๔๔ - ฟังเพื่อจับใจความให้ได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องโต้แย้งไม่จำกัดเวลาในการฟังและฟังอย่างมี ศิลปะ - ฟังเพื่อพิจารณาหาแนวทางที่จะเสนอให้ยุติธรรมเป็นกลางและเหมาะสมกับสภาพของ ปัญหานั้น 3.4 ประเภทของการฟัง จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ (๒๕๔๐ : ๘๐) ได้กล่าวประเภทของการฟังไว้ดังนี้ ๑) การฟังสารประเภทให้ความรู้ สารที่ให้ความรู้ ได้แก่ เรื่องเกี่ยวกับวิชาการข่าวสารต่าง ๆ ใน การฟังประเภทนี้ควรฟังอย่างตั้งใจเพื่อให้เข้าใจเนื้อหาของสารและสามารถจับประเด็นสำคัญของเรื่องได้ ที่ สำคัญคือต้องใช้การวินิจสารในการฟัง ได้แก่ การวิเคราะห์ ข้อความ การจับใจความและการตีความ ซึ่ง อาจใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือทั้ง ๒ – ๓ วิธีก็ได้ แล้วแต่ลักษณะของข้อความ เมื่อฟังแล้วต้องบันทึกประเด็น สำคัญ รวมทั้งบันทึกคำถามและประเด็นที่ควรอภิปรายไว้ด้วย เพื่อเตือนความทรงจำหรือนำไปใช้ประโยชน์ ต่อไป ๒) การฟังสารประเภทโน้มน้าวใจ ในชีวิตประจำวันเราจะได้ฟังสารโน้มน้าวใจในลักษณะของ การโฆษณา เช่น การโฆษณาสินค้า โฆษณาหาเสียง นอกจากนี้ยังมีการโต้แย้งแบบต่าง ๆ เช่น การโต้วาที การวิจารณ์ รวมทั้งการโน้มน้าวใจด้วยการพูดขอร้อง วิงวอน การโน้มน้าวใจดังกล่าวล้วนแต่มีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้สารโน้มน้าวใจนั้นมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของผู้ฟังจนผู้ฟังมีพฤติกรรมตามที่ผู้พูดต้องการ ดังนั้นในการฟังสารประเภทโน้มน้าวใจ ก่อนอื่น ผู้ฟังจะต้องแยกแยะสารให้ได้ว่าผู้พูดมีจุดหมายที่จะโน้ม น้าวใจไปในทางดีหรือไม่ดี แล้วใช้วิจารณญาณในการฟัง เพื่อให้เกิดความเข้าใจและตัดสินได้ว่าควรเชื่อถือ เรื่องที่ฟังหรือไม่ ๓) การฟังสารประเภทจรรโลงใจ สารประเภทจรรโลง คือ สารประเภทคลายทุกข์เพิ่มสุขและ ให้คติข้อคิดแก่ผู้ฟัง ก่อให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย เกิดสติปัญญาที่จะต่อสู้กับอุปสรรคหรือแก้ไขปัญหา ต่าง ๆ ให้ลุล่วงไป บางครั้งผู้ฟังจะเกิดความรู้สึกเพลิดเพลินใจ ได้รับความสุขใจ เกิดจินตนาการและความ ซาบซึ้ง การฟังสารประเภทจรรโลงใจเป็นสิ่งที่สามารถยกระดับจิตใจของผู้ฟังให้สูงขึ้น เกิดความรู้สึกที่ดี งาม มีอุดมคติและมองเห็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ในการฟังสารประเภทจรรโลง ควรทำใจให้สบายไม่ เคร่งเครียดเอาจริงเอาจัง ฟังอย่างเข้าใจและจับสาระสำคัญได้ สร้างจินตนาการให้ตรงตามลักษณะสาร
๔๕ เช่น การฟังกวีนิพนธ์ต้องฟังให้ได้รับรสไพเราะใช้จินตนาการในการสร้างภาพตามที่ผู้แต่งถ่ายทอดไว้ใน ถ้อยคำ อีกอย่างหนึ่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (๒๕๕๑ : 104 - 106) ได้กล่าวไว้ว่า มนุษย์เราต้อง ฟังผู้อื่นพูดในโอกาสต่าง ๆ มากมาย ซึ่งสามารถจำแนกการฟังเหล่านั้นตามลักษณะของการฟังได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้ 1) การฟังการสื่อสารระหว่างบุคคล คือการสื่อสารขั้นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของมนุษย์เป็นการ ฟังที่บุคคลสื่อสารกันเพียง 2 คน โดยมีบทบาทเป็นผู้พูดและผู้ฟังตามความเหมาะสม การฟังระหว่าง บุคคลมีทั้งที่ไม่เป็นทางการ เช่น การฟังในขณะที่ทักทายกัน การสนทนา การสอบถาม การแนะนำ เป็นต้น และที่เป็นทางการ เช่น การฟังการสัมภาษณ์ การแนะนำตัว การถาม-ตอบ เป็นต้น การฟังระหว่างบุคคลมี ประโยชน์ต่อผู้ฟังในด้านที่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและกระชับความสัมพันธ์กับผู้อื่น ช่วยฝึกฝนให้ ผู้ฟังมีความสามารถในการจับประเด็นและโต้ตอบได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งนำไปสู่การพัฒนาตนเองในด้าน อื่น ๆ ได้ การฟังระหว่างบุคคลจะเกิดประสิทธิภาพได้ผู้ฟังจะต้องคำนึงถึงวิธีการฟังที่ถูกต้องและเหมาะสม โดยมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้ 1.1) พยายามปรับตัวให้เข้ากับคู่สนทนา คือการเข้าใจกาลเทศะในการสนทนาเช่น กรณีคู่ สนทนาเป็นผู้สูงอายุ ผู้ฟังต้องระมัดระวังกิริยามารยาท มีความอ่อนน้อม ทั้งกาย วาจา และใจ เชิญชวน และสนับสนุนให้ผู้พูดกล่าวถึงประสบการณ์อันมีประโยชน์ หรือกรณีคู่สนทนาเป็นผู้อ่อนวัยกว่า ผู้ฟังต้อง ยอมรับความคิดเห็น ความสามารถของเขา ไม่แสดงกิริยาวาจาดูหมิ่น หรือไม่ให้ความสำคัญหรือไม่ให้ เกียรติผู้พูด เป็นต้น 1.2) พยายามแสดงกิริยาอาการแบบเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส เพื่อให้เกิดบรรยากาศการ สนทนาที่ดี สบายใจ ไม่ขัดเขิน แต่ต้องคำนึงถึงเรื่องในการสนทนาว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องเศร้า 1.3) พยายามมีส่วนร่วมในการสนทนา คู่สนทนาควรพูดคุยสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนความ คิดเห็น ประสบการณ์จะทำให้ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย 1.4) พยายามใช้ความละเอียดถี่ถ้วนในการจับประเด็นเรื่องที่กำลังสนทนาคู่สนทนาต้องมี สติในการจูงใจให้พูดในประเด็น แสดงความรู้ได้ตรงประเด็น ไม่ออกนอกเรื่องจนคู่สนทนาเบื่อและรำคาญ 1.5) พยายามใช้ปฏิภาณไหวพริบในการดำเนินการสนทนาให้ราบรื่น ผู้ฟังต้องสังเกตว่า การสนทนาขณะนั้นดำเนินไปได้โดยราบรื่นหรือไม่ หากเกิดปัญหาขึ้นควรหาทางแก้ไขให้ทันการ เช่นใช้
๔๖ ศิลปะในการซักถามขยายความต่อ เปลี่ยนประเด็น ปรับความรู้สึกและบรรยากาศอย่างเป็นมิตรเมื่อ เหตุการณ์การสนทนาเป็นไปในทางที่ไม่ดี เป็นต้น 2) การฟังในกลุ่มขนาดเล็ก การฟังในกลุ่มขนาดเล็ก ผู้ฟังจะต้องทราบเป้าหมายร่วมกันว่ามี เป้าหมายอะไร มีประโยชน์ต่อผู้ฟังในด้านที่เป็นการสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจกลุ่มมากขึ้นทั้ง ในด้านเป้าหมาย ปัญหา และวิธีการแก้ปัญหาของกลุ่ม ช่วยให้ผู้ฟังรู้จักการร่วมมือกับผู้อื่น ช่วยให้ประสบ ความสำเร็จในการทำงานและการเข้าสังคม รวมทั้งนำไปสู่การพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ ได้ การฟังใน กลุ่มขนาดเล็กจะมีประสิทธิภาพได้ ผู้ฟังจะต้องคำนึงถึงวิธีการฟังที่ถูกต้องและเหมาะสม โดยมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้ 2.1) พยายามศึกษาเรื่องที่จะฟังมาก่อนล่วงหน้า ผู้ฟังควรตระหนักถึงเป้าหมายของกลุ่ม ในเรื่องนั้น ๆ ให้ชัดเจน เพื่อจะได้เตรียมตัวให้การฟังนั้นประสบความสำเร็จสูงสุด 2.2) พยายามตั้งใจฟังเรื่องราวที่ได้ฟังอย่างสม่ำเสมอผู้ฟังต้องมีความอดทนที่จะฟังเรื่องที่ ผู้อื่นพูดตั้งแต่ต้นจนจบ 2.3) พยายามแสดงความรู้ความคิดของตนเองต่อกลุ่มเมื่อโอกาสเหมาะสม ผู้ฟังควรเสนอ ความคิดต่อกลุ่มเพื่อเป็นการเสนอข้อมูลหรือข้อเสนอแนะ เพื่อให้กลุ่มได้ใช้ในการประกอบการตัดสินใจที่ รอบคอบ 2.4) พยายามควบคุมอารมณ์ สุขุมเยือกเย็น ยิ้มแย้มแจ่มใส บางครั้งผู้ฟังอาจไม่เห็นด้วย กับกลุ่มก็ควรโต้แย้งอย่างสุภาพและมีเหตุผล หรือผู้ฟังที่ดีต้องใจกว้าง ยอมรับฟังความคิดเห็นและเหตุผล ของผู้อื่น ซึ่งอาจจะไม่เห็นด้วยหรือเห็นด้วยกับความคิดของผู้ฟัง เพราะทุกคนย่อมมีความสามารถและ เหตุผลเช่นเดียวกัน อย่าเชื่อมั่นตนเองสูง และจะเอาชนะเพียงอย่างเดียว 3) การฟังในที่ประชุมชน การฟังในที่ประชุมชนจะมีรูปแบบที่มีผู้พูดคนเดียวหรือเป็นกลุ่ม ส่วน ผู้ฟังจะมีจำนวนมาก และมีหน้าที่ฟังทำความเข้าใจกับสิ่งที่ฟัง รวมทั้งอาจจะซักถามหรือแสดงความคิดเห็น ได้บ้าง เมื่อผู้พูดเปิดโอกาสให้ การฟังประเภทนี้มักจะมีรูปแบบที่เป็นทางการเช่น การอภิปรายในที่ สาธารณะ การแสดงปาฐกถา การโฆษณาหาเสียง การปราศรัย การกล่าวต้อนรับ การกล่าวสดุดี การ บรรยาย การแถลงการณ์ และการพูดในโอกาสพิเศษต่าง ๆ ในที่ประชุมชน เป็นต้น การฟังในที่ประชุมชน เป็นการฟังที่ช่วยให้ผู้ฟังได้รับสาระความรู้ ข้อคิดอันเป็นประโยชน์ในการพัฒนาชีวิตตนเองในด้านต่าง ๆ ได้ รวมทั้งได้ความเพลิดเพลินจากวาทะของผู้พูด ได้ศึกษาวิธีการพูด การเสริมสร้างบุคลิกภาพจากผู้พูด เพื่อ
๔๗ ใช้ในการพัฒนาการเป็นนักพูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การฟังในที่ประชุมชนจะประสบความสำเร็จและเกิด ประโยชน์อย่างแท้จริง ผู้ฟังควรมีวิธีการฟังที่ถูกต้องและเหมาะสม ดังนี้ 3.1) ควรศึกษาหัวข้อและผู้พูดมาก่อนล่วงหน้า การมีข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องและประวัติ ของผู้พูดมาบ้างจะช่วยให้เข้าใจเรื่องได้ง่าย และเข้าใจจุดมุ่งหมาย ข้อคิดและทรรศนะและความน่าเชื่อถือ ได้ดีขึ้น 3.2) พยายามสร้างสมาธิในการฟัง เนื่องจากบางครั้งการฟังในที่ประชุมชนจะมี สภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการฟัง ผู้ฟังจึงต้องตั้งใจมีสมาธิมากในการฟังประเภทนี้ 3.3) พยายามรักษามารยาทในการฟังอย่างเคร่งครัด ผู้ฟังควรฟังด้วยความสุภาพให้ เกียรติผู้พูด รวมทั้งไม่ก่อความเดือดร้อนรำคาญ หรือพฤติกรรมอื่น ๆ ที่จะก่อให้เกิดปัญหาในการฟัง 3.4) ควรแสดงปฏิกิริยาตอบสนองผู้พูดตามความเหมาะสม การแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง ผู้พูดจะช่วยให้ผู้พูดทราบว่าผู้ฟังเข้าใจเรื่องที่ฟังแจ่มแจ้งหรือไม่ เช่น การพยักหน้ารับหรือยิ้มให้ผู้พูด หรือ แสดงความคิดเห็นเมื่อมีโอกาสเหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ผู้พูดมีกำลังใจที่จะพูดต่อไปด้วย 3.5) พยายามจับประเด็นสำคัญและสาระของเรื่องที่ฟัง วิธีการจดบันทึกจะช่วยให้ผู้ฟังจำ เรื่องได้ดี ผู้ฟังควรจดบันทึกประเด็นสำคัญ ข้อเท็จจริง หลักฐานที่มาของข้อมูลและทรรศนะของผู้พูดอย่าง ย่อ ๆ เมื่อมีเวลาภายหลังการฟังควรบันทึกเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ต่อไป 3.6) สังเกตวิธีการพูดและลักษณะบุคลิกภาพของผู้พูดที่ดีไว้ เพื่อเป็นแบบอย่างแนวทาง ของผู้ฟังในการพูดได้ต่อไป 4) การฟังจากสื่อมวลชน การฟังจากสื่อมวลชนเป็นการฟังผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น แถบ บันทึกเสียงวีดิทัศน์ วิทยุ วิทยุโทรทัศน์ ภาพยนตร์ ประชาสัมพันธ์เสียงตามสาย เป็นต้น การฟังสารจาก สื่อมวลชน มีความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน และก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ฟังหลายด้าน คือให้ความรู้ข่าวสาร แก่ผู้ฟังอย่างกว้างขวาง ช่วยให้ผู้ฟังได้รับการถ่ายทอดความรู้ วัฒนธรรม และค่านิยมจากสังคม ช่วยให้ เป็นผู้ทันโลกทันเหตุการณ์ ช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และเป็นที่ยอมรับของ สังคม รวมทั้งนำความคิดที่ได้จากการฟังไปประยุกต์ใช้กับตนเองได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย การฟังประเภท นี้ผู้ฟังจะต้องคำนึงถึงวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม ดังนี้ 4.1) ควรเลือกฟังรายการที่มีประโยชน์ ได้แก่ การศึกษา การเมือง เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น จะช่วยให้ผู้ฟังพัฒนาสมรรถภาพ การเรียนรู้ของตนมีความรู้ กว้างขวางใช้ในการดำเนินชีวิต การศึกษา และการประกอบอาชีพ รวมทั้งความเจริญก้าวหน้าของตนด้วย
๔๘ 4.2) ตั้งใจฟังสารจากสื่อมวลชนอย่างมีสติมั่นคง ผู้ฟังควรฟังข้อมูลต่าง ๆ อย่างมีสติ มั่นคง ไม่ตื่นกลัว จนก่อให้เกิดความวุ่นวาย และจดบันทึกสาระสำคัญเพื่อไว้ใช้ประโยชน์ได้ต่อไป 4.3) พยายามฟังสารจากสื่อมวลชนประกอบกันหลาย ๆ รายการ การฟังจากแหล่งข้อมูล หลายแหล่งจะช่วยให้ผู้ฟังพิจารณาเห็นความสัมพันธ์ระหว่างสารต่าง ๆ ที่สื่อมวลชนนำเสนอ รวมทั้งจะได้ ทราบเรื่องราวที่ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกแง่ทุกมุมว่ามีความสอดคล้องส่งเสริมหรือขัดแย้งกันอย่างไร เพื่อให้ สามารถรับสารได้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง 4.4) ควรใช้วิจารณญาณในการฟังให้มากที่สุด การใช้วิจารณญาณในที่นี้คือการรู้จัก วิเคราะห์ ประเมินค่าสารที่ได้ฟัง เพื่อให้รู้จุดมุ่งหมาย เจตนาและความจริงใจของผู้พูด สิ่งเหล่านี้จะเป็น ข้อมูลประกอบการตัดสินใจของผู้ฟังว่าควรเชื่อถือคล้อยตามผู้พูดหรือไม่ 3.5 กระบวนการในการฟัง จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ (๒๕๔๐ : ๗๘) ได้กล่าวไว้ว่า ผู้ฟังควรปฏิบัติตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ ๑) ขั้นได้ยินเสียง คือ กระบวนการฟังจะเริ่มต้นจากการได้ยินเสียงจากแหล่งของเสียง ซึ่งแพร่ เสียงที่มีลักษณะเป็นคลื่นไฟฟ้าผ่านอากาศเข้ามา ประสาทสัมผัสทางหูหรือโสตประสาทจะรับเสียงเหล่านี้ ผ่านเข้าไปยังสมอง ๒) ขั้นรับรู้ คือ เมื่อเสียงผ่านเข้ามาในสมองแล้ว สมองจะจำแนกเสียงออกไปตามลักษณะ โครงสร้างทางไวยากรณ์ของแต่ละภาษา หากเป็นเสียงในภาษาที่ผู้ฟังรู้จักจะเกิดการรับรู้หรือยอมรับเสียง นั้น แต่หากเป็นเสียงในภาษาที่ผู้ฟังไม่รู้จักเสียงที่ผ่านเข้ามาก็จะไม่เกิดความหมายใด ๓) ขั้นเข้าใจ คือ เมื่อสมองจำแนกเสียงที่ได้ยินว่าเป็นเสียงที่ผู้ฟังรู้จักแล้ว สมองจะพยายามทำ ความเข้าใจโดยการวิเคราะห์และตีความเสียงที่ได้ยินออกมาเป็นความหมายต่าง ๆ ตามความสามารถ ๔) ขั้นพิจารณา คือ เมื่อสมองแปลเสียงที่ได้ยินออกมาเป็นความหมายต่าง ๆ แล้ว จะนำ ความหมายต่าง ๆ ที่ได้มาพิจารณาโดยใช้วิจารณญาณว่าสารที่ได้รับมานั้นเชื่อถือได้หรือไม่ และเป็น ประโยชน์ต่อตนเองหรือไม่ ๕) ขั้นการนำไปใช้ คือ เมื่อพิจารณาสารเรียบร้อยแล้ว ผู้ฟังจะนำความรู้ความเข้าใจที่ได้จาก การฟังไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองในด้านหนึ่งต่อไป”
๔๙ อีกอย่างหนึ่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (๒๕๕๑ : 95) ได้กล่าวไว้ว่า กระบวนการฟังมี 2 ประเภท คือ 1) การฟังโดยปกติ คือ ได้ยิน รับรู้ เข้าใจ 2) การฟังอย่างมีวิจารณญาณ คือ วิเคราะห์ ใคร่ครวญ วินิจฉัย ประเมินค่า และใช้ประโยชน์ ซึ่งสามารถจัดกระบวนการฟังได้ 6 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ขั้นได้ยินเสียง กระบวนการฟังจะเริ่มต้นจากการ ได้ยินเสียงจากแหล่งของเสียงซึ่งแพร่คลื่น เสียงที่มีลักษณะเป็นคลื่นไฟฟ้าผ่านอากาศเข้ามา ประสาทสัมผัสทางหู หรือโสตประสาทจะรับ เสียงเหล่านี้ ผ่านเข้าไปยังสมอง 2) ขั้นรับรู้ เมื่อเสียงผ่านเข้ามาในสมองแล้ว สมองจะจำแนกเสียงพยางค์ไปตามลักษณะ โครงสร้างทางไวยากรณ์ของแต่ละภาษา หากเป็นเสียงในภาษาที่ผู้ฟังรู้จักและเข้าใจจะเกิดการรับรู้ หรือ ยอมรับเสียงนั้น แต่หากผู้ฟังไม่รู้จักเสียงที่ผ่านเข้ามาก็จะไม่เกิดความหมายใด 3) ขั้นตีความ เป็นขั้นที่ผู้ฟังแปลความหมาย หรือตีความหมายของประโยคหรือสิ่งที่ได้ยิน ได้ ฟัง 4) ขั้นเข้าใจ เป็นขั้นการฟังซึ่งผู้ฟังสามารถเข้าใจความหมายของใจความสำคัญของผู้พูดได้ อย่างถูกต้อง 5) ขั้นพิจารณาหรือขั้นเชื่อ เป็นขั้นที่ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ฟังที่จะตัดสินว่าเรื่องที่ได้ยิน มานั้น มีความจริงเพียงใด เชื่อถือได้หรือไม่ ยอมรับได้หรือไม่ และเป็นประโยชน์ต่อตนเองหรือไม่ 6) ขั้นการนำไปใช้ เมื่อพิจารณาสารเรียบร้อยแล้วผู้ฟังจะนำความรู้ความเข้าใจที่ได้จากการฟัง ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคมต่อไป 3.6 ประเภทของสารที่ฟัง วาสนา บุญสม (2541 : 12 – 13) ได้แบ่งสารที่ฟังออกเป็น ๓ ประเภท ดังนี้ ๑) สารประเภทให้ความรู้ ได้แก่ตำราวิชาการ ข่าวสาร บทความสารคดีต่าง ๆ ผู้ฟังจำเป็นต้อง ตั้งจุดประสงค์ในการฟัง ซึ่งอาจเป็นการจับใจความสำคัญ การจับใจความสำคัญโดยละเอียด การหา เหตุผลมาโต้แย้ง หรือคล้อยตามเพื่อหาวิธีการฟังให้บรรลุจุดประสงค์ที่วางไว้ นอกจากนี้การรู้จักแยกแยะ ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น ค่านิยมหรือความเชื่อของสารที่ได้ฟัง ตลอดจนพิจารณาดูว่า ผู้พูดมีลีลาการพูด เหมาะสมหรือไม่ การใช้สำนวนภาษาเป็นอย่างไร ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของการฟังสารให้เข้าใจได้ชัดเจน และลึกซึ้งยิ่งขึ้น
๕๐ ๒) สารประเภทโน้มน้าวใจ ได้แก่ คำขวัญ คำเชิญชวน คำโฆษณาสินค้า และคำโฆษณาชวน เชื่อ โน้มน้าวใจ หมายถึงการพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อ ค่านิยม ทัศนคติ หรือพฤติกรรมของ บุคคลอื่น หลักการสำคัญของสารโน้มน้าวใจเพื่อตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ผู้โน้มน้าว ควรจะเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ มีความรู้คู่คุณธรรมมีมนุษยสัมพันธ์ รู้จักกระตุ้นให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์ร่วม ชี้แจง ให้เขาเห็นทางเลือก ทั้งในด้านดีด้านเสีย ตลอดจนรู้จักสร้างบรรยากาศแก่ผู้ฟัง ภาษาที่ใช้ในการโน้มน้าว ควรมีน้ำเสียงเชิงขอร้องวิงวอน ข้อเสนอแนะหรือเร้าใจผู้ฟังจำเป็นต้องใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบ ถึง ความสมเหตุสมผล และผลได้ผลเสียที่จะเกิดขึ้นทั้งแก่ตนเองและแก่ประเทศชาติ ๓) สารประเภทจรรโลงใจ ได้แก่ สารที่ยกระดับจิตใจผู้ฟังให้สูงขึ้น ช่วยผ่อนคลายความตึง เครียด หรือสร้างสรรค์ภูมิปัญญาผู้ฟังให้เกิดจินตนาการกว้างไกล เกิดความซาบซึ้ง ตรึงใจ เช่น บทเพลง บทละคร กวีนิพนธ์ และธรรมเทศนา เป็นต้น อีกอย่างหนึ่ง ในการดำเนินชีวิตมนุษย์ใช้ทักษะการฟัง รับสารประเภทต่าง ๆ (มหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนคร, ๒๕๕๑ : 102) ซึ่งสามารถแบ่งได้ 3 ประเภท ได้แก่ การฟังสารที่ให้ความรู้ สารโน้มน้าวใจ และ สารจรรโลงใจ ซึ่งผู้ฟังจะรับสารได้อย่างมีประสิทธิผล จะต้องยึดถือหลักการฟังดังต่อไปนี้ 1) การฟังสารประเภทความรู้ สารที่ให้ความรู้มีหลายประเภท เช่น เรื่องเกี่ยวกับวิชาการ ภาษาไทย วิทยาศาสตร์จิตวิทยา การบริหารธุรกิจ ดนตรี ศิลปะ ข่าวสารต่าง ๆ เป็นต้น หลักในการฟังสาร ประเภทนี้ได้แก่ 1.1) ควรตั้งใจฟังอย่างมีสมาธิเพื่อให้เข้าใจเนื้อหาของสาร ใช้การบันทึกประเด็นสำคัญไว้ เพื่อเตือนความทรงจำหรือนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป 1.2) ใช้การวินิจสารในการฟัง ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อความ การตีความ และการจับ ใจความ 1.3) ควรซักถามผู้พูดในกรณีที่ไม่เข้าใจเนื้อหา และควรถามในโอกาสที่เหมาะสม 1.4) ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาที่ได้ฟังอย่างเข้าใจและบันทึกเนื้อหาเก็บไว้เพื่อ ความสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิต และการประกอบอาชีพรวมทั้งสร้าง จินตนาการให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ หรือประยุกต์ให้เกิดความรู้ที่แปลกใหม่ก้าวหน้ามากขึ้น 2) การฟังสารประเภทโน้มน้าวใจ จะมีจุดมุ่งหมายเพื่อโน้มน้าว ชักจูง หรือขอร้องวิงวอนให้ ปฏิบัติตามหรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามที่ผู้พูดต้องการ สารประเภทนี้ ได้แก่การเชิญชวน การอภิปราย
๕๑ การโต้วาที การวิจารณ์ การประชาสัมพันธ์การโฆษณาสินค้า โฆษณาหาเสียง และการแถลงข่าว เป็นต้น ดังนั้นผู้ฟังควรมีวิจารณญาณในการฟัง ดังนี้ 2.1) ตั้งใจฟังอย่างมีสมาธิ บันทึกประเด็นสำคัญ 2.2) แยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงและความคิดเห็น รวมทั้งพิจารณาอารมณ์ความรู้สึกของ ผู้พูดว่ามีความเป็นกลาง และมีสติสัมปชัญญะหรือไม่ 2.3) พิจารณาความหมายของคำและข้อความที่ไม่ได้สื่อสาร โดยตรงว่าผู้พูดแฝงเร้น เจตนาอะไรไว้บ้างหรือใจความที่พูด 2.4) สรุปเนื้อหาใจความของเรื่องได้อย่างเข้าใจ ครบถ้วน ถูกต้อง 2.5) ควรซักถามผู้พูด ในโอกาสที่เปิดโอกาสให้ถาม 2.6) ตัดสินเนื้อหาที่รับสารด้วยเหตุผลว่ามีจุดมุ่งหมายที่ดีหรือไม่ดี มีความจริงหรือไม่ ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือที่จะให้ประโยชน์ที่แท้จริงต่อตัวเราหรือไม่ และควรเปรียบเทียบข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ ด้วย 3) การฟังสารประเภทจรรโลงใจ คือ สารที่ฟังแล้ว สามารถยกระดับจิตใจของผู้ฟังให้สูงขึ้น เกี่ยวกับการตระหนักในความจริงของชีวิต ความดีงาม ความสุขใจที่แท้จริงเกิดจินตนาการ ความซาบซึ้ง ช่วยให้เกิดความเพลิดเพลิน สุขสบายใจ รวมทั้งช่วยให้เป็นผู้มีอุดมคติและมองเห็นแนวทางในการดำเนิน ชีวิตอย่างมีเหตุผล มีความสุขสบายอย่างยั่งยืนต่อไป สารประเภทนี้ ได้แก่ การฟังปาฐกถา การฟังพระ เทศน์ การฟังสุนทรพจน์ในโอกาสต่าง ๆ การฟังกวีนิพนธ์ การฟังเพลง เป็นต้น ผู้ฟังควรมีหลักในการฟัง ดังนี้ 3.1) มีความตั้งใจและทำใจให้สบาย 3.2) ทำความเข้าใจเนื้อหา จับสาระสำคัญของเรื่องได้และจดบันทึกประเด็นสำคัญไว้เพื่อ เป็นข้อคิดนำไปใช้ให้เกิดความสุขในการครองตน ครองคน และครองงานได้ต่อไป 3.3) สร้างจินตนาการให้ตรงตามลักษณะของสาร ก็จะช่วยให้ซาบซึ้งได้อรรถรสที่กล่อม เกลาจิตใจให้เพลิดเพลิน สุขใจ ได้แง่คิดที่ตรึงอยู่ในความรู้สึกของผู้ฟังตลอดไป
๕๒ 3.7 ประโยชน์ของการฟัง การฟังมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตหลายอย่าง ดังที่ รังสรรค์ จันต๊ะ (2541 : 2 – 3) ได้กล่าวไว้ ดังนี้ ๑) ทำให้ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวิทยาการต่างๆ อันจะ ทำให้เกิดการพัฒนาทางด้านความคิด สติปัญญาของตัวเองต่อไป ๒) ทำให้สามารถส่งสารต่อไปผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะฟังมาดี ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน ผ่านการวิเคราะห์ประเมินค่ามาแล้ว ๓) ทำให้เลือกปฏิบัติตนเป็นผู้บริโภคที่ฉลาดในสังคม เลือกบริโภคแต่สิ่งที่มีคุณค่า มีประโยชน์ ต่อตัวเองและสังคม ๔) ทำให้สามารถตัดสินใจ ที่จะเข้าร่วมกระบวนการเคลื่อนไหวในสังคมได้อย่างถูกต้อง ไม่ เพลี่ยงพล้ำ หรือตกเป็นเครื่องมือของใครได้ ๕) ทำให้เกิดการถ่ายทอดสิ่งที่ได้รับรู้มาสู่ผู้อื่น เพื่อสร้างความเข้าใจเป็นอังหนึ่งอันเดียวกันใน สิ่งที่ดีงามของคนในสังคม อีกอย่างหนึ่ง กองเทพ เคลือบพณิชกุล (๒๕๔๒ : ๒๕ – ๒๗) กล่าวไว้ว่า การฟังมีประโยชน์หลาย ด้าน ทั้งการติดต่อสื่อสาร และการพัฒนาตนเองการฟังช่วยให้มีความรู้ ความคิดที่สามรถเพิ่มประสิทธิภาพ ในการทำงาน ใช้ในการเข้าสังคมช่วยให้การอยู่ร่วมกันของมนุษย์เป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งได้สรุปประโยชน์ ของการฟังไว้ดังนี้ ๑) ให้ประโยชน์แก่สังคมมนุษย์ในการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน ๒) ทำให้ผู้ฟังได้รับทราบความรู้สึกนึกคิด หรือความคิดเห็นของผู้อื่น ทำให้เป็นผู้มีจิตใจ กว้างขวาง และเปิดใจกว้าง ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ๓) ทำให้ผู้ฟังรู้จักคิดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ เป็นคนมีเหตุผล ไม่หลงเชื่อผู้พูดโดยง่าย ๔) การฟังดนตรี ฟังเพลง บทร้อยกรองที่มีความไพเราะ ได้รับความเพลิดเพลิน และสร้าง จินตนาการให้เกิดขึ้น ๕) การฟังในบางครั้งผู้ฟังจะเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นความคิดที่แปลกใหม่และมี ประโยชน์ต่อสังคม ๖) การฟังทำให้ผู้ฟังได้รับทราบความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวเป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เป็นคนทันสมัยทันต่อเหตุการณ์ ๗) ผู้ที่มีความสามารถในการฟังย่อมจะช่วยส่งเสริมความคิด การพูดให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
๕๓ 3.8 มารยาทในการฟัง มารยาทในการฟัง คือ การรู้จักควบคุมปฏิกิริยาทางตั้งใจฟังไม่สร้างความรบกวนให้ แก่ผู้อื่นผู้ที่มี มารยาทที่ดี ควรปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักลักษณะของการฟังในโอกาสต่าง ๆ ดังนี้ ๑) มารยาทในการฟังการสนทนา ถ้าพูดเป็นผู้ใหญ่ควรฟังอย่างตั้งใจและไม่จ้องหน้าพูดจนเกินไป สบตาบ้างพอสมควร ไม่พยักหน้า รับเรื่องที่ฟัง ควรตอบรับด้วยว่า ครับ หรือคำว่า ค่ะ หากไม่เห็นด้วย ก็ควรวางสีหน้าปกติ รอโอกาสซักถาม ในภายหลัง ๒) มารยาทในการชมการแสดง - ไม่ส่งเสียงรบกวนผู้อื่นการหัวเราะควรให้เสียงดังพอเหมาะ - ไม่ควรคุยในเวลาที่ชมการแสดง - ไม่ควรลุกขึ้นยืนขยับตัวหรือเดินเข้าเดินออกบ่อย ๆ - หากไอหรือจามควรปิดปากปิดจมูกให้ดี - ควรปรบมือให้เกียรติไม่จบการแสดง ๓) มารยาทในการฟังการบรรยายอภิปรายหรือการโต้วาที - ควรนั่งตามลำดับก่อนหลัง ไม่นั่งตรงทางเข้าเป็นที่กีดขวางผู้ที่มาทีหลัง - ตั้งใจฟังอย่างมีสมาธิ ไม่พูดแทรกหรือวิจารณ์จนเป็นที่รำคาญของผู้อื่น - ไม่ลุกขึ้นเดินบ่อย ๆ หากจำเป็นควรทำความเคารพผู้พูดก่อน - เมื่อมีปัญหาอยากจะถาม ควรรอให้ผู้บรรยายเปิดโอกาสให้ถามได้ - ควรปรบมือเมื่อพอใจการพูด ไม่ส่งเสียงดัง เป่าปาก หรือกระทืบเท้า จนกลาย เป็นเป้า สายตาของผู้อื่น ๆ ๔) มารยาทในการฟังประชุม - ควรเคารพประธานและรองประธานพูดจนจบ - ตั้งใจฟังความคิดเห็นของผู้อื่นแม้จะไม่เห็นด้วย รักษากริยาให้อยู่ในความสงบ - เมื่อประธานพูดผู้อื่นพูดอยู่ ไม่ควรพูดแทรกขึ้นมา - สนใจฟังการพูดอย่างจริงจัง ไม่ทำงานอื่น หรือลุกขึ้นเดินเข้าออก - ควรฟังเรื่องที่กำลังประชุมอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อจะได้ออกเสียงลงมติได้ถูกต้อง
๕๔ อีกอย่างหนึ่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (๒๕๕๑ : 100 - 102) กล่าวไว้ว่าการฟังที่ดีมี ประสิทธิภาพ ผู้ฟังควรมีมารยาทในการฟังตามโอกาสต่าง ๆ ดังนี้ 1) มารยาทในการฟังการสนทนาระหว่างบุคคล ผู้ฟังควรปฏิบัติตนดังนี้ 1.1) เป็นผู้ฟังที่ดีด้วยการแสดงความสนใจผู้พูดอย่างจริงจังด้วยการสบตาเป็นระยะ ๆ อย่างพอเหมาะ 1.2) แสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อผู้ฟังอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ 1.3) สังเกตอากัปกิริยาของผู้พูดและน้ำเสียงในการสนทนา จะได้ปรับตัวอย่างเหมาะสม เพื่อให้การสนทนาดำเนินไปอย่างราบรื่น 1.4) พยายามข่มอารมณ์และความรู้สึก เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่อาจก่อให้เกิดความไม่พอใจ หรือไม่แสดงอาการเบื่อหน่ายให้คู่สนทนารับรู้ได้ 1.5) แสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ฟังบ้างตามโอกาสที่สมควร อาจเป็นการสนับสนุนอย่าง สมเหตุสมผล หรือโต้แย้งอย่างสุภาพ 1.6) ทำความเข้าใจแล้วพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะเชื่อ คล้อยตามหรือขัดแย้งอย่างมี เหตุผล 1.7) ใช้วิธีจบการสนทนาที่ก่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน เมื่อสนทนากับผู้พูดที่เป็นคนช่าง พูดแบบน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง 2) มารยาทในการฟังการพูดในที่ประชุม ผู้ฟังควรปฏิบัติตนดังนี้ 2.1) ควรแต่งกายให้ถูกกาลเทศะ ตามโอกาสของการจัดประชุมที่เป็นทางการ 2.2) เดินทางไปถึงสถานที่ที่จะมีการพูดก่อนเวลาเริ่มพูดประมาณ 15 นาที เพื่อจะได้มี เวลาในการหาสถานที่และที่นั่งให้เรียบร้อย และขณะที่รอฟังการพูดควรอยู่ในความสงบสำรวมกิริยาและไม่ รบกวนผู้อื่น 2.3) ไม่ควรนำอาหารและเครื่องดื่มเข้าไปรับประทานในระหว่างการฟัง 2.4) ให้เกียรติผู้พูดหรือประธานด้วยการลุกขึ้น (แสดงการต้อนรับ) รอให้ผู้พูดหรือผู้เป็น ประธานนั่งลงก่อน แล้วจึงนั่งตาม 2.5) ให้เกียรติผู้พูดด้วยการปรบมือ เมื่อมีการแนะนำผู้พูดและปรบมือแสดงความขอบคุณ อีกครั้ง เมื่อการพูดสิ้นสุดลง 2.6) มีอาการสำรวมในขณะที่ฟัง แสดงความสนใจ ไม่พูดคุยกัน ไม่นั่งไขว่ห้างหรือเอนหลัง ตามสบายหรือนั่งหลับ หากมีความจำเป็นต้องลุกจากที่นั่ง ควรทำความเคารพผู้พูดหรือประธานก่อนออก และตอนกลับเข้าห้องประชุม
๕๕ 2.7) สำรวมกิริยาและเก็บความรู้สึก ไม่แสดงปฏิกิริยารุนแรงหากได้ฟังสิ่งที่ไม่สบอารมณ์ 2.8) มีความอดทนต่อความไม่สะดวกสบาย ทางกายใจทั้งปวง ซึ่งอาจจะเกิดจากตัวเรา เอง เช่น อากาศร้อน ง่วงนอน ปวดหลัง เสียงรบกวน ห้องแคบ ผู้พูดพูดนาน พูดเร็ว พูดเสียงค่อย ฯลฯ รวมทั้งไม่ควรออกจากสถานที่ที่มีการพูดก่อนเวลาสิ้นสุดลง 2.9) ศึกษาเรื่องราวที่จะฟังมาก่อนล่วงหน้าพอสมควร เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการฟัง อย่างเต็มที่ 2.10) ฟังสารอย่างตั้งใจและครบถ้วน ใช้การจดบันทึกช่วยในการบันทึกศัพท์ข้อความ สำคัญและข้อสงสัย รวมทั้งการบันทึกประเด็นใจความสำคัญของเรื่องเพื่อนำไปใช้หรือประยุกต์ใช้ให้เกิด ประโยชน์ได้ต่อไป 2.11) ซักถามข้อสงสัยเมื่อผู้พูดเปิดโอกาสให้ซักถามโดยปฏิบัติดังนี้ (1) ยกมือขึ้นเพื่อขออนุญาตก่อนแล้วจึงถาม (2) ควรถามด้วยถ้อยคำสำนวนที่สุภาพ สำรวมกิริยา (3) ควรตั้งคำถามให้กระชับสั้น ๆ ตรงไปตรงมาและไม่ควรถามนอกเรื่องรวมทั้งถาม ด้วยเสียงดังให้คนอื่นได้ยินเสียง (4) ถ้าไม่เห็นด้วยกับผู้พูด ควรคัดค้านอย่างสุภาพ 3) มารยาทในการฟังการแสดงต่าง ๆ ผู้ฟังควรปฏิบัติตนดังนี้ 3.1) เข้าฟังการแสดงก่อนเวลาสักเล็กน้อยเพื่อไม่เป็นการรบกวนผู้อื่นที่นั่งชมอยู่ก่อนแล้ว 3.2) พยายามทำธุระส่วนตัวก่อนเข้าฟังการแสดงต่าง ๆ และไม่ควรลุกออกจากที่นั่ง บ่อยครั้ง จนทำให้ผู้อื่นเกิดความรำคาญ 3.3) ไม่ควรพูดคุยหรือวิพากษ์วิจารณ์เสียงดังขณะกำลังฟังการแสดงอยู่ หรือทำการใด อันก่อให้เกิดความรำคาญต่อผู้อื่น 3.4) แสดงกิริยาอาการต่าง ๆ อย่างพอเหมาะไม่ว่าจะเกิดความรู้สึกพอใจหรือไม่ก็ตาม 3.5) ให้ความเคารพต่อผู้แสดง สถานที่ โดยแสดงกิริยามารยาทที่เหมาะสม และให้ความ ร่วมมือ รวมทั้งปฏิบัติตามกฎระเบียบของสถานที่นั้น ๆ อย่างเคร่งครัด 3.6) ควรปรบมือให้เกียรติและชื่นชมเมื่อมีการแนะนำผู้แสดงและเมื่อจบการแสดง
๕๖ เอกสารอ้างอิง กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์. (๒๕๖๒). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. (พิมพ์ครั้งที่ ๖). กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. กองเทพ เคลือบพณิชกุล. (2542). การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ. (๒๕๔๐). ภาษากับการสื่อสาร. นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร. ฉัตรา บุนนาค และคณะ. (2526). ศิลปะการใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวันและทางธุรกิจ. กรุงเทพฯ : ประกายพรึก. ชลธิรา กลัดอยู่ และคณะ. (2517). การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : เคล็ดไทย. นพดล จันทร์เพ็ญ. (2535). การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : ต้นอ้อ. ฟ้อน เปรมพันธุ์. (๒๕๔๒). ศาสตร์แห่งการใช้ภาษาไทย. ม.ป.ท. รังสรรค์ จันต๊ะ. (2541). เอกสารประกอบการสอนวิชา ศ ๑๓๐ ภาษาไทย. เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัย แม่โจ้. วรรณี โสมประยุร. (2537). การสอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนทรวิ โรฒประสานมิตร. วาสนา บุญสม. (2541). การใช้ภาษาไทย 1. กรุงเทพฯ : เอสอาร์พริ้นต์ติ้ง. สุวรรณา เกรียงไกรเพ็ชร์. (๒๕๒๓). การพูด – การฟัง ในคณะกรรมการกลุ่มผลิตชุดวิชาไทยศึกษา, เอกสารการสอนชุดวิชาไทยศึกษา : การใช้ภาษาไทย หน่วยที่ ๑ – ๑๕. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สำรวม วารายานนท์. (2544). การฟังการอ่านเพื่อรับสาร. ในภาษาไทยเพื่อการสื่อสารและการสืบค้น. ลพบุรี : สถาบันราชภัฏเทพสตรี. เสาวลักษณ์ เมฆแดง. (2555 : 25). การพัฒนาแบบฝึกการฟังอย่างมีวิจารณญาณสำหรับนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ ๑. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยศิลปากร. แอนน์ รัตนากร. (2533). หลักการฟังในภาษาไทย 1. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
บทที่ 4 การพัฒนาทักษะการฟัง 4.1 การฟังกับการได้ยิน การฟังแตกต่างจากการได้ยิน เพราะการได้ยินหมายถึงการรับรู้เสียงที่มากระทบหูแต่การฟังต้อง ใช้สมาธิแปลความหมายจึงเกิดเป็นการรับรู้และเข้าใจความหมายของเสียง ธิดา โมสิกรัตน์(2538 : 167) กล่าวไว้ว่า การได้ยินและการฟังในแง่ของกระบวนการรับสาร แตกต่างกัน กล่าวคือ การได้ยินเสียงเป็นการรับรู้เสียง ซึ่งเป็นกลไกอัตโนมัติของมนุษย์ ที่มีประสาทรับ เสียงสมบูรณ์ เป็นกระบวนการฟังขั้นต้น ซึ่งเสียงได้ยินนั้นไม่มีผลทำให้ผู้ได้ยินเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง หรือ ผู้ได้ยินอาจจะไม่สนใจเสียงสั้น ๆ ก็ได้ สำหรับการฟังเป็นการรับรู้เสียงซึ่งต้องตั้งใจ และสนใจฟังเสียงนั้น ๆ ผู้ฟังจะใช้สมองแปลความหมายของเสียง และแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงหรือสาร การฟังจึงเป็น กระบวนการรับสารที่ใช้ทั้งสมรรถภาพทางกายทาง (หู) สมองและจิตใจ ไพบูลย์ ดวงจันทร์(2542 : 69) กล่าวไว้ว่า การฟังมีความหมายต่างกับการได้ยิน การได้ยิน หมายถึงการรับรู้ด้วยหูว่ามีเสียงมากระทบเป็นเสียงดัง เสียงค่อย เสียงต่ำ เสียงสูง เป็นต้น แต่อาจไม่รับรู้ เนื้อหาของสารจากเสียงที่ได้ยินนั้น เพราะการได้ยินไม่ได้ใช้สมรรถภาพทางสมอง เพื่อจับประเด็น วิเคราะห์ ตีความ ประเมินค่าของเสียงที่ได้ยินแต่ละอย่างใด กองเทพ เคลือบพณิชกุล (2542 : 21) กล่าวไว้ว่า การได้ยินเป็นเพียงองค์ประกอบส่วนหนึ่งของ การฟังคือ เป็นเพียงกระบวนการทางกาย ซึ่งขึ้นอยู่กับประสาทหู ส่วนการฟังนั้นเป็นกระบวนการทางกาย ผนวกกับกระบวนการทางสมอง สรุปความได้ว่า การฟังแตกต่างจาการได้ยิน เพราะการได้ยินเป็นการรับรู้เสียงที่มากระทบหูเท่านั้น แต่การฟังจะมีกระบวนการต่อเนื่องจากการได้ยินคือ สมองจะวิเคราะห์เสียง เกิดความเข้าใจความหมาย แยกแยะ และประเมินสารที่ได้ฟังด้วย
58 4.2 ปัญหาและอุปสรรคในการฟังและแนวทางแก้ไข 4.2.1) ปัญหาและอุปสรรคในการฟัง กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์(2562 : 64 -66) กล่าวไว้ว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดอุปสรรคการฟังมีหลาย ประการดังนี้ ๑) สาเหตุจากผู้ฟัง คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาจากตัวผู้ฟังเองนั้น ก็เนื่องมาจากการ ขาดความพร้อม ทำให้ผู้ฟังไม่สามารถรับสารได้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ปัญหาที่พบได้บ่อย ๆ เช่น การขาดสมาธิ จิตใจเป็นอคติ ขาดการบันทึกข้อมูลที่สำคัญ ปัญหาทางร่างกาย เป็นต้น หากพบว่าสิ่งใดที่ เป็นผลกระทบต่อประสิทธิภาพการฟังของตนเองแล้ว ผู้ฟังควรจะแก้ไขปรับปรุง เพื่อให้การฟังบรรลุ วัตถุประสงค์ตามที่ต้องการ อนึ่งผู้ฟังต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ตนเองนั้นมีส่วนสำคัญต่อกระบวนการพูด ด้วยเช่นกัน หากผู้ฟังมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ตอบสนองให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้พูดแล้ว จะ ส่งผลต่อกระบวนการในการพูด ซึ่งจะเป็นผลย้อนกลับมาสู่ผู้ฟังที่จะทำให้ผู้ฟังไม่ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์หรือ อาจทำให้เสียเวลา ๒) สาเหตุจากผู้พูด คือผู้พูดเป็นอีกฝ่ายหนึ่งที่มีส่วนสำคัญต่อกระบวนการฟัง เพราะจะเป็นผู้ที่ ทำให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์จากการฟังอย่างเต็มที่ หากเกิดข้อบกพร่องมาจากตัวผู้พูดแล้วย่อมส่งผลกระทบ ต่อการฟังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจทำให้ผู้ฟังไม่เชื่อมั่นศรัทธาในตัวผู้พูด อาจทำให้ความน่าเชื่อถือในตัวผู้ พูดลดลง ซึ่งอาจทำให้ผู้ฟังไม่ให้ความสนใจในการฟังก็เป็นไป ดังนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งแก่ผู้ฟังและผู้ พูดเอง ผู้พูดควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการพูดทุกครั้ง ๓) สาเหตุจากสภาพแวดล้อม คือสภาพแวดล้อมเป็นส่วนที่ช่วยสร้างบรรยากาศในการพูด เช่น สถานที่ เสียง สภาพอากาศ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญทั้งต่อผู้พูดและผู้ฟัง หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ย่อมทำให้บรรยากาศในการพูดและการฟังเป็นไปด้วยดี แต่หากมีสิ่งรบกวนอาจส่งผลต่อบรรยากาศการ พูดและการฟัง หากเป็นไปได้ควรเลือกสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์ต่อการพูดและการฟัง อีกอย่างหนึ่ง เอกฉัท จารุเมธีชน (2539 : 31 – 33) ได้กล่าวถึงอุปสรรคที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับ ลักษณะนิสัยของผู้ฟังไว้ว่าดังนี้ ๑) เหมาเอาว่าเรื่องที่พูดไม่น่าสนใจ ในการฟังบางครั้ง ผู้ฟังอาจจะไม่ได้รับความสะดวกสบาย ในการฟัง เช่นผู้พูดต้องใช้เครื่องขยายเสียงดังมากเพื่อให้ได้ยินทั่วถึงกันจนทำให้ผู้ฟังลำบากในการฟังอย่าง คิดนึกตรึกตรอง ซึ่งผิดกับความสะดวกสบายที่ผู้ฟังพบอยู่เสมอในการฟังต่าง ๆ ทำให้ผู้ฟังมีอุปทานว่าเรื่อง
59 ที่ฟังแล้วไม่ง่าย ไม่สะดวกสบาย เป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจ โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยสมาธิและความ ตั้งใจเป็นพิเศษด้วยแล้ว ผู้ฟังบางคนอาจเหมาะเอาว่าเรื่องที่พูดนั้นไม่น่าสนใจก็ได้ ๒) วิพากษ์วิจารณ์วิธีพูดของผู้พูด คือการวิพากษ์วิจารณ์วิธีพูดเป็นสิ่งที่ดีถ้ากระทำในการฟัง การฝึกพูด แต่ในโอกาสทั่วไปจะทำให้ผู้ฟังเอาใจใส่ในเนื้อหาสาระที่ผู้พูดพูดได้น้อยไป เพราะมัวแต่ไป รำคาญท่าต่าง ๆ ซึ่งเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น ๓) ยอมให้จุดใดจุดหนึ่งในการพูดเร้าใจตนมากเกินไป บางครั้งผู้ฟังอาจตื่นเต้นพอใจกับบางจุด บางประเด็น และไม่สนใจติดตามตอนอื่นที่ต่อเนื่องกันไป กว่าจะกลับมาตั้งต้นฟังใหม่ เนื้อความก็ห่างจาก ตอนที่ติดใจไปมากแล้ว ทำให้ฟังใจความได้ไม่ตลอด นอกจากนั้นการตื่นเต้นมากเกินไปยังทำให้ไม่สามารถ แยกแยะได้ว่าอะไรสำคัญหรือไม่ ทำให้ประเมินคุณค่าของสิ่งที่ฟังได้ไม่ครบถ้วน ๔) ฟังแต่เฉพาะข้อเท็จจริงเท่านั้น การพูดบางครั้งผู้พูดอาจจะมุ่งเสนอข้อเท็จจริงและทัศนคติ ต่าง ๆ แต่ก็มีหลายครั้งที่ผู้พูดต้องการให้ผู้ฟังเกิดจินตนาการและเกิดอารมณ์สะเทือนใจคล้อยตามที่ผู้พูด ต้องการ ผู้ฟังควรร่วมปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของผู้พูด มิใช่จะมุ่งฟังเฉพาะข้อเท็จจริงเท่านั้น ๕) พยายามจดทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้พูดพูด การฟังและจดประเด็นสำคัญเป็นบันทึกย่อไว้เป็นสิ่งที่ ดี แต่ผู้ฟังไม่ควรพยายามจดทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้พูดพูด เพราะจะทำให้มัวแต่พะวงแต่ในการจดแทนที่จะใช้ สมาธิในการฟัง ๖) เสแสร้งทำเป็นว่าเข้าใจและตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ บางครั้งผู้ฟังอาจจะติดตามข้อความที่ผู้พูด พูดไม่ทัน หรือผู้ฟังไม่สามารถควบคุมจิตใจให้อยู่ที่ผู้พูดได้ แต่ด้วยความมีมารยาทจึงเสแสร้างทำเป็นว่า เข้าใจและตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ การกระทำเช่นนี้เกิดผลเสียมาก คือผู้ฟังเองก็ไม่ได้รับประโยชน์จากการฟัง และผู้พูดก็หลงเข้าใจผิดว่าตนพูดดีเลยมิได้สนใจปรับปรุงแก้ไขในการพูดให้ดีขึ้น ๗) ขณะฟังต้องทนต่อสู้กับสิ่งรบกวนจากภายนอก บางครั้งผู้ฟังบางคนอาจจะสนใจกับ สิ่งรบกวนจากภายนอก ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในรูปต่าง ๆ ในที่นั้น ทำให้ขาดสมาธิในการฟังไป ๘) คอยหลีกเลี่ยงไม่ยอมฟังคำอธิบายอันยุ่งยากซับซ้อน ข้อนี้เกี่ยวเนื่องกับข้อแรก คือผู้ฟังบาง คนคิดว่าเรื่องที่ยุ่งยากและยืดเยื้อเป็นเรื่องไม่น่าสนใจ หรือไม่มีทางจะเข้าใจได้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ยอมติดตาม ฟังคำอธิบายต่อ ทำให้ไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ ๙) ปล่อยให้คำพูดที่สะเทือนอารมณ์เกาะกินใจตนจนเกินไป ข้อนี้มักเกิดกับผู้ฟังที่มีทัศนคติที่ ไม่ใคร่ดีนักกับผู้พูด และไม่พอใจในคำบางคำหรือวลีบางตอน และคิดขุ่นเคืองอยู่ทำให้ไม่สามารถรับรู้ ความคิดหรือใจความทั้งหมดได้
60 ๑๐) คิดเร็วเกินไปในขณะที่ฟัง ผู้ฟังบางคนคิดเร็วเกินไป ทำให้คล้ายกับการพูดเองในใจ ถ้าคิด เข้าเรื่องที่ผู้พูดก็ดีไป ถ้าคิดไปในทางอื่นกว่าจะดึงใจเข้ามาในเรื่องที่ฟังได้ ก็อาจจะได้เรื่องราวที่ไม่ติดต่อกัน แล้ว ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (2551 : 111 – 113) กล่าวไว้ว่า การฟังสารครั้งหนึ่ง ๆ อาจจะไม่สัมฤทธิผลเท่าที่ควรทั้งนี้เนื่องจากเกิดอุปสรรคในการฟังขึ้นมาจากสาเหตุหลายประการ ได้แก่ 1) อุปสรรคที่เกิดจากผู้ฟัง 1.1) ขาดสมาธิ หรือมีช่วงความสนใจสั้นเกินไป 1.2) ขาดพื้นความรู้ที่จำเป็นต่อการฟังสารครั้งนั้น 1.3) ขาดความเป็นกลางหรือเกิดอคติขึ้นในใจ 1.4) ขาดความอดทน อดกลั้น และการควบคุมอารมณ์เท่าที่ควร 1.5) ขาดความพร้อมทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา 1.6) ขาดการได้รับแรงจูงใจหรือเสริมแรงจากการฟัง 1.7) ขาดการใฝ่รู้ ทำให้ไม่สนใจการฟังจากแหล่งต่าง ๆ 2) อุปสรรคที่เกิดจากตัวผู้พูดหรือสารที่ฟัง พบว่าบางครั้งผู้พูดหรือตัวของสารนั้นเป็นสาเหตุ สำคัญที่ทำให้ผู้ฟังเกิดปัญหาในการฟัง ได้แก่ 2.1) ขาดความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริงที่จะสร้างความชัดเจนให้แก่ผู้ฟัง 2.2) ขาดกลวิธีที่เหมาะสมในการสร้างความสนใจ และแรงจูงใจให้เกิดขึ้นกับผู้ฟัง 2.3) ขาดความแม่นยำในเนื้อหา และการลำดับเนื้อหาอย่างเป็นขั้นตอน 2.4) พูดเสียงค่อย พูดช้า หรือเร็วเกินไป 2.5) มีบุคลิกภาพไม่น่าดู ไม่เหมาะสม ไม่ดึงดูดความสนใจ ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ต่อผู้ฟัง 2.6) ไม่วิเคราะห์ผู้ฟังก่อนการพูด การวิเคราะห์ผู้ฟังจะช่วยให้ผู้พูดเตรียมความพร้อมได้ สอดคล้องกับลักษณะของผู้ฟัง ช่วยให้ผู้ฟังสนใจ และได้รับความรู้เต็มที่ เช่น การวิเคราะห์เกี่ยวกับเพศ อาชีพ การศึกษา ศาสนา จำนวน ทัศนคติ เป็นต้น 2.7) ขาดการใช้สื่อโสตทัศนูปกรณ์ประกอบการพูด เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจได้รวดเร็วชัดเจน มากขึ้น 2.8) สารที่ฟังมีเนื้อหายากเกินไปหรือมีความซับซ้อนวกวนไปมาจนก่อให้เกิดความเบื่อ หน่าย 2.9) สารไม่เหมาะสมกับวัย เพศ ความสนใจ หรือเจตนารมณ์ของผู้ฟังเท่าที่ควร
61 2.10) สารไม่เหมาะสมกับเวลา สถานการณ์ 3) อุปสรรคที่เกิดจากสภาพแวดล้อม ในบางครั้งอาจพบว่าสิ่งที่อยู่รอบตัวผู้พูดและผู้ฟังก็มี ส่วนสำคัญที่ทำให้การฟังไม่ราบรื่น หรือได้ผลเท่าที่ควร เนื่องจาก 3.1) สถานที่ฟังมีบรรยากาศไม่เหมาะสม เช่น อากาศร้อนอบอ้าวเกินไป มีเสียงดังรบกวน หรือห้องคับแคบเกินไป และมีกลิ่นไม่ดี เป็นต้น 3.2) แสงสว่างในห้องที่พูดไม่เพียงพอ 3.3) อากาศถ่ายเทไม่สะดวกทำให้ผู้ฟังและผู้พูดอึดอัด หายใจไม่สะดวกในการรับรู้ 3.4) เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ เกิดขัดข้อง หรือขาดประสิทธิภาพ เช่น ไมโครโฟน ปลั๊กไฟ เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ เครื่องวิทยุโทรศัพท์ เครื่องฉายภาพวีดีทัศน์ เครื่องฉายภาพทึบแสง เป็นต้น 4.2.2 แนวทางแก้ไข 1) การแก้ไขข้อบกพร่องเกิดจากตัวผู้ฟัง ควรปรับปรุงผู้ฟัง โดยการฝึกทักษะการฟังให้เป็นผู้รู้ จักการฟังเป็น ฟังอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ 1.1) ถ้าผู้ฟังป่วยก็ไม่ควรเข้าฟัง 1.2) ถ้าไม่มีพื้นความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ฟัง ก็ควรหาหนังสืออ่านเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังเพิ่มเติม หรือไต่ถามผู้รู้ 1.3) ใช้อุปกรณ์ช่วยในการฟัง เช่น สมุด ปากกา แถบบันทึกเสียง เครื่องบันทึกเสียง 1.4) ถ้าฟังแล้วจับใจความไม่ได้ ต้องแก้ไขด้วยการหัดฟังให้มากขึ้น 1.5) ต้องฝึกตนเองให้มีความอดทน อดกลั้น ในการฟังให้ได้ 2) การแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดจากขาดมารยาท ควรฝึกมารยาทการฟัง เริ่มตั้งแต่ในสังคมเล็ก ๆ คือ ในครอบครัว ในหมู่เพื่อน การเริ่มต้นฝึกมารยาทการฟังทีละเล็กละน้อย ก็จะช่วยให้เป็นนักฟังที่ดี มี มารยาทที่ดีครบถ้วนต่อไปอย่างแน่นอน 3) การแก้ไขข้อบกพร่องเกิดจากตัวผู้พูด ได้แก่ 3.1) ในกรณีเลือกผู้พูด ผู้บรรยายได้ก็ควรพิจารณาเลือกผู้พูด ผู้บรรยายที่มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล โดยการหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ
62 3.2) ผู้พูดต้องประเมินผลการพูดของตัวเองเสมอ เพื่อจะได้ปรับปรุงพัฒนาการพูดได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ฟังอย่างแท้จริงและเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้ฟังได้ ด้วย 4) ควรเลือกเรื่องให้เหมาะสมกับผู้ฟัง มีจุดมุ่งหมายของเรื่องที่ตรงตามความต้องการของผู้ฟัง 5) จัดสภาพแวดล้อม บรรยากาศในการฟังให้ดีเหมาะสม เช่น ใช้ห้องที่มีขนาดเหมาะสมกับ จำนวนผู้ฟัง มีแสงสว่างเพียงพอ อากาศถ่ายเทได้สะดวก อากาศเย็นสบาย กำจัดสิ่งรบกวนให้มีน้อยที่สุด เป็นต้น 6) จัดเตรียมเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนการพูดควร ตรวจสอบเครื่องมือว่าสามารถใช้งานได้หรือไม่ ควรปรับปรุงซ่อมแซมให้พร้อมในการพูดทุกครั้ง 4.3 ระดับความเข้าใจในการรับสาร มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (๒๕๕๑ : 94) กล่าวไว้ว่า ความเข้าใจในการรับสาร คือ การที่ผู้ฟัง สามารถรับรู้เรื่องราวหรือข้อความที่รับสารอย่างครบถ้วน การรับสารนั้นมีระดับความเข้าใจ 4 ระดับ ดังนี้ 1) ระดับความเข้าใจความหมายตามเนื้อหาหรือระดับการจับใจความ ความเข้าใจในระดับนี้ คือ การค้นหาความคิดสำคัญของข้อความหรือเรื่องที่ฟังเป็นข้อความที่คลุมข้อความอื่น ๆ ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ไว้ ได้ทั้งหมด ซึ่งมีหลักการจับใจความดังนี้ 1.1) ตั้งใจฟังในแต่ละข้อความ แล้วพิจารณาใจความสำคัญของแต่ละข้อความควรใช้การจด บันทึกของข้อความไว้เพื่อช่วยให้จดจำได้ในภายหลัง 1.2) เมื่อฟังจบแล้ว ผู้ฟังควรบันทึกเนื้อหาที่ฟังโดยตอบคำถามที่ว่า เรื่องที่ฟังเป็นเรื่องของใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ทำไม อย่างไร ถ้าผู้ฟังไม่เข้าใจเนื้อหาตอนใดก็ควรถามผู้พูดในโอกาสที่เปิดให้ซักถาม 1.3) นำข้อมูลที่เป็นคำตอบมาเรียบเรียงก็จะได้ใจความสำคัญของเรื่องที่ฟัง ทำให้ผู้ฟังเข้าใจ เรื่องราวที่ฟังได้อย่างชัดเจน และได้รับความรู้นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป 2) ระดับความเข้าใจขั้นตีความ การตีความ หมายถึง การทำความเข้าใจเนื้อหาสาระที่ผู้พูดไม่ได้ สื่อสาร โดยตรงผู้ฟังต้องพยายามหาสิ่งที่ซ่อนเร้นและจุดมุ่งหมายของผู้พูด โดยอาศัยความรู้เรื่อง ภาษา ประสบการณ์ ความเชื่อ ความรู้สาขาวิชาต่าง ๆ เพื่อช่วยให้สามารถเข้าใจเจตนาและทรรศนะของผู้ส่งสาร หลักในการตีความมีดังนี้ 2.1) ทำความเข้าใจเนื้อความทีละย่อหน้า
63 2.2) พิจารณาความหมายของศัพท์หรือถ้อยคำ ผู้รับสารควรพิจารณาความหมายซ่อนเร้น ของศัพท์หรือถ้อยคำที่ไม่ได้สื่อสารโดยตรง ประกอบกับบริบท ความรู้ด้านภาษา ประสบการณ์ ศาสตร์ สาขาวิชาต่าง ๆ ยุคสมัย และสภาพสังคมวัฒนธรรม 2.3) สรุปประเด็นสำคัญและสรุปความคิด สรุปเนื้อหาของแต่ละย่อหน้า แล้วนำมาเรียบเรียง เพื่อให้ทราบเนื้อความทั้งหมด 2.4) พิจารณาตีความน้ำเสียงหรือท่าทีของผู้ส่งสาร ผู้ส่งสารมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไรใน การนำเสนอสาร เช่น ห่วงใย โศกเศร้า โกรธแค้น ประชดประชัน เป็นต้น 2.5) พิจารณาเจตนาหรือจุดมุ่งหมายของผู้ส่งสารได้ ผู้รับสามารถอธิบายความขยายความให้ ผู้อื่นเข้าใจได้ครบถ้วน และตรงตามสารเดิม ทั้งด้านเนื้อหาและน้ำเสียง 2.6) ต้องระวังว่าการตีความไม่ใช่การวิจารณ์ ฉะนั้นจึงไม่มีข้อคิดเห็นว่าดีหรือไม่ดี ชอบหรือไม่ ชอบ ควรพิจารณาว่าข้อความนั้นบอกประเด็นสำคัญอย่างไร 2.7) ต้องคำนึงถึงว่าการตีความต่างจากการถอดคำประพันธ์ การถอดคำประพันธ์หมายถึง ว่า จะต้องเรียบเรียงจากถ้อยคำของบทประพันธ์เดิมมาเป็นร้อยแก้ว โดยครบทั้งคำ ครบทั้งความ และครบ ทั้งสรรพนาม แต่การตีความนั้นจะจับเอาแต่ใจความสำคัญหรือความคิดของผู้ส่งสารที่บ่งไว้ในข้อความ หรือสารนั้น ๆ 3) ระดับความเข้าใจขั้นใช้วิจารณญาณ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546 : 1073) ได้ให้ความหมายคำว่า วิจารณญาณ หมายถึง ปัญญาที่สามารถรู้หรือให้เหตุผลที่ถูกต้องได้ ดังนั้นการรับสารอย่างมีวิจารณญาณ คือ การพินิจพิจารณาวิเคราะห์ข้อความสิ่งใดเป็นใจความสำคัญ สิ่ง ใดเป็นใจความประกอบ สามารถแยกข้อเท็จจริงจากข้อคิดเห็นได้ ตลอดจนประเมินค่าว่าข้อความนั้นควร เชื่อถือหรือไม่ มีแง่คิดที่ดีหรือไม่ เพราะอะไร และนำไปใช้ประโยชน์ได้เพียงไร การฟังระดับการใช้วิจารณญาณ จะใช้ในการรับสารประเภทโน้มน้าวชักจูงใจและสารประเภท จรรโลงใจ หลักการรับสารอย่างใช้วิจารณญาณ มีหลักการดังนี้ 3.1) การรับสารเชิงวิเคราะห์ คำว่า วิเคราะห์ หมายถึง ใคร่ครวญแยกออกเป็นส่วน ๆ การรับ สารเชิงวิเคราะห์ หมายถึง การฟังการอ่านด้วยความเอาใจใส่พิจารณาไตร่ตรองแยกแยะสารเป็นส่วน ๆ อย่างถี่ถ้วน เพื่อให้เข้าใจเรื่องหลายแง่หลายมุม (1) จุดประสงค์ของการส่งสาร เพื่อวิเคราะห์ว่าผู้พูดหรือผู้เขียนมีจุดประสงค์ในการเสนอ สารแก่ผู้ฟังหรือผู้อ่านอย่างไร เช่น เพื่อให้ข้อเท็จจริง เพื่อให้ความรู้ เพื่อให้ความบันเทิง เพื่อให้แง่คิดหรือ แสดงทรรศนะ เพื่อกระตุ้นให้คิดตาม เพื่อจูงใจให้คล้อยตามหรือเพื่อเสียดสีสังคมเป็นต้น
64 (2) รูปแบบในการนำเสนอสาร เพื่อพิจารณาว่าแต่งเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรองใช้รูปแบบ การเขียนชนิดใด (3) ทรรศนะในการแต่ง เป็นการวิเคราะห์ความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ ที่ผู้ส่งสารเสนอ ออกมา (4) วิธีเสนอข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น พิจารณาแยกแยะว่าสารตอนใดเป็นข้อเท็จจริง ตอน ใดเป็นข้อคิดเห็นของผู้เขียน (5) อารมณ์และความรู้สึกของผู้ส่งสาร ผู้พูดและผู้เขียนมีการนำเสนอสารด้วยความรู้สึก อย่างไร เช่น ห่วงใย ตักเตือน โศกเศร้า สงสาร ประชดประชัน โกรธ อิจฉา เป็นต้น (6) กลวิธีในการแต่ง ผู้ส่งสารมีวิธีเสนอสารแบบใดเช่น เสนอแบบอธิบายตรง ๆ เสนอแบบ วิธีอุปนัย แบบวิธีนิรนัย หรือเสนอแบบแก้ปัญหาด้วยวิธีการวิทยาศาสตร์ เป็นต้น (7) การใช้ถ้อยคำ ภาษาและสำนวนโวหารต่าง ๆ (8) คุณค่าที่ได้รับจากเรื่อง 3.2) การประเมินค่าสารที่ฟัง คำว่า การประเมิน หมายถึง กะประมาณค่าหรือราคาเท่าที่ควร จะเป็น ดังนั้นในการประเมินค่าเรื่องที่ฟัง คือการพิจารณาว่าเรื่องที่ฟังมีความเป็นจริง น่าเชื่อถือได้หรือไม่ มีหลักการประเมินเรื่องที่ฟัง ดังนี้ (1) การแยกข้อเท็จจริง ความคิดเห็น (2) การพิจารณาว่าผู้พูดมีอารมณ์ ความรู้สึกเป็นกลางหรือมีคติในการเสนอข้อมูล (3) การพิจารณาข้อมูลด้วยสติปัญญาว่าควรเชื่อถือหรือไม่อย่างมีเหตุผล (4) การพิจารณาเลือกคุณค่าประโยชน์ที่ได้ไปใช้ประโยชน์ต่อตนเองและสังคมต่อไป 4) ระดับสร้างสรรค์ คือการฟังเพื่อใช้ความคิดนำไปประมวลความเข้าใจ แล้วนำมาเทียบเคียง ตรวจสอบกับความรู้สึก ความเข้าใจ และความคิดที่ผู้ฟังส่งสมมาก่อน จนเกิดปัญญาหยั่งรู้ในความจริงใหม่ หรือการเลือกสรรความคิดที่เป็นประโยชน์นำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ได้หรือเป็นการฟังเพื่อใช้ ความคิดของผู้พูดและผู้ฟังร่วมกันแก้ไขปัญหาการฟังระดับสร้างสรรค์เป็น ทักษะการฟังที่มีความสำคัญ ที่สุด และมีประสิทธิภาพมากที่สุด
65 4.4 การพัฒนาสมรรถภาพการฟัง กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (๒๕๖๒ : ๕๕ – ๕๖) กล่าวไว้ว่า การพัฒนาประสิทธิภาพการฟังของ ตนเองได้ด้วยการปฏิบัติดังต่อไปนี้ ๑) กำหนดวัตถุประสงค์ของการฟังให้ชัดเจน คือผู้ฟังควรรู้ว่าสิ่งที่ตนเองต้องการได้จากการฟัง แต่ละครั้งคืออะไร เพื่อจะได้กำหนดรู้ในประเด็นนั้น และสามารถเตรียมความพร้อมได้อย่างเหมาะสม นอกจากนั้นอาจต้องเตรียมข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อประโยชน์ในการฟัง เช่น เตรียมข้อมูลเพื่อร่วมแสดง ความคิดเห็นเตรียมคำถามบางประเด็นที่ต้องการให้ผู้พูดตอบ เป็นต้น หรือหากผู้ฟังรู้หัวข้อเรื่องที่จะไปฟังก็ ควรเตรียมค้นคว้าข้อมูล เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้น ๒) มีสมาธิในการฟัง คือผู้ฟังจะมีสมาธิในการฟังได้นั้นจะต้องตั้งใจฟัง มุ่งมั่นกับเรื่องที่ฟัง ไม่ พยายามทำให้ตนเองเกิดความสนใจในเรื่องที่นอกเหนือไปจากเรื่องที่ฟัง เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนตามที่ กำหนดวัตถุประสงค์ไว้ หรือหากมีประเด็นสงสัยจะได้เตรียมคำถามเพื่อแสวงหาคำตอบนั้น ๆ จากผู้พูด รวมทั้งสามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องการไว้อย่างครบถ้วน ๓) มีมารยาทในการฟัง คือผู้ฟังควรสำรวมกิริยาท่าทางต่าง ๆ เพื่อแสดงการให้เกียรติผู้พูด และผู้ฟังคนอื่น ๆ ทั้งยังไม่เป็นการรบกวนกระบวนการนำเสนอของผู้พูด และไม่รบกวนสมาธิของผู้ฟังคน อื่น ๆ ด้วย ซึ่งจะทำให้กระบวนการฟัง – การพูดเกิดประสิทธิผล เช่น ไม่พูดคุยกับผู้อื่นเสียงดัง เมื่อผู้พูด ซักถามแสดงการตอบรับที่เหมาะสม เป็นต้น รวมทั้งต้องวางใจให้เป็นกลาง ไม่มีความรู้สึกเป็นอคติต่อตัวผู้ พูดหรือเรื่องที่ฟัง เพื่อไม่ให้ความรู้สึกเหล่านั้นมีผลต่อการประเมินค่าในด้านต่าง ๆ ๔) วิเคราะห์ผู้พูด คือการวิเคราะห์ผู้พูดจะทำให้ผู้ฟังรู้เจตคติ ความรู้ ประสบการณ์ที่ผู้พูดมี ซึ่ง จะเป็นผลดีต่อการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับ รวมทั้งยังสามารถวิเคราะห์วัตถุประสงค์ของผู้พูดได้อีกด้วย เพื่อที่ผู้ฟังจะได้สามารถวิเคราะห์ความต้องการของตนเองได้ว่าสิ่งที่ผู้พูดนำเสนอนั้นสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ที่ผู้ฟังต้องการหรือไม่ ๕) สามารถจับใจความสำคัญของเรื่องที่ฟังได้ คือการนำเสนอข้อมูลนั้น จะพบว่ามีทั้งส่วนที่ เป็นใจความสำคัญและส่วนที่เป็นรายละเอียด ดังนั้นผู้ฟังจะต้องหาใจความสำคัญของเรื่องให้ได้ รวมทั้ง ต้องสามารถวิเคราะห์และประเมินค่าเรื่องที่ฟังได้ เพื่อจะได้รู้และเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างถ่องแท้ สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ เมื่อฟังเสร็จแล้วผู้ฟังต้องสามารถตอบตนเองได้ว่า เรื่อง ที่ฟังนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร สิ่งใดเป็นสาระสำคัญของเรื่อง ผู้พูดมีวัตถุประสงค์หรือเจตคติต่อเรื่องนั้น ๆ
66 อย่างไร เพื่อให้สามารถนำไปถ่ายทอดสู่ผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งสามารถแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องที่ ฟังได้อย่างมีเหตุผล 4.5 แนวทางการฟังสารเพื่อสัมฤทธิ์ผล นภดล จันทร์เพ็ญ (2539 : 40 – 44) ได้อธิบายการฟังสารแต่ละประเภทไว้ดังนี้ ๑) การฟังอธิบายและฟังบรรยาย ๑.๑) จุดมุ่งหมายในการฟังอธิบายและฟังบรรยาย (๑) เพื่อให้ผู้ฟังมีความเข้าใจในเนื้อหา (๒) เพื่อให้ผู้ฟังสามารถนำความรู้ไปใช้ได้อย่างถูกต้อง (๓) เพื่อให้ผู้ฟังมีความซาบซึ้งและเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น ๑.๒) วิธีการฟังคำอธิบายและฟังบรรยาย (๑) มีความตั้งใจไม่คิดถึงเรื่องอื่น ๆ (๒) มีความคิดตามผู้อธิบายหรือผู้บรรยายอยู่ตลอดเวลา (๓) มีการจดบันทึกย่อในขณะฟังเพื่อเตือนความทรงจำ (๔) มีการซักถามเมื่อสงสัย และควรซักถามในขณะที่ผู้อธิบายหรือผู้บรรยายเปิด โอกาสให้ถาม ๒) การฟังสนทนา ๒.๑) จุดมุ่งหมายในการฟังสนทนา (๑) เพื่อรับฟังสาระต่าง ๆ จากผู้สนทนา (๒) เพื่อฟังความคิดเห็นของผู้สนทนาแต่ละคนว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไรและให้ ประโยชน์อะไรแก่เราบ้าง (๓) เพื่อความบันเทิง ๒.๒) วิธีการฟังการสนทนา (๑) ทราบและเข้าใจเรื่องที่มีการสนทนา (๒) ตั้งใจฟังและสรุปแนวคิดของแต่ละคนเอาไว้ เพราะต่างคนก็ต่างความคิดและหลาย ครั้งที่ผู้สนทนาเป็นบุคคลต่างอาชีพกัน (๓) ไม่ควรมีอคติต่อผู้พูด เพราะจะทำให้เสียรสในการฟัง
67 (๔) ถ้ามีการศึกษาประวัติของผู้สนทนาแต่ละคนไว้ ก็จะทำให้การฟังนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะประวัติจะสะท้อนถึงแนวคิดได้ ประพนธ์ เรืองณรงค์ และคณะ (2545 : 216 – 217) ได้เสนอแนะไว้ว่า แนวทางการฟังสารใน ลักษณะอื่น ๆ ไว้ดังนี้ ๑) สื่อประเภทโฆษณา ความมุ่งหมายสำคัญของการรับสารประเภทนี้ คือ การศึกษาถึง สารประโยชน์ของสิ่งที่โฆษณา ศึกษาการใช้ถ้อยคำ รวมทั้งใช้ความคิดของตนวิเคราะห์ถึงความน่าเชื่อถือ ของสารดังกล่าว ผู้รับสารที่ดีควรใช้เหตุผลประกอบการฟังและดูว่าสิ่งที่โฆษณานั้นมีคุณค่าจริงหรือไม่ โดย ไม่ควรหลงเชื่อไปตามถ้อยคำหรือภาพที่แสดงให้ดู ทั้งนี้เพราะการโฆษณานั้นมุ่งใช้การกล่าวเกินจริงเพื่อให้ ผู้รับสารคล้อยตาม เพื่อชักจูงใจให้ใช้บริการ หรือซื้อสินค้าที่โฆษณานั้น ซึ่งเป็นลักษณะของการโฆษณา ชวนเชื่อ ในแง่ประโยชน์จะทำให้ผู้ฟังได้รับทราบถึงความก้าวหน้าทางวิทยาการแขนงต่าง ๆ จากผลิตภัณฑ์ นั้น ๆ แต่ข้อสำคัญต้องฟังอย่างมีสติ โดยไม่ตกเป็นเหยื่อของสินค้านั้น ๆ หรือตกเป็นเหยื่อบริโภคนิยมของ ตนเอง ๒) สื่อประเภทบทเพลง การฟังเพลงหรือดูรายการเพลงประเภทต่าง ๆ นั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อ ความ เพลิดเพลิน บางคนอาจต้องการศึกษาถ้อยคำสำนวนภาษาในเพลง ตลอดจนท่วงทำนองและแนวคิด ของผู้ประพันธ์ ผู้รับสารประเภทนี้ควรเลือกดูและฟังเพลงที่ให้คุณค่าทางด้านอารมณ์ คือ จรรโลงใจ เป็น สุขใจ ความงดงามของถ้อยคำที่ใช้ รวมทั้งทำนองเพลงและเสียงดนตรีที่ประกอบในเพลงจะช่วยทำให้ผ่อน คลายอารมณ์ได้ดี ผู้ฟังเพลงที่ฉลาดหลักแหลมจะฟังไปคิดไปว่าเนื้อเพลงตรงไหนดี มีเหตุผลน่าจะนำไปใช้ ให้เกิดประโยชน์แก่ตนได้ ส่วนตรงไหนที่ไม่ค่อยจะเหมาะสมก็ไม่รับเอามาปฏิบัติ ๓) สื่อประเภทเรื่องเล่าต่าง ๆ การรับสารประเภทเรื่องเล่าอาจได้แก่ การฟังนิทาน เรื่องสั้น หรือนวนิยายจากวิทยุหรือการได้ฟังและดูจากโทรทัศน์ ความมุ่งหมายของการฟังและดูเรื่องเหล่านี้ คือ เพื่อให้ทราบสาระสำคัญของเรื่อง แนวคิด คติเตือนใจต่าง ๆ นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสศึกษาถึงกลวิธีการ เล่าเรื่องหรือการแสดงประกอบการเล่าเรื่อง การฟังและการดูที่ดีนั้นผู้รับสารควรวิเคราะห์เรื่องที่ฟังว่า แสดงความคิดเห็นถูกต้องหรือไม่ เป็นเชิงสร้างสรรค์หรือไม่ และสามารถนำแนวคิดสำคัญใดไปใช้เป็น อุทาหรณ์สำหรับการพัฒนาตนเองต่อไปอย่างไรบ้าง ๔) สื่อประเภทบทสัมภาษณ์ การฟังและการดูการสัมภาษณ์บุคคลทั้งที่เป็นการสัมภาษณ์อย่าง เป็นทางการและไม่เป็นทางการมีความมุ่งหมายเพื่อให้ทราบความรู้ในเรื่องที่สัมภาษณ์ตลอดจนได้สังเกตถึง วิธีการสัมภาษณ์ การแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นของบุคคล ผู้รับสารควรตั้งใจฟังเพื่อจับประเด็น สำคัญของการสัมภาษณ์ให้ได้ และควรศึกษาความรู้เพื่อเป็นพื้นฐานเกี่ยวกับประเด็นที่สัมภาษณ์เพื่อให้ได้
68 รายละเอียดที่ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้รับสารไม่ควรมีอคติทั้งต่อผู้ให้สัมภาษณ์และผู้สัมภาษณ์ เพื่อ ประโยชน์ในการวิเคราะห์ได้ถูกต้องตรงประเด็น ๕) สื่อประเภทข่าวสาร ความมุ่งหมายสำคัญของการฟังและดูข่าวสารทั้งทางวิทยุ โทรทัศน์ หรือทางเว็บไซต์ต่าง ๆ มุ่งให้ได้รับความรู้ ความบันเทิง เพื่อนำข้อมูลต่าง ๆ มาเป็นหลักในการปฏิบัติ หรือ แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตนเองและสังคม การรับสารที่ดีนั้นผู้ฟังและผู้ดูควรรับรู้ถึงหัวข้อ เรื่องหรือที่มาของข่าวเป็นสำคัญ รวมทั้งตั้งใจฟังถึงรายละเอียดของข่าวเพื่อเปรียบเทียบเนื้อหาสาระกับ แหล่งข่าวต่าง ๆ เพื่อประเมินค่าความถูกต้องของข่าวสารก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อรายละเอียดของข่าวต่าง ๆ นั้น มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (2551 : 99) ได้กล่าวแนวทางการฟังสารเพื่อสัมฤทธิ์ผลไว้ว่า ผู้ฟัง สามารถรับสารได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทุกประการ ผู้ฟังควรมีแนวทางปฏิบัติในการฟังดังนี้ 1) ผู้ฟังควรมีความสามารถในการได้ยิน โดยฝึกประสาทหูให้สามารถจับเสียงได้รวดเร็วและ ถูกต้อง 2) ผู้ฟังควรมีความตั้งใจและสมาธิในการฟังทุกครั้ง 3) ผู้ฟังสามารถจับประเด็นสำคัญของเรื่องที่ฟังได้ โดยการจดบันทึกข้อความสำคัญและศัพท์ ที่ไม่เข้าใจความหมาย รวมทั้งข้อสงสัยเพื่อซักถามผู้พูดต่อไป 4) ผู้ฟังสามารถจับใจความสำคัญของเรื่องที่ฟังได้ และสามารถนำข้อมูลที่ฟังไปถ่ายทอดได้ อย่างถูกต้อง รวมทั้งนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ 5) ผู้ฟังสามารถวิเคราะห์ประเมินค่าเรื่องราวที่ฟังได้ ผู้ฟังสามารถพิจารณาข้อความทั้งที่เป็น ข้อเท็จจริง ความคิดเห็น อารมณ์ความรู้สึก รวมทั้งพิจารณาข้อดี ข้อบกพร่อง จุดเด่นรวมทั้งคุณค่าทาง ภาษาและคุณค่าต่อสังคมได้ 6) ผู้ฟังควรใช้เวลาว่างในการฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่มีสาระหรือความบันเทิง เพื่อผู้ฟังจะได้รับ ประโยชน์ด้วยสติปัญญา ความรอบรู้ รวมทั้งสุขภาพร่างกายและด้านจิตใจ สำรวม วารายานนท์(2544 : 28 – 29) ได้กล่าวไว้ว่า ผู้ฟังสามารถยึดหลักแนวทางบันไดไปสู่ การฟังให้สำเร็จ 6 ขั้น 1) มองคนพูด (Look at the other person) หมายถึง มองคนที่กำลังพูดกับคุณและมองคนที่คุณ กำลังพูดด้วย การมองตรงไปยังคนที่กำลังพูดเป็นการแสดงความสนใจอย่างมีพลัง อีกทั้งยังเป็นการดูการ แสดงออกทางสีหน้า และกิริยาท่าทางของผู้พูดด้วย การมองคนพูดเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้ผู้ฟังมีใจ จดจ่ออยู่กับการฟังเป็นอันดับแรก
69 2) ถามคำถาม (Ask questions) เป็นการฝึกถามคำถามชนิดต่าง ๆ ลักษณะของคำถามที่ช่วย ให้ได้รับข่าวสารชนิดใดชนิดหนึ่งเรียกว่า คำถามแบบปิดปลาย เช่น คุณชื่ออะไร คุณอายุเท่าไร และคำถาม ช่วยให้ได้รับคำตอบเกี่ยวกับความคิดเห็นหรือความรู้สึกเรียกว่า คำถามแบบเปิดปลาย การฝึกถามคำถาม ทั้งสองชนิดบ่อย ๆ จะช่วยพัฒนาทักษะการฟังให้เป็นนักฟังที่ดีขึ้น 3) อย่าสอดแทรก (Don’t interrupt) หมายถึงการฝึกความอดทนในการฟังผู้พูดให้พูดจบ ประโยคหรือจบใจความก่อนจึงจะพูดตอบ การพูดสอดแทรกเป็นการเสียมารยาทดังคำกล่าวเปรียบเทียบ ว่า “การเหยียบความคิดคนอื่น หยาบคายพอ ๆ กับการเหยียบเท้าคนอื่นนั่นแหละ” 4) อย่าเปลี่ยนเรื่อง (Don’t change the subject) หมายถึง ในขณะสนทนาอยู่กับคู่สนทนาใน เรื่องหนึ่งอยู่แล้วเปลี่ยนเรื่องไปเป็นเรื่องอื่นไปทันทีทันใด ซึ่งนับว่าเป็นการเสียมายาทในการพูดยิ่งกว่าการ สอดแทรกเสียอีก 5) แสดงอารมณ์ด้วยการควบคุม (Express emotion with control) หมายถึง การพยายาม ควบคุมอารมณ์ของตนเองให้เป็นปกติในขณะที่เป็นผู้ฟัง หากเป็นการสนทนาที่มีข้อโต้แย้งกัน ก็ต้อง พยายามควบคุมอารมณ์และฟังอย่างมีสติ 6) ฟังอย่างมีการตอบสนอง (Responsively listen) หมายถึง การแสดงการตอบสนองด้วยสี หน้า กิริยาท่าทาง ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความสนใจได้ยินและเข้าใจเรื่องที่พูด สายใจ อินทรัมพรรย์(2537 : 18 – 20) ได้กล่าวว่า องค์ประกอบที่ช่วยให้เกิดความสามารถใน การฟัง ดังนี้ ๑) ความสามารถทางไวยากรณ์ คือ ความแม่นยำในการใช้ความรู้ทางไวยากรณ์ คำศัพท์ การ ออกเสียง ความหมาย และการเรียงคำเข้าในประโยคได้อย่างถูกต้อง สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ฟังสามารถสื่อ ความหมายได้ตรงตามที่ผู้พูดต้องการ การใช้ภาษาในการสื่อความหมายในภาษาไทยนั้นมีหลายลักษณะ ดังนี้ ๑.๑) ความหมายโดยตรง คือ การใช้คำที่มีความหมายตรงตามพจนานุกรม ผู้ฟังไม่ต้อง ตีความ เพราะการใช้คำจะมีความหมายตรงตามเนื้อความ ๑.๒) ความหมายโดยนัย คือ คำที่มีความหมายแฝงอยู่ในคำนั้นอีกขั้นหนึ่ง บางครั้งจะต้อง ตีความหรือชักนำความคิดให้เชื่อมโยงไปถึงอีกสิ่งหนึ่ง ผู้ฟังจะต้องสังเกตจากบริบทด้วย ๑.๓) ความหมายตามบริบท คือ ความหมายของประโยคจะขึ้นอยู่กับการเรียงคำหรือการ วางตำแหน่งของคำในประโยคนั้น การย้ายตำแหน่งของคำจะทำให้หน้าที่ของคำเปลี่ยนไป ซึ่งจะเป็นผลให้ ความหมายเปลี่ยนไปด้วย
70 ๑.๔) ความหมายตามสถานการณ์ บางครั้งพูดข้อความเดียวกันแต่ต่างสถานการณ์ก็จะทำ ให้ความหมายต่างกันได้ ๒) ความสามารถทางภาษาสังคม คือภาษาสังคมมีลักษณะทางภาษาขึ้นอยู่กับความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณีตลอดจนวัฒนธรรม ซึ่งอาจจะแตกต่างกันตามกาลเวลา ผู้ฟังจะต้องมีความรู้และ ความสามารถในการใช้ภาษาสังคมได้เป็นอย่างดี จึงจะช่วยให้การฟังเกิดผลดี ภาษาสังคมที่กล่าวถึงมีดังนี้ ๒.๑) ภาษาถิ่น คือภาษาดั้งเดิมที่ใช้อยู่ในส่วนต่าง ๆ ของไทย ๒.๒) ภาษาสแลง เป็นภาษาพูดที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคสมัย เป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นไม่มีแบบ แผน คำที่นำมาใช้จะมีความหมายและเสียงคลาดเคลื่อนไปจากเดิม บางท่านเรียกว่าคำคะนอง คำลักษณะ นี้จะเกิดขึ้นใหม่อยู่เสมอ และบางคำก็จะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ๒.๓) ภาษาเฉพาะกลุ่ม เป็นภาษาพูดของบุคคลในแต่ละวงการ นอกจากนั้นยังมีบุคคลใน กลุ่มอาชีพต่าง ๆ ที่มีภาษาพูดเฉพาะกลุ่มตน ๒.๔) ภาษาหนังสือพิมพ์ ภาษาพูดที่นักข่าวนักหนังสือพิมพ์ใช้พูดกันเพื่อความสะดวก สะดุดตา สะดุดความรู้สึกผู้ที่ได้ฟัง เป็นคำสั้น ๆ ไม่มีแบบแผน แต่มีลักษณะหมิ่นเหม่ต่อการตีความ คำ เหล่านี้จะพบมากในพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ ๒.๕) ภาษาโฆษณาหรือภาษาที่ใช้ในวงการธุรกิจ ซึ่งจะมีลักษณะเฉพาะตัว แตกต่างไปจาก ภาษาพูดโดยทั่ว ๆ ไป ๒.๖) ภาษาลอกเลียนแบบภาษาต่างประเทศ เป็นภาษาพูดที่ใช้พูดกันเพื่อความตลกขบขัน โดยใช้คำไทยปนกับคำภาษาต่างประเทศ ๓) ความสามารถในการตีความเนื้อหา คือ ผู้ฟังจะต้องรู้ว่าเนื้อความที่รับฟังนั้นครบถ้วนแล้ว หรือจะต้องมีการตีความ ขยายความเพราะผู้พูดอาจจะละคำ ข้อความไว้ในฐานที่เข้าใจ ในลักษณะนี้ผู้ฟังที่ มีส่วนร่วมในการฟังจะสามารถค้นหาส่วนที่ผู้พูดละไว้ได้ และสามารถเข้าใจเนื้อความตรงตามที่ผู้พูด ต้องการสื่อความคิด ผู้ฟังจะรู้ว่าเนื้อหานั้นมีความต่อเนื่องและจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ๔) ความสามารถในการเชื่อมโยงสิ่งที่ได้ฟังกับความรู้พื้นฐานหรือประสบการณ์ของตน คือใน การฟังบางครั้งอาจจะต้องเดาความหมายของข้อความที่ไม่เคยได้ยินหรือไม่เคยรู้จักมาก่อน รวมไปถึงการ เดาส่วนที่ขาดหายไปจากการฟังด้วย โดยที่ผู้ฟังจะต้องนำความรู้เดิมหรือประสบการณ์ของตนเข้ามาช่วยใน การตีความ บางครั้งอาจจะต้องพยายามทดสอบสมมุติฐานที่เกี่ยวข้องกับความหมายของสิ่งที่ตนได้ฟัง โดย อาศัยบริบทแล้วคาดการณ์ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป เพื่อที่จะให้การสื่อสารนั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
71 มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (๒๕๕๑ : 97) ได้กล่าวปัจจัยที่ช่วยให้การฟังเกิดสัมฤทธิผลไว้ว่า ผู้ฟังจะสามารถใช้ทักษะการฟังเพื่อรับสารได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้เป็นอย่างดีนั้น ผู้ฟังควรสร้างปัจจัย ต่อไปนี้ให้เกิดขึ้นในตัวผู้ฟัง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ฟังมีศักยภาพในการรับสารได้ปัจจัยที่ทำให้การฟังสัมฤทธิผลมี ดังนี้ 1) ประสบการณ์ ผู้ฟังและผู้อ่านได้ฟังมากอ่านมาก จะทำให้มีประสบการณ์เกี่ยวกับคำศัพท์ สำนวนโวหาร และลักษณะคำประพันธ์ต่าง ๆ ดีกว่าบุคคลที่ไม่มีประสบการณ์เหล่านี้เลย 2) วุฒิภาวะ วุฒิภาวะจะเป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการเรียนรู้ของบุคคลการ เปลี่ยนแปลงของวุฒิภาวะจะเป็นไปตามลำดับขั้นตอน ความพร้อมด้านวุฒิภาวะอาจจะสังเกตจากข้อสรุป ดังต่อไปนี้ 2.1) อยู่ในวัยที่เหมาะสมกับการเรียนรู้นั้นหรือไม่ 2.2) ได้รับการสะสมประสบการณ์มามากน้อยเพียงใด 2.3) มีพัฒนาการทางร่างกายเป็นปกติหรือไม่ 3) สติปัญญา สติปัญญาเป็นเครื่องแสดงถึงความสามารถในการเรียนรู้ ผู้ที่จะประสบ ความสำคัญในการฟังและการอ่าน ต้องสามารถจำรูปคำต่าง ๆ สามารถคิดในสิ่งที่เป็นนามธรรมได้ สามารถลำดับเรื่องราวตามขั้นตอนได้ ตลอดจนสามารถตีความสัญลักษณ์และสามารถแสดงความคิดเห็น ด้วยคำพูดและข้อเขียนของตนเองได้ ซึ่งความสามารถเหล่านี้ล้วนอาศัยสติปัญญาทั้งสิ้น 4) การฝึกฝนตนเองอยู่เป็นนิจ การพัฒนาทักษะการฟังต้องฝึกฝนตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น การฝึกฝนนั้นอาจทำได้ดังนี้ 4.1) ฝึกการฟังเร็วและเข้าใจเรื่องราวอย่างถูกต้อง ในการฝึกการฟังเร็ว ต้องมีสมาธิมี ความตั้งใจ ตั้งจุดมุ่งหมายในใจว่าเป็นเรื่องอะไร ที่ไหน อย่างไร เท่าไร ทำไม ใคร เหตุใด แล้วผู้ฟังเจาะหา คำตอบที่ต้องการ 4.2) ฝึกการบันทึกเรื่องราวที่ฟัง ผู้ฟังควรบันทึกเรื่องราวลงบัตรข้อมูล เก็บสะสมความรู้ ไว้ว่าได้ฟังเรื่องอะไร ใครให้ข้อมูล ให้ข้อมูลเมื่อไร ประเภทของเรื่องราว แนวคิดของเรื่อง ข้อความที่ ประทับใจ แหล่งที่ได้มา และคุณค่าของเรื่องราวเหล่านั้น การบันทึกเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เกิดการอ่าน วิเคราะห์วิจารณ์ และเก็บไว้ใช้ในโอกาสต่อไป 5) การปลูกฝังนิสัยรักการฟัง ผู้ฟังควรฟังเรื่องราวต่าง ๆ ได้ทุกประเภท เข้าร่วมกิจกรรม ส่งเสริมนิสัยรักการฟัง จะทำให้ผู้ฟังมีประสบการณ์กว้างขวาง ทันต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ การเป็นพหูสูต คือ
72 ได้ฟังมาก เห็นมาก ก็มีส่วนช่วยให้อ่านหนังสือได้เข้าใจและลึกซึ้ง รวมทั้งนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาการทำงาน ของแต่ละคนให้ดียิ่งขึ้น 6) การประมวลข้อมูลอย่างมีเหตุผล ผู้ฟังต้องฝึกเลือกสรรข้อมูลที่ต้องการ โดยคำนึงถึงความ ถูกต้อง ตรงประเด็นมีเหตุผล และหลักฐานที่น่าเชื่อถือ และนำข้อมูลเหล่านี้มาบูรณาการ คือนำมาประสม ประสานเพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างรอบด้านและนำไปใช้ 7) ความคิดสร้างสรรค์ (ประภาศรี สีหอำไพ, 2531 : 21) ผู้รับสารควรมีความคิด สร้างสรรค์ คือ ต้องเป็นนักแสวงหาความรู้ ความคิด และจินตนาการ มีพื้นฐานการใช้ความคิดแบบ สร้างสรรค์ อันจะนำไปสู่กลวิธีเสนอความคิดให้เป็นที่ยอมรับของสังคม สิ่งนี้เมื่อผนวกเข้ากับวิธีการสืบค้น จะช่วยให้มีการวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ มีการจัดกระทำข้อมูลอย่างเป็นขั้นตอน มีเหตุผลมี ข้อเสนอแนะและทางเลือกใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น 4.6 การฟังอย่างมีวิจารณญาณ การฟังอย่างมีวิจารณญาณมีความหมายดังนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๔๖ : ๑๗๐๒) ให้ความหมายว่า คือปัญญาที่สามารถรู้หรือ มีเหตุผล คือเป็นเหตุผลในการพิจารณาใคร่ครวญข้อความอย่างถ้วนถี่ สนิท ตั้งทวี (2531 : 98) ได้อธิบายความหมายของการฟังอย่างมีวิจารณญาณไว้ว่า เป็นการฟัง อย่างไตร่ตรอง ใคร่ครวญ พิจารณาเหตุผล แล้วตีความหมายของสารที่ผู้พูดส่งมา โดยแยกให้ได้ว่า ส่วนใด เป็นข้อเท็จจริง ส่วนใดเป็นข้อคิดเห็น หรือส่วนใดเป็นเพียงความรู้สึกของผู้พูด การฟังอย่างมีวิจารณญาณ ต้องพิจารณาจากสำนวนภาษา ถ้อยคำของผุ้พูด ตลอดจนน้ำเสียงของผู้พูด ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 2540 : 81) ได้กล่าวถึงการฟัง อย่างมีวิจารณญาณว่า ผู้ฟังจะต้องใช้วิจารณญาณในการฟัง เพื่อให้การฟังครั้งนั้นๆมีประสิทธิภาพผลมาก ที่สุด โดยต้องพยายามวิเคราะห์ว่าผู้พูดมีจุดมุ่งหมายอย่างไร ข้อความที่ได้ฟังตอนใดเป็นข้อเท็จจริง ตอนใด เป็นข้อคิดเห็นของผู้พูด นอกจากนี้ต้องพิจารณาตีความให้ได้ว่า ผู้พูดแฝงสารใดไว้หรือไม่ รวมทั้งประเมิน ค่าเรื่องที่ฟังได้ว่าดีหรือไม่ดี สมเหตุสมผลหรือไม่ เพื่อนำสิ่งที่ไดรับจากการฟังไปใช้ประโยชน์ต่อไป สรุปได้ว่า การฟังอย่างมีวิจารณญาณ หมายถึงการฟังอย่างใคร่ครวญ ไตร่ตรอง พิจาณาอย่าง รอบคอบ สามารถจับใจความสำคัญของเรื่อง แยกแยะข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นได้ รวมทั้งประเมินคุณค่า ของเรื่องที่ฟังได้อย่างมีเหตุผล
73 4.๖.๑ หลักการฟังอย่างมีวิจารณญาณ การฟังอย่างมีวิจารณญาณเป็นสิ่งที่สำคัญที่ควรปลูกฝังให้กับผู้เรียน เพราะนอกจากผู้เรียนจะต้อง ใช้วิจารณญาณในการฟังจึงสอนในชั้นเรียนแล้ว ยังมีสาระที่จะได้จากการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น สารจาก สื่อมวลชน สารจากบุคคลอื่น เพื่อประโยชน์ต่อตนเอง กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2542 : 59) ได้กล่าวถึงหลักการฟังอย่างวิจารณญาณ ๑) พิจารณาว่าผู้พูดมีความมุ่งหมายในการพูดครั้งนั้นเป็นอย่างไร ๒) บอกได้ว่าเรื่องบอกได้ว่าเรื่องที่ได้ฟังมีสารประโยชน์ในแง่คิด ก่อให้เกิดความเจริญงอกงาม และความคิดสร้างสรรค์อย่างไรบ้าง ๓) เรื่องที่ได้ฟังมีความเป็นมาได้มากน้อยเพียงใด ๔) บอกได้ว่าเรื่องที่ได้ฟังมามีความน่าเชื่อถือมากเพียงใด สมพร แพ่งพิพัฒน์(2547 : 105 – 107) กล่าวไว้ว่า การฟังอย่างมีวิจารณญาณควรมี หลักเกณฑ์ดังนี้ ๑) พิจารณาเรื่องที่ฟังเพื่อให้เข้าความหมายของคำหรือข้อความ ซึ่งเป็นความหมายที่แท้จริง ของคำหรือข้อความนั้น ๆ หากมีข้อความก็ควรพิจารณาว่า มีความหมายครอบคลุมไปสิ่งใดบ้าง โดยอาศัย บริบทในประโยคเป็นส่วนประกอบในการพิจารณา ๒) พิจารณาเรื่องที่ฟังเพื่อแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากข้อคิดเห็น และเจตนาของผู้พูด การฟัง สารต่างๆ อาจมีทั้งความรู้ ข้อเท็จจริง และความคิดเห็น ผู้ฟังจะต้องพิจารณา ส่วนใดคือข้อเท็จจริง ส่วนใด เป็นข้อคิดเห็น และเจตนาของผู้พูดเป็นอย่างไร ๓) พิจารณาเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิง เพื่อหาความเป็นไปได้ของเรื่องที่ฟังว่า เหมาะสม น่าเชื่อถือ มีคุณค่าและสร้างสรรค์เพียงใด ประพันธ์ เรืองณรงค์ และคณะ (2545 : 247) กล่าวถึงผู้ที่สามารถฟังได้อย่างมีวิจารณญาณ ต้องใช้หลักดังไปนี้ ๑) การวิเคราะห์ ทักษะในการวิเคราะห์คือ สามารถในการแยกแยะข้อเท็จจริงออกจาก ข้อคิดเห็น รู้ว่าอะไรเป็นเหตุและเป็นผล รู้ที่มาที่ไปของเรื่อง ๒) การตีความ ทักษะในการตีความคือ จะต้องสามารถรู้ความหมายที่แฝงไว้ในเรื่องนั้นๆ ซึ่ง บางครั้งไม่ได้บอกตรง ๆ ในถ้อยคำ แต่ผู้ฟังจะต้องตีความให้ถูกต้อง ๓) การประเมินค่า ทักษะในการประเมินค่าจะเป็นทักษะต่อเนื่องมาจากทักษะของการ วิเคราะห์ และการตีความ อันจะเป็นพื้นฐานให้สามารถประเมินค่าได้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี มีคุณค่ามากน้อย
74 เพียงใด และมีคุณค่าทางด้านใด เพราะอะไร ซึ่งการที่จะประเมินค่าเรื่องใด จะต้องพิจารณาให้รอบด้าน เช่น พิจารณาจุดประสงค์ของสาร รูปแบบของสาร ประเภทของสาร เป็นต้น ๔) การตัดสินใจ ทักษะของการติดสินใจคือ ทักษะของการวินิจฉัยเพื่อประเมินค่า อันนำไปสู่ การตัดสินใจที่ถูกต้องว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมานั้น สิ่งใดควรจะรับเอามาหรือไม่รับ สิ่งใดควรเชื่อหรือไม่ควร เชื่อ ซึ่งการตัดสินใจที่ถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก ทั้งในชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพ ๕) การนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ทักษะนี้ไม่เท่ากัน ในแต่ล่ะวันบางคนได้ฟังอะไรเพียง นิดเดียวก็สามารถนำไปประยุกต์ พลิกแพลงเอาไปทำประโยชน์ได้มากมายซึ่งทักษะบางครั้งจะต้องใช้ศิลปะ และประสบการณ์ของแต่ล่ะคนมาช่วย ดังนั้นการฟังมากก็จะเป็นพื้นฐานข้อมูลให้ตัดสินใจได้ไม่ผิดพลาด สรุปได้ว่า การฟังอย่างมีวิจารณญาณเป็นทักษะการฟังระดับสูง ที่สามารถพัฒนาให้มีขึ้นได้ด้วย การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ให้รู้จักวิเคราะห์สาร ตีความ ประเมินค่า ตัดสินใจ และสามารถนำความรู้ ความคิดไปประยุกต์ใช้ได้ นับว่าการฟังอย่างมีวิจารณญาณเป็นทักษะที่มีความสำคัญอย่างมาก กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (๒๕๖๒ : ๖๓) ได้อธิบายหลักการใช้วิจารณญาณในการฟังไว้ว่า การฟัง อย่างมีวิจารณญาณนั้นเป็นการฟังที่ผู้ฟังจะต้องนำเหตุผล องค์ความรู้ต่าง ๆ รวมทั้งประสบการณ์ที่ตนมี นั้นมาพิจารณาใคร่ครวญในเรื่องที่ฟัง เพื่อผลของความน่าเชื่อถือการสร้างการยอมรับหรืออาจทำให้เห็น แนวทางเพื่อการตัดสินใจในการปฏิบัติ สิ่งที่ผู้ฟังควรจะพิจารณา ประกอบด้วย ๑) การทำความเข้าใจ คือผู้ฟังต้องทำความเข้าใจกับความหมายของถ้อยคำและข้อความทั้งที่ เป็นวัจนสารและอวัจนสาร เพื่อให้สามารถแปลความหมาย วิเคราะห์ ประเมินค่าถ้อยคำเหล่านั้นได้อย่าง ถูกต้อง เพื่อจะได้ทำความเข้าใจกับเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน พยายามค้นหาสิ่งที่น่าสนใจ ตลอดเวลาในขณะที่ฟังเพื่อไม่ให้เสียสมาธิ และมีจิตใจตั้งมั่นกับเรื่องที่ฟัง จะทำให้ผู้ฟังได้ติดตามเรื่องราวที่ ฟังได้ตลอด ทั้งส่วนที่เป็นใจความสำคัญและรายละเอียดของเรื่อง ๒) การวิเคราะห์ข้อมูล คือผู้ฟังจะต้องคิดวิเคราะห์ไตร่ตรองข้อมูลที่ได้รับฟังมาอย่างถี่ถ้วน ซึ่ง อาจมีมุมมองความคิดที่เหมือนหรือแตกต่างไปจากผู้พูดก็ได้ ซึ่งความแตกต่างของความคิดที่เกิดขึ้นนั้นอาจ เกิดจากความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ วัย หรือองค์ประกอบอื่นที่เกี่ยวข้อง ผู้ฟังจึงต้องมี ความสามารถในการวิเคราะห์วัตถุประสงค์ของผู้พูดว่าผู้พูดมุ่งหวังสิ่งใด รู้ว่าสิ่งใดคือสาระของเรื่องที่ฟัง รู้ ว่าข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลเท็จจริงอย่างไร มีเหตุผลน่าเชื่อถือหรือไม่ หรือเป็นข้อมูลที่ได้รับการยอมรับหรือไม่ มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ทั้งยังต้องสามารถวิเคราะห์นัยของเนื้อความได้ด้วย เพื่อที่ผู้ฟังจะได้ พิจารณาข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ผู้พูดนำเสนอ เพื่อประกอบการตัดสินใจ
75 ๓) การพิจารณาหลักฐานอ้างอิง คือการพูดบางกรณีนั้น ผู้พูดอาจต้องนำหลักฐานมา ประกอบการพูด เพื่อให้การนำเสนอของตนน่าเชื่อถือ ดังนั้นผู้ฟังจะต้องพิจารณาความถูกต้องของหลักฐาน ที่นำมาแสดงความน่าเชื่อถือความเป็นไปได้ เพื่อประกอบการตัดสินใจตนเอง หากเป็นไปได้ควรตรวจสอบ ที่มาของหลักฐานนั้น ๆ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา ๔) การประเมินค่า คือการประเมินค่าข้อมูลทั้งหมดนั้น ผู้ฟังจะต้องไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน และ ประเมินค่าด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง และจะต้องมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือว่าเพราะเหตุใด จึงคิดเช่นนั้น ซึ่งบางครั้งผู้ฟังสามารถนำมาพิจารณาร่วมกับความรู้เดิมที่ตนมีอยู่ก็ได้ 4.7 ลักษณะของการฟังที่ดี กองเทพ เคลือบพณิชกุล (2542 : 27 – 28) ได้กล่าวถึงลักษณะของการฟังที่ดีมีลักษณะของ การฟังที่ดีไว้ดังนี้ ๑) มีประสาทหูไวจับเสียงได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง ถึงแม้ว่าจะมีระดับเสียงผิดปกติอย่างไรก็ สามารถแปลความได้เข้าใจเรื่องโดยตลอด ๒) ต้องมีสมาธิแน่วแน่มั่นคง ไม่มีความกังวลใจใด ๆ สามารถทนต่อสิ่งรบกวนภายนอกได้ ๓) มีพื้นฐานความรู้ หรือมีประสบการณ์ในเรื่องที่กำลังฟัง และมีพื้นฐานความรู้ทางภาษา พอสมควรเพื่อจะได้ใช้ความคิดติดตามถ้อยคำของผู้พูด ตลอดจนสามารถสร้างมโนภาพตามไปได้ด้วย ๔) มีทัศนคติที่ดีต่อตัวผู้พูด หรือไม่มีอคติต่อตัวผู้พูด ต้องมีใจเป็นกลาง มีจิตใจกว้างขวาง ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ที่ต่างออกไป หรือที่ขัดแย้งตรงกันข้ามกับความคิดของตัวเองได้ ๕) ต้องตั้งใจฟัง มีความสังเกตที่รอบคอบ และมีวิจารณญาณที่เฉียบคม สามารถแยกแยะได้ ว่า ผู้พูดด้วยเหตุผลหรืออารมณ์ ส่วนใดเป็นเนื้อหาสำคัญ ส่วนใดเป็นพลความละเอียด ตอนใดเป็น อุทาหรณ์ ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น ข้อสันนิษฐาน และอื่นๆ ๖) สามารถจับใจความสำคัญได้ การฟังต้องให้ได้ผลสมตามความมุ่งหมาย ผู้ฟังต้องจับ จุดประสงค์ของผู้พูดให้ได้ และต้องเข้าใจจุดมุ่งหมายของตนเองว่า ต้องการอะไรจากผู้พูด ดังนั้นผู้ฟังต้อง รู้จักเก็บใจความสำคัญและสรุปสิ่งเหล่านั้น ๗) ไม่สามารสคาดคิดล่วงหน้าว่า ผู้พูดจะพูดอะไรต่อไป ควรรอให้ผู้พูดพูดจบก่อนเพราะการ คาดคิดล่วงหน้า และด่วนมีปฏิกิริยาเร็วไป อาจทำให้มีการผิดพลาดได้ ๘) ต้องฟังอย่างสำรวม มีมารยาทในการฟัง และถ้ามีตอนใดไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง ควรหาโอกาส ถามผู้พูดในช่วงเวลาที่ผู้พูดจบลง เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงตามจุดประสงค์ของผู้พูด
76 ๙) หลังจากการฟัง ผู้พูดควรมีเวลาสำหรับคิดทบทวนว่า เรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้ฟังไปนั้นตรงกับ ข้อเท็จจริง และมีเหตุผลน่าเชื่อถือเพียงใด มีสิ่งใดจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้หรือไม่ และรู้จักนำความรู้ หรือข้อคิดต่าง ๆ ตลอดจนเทคนิคการพูด ที่ได้จากการฟังไปใช้ประโยชน์ได้ตามโอกาสสมควร ฐิติรัตน์ ลดาวัลย์(๒๕๔๒ : ๓๔ – ๓๖) ได้อธิบายลักษณะการฟังที่ดีไว้ว่า “ลักษณะการฟังที่ดีมี ลำดับขั้นตอนการฟังไว้ดังนี้ ๑) การได้ยิน (hearing) ผู้ฟังจะต้องมีโสตประสาทที่สามารถจะได้ยินเสียงที่ผู้พูดพูด ๒) การรับรู้ (perception) คือ เมื่อโสตประสาททำงานแล้วก็จะส่งสารที่ได้ยินนั้นไปสู่สมอง สมองจะรับรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นคืออะไร ก่อให้เกิดความรู้สึกอย่างไร บุคคลที่มีวุฒิภาวะความรู้และ ประสบการณ์ที่ต่างกันย่อมมีการรับรู้ที่แตกต่างกันด้วย ๓) ความจำได้ (recognition) คือ การจดจำสิ่งที่ได้ยินนั้นได้ โดยนำประสบการณ์เดิมมา เปรียบเทียบหรือประสบการณ์ใหม่อาจทำให้นึกถึงประสบการณ์เดิมก็ได้ ๔) ความเข้าใจ (comprehension) คือผู้ฟังจะต้องเข้าใจในเนื้อหาสาระของสารนั้นให้ตรงกับผู้ส่ง สารมากที่สุด ความเข้าใจจะเกิดได้เมื่อผู้ฟังหัดคิดและตีความสิ่งที่ได้ยิน โดยอาศัยความรู้ ความคิด ประสบการณ์ และการสังเกต เป็นสิ่งที่ช่วยในการตีความ ๕) การเลือกสรร เป็นขั้นตอนที่ผู้รับจะต้องวิเคราะห์พินิจพิจารณาสารที่ได้ฟังอย่างมีเหตุผล คือในขณะที่ผู้ฟังจะต้องรู้จักติดตามสารที่ได้ฟังและพิจารณาเลือกสรรว่า ข้อความที่ได้ฟังนั้น ส่วนใดเป็น ใจความสำคัญ เป็นความคิดหลัก ส่วนใดเป็นความคิดสนับสนุนหรือรายละเอียดปลีกย่อย หรือพิจารณาสิ่ง ที่ผู้พูดพูดว่า สิ่งใดเป็นข้อเท็จจริงและสิ่งใดเป็นความคิดเห็นของผู้พูด ๖) การปฏิเสธข้อมูลที่คลาดเคลื่อน (rejection) ขั้นตอนนี้เกือบจะเป็นขั้นตอนเดียวกันกับ ขั้นตอนการเลือกสรร เพราะในขณะที่ฟังนั้นผู้ฟังได้พิจารณาเลือกสรรเนื้อหาสาระที่สำคัญและมีคุณค่าไว้ แล้ว ผู้ฟังยังต้องรู้จักเลือกสรรและปฏิเสธข้อมูลบางอย่างที่ไม่สำคัญ เพื่อให้สมองได้จดจำเฉพาะสิ่งที่ สำคัญไว้เท่านั้น ๗) การประเมินผล (evaluation) คือการตัดสินคุณค่าของสิ่งที่ได้ฟัง เมื่อผู้รับสารเข้าใจสารนั้น และรู้จักคัดเลือกสารบางอย่าง รวมทั้งรู้จักตัดข้อมูลบางอย่างที่คลาดเคลื่อน ผู้ฟังจะต้องประเมินผลสิ่งที่ ได้ฟังด้วยว่ามีคุณค่าเพียงใด มาตรฐานการประเมินผลสิ่งที่ได้ฟังนี้ขึ้นอยู่กับความรู้ ความคิด และ ประสบการณ์ของผู้ฟังเป็นสำคัญ ผู้ฟังที่มีความรู้ ความคิด และประสบการณ์ที่ต่างกัน มักจะประเมินผล แตกต่างกัน
77 ๘) การรวบรวม (organization) ผู้ฟังที่ดีต้องรู้จักรวบรวมความคิดและข้อมูลต่าง ๆ ในขณะที่ ฟัง แล้วจัดระเบียบความคิดและเนื้อหาไว้อย่างเป็นระบบ การจัดความคิดและข้อมูลเป็นระบบจะช่วยให้เรา จดจำสิ่งที่ได้ฟังนั้นง่ายขึ้น ๙) การเก็บรักษาจดจำไว้ (retention) เป็นขั้นตอนที่ผู้ฟังได้คัดเลือก ประเมินค่าและรวบรวม ข้อมูลไว้แล้ว ผู้ฟังจะต้องรู้จักเก็บจดจำเนื้อหาสาระที่ได้เลือกสรรและประเมินค่าแล้วว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าไว้ เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลในการฟัง พูด อ่าน และเขียนครั้งต่อ ๆ ไป ฉะนั้น การมีสมาธิในการฟังจึงเป็น สิ่งจำเป็นมาก เพราะการที่จะเก็บรักษาจดจำเนื้อหาสาระได้มากเพียงใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับความตั้งใจใน การฟัง ๑๐) การระลึกได้ (recall) ในการฟังเมื่อได้จดจำเนื้อหาสาระที่สำคัญไว้แล้ว ผู้ฟังต้องสามารถ ระลึกถึงข้อมูลที่จดจำไว้ได้ทันทีที่ต้องการจะใช้ข้อมูลนั้น ๑๑) การอนุมาน (inference) เป็นขั้นปฏิบัติที่สืบเนื่องกันมา กล่าวคือ เมื่อเก็บจดจำเนื้อหา สาระและระลึกเนื้อหาเหล่านั้นได้ ก็ถึงขั้นที่สามารถจะนำเนื้อหานั้น ๆ มาใช้เป็นข้ออ้างได้ ๑๒) การสรุปสาระ (summarization) ขั้นสุดท้ายของการฟัง ผู้ฟังต้องสามารถสรุปความคิด รวบยอดและรายละเอียดที่สำคัญได้อย่างครบถ้วน
78 เอกสารอ้างอิง กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์. (๒๕๖๒). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. (พิมพ์ครั้งที่ ๖). กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. กองเทพ เคลือบพณิชกุล. (2542). การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. กระทรวงศึกษาธิการ,กรมวิชาการ. (2542). หนังสือเรียนภาษาไทยวรรณลักษณ์วิจารณ์เล่ม๑. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา. ธิดา โมสิกรัตน์. (2538). เอกสารการสอนชุดวิชาการใช้ภาษาไทยที่๑ – ๘. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช. นพดล จันทร์เพ็ญ. (2535). การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : ต้นอ้อ. ประพันธ์ เรืองณรงค์ และคณะ. (2545). กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยช่วงชั้นที่ ๔ (ม. ๔ – ๖). กรุงเทพฯ : ประสานมิตร. ประภาศรี สีหอำไพ. (2531). การเขียนแบบสร้างสรรค์. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. ไพบูลย์ ดวงจันทร์. (2542). การใช้ภาษา. กรุงเทพฯ : ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันตก คณะ มนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรินทรวิโรฒ. ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์. (2540). ภาษากับการสื่อสาร. นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร. (๒๕๕๑). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. (พิมพ์ครั้งที่ ๖). กรุงเทพฯ : สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. ราชบัณฑิตยสถาน. (2546). พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒. กรุงเทพฯ : อักษร เจริญทัศน์. สนิท ตั้งทวี. (2531). การสอนภาษาไทย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พิทย์อักษร. สำรวม วารายานนท์. (2544). การฟังการอ่านเพื่อรับสาร. ในภาษาไทยเพื่อการสื่อสารและการสืบค้น. ลพบุรี : สถาบันราชภัฏเทพสตรี. สมพร แพ่งพิพัฒน์. (2547). ภาษาเพื่อการสื่อสารและสืบค้น. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. เอกฉัท จารุเมธีชน. (2539). การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
บทที่ ๕ ทักษะการพูด ๕.๑ ความหมายของการพูด ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ (2543 : 13) กล่าวไว้ว่า การพูดคือกระบวนการสื่อสารความคิดจากคน หนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง หรือกลุ่มหนึ่ง โดยมีภาษาน้ำเสียงและอากัปกิริยาเป็นสื่อ นอกจากนี้ยังให้ความหมาย ต่อไปอีกว่า การพูดคือ การแสดงออกถึงอารมณ์ และความรู้สึก โดยใช้ภาษาและเสียงสื่อความหมาย สมิต สัชฌุกร (2547 : 11) กล่าวไว้ว่า การพูดคือ พฤติกรรมในการสื่อสารความรู้สึกนึกคิด ถ่ายทอดซึ่งกันและกัน ระหว่างผู้พูดฝ่ายหนึ่งกับผู้ฟังฝ่ายหนึ่งด้วยการใช้สัญลักษณ์หลายระบบพร้อมกัน ได้แก่ เสียงภาษา และอากัปกิริยา การพูดเป็นการสื่อสาร ๒ ฝ่ายในระบบทางคู่ หรือทุติยวิถี ซึ่งมีผู้ให้การ สื่อสารฝ่ายหนึ่งกับผู้รับการสื่อสารอีกฝ่ายหนึ่ง สวนิต ยมาภัย และถิรนันท์ อนวัชศิริวงศ์ (2538 : 2) กล่าวไว้ว่า การพูด คือการใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง อากัปกิริยา ท่าทาง เพื่อถ่ายทอดความคิด ความรู้ความรู้สึก และความต้องการของผู้พูดให้ผู้ฟัง รับรู้ และเกิดการตอบสนอง สมชาติ กิจยรรยง (2548 : 13) กล่าวไว้ว่า การพูด คือ การพูดเป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้บุคคล ได้แสดงออกซึ่งความคิดเห็นได้อย่างถูกต้อง และมีหลักเกณฑ์ ซึ่งหากเรามีความบริสุทธิ์ใจต่อสิ่งที่เราคิด ต่อผู้อื่นก็จะเกิดความสำเร็จในการพูด สุขุม นวลสกุล (2540 : 12) กล่าวไว้ว่า การพูดเป็นเครื่องมือสื่อสาร ที่มีอานุภาพมากที่สุดใน โลก การพูดเป็นสัญลักษณ์แห่งความเข้าใจระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (๒๕๕๑ : 120) กล่าวไว้ว่า การพูด คือการถ่ายทอด ความคิด ความรู้ ความรู้สึก และความต้องการโดยอาศัยถ้อยคำ น้ำเสียง รวมทั้งกิริยาท่าทางอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการพูดนั้นจะมีผลทำให้ผู้ฟังเข้าใจจุดมุ่งหมายของผู้พูด และแสดงปฏิกิริยาตอบสนองให้สัมฤทธิ์ตาม จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ รัญจิตร แก้วจำปา (2544 : 19) กล่าวไว้ว่า การพูด หมายถึงการส่งสารโดยใช้เสียงและกิริยา ท่าทางเป็นสื่อ หรือหมายถึงการสื่อสารโดยใช้วัจนภาษาและอวัจนภาษา เพื่อให้ผู้ฟังคือผู้รับสารได้เข้าถึง และรับรู้ ปรัชญา อาภากุล และการุณันทน์ รัตนแสนวงษ์ (2542 : 11) กล่าวไว้ว่า การพูด หมายถึงการ ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ทัศนคติ ประสบการณ์ และอื่น ๆ จากผู้พูดไปยังผู้ฟัง โดย ผ่านทางถ้อยคำ สีหน้า แววตา รวมทั้งน้ำเสียงและอากัปกิริยาที่แสดงประกอบ เพื่อให้ผู้ฟังรับรู้และเกิดการ ตอบสนองทั้งทางวัจนภาษาและอวัจนภาษาได้ตรงจุดประสงค์ที่ผู้พูดวางไว้
80 ยรรยง มีสติ (2525 : 1) กล่าวไว้ว่า การพูดเป็นการสื่อสารความหมายที่ให้เกิดความเข้าใจซึ่งกัน และกัน โดยการเปล่งออกมาเป็นวาจา ผู้พูดผู้ฟังสามารถสื่อความหมายจากคำพูดนั้น ๆ ได้จากภาษาและ เสียง เวลาพูดอาจมีการใช้กิริยาท่าทางต่าง ๆ ประกอบให้การพูดนั้นมีประสิทธิภาพในการสื่อความหมาย ยิ่งขึ้น กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 114) กล่าวไว้ว่า การพูด หมายถึง การถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก หรือข้อมูลอื่นใดที่ผู้พูดต้องการจะนำเสนอ โดยการใช้เสียง ภาษา และสีหน้าท่าทาง ถ่ายทอดสารต่าง ๆ ออกมาสารนั้นมีทั้งที่เป็นวัจนสารและอวัจนสาร ผู้ฟังจึงต้องทำความเข้าใจกับสารนั้น ๆ อย่างถี่ถ้วน ดังนั้นหากต้องการให้การพูดบรรลุตามความมุ่งหมาย ผู้พูดจะต้องเลือกสรรและใช้ภาษาให้มี ประสิทธิภาพ สรุปความได้ว่า การพูดคือ การสื่อความหมายโดยใช้เสียง อากัปกิริยา ท่าทาง เพื่อถ่ายทอด ความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ ความคิดเห็น ความต้องการ เพื่อให้เกิดผลตามที่ผู้พูดมีเจตนา ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการงานและกิจธุระต่าง ๆ เวลาเข้าสังคม คบหากับผู้อื่นรวมทั้งการทำ ประโยชน์ให้แก่สังคมส่วนรวม มักเป็นผู้ที่พูดเก่ง พูดดีมีประสิทธิภาพในการพูดแทบทั้งสิ้น การพูดเป็น “ศาสตร์” มีหลักการและมีกฎเกณฑ์ สอนและฝึกกันได้ สำหรับคนธรรมดา และอีก ส่วนหนึ่งเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของแต่ละคน ที่จะทำให้ผู้นั่งฟังได้ตลอด หรือหัวเราะสนุกสนาน ไปกับการพูดได้ ศิลปะเฉพาะตัวนี้เป็นสิ่งที่เลียนแบบกันได้ยาก แต่ถ้าได้ฝึกฝนทักษะการพูดมากพอ ก็ สามารถทำได้เช่นกัน 5.2 ความสำคัญของการพูด สมชาติ กิจยรรยง (2548 : 19) กล่าวถึงความสำคัญของการพูดไว้ว่า เป็นกระบวนการที่มี จุดมุ่งหมายเพื่อ ๑) ให้ข่าวสารข้อเท็จจริง ๒) ให้ความรู้ความเข้าใจทัศนคติที่ถูกต้อง ๓) ให้ความบันเทิง ๔) ให้ผู้ฟังเชื่อถือ ซึ่งการทำให้ผู้ฟังเชื่อได้นั้นผู้พูดควรจะปฏิบัติดังนี้ 4.1) เชื่อตัวเองก่อน ก่อนที่จะพูดให้ผู้อื่นเชื่อ 4.2) ต้องเสนอข้อมูลหนักแน่นมีเหตุผล 4.3) ย่อเรื่องให้ง่ายและกระชับเพื่อให้คนฟังเข้าใจ 4.4) ท่าทีของผู้พูดน่าเชื่อถือ
81 สวัสดิ์ บรรเทิงสุข (๒๕๓๗ : ๒๑) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการพูดว่า การพูดเป็นเครื่องมือใน การเข้าสมาคม ที่สำคัญของมนุษย์ มนุษย์ใช้การพูดเป็นเครื่องมือติดต่อสื่อความหมายซึ่งกันและกัน ทำให้ มนุษย์สามารถดำรงเป็นชุมชนน้อยใหญ่ ตลอดจนเป็นประเทศอยู่ได้ เพราะคนในสังคมนั้นใช้การพูดสำหรับ แลกเปลี่ยนความรู้ ความรู้สึกความคิดและความต้องการ จึงทำให้เข้าใจกันได้ อยู่รวมกันได้ เมื่อมีปัญหา เกิดขึ้นก็สามารถใช้การพูดเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ และได้กล่าวถึงความสำคัญของการพูดใน ด้านต่าง ๆ พอสรุปได้ดังนี้ ๑) ด้านการสื่อสาร การพูดช่วยให้สื่อสารกับผู้อื่นได้ถูกต้องเหมาะสม ช่วยในการติดต่อ แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ความรู้สึก และความต้องการของคน ๒) ด้านการเข้าสมาคมและการสร้างมนุษยสัมพันธ์ การพูดเป็นสื่อ เพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่ง กันและกันอยู่เสมอ คนเราจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ทำงานร่วมกันได้ต้องพูดจากันรู้เรื่อง การพูดที่ดีจะ ช่วยในสร้างมนุษยสัมพันธ์ และเป็นเครื่องมือในการเข้าสมาคมที่ดีที่สุด ๓) ด้านศาสนา ศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อ ดังนั้นการจะชักจูงให้คนอื่นเชื่อ หรือเกิด ความชอบหรือมีทัศนคติคล้อยตาม ต้องใช้ศิลปะในการพูดอย่างมาก ผู้ใดสามารถพูดโน้มน้าวให้คนใน สังคมเชื่อในสิ่งที่ดีงามและประพฤติปฏิบัติดีได้ สังคมนั้นก็จะอยู่กันอย่างสงบสุข ๔) ด้านการปกครอง มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่จะต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมี การจัดวางระเบียบสร้างกฎเกณฑ์ขึ้น เพื่อให้คนในสังคมได้ยึดถือปฏิบัติในแนวเดียวกัน เพื่อความสงบสุข ของสังคมนั้น ๕) ด้านการพัฒนาบุคลิกภาพ การพูดเป็นการแสดงออกถึงบุคลิกลักษณะ ความฉลาด นิสัยใจ คอ และทัศนคติของผู้พูด การรู้จักพูดให้ถูกต้องเหมาะสมกับผู้ฟัง เหมาะกับกาลเทศะ พูดอย่างมีขั้นตอน ตามหลักการพูด จะช่วยพัฒนาบุคลิกภาพของตนให้ดีขึ้น รู้จักวางตัวได้ดีขึ้น กิริยาท่าทางไม่เคอะเขิน แต่ง กายเหมาะสมมีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความกระตือรือร้น มีมนุษย์สัมพันธ์ดี มีความน่ารัก และเป็นกันเอง กับคนทั่วไป ๖) ด้านการส่งเสริมประชาธิปไตย หากคนส่วนใหญ่ในสังคมรู้จักพูดในสิ่งที่ควรพูด รู้จักนิ่งใน สิ่งที่ควรนิ่ง กล้าออกความเห็น กล้าคัดค้านในสิ่งที่ไม่ชอบไม่ควร เราจะพัฒนาสังคมให้เป็นประชาธิปไตย ได้เร็วกว่านี้ ๗) ด้านการประกอบอาชีพ แทบทุกอาชีพจำเป็นต้องใช้การพูดเป็นเครื่องมือในการประกอบ อาชีพทั้งสิ้น อาจเป็นเครื่องมือประกอบอาชีพโดยตรงหรือโดยอ้อม คนเราจะประกอบอาชีพใดก็ตามต้องมี ความรู้ในสาขาวิชาชีพของตนเป็นอย่างดี แต่ถ้าหากได้นำความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการพูดไปประยุกต์ เข้ากับงานอาชีพแล้ว จะทำให้งานที่ทำอยู่ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน เช่น ทนายความ จิตแพทย์ นักการเมือง พ่อค้า แม่ค้า ฯลฯ
82 ๘) ด้านการสอน การสอนเป็นการใช้ศิลปะ และความสามารถในการพูดมากที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะผู้สอนต้องถ่ายทอดความรู้ ความคิดเห็น และชี้แจงเหตุผลต่อศิษย์ ศิษย์จะรับเอาความรู้ไปเป็น ประโยชน์ในการดำรงชีพ เพื่อพัฒนาสังคม และช่วยเหลือประเทศชาติด้านต่าง ๆ ต่อไป สมิต สัชญกร (2547 : 10) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการพูดว่า การเป็นกรรมของมนุษย์ ที่ เกิดจากการเรียนรู้ มิใช่สัญชาตญาณ ที่มีมาแต่กำเนิด ความสามารถที่จะเป็นนักพูดที่ดี จึงอาจศึกษาและ ฝึกฝนได้” วรัช ลภิรัตนกุล (2526 : 2) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการพูดว่า พฤติกรรมการพูดของมนุษย์มี ความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน และชีวิตการทำงานของเรา ทั้งนี้เพราะมนุษย์ต้องใช้การพูดเสมอ และใช้ คำพูดเป็นสื่อบุคคล หรือเป็นวิถีทางหนึ่งในการถ่ายทอด ชักนำเอาความรู้สึกนึกคิดของตนออกตีแผ่ แสดง ให้ผู้อื่นได้ทราบและเข้าใจ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (๒๕๕๑ : 121) ได้กล่าวไว้ว่า การพูดมีความสำคัญใน ชีวิตประจำวันของมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง คนที่รู้จักพูดจะสามารถใช้การพูดเป็นประโยชน์แก่ตนเอง และหมู่ คณะ การพูดจึงมีความสำคัญ ดังนี้ 1) การพูดเป็นปัจจัยในการประกอบอาชีพทุกอาชีพ การพูดที่ดีจะช่วยให้ประสบความสำเร็จใน งานวิชาชีพ เช่น ครู นักปกครอง นักกฎหมาย นักการเมือง นักวิชาการ ผู้อยู่ในวงการบันเทิง ผู้ประกอบการ ค้าขาย เป็นต้น 2) การพูดช่วยสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีในองค์กรและในสังคม การพูดจะช่วยสร้างความเข้าใจ อันดีของคนในสังคม เป็นเครื่องมือของการสมาคม คำพูดแสดงให้เห็นถึงมารยาทอันดี ตลอดจนความมี ไมตรีต่อกัน 3) การพูดมีความสำคัญในการเจรจาเรื่องราวต่าง ๆ ตลอดจนการคลี่คลายสถานการณ์ตึง เครียด อันเกิดจากความไม่เข้าใจกัน สรุปได้ว่าการพูดมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิต ทุกคนต้องอาศัยการพูดในการถ่ายทอด ความรู้สึกนึกคิด สร้างความเข้าใจที่ดีระหว่างคนในสังคม นอกจากนี้การพูดยังช่วยเสริมสร้างความ เจริญก้าวหน้าให้กับชีวิต และเป็นพื้นฐานช่วยสร้างความศรัทธา และความเชื่อมั่นในบุคลิกภาพให้แก่บุคคล นั้น ๆ อีกด้วย กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 144 - 146) กล่าวไว้ว่า การพูดเป็นกระบวนการที่มีความ จำเป็นสำหรับมนุษย์ เพราะมนุษย์ต้องติดต่อสื่อสารกันในวิถีการดำเนินชีวิต อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อจรรโลงสังคมให้คงอยู่ นอกจากนั้นยังทำให้ผู้ฟังได้รับผลแห่งการพูดนั้น ซึ่งพอสรุปความสำคัญ ของการพูดได้ ดังนี้
83 1) ดำรงตนในสังคมได้อย่างมีความสุข กล่าวคือ การพูดเป็นวิธีการสื่อสารสำคัญอย่างหนึ่งที่ เปิดโอกาสให้คนในสังคมได้เรียนรู้ เพื่อสร้างสัมพันธภาพที่ดีให้เกิดขึ้น และให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่าง สงบสุข ทั้งในด้านการประกอบอาชีพ การสนทนาพูดคุย และการดำเนินชีวิตประจำวันในแง่มุมอื่น 2) สร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ที่มีคุณค่า กล่าวคือ ผู้พูดจะนำเสนอสิ่งที่ตนเองคิดออกมาเพื่อให้ผู้อื่น ได้ทราบหรืออาจอธิบายข้อมูลต่าง ๆ ที่ตนเองคิด หรืออาจแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่นเพื่อร่วมกัน สร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นทั้งสิ่งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม โดยใช้การพูดเป็นการสื่อความเข้าใจหรือ ผลจากการพูดนั้นอาจเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติ 3) จรรโลงจิตใจของมนุษย์ กล่าวคือ การพูดมีส่วนช่วยสำคัญที่ช่วยให้ทั้งผู้พูดและผู้ฟังมี สุขภาพจิตที่ดี ทั้งการถ่ายทอดและรับฟังเรื่องราวที่กล่อมเกลาจิตใจ สร้างความบันเทิง ผ่อนคลายความตึง เครียด และการให้ข้อคิดคติเตือนใจแก่ผู้อื่น การพูดเป็นกระบวนการถ่ายทอดสารที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งของมนุษย์ หากผู้พูดสามารถนำเสนอได้ อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ย่อมเป็นเหตุให้เกิดประสิทธิผลในการฟังและยังเป็นการแสดงให้เห็นศักยภาพของ ผู้พูดเองในหลายประการ เช่น สติปัญญา ปฏิภาณไหวพริบ เป็นต้น 5.3 จุดมุ่งหมายของการพูด มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (๒๕๕๑ : 121) ได้กล่าวไว้ว่า การติดต่อสื่อสารด้วยการพูด ผู้พูด ควรตั้งจุดมุ่งหมายไว้ให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถนำเสนอเนื้อหาและใช้ถ้อยคำที่สื่ออารมณ์ความรู้สึกต่อผู้ฟัง ให้ได้รับทราบเจตนาของผู้พูดได้เป็นอย่างดี การพูดโดยทั่วไปมีจุดมุ่งหมายดังนี้ 1) เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดและความต้องการให้ผู้อื่นได้ทราบ เป็นการสื่อสารด้วยการ พูดในชีวิตประจำวันที่ผู้พูดต้องสามารถใช้ภาษาถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจได้ ตรงตามความต้องการของผู้พูด 2) เพื่อถ่ายทอดความรู้และข้อเท็จจริง เป็นการพูดที่ผู้พูดต้องการให้ผู้ฟังเกิดความรู้เช่น การ บรรยายทางวิชาการ การปาฐกถา การอภิปรายต่าง ๆ 3) เพื่อโน้มน้าวใจ เป็นการพูดเพื่อชักจูงให้ผู้ฟังมีความคิดคล้อยตาม เช่น การโฆษณา การ เชิญชวนรณรงค์ให้ร่วมกันทำกิจกรรมต่าง ๆ 4) เพื่อจรรโลงใจ เป็นการพูดที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อบอกเล่าสิ่งที่เป็นนามธรรมให้ผู้ฟังมีความรู้สึก ที่สูงส่ง ดีงาม และให้ได้รับคุณค่าทางด้านจิตใจ หรือเป็นการพูดชี้แจงให้เห็นความน่าชื่นชมของความคิด การกระทำ หรือเรื่องราวอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยชี้ให้เห็นถึงอุดมคติ แนวทางการดำเนินชีวิตที่ดี เพื่อความ
84 อยู่ดีมีสุขของคนในสังคม โดยเลือกสุภาษิต ข้อคิด หรือคำคมต่าง ๆ มาใช้เพื่อเพิ่มน้ำหนักให้แก่ข้อคิด และ ให้ผู้ฟังประจักษ์ชัดในสิ่งที่พูดอย่างชัดเจน 5) เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความสุข สนุกสนาน มักเป็นการเล่าเรื่องเบาสมอง ตลกขบขันหรือการ หยอกล้อกันอย่างสร้างสรรค์ 6) เพื่อใช้ในโอกาสที่อยู่ในสังคมเพื่อแสดงมารยาทอันดี และสร้างทัศนคติที่ดีต่อกันเช่น การ กล่าวอวยพรเนื่องในโอกาสต่าง ๆ กล่าวคำปราศรัย คำสดุดี ไว้อาลัย การกล่าวต้อนรับ เป็นต้น กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 144 - 146) กล่าวไว้ว่า การพูดในแต่ละครั้งนั้น อาจมิได้มี เพียงวัตถุประสงค์เดียวเสมอไป แต่หากผู้พูดสามารถกำหนดวัตถุประสงค์ของการพูดในแต่ละครั้งได้อย่าง แน่ชัด ย่อมจะส่งผลดีต่อการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ประกอบด้วย 1) เพื่อถ่ายทอดข้อมูลหรือเรื่องราวต่าง ๆ ของผู้พูดนั้น หากนำเสนอข้อมูลที่มีความสนใจ น่าเชื่อถือ มีความถูกต้องสมบูรณ์ ย่อมได้รับการยอมรับจากผู้ฟังได้ง่าย แต่หากสิ่งที่ผู้พูดนำเสนอไม่ น่าเชื่อถือ ย่อมจะส่งผลเสียต่อผู้พูดได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นในการถ่ายทอดข้อมูลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความรู้ คำแนะนำ หรือความคิดเห็นต่าง ๆ ต้องเป็นข้อมูลที่ผู้พูดได้กลั่นกรองมาเป็นอย่างดี เพื่อผลดีต่อผู้ พูดเอง 2) เพื่อสร้างความบันเทิง การสร้างความบันเทิงที่ผ่านการนำเสนอด้วยวิธีการพูดนั้น ผู้พูดต้อง อาศัยศิลปะในการถ่ายทอดเป็นอย่างมากเพื่อให้ผู้ฟังมีอารมณ์ร่วมไปด้วย การพูดที่มีวัตถุประสงค์เช่นนี้ก็ เพื่อให้ผู้ฟังได้รับความสุขจากการฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผู้พูดได้ถ่ายทอดออกมา แต่ความสุขที่เกิดขึ้นนั้นไม่ ควรเป็นความสุขที่อยู่บนความทุกข์ของผู้อื่น เพราะอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน 3) เพื่อโน้มน้าวใจ การพูดเพื่อโน้มน้าวใจ ก็เพื่อต้องการให้ผู้ฟังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือ ความคิดหรือความรู้สึกให้เป็นไปตามที่ผู้พูดต้องการ ผู้พูดจึงต้องอาศัยเหตุผลหรือตัวอย่างหรือข้อมูลอื่นใด ที่จะมีส่วนช่วยในการปรับเปลี่ยนความคิดของผู้ฟังให้เป็นไปในทิศทางที่ผู้พูดต้องการ แต่ต้องไม่ชักนำไป ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร 4) เพื่อแสวงหาความรู้ การค้นหาคำตอบในสิ่งที่ผู้พูดต้องการจะรู้นั้น ผู้พูดจะต้องซักถามผู้ที่มี ความรู้หรือประสบการณ์ให้เป็นผู้ไขข้อข้องใจที่เกิดขึ้น หรืออาจเกิดจากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แล้วผู้ พูดก้ประมวลข้อมูลเหล่านั้นเข้าด้วยกันเพื่อหาคำตอบในสิ่งที่ต้องการ ผู้พูดจึงต้องตั้งคำถามให้กับตนเอง ก่อนว่าตนเองไม่รู้หรือไม่เข้าใจในประเด็นใด เพื่อจะได้นำไปตั้งคำถามได้อย่างถูกต้อง 5) เพื่อแก้ไขความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน บางครั้งปัญหาของคนในสังคมที่เกิดขึ้นก็เป็นปัญหาที่ เกิดจากความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน การพูดเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยแก้ไขความเข้าใจที่แตกต่างกันได้ โดยผู้พูด
85 จะต้องชี้แจงหรืออธิบายให้ผู้ฟังเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ ให้ถูกต้อง หากมีปัญหาระหว่างการสนทนาสามารถ แก้ไขความเข้าใจเหล่านั้นให้ตรงกันได้ 5.4 องค์ประกอบของการพูด การพูดที่ดีและประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องมีองค์ประกอบของการพูด ดังที่ สำเนียง มณีกาญจน์ สมบัติ จำปาเงิน (๒๕๓๘ : ๕) และนภดล จันทร์เพ็ญ (๒๕๓๙ : ๕๖) กล่าวไว้ว่า การพูดให้ ประสบความสำเร็จมีองค์ประกอบ 5 ประการดังนี้ ๑) ผู้พูดจะต้องรู้จักใช้ภาษา เสียง อากัปกิริยาท่าทาง และบุคลิกภาพของตนอย่างมี ประสิทธิภาพ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึก ข้อคิดเห็น ข้อเท็จจริง ตลอดจนทัศนคติของตนไปสู่ผู้ฟังให้ดีที่สุด นอกจากนี้ผู้พูดจะต้องรู้จักเก็บสะสมความคิด ความอ่าน ที่มีคุณค่ามีประโยชน์นำมารวบรวมตระเตรียมให้ เป็นระเบียบ เพื่อที่จะถ่ายทอดให้ผู้ฟังทราบ เข้าใจง่าย ชัดเจนแจ่มแจ้ง และรวดเร็ว ๒) สาระหรือเนื้อเรื่องที่พูด ผู้พูดที่ดีจะต้องรู้จักเลือกพูดในเรื่อง หรือหัวข้อที่ตนถนัด และมี ประสบการณ์ มีความรู้ในด้านนั้นอย่างละเอียดลึกซึ้งจริง ๆ ควรมีการเตรียมเนื้อหา ลำดับเรื่องราว ดำเนินการพูดถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ๓) ผู้ฟัง การสื่อความหมายเป็นกระบวนการติดต่อทางสังคมที่มีผู้พูดเป็นผู้ให้และผู้ฟังเป็นผู้รับ ผู้พูดจะสื่อความหมายได้ตรงเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่ที่ผู้พูดรู้จักผู้ฟังของตนเองว่า เป็นใคร มี การศึกษา และสถานะทางสังคมระดับใด ๔) เครื่องมือในการสื่อความหมาย เครื่องมือในที่นี้ หมายถึงสิ่งที่ช่วยถ่ายทอดความกนกคิด ของผู้พูดไปสู่ผู้ฟัง เช่น เสียง สีหน้า ท่าทาง รวมถึงเครื่องโสตทัศนูปกรณ์อื่น ๆ ด้วย ๕) ความมุ่งหมายหรือผลที่เกิดจากการพูด ผลของการพูดจะครบตามจุดมุ่งหมายของผู้พูด หรือไม่นั้นดูได้จากการแสดงออกของผู้ฟัง ผู้ฟังอาจแสดงออกด้วยการหัวเราะยิ้ม ฯลฯ สมพร แพ่งพิพัฒน์ (๒๕๔๗ : ๗๙) ได้อธิบายไว้ว่า องค์ประกอบของปริภาษาในการพูดมีดังนี้ ๑) คุณภาพของเสียง ได้แก่ คุณภาพของน้ำเสียงที่เกิดจากการพูด การควบคุมริมฝีปาก ควบคุมจังหวะการพูด ๒) ความเข้มของเสียงหรือแรงดันของคลื่นเสียง เรารับรู้ว่าดังหรือเบาหรือนิ่มนวล ๓) ระดับเสียง หมายถึง ความถี่หรือพิสัยเสียง รวมทั้งการเว้นจังหวะและความเร็วของเสียง ด้วย ๔) เสียงขัด หมายถึง เสียงที่ขัดระหว่างคำพูด เช่น เออ อือ เป็นต้น ๕) ความคล่องแคล่วในการพูด คือ ความถูกต้องชัดเจน มีลีลาจังหวะที่ดี
86 ๖) กระสวนเสียง หมายถึง ภาษาถิ่น กระสวนวิภัติปัจจัยต่าง ๆ ๗) เสียงที่แสดงอาการเกิดอารมณ์ ได้แก่ การร้องไห้ การหัวเราะ การตะโกน การทำเสียงขึ้น จมูก การกรน และการถอนหายใจ กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 14๘ – 14๙) กล่าวไว้ว่า การพูดจะเกิดประโยชน์อย่างสูงสุดได้ มิใช่จะมีเพียงผู้พูดเท่านั้น แต่ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและมีความสำคัญต่อการพูดไม่ยิ่งหย่อนไป กว่าผู้พูด องค์ประกอบดังกล่าวนั้นประกอบด้วย 1) ผู้พูด เป็นผู้ถ่ายทอดสารที่ต้องการจะสื่อออกไปด้วยภาษา เพื่อให้ผู้ฟังรับรู้และเข้าใจตรงกับ วัตถุประสงค์ที่ผู้พูดต้องการ ดังนั้นจึงต้องอาศัยศิลปะหรือสื่ออื่นใดที่จะใช้ประกอบการถ่ายทอดด้วย เช่น น้ำเสียง ท่าทาง อุปกรณ์ประกอบการพูด เป็นต้น ในกรณีที่ผู้พูดต้องการจะใช้สื่อประกอบการพูด จะต้องรู้ วิธีการใช้สื่อเหล่านั้นเพื่อให้ใช้ได้โดยไม่ติดขัด และต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะพูดอย่างถ่องแท้ เพื่อให้ผู้ฟัง ได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง 2) ผู้ฟัง ทำหน้าที่เป็นผู้รับสาร ผู้ฟังควรให้ความสนใจกับเรื่องที่ฟัง หากเป็นเรื่องที่รู้ล่วงหน้าว่า ผู้พูดจะนำเสนอประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องใด ผู้ฟังควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ มาก่อน เพื่อจะ ได้เข้าใจง่ายขึ้น เช่น การเตรียมตัวสำหรับการเข้าร่วมสัมมนา เมื่อจะซักถามต้องระอจังหวะที่เปิดโอกาสให้ ซักถามเป็นต้น 3) เนื้อหาหรือเรื่องราว เนื้อหา คือ ข้อมูลที่ผู้พูดจะถ่ายทอดไปยังผู้ฟัง ควรเป็นเรื่องที่ผู้พูดมี ความรู้ประสบการณ์ หรือมีความสนใจ และควรเป็นเรื่องราวที่มีเหตุผล สามารถถ่ายทอดอย่างเป็นลำดับ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจที่ชัดเจน เช่น หากประเด็นการนำเสนอเป็นเรื่องการสาธิต การทำอาหาร ผู้พูด ควรเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญด้านอาหาร เพื่อที่จะได้สาธิตได้อย่างถูกต้อง เป็นต้น 4) เสียง เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการถ่ายทอดเรื่องราว เพื่อให้ผู้ฟังได้รับความรู้ความเข้าใจ ตรงตามวัตถุประสงค์ ดังนั้นผู้พูดควรพูดให้ชัดเจน ถูกต้อง มีน้ำเสียงน่าฟัง ระดับความดังเบาของเสียงต้อง คำนึงถึงสภาพแวดล้อมและจำนวนผู้ฟังด้วย บางครั้งอาจจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วยกระจายเสียงเพื่อให้ ทั่วถึง ควรเลือกอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพ 5) ถ้อยคำหรือคำพูด คือการเลือกสรรภาษาที่จะใช้นำเสนอต้องถูกต้อง เหมาะสมเข้าใจง่าย ออกเสียงได้อย่างถูกต้องตามอักขรวิธี ฉะนั้น การเลือกเนื้อหา ภาษา และการลำดับความที่เหมาะสม จะ ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกที่ดีทั้งต่อตัวผู้พูด เรื่องที่ฟัง รวมทั้งมีส่วนช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการฟังด้วย ซึ่ง จะเป็นผลดีแก่ทุกฝ่าย ผู้พูดจึงควรเตรียมตนเองให้พร้อมก่อนที่จะนำเสนอข้อมูลใด และแสดงออกด้วย พฤติกรรมที่เหมาะสม เพราะจะมีส่วนเสริมในการสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้น
87 5.5 ประเภทของการพูด ประสงค์ รายณสุข (2528 : 148 – 152) ได้แบ่งการพูดออกเป็นแบบต่าง ๆ ดังนี้ 1) จำแนกตามรูปแบบ แบ่งเป็น ๓ ประเภทคือ 1.๑) การพูดระหว่างบุคคล เป็นการสื่อสารขั้นพื้นฐานที่ไม่ยึดหลักการพูดที่เป็นทางการหรือ คร่งครัดนัก เพียงแต่ใช้เกณฑ์การพูดที่เกี่ยวกับกาลเทศะและบุคคลเท่านั้น เช่น การสนทนา การสัมภาษณ์ การซักถาม การพูดทางโทรศัพท์ ฯลฯ 1.2) การพูดในกลุ่ม เป็นการพูดในลักษณะแลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกันของกลุ่มบุคคลที่ มีมากกว่า 2 คนขึ้นไป เพื่อจุดประสงค์ในการวางแผนทำงานร่วมกัน หรือหาทางแก้ปัญหาต่าง ๆ เช่น การ ประชุมกลุ่ม การอภิปรายกลุ่ม 1.3) การพูดในที่ประชุม เป็นการพูดในที่สาธารณะต่อหน้าผู้ฟังจำนวนมาก เป็นการสื่อสาร ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง โดยผู้พูดต้องเตรียมตัวในการพูดมาอย่างดี ทั้งการวิเคราะห์ผู้ฟัง และการเตรียม เนื้อหา ตลอดจนวิธีเสริมสร้างประสิทธิภาพในการพูด การพูดประเภทนี้ได้แก่ การบรรยาย การแสดง ปาฐกถา และการอภิปรายแบบต่าง ๆ ๒) จำแนกตามโอกาส แบ่งเป็น ๒ ประเภทคือ 2.๑) การพูดที่เป็นทางการ เป็นการพูดต่อสาธารณชน มีลักษณะเป็นแบบแผนผู้พูดต้องเตรียม ตัวมาอย่างดี เตรียมการพูดและฝึกพูด เพื่อให้เกิดทักษะ และเรียกความเลื่อมใสศรัทธาจากผู้ฟัง ๒.2) การพูดที่ไม่เป็นทางการ เป็นการพูดที่ใช้ในชีวิตประจำวัน มีลักษณะเป็นกันเองระหว่างผู้ พูดกับผู้ฟัง ภาษาที่ใช้เป็นภาษาปาก ๓) จำแนกตามวัตถุประสงค์ในการพูด แบ่งเป็น 3 ประเภทคือ 3.๑) การพูดเพื่อให้ความรู้ เป็นการพูดในลักษณะบอกเล่า ชี้แจง แถลงข้อเท็จจริงแก่ผู้ฟัง โดย มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ได้รับสาระ หรือความรู้จากการฟัง 3.๒) การพูดเพื่อจูงใจและปลุกใจ เป็นการพูดเพื่อโน้มน้าวใจ หรือชักนำผู้ฟังให้เชื่อคำพูดของผู้ พูด เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในตัวผู้พูด จนถึงกับเปลี่ยนทัศนคติ ค่านิยม และมีความคิดเห็นคล้อยตาม 3.๓) การพูดเพื่อความเพลิดเพลินและจรรโลงใจ เป็นการพูดเพื่อให้ผู้ฟังได้รับความ เพลิดเพลิน มักเป็นเรื่องเบาสมอง ไม่ต้องใช้ความคิดมากนัก ๔) จำแนกตามลักษณะการพูด มี 4 ประเภทคือ 4.๑) การพูดโดยฉับพลัน เป็นการพูดที่ผู้พูดไม่รู้ตัวล่วงหน้า มักเป็นการพูดในงานรื่นเริง สังสรรค์ หรืออาจเป็นการแสดงความคิดเห็น เพื่อแก้ปัญหาบางประการ
88 4.๒) การพูดโดยท่องจำ มีลักษณะการพูดใกล้เคียงกับการพูดโดยฉับพลัน แต่ผู้พูดรู้ตัวมาก่อน ล่วงหน้า จึงมีโอกาสเตรียมตัวด้วยการท่องจำ 4.๓) การพูดโดยอ่านจากต้นฉบับ เป็นการพูดโดยอ่านจากต้นฉบับที่เตรียมไว้ การพูดนี้มักใช้ ในโอกาสที่เป็นพิธีกร 4.๔) การพูดโดยมีการบันทึก เป็นการพูดในที่ชุมชนที่นิยมใช้มาก และได้ผลดีกว่าแบบอื่น ผู้พูด ต้องศึกษาค้นคว้า และเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี มีการจดบันทึกข้อความสำคัญที่จะนำไปพูด เช่น สำนวน คำคม อัมพร แก้วสุวรรณ (2522 : 75 – 80) ได้กล่าวว่า การพูดมีอยู่ ๒ ลักษณะคือ ๑) การพูดโดยไม่มีการเตรียมตัว เป็นวิธีที่ผู้พูดไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้ามาก่อนมีผู้พูดจำนวนน้อย เท่านั้น ที่สามารถพูดในวิธีนี้ได้โดยไม่เคอะเขิน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาจะต้องได้รับการฝึกฝน และมี ความเคยชินต่อการปรากฏตัวในสายตาคนมาก ๆ ๒) การพูดโดยมีการเตรียมตัว เป็นการพูดที่ผู้พูดรู้ตัวล่วงหน้านานพอที่จะศึกษาสถานการณ์ในการ พูด เนื้อเรื่อง ผู้ฟัง และองค์ประกอบในด้านอื่น ๆ ซึ่งผู้พูดอาจใช้วิธีต่าง ๆ ดังนี้ 2.๑) การอ่าน หมายถึงการอ่านจากต้นฉบับที่เตรียมมา ซึ่งเป็นการพูดที่ไม่เป็นธรรมชาตินอก เสียจากว่า ผู้พูดต้องเป็นนักอ่านที่ดี ไม่ก้มหน้าก้มตาอ่าน จนไม่ได้มองผู้ฟัง และอ่านออกเสียงในระดับเดียว ตลอดเวลา ๒.2) การท่องปากเปล่า เป็นการเตรียมการพูดที่เสียเวลา เพราะผู้พูดต้องเสียเวลาในการ ท่องจำสิ่งที่จะพูดให้ได้ทั้งหมด และอาจทำให้ผู้พูดไม่มั่นใจ หรือเครียดเวลาพูด เพราะกังวลว่าจะพูดไม่ครบ ตามที่ท่องมา และยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นของผู้พูดในระหว่างการพูด 2.๓) การจำเพียงหัวข้อ เป็นวิธีที่ผู้พูดวางแผนการพูดว่ามีโครงร่างในการพูดอย่างไรและผู้พูด สามารถเลือกหาถ้อยคำมาใช้ให้เหมาะสมกับโอกาสได้ เพียงแต่ให้สอดคล้องกับโครงเรื่องที่วางไว้ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (2551 : 123) ได้กล่าวไว้ว่า ประเภทของการพูดแบ่งตามลักษณะ ของการเตรียมเนื้อหาและวิธีแสดงการพูดได้เป็น 4 ประเภทดังนี้ 1) การพูดโดยอ่านจากต้นฉบับ ได้แก่ การพูดที่เป็นพิธีการ เช่น การกล่าวคำปราศรัย สุนทรพจน์ แถลงการณ์ คำกล่าวรายงาน การให้โอวาทในงานที่เป็นพิธีการ ซึ่งผู้พูดต้องฝึกอ่านจนคล่องเหมือน เสียงพูด จึงจะน่าฟังและประสบความสำเร็จ 2) การพูดโดยท่องจำจากต้นฉบับที่ร่างไว้ ผู้พูดต้องท่องจำจนแม่นยำเหมือนดังต้นฉบับ วิธีนี้เหมาะ สำหรับผู้เริ่มฝึกพูด
89 3) การพูดโดยมีบันทึก เป็นการพูดที่ผู้พูดต้องเขียนต้นฉบับแล้วฝึกการพูดจนคล่อง เมื่อพูดจริงจะ นำต้นฉบับที่ทำเครื่องหมายเฉพาะหัวข้อสำคัญ หรือจดเฉพาะหัวข้อสำคัญลงในกระดาษบันทึก เวลาพูดจึง ขยายความเพิ่มเติมตามความเหมาะสม 4) การพูดโดยกะทันหัน หรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่าการพูดแบบ “ปฏิภาณวาที” เป็นการพูดที่ผู้ พูดไม่ทราบล่วงหน้า และไม่มีเวลาเตรียมตัวก่อนขึ้นพูด จึงจะพูดได้น่าฟังและประสบความสำเร็จ สรุปความได้ว่า ประเภทของการพูดนั้นอาจแบ่งได้ตามรูปแบบของการพูด โอกาสในการพูด วัตถุประสงค์ในการพูด และลักษณะของการพูด การพูดทุกประเภทจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ให้ผู้ฟังเกิด ความรู้ ความเข้าใจ และคล้อยตามสิ่งที่ผู้พูดต้องการ นิพนธ์ ทิพย์ศรีนิมิต (2544 : 49 – 67) กล่าวไว้ว่า การเป็นนักพูดที่ดีนั้น นอกจากจะคำนึงถึง ความรู้พื้นฐานของการพูดดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังต้องศึกษาเกี่ยวกับประเภทของการพูดประกอบด้วย ทั้งนี้ เพราะการเรียนรู้ในเรื่องดังกล่าวจะช่วยให้ผู้พูดเข้าใจถึงลักษณะของการพูด สามารถกำหนดจุดมุ่งหมาย รวมทั้งสามารถเลือกใช้วิธีการพูดได้อย่างเหมาะสม ประเภทของการพูด แบ่งได้ ๔ ลักษณะ ดังนี้ ๑) แบ่งตามลักษณะการพูด การพูดแบ่งตามลักษณะได้ ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๑.๑) การพูดเดี่ยว การพูดเดี่ยว หมายถึง การพูดที่มีพูดฟังคนเดียว อาจพูดในห้องเรียน ในการประชุมหรือในที่ ชุมชนก็ได้ สำหรับเรื่องที่นำมาพูดอาจได้มาจากเหตุการณ์หรือประสบการณ์ของตนเอง จากเรื่องที่ได้ยินได้ ฟังมา จากการอ่านจากการศึกษาค้นคว้า จากการซักถาม หรือจากสิ่งที่มีผู้เล่าให้ฟัง เป็นต้น จุดมุ่งหมาย การพูดเดี่ยวมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ฟังได้รับความรู้ความเพลิดเพลินหรือเพื่อ เผยแพร่วิทยาการใหม่ ๆ ที่ก้าวหน้า ๑.๒) การพูดกลุ่ม การพูดกลุ่ม หมายถึง การพูดที่มีผู้พูดหลาย ๆ คน มาร่วมกันแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่พูด ในการพูดกลุ่ม ผู้พูดส่วนใหญ่จะมีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในการพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพูด รวมกันกับผู้อื่นหรือการพูดเป็นทีม จุดมุ่งหมาย การพูดกลุ่มมีจุดมุ่งหมายเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น เพื่อร่วมกันแก้ไข ปัญหา หรือหาแนวทางปฏิบัติ ๒) แบ่งตามโอกาสที่พูด สามารถจัดโอกาสของการพูดได้ ๒ ประเภท ดังนี้ ๒.๑) การพูดอย่างเป็นทางการ หมายถึง การพูดที่เป็นกิจจะลักษณะและเป็นพิธีการ ผู้พูดต้อง ยึดถือและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การพูด เช่น การบรรยาย การอภิปราย การสัมภาษณ์ เป็นต้น
90 ๒.๑.๑) หลักการพูดอย่างเป็นทางการ (๑) ขั้นวิเคราะห์ ผู้พูดต้องวิเคราะห์เกี่ยวกับผู้ฟัง โอกาส เวลา และสถานที่ก่อนจะพูด (๒) การเตรียมเนื้อหา การพูดทุกครั้ง ผู้พูดจำเป็นต้องคิดเตรียมเนื้อหา เพื่อให้การพูด นั้น ๆ เกิดความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น (๓) การเตรียมด้านภาษา การพูดต้องใช้วัจนภาษาและอวัจนภาษา ซึ่งมีแนวทางการใช้ ดังนี้ - การใช้วัจนภาษา ผู้พูดควรใช้ถ้อยคำที่สั้นละตรงความหมาย - การใช้อวัจนภาษา ผู้พูดควรกรวดสายตามองผู้ฟังให้ทั่วถึง (๔) การเตรียมตัวพูด การพูดต่อหน้าผู้ฟังจำนวนมาก ผู้พูดมักจะเกิดความเครียด เช่น การพูดไม่ออก หรือพูดผิด ๆ ถูก ๆ เป็นต้น (๕) การเตรียการพูดให้เหมาะกับสถานการณ์ ในการพูดผู้พูดอาจประสบปัญหาต่าง ๆ มากมายในขณะที่พูด เช่น ผู้ฟังไม่สนใจ หรือบรรยากาศในการพูดมีความเครียด นอกเหนือจากการปรับ การพูดให้เข้ากับโอกาส และสถานการณ์ในขณะที่กำลังพูดอยู่ เช่น ถ้าจะพูดเครื่องที่เป็นความรู้เป็น วิชาการ ต้องพูดให้ช้ากว่าปกติเล็กน้อย ๒.๒) การพูดอย่างไม่เป็นทางการ หมายถึง การพูดที่ไม่มีพิธีรีตอง เนื่องจากผู้พูดและผู้ฟังมี ความคุ้นเคยกัน เช่น การสนทนาทักทายปราศรัย การปรึกษาหารื้อในระหว่างเพื่อนฝูง ๒.๒.๑) หลักการพูดไม่เป็นทางการ (๑) ผู้พูดต้องมีจุดมุ่งหมายในการพูดที่ชัดเจนในการพูด เช่น การแจ้งให้ทราบ (๒) ต้องคำนึงถึงกิริยามารยาทในการสื่อสาร เช่น กิริยาที่แสดงออกต่อเพื่อน ต่อ อาจารย์ (๓) ภาษที่ใช้พูดต้องมีความชัดเจนและมีความเหมาะสมกับผู้ฟัง เช่น พูดกับเพื่อน (๔) ต้องรู้จักกาลเทศะในการพูด เช่น รู้เวลาใดควรพูดหรือไม่ควรพูด ๓) แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการพูด ความสำเร็จในการพูดจะเกิดขึ้นได้นั้น คือ ผู้พูดจะต้องกำหนด จุดมุ่งหมายของการพูดให้ชัดเจน จุดมุ่งหมายของการพูดแบ่งได้ ๒ ประการ คือ ๓.๑) จุดมุ่งหมายทั่วไป จุดมุ่งหมายทั่วไปของการฟังนั้น หมายรวมถึงการพูดเพื่อให้ความรู้ ชัก จูงใจให้ทราบข้อเท็จจริง กระตุ้นหรือสร้างความประทับใจ ตักเตือนหรือให้โอวาท หรือการพูดเพื่อให้เกิด ความสนุกสนาน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากจัดประเภทของความมุ่งหมายทั่วไปของการพูดเป็นประเภท ใหญ่ ๆ แล้ว จะได้ ๕ ประเภท ดังนี้
91 ๓.๑.๑) การพูดเพื่อให้ความรู้ คือ การแสดงความรู้หรือข้อเท็จจริงให้เห็นชัดเจนเป็นลำดับ ขั้นตอน เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจและได้รับประโยชน์จากเนื้อหาสาระ เรื่องราว หรือข่าวสารต่าง ๆ ที่ได้ พูดออกไป ๓.๑.๒) การพูดเพื่อเกลี้ยกล่อมหรือจูงใจ เป็นการพูดที่มุ่งโน้มน้าวจิตใจผู้ฟังให้คล้อยตาม หรือเชื่อถือศรัทธาแล้วนำไปปฏิบัติ เนื่องจากการพูดในลักษณะนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อโน้มน้าวให้ผู้ฟังเห็นด้วย กับเรื่องที่พูด ๓.๑.๓) การพูดเพื่อกระตุ้นหรือสร้างความประทับใจ เป็นการพูดให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึก อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเกิดความรู้สึกร่วมกัน เช่น การพูดกระตุ้นให้เกิดความสามัคคีที่ได้รับตำแหน่งใหม่ การปราศรัยหาเสียง การกล่าวในงานเลี้ยงฉลองต่าง ๆ เป็นต้น ๓.๑.๔) การพูดเพื่อเรียกร้องความสนใจ เป็นการพูดที่ต้องการให้ผู้ฟังสนใจในตัวผู้พูดหรือ เกิดความสนใจในสิ่งที่ผู้พูดกล่าวถึง เช่น การพูดแนะนำวิทยากร การพูดของประธานเพื่อแนะนำผู้มีเกียรติ การประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัล เป็นต้น ๓.๑.๕) การพูดเพื่อให้เกิดความบันเทิง เป็นการพูดซึ่งมีความสนุกสนาน ฟังแล้ว เพลิดเพลินไม่น่าเบื่อ นิยมพูดกันในงานรื่นเริงสังสรรค์ งานมงคลต่าง ๆ รวมถึงการพูดในชีวิตประจำวัน เช่น การสนทนา การเล่าเรื่อง การพูดหยอก ล้อเล่นหัวกัน เป็นต้น ๓.๒) จุดมุ่งหมายเฉพาะของการพูด โดยปกติการพูดที่ดีจะมีจุดมุ่งหมายเฉพาะ ซึ่งเป็น เป้าหมายที่ผู้พูดต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้ฟังในแต่ละเรื่องแต่ละประเภทที่พูด เช่น พูดจูงใจให้ซื้อสินค้า หรือ พูดเกลี้ยกล่อมคนร้ายให้ปล่อยตัวประกัน ๔) แบ่งตามวิธีการพูด การพูดแบ่งออกเป็น ๔ วิธี ดังนี้ ๔.๑) การพูดแบบกะทันหัน เป็นการพูดที่ผู้พูดได้เตรียมตัวล่วงหน้ามาก่อน หรืออาจจะรู้ ล่วงหน้าบ้างในบางกรณี แต่เป็นการรู้ตัวในช่วงเวลาสั้น ๆ การพูดลักษณะนี้ ส่วนใหญ่ผู้พูดมักจะได้รับเชิญ ให้พูด เช่น การกล่าวอวยพรในงานมงคลสมรส ๔.๒) การพูดแบบท่องจำ เป็นการพูดเนื้อหาจากที่ได้ท่องจำมา โดยผู้พูดต้องเตรียมเขียน ต้นฉบับและท่องทุกคำจากต้นฉบับที่เตรียมไว้ เหมาะสำหรับผู้ที่ฝึกพูดใหม่ ๆ ๔.๓) การพูดแบบอ่านจากร่างหรือต้นฉบับ เป็นการพูดโดยอ่านจากต้นฉบับที่ได้เขียนไว้แล้ว อย่างสมบูรณ์ นิยมใช้ในโอกาสที่เป็นพิธีการ และไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาดขึ้น เช่น การกล่าว รายงาน กล่าวคำปราศรัย แถลงการณ์ เป็นต้น
92 ๔.๔) การพูดจากความเข้าใจหรือจดเฉพาะหัวข้อ เป็นการพูดที่ผู้พูดมีความรู้ ความชำนาญ และมีประสบการณ์ในเรื่องที่จะพูด ดังนั้น การเตรียมการพูด ผู้พูดจึงจดเฉพาะหัวข้อสำคัญ ๆ เพื่อช่วย เตือนความจำ กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 161 – 163) กล่าวไว้ว่า การพูดแต่ละครั้งต่างก็มีวิธีการที่ แตกต่างกันไป แม้ว่าจะมีวัตถุประสงค์เช่นเดียวกันก็ตาม ซึ่งความแตกต่างนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากประเภทของ การพูดที่แตกต่างกัน ๑) การพูดโดยเฉียบพลัน การพูดแบบนี้พูดจะไม่รู้ตัวมาก่อนแต่มีผู้เชิญให้พูดโดยกะทันหัน ผู้พูดต้องอาศัยพรสวรรค์ ไหวพริบปฏิภาณ และการช่างสังเกต จึงจะทำให้การพูดลุล่วงไปด้วยดี เช่น การ พูดอวยพรในงานมงคลสมรส ๒) การพูดโดยการท่องจำ การพูดแบบนี้ผู้พูดจะรู้ตัวมาก่อนจึงมีโอกาสเตรียมตัวมาอย่างดี โดยท่องจำมาจนขึ้นใจมักใช้พูดในโอกาสต่าง ๆ เช่น การกล่าวต้อนรับผู้มาเยือน การกล่าวอำลา การกล่าว ให้โอวาท เป็นต้น สิ่งสำคัญสำหรับการพูดแบบนี้ คือ ต้องพูดให้เป็นธรรมชาติจึงจะทำให้ผู้ฟังประทับใจ ๓) การพูดโดยอ่านจากต้นฉบับ การพูดแบบนี้พูดจะอ่านจากต้นฉบับที่เตรียมไว้ล่วงหน้า ซึ่ง อาจจะเตรียมเอง หรือมีผู้อื่นเขียนไว้ให้ พูดจึงควรซ้อมอ่านมาก่อน เพื่อป้องกันการผิดพลาด โดยการแบ่ง วรรคตอนให้ถูกต้องซึ่งออกเสียงตัว ร ล ว และตัวควบกล้ำให้ชัดเจน และคำใดที่อ่านยากควรสอบถามผู้รู้ หรือเปิดพจนานุกรม เพื่อศึกษาวิธีการอ่านให้ถูกต้องก่อนที่จะอ่านจริง ๔) การพูดโดยมีบันทึก การพูดโดยมีบันทึกเป็นการพูดในที่ประชุมที่นิยมนำมาใช้กันมากและ ได้ผลดีกว่า แบบอื่น ๆ พูดจะต้องศึกษาค้นคว้าและเตรียมตัวล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี ทำความเข้าใจเนื้อหาที่ จะพูดอย่างถ่องแท้ มีการจดบันทึกเฉพาะข้อความสำคัญเช่น หัวข้อสำคัญ ตัวอย่าง สถิติ สำนวน คำคม รวมทั้งชื่อนามสกุลของบุคคลที่นำมาอ้างอิง และคำสรุป เป็นต้น โดยเขียนไว้ในกระดาษแข็งขนาด ๕ × ๘ เพื่อความกะทัดรัดและเหมาะมือ นอกจากนี้หากต้องการใช้โสตทัศนูปกรณ์ประกอบการพูด ผู้พูดควร ทดลองใช้ให้เป็นก่อน การพูดไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม ผู้พูดจะต้องพยายามสร้างความพร้อมให้เกิดขึ้นเพื่อให้การพูด ครั้งนั้นเป็นไปด้วยดี และควรกำหนดวัตถุประสงค์ของการพูดแต่ละครั้งให้ชัดเจน เพื่อให้ดำเนินการใน ขั้นตอนต่าง ๆ ให้ลุล่วงตามความมุ่งหมาย หากผู้พูดต้องใช้อุปกรณ์หรือสิ่งประกอบการนำเสนอ ผู้พูดควร คำนึกถึงสิ่ง ๆ ดังนี้ ๑) สื่อที่ใช้ต้องสร้างความน่าสนใจให้ผู้ฟังสนใจใคร่ติดตามการนำเสนอได้ ๒) สื่อที่ใช้ต้องสนับสนุนให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวที่นำเสนอได้ชัดเจน
93 ๓) สื่อที่ใช้ต้องช่วยสร้างความจำที่ดีให้กับผู้ฟัง ๔) สื่อที่ใช้ต้องมีขนาดที่เหมาะสม และให้ผู้ฟังสัมผัสได้อย่างชัดเจน การพูดทุกประเภทนั้น ผู้พูดต้องไม่สร้างความเข้าใจผิดหรือก่อให้เกิดผลกระทบในทางที่ไม่ดีทั้งต่อ ตัวผู้พูด ผู้ฟังหรือสังคม ควรนำเสนอเรื่องที่มีประโยชน์หรือก่อให้เกิดความรู้สึกในทางที่ดี เพื่อประโยชน์ที่ จะเกิดขึ้นแก่ทุกฝ่าย ผู้พูดจะต้องคำนึงถึงภาษาที่ใช้ในการถ่ายทอดเรื่องราวนั้น ๆ โดยมีข้อควรคำนึง ดังนี้ ๑) เลือกใช้ถ้อยคำที่เหมาะสมกับกาลเทศะ ทั้งแก่บุคคล สถานที่และสถานการณ์ ๒) เลือกใช้ถ้อยคำที่สั้น กะทัดรัด สื่อความได้ชัดเจนและเข้าใจง่าย ๓) เลือกใช้คำให้ถูกต้อง ๓.๑) ถูกต้องตามความหมายที่ต้องการสื่อ อาจเป็นความหมายตรงหรือความหมาย โดยนัย ๓.๒) ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์การใช้ ๔) เลือกใช้คำที่สร้างภาพพจน์ให้เกิดแก่ผู้ฟัง หากผู้พูดเลือกใช้ภาษาได้เป็นอย่างดีและสอดคล้องกับรูปแบบและวัตถุประสงค์ของการพูด ย่อม เป็นผลที่ต่อการพูด ทั้งในการทำความเข้าใจของผู้พูด การสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง การ สร้างบรรยายกาศที่ดีในการพูด และผลสะท้อนที่กับมายังผู้พูดจะเป็นผลแห่งความสำเร็จ 5.6 กระบวนการในการพูด เอกฉัท จารุเมธีชน (๒๕4๑ : 39) ได้กล่าวไว้ว่า ผู้พูดจึงควรเตรียมการพูดตามกระบวนการ ดังนี้ 1) การเตรียมตัวผู้พูด ผู้พูดต้องมีการเตรียมตัวพอสมควร เริ่มจากต้องรู้จุดมุ่งหมายของการ พูด การเลือกเรื่องที่จะพูดให้ตรงกับจุดมุ่งหมาย วิเคราะห์ผู้ฟังเพื่อให้สามารถเลือกใช้ภาษาเพื่อสื่อความ เข้าใจได้อย่างเหมาะสม 2) การเตรียมข้อมูล คือการรวบรวมเนื้อหา ด้วยการศึกษาค้นคว้าจากการอ่าน การฟัง การ สัมภาษณ์ การสอบถาม ตลอดจนการศึกษา ณ สถานที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่กว้างขวางเพียงพอแก่ การนำเสนอ ซึ่งผู้พูดต้องนำมาเรียบเรียง จัดลำดับความในการพูดเตรียมการกล่าวนำ ดำเนินเรื่อง ให้ ต่อเนื่องกลมกลืนกันให้มีสัดส่วนเหมาะสมกับเรื่องในขั้นตอนนี้อาจมีการเตรียมการใช้สื่อประกอบ เพื่อช่วย ให้การถ่ายทอดประสบความสำเร็จได้รวดเร็วขึ้น