งมือ................................................ 78
การเก็บรวบรวมข้อมลู .................................................................................................... 81
การวเิ คราะห์ขอ้ มูล วธิ ีการทางสถิติต่าง ๆ ที่ใช้............................................................... 81
4 ผลการวิจยั ............................................................................................................................ 84
5 สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ ....................................................................................... 113
สรปุ ผลการวิจยั ............................................................................................................... 113
อภิปรายผลการวจิ ยั ........................................................................................................ 119
ขอ้ เสนอแนะ................................................................................................................... 129
ขอ้ เสนอแนะจากการวจิ ยั ................................................................................................ 129
ขอ้ เสนอในการวจิ ัยคร้งั ตอ่ ไป .......................................................................................... 129
บรรณานกุ รม................................................................................................................................ 130
ภาคผนวก..................................................................................................................................... 143
ภาคผนวก ก รายนามผู้เชยี่ วชาญ.................................................................................... 144
ภาคผนวก ข เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการวจิ ยั ............................................................................. 149
ภาคผนวก ค การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ................................................................. 156
ภาคผนวก ง หนงั สอื ขอเก็บข้อมลู ................................................................................... 162
ภาคผนวก จ การเผยแพรผ่ ลงาน .................................................................................... 164
ประวัตผิ วู้ ิจยั ................................................................................................................................. 178

(8)

สารบัญตาราง

ตารางที่ หนา้

1 จำนวนประชากรและกลมุ่ ตวั อย่างของครูผสู้ อนทป่ี ฏบิ ัตหิ น้าท่ีการสอนในสถานศึกษา

สำนกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาภูเกต็ ............................................................. 78

2 ขอ้ มลู ทว่ั ไปของผตู้ อบแบบสอบถาม................................................................................ 85

3 คา่ เฉลี่ย สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน การบรหิ ารงานวิชาการของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา

สงั กัดสำนักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษาภูเก็ต โดยภาพรวมและรายด้าน............ 86

4 คา่ เฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การบรหิ ารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา

สงั กดั สำนักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาภเู กต็

โดยภาพรวมและจำแนกเปน็ รายข้อด้านหลักสตู รและการนำหลกั สูตรไปใช้ .................... 87

5 คา่ เฉลย่ี สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน การบรหิ ารงานวิชาการของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา

สังกัดสำนกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาภเู ก็ต

โดยภาพรวมและจำแนกเป็นรายข้อดา้ นการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน...................... 88

6 คา่ เฉลี่ย ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน การบรหิ ารงานวชิ าการของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา

สงั กดั สำนักงานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษาประถมศึกษาภเู ก็ต

โดยภาพรวมและจำแนกเป็นรายข้อดา้ นการพฒั นาส่ือและการนำไปใช้........................... 89

7 คา่ เฉล่ีย สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน การบริหารงานวิชาการของผ้บู ริหารสถานศึกษา

สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาภเู ก็ต

โดยภาพรวมและจำแนกเปน็ รายขอ้ ด้านการวัดผลและประเมินผล.................................. 90

8 ค่าเฉลีย่ สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศกึ ษา

สงั กัดสำนักงานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาประถมศึกษาภูเก็ต

โดยภาพรวมและจำแนกเป็นรายข้อด้านการนเิ ทศการศกึ ษา........................................... 92

9 การเปรยี บเทียบการบรหิ ารงานวชิ าการของผู้บริหารสถานศกึ ษา

สงั กัดสำนักงานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศกึ ษาภเู ก็ต

ในภาพรวมและรายด้าน จำแนกตามตัวแปรเพศ............................................................. 93

10 การเปรียบเทียบการบรหิ ารงานวชิ าการของผู้บริหารสถานศกึ ษา

สงั กัดสำนักงานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาภูเกต็

ในภาพรวมและรายด้านจำแนกตามวุฒิการศกึ ษา........................................................... 94

(9)

สารบัญตาราง (ต่อ)

ตารางที่ หน้า

11 การเปรียบเทยี บการบรหิ ารงานวิชาการของผู้บรหิ ารสถานศึกษา

สังกดั สำนักงานเขตพ้ืนที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาภเู ก็ต

ในภาพรวมและรายด้านจำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน...................................... 95

12 การเปรียบเทียบการบรหิ ารงานวิชาการของผบู้ ริหารสถานศึกษา

สังกดั สำนกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศกึ ษาภเู กต็ ในภาพรวมตามประสบการณ์

ในการทำงาน โดยการการวเิ คราะห์คา่ ความแปรปรวน ทางเดยี ว (One – Way Anova)

จำแนกรายดา้ น................................................................................................................ 96

13 เปรียบเทียบความแตกต่างเปน็ รายคูก่ ารบรหิ ารงานวชิ าการของผู้บริหารสถานศกึ ษา

สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต

จำแนกตามประสบการณใ์ นการทำงานในภาพรวม ......................................................... 97

14 เปรียบเทียบความแตกตา่ งเปน็ รายคกู่ ารบรหิ ารงานวิชาการของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา

สังกดั สำนกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษาภูเกต็

จำแนกตามประสบการณใ์ นการทำงาน ดา้ นหลกั สูตรและการนำหลกั สูตรไปใช้.............. 98

15 เปรียบเทยี บความแตกตา่ งเปน็ รายคกู่ ารบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศกึ ษา

สงั กัดสำนกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาภูเกต็

จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน ดา้ นการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน ............... 99

16 เปรียบเทยี บความแตกต่างเปน็ รายคกู่ ารบริหารงานวิชาการของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา

สังกัดสำนักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาภเู ก็ต

จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน ดา้ นการพฒั นาสื่อและการนำไปใช้ .................... 99

17 เปรยี บเทียบความแตกต่างเปน็ รายคกู่ ารบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา

สงั กดั สำนกั งานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษาภเู กต็

จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน ดา้ นการวดั ผลและประเมินผล ........................... 100

18 เปรยี บเทียบความแตกต่างเปน็ รายคกู่ ารบริหารงานวชิ าการของผู้บริหารสถานศึกษา

สังกดั สำนักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาภเู ก็ต

จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน ด้านการนิเทศการศึกษา .................................... 101

(10)

สารบญั ตาราง (ต่อ)

ตารางที่ หนา้

19 การเปรียบเทียบการบรหิ ารงานวิชาการของผู้บรหิ ารสถานศึกษา

สงั กดั สำนักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาภเู กต็

ภาพรวมและรายดา้ นจำแนกตามขนาดโรงเรยี น ............................................................. 102

20 การเปรยี บเทยี บการบรหิ ารงานวชิ าการของผ้บู ริหารสถานศึกษา

สังกัดสำนักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาภเู กต็

ในภาพรวมตามขนาดโรงเรียน โดยการการ วิเคราะหค์ ่ความแปรปรวนทางเดยี ว

(One – Way Anova) จำแนกรายดา้ น .......................................................................... 104

21 เปรียบเทียบความแตกตา่ งเป็นรายคกู่ ารบรหิ ารงานวิชาการของผู้บรหิ ารสถานศึกษา

สังกดั สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาภูเก็ต

จำแนกตามขนาดโรงเรียนในภาพรวม............................................................................. 105

22 เปรยี บเทียบความแตกตา่ งเป็นรายคูก่ ารบรหิ ารงานวชิ าการของผู้บริหารสถานศกึ ษา

สงั กดั สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต

จำแนกตามขนาดโรงเรยี น ด้านหลักสตู รและการนำหลักสูตรไปใช้.................................. 106

23 เปรยี บเทียบความแตกต่างเปน็ รายคูก่ ารบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา

สงั กดั สำนักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาภูเก็ต

จำแนกตามขนาดโรงเรียน ดา้ นการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน................................... 107

24 เปรียบเทียบความแตกตา่ งเป็นรายคู่การบรหิ ารงานวชิ าการของผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา

สงั กัดสำนกั งานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาภูเกต็

จำแนกตามขนาดโรงเรียน ดา้ นการพฒั นาส่ือและการนำไปใช้........................................ 108

25 เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งเป็นรายคูก่ ารบรหิ ารงานวชิ าการของผู้บริหารสถานศกึ ษา

สังกัดสำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาภูเกต็

จำแนกตามขนาดโรงเรียน ดา้ นการวดั ผลและประเมินผล............................................... 109

26 เปรยี บเทยี บความแตกต่างเป็นรายคกู่ ารบริหารงานวชิ าการของผู้บริหารสถานศกึ ษา

สงั กัดสำนกั งานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาภเู กต็

จำแนกตามขนาดโรงเรยี น ด้านการนเิ ทศการศึกษา........................................................ 110

(11)

สารบัญตาราง (ต่อ)

ตารางที่ หนา้

27 ผลการตรวจสอบความเทย่ี งตรงเชิงเนอ้ื หาของแบบสอบถาม ตอนที่ 2

แบบสอบถามเก่ยี วกับการบริหารวิชาการของผู้บรหิ ารสถานศึกษา

สังกดั สำนักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาภเู ก็ต .................................................... 157

28 ผลการหาคา่ ความเช่ือม่นั ของแบบสอบถามโดยภาพรวม และรายดา้ น ตอนที่ 2..............161

(12)

สารบัญภาพ

ภาพที่ หน้า
1 กรอบแนวคิดการวจิ ยั ..................................................................................................... 76

1

บทท่ี 1

บทนำ

ความเปน็ มาของปัญหา

ปัจจุบันโลกมีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วอันสืบเนื่องมาจากการใช้เทคโนโลยี
เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ของทุกภูมิภาคของโลกเข้าด้วยกัน กระแสการปรับเปลี่ยนทางสังคม
ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อการดำรงชีพของสังคมอย่างทั่วถึง ผู้บริหารจึงต้องมีความตื่นตัว
และมีการเตรียมความพร้อมในการจัดการเรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนที่มีทักษะสำหรับ
การดำรงชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 ที่เปลี่ยนไปจากศตวรรษที่ 19 และ 20 โดยทักษะแห่งศตวรรษ
ที่ 21 ที่สำคัญที่สุดคือ ทักษะการเรียนรู้ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เด็ก
ในศตวรรษที่ 21 นี้ มีความรู้ ความสามารถและทักษะทีจ่ ำเปน็ ซึ่งเป็นผลจากการปฏริ ูปเปลี่ยนแปลง
รูปแบบการจดั การเรยี นการสอนตลอดจนการเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ ท่ีเปน็ ปัจจัยสนบั สนนุ ทจ่ี ะ
ทำให้เกิดการเรียนรู้รวมทั้งเป็นยุคแห่งการแข่งขันทางสังคมค่อนข้างสูงในปัจจุบัน ส่งผลต่อ
การปรับตัวให้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกดิ ขึน้ ในบริบททางสังคมในทุกมิติ ดังนั้นการเสริมสร้าง
องค์ความรู้เฉพาะทางความเชี่ยวชาญเฉพาะดา้ นและสมรรถนะของการรู้เท่าทัน จงึ เป็นตัวแปรสำคัญ
ที่ต้องเกิดขึ้นกับตัวผู้เรียนในการเรียนรู้ยุคสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 นี้ ซึ่งเป็นยุค
แห่งความเป็นโลกาภิวัตน์ที่ได้เกิดวิวัฒนาการความก้าวหน้าในทุก ๆ มิติเป็นไปอย่างรวดเร็วและ
รุนแรง ส่งผลต่อวิถีการดำรงชีพของสงั คมอย่างทัว่ ถึง ดังนั้นการกำหนดยทุ ธศาสตร์และการสร้างความ
พร้อมที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ท้าทายศักยภาพและความสามารถของ
มนุษย์ที่จะสร้างนวัตกรรมทางการเรียนรู้ในลักษณะต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นและสามารถรองรับการ
เปลี่ยนแปลงดังกล่าว (สุทัศน์ สังคะพันธ์, 2557, น. 14) ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงมีความพร้อมใน
การจัดเตรียมเยาวชนให้พร้อมทั้งความรู้ ทักษะและความสามารถต่าง ๆ ในการปรับตัวให้เข้ากับยุค
ปัจจุบนั และมีคณุ ลกั ษณะสำคัญในการดำรงชวี ติ ในโลกยุคปัจจบุ นั ได้อย่างรเู้ ท่าทนั มีคุณภาพชีวิตที่ดี
และเหมาะสมกบั ยุคศตวรรษที่ 21 ซง่ึ ในขณะเดยี วกนั นั้นสถานศึกษาก็ต้องมีการพฒั นาคุณภาพระบบ
การศึกษาให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน รวมทั้งการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้า
และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในสังคมได้ เนื่องจากการศึกษาเป็นกระบวนการที่จะช่วยให้คนได้พัฒนา
ตนเองด้านต่าง ๆ ที่จะดำรงชีวิตและประกอบอาชีพที่สุจริต รวมเป็นการสร้างสรรค์ พัฒนาประเทศ
อย่างยั่งยืน จึงมีปัจจัยที่สำคัญคือต้องมีการพัฒนาคนในประเทศให้มีคุณภาพในทุก ๆ ด้าน ซึ่งการให้
ความสำคญั ของการศึกษาถือเปน็ กระบวนการเรียนรู้ท่ีสำคัญทสี่ ุดในการชว่ ยให้คนสามารถเผชิญหน้า

1

2

กับการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน เพราะทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพย่อมเป็นขุมพลังในการพัฒนา
ประเทศ ด้วยสาเหตุดังกล่าว ประเทศไทยจึงต้องมีการจัดระบบการศึกษาให้มีความสำคญั สูงสุด เพ่ือ
นำไปสูก่ ารพัฒนาประเทศชาติ

สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน กำหนดแนวทางในการจัดการศกึ ษาไว้
ดังน้ี วิสัยทัศน์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นองค์กรหลักในการจัดและส่งเสริม
สนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ประชากรในวัยเรียนอยา่ งทั่วถึงและมีคุณภาพตามมาตรฐาน
การศกึ ษาพันธกจิ เพ่ิมโอกาสทางการศึกษาแก่ประชากรวยั เรียนทุกคนให้ได้รบั การพัฒนาเป็นบุคคลที่
มีความรู้ ความสามารถและคุณลักษณะตามมาตรฐาน การศึกษา ด้วยระบบการจัดการศึกษาที่มี
ประสิทธิภาพมีภารกิจเกี่ยวกับการจัดและส่งเสริมการศึกษาขั้นพื้นฐาน จัดท ำผลผลิต
จำนวน 5 ผลผลิต ได้แก่ ผู้จบการศึกษาก่อนประถมศึกษา ผู้จบการศึกษาภาคบังคับ ผู้จบการศึกษา
มัธยมศึกษาตอนปลาย เด็กพิการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานและพัฒนาสมรรถภาพ และเด็กด้อย
โอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 185 เขตพื้นที่
การศึกษาเป็นหน่วยกำกับ ประสาน ส่งเสริมการจัดการศึกษาให้กับสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
ที่เป็นหน่วยปฏิบัติการจัดการศึกษา ซึ่งในปีงบประมาณ 2559 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขั้นพื้นฐานกำหนดการขับเคลื่อนกลยุทธ์ ดังนี้ ปลูกฝังคุณธรรม ความสำนึกในความเป็นชาติไทย
ส่งเสริมให้ผูเ้ รียนมีคุณธรรมจริยธรรม มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตร ค่านิยมหลักของคน
ไทย 12 ประการ และวิถีชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้แก่นักเรียนทุกคน เพิ่มอัตราการ
เขา้ เรยี นในทกุ ระดับ ทงั้ เดก็ ทวั่ ไป ผพู้ กิ าร ผู้ดอ้ ยโอกาส ลดอตั ราการออกกลางคนั และพัฒนารูปแบบ
การให้บรกิ ารการศึกษาข้ันพ้ืนฐานแกเ่ ยาวชนท่ีอยู่นอกระบบการศึกษา ยกระดบั คุณภาพสถานศึกษา
สู่มาตรฐานการศึกษาของชาติ พัฒนาผู้เรียน สมรรถนะครูและบุคลากรอย่างเป็นระบบ เพ่ิม
ประสิทธิภาพในการบริหารหลกั สตู รการศึกษาขั้นพื้นฐานและปฐมวัยและการเรียนรู้ที่เน้นผูเ้ รยี นเป็น
สำคัญ ผู้เรียนบรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตรการศึกษาอย่างเต็มตามศักยภาพเร่งรัดพัฒนา
ความพร้อมในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารให้แก่สถานศึกษาและหน่วยงานการศึกษาใน
สังกัดเพื่อการเรยี นรู้และการบรหิ ารจัดการ สร้างความเข้มแข็งและสง่ เสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาค
ส่วนในการบริหารและการจัดการศึกษาเพื่อรองรับการกระจายอ ำนาจอย่างมีประสิทธิภาพบนหลัก
ธรรมาภบิ าลในสำนักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาและสถานศึกษาเร่งพฒั นา

จากแนวทางการจัดการศึกษาดังกล่าว จะเห็นได้ว่าสำนักงานคณะกรรมการ
การศึกษาขั้นพื้นฐานได้กำหนดเป้าหมายในการจัดการศึกษาที่ชัดเจนให้แก่หน่วยงานในสังกัดที่มี
อำนาจ หน้าที่ในการควบคุม กำกับ ติดตามในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกพื้นท่ี ในส่วนของคุณภาพด้านวิชาการของประเทศไทยในอดีตจนถึง

3

ปัจจุบัน ยังพบว่าประสบปัญหาด้านการบริหารวิชาการ ดังที่สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ ได้สรุปปัญหาสำคัญในปัจจุบันของการจัดการศึกษาในทุกระดับคือ ผู้เรียนมี
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนค่อนข้างต่ำ มีหลักสูตรสาระเนื้อหาที่นักเรียนจะต้องเรียนแน่นเกินจนไป
กระบวนการเรียนการสอนยังยึดหลักการถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนสู่ผู้เรียน โดยเน้นการท่องจำ
มากกว่าการฝึกลงมือปฏิบัติ และผู้เรียนยังขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาจากสถานการณ์
หรือประสบการณ์จริง หนังสือเรียนเป็นเพียงแบบฝึกหัดที่มีคำตอบเพียงคำตอบเดียวแทนที่จะเป็น
คำถามแบบปลายเปิด ครูผู้สอนยังยึดติดกับวัฒนธรรมการสอนแบบเดิม ๆ ทั้งที่ในปัจจุบันหลักสูตร
เน้นการคิดวเิ คราะห์ แต่วิธีสอนยังไม่สอนให้ผูเ้ รียนมีทักษะดังกล่าวและผู้บริหารสถานศึกษาบางส่วน
ยังไม่ได้รบั การอบรมให้ปฏิบัติหนา้ ที่อย่างมีประสิทธภิ าพ ขาดความรู้ความเขา้ ใจในการบริหารงานใน
สถานศึกษา ทำให้ขาดทักษะในการบริหารและการจัดการด้านการศึกษา (กระทรวงศึกษาธิการ,
2553, น. 10) นอกจากน้ีปัญหาจากการบริหารงานวิชาการที่มีอยู่มากในหลักสูตร มีเอกสารที่ใช้
ประกอบการจัดทำหลักการสอนไม่เพียงพอ ขาดบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในการจัดทำ
การวิเคราะห์เพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ กำหนดโครงสร้างการจัดทำสาระการเรียนรู้พื้นฐาน สาระการ
เรียนรู้เพิ่มเติมและการจัดทำหน่วยการเรียนรู้ในเรื่องการจัดการเรียนการสอน ครูยังขาดเอกสารและ
สื่อสำหรับการค้นคว้าเพื่อจัดทำแผนการสอนและกิจกรรมการสอน ครูผู้สอนไม่เข้าใจการจัดการ
เรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญหรือครูมีภาระงานมาก โดยขาดเวลาการเตรียมการสอนจึงทำให้
บทเรียนไม่น่าสนใจ นักเรียนหนีเรียน กระบวนการเรียนการสอนยังขาดการชี้แนะของครู การมีส่วน
ร่วม การให้รางวัลและการเสริมแรง การให้ข้อมูลย้อนกลับและการปรับปรุงตลอดจนปัญหาที่มีผลมา
จากผู้ปกครอง การจัดการเรียนการสอนอาจเกิดจากโรงเรียนขาดงบประมาณเพื่อจัดสือ่ การสอนหรือ
โรงเรยี นขาดแหล่งการเรียนรู้ที่เพยี งพอและไม่มีความหลากหลาย ปัญหาการเรียนการสอนท่ีครูผู้สอน
ยังสอนแบบเดิม ไม่เข้าใจวิธีบูรณาการเนื้อหาสาระและไม่สามารถสอนและบูรณาการได้และจาก
ผลการวจิ ยั แนวโน้มการจดั การศกึ ษาคณิตศาสตร์และวทิ ยาศาสตร์ระดบั unulasons TIMMSS 2011
ได้เปรียบเทียบระดับการศึกษาของครูคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในประเทศต่าง ๆ ในปี 2554
พบว่า ครูไทยที่สอนวชิ าคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตรช์ ั้นประถมศึกษาชน้ั ปที ี่ 4 และมัธยมศึกษาชั้นปี
ที่ 2 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี มีน้อยกว่าค่าเฉลี่ยนานาชาติ ส่วนครูที่จบระดับปริญญาตรีมีสูง
กว่าค่าเฉลี่ยนานาชาติ โดยในชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 4 มีครูที่สอนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ไม่
ตรงวุฒิถึงร้อยละ 19 และ 33 ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยนานาชาติ (ร้อยละ 10) ส่วนในชั้น
มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2 มีครูที่สอนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ไม่ตรงวุฒิร้อยละ 17 และ 21
ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยนานาชาติ เนื่องจากครูไทยขาดความความพร้อมและความมั่นใจใน

4

การสอนคณติ ศาสตรแ์ ละวิทยาศาสตร์ อยใู่ นระดับนอ้ ยกว่าคา่ เฉลีย่ นานาชาติค่อนข้างมาก (สาํ นักงาน
เลขาธิการสภาการศึกษา, 2556, น. 19)

ผลการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ระหว่างปีการศึกษา
2561 และปีการศึกษา 2562 ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต
ของนักเรียนระดับชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 เปรียบเทียบคา่ สถติ ิ 2 ปีย้อนหลงั ในรายวชิ าหลกั ปรากฏว่า
วิชาภาษาไทย คะแนนเฉลี่ย 48.57 คะแนน ลดลงจากปีการศึกษา 2561 ที่ได้ 55.49 คะแนน
วิชาภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) คะแนนเฉลี่ย 33.04 คะแนน ลดลงจากปี 2561 ที่ได้ 37.05
คะแนน วิชาคณิตศาสตร์ คะแนนเฉลี่ย 31.77 คะแนน ลดลงจากปีการศึกษา 2561 ที่ได้ 35.71
คะแนน วิชาวิทยาศาสตร์ คะแนนเฉลี่ย 38.27 คะแนน ลดลงจากปีการศึกษา 2561 ที่ได้ 38.94
คะแนน ซึ่งในภาพรวมปีการศึกษา 2562 ต่ำกว่าปีการศึกษา 2561 ซึ่งจะเห็นได้ว่าคุณภาพการจัด
การศกึ ษา ทค่ี าดหวังไว้ในบางรายวชิ าของระดบั ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 เปน็ ส่ิงท่ีทกุ คนที่เกี่ยวข้องต้อง
ให้ความสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพผลสัมฤทธิ์ทางด้านวิชาการให้สูงขึ้น (สำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ปีการศึกษา, 2562) ดังนั้นงานวิชาการจึงเป็นงานหัวใจที่สำคัญที่สุด
ในการบริหารจัดการของผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ในขอบข่ายเนื้อหางานและรู้
บทบาทงานวิชาการอย่างลึกซึ้ง เช่น หลักสูตรและการบริหารหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน
การนิเทศภายใน การวัดผลประเมินผลการศึกษาและการประกันคุณภาพการศึกษา ผู้บริหาร
สถานศึกษาจึงมีบทบาทสำคัญที่จะบริหารงานวิชาการมีประสิทธิภาพ เพราะจะส่งผลต่อการพัฒนา
โรงเรยี น นกั เรียนให้บรรลเุ ปา้ หมายการจดั การศกึ ษา นอกจากนี้แลว้ ผทู้ ่มี ีส่วนสำคัญในการดำเนินงาน
วิชาการให้เป็นไปตามเป้าหมายของการศึกษาของชาติ กค็ ือครู ซึ่งเป็นผู้ทจ่ี ะต้องนำนโยบายมาปฏิบัติ
โดยตรง เป็นผู้ที่เห็นถึงความสามารถของการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารมากที่สุด
(ฉัตรสุดา อมรชาติ, 2558, น. 2) ดว้ ยเหตนุ ี้ การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนจึงเป็นงานหลักและ
ที่สำคัญในการบริหารจัดการกิจกรรมทุกชนิด ทุกประเภทที่เกี่ยวกับการเรียนการสอน ซึ่งมีอิทธิพล
อย่างมากต่อการบริหารโรงเรียน เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่ไปหล่อเลี้ยงหัวใจของการบริหารงาน
และเป็นกิจกรรมที่สำคัญที่สุดของการบริหารงานวิชาการที่จะทำให้งานวิชาการ เกิดประสิทธิภาพ
ประสทิ ธิผลและคณุ ภาพของการศึกษา

จากสาเหตุดังกล่าว ความสำคัญของการบริหารงานวิชาการ จะเห็นได้ว่างานวิชาการ
มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาสถานศึกษาทั้งการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน บุ คลากรใน
การจัดการศึกษาและคุณภาพของสถานศึกษา ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาการบริหารงานวิชาการ
ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ทั้งนี้เพื่อจะได้
ทราบข้อมูลอันจำเป็นเพื่อนำไปสู่การพัฒนาการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา ตลอดจนการนำ

5

ข้อมูลจากการศึกษาไปเป็นแนวทางการพัฒนา ส่งเสริมและปรับปรุงแก้ไขของระบบการบริหารงาน
วิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ตให้มีประสิทธิภาพ
มากขึน้

คำถามของการวิจัย

ในการศึกษาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขต
พนื้ ที่การศกึ ษาประถมศึกษาภเู กต็ ผูว้ ิจยั ได้ตั้งคำถามสำหรบั การวิจัยครง้ั น้ี ไว้ดงั น้ี

1. การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ตอยใู่ นระดับใด

2. การเปรยี บเทยี บการบรหิ ารงานวชิ าการของผ้บู รหิ ารสถานศึกษา สงั กดั สำนักงาน
เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน
และขนาดของโรงเรียนแตกต่างกนั หรือไม่

3. การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่
การศกึ ษาประถมศึกษาภเู กต็ ครผู สู้ อนมขี ้อเสนอแนะใดบา้ ง

วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย

ในการศึกษาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขต
พ้ืนทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาภเู กต็ โดยผู้วจิ ยั มวี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการวจิ ยั ดังน้ี

1. เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานวชิ าการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน
เขตพ้นื ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาภเู ก็ต

2. เพ่ือเปรยี บเทยี บการบริหารงานวิชาการของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา สังกัดสำนักงาน
เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน
และขนาดของโรงเรียน

3. เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาภเู ก็ต

6

สมมติฐานของการวิจัย

การวจิ ยั คร้ังนี้ มีสมมติฐานเก่ียวขอ้ งกบั งานวจิ ยั ดังต่อไปน้ี
1. ครูที่มีเพศต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารงานวิชาการของผู้บริหาร
สถานศกึ ษา สังกัดสำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษาภูเก็ตแตกตา่ งกัน
2. ครูทม่ี ีวุฒิการศกึ ษาตา่ งกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารงานวิชาการของผู้บริหาร
สถานศึกษา สังกัดสำนกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาภูเก็ตแตกตา่ งกัน
3. ครูที่มีประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารงาน
วิชาการของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา สังกดั สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาภเู ก็ตแตกต่างกนั
4. ครูที่สังกัดโรงเรียนที่มีขนาดโรงเรียนต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารงาน
วชิ าการของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา สังกดั สำนกั งานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาภูเก็ตแตกต่างกนั

ประโยชนข์ องการวิจัย

ผลการวิจยั เปน็ ประโยชนต์ อ่ ไปนี้
1. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนา
ผู้บริหาร ครูวิชาการและครผู ู้สอนในการพัฒนาการบริหารงานวิชาการในโรงเรยี นสำนักงานเขตพื้นท่ี
การศกึ ษาประถมศกึ ษาภูเกต็
2. เพื่อนำผลการวิจัยเป็นข้อมูลในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำไปวางแผนพัฒนาการ
บริหารงานวชิ าการในโรงเรยี นให้มีประสิทธิภาพ

ขอบเขตของการวจิ ยั

การศกึ ษาครัง้ น้ีมีขอบเขตของการศกึ ษา ดังน้ี

1. ขอบเขตดา้ นเนือ้ หา
การศึกษาครั้งนี้ มุ่งศึกษาการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน
เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ตามกรอบการบริหารงานวิชาการของการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พ.ศ.2550 จำนวน 5 ด้าน (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พื้นฐาน, 2550, น. 158 – 171) ซ่ึง
มขี อบเขตท่ีใชใ้ นการวิจยั ดังนี้

7

1.1 หลกั สูตรและการนำหลักสตู รไปใช้
1.2 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
1.3 การพฒั นาสื่อและการนำไปใช้
1.4 การวดั ผลและประเมนิ ผล
1.5 นเิ ทศการศกึ ษา

2. ขอบเขตดา้ นประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง
2.1 ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอนที่ปฏิบัติหน้าที่การสอนในสังกัด

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ปีการศึกษา 2564 โดยมีโรงเรียน 49 โรงเรียน
ประกอบดว้ ยครผู ้สู อน 834 คน (สำนักงานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาภูเก็ต, 2564)

2.2 กลุ่มตวั อยา่ ง
กลมุ่ ตัวอย่างที่ใช้ในการวจิ ัย ได้แก่ ครผู ูส้ อนท่ปี ฏิบตั ิหน้าท่ีการสอนในสังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ปีการศึกษา 2564 ซึ่งผู้วิจัยได้กำหนดขนาด
กลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie & Morgan, 1970, pp. 607 - 610)
ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น จำนวน 260 คน โดยผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified
Random Sampling) ตามขนาดของสถานศึกษา จากนั้นนำมาเทียบสัดส่วนและใช้การสุ่มแบบอย่าง
ง่าย (Simple Ramdom Sampling) ดว้ ยวิธีการจับสลากแบบไมใ่ สค่ ืน

ประกอบด้วย 3. ขอบเขตดา้ นตวั แปรทศี่ ึกษา
3.1 ตัวแปรอิสระ(Independent Variable) ได้แก่ ขอ้ มูลท่ัวไปครูผสู้ อน

3.1.1 เพศ
3.1.1.1 ชาย
3.1.1.2 หญงิ

3.1.2 วุฒกิ ารศึกษา
3.1.2.1 ปรญิ ญาตรี
3.1.2.2 สูงกว่าปรญิ ญาตรี

3.1.3 ประสบการณ์ในการทำงาน

8

3.1.3.1 ตำ่ กวา่ 5 ปี
3.1.3.2 5 - 10 ปี
3.1.3.3 สูงกว่า 10 ปี
3.1.4 ขนาดโรงเรียน
3.1.4.1 โรงเรียนขนาดเลก็ นักเรียน 1 – 300 คน
3.1.4.2 โรงเรยี นขนาดกลาง นักเรยี น 301 – 600 คน
3.1.4.3 โรงเรยี นขนาดใหญ่ นกั เรยี น 601 – 1,500 คน
3.1.4.4 โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ นักเรียน 1,500 คนข้ึน
ไป
3.2 ตวั แปรตาม (Dependent Variable) ได้แก่ การบริหารงานวิชาการ
ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ซึ่งประกอบด้วย
การบรหิ ารงานวิชาการ 5 ดา้ น ได้แก่
3.2.1 หลกั สตู รและการนำหลกั สูตรไปใช้
3.2.2 การจดั กิจกรรมการเรียนการสอน
3.2.3 การพัฒนาสื่อและการนำไปใช้
3.2.4 การวัดผลและประเมินผล
3.2.5 นิเทศการศึกษา

นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ

ในการศึกษาการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศกึ ษาภเู กต็ ครง้ั นี้ผูว้ จิ ยั ไดน้ ยิ ามศัพทเ์ ฉพาะทส่ี ำคัญและเกย่ี วข้องกับการศึกษาครั้งนี้
ดังน้ี

การบริหารงานวิชาการ หมายถึง กระบวนการการบริหารงานของสถานศึกษา
ที่เกี่ยวกับกิจกรรมทุกอย่างในโรงเรียน เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้มีประสิทธิภาพและเกิด
ประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน ซึ่งผู้บริหารต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษา
การบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต
ตามกรอบการบรหิ ารวชิ าการของคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พนื้ พ.ศ. 2550 จำนวน 5 ดา้ น ดงั น้ี

1. หลักสูตรและการนำหลักสูตรไปใช้ หมายถึง การวิเคราะห์หลักสูตรการศึกษา
ขั้นพื้นฐานเป็นการจัดทำแผนให้แก่ผู้เรียนและสถานศึกษาไปปฏิบัติ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุ

9

จุดมุ่งหมายที่หลักสูตรกำหนด ต้องคำนึงหลักสูตรแกนกลาง บริบทของโรงเรียนและชุมชน
มกี ารตดิ ตามใชห้ ลักสตู รเพ่อื พฒั นาและปรบั ปรุงอยา่ งต่อเนื่อง

2. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน หมายถึง กระบวนการการจัดการเรียนรู้
ให้เหมาะสมกับศักยภาพและความต้องการของผู้เรียน การจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนน้ัน
ครูต้องยึดผู้เรียนเป็นสำคัญและครูมีวิธีการเรียนการสอนที่หลากหลายเพื่อให้นักเรียนมีความรู้
ความคดิ ทกั ษะตามจุดม่งุ หมายและมกี ารพฒั นาวธิ ีการสอนอยา่ งตอ่ เน่ือง

3. การพัฒนาสื่อและการนำไปใช้ หมายถึง สิ่งประดิษฐ์ กระบวนการกิจกรรม
เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาให้ผู้เรียนใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และนำไปใช้ การประเมินปฏิบัติการ
ในระบบไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ โดยการสนับสนนุ ส่งเสรมิ ของโรงเรียนและชุมชน

4. การวัดผลและประเมิน หมายถึง กระบวนการในการกำหนดตัวเลขแทน
คุณลักษณะต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนต้องมีระเบียบ แนวปฏิบัติเอกสารหลักฐานและวิธีการ
วัดผลประเมินผลการเรียนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องการวางแผนสร้างและปรับปรุง
ให้สอดคล้องกับนักเรียนและมีการวางแผนในการสอบและนำผลการประเมินมาปรับปรุงการเรียน
การสอน

5. การนิเทศการศึกษา หมายถึง กระบวนการในการให้คำแนะนำและการให้ความ
ร่วมมือในการดำเนินการนิเทศ เพื่อการปรับปรุงตัวครูและนักเรียนเอง ตลอดจนสภาพการเรียนการ
สอน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการศึกษาที่พึงประสงค์ตามแนวทางในการนิเทศการศึกษา
การจดั ทำโครงการนิเทศและการตดิ ตามการนเิ ทศ

วุฒิการศึกษา หมายถึง ระดับการศึกษาของครูผู้สอนท่ีปฏิบัติงานในสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือการศึกษาระดับ
ปรญิ ญาตรแี ละสงู กวา่ ระดบั ปรญิ ญาตรี

ประสบการณ์ในการทำงาน หมายถงึ ระยะเวลาทปี่ ฏิบัตหิ นา้ ที่ของครผู ูส้ อนที่ปฏิบัติ
หน้าที่ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม
คือ กลุ่มที่มีประสบการณ์ในการทำงานตำ่ กว่า 5 ปี กลุ่มที่มีประสบการณ์ในการทำงานตั้งแต่ 5 - 10
ปี และกลุ่มทม่ี ีประสบการณ์ในการทำงานสูงกว่า 10 ปี

ครูผู้สอน หมายถึง ครูที่ปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษาประถมศึกษาภเู กต็ ปีการศึกษา 2564

ขนาดโรงเรียน หมายถึง โรงเรียนที่ครูผู้สอนปฏิบัติหน้าท่ีในสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต โดยแบ่งออกเป็น 4 ขนาด คือ โรงเรียนขนาด

10

เล็ก มีนักเรียน 1 – 300 คน โรงเรียนขนาดกลาง มีนักเรียน 301 – 600 คน โรงเรียนขนาดใหญ่ มี
นักเรยี น 601 – 1,500 คน และโรงเรยี นขนาดใหญ่พิเศษ มีนกั เรยี น 1,500 คนขน้ึ ไป

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต หมายถึง หน่วยงานของ
กระทรวงศึกษาธิการที่อยู่ในจังหวัดภูเก็ต ดูแลรับผิดชอบสถานศึกษาขั้นพื้นฐานใน 3 อำเภอ ได้แก่
อำเภอเมอื งภเู กต็ อำเภอกะทู้ และอำเภอถลาง มศี นู ยเ์ ครือข่าย จำนวน 8 เครอื ขา่ ย ได้แก่ เครอื ข่าย
พรหมเทพ เครือข่ายป่าคลอก เครือข่ายเกาะแก้ว-รัษฎา เครือข่ายกะทู้ เครือข่ายวิชิตสงคราม
เครือข่ายเทพกระษัตรี เครือข่ายภักดีภูธรและเครือข่ายศรีสุนทร มีโรงเรียนในสังกัดรวมทั้งส้ิน
49 แห่ง

1111

บทท่ี 2

แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ยั ที่เก่ยี วขอ้ ง

การวิจัยครัง้ น้ีเป็นการศกึ ษาการบริหารงานวชิ าการของสถานศึกษา สังกัดสำนกั งาน
เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวความคิด เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
เพอ่ื นำมาเป็นกรอบความคดิ ในการวจิ ยั ดังมรี ายละเอียดตามลำดบั ดังน้ี

1. แนวคิดของการบริหารการศึกษา
1.1 ความหมายการบรหิ ารการศึกษา
1.2 ความสำคัญของการบรหิ ารการศึกษา
1.3 กระบวนการบรหิ ารการศึกษา

2. แนวคิดของการบริหารงานวิชาการ
2.1 ความหมายของการบรหิ ารงานวชิ าการ
2.2 ความสำคญั ของการบริหารงานวชิ าการ
2.3 หลักการบริหารงานวิชาการ

3. ขอบข่ายการบรหิ ารงานวชิ าการ
3.1 ด้านหลักสตู รและการนำหลกั สตู รไปใช้
3.2 ดา้ นการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน
3.3 ด้านพฒั นาสือ่ และการนำไปใช้
3.4 ด้านการวดั ผลและประเมนิ ผล
3.5 ดา้ นนิเทศการศึกษา

4. การจดั การศกึ ษาสงั กัดสำนกั งานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาภเู ก็ต
5. งานวจิ ัยทเี่ กย่ี วข้อง

5.1 งานวจิ ยั ในประเทศ
5.2 งานวิจัยต่างประเทศ
6. กรอบแนวคิดทใ่ี ช้ในการวิจยั

11

12

แนวคดิ ของการบริหารการศึกษา

1. ความหมายการบริหารการศกึ ษา
ก า ร บ ร ิ ห า ร ก า ร ศ ึ ก ษ า เ ป ็ น ก ร ะบ ว น ก า ร ท ี ่ ส ำ ค ั ญ ท่ี บุ ค ค ล ห ล า ย ค น ร ่ ว ม ม ื อ กั น
ดำเนนิ การเพ่อื พัฒนาเด็ก เยาวชน ประชาชน หรือสมาชกิ ของสงั คมในทุก ๆ ด้าน เช่น ความสามารถ
ทัศนคติ พฤติกรรม ค่านิยม หรือคุณธรรม ทั้งในด้านการสังคม การเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งมีความ
จำเป็นต่อสมาชิกที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข สามารถดำเนินการให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของ
องค์การ โดยการดำเนินการตามกระบวนการต่าง ๆ ทั้งที่เป็นระเบียบแบบแผนและไม่เป็นระเบียบ
แบบแผน ได้มีนักการศึกษาและนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของการบริหารการศึกษาไว้
หลายแนวทาง ซ่งึ ผู้วจิ ยั จะขอนำเสนอดังนี้
สันติ บุญภิรมย์ (2552, น. 53) ได้กล่าวว่า การบริหารการศึกษา หมายถึง กิจกรรม
ท่ีเกย่ี วกบั การให้ความรู้แกเ่ ด็ก เยาวชน ประชาชน ตามรปู แบบของการศึกษาประเภทตา่ ง ๆ เพ่ือให้มี
ความเจรญิ งอกงามสวู่ ตั ถปุ ระสงคท์ ี่สอดคล้องกบั การพัฒนาประเทศโดยส่วนรวม
ภารดี อนนั ต์นาวี (2552, น. 11) ไดก้ ลา่ ววา่ การบริหารการศึกษา หมายถึง กจิ กรรม
ที่บุคคลหลาย ๆ คน ร่วมมือกันดำเนินการเพื่อพัฒนาให้เด็กเยาวชน ประชาชนหรือสมาชิกของสังคม
ในทุก ๆ ด้านให้มคี วามสามารถ ทศั นคติ พฤตกิ รรม คา่ นิยมหรอื คุณธรรม สว่ นในดา้ นสังคม การเมือง
และเศรษฐกิจนั้น ต้องการให้เป็นสมาชิกที่ดีและมีประสิทธิภาพของสังคมโดยกระบวนการต่าง ๆ ท่ี
เป็นระเบียบแบบแผน ทงั้ ในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรยี น
ถวิล เกษสุพรรณ์ (2552, น. 32) ได้กล่าวว่า การบริหารการศึกษา หมายถึง
กระบวนการทํางาน หรือกิจกรรมต่าง ๆ ทางการศึกษาที่บุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ร่วมมือกัน
ดำเนินงาน โดยใช้ทรัพยากรการบริหารเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นสมาชิกที่ดีมีคุณภาพของ
สงั คมตามวตั ถุประสงคท์ ี่ไดก้ ำหนดไว้
สมเดช สาวันดี (2553, น. 32) ได้กล่าวว่า การบริหารการศึกษา หมายถึง การใช้
ศาสตรแ์ ละศลิ ปะในการทำงานรว่ มกันเพื่อให้บรรลเุ ป้าหมายของกระบวนการเรียนรู้ และความเจริญ
งอกงามของบุคคลและสังคมแห่งการเรยี นรู้อยา่ งต่อเน่อื งตลอดชีวติ
จรณุ ี เกา้ เอี้ยน (2556, น. 5) ไดก้ ลา่ ววา่ การบริหารการศึกษา คอื กิจกรรมต่าง ๆ
ทบี่ ุคคลหลายคนรว่ มมอื กันดำเนินการเพอ่ื พฒั นาเด็ก เยาวชน ประชาชน หรือสมาชิกของสังคมในทุก
ด้าน เช่น ความสามารถ ทัศนคติ พฤติกรรม ค่านิยม หรือคุณธรรม ทั้งในด้านการสังคม การเมือง
และเศรษฐกิจ เพื่อให้บุคคลดังกล่าวเป็นสมาชิกที่ดีและมีประสิทธิภาพของสังคม โดยกระบวนการ
ต่าง ๆ ท้ังที่เปน็ ระเบียบแบบแผนและไม่เป็นระเบยี บแบบแผน

13

นิตยา แสนสุข (2556, น. 10) ได้กล่าวว่า การบริหารการศึกษา หมายถึง
กระบวนการต่าง ๆ ที่จะทำให้การดำเนินงานทางด้านการศึกษาและการใช้ทรัพยากรเป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพ โดยการร่วมมือกันของกลุ่มบุคคลในการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการศึกษา เพื่อให้
บรรลเุ ป้าหมายขององคก์ ร

สุชาดา ถาวรชาติ (2559, น. 24) ได้กล่าวว่า การบริหารการศึกษา หมายถึง
กระบวนการต่าง ๆ ที่จะทำให้การดำเนินงานทางด้านการศึกษาและการใช้ทรัพยากรให้เกิประสิทธิ
ภาพ โดยมีคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปร่วมกันปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยนำปัจจัยทางการ
บรหิ ารจดั การ ได้แก่ บุคลากร งบประมาณ วัสดอุ ปุ กรณ์ และการจดั การ มาใชอ้ ยา่ งเปน็ กระบวนการ
โดยผ่านหนา้ ทห่ี ลัก คือ การวางแผน การจัดองค์การ การเป็นผนู้ า และการควบคมุ ใหก้ ารทำงานบรรลุ
เป้าหมายร่วมกนั อย่างมปี ระสิทธิภาพ

สัมมา รธนิธย์ (2560, น. 93) ได้กล่าวว่า การบริหารการศึกษา หมายถึง
การดำเนินงานของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา โดยมีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ และมีการส่ัง
การควบคุมและจัดการ เพื่อใช้ทรัพยากรทางการศึกษาที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีจุดมุ่งหมาย
คือ ผลผลิตหรอื ผเู้ รียนตอ้ งมคี ณุ ภาพสงู สุด และบรรลุผลตามเปา้ หมายท่วี างไว้

สารินทร์ เอี่ยมครอง (2561, น. 12) ได้กล่าวว่า การบริหารการศึกษา หมายถึง
กิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้การดำเนินการของผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งดำเนินการนั้น ๆ เป็นไปตาม
วัตถุประสงค์ของการให้การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ ในเรื่อง
กระบวนการบริหารสถานศึกษาและรูปแบบการบริหารสถานศึกษาเพื่อจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้เกิด
ประสทิ ธภิ าพ

สรุปได้ว่า การบริหารการศึกษา หมายถึง กระบวนการทํางาน หรือกิจกรรมต่าง ๆ
ทางการศึกษาที่บุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ร่วมมือกันดำเนินงาน โดยใช้ทรัพยากรการบริหารเพื่อ
พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นสมาชิกที่ดีมีคุณภาพของสังคม และสังคมแห่งการเรยี นรู้อยา่ งต่อเนื่อง
ตลอดชีวิต หรือสมาชิกของสังคมในทุก ๆ ด้าน เช่น ความสามารถ ทัศนคติ พฤติกรรม ค่านิยม
หรือคณุ ธรรม ทงั้ ในดา้ นการสงั คม การเมืองและเศรษฐกิจ เพ่ือใหบ้ คุ คลดังกลา่ วเป็นสมาชิกที่ดีและมี
ประสิทธิภาพของสังคม โดยกระบวนการต่าง ๆ ทั้งท่ีเป็นระเบียบแบบแผนและไม่เป็นระเบียบแบบ
แผน ซึ่งดำเนินการนั้น ๆ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการให้การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาต้อง
อาศัยความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องกระบวนการบริหารสถานศึกษาและรูปแบบการบริหารสถานศึกษา
เพื่อจดั กจิ กรรมต่าง ๆ ให้เกิดประสทิ ธภิ าพ

14

2. ความสำคัญของการบรหิ ารการศึกษา
การบรหิ ารเปน็ ศาสตร์ท่ีมที ฤษฎี มีองคป์ ระกอบของความรู้มีกฎมเี กณฑ์ ดังนนั้ การที่
หน่วยงาน หรือสถานศึกษาจะนำเอาทฤษฎีการบริหารจัดการไปใช้ในการบริหารหน่วยงานก็จะเป็น
การบริหารจัดการเฉพาะของหน่วยงานนั้น ๆ เพื่อให้หน่วยงานประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย
ซึ่งจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการของ
ผูบ้ รหิ าร ซ่ึงได้มนี กั วิชาการไดก้ ล่าวถึงความสำคญั ของการบริหารการศึกษาไว้หลายท่าน ซึง่ ผู้วิจัยจะ
ขอนำเสนอดงั น้ี
ทนงศักดิ์ คมุ้ ไข่นำ้ (2550, น. 13) ได้ให้ความหมายของการบริหารการศึกษาว่าเป็น
การดำเนินงานของกลุ่มบุคคล เพื่อพัฒนาสมาชิกของสังคมให้มีความเจริญงอกงามในด้านต่าง ๆ
และใหเ้ ปน็ สมาชิกท่ดี ี มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อสังคม
สันติ บุญภิรมย์ (2552, น. 54) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการบริหารการศึกษา
ไว้ดังนี้

1. ช่วยให้มีการกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการจัดการศึกษา
กลา่ วคือ เปน็ การจดั การศกึ ษาเพอ่ื พัฒนาคนหรอื การเตรียมคนได้ถูกต้องตามความต้องการ

2. ช่วยให้ค้นหาวิธีการทำงานที่เหมาะสมที่สุด ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุผลไปตาม
วตั ถุและเป้าหมายท่ีเรยี กว่า การทำงานทม่ี ีประสทิ ธิภาพ

3. ช่วยให้การทำงานได้บรรลุไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้
เรียกวา่ การทำงานมีประสทิ ธิผล

4. ช่วยให้เกิดการประหยัด ทั้งนี้เมื่อได้กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายใน
การทำงานได้แล้ว กไ็ มก่ อ่ ใหเ้ กิดความสับสนในการทำงานและหาวิธีทางานท่ีดีท่สี ุด (One Best Way)
ซงึ่ ผลที่ไดจ้ ากการทำงานตรงตามท่ไี ด้กำหนดไว้ในช้ันต้น จงึ สามารถทำงานให้งานสำเร็จในระยะเวลา
ท่ีเหมาะสม และหมายความรวมถึงการใช้ทรัพยากรในการบรหิ ารอยา่ งประหยดั ดว้ ย

5. ช่วยให้เกิดการตรวจสอบผลการปฏิบัติ กล่าวคือการปฏิบัติให้เป็นไปตาม
หลักเกณฑ์มาตรฐาน และทฤษฎีท่นี ำมาใช้เปน็ พน้ื ฐานในการปฏิบตั ิงานที่เรยี กว่า ผลงานมีคณุ ภาพ

6. ช่วยก่อให้เกิดขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน เนื่องด้วยผู้บริหารมีหน้าที่ใน
การดูแลสนบั สนนุ การปฏิบัตงิ าน พร้อมท้งั การให้คณุ โทษตอ่ เจา้ หน้าท่ีไดอ้ ยา่ งทว่ั ถึงอีกด้วย

7. ช่วยก่อให้เกิดพลังในการปฏิบัติงาน เนื่องด้วยการบริหารเป็นระดม
ทรพั ยากรทางการบรหิ ารท่ีสำคัญทีส่ ดุ ก็คือคน เมื่อคนมารว่ มมือกนั ในการปฏบิ ัติก็จะเกิดพลัง สามารถ
ปฏิบัตงิ านไดบ้ รรลผุ ลสาเร็จได้โดยเร็ว

15

8. ช่วยสร้างคนให้มีความสามารถในการบริหาร หมายความว่า ในการ
บริหารงาน ผบู้ รหิ ารไมส่ ามารถบรหิ ารงานใหส้ ำเรจ็ ได้โดยเพียงลำพัง จงึ ตอ้ งแต่งตง้ั ผบู้ รหิ ารระดับรอง
ลงไป เพ่อื ช่วยปฏิบัติงานให้กบั ผูบ้ ริหาร จึงเปน็ โอกาสในการสร้างคนให้มีความสามารถในการบริหาร
ตอ่ ไป

9. ชว่ ยแกป้ ญั หาในการปฏิบตั ิงาน หมายถึง ในการปฏบิ ตั งิ านทกุ ลกั ษณะงาน
ย่อมเกิดปัญหาไม่มากก็น้อยตามธรรมชาติของงาน บางกรณีปัญหาของงานอาจจะเกิดขึ้นก่อนการ
ปฏิบัติงานระหว่างปฏิบัติงาน หรือหลังการปฏิบัติงานแล้ว เพราะการแก้ปัญหานั้นถือว่าเป็น
ความสามารถในการปฏบิ ัตงิ านให้บรรลุผลสำเร็จ ดงั นน้ั การแก้ปัญหาทดี่ ที ี่สดุ ก็คือ การแก้โดยวิธีการ
ทางการบริหารเท่านัน้ จึงจะลุล่วงไปได้

สมยงค์ แก้วสุพรรณ (2552, น. 17) กล่าวว่า การบริหารการศึกษาเป็นกิจกรรม
ต่าง ๆ ที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลร่วมกันดำเนินการเพื่อพัฒนาเด็ก เยาวชน ประชาชนหรือสมาชิกของ
สังคมเพื่อให้มีความเจริญงอกงามสู่วัตถุประสงค์ที่กำหนดด้วยสติปัญญา ทักษะ จิตใจ สังคม
มีคุณธรรมจริยธรรมเป็นคนดีและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต รวมทั้งเป็น
ความพยายามที่จะดำเนินงานเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาในด้านโรงเรียน หลักสูตร ครู นักเรียน
วัสดุอปุ กรณ์ อาคารสถานท่ใี ห้เป็นไปอย่างมีประสทิ ธิภาพ

ปรัชญา เวสารัชช์ (2554, น. 3) การบริหารการศึกษามีความสำคัญเป็นการบริหาร
จัดการที่มีระบบและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มีบุคคลและหน่วยงานเข้าร่วมดำเนินการ มีรูปแบบ
ขั้นตอน กติกา และวิธีดำเนินการ มีทรัพยากรสนับสนุน และมีกระบวนการประเมินผลการศึกษา
เที่ยงตรงและเชอ่ื ถือได้

มุกดา อนุกานนท์ (2555, น. 11) ได้กล่าวไว้ว่า การบริหารสถานศึกษาเป็น
กระบวนการบริหารงานในสถานศึกษา ซึ่งดำเนินงานโดยกลุ่มบุคคลต่าง ๆ มีจุดมุ่งหมายเพื่อบริการ
ทางการศึกษาแก่สมาชิกของสังคม เพื่อพัฒนาให้สมาชิกมีความรู้ความสามารถและคุณลักษณะที่พึง
ประสงค์ตามเจตนารมณ์ของหลักสูตร

สัมมา รธนิธย์ (2560, น. 94) การบริหารการศึกษามีความสำคัญในฐานะที่เป็น
กระบวนการที่เป็นภารกิจหน้าที่หลักของผู้บริหารที่จะต้องกำหนดแบบแผนและเทคนิคต่าง ๆ
โดยการนำทั้งศาสตร์และศิลป์ที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับองค์การมาใช้ เพื่อทำให้ผู้เกี่ยวข้องทุก
ฝ่ายร่วมกันดำเนินการเอื้ออำนวยให้ผู้เรียนได้รับการศึกษาที่ถูกต้องและมีคุณภาพจากสถานศึกษา
บรรลตุ ามเป้าหมายที่วางไวข้ องสถานศกึ ษาน้ัน ๆ ซงึ่ เป็นการพัฒนาการศกึ ษาของคนในชาติ

สรุปได้ว่า ความหมายของการบริหารการศึกษาเป็นการดำเนินงานของกลุ่มบุคคล
เพื่อพัฒนาสมาชิกของสังคมให้มีความเจริญงอกงามในด้านต่าง ๆ และให้เป็นสมาชิกที่ดี มีคุณภาพ

16

และเป็นประโยชน์ต่อสังคมเพื่อใหม้ ีความเจริญงอกงามสู่วัตถุประสงค์ทีก่ ำหนดด้วยสติปัญญา ทักษะ
จิตใจ สังคม มีคุณธรรมจริยธรรมเป็นคนดีและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต
รวมทั้งเป็นความพยายามที่จะดำเนินงานเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาในด้านโรงเรียน หลักสูตร
ครู นักเรียน วัสดุอุปกรณ์ อาคารสถานที่ให้เปน็ ไปอย่างมีประสทิ ธิภาพ มีจุดมุ่งหมายเพ่ือบริการทาง
การศึกษาแก่สมาชิกของสังคม เพื่อพัฒนาให้สมาชิกมีความรู้ความสามารถและคุณลักษณะที่พึง
ประสงคต์ ามเจตนารมณข์ องหลกั สูตร

3. กระบวนการบรหิ ารการศกึ ษา
กระบวนการของการบริหารของแต่ละองค์กรนั้นมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่า
องค์กรไหนจะใช้วิธีการใดในการบริหารจัดการกับทรัพยากรภายในองค์กรของตน เพื่อให้เกิด ความ
สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์สูงสุดตามที่องค์กรนั้น ๆ ได้วางไว้
กระบวนการบรหิ ารตามทัศนะของนกั บรหิ าร มดี ังนี้ (สนั ติ บญุ ภริ มย์, 2552, น. 112)

1. กระบวนการบริหารตามแนวคิดของอองรีฟาโยล (Henry Fayol)
กำหนดหน้าที่ของผู้บริหารออกเป็น 5 ขั้นตอนดังนี้ ได้แก่ การวางแผน (Planning) การจัดองค์การ
(Organizing) การบังคับบัญชา (Commanding) การประสานงาน (Communicating) และการ
ควบคุมงาน (Controlling)

2. กระบวนการบริหารตามแนวคิดของลูเทอร์ เอช กูลิก และดินแดลล์
เออร์ วิก (Gulick Luther and Lyndall Urwick, 1973) มีแนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการบริหาร ซ่ึง
นำแนวคิด ต่อจากฟาโยล เนื่องจากนำไปใช้ในการบริหารแล้วพบว่าไม่มีความสมบูรณ์ บุคคลทั้งสอง
จงึ เพ่มิ เตมิ จากเดิมมี 5 ข้ันตอนมาเป็น 7 ข้นั ตอนดงั นี้ ไดแ้ ก่ การวางแผน (Planning) การจดั องค์การ
(Organizing) การจัดคนเข้าทำงาน (Stalling) การสั่งการ (Directing) การประสานงาน
(Co- coordinating) การรายงาน (Reporting) และการจดั ทำงบประมาณ (Budgeting)

3. กระบวนการบริหารตามแนวคิดของฮาโรลด์คันต์ และซีริลลโ์ อดอลเนลล์
(Koontz Harold D. and Cyril O'Donnell, 1972) ได้กำหนดขั้นตอนในการบริหารทั้งหมด 5
ขั้นตอนดังนี้ ได้แก่ การวางแผน (Planning) การจัดองค์กร (Organizing) การจัดคนเข้าทำงาน
(Staffing) อำนวยการ (Directing) และการควบคมุ งาน (Controlling)

4. การกระบวนการบริหารตามแนวคิดของเอ็ดเวิรด์ เดมิ่ง (Edward
Deming) ประกอบดว้ ย กระบวนการบริหาร ทง้ั หมด 4 ขน้ั ตอน ไดแ้ ก่ การวางแผนแก้ปัญหา (Plan)
การลงมือแก้ปัญหา (DO) การตรวจสอบภายหลังจากการแก้ปัญหาแล้ว สภาพของปัญหานั้นได้ลดลง

17

จนถงึ เป้าหมายทตี่ ้งั ไวห้ รอื ไม่ (Check) และการแก้ไขแผนใหม่แลว้ ลงมอื แก้ปัญหาตามแผนใหม่ท่ีเสร็จ
แล้วและตรวจสอบแผนใหม่ (Action)

สรุปได้ว่า กระบวนการของการบรหิ ารของแต่ละองคก์ รนั้นมีความแตกตา่ งกันข้ึนอยู่
กับว่าองค์กรไหนจะใช้วธิ กี ารใดในการบริหารจดั การกับทรัพยากรภายในองค์กรของตน กระบวนการ
บริหารจัดการเพื่อให้องค์กรมีประสิทธิภาพนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับกระบวนการบริหารจัดการของ
ผู้บริหาร ซึ่งการบริหารจัดการนั้น ประกอบด้วย การวาง แผน (Planning) การจัดองค์กร
(Organizing) การจัดคนเข้าทำงาน (Staffing) การสั่งการ (Directing) การประสานงาน
(Coordinating) การรายงาน (Reporting) และการจัดทำงบประมาณ (Budgeting)

แนวคดิ ของการบรหิ ารงานวชิ าการ

การบรหิ ารงานวิชาการเปน็ หัวใจสำคัญของการบรหิ ารสถานศกึ ษาและเป็นส่วนหนึ่ง
ของการบริหารการศึกษาทผ่ี ู้บริหารจะต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนือ่ งจากเกี่ยวข้องกับกิจกรรม
ทกุ ชนดิ ในสถานศึกษาโดยเฉพาะการปรับปรุงคุณภาพการเรยี นการสอน ซ่งึ เป็นจุดม่งุ หมายหลัก ของ
สถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพของงานวิชาการยังเป็นเครื่องชี้ ความสำเร็จและความสามารถของ
ผู้บริหารอีกด้วย จากการศึกษาเอกสารเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการ ผู้วิจัยได้ศึกษาในส่วนของ
ความหมายของการบริหารงานวิชาการ ความสำคัญของงานวิชาการ หลักการบริหารงานวิชาการ
ขอบข่ายการบรหิ ารงานวิชาการและปญั หาการบรหิ ารงานวิชาการ ซึ่งรายละเอียดดงั นี้

1. ความหมายของการบรหิ ารงานวิชาการ
จนั ทรานี สงวนนาม (2553, น. 148) ได้ให้ความหมายของการบริหารงานวชิ าการไว้
ว่า การบริหารงานวิชาการเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารสถานศึกษาและเป็นส่วนหนึ่งของการ
บรหิ ารการศกึ ษาท่ผี ้บู ริหารจะต้องให้ความสำคัญเปน็ อยา่ งย่ิงส่วนการบรหิ ารงานดา้ นอื่น ๆ นน้ั แมจ้ ะ
มีความสำคัญเช่นเดียวกัน แต่ก็เป็นเพียงส่วนส่งเสริมสนับสนุนให้งานวิชาการดำเนินไปได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ ผู้บริหารสถานศึกษาซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการบริหาร จะต้องสนับสนุนให้ครูจัด
กจิ กรรมการเรยี นการสอนให้บรรลุจดุ หมายของหลักสูตร
หนึ่งฤทัย หาธรรม (2553, น. 16) ได้ให้ความหมายของการบริหารงานวิชาการ
หมายถึง การบริหารกิจกรรมทุกชนิดในสถานศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน การปรับปรุง
แก้ไขเพื่อพัฒนาการจัดการเรยี นการสอนให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุดแก่ผู้เรียนเป็นไป
ตามกรอบหลักสูตรแกนกลาง และในขณะเดยี วกันกส็ นองความต้องการ ความสนใจและศักยภาพของ

18

ผู้เรียน ผู้ปกครอง ชุมชน และท้องถิ่น โดยการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญซึ่งทำให้
เกดิ ประโยชนแ์ กผ่ ู้เรียน และให้บรรลุเป้าหมายของสถานศกึ ษา

ละอองดาว ปะโพธิง (2554, น. 20) ได้กล่าวว่า การบริหารงานวิชาการ หมายถึง
การดำเนินภารกจิ ทุกชนิดในโรงเรียนซึ่งเก่ียวกับการปรับปรุงการพฒั นาการเรียนการสอนให้ไดผ้ ลดีมี
ประสทิ ธภิ าพ บรรลตุ ามจดุ มุง่ หมายของหลกั สูตร ตลอดจนกิจกรรมอืน่ ๆ ทเ่ี ก่ยี วข้องกับการสนับสนุน
กิจกรรมการเรียนการสอน ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมภายในหรือภายนอกห้องเรียน โดยมีจุดมุ่งหมาย
เพือ่ ให้เกิดประโยชนส์ งู สดุ ตอ่ ผเู้ รยี น

จรุณี เก้าเอี้ยน (2556, น. 4) ได้ให้ความหมายของการบริหารงานวิชาการไว้ว่า การ
บริหารงานวิชาการ เป็นกระบวนการต่อเนื่องของการจัดการศึกษาอยู่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการ
บริหารสถานศึกษา ซ่ึงงานวิชาการเป็นภารกิจที่ต้องทำส่วนการบริหารงานวิชาการเป็นกิจกรรมการ
ดำเนนิ งานตามภารกิจท่ไี ดร้ ับมอบหมายให้บรรลุไปตามวตั ถปุ ระสงค์และเป้าหมายทีก่ ำหนดไว้

จิติมา วรรณศรี (2557, น. 3) ได้ให้ความหมายของการบริหารงานวิชาการ หมายถึง
การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และการพัฒนาการเรยี นรู้ของผู้เรยี น ประกอบดว้ ยงานต่าง ๆ
ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตร การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การวัดผลและประเมินผล การใช้สื่อเทคโนโลยี
และแหล่งเรียนรู้ การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามจุดมุ่งหมายของ
การจัดการศึกษา

กิ่งแก้ว เฟื่องศิลา (2558, น. 16) ได้กล่าวว่า การบริหารงานวิชาการ หมายถึง
การดำเนินกิจกรรมทุกประเภทที่เกีย่ วข้องกับ การพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพื่อพัฒนาส่งเสริมความ
มีประสิทธิภาพของการเรียนการสอนให้บรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตรและเกิดประโยชน์สูงสุ ดแก่
นักเรียน ซึ่งนับเป็นหวั ใจสำคัญหรอื เปน็ งานหลักของสถานศกึ ษาทผ่ี ู้บรหิ ารจะตอ้ งให้ความสำคัญอย่าง
ยง่ิ

หทยั ศริ ิพนิ (2558, น. 14) ได้กลา่ ววา่ การบรหิ ารงานวิชาการ หมายถงึ การดำเนนิ
กิจกรรมทางการศึกษาทุกชนิดในสถานศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนใหม้ ีคุณภาพและมาตรฐาน
สูงสุดเกิดประโยชน์แก่ผู้เรียนตามภารกิจของสถานศึกษา รวมถึงกระบวนการปฏิบัติกิจกรรมใน
สถานศึกษาที่เกี่ยวกับการปรับปรุงพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของครูและนักเรียนให้มีประสิทธิภาพ
และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียนให้มีความรู้ ความเข้าใจ และพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์เพื่อ
เปน็ พลเมืองท่ีดีของสงั คม โดยผ้บู รหิ ารสถานศึกษาและบคุ ลากรทุกฝา่ ยต้องร่วมมอื กันดำเนินการและ
พฒั นาอยา่ งต่อเนอ่ื ง เพ่ือมาตรฐานและคณุ ภาพทางการศึกษาแกผ่ ู้เรียนทุกคน

วมิ ล เดชะ (2559, น. 18) ไดก้ ลา่ วว่า ความหมายของการบรหิ ารงานวชิ าการ หมายถึง
การมีเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ของสถานศึกษาอาศัยหลักแห่งประสิทธิภาพ และหลักแห่ง

19

ประสิทธิผล และเน้นในเรื่องการจัดทำหลักสูตร การจัดกระบวนการเรียนรู้ อาศัยความร่วมมือของ
ชุมชนและสังคม มีการสร้างเครอื ข่าย โดยม่งุ เน้นคุณภาพและมาตรฐาน

อุมาพร ชิณแสน (2559, น. 10) ได้กล่าวว่า การบริหารงานวิชาการ หมายถึง
การดำเนนิ งานทุกชนดิ ของโรงเรยี นที่เกยี่ วขอ้ งกบั การดำเนนิ การเพื่อพฒั นาปรบั ปรุง ส่งเสรมิ การเรยี น
การสอน ตลอดจนการประเมินผลการสอนให้มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อผู้เรียนตรงตามเป้าหมายของ
หลักสูตร

กติ ติภพ ถาวร (2559, น. 30) ไดก้ ล่าวว่า การบรหิ ารงานวชิ าการ หมายถงึ การบริหาร
กจิ กรรมตา่ ง ๆ ตามภารกจิ ท่เี ก่ยี วขอ้ งกับงานวิชาการในโรงเรียน ซึง่ การบริหารงานวิชาการจะประสบ
ความสำเร็จบรรลุตามเป้าหมายได้นั้น ผู้บริหารมีบทบาทสำคัญในการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน
ของโรงเรียน เพื่อนำใช้ในการวางแผนพัฒนาการศึกษา แล้วนำแผนไปดำเนินการให้เป็นไปตาม
เงื่อนไขและข้อกำหนดด้วยการกำกับติดตามแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และทำการ
ประเมินผลการดำเนินงานตามกจิ กรรม เพือ่ เป็นการตรวจสอบการปฏิบัติงานตามกิจกรรมตา่ ง ๆ

สุชาดา ถาวรชาติ (2559, น. 32) ได้กล่าวว่า การบริหารงานวิชาการ หมายถึง
การดำเนินกิจกรรมทุกชนิดทกุ ประเภทของสถานศึกษาเพ่ือสนับสนุน ปรับปรุง และพัฒนาการจัดการ
เรียนการสอนตามหลักสูตรใหม้ ีคุณภาพและมีมาตรฐานสูงสุด เกิดประโยชนแ์ ก่ผู้เรียน ตลอดท้ังสนอง
ความต้องการของผูป้ กครอง ชุมชนและท้องถ่นิ โดยพฒั นาศกั ยภาพของผู้เรียนใหบ้ รรลุเป้าหมายของ
สถานศกึ ษากำหนดไว้

ราตรี สอนดี (2559, น. 21) ได้กลา่ วว่า การบริหารงานวิชาการ หมายถึง กระบวน
การจัดกิจกรรมในงานวิชาการ ซ่ึงเป็นภารกิจหลักให้เกิดการปรับปรุงพัฒนาและเป็นประโยชน์สูงสดุ
แกผ่ ้เู รียนหรอื ผรู้ ับบริการ กระบวนการดงั กลา่ วน้ี ไดแ้ ก่ การวางแผน การจดั ระบบโครงสร้าง และการ
กำหนดบทบาทหน้าท่ีการจัดดำเนินงานทางวิชาการ การผลิตส่ือและอุปกรณ์การศึกษา การวัดและ
ประเมินผล การจัดบรรยากาศเพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพทางวิชาการ การจัดแหล่งหรือศูนย์
สารสนเทศ รวมทั้งการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ และการนิเทศภายในเพื่อให้งานวิชาการมี
คณุ ภาพ

ปริศนา สีเงินงาน (2559, น. 11) ได้กล่าวว่า การบริหารงานวิชาการ หมายถึง
การบริหารกิจกรรมทุกชนิดในสถานศึกษาท่ีเกียวข้องกับการปรับปรุงพัฒนาการเรียนการสอน เพ่ือ
ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และบรรลุตามเป้าหมายของหลักสูตรอย่างมีประสทิ ธิภาพและเกิด
ประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง ในคร้ังน้ีได้กำหนดใช้การบริหารงานวิชาการทั้งหมด 8 ด้าน
ได้แก่ ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ด้านการวัดผล
ประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน ด้านการวิจัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการศึกษา ด้านการพัฒนาสื่อ

20

นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา ด้านการพัฒนาและส่งเสริมแหล่งการเรียนรู้ ด้านการประกัน
คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษาและมาตรฐานการศกึ ษา และด้านการส่งเสริมความรทู้ างวชิ าการแก่ชมุ ชน

พรรษมน พินทุสทิต (2560, น. 25) ให้ความหมายว่า การบริหารงานวิชาการ
หมายถึง เก่ียวกับการเรียนการสอน เชน่ หลกั สตู ร วิธีสอน สอ่ื การเรียนการสอน การวัดผลประเมินผล
การประกันคุณภาพการศึกษาและงานอื่น ๆ ที่ส่งเสริมสนับสนนุ งานวิชาการ ให้บรรลุผลสำเร็จและมี
ประสิทธิภาพให้เกดิ ประโยชน์สงู สุดกบั ผ้เู รยี น

ธัญดา ยงยศยิ่ง (2560, น. 28) ให้ความหมายว่า การบริหารงานวิชาการคือ
กระบวนการท่ีมีความต่อเน่ืองในการบรหิ ารกจิ กรรมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกบั การปรบั ปรุงการเรียนการ
สอนให้ดีข้ึนต้ังแต่ การกำหนดนโยบายการวางแผน การปรับปรุงพัฒนาการเรียนการสอน
ซึ่งประกอบด้วย การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การวัดผล
ประเมินผลและดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา การพัฒนา
และใชส้ อ่ื เทคโนโลยที างการศกึ ษา การพัฒนาแหล่งเรียนรู้การนเิ ทศการศึกษาการแนะแนวการพัฒนา
ระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา การส่งเสริมความรู้ด้านวิชาการแก่ชุมชน การประสาน
ความรว่ มมอื ในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาอืน่

พนารัตน์ ยศพนธ์ (2561, น. 29) ให้ความหมายของวิชาการว่า เปน็ การจัดการเรียน
การสอนที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรและการสอน เป็นจัดกิจกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุง
พฒั นาการเรยี นการสอนให้ได้ผลดแี ละมีคุณภาพ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกบั ผเู้ รยี น

สารินทร์ เอี่ยมครอง (2561, น. 11) ได้กล่าวว่า การบริหารงานวิชาการ หมายถึง
การบรหิ ารงาน หรือการดำเนินกิจกรรมทุกสิ่งทุกอยา่ งในสถานศึกษา เพือ่ พฒั นาการเรียนการสอนให้
เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลแก่ผู้เรียนสูงสุด และโรงเรียนในฐานะเป็นหน่วยปฏิบัติการที่มีหน้าที่
ภารกจิ โดยตรงในการจัดการศกึ ษา จึงต้องมหี นา้ ทีใ่ นการพัฒนานักเรยี นใหม้ ีความร้คู วามสามารถ

นุชรี เนียมรัตน์ (2562, น. 10) ได้กล่าวถึง การบริหารงานวิชาการ เป็นการบริหาร
กิจกรรมทุกประเภทในสถานศึกษา เป็นงานที่สำคัญสำหรับผู้บริหารและทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญ
เปน็ งานทีเ่ ก่ียวกับ การปรบั ปรุงคุณภาพการเรยี นการสอนให้ได้ผลดี มีประสิทธภิ าพและเกดิ ประโยชน์
สงู สุดแกผ่ ้เู รยี น ซึง่ เป็นจุดมุง่ หมายหลกั ของสถานศกึ ษา เป็นเครือ่ งชวี้ ดั ความสำเรจ็ ความสามารถของ
ผู้บริหาร และคณุ ภาพในการจัดการศกึ ษาของสถานศึกษา

อธิวัฒน์ พันธ์รัตน์ (2562, น. 19) ได้กล่าวว่า การบริหารงานวิชาการถือว่าเป็น
หัวใจและเป็นส่วนทีส่ ำคัญท่ีสุดในสถานศึกษา เพราะงานวิชาการประกอบไปด้วยงานที่สำคญั ๆ ของ
สถานศึกษามากมาย ไม่ว่าจะเป็นงานหลักสูตรหรืองานจัดการเรียนการสอน งานวัดผลประเมินผล
ฯลฯ ซึ่งแต่ละงานจะเป็นตัวชี้วัดความก้าวหน้าและคุณภาพของสถานศึกษานั้น ๆ ดังนั้นแล้วการ

21

บริหารงานวิชาการที่มีคุณภาพนั้น จะช่วยให้สถานศึกษาสามารถขับเคลื่อนและพัฒนาได้อย่างมี
ประสิทธิภาพและบรรลุตามเป้าหมาย

สรุปได้ว่า ความหมายของการบริหารงานวิชาการ คือการบริหารงานวิชาการเป็น
หัวใจสำคัญของการบริหารสถานศึกษาและเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารการศึกษา ที่ผู้บริหารจะต้อง
ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ให้งานวิชาการดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีประโยชน์สูงสุดกับ
ผู้เรียน สําคัญที่สุดของงานวิชาการที่สามารถทำให้งานวิชาการ ส่งผลต่อประสิทธิภาพ ประสิทธิผล
และคณุ ภาพของการศึกษาอย่างต่อเนื่องตลอดไป ซ่ึงงานวชิ าการเป็นภารกิจที่ต้องทำ ดำเนินงานตาม
ภารกิจที่ได้รับมอบหมายใหบ้ รรลไุ ปตามวตั ถุประสงค์และเป้าหมายทีก่ ำหนดไว้ การบริหารงาน หรือ
การดำเนินกิจกรรม กระบวนการที่มีความต่อเนื่องในการบริหารกิจกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการ
ปรับปรุงการเรียนการสอนให้ดีขึ้น จึงจำเป็นต้องมีหน้าที่ในการพัฒนานักเรียนให้มีความรู้
ความสามารถ

2. ความสำคัญของการบรหิ ารงานวชิ าการ

งานวิชาการเป็นงานที่มีความสำคัญ เพราะเป้าหมายของการบริหารงานวิชาการอยู่

ที่การสร้างผู้เรียนให้มีความรู้ มีคุณธรรม จริยธรรม และมีคุณสมบัติตามที่ต้องการ การบริหารงาน

วิชาการจะเป็นตัวบ่งช้ีถึงคุณภาพและความสำเร็จของสถานศึกษา สถานศึกษามักจะพิจารณาจาก

คุณภาพของผลผลิตที่ออกมาก็คือ ตัวผู้เรียน ดังนั้น คุณภาพของผลผลิตจึงขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพใน

การดำเนินงาน ด้านการบรหิ ารงานวิชาการของสถานศึกษา การบริหารงานดา้ นวิชาการจึงเปน็ งานที่

สำคัญของผู้บริหารสถานศึกษาที่จะต้องรับผิดชอบในการใช้หลักการในการบริหารงานด้านนี้อย่างมี

ประสทิ ธิภาพ

สมิชท์และคณะ (Smit and Others, 1961, 170 อ้างถึง ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์,

2553 : 1) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการบริหารงานวิชาการไว้ว่า ในด้านการใช้เวลาในการ

บริหารงานและการให้ความสำคัญของงานในสถานศึกษางานในความรับผิดชอบของผู้บริหาร

โดยแยกงานออกเปน็ 7 ประเภท พบวา่

1. การบรหิ ารวิชาการ คดิ เป็นร้อยละ 40

2. งานบรหิ ารงานบุคลากร คดิ เป็นร้อยละ 20

3. งานบริหารกิจการนกั เรียนนกั ศกึ ษา คิดเป็นรอ้ ยละ 20

4. งานบริหารการเงิน คดิ เป็นร้อยละ 5

5. งานบรหิ ารงานอาคารสถานท่ี คดิ เป็นรอ้ ยละ 5

6. งานบริหารความสัมพนั ธ์กบั ชุมชน คดิ เป็นร้อยละ 5

22

7. งานบรหิ ารทวั่ ไป คดิ เป็นร้อยละ 5

สนั ติ บญุ ภริ มย์ (2553, น. 22) ได้กลา่ วถึงความสำคญั ของการบรหิ ารงานวิชาการไว้

ว่างานด้านวิชาการถือว่าเป็นหัวใจสำคัญหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นงานหลักของสถานศึกษา

ส่วนงานอื่น ๆ เป็นงานที่มาสนับสนุนงานวิชาการให้มีคุณภาพ ดังนั้นงานวิชาการจึงมิใช่เพียงแต่ให้

นักเรียน อ่านออก เขียนได้และคิดเลขเก่งเท่านั้นแต่หมายถึงการดำรงชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่นได้

อย่างมคี วามสุข

ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553, น. 15 – 16) ได้กล่าวถึง การให้ความสำคัญของ

การใชง้ านการบริหารงานในโรงเรียน โดยเรยี งตามลำดับ ดังน้ี

1. งานวิชาการ รอ้ ยละ 40

2. งานบคุ ลากร ร้อยละ 20

3. งานกจิ การหรอื นกั ศกึ ษา รอ้ ยละ 20

4. งานธุรการและการเงิน รอ้ ยละ 5

5. งานอาคารสถานท่ี ร้อยละ 5

6. งานความสัมพันธ์กับชมุ ชน รอ้ ยละ 5

7. งานบรหิ ารทวั่ ไป ร้อยละ 5

นอกจากนี้การบริหารงานวิชาการยังเปน็ หลักที่ผู้บรหิ ารต้องใหค้ วามสำคัญมากท่สี ดุ

และมลี ักษณะงาน ดังน้ี

1. เป็นสาระสำคัญของการศึกษาที่โรงเรียนได้กำหนดวัตถุประสงค์

เป้าหมายภารกิจต่าง ๆ ไว้อย่างชัดเจนทำให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารจึง

ต้องกำหนดภาระงาน ซึ่งเป็นงานหลักให้สามารถวางแผนจัดบุคลากรจัดดำเนินการให้เป็นไปตาม

วัตถุประสงค์ของหน่วยงานบริหารโรงเรียน

2. เป็นงานที่บ่งบอกถึงความสำเร็จในการบริหารงานของผู้บริหาร งาน

วชิ าการตอ้ งเดน่ เนน้ ความเปน็ เลิศทางวชิ าการซง่ึ ผลประโยชน์สงู สุดจะตอ้ งเกดิ กบั ผูเ้ รยี นหรือนักศึกษา

ผลแห่งความสำเร็จ คือการได้พัฒนาผู้เรียน ผู้รับบริการและบุคลากรทั้งในด้านความรู้ เจตคติและ

ทักษะทหี่ นว่ ยงานหรอื โรงเรยี นกำหนดให้

3. เป็นงานบริหารทางการศึกษา ที่โรงเรียนมีหน้าที่จัดบริการให้แก่ผู้เรียน

และผู้รับบริการ มุ่งให้ได้รับความรู้เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาตนเองและสังคม โดยส่วนรวมการ

จัดบริการทางการศกึ ษาอาจจัดได้หลากหลายรูปแบบ เชน่ การประชาสมั พันธ์ เผยแพรข่ ้อมูล ข่าวสาร

ต่าง ๆ การจัดบริหารให้คำปรึกษา การจัดอบรม สัมมนา การจัดประชุมทางวิชาการ การจัดประชุม

ทางวชิ าการ การจัดให้เปน็ หน่วยงานหรอื ศนู ย์สารสนเทศเปน็ ตน้

23

4. เป็นการแสดงถึงองค์ความรู้วิชาชีพ งานวิชาการในศาสตร์สาขาใดก็ตาม
จะต้องแสดงลักษณะเด่นเฉพาะในองค์ความรู้ออกมาให้ชัดเจน หน่วยงานหรือโรงเรียน แต่ละระดับ
จะตอ้ งจัดบทบาทหน้าที่ให้บคุ ลากรไดป้ ฏบิ ัติงานตามศักยภาพ และองค์ความร้ทู ี่มีอยู่ให้มากท่สี ุด เป็น
การแสดงศกั ยภาพทางวชิ าไดอ้ ย่างเหมาะสม

5. เปน็ ประโยชน์ต่อการพัฒนางานวิชาการช่วยสรา้ งความรูใ้ ห้เกิดประโยชน์
มากขึ้น โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เชน่ การศึกษาค้นคว้า การวจิ ัย และพฒั นา ซึ่งทำให้
เป็นการพฒั นาการศึกษาอันเปน็ ผลต่อสังคมและประเทศชาติ

จันทรานี สงวนนาม (2553, น. 148) กล่าวว่า การบริหารงานวิชาการ เป็นหัวใจ
สำคัญของการบริหารสถานศึกษา และเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารการศึกษา ที่ผู้บริหารจะต้องให้
ความสำคญั เปน็ อย่างยิง่ สว่ นการบริหารดา้ นอ่นื ๆ น้นั แม้จะมคี วามสำคัญเช่นเดียวกัน แตก่ เ็ ป็นเพียง
ส่วนส่งเสริมสนับสนุนให้งานวิชาการดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารสถานศึกษาซึ่งมี
บทบาทหน้าที่ในการบรหิ าร จะต้องสนับสนุนใหค้ รูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้บรรลุจุดมุ่งหมาย
ของหลักสตู ร

หนึ่งฤทัย หาธรรม (2553, น. 17) ได้ให้ความสำคัญของการบริหารงานวิชาการว่า
เป็นหัวใจหลักของการบริหาร การดำเนินกิจกรรมทางการศึกษา หรือ ภารกิจหลักของการจัด
การศึกษาทุกระดับโดยเฉพาะในการจัดการศึกษาในสถานศึกษางานวิชาการถือว่าเป็นหัวใจของการ
จดั การศกึ ษา

ทัศนีย์ วงศ์ยนื (2553) กล่าวว่า การบรหิ ารงานวิชาการมคี วามสำคัญดงั ต่อไปน้ี
1. ทำให้ผู้บริหารตระหนักเห็นความสำคัญของงานวชิ าการซึ่งเป็นงานหลัก

ของสถานศึกษา เพราะความสำเร็จของสถานศึกษาส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ
ผู้เรียน

2. ทำให้ผู้บริหารและครูวางแผนพัฒนางานวิชาการอย่างเป็นระบบและ
ตอ่ เนือ่ งเพอ่ื เสรมิ สร้างผเู้ รยี นใหม้ คี วามรคู้ วามสามารถ มีคณุ ลักษณะทพ่ี ึงประสงค์

3. ทำให้สถานศึกษาปรับปรุงและพัฒนางานที่เก่ียวข้องกับการเรียนการ
สอนใหม้ ปี ระสิทธภิ าพเกดิ ประโยชนส์ งู สดุ ตอ่ ผู้เรยี น

4. ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชนในการ
พัฒนาการเรยี นการสอนตามความตอ้ งการของผูเ้ รียนและชมุ ชน

จรุณี เก้าเอี้ยน (2557, น. 6) ได้ให้ความสำคัญของการบริหารงานวิชาการว่า
เปน็ ภารกิจหลักของผู้บริหารสถานศึกษา มาตรฐานคุณภาพการศึกษาจะปรากฏเด่นชัด หากผู้บริหาร
สามารถบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงถือได้ว่าการบริการงานวิชาการเป็นหัวใจ เป็นส่วน

24

สำคัญที่สุดในสถานศึกษา ผู้บริหารตอ้ งใส่ใจและตระหนักในภารกิจ รู้จักปรับปรุงตนเอง รู้และเข้าใจ
งานวิชาการอย่างถ่องแท้ รวมทั้งพัฒนางานวชิ าการให้ก้าวหน้า ทันต่อการจัดการศึกษาในยุคปัจจบุ ัน
นอกจากนี้ยังได้รับความไว้วางใจ การยอมรับนับถือจากชุมชนสังคม อันจะนำซึ่งความภาคภูมิใจต่อ
ความสำเรจ็ ในทสี่ ุด

ภูมิพัทธ เรืองแหล่ (2558, น. 36) ได้กล่าวถึง การบริหารวิชาการมีความสำคัญเป็น
หัวใจของโรงเรียน ดังนั้น ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาทุกคนจำเป็นต้องให้ความสนใจและให้
ความสำคญั การบริหารงานวชิ าการเป็นอนั ดบั แรก โดยมงุ่ หวงั ให้เกดิ ประโยชนแ์ ก่ผู้เรียนทที่ ำให้ผู้เรียน
ประสบผลสำเร็จตามจุดมุ่งหมายท่ีกำหนดไว้ และเพื่อให้เป็นเครื่องช้ีวัดความสำเร็จให้เห็นถึงคุณภาพ
และประสิทธิภาพทางการจัดการศึกษาของโรงเรียนนั้น ๆ และอุทุมพร ชิณแสน (2559, น. 11)
ได้กล่าวถึง ความสำคัญของการบริหารงานวิชาการเป็นภารกิจหลักของผู้บริหารโรงเรียนและถือว่า
เป็นหัวใจของโรงเรียนที่จะต้องดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายของการศึกษา นั้นคือนักเรียนมีความรู้
คคู่ ณุ ธรรม ดี เก่ง มีสขุ มคี ณุ ภาพและคุณสมบัติท่ีพึงประสงค์ที่ต้องการ สามารถดำรงชีวิตอยู่สังคมได้
อยา่ งมคี วามสขุ

กิ่งแก้ว เฟื่องศิลา (2558, น. 18) ได้ให้ความสำคัญของการบริหารงานวิชาการว่า
บริหารงานวิชาการนั้นถือเป็นภารกิจสำคัญของการจัดการศึกษา ซึ่งทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ
จดั การศกึ ษาต้องประสานและรว่ มมอื กันพัฒนาการเรียนการสอนให้ไดผ้ ลดี มปี ระสิทธภิ าพและให้เกิด
ประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน จึงจะส่งผลให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาตรงตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ใน
หลักสูตร

หทัย ศิริพิน (2558, น. 15) ได้ให้ความสำคัญของการบริหารงานวิชาการว่าเป็นงาน
หลักของสถานศึกษาที่บอกถึงมาตรฐานและคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษานั้น ๆ เป็นเครื่องบ่งช้ี
ความเจรญิ ก้าวหนา้ ของสถานศึกษา ซ่งึ ผบู้ รหิ ารสถานศึกษาและบคุ ลากรทุกฝา่ ยทุกระดับต้องร่วมมือ
กนั ดำเนินการและพฒั นาอยา่ งต่อเนอ่ื งทางวิชาการ ทีจ่ ะทำให้นักเรยี นมปี ระสิทธิผลตามทต่ี อ้ งการ

สุชาดา ถาวรชาติ (2559, น. 33) ได้ให้ความสำคัญของการบริหารงานวิชาการว่า
การบริหารงานวิชาการเป็นงานหลักของการบริหารกิจกรรมต่าง ๆ ทางการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นงาน
หลักสูตรหรืองานจัดการเรียนการสอน งานวัดผลประเมินผล งานทุกงานของงานวิชาการล้วนมี
ความสำคัญกับสถานศึกษา ดังนั้น จึงถือได้ว่าการบริหารงานวิชาการเป็นหัวใจสำคัญ แต่ก็ยังต้องมี
งานอนื่ สนับสนนุ ดว้ ย สถานศึกษาจงึ จะบรรลุวตั ถปุ ระสงคไ์ ปได้

ปริศนา สีเงินงาน (2559, น. 12) ได้ให้ความสำคัญของการบริหารงานวิชาการว่า
การบริหารงานวิชาการเป็นงานท่ีสำคัญเป็นอย่างมากของผู้บริหารสถานศึกษา ที่ต้องสนับสนุน

25

และส่งเสริมการบริหารวิชาการให้มีประสิทธิภาพ รวมท้ังการจัดการศึกษาให้บรรลุเป้าหมายที่ต้ังไว้
มาตรฐานคณุ ภาพ

ธัญดา ยงยศยิ่ง (2560, น. 30) ได้กล่าวถึง ความสำคัญของการบริหารงานวิชาการ
คือภารกิจหลักซึ่งถือว่า เป็นหัวใจของการบริหารสถานศึกษา ที่ต้องให้ความสำคัญอันดับแรกโดยมี
งานอ่ืน ๆ เป็นงานที่มาสนับสนุนงานวิชาการให้มีคุณภาพ เพือ่ ให้ผ้เู รียนดำรงชวี ิตในสังคมร่วมกับผู้อื่น
อย่างมคี วามสุข

พนารัตน์ ยาพันธ์ (2561, น. 30) ได้กล่าวถึง งานวิชาการเป็นงานหลักของ
สถานศึกษาที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาผู้เรียน เป็นตัวกำหนดปริมาณงานของสถานศึกษา
การจัดสรรทรัพยากรให้แก่โรงเรียน คุณภาพของโรงเรียน และเครื่องชี้วัดความสำเร็จ ความสามารถ
ของผ้บู ริหารสานศกึ ษาในฐานะผนู้ ำองค์กร

สารินทร์ เอี่ยมครอง (2561, น. 19 ได้ให้ความสำคัญของการบริหารงานวิชาการว่า
เป็นภารกิจหลักของผู้บริหารสถานศึกษา มาตรฐานและคุณภาพการศึกษาจะเด่นชัด หากผู้บริหาร
สามารถบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นถือได้ว่าการบริหารงานวิชาการเป็นหัวใจสำคัญที่สุดใน
สถานศึกษา ผู้บริหารต้องเอาใจใส่ ตระหนักในภารกิจ รู้และเข้าใจงานวิชาการอย่างถ่องแท้ รวมทั้ง
พัฒนางานวิชาการให้ก้าวหน้า

อธิวัฒน์ พันธ์รัตน์ (2562, น. 19) ได้ให้ความสำคัญของการบริหารงานวิชาการว่า
การบริหารงานวิชาการถือว่าเป็นหัวใจและเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในสถานศึกษา เพราะงานวิชาการ
ประกอบไปด้วยงานที่สำคัญ ๆ ของสถานศึกษามากมาย ไม่ว่าจะเป็นงานหลักสูตรหรืองานจัดการ
เรียนการสอน งานวัดผลประเมินผล ฯลฯ ซึ่งแต่ละงานจะเป็นตัวชี้วัดความก้าวหนา้ และคุณภาพของ
สถานศึกษานั้น ๆ ดังนั้นแล้วการบริหารงานวิชาการที่มีคุณภาพนั้น จะช่วยให้สถานศึกษาสามารถ
ขบั เคลอ่ื นและพัฒนาได้อยา่ งมีประสิทธิภาพและบรรลุตามเป้าหมาย

นุชรี เนียมรัตน์ (2562, น. 10) ได้กล่าวถึง การบริหารงานวิชาการในโรงเรียน
เป็นงานที่มีความสำคัญสูงสุดใช้เวลาในการบริหารงานมากที่สุด ผู้บริหารโรงเรียนจำเป็นต้อง
บริหารงานวิชาการ เพื่อให้เกิดคุณภาพและเป็นประโยชน์แก่ผู้เรียน ผู้บริหารโรงเรียนจะต้อง
รับผิดชอบงานวิชาการเป็นอันดับแรก และต้องให้การสนับสนุน ส่งเสริม และติดตามการทำงานของ
ครู เพ่อื ให้การเรียนการสอนบรรลจุ ุดประสงคข์ องหลักสตู ร และเป็นไปอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพมากท่สี ดุ

สรุปได้ว่า งานวิชาการเป็นงานที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจุดมุ่งหมายของการ
บริหารวิชาการ อยู่ที่การสร้างนักเรียนให้มีคุณภาพมีความรู้ มีจริยธรรม และมีคุณสมบัติตามท่ี
ตอ้ งการ งานวชิ าการเปน็ ตวั บ่งช้ีคุณภาพและความสำเร็จของโรงเรียน ความสำเรจ็ ของโรงเรียนมักจะ
พิจารณาจากคุณภาพของผลผลิต คือ ตัวนักเรียนการบริหารด้านวิชาการจึงเป็นงานที่สำคัญของ

26

ผู้บริหารโรงเรียนท่ีจะต้องรับผิดชอบในการใช้หลักการในการบริหารงานด้านนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
มุ่งให้กระจายอำนาจในการบริหารจัดการไปให้สถานศึกษาให้มากที่สุด สามารถพัฒนาหลักสูตรและ
กระบวนการเรียนรู้ตลอดจนการวัดผลประเมินผล รวมทั้งการวัดปัจจัยเกื้อหนุนการพัฒนาคุณภาพ
นกั เรยี น ชุมชน ทอ้ งถิ่นได้อยา่ งมีคุณภาพ เพ่อื ให้ผเู้ รยี นอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ ืน่ ในสังคมได้อย่างมีความสุข

3. หลกั การบริหารงานวชิ าการ
ผู้บริหารเป็นผู้มีบทบาทและหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผนวิชาการเฉพาะงานวิชาการ
ในโรงเรียนถือว่าเป็นงานหลัก ผู้บริหารมีหลักในการวางแผนการบริหารวิชาการ เป็นรูปแบบในการ
ปฏิบัติงาน และกำกบั วิธีการดำเนินไว้สำหรับใหผ้ ู้ปฏบิ ตั ยิ ึดถือไว้เปน็ หลักการ
Francis (ฟรานซิส, 1978 : 1192 อ้างถึงใน รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ, 2550, น. 32)
ได้กลา่ วถงึ หลกั การบรหิ ารงานวชิ าการมีหลักการบริหาร ดงั น้ี

1. หลักแห่งประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง การได้มีผลผลิตเพิ่มข้ึน
โดย ไม่เพิ่มการลงทุน นั่นคือ ผู้เรียนสามารถสำเร็จการศึกษาตามกำหนดของหลักสูตรโดยไม่ออก
กลางคันเรียนเกนิ เวลาและชา้ กวา่ กําหนด

2. หลักแห่งประสิทธิผล (Effectiveness) หมายถึง ผลผลิตที่ได้ตาม
จุดมุ่งหมายที่วางไว้นั่น คือ ผู้เรียนมีคุณภาพตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร มีความรู้ความสามารถ
ทักษะคุณภาพและการจัดการได้การบริหารจัดการของสถานศึกษาซึ่งมีหน้าที่ให้บริการการศึกษาแก่
ประชาชนและเปน็ สถานศึกษาของรฐั จึงต้องนำหลกั การวา่ ด้วยการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคม
ที่ดีในการจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งซึ่งเรียกว่า ธรรมาภิบาล มาบูรณาการให้เข้ากับ
การดำเนินการตา่ ง ๆ การบรหิ ารงานวิชาการก็ตอ้ งมีหลกั ธรรมาภิบาล

3. หลักความคุ้มค่า คือ การได้ผลผลิตคุ้มค่าแก่การลงทุน นั่นคือ ผู้เรียน
สามารถสำเร็จการศึกษาตามที่กำหนดของหลักสูตร ไม่ลาออกกลางคัน เรียนเป็นเวลา และช้ากว่า
กําหนด

4. หลักนิติธรรม หมายถึง ความถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ
ทุกคนต้องปฏบิ ัตเิ ป็นไปในทางเดยี วกัน

จรุณี เก้าเอี้ยน (2556, น. 6) ได้กล่าวถึง หลักการบริหารงานวิชาการมีหลักการ
บริหารในการบริหารงานวิชาการจะต้องมีหลักการและวิธีการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดความคล่องตัว
ในการบริหารจากภาระงานดังกล่าวของสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาผู้บริหารต้องยึดหลักใน
การทำงานโดยเฉพาะหลักการบริหารงานวิชาการเป็นแนวคิดเพื่อปฏิบัติไปสู่ความสำเร็จในการ
บริหารงานวชิ าการ ซึง่ มหี ลกั การทสี่ ำคญั ๆ 3 ประการ ดังน้ี

27

1. หลักการพัฒนาคุณภาพ (Quality Management) เป็นการบริหารงาน
เพื่อ นำไปสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ องค์ประกอบของคุณภาพที่เป็นทั้งตัวชี้วัด คือ ผลผลิตและ
กระบวนการเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บุคลากรและผู้รับบริการได้รับความพึงพอใจ พัฒนาศักยภาพ
เป็นที่ยอมรับของสงั คมในระดบั สากลมากขึ้น โดยอาศัยกระบวนการประกันคุณภาพการศึกษา ได้แก่
การควบคุมคุณภาพ การตรวจสอบคุณภาพ และการประเมินคณุ ภาพ

2. หลักการมีส่วนร่วม (Participation) การปรับปรุงคุณภาพของ
กระบวนการ บริหารได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอตลอดเวลา โดยทุกคนในหน่วยงานมีส่วน
ร่วมเสนอแนะ ปรับปรุงและพัฒนา หลักการมีส่วนร่วมต้องการให้ทุกคนได้ร่วมกันทำงาน ซึ่งลักษณะ
ของงานวชิ าการต้องอาศยั ความรว่ มมอื จากหลายฝ่าย อาจดำเนินงานในรปู ของคณะกรรมการวชิ าการ
ซึ่งจะมีเป้าหมายการทำงานร่วมกัน นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพได้มากขึ้น การมีส่วนร่วมต้องเริ่มจาก
การร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมประเมินผลเพราะในการบริหารงานวิชาการผู้บริหารไม่สามารถทำคน
เดยี ว ไดต้ อ้ งอาศัยความรู้ความสามารถของบุคลากร นัน่ คอื ผบู้ ริหารตอ้ งให้ความสำคัญกับการมี
ส่วนร่วม ของบุคลากรทั้งในการร่วมคิด วางแผนการทำงานร่วมปฏิบัติเพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมาย
รว่ มกัน หลกั การ 3 องคป์ ระกอบ (3 – Es) (จรุณี เกา้ เอย้ี น, 2556, น. 6) ได้แก่

2.1 หลักประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง การปฏิบัติตามแผน
ท่ีกำหนดไว้ เป็นไปตามขั้นตอนและกระบวนการมีปัญหาและอุปสรรคอย่างไร ในขณะดำเนินการ
สามารถปรับปรุงแก้ไขได้มีประสิทธิภาพเน้นไปที่กระบวนการ (Process) การใช้กลยุทธ์และเทคนิค
วธิ กี ารต่าง ๆ ทท่ี ำให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์มากที่สุด

2.2 หลักประสิทธิผล (Effectiveness) หมายถึง ได้ผลผลิต
(Output) ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ตรงตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร มีความรู้ความสามารถ
มีทักษะเพิ่มขึ้น รวมทั้งการคำนึงถึงประโยชน์ที่ได้รับ อย่างไรก็ตามมักใช้คำสองคำนี้ควบคู่กัน คือ
มปี ระสิทธภิ าพและประสิทธิผล

2.3 หลักประหยัด (Economy) หมายถึง การใช้เวลาน้อย
การลงทุนน้อย การใช้กำลังหรือแรงงานน้อยโดยไม่ต้องเพิ่มทรัพยากรทางการบริหาร แต่ได้ผลผลิต
ตามท่คี าดหวงั ดังนน้ั การลงทนุ ในทางวชิ าการจึงต้องคำนึงถงึ ความประหยดั เชน่ เดียวกนั ผู้บริหารจะ
ใช้กลวิธีอย่างไรในการบริหารเพื่อพัฒนาคุณภาพโดยอาศัยความประหยัดบุคลากร งบประมาณ
วสั ดแุ ละเทคโนโลยแี ละใชเ้ วลาน้อยอีกด้วย

3. หลักการความเป็นวิชาการ (Academic) หมายถึง ลักษณะที่ครอบคลุม
เนือ้ หาสาระของวิชาการ ได้แก่ หลักการพฒั นาหลักสตู ร หลักการเรยี นรู้ หลักการสอน หลักการวดั ผล
และประเมินผล หลักการนิเทศการศึกษาและการวิจัย เป็นต้น หลักการต่าง ๆ เหล่านี้เป็น

28

องค์ประกอบสำคัญก่อให้เกิดลักษณะความเป็นวิชาการที่ต้องอาศัยองค์ความรู้เพื่อทำให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงและสร้างสรรค์ ดังน้ัน การบริหารงานวิชาการจำเป็นตอ้ งคำนึงถึงหลกั การต่าง ๆ เพราะ
ด้านการบริหารการศึกษามีหลักและกระบวนการในการดำเนินการจึงจำเป็นต้องสอดคล้องกับ
หลักการของศาสตรใ์ นสาขาวชิ า

ภูมิพัทธ เรืองแหล่ (2558, น. 39) กล่าวถึง งานวิชาการว่า หลักการบริหารงาน
วิชาการต้องคำนึงถึงการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศทำให้ดีที่สุด นำไปสู่คุณภาพที่คาดหวัง โดยคำนึงถึง
วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการศึกษา โดยให้บุคคลทุกฝ่ายได้รับผิดชอบร่วมกันทำให้ผลิตมี
คุณภาพคำนึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผล และความประหยัดในการดำเนนิ งานทางวิชาการ โดย
อาศัยหลักการดังกล่าวย่อมสามารถจะบรรลุความสำเร็จคือความเป็นเลิศทางวิชาการ (Academic
Excellence) ได้ดังน้ี

1. การวางแผนงานวิชาการที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือนโยบายที่จะ
ทำให้งานวิชาการมรี ะบบ

2. การจัดโครงสร้างการบริหารงานวิชาการ การกำหนดบทบาทหน้าที่ของ
บุคลากรจะทำใหเ้ กดิ ความชัดเจนในการปฏบิ ัติ

3. การกระจายอำนาจและความรับผดิ ชอบให้ผปู้ ฏบิ ัติจะทำให้งานดำเนินไป
อยา่ งมปี ระสิทธิภาพยง่ิ ข้ึน

4. การมีเอกภาพในจุดมุ่งหมายจะทำให้เกิดการดำเนินการสอดคล้อง
สัมพันธแ์ ละเปน็ ไปตามทิศทางเดยี วกัน

5. การมีวินัยของบุคลากรที่มีความเกี่ยวข้องกับงานวิชาการจะสามารถทำ
ใหก้ ารดำเนนิ งานไปไดด้ ว้ ยดี

6. บุคลากรทุกคนต้องการขวัญกำลังใจในการปฏบิ ตั งิ าน
7. การประสานความสามัคคี ความมีมนุษยสัมพันธ์ และความร่วมมือย่อม
นำมาซ่งึ ความสำเร็จของหนว่ ยงาน
8. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และการพัฒนางานเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับงาน
วิชาการ
9. การตดิ ตามและประเมินผลเป็นส่งิ ที่จำเปน็ ในการพัฒนางานวชิ าการ
10. การบริหารเป็นท้ังศาสตร์และศิลป์ ดังนั้น การบริหารงานวิชาการ
จำเป็นตอ้ งใช้ทงั้ ศาสตร์ ศิลป์ ทกั ษะ และเทคนคิ ในการบรหิ าร
กฤษฎา กัลปดี (2559, น. 55) กล่าวถึง หลักการบริหารงานวิชาการว่า
การบริหารงานวิชาการต้องคำนึงถึงการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศทำให้ดีที่สุดนำไปสู่คุณภาพที่คาดหวัง

29

คำนึงถึงวัตถุประสงค์เป้าหมายของการศึกษา โดยให้บุคลากรทุกฝ่ายได้รับผิดชอบร่วมกันทำให้
ผลผลิตมีคุณภาพ คำนึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลและความประหยัด การดำเนินงานทาง
วชิ าการโดยอาศัยหลกั การดังกลา่ ว ยอ่ มจะสามารถบรรลคุ วามสำเร็จ

นุชรี เนียมรัตน์ (2562, น. 15) กล่าวถึง หลักการบริหารงานวิชาการเป็นแนวคิด
เพื่อให้การปฏิบัติบรรลุสู่ความสำเร็จในการบริหารงานวิชาการ ดังนั้นในการบริหารงานวิชาการ
ผู้บริหารต้องใช้ทั้งหลักประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยคำนึงถึงคุณภาพของเป้าหมาย คือ ผู้เรียน
เป็นหลัก นอกจากนี้ต้องคำนึงถงึ บุคลากร ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคญั ในกระบวนการบริหาร โดยให้ผ้ทู ่ี
มสี ว่ นเกี่ยวขอ้ งมีสว่ นร่วมในการบริหาร

สรุปได้ว่า หลักการบริหารงานวิชาการมีหลักการและวิธีการดำเนินงาน เพื่อให้เกิด
ความคล่องตัว ในการบริหารจากภาระงานดังกล่าวของสถานศกึ ษา ผู้บริหารสถานศึกษาต้องยึดหลัก
ในการทำงานโดยเฉพาะหลักการบริหารงานวิชาการเป็นแนวคิดเพื่อปฏิบัติไปสู่ความสำเร็จในการ
บริหารงานวิชาการ โดย หลักการพัฒนาคุณภาพ (Quality Management) เป็นการบริหารงานเพ่ือ
นำไปสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ ต่อด้วยหลักการมีส่วนร่วม (Participation) การปรับปรุงคุณภาพ
ของกระบวนการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอตลอดเวลา โดยทุกคนในหน่วยงานมีส่วนร่วม
เสนอแนะ หลักประสิทธิภาพ (Efficiency) กำหนดไว้ เป็นไปตามขั้นตอนและกระบวนการ
หลกั ประสิทธผิ ล (Effectiveness) วตั ถุประสงคท์ ี่กำหนดไวต้ รงตามจุดม่งุ หมายของหลกั สูตร มีความรู้
ความสามารถ มีทักษะเพิ่มขึ้น หลักประหยัด (Economy) การใช้กำลังหรือแรงงานน้อยโดยไม่ต้อง
เพิ่มทรัพยากรทางการบริหาร แต่ได้ผลผลิตตามที่คาดหวัง และสุดท้าย หลักการความเป็นวิชาการ
(Academic) โดยจะตอ้ งมีหลักการพัฒนาหลกั สูตร หลักการเรียนรู้ หลักการสอน หลักการวัดผลและ
ประเมนิ ผล หลกั การนเิ ทศการศกึ ษาและการวจิ ัย ความเป็นวชิ าการ ซึ่งจะเห็นได้ว่าผบู้ ริหารมีบทบาท
ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการบริหารงานวิชาการ เพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพได้มาตรฐาน
การศกึ ษา มคี ณุ ภาพตามเกณฑม์ าตรฐานระดับชาติ

ขอบข่ายการบริหารงานวิชาการ

การบริหารงานวิชาการเป็นงานหลักของโรงเรียนท่ีผู้บริหารจะต้องเข้าใจขอบข่าย
ของการบริหารงานวิชาการ เพื่อจะได้ปฏิบัติและบริหารงานวิชาการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิด
ประสทิ ธผิ ล ซงึ่ นักวิชาการศกึ ษาได้แบ่งขอบขา่ ยของงานวิชาการไว้ ดงั นี้

30

จันทรานี สงวนนาม (2553) ได้กำหนดขอบข่ายการบริหารงานวิชาการไว้ดังน้ี
1) หลักสตู รและการบริหารหลักสตู ร 2) การวิจยั ในชั้นเรยี น 3) การสอนซ่อมเสริม 4) การจัดกิจกรรม
เสริมหลกั สูตร 5) การนเิ ทศภายในสถานศกึ ษา 6) การประกนั

ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553, น. 3 – 4) ได้ให้ทัศนคติเกี่ยวกับขอบข่ายของงาน
วิชาการไว้วา่ การบริหารงานวชิ าการจะประกอบดว้ ยงานดงั ต่อไปน้ี

1. การวางแผนเกี่ยวกับงานวิชาการ เป็นการวางแผนเกี่ยวกับการพัฒนา
หลักสูตรและการนำหลักสูตรไปใช้ การจัดการล่วงหน้าเกี่ยวกับการเรียนการสอน มีรายละเอียดของ
งานดงั นี้

1.1 แผนปฏิบัตงิ านวชิ าการ ไดแ้ ก่ การประชมุ เกย่ี วกับหลกั สตู ร

1.2 โครงสร้างการสอน เป็นการจัดรายละเอียดเกีย่ วกับวิชาท่ีตอ้ ง

สอนตามหลักสูตร

1.3 บันทึกการสอน เป็นการแสดงรายละเอียดของการกำหนด
เนื้อหาทจี่ ะสอน ในแต่ละคาบเวลาของแตล่ ะวนั หรอื สัปดาห์

2. การจัดดำเนินงานเกี่ยวกับการเรียนการสอน เพื่อให้การสอนใน
สถานศึกษาดำเนนิ ไปด้วยดแี ละสามารถปฏบิ ัติได้ จึงตอ้ งมกี ารจดั การเรยี นการสอน ดงั น้ี

2.1 การจัดตารางสอนเป็นการกำหนดวิชา เวลา ผู้สอน สถานที่
ตลอดจนผเู้ รยี น ในแตล่ ะรายวชิ า

2.2 การจัดชั้นเรียน เป็นงานที่ฝ่ายวิชาการต้องประสานกับฝ่าย
อาคารสถานทร่ี วมทัง้ การจัดสิง่ อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในห้องเรยี น

2.3 การจัดครูเข้าสอน ต้องพิจารณาถึงความพร้อมของ
สถานศกึ ษา และความพร้อมของบุคลากร

2.4 การปรับปรุงการเรียนการสอน เป็นการพัฒนาครูผู้สอนให้
ก้าวทันวิทยาการ เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาการเรียนการสอน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการ
ความกา้ วหน้า ของสังคม ธุรกจิ อตุ สาหกรรม เปน็ ต้น

3. การจัดบริหารเกี่ยวกับการเรียนการสอน เป็นการจัดสิ่งอำนวยความ
สะดวก และการส่งเสริมการจัดหลกั สูตร และโปรแกรมการศกึ ษาให้มีประสิทธภิ าพและคุณภาพ ได้แก่

31

3.1 การจัดสื่อการเรียนการสอน เป็นสิ่งที่เอื้อต่อการศึกษาของ
นกั เรยี น เน้นเครอื่ งมอื และกจิ กรรมให้ครูได้เลือกใช้ในการสอน

3.2 การจัดห้องสมุด เป็นที่รวมหนังสอื เอกสาร สิ่งพิมพ์ และวัสดุ
อุปกรณ์ทเี่ ปน็ แหลง่ วิทยาการ ใหน้ ักเรยี นได้ศกึ ษาและค้นคว้าเพ่ิมเติม

3.3 การนิเทศการสอน เป็นการช่วยเหลือแนะแนวครูให้เกิดการ
ปรับปรงุ แกไ้ ข ปัญหาการเรยี นการสอน

4. การวัดและประเมินผล กระบวนการเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในด้านการ
ตรวจสอบและวิเคราะหผ์ ลการเรยี น

รงุ่ ชชั ดาพร เวหะชาติ (2553, น. 30) ไดก้ ำหนดขอบข่ายการบรหิ ารงานของโรงเรียน
ประถมศกึ ษาตามกระบวนการปฏริ ปู การเรียนรู้ ซึ่งครอบคลุม 4 ดา้ น คอื

1. หลักสตู ร
2. กระบวนการจัดการเรยี นการสอน
3. การวัด / ประเมินผลและการรบั เขา้ ศึกษาต่อ
4. การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ และการส่อื สารเพือ่ การเรียนรู้ (ICT)
ภารดี อนันต์นาวี (2557, น. 281) ได้กำหนดขอบข่าย/ภารกิจการบริหารงาน
วชิ าการได้ดังน้ี
1. การพัฒนาหลกั สูตรสถานศึกษา
2. การพฒั นากระบวนการเรยี นรู้
3. การวัดผล ประเมนิ ผล และเทียบโอนผลการเรียน
4. การวิจยั เพอ่ื พัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษา
5. การพฒั นาสื่อ นวตั กรรม และเทคโนโลยเี พอื่ การศกึ ษา
6. การพฒั นาแหล่งเรยี นรู้
7. การนเิ ทศการศึกษา
8. การแนะแนวการศึกษา
9. การพฒั นาระบบประกนั คุณภาพภายในสถานศกึ ษา
10. การสง่ เสริมความรดู้ ้านวิชาการแกช่ มุ ชน
11. การประสานความรว่ มมอื ในการพัฒนาวิชาการกบั สถานศึกษาอนื่
12. การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร
หนว่ ยงานและสถาบันอืน่ ทีจ่ ัดการศึกษา

32

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภเู ก็ต (2558, น. 24) ได้กำหนดขอบข่าย
ของการบริหารงานวชิ าการ ไว้ดังนี้

1. ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา หมายถึง การศึกษาวิเคราะห์
เอกสารหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) และจัดทํา
โครงสร้างหลักสูตรและสาระต่าง ๆ ท่ีกําหนด ให้มีในหลักสูตรสถานศึกษา มีการประเมินการใช้
หลกั สตู รและนําผลการประเมินมาพัฒนา หลกั สตู รอย่างต่อเนอ่ื ง

2. ดา้ นการพฒั นากระบวนการเรียนรู้ หมายถงึ การวางแผนและส่งเสริมให้
ครู จดั กระบวนการเรียนรู้ โดยจดั เนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดของ
ผเู้ รียนเปน็ สาํ คัญ โดยสอดคล้องกบั บริบทสังคม

3. ด้านการวัดผล การประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน หมายถึง
การจดั ทําแผน การวดั ผลและประเมินผลการเรยี นการสอน ใหส้ อดคลอ้ งกับมาตรฐานการศึกษาสาระ
การเรยี นรู้ และเปน็ ไปตามแนวทางของหลักสูตรวดั ผลและประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ

4. ด้านการพัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา หมายถึง
การจดั หา และพฒั นาการใชส้ ื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการจัดการเรียนการสอนและส่งเสริมให้
ครูผลิต และพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาและประเมินผลการพัฒนาการใช้สื่อนวัตกรรม
และเทคโนโลยเี พอื่ การศึกษา

5. ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา หมายถึง การพัฒนาคุณภาพ
งานด้านวิชาการ ในสถานศึกษาและสนับสนุนให้ครูมีการใช้สื่อและอุปกรณ์ เพื่อนํามาใช้ในการวิจัย
เพือ่ พฒั นา คุณภาพการศึกษา

6. การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ หมายถึง ส่งเสริมให้ครูใช้แหล่งการเรียนรู้ท้ัง
ภายนอก และภายในสถานศึกษา มีการสํารวจแหล่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา ชุมชน ท้องถิ่น ในเขต
พ้นื ที่ การศึกษาและเขตพ้นื ที่การศกึ ษาท่ใี กล้เคยี ง

7. ด้านการนิเทศการศึกษา หมายถึง การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การเรียนการ
สอนในรูปแบบ ที่หลากหลาย และนําผลการนิเทศมาปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอน
และประเมนิ ผล การนเิ ทศการศกึ ษาเพ่อื พฒั นาการเรียนการสอน

สรุปได้ว่า จากการประมวลขอบข่ายงานวิชาการจากนักการศึกษาและองค์กร
ทางการศึกษาข้างต้นสามารถสรุปขอบข่ายงานวิชาการเป็นงานท่ี มีขอบข่ายครอบคลุมหลายด้าน
อันจะก่อให้เกิดประโยชน์และส่งเสริมให้เกิดประสิทธิภาพแก่ผู้เรียนด้านต่าง ๆ ซึ่งสามารถสรุป
ขอบขา่ ยของงานวิชาการที่ผวู้ จิ ัยสนใจศึกษา 5 ดา้ น ดงั นี้ ดา้ นการจดั การหลักสูตรการนำหลักสูตรไป

33

ใช้ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ด้านการพัฒนาสื่อและการนำไปใช้ ด้านการวัดผล
และประเมนิ ผล และด้านการนเิ ทศการสอน ดังนี้

1. ด้านหลักสตู รและการนำหลักสตู รไปใช้
หลักสูตรเป็นหัวใจสำคัญต่อการจัดการศึกษา เพราะหลักสูตรเป็นเสมือนแม่บทมี
ความสำคญั ตอ่ การจดั การศกึ ษา เมือ่ มกี ารเปลี่ยนแปลงระบบการศกึ ษา จะตอ้ งมีหลักสูตรเป็นพ้ืนฐาน
หลักและเป็นแกนสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องทำความเข้าใจให้ตรงกัน เพื่อที่จะได้ใช้เป็นแนวทางในการ
นำไปสู่การจัดการเรียนการสอนให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดการศึกษา นักการศึกษาได้กล่าวถึง
ความหมายของหลักสูตรไว้ ดังน้ี
ทวีศักดิ์ บังคม (2550, น. 24) ได้กล่าวว่า หลักสูตร หมายถึง แผนหรือมวล
ประสบการณต์ า่ ง ๆ ทีโ่ รงเรียนจดั ให้นักเรียนทงั้ ภายในและภายนอกโรงเรยี น เพ่ือใชพ้ ัฒนาผู้เรียนให้มี
ความรู้ ความสามารถตามหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในทุก ๆ ด้าน โดยมีหลักการ จุดหมาย
โครงสร้างของหลักสูตร มาตรฐานการเรียนรู้ เวลาเรียนและการจัดหลักสูตรที่เหมาะสมและมี
ประสทิ ธิภาพ
พิสณุ ฟองศรี (2550, น. 134 - 135) กล่าวว่า หลักสูตร หมายถึง การวางแผนหรือ
จัดระบบทางการศึกษาเกี่ยวกับประมวลวิชาประสบการณ์ต่าง ๆ การจัดการเรียนการสอน เพื่อเป็น
แนวทางสำหรับการปฏิบัติให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะต่าง ๆ ที่พึงประสงค์ตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
โดยมอี งคป์ ระกอบทีส่ ำคญั 4 ประการ ดงั นี้

1. จดุ มงุ่ หมายหรือวตั ถุประสงค์ จุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ของหลักสูตร
เป็นการกำหนดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียนซึ่งจะกำหนดครบทั้ง 3 ด้าน คือ พุทธิพิสัย
จิตพสิ ัยและทักษะพิสยั อาจจะแบ่งเป็นจดุ มุ่งหมายหรอื วตั ถุประสงคท์ ว่ั ไปและเฉพาะหรอื ไม่แบง่ กไ็ ด้

2. เน้ือหาวชิ าหรือสาระการเรียนรู้ เป็นเน้ือหาสาระสำคัญหรือที่ต้องจัด
หรือทีจ่ ดั ไว้อย่างเปน็ ระบบ เพื่อเออ้ื ต่อการบรรลุจดุ มุ่งหมายของหลกั สตู ร

3. การนำหลกั สตู รไปใชห้ รือจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน การนำหลกั สตู ร
ไปใช้หรือจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นหน้าที่ของผู้สอนหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่จะต้องจัด
สว่ นประกอบตา่ งๆ เช่น คู่มือครู แผนการสอน หรือแผนการเรียนรู้ทีเ่ น้นผ้เู รยี นเป็นสำคัญ หนงั สือต่าง
ๆ เอกสาร สอื่ ตา่ ง ๆ ฯลฯ ในการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนเพอ่ื ใหห้ ลกั สตู รบรรลจุ ุดมงุ่ หมายได้

4. การประเมินผล การประเมินผลอาจแบ่งได้เป็น 2 ประการ คือการ
ประเมินคุณลักษณะผู้เรียนตามหลักสูตรในรายวิชาหรือกลุ่มสาระการเรียนรูต้ ่าง ๆ และการประเมิน
หลักสูตร

34

กระทรวงศึกษาธิการ (2551, น. 35) กล่าวว่า สถานศึกษามีหน้าที่สำคัญในการ
พัฒนา หลักสูตรสถานศึกษา วางแผนและดำเนินการใช้หลกั สูตร การเพิ่มพูนคุณภาพการใช้หลักสตู ร
ดว้ ยการวจิ ยั และพฒั นา การปรับปรงุ และพัฒนาหลักสตู ร จดั ทำระเบียบการวัดและประเมนิ ผลในการ
พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน
และรายละเอยี ดที่เขตพ้ืนทก่ี ารศึกษา หรอื หนว่ ยงานตน้ สังกัดอนื่ ๆ ในระดับท้องถิน่ ได้จัดทำเพิ่มเติม
รวมทั้งสถานศึกษาสามารถเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญา
ทอ้ งถิน่ และความตอ้ งการของผูเ้ รยี น โดยทกุ ภาคสว่ นเข้ามามสี ่วนร่วมในการพฒั นาหลักสูตร

สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน (2552, น. 9) กลา่ วถงึ การพฒั นาหลัก
สูตรสถานศึกษา ดังต่อไปน้ี

1. ศึกษาวิเคราะห์เอกสารหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 และ
หลักสูตร การศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2546 และกรอบสาระการเรียนรู้ที่พัฒนา โดยสำนักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษา

2. ศึกษาศลิ ปวัฒนธรรมของท้องถนิ่ และภมู ภิ าค ตลอดจนข้อมูลสารสนเทศ
เกย่ี วกบั สภาพปัญหา และความตอ้ งการของสงั คม ชุมชน และท้องถน่ิ

3. วิเคราะห์สภาพแวดล้อมและประเมินสถานภาพสถานศึกษา เพื่อร่วม
กำหนดวิสัยทัศน์ ภารกิจเป้าหมาย คุณลักษณะที่พึงประสงค์ โดยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย รวมท้ัง
คณะกรรมการสถานศกึ ษา

4. ศึกษามาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นของกลุ่มสาระหลักสูตรการศึกษาข้ัน
พื้นฐาน พ.ศ. 2544 หรือมาตรฐานการเรียนรู้ของกลุ่มสาระตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน
พืน้ ฐาน

5. จัดทำหลักสูตรสถานศึกษาที่สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางของ
กระทรวงศึกษาธิการ และกรอบสาระการเรียนรูท้ ้องถิ่นของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ปฏิบัติงาน
ตามระเบยี บ กระทรวงศกึ ษาธิการ วา่ ดว้ ยคณะกรรมการบริหารหลักสูตรและงานวิชาการสถานศึกษา
ขัน้ พ้ืนฐาน

6. ขอความเห็นชอบใช้หลักสูตรสถานศึกษาจากคณะกรรมการสถานศึกษา
ขัน้ พ้ืนฐาน

7. การบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาตามแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้
หลักสตู ร สถานศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พ.ศ. 2544

7.1 การจดั สาระการเรียนรู้
7.2 การกำหนดค่านำ้ หนกั และเวลาเรยี นชว่ งชน้ั ที่ 1 – 3

35

7.3 การกำหนดรหสั วิชา
7.4 การกำหนดระดบั ผลการเรียน
8. การบูรณาการภายในและระหว่างสาระการเรียนรู้ การบูรณาการเฉพาะ
เร่อื งตามลักษณะสาระการเรียนรู้ การบูรณาการทสี่ อดคล้องกับวิถขี องผ้เู รยี น
9. ประเมินผลการใช้หลักสตู รและปรบั ปรงุ หลักสตู รให้มีคุณภาพย่ิงข้ึน
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553, น. 25) ได้กล่าวไว้ว่า หลักสูตรยังมีความหมายแตกต่างกัน
ตามผู้ใช้ คอื
1. ผู้บริหารสถานศึกษา ได้ให้ความหมายของหลักสูตรไว้ว่าเป็นการจัด
ประสบการณ์ ทั้งมวลในสถานศึกษาให้กับผู้เรียน เพื่อผู้เรียนมีความรู้ ความหมายในการประกอบ
อาชพี และดำรงชวี ิต
2. ผสู้ อนจะใหค้ วามหมายของหลกั สูตร ในลกั ษณะเปน็ การจัดการเรียนการ
สอนทีว่ างแผนไว้กบั การสอนของครู และประสบการณจ์ ะเกิดขน้ึ ได้จากการเรยี นรูข้ องนักเรียน
3. ผู้เรียนจะให้ความหมายของหลักสูตรในสิ่งที่ผู้เรียนต้องรู้ ต้องเรียนตาม
สถานศึกษากำหนดตามทีค่ รสู อน
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553, น. 41) กล่าวว่า การพัฒนาหลักสูตรเป็นเรื่องที่
ต้องการการตัดสินใจหลายขั้นตอน ตั้งแต่การเร่ิมตั้งวัตถุประสงค์ทั่วไป และวัตถุประสงค์เฉพาะ การ
เลือกเนื้อหาให้ตรงและครอบคลุม ชนิดของประสบการณ์การเรียนรู้ที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิชา และ
วตั ถปุ ระสงค์ และท้ายสุดคือวิธกี ารประเมนิ ผลของการเรียนรู้
สนั ติ บญุ ภริ มย์ (2553, น. 53) กล่าวว่า การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง ความพยายาม
ของผู้บริหารสถานศึกษาและคณะครู อาจารย์ได้ร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงปรับปรุงหลักสูตรการเรียน
การสอนให้เหมาะแก่การเปลีย่ นแปลงของบริบททางสงั คม ทั้งปัจจุบนั และแนวโน้มในอนาคต เพื่อให้
ผู้เรียนและผู้ท่ีเก่ยี วขอ้ งไดเ้ กิดความเชอ่ื มนั่ ในการจัดการเรยี นการสอนในสถานศกึ ษานน่ั
ภารดี อนันต์นาวี (2557, น. 282) กล่าวว่า การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษามีแนว
ทางการปฏบิ ตั ิ ดังตอ่ ไปน้ี
1. ศึกษาวิเคราะห์เอกสารหลักสูตรสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช
2554 สาระแกนกลางของกระทรวงศึกษาธิการ ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับสภาพปัญหา และความ
ต้องการของสังคม ชมุ ชน และทอ้ งถิน่
2. วิเคราะหส์ ภาพแวดล้อมและประเมนิ สถานภาพสถานศึกษา เพอื่ กำหนด
วิสัยทัศน์ ภารกิจ เป้าหมาย คุณลักษณะที่พึงประสงค์ โดยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย รวมทั้ง
คณะกรรมการ สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน

36

3. จัดทำโครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษาและสาระต่าง ๆ ที่กำหนดให้มีใน
หลักสตู ร สถานศกึ ษา ท่ีสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ เปา้ หมาย และคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ โดยพยายาม
บรู ณาการ เน้อื หาสาระทั้งในกลุ่มสาระการเรยี นรู้เดยี วกนั และระหว่างกล่มุ สาระการเรียนรู้ตามความ
เหมาะสม

4. นำหลักสูตรไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน และบริหารจัดการใช้
หลักสตู รให้เหมาะสม

5. นิเทศการใชห้ ลกั สูตร
6. ตดิ ต ามและประเมินผลการใชห้ ลกั สูตร
7. ปรับปรงุ และพัฒนาหลักสูตรตามความเหมาะสม
นุชรี เนียมรัตน์ (2562, น. 22) หลักสูตรและการนำหลักสูตรไปใช้ หมายถึง การนำ
แผนการที่สถานศึกษา จัดให้แก่ผู้เรียนและสถานศึกษาไปปฏิบัติ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้ บรรลุ
จุดมุ่งหมายทห่ี ลกั สูตรกำหนด
สรปุ ได้ว่า หลักสูตรและการนำหลักสตู รไปใช้ หมายถึง การศึกษาวเิ คราะห์หลักสูตร
การศึกษาขั้นพื้นฐาน จัดทำโครงสรา้ งหลักสูตรและสาระต่าง ๆ ที่กำหนดให้มใี นหลักสูตรสถานศึกษา
มกี ารประเมินการใช้หลักสตู รและนำผลการประเมนิ มาพัฒนาหลักสตู รอยา่ งตอ่ เน่ือง

2. ดา้ นการจัดการกจิ กรรมการเรยี นการสอน
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2552, น. 10 - 11) กล่าวถึงการจัด
กระบวนการเรยี นรู้ ดังต่อไปน้ี

1. จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมตามสาระและหน่วยการ
เรียนรูแ้ บบบรู ณาการโดย

1.1 วิเคราะหห์ ลักสตู รและเน้ือหาสาระ
1.2 มาตรฐานการเรียนรู้
1.3 ผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง
1.4 ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและ
จดั เตรียมสอ่ื การเรียนรทู้ ่ีเหมาะสมกบั ผู้เรยี นและค่มู อื การปฏิบัตงิ านข้าราชการครู
2. จัดกระบวนการเรียนรูใ้ ห้ยืดหยุ่นตามความเหมาะสม โดยจัดเนอ้ื หาสาระ
และกิจกรรม ให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดของผู้เรียน ตลอดจนผู้ที่มีความสามารถพิ เศษ
และผู้ที่มีความบกพร่องหรือด้อยโอกาส โดยฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญ

37

สถานการณ์ การประยุกต์ใช้ความรู้ เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้จาก
ประสบการณ์จรงิ และการปฏิบตั ิจรงิ สรา้ งสถานการณต์ ัวอย่าง

3. ส่งเสริมใหผ้ ู้เรยี นรักการอ่านและใฝ่รู้อยา่ งต่อเนื่องการผสมผสานความรู้
ตา่ ง ๆ ให้สมดุลกัน

4. ปลูกฝังผู้เรียนให้มีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่ดีงามมีคณุ ลกั ษณะทีพ่ ึง
ประสงค์ สอดคล้องกบั เน้อื หาสาระกจิ กรรม

5. จัดบรรยากาศ ส่งิ แวดลอ้ ม แหล่งเรยี นรู้ใหเ้ ออื้ ต่อการเรยี นรู้
6. นำภูมิปัญญาท้องถิ่นและประสานความร่วมมือเครือข่ายผู้ปกครอง
ชุมชน ท้องถิ่น เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอนตามความเหมาะสม เพื่อร่วมกันพัฒนา
ผู้เรยี นตามศักยภาพ
7. จัดให้มีการนิเทศการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ โดย
เป็นการนิเทศ ท่ีร่วมมือชว่ ยเหลอื กันแบบกัลยาณมิตร นิเทศแบบเพ่อื นชว่ ยเพ่ือน เพือ่ พัฒนาการเรียน
การสอนรว่ มกนั ของบคุ ลากรภายในสถานศึกษา
8. ส่งเสริมให้ใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ (การวิจัยใน
ชั้นเรยี น)
9. ส่งเสริมให้ครูได้รับการพัฒนา วิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้อย่าง
หลากหลาย และต่อเนือ่ ง เพอื่ พฒั นากระบวนการเรยี นรู้ตามความเหมาะสม
10. จัดกิจกรรมพัฒนาผเู้ รยี น ได้แก่
จัดกิจกรรมแนะแนว โดย 1) จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์การจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ 2) จดั ทำแผนการจัดการเรยี นร้แู บบบันทึก และจดั ทำสื่อ 3) ให้คำปรกึ ษาการแก้ไขข้อบกพร่อง
และพฒั นาตนเอง 4) ใหค้ ำปรึกษาการศึกษาตอ่ และแนะนำอาชีพ
จัดกิจกรรมนักเรียนโดย 1) สนับสนุนเก้ือกูลตามกลุ่มสาระการเรียนรู้เช่น
โครงงาน เป็นต้น 2) ส่งเสริมความถนัด ความสนใจ ความสามารถ ความต้องการของผู้เรียน เช่น
ชมรมทางวิชาการ 3) ส่งเสริมการทำประโยชน์ต่อสังคม เช่น กิจกรรมลูกเสือ ยุวกาชาด 4) ส่งเสริม
การฝึกทำงานทเี่ ป็นประโยชน์ต่อตนเองและสว่ นรวม 5) จัดกจิ กรรมการเรียนรู้และจัดหาวัสดุอุปกรณ์
6) จดั ทำแผนการจดั กิจกรรม แบบบนั ทึกรายงานผล
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553, น. 94) กล่าวว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ทฤษฎีการเรียนแบ่งเป็นทฤษฎีหลัก 4 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
ทฤษฎีความรูค้ วามเข้าใจ ทฤษฎขี องกลมุ่ มนุษยนิยม และทฤษฎีผสมผสาน


Click to View FlipBook Version