The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต 2565
นายจิรพงศ์ ไมตรีจิตร นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยหาดใหญ่

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by จิรพงศ์ ไมตรีจิตร, 2022-04-10 11:42:21

การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา

การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต 2565
นายจิรพงศ์ ไมตรีจิตร นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยหาดใหญ่

38

กระทรวงศึกษาธิการ (2553, น. 15 – 16) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 นั้นจะตอ้ งใช้กระบวนการเรียนรู้ทห่ี ลากหลาย เพ่ือ
เป็นเครื่องมือพัฒนาผู้เรียนไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร ซึ่งครูผู้สอนจะต้องรู้และเข้าใจแนวคิดการ
จัดการเรียนรู้และผลที่เกิดกับผู้เรียน แล้วนำมาจัดการเรียนรู้ให้เอ้ือต่อการพัฒนาของผู้เรียน ตาม
หลักสตู รกระบวนการเรยี นร้ดู ังกล่าว ไดแ้ ก่

1. กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ
2. กระบวนการสรา้ งความรู้
3. กระบวนการคดิ
4. กระบวนการทางสังคม
5. กระบวนการเผชญิ สถานการณ์ และแก้ปญั หา
6. กระบวนการเรยี นรจู้ ากประสบการณจ์ รงิ
7. กระบวนการปฏบิ ัติ
8. กระบวนการจัดการ
9. กระบวนการวจิ ยั
10. กระบวนการเรยี นรูข้ องตนเอง
11. กระบวนการพฒั นาลกั ษณะนิสัย ฯลฯ
ภารดี อนันตน์ าวี (2557, น. 282) กลา่ ววา่ การพฒั นากระบวนการเรยี นรู้มีแนวทาง
การปฏบิ ตั ิดังตอ่ ไปนี้
1. ส่งเสริมให้ครจู ัดทำแผนการจัดการเรยี นรตู้ ามสาระและหนว่ ยการเรียนรู้
โดยเน้น ผู้เรียนเป็นสำคญั
2. ส่งเสริมให้ครูจดั กระบวนการเรียนรู้ โดยจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้
สอดคล้อง กับความสนใจ ความถนัดของผู้เรียน ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญ
สถานการณ์ การประยุกต์ใชค้ วามรูเ้ พ่ือป้องกนั และแก้ไขปญั หา การเรียนรูจ้ ากประสบการณ์จรงิ และ
การปฏิบตั ิจรงิ การส่งเสรมิ ให้รักการอ่านและใฝ่รู้อย่างต่อเน่ือง การผสมผสานความรู้ตา่ ง ๆ ให้สมดุล
กัน ปลูกฝัง คุณธรรม ค่านิยมที่ดีงาม และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่สอดคล้องกับเนื้อหาสาระ
กจิ กรรม ทัง้ นี้ โดยจัดบรรยากาศและส่ิงแวดล้อมและแหล่งเรียนรู้ใหเ้ อื้อต่อการจดั กระบวนการเรียนรู้
และการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือเครือข่ายผู้ปกครอง ชุมชน ท้องถิ่นมามีส่วนร่วมในการจัดการเรียน
การสอน ตามความเหมาะสม

39

3. จัดใหม้ ีการนิเทศการเรยี นการสอนแก่ครูในกลุม่ สาระตา่ ง ๆ โดยเนน้ การ
นิเทศที่ร่วมมือช่วยเหลือกันแบบกัลยาณมิตร เช่น นิเทศแบบเพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อพัฒนาการเรียน
การสอน ร่วมกัน หรือแบบอ่ืน ๆ ตามความเหมาะสม

4. ส่งเสริมให้มีการพัฒนาครู เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ตามความ
เหมาะสม

ปรศิ นา สีเงินงาน (2559, น. 16) กลา่ วไวว้ า่ การพฒั นากระบวนการเรียนรู้เป็นการ
ส่งเสริมให้ครูจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้และจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับผู้เรียน โดยจัด
เน้ือหาสาระและกิจกรรมให้ผู้เรียนฝึกทักษะกระบวนการคิดในทุกกลุ่มสาระ การปลูกฝังคุณธรรม
ค่านิยมท่ีดีงามและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่สอดคล้องกับเนื้อหาสาระกิจกรรม การจัดบรรยากาศ
และสิ่งแวดล้อมและแหล่งเรียนรู้ให้เอื้อต่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ การนำภูมิปัญญาท้องถ่ินหรือ
เครอื ข่ายผู้ปกครอง ชุมชน ทอ้ งถ่ินมามีสว่ นร่วมในการจัดการเรยี นการสอนตามความเหมาะสม

ธัญดา ยงยศยิ่ง (2560, น. 42) กล่าวไว้ว่า การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ หมายถึง
การเน้นให้มีการจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและค วามถนัดของผู้เรียน
สนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง เน้นให้มีการจัดการเรียนการ
สอนแบบบูรณาการ ปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ภายใต้
บรรยากาศสภาพแวดลอ้ มท่เี ออ้ื ต่อการเรยี นรู้

นุชรี เนียมรัตน์ (2562, น. 24) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน หมายถึง
กระบวนการการจดั การเรียนรู้ให้เหมาะสมกบั ศักยภาพและความต้องการของผู้เรียน การจัดกิจกรรม
การเรียนการสอนนั้น ครูต้องยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ และครูมีวิธีการเรียนการสอนที่หลากหลายเพื่อให้
นกั เรียนมคี วามรู้ ความคิด ทกั ษะตามจดุ มุ่งหมาย และมีการพัฒนาวิธีการสอนอย่างต่อเนอื่ ง

สรุปไดว้ า่ การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ หมายถงึ การวางแผนและส่งเสริมให้ครูจัด
กระบวนการเรยี นรู้ โดยจัดเน้ือหาสาระและกิจกรรมใหส้ อดคล้องกับความสนใจ ความถนัดของผู้เรียน
เปน็ สำคญั โดยสอดคล้องกับบรบิ ทสงั คม

3. ด้านการพัฒนาสื่อและการนำไปใช้
สถานศึกษา เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สำคัญของผู้เรียน เพราะเป็นองค์ประกอบ
ในการทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามหลักสูตร มีการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้พัฒนา
ตามธรรมชาติ และเต็มตามศักยภาพ ซึ่งมาตรา 24 ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าในการจัดกระบวนการเรียนรู้ สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควร
ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความ

40

สะดวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน
จากสอื่ การเรยี นการสอน และแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ ในสถานศึกษา

กระทรวงศึกษาธิการ (2551, น. 27) กล่าวว่า สื่อการเรียนรู้เป็นเครื่องมือส่งเสริม
สนบั สนุนการจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเข้าถึงความรู้ ทักษะกระบวนการและคุณลักษณะ ตาม
มาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ สื่อการเรียนรู้มีหลากหลายประเภท ทั้งสื่อ
ธรรมชาติ สอื่ ส่ิงพมิ พ์ ส่ือเทคโนโลยี และเครอื ข่ายการเรียนรู้ต่าง ๆ ทมี่ ใี นท้องถิ่น การเลือกใช้ส่ือควร
เลือกให้มคี วามเหมาะสมกบั ระดับพฒั นาการ และลีลาการเรยี นรทู้ ่ีหลากหลายของผ้เู รียน

สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน (2552, น. 32) กล่าวถงึ การพัฒนาสื่อ
นวัตกรรม และเทคโนโลยเี พอ่ื การศกึ ษา ดังต่อไปนี้

1. ศึกษา สำรวจ วิเคราะห์สภาพปัญหา การจัดหา การเลือก การใช้ และ
การประเมนิ คณุ ภาพส่อื นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพ่ือใชจ้ ัดการเรยี นการสอนและการ
บริหารงานวชิ าการของสถานศึกษา ในทกุ กลมุ่ สาระการเรียนรู้สำหรับเดก็ ปกตแิ ละเดก็ พิการเรยี นรว่ ม

2. จัดหาสื่อและเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างหลากหลาย เพื่อใช้ในการเรียน
การสอนและการพฒั นางานดา้ นวชิ าการ

3. เลือกใช้สื่อและเทคโนโลยีที่ผ่านการประเมินคุณภาพทางวิชาการ
จากคณะกรรมการของสถานศึกษา คณะกรรมการของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและหรือ
กระทรวงศกึ ษาธิการแลว้ โดยดำเนินการคัดเลอื กในรูปของคณะกรรมการและประเมนิ การใช้ส่ืออย่าง
สม่ำเสมอ

4. ผลิต พัฒนาสื่อ นวัตกรรมการเรียนการสอน รวมทั้งประเมินคุณภาพสื่อ
เพ่อื เลือกประกอบการเรยี นการสอนทกุ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้

5. มีส่วนร่วมในการพัฒนาศูนย์สื่อนวัตกรรม เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาใน
สถานศึกษา

6. ประสานความร่วมมือในการผลิต จัดหา พัฒนา และแลกเปลี่ยนการใช้
สื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาที่ทันสมัย สำหรับใช้จัดการเรียนการสอนและพัฒนางาน
ด้านวิชาการ กับสถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษา ผู้ปกครอง องค์กรในท้องถิ่น รวมทั้งหน่วยงานและ
สถาบนั อนื่ ๆ

7. ประเมินผลการผลิต จัดหา พัฒนาและใช้สื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยี
เพ่ือการศกึ ษาอยา่ งตอ่ เนื่อง

41

8. เผยแพร่สื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อการศึกษาที่ครผู ลิตและพัฒนา
ให้เพื่อนครู สถาบันการศึกษา ทั้งภายในและภายนอกเขตพื้นที่การศึกษาได้ใช้ประโยชน์ต่อการเรียน
การสอน และการพัฒนาวชิ าชีพครูอย่างมปี ระสิทธิภาพ

สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา (2553, น. 38 – 40) กลา่ วถงึ ความสำคัญของ
สื่อการเรียนรู้ว่า สื่อมีบทบาทสำคัญที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยสื่อทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้
ความเข้าใจ ความรู้สึกและเพิ่มพูนทักษะประสบการณ์ให้ผู้เรียน ปัจจุบันสื่อการเรียนรู้มีอิทธิพลสูง
ต่อการกระตุน้ ให้ผู้เรียนเปน็ ผแู้ สวงหาความร้ดู ้วยตนเองจนเกิดการพัฒนาด้านตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่

1. ความรู้ สื่อการเรียนรู้ช่วยให้ผู้เรียนได้รับความรู้เชิงเนื้อหา ส่งเสริม
การศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อเชื่อมโยงความรู้ใหม่ที่ได้เข้ากับประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ และ
สามารถนำไปใช้ ในชวี ติ ประจำวนั ได้เป็นอย่างดี

2. ทกั ษะ สือ่ การเรียนร้ชู ว่ ยเสริมทักษะด้านตา่ ง ๆ ให้กับผ้เู รยี น
3. คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม สื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ ช่วยส่งเสริมให้
ผู้เรียนรักการเรียนรู้ เห็นคุณค่าในตนเอง มีจิตสำนึกและค่านิยมที่ดีงาม จำแนกประเภทของสื่อการ
เรยี นรู้ จำแนกตามลักษณะไดด้ ังนี้
สื่อสิ่งพิมพ์ หมายถึง หนังสือและเอกสารสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ เช่น นิตยสาร
วารสาร ตำรา หนงั สอื เรยี น แผ่นพับ โปสเตอร์ ภาพพลกิ เป็นต้น
สื่อเทคโนโลยี หมายถึง สื่อการเรียนรู้ที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ควบคู่กับเครื่องมือ
โสตทัศนวัสดุ หรือเครื่องมือที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงการใช้อินเทอร์เน็ต การศึกษาผ่าน
ดาวเทยี ม เปน็ ตน้
สื่ออื่น ๆ เช่น สื่อบุคคล รวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น สื่อธรรมชาติและ
สงิ่ แวดลอ้ ม ส่ือกิจกรรม กระบวนการ ส่ือวัสดุ เครอื่ งมือและอปุ กรณ์
การใช้สื่อการเรียนรู้ การใช้สื่อการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพจะก่อให้เกิด
ประสิทธผิ ลตอ่ ผูเ้ รยี น โดยครผู ้สู อนจะต้องดำเนนิ การดงั ตอ่ ไปนี้

1. การเตรยี มตวั ครูผ้สู อนให้มีความพร้อมในการใชส้ อ่ื การเรยี นรู้
2. เตรียมจัดสภาพแวดล้อม การใช้สื่อการเรียนรู้บางประเภท
ตอ้ งจดั ให้อยใู่ นสภาพ ทเ่ี หมาะสมกับสถานทห่ี รอื หอ้ งเรียนนน้ั ๆ
3. เตรียมความพร้อมของผู้เรียน ครูผู้สอนควรชี้แจงให้ผู้เรียนรู้
เป้าหมายของการเรียนรู้ โดยใช้สื่อนั้น ๆ เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีเป้าหมาย และมีความพร้อมใน
การเรียนรู้จากการเรียนรู้ จากสื่อนั้นหรือในกรณีที่ผู้เรียนต้องใช้สื่อด้วยตนเอง ครูผู้สอนต้องแนะนำ

42

วิธีการใช้สื่อน้ันด้วย ที่สำคัญจะต้องบอกว่าผู้เรียนต้องทำกิจกรรมอะไรบ้าง เพื่อจะได้เตรียมตัวได้
ถูกต้อง

4. ดำเนนิ การใชส้ ื่อการเรียนรู้ โดยขณะทจ่ี ดั กิจกรรมการเรียนการ
สอนนั้น ครผู ้สู อน ตอ้ งพจิ ารณาว่าผเู้ รียนมีปฏกิ ิริยาอย่างไร มีความตัง้ ใจและกระตือรือร้นในการเรียน
หรือไม่ เพราะปฏิกิริยาของผู้เรียนเป็นตัวชี้วัดได้ว่าสื่อมีความหมายเหมาะสมกับผู้เรียนและกิจกรรม
เพียงใด นอกจากนี้ควรมีการใช้เครื่องมือหรือวิธีการต่าง ๆ ที่จะตรวจสอบว่าสื่อการเรียนรู้มี
ประสทิ ธิภาพ หรอื ไมเ่ พยี งใด

5. ประเมินการใช้สือ่ การเรียนรู้ เป็นการนำข้อมลู จากการใช้ส่ือมา
วิเคราะห์ให้เกิด ความชัดเจนว่า มีอุปสรรคในการใช้สื่ออย่างไร มีความเหมาะสมกับกิจกรรมและ
ผูเ้ รยี นระดับใด การประเมินจะช่วยในการตัดสินใจเลือกใช้ส่ือการเรยี นรู้สำหรบั การจัดการเรียนรู้คร้ัง
ต่อ ๆ ไป หรอื ปรับปรุงเพ่อื พัฒนาเพิ่มเติมใหม้ ีความเหมาะสมยิ่งขึน้

ภารดี อนันต์นาวี (2557, น. 283) กล่าววา่ การพัฒนาสือ่ นวัตกรรมและเทคโนโลยี
เพอื่ การศึกษา มีแนวทางการปฏิบัติ ดังตอ่ ไปนี้

1. ศึกษา วิเคราะห์ ความจำเป็นในการใชส้ ือ่ และเทคโนโลยีเพื่อการจัดการ
เรยี น การสอน และการบริหารงานวิชาการ

2. สง่ เสรมิ ให้ครผู ลิต พฒั นาสอื่ และนวตั กรรมการเรียนการสอน
3. จัดหาสื่อและเทคโนโลยีเพ่ือใช้ในการจัดการเรียนการสอนและการ
พฒั นางาน ด้านวชิ าการ
4. ประสานความร่วมมือในการผลิต จัดหา พัฒนาและการใช้สื่อนวัตกรรม
และเทคโนโลยี เพื่อการจัดการเรียนการสอนและการพัฒนางานวิชาการกับสถานศึกษา บุคคล
ครอบครัว องค์กร หนว่ ยงานและสถาบันอื่น
5. การประเมินผลการพัฒนาการใช้สื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อ
การศึกษา
สชุ าดา ถาวรชาติ (2559, น. 67) กลา่ วว่า งานสื่อนวตั กรรม และเทคโนโลยีทางการ
ศึกษาหมายถึง วัสดุ อุปกรณ์ สิ่งต่าง ๆ ที่ผู้สอนและผู้เรียน นำมาใช้ในระบบการเรียน เพื่อช่วยให้
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงวิธีการ
ความคิดและการกระทำใหม่ ๆ ที่ใช้ในการแก้ปัญหาการจัดการศึกษา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพือ่
สง่ เสริมให้เกิดการเรยี นการสอนท่ีมปี ระสิทธิภาพมากย่ิงข้ึน
จตุรภัทร ประทุม (2559, น. 47) กล่าวว่า การพัฒนาส่ือนวัตกรรมและเทคโนโลยี
หมายถงึ การพัฒนาส่ือนวตั กรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา นำมาใช้ในการจดั การเรยี นการสอนให้

43

ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามจุดประสงค์ท่ีได้กำหนดไว้
และเหมาะสมกับผเู้ รียน

นชุ รี เนียมรตั น์ (2562, น. 24) การพฒั นาสื่อและการนำไปใช้ หมายถึง ส่ิงประดิษฐ์
กระบวนการกิจกรรม เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาให้ผู้เรียนใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และนำไปใช้การ
ประเมินปฏบิ ัตกิ ารในระบบได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ โดยการสนับสนนุ สง่ เสรมิ ของโรงเรยี นและชมุ ชน

สรุปได้ว่า การพัฒนาสื่อและการนำไปใช้ หมายถึง การจัดหาและพัฒนาการใช้สื่อ
นวัตกรรมและเทคโนโลยเี พ่ือการจัดการเรียนการสอนและสง่ เสริมให้ครูผลติ และพัฒนานวัตกรรมทาง
การศกึ ษา และประเมินผลการพฒั นาการใชส้ อ่ื นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพ่อื การศึกษา

4. ดา้ นการวัดผลและประเมนิ ผล
การวัดผลประเมินผลเป็นกระบวนการสำคัญกระบวนการหนึ่งของการจัดการศกึ ษา
เพราะทำใหท้ ราบถึงการจดั การเรยี นการสอนวา่ มปี ระสทิ ธิภาพมากน้อยเพยี งใด ท้ังยงั แสดงใหเ้ หน็ ถึง
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนว่า บรรลุจุดประสงค์ของบทเรียนในรายวิชานั้น ๆ หรือไม่
โดยทั่วไปแล้วครูสามารถวัดผลประเมินผลการเรียนการสอนได้หลายแบบ เช่น การทดสอบ
การสงั เกต การสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และการปฏิบัติงานของนกั เรียน
กระทรวงศึกษาธิการ (2551, น. 28 – 34) กล่าวว่า การวัดผลและประเมินผลการ
เรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนหลักการพื้นฐานสองประการ คือ การประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนและเพื่อ
ตัดสินผลการเรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ประสบผลสำเร็จนั้น ผู้เรียนจะต้อง
ได้รับการพัฒนาและประเมินตามตัวชี้วัดเพื่อให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ สะท้อนสมรรถนะ
สำคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการวัดและประเมินผล
การเรียนรู้ในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นระดับชั้นเรียน ระดับสถานศึกษา ระดับเขตพื้นที่ การศึกษา
ระดับชาติ การวัดผลและประเมินผลการเรียนรูเ้ ป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพผู้เรยี น โดยใช้ผลการ
ประเมินเป็นข้อมูลและสารสนเทศที่แสดงพัฒนาการ ความก้าวหน้า และความสำเร็จ ทางการเรียน
ของผู้เรียน ตลอดจนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนา และเรียนรู้อย่าง
เต็มตามศักยภาพ สถานศึกษาสามารถเทียบโอนผลการเรียนของผู้เรยี นในกรณีตา่ ง ๆ ได้แก่ การย้าย
สถานศึกษา การเปลีย่ นรูปแบบการศึกษา การย้ายหลักสูตร การออกกลางคนั และการขอกลับเข้ารับ
การศึกษาต่อ การศึกษาจากต่างประเทศและขอเข้าศึกษาต่อในประเทศ นอกจากนี้ ยังสามารถเทียบ
โอนความรู้ ทักษะ ประสบการณ์จากแหล่งเรียนรู้อื่น ๆ เช่น สถานประกอบการ สถาบันศาสนา
สถาบนั การฝกึ อบรมอาชีพ การจดั การศึกษาโดยครอบครัว การเทยี บโอนผลการเรียน ควรดำเนินการ
ในชว่ งก่อนเปดิ ภาคเรยี นหรือต้นภาคเรยี น ท่ีสถานศึกษา รบั ผ้ขู อเทียบโอนเปน็ ผู้เรียน ทง้ั นี้ผู้เรยี นท่ีได้

44

เทียบโอนผลการเรียนต้องศึกษาต่อเนื่องในสถานศึกษา ที่รับเทียบโอนอย่างน้อย 1 ภาคเรียน
โดยสถานศึกษาที่รบั ผู้เรียนจากการเทียบโอน ควรกำหนดรายวิชา จำนวนหน่วยกิตที่จะรับเทียบโอน
ตามความเหมาะสม การพิจารณาการเทียบโอน สามารถพิจารณาได้ดงั ต่อไปน้ี

1. พิจารณาจากหลักฐานการศึกษาและเอกสารอื่น ๆ ที่ให้ข้อมูลแสดง
ความรู้ ความสามารถของผเู้ รียน

2. พิจารณาความรูค้ วามสามารถของผูเ้ รียนโดยการทดสอบดว้ ยวิธีการต่าง
ๆ ทั้งภาคความรแู้ ละภาคปฏิบัติ

3. พิจารณาจากความสามารถและการปฏิบัตใิ นสภาพจริง
การเทียบโอนผลการเรียนให้เป็นไปตามประกาศหรือแนวปฏิบัติของ
กระทรวงศึกษาธิการ สำหรับการเทียบโอนเข้าสู่การศึกษาในระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ให้ดำเนินการตามแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเทียบโอนผลการเรียน เข้าสู่การศึกษาในระบบระดับ
การศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2552, น. 18 – 21) กล่าวถึง
การวดั ผลและประเมนิ ผลและเทยี บโอนผลการเรียน ดังต่อไปน้ี

1. การกำหนดระเบยี บวัดผลและประเมินผล
1.1 ร่วมเป็นคณะกรรมการจัดทำระเบียบวัดผลและประเมินผล

โดยการมีสว่ นรว่ ม
1.2 พิจารณายกร่างระเบียบประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตร

แกนกลางการศึกษาของทกุ ฝา่ ยข้ันพ้นื ฐาน พ.ศ. 2544
1.3 ประชาพจิ ารณโ์ ดยผู้เกย่ี วข้องทุกฝา่ ย
1.4 เสนอคณะกรรมการสถานศึกษาให้ความเหน็ ชอบ
1.5 ประกาศใช้ระเบียบ
1.6 ปรับปรุง พัฒนาแก้ไขให้เหมาะสมสอดคล้องกับเหตุการณ์

ทเ่ี ปลยี่ นแปลง
2. ภารกิจการวดั ผลและประเมนิ ผลการเรยี นรู้
2.1 การประเมินผลการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่ม

สาระ
2.1.1 ครูผู้สอนเป็นผู้ประเมินและตัดสินผลการเรียนเป็น

รายวชิ า โดยประเมนิ ตามผลการเรยี นรทู้ คี่ าดหวัง (มาตรฐานชน้ั ปี)

45

2.1.2 ดำเนินการประเมินผลก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบ
และปรบั ปรงุ พ้นื ฐานของผ้เู รียน

2.1.3 ประเมินผลระหว่างเรียน หลังการเรียน และ
ปลายปเี พ่อื นำผลไปตัดสิน

2.1.4 เลือกวิธีการประเมิน เครื่องมือการประเมินอย่าง
หลากหลายเน้นการประเมนิ สภาพจริง ครอบคลมุ สาระและเหมาะสมกบั ธรรมชาตขิ องผ้เู รยี น

2.1.5 ซ่อมเสริม ปรับปรุงแก้ไขผลการเรียนของผู้เรียนท่ี
ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน และสง่ เสริมผู้เรียนทผ่ี า่ นเกณฑ์การประเมินให้พัฒนาการประเมินให้พัฒนา
สงู สุดเต็มความสามารถ

2.1.6 การตัดสินการผ่านรายวิชาตามเกณฑ์การผ่านผล
การเรียนรู้ที่คาดหวัง (มาตรฐานชั้นปี) ที่กำหนด และประเมินให้ระดับผลการเรียนจากคะแนนการ
ประเมนิ การผา่ น ผลการเรยี นท่คี าดหวังทุกข้อรว่ มกนั

2.1.7 จัดการเรียนซ่อมเสริมและเรียนรายวิชาที่ไม่ผ่าน
การตัดสินผลการเรียน และให้ประชุมพิจารณาให้ผู้เรียนที่มีผลการเรียนทุกรายวิชามีระดับการเรียน
เฉลยี่ ไม่ถงึ “1” ใหเ้ รียน ซำ้ ช้ัน

2.1.8 ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้อนุมัติผลการประเมิน
และตดั สินผลการเรียน

2.2. การประเมนิ กจิ กรรมพฒั นาผ้เู รยี น
2.2.1 ครูผู้ควบคุมกิจกรรมเป็นผู้ประเมินและตัดสิน

กจิ กรรมพฒั นาผ้เู รยี นเปน็ รายกจิ กรรม
2.2.2 ประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนใน 2 ด้าน คือ การ

ผ่านจุดประสงค์ของ กิจกรรม และการมีส่วนร่วมในกจิ กรรม โดยพิจารณาจากจำนวนเวลาเรียนทีเ่ ขา้
รว่ มกจิ กรรม

2.2.3 ตัดสินผลการปฏิบัติกิจกรรมเป็น 2 ระดับ คือ ผ่าน
และไม่ผ่าน โดยผู้ได้รับ การตัดสนิ ใหผ้ า่ นจะตอ้ งผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ท้ัง 2 ด้าน

2.2.4 ประเมินและตัดสินกิจกรรมการผ่านช่วงชั้นตาม
เกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด (ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้อนุมัติผลการประเมินและตัดสินการปฏิบัติ
กิจกรรมพฒั นาผู้เรียน)

2.3 การประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์

46

2.3.1 ร่วมเป็นคณะกรรมการพัฒนาและประเมิน
คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงคข์ อง สถานศึกษาจากผู้เกยี่ วขอ้ งทุกฝา่ ย

2.3.2 กำหนดคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ของสถานศึกษา
2.3.3 กำหนดแนวการดำเนินการเป็นรายคุณธรรม โดย
ประเมนิ ทัง้ ในหอ้ งเรียน
2.3.4 ดำเนนิ การประเมินและสรปุ ผลเป็นรายปี
2.3.5 การประเมินให้ผู้เรียนทราบและปรับปรุงแก้ไข
ขอ้ บกพรอ่ ง
2.3.6 ประเมินผ่านช่วงชั้นตามเกณฑ์ที่สถานศึกษา
กำหนด
2.4 การประเมนิ การอ่าน คิดวิเคราะหแ์ ละเขยี น
2.4.1 ร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารหลักสูตรและ
วิชาการกำหนดมาตรฐาน เกณฑ์แนวทางการประเมิน และการซ่อมเสริมผู้เรียนที่ไม่ผ่านการ
ประเมินผลชว่ งช่นั
2.4.2 ประกาศแนวทางและวธิ กี ารประเมิน
2.4.3 แตง่ ตัง้ คณะกรรมการประเมิน
2.4.4 ดำเนินการประเมินปลายปแี ละประเมินผา่ นช่วงช้ัน
2.4.5 ผู้บรหิ ารอนมุ ัตผิ ลการประเมนิ
2.5 การประเมินผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนระดับชาติ
2.5.1 เตรียมตัวผู้เรียนให้มีความพร้อมที่จะรับการ
ประเมนิ
2.5.2 เตรียมตัวบุคลากร สถานที่ และอำนวยความ
สะดวกในการรบั การประเมนิ
2.5.3 สร้างความตระหนัก ความเข้าใจ และความสำคัญ
แก่ครแู ละผเู้ รยี น
2.5.4 นำผลการประเมินมาพัฒนาปรับปรุงคุณภาพการ
จดั การศึกษาของ
3. การพฒั นาเคร่อื งมือวดั ผลและประเมนิ ผล
3.1 เข้ารับการอบรมพัฒนาการจัดสร้างเครื่องมือวัดผลและ
ประเมินผล เพ่อื ให้ครไู ดม้ ี ความรคู้ วามเข้าใจ

47

3.2 จัดสร้างเครอ่ื งมือวัดผลและประเมนิ ผลใหส้ อดคลอ้ งกับผลการ
เรียนท่คี าดหวัง (มาตรฐานชัน้ ป)ี สาระการเรียนรกู้ จิ กรรมการเรยี นรู้และสภาพผเู้ รียน

3.3 นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการสร้างเครื่องมือและใช้เป็น
เครืองมือวัดผลและประเมนิ ผล

3.4 พฒั นา ปรับปรุงให้มคี ุณภาพและมาตรฐาน
4. งานทะเบยี น

4.1 ดำเนินการลงทะเบียน กรอกข้อมูลประวัติของนักเรียนใน
ทะเบียนตามระเบียบ

4.2 ออกเลขประจำตัวใหก้ ับนักเรยี นใหมท่ กุ คน
4.3 รับมอบตัวนักเรียนและดำเนินงานเรื่องการย้ายเข้าและย้าย
ออกของนกั เรียน ในช่วงระหว่างปีการศกึ ษา
4.4 สำรวจรายชือ่ นักเรยี นทุกระดบั ชัน้ และจดั ทำรายชอ่ื ใหถ้ ูกต้อง
และเปน็ ปัจจบุ ัน
4.5 การจัดทำรายงานขอ้ มลู สถิตเิ กีย่ วกบั จำนวนนกั เรยี น
4.6 ประสานงานกับกลุ่มที่ดูแลนักเรียน เพื่อแจ้งการเปลี่ยนแปลง
รายชื่อ/จำนวน
4.7 ดำเนินการด้านการย้าย ลาออก การเปลี่ยนแปลงทะเบียน
นกั เรียน
4.8 งานเกี่ยวกับการจัดทำ ขออนุมัติและรายงานผลการเรียนของ
นกั เรยี น
4.9 งานเกี่ยวข้องกับการจัดทำ และบริการเอกสาร หลักฐาน
ทางการเรียนของนักเรียน เช่น หลักฐานผลการเรียน ประกาศนียบัตร รวมทั้งหนังสือรับรองผลการ
เรียนทกุ ประเภท
4.10 ตรวจสอบความผูกพันของนักเรียนต่อฝ่ายหมวดงานอื่น ๆ
ก่อนออกหลกั ฐาน ทางการเรียนให้
4.11 งานเก็บรักษาและรวบรวมสถิติข้อมูลผลการเรียนของ
นกั เรยี น รวมท้ังเผยแพร่ และรายงานผู้เกีย่ วข้องทราบ
4.12 เก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับโปรแกรมการพัฒนาระบบการ
จดั การเรียน
4.13 งานอื่น ๆ ท่เี กีย่ วขอ้ งหรอื ทีไ่ ด้รบั มอบหมาย การสอน OBEC

48

5. การเทียบโอนผลการเรยี น
5.1 ประสานการจดั การวดั ผลและประเมินผลระดบั สถานศึกษา
5.1.1 แต่งตั้งคณะกรรมการเทียบโอนผลการเรียน จัดทำ

มาตรฐาน กรอบและ เกณฑ์การประเมิน เพื่อการเทียบโอนผลการเรียนของสถานศึกษาคู่มือการ
ปฏิบัติงานขา้ ราชการครู

5.1.2 จดั ทำแผนการวดั ผลและประเมินผล สร้างเครอ่ื งมือ
แบบฟอร์มตา่ งในการดำเนินการเทยี บโอน

5.1.3 จดั และดำเนนิ การใหเ้ ป็นไปตามมาตรฐาน
5.1.4 ประกาศผลการเทียบโอนผลการเรียน
5.2 เทียบโอนผลการเรียนจากการย้ายที่เรียนจากสถาน
ประกอบการจากพ้นื ฐานการประกอบอาชีพ
5.2.1 พิจารณาหลักฐานการศึกษาแสดงถึงความรู้
ความสามารถของผู้เรียน
5.2.2 พิจารณาจากความรู้และประสบการณ์ตรงจากการ
ปฏบิ ัตจิ ริง โดยการทดสอบ
5.2.3 จัดทำทะเบียนขอเทียบโอน ระเบียนผลการเรียน
และออกหลกั ฐานการเรยี น/ การเทยี บโอน
6. การตัดสินและอนุมัตผิ ลการเรยี นผา่ นชว่ งชน้ั
6.1 นายทะเบียนของสถานศึกษาตรวจสอบข้อมูลผลการเรียนของ
ผู้เรยี นทมี่ ีคณุ สมบัติครบถว้ นตามเกณฑ์การจบช่วงชั้นของสถานศกึ ษา
6.2 จัดทำบัญชีรายชื่อผู้เรียนท่ีจบช่วงชั้นพร้อมตรวจทานความ
ถูกต้องไมใ่ ห้มี ขอ้ ผิดพลาดใด ๆ ท้ังสน้ิ
6.3 เสนอคณะกรรมการบริหารหลักสูตรและวิชาการ เพื่อให้
เหน็ ชอบ
6.4 ผู้บริหารสถานศกึ ษาออกคำสั่งแตง่ ต้ังผู้จัดทำเอกสารรายงาน
ผสู้ ำเรจ็ การศึกษา (ปพ.3) ประกอบด้วย ผู้เขียน ผทู้ าน ผตู้ รวจ และมีนายทะเบียนเปน็ หัวหน้า
6.5 ผู้บริหารอนุมัติผลการเรียน โดยลงนามในเอกสารรายงาน
ผสู้ ำเร็จการศกึ ษา
6.6 จดั สง่ เอกสารให้หนว่ ยงานท่ีเก่ียวขอ้ ง
7. การออกหลักฐานแสดงผลการจบการศึกษา

49

7.1 การจัดทำเอกสารประเมินผลตามหลักสูตรการศึกษาขั้น
พื้นฐาน

7.1.1 ระเบยี นแสดงผลการเรียน (ปพ.1)
7.1.2 หลกั ฐานแสดงวฒุ กิ ารศกึ ษา (ปพ.2)
7.1.3 แบบรายงานผสู้ ำเรจ็ การศกึ ษา (ปพ.3)
7.1.4 แบบแสดงผลการพัฒนาคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
(ปพ.4)
7.1.5 เอกสารบันทึกผลการพฒั นาคุณภาพผู้เรยี น (ปพ.5)
7.1.6 เอกสารรายงานผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
รายบคุ คล (ปพ.6)
7.1.7 ใบรับรองผลการศึกษา (ปพ.7)
7.1.8 เอกสารระเบียนสะสม (ปพ.8)
7.1.9 สมุดบนั ทึกผลการเรียนรู้ (ปพ.9)
หนึ่งฤทัย หาธรรม (2553, น. 39) ได้ให้ความหมายการวัดผลและประเมินผล
หมายถึงกระบวนการสืบค้นคุณลักษณะของผู้เรียนโดยใช้เครื่องมือที่หลากหลายแล้วพิจารณา ตัดสิน
สรุปผลเกย่ี วกับคุณลักษณะของผูเ้ รยี นโดยใชผ้ ลจากการวดั
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553, น. 66) ให้ความหมายของการวัดผล
และประเมินผล ดังนี้ การวัด (Measurement) หมายถึง กระบวนการที่กำหนดจำนวนตัวเลขให้กับ
วัตถุสิ่งของ หรือบุคคลตามความมุ่งหมาย และเปรียบเทียบลักษณะที่มีความแตกต่างที่ปรากฏอยู่ใน
สิ่งที่วัด นั่น ๆ การประเมินผล (Evaluation) หมายถึง การพิจารณาตัดสินเกี่ยวกับคุณภาพ คุณค่า
ความจรงิ และการกระทำ บางทีขนึ้ อยกู่ ับการวัดเพยี งครั้งเดียว
สันติ บญุ ภิรมย์ (2553, น. 173) ใหค้ วามหมายของการวดั ผลและประเมนิ ผลไว้ ดังน้ี
การประเมินผล หมายถึง กระบวนการที่เกิดจากการนำข้อมูลที่ได้มาจากการวัดมาทำการพิจารณา
ตัดสินเป็นระบบอย่างครอบคลุมเพื่อหาข้อสรุปด้วยคุณธรรม การวัด หมายถึงการค้นหาคุณลักษณะ
ของบคุ คลหรือส่งิ ของต่าง ๆ โดยใชเ้ ครือ่ งมือวัดอยา่ งใดอย่างหน่ึงตาม ความเหมาะสม เพ่ือให้ได้มาซึ่ง
ผลตามหน่วยวดั ของเครื่องมือนั้น ๆ ท่ีเรียกวา่ ข้อมลู
กระทรวงศึกษาธิการ (2553, น. 4) กล่าวว่า การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้
ของ ผู้เรียนเป็นการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน และเพื่อติดตามผลการเรียน ซึ่งผู้เรียนจะต้องได้รับ
การพัฒนาและประเมินตามชี้วัด เพื่อให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ สะท้อนสมรรถนะสำคัญของ
ผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการวัดและประเมินผล

50

การเรียนรู้ในทุกระดับ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ประกอบด้วย
ระดบั ชั้นเรยี น ระดบั สถานศกึ ษา ระดับเขตพ้นื ที่การศึกษาและระดับชาติ

ภารดี อนันต์นาวี (2557, น. 263) กล่าวว่า การวัดผล ประเมินผลและเทียบโอนผล
การเรยี น มีแนวทางการปฏิบัติดงั ต่อไปน้ี

1. กำหนดระเบียบ แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผล
ของสถานศึกษา

2. ส่งเสริมให้ครูจัดทำแผนการวัดผลและประเมินผลแต่ละรายวิชา
ให้สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาสาระการเรยี นรู้ หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้และการ
จดั กจิ กรรม การเรยี นรู้

3. ส่งเสริมใหค้ รดู ำเนนิ การวดั ผลและประเมินผลการเรียนการสอน โดยเน้น
การประเมินสภาพจริงจากกระบวนการการปฏิบตั แิ ละผลงาน

4. จัดให้การเทียบโอนความรู้ ทักษะ ประสบการณ์และผลการเรียนจาก
สถานศึกษาอื่น สถานศึกษาประกอบการและอื่น ๆ ตามแนวทางทกี่ ระทรวงศึกษาธิการกำหนด

ก่ิงแกว้ เฟอ่ื งศลิ า (2558, น. 40) กลา่ วว่า การวัดผล การประเมนิ ผลและการเทียบ
โอนการศกึ ษา ถอื เปน็ ภารกิจท่ีสำคัญอย่างหนึ่งของสถานศึกษา สถานศกึ ษาต้องเปิดโอกาสให้ทุกฝ่าย
ที่เกี่ยวข้องมี ส่วนร่วมในการวัดผลและประเมินผลการเรียนของผู้เรียนโดยการวัดผล การประเมินผล
การเทียบ โอนการศึกษา จะต้องสอดคล้องและครอบคลุมมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดในหลักสูตร
แกนกลาง สถานศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 สามารถรบั รองการประเมนิ ภายในและภายนอก
ได้ ตามระบบการประกันคณุ ภาพการศึกษา

ปริศนา สีเงินงาน (2559, น. 19) กล่าวว่า การวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผล
การเรียนเป็นภารกิจเกี่ยวกับการกำหนดระเบียบแนวปฏิบัติ เก่ียวกับการวัดผล ประเมินผลท่ี
สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษา เน้นการประเมินผลตามสภาพจริง มีการเทียบโอน มีการสร้างและ
พัฒนาเคร่ืองมอื วดั และการประเมินผลท่ีมีมาตรฐาน โดยการบริหารงานการประเมนิ ผลการเรียน

สุชาดา ถาวรชาติ (2559,น. 59) กล่าวว่า งานวัดผลและประเมินผล หมายถึง
กระบวนการท่ีนำผลการเรียนการสอนมาพจิ ารณาตัดสินเป็นระบบอย่างครอบคลุม โดยใช้เครื่องมือที่
หลากหลายซึ่งข้อมูลที่ได้จากการวัดผลและประเมินนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกดิ
การพฒั าและเรยี นรู้อย่างเต็มศักยภาพ

จตุรภัทร ประทุม (2559, น. 42) กล่าวว่า การวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผล
การเรียน หมายถึง การกำหนดแนวปฏิบัติงานเก่ียวกับการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการ
เรียนสร้างเคร่ืองมือและปรับปรุงเคร่ืองมือในการวัดผลให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ จัดระบบ

51

สารสนเทศด้านการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียนการรายงานผลการวัดผลและ
ประเมินผลและใช้ประโยชน์ในการพัฒนาการเรียนการสอนมีการเก็บหลักฐานอย่างปลอดภัย เพ่ือใช้
ในการอา้ งองิ

ธัญดา ยงยศยิ่ง (2560, น. 45) กล่าวว่า การวัดผล การประเมินผลและการเทียบ
โอนผลการเรียนหมายถึง การกำหนดระเบียบการวัดและประเมินผลของสถานศึกษาตามหลักสูตร
สถานศึกษา มีการเน้นใหค้ รมู ีการวดั ผล ประเมนิ ผล เทียบโอนประสบการณผ์ ลการเรียนและอนุมัติผล
การเรียน ตามสภาพความเปน็ จริงของนักเรียนเป็นรายบุคคล จัดให้มีการซ่อมเสริมกรณีทีม่ ีผู้เรยี นไม่
ผ่านเกณฑ์การประเมิน มีการพัฒนาเครื่องมือในการวัดประเมินผล การส่งเสริมให้มีการจัดระบบ
สารสนเทศด้านการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียนเพื่อใช้ในการอ้างอิงตรวจสอบและใช้
ประโยชนใ์ นการพัฒนาการเรียนการสอนใหด้ ขี นึ้

นุชรี เนียมรัตน์ (2562, น. 29) การวัดผลและประเมินผล หมายถึง กระบวนการใน
การกำหนด ตัวเลข แทนคุณลักษณะต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนต้องมีระเบียบ แนวปฏิบัติ
เอกสารหลักฐาน และวิธีการวัดผลประเมินผลการเรียนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องการ
วางแผนสร้างและปรับปรุงให้สอดคล้องกับนักเรียน และมีการวางแผนในการสอบและนำผลการ
ประเมนิ มาปรบั ปรุงการเรียนการสอน

สรุปได้ว่า ด้านวัดผลและประเมินผล หมายถึง การจัดทำแผนการวัดผลและ
ประเมินผลการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษา สาระการเรียนรู้และเป็นไปตาม
แนวทางของหลกั สตู รวัดผลและประเมนิ ผลตามสภาพจริง

5. ดา้ นนิเทศการศึกษา
สมเดช สีแสง (2551, น. 418 – 420) ได้อธิบายว่า การนิเทศภายในโรงเรียน
สามารถปรับปรุงจากหลักการนิเทศการศึกษาโดยทั่วไป โดยเลือกเฉพาะจุดเน้นที่สัมพันธ์ สอดคล้อง
กับกระบวนการดำเนินงานของโรงเรียน ดังนี้ คือ เป็นงานพัฒนาวิชาชีพ มุ่งพัฒนาครูทุกคนให้
สามารถคิดได้เอง ตัดสินใจเอง ลงมือทำเอง และพัฒนาให้ดีได้ด้วยตนเองอยู่เสมอ โดยมีข้อตกลง
ร่วมกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ ควรเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานร่วมกันและ
ตรงกับความต้องการของผู้รบั การนเิ ทศและสอดคลอ้ งกับความสามารถที่จะพัฒนาศักยภาพของตนให้
ปฏิบัติตามบทบาทหน้าท่ี การนิเทศภายในก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีความหมายต่อผู้รับการ
นเิ ทศ และท่สี ำคญั ผู้รบั การนิเทศจะต้องเรยี นร้จู ากการลงมือปฏิบัตงิ านตามกิจกรรมนิเทศด้วยตนเอง
รับรู้ผลการปฏิบัติด้วยการประเมินตนเอง ปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้นอยู่เสมอ โดยการนิเทศภายใน
โรงเรียนครูต้องปฏิบัติงานเป็นขั้นตอน คือ ขั้นที่หนึ่งคือ การวิเคราะห์ผู้เรียน ขั้นที่สองการกำหนด

52

วัตถปุ ระสงค์เป้าหมายของการเรยี นการสอน การวเิ คราะหง์ านอยา่ งเป็นระบบ ขน้ั ทีส่ าม การคัดเลือก
สรรหา สร้างและพัฒนานวัตกรรมในการเรียน ขั้นที่สี่ ทักษะการใช้เทคนิควิธีสอนและนวัตกรรมการ
เรียนการสอน ขั้นที่ห้า การประเมินผลการเรียนการสอน ขั้นที่หก การรายงานและแพร่ผลการใช้
นวัตกรรม โดยสรุปได้ว่าขอบข่ายงานนิเทศภายใน คือ งานนิเทศเกี่ยวกับตัวครู งานนิเทศเกี่ยวกับ
หลักสูตรงานนเิ ทศเกยี่ วกบั อปุ กรณ์การสอน งานนเิ ทศเกย่ี วกบั การคน้ ควา้ ทดลอง

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2552, น. 33) กล่าวถึงการนิเทศ
การศึกษา

1. ศึกษาระบบการนิเทศงานวิชาการและการเรียนการสอนภายในสถานศึกษา
1.1 รว่ มเปน็ คณะกรรมการนเิ ทศภายในสถานศกึ ษา
1.2 ร่วมวางแผนนิเทศภายในสถานศึกษา โดยใช้กจิ กรรมทห่ี ลากหลายและ

เหมาะสม
1.3 จดั ทำเคร่อื งมือนเิ ทศงานวิชาการและการเรียนการสอนกับสถานศึกษา

2. ดำเนินการนเิ ทศงานวิชาการและการเรยี นการสอนตามทไี่ ด้รบั มอบหมาย
2.1 สร้างความตระหนักความรู้ความเขา้ ใจกับผูเ้ กี่ยวข้อง
2.2 กำหนดปฏิทินการนิเทศ
2.3 ดำเนินการตามแผนนเิ ทศ

3. ประเมนิ ผลระบบและกระบวนการนิเทศภายในสถานศึกษา
3.1 ตง้ั คณะกรรมการประเมนิ ผลการนิเทศ
3.2 จดั ทำเครือ่ งมือประเมินผลการนเิ ทศ
3.3 ประเมนิ ผลการนเิ ทศอย่างตอ่ เน่ือง
3.4 คูม่ ือการปฏบิ ตั งิ านขา้ ราชการครู

4. ประสานงานกับเขตพื้นท่ีการศึกษา เพื่อพัฒนาระบบและกระบวนการนิเทศ งาน
วชิ าการและการเรียนการสอนของสถานศึกษา

4.1 ขอความร่วมมือเป็นวิทยากร พัฒนาผู้นิเทศเก่ียวกับความรู้และทักษะ
การนิเทศ งานวชิ าการ การเรียนการสอนและการสรา้ งเครอ่ื งมือนิเทศ

4.2 ขอความร่วมมือประเมินระบบ และกระบวนการนิเทศภายใน
สถานศึกษา

5. แลกเปลี่ยนเรียนรู้และประสบการณ์การจัดระบบการนิเทศภายในกับสถานศึกษา
อนื่ หรือเครอื ข่ายการนิเทศภายในเขตพน้ื ท่ีการศึกษา

5.1 รวบรวมขอ้ มลู สถานศกึ ษาท่จี ัดการนิเทศภายในสถานศึกษาดเี ด่น

53

5.2 ศึกษาดูงานสถานศกึ ษาท่ีจัดการนิเทศภายในสถานศกึ ษาดีเดน่
5.3 พัฒนาระบบการนิเทศภายในสถานศึกษา โดยหัวหน้ากลุ่มสาระและ
ผู้บริหาร แบบกัลยาณมิตรหรือระหว่างครูผู้สอน ศึกษาสถานการณ์โลกและสังคมท่ีเปลี่ยนแปลง เพื่อ
เชอ่ื มโยง กับองคค์ วามรูแ้ ละประสบการณเ์ ดิม
5.4 ปรับปรุง พัฒนาองค์ความรู้ใหม่อย่างต่อเนื่องจนเกิดผลดีต่อการจัด
ประสบการณ์
5.5 แลกเปลี่ยนประสบการเรียนรู้ระหว่างครูกลุ่มสาระสถานศึกษาหรือ
สถานบันอืน่ ๆ
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553, น. 223) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง
กระบวนการจัดการบรหิ ารการศึกษาเพอื่ ชี้แนะ ให้ความชว่ ยเหลอื และความรว่ มมอื กบั ครูและบุคคลท่ี
เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา เพื่อปรับปรุงการเรยี นการสอนของครูและเพิ่มคุณภาพของบทเรียนให้
เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของการศึกษา การนิเทศการศึกษาภายในสถานศึกษา หมายถึง การนิเทศที่มี
การริเริ่มและจัดดำเนินการโดยบุคลากรภายในสถานศึกษาและในหลายโอกาสก็เชิญบุคลากร
ภายนอกเป็นวิทยากรมาร่วมโครงการ หลักการนิเทศภายในสถานศึกษาเป็นแนวปฏิบัติที่ผู้นิเทศต้อง
นำไปปฏบิ ัตขิ ณะทำการนเิ ทศ ไดก้ ล่าวถงึ หลักการนเิ ทศภายในสถานศกึ ษา ดงั น้ี
1. การนิเทศควรมีการบริหารงานเป็นระบบ และมีการวางแผนการ
ดำเนนิ งานเปน็ โครงการ
2. การนิเทศต้องถือหลักการมีส่วนร่วมในการทำงาน คือ มีความเป็น
ประชาธิปไตย เคารพในความคิดเห็นของผู้อ่นื เห็นความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล เนน้ ความร่วมมือร่วม
ใจกัน ในการดำเนินงาน และใช้ความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงาน เพื่อให้งานนั้นไปสู่เป้าหมายท่ี
ตอ้ งการ
3. การนเิ ทศเป็นงานสรา้ งสรรค์ เป็นการแสวงหาความสามารถพเิ ศษของแต่
ละบุคคล ให้แต่ละบุคคลไดแ้ สดงออก และพัฒนาความสามารถเหลา่ นั้นได้อยา่ งเต็มที่
4. การนิเทศเป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเรียนการสอน โดยให้ครู
อาจารย์ ไดเ้ รียนรูว้ ่าปญั หาของตนเปน็ อยา่ งไร จะหาวิธีแกไ้ ขปญั หานั้นได้อยา่ งไร
5. การนิเทศเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดีขึ้น สร้างความ
เขา้ ใจ ระหว่างกนั สรา้ งมนุษยสัมพนั ธม์ ีวิธกี ารทำงานทด่ี แี ละความสามารถทีจ่ ะอยรู่ ว่ มกันได้
6. การนิเทศเป็นการสรา้ งความผกู พนั และความมัน่ คงตอ่ งานอาชพี รวมทงั้
ความเชื่อม่นั ในความสามารถของตนเอง เกดิ ความพงึ พอใจในการทำงาน

54

7. การนิเทศเป็นการพัฒนาและส่งเสริมวิชาชีพครู ให้มีความรู้สึกความ
ภาคภมู ิใจ ในอาจารย์ เปน็ อาชีพทีต่ อ้ งใชค้ วามรู้และความสามารถท่ีจะพัฒนาได้

สันติ บุญภิรมย์ (2553, น. 204) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง กิจกรรม
หนึ่ง ในหลาย ๆ กิจกรรมของการบริหารการศึกษา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงเงื่อนไขการ
เรียนรู้และความเจริญงอกงามของผู้เรียน โดยมุ่งให้ผู้สอนได้ปรับปรุงวิธีการสอนและจัดกิจกรรมอื่น
ควบคู่ไปดว้ ย การนเิ ทศภายในสถานศึกษา หมายถงึ ความพยายามทจี่ ะปรับปรุงและพัฒนา การเรียน
การสอนให้มีคณุ ภาพ โดยบุคลากรภายในสถานศึกษาเป็นหลัก และในบางโอกาสกเ็ รยี น เชญิ บุคลากร
ภายนอกมาร่วมเป็นวิทยากร เพื่อให้การพัฒนานักเรียนได้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และ
ประสิทธิผล

เก็จกนก เอื้อวงศ์ (2555, น. 6) ได้ให้ความหมายว่า การนิเทศการศึกษา คือ
กระบวนการในการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศที่จะช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา
แนะนำกบั ครูผรู้ บั การนเิ ทศ และบคุ ลากรทางการศกึ ษาให้พฒั นาการเรียนการสอนและการปฏิบัติงาน
เพื่อให้เกิดความงอกงามทางวิชาชีพทางการศึกษา ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่มคุณภาพของนักเรียนให้
เปน็ ไปตามเปา้ หมายของการศกึ ษา

ภารดี อนันต์นาวี (2557, น. 284) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษา มีแนวทางการ
ปฏิบตั ิ ดังต่อไปน้ี

1. จดั ระบบการนเิ ทศงานวิชาการและการเรียนการสอนภายในสถานศึกษา
2. ดำเนินการนิเทศงานวิชาการ และการเรียนการสอนในรูปแบบ
หลากหลายและเหมาะสมกับสถานศกึ ษา
3. ประเมนิ ผลการจดั ระบบ และกระบวนการนเิ ทศการศึกษาในสถานศึกษา
4. ติดตาม ประสานงานกับเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อพัฒนาระบบและ
กระบวนการนิเทศ งานวิชาการและการเรียนการสอนของสถานศึกษา
5. การแลกเปลยี่ นเรียนรู้ และประสบการณก์ ารจดั ระบบนเิ ทศการศึกษาใน
สถานศึกษา กบั สถานศึกษาอืน่ หรอื เครือข่ายการนิเทศการศกึ ษาภายในเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษา
กิ่งแก้ว เฟื่องศิลา (2558, น. 49) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษา ถือว่าเป็น
กระบวนการส่งเสริม แนะนำ ปรึกษาหารือและให้ความร่วมมือจากผู้นิเทศเพื่อช่วยเหลือ ปรับปรุง
พัฒนาการเรียนการสอนและเพิ่มประสิทธิภาพของการเรียนการสอนอันจะนำมาซึ่งผลสัมฤทธิ์ของ
นกั เรียนตามมาตรฐานทกี่ ำหนด
จตรุ ภทั ร ประทุม (2559, น. 41) กล่าววา่ การนิเทศการศึกษา หมายถงึ กระบวนท่ี
ผู้บรหิ ารให้การรว่ มมอื ทางการศึกษา แนะนำช่วยเหลอื ส่งเสรมิ และสนบั สนุนครูทำการปรบั ปรุงและ

55

ดำเนนิ การเรยี นการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ บรรลจุ ุดมุ่งหมายของหลักสูตร เพ่ือการพัฒนาผู้เรียนให้
มีประสทิ ธภิ าพสูงขึ้นตามเปา้ หมายของการศกึ ษา

ราตรี สอนดี (2559, น. 62) กล่าว่า การนิเทศการศึกษาเป็นการร่วมมือระหว่างผู้
นเิ ทศและผู้รบั การนเิ ทศในการช่วยเหลือ ปรับปรงุ พฒั นาการเรียนการสอน เพอ่ื ใหน้ ักเรียนมีคุณภาพ
ตามจุดหมายของหลักสูตรหรือเป็นกระบวนการทำงานทีมุ่งสู่การปรับปรุงประสิทธิภาพการสอนของ
ครู ซึ่งจะยังผลสู่เป้าหมายสุดท้าย คือ ผู้เรียนมีคุณภาพดังจุดมุ่งหมายของการศึกษาและใน
ขณะเดียวกัน การนิเทศการศึกษาต้องพิจารณาในเรื่องการพัฒนากลุ่มคนผู้ร่วมงาน โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งครูให้มคี วามรู้ความสามารถ นำความรู้ความสามารถของตนเองมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการ
ทำงาน สามารถทำงานด้วยความมนั่ ใจ มีขวญั และกำลังใจในการทำงาน กระบวนการทำงานเปน็ ไปใน
ลกั ษณะทีก่ อ่ การประสานสมั พันธอ์ ันดปี ราศจากความขัดแยง้

สชุ าดา ถาวรชาติ (2559, น. 73) กล่าวว่า งานนิเทศภายใน หมายถงึ การดำเนินการ
ใด ๆ ที่เป็นการร่วมมือระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศในการช่วยเหลือ ปรับปรุง พัฒนาการเรียน
การสอน เพื่อให้นักเรียนมีคุณภาพตามจุดมุ่งหมายของโรงเรียนและหลักสูตร มุ่งสู่การปรับปรุง
ประสิทธิภาพการสอนของครูให้มีความรู้ ความสามารถ นำความรู้ความสามารถของตนเองมาใช้ให้
เป็นประโยชน์ตอ่ การทำงาน สามารถทำงานด้วยความม่นั ใจ มขี วญั และกำลังใจทจี่ ะพฒั นาการจัดการ
เรยี นการสอนและกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะสง่ ผลสู่เป้าหมาย คือ ผเู้ รยี นให้มคี ุณภาพและประสิทธิภาพดัง
จดุ มงุ่ หมายของการศึกษา

ธัญดา ยงยศยิ่ง (2560, น. 50 – 51 ) กล่าวว่า ในการนิเทศการศึกษา หมายถึง
การทำงานอย่างมีแบบแผน โดยเริ่มจากการวิเคราะห์งานการเรียนการสอนของครู เพื่อจะได้ทราบ
ปัญหา ระบุปัญหาที่จะต้องรีบแก้ไข สร้างความตระหนักให้แก่ครูและผูเ้ กี่ยวข้องให้เข้าใกระบวนการ
นิเทศภายในปรับปรุงก่อนหลังแล้วจึงวางแผนที่จะดำเนินการโดยหาทางเลือกที่จะแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
ดว้ ยการทำงานรว่ มกันท่ีใช้เหตผุ ลการนิเทศเปน็ การพฒั นาปรบั ปรุงวธิ ีการทางานของแต่ละบุคคลให้มี
คุณภาพ ต่อจากนั้นก็ดำเนินการตามแนวขั้นตอนตามลำดับจนถึงขั้นการประเมินผลการปฏิบัติงาน
แล้วจึงนำผลการปฏิบัตไิ ปปรบั ปรุงแก้ไขตอ่ ไป

นุชรี เนยี มรัตน์ (2562, น. 31) การนิเทศการศกึ ษา หมายถึง กระบวนการในการ
ให้คำแนะนำและการให้ความร่วมมือในการดำเนินการนิเทศ เพื่อการปรับปรุงตัวครูและนักเรียนเอง
ตลอดจนสภาพการเรียนการสอน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการศึกษาที่พึงประสงค์แนวทางในการ
นิเทศการศึกษา การจัดทำโครงการนิเทศและความต้องการในการนิเทศ มีการวางแผนการนิเทศงาน
วิชาการจัดการนเิ ทศแลว้ ประเมนิ ผลการนิเทศ

56

สรุปได้ว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การเรียน การสอน
ในรปู แบบทห่ี ลากหลายและนำผลการนิเทศมาปรับปรงุ และพัฒนาการเรียนการสอน และประเมินผล
การนิเทศการศึกษาเพ่อื พฒั นาการเรียนการสอน

สรุปขอบข่ายการบริหารวิชาการได้ว่า การบริหารงานวิชาการเป็นงานหลักของ
โรงเรียนทีผ่ ูบ้ รหิ ารจะต้องเข้าใจขอบข่ายของ การบริหารงานวิชาการ ที่ครอบคลุมตั้งแต่การวางแผน
เกี่ยวกับงานวิชาการ การจัดดำเนินงาน เกี่ยวกับการเรียนการสอน และการวัดผลการประเมินผล
บูรณาการตามแนวทางการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา ซึ่งมีภาระงานที่จำกัดตามนโยบาย
เพื่อสนองความตอ้ งการของชุมชนในการบรหิ ารงานวิชาการที่เกิดขน้ึ มากท่สี ุด โดยการศกึ ษาวิเคราะห์
เอกสารหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน จัดทำโครงสร้างหลักสูตร และสาระต่าง ๆ ที่กำหนดให้มีใน
หลักสูตรสถานศึกษา มีการประเมินการใช้หลักสูตรและนำผลการประเมิน มาพัฒนาหลักสูตรอย่าง
ต่อเนื่อง การวางแผนและส่งเสริมให้ครูจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้
สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดของผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยสอดคล้องกับบริบทของสังคม
มีการประเมินผลการเรียนการสอน สาระการเรียนรู้เป็นไปตามแนวทางของหลักสูตรวัดผลและ
ประเมนิ ผลตามสภาพจริง

การจัดการศึกษาสังกดั สำนักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาภเู ก็ต

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จัดตั้งขึ้นตามประกาศของ
กระทรวง ศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. 2553
เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553 ทำให้
โครงสร้างของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยมีเขตพื้นท่ี
การศึกษา ประถมศึกษา จำนวน 183 เขตและเขตพื้นที่มัธยมศึกษา จำนวน 42 เขต สำหรับพื้นที่ใน
จงั หวัด ภเู ก็ตกำหนดให้มีสำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาภูเก็ตเพยี งแหง่ เดียว

สภาพการจัดการศกึ ษา

อำนาจหน้าทสี่ ำนกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศกึ ษาภูเก็ต
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต สังกัดสำนักงานคณะกรรมการ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ มีภารกิจเกี่ยวกับการจัดการศึกษาและการส่งเสริม

57

การศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน โดยมีอำนาจหนา้ ทตี่ ามประกาศกระทรวงศึกษาธกิ าร เร่ือง การแบง่ ส่วนราชการ
ภายในสำนักงานเขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศึกษา พ.ศ. 2553 ดงั นี้

วิสยั ทศั น์ (Vision)
มุง่ จดั การศึกษาสู่มาตราฐานสากล บนพ้ืนฐานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

พนั ธกจิ (Mission)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ตและสถานศึกษาในสังกัดทุกแห่งได้
รว่ มกนั กำหนดค่านยิ มรว่ มเพ่ือขับเคล่ือนและผลกั ดนั (PUSH)

การบริหารจดั การศกึ ษาให้มีคุณภาพดงั นี้
1. บริหารการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วม (Participation) โดยเปิดโอกาสทุกภาคี
เครอื ข่ายเข้ามามสี ่วนรว่ มในการจัดการศึกษาด้วยรปู แบบและวธิ ีหลากหลาย
2. สร้างความเป็นเอกภาพ (Unity) เน้นความเป็นเอกภาพในการบริหารการจัดการ
เสริมสร้างความสามัคคใี นกลมุ่ ผบู้ ริหาร ครูและบุคลากรทางการศกึ ษา
3. สรา้ งระบบการบรกิ ารที่เป็นเลิศ (Service Mind) มุ่งเนน้ ให้ผูบ้ รกิ ารการศึกษาท่ีมี
คุณภาพ จติ ใจมุ่งบริการการศึกษาที่มีคณุ ภาพดว้ ยจติ ใจมุ่งบริการ
4. ใช้เทคโนโลยี (HighTechnology) เพื่อบรกิ ารการจัดการและการจดั การเรียนรู้ให้
สอดคล้องกับการเปล่ยี นแปลงดา้ นวทิ ยาการทนั สมยั เพอ่ื สรา้ งสงั คมการเรยี นรู้

PUSH ผลกั ดัน ขบั เคลอ่ื น
P = Participation การมีส่วนรว่ ม
U = Unity เอกภาพ
S = Service Mind การบริการด้วยใจ
H = High Technology ใช้เทคโนโลยที ันสมยั

ประเด็นยทุ ธศาสตร์
ยทุ ธศาสตร์ที่ 1 พฒั นาการจดั การศึกษาเพ่อื ความมนั่ คง
ยุทธศาสตร์ที่ 2 พฒั นากำลงั คน การวิจัย เพ่ือสร้างความสามารถ
ยุทธศาสตร์ที่ 3 พฒั นาศกั ยภาพคนให้มีคณุ ภาพ
ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 4 สร้างโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษา

58

ยทุ ธศาสตร์ที่ 5 ส่งเสริมและจัดการศึกษาเพ่อื เสริมสร้างคณุ ภาพชวี ติ
ยทุ ธศาสตร์ที่ 6 พัฒนาระบบบริหารจัดการใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพ

เป้าประสงค์
1. ผู้เรียนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพที่สอดคล้องเหมาะสมกับการเสริมสร้างความ
ม่ันคง
2. ผู้เรียนมีสมรรถนะและความสามารถในการแข่งขันที่สนองความต้องการของ
ตลาดงานและประเทศ
3. ผเู้ รียนได้รับการศกึ ษาท่ีมีคณุ ภาพและมีทักษะของผเู้ รยี นในศตวรรษท่ี 21
4. ผเู้ รยี นไดร้ บั โอกาสทางการศกึ ษาอย่างทัว่ ถงึ และเสมอภาค
5. ผ้เู รียนมคี ณุ ภาพชวี ติ ท่ีเปน็ มติ รกบั สงิ่ แวดลอ้ ม
6. สำนกั งานศกึ ษาธิการจังหวดั ภเู ก็ตมีระบบบริหารจัดการที่มปี ระสิทธภิ าพ

นโยบาย แนวทาง เปา้ หมาย ตัวช้ีวดั
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ได้กำหนดนโยบายแผนพัฒนา
การศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 – 2565 โดยยึดหลักของการพัฒนาที่ยัง่ ยืน และการ
สร้างความสามารถในการแข่งขันของ ประเทศในอนาคต เป็นแนวทางในการจัดการศึกษาจัด
การศึกษาขั้นพื้นฐาน และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 - 2580 แผนแม่บทภายใต้
ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 – 2580) แผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา แผนพัฒนาเศรษฐกิจและ
สงั คมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) แผนการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 และมุ่งสู่
Thailand 4.0 ดงั นี้
นโยบายที่ 1 ดา้ นการจดั การศกึ ษาเพ่ือความมั่นคงของมนษุ ย์และของชาติ
นโยบายที่ 2 ดา้ นการจัดการศึกษาเพือ่ เพ่ิมความสามารถในการแข่งขนั ของประเทศ
นโยบายที่ 3 ด้านการพฒั นาและเสรมิ สร้างศกั ยภาพทรัพยากรมนุษย์
นโยบายที่ 4 ด้านการสร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการการศึกษาท่ีมีคุณภาพ
มีมาตรฐานและลดความเหลื่อมล้ำทางการศกึ ษา
นโยบายที่ 5 ดา้ นการจัดการศึกษาเพ่ือพฒั นาคุณภาพชวี ิตที่เป็นมติ รกบั สิง่ แวดล้อม
นโยบายที่ 6 ด้านการปรับสมดุลและพฒั นาระบบการบริหารจัดการศกึ ษา

59

งานวิจยั ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง

งานวจิ ัยในประเทศ
ศิริพร ทับคล้าย (2550, น. 54) ศึกษาปัญหาการบริหารงานวิชาการโรงเรียน
ประถมศกึ ษา อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบรุ ี ผลการวจิ ัย พบวา่ 1) ผูบ้ ริหารและครมู คี วามคิดเห็นต่อ
ปัญหาการบริหาร งานวิชาการโรงเรียนประถมศึกษา อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี มีปัญหาใน
ระดับปานกลาง 2) ผู้บริหารและครูมีความคิดเห็นต่อปัญหาการบริหารงานวิชาการ โรงเรียน
ประถมศกึ ษา อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบรุ ีไมแ่ ตกต่างกัน
วิสิษฐ์ ปิดกันภัย (2550) ได้ศึกษาปัญหาและแนวทางการพัฒนาการบริหารงาน
วิชาการของโรงเรียนสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอเมืองระยอง ด้านการบริหารหลักสูตร
และนำหลักสูตรไปใช้ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ด้านการนิเทศการสอน ด้านการวัดผล
และประเมินผล ผลการวิจัย พบว่า
1. ปัญหาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน ทั้งโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับ
ปานกลาง
2. ปัญหาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน จำแนกตามขนาดของโรงเรียน
โดยรวม และรายดา้ น โรงเรียนขนาดเล็กมีปัญหามากกว่าโรงเรียนขนาดกลางและโรงเรยี นขนาดใหญ่
ระหว่างโรงเรียนขนาดกลางและโรงเรยี นขนาดใหญ่ไม่แตกตา่ งกนั
3. แนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมีแนวทางการพัฒนาใน
แต่ละด้าน ด้านหลักสูตรและการนำไปใช้ คือ อบรมครูบาอาจารย์เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายโครงสร้าง
แนวดำเนินการของหลักสูตร ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน อบรมครูอาจารย์เรื่องเทคนิค
การสอน ดา้ นการนเิ ทศการศกึ ษา จดั อบรมบุคลากรที่รับผดิ ชอบงานนิเทศภายในโรงเรียน เพ่อื พัฒนา
ความรู้และเพิ่มพูนศักยภาพทั้งด้านหลกั สูตร เทคนิค วิธีการนิเทศและด้านการวัดผลและประเมินผล
อบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการ ขั้นตอนการวัดผลและประเมินผล การสร้างเครื่อ งมือ
วสั ดอุ ปุ กรณก์ ารเรยี นรแู้ ละประเมนิ ผลปลายภาคและปลายปี
ทวีศักดิ์ บังคม (2550) ได้วิจัยเรื่อง ปัญหาและแนวทางการแก้ไขการบริหารงาน
วิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชลบุรี เขต 1 ผลการวิจัย พบว่า
1) ปัญหาและแนวทางการแก้ไขการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมและรายดา้ นมีปัญหาอย่ใู นระดับนอ้ ย 2) ปัญหาและแนวทางการแก้ไข
การบริหาร งานวิชาการของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชลบุรี เขต 1 จำแนกตาม

60

สถานที่ตั้ง โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ 3) ปัญหาและแนวทางการ
แกไ้ ข การบรหิ ารงานวชิ าการของโรงเรียน สงั กัดสำนักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาชลบุรี เขต 1

ปิยนุช ทองพรม (2550) ได้ศึกษาปัญหาและแนวทางในการพัฒนาการบริหารงาน
วิชาการ โรงเรียนในเขตอำเภอหนองใหญ่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชลบุรี เขต 1 พบว่า ปัญหา
การบริหารงานวิชาการโดยรวมและรายด้านมีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง จำแนกตามประสบการณ์
ในการสอน ช่วงชั้นที่สอนและขนาดโรงเรียน โดยรวมแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
แนวทางในการพัฒนาควรให้มีการประชุมวางแผนร่วมกันระหว่างผู้ที่เก่ียวข้อง เพื่อกำหนดแนวทาง
ในการบริหารงานวิชาการท่ดี ี

รัตนศักดิ์ มณีรัตน์ (2550) ศึกษาเรื่อง การบริหารงานวิชาการระดับมัธยมศึกษา
ตอนต้นของผู้บริหาร สถานศึกษาขยายโอกาสทางการศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานการ
ประถมศึกษา จังหวัดอุตรดิตถ์ ประชากรเป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษา
ตอนต้น ในสถานศึกษาขยายโอกาสทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 356 คน เครื่องมือที่ใช้ในการ
วิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ครบทั้ง 9 ด้านคือ การวางแผนงานวิชาการ
การจัดแผนการเรียน การจัดกิจกรรมนักเรียน การวัดผลและการประเมินผลการเรียน และการ
ประเมินงบประมาณสนับสนุนโครงการ ขาดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการสอนวิชาชีพ
ครูมีภาระในการสอนมากและต้องสอนหลายวิชาและต่างระดับชั้นเรียน มีบางส่วนที่ไม่ได้กำหนดตัว
บุคคลในการรับผิดชอบงาน ขาดบุคลากรที่มีคุณวุฒิและประสบการณ์ งบประมาณด้านการ
พัฒนาการเรียนการสอนมีจำกัดขาดบุคลากรที่มีความรูค้ วามสามารถ เกี่ยวกับการวัดผล ประเมินผล
และขาดการนาํ ผลการประเมนิ ผลงานวิชาการมาใช้ปรับปรุงพัฒนาการจัดการเรยี นการสอน

ถาวร ดอนจันทร์โคตร (2550, น. 81 - 82) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาการ
บริหารงานวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษาใน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษาหนองคาย พบว่า
การบริหารงานวิชาการการนิเทศการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษาในภาพรวมและรายด้านอยู่ใน
ระดับมาก

สุนทร วิไลลักษณ์ (2550) ศึกษาเรื่อง การบริหารงานวิชาการของผู้บริหาร
สถานศึกษามัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามทัศนะของครูใน 4 ด้าน
ได้แก่ การบริหารหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมส่งเสริมงานวิชาการ การวัดผล
และประเมินผล เพื่อเปรียบเทียบทัศนะของครูที่มีต่อการบริหารงานวิชาการดังกล่าว กลุ่มตัวอย่าง
คือ ครูสายการสอน สังกัดกรมสามัญศึกษาในกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2539 จำนวน 288 คน
รวม 16 สถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลใช้วิธีการหาค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบน
มาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการศึกษาพบว่าครูผู้สอนที่มีวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการ

61

ทํางาน และเพศต่างกนั มีความคิดเหน็ ต่อการบรหิ ารงานวชิ าการของผ้บู ริหารสถานศึกษามัธยมศึกษา
ไม่แตกต่างกัน

กิตติ สุรวิทย์, คมกฤช พมุ่ ทอง และเรณู วงศ์แก้ว (2551, น. 82 – 85) ได้ศึกษาเรื่อง
การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มตากสินและ
กลุ่มมหาสวัสดิ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา
สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มตากสินและกลุ่มมหาสวัสดิ์ ผลการศึกษาพบว่า การบริหารงานวิชาการ
ของผูบ้ รหิ ารโรงเรียนประถมศกึ ษา สังกดั กรุงเทพมหานคร กล่มุ ตากสนิ และกลุม่ มหาสวัสดิ์ ท้ัง 5 ดา้ น
คือ ด้านหลักสูตรและการนำไปใช้ ด้านการเรยี นการสอน ดา้ นวสั ดุประกอบหลกั สตู รและส่ือการเรียน
การสอน ด้านวัดผลและประเมินผล ด้านนิเทศการศึกษา โดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก โดยมี
การบริหารงานวิชาการด้านการเรียนการสอนอยู่ในระดับมากทีส่ ุด รองลงมาคือ ด้านนิเทศการศึกษา
และดา้ นวดั ผลและประเมินผลอยใู่ นระดับนอ้ ยทสี่ ดุ ส่วนปัญหาในการบรหิ ารงานวชิ าการของผู้บริหาร
โรงเรียนประถมศึกษามีปัญหาอยู่ในระดับน้อย ส่วนใหญ่ที่พบคือ ขาดการสำรวจความต้องการและ
ปัญหาเกี่ยวกับหลักสูตร ขาดการส่งเสริม และจูงใจให้ครูใช้วิธีการสอนแบบใหม่ ๆ หลายวิธีตาม
ลักษณะวชิ าหรอื กลุ่มสาระการเรียนรู้ ขาดการสรา้ งสือ่ การเรยี นการสอนท่ที นั สมัย มีคุณภาพตามกลุ่ม
สาระการเรียนรู้ ขาดการจัดให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และศึกษาดูงานด้านการวัดผลในโรงเรียนที่ใช้
หลกั สตู รเดยี วกนั และยังขาดการประเมินผลจากการนิเทศแล้วนำข้อมูลมาปรบั ปรงุ ระบบการนิเทศให้
ได้เป็นรปู ธรรม

สกุลรัตน์ กมุทมาศ (2551, น. 90 - 92) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การบริหารงานตาม
แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี
เขต 3 ที่พบว่า ประสบการณ์การทำงานต่างกันมีการบริหารงานตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
แตกตา่ งกันอยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถิติทีร่ ะดับ .05

ปรีชา กระจ่างโพธิ์ (2551, น. 106) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การบริหารงานวิชาการของ
ผู้บริหารโรงเรยี น ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษาปราจีนบุรี พบว่า การบริหารงานวิชาการของ
ผู้บริหารโรงเรียนจำแนกตามขนาดโรงเรียนไป แตกต่างกันและยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ ธวัชชยั
ธรรมคงทอง (2555, หน้า 81) ที่ได้วิจัยเกี่ยวกับการศึกษาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน
ประถมศึกษา ในอำเภอแก่งหางแมว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1
พบว่า โรงเรียนที่มีขนาดต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการ แตกต่างกันอย่างมี
นยั สําคญั ทางสถติ ิท่ีระดับ .05

ทรงเพชร ใจทน (2551, น. 61 – 64) ศึกษาการบริหารงานวิชาการสถานศึกษาขั้น
พื้นฐานขนาดเล็กในอำเภอพาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงราย เขต 2 ผลการศึกษา

62

พบว่า การบริหารงานวิชาการด้านหลักสูตร มีการปฏิบัติในระดับมาก แนวทางการพัฒนา
คือ สถานศึกษาควรจัดอบรมสัมมนาเกี่ยวกับหลักสูตรสถานศึกษา ให้ผู้เกี่ยวข้องได้เข้าใจในเนื้อหา
และสาระหลักสูตร ด้านงานการเรียนการสอนมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก แนวทางการพัฒนา
คือ สถานศึกษาควรส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ ด้านงานการ
ประเมินผลการเรียนมีการปฏิบตั ิในระดับมาก แนวทางการพัฒนา คือ การวัดผลประเมินผลการเรียน
ให้สอดคล้องกับหลักสูตรสถานศึกษา และควรมีการวัดผลประเมินผลการเรียนรู้ให้ครบทั้ง 8 สาระ
การเรียนรู้ ด้านการบริหารงานการนิเทศภายในมีการปฏิบัติในระดับปานกลาง แนวทางการพัฒนา
คือ ให้ผู้บริหารทำการนิเทศภายในอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เพื่อติดตามการปฏิบัติงานด้านอื่น ๆ
ดว้ ย และให้ครมู สี ่วนร่วมในการวางแผน การปฏิบตั งิ านในการนิเทศภายใน ส่วนงานวิจัยและพัฒนามี
การปฏิบัติในระดับปานกลาง แนวทางการพัฒนา คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาควรจัดอบรมเชิง
ปฏิบัติการเกี่ยวกับการวิจัยในชั้นเรียนและสถานศึกษาควรจัดงบประมาณมาส่งเสริมสนับสนุนให้
บุคลากรทำการวิจยั ในชน้ั เรยี น อย่างสม่ำเสมอและต่อเนือ่ ง

ปรีชา โล่ห์ชัย (2552) ได้ศึกษาวิจัยเรื่องการบริหารงานวิชาการของ ผู้บริหาร
สถานศึกษาขั้นพื้นฐานตามทัศนะของหัวหน้างานวิชาการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษายะลาเขต 2
พบว่า ระดับการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานตามทัศนะของหัวหน้างาน
วชิ าการสถานศึกษา สํานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษายะลา เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับ
มาก ผลการเปรียบเทียบระดับการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานตามทัศนะ
ของหัวหน้างานวิชาการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต 2 จำแนกตามวุฒิทางการศึกษา
อายุและประสบการณ์ในการดำรงตำแหน่งหัวหน้างานวิชาการสถานศึกษาต่างกันโดยภาพรวมและ
รายด้านไมแ่ ตกตา่ งกนั

พิเชษฐ์ สง่ สขุ (2552) ได้วิจัยเรอ่ื งปัญหาและแนวทางพัฒนาการบริหารงานวิชาการ
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสระแก้ว เขต 1 ผลการศึกษา พบว่า ปัญหา
การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนรายด้าน พบว่าปัญหา
งานวิชาการ อยู่ในระดับมากทุกด้าน ซึ่งเรียงจากมากไปหาน้อย 3 ลำดับแรก คือ ด้านการพัฒนา
กระบวนการเรียนรู้ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและด้านการพัฒนาระบบประกัน คุณภาพ
ภายในสถานศกึ ษา ตามลำดับส่วนปญั หาการบรหิ ารงานวิชาการของโรงเรียนมธั ยมศึกษา จำแนกตาม
สถานภาพการสอน พบว่าโดยรวมและรายด้านทุกด้านแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ เม่ือ
จำแนกตามประสบการณ์ในการสอน โดยรวมและรายด้านทกุ ดา้ น แตกตา่ งกนั อยา่ งไม่มีนยั สำคัญทาง
สถติ แิ ละจำแนกตามขนาดโรงเรียน โดยรวมแตกตา่ งกันอย่างมีนยั สำคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .05

63

อัญชัญ แซ่เดียว (2552) ได้ศึกษาปัญหาและข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาการ
บริหารงานวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษา อำเภอวังน้ำเย็น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 กลุ่มตวั อย่าง ไดแ้ ก่ ครผู ูส้ อน จำนวน 186 คน ผลการวจิ ัย พบวา่ ปัญหา
การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษา อำเภอวังน้ำเย็น สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับปานกลาง ผลการ
เปรยี บเทียบ ปัญหาการบรหิ ารงานวชิ าการของโรงเรียน แยกตามขนาดของโรงเรยี น โดยรวมและราย
ด้าน แตกต่างกันอยา่ งมีนยั สำคัญทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05 และเปรียบเทยี บปญั หาการบรหิ ารงานวิชาการ
จำแนกตามประสบการณ์ โดยรวมแตกต่างกนั อยา่ งไม่มีนยั สำคญั ทางสถิติ

สังคม สมฤทธิ์ (2552, น. 72 - 82) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การบริหารงานวิชาการของ
โรงเรียนภูซางวิทยาคม อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา พบว่า ด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ มีการ
ปฏบิ ตั ิอยใู่ นระดับมาก

วราภรณ์ อริยธนพล (2552, น. 175) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาสภาพ ปัญหา
และแนวทางการแกไ้ ขปญั หาการบรหิ ารงานวิชาการของโรงเรียนเอกชนในจังหวดั นครราชสมี าผลวิจัย
พบว่า ผลการเปรียบเทียบด้านการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดนครราชสีมา
ระหว่างโรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทาง
สถิติทรี่ ะดับ .05

เอมิกา โตฉ่า (2552) ได้ทำวิจัยเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานวิชาการของ
สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตาก เขต 2 มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษา
ระดับของการดำเนินงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตาก
เขต 2 2) เพื่อศึกษาระดับของปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกดั สานกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษาตาก เขต 2 3) เพ่ือศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งปัจจัยทสี่ ่งผลต่อการ
ดำเนินงานวิชาการของสถานศึกษากับการดำเนินงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตาก เขต 2 4) เพื่อสร้างสมการพยากรณ์การดำเนินงานวิชาการ
ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตาก เขต 2 เครื่องมือที่ใช้เป็น
แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า ผลวิจัยพบว่า 1. ระดับของการดำเนินงานวิชาการของ
สถานศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน โดยภาพรวมและรายด้านพบวา่ อย่ใู นระดบั มาก 2. ระดบั ของปจั จยั ทสี่ ่งผลต่อ
การดำเนินงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยภาพรวมและรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมาก
3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำนินงานวิชาการของสถานศึกษามีความสัมพันธ์ทางบวกกับการดำเนินงาน
วิชาการของสถานศึกษาข้ันพนื้ ฐาน อยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถิติทีร่ ะดับ .01 4. เม่อื วเิ คราะห์การถดถอย
พหุคูณแบบขั้นตอน พบว่า มีกลุ่มตัวแปร 5 ตัวแปรที่มีนัยสำคัญของการพยากรณ์การดำเนินงาน

64

วิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ ด้านคุณลักษณะทางวิชาชีพของครูผู้สอน ( X2)
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน (X3) ด้านการปฏิบัติหน้าที่ทางการบริหารของผู้บริหาร
(X1) ด้านการจัดการงบประมาณ (X5) และด้านความพร้อมเกี่ยวกับอาคารสถานที่ (X4) โดยกลุ่มตัว
แปรเหลา่ น้มี อี ำนาจในการพยากรณ์ ไดร้ ้อยละ 66.60

ชฎาภรณ์ สนิมคล้ำ (2553) ได้ศึกษาปัญหาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน
ประถมศึกษา สงั กดั สำนกั งานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษาระยอง เขต 2 ภาพรวมมปี ัญหาอยู่ในระดบั ปานกลาง
เนื่องจากเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาเข้าสู่การปฏิรูปการศึกษา โรงเรียนควรจัด
อบรมให้ความรู้กับผู้บริหารและครูผู้สอนเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตร การวิจัยในชั้นเรียน
เชิญผู้ปกครองนักเรียนที่มีความรู้ในท้องถิ่นมาทำการสอน ควรมีการวางแผนในเรื่องการวัดผลและ
ประเมินผล เพอ่ื ให้ปฏบิ ตั ิใหพ้ ร้อมเพรียงเปน็ แนวทางเดียวกัน

จันทรานี สงวนนาม (2553, น. 148) ทฤษฎีและแนวปฏิบัติในการบริหาร
สถานศึกษา ได้ใหค้ วามหมายของการบรหิ ารงานวิชาการไวว้ า่ การบริหารงานวชิ าการเปน็ หัวใจสำคัญ
ของการบริหารสถานศึกษาและเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารการศึกษาที่ผู้บริหารจะต้องให้
ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งส่วนการบริหารงานด้านอื่น ๆ นั้น แม้จะมีความสำคัญเช่นเดยี วกัน แต่ก็เป็น
เพียงส่วนส่งเสรมิ สนับสนุนให้งานวชิ าการดำเนนิ ไปได้อยา่ งมี ประสทิ ธภิ าพ ผู้บรหิ ารสถานศึกษาซ่ึงมี
บทบาทหน้าที่ในการบริหาร จะต้องสนับสนุนให้ครูจัด กิจกรรมการเรียนการสอนให้บรรลุจุดหมาย
ของหลักสตู ร

สุชาดา ศิริสุวรรณ (2553) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การบริหารงานวิชาการของผู้บริหาร
สถานศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐานระดบั มัธยมศึกษา อำเภอเบตง สำนกั งานเขตพื้นการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 15
ผลการศึกษา พบว่า ระดับการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ระดับ
มัธยมศึกษา อำเภอเบตง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 15 โดยภาพรวมอยู่ในระดับ
มาก

เพียงเพ็ญ เพียรสันเทยี ะ (2553) ได้ศึกษาปัญหาและแนวทางการพฒั นาการบริหาร
งานวิชาการของโรงเรยี นขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอพะเยา สงั กัดสำนักงานเขตพนื้ ที่การศึกษา
ประถมศึกษาสระแก้ว เขต 2 ปัญหาการบริหารงานวิชาการโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โรงเรียน
ควรจัดอบรมครูในโรงเรียนให้มีความรู้เกี่ยวกับหลักสูตร โครงสร้างและแนวทางการดำเนินงาน
ของหลักสตู รการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน ร่วมกนั คิดวเิ คราะห์จดุ ประสงค์การเรียนรเู้ พื่อนำไปใช้เป็นแนวทาง
ในการสร้างเครื่องมือวัดผลและประเมินผล จัดให้มีการศึกษาวิเคราะห์ความจำเป็นในการใช้สื่อและ
เทคโนโลยีเพอื่ การจดั การเรียนการสอน ส่งเสรมิ สนบั สนุนให้ครใู ช้แหล่งเรยี นรู้ ทง้ั ในและนอกโรงเรียน

65

จัดทำแผนปฏิบัติการนิเทศในโรงเรียน ส่งเสริมให้ครูแนะแนวการศึกษาให้กับนักเรียน เปิดโอกาสให้
ชุมชนหรอื ประชาชนเขา้ ศกึ ษาหาความรู้

ดอกฝ้าย ทัศเกตุ (2553, น. 102) ได้ทำการวจิ ัยเรื่อง แนวทางการบรหิ ารงาวิชาการ
ของโรงเรียนขยายโอกาส อำเภอแม่อาย จังหวดั เชียงใหม่ ผลการวจิ ัยพบว่าในการบริหารงานวชิ าการ
ของโรงเรียนขยายโอกาส อำเภอแมอ่ าย จงั หวัดเชยี งใหม่ โดยภาพรวมมกี ารปฏบิ ตั ิอย่ใู นระดบั มาก

สุพัตรา บุญปาน (2553, น. 101 - 105) ได้ทำการวิจัยเรือ่ ง การบริหารงานวชิ าการ
ของผู้บรหิ ารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนเขต
พน้ื ทกี่ ารศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 3 พบว่าความคิดของผู้บริหารและครผู ู้สอนที่ต่อการบริหารงาน
วชิ าการของผบู้ ริหารโรงเรียนประถมศกึ ษาด้านการนำหลักสตู รไปใช้อยู่ในระดับมาก

วรรณเพ็ญ พิสุทธิพงษ์ (2553, น. 69 - 72) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การบริหารงาน
วิชาการของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาในอำเภอเขาฉกรรจ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
สระแก้วเขต 1 พบว่าการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา ด้านการพัฒนา
หลักสูตรสถานศึกษาอยใู่ นระดบั มาก

พมิ กานต์ สงิ ห์แกว้ (2554) ไดว้ ิจยั เรอื่ งสภาพและแนวทางในการบรหิ ารงานวิชาการ
ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 ผลการศึกษา
พบว่า 1) สภาพการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับ
มาก โดยเรียงลำดบั ค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 3 ลำดบั แรก คอื การคัดเลือกหนงั สือแบบเรียนเพ่ือใช้
ในสถานศึกษา การพัฒนาสาระหลักสูตรทอ้ งถิ่น และการประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการ
กับสถานศึกษาและองค์กรอื่น 2) แนวทางการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
ผเู้ ชยี่ วชาญมขี อ้ เสนอแนะแนวทางการบรหิ ารงานวิชาการดา้ นการพัฒนาระบบประกันคณุ ภาพภายใน
และมาตรฐานการศึกษา โดยสร้างจิตสำนึกให้บุคลากรทุกคนเชื่อมั่นในระบบประกันคุณภาพภายใน
สถานศึกษา ด้านการพัฒนาการส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร
หน่วยงาน สถานประกอบการและสถาบันอื่นที่จัดการศึกษา โดยการเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่ว ม
และประชาสมั พันธ์การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ของสถานศึกษาผ่านส่ือตา่ ง ๆ ดา้ นการนิเทศ การศึกษา
โดยใช้การนเิ ทศท่ีหลากหลายอย่างเหมาะสม ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้โดย ส่งเสริมให้ครูใช้
แผนการจัดการเรียนรู้ให้เชื่อมโยงกับการจัดกระบวนการเรียนการสอนอย่างเหมาะสม ด้านการ
จัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา โดยการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและ
สอดแทรกกระบวนการคดิ

แวโรสนา เจ๊ะสมาแอ (2554) ได้ศึกษาวิจัยเรื่องได้ศึกษาวิจัยเรื่องการศึกษา การ
บริหารงานกบั การปฏิบตั ิงานตามขอบข่ายการบริหารงานวชิ าการของผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษาขั้น พื้นฐาน

66

สังกัดกลุ่มการศกึ ษาท้องถิ่นที่ 2 พบว่า ระดับทักษะการบริหารงานวิชาการของผู้บรหิ าร สถานศึกษา
ขั้นพ้ืนฐาน สังกัดกลุ่มการศึกษาท้องถิ่นที่ 2 ทุกด้านอยู่ในระดับมากและผลการเปรียบเทียบระดับ
ทักษะการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามตำแหน่งปฏิบัติงาน พบว่าใน
ภาพรวมแตกตา่ งกนั จำแนกตามประสบการณก์ ารทำงานในภาพรวมไม่แตกตา่ งกัน ไดศ้ ึกษาวจิ ัยเรื่อง
การบรหิ ารงานวชิ าการของผ้บู รหิ าร

ทิพวรรณ ถนอมจิตพงษ์ (2554, น. 105) ได้ทำการวิจัยเรื่อง สภาพและการ
บริหารงานวิชาการในโรงเรียนเอกชน กรณีศึกษาโรงเรียนกรุงเทพพิทยา กรุงเทพมหานคร ผล
การศึกษา พบว่า สภาพการบริหารงานวิชาการโดยภาพรวม มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก เนื่องจาก
ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ได้จัดให้มีการประชุม
อบรมครูและผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้หลักสูตรการ มีการส่งเสริมให้ครูจัดทำ
แผนการเรียนรู้ที่เนน้ ผู้เรียนเปน็ สำคัญ โดยจัดกระบวนการเรียนรู้ มีการส่งเสริมให้ครูใช้สื่อในการจดั
กจิ กรรมการเรียนรู้ มกี ารวางแผนการคุมสอบ การจดั หอ้ งสอบ การจดั หาวสั ดุอปุ กรณ์ทใี่ ช้ในการสอบ
และมกี ารวางแผนจัดทำ โครงการนิเทศตามลักษณะงานภายในโรงเรยี น

เกษร ทาสีแก้ว (2554) ได้ศึกษาปัญหาและแนวทางการพัฒนาการบริหารงาน
วิชาการของโรงเรียนกลุ่มสอยดาวบูรพา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่จันทบุรี เขต 2 ผลการวิจัยพบว่า
ปัญหาการบรหิ ารงานวชิ าการของโรงเรยี นกลุ่มสอยดาวบูรพา สังกดั สำนกั งานเขตพน้ื ที่จันทบุรี เขต 2
โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อจำแนกตามขนาดของโรงเรยี น พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถติ ริ ะดบั .05 ทกุ ด้าน ยกเวน้ ดา้ นการพฒั นาหลักสูตรสถานศึกษา ด้านการพัฒนาส่ือ นวัตกรรม
และเทคโนโลยีทางการศึกษา ด้านการแนะแนวการศึกษา ด้านการประสานความร่วมมือ
ในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาอื่น แตกต่างกันอย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติ จำแนกตาม
ประสบการณ์ พบวา่ แตกต่างกันอย่างมีนยั สำคัญทางสถติ ริ ะดับ .05 ทุกดา้ น ยกเวน้ ด้านการวิจัยเพื่อ
พัฒนาคุณภาพการศึกษาและด้านการพัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษาแตกต่างกัน
อย่างมนี ัยสำคัญทางสถิตริ ะดบั .05

ฮาลีเมาะ เส็งปิยา (2555) ได้ศึกษาสถานศึกษาตามทัศนะของครู สังกัดสำนักงาน
เขตพื้นที่การศึกษาปัตตานี เขต 2 พบว่า การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะ
ของครูโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปัตตานี เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ใน
ระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ส่วนใหญ่ครูมีทัศนะต่อการบริหารงานวิชาการของ
ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปัตตานี เขต 2 อยู่ในระดับมากทุกด้าน
โดยด้านพฒั นาสื่อนวตั กรรมและเทคโนโลยที างการศึกษา

67

กัมพล ขนั ทะวงษ์ (2555) ได้วจิ ัยเร่ืองแนวทางการบรหิ ารงานวชิ าการในสถานศึกษา
สหวิทยาเขตปราสาทพญาไผ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 25 ผลการศึกษา
พบว่า 1) ปัญหาการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลางโดยด้านที่มี
ค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ ด้านการ
วัดผล ประเมินผลและเทยี บโอนผลการเรียน 2) แนวทางการบริหารงานวชิ าการในสถานศึกษา มีดังน้ี
ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ให้มีการแต่งต้ังคณะกรรมการการบริหารหลักสูตร มีการพัฒนา
ครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรและให้มีการดำเนินการจัดทำ
สาระของหลักสูตรถานศึกษา ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้โดยพัฒนาครูให้เข้าใจแนวคิดทฤษฎี
เกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ มีการวิเคราะห์หลักสูตรและศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคล จัดทำแผนการ
จัดการเรียนรู้ โดยออกแบบกิจกรรมที่หลากหลายหลายเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ด้านการวัดผล
ประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียนให้กำหนดระเบียบการวัดผลและประเมินผลของสถานศึกษา
ตามหลักสูตรสถานศึกษาให้มีการวัดผลประเมินผลเทียบโอนและอนุมัติผลการเรียน มีการพัฒนา
เครื่องมือวัดผลและประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ และด้านการนิเทศการศึกษา ควรมีการสร้างความ
ตระหนัก ความรู้ความเข้าใจแก่ครูและผู้เกี่ยวข้องให้เข้าใจกระบวนการนิเทศควรแต่งตั้ง
คณะกรรมการ กําหนดหน้าที่ในกระบวนการการนิเทศอย่างชัดเจนและมีการดำเนินการนเิ ทศภายใน
ให้มคี ณุ ภาพท่ัวถึงต่อเนอ่ื งเป็นระบบและมกี ระบวนการ

นิรมล กิตติเรืองชาญ (2555) ได้ทำการวิจัยเรื่อง ความคิดเห็นของมหาบัณฑิตที่มี
ความคิดเห็นต่อการบริหารงานวิชาการบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผลการวิจัยสรุปได้
ดังนี้ มหาบัณฑิตมีความคิดเห็นต่อการบริหารงานวิชาการของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย
รามคำแหง โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากและมหาบัณฑิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง เพศชาย
และเพศหญิง มีความคิดเห็นต่อการบริหารงานวิชาการของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง
โดยรวมไม่แตกตา่ งกนั แต่พบว่ามคี วามเห็นต่อกิจกรรมเสริมหลักสูตรแตกต่างกนั อย่างมนี ัยสำคัญทาง
สถิตทิ ่ีระดับ .05

สุรัตน์ เสาร่อน (2555) ได้วิจัยเรื่องการบริหารวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาด
กลางในจังหวัดเชียงราย ผลการศึกษาพบว่า การบริหารวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลางใน
จังหวัดเชียงราย โดยรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนแนวทางการบริหารงานวิชาการ คือ ควรมีการ
วิเคราะห์ ประเมิน ทบทวนการใช้หลักสูตรและตดิ ตามการใช้หลักสูตรเปน็ ระยะ ๆ อย่างต่อเนื่องควร
มีการนิเทศการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ของครูอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
ส่งเสริมให้ครูแต่ละคนสร้างสือ่ การสอนที่ทันสมัย ตรงกับเนื้อหาที่สอน เพียงพอกับผู้เรียน ควรมีการ
วัดผลและประเมินผลโดยใช้เครื่องมือที่เหมาะสมและครอบคลุม ควรมีการนิเทศติดตามอย่าง

68

ต่อเนื่อง จริงจังและสม่ำเสมอ นำผลการนิเทศไปปรับปรุงเพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนให้มี
ประสทิ ธภิ าพ

สุดาศรี สิงห์ทอง (2556) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การบริหารงานวิชาการของโรงเรียน
เอกชน เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ผลการวิจัย พบว่า ครูท่ีมีประสบการณ์ในการสอนต่างกัน
มีการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนเอกชน เขตดินแดง กรุงเทพมหานครแตกต่างกันอย่างมี
นยั สำคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .05

อรทัย ปานทอง (2556) ได้วิจัยเรื่องปัญหาและแนวทางพัฒนาการบริหารงาน
วิชาการของโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ ระยอง ในพระราชูปถัมภ์
สมเด็จพระเทพรัตนสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
เขต 18 ผลการศึกษา พบว่า มปี ัญหาดา้ นการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ดา้ นการพฒั นากระบวนการ
เรียนรู้ด้าน วัดผล ประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ด้านการ นิเทศการศึกษาและด้านการพฒั นาระบบประกันคุณภาพการศึกษา ตามลำดบั ส่วนแนวทาง
การ พัฒนาการบริหารวิชาการของโรงเรียน พบว่า ควรให้การสนับสนุนความรู้ด้านหลักสูตรให้แก่
บุคลากร ส่งเสริมให้ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่หลากหลายโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
จัดให้มีการอบรมวัดผลประเมินผลการศึกษาให้แก่ครู สนับสนุนการทำวิจัยในชั้นเรียน มีการวาง
แผนการนิเทศ การศึกษาและดำเนินการให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้และสร้างความเข้าใจให้กับ
บคุ ลากรในเรื่องการประกันคุณภาพภายใน

สุกันยา คลสถิต (2556, น. 85) ที่ได้ทำการวิจัยเรื่อง การบริหารงานวิชาการของครู
ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตบึงกุม่ กรุงเทพมหานคร พบว่า โรงเรียนที่มี ขนาดแตกต่างกัน มีความ
คิดเห็นต่อการบริหารงานวิชาการแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 โดยโรงเรียน
ขนาดใหญ่ครูมีการบริหารงานวิชาการมากกว่าโรงเรียนขนาดกลางและโรงเรียนขนาดเล็ก
เมื่อพิจารณาเป็นรายคู่ พบว่า โรงเรียนขนาดเล็กมีสภาพการบริหารงาน วิชาการมากกว่าโรงเรียน
ขนาดกลาง โรงเรียนขนาดเล็กมีสภาพการบริหารงานวชิ าการมากกวา่ โรงเรียนขนาดใหญ่และโรงเรียน
ขนาดกลางมีสภาพการบริหารงานวชิ าการมากกวา่ โรงเรียนขนาดใหญ่

ไกรวัลย์ รัตนะ (2557, น. 76 - 86) ได้ทำการวิจัยเรื่อง บทบาทการบริหารงาน
วิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา พบว่า
ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนมีความคิดเห็นต่อบทบาทการบริหารงานวิชาการ ของผู้บริหาร
สถานศกึ ษา ดา้ นการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน อยู่ในระดับมาก

เขษมสร โข่งศรี (2557) ได้ทำวจิ ยั เร่อื ง ปัจจยั ทส่ี ง่ ผลต่อการบริหารงานวิชาการของ

69

สถานศึกษาขนาดใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 41 การวิจัยครั้งนี้มี
วัตถปุ ระสงคเ์ พ่อื 1) เพื่อศกึ ษาการบรหิ ารงานวชิ าการของสถานศึกษาขนาดใหญ่ สงั กดั สำนักงานเขต
พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 41 2) เพื่อศึกษาระดับของปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการ
ของสถานศึกษาขนาดใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 41 3) เพื่อศึกษา
ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่น่าจะส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการกับการบริหารวิชาการของ
สถานศึกษาขนาดใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 41 4) เพื่อสร้างสมการ
พยากรณ์การบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขนาดใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษา เขต 41 ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขนาดใหญ่
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 41 โดยภาพรวมและรายด้าน พบว่ามีการปฏิบัติ
อยู่ในระดับมาก โดยค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก คือ ด้านการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและ
มาตรฐานการศึกษา ค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือด้านการแนะแนว 2. ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงาน
วิชาการของสถานศึกษาขนาดใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 41
โดยภาพรวมและรายด้าน พบว่า มกี ารปฏบิ ตั อิ ยูใ่ นระดบั มาก โดยคา่ เฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านครูผู้สอน
ค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ ด้านสื่อวัสดุ อุปกรณ์และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา 3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการ
บริหารวิชาการมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขนาดใหญ่ สังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 41 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
โดยเรียงลำดับได้ดังนี้ ด้านสื่อวัสดุอุปกรณ์และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (r=.766) ด้านการจัดการ
งบประมาณ (r=.445) ด้านความสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมของโรงเรียนกับชุมชน ( r= -.416)
ด้านความพร้อมของอาคารสถานที่ (r=-.300) ด้านผู้บริหาร (r=.066) ด้านครูผู้สอน (r =-.030) 4.
เมื่อใช้การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน พบว่า มีกลุ่มตัวแปร 4 ตัว ที่มีนัยสำคัญของการพยากรณ์การ
บริหารวิชาการมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขนาดใหญ่ สังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 41 ด้านสื่อวัสดุ อุปกรณ์และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
(X6) ด้านครูผู้สอน (X4) ด้านความพร้อมของอาคารสถานท่ี (X2) ด้านความสัมพันธ์และการมสี ่วน
รว่ มของโรงเรียนกบั ชมุ ชน (X1) โดยกลุม่ ตวั แปรเหลา่ นมี้ ีอานาจในการพยากรณไ์ ด้รอ้ ยละ 66.70

ฉัตรสุดา อมรชาติ (2558, น. 1) ได้ศึกษาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหาร
สถานศึกษาอำเภอสุคิริน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 2 พบว่า คะแนน
เฉลี่ยการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาอำเภอสุคิริน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษานราธิวาส เขต 2 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผลการเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ย
การบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษาอำเภอสุคิริน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานราธิวาส เขต 2
จำแนกตามเพศ และประสบการณ์การทำงาน พบว่า ภาพรวมไม่แตกตา่ งกัน

70

วรรณภา สาลี (2558) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การบริหารงานวิชาการของผู้บริหาร
สถานศึกษาตามทัศนะของครู สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 5 ครูซึ่งมีเพศ
แตกต่างกนั มีทัศนะเกย่ี วกับการบรหิ ารงานวชิ าการในโรงเรียนในภาพรวมไม่แตกต่างกนั

วิมล เดชะ (2558, น. 73 – 81) ได้ศึกษาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหาร
โรงเรียนดีประจำตำบล สำนักงานเขตพนื้ ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาสตูล ผลการวิจัย พบวา่ 1) ผู้บริหาร
สถานศึกษาและครูผู้สอนมีความคิดเห็นต่อบทบาทการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนดี
ประจำตำบล โดยภาพรวมและรายด้านมีค่าเฉล่ียอยู่ในระดับมาก โดยเรียงค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย
ได้แก่ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ด้านการวัดผลและประเมินผล ด้านหลักสูตรและการ
นำไปใช้ ด้านการนิเทศการศึกษา ด้านการพัฒนาสื่อและการนำไปใช้ตามลำดับ 2) ผู้บริหาร
สถานศึกษาและครูผู้สอนในโรงเรียนดีประจำตำบล สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสตูล
ที่มีวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงานแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริการงานวิชาการ
ของผบู้ ริหารโรงเรยี นดปี ระจำตำบล โดยภาพรวมและรายด้านทกุ ดา้ นไม่แตกต่างกัน เม่อื พจิ ารณาราย
ด้านพบว่า ด้านหลกั สูตรและการนำหลักสูตรไปใช้ ด้านการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน ด้านการวัด
และประเมินผลและด้านการนิเทศการศึกษาพบว่าไม่แตกต่างกัน สำหรับด้านการพัฒนาสื่อและการ
นำไปใช้แตกต่างกนั อยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิติทีร่ ะดับ .05 3) ขอ้ เสนอแนะ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา
ควรพัฒนาครูผู้สอนให้มีความสามารถในการวิเคราะห์หลักสูตร การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้และ
เทคนคิ การสอนท่ีเนน้ ผเู้ รียนเปน็ สำคญั จัดหาสือ่ การเรยี นการสอนท่ที นั สมัยและเหมาะสมให้เพียงพอ
กับความต้องการของครูผู้สอนและนักเรียน มีการประเมินผลตามสภาพจริง ตลอดจนควรจัดทำ
แผนปฏบิ ัตกิ ารนเิ ทศภายในและกำหนดปฏิทนิ การดำเนนิ การนเิ ทศใหช้ ดั เจน

สุภารัตน์ อึ้งถาวรดี (2558) ได้ทำการวิจัยเรื่อง ปัญหาการบริหารงานวิชาการตาม
ความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 5
ผลการศึกษาพบว่า การบริหารงานวิชาการตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูสังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 5 จำแนกตามเพศในภาพรวมไม่แตกต่างกัน อย่างมี
นยั สำคัญทางสถิติ ท่ีระดับ .05

วรรณภา สาลี (2558, น. 149) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การบริหารงานวิชาการของ
ผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 5 พบว่า
ในภาพรวมอยู่ในระดบั มาก

ปภานีย์ ดอกดวง (2559) ได้ทำวิจัยเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการ
บริหารงานวิชาการของโรงเรยี นในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาแก้งโนนกาเร็น สังกัดสำนักงานเขตพืน้ ท่ี
การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับของ

71

ปัจจัยด้านผู้บริหาร ปัจจัยด้านครูผู้สอน ปัจจัยด้านผู้ปกครองและชุมชน ปัจจัยด้านอาคารสถานที่
ปัจจัยด้านงบประมาณและปัจจัยด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาของโรงเรียนในกลุ่มเครือข่าย
สถานศึกษาแก้งโนนกาเร็น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 5
2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาแก้งโนนกา
เร็น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานีเขต 5 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์
ระหว่างปัจจัยการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการของ
โรงเรียนในกลุ่มเครือขา่ ยสถานศึกษาแก้งโนนกาเร็น สังกัดสำนักงานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษา
อุบลราชธานีเขต 5 4) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน
ในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาแก้งโนนกาเร็น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
อุบลราชธานีเขต 5 5) เพื่อสร้างสมการพยากรณ์ประสิทธิภาพการบริหารงานวชิ าการของโรงเรียนใน
กลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาแก้งโนนกาเร็น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
อุบลราชธานีเขต 5 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า
ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัจจัยการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมาก
2. ประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3. ความสัมพันธ์
ระหว่างปัจจัยการบริหารงานวิชาการ กับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการในโรงเรียน มี
ความสัมพันธ์ในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยตัวแปรต้นที่มีค่าสัมประสิทธ์ิ
สหสัมพันธ์สูงสุดคือ ด้านอาคารสถานที่ รองลงมา ได้แก่ด้านผู้บริหารสถานศึกษาและตัวแปรที่มีค่า
สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ต่ำสุดคือ ด้านงบประมาณ เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาและมีความสัมพันธ์ใน
ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4. ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารของ
โรงเรียน ได้แก่ ปัจจัยด้านผู้บริหารสถานศึกษา ปัจจัยด้านครูผู้สอน ปัจจัยด้านผู้ปกครองชุมชน
ปัจจัยด้านอาคารสถานที่ ปัจจัยด้านงบประมาณ และปัจจัยด้านเทคโนโลยีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ที่ระดับ.01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ เท่ากับ .572 ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการ
พยากรณ์เท่ากับ .150 และสร้างสมการพยากรณ์ประสิทธิภาพการบริหารของโรงเรยี น พบว่า ปัจจัย
ด้านผู้บริหารสถานศึกษา (X1) ปัจจัยด้านครูผู้สอน (X2) ปัจจัยด้านผู้ปกครองชุมชน (X3) ปัจจัยด้าน
อาคาร สถานท่ี (X4) ปัจจัยดา้ นงบประมาณ (X5) และปจั จัยดา้ นเทคโนโลยี (X6) อยา่ งมีนัยสาคัญทาง
สถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ เท่ากับ .572 และมีอำนาจการพยากรณ์ร้อยละ
32.80

พีระพัฒน์ มะมิง (2559) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การบริหารงานวิชาการแบบการมีส่วน
ร่วมของผู้บริหารโรงเรียนตามการรับรู้ของครูวิชาการโรงเรียนในส ำนักงานเขตมีนบุรี
สังกัดกรุงเทพมหานคร ผลการวิจัย พบว่า ครูวิชาการที่มีประสบการณ์การทำงานต่างกัน มีการรับรู้

72

เกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการแบบการมีส่วนร่วมของผู้บริหารโรงเรียนในสำนักงานเขตมีนบุรี
สังกัดกรงุ เทพมหานคร โดยภาพรวมมคี วามแตกตา่ งกนั

สุลัดดาวัลย์ อัฐนาค (2559) ได้ทำการวิจัยเรื่อง สภาพและปัญหาการบริหารงาน
วิชาการ ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
อุบลราชธานี เขต 3 ผลการวิจัย พบว่าครูผู้สอนที่มีวุฒิการศึกษาแตกต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับ
สภาพ การบรหิ ารวชิ าการในโรงเรยี นขยายโอกาสทางการศึกษา โดยรวมแตกตา่ งกันอยา่ งมีนัยสำคัญ
ทางสถติ ิท่รี ะดบั .05

มูนา จารง (2560, น. 137 - 142) การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา
ตามทัศนะครูผู้สอนในศูนย์เครือข่ายตลิ่งชัน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา
เขต 2 ผลการค้นคว้าอิสระพบว่า 1.ระดับการบริหารงานวิชาการของผูบ้ ริหารสถานศึกษาตามทศั นะ
ครูผู้สอนในศูนย์เครือข่ายตลิ่งชัน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต 2 ด้าน
การบริหารงานวิชาการ โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณารายด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด
3 อันดับ พบว่า ด้านการวัดผลและประเมินผลและดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด
รองลงมาคือ ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้และด้านการพัฒนาหรือดำเนินการเกี่ยวกับการให้
ความเห็นการพัฒนาสาระหลักสูตรท้องถิ่นตามลำดับ 2. ผลการเปรียบเทียบระดับการบริหารงาน
วิชาการของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาตามทัศนะครูผู้สอนในศนู ย์เครือข่ายตลิ่งชัน สงั กัดสำนกั งานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต 2 จำแนกเพศ การศึกษาและประสบการณ์ทำงาน ไม่แตกต่างกัน
3. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะครูผู้สอน ในศูนย์
เครอื ขา่ ยตลิ่งชนั สงั กัดสำนกั งานเขตพืน้ ท่กี ารศึกษาประถมศึกษายะลา เขต 2 คอื ผูบ้ รหิ ารควรมีการ
วางแผนงานดา้ นวชิ าการ ควรพฒั นาหรือดำเนนิ การเกยี่ วกบั การใหค้ วามเห็นการพฒั นาสาระหลักสูตร
ท้องถ่นิ และควรมกี ารนิเทศการศึกษาเป็นระยะ ๆ

พนารัตน์ ยาพันธ์ (2560, น. 104) ได้ทำการวิจัยเรื่อง บทบาทการบริหารงาน
วิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 1 พบว่า
ในภาพรวมอยู่ในระดบั มาก

อมั ภาพร ราชนแิ พน (2560) ไดท้ ำการวจิ ัยเร่อื ง การบรหิ ารงานวิชาการของผู้บริหาร
สถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูในสำนักงานเขตห้วยขวาง สังกัดกรุงเทพมหานคร ผลการวิจัย
พบว่า ครูที่มีเพศต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา
โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกตา่ งกัน ยกเว้นดา้ นการพฒั นาหลกั สูตรสถานศกึ ษา พบความแตกต่าง
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยครูผู้ชายมีความคิดเห็นต่อการบริหารงานวิชาการ
ของผู้บริหารสถานศึกษา สำนกั งานเขตห้วยขวาง สังกัดกรงุ เทพมหานคร สูงกว่าครูเพศหญงิ

73

กัญญ์ณพัชร์ เพิ่มพูน (2561, น. 123) ได้ทำการวิจัยเรื่อง สมรรถนะการบริหารงาน
วชิ าการของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาโรงเรียนจุฬาภรณราชวทิ ยาลัย ภาคใต้ พบว่า ในภาพรวมอยใู่ นระดับ
มาก

สถติ ย์ เทศาราช (2562) ได้ทำการวิจยั เร่อื ง การศึกษาสภาพและแนวทางการพัฒนา
งานวชิ าการของผู้บรหิ ารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกดั สำนกั งานอาชวี ศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี
จำแนกตามวุฒิการศึกษา โดยภาพรวม พบว่า วุฒิการศึกษาปริญญาตรแี ละสงู กว่าปริญญาตรีมคี วาม
แตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05

นุชรี เนยี มรัตน์ (2562, น. 75) ได้ทำการวิจยั เร่ือง ความคดิ เหน็ ของครูผู้สอนต่อการ
บริหารงานวชิ าการของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรยี นสงั กัดเทศบาลนครหาดใหญ่ ในภาพรวม
อยู่ในระดับมาก

จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานวิชาการของ
ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ศึกษาค้นคว้าสรุปว่า การบริหารงานวิชาการ สถานศึกษาทางการศึกษา
วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ การวางแผนงานวิชาการ การจัดแผนการเรียน การจัดกิจกรรมนักเรียน
การวัดผลและการประเมินผลการเรียน และการประเมินงบประมาณสนับสนุนโครงการ ขาดบุคลากร
ที่มีความรู้ความสามารถในการสอนวชิ าชีพ ครูมีภาระในการสอนมากและต้องสอนหลายวิชาและต่าง
ระดับชั้นเรียน มีบางส่วนที่ไม่ได้กำหนดตัวบุคคลในการรับผิดชอบงาน ขาดบุคลากรที่มีคุณวุฒิและ
ประสบการณ์ งบประมาณด้านการพัฒนาการเรียนการสอนมีจำกัด ขาดบุคลากรที่มีความรู้
ความสามารถเกี่ยวกับการวัดผล ประเมินผล และขาดการนําผลการประเมินผลงานวิชาการมาใช้
ปรับปรุงพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการของผู้บริหาร
สถานศึกษาในสถานศึกษาตามทัศนะของครู ได้ศึกษาวิจัยเรื่องการบริหารงานวิชาการของ ผู้บริหาร
สถานศึกษาขั้นพื้นฐานตามทัศนะของหัวหน้างาน ได้วิจัยเร่ืองปัญหาและแนวทางพัฒนาการ
บริหารงานวิชาการ ซึ่งเรียงจากมากไปหาน้อย 3 ลำดับแรก คือ ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้
ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและด้านการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา
ตามลำดับส่วนปัญหาการบริหารงานวิชาการ จำแนกตามสถานภาพการสอน พบว่าโดยรวมและราย
ด้านทุกด้านแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ การบริหารวิชาการ คือ ควรมีการวิเคราะห์
ประเมนิ ทบทวนการใชห้ ลักสูตรและตดิ ตามการใชห้ ลกั สตู รเป็นระยะ ๆ อยา่ งต่อเนอ่ื งควรมกี ารนิเทศ
การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ แผนการจัดการเรียนรขู้ องครูอย่างต่อเน่ืองและเป็นระบบ สง่ เสริมให้ครูแต่
ละคนสร้างสื่อการสอนที่ทันสมัย ตรงกับเนื้อหาที่สอน เพียงพอกับผู้เรียน ควรมีการวัดผลและ
ประเมินผลโดยใชเ้ ครื่องมือที่เหมาะสมและครอบคลุม ควรมีการนิเทศตดิ ตามอย่างต่อเน่ืองจริงจังและ
สม่ำเสมอ นำผลการนิเทศไปปรับปรุงเพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพจัดการ

74

เรียนรูใ้ ห้สอดคล้องตามสาระและหน่วยการเรียนรู้ กำหนดในหลกั สตู รสถานศกึ ษา โดยเน้นผเู้ รยี นเป็น
สำคัญ ตามเป้าหมายความสำเรจ็ ของผ้เู รียนและสถานศกึ ษาตามมาตรฐานการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน

งานวจิ ัยตา่ งประเทศ
สมิชท์ และคณะ (Smit etal, 1961, น. 170 อ้างถึงใน ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์,
2553) ในด้านการใช้เวลาในการทำงานและการให้ความสำคัญของงานในสถานศึกษา งานในความ
รบั ผดิ ชอบของผู้บริหารโดยแบ่งงานออกเป็น 2 ประเภท พบว่าการบริหารวชิ าการ คดิ เป็นร้อยละ 40
งานบริหารงานบุคลากร ได้แก่ ครู อาจารย์และเจ้าหน้าที่ คิดเป็นร้อยละ 20 งานบริหารกิจการ
นักเรียนนักศึกษา คิดเป็นร้อยละ 20 งานบริหารการเงิน คิดเป็นร้อยละ 5 งานบริหารงานอาคาร
สถานที่ คิดเป็นร้อยละ 5 งานบริหารความสัมพันธ์กับชุมชน คิดเป็นร้อยละ 5 และงานบริหารทั่วไป
คดิ เป็นรอ้ ยละ 5
ดีเชาว์เทล (Desautel, 1978, อ้างถึงใน ลิขิต เศรษฐบุตร, 2551 น. 45) ได้ทำการ
วิจัยเรื่อง บทบาทผู้บริหารสถานศึกษาต่อการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขต
พนื้ ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาศรสี ะเกษ เขต 1 พบว่า ครใู หญ่มี ความเหน็ ว่าตนใชเ้ วลาสว่ นใหญ่ในการ
บริหารจัดการด้านกิจกรรมการเรียนการสอนและมีความเห็น อีกว่าเขาควรจะปฏิบัติหน้าที่ในด้านนี้
มากกว่าที่ได้ปฏิบัติอยู่แล้วและเห็นว่าเป็นผู้นำในด้านการจัดการเรียนการสอนเป็นบทบาทที่สำคัญ
ของครใู หญ่
มีนูน (Minudin, 1987 อ้างถึงใน ดวง สุวรรณเกิดผล, 2550) ทําการวิจัย
บทบาททางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในรฐั ซาบาร์ มาเลเซีย พบว่า ส่วนใหญ่ผู้บรหิ ารมีหน้าท่ี
เป็นหลักในการประเมินผลโครงการของสถานศึกษา สนับสนุนให้ผู้ร่วมงานมีการศึกษาและ
ประสบการณ์เพิ่มขึ้น กำหนดวตั ถุประสงค์ของสถานศึกษาอย่างชัดเจน ควบคุมโครงการและกิจกรรม
อ่ืน ๆ ท้งั หมดของสถานศกึ ษาสอนในระดบั ชัน้ ร้แู ละเข้าใจกฎข้อบงั คับในการเรียนรายวิชาต่าง ๆ
โรเจอร์ (Rogars, 1992 อ้างถึงใน ซัลวานี ดังนามอ, 2556) ศึกษาเรื่องบทบาทของ
ผู้บริหารสถานศึกษา ผลการศึกษาพบว่าบทบาทที่สำคัญ ๆ ของผู้บริหาร ได้แก่ การบริหารงาน
วชิ าการเป็นผู้นำด้านการชแ้ี นะการสอน การบริหารงานบคุ คลเป็นผู้บริหารจดั การและการบริหารงาน
สถานศึกษากับชมุ ชนเป็นผู้สร้างมนุษย์สัมพันธ์
คิกเกอร์สัน (Dickerson, 1996 อ้างถึงใน สมส่วน ภูวงษ์ยางนอก, 2554)
ได้ทําการศึกษาเรื่อง การศึกษาเชิงคุณภาพเกี่ยวกับแบบภาวะของผู้นำควบคุมและความจำกัด ของ
บทบาทของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ทบ่ี รหิ ารงานวิชาการในสถานศึกษา โดยมวี ัตถุประสงคเ์ พ่ือวิเคราะห์
บทบาทของครูใหญ่ในบริบทของการบริหารงานวิชาการ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับบทบาท ผู้บริหาร

75

สถานศึกษา ได้แก่ 1) แบบภาวะผู้นำ 2) กลไกการควบคุมทางสังคม 3) ความตึงเครียดหรือความ
จํากัดของบทบาทที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของบทบาทที่คาดหวัง ผลการค้นคว้าอิสระ พบว่าใน
ด้านพฤติกรรมองค์กรนั้น ความคาดหวังในบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
โดยมีการบริหารโดยใช้สถานศึกษาเป็นฐานเป็นตัวกลาง ความตึงเครียดระดับสูงของบทบาทของ
ผ้บู ริหารสถานศกึ ษา เกิดจากความไมส่ อดคล้องระหว่างการบรหิ ารโดยใชส้ ถานศึกษา เป็นฐานกับการ
ใช้อำนาจตามตำแหน่งเพื่อการควบคุมการปฏิบัติงานและการบริหารโดยใช้สถานศึกษาเป็นฐานกับ
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สภาวะเช่นนี้อาจทำให้มีแรงต่อต้านเกิดขึ้นด้วย
และแรงต่อต้านที่เกิดขึ้นในส่วนของผู้บริหารสถานศึกษาเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการพยายามปรับปรุง
รูปแบบการบริหารโดยใช้สถานศึกษาเป็นฐาน ทั้งนี้อาจเกิดจากความต้องการที่หวนกลับไปใช้การ
บรหิ ารแบบรวมอำนาจเช่นเดิม

Smith (2006) ได้ศึกษาเรื่องการบริหารงานวิชาการในสหรัฐอเมริกา พบว่าการจะ
ทำใหก้ ารบริหารงานวิชาการมสี มรรถภาพสูง ตอ้ งส่งเสริมใหค้ รใู ชเ้ ทคนคิ การสอนหลาย ๆ วธิ ี ให้คณะ
ครูมีส่วนร่วมในการจัดวางแผนการอบรม จัดโครงการให้ครูได้สับเปลี่ยนกันเยี่ยมชั้นเรียนและ
สังเกตการณ์สอน การประเมินผลและติดตามผลการปฏิบัติงาน การสาธิตการสอน การนิเทศครูใหม่
วิจารณ์การปฏิบัติงานครูโดยไม่เสียกำลังใจให้ครูมีเวลาสอนมากขึ้น ให้ครูมีส่วนร่วมในการเลือก
โสตทัศนูปกรณ์ จัดอบรมความรู้เกี่ยวกับวิชาการศึกษาแก่ครูตลอดจนค่าที่พักและครูที่ไปอบรมทาง
วชิ าการ

จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานวิชาการของ
ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ศึกษาค้นคว้าสรุปว่า การบริหารงานวิชาการในสหรฐั อเมริกา พบว่าการจะทำ
ใหก้ ารบรหิ ารงานวิชาการมีสมรรถภาพสูง ตอ้ งสง่ เสริมให้ครใู ช้เทคนคิ การสอนหลาย ๆ วธิ ี ให้คณะครู
มีสว่ นรว่ มในการจัดวางแผนการอบรม จัดโครงการให้ครูไดส้ ับเปล่ียนกนั เยยี่ มช้ันเรียนและสังเกตการ
สอน การประเมินผลและติดตามผลการปฏิบัติงาน การสาธิตการสอน การนิเทศครูใหม่ วิจารณ์การ
ปฏิบัติงานครูโดยไม่เสียกำลังใจให้ครูมีเวลาสอนมากขึ้น ให้ครูมีส่วนร่วมในการเลือกโสตทัศนูปกรณ์
จัดอบรมความรู้เกี่ยวกับวิชาการศึกษาแก่ครูตลอดจนค่าที่พักและครูที่ไปอบรมทางวิชาการ การวิจยั
บทบาททางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในรัฐซาบาร์ มาเลเซีย พบว่า ส่วนใหญ่ผู้บรหิ ารมีหน้าที่
เป็นหลักในการประเมินผลโครงการของสถานศึกษา สนับสนุนให้ผู้ร่วมงานมีการศึกษา
และ ประสบการณ์เพิ่มขึ้น กำหนดวัตถุประสงค์ของสถานศึกษาอย่างชัดเจน ควบคุมโครงการและ
กจิ กรรมอน่ื ๆ ทง้ั หมดของสถานศึกษา เพอ่ื ให้บรรลเุ ป้าหมายตามทตี่ ัง้ ไวอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ

76

กรอบแนวคดิ ทใี่ ชใ้ นการวิจัย

การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาระดับความคิดเห็นของครูผู้สอนต่อการบริหารงาน
วิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ตามกรอบ
การบริหารวิชาการของการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550 จำนวน 5 ด้าน (สำนักงานคณะกรรมการ
การศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน, 2550, น. 158 – 171) โดยแสดงความสมั พันธ์ของตวั แปรอิสระและตวั แปรตาม
ดงั นี้

ตวั แปรอสิ ระ ตวั แปรตาม

ขอ้ มูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ความคิดเห็นต่อการบริหารงานวิชาการ
ของผู้บริหารสถานศกึ ษา สงั กดั สำนักงาน
1 เพศ เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต 5
1.1 ชาย ดา้ น ได้แก่
1.2 หญิง 1. ด้านหลกั สตู รและการนำหลักสตู รไปใช้
2. ด้านการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน
2 วฒุ กิ ารศึกษา 3. ด้านการพัฒนาสือ่ และการนำไปใช้
2.1 ปริญญาตรี 4. ด้านการวดั ผลและประเมินผล
2.2 สงู กว่าปรญิ ญาตรี 5. ด้านนเิ ทศการศกึ ษา

3 ประสบการณ์ในการทำงาน
3.1 ตำ่ กว่า 5 ปี
3.2 5 - 10 ปี
3.3 สูงกว่า 10 ปี

4 ขนาดโรงเรยี น
4.1 โรงเรยี นขนาดเลก็
4.2 โรงเรยี นขนาดกลาง
4.3 โรงเรียนขนาดใหญ่
4.4 โรงเรยี นขนาดใหญ่พเิ ศษ

ภาพที่ 1 กรอบแนวคดิ ที่ใชใ้ นการวิจัย

77

บทท่ี 3

วิธีดำเนนิ การวจิ ัย

การวิจัยครั้งน้ี เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) มีวัตถุประสงค์เพ่ือ
ศึกษาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศกึ ษาภูเก็ต ตามความคิดเห็นของครูผูส้ อน โดยมีขนั้ ตอนในการดำเนนิ การวจิ ยั ดังนี้

1. พ้นื ทีท่ ่ีใชใ้ นการวจิ ัย
2. ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
3. เคร่ืองมือทีใ่ ช้ในการวจิ ัยและการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
5. การวเิ คราะห์ข้อมลู และสถติ ิทีใ่ ช้

พนื้ ท่ีท่ใี ชใ้ นการวิจยั

พื้นที่ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศกึ ษาภูเก็ต ปกี ารศกึ ษา 2564

ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง

ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอนที่ปฏิบัติหน้าที่การสอนในสังกัดสำนักงาน
เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ปีการศึกษา 2564 โดยมีโรงเรียน 49 โรงเรียน ประกอบด้วย
ครผู ู้สอน 834 คน (ขอ้ มลู สารสนเทศ สำนกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาภเู ก็ต, 2564)
กลุ่มตัวอยา่ ง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอนที่ปฏิบัติหน้าที่การสอนในสังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ปีการศึกษา 2564 ซึ่งผู้วิจัยได้กำหนดขนาด
กลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie & Morgan, 1970, pp.607 - 610)
ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น จำนวน 260 คน โดยผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified

77

78

Random Sampling) ตามขนาดของโรงเรียน จากนั้นนำมาเทียบสัดส่วนและใช้การสุ่มแบบอย่าง
งา่ ย (Simple Ramdom Sampling) ด้วยวธิ ีการจับสลากแบบไมใ่ สค่ นื ดงั ตารางที่ 1

ตารางท่ี 1 จำนวนประชากรและกลุ่มตวั อย่าง (ตามขนาดโรงเรียน) ครผู ู้สอนที่ปฏบิ ัติหนา้ ที่การสอน
ในสถานศกึ ษา สังกดั สำนักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาภูเก็ต ปีการศกึ ษา 2564

ที่ ขนาดโรงเรียน จำนวนโรงเรยี น จำนวนประชากร จำนวนกลมุ่ ตัวอยา่ ง

1 เล็ก 30 257 80

2 กลาง 12 262 82

3 ใหญ่ 6 232 72

4 ใหญ่พิเศษ 1 83 26

รวม 49 834 260

ทีม่ า : (ข้อมูลสารสนเทศ สำนักงานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษาภูเก็ต, 2564)

เครือ่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวิจัยและการตรวจสอบคุณภาพเครอื่ งมอื

เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) ความคิดเห็น
ของครูผู้สอนต่อการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาภูเก็ต แบง่ ออกเปน็ 2 ตอน ดังนี้

ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของครูผู้สอนสังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ประกอบด้วย เพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์
ในการทำงานและขนาดของโรงเรียน

ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับความคิดเห็นของครูผู้สอนที่มีต่อการ
บริหารวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต
สร้างขึ้นตามกรอบแนวคิดและวัตถุประสงค์การวัดตามนิยามศัพท์ จำนวน 5 ด้าน (สำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2550, น. 158 – 171) ประกอบด้วย ข้อคำถาม จำนวน 32 ข้อ
จำแนกเปน็ รายดา้ น ดังนี้

79

1. หลกั สูตรและการนำหลักสูตรไปใช้ จำนวน 7 ข้อ

2. การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน จำนวน 7 ขอ้

3. การพัฒนาสอ่ื และการนำเอาไปใช้ จำนวน 6 ขอ้

4. การวัดผลและประเมนิ ผล จำนวน 6 ข้อ

5. การนเิ ทศการศกึ ษา จำนวน 6 ข้อ

ลักษณะของแบบสอบถามตอนที่ 2 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า

(Rating Scale) โดยกำหนดตัวเลือกไว้ 5 ระดับ (ธานินท์ ศิลป์จารุ, 2557, น. 75) โดยให้ผู้ตอบ

แบบสอบถามแสดงความคิดเห็นต่อการบริหารวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขต

พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ในปัจจุบันในแต่ละข้อมากน้อยเพียงใด ซึ่งกำหนดคะแนน

ประมาณคา่ ดังนี้

ระดับ 5 หมายถึง การบรหิ ารงานวิชาการอยใู่ นระดับ มากท่สี ุด

ระดับ 4 หมายถึง การบริหารงานวิชาการอยใู่ นระดบั มาก

ระดบั 3 หมายถึง การบริหารงานวิชาการอยใู่ นระดับ ปานกลาง

ระดบั 2 หมายถึง การบรหิ ารงานวิชาการอยูใ่ นระดับ นอ้ ย

ระดับ 1 หมายถึง การบริหารงานวชิ าการอยู่ในระดับ น้อยท่สี ดุ

ตอนที่ 3 เป็นแบบสอบถามปลายเปิด (Open – ended Questionnaire)

เพื่อทราบข้อเสนอแนะตามความคิดเห็นของครูผู้สอนต่อการบริหารวิชาการของผู้บริหารสถานศกึ ษา

สังกดั สำนกั งานเขตพ้ืนที่การศกึ ษาประถมศึกษาภเู ก็ต

การสร้างและการตรวจสอบคุณภาพเคร่อื งมอื
ผูว้ จิ ยั ได้ดำเนนิ การสร้างเคร่อื งมอื ทใ่ี ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล โดยมขี ัน้ ตอนดังนี้

1. ศึกษาตำราเอกสารทางวิชาการ แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
กับการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
ภเู ก็ต

2. กำหนดวัตถุประสงค์และกรอบแนวคิดในการวิจัยเพื่อกำหนดขอบเขต
ของคำถาม เกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ตามความคิดเห็นของครูผสู้ อน

3. สร้างแบบสอบถามตามกรอบแนวคิดและวัตถุประสงค์การวัดตาม
นยิ ามศพั ท์ โดยแบบสอบถาม พฒั นามาจากของ ดนัย วิรโิ ย, (2556), วมิ ล เดชะ, (2559), นุชรี เนียม

80

รัตน์, (2562) ได้ค่าความเชื่อม่ันท้ังฉบับ .67 ขึ้นไป มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า
(Rating scale) 5 ระดบั

4. นำแบบสอบถามที่สร้างเสร็จแล้วเสนออาจารย์ที่ปรึกษาสารนิพนธ์
เพื่อตรวจสอบ โครงสร้างคำถาม การใช้ภาษา ความครอบคลุมในเนื้อหาสาระและความถูกต้อง
สมบูรณแ์ ลว้ นำข้อเสนอแนะมาปรบั ปรงุ แก้ไขใหเ้ หมาะสม

5. นำแบบสอบถามที่ได้ปรับปรุงแล้ว เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน
เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) เพื่อพิจารณาค่าความสอดคล้อง
ระหว่างข้อคำถามกับนิยามศัพท์ (Index of Item Objective Congruence: IOC) แต่ละข้อของ
แบบสอบถาม ตัง้ แต่ .67 ขน้ึ ไป (สมนึก ภทั ทิยธนี, 2553, น. 220) โดยมผี ูเ้ ช่ียวชาญ 3 ทา่ นดงั น้ี

คนที่ 1 ดร.ธีระชัย รัตนรังษี รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นท่ี
การศกึ ษา วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ สำนกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษาประจวบคีรีขันธ์

คนที่ 2 ดร.เรวดี เชาวนาสัย ผู้อำนวยการโรงเรียน วิทยฐานะชำนาญ
การพเิ ศษ โรงเรยี นบ้านหนา้ ควนลัง(ราษฎร์สามัคคี) สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสงขลา

คนที่ 3 รองศาสตราจารย์ ดร.จรสั อตวิ ทิ ยาภรณ์ ผูอ้ ำนวยการหลักสูตร
การบริหารการศกึ ษา มหาวิทยาลยั หาดใหญ่

การให้คะแนนของผ้เู ช่ียวชาญดังนี้
+1 เม่ือขอ้ คำถามสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์และนิยามศัพทเ์ ฉพาะ
0 เมอ่ื ไมแ่ น่ใจว่าขอ้ คำถามสอดคล้องกบั วัตถุประสงค์และนยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ
-1 เม่ือข้อคำถามไม่สอดคลอ้ งกับวตั ถุประสงคแ์ ละนยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ
ผลการวิเคราะห์ความสอดคล้อง (IOC) ของแบบสอบถามพบว่า มีค่า IOC ตั้งแต่
.67 – 1.00 จำนวน 32 ข้อ (รายละเอียดดังภาคผนวก ค)

6. นำแบบสอบถามที่ผา่ นการวิเคราะห์หาความสอดคล้องมาปรับปรุงแก้ไข
ตามคำแนะนำของผ้เู ชี่ยวชาญ แล้วนำเสนอต่ออาจารย์ทป่ี รึกษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง

7. นำแบบสอบถามที่ทำการปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้ (Try-out)
กบั กลุ่ม ครผู ้สู อนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ซึ่งไม่ใช่กลุ่ม
ตัวอย่างที่ศึกษา จำนวน 30 คน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม
(Reliability) โดยใช้สูตรการหาค่าสัมประสิทธิแอลฟาของครอน บาค (Cronbach's Alpha
Coefficient) ได้ค่าสัมประสิทธิ์ของความเชื่อมั่นแบบสอบถามเท่ากับ .971 (รายละเอียด
ดังภาคผนวก ค)

81

8. นำแบบสอบถามที่ผ่านการทดลองใช้แล้วมาปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์
และนำเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์อีกครั้ง ก่อนนำไปใช้เก็บข้อมูลกับ
กลุ่มตัวอยา่ งของการวจิ ยั

การเกบ็ รวบรวมข้อมลู

การวจิ ยั ครงั้ นี้ ผูว้ จิ ัยดำเนินการเก็บข้อมลู ตามข้ันตอนดังต่อไปนี้
1. นำหนังสือจากคณะศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่
เพื่อขอความร่วมมือไปยังผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ในการขอความร่วมมือ
ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู จากกลุ่มตวั อยา่ งที่ใช้ในการวจิ ยั
2. นำหนังสือจากผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต เพื่อขอ
ความร่วมมือไปยังผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต
ในการขอความรว่ มมอื เก็บรวบรวมข้อมลู จากกลุ่มตวั อย่างท่ีใชใ้ นการวิจยั
3. ดำเนินการเก็บข้อมูล ซึ่งผู้วิจัยได้ส่งแบบสอบถามโดยใช้ Google Form ไปยัง
สถานศึกษาที่เป็นกลุ่มตัวอย่างผ่านทางระบบการสื่อสารข้อมูลอิเล็กทรกนิกส์ของสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต โดยแบบสอบถามส่งไปจำนวน 260 ฉบับ
และได้รบั กลับมา 260 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 100 กำหนดสง่ คนื ภายใน 15 วนั
4. เมื่อได้รับแบบสอบถามคืน ผู้วิจัยดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง
ความสมบูรณ์ของการตอบแบบสอบถาม เพื่อนำไปดำเนินการวิเคราะห์ทางสถิติและสรุปผล
ตามขัน้ ตอนของการวจิ ัยตอ่ ไป

การวเิ คราะห์ข้อมลู และสถิตทิ ีใ่ ช้ในการวิจยั

การวิเคราะหข์ อ้ มูล
ผู้วิจัยนำแบบสอบถามที่ได้รับคนื มาทัง้ หมดมาตรวจสอบความสมบูรณค์ รบถว้ นของ
คำตอบในแบบสอบถามแต่ละชุด นำแบบสอบถามที่มีความสมบูรณ์มาวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรม
วิเคราะห์ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ ดังนี้

1. แบบสอบถามตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของครูผู้สอน วิเคราะห์โดยการหา
ค่าความถี่ (Frequency) และคา่ รอ้ ยละ (Percentage)

82

2. แบบสอบถามตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นของครูผู้สอน
ตอ่ การบริหารวิชาการของผบู้ ริหารสถานศึกษา สงั กดั สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต
วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
ท้งั ภาพรวม รายด้านและรายขอ้ และแปลความหมายโดยเทยี บกบั เกณฑส์ มบูรณ์ (Absolute Criteria)
ซ่ึงแบง่ ค่าชว่ งคะแนนเปน็ ช่วง ๆ ดังน้ี (บุญชม ศรสี ะอาด, 2554, น. 42 - 43)

ช่วงคะแนน 4.51 – 5.00 หมายถึง การบริหารงานวิชาการของผู้บริหาร
สถานศกึ ษา อยู่ในระดับ มากที่สดุ

ช่วงคะแนน 3.51 – 4.50 หมายถึง การบริหารงานวิชาการของผู้บริหาร
สถานศึกษา อยู่ในระดับ มาก

ช่วงคะแนน 2.51 – 3.50 หมายถึง การบริหารงานวิชาการของผู้บริหาร
สถานศึกษา อยใู่ นระดับ ปานกลาง

ช่วงคะแนน 1.51 – 2.50 หมายถึง การบริหารงานวิชาการของผู้บริหาร
สถานศึกษา อยู่ในระดับ น้อย

ช่วงคะแนน 1.00 – 1.50 หมายถึง การบริหารงานวิชาการของผู้บริหาร
สถานศึกษา อยใู่ นระดับ นอ้ ยที่สดุ

3. วิเคราะห์เปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต โดยจำแนกตามเพศและวุฒิการศึกษา โดยใช้
การทดสอบค่าที (t-test) แบบกลุ่มตัวอย่างที่เป็นอิสระจากกัน (Independent Samples)
เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย ระหว่าง 2 กลุ่มและใช้การทดสอบค่าเอฟ (F-test)
เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย ระหว่าง 3 กลุ่มขึ้นไป ด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวน
แบบทางเดียว (One Way Anova) จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงานและขนาดโรงเรียน
หากพบว่ามีความแตกตา่ งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตผิ วู้ ิจัยทำการเปรยี บเทียบคา่ เฉล่ียแบบรายคู่โดยใช้
วิธขี อง Scheffe'

4. แบบสอบถามตอนท่ี 3 ข้อเสนอแนะการบริหารงานวิชาการของผู้บริหาร
สถานศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จาก
ผู้ตอบแบบสอบถามนำมาวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ในแต่ละด้าน เพื่อแยกแยะแนวคิด
สรุปรวบรวมและนำเสนอเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสํานักงาน
เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ หลักสูตรและการนำหลักสูตรไปใช้
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การพัฒนาสื่อและการนำไปใช้ การวัดผลและประเมินผลและ
การนิเทศการศึกษา นำเสนอผลการวเิ คราะหด์ ้วยการพรรณนาเชงิ อธบิ าย

83

สถติ ทิ ใี่ ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล
1. สถติ ทิ ใ่ี ช้ในการหาคณุ ภาพของเคร่อื งมือ ไดแ้ ก่

1.1 ตรวจสอบความตรงของเน้ือหา โดยการหาค่า IOC
1.2 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม โดยใช้สูตรการหาค่าสัมประสิทธิ์
แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient)
2. สถติ ิพืน้ ฐาน ไดแ้ ก่ คา่ ความถ่ี คา่ ร้อยละ ค่าเฉลีย่ และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
3. สถติ ทิ ี่ใชใ้ นการทดสอบสมมติฐาน
3.1 การทดสอบค่าที (t-test) แบบกลุ่มตัวอย่างที่เป็นอิสระจากกัน
(Independent Samples) สำหรับเปรียบเทียบความคิดเห็นของครผู ู้สอนตอ่ การบริหารงานวิชาการ
ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จำแนกตามเพศ
วฒุ ิการศกึ ษา
3.2 การทดสอบค่าเอฟ (F-test) เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของ
ค่าเฉลี่ยระหว่าง 3 กลุ่มขึ้นไปโดยใช้วิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว
(One Way Anova) สำหรับเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูผู้สอนต่อการบริหารงานวิชาการของ
ผบู้ ริหารสถานศึกษา สงั กัดสำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาภเู ก็ต จำแนกตามประสบการณ์
ในการทำงาน ขนาดโรงเรียนและหากพบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติผู้วิจัยทำ
การเปรียบเทยี บคา่ เฉลย่ี แบบรายค่โู ดยใชว้ ธิ ีของ Scheffe'
4. วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับข้อเสนอแนะการบริหารงานวิชาการของผู้บริหาร
สถานศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต โดยวิเคราะห์เนื้อหา (Content
Analysis) ใน 5 ด้าน ได้แก่ หลักสูตรและการนำหลักสูตรไปใช้ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
การพัฒนาสื่อและการนำไปใช้ การวัดผลและประเมินผลและการนิเทศการศึกษา นำเสนอผล
การวิเคราะห์ดว้ ยการพรรณาเชงิ อธิบาย

84

บทที่ 4

ผลการวิจยั

การวิจัยเรื่อง การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขต
พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ในครั้งนี้ศึกษาจากครูผู้สอนที่ปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ปีการศึกษา 2564 จัดกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด
จำนวน 260 คน เก็บข้อมูลดว้ ยแบบสอบถาม วิเคราะห์ขอ้ มลู และนำเสนอผลการวจิ ัยตามลำดับดังน้ี

ตอนที่ 1 ขอ้ มูลทั่วไปของผตู้ อบแบบสอบถาม
ตอนท่ี 2 ระดบั ความคดิ เห็นของการบริหารงานวชิ าการของผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา
ตอนที่ 3 ข้อมูลเปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา
สงั กดั สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาภเู กต็
ตอนที่ 4 ข้อเสนอแนะการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด
สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต

สญั ลักษณ์ในการนำเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู

X แทน คา่ เฉล่ยี
S.D. แทน ค่าสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน
df แทน ชน้ั ความเปน็ อสิ ระ
t แทน คา่ สถติ ทิ ดสอบที
F แทน ค่าสถิติทดสอบเอฟ
* แทน ระดบั นัยสำคัญทางสถิตทิ ี่ .05
** แทน ระดบั นยั สำคญั ทางสถิติท่ี .01
*** แทน ระดบั นยั สำคญั ทางสถิตทิ ี่ .001

84

85

ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู

ตอนท่ี 1 ขอ้ มูลท่ัวไปของผตู้ อบแบบสอบถาม
ผลการศึกษาขอ้ มูลทัว่ ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ ครูผู้สอนที่ปฏิบัติหนา้ ที่ใน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จำแนกตามตัวแปรประกอบด้วยเพศ
วุฒกิ ารศึกษา ประสบการณใ์ นการทำงานและขนาดโรงเรียน รายละเอยี ดแสดงในตารางที่ 2 ดังน้ี

ตารางท่ี 2 ขอ้ มูลท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน (คน) n = 260
ร้อยละ
ข้อมูลทวั่ ไป
เพศ 53 20.38
207 79.62
ชาย
หญิง 260 100.00

รวม 194 74.62
วุฒกิ ารศึกษา 66 25.38

ปริญญาตรี 260 100.00
สูงกว่าปริญญาตรี
55 21.16
รวม 122 46.92
ประสบการณ์ในการทำงาน 83 31.92

ต่ำกว่า 5 ปี 260 100.00
5 - 10 ปี
สงู กว่า 10 ปี 80 30.77
82 31.54
รวม 72 27.69
ขนาดโรงเรียน 26 10.00

โรงเรยี นขนาดเล็ก 260 100.00
โรงเรยี นขนาดกลาง
โรงเรยี นขนาดใหญ่
โรงเรียนขนาดใหญพ่ ิเศษ

รวม

86

จากตารางท่ี 2 พบวา่ ขอ้ มูลทัว่ ไปของผูต้ อบแบบสอบถามจำนวน 260 คน สว่ นมาก
เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย จำนวน 207 คน คิดเป็นร้อยละ 79.62 และเพศชาย จำนวน 53 คน
คิดเป็นรอ้ ยละ 20.38 ผู้ตอบแบบสอบถามท่ีมวี ุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี มมี ากทส่ี ุด จำนวน 194
คน คิดเป็นรอ้ ยละ 74.62 สงู กวา่ ปรญิ ญาตรี จำนวน 66 คน คิดเป็นร้อยละ 25.38 ด้านประสบการณ์
ในการทำงาน พบว่าผตู้ อบแบบสอบถามทม่ี ีประสบการณใ์ นการทำงาน 5 – 10 ปี มีมากทสี่ ุด จำนวน
122 คน คิดเป็นร้อยละ 46.92 รองลงมาคือประสบการณ์ในการทำงานสูงกว่า 10 ปี จำนวน 83 คน
คดิ เป็นร้อยละ 31.92 และนอ้ ยทีส่ ดุ คือประสบการณใ์ นการทำงานต่ำกวา่ 5 ปี จำนวน 55 คน คิดเป็น
รอ้ ยละ 21.16 ส่วนดา้ นขนาดของโรงเรียน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามปฏิบัติงานอยู่ในโรงเรียนขนาด
กลาง จำนวน 82 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 31.54 โรงเรียนขนาดเล็ก จำนวน 80 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 30.77
โรงเรียนขนาดใหญ่ จำนวน 72 คน คิดเป็นร้อยละ 27.69 และโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ
จำนวน 26 คน คิดเป็นร้อยละ 10.00

ตอนท่ี 2 การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขต
พืน้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษาภูเกต็

ผลการศึกษาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขต
พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต โดยภาพรวมและรายข้อในแต่ละด้าน แสดงไว้ในตารางที่ 3 – 8
ดังน้ี

ตารางที่ 3 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศึกษาภูเกต็ โดยภาพรวมและรายดา้ น

การบรหิ ารงานวชิ าการของผู้บริหารสถานศกึ ษา ระดบั ความคิดเหน็

1. หลกั สูตรและการนำหลักสตู รไปใช้ X S.D. ระดบั
2. การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน
3. การพัฒนาสอ่ื และการนำไปใช้ 4.34 .46 มาก
4. การวัดผลและประเมนิ ผล 4.45 .48 มาก
5. การนิเทศการศึกษา 4.37 .57 มาก
4.48 .41 มาก
รวม 4.35 .60 มาก
4.40 .44 มาก

87

จากตารางที่ 3 พบว่า การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึ กษา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.40,
S.D. = .44) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการวัดผลและประเมินผล
มาก ( X = 4.48, S.D. = .41) รองลงมา คือ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ( X = 4.45,
S.D. = .48), ด้านการพัฒนาสื่อและการนำไปใช้ ( X = 4.37, S.D. = .57), ด้านการนิเทศการศึกษา
( X = 4.35, S.D. = .60) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านหลักสูตรและการนำหลักสูตรไปใช้
( X = 4.34, S.D. = .46)

ตารางที่ 4 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต โดยภาพรวมและจำแนกเป็นราย
ขอ้ ดา้ นหลกั สตู รและการนำหลกั สตู รไปใช้

ด้านหลักสตู รและการนำหลักสตู รไปใช้ ระดับความคดิ เหน็
X S.D. ระดับ
1.สถานศึกษามีการศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางเพื่อจัดทำ 4.37 .62 มาก
หลักสตู รสถานศึกษา
2.สถานศึกษามีการศึกษาข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับปัญหา ความ 4.24 .50 มาก
ตอ้ งการ และบรบิ ทของชมุ ชน
3.สถานศึกษามีการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของโรงเรียน เพ่ือ 4.39 .66 มาก
ประเมินความพร้อมในการบริหารหลักสตู ร
4.สถานศึกษามีการจัดทำโครงสร้างหลักสูตรและกลุ่มสาระ การ 4.41 .67 มาก
เรียนรใู้ ห้สอดคลอ้ งกบั สภาพปัญหา 4.41 .55 มาก
5.สถานศึกษามีการวางแผนปรับปรุง พัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง 4.39 .58 มาก
อย่างเปน็ ระบบ
6.สถานศึกษามีการจัดทำเครื่องมือท่ใี ชใ้ นการประเมินติดตามการใช้ 4.18 .66 มาก
หลักสูตร 4.34 .46 มาก
7.สถานศึกษามีการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคู่มือการใช้
หลกั สูตรและการจดั ทำเอกสารหลกั สูตร

รวม


Click to View FlipBook Version