The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุวรรณญาโณ ญาณเมธี, 2023-10-05 04:55:44

หนังสือภาษากับการสื่อสารร่วมสมัย

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา

144 ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสังคม ช่วยให้ผู้อ่านเป็นผู้ที่ทันต่อเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงของสังคมได้อีกด้วย ทำ ให้สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างแนบเนียน ยิ่งกว่านั้นการอ่านยังเป็นการตอบสนองความ สนใจ และความอยากรู้อยากเห็นอันเป็นวิสัยของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี เป็นการขยายทรรศนะของผู้อ่านที่มี ต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างกว้างขวาง ทั้งยังช่วยสนองความต้องการทางด้านนันทนาการของมนุษย์ได้ อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย สุขุม เฉลยทรัพย์ (๒๕๒๙ : ๙) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านไว้ว่า การอ่านเป็นกระบวนการ สำคัญในการแสวงหาความรู้ของมนุษย์ ปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าในด้านการพิมพ์ทำให้วิทยาการต่าง ๆ เผยแพร่ออกมาในรูปของสิ่งพิมพ์ และการอ่านยังช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้อ่าน และผู้เขียนให้ดีขึ้น โดย มีหนังสือเป็นสื่อกลาง ที่ทำให้ผู้อ่านเกิดสติปัญญา มีความรู้กว้างขวาง ผ่อนคลายความวิตกกังวล มี ทัศนคติที่ถูกต้อง และทำให้ผู้เขียนเกิดความภาคภูมิใจด้วย ชุลี อินมั่น (๒๕๓๓ : ๒) กล่าวว่า การอ่านเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง ผู้อ่านจะได้รับประโยชน์จากการ อ่านตามที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านเพื่อการศึกษา หรือเพื่อความรู้ในสิ่งที่ต้องการ หรืออ่านเพื่อให้ สามารถติดตามความเคลื่อนไหว ความก้าวหน้าต่าง ๆ ให้ทันต่อเหตุการณ์ หรือเพื่อความรื่นเริงบันเทิงใจ สนิท ตั้งทวี (๒๕๓๖ : ๓) กล่าวว่า การอ่านเป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่จะช่วยให้คุณภาพชีวิต และ หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ได้รับความเพลิดเพลินและพักผ่อนหย่อนใจจากการอ่านหนังสือเป็นงาน อดิเรก กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (๒๕๖๒ : ๗๘) ได้กล่าวไว้ว่า การอ่านเป็นทักษะการรับสารที่มีส่วนช่วย พัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ให้เกิดขึ้นได้ เนื่องจากทำให้มนุษย์ได้รับข้อมูลที่หลากหลายทั้งข้อมูลที่เกิดขึ้น ในอดีต ข้อมูลในปัจจุบัน รวมถึงการคาดการณ์สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนั้นการอ่านยังมี ความสำคัญอีกหลายประการ ดังนี้ ๑. เสริมสร้างองค์ความรู้ คือการอ่านมีส่วนช่วยเสริมสร้างองค์ความรู้ ทั้งเพิ่มพูนความรู้เดิมที่ มีอยู่ ให้มุมมองที่แตกต่างไปจากความรู้หรือความคิดเดิมของผู้อ่าน รวมทั้งเสริมสร้างความรู้และ ประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้อ่าน ทำให้ผู้อ่านมีความรู้เพิ่มขึ้น เป็นผู้รู้เท่าทันเหตุการณ์ สามารถนำความรู้ เหล่านั้นมาพัฒนาตนเองให้มีแนวทางการดำเนินชีวิตและการประกอบสัมมาชีพให้เป็นไปในแนวทางที่ดีงาม ได้ ๒. พัฒนาคุณค่าทางอารมณ์ คือการอ่านมีส่วนช่วยให้ผู้อ่านได้รับความสุขหรือความบันเทิงใจ ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกาย รวมทั้งยังช่วยให้ผู้อ่านมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่ดี และเมื่อคนมี พัฒนาการทางอารมณ์ที่ดีแล้วย่อมเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ตามมา นอกจากนั้นยังหมายรวมถึงการมีอารมณ์ร่วมคล้อยตามไปกับเรื่องราวที่อ่าน


145 ๓. ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ คือการอ่านมีส่วนช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เพราะเมื่อ ได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ จะทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้หรือแนวคิด รวมทั้งส่งเสริมจินตนาการ เพื่อนำมา สร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบต่าง ๆ ให้เป็นประโยชน์ในทางใดทางหนึ่ง บันลือ พฤกษะวัน (2539) กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านได้ดังนี้ 1. การอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้หากอ่านไม่ได้การเรียนการสอนย่อมพบอุปสรรค อย่างใหญ่หลวงพฤติกรรมของเด็กจะเปลี่ยนไปหงอยเหงาเก็บกดหรือมิฉะนั้นจะแสดงออกต่าง ๆ ใน ลักษณะทดแทนปมด้อยเหล่านั้น 2. เด็กที่อ่านได้ย่อมได้รับการยอมรับสามารถเรียนร่วมกับเพื่อน ๆ ได้ดีตรงกันข้ามการที่เด็กมี อุปสรรคในการอ่านย่อมขาดความอบอุ่นขาดความมั่นใจในตนเอง 3. การอ่านเป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้เด็กได้รับความรู้เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทั้งนี้ไม่ว่าโรงเรียน หรือสถาบันการศึกษาใดในโลกก็ไม่อาจจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้ดีที่สุดการอ่านจึงเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่เด็กค้นคว้าเพิ่มเติมได้อย่างจุใจหรือตามความจำเป็นของเด็กเหล่านั้นได้ 4. การอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญในการประกอบธุรกิจการปรับปรุงเมื่อพ้นวัยประถมศึกษาอาจ เรียนรู้จากพฤติกรรมการศึกษานอกโรงเรียนได้อีกทางหนึ่ง 5. การอ่านมีความจำเป็นต่อการเป็นพลเมืองที่ดีจะรู้ข่าวสารของบ้านเมืองเพราะการเป็น พลเมืองดีจำเป็นต้องรู้ข่าวสารของบ้านเมือง สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์ (2539) ให้ความสำคัญของการอ่านว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเสาะ แสวงหาความรู้การรู้และใช้วิธีอ่านที่ถูกต้องเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้อ่านทุกคนควรรู้จักฝึกฝนอ่านอย่าง สม่ำเสมอก็จะช่วยให้ผู้อ่านมีพื้นฐานในการอ่านที่ดีทั้งจะช่วยให้เกิดความชำนาญและมีความรู้กว้างขวาง ด้วย กลิ่น สระทองเนียม (2545 : 25) ได้สรุปความสำคัญของการอ่านไว้ว่า หากคนไม่อ่านหนังสือก็ ยากที่จะพัฒนาความรู้และสติปัญญาได้โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนาเช่นประเทศไทยเราจำเป็นอย่างยิ่ง ที่เยาวชนต้องพัฒนาวิธีการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองให้ทัดเทียมกับประเทศที่เจริญก้าวหน้าในทุกด้านจาก สถิติการอ่านหนังสือของเด็กไทยที่เทียบกับต่างชาติจะเห็นว่าแตกต่างกันมากเช่นเทียบกับชาวอเมริกันเขา จะอ่านหนังสืออย่างน้อยสัปดาห์ละไม่ต่ำกว่า 2 เล่มในขณะที่คนไทยอ่านเฉลี่ยต่อคนเดือนหนึ่งไม่เกิน 3 บรรทัด สรุปความได้ว่า การอ่านมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เพราะต้องอ่านข้อมูล หรือ ข่าวสารต่าง ๆ และนำความรู้ ความเข้าใจมาใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหา และพัฒนาตนเองสู่ความสำเร็จ รวมทั้งยังช่วยสนองตอบความต้องการทางด้านสุนทรียะ และนันทนาการอีกด้วย


146 8.3 วัตถุประสงค์ของการอ่าน การอ่านแต่ละครั้งอาจมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน ผู้รู้หลายท่านจึงได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการ อ่านไว้ดังนี้ สุขุม เฉลยทรัพย์ (๒๕๒๙ : ๑๑ - ๑๒) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการอ่าน สรุปได้ว่า ผู้อ่านแต่ละ คนมีความต้องการในการอ่านไม่เหมือนกัน ตามแต่วัย เพศ หรืออาชีพที่แตกต่างกัน ทำให้ความต้องการใน การอ่านแตกต่างกันไปตามความสนใจ การอ่านเป็นการแสดงพฤติกรรม เพื่อสื่อความหมายอย่างหนึ่งของ มนุษย์ อาจมีจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างก็ได้ เช่น อ่านเพื่อศึกษาหาความรู้ อ่านเพื่อ สนองความอยากรู้อยากเห็น อ่านเพื่อต้องการทราบข่าวสารข้อเท็จจริง อ่านเพื่อศึกษาค้นคว้า อ่านเพื่อ ความสนุกเพลิดเพลิน และอ่านเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพ ชุลี อินมั่น (๒๕๓๓ : ๑๕) กล่าวไว้ว่า ผู้อ่านจะตั้งความมุ่งหมายในการอ่านเสมอ ความมุ่งหมาย ของการอ่านได้แก่ อ่านเพื่อความรู้ อ่านเพื่อให้เกิดความคิด อ่านเพื่อความบันเทิงและอ่านเพื่อสนองความ ต้องการอื่น ๆ เช่น ความต้องการความมั่นคงในชีวิต ความต้องการขยายขอบเขตความสนใจในสิ่งใหม่ๆ หรือเพื่อสร้างสภาพอารมณ์ที่ต้องการ ศิริพร ลิมตระการ (๒๕๔๑ : ๗) ได้กล่าวว่า จุดประสงค์ในการอ่านอาจแบ่งได้กว้างๆดังนี้ อ่าน เพื่อรู้ข่าวสาร อ่านเพื่อศึกษาหาความรู้ อ่านเพื่อประกอบอาชีพ อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน และอ่านเพื่อ บำบัดความทุกข์ใจ ผอบ โปษกฤษณะ (๒๕๔๔ : ๑๐๙) กล่าวเกี่ยวกับจุดประสงค์ของการอ่านว่า ถ้าจะแยกประเภทก็ จะได้เป็นประเภทใหญ่ ๆ 2 ประเภทคือ เพื่อให้ความรู้ การอ่านไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องน้อยหรือเรื่องใหญ่ จุดประสงค์ที่มาก่อนก็คือ เพื่อให้รู้และเพื่อให้เกิดความบันเทิง การอ่านเป็นอายุวัฒนะอย่างหนึ่ง เป็น อาหารใจ ทำให้เกิดความเพลิดเพลิน หนังสือสามารถสร้างจินตนาการ และเร้าอารมณ์ให้ผู้อ่านคล้อยตาม หรือเกิดความสนุกสนานราวกับอยู่อีกโลกหนึ่งได้ สามารถทำให้ผู้อ่านได้พบอยู่ในสมัยต่าง ๆ ในถิ่นต่าง ๆ อย่างที่ผู้อ่านนึกไม่ถึง สนิท ตั้งทวี (๒๕๓๖ : ๖) ได้เสนอแนะเกี่ยวกับจุดประสงค์ของการอ่านไว้ดังนี้ ๑. เพื่อศึกษาหาความรู้ในเรื่องราวต่าง ๆ โดยละเอียด ๒. เพื่อศึกษาหาความรู้ในเรื่องราวต่าง ๆ โดยย่อ ๓. เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็น ๔. เพื่อทราบข่าวสารและข้อเท็จจริง ๕. เพื่อการศึกษาค้นคว้า ๖. เพื่อต้องการให้เป็นที่ยอมรับในสังคม


147 วรรณี โสมประยูร (๒๕๔๔ : ๑๒๗) ได้กำหนดจุดมุ่งหมายในการอ่านคือ ๑. อ่านเพื่อค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม เช่น อ่านตำรา อ่านบทความ อ่านสารคดี ๒. อ่านเพื่อความบันเทิง เช่น อ่านนวนิยาย อ่านการ์ตูน อ่านวรรณคดี ๓. อ่านเพื่อใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน เช่น อ่านหนังสือประเภทชวนหัวต่าง ๆ ๔. อ่านเพื่อหารายละเอียดของเรื่อง เช่น อ่านสารคดี อ่านประวัติศาสตร์ ๕. อ่านเพื่อวิเคราะห์วิจารณ์จากข้อมูลที่ได้ เช่น การอ่านข่าว ๖. อ่านเพื่อหาประเด็นว่า ส่วนใดเป็นข้อเท็จ ส่วนใดเป็นจริง เช่น อ่านโฆษณา ๗. อ่านเพื่อจับใจความสำคัญของเรื่องที่อ่าน เช่น อ่านบทความในวารสาร ๘. อ่านเพื่อปฏิบัติตาม เช่น อ่านคำสั่ง อ่านคำแนะนำ อ่านคู่มือเครื่องใช้ไฟฟ้า ๙. อ่านเพื่อออกเสียงให้ถูกต้องกับพูด เช่น อ่านบทละครต่าง ๆ กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (๒๕๖๒ : ๘๑ – ๘๒) ได้กล่าวไว้ว่า การอ่านแต่ละครั้งนั้น ผู้อ่านควร กำหนดวัตถุประสงค์ของการอ่านให้ชัดเจน เพื่อจะได้ง่ายต่อการค้นหาคำตอบที่ต้องการ วัตถุประสงค์ของ การอ่านมีหลายประการ ดังนี้ ๑. เพื่อค้นหาคำตอบหรือแสวงหาความรู้ คือผู้อ่านสามารถรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ได้ด้วยการอ่าน เพื่อนำประโยชน์ที่ได้จากการอ่านนั้นมาพัฒนาศักยภาพทั้งทางการรับรู้ กระบวนการคิด การกระทำ และ ทำให้ผู้อ่านมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่ดี ๒. เพื่อความบันเทิงหรือตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ คือการอ่านนอกจากจะให้ สาระประโยชน์แล้ว ยังมีส่วนช่วยตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ของผู้อ่านด้วย เพื่อให้เกิดความสุข ความพึงพอใจ หรือมีอารมณ์ร่วมคล้อยตามไปกับเรื่องราวที่อ่าน หรือก่อให้เกิดความจรรโลงใจที่ ตอบสนองความต้องการทางอารมณ์หรือสนองตอบต่อความสนใจของผู้อ่าน เช่น อ่านนวนิยาย อ่าน หนังสือการ์ตูน เป็นต้น ๓. เพื่อประโยชน์ในการฝึกทักษะการออกเสียงให้ถูกต้อง คือผู้อ่านจะต้องเปล่งเสียงออกมา ตามตัวอักษรที่ปรากฏเป็นถ้อยคำต่าง ๆ โดยจะต้องให้สื่อความหมายให้ชัดเจน สอดคล้องกับเรื่องราวที่ ต้องการจะนำเสนอ เช่น ต้องการอ่านนวนิยาย เมื่อมีบทพูดผู้อ่านควรจะฝึกออกเสียงและใช้น้ำเสียงให้ สอดคล้องกับอารมณ์ของตัวละคร มิใช่อ่านออกเสียงราบเรียบ จะไม่ก่อให้เกิดอรรถรสอันใด ๔. เพื่อประโยชน์ในการยกระดับจิตใจของผู้อ่าน คือการอ่านเพื่อยกระดับจิตใจของผู้อ่านนั้น เป็นการอ่านเพื่อพัฒนาความคิด จิตใจและการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปในทางดี เพื่อประโยชน์แก่ตนเองและ


148 การอยู่ร่วมกับผู้อื่น เช่น การอ่านเรื่องเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินชีวิตของผู้มีชื่อเสียง การอ่านหนังสือ คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นต้น ศิวกานท์ ปทุมสูติ (๒๕๔๐ : ๔๒ – ๔๖) ได้จำแนกการอ่านได้ตามวัตถุประสงค์ของการอ่านและยัง ช่วยเพิ่มพูนทักษะการอ่านได้อย่างสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการอ่านอย่างแท้จริง การอ่านในแง่มุม ต่าง ๆ ประกอบด้วย ๑. อ่านเอาเรื่อง คืออ่านเพื่อให้ได้ความรู้และความเข้าใจในเนื้อหา จำแนกได้สองลักษณะ ดังนี้ 1.1 อ่านเอาเรื่องโดยละเอียด หมายความว่า อ่านเก็บความที่เป็นสาระประเด็นต่าง ๆ อย่างละเอียดตลอดเรื่อง สามารถรับรู้และทำความเข้าใจเรื่องได้อย่างกระจ่างแจ้งตลอด 1.2 อ่านเอาเรื่องโดยสรุป ความหมายว่า อ่านเก็บความเฉพาะที่เป็นประเด็นสำคัญของ เรื่อง สามารถรับรู้และทำความเข้าใจในเนื้อหาสำคัญของเรื่องได้ การอ่านในลักษณะนี้จะใช้ในกรณีที่ผู้อ่าน ต้องการประหยัดเวลาศึกษา 2. อ่านเอารส คือ อ่านแล้วได้รับความรู้สึกกระทบอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่จิตใจ แก่สภาวะ อารมณ์หรือแก่ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ เป็นการอ่านที่ผู้อ่านหรือผู้ศึกษาอาจไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเอารส อย่างนั้นอย่างนี้ แต่อาจจะได้รสได้ความรู้สึกซึ้งเองขณะอ่านโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ รสของการอ่านที่ได้ อาจจำแนก ดังนี้ 2.1 รสบันเทิงใจ ได้แก่ ความรู้สึกสนุก ตื่นเต้น รัก เศร้าต่าง ๆ มีผลทำให้อารมณ์ของ มนุษย์ปุถุชนทั่วไปเคลื่อนหรือคล้อยไปตามเรื่องราวเนื้อหา ทั้งนี้โดยความพึงใจหรือพอใจและเป็นสุขใจ 2.2 รสจรรโลงใจ ได้แก่ ความรู้สึกที่ดีงามหลังการอ่าน อาทิ ความเข้าใจดี ความสบายใจ ความเบิกบานใจ ความอิ่มใจ ความมีกำลังใจ ความศรัทธาเชื่อมั่น ฯลฯ โดยสรุปก็คือทำให้จิตใจไม่ตกต่ำ หรือเสื่อมทราม ไม่ท้อแท้ และไม่สิ้นหวัง 2.3 รสปลุกมโนคติ ได้แก่ พลังความรู้สึกนึกคิดที่จะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในทางสร้างสรรค์ ซึ่งเกิดขึ้นในขณะอ่านหรือหลังการอ่าน พลังดังกล่าวนี้เกิดจากมโนสำนึกถูกกระตุ้นให้ตระหนักถึงความรู้ ผิดชอบชั่วดีและความรับผิดชอบต่อภารกิจหน้าที่ของบุคคล งานเขียนที่ก่อให้เกิดรสปลุกมโนคตินี้ถือได้ว่า เป็นงานเขียนที่มี คุณค่า เป็นอย่างยิ่ง 3. อ่านแปลความหรือการแปล คือ อ่านเรื่องราวจากรูปภาษาใดภาษาหนึ่งแล้วแปลความเป็น ภาษาที่ใช้กันโดยทั่วไปหรือภาษาที่ใช้สื่อความเข้าใจกันในชีวิตประจำวัน การอ่านในลักษณะนี้ ต้องอาศัย ประสบการณ์ ความรู้ และความเชี่ยวชาญของผู้อ่านเป็นพิเศษจึงจะสามารถอ่านและแปลความได้ถูกต้อง สมบูรณ์ มีวิธีการแปลความจำแนกได้ ดังนี้


149 3.1 แปลโดยอรรถ ได้แก่ การแปลเอาความเอาเนื้อหาสาระของเรื่องตลอดเรื่อง โดย ถ่ายทอดเนื้อหาด้วยสำนวนภาษาของผู้แปลเอง ซึ่งอาจใช้ถ้อยคำสำนวนที่ไม่ตรงกับคำในรูปประโยค ภาษาต้นฉบับก็ได้ แต่ทั้งนี้เนื้อหาสาระของเรื่องจะต้องได้ความคงเดิม 3.2 แปลโดยศัพท์ ได้แก่ การแปลความแบบคำต่อคำหรือประโยคต่อประโยค การแปล ความในลักษณะนี้บางครั้งอาจมีความยุ่งยากต่อการทำความเข้าใจความหมายและการลำดับความใน ภาษาที่จะถ่ายทอดสื่อความ ทั้งนี้เพราะว่าโครงสร้างประโยคและสำนวนภาษาหรือตลอดจนวัฒนธรรมทาง ภาษาของเรื่องที่เป็นต้นฉบับ อาจจะมีความแตกต่างกับลักษณะโครงสร้างของภาษาของผู้แปลความไม่มาก ก็น้อย 3.3 แปลโดยบริบท ได้แก่ การแปลความแบบจับประเด็นเนื้อหาตลอดเรื่องไปพร้อม ๆ กับ การศึกษาทำความเข้าใจความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น อาทิ เรื่องวัฒนธรรมภาษาขนบธรรมเนียมประเพณี และสภาวการณ์ทางสังคม ปรากฏการณ์แวดล้อมต่าง ๆ ตลอดจนเรื่องราวของยุคสมัยที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถรับรู้เรื่องราวเนื้อหาสาระโดยกระจ่างพร้อม ๆ กับการรับรู้ เข้าใจถึงเจตนา ความคิดและ ความรู้สึกที่แฝงอยู่ในเรื่องนั้นด้วย 4. อ่านถอดความ คือ การอ่านเรื่องที่เป็นคำประพันธ์ประเภทร้อยกรองหรือกวีนิพนธ์ ซึ่งมี ลักษณะเนื้อหาซ่อนความและแฝงความในแง่มุมต่าง ๆ ไว้ ด้วยวิธีการทำความเข้าใจความหมายต่าง ๆ ที่ ซ่อนหรือที่แฝงอยู่ให้กระจ่างแล้วถ่ายทอดอธิบายหรือเรียบเรียงออกมาเป็นสำนวนภาษาร้อยแก้วหรือ ภาษาสื่อความปกติ 5. อ่านตีความ คือ การอ่านที่ต้องใช้ความขบคิดวินิจฉัยหรือค้นหาความหมายที่แท้จริงหรือ สารที่แท้จริงที่ผู้เขียนต้องการส่งถึงผู้อ่านหรือผู้รับสาร ดังนั้นเรื่องราวที่จะต้องใช้วิธีการอ่านแบบตีความก็ คือเรื่องที่มีลักษณะซ่อนหรือแฝงความหมายที่แท้จริงไว้ในสารที่ปรากฏหรืออาจกล่าวได้ว่า ความอัน ปรากฏตามความหมายของคำที่เขียนไว้นั้นไม่ตรงกับความหมายที่แท้จริงนั่นเอง โดยทั่วไปเนื้อความอันเป็น สารที่แท้จริงมักซ่อนอยู่ในรูปของสัญลักษณ์ภาษาหรือบุคลาธิฐานหรือบางครั้งอาจซ่อนอยู่ในรูปของ สำนวนโวหารและกลวิธีแต่งที่แยบยล 6. อ่านขยายความ คือ การอ่านทำความเข้าใจความโดยกระจ่าง แล้วสามารถศึกษาทำความ เข้าใจถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง เกี่ยวข้องกับเนื้อหาได้อย่างกว้างรอบ สามารถอธิบายขยายความที่เกี่ยวข้อง กันนั้นได้ทุกแง่มุม หรือขยายความได้ครอบคลุมเนื้อหามากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ การอ่านในขั้นนี้ ผู้อ่านจะต้องมีความรู้ มีทักษะและประสบการณ์การอ่านที่สูงมาก จึงจะสามารถอ่านขยายความได้ดีและมี ประสิทธิภาพ


150 8.4 ประเภทของการอ่าน ลาวัณย์ สังขพันธานนท์ และคณะ (๒๕๔๙ : ๑๘ – ๒๑) ได้แบ่งการอ่านออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑. แบ่งตามลักษณะการอ่าน มี ๒ แบบ ดังนี้ ๑) การอ่านออกเสียง หมายถึงการอ่านโดยวิธีการเปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำหรือเสียง แล้วถ่ายทอดเสียงออกมาเป็นความคิด ๒) การอ่านในใจ คือการอ่านที่ถ่ายทอดตัวอักษรออกมาเป็นความคิดโดยตรง การอ่านใน ใจเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยทักษะและความชำนาญ ผสมผสานกับการหมั่นฝึกฝนตนเองเพื่อก่อให้เกิดความ ชำนาญในการอ่าน ทักษะที่สำคัญในการอ่านในใจ ได้แก่ ทักษะการอ่านได้เร็ว และทักษะการเข้าใจ ความหมาย ทักษะในการอ่านเร็ว เป็นเรื่องของกลไกการอ่าน หรือการเคลื่อนไหวของสายตา ทักษะการ เข้าใจความหมาย เป็นหัวใจสำคัญของการอ่าน เพราะหากมีระดับความเร็วในการอ่านดี แต่ไม่สามารถ เข้าใจเนื้อความของสิ่งที่อ่านได้ การอ่านก็จะไม่ประสบผลสำเร็จ การที่ผู้อ่านจะเข้าใจความหมายของสิ่งที่ อ่านได้จะต้องมีพื้นฐานเกี่ยวกับสิ่งต่อไปนี้คือ (๑) ความรู้พื้นฐานเรื่องคำและไวยากรณ์ ได้แก่ การรู้จักความหมายของคำศัพท์หน้าที่ ของคำและประโยค (๒) การรู้จักย่อหน้าหรือปริเฉท (Paragraph) ผู้อ่านมีความจำเป็นต้องรู้ความสำคัญ ของการย่อหน้า เพราะในแต่ละย่อหน้าจะมีใจความสำคัญ (Main Ideaหนึ่งย่อหน้าจะแสดงประโยคใจความ สำคัญไว้หนึ่งประโยคเรียกว่า ประโยคหลัก (Topic Sentence) จากนั้นจะใช้ประโยคพลความ (Supporting Sentence) เป็นประโยคเสริม เพื่ออธิบายหรือขยายความ ตามปกติใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้า ส่วนมากจะปรากฏที่ตอนต้น หรือตอนท้ายของย่อหน้า หรืออาจปรากฏที่ตอนกลางของย่อหน้าก็ได้ ในหนึ่ง ย่อหน้าจะมีใจความสำคัญเพียงหนึ่งใจความเท่านั้น (๓) ภูมิหลังและประสบการณ์ของผู้อ่าน ผู้อ่านที่มีประสบการณ์ได้พบเห็น หรือได้ คุ้นเคยกับเหตุการณ์ หรือเรื่องราวนั้น ๆ จะทำให้เข้าใจเรื่องราวที่อ่านได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ๒. แบ่งตามวิธีการอ่านมี ๕ แบบ ดังนี้ ๑) การอ่านอย่างคร่าว ๆ เป็นวิธีการอ่านที่จะใช้เมื่อต้องการสำรวจว่าจะอ่านหนังสือนั้น ต่อไปโดยละเอียดหรือไม่ การอ่านอย่างคร่าวๆ จะอ่านเพียงชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง สารบัญคำนำ หรือเป็นการ อ่านเพียงบางตอน เพื่อดูจำนวนการอ่านเพื่อสังเกตเนื้อหา หรือการอ่านเพื่อดูดรรชนี ค้นหาหัวข้อที่ ต้องการว่ามีหรือไม่ ๒) การอ่านแบบตรวจตรา เป็นวิธีการอ่านละเอียดในข้อความที่ต้องการรู้ เป็นการอ่านเพื่อ เก็บข้อมูลคือ การอ่านหนังสือในหัวข้อเรื่องเดียวกันจากหนังสือหลายๆ เล่ม เพื่อเปรียบเทียบและคัดเลือก


151 ก่อนจะสรุป และนำส่วนที่ตนเองต้องการมาใช้ นิยมใช้กันมากในการอ่านเพื่อการทำรายงานการทำวิจัย การค้นคว้า หรือการทำวิทยานิพนธ์ ๓) การอ่านแบบศึกษาค้นคว้า เป็นการอ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้า สุดท้าย เพื่อให้รู้เนื้อหาอย่างละเอียดลึกซึ้งทุกขั้นตอนและเก็บแนวคิด เพื่อสรุปสาระสำคัญของเนื้อความ ทั้งหมด ๔) การอ่านเชิงวิเคราะห์หรือการอ่านตีความ เป็นวิธีการอ่านที่ต่อเนื่องจากวิธีการอ่าน แบบศึกษาค้นคว้าคือ การอ่านอย่างละเอียดให้ได้ใจความครบถ้วน แล้วจึงแยกแยะส่วนประกอบออกให้ได้ ว่า ส่วนต่าง ๆ นั้นมีความหมายและความสำคัญอย่างไร ๕) การอ่านโดยใช้วิจารณญาณ คือการอ่านโดยสอดแทรกการวิพากษ์วิจารณ์ของล่านไป ด้วย โดยผู้อ่านจะต้องมีความรู้พื้นฐานมาก และต้องอาศัยเทคนิคการอ่านทุกวิธีประสิทธิภาพจึงเกิดการ สรุปประมวลเป็นความคิดรวบยอด สามารถวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีเหตุผลและถูกต้อง วรรณี โสมประยูร (๑๕๔๒ : ๑๒๗) ได้แบ่งประเภทของการอ่านออกเป็น ๒ ประเภท ดังนี้ ๑. การอ่านออกเสียง แบ่งได้ ๓ แบบ ได้แก่ (๑) การอ่านร้อยแก้ว (๒) การอ่านร้อยกรอง (๓) การอ่านทำนองเสนาะ ๒. การอ่านในใจ แบ่งได้ ๗ แบบ ได้แก่ (๑) การอ่านแบบค้นคว้าหาความรู้ (๒) การอ่านแบบจับใจความสำคัญ หรือหาสาระสำคัญของเรื่องที่อ่าน (๓) การอ่านแบบหารายละเอียดทุกขั้นตอน (๔) การอ่านเพื่อหารายละเอียดทุกคำเพื่อการปฏิบัติ (๕) การอ่านแบบวิเคราะห์วิจารณ์เพื่อหาเหตุผล (๖) การอ่านแบบไตร่ตรองโดยใช้วิจารณญาณ เพื่อหาข้อเท็จจริง ข้อดีข้อเสียสำหรับเลือก แนวทางปฏิบัติ (๗) การอ่านแบบคร่าว ๆ เพื่อสังเกตและจดจำ สรุปความได้ว่า การอ่านจำแนกประเภทได้ตามลักษณะของการอ่าน และวิธีการอ่านซึ่งขึ้นอยู่กับ ผู้อ่านว่าจะมีจุดประสงค์อย่างไรในการอ่านแต่ละครั้ง กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (๒๕๖๒ : 86 - 89) กล่าวไว้ว่า การอ่านเป็นทักษะสำคัญในการสื่อสารที่ จะต้องฝึกฝนเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญ แบ่งได้ 2 ลักษณะใหญ่ ๆ ได้แก่ การอ่านออกเสียงและการอ่านใน ใจ ซึ่งการอ่านแต่ละประเภทนั้นก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไป ดังนี้


152 1. การอ่านออกเสียง คือ การทำความเข้าใจข้อความที่อ่านไปพร้อม ๆ กับการเปล่งเสียง ดังนั้น ผู้อ่านจะต้องมีสมาธิในขณะอ่านข้อความที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เพราะมิเช่นนั้นแล้วอาจไม่สามารถเข้าใจ ข้อความที่อ่านได้ รวมทั้งจะต้องใช้น้ำเสียงให้เหมาะสมกับเรื่องที่อ่าน มิใช่เป็นการเปล่งเสียงที่ไม่ก่อให้เกิด ประโยชน์ใด ๆ อย่างไรก็ตามต้องขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และเนื้อหาของเรื่องด้วย หากเป็นการอ่านให้ผู้อื่น ฟัง นอกจากเรื่องของความถูกต้องในการสะกดถ้อยคำแล้วเรื่องของศิลปะการอ่านก็มีผลต่อการทำความ เข้าใจของผู้ฟัง เช่น น้ำเสียง การเว้นวรรคตอน ลีลาการอ่าน เป็นต้น การฝึกอ่านออกเสียงนั้น จะทำให้ ผู้อ่านได้รู้จักการแบ่งวรรคตอน ความถูกต้องของถ้อยคำที่เปล่งเสียงออกมา จะมีผลต่อความหมายของ ข้อความที่ต้องการจะสื่อสาร และหากมีผู้ฟังอยู่ด้วย ผู้ฟังก็สามารถช่วยชี้ให้เห็นข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นได้ด้วย และในการฝึกอ่านเบื้องต้น ผู้อ่านอาจฝึกใช้น้ำเสียงแบบปกติก่อน เพื่อไม่ให้ยากแก่การฝึกหัด และเมื่ออ่าน ได้คล่องแล้วจึงค่อยพัฒนาวิธีการอ่านและเลือกอ่านจากงานเขียนที่ต่างรูปแบบกันออกไป นอกจากนี้ยังมีระเบียบของกรมประชาสัมพันธ์ ดังนี้ 1) อักขรวิธี จะพิจารณา (1) ความถูกต้องตามหลักเกณฑ์การออกเสียง (2) การออกเสียง ร และ ล (3) การออกเสียงควบกล้ำ (4) การออกเสียงตรงคำ 2) ลีลาการนำเสนอ (1) วรรคตอน (2) จังหวะและน้ำหนักคำและความ (3) การรักษาความในบท (4) ความเหมาะสมกับเนื้อหา 3) ความชัดเจน (1) การออกเสียงคำชัดเจน (2) เสียงสอดแทรกไม่มี 4) เสียง (1) ลักษณะโดยธรรมชาติและคุณภาพแจ่มใส (2) ระดับเสียงและการเปล่งเสียง 2. การอ่านในใจ เป็นการอ่านที่ผู้อ่านต้องทำความเข้าใจกับข้อมูลนั้น ๆ ในขณะที่กวาดสายตา และ ต้องรู้จักความสำคัญของเรื่องนั้น ๆ การอ่านในใจเป็นกลไกร่วมกันระหว่างสายตาและสมอง ดังนั้นการอ่าน ในใจจึงเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนให้มีประสิทธิภาพได้ การอ่านในใจที่มีประสิทธิภาพนั้น จะพิจารณาได้


153 จากสิ่งสำคัญ 2 ประการ คือ ความสามารถในการรับรู้ จดจำเข้าใจ และความเร็วในการอ่าน ถ้าขาดข้อใด ข้อหนึ่งจะถือว่าเป็นนักอ่านที่ดีไม่ได้ เพราะถึงจะอ่านได้เร็ว แต่ไม่รู้เรื่องราว แยกแยะประเด็นไม่ได้ ก็ยังใช้ ไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน ถ้าเข้าใจข้อความรับรู้ จดจำได้ แต่ความเร็วในการอ่านต่ำมาก ก็ยังเป็นผู้อ่านที่ดี ไม่ได้เช่นกัน การอ่านในใจนั้นผู้อื่นจะไม่รู้ว่าผู้อ่านเข้าใจเรื่อง อ่านถูกหรือผิดมากน้อยเพียงใดจะรู้ผลเมื่อผู้อ่าน ได้นำเสนอจากพฤติกรรมการแสดงออกหรือการสนทนาหรือการแสดงออกในรูปแบบอื่น ดังนั้นการอ่านใน ใจผู้อ่านจึงต้องพยายามทำความเข้าใจกับเรื่องที่อ่านให้มากที่สุด และหากมีข้อความใดที่ไม่เข้าใจจะต้อง ค้นคว้าเพิ่มเติม เช่น อาจมีคำศัพท์ที่เข้าใจยาก ข้อมูลบางอย่างอาจไม่เคยมีความรู้มาก่อน เป็นต้น 3. ข้อควรคำนึงสำหรับการอ่านออกเสียงและการอ่านในใจเป็นการอ่านที่ต้องอาศัยการฝึกฝนที่ แตกต่างกันเพราะการอ่านออกเสียงนั้น นอกจากวัจนภาษาแล้ว อวัจนภาษาจะเป็นส่วนสำคัญยิ่งอีกอย่าง หนึ่งต่อการสื่อความหมายให้ผู้ฟังได้รับรู้ แต่การอ่านในใจนั้นผู้อ่านจะเป็นผู้รับรู้เพียงลำพัง หากไม่ได้ ถ่ายทอดให้ผู้อื่นรับรู้ ดังนั้นเพื่อให้การอ่านทั้งสองรูปแบบเกิดประสิทธิภาพ ผู้อ่านต้องคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้ ตารางที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบข้อควรปฏิบัติสำหรับการอ่านออกเสียงและการอ่านในใจ การอ่านออกเสียง การอ่านในใจ 1. ผู้อ่านต้องออกเสียงให้ถูกต้องและชัดเจนตรง ตามอักขรวิธี 2. ผู้อ่านต้องสามารถถ่ายทอดความหมายของคำ หรือข้อความด้วยน้ำเสียงที่สอดคล้องกับเรื่องราว ที่อ่าน ซึ่งผู้อ่านต้องทำความเข้าใจกับเรื่องที่อ่าน อย่างถ่องแท้ 3. ผู้อ่านต้องเว้นวรรคตอน หรือรู้จังหวะการ ถ่ายทอดเรื่องราวให้ถูกต้องเหมาะสม 1. ผู้อ่านต้องมีสมาธิกับเรื่องนั้น ๆ ไม่ทำปากขมุบ ขมิบ เพราะอาจทำให้เสียสมาธิ และทำให้เสียเวลา 2. ผู้อ่านต้องสามารถจับใจความสำคัญของเรื่องที่ อ่านให้ได้ และควรมีบันทึกช่วยจำ 3. หากมีโอกาสควรนำเรื่องที่ตนเองอ่านนั้นไป พูดคุยกับผู้อื่น เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน และจะทำให้เราสามารถตรวจสอบข้อมูลที่อ่านได้ ด้วย ทั้งการอ่านในใจและการอ่านออกเสียงนั้น ผู้อ่านควรจะหมั่นฝึกฝนตนเอง เพื่อให้เป็นผู้ที่มี ประสิทธิภาพในการอ่าน สามารถทำความเข้าใจกับเรื่องที่อ่านได้อย่างชัดแจ้ง และเมื่อต้องถ่ายทอดข้อมูล เหล่านั้นสู่ผู้อื่นจะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาด โดยเฉพาะในการอ่านออกเสียงนั้นจะทำให้ผู้ฟังได้มีอารมณ์ร่วม หรือเข้าใจเรื่องที่อ่านได้อย่างชัดแจ้ง ดังนั้นผู้อ่านจึงควรเป็นผู้ที่หมั่นศึกษาหาความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ เพราะจะเป็นส่วนสำคัญหนึ่งที่ทำให้ผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจกับเรื่องที่อ่านได้ง่ายขึ้น


154 8.5 องค์ประกอบของการอ่าน มุกดา ลิบลับ (2542 : 125) ได้กล่าวองค์ประกอบของการอ่านไว้ ดังนี้ 1. ผู้อ่าน คือ ผู้ที่ทำความเข้าใจกับสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏ โดยการรับข้อมูลจะสมบูรณ์ได้ นั้นก็ต่อเมื่อผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจกับสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้ถ่องแท้ 2. ตัวอักษร คือ สัญลักษณ์ที่ใช้เพื่อสื่อความหมายแทนสิ่งต่าง ๆ ที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอ มายังผู้อ่าน ในที่นี้หมายถึงเพียงสัญลักษณ์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น 3. ความหมาย คือ สิ่งที่เป็นเนื้อหาหรือข้อมูลที่ผู้เขียนต้องการจะนำเสนอมายังผู้อ่าน 4. เลือกความหมาย คือ การทำความเข้าใจกับลายลักษณ์อักษรและข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ 5. การนำไปใช้ คือ การทำความเข้าใจที่ถ่องแท้ของผู้อ่าน และสามารถนำสิ่งที่เป็นประโยชน์ หรือคุณค่าที่ได้จากการอ่านไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป องค์ประกอบของการอ่านทั้งหมดต่างก็มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยผู้อ่านจะเป็นผู้ทำความ เข้าใจกับตัวอักษรและความหมายที่ปรากฏ และจะต้องพิจารณาความหมายหรือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงที่ ผู้เขียนต้องการจะสื่อมายังผู้อ่าน เมื่อผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจกับเรื่องราวต่าง ๆ ได้แล้ว ประโยชน์ สำคัญยิ่งที่จะตามมา คือ ผู้อ่านสามารถนำเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์เหล่านั้นไปใช้ในการดำเนินชีวิตหรือเพื่อ พัฒนาสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นต่อไปได้ ซึ่งจะทำให้งานเขียนเรื่องนั้น ๆ มีประโยชน์อย่างแท้จริง ดังนั้นเพื่อให้ ผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจกับข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างชัดแจ้งผู้อ่านควรมีพื้นฐานในด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1. มีความรู้ทางภาษา เพื่อให้สามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับถ้อยคำและข้อความได้ทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลต่อการทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวนั้น ๆ และรู้วัตถุประสงค์ของผู้เขียน ๒. มีความรู้เกี่ยวกับหนังสือหรือสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ผู้อ่านต้องรู้จักประเภทของหนังสือรูปแบบ ของงานเขียน วัตถุประสงค์ของหนังสือ รวมทั้งส่วนประกอบต่าง ๆ ของหนังสือนั้นด้วยเพื่อให้สามารถ พิจารณาเลือกอ่านได้อย่างเหมาะสม เพราะหนังสือบางประเภทอาจเหมาะกับคนบางกลุ่มหรือหนังสือบาง เล่ม อาจมีผู้อ่านเพียงบางกลุ่มที่เข้าใจความหมายของเรื่องนั้น ๆ ทั้งหมด ผู้อ่านจึงต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับ หนังสือนั้น ๆ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการทำความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง ความรู้พื้นฐานที่กล่าวมา ผู้อ่านจะต้องเรียนรู้เพื่อให้เป็นข้อมูลไว้สำหรับการอ่านหนังสือแต่ละ ประเภท หากผู้อ่านมีความรู้เกี่ยวกับภาษาและข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือนั้น ๆ แล้วจะมีส่วนช่วยให้ทำความ เข้าใจเรื่องราวได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ผู้อ่านจะต้องทำความเข้าใจกับเนื้อหาทั้งหมดได้ด้วย


155 8.6 กระบวนการอ่าน กระบวนการอ่าน ประกอบด้วยปัจจัย 4 ประการดังนี้ ๑. รู้จักคำ หมายถึงการระลึกรู้ประสบการณ์จากการถูกกระตุ้นด้วยสัญลักษณ์ นั่นคือผู้อ่าน สามารถจำคำศัพท์ได้ ถ่ายทอดเสียงได้ ถ่ายทอดความหมายของคำต่าง ๆ ในบริบทได้ ๒. เข้าใจความหมายของคำ วลี และประโยค เมื่อเห็นคำต่าง ๆ แล้วเข้าใจความหมายไป ตามลำดับ ผู้อ่านต้องใช้ประสบการณ์เดิมของตนมาช่วยตีความหมายของคำในบริบท และต้องพิจารณา จุดประสงค์ ความรู้สึก ที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อให้เข้าใจ ๓. ขั้นปฏิกิริยา คืออ่านไป คิดไป ต้องอ่านโดยมีสติปัญญา และความรู้สึกว่า ข้อความนั้นผู้อ่าน ยอมรับหรือปฏิเสธด้วยเหตุผลใด และต้องอาศัยประสบการณ์เดิมมาช่วยประกอบการพิจารณา และ แยกแยะได้ว่า เรื่องใดมีความสำคัญ เป็นความจริง หรือความคิดเห็นจนถึงหาข้อสรุป เป็นแนวคิดกว้างๆ และสรุปเนื้อหาทั้งหมดได้ ๔. บูรณาการ ขันนี้ผู้อ่านต้องนำความหมายจากข้อความที่อ่านไปสร้างความคิดใหม่ ให้ผู้อ่าน เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน หรือเกิดความสนใจใหม่ ๆ ขนมศึกษาโดยละเอียด กัลยา ยวนมาลัย (๒๕๓๙ : ๑๒) ได้สรุปกระบวนการของการอ่านไว้ ๔ ประการดังนี้ ๑. การมองเห็นตัวอักษรอย่างชัดเจน ๒. การแปลและเข้าใจความหมายของอักษรที่เห็นนั้น ๓. การรู้จักตีความหมายได้ถูกต้อง ตรงกับผู้แต่งตั้งใจไว้ ๔. การนำประโยชน์ที่ได้จากการอ่านไปใช้ สรุปความได้ว่า กระบวนการอ่านและกระบวนการคิดเป็นสิ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เพราะใน กระบวนการอ่านจะสัมพันธ์กันระหว่างการรับรู้ทางกายด้วยสายตา และจะใช้กระบวนการคิดทำความ เข้าใจ แปลความ ตีความโดอาศัยประสบการณ์ของตนเป็นพื้นฐาน แปลความหมาย และนำความหมายไป ใช้เป็นประโยชน์ตามความต้องการต่อไป กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 109) กล่าวไว้ว่า การอ่านนั้นเป็นกระบวนการการเรียนรู้ที่ เกิดขึ้นด้วยตัวของผู้อ่านเอง กล่าวคือ ขณะอ่านนั้นผู้อ่านจะต้องเป็นผู้ทำความเข้าใจกับเรื่องราวนั้น ๆ ด้วย ตนเอง ดังนั้นสิ่งที่ผู้อ่านควรปฏิบัติในขณะอ่านคือ 1. รู้วัตถุประสงค์ในการอ่านของตนเอง 2. มีความตั้งใจ มุ่งมั่น และมีสมาธิกับสิ่งที่อ่าน 3. หมั่นแสวงหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องการใช้ภาษา 4. จดบันทึกประเด็นสำคัญ


156 5. ประสบการณ์ ฉะนั้น สิ่งที่จะทำให้การอ่านประสบความสำเร็จได้ ผู้อ่านควรเริ่มต้นจากการเป็นคนรักการอ่าน ไม่ ว่าจะเป็นหนังสือประเภทใดก็ตาม เพราะหนังสือล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้น หากผู้อ่านรู้จักคิด ไตรตรอง วิเคราะห์ และประเมินคุณค่าของเรื่องราวนั้น ๆ ได้ หรืออาจพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของเรื่อง วิธีการ นำเสนอของผู้เขียน แนวคิดที่ปรากฏ ภาษาที่ใช้หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และหากเป็นไปได้ผู้อ่านควรจะ แลกเปลี่ยนทัศนะกับผู้อื่น พูดคุยกับผู้ที่มีความรู้ประสบการณ์ เพื่อเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ให้กับ ตนเอง อาจเป็นข้อมูลที่มีคุณค่าหรือเอื้อประโยชน์เมื่อเราต้องอ่านหนังสือหรือกระทำกิจกรรมอื่นใดใน โอกาสต่อไป จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ (2540 : 85) ได้กล่าวไว้ว่า การอ่านแบบมีพัฒนาการ (dynamic reading) คือ การอ่านแบบที่ได้รับการฝึกฝนแล้ว กล่าวคือ การอ่านในอันดับแรกของคนทั่วไปจะอ่านเป็นคำ ๆ การ อ่านลักษณะนี้เป็นการอ่านที่ช้า เพราะเมื่ออ่านจบคำหนึ่ง ๆ ผู้อ่านก็จะพักสายตาครั้งหนึ่ง แล้วจึงอ่านคำ ต่อไป จากนั้นจึงพักสายตาอีก การทำเช่นนี้ทำให้การลำดับความคิดไม่ต่อเนื่อง ฉะนั้นเพื่อให้การลำดับ ความคิดเป็นไปอย่างต่อเนื่องและพัฒนาก็ให้ใช้วิธีอ่านอย่างเป็นกลุ่มคำ โดยใช้นิ้วมือ ปลายปากกา หรือสิ่ง อื่นชี้ไปที่ปลายกลุ่มคำนั้น ๆ แล้วใช้สายตาไล่ไปให้ทันสิ่งนั้น ในขั้นแรกพยายามใช้สายตาให้เร็วขึ้น แล้วจึง ค่อยมาพิจารณาความหมายจากกลุ่มคำ ก็ให้พัฒนาความเร็วของการใช้สายตามาเป็นประโยคและ ข้อความที่จบในบรรทัดตามลำดับ พร้อมกับฝึกจับใจความสำคัญด้วย การฝึกอ่านแบบมีพัฒนาการนี้ ถ้า ฝึกอย่างสม่ำเสมอจนเป็นปกติแล้ว จะทำให้อัตราความเร็วของการอ่านสูงขึ้น จนผู้อ่านอาจจะอ่านข้าม บรรทัดได้ กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (๒๕๖๒ : 93 - 96) ได้กล่าวไว้ว่า การอ่านแบบ SQ3R ย่อมาจาก S มาจากคำว่า Survey หมายถึง การสำรวจเนื้อหากว้าง ๆ ซึ่งอาจใช้วิธีการอ่านแบบคร่าว ๆ (skimming) เพื่อสำรวจเนื้อหาของหนังสือนั้น Q มาจากคำว่า question หมายถึง การตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านเพื่อค้นหาจุดหมายของ เรื่องนั้น 3R มาจากคำที่ขึ้นต้นด้วย R 3 คำ ตามลำดับ คือ R ตัวแรก มาจากคำว่า read หมายถึง การอ่านอย่างรวดเร็ว R ตัวที่สอง มาจากคำว่า recite หมายถึง การจำข้อความตอนท้ายของข้อความแรก เพื่อ จะเชื่อมต่อกับข้อความตอนต้นของข้อความต่อไป


157 R ตัวที่สาม มาจากคำว่า review หมายถึง การพยายามทบทวนเรื่องที่อานแล้วปรับใหม่ให้ เป็นความคิดของตนเอง เพื่อช่วยจำและความเข้าใจ ฉะนั้น การอ่านแบบนี้เป็นวิธีการอ่านอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้การจับใจความสำคัญของการอ่านให้ อ่านเร็วขึ้น การอ่านนั้นสิ่งสำคัญที่สุด คือ การทำความเข้าใจกับเรื่องราวที่อ่านอย่างครบถ้วนดังนั้น ผู้อ่านควร จะพิจารณาว่าตนเองนั้นมีความเข้าใจมากน้อยเพียงใด เช่น สามารถจับใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านได้ สามารถตีความได้ สามารถประเมินค่าได้ เป็นต้น การอ่านนั้นบางครั้งจะพบว่าผู้อ่านแต่ละคนแม้อ่านเรื่องเดียวกันก็เกิดความเข้าใจที่แตกต่างกันได้ สิ่งที่เป็นปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้อ่านที่ส่งผลต่อความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านนั้นมีสาเหตุจากหลายปัจจัย เช่น 1. ความสามารถทางด้านภาษาที่แตกต่างกัน ผู้อ่านบางคนอาจทำความเข้าใจกับคำศัพท์และ เรื่องราวต่าง ๆ ได้ทั้งหมด เข้าใจนัยแห่งความหมา ยที่ผู้เขียนต้องการสื่อสาร ในขณะที่บางคนอาจเข้าใจได้เพียงบางส่วน อาจทำให้การแปลความหมายที่ได้ แตกต่างกัน 2. มีวัตถุประสงค์ในการอ่านที่แตกต่างกัน ทำให้ประเด็นความสนใจในการรับรู้ข้อมูลแตกต่าง กันไปด้วย 3. ประสบการณ์หรือภูมิหลังที่แตกต่างกัน อาจมีส่วนต่อการทำความเข้าใจเนื้อเรื่องหรือมีผล ต่อการรับรู้ข้อมูลของผู้อ่านที่แตกต่างกัน โดยผู้อ่านสามารถเชื่อมโยงประสบการณ์หรือความรู้เดิมที่มีอยู่ กับเรื่องราวที่อ่าน จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า การอ่านนั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาตนเองและส่งผลต่อการพัฒนา สังคม ผู้อ่านสามารถศึกษาค้นคว้าหาความรู้ได้จากการอ่านหนังสือหรืองานเขียนประเภทต่าง ๆ ซึ่งการ อ่านจะเกิดประสิทธิภาพได้นั้น ผู้อ่านจึงควรมีความรู้ความเข้าใจในด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1. ต้องเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับหลักการใช้ภาษาและความหมายของคำศัพท์ต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจ เนื้อเรื่องที่ผู้เขียนนำเสนอ ภาษายังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ผู้อ่านเกิดความซาบซึ้งประทับใจเรื่องนั้น ๆ ได้อีก ด้วย และอาจเป็นผลทำให้ผู้อ่านนำไปสร้างสรรค์งานเขียนได้ต่อไป 2. ต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์ ตีความ และประเมินค่าเรื่องที่อ่านได้ เพื่อให้เข้าใจ วัตถุประสงค์ของเรื่อง การทำความเข้าใจเรื่องในแต่ละช่วงแต่ละตอนนั้นอาจทำให้ผู้อ่านสามารถคาดเดา เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านวิเคราะห์เรื่องได้ง่ายขึ้น หากเกิดข้อสงสัยหรือมีมุมมอง


158 ความคิดที่ได้จากการอ่านแตกต่างกัน อาจจะนำมาเป็นประเด็นในการสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งกันและกัน 3. มีความรู้รอบตัวดี หรือเป็นผู้มีประสบการณ์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับ เรื่องที่อ่านจะทำให้ทำความเข้าใจกับเรื่องที่อ่านได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น 4. การเลือกวิธีอ่านและบันทึกข้อมูลที่เหมาะสม โดยจะต้องรู้วัตถุประสงค์การอ่านของตนเอง ก่อนว่าจะอ่านไปเพียงอะไร เพราะจะมีส่วนในการกำหนดแนวทางในการอ่าน และสามารถบันทึกข้อมูลที่มี ความสำคัญหรือมีความน่าสนใจ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ความรู้ที่ผู้อ่านจะต้องมีดังกล่าวข้างต้นนี้ จะช่วยให้การอ่านเกิดประสิทธิภาพ ผู้อ่านจำเป็นต้อง อาศัยทั้งประสบการณ์ ความรู้รอบตัว รวมทั้งความสามารถในกระบวนการคิดวิเคราะห์เพื่อให้ประมวล ข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รับจากการอ่านมาก่อให้เกิดเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป ได้ 8.7 คุณสมบัติของนักอ่านที่ดี กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (๒๕๖๒ : 91 - 92) ได้กล่าวไว้ว่า ผู้ที่มีคุณสมบัติของนักอ่านที่ดีจะเป็น หนทางนำไปสู่ความสำเร็จในการอ่าน เพราะจะรู้และสามารถทำความเข้าใจกับเนื้อหาที่อ่านได้ และยังใช้ การอ่านนั้นแสวงหาความรู้ในแง่มุมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นผู้อ่านควรจะฝึกฝนคุณสมบัติของลักษณะ นักอ่านที่ดี โดยมีแนวทางที่ควรปฏิบัติ ดังนี้ 1. หมั่นแสวงหาความรู้ 2. ไม่เลือกประเภทหนังสือที่อ่าน 3. มีสมาธิ 4. มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน 5. จับใจความสำคัญของเรื่องได้ 6. สามารถนำประโยชน์ที่ได้จากเรื่องไปใช้ในทางที่เหมาะสม คุณลักษณะดังกล่าว ทุกคนสามารถที่จะฝึกฝนได้ด้วยตนเอง ยิ่งฝึกฝนมากขึ้นเป็นลำดับก็จะยิ่งทำ ให้บุคคลผู้นั้นเป็นนักอ่านที่ดีมากขึ้น และจะทำให้เป็นผู้มีสติปัญญาที่กว้างไกลเลือกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ได้ตามสถานการณ์ที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นผลดีที่สะท้อนกลับมาสู่ตนเอง


159 8.8 ความเข้าใจในการอ่าน ความเข้าใจในการอ่าน เป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพราะถ้าผู้อ่านเข้าใจเรื่องที่อ่านใดอย่างถูกต้องก็ จะทำให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจากสิ่งที่อ่าน มีผู้กล่าวถึงความเข้าใจในการอ่านไว้ดังต่อไปนี้ ชวาล แพรรัตกุล (อ้างใน สุคนธ์ กาสุยะ, ๒๕๓๘ : ๑๗) ได้ให้ความหมายของความเข้าใจในการ อ่านว่า เป็นความสามารถในการผสมผสาน แล้วขยายความรู้ความจำให้ไกลออกไปจากเดิมอย่าง สมเหตุสมผล ความเข้าใจเป็นสมรรถภาพชนิดแรกของตัวปัญหา เป็นความพยายามของสมอง ที่จะ ดัดแปลงปรับปรุง หรือเสริมแต่งความรู้เดิมให้มีลักษณะใหม่เพื่อนำไปใช้กับสถานการณ์ใหม่ที่แปลกออกไป ความเข้าใจจะต้องมีคุณสมบัติ 4 ประการคือ ๑. รู้ความหมายและรายละเอียดย่อย ๆ ของเรื่องนั้นมาก่อนแล้ว ๒. รู้ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างชั้นความรู้ย่อย ๆ เหล่านั้น ๓. สามารถอธิบายสิ่งเหล่านั้นด้วยภาษาของตนเอง ๔. เมื่อพบสิ่งอื่นใดที่มีสภาพทำนองเดียวกับที่เคยเรียนรู้มาแล้วสามารถตอบและอธิบายได้ วรรณาภรณ์ จันทร์ศรีวิริยะ (๒๕๔๓ : ๑๐) กล่าวไว่ว่า ความเข้าใจในการอ่าน เป็นความสามารถ ในการแปลความ ตีความ ขยายความ จับใจความ เข้าใจความ เข้าใจจดประสงค์ของผู้เขียน ตลอดจน สามารถประเมินค่า ลงความเห็น ตัดสินวินิจฉัยเรื่องที่อ่านได้ รุ้งกาญจน์ นรินทร (๒๕๔๓ : ๑๐) กล่าวถึงความเข้าใจในการอ่านว่า ความเข้าใจในการอ่านคือ ความสามารถในการจับใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านได้ครบถ้วน แล้วขยายความรู้ที่ได้ออกไปจากเดิม อย่างสมเหตุสมผล โดยการแปลความ ตีความ หรือขยายความเรื่องที่อ่าน ตลอดจนวิเคราะห์แนวคิด สำคัญของเรื่องและเจตคติของผู้เขียนได้ สรุปได้ว่า ความเข้าใจในการอ่านคือ การที่ผู้อ่านสามารถเข้าใจความหมาย จับใจความสำคัญของ เรื่องได้ สามารถนำความรู้และประสบการณ์เดิมของตนมาใช้ในการแปลความ ตีความ วิเคราะห์แนวคิด สำคัญของเรื่อง และเจตนคติของผู้เขียนได้ 8.9 การอ่านจับใจความสำคัญ แววยุรา เหมือนนิล (๒๕๔๑ : ๑๒) ได้ให้ความหมายว่า การอ่านจับใจความสำคัญคือ การมุ่ง ค้นหาสาระสำคัญของเรื่องหรือของหนังสือแต่ละเล่มว่าคืออะไร ซึ่งแบ่งออกได้เป็น ๒ ส่วน ดังนี้ ๑. ส่วนที่เป็นใจความสำคัญ


160 ๒. ส่วนที่ขยายใจความสำคัญหรือส่วนประกอบ เพื่อให้เรื่องชัดเจนยิ่งขึ้น ในกรณีที่อ่านมีย่อ หน้าเดียว ในย่อหน้านั้นจะมีใจความสำคัญอย่างหนึ่ง นอกจากนั้นเป็นส่วนขยายใจความสำคัญหรือ ส่วนประกอบ ซึ่งอาจมีได้หลายประเด็น ใจความสำคัญ คือข้อความที่มีสาระครอบคลุมเรื่องอื่น ๆ ในย่อหน้านั้น หรือเนื้อเรื่องทั้งหมด ข้อความตอนหนึ่งจะมีความสำคัญที่สุดเพียงหนึ่งเดียว ก็คือ สิ่งที่เป็นสาระสำคัญของเรื่องนั่นเอง กาญจนา นาคสกุล และคณะ (๒๕๓๙ : ๑๕๘) ได้กล่าวว่า การอ่านจับใจความสำคัญเป็นการอ่าน ที่ต่อเนื่องจากการอ่านขั้นแรก กล่าวคือ ในขณะที่อ่านจับใจความส่วนรวมนั้นอาจถือได้ว่า เป็นการอ่าน หนังสือตลอดทั้งเล่มอย่างลวก ๆ เมื่อมาถึงขั้นที่จะอ่านจับใจความสำคัญ ผู้อ่านจะต้องอ่านค่อนข้าง ละเอียดทุกตัวอักษร แล้วสรุปใจความสำคัญนั้น โดยบันทึกไว้ในสมอง หรือในสมุดอีกเล่มหนึ่งต่างหาก กล่าวโดยสรุป การอ่านจับใจความสำคัญคือ การอ่านในใจ ที่มุ่งค้นหาสาระสำคัญของเรื่องคือ ใจความหลัก เพื่อให้ทราบว่าเป็นเรื่องอะไร ใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไรทำไม และมีใจความรอง หรือใจความขยาย ซึ่งเป็นรายละเอียดเพื่อสนับสนุนใจความหลักให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ประทีป วาทิกทินกร (๒๕๔๑ : ๗๙) ได้กล่าวว่า ใจความสำคัญคือ เนื้อความตอนที่ทำให้เกิดเรื่อง ต่าง ๆ ซึ่งถ้าขาดความตอนนั้นเสียแล้ว เรื่องอื่น ๆ จะไม่เกิดตามมา นอกจานี้เนื้อความตอนใดที่กล่าวรวม เนื้อความย่อยต่าง ๆ ในเรื่อง เนื้อความนั้นก็นับเป็นใจความสำคัญด้วย พรรณทิพา หลาบบุญเลิศ (๒๕๔๕ : ๕๐) ได้กล่าวว่า การอ่านจับใจความสำคัญเป็นหัวใจของการ อ่าน จะเป็นผลให้เข้าใจจุดมุ่งหมายสำคัญของเรื่องที่อ่านได้ การเก็บใจความสำคัญจะเป็นพื้นฐานสำหรับ ความคิดเห็นเชิงวิพากษ์ วิจารณ์ หรือศึกษาค้นคว้าเป็นพิเศษในเรื่องนั้น ๆ ต่อไป สรุปได้ว่า การอ่านเป็นทักษะที่สำคัญ ผู้เรียนต้องรู้จักการอ่านคำคือ อ่านออก รู้ความหมายของ กลุ่มคำ สำนวน วลี และประโยค จับใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านได้ เพราะถ้าผู้อ่านไม่สามารถจับใจความ สำคัญจากเรื่องที่อ่านได้ อาจจะส่งผลต่อการอ่านเพื่อจุดประสงค์อื่น ๆ ซึ่งยากกว่า และจะเป็นสาเหตุให้ ผู้อ่านไม่สามารถพัฒนาการอ่านของตนเองได้ กาญจนา นาคสกุล และคณะ (๒๕๓๙ : ๑๘๕ - ๑๘๖) ได้ให้แนวทางในการพัฒนาทักษะการอ่าน จับใจความสำคัญไว้ว่า วิธีเก็บใจความสำคัญทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความชอบว่า จะทำอย่างไร เช่น บาง คนอาจนิยมใช้วิธีขีดเส้นใต้ หรือล้อมกรอบข้อความ ที่ตนเห็นว่าเป็นข้อความสำคัญ บางคนนิยมวิธีนี้ถึง ขนาดกำหนดเป็นสัญลักษณ์ ที่แสดงให้เห็นความแตกต่าง เช่น การใช้เส้นสีแดงแทนใจความสำคัญ สีเขียว แทนใจความรอง สีม่วงแทนข้อมูลที่สนใจ เป็นต้น การทำบันทึกย่อก็เป็นการอ่านเพื่อเก็บใจความสำคัญที่ดี และได้ผล ทั้งนี้ต้องตระหนักว่า วิธีย่อที่ดีก็คือ การเรียบเรียงเนื้อหา หรือแนวความคิดที่สำคัญด้วยสำนวน ภาษาของผู้อ่านเอง มิใช่ย่อโดยตัดเอาข้อความสำคัญมาเรียงต่อ ๆ กัน เพราะวิธีเช่นนี้อาจจะทำให้ตีความ บางตอนผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้


161 สิ่งที่นักอ่านที่ดีพึงตระหนักก็คือ ใจความสำคัญมิได้มีความหมายจำกัดเพียงแค่เนื้อเรื่องที่สำคัญ เท่านั้น นักอ่านที่ดีควรจะเก็บสาระสำคัญของหนังสือเล่มหนึ่งได้หลายแงเช่น เก็บเนื้อเรื่องที่สำคัญ เก็บ ความรู้หรือข้อมูลที่สำคัญ หรือที่น่าสนใจ การเก็บใจความในแง่ต่าง ๆ นี้ จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ แสดงความคิดเห็นเชิงวิจารณ์ หรือวิพากษ์ต่อไปได้ ข้อมูลที่น่าสนใจบางข้อก็อาจจะเป็นชนวนให้ผู้อ่านสนใจ ที่จะศึกษาค้นคว้าในเรื่องนั้น ๆ เป็นพิเศษต่อไป ฐะปะนีย์ นาครทรรพ (๒๕๔๘ : ๓๙) กล่าวว่า การอ่านเพื่อจับใจความสำคัญเป็นการอ่าน เพื่อ ต้องการทราบว่า เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอะไร สำคัญตรงไหน และหมายความว่าอย่างไร และได้ให้ข้อ ควรคำนึงในการอ่านเพื่อจับใจความสำคัญดังนี้ ๑. อ่านเรื่องราวผ่าน ๆ โดยตลอด เพื่อให้รู้ว่าเรื่องนั้นว่าด้วยเรื่องอะไรบ้าง จุดใด ตอนใดเป็น จุดสำคัญของเรื่อง ๒. อ่านให้ละเอียด ไม่ควรหยุดอ่านระหว่างเรื่อง เพราะจะทำให้ความเข้าใจไม่ต่อเนื่อง ๓. อ่านซ้ำตอนที่ไม่เข้าใจ และตรวจสอบความเข้าใจในข้อความบางตอน ให้แน่นอนถูกต้อง ๔. ตอบคำถามสั้น ๆ อย่างไร ที่ไหน เมื่อไร หรือทำโน้ตย่อ เพื่อทดสอบความเข้าใจตนเอง ๕. เรียบเรียงความสำคัญของเรื่องด้วยตนเอง กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 99) ได้กล่าวว่า ผู้อ่านควรเริ่มต้นค้นหาข้อคิดสำคัญที่ปรากฏใน เรื่องให้ได้ก่อน แล้วนำข้อคิดที่ได้เหล่านั้นมาประมวลเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ความสำคัญของเรื่องนั้น ๆ ผู้อ่าน จึงต้องทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ทั้งความหมายของคำ ประโยค และเนื้อหาทั้งหมด ซึ่งบางครั้ง ความหมายของคำนั้น ๆ ก็อาจมีนัยสำคัญทางความหมาย ดังนั้นผู้อ่านต้องทำความเข้าใจกับริบทของ เนื้อหาด้วย อีกอย่างหนึ่ง การอ่านจับใจความสำคัญนั้นมีองค์ประกอบที่มีผลต่อความสามารถในการอ่าน จับใจความสำคัญของผู้อ่านหลายประการ เช่น ประสบการณ์หรือภูมิหลังของผู้อ่านซึ่งจะมีส่วนช่วยในการ ทำความเข้าใจของผู้อ่านให้สามารถเข้าใจได้ง่ายและชัดเจนขึ้น ความสามารถทางด้านภาษาของผู้อ่านจะมี ผลต่อการทำความเข้าใจเรื่องราวนั้น ๆ หากผู้อ่านไม่เข้าใจศัพท์ที่ปรากฏแล้ว อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจ ที่คลาดเคลื่อนหรือไม่สามารถทำความเข้าใจกับเรื่องทั้งหมดได้ ดังนั้นการอ่านเพื่อจับใจความสำคัญของ เรื่องผู้อ่านจะต้องทำความเข้าใจกับเรื่องทั้งหมดให้ชัดเจน เพื่อจะรู้ได้ว่าใจความสำคัญของเรื่องคืออะไร สุพัฒน์ สุกมลสันต์ (2537 : 190 – 192) กล่าวว่า วิธีการหาใจความสำคัญ 3 วิธีการ ดังนี้ 1. วิธีทั่วไป ให้ผู้อ่านตั้งคำถามให้ตนเองเพื่อหาคำตอบว่าเรื่องที่อ่านเป็นเรื่องเกี่ยวกับใครหรือ เกี่ยวกับอะไร รวมทั้งค้นหาว่าสาระที่เด่นชัดของเรื่องมีว่าอย่างไร 2. ผู้อ่านสามารถหาชื่อเรื่องของย่อหน้าที่อ่านได้ โดยสามารถค้นหาใจความสำคัญได้ ดังนี้ ตั้ง ชื่อเรื่องของย่อหน้า และค้นหาประโยคที่มีใจความสำคัญของเรื่องหรือสรุปใจความสำคัญของเรื่องเอง โดย


162 มีข้อสังเกตคือ ใจความสำคัญนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับชื่อเรื่อง และจะมีรายละเอียดสนับสนุนในลักษณะ ของการให้คำอธิบาย พิสูจน์หรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อทำให้ใจความสำคัญมีความชัดเจนยิ่งขึ้น 3. วิธีเขียนใจความสำคัญที่ผู้เขียนไม่ได้ระบุไว้แน่ชัด เนื่องจากในบางย่อหน้าผู้เขียนไม่ได้ระบุ ใจความสำคัญไว้แน่ชัด ผู้อ่านไม่อาจจะหาประโยคใดประโยคหนึ่งที่มีใจความสำคัญทั้งหมดได้ จึงต้องเขียน ใจความสำคัญเอง 8.10 การอ่านเชิงวิเคราะห์ นักการศึกษาได้ให้ความหมายของการอ่านเชิงวิเคราะห์ไว้ดังนี้ กรมวิชาการ (๒๕๔๖ : ๒๐๘) ให้ความหมายของการอ่านเชิงวิเคราะห์ไว้ว่า เป็นการอ่านหนังสือ อย่างละเอียดให้ได้ความครบถ้วน แล้วจึงแยกแยะให้ได้ว่า ส่วนต่าง ๆ นั้นมีความหมายและความสำคัญ อย่างไรบ้าง สัมพันธ์กับส่วนอื่น ๆ อย่างไร วิธีอ่านแบบวิเคราะห์อาจใช้วิเคราะห์องค์ประกอบของคำ วลี การใช้คำในประโยค สำนวนภาษา จุดประสงค์ของผู้แต่ง หรือเบื้องหลังของการจัดทำหนังสือหรือเอกสาร นั้น การอ่านวิเคราะห์จะต้องตั้งคำถาม และจัดวางระเบียบเรื่องราวเพื่อให้เข้าใจเรื่อง และความคิดที่ผู้เขียน ต้องการ ชวาล แพรัตกุล (๒๕๒๐ : ๒๕๗) อธิบายว่า การอ่านเชิงวิเคราะห์หมายถึง ความสามารถในการ แยกสิ่งที่จำเป็นส่วนย่อยตามหลักการและกฎเกณฑ์ที่กำหนดให้ เพื่อค้นหาความจริงต่าง ๆ ที่ซ่อนแฝงอยู่ ภายในเรื่องราวนั้น 1. ความสำคัญของการอ่านเชิงวิเคราะห์ กรมวิชาการ (๒๕๔๖ : ๒๐๘) อธิบายว่า การอ่านเชิงวิเคราะห์เป็นทักษะการอ่านในระที่สูงขึ้นกว่า การอ่านทั่ว ๆ ไป กล่าวคือ มิใช่เป็นการอ่านเพื่อความรู้ และความเพลิดเพลินชั้น แต่ยังต้องมีการวิเคราะห์ สิ่งที่ผู้เขียนได้เขียนในด้านต่าง ๆ ด้วย ประเทิน มหาขันธ์ (๒๕๓๐ : ๑๗๓ - ๑๗๔) ได้สรุปความสำคัญของการอ่านเชิงวิเคราะห์ไว้ดังนี้ ๑. ความเจริญก้าวหน้าทางด้านสื่อสารมวลชนมีมาก การรับข่าวสารจึงจำเป็นต้องใช้ วิจารณญาณให้รอบคอบ เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง ๒ ความก้าวหน้าทางด้านการโฆษณาขายสินค้ามีมากขึ้น จนคนส่วนใหญ่หลงเชื่อในคำโฆษณา การใช้ความคิดอย่างพินิจพิเคราะห์จะช่วยให้การตัดสินใจซื้อสินค้าเป็นไปอย่างถูกต้อง ๓. ลัทธิการปกครองในปัจจุบันมีหลายลัทธิ แต่ละลัทธิก็พยายามโฆษณาชวนเชื่อ โดยใช้หลัก จิตวิทยาต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง การใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบ จะช่วยให้การตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อ ลัทธิใดเป็นไปอย่างถูกต้อง


163 ๔. ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย และวิถีทางของประชาธิปไตยส่งเสริมการ คิดอย่างมีเหตุผล ด้วยเหตุนี้การอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ จึงมีความจำเป็นสำหรับสังคมประชาธิปไตย ๕. บรรดาสรรพตำราต่าง ๆ มีมากมาย การเรียนรู้มิได้ยึดอยู่กับตำราเพียงเล่มเดียวหากต้องใช้ วิจารณญาณจากตำราหลายเล่ม หลายผู้เขียน ด้วยเหตุผลนี้ การอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ จึงมีความจำ เป็นมากในยุคปัจจุบัน สรุปได้ว่า การอ่านเชิงวิเคราะห์มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตในปัจจุบัน ที่มีข่าวสารความรู้ การ ปกครอง และการเรียนรู้ที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ผู้อ่านต้องใช้การวิเคราะห์แยกแยะ ไตร่ตรองอย่าง รอบคอบ รวมทั้งประเมินค่าสิ่งที่อ่านด้วย จึงจะสามารถตัดสินใจและดำรงชีวิตได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ราบรื่น ๒. วิธีการอ่านเชิงวิเคราะห์และประเมินค่า การอ่านเชิงวิเคราะห์และประเมินค่า ผู้อ่านควรพิจารณาตามขั้นตอน ดังนี้ ๑) จุดประสงค์ของการเขียน โดยวิเคราะห์ว่า ผู้เขียนมีจุดประสงค์ใดในการเสนอสาระแก่ผู้อ่าน เช่น (๑) เพื่อความรู้หรือข้อเท็จจริง เป็นการให้ข้อมูล หรือแจ้งให้ทราบ เพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจ เรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์เป็นสำคัญ (๒) เพื่อจรรโลงใจ เป็นการทำให้เกิดความนึกคิดที่ละเอียดประณีต เพื่อยกระดับจิตใจให้ สูงขึ้น หรือเพื่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน (๓) เพื่อโน้มน้าวใจ เป็นการชักจูงให้ผู้รับสารเกิดความเชื่อถือ ศรัทธา มีความเห็นคล้อย ตาม หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามจุดประสงค์ของผู้เขียน (๔) เพื่อกระตุ้นให้คิดและค้นหาคำตอบ เป็นการนำเสนอสาร เพื่อให้ผู้รับขบคิดหาทาง แก้ปัญหาตามที่ผู้เขียนชี้ให้เห็น ๒) รูปแบบการนำเสนอสาร พิจารณาว่าเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรอง ใช้รูปแบบการเขียนชนิดใด ๓) ทรรศนะในการแต่ง เป็นการวิเคราะห์ความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ ของผู้เขียนที่นำเสนอ ออกมา ๔) วิธีเสนอข้อเท็จจริงและข้อคิด เห็นว่าผู้เขียนมีวิธีเสนอสารแบบใด เช่น (๑) แบบอธิบายตรง ๆ เป็นการใช้ข้อความที่กล่าวอธิบายเรื่องอย่างตรงไปตรงมาเพื่อ ความชัดเจน (๒) แบบอุปมาอุปไมย เป็นการใช้อุปมาอุปไมยในการนำเสนอสาร เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ ชัดเจนขึ้น


164 (๓) แบบแสดงอารมณ์และความรู้สึกของผู้เขียน เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวโดยใช้ถ้อยคำ สำนวนที่แสดงอารมณ์ของผู้เขียนเป็นสำคัญ ๕) กลวิธีการแต่ง ผู้เขียนใช้เทคนิคหรือวิธีการอย่างไรนำเสนอ และการถ่ายทอดความรู้ ความคิดสู่ผู้อ่าน ๖) การใช้ภาษาและถ้อยคำของผู้เขียน ๗) คุณค่าที่ได้รับจากการอ่าน ได้แก่ (๑) คุณค่าด้านความรู้ คือพิจารณาสิ่งทีเป็นข้อเท็จจริงหรือสาระที่ผู้เขียนนำเสนอในเรื่อง (๒) คุณค่าด้านความคิด คือพิจารณาเนื้อเรื่อง จุดประสงค์ และสิ่งที่ผู้เขียนสอดแทรกไว้ใน เนื้อเรี่องว่า ผู้เขียนต้อง การให้ผู้อ่านได้คติ ข้อคิด หรือแง้คิดในนเรื่อง เพื่อนำความคิดนั้นไปใช้ประโยชน์ (๓) คุณค่าด้านอารมณ์ คือพิจารณาสารที่ผู้ดเขียนนำเสนอว่ามีผลทำให้ผู้อ่านรู้สึกเช่นไร โดยมากมักจะเป็นสารประ เภทจรรโลงใจ พบในงานเขียนประเภทบันเทิงคดีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง 8.11 การอ่านตีความ กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 106) ได้กล่าวว่า การอ่านตีความเป็นการอ่านที่ผู้อ่านจะต้อง พิจารณาข้อมูลต่าง ๆ ให้รอบคอบ รวมทั้งต้องอาศัยประสบการณ์และความรู้ที่ตนเองมีอยู่ เพื่อหาข้อสรุป ให้ได้ว่าผู้เขียนต้องการนำเสนอสิ่งใดหรือมีวัตถุประสงค์เช่นไร ฟ้อน เปรมพันธ์ (2542 : 129 – 130) ได้กล่าวว่า การอ่านตีความเป็นการอ่านที่ผู้อ่านจะต้อง ใช้ประสบการณ์ ความรู้ ความเข้าใจที่มีอยู่ในการสรุปหรือตัดสินว่า ผู้เขียนต้องการจะกล่าวถึงเรื่องอะไร มี จุดประสงค์หรือมุ่งที่จะนำเสนอสาระสำคัญประการใดต่อผู้อ่าน ด้วยเจตนาหรือน้ำเสียงอย่างไร ความ พยายามที่จะเข้าใจความหมายของข้อความเพื่อให้เข้าใจจุดมุ่งหมายของสาร 1. หลักการอ่านตีความ บุญเหลือ เทพสุวรรณ (2539 : 157) ได้กล่าวว่า การตีความนั้นต้องไม่ตีความไปในทางเสียหาย แก่ผู้เขียนหรือผู้ใดที่ผู้เขียนกล่าวถึงหรืออ้างถึงโดยการเดา ต้องตีความโดยสุจริตใจ และตีความตามหลัก วิชาวรรณคดีวิจารณ์ โดยมีหลักการตีความไว้ดังนี้ 1. ตีความรูปแบบของวรรณกรรม วรรณกรรมมีรูปแบบต่าง ๆ กัน จำแนกไปตามวิธีการแนว นิยมของนักวิชาการคณะหนึ่ง ๆ หรือสมัยหนึ่ง ๆ ซึ่งผู้ตีความต้องมีความรู้เกี่ยวกับรูปแบบของงานเขียนนั้น ๆ


165 2. การตีความต้องไม่นำความคิดเห็นของผู้ประพันธ์กับความคิดเห็นของตัวละครมาปะปนกัน นักประพันธ์คนหนึ่งอาจมีความเห็นส่วนตัวตรงข้ามกับความเห็นของตัวละครตัวเอกก็ได้ 3. การตีความ คือการพิจารณาสารของผู้ส่ง ต้องรู้ว่าอะไรคือสารที่สำคัญที่สุดที่ผู้เขียน ต้องการนำเสนอ 2. ข้อแนะนำในการอ่านตีความ พัธนา ฉายศรีศิริ (ม.ป.ป. : 154) ได้เสนอแนะวิธีการอ่านตีความไว้ดังนี้ 1. อ่านเรื่องที่จะตีความนั้นให้ถ่องแท้ อ่านให้ครบกระบวนความ พยายามจับประเด็นสำคัญ ของผู้เขียนให้ได้ 2. คิดหาเหตุผลอย่างรอบคอบ แล้วนะมาประมวลเข้ากับความคิดของตนเองว่าข้อความหรือ เรื่องนั้น ๆ ควรจะเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร 3. ทำความเข้าใจกับถ้อยคำบางคำที่เห็นว่า คำนั้นมีความสำคัญและควรดูเนื้อหาว่าให้ ความหมายส่วนรวมไปในทางใด 4. การตีความกับการถอดคำประพันธ์ คือการถอดคำประพันธ์ หมายถึงว่าจะต้องเรียบเรียง จากถ้อยคำของบทประพันธ์เดิมมาเป็นร้อยแก้วให้ครบทั้งคำครบทั้งความ แต่การตีความนั้นจับเอาแต่ ใจความสำคัญจะคงไว้ซึ่งคำของข้อความเดิมได้ แต่มิใช่ทั้งหมด ถ้าข้อความนั้นมีสรรพนามจะต้อง เปลี่ยนเป็นสรรพนามบุรุษที่ 3 ทันที ข้อสำคัญก็คือต้องจับเอาความคิดของผู้เขียนที่บ่งไว้ในเรื่องให้ได้ 5. การเรียบเรียงถ้อยคำในการตีความให้ผู้อื่นเข้าใจความชัดเจน 6. การตีความไม่ใช่การวิจารณ์ ฉะนั้นจะต้องคัดเอาสิ่งที่เป็นอคติออกไปทำใจให้เป็นกลางเพื่อ จะบอกว่าข้อความนั้นกล่าวถึงอะไรตามประเด็นที่สำคัญ 3. ข้อควรคำนึงในการอ่านตีความ กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 108) กล่าวไว้ว่า มุมมองความคิดในการอ่านตีความของแต่ละ บุคคลอาจแตกต่างกัน แต่ทุกคนจะต้องมีเหตุผลในการคิดว่าที่คิดเช่นนั้นเพราะเหตุใด โดยจะต้องพิจารณา จากสิ่งต่าง ๆ ดังนี้ 1. ความหมายของถ้อยคำ ซึ่งอาจความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย ซึ่งอาจจะต้อง พิจารณาจากปริบทของคำเป็นสำคัญ รวมทั้งพิจารณาความหมายของสำนวนสุภาษิตต่าง ๆ 2. ตีความหมายของสัญลักษณ์ ซึ่งจะเป็นส่วนที่ใช้สื่อความหมายแทนบางสิ่งที่ต้องการสื่อ ความหมายออกมาโดยตรง หรืออาจใช้สิ่งที่เป็นรูปธรรมแทนสิ่งที่เป็นนามธรรม ซึ่งผู้อ่านจะต้องเชื่อมโยง


166 ข้อมูลต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และอาจใช้วิธีการเทียบเคียงเพื่อพิจารณาความหมายของสัญลักษณ์นั้น เช่น สี ขาวใช้สื่อความหมายถึงความบริสุทธิ์ ใช้นกพิราบสื่อความหมายของสันติภาพ เป็นต้น 3. พิจารณาปริบททางสังคม ซึ่งอาจมีผลต่อความเข้าใจสารที่แตกต่างกันทั้งในด้าน ประวัติศาสตร์ การศึกษา ความเชื่อ ขนบประเพณี ถิ่นที่อยู่อาศัย เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการตีความนั้น ใน เบื้องต้นผู้อ่านต้องหาประเด็นสำคัญ ๆ ของเรื่องให้ได้ โดยจะต้องพิจารณาข้อมูลทั้งหมดทั้งความหมาย โดยตรงและความหมายที่มีนัย ประกอบกับความรู้และประสบการณ์ของผู้อ่าน และต้องมีกระบวนการคิด อย่างมีเหตุผล เพื่อให้รู้ว่าสิ่งใดเป็นใจความสำคัญที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอมายังผู้อ่าน 4. การวัดและประเมินผลการอ่าน กัลยา ยวนมาลัย (๒๕๓๙ : ๒๑) ได้เสนอวิธีการทดสอบ โดยให้พิจารณาว่า ผู้เรียนมีความสามารถ ในประเด็นต่อไปนี้เพียงใด ๑. มีความเข้าใจเนื้อเรื่องเป็นส่วนรวมได้ถูกต้อง ๒. สามารถจับความคิดสำคัญของผู้เขียนได้ ๓. สามารถบอกได้ว่าข้อความใดเป็นใจความสำคัญมาก ตอนไหนเป็นเพียงส่วนประกอบและ ตอนไหนเป็นรายละเอียดปลีกย่อย ๔. สามารถตอบคำถามท้ายบทได้ ๕. สามารถสรุปและจัดลำดับเรื่องราวที่อ่านได้ ๖. สามารถวิจารณ์ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวที่อ่านได้ ๗. สามารถประเมินผลการอ่านของตนเองได้ นอกจากนี้ อัจฉรา วงศ์โสธร (๒๕๓๘ : ๑๔๕ - ๑๕๕) ยังได้กล่าวถึงเกณฑ์การประเมินทักษะการ อ่านว่าสามารถพิจารณาได้ ๒ ลักษณะคือ ๑. ความสามารถที่เป็นเกณฑ์แบบย่อย ได้แก่ (๑) ความรู้ในด้านศัพท์ หมายถึงความสามารถในการเข้าใจคำศัพท์ และสำนวนต่าง ๆ (๒) ความรู้ในด้านไวยากรณ์ หมายถึงความสามารถในการใช้ความรู้ในด้านไวยากรณ์ใน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำสรรพนาม ความเชื่อมโยงของเนื้อความ เช่น การใช้คำสันธานหรือคำบุพบท ที่กำหนดหน้าที่ของภาษาว่าเป็นการขอร้อง เชื้อเชิญ หรือขออนุญาต เป็นต้น ๒. ความสามารถที่เป็นเกณฑ์แบบรวม ได้แก่ (๑) ความสามารถในการเรียบเรียงความ หมายถึงความสามารถในการทำความเข้าใจบท อ่าน และสามารถตอบคำถามที่ให้เรียบเรียงถ้อยคำใหม่ โดยให้ได้ใจความเดิม หรือสามารถตอบคำถาม แบบเลือกตอบ และแบบเรียงลำ ดับข้อความได้


167 (๒) ความสามารถในการอ่านข้อมูลที่เป็นรายละเอียด หมายถึงความสามารถในการโยง รายละเอียด ที่เกี่ยวข้องเข้ากับใจความสำคัญของเรื่องได้ว่า เป็นรายละเอียดสนับสนุนหรือเป็นรายละเอียด ที่ขัดแย้งกัน เพื่อให้ข้อมูลตรงกันข้าม ตลอดทั้งเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างรายละเอียดต่าง ๆ (๓) ความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ หมายถึงความสามารถในการระบุแก่น เรื่อง หัวเรื่อง และใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านได้ (๔) ความสามารถในการวิเคราะห์ และประเมินความสัมพันธ์ของเนื้อความ สุนทรียศาสตร์ของการใช้ภาษา หมายถึงความสามารถในการใช้ความรู้ด้านศัพท์ไวยากรณ์ ความ เข้าใจสิ่งที่อ่าน และความรู้เกี่ยวกับรูปแบบ ลีลาภาษาที่ใช้ในบทอ่าน ที่เป็นตัวกระตุ้น วิเคราะห์ ประเมิน และสรุปบทอ่านได้ว่า เป็นสารประเภทใด ใช้ลีลาภาษาแบบเป็นทางการหรือไม่ เข้าใจเจตนา และทัศนคติ ของผู้เขียนที่แฝงอยู่ สามารถวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุผลที่เกิดขึ้นได้ ตลอดจนสามารถประเมินบทอ่านได้ว่า มี ความชัดเจนเข้าสู่ประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม และใช้ภาษาได้กระชับไม่เยิ่นเย้อ ความสามารถในระดับนี้เป็น ระดับสูงซึ่งต้องอาศัยความรู้ในระดับต้น ๆ เป็นพื้นฐาน ดังนั้นในการวัดและประเมินผลการอ่าน จึงควรพิจารณาความเข้าใจเนื้อเรื่อง และความคิดสำคัญ ของผู้เขียน สามารถจัดลำดับเนื้อเรื่อง สรุป วิเคราะห์วิจารณ์ ประเมินความสัมพันธ์ของเนื้อความได้ รวมทั้งความรู้ด้านศัพท์และความรู้ด้านไวยากรณ์ด้วย


168 เอกสารอ้างอิง กัลยา ยวนมาลัย. (2539). การอ่านเพื่อชีวิต. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. กาญจนา นาคสกุล และคณะ. (2539). การใช้ภาษา. กรุงเทพฯ : แสงรุ้งการพิมพ์. กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์. (2562). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. กลิ่น สระทองเนียม. (2545). การอ่านเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ตลอดชีวิต แต่ทำไมคนไทยไม่ชอบอ่าน หนังสือ. ประชาศึกษา. ปีที่ 53 ฉบับที่ 1 หน้า 25. กรมวิชาการ. (2546). กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน. (พิมพ์ครั้งที่ ๓). กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว. ชวาล แพรัตกุล. (2538). เทคนิคการเขียนข้อสรุป. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ครุสภาลาดพร้าว. ชุลี อินมั่น. (๒๕๓๓). การอ่านสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิต. กรุงเทพฯ : กรมการศึกษานอกโรงเรียน. ฐะปะนีย์ นาครทรรพ. (2548). ภาษาไทยสำหรับครู. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ธนู ทดแทนคุณ และกุลวดี แพทย์พิทักษ์. (2549). ภาษาไทย 1. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. บันลือ พฤกษะวัน. (2539). มิติใหม่ในการสอนอ่าน. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. บุญเหลือ เทพยสุวรรณ, ม.ล. (2539). แว่นวรรณกรรม. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง. ประทีป วาทิกทินกร. (2541). การใช้ภาษา. กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว. ประเทิน มหาขันธ์. (2537). การสอนอ่านเบื้องต้น. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. ปรียา หิรัญประดิษฐ์. (2552). การใช้ภาษาไทยในวงราชการ. กรุงเทพฯ : เอ็กซเปอร์เน็ท. พัธนา ฉายศรีศิริ. (ม.ป.ป.). การใช้ภาษาไทย. ม.ป.ท. พรรณทิพา หลาบบุญเลิศ. (2545). ภาษาไทย ๓. (พิมพ์ครั้งที่ ๕). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ฟ้อน เปรมพันธุ์. (2542). ศาสตร์แห่งการใช้ภาษาไทย. ม.ป.ท. มุกดา ลิบลับ. (2542). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. กรุงเทพฯ : สถาบันราชภัฏพระนคร. รุ้งกาญจน์ นรินทร. (2542). ความเข้าใจในการอ่านและความคิดเห็นของกนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑. ที่เรียนโดยวิธีการสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษาและวิธีวีสอนแบบพาโนรามา. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ลาวัณย์ สังขพันธานนท์ และคณะ. (2549). การอ่านพัฒนาคุณภาพชีวิต. มหาสารคาม : อภิชาตการ พิมพ์. วรรณี โสมประยูร. (2542). การสอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ ๓). กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.


169 วรรณาภรณ์ จันทร์ศรีวิริยะ. (2542). ผลการสอนแบบบูรณาการสอนของเมอร์ดอชที่มีต่อความเข้าใจ และความสนใจในการอ่านของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ ๑. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. แววยุรา เหมือนนิล. (2541). การอ่านจับใจความสำคัญ. กรุงเทพฯ : ชมรมเด็ก. สนิท ตั้งทวี. (2536). อ่านไทย. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. สุขุม เฉลยทรัพย์. (๒๕๒๙). การส่งเสริมการอ่าน. กรุงเทพฯ : วิทยาลัยครูเพชนบุรีวิทยาลงกรณ์ในพระ บรมราชูปถัมภ์. สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์. (2539). ปัญหาการอ่านภาษาไทย. กรุงเทพฯ : ภาควิชาภาษาไทย คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สุพัฒน์ สุกลสันต์. (2537). การพัฒนาทักษะการอ่าน. ในคณะกรรมการผลิตและบริหาร ชุดวิชาการ พัฒนาทักษะทางภาษา, ประมวลสาระชุดวิชาการพัฒนาทักษะทางภาษา หน่วยที่ 7 – 10. ม.ป.ท. : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เสริมศรี หอทิมาวรกุล. (2526). การพัฒนาทักษาการอ่านระดับประถมศึกษา (๑). ในเอกสารการสอน ชุดวิชาการสอนกลุ่มทักษะ ๑ (ภาษาไทย). หน่วยที่ ๑ - ๘. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมา ธิราช. ศรีรัตน์ เพิ่งกลิ่นจันทร์. (2542). อ่านและการสร้างนิสัยการอ่าน. (พิมพ์ครั้งที่ ๔). กรุงเทพฯ : วัฒนา พานิชย์ จำกัด. ศิริพร ลิมตระการ. (๒๕๔๑). ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการอ่าน. ในเอกสารการสอนชุดวิชาการ ภาไทย หน่วยที่ ๑ – ๗. (พิมพ์ครั้งที่ ๖). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ศิวกานท์ ปทุมสูติ. (๒๕๔๐). การอ่านเพื่อชีวิต. กรุงเทพฯ : ต้นอ้อ แกรมมี่.


บทที่ 9 ทักษะการเขียน 9.1 ความหมายของการเขียน หรรษา ผลาทร (2542 : 2) ได้ให้คำจำกัดความของการเขียนไว้ว่า การเขียนเป็นกระบวนการ แสดงความรู้สึกนึกคิดออกมาเป็นสัญลักษณ์ เพื่อให้ผู้อื่นอ่านและเข้าใจความคิดของผู้เขียน ความรู้สึกนึก คิดออกมาเป็นสัญลักษณ์ เพื่อให้ผู้อื่นอ่านและเข้าใจความคิดของผู้เขียน ความรู้สึกนึกคิดที่ได้มามักจะ ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ ให้เกิดความคิดที่จะเขียนเพื่อบรรยายความรู้สึกออกมา สมพร มันตะสูตร (2525 : 1) กล่าวไว้ว่า การเขียนเป็นศิลปะในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ตลอดจนความรู้สึกและอารมณ์ต่าง ๆ จากผู้เขียนไปสู่ผู้อ่าน กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 179) กล่าวไว้ว่า การเขียน คือ กระบวนการถ่ายทอดสาร อัน ได้แก่ ความรู้ ความรู้สึก ความคิด หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่ต้องการจะถ่ายทอดไปสู่ผู้อ่าน โดยใช้ลายลักษณ์ อักษรเป็นสื่อที่จะส่งสารอันมีความหมายไปยังผู้รับสาร ซึ่งต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์เพื่อสื่อความหมาย ให้ผู้รับสารเข้าใจศาสตร์และศิลป์ดังกล่าว เช่น กลวิธีการนำเสนอ การเลือกสรรถ้อยคำ รูปแบบงานเขียน เป็นต้น 9.2 ความสำคัญของการเขียน กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 180 - 184) กล่าวไว้ว่า การเขียนมีความสำคัญสำหรับมนุษย์ หลายประการ เพื่อให้สังคมดำเนินไปได้ด้วยความเข้าใจอันดี ทุกคนจึงควรตระหนักถึงความสำคัญของการ เขียน ซึ่งประกอบด้วย 1. การเขียนเป็นวิธีการสำคัญสำหรับการถ่ายทอดและบันทึกข้อมูล เป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้ สำหรับการเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ จากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง รวมทั้งยังเป็นวิธีสำคัญที่ใช้บันทึก รวบรวมข้อมูลที่มีคุณค่าทั้งในอดีตและปัจจุบัน เช่น การบันทึกและถ่ายทอดเรื่องราวทางวัฒนธรรม การ รวบรวมข้อมูลความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการใช้ติดต่อสื่อสารกันในงานราชการ เป็นตน 2. การเขียนช่วยเสริมสร้างและพัฒนาสติปัญญาและอารมณ์ เป็นการเขียนมีส่วนช่วยให้ ผู้เขียนเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ เสริมสร้างจินตนาการและพัฒนาการทางอารมณ์ที่ดี เนื่องจากผู้เขียน ที่ดีต้องเป็นผู้อ่านที่ดีด้วย และยังเป็นผู้หมั่นแสวงหาความรู้ด้วยวิธีการต่าง ๆ หากเรายิ่งศึกษาค้นคว้ามาก


171 เราก็มีข้อมูลที่จะเขียนมาก และผู้เขียนยังต้องฝึกฝนกระบวนการคิดและกระบวนการถ่ายทอดสารอย่าง เป็นระบบ เพื่อให้ข้อมูลที่นำเสนอนั้นเป็นไปอย่างมีลำดับ ทำความเข้าใจได้ง่าย และนำประโยชน์ที่ได้จาก การเขียนนั้นมาพัฒนาตนเอง 3. การเขียนเป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจระหว่างคนในสังคม เป็นการเขียนมีส่วนช่วยให้ คนในสังคมเข้าใจตรงกัน โดยอาจใช้วิธีการชี้แจง อธิบายหรือวิธีการอื่น ๆ เพื่อช่วยสร้างความสงบสุขให้ เกิดขึ้นในสังคม เช่น การอธิบายเรื่องไข้หวัดนก การชี้แจงเรื่องการปราบปรามยาเสพติด เป็นต้น หรืออาจ เป็นการสะท้อนข้อมูลหรือความคิดของบุคคลที่มีต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เพื่อชี้ให้ผู้อ่านได้มองเห็น ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หรืออาจเพื่อชักนำความคิดของผู้อ่านให้เป็นไปในทางที่ดีงามหรือได้ฉุกคิดจากการ นำเสนอข้อมูล นอกจากนี้ การเขียนนั้นได้สร้างผลงานที่มีคุณค่าเกิดขึ้นอย่างมากมาย ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อ ผู้เขียน ผู้อ่าน และสังคมเป็นอย่างมาก รวมทั้งอาจมีอิทธิพลต่อความคิดของผู้อ่าน ดังนั้นผู้เขียนจึงต้อง ตระหนักในบทบาทหน้าที่ของตนเองเป็นสำคัญ และสร้างสรรค์งานเขียนที่มีคุณค่า ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบ ในทางเสียหายแก่ผู้อ่านและสังคม วัตถุประสงค์ในการเขียน ดวงใจ ไทยอุบุญ (2549 : 14 – 15) กล่าวไว้ว่า ประการสำคัญในการเขียนที่ต้องคำนึงถึง คือ วัตถุประสงค์ว่าเราต้องการสื่อในเรื่องใด ซึ่งสามารถจำแนกได้ดังนี้ 1. เพื่อการเล่าเรื่อง เช่น การเล่าประวัติ เล่าประสบการณ์ หรือเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ 2. เพื่ออธิบายคำหรือความ เช่น อธิบายการทำอาหาร อธิบายคำนิยาม อธิบายเรื่องการงาน 3. เพื่อโฆษณาจูงใจ เช่น การโฆษณาสินค้า โฆษณาภาพยนตร์ 4. เพื่อปลุกใจ เช่น เพลงปลุกใจ บทความปลุกใจให้รักชาติ ปลุกใจให้มีระเบียบวินัย 5. เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือแนะนำ เช่น บทความเสนอแนะ บทความแสดงความคิดเห็นใน เรื่องต่าง ๆ การเขียนแนะนำสถานที่ แนะนำเพลง แนะนำหนังสือ แนะนำบุคคล 6. เพื่อสร้างจินตนาการ เช่น การเขียนเรื่องสั้น นวนิยาย บทร้อยกรอง 7. เพื่อล้อเลียนเสียดสี เช่น บทความล้อเลียนหรือเสียดสีเกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ 8. เพื่อประกาศ เช่น ประกาศแจ้งความ ประกาศเชิญชวน 9. เพื่อวิเคราะห์ เช่น วิเคราะห์ข่าว วิเคราะห์เหตุการณ์ วิเคราะห์สารคดี วิเคราะห์บทความ วิเคราะห์วรรณกรรม


172 10. เพื่อวิจารณ์ เช่น วิจารณ์หนังสือ วิจารณ์บทความ วิจารณ์สารคดี วิจารณ์ตำรา วิจารณ์ ศิลปะ วิจารณ์ภาพยนตร์ 11. เพื่อทำข่าว เช่น การเสนอข่าวประเภทต่าง ๆ คือ ข่าวการเมือง ข่าวธุรกิจ ข่าวเศรษฐกิจ 12. เพื่อเขียนเฉพาะกิจ เช่น เขียนจดหมาย เขียนการ์ตูน เขียนธนาณัติ สิทธา พินิจภูวดล และคณะ (2522 : 1) กล่าวไว้ว่า การเขียนมีวัตถุประสงค์หลายประการ ดังนี้ 1. การเขียนเพื่อเล่าเรื่อง คือการกำหนดเรื่องราวที่เป็นลำดับอยู่แล้วมาถ่ายทอดเป็นข้อเขียน ผู้เขียนต้องเล่าเรื่องที่ชวนให้อ่านและเห็นภาพเหตุการณ์ ทำให้ผู้อ่านติดตามโดยตลอดเรื่อง ซึ่งก็ต้องมี กลวิธีเฉพาะประเภท เช่น การสร้างจุดสนใจเมื่อเริ่มต้น และลำดับเรื่องตามเหตุการณ์ก่อนหลังแล้วจึงให้ ภาพตามลำดับ เสนอข้อเท็จจริงตามเวลาและสถานที่ เป็นต้น 2. การเขียนเพื่ออธิบาย ใช้กับข้อเขียนประเภทตำราหรือวิชาการมาก เป็นการอธิบายแจกแจง ข้อเท็จจริง ความรู้ อธิบายวิธีใช้ ไขปัญหา เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ การเขียนประเภทนี้ต้องคำนึงถึงภาษาให้ กระชับรัดกุม การลำดับขั้นตอนเหตุการณ์ตามลำดับก่อนหลังหรือจากเหตุสู่ผล จากใกล้ไปสู่ไกล ถ้าหาก อธิบายเป็นขั้นตอนโดยแยกหัวข้อเป็น 1 2 3 ได้ ก็จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้น 3. การเขียนเพื่อโฆษณาจูงใจ ผู้เขียนจะใช้ภาษาเพื่อโฆษณาจูงใจให้ผู้อ่านสนใจ ดังนั้น จึงต้อง ใช้ภาษาที่จดจำง่าย คล้องจองและสั้นกะทัดรัด แต่ต้องสะดดุตาสะดุดใจผู้อ่าน มีความแปลกใหม่ 4. การเขียนเพื่อปลุกใจ เป็นการเขียนเพื่อให้คนเกิดความเข้มแข็งพร้อมเพรียง เพื่อให้คนเกิด ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ฮึกเหิม เช่น บทความปลุกใจให้รักชาติ เป็นต้น ลักษณะข้อเขียนประเภทนี้ จะต้องใช้ประโยคสั้น ๆ อาจมีการเน้นย้ำและยกตัวอย่างประกอบด้วย เพื่อให้ชัดเจน 5. การเขียนเพื่อแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ หรือแนะนำ เช่น บทความเชิงวิเคราะห์ การวิจารณ์หนังสือ การแสดงข้อคิดเห็นต่าง ๆ การเขียนประเภทนี้ต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริง แสดงให้เห็นได้ ชัดเจน การใช้วิจารณญาณที่ถูกต้อง ยุติธรรม มีหลักเกณฑ์ในกรณีที่แจกแจง ผลดี ผลเสีย ข้อดี ข้อเสีย ควรจำแนกและใช้เหตุผลที่ดำเนินอยู่บนหลักเกณฑ์ที่สมจริงเป็นสำคัญ ข้อเขียนประเภทนี้จะใช้ภาษาเรียบ ง่าย กะทัดรัด 6. การเขียนเพื่อสร้างจินตนาการ เป็นการเขียนที่ผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่านเกิดจินตนาการคล้อย ตามหรือเห็นสิ่งนั้น ๆ ด้วย จึงต้องใช้วิธีการสร้างภาพลักษณ์เพื่อจูงใจและสร้างภาพให้ผู้อ่านอ่านแล้วเกิด จินตนาการได้ 7. การเขียนเพื่อเสียดสียั่วล้อ เป็นการเขียนที่ต้องการหยิบยกสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่อาจเป็นส่วน บกพร่องในสังคมมาแสดงความคิดเห็น เช่น การกล่าวตำหนิ แต่ใช้วิธีการพูดทีเล่นทีจริง ไม่รุนแรง เข้า


173 ลักษณะหยิกแกมหยอก บางทีคนอ่านไม่เห็นสิ่งที่แฝงการเสียดสีไว้ก็มี การเขียนทำนองนี้มักพูดสิ่งที่เสียดสี ในทำนองตลก ประชดประชัน 9.3 ประเภทของงานเขียน กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 190) กล่าวไว้ว่า การแบ่งประเภทของงานเขียน สามารถแบ่งได้ หลายลักษณะขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่นำมาใช้ ดังนี้ 1. แบ่งตามลักษณะการเขียน ซึ่งรูปแบบงานเขียนที่แบ่งตามลักษณะการเขียนแบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้ 1) งานเขียนประเภทร้อยแก้ว คือ งานเขียนที่แต่งหรือเรียบเรียงขึ้นโดยไม่มีข้อกำหนดตาม ฉันทลักษณ์หรือกฎเกณฑ์ในการแต่ง แต่ผู้เขียนจะต้องเลือกใช้ถ้อยคำให้เหมาะสม ถูกต้องตามหลัก ไวยากรณ์ เช่น นวนิยาย เรื่องสั้น บทความ เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีรูปแบบและองค์ประกอบที่ แตกต่างกัน 2) งานเขียนประเภทร้อยกรอง คือ งานเขียนที่แต่งหรือเรียบเรียงขึ้นตามฉันทลักษณ์ที่ กำหนด ซึ่งแต่ละประเภทจะมีข้อบังคับที่แตกต่างกัน ได้แก่ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย และลิลิต ในที่นี้ รวมถึงงานเขียนร้อยกรองที่ผู้ประพันธ์กำหนดฉันทลักษณ์ขึ้นมาใหม่ด้วย 2. แบ่งตามลักษณะเนื้อหา ซึ่งรูปแบบงานเขียนแบ่งตามลักษณะเนื้อหามี 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้ 1) งานเขียนแนวสารคดี คือ งานเขียนที่มีเนื้อหาเน้นที่ความรู้ ความคิด ความเข้าใจในเรื่อง ใดเรื่องหนึ่งเป็นสำคัญ เช่น บทความ หนังสือเรียน ตำรา รายงานข่าว เป็นต้น 2) งานเขียนแนวบันเทิงคดี คือ งานเขียนที่มีเนื้อหามุ่งให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน หรือ มุ่งกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของผู้อ่านให้ไปในทางใดทางหนึ่ง เช่น นวนิยาย เรื่องสั้น การ์ตูน บทละคร เป็น ต้น 3. แบ่งตามองค์ประกอบของเนื้อหา ซึ่งบุปผา บุญทิพย์ (2539 : 14) แบ่งประเภทของงาน เขียนตามองค์ประกอบของเนื้อหาแบ่งออกเป็น 1) ตำราวิชาการ และบทความทางวิชาการ ประกอบด้วยเรื่องที่ถ่ายทอดความรู้ ความคิด และความคิดเห็น


174 2) สารคดี และสาระบันเทิง ประกอบด้วยเรื่องที่ถ่ายทอดความคิด ความคิดเห็น ความรู้ และจินตนาการ 3) บันเทิงคดี ประกอบด้วยเรื่องที่ถ่ายทอดจินตนาการ ความคิด และความคิดเห็น 9.4 กระบวนการเขียน ดวงใจ ไทยอุบุญ (2549 : 20 – 34) กล่าวไว้ว่า กระบวนการเขียน หมายถึง ระเบียบหรือวิธีการ ที่จะใช้ในการเขียน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องศึกษา เพื่อจะได้ฝึกฝนให้สามารถคิดและเขียนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ การเขียนที่ดีที่จะช่วยพัฒนาทักษะการเขียนนั้น ผู้เขียนต้องคำนึงถึงกระบวนการเขียนต่อไปนี้ คือ 1. การคิด ไม่ว่าผู้เขียนจะเขียนเรื่องใดก็ตาม สิ่งแรกก็คือเรื่องของความคิด ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ก่อนลง มือเขียนเรื่องใดจำเป็นต้องคิดเรื่องนั้นให้แจ่มแจ้งเสียก่อน เมื่อคิดได้จึงเลือกใช้ถ้อยคำตามความหมายที่ ต้องการ ดังที่ ปรีชา ช้างขวัญยืน (2517 : 104) ได้กล่าวถึงกระบวนการเขียนไว้ดังนี้ 1.1 คิดให้เข้าจุด คือ การคิดให้อยู่ในวงจำกัด และคิดถึงจุดประสงค์ที่สำคัญเพียงจุดเดียว การจะคิดให้เข้าจุดนั้นมี 3 ประการคือ (1) คิดในสิ่งที่รู้ เพราะถ้าเรารู้สิ่งนั้นเราจะคิดจะเขียนได้คล่องผู้เขียนอาจรู้จาก ประสบการณ์ตรง ได้สัมผัสด้วยตนเองหรือจากการอ่าน หนังสือ หรือจากการค้นคว้า (2) คิดในหัวข้อที่จำกัด ผู้เขียนควรจำกัดขอบเขตของเนื้อหาที่จะเขียนให้ชัดเจน เพราะถ้า เป็นหัวข้อที่กว้างเกินไปอาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้ (3) ทำให้ผู้อ่านเข้าใจความคิดหลักอย่างกระจ่างชัด ความคิดหลักเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ก่อนลงมือเขียนต้องรู้ว่าความคิดหลักคืออะไร แล้วพยายามให้ผู้อ่านเข้าใจถึงความคิดหลักนั้น 1.2 จัดระเบียบความคิด การจัดระเบียบความคิดเพื่อไม่ให้การเขียนวกวนสับสน โดยจัด ระเบียบความคิด 3 ลักษณะ คือ (1) การจัดลำดับเรื่องราว คือการลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นก่อน เหตุการณ์ใดเกิดขึ้นที่หลัง เช่น การเขียนเกี่ยวกับชีวประวัติบุคคลก็ควรกล่าวถึงชีวิตในวัยเด็ก วัยเรียน วัยทำงาน จนถึงวัยชรา ตามลำดับ


175 (2) การจัดลำดับสถานที่ คือการเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ตามความเป็นจริงไม่วก ไปวนมา เพื่อให้ผู้อ่านนึกภาพตามไปเป็นขั้นตอน (3) การจัดลำดับตามเหตุผล คือ การเขียนโดยใช้เหตุและผล เมื่อมีเหตุแล้วแล้วต้องมีผล ตามมา หรือเมื่อนึกถึงผลทำให้โยงไปถึงเหตุได้ เช่น เพราะเหตุใดยาเสพติดจึงเป็นปัญหาใหญ่ในปัจจุบัน 1.3 มีความกระชับในเรื่องที่คิด คือการเขียนเรื่องจะต้องมีความคิดหลักที่ชัดเจนเพียงความคิด เดียว เพื่อให้ผู้อ่านสามารถจับประเด็นได้ว่า ผู้เขียนต้องการเสนอความคิดอะไร ถ้าผู้อ่านสามารถสรุป ความคิดออกมาได้ชัดเจน แสดงว่าเรื่องนั้นมีความกระชับในเรื่องที่คิด 1.4 แสดงความคิดอย่างแจ่มแจ้ง คือการเขียนที่เสนอความคิดได้อย่างชัดเจน โดยผู้อ่าน สามารถสื่อได้ตรงกับความคิดของผู้เขียน เช่น ถ้าผู้เขียนแสดงความคิดเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต หากผู้อ่าน อ่านแล้วเข้าใจหรือเข้าใจผิดว่า สมัยนี้ความซื่อสัตย์สุจริตไม่ได้ช่วยให้ตนร่ำรวยหรือเป็นความสุขได้ แสดง ว่าการแสดงความคิดของผู้เขียนยังไม่แจ่มชัด 2. การตั้งจุดมุ่งหมายในการเขียน ผู้เขียนจะกำหนดว่าตนต้องการเขียนเพื่ออะไร เป็นการช่วยให้การเขียนอยู่ในขอบเขตและง่ายต่อ การเขียนซึ่งมีหลายประเภท แต่ละประเภทจะมีกลวิธีการเขียนที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเจตนาหรือความ ต้องการของผู้เขียนที่จะเสนอเรื่องประเภทใด อย่างไร ในที่นี้จะขอกล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการเขียน คือ 2.1 การเขียนเพื่อเล่าเรื่องจากประสบการณ์ หมายถึง การเขียนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตาม ความเป็นจริงที่อาจเป็นประสบการณ์ตรงหรือได้รับการบอกกล่าวมาจากผู้อื่น โดยมีหลักการเขียนดังนี้ 1) ประสบการณ์หรือเหตุการณ์ที่นำมาเขียน ควรมีลักษณะที่น่าสนใจ เช่น เป็นเรื่องตื่นเต้น ประทับใจ เรื่องที่ไม่น่าเชื่อหรือเป็นเรื่องลึกลับ 2) รายละเอียดในเนื้อเรื่องที่ควรกล่าวถึง ได้แก่ สถานที่ที่เกิดเหตุการณ์นั้น ๆ วัน เวลา และบุคคลที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ 3) วิธีดำเนินเรื่องในการเขียนลักษณะนี้คือ 3.1) ดำเนินเรื่องตามลำดับวัน เวลา หรือลำดับเหตุการณ์ก่อนหลัง ผู้เขียนจะต้องเล่า เหตุการณ์ไปตามลำดับ ซึ่งผู้อ่านจะสามารถเข้าใจเรื่องได้โดยง่าย


176 3.2) ดำเนินเรื่องย้อนหลัง ผู้เขียนควรกล่าวถึงผลที่เกิดจากเหตุการณ์ก่อน แล้วจึง กลับไปย้อนเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น การเขียนวิธีนี้ค่อนข้างยาก และจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากใน การที่จะเขียนให้ผู้อ่านเข้าใจไม่เกิดความสับสน 3.3) ตอนจบเรื่องควรบอกถึงผลที่เกิดจากเหตุการณ์นั้น ๆ เพื่อให้เรื่องจบอย่าง สมบูรณ์ ควรกล่าวถึงข้อคิดและผลที่ได้รับจากเรื่องนั้น ๆ ด้วย 2.2 การเขียนเพื่อจดบันทึกจากการอ่านและการฟัง การเขียนบันทึกเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุก คน ไม่ว่าจะอ่านหรือฟัง เราไม่สามารถจดจําเรื่องทุกเรื่องได้ทั้งหมด ดังนั้นการจดบันทึกเรื่องราวที่ได้อ่าน ได้ฟัง จะช่วยให้ผู้จดบันทึกไม่ลืมและสามารถกลับมาอ่านทบทวนภายหลังได้ จึงจําเป็นและมีประโยชน์ อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กําลังศึกษาอยู่ การจดบันทึกจะช่วยประหยัดเวลาในการทบทวนโดยไม่ต้องอ่านหรือฟัง เรื่องนั้น ๆ ใหม่ทั้งหมด หลักการจดบันทึกมีดังนี้ 1) ก่อนจดบันทึก ควรอ่านเรื่องนั้น ๆ ให้เข้าใจดีเสียก่อน 2) เขียนบันทึกด้วยสํานวนภาษาของผู้จดบันทึกเอง 3) เขียนบันทึกเฉพาะเรื่องสำคัญหรือเฉพาะใจความสำคัญเท่านั้น 4) หัวข้อหรือประเด็นสำคัญ ควรทำเครื่องหมายหรือขีดเส้นใต้เพื่อให้เห็นเด่นชัด 5) ควรเขียนเรื่องราวความคิดตามลำดับขั้นตอน เพื่อไม่ให้เกิดสับสนในเวลาอ่าน 6) ควรเขียนแหล่งที่มาของเรื่องว่ามา จากหนังสืออะไร ใครแต่ง ใครพูด เมื่อไร 2.3 การเขียนเพื่อโฆษณาหรือชักจูงใจ การเขียนประเภทนี้ควรเป็นประโยคหรือข้อความสั้น ๆ ให้ได้ใจความชัดเจน ซึ่งขึ้นอยู่กับความ มุ่งหมายและโอกาสที่จะใช้ โดยมีหลักการเขียนดังนี้ 1) ต้องใช้ภาษาที่น่าสนใจ อาจใช้ภาษาพูดก็ได้ 2) ต้องเลือกใช้ถ้อยคําที่กินใจ สละสลวย 3) ต้องเลือกใช้ถ้อยคําที่ทำให้ผู้อ่านสะดุดใจ 4) ข้อความที่เขียนไม่ควรกล่าวติเตียนเสียดสีผู้ใด 2.4 การเขียนเพื่อแสดงความคิดเห็นหรือแนะนําสั่งสอน การเขียนประเภทนี้ควรเป็นข้อคิดเห็นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะเพียงเรื่องเดียว เช่น การ เขียนบทความเสนอแนะทางด้านการพัฒนา คุณภาพสังคม ทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง เป็นต้น การ เขียนประเภทนี้ ควรต้องใช้ความระมัดระวังที่จะไม่ทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกต่อต้าน ไม่พอใจ โดยมี หลักการเขียนดังนี้คือ


177 1) ผู้เขียนต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่จะเขียนเป็นอย่างดี 2) ข้อมูลที่นําเสนอถูกต้อง 3) ผู้เขียน เขียนโดยไม่มีอคติ 4) เขียนเพื่อให้เกิดการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไขหรือพัฒนาไปในทางที่ดี 5) ข้อคิดเห็นหรือข้อแนะนําเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน 6) ชี้แจงเหตุผลถึงข้อดี ข้อบกพร่องอย่างชัดเจน 7) แนวความคิดของผู้เขียนต้องไม่ใช่เพื่อชักจูง เกลี้ยกล่อมหรือสรุปว่าดี ไม่ดี แต่ควรเป็น เพียงการเสนอแนะเพื่อให้ผู้อ่านได้พิจารณาเท่านั้น 8) ควรใช้ถ้อยคําภาษาที่เข้าใจได้ง่าย 9) ควรใช้ภาษาที่เร้าใจผู้อ่าน เพื่อทำให้อยากติดตามเรื่องโดยตลอด 10) ควรใช้ถ้อยคําสํานวนที่เป็นแรงจงใจหรือกระตุ้นผู้อ่านให้เกิดความคิด หรือแนวคิด ใหม่ ๆ 2.5 การเขียนเพื่ออธิบายให้เกิดความรู้ความเข้าใจ การเขียนอธิบายให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ การบอกถึงวิธีทำ วิธีใช้ ผู้เขียนจะต้อง เขียนให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจ และสามารถปฏิบัติตามได้ เช่น เขียนอธิบายการทําอาหาร การใช้เครื่องมือ ต่าง ๆ เป็นต้น การเขียนเพื่ออธิบายมีหลักการเขียนดังต่อไปนี้ คือ 1) ควรเป็นเรื่องที่น่าสนใจ น่ารู้ 2) ควรเป็นเรื่องที่ต้องการคำอธิบาย 3) การใช้ถ้อยคํา ภาษา ควรให้กระชับรัดกุม 4) วิธีการเขียน ควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ใช้คำศัพท์ที่ยาก ศัพท์ทางวิชาการหรือคําที่ ตีความได้หลายความหมาย 5) การลำดับขั้นตอนการปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนจบ ควรกล่าวเป็นข้อ ๆ เพื่อช่วยให้เข้าใจง่าย ขึ้น และผู้อ่านสามารถปฏิบัติได้ตามขั้นตอน 6) ควรให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน 2.6 การเขียนเพื่อสร้างจินตนาการหรือความบันเทิง การเขียนประเภทนี้ ผู้อ่านจะเกิดความเพลิดเพลิน เกิดความคิด ความรู้สึกร่วมไปกับผู้เขียน เช่นการเขียนเรื่องสั้น นวนิยาย เป็นต้น การเขียนประเภทนี้ต้องคำนึงถึงการเลือกใช้ถ้อยคําที่สละสลวย ชัดเจน การเลือกใช้คําที่เหมาะสมจะช่วยให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกและอารมณ์ไปตามจินตนาการของผู้เขียน ด้วย


178 3. การเลือกเรื่อง ในการเขียน ผู้เขียนควรเลือกเรื่องให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้คือ 3.1 เลือกเรื่องที่ผู้เขียนสนใจ เมื่อผู้เขียนมีความสนใจและตั้งใจที่จะเขียนก็จะมีความพยายาม ที่จะทำให้งานเขียนนั้นออกมาดีที่สุด 3.2 เลือกเรื่องที่ผู้เขียนมีความรู้และประสบการณ์ ถ้าผู้เขียนมีความรู้และประสบการณ์ใน เรื่องใด จะช่วยให้งานเขียนนั้นมีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีข้อมูลที่ถูกต้อง และจากประสบการณ์ของผู้เขียน จะทำให้เกิดความคิดกว้างไกล ลึกซึ้ง ผู้อ่านเองก็จะได้รับประโยชน์จากข้อเขียนนั้น ๆ หากจําเป็นจะต้อง เขียนเรื่องที่ตนขาดประสบการณ์ ก็อาจศึกษาค้นคว้าหาความรู้ได้จากการอ่านหนังสือ การสัมภาษณ์บุคคล ที่มีความรู้หรือมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขียน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนก่อน จึงลงมือเขียน 3.3 เลือกเรื่องที่ผู้อ่านสนใจ ผู้เขียนต้องคำนึงถึงผู้อ่านเป็นสำคัญ เพราะถ้าเขียนเรื่องที่ไม่ได้ รับความสนใจจากผู้อ่านก็ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ดังนั้นการเลือกเรื่องที่จะเขียน จึงควรคำนึงถึง เพศ วัย ความรู้และความสนใจของผู้อ่านเป็นสำคัญ 3.4 เลือกเรื่องที่สามารถจํากัดขอบเขตได้ ผู้เขียนควรเลือกเรื่องที่มีเนื้อหาไม่กว้างจนเกินไป เพราะจะทำให้เสียเวลาในการเขียน ในการค้นคว้าเรียบเรียง และอาจทำให้ผู้อ่านเกิดความเบื่อหน่ายได้ 3.5 เลือกเรื่องที่เป็นประโยชน์คือผู้อ่านจะต้องได้รับความรู้ความเพลิดเพลิน ตลอดจนทำให้ เกิดความคิดกว้างไกลในเชิงสร้างสรรค์ ช่วยยกระดับจิตใจผู้อ่านให้เป็นผู้มีศีลธรรมและจริยธรรม 4. การตั้งชื่อเรื่อง ชื่อเรื่องที่ดีสามารถบอกถึงเนื้อเรื่องได้ชัดเจนการตั้งชื่อเรื่องจะบอกขอบเขตของเนื้อหาที่แน่นอนได้ โดยคำนึงถึงหลักต่อไปนี้คือ 4.1 ตั้งชื่อโดยใช้ชื่อตัวเอกของเรื่อง เป็นการเน้นความสำคัญของตัวละครในเรื่องเป็นเรื่องที่ เขียนเกี่ยวกับวรรณกรรม นวนิยายหรือบันเทิงคดี เช่น พระอภัยมณี มัทนะพาธา ศกุนตลา รัตนาวดี ปริศนา 4.2 ตั้งชื่อตามสถานที่สำคัญของเรื่อง เป็นเรื่องที่เขียนเกี่ยวกับสารคดีท่องเที่ยว หรือประเภท บันเทิง คดี เช่น นิราศภูเขาทอง บ้านทรายทอง คนอยู่วัด 4.3 ตั้งชื่อตามแนวคิดของเรื่อง เป็นเรื่องที่เขียนเกี่ยวกับบันเทิงคดี สารคดี หรือบทความ เช่น ถ้าชาติหน้ามีจริง สายโลหิต ดึกนี้ชีวีก็สั้นลง 4.4 ตั้งชื่อตามเนื้อหาสาระของเรื่อง เป็นเรื่องที่เขียนเกี่ยวกับนวนิยาย หรือการเขียนเรื่องทาง วิชาการ บทความ หรือบทวิจารณ์ เช่น วรรณคดีเปรียบเทียบ วรรณกรรมวิเคราะห์ การใช้ภาษาสำหรับครู สี่แผ่นดิน


179 4.5 ตั้งชื่อโดยใช้คําประพันธ์ หรือ สุภาษิตคําพังเพย เป็นเรื่องที่เขียนเกี่ยวกับบันเทิงคดีหรือ บทความทั่วไป เช่น กวีฤาแล้งแหล่งสยาม ตากรุ้งเรืองโพยม 4.6 ตั้งชื่อให้แปลกเป็นที่สนใจของผู้อ่าน เป็นเรื่องที่เขียนเกี่ยวกับนวนิยายหรือ บทความทั่ว ๆ ไป เช่น ตลิ่งสูงซุงหนัก ชีวิตที่เลือกไม่ได้ สองทศวรรษในดงขมิ้น ไฟ 5. การรวบรวมข้อมูล ข้อมูลในการเขียนเรื่องเป็นสิ่งสำคัญ การสะสมข้อมูลในการเขียนได้มาจาก 1) การได้ยินมาก ฟังมาก 2) การได้อ่านมาก 3) การได้เห็นมาก 4) การได้ใช้ความคิดอย่างสม่ำเสมอ 5) ควรเป็นผู้ใฝ่รู้ แสวงหาความรู้อยู่เสมอ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยทำให้ผู้เขียนประสบผลสำเร็จ เพราะสามารถนําข้อมูลเหล่านี้มาใช้ได้ทันทีและ รวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาในการค้นหา 6. การวางโครงเรื่อง การวางโครงเรื่อง คือการเรียบเรียงความคิดว่าจะเขียนเรื่องอะไร เกี่ยวข้องกับสิ่งใด ใจความ สำคัญมีอะไร ได้เนื้อหาครบถ้วนหรือไม่ มีข้อมูลใด ที่ต้องค้นคว้าเพิ่มเติม การวางโครงเรื่องก่อนลงมือเขียน จะช่วยทำให้งานเขียนสมบูรณ์ ไม่วกวนสับสน เพราะมีการลำดับความที่ดี การวางโครงเรื่องมีขั้นตอนต่อไปนี้ คือ 1) การรวบรวมแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องที่จะเขียน ซึ่งได้มาจากความรู้และประสบการณ์เดิมของ ผู้เขียน บางครั้งข้อมูลหรือความรู้ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ จึงจําต้องศึกษาหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่นจากการสัมภาษณ์หรือจากงานวิจัยต่าง ๆ 2) การเลือกและการจัดแนวความคิด ในการรวบรวมแนวความคิดนั้น อาจได้ข้อมูลมากมาย บางแนวความคิดมีความสำคัญมาก บางแนวอาจไม่สัมพันธ์กับเรื่องที่จะเขียนก็มี ดังนั้นผู้เขียนจึงควรเลือก แนวคิดที่มีสาระสำคัญ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะเขียนเท่านั้น เมื่อได้เลือกแนวคิดนั้น ๆ แล้ว ควรนํา แนวคิดเหล่านั้นมา เข้ากลุ่มที่คล้ายหรือใกล้เคียงกัน 3) การจัดลำดับความคิด


180 ในการสนทนาอาจพูดกันโดยมิได้คำนึงถึงสิ่งอื่นใด มีการเตรียมตัวมาก่อน อาจจะเปลี่ยนจาก เรื่องหนึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งโดยไม่มีข้อจํากัดว่าเมื่อใดควรทำอะไร ตรงกันข้ามกับการเขียนที่ต้องมีหลัก การ จัดระเบียบความคิด ซึ่งประกอบด้วย 3.1) การจัดลำดับเรื่องราว เป็นการเขียนบรรยายเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย ได้ ความชัดเจนว่าเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นตามลำดับก่อนหลัง โดยเขียนตามลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่เขียนย้อน ไปย้อนมา 3.2) การจัดลำดับเหตุผล เป็นการเขียนโดยใช้เหตุและผล เช่น การเขียนบทวิจารณ์หรือ บทวิเคราะห์ ซึ่งต้องการให้ผู้อื่นเกิดความเห็นคล้อยตามผู้เขียนจึงจำเป็นต้องชี้แจงถึงเหตุและผลตามลำดับ 3.3) การจัดลำดับสถานที่ เป็นการเขียนที่ต้องทำให้ผู้อ่านเกิดภาพพจน์ โดยจะต้อง พรรณนาถึงสิ่งที่จะเขียน เล่ารายละเอียดตามที่เป็นจริงไม่วกไปวนมา 3.4) การจัดลำดับเวลาก่อนหลัง ผู้เขียนควรเขียนลำดับเรื่องราวต่าง ๆ ตามวันเวลา ก่อนหลัง เพราะจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายกว่า การเขียนย้อนไปย้อนมา ลักษณะโครงเรื่องที่ดีมีดังนี้ คือ 1) มีขอบข่ายของเรื่อง คือเนื้อหาอยู่ในขอบข่ายจํากัดไม่ออกนอกเรื่อง 2) เนื้อหาไม่ซ้ำซ้อน คือเนื้อหาในแต่ละส่วนต้องไม่ซ้ำกัน เพราะจะทำให้การดำเนินเรื่องสับสน และวกวน 9.5 ปัญหาการใช้ภาษาในการเขียน ดวงใจ ไทยอุบุญ (2549 : 9 – 10) ได้พบว่าข้อผิดพลาดหรือข้อบกพร่องของการใช้ภาษาเขียนมี ลักษณะที่ใกล้เคียงกันมากที่สุด พอสรุปได้ดังนี้ 1) การใช้คำผิด คือการใช้คำที่มีเสียงหรือความหมายใกล้เคียงกันผิดใช้คำผิดความหมาย ใช้ คำผิดหน้าที่ ใช้คำและกลุ่มคำไม่คงที่ ใช้คำและกลุ่มคำฟุ่มเฟือย ใช้ภาษาพูดในภาษาเขียน ใช้สำนวนการ เปรียบเทียบผิด ใช้สำนวนต่างประเทศในการเขียน ใช้คำผิดกาลเทศะ 2) การใช้ประโยคผิด คือการเรียงลำดับคำและลำดับความผิด ขาดคำกลุ่มคำหรือข้อความที่ จำเป็นในประโยค ใช้ประโยคไม่สมบูรณ์ ใช้ประโยคเกินความจำเป็น 3) การสะกดการันต์ผิด คือใช้พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ และตัวการันต์ผิด เขียนส่วนของคำ ขาด เขียนคำซ้ำผิด


181 4) การใช้เครื่องหมายวรรคตอนผิด เพราะไม่รู้แน่ชัดว่า เครื่องหมายวรรคตอนต่าง ๆ นั้นใช้ อย่างไร เช่น เครื่องหมายจุลภาค เครื่องหมายปรัศนี เครื่องหมายอัศเจรีย์ ไม้ยมก ไปยาลน้อย และการเว้น วรรคในที่ ๆ ไม่ควรเว้น 5) การใช้อักษรย่อผิด โดยใช้อักษรย่อในที่ไม่ควรใช้ และใช้อักษรย่อผิดจากที่นิยมใช้ 9.6 หลักการใช้ภาษาในการเขียน 1. การเลือกคำ สุรัตน์ ศรีราษฎร์ และคณะ (2542 : 21 – 24) กล่าวสรุปการเลือกใช้ภาษาในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1) การใช้คำ มีหลักการพิจารณาเลือกการใช้คำ ดังนี้ 1.1) ความถูกต้อง การใช้ภาษาควรระมัดระวังให้ถูกต้องทั้งในด้านความหมายและหน้าที่ ของคำ รวมทั้งกาลเทศะหรือระดับของภาษา ตลอดจนการสะกดคำผิดพลาด เนื่องจากเป็นองค์ประกอบ สำคัญในการสื่อความหมาย 1.2) ความชัดเจน การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารควรคำนึงถึงความหมายที่ชัดเจนกระจ่าง แจ้งในเนื้อความ เพื่อมิให้ผู้อ่านเกิดความสับสนหรือเข้าใจผิดหรือไม่เข้าใจเลย 1.3) ความสละสลวย การใช้ภาษานอกจากจะสำคัญที่ความถูกต้องชัดเจนแล้ว ความ สละสลวยก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องคำนึงถึงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นั่นคือภาษาที่ใช้ทั้งการพูดและการเขียนควรจะ ไพเราะ รื่นหู มีความงดงาม น่าอ่าน น่าฟัง ประทีป วาทิกนินกร (2514 : 10 – 19) กล่าวว่า การเลือกคำมาใช้ให้ถูกว่ามีหลักควรยึดถือ ดังนี้ 1) เลือกคำให้ตรงความหมาย คือ เลือกใช้คำที่มีความหมายตรงที่สุดและถูกต้องที่สุด 2) เลือกคำให้เหมาะสม 2.1) การใช้คำให้เหมาะสมกับกาลเทศะ คือจะต้องรู้ว่าในโอกาสใดและสถานที่เช่นไร จะ ใช้คำอย่างไรจึงจะเหมาะสม 2.2) การใช้คำให้เหมาะสมกับบุคคล คือจะต้องใช้คำให้เหมาะกับบุคคลคำบางคำจะใช้ได้ กับบุคคลบางระดับเท่านั้น


182 2.3) การใช้คำให้เหมาะสมกับข้อความ คือคำบางคำจะเหมาะกับข้อความอย่างหนึ่งก็ได้ ทั้ง ๆ ที่ความหมายไม่ต่างกัน ฉะนั้นจึงต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม 3) ใช้คำให้ชัดเจน 3.1) การใช้คำที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว คือพยายามใช้คำที่คนส่วนมากเข้าใจกันเป็นอย่างดี 3.2) การใช้คำที่เป็นสื่อสร้างความเข้าใจ คือพยายามใช้คำที่ทำให้ผู้อ่านผู้ฟังนึกเห็นภาพ และเข้าใจได้ชัดเจน คำเหล่านี้ ได้แก่ คำที่แสดงภาพ คำที่แสดงอาการ และคำที่รู้สึกมีเสียง 3.3) การใช้คำที่หมดจด คือใช้แล้วให้ได้ความรู้สึก 4) ใช้คำให้มีน้ำหนัก 4.1) การใช้คำเท่าที่จำเป็น คือ ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย 4.2) การใช้คำเปรียบเทียบ คำพังเพย และภาษิต คำประเภทนี้เป็นคำหรือข้อความที่มี ความหมายหนักแน่นเป็นที่เข้าใจกันดีอยู่แล้ว หากนำมาใช้ก็จะช่วยให้ข้อความกะทัดรัดและน้ำหนักขึ้น 4.3) การใช้คำซ้ำ ๆ กัน คือใช้คำคำเดียวกันหลาย ๆ ครั้งในข้อความเพื่อเน้นให้มีน้ำหนัก การใช้คำถ้าซ้ำ ๆ กันในที่ซึ่งควรจะใช้คำให้ต่างกันออกไปได้ ก็ทำให้รู้สึกรำคาญมากเหมือนกัน ไม่ทำให้ ข้อความมีน้ำหนักแต่อย่างใด 2. การสร้างประโยค กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 212 - 213) แบ่งการสร้างประโยคเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1) การสร้างประโยคให้มีน้ำหนัก การสร้างประโยคให้มีน้ำหนักจะทำให้ข้อวามที่เขียนแจ่มแจ้ง เพราะผู้อ่านสามารถทราบจุดประสงค์ของผู้เขียนได้ว่าต้องการเน้นส่วนใด การสร้างประโยคให้มีน้ำหนักทำ ได้ดังนี้ 1.1) การวางคำที่ต้องการเน้นให้อยู่ในที่ซึ่งมีน้ำหนัก ตามปกติตำแหน่งของส่วนที่มีน้ำหนัก ที่สุดจะอยู่ตอนต้นของประโยค ดังนั้นถ้าจะเน้นส่วนใดก็จะนำเอาส่วนนั้นมาไว้ต้นประโยค 1.2) การใช้คำซ้ำ ๆ กันช่วยให้ข้อความมีน้ำหนัก การใช้คำซ้ำกันในที่นี้ต้องใช้ในข้อความที่ แตกต่างกัน 1.3) การจัดความให้ขัดแย้งกัน คือการจัดข้อความ 2 ข้อความให้ขัดแย้งกันแล้วใช้สันธาน ที่แสดงความขัดแย้งเป็นบทเชื่อม จะช่วยให้ประโยคมีน้ำหนัก


183 2) การสร้างประโยคให้กะทัดรัดและสละสลวย หมายถึง ประโยคที่ใช้คำน้อยแต่กินความมาก นั่นคือ ประโยคที่ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย และใช้ภาษาได้เหมาะสมกับข้อความที่ต้องการสื่อ การเขียนประโยคให้ กะทัดรัดและสละสลวยอาจทำได้โดยยึดหลักต่อไปนี้ 2.1) การรวบความให้กระชับ ในกรณีที่ประโยคมีคำหรือความซ้ำ ๆ กัน ถ้าต้องการให้มี ความกระชับรัดกุม เวลาเขียนต้องหาคำหรือวลีมารวบความ 2.2) การใช้คำที่มีความหมายรวมแทน หมายถึง การเลือกใช้คำหรือวลีที่กระชับมาแทนที่ คำหรือประโยคยาว ๆ 3) การเขียนให้มีเอกภาพและสัมพันธภาพ คือประโยคแต่ละประโยคควรมีใจความเดียว มี เอกภาพ และถ้อยคำในประโยคนั้นควรมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันที่เรียกว่ามีสัมพันธภาพ ประโยคที่ได้จึง จะเป็นเหตุเป็นผล และมีความกลมกลืนกัน ดังนั้นหากผู้เขียนสามารถเลือกใช้ภาษาได้ดี ประกอบกับมี เนื้อหาที่น่าสนใจ เป็นประโยชน์ เลือกใช้รูปแบบและกลวิธีที่เหมาะสมแล้ว จะทำให้งานเขียนนั้นเป็นงาน เขียนที่น่าติดตามและหากเป็นงานเขียนที่มีผู้กล่าวถึง ชมเชย ยกย่อง หรือเป็นงานเขียนที่ได้รับรางวัลแล้ว นอกจากจะเป็นผลดีกับผู้อ่านแล้ว ยังจะเป็นผลดีสะท้อนกลับไปยังผู้เขียนอีกด้วย 9.7 หลักการเขียน ดวงใจ ไทยอุบุญ (2549 : 15 – 16) กล่าวไว้ว่า หลักการเขียนมีดังนี้ 1. มีความชัดเจน ผู้เขียนจะต้องใช้คำที่มีความหมายชัดเจน ใช้ประโยคไม่คลุมเครือหรือกำกวม ผู้เขียนต้องคำนึงเสมอว่าการที่จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องตรงกับผู้เขียนนั้น ขึ้นอยู่ที่การใช้คำ การใช้ประโยค และการใช้ถ้อยคำสำนวน 2. มีความถูกต้อง ผู้เขียนต้องคำนึงถึงระเบียบของการใช้ภาษาและเขียนให้ถูกต้องเหมาะสม ตามกาลเทศะ 3. มีความกระชับ ผู้เขียนต้องรู้จักเลือกสรรถ้อยคำมาใช้ รู้จักใช้สำนวนโวหาร ภาพพจน์ คำ อุปมาอุปไมย สุภาษิต คำพังเพย รู้จักการวมประโยคให้ข้อความชัดเจนและมีน้ำหนักเพื่อให้ประโยคมีความ กระชับ 4. มีความเรียบง่ายในการใช้ภาษา ผู้เขียนต้องรู้จักใช้คำธรรมดาที่เข้าใจง่าย ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย ไม่ใช้คำปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้อ่านเกิดความเบื่อหน่าย


184 5. มีความรับผิดชอบในความถูกต้องของเนื้อหา ผู้เขียนต้องแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุมีผล พินิจพิจารณาปัญหาด้วยความละเอียดถี่ถ้วน ลึกซึ้ง มุ่งจะให้เกิดความรู้และทัศนคติที่ดีอันเป็นประโยชน์แก่ ผู้อ่าน 6. มีความประทับใจ การใช้ถ้อยคำสำนวนที่มีความหมายลึกซึ้งกินใจทำให้ผู้อ่านเกิดความ ประทับใจ ซึ่งเป็นผลอันเกิดจากการใช้คำที่ไพเราะ การเรียงลำดับคำในประโยค การใช้คำที่ทำให้เกิด ภาพพจน์ เกิดอารมณ์ความรู้สึกที่ประทับใจ และชวนให้ติดตามอ่าน 7. มีความไพเราะในการใช้ภาษา ผู้เขียนควรใช้ภาษาสุภาพ มีความประณีตในการใช้ภาษา ตลอดจนมีความประณีตในการเสนอเนื้อหา อ่านแล้วไม่สะดุดหรือขัดหู ดังนั้น การเขียนเป็นทักษะที่ต้องเอาใจใส่ฝึกฝนอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดความรู้ความชำนาญ และ ไม่ให้เกิดการผิดพลาดในการสื่อความหมาย รู้จักการเรียงร้อยถ้อยคำให้เกิดความแจ่มชัด สละสลวย จึง เป็นสิ่งที่ผู้เขียนจำเป็นที่จะต้องศึกษาหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ให้ดีและนำไปพัฒนางานเขียนของตนให้ประสมผล ตามความมุ่งหมาย 9.8 คุณสมบัติของนักเขียนที่ดี กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 213) กล่าวไว้ว่า การเป็นนักเขียนที่ดี สามารถที่จะช่วยจรรโลง และพัฒนาสังคมให้เป็นไปในแนวทางที่ดีได้ ดังนั้นนักเขียนที่ดีจึงควรเป็นผู้มีคุณสมบัติ ดังนี้ 1. หมั่นเป็นผู้แสวงหาความรู้ ผู้ที่จะเป็นนักเขียนที่ดีได้ ต้องเป็นผู้ที่หมั่นแสวงหาความรู้ อาจ เป็นความรู้ที่จากการศึกษาค้นคว้าจากเอกสารตำรา การสนทนากับผู้มีความรู้ สัมผัสประสบการณ์ต่าง ๆ ด้วยตนเองหรือวิธีการอื่น ๆ เพื่อสะสมข้อมูลสำหรับที่จะใช้สร้างสรรค์งานเขียน 2. เป็นผู้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เมื่อผู้ที่เป็นนักเขียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์แล้ว ย่อม เป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้เกิดงานเขียนเชิงสร้างสรรค์ขึ้นมา อาจเริ่มจากการเป็นนักคิดและนักสังเกต เพราะจะทำให้ผู้เขียนมีประเด็นของเรื่องที่จะนำเสนออย่างหลากหลาย มีมุมมองความคิดที่แตกต่างไปจาก ผู้อื่น และสร้างงานเขียนที่มีคุณค่า 3. มีวิจารณญาณ ผู้ที่จะเป็นนักเขียนนั้น มิใช่แต่เพียงเห็นสิ่งใดก็จะนำมาเขียนได้ แต่ต้อง พิจารณาให้รอบคอบทั้งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลนั้น ๆ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งในทางดีและทางไม่ ดี ผู้เขียนจะต้องใช้วิจารณญาณไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน


185 4. มีจรรยาบรรณของการเป็นนักเขียน นักเขียนที่มีจรรยาบรรณนั้น จะต้องคำนึงถึงข้อควร ประพฤติปฏิบัติต่าง ๆ ที่นักเขียนพึงจะมี เพื่อไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง 5. หมั่นฝึกฝน ผู้ที่จะเป็นนักเขียนที่ดีได้นั้น จะต้องมีแรงบันดาลใจและหมั่นสร้างผลงานเขียน ของตนเอง ค้นหาและพัฒนาแนวทางการเขียนของตนเอง โดยต้องเริ่มจากการมีทัศนคติที่ดีต่อการเขียน อีกอย่างหนึ่ง ผู้เขียนควรคำนึงในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ 1. การเลือกเนื้อหา เป็นการเลือกเนื้อหาที่จะนำเสนอสู่ผู้อ่านนั้น ผู้เขียนต้องตระหนักเสมอว่า งานเขียนนั้นเป็นงานที่เผยแพร่ออกสู่สาธารณชน ฉะนั้นเนื้อหาที่นำเสนอนั้นจะต้องแสดงถึงความ รับผิดชอบต่อสังคมด้วย ไม่สร้างงานเขียนที่มุ่งบ่อนทำลายบุคคล สังคม หรือประเทศชาติ เพราะไม่ ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ผู้เขียนจึงควรคำนึงถึงคุณลักษณะของงานเขียน ดังนี้ 1) มีประโยชน์ ควรเป็นงานเขียนที่มีประโยชน์ในทางใดทางหนึ่งหรือหลายประการก็ได้ ไม่ สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้น และหากสามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านจิตใจหรือ การประพฤติปฏิบัติได้ก็จะยิ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่า 2) มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นงานเขียนที่ส่งเสริมจิตนาการหรือกระบวนการคิดในทางที่ดี งามแก่ผู้อ่าน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถนำไปสร้างสรรค์งานเขียนหรือนำไปใช้ประโยชน์ในทางใดทางหนึ่งได้ 3) มุ่งนำเสนอข้อเท็จจริง เพื่อสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นในสังคม มินำเสนอด้วยอคติ หาก มีข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะควรทำด้วยความเป็นกลาง เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย 2. การเลือกใช้ภาษา เป็นการเลือกใช้ภาษาที่ถูกต้อง เหมาะสม และไพเราะนั้น เป็นสิ่งที่ช่วย สนับสนุนงานเขียนให้มีคุณค่า ใคร่ติดตาม เพราะจะทำให้ผู้อ่านอ่านได้อย่างราบรื่น ดังนั้นภาษาที่ใช้จึงควร มีลักษณะ ดังนี้ 1) สะกดคำให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้อย่างถูกต้องและยังแสดง ให้เห็นถึงความเอาใจใส่ในการสร้างสรรค์ผลงานของผู้เขียนด้วย 2) เลือกใช้ถ้อยคำให้ตรงกับความหมายที่ต้องการจะสื่อ อาจเป็นคำที่มีความหมายตรง หรือความหมายแฝง ผู้เขียนจะต้องคำนึงถึงบริบทของคำเป็นสำคัญ 3) เลือกใช้คำให้เหมาะสม ในที่นี้หมายถึงความเหมาะสมกับเรื่องราว สถานการณ์ระดับ ของบุคคล บทบาทของตัวละครในเรื่อง 4) ศิลปะการใช้ถ้อยคำ เป็นการสร้างสรรค์งานเขียนให้เกิดความไพเราะช่วยให้ผู้อ่านเกิด จินตภาพ เพิ่มน้ำหนักให้กับข้อความ ใช้ถ้อยคำที่มีพลังหรืออื่น ๆ อีกหลายประการ 5) เลือกใช้เครื่องหมายวรรคตอนให้ถูกต้อง


186 3. การกำหนดรูปแบบงานเขียน จะต้องให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่ต้องการจะนำเสนอซึ่งจะช่วย ให้งานเขียนนั้น ๆ มีความน่าสนใจใคร่ติดตาม และยังมีผลต่อการสร้างอารมณ์ความรู้สึกให้กับผู้อ่านอีก ด้วย 4. กลวิธีการดำเนินเรื่อง จะช่วยให้เรื่องน่าติดตาม จูงใจผู้อ่านให้ติดตามเรื่องโดยตลอด ซึ่ง จะต้องสอดคล้องกับเนื้อหาที่นำเสนอด้วย ดังนั้น การสร้างงานเขียนที่มีคุณค่าแก้ผู้อ่าน จะก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ ทั้งต่อตัวผู้เขียน ผู้อ่าน และสังคม ทั้งยังทำให้งานเขียนนั้น ๆ เป็นที่ยอมรับ เช่น วรรณคดีสมัยต่าง ๆ วรรณกรรมที่ได้รับ รางวัลซีไรต์ วรรณกรรมที่ได้รับรางวัลจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ เป็นต้น (กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์, 2562 : 191 - 193) 9.9 เครื่องหมายวรรคตอนและการเว้นวรรคตอน 1. เครื่องหมายวรรคตอน ภาณุศักดิ์ คำแผง (2555 : 161 – 164) สรุปไว้ดังนี้ ๑.1 ไม้ยมก (ๆ)๑ ใช้เขียนหลังคำ วลี หรือประโยคเพื่อให้อ่านซ้ำคำ วลี หรือประโยคอีกครั้ง หนึ่ง โดยมีหลักการใช้ ดังนี้ ๑) คำที่เป็นคำซ้ำ ต้องใช้ไม้ยมกเสมอ เช่น สีดำ ๆ 2) ห้ามใช้ไม้ยมกในกรณีดังต่อไปนี้ 2.๑) เมื่อเป็นคำคนละบทคนละความ เช่น ฉันจะไปปทุมวัน ๆ นี้ (ที่ถูกต้องคือ ฉันไป ปทุมวัน / วันนี้), เขาซื้อสี ๕ กระป๋อง ๆ ละ ๑๕๐ บาท (ที่ถูกต้องคือ เขาซื้อสี ๕ กระป๋อง / กระป๋องละ ๑๕๐ บาท 2.๒) เมื่อเป็นคำคนละชนิด เช่น คน ๆ นี้มีวินัย (ที่ถูกต้องคือคนคนนี้มีวินัย เพราะ คำ คำแรกเป็นสามานยนาม ส่วนคน คำหลังเป็นลักษณะนาม) 2.๓) เมื่อรูปคำเดิมเป็นคำ ๒ พยางค์ที่มีเสียงซ้ำกัน เช่น นานา, นานาชาติ, นานาประการ, ต่าง ๆ นานา, จะจะ, เขียนกันจะจะ, เห็นกันจะจะ, ดำนาจะจะ ควรจำ ซึ่งซึ่ง ให้เขียนเป็น เห็นกันซึ่ง ๆ หน้า ในวันหนึ่ง ๆ ให้เขียนเป็น ในวันหนึ่ง วันหนึ่ง ๑ เมื่อเขียนไม้ยมกจะต้องเขียนเว้นระยะห่างหนึ่งตัวอักษรจากอักษรตัวสุดท้าย


187 เด็กเล็ก ๆ อ่านว่า เด็กเล็กเล็ก วันไหน ๆ อ่านว่า วันไหนไหน แต่ละวัน ๆ อ่านว่า แต่ละวัน แต่ละวัน 2.๔) เมื่อเป็นคำประพันธ์ 1.๒ ไปยาลน้อย (ฯ) เมื่อเขียนไปยาลน้อยจะต้องเขียนติดตัวอักษรตัวสุดท้ายของคำนั้น ๑) ใช้ละคำที่รู้จักกันดีแล้ว โดยละส่วนท้ายไว้เหลือแต่ส่วนหน้าของคำพอที่เข้าใจเช่น กรุงเทพฯ (กรุงเทพมหานคร), ทูลเกล้าฯ (ทูลเกล้าทูลกระหม่อม), คำเหล่านี้เวลาอ่านจะต้องอ่านเต็ม จึงจะ นับว่าอ่านถูกต้อง ๒) ใช้ละส่วนท้ายของวิสามานยนาม ซึ่งได้กล่าวมาก่อนแล้ว หรือพระนามของเจ้านายใน บรมวงศานุวงศ์ เช่น วัดพระเชตุพลวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดพระเชตุพลฯ), สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ) ๓) คำว่า ฯพณฯ อ่านว่า พะ-นะ-ท่าน เป็นคำนำหน้าชื่อหรือตำแหน่งข้าราชการผู้ใหญ่ ตั้งแต่ระดับรัฐมนตรีขึ้นไป และเอกอัครราชทูต เป็นต้น 1.๓ ไปยาลใหญ่ (ฯลฯ) หมายความว่า ละ และอื่น ๆ เมื่อเขียนไปยาลใหญ่ไว้หลังสุดของ ข้อความจะอ่านว่า “และอื่น ๆ” เช่น สิ่งของที่ซื้อขายกันในตลาดมี เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ น้ำปลา ฯลฯ (อ่านว่า และอื่น ๆ), เมื่อเขียนไปยาลใหญ่ไว้ตรงกลางข้อความจะอ่านว่า “ละ หรือ ถึง” เช่น พยัญชนะไทยมี ๔๔ ตัว ได้แก่ ก ฯลฯ ฮ (อ่านว่า ก ถึง ฮ หรือ จะอ่านว่า ก ละ ฮ) ๑) ใช้ละข้อความข้างท้ายที่อยู่ในประเภทเดียวกัน ซึ่งยังมีอีกมาก แต่ไม่ได้นำมาแสดงไว้ ๒) โบราณใช้ละคำหรือข้อความที่อยู่ตรงกลางก็ได้ โดยบอกตอนต้นและตอนจบไว้ 1.๔ ยัติภังค์ (-) ๑) ใช้แยกพยางค์เพื่อบอกคำอ่าน เช่น ประ-หวัด-ติ-สาด ๒) ใช้เขียนไว้ที่สุดบรรทัดเพื่อต่อพยางค์หรือคำสมาส ซึ่งจำเป็นต้องเขียนแยกบรรทัดกัน เนื่องจากอยู่ตรงสุดบรรทัดและไม่มีที่พอจะบรรจุคำเต็มได้ 3) ใช้เขียนเพื่อการเว้นวรรค (ข้อมูลยังไม่แน่นอน) และใช้เขียนในหมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขที่บ้าน


188 1.๕ วงเล็บ หรือ นขลิขิต (....) ๑) ใช้กันข้อความที่ขยายหรืออธิบายจากข้อความอื่นและข้อความในระหว่างวงเล็บนั้นจะ อ่านหรือเว้นเสียก็ได้ ทำให้เนื้อความนอกจากนั้นเสียไป เช่น จึงสรุปได้ว่า มนุษย์หรือขันธ์ ๕ นั้น ได้สร้าง โลภะ (ความโลภ) โทสะ (ความโกรธ) และโมหะ (ความหลงผิด) ให้แก่ตนเองทั้งสิ้น 1.๖ อัศเจรีย์ (!) ๑) ใช้เขียนหลังคำ วลี หรือประโยคที่เป็นคำอุทาน อุ๊ย !, กรรมจริง !, เขาตายเสียแล้ว ๒) ใช้เขียนหลังคำเลียนเสียงธรรมชาติ เพื่อให้ผู้อ่านทำเสียงให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ใน เรื่องนั้น ๆ เมื่อไม่สามารถจะเขียนให้ถูกต้องเป็นตัวหนังสือได้ เปรี้ยง !, ปัง ! ๓) เครื่องหมายอัศเจรีย์นี้ใช้เท่าที่จำเป็น กล่าวคือ ใช้เมื่อต้องการให้ผู้อ่านตกใจไม่ควรใช้ กับข้อความที่ยาว ๆ 1.๗ อัญประกาศ “....” ๑) ใช้เพื่อแสดงว่าคำหรือข้อความนั้นเป็นคำพูดหรือความนึกคิด ๒) ใช้เพื่อแสดงว่าคำหรือข้อความนั้นคัดมาจากที่อื่น ๓) ใช้เพื่อเน้นความนั้นให้เด่นชัดขึ้น ๔) ใช้เพื่อแสดงว่าคำหรือข้อความนั้น ใช้ในความหมายผิดไปจากความหมายปกติในการ ออกเสียง เมื่อมีเครื่องหมายอัญประกาศเปิด ให้อ่านว่า “อัญประกาศเปิด” และเมื่ออ่านเครื่องหมาย อัญประกาศปิดให้อ่านว่า “อัญประกาศปิด” 1.๘ จุดไข่ปลา ... ๑) ใช้สำหรับละข้อความที่ไม่จำเป็นหรือไม่ต้องการกล่าว เพื่อจะชี้ว่าข้อความที่นำมากล่าว นั้นตัดตอนมาเพียงบางส่วน เช่น ...ตามด้วยข้อความที่ยกมา และเปิดด้วย... ๒) ใช้สำหรับละตัวอักษร คำ หรือข้อความที่ไม่ต้องการให้อ่าน 1.9 (.) จุดหรือมหัพภาค ใช้กับข้อที่เป็นตัวเลขกำกับ 1.10 (,) จุลภาค ใช้คั่นข้อความหรือประโยค, หรือจำนวนตัวเลขให้ออกจากกัน 1.11 (;) อัฒภาค ใช้คั่นข้อความที่เสมอกันหรือส่วนขยายของประโยค


189 1.12 (:) ทวิภาค๒ ใช้แสดงอัตราส่วน เช่น ๑: ๒ 1.13 (=) เสมอภาค, สมพล ใช้บอกข้อความเสมอกันหรือเท่ากัน 1.14 (__) ขีดเส้นใต้หรือสัญประกาศ ขีดใต้คำ วลี ประโยค หรือข้อความ เพื่อเน้นให้เห็น ชัดเจน 1.15 (”) เครื่องหมายยละ บุพสัญญา ใช้ละข้อความที่เหมือนกันกับบรรทัดบน 1.16 (?) ปรัศนี ใช้สิ้นสุดเมื่อหมดประโยคคำถาม ๒ ใช้เขียนแทนคำว่า “คือ” และ “ได้แก่” และใช้เขียนในการอ้างอิงเลขหน้าหนังสือและการทำเชิงอรรถ


190 เอกสารอ้างอิง กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์. (2562). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. ดวงใจ ไทยอุบุญ. (2549). ทักษะการเขียนภาษาไทย. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. บุปผา บุญทิพย์. (2539). การเขียน. (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง. ประทีป วาทิกนินกร. (2514). การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : คุรุสภา. ปรีชา ช้างขวัญยืน. (2517). พื้นฐานการใช้ภาษา. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. ภาณุศักดิ์ คำแผง. (2555). ติวส่วนตัว ภาษาไทย เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : สูตรไพศาล. สิทธา พินิจภูวดล และคณะ. (2522). การเขียน. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง. สมพร มันตะสูตร. (2525). การเขียนสร้างสรรค์. กรุงเทพฯ : บารมีการพิมพ์. สุรัตน์ ศรีราษฎร์ และคณะ. (2542). การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร. ในคณาจารย์ภาควิชาภาษาไทย. การใช้ภาษาไทย 1. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. หรรษา ผลาทร. (2542). การพัฒนาการเขียน. เพชรบุรี : สถาบันราชภัฏเพชรบุรี. อวยพร พานิช และคณะ. (2544). ภาษาและหลักการเขียนเพื่อการสื่อสาร. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.


บทที่ 10 การพัฒนาทักษะการเขียน 10.1 การพัฒนาทักษะการเขียน ดวงใจ ไทยอุบุญ (2549 : 17 – 18) กล่าวไว้ว่า หลักการพัฒนาทักษะการเขียนมี 6 ประการ ดังนี้ 1. ทักษะการเขียนเกิดจากการฝึกฝนและจะต้องทำอย่างมีระบบ คือ 1.1 ต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ 1.2 ต้องใช้เวลาฝึกนานพอควรจึงจะเกิดความชำนาญ 1.3 ต้องฝึกให้ถูกวิธีและถูกหลักเกณฑ์ 1) ต้องสะกดคำให้ถูก เรียบเรียงถ้อยคำให้สื่อความหมายได้ชัดเจนและรู้จักการแบ่ง วรรคตอนให้ถูกต้อง 2) ต้องรู้จักเทคนิคเฉพาะในการเขียนเรื่องประเภทต่าง ๆ เช่น การเขียนเรียงความ บทความ ทั้งในแง่วัตถุประสงค์และเทคนิคการเขียน 2. รู้จักแสดงออกโดยเขียนเรียบเรียงความรู้และความรู้สึกนึกคิดออกมาอย่างเป็นระเบียบ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจตรงตามที่ต้องการ 3. การเขียนเป็นการใช้ภาษา ซึ่งต้องอาศัยการสั่งสมความรู้ความคิดจากการอ่านและการฟัง ถ้าฟังมากอ่านมากจะทำให้ผู้เขียนมีความรู้ เกิดความคิดกว้างไกล สามารถนำไปใช้ในการเขียนให้มี คุณภาพมากยิ่งขึ้น 4. การเขียนเป็นหลักฐานที่ผู้อื่นสามารถอ่านและนำไปอ้างอิงได้ ดังนั้นจึงควรเขียนด้วยความ ระมัดระวัง และต้องรู้จักการสรรหาถ้อยคำมาใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม 5. งานเขียนจะมีคุณค่าได้ก็ต่อเมื่อ ทำให้ผู้อ่านพัฒนาความรู้ความคิดและอารมณ์ งานเขียนที่ มีคุณค่าประกอบด้วย ให้ความรู้แก่ผู้อ่าน ให้ความคิดสร้างสรรค์ที่ดีงามแก่ผู้อ่านอย่างมีเหตุมีผล และให้ ผู้อ่านมีพัฒนาการทางอารมณ์และความรู้สึกไปในทางที่ดี 6. งานเขียนจะต้องคำนึงถึงระดับความรู้ ความคิด และสติปัญญาของผู้อ่าน จึงควรระมัดระวัง เรื่องการใช้ถ้อยคำภาษา การเสนอความรู้และความคิดที่ผู้อ่านอาจไม่มีพื้นฐานในเรื่องนั้น ๆ


๑๙๒ ประสิทธิ์ กาพย์กลอน (2518 : 2) กล่าวไว้ว่า วิธีที่จะช่วยให้การเขียนประสบผลสำเร็จพอสรุปได้ 6 วิธีคือ 1. อ่านหนังสือเป็น เพราะหนังสือเป็นแหล่งความรู้ที่ดีที่สุดของผู้ที่รักงานเขียน หนังสือแต่ละ ประเภทมีเนื้อหาสาระแตกต่างกัน บางเรื่องมีประโยชน์มาก บางเรื่องมีประโยชน์น้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้เขียน ว่า จะเลือกอ่านหนังสือประเภทใดและอ่านอย่างไรคือจะต้องอ่านอย่างมีวิจารณญาณ จึงจะเกิดผลสูงสุด สำหรับผู้อ่าน เพื่อนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในการเขียน 2. รู้จักสังเกตและจดจำ เพราะในขณะที่อ่านหนังสือควรรู้จักสังเกตและจดบันทึกไว้ว่าตอนใด จะมีประโยชน์ต่อการเขียน เพื่อจะได้นำไปใช้ประกอบหรืออ้างอิงในการเขียนของตนต่อไป และอาจเห็น ข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดที่คิดว่าไม่น่าจะนำไปเป็นแนวทางในการเขียน 3. เกิดความคิดกว้างไกล เมื่อผู้เขียนได้อ่านหนังสือมาก โดยอ่านอย่างมีวิจารณญาณ รู้จัก การสังเกตจดจำ จะทำให้ผู้อ่านเกิดจินตนาการหลากหลายและกว้างไกล อันจะเป็นผลทำให้เกิดงานเขียนที่ มีความแปลกใหม่อยู่เสมอ 4. ฝึกเขียนบ่อย ๆ เพราะการเขียนเป็นวิชาทักษะที่ต้องอาศัยการฝึกฝนอยู่เสมอ ๆ ดังนั้นถ้าได้ เขียนบ่อย ๆ ก็จะทำให้เกิดพัฒนาการที่ดีในการเขียน 5. รู้จักการสะสมคำ เพื่อนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่องานเขียน ทำให้งานเขียนน่าอ่านยิ่งขึ้น 6. รู้จักการนำประสบการณ์ที่สั่งสมไปใช้ การสะสมประสบการณ์จากการอ่าน การฟัง การ สัมภาษณ์ การที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมสัมมนา เป็นต้น มาเป็นข้อมูลอ้างอิงและนำมาเสริมงานเขียนนั้น ให้น่าสนใจ อวยพร พานิช และคณะ (2544 : 179 – 186) กล่าวไว้ว่า การสร้างงานเขียนแต่ละเรื่องนั้น อาจมิได้มีเพียงวัตถุประสงค์เดียว ขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่ต้องการ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จตามที่มุ่งหวังไว้ ดังนี้ 1. การเขียนเพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร เป็นการให้ข้อมูลข้อเท็จจริงหรือความรู้บางประการแก่ผู้อ่าน รวมทั้งการอธิบายเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะพบการเขียนประเภทนี้ได้ในตำราเรียน ประวัติศาสตร์ ข่าว บทวิเคราะห์ข่าว เป็นต้น ซึ่งแต่ละชนิดก็มีท่วงทำนองการเขียนและการใช้ภาษาที่แตกต่างกัน ผู้เขียนจึง ต้องรู้จักวิธีการเขียนของข้อเขียนแต่ละชนิด และเลือกใช้แต่ละท่วงทำนองให้เหมาะสมกับชนิดของการเขียน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถจับประเด็นและสาระได้เต็มที่ วิธีการเขียนเพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร ดังนี้ 1) เก็บข้อมูลข่าวสารที่ผ่านมาในชีวิตให้มากที่สุดด้วยวิธีการต่าง ๆ


๑๙๓ 2) การหาความรู้ประกอบให้กว้างขวางในเรื่องที่น่าสนใจและเรื่องที่ต้องฝึกปฏิบัติงานนั้น ๆ 3) ต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงให้มากที่สุด เพราะเป็นหัวใจของการให้ข้อมูลข่าวสาร ทั้งใน เรื่องของเวลา สถานที่ เหตุการณ์ 4) ลำดับความคิดให้ต่อเนื่องเป็นระบบ เพื่อช่วยให้งานเขียนเข้าใจได้ง่ายขึ้นและลื่นไหลได้ ดี ช่วยให้ประสิทธิภาพของงานเขียนดีขึ้น 5) ใช้ภาษากะทัดรัด ชัดเจน เข้าใจง่าย และใช้ระดับภาษาให้เหมาะสมกับเนื้อหาและผู้รับ สาร 6) การยกตัวอย่างเปรียบเทียบ เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยโยงเรื่องไกลตัวให้ใกล้ตัวผู้อ่าน มากขึ้น เร้าความสนใจให้ผู้อ่านติดตามได้มากขึ้น 2. การเขียนเพื่อจูงใจหรือโน้มน้าวใจ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจและรู้สึก ตามที่ผู้เขียนต้องการ ทำให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจ มีความเห็นคล้อยตาม และมีทัศนคติที่ดีต่อเนื่อง โดย เป้าหมายในการจูงใจประกอบด้วยการจูงใจเพื่อให้คล้อยตาม การจูงใจเพื่อเปลี่ยนทัศนคติ กระตุ้นและเร้า ความรู้สึก และการจูงใจเพื่อเกิดการกระทำ อีกอย่างหนึ่ง การเขียนจูงใจ อาจใช้วิธีการให้เหตุผลที่เป็น ข้อเท็จจริง เร้าอารมณ์ หรือใช้บุคลิกหรือชื่อเสียงส่วนตัวเป็นเครื่องจูงใจ หรือการใช้วิธีการเสนอแนะ เพื่อ หลีกเลี่ยงความคิดเห็นโต้แย้งก็ได้ ซึ่งมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้ 1) ควรบอกให้ทราบว่าจะชักชวนให้ทำอะไร 2) ควรอธิบายให้เข้าใจว่าสิ่งที่ชักชวนคืออะไร หรือเป็นอย่างไรควรชี้ให้เห็นว่า ถ้าทำตามที่ ชักชวนจะก่อให้เกิดผลดีต่อตนและส่วนรวมอย่างไร 3) อาจจะชี้ให้เห็นผลเสียที่จะเกิดขึ้น ถ้าไม่ทำตามที่ชักชวน 4) ควรให้รายละเอียดต่าง ๆ ให้มากพอที่จะทำให้ผู้รับสารชักชวนกระทำตามได้ ถ้าเห็น ด้วย 5) ในการชักชวน ไม่ควรเป็นการบังคับให้ทำตาม ควรเปิดโอกาสให้ผู้รับการชักชวนคิดตก ลงด้วยตนเองว่า ควรจะทำตามหรือไม่ 3. การเขียนเพื่อให้ความบันเทิง มุ่งให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ให้ความผ่อนคลายมุ่งสร้าง จินตนาการเป็นหลัก ซึ่งมีทั้งลักษณะที่คล้ายหรือเหมือนกับภาษาที่ใช้ในการเขียนเพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร เพราะเป็นการเขียนเล่าเรื่องจากความจริงที่เกิดขึ้น แต่แตกต่างกันในวิธีการนำเสนอเนื้อหา เพราะได้ เพิ่มเติม ตัดตอน ดัดแปลงความจริงบางส่วนไปตามจินตนาการของผู้เขียนบ้าง โดยการใช้สำนวนโวหาร


Click to View FlipBook Version