๑๙๔ เพื่อให้เกิดภาพพจน์และการพรรณนาต่าง ๆ จึงเกิดความแตกต่างจากการเขียนสารัตถคดี นอกจากนั้นยัง มีบางส่วนที่มีลักษณะของการเขียนเพื่อโน้มน้าวใจมาประกอบด้วย ทั้งนี้เพื่อโน้มน้าวใจให้เกิดความเข้าใจ เห็นใจ สงสารตัวละคร หรือการดำเนินชีวิตตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วย การเขียนบันเทิงคดีจึงเป็นลักษณะ การเขียนที่ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งการมีข้อมูลจากความจริงหรือชีวิตจริง การใช้จิตนาการ ภาษาและถ้อยคำในการเขียนเชิงพรรณนาให้เกิดความสละสลวย ประทับใจ และโน้มน้าวใจผู้อ่านให้เกิด ความสนุกและช่วยติดตามตั้งแต่ต้นจนจบด้วย สมพร มันตะสูตร (2525 : 21 – 38) กล่าวไว้ว่า การเขียนเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ ดังนี้ 1. ศิลปะการขึ้นต้นเรื่อง ต้องเป็นข้อความที่ชักจูงใจผู้อ่านให้ติดตามเนื้อหาทั้งหมด โดยใช้ ภาษาที่เข้าใจง่าย กระชับ ใช้คำน้อยแต่กินความมาก 2. ศิลปะการเสนอความคิดเห็นเชิงสรุป เป็นการชี้ชวนคนอ่านตั้งแต่ต้นให้เห็นว่า เรื่องนี้น่าจะ จบลงอย่างไร ด้วยทัศนะของผู้เขียนโดยเฉพาะหรืออาจจะทำในตอนจบเรื่องก็ได้ 3. ศิลปะการเขียนให้ข้อความละเอียดบริบูรณ์ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจอย่างชัดแจ้ง จึง ควรเลือกใช้ประโยคสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความชัดเจน เข้าใจง่าย ประโยคหรือข้อความต่อมาเป็นประโยคที่ จะเขียนอธิบายขยายความให้ชัดเจนยิ่งขึ้น 4. ศิลปะการเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่าง คือการเขียนที่มีความมุ่งหมายจะแสดงให้ ปรากฏว่าสิ่งที่กล่าวถึงสองสิ่งนั้นมีความแตกต่างกัน หรือมีความไม่เหมือนกันในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งผู้เขียน สามารถที่จะบรรยายให้ผู้อ่านเห็นได้ชัดเจนว่าสองสิ่งมีความแตกต่างกัน หรือตรงกันข้ามหรือขัดแย้งกัน โดยการกล่าวเปรียบเทียบให้เห็นจริง 5. ศิลปะการเขียนอธิบายขยายความ คือ การเขียนอธิบายข้อความหรือคำที่ยังมีข้อเคลือบ แคลงสงสัยอยู่ หรือการแสดงเหตุผลมาประกอบข้อความเพื่อแสดงความสมบูรณ์และรายละเอียดของเรื่อง ให้แจ่มแจ้งขึ้น 6. ศิลปะการให้ข้อเท็จจริงที่สัมพันธ์กัน หมายถึง การเขียนที่ส่งทอดความสัมพันธ์ระหว่าง เหตุผลและความเป็นไปได้ในข้อความที่ยกมากล่าวอ้าง ให้ข้อความแต่ละตอนที่จำเป็นต้องอ้างข้อเท็จจริง มาสนับสนุนนั้นมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน 7. ศิลปะการใช้จิตนาการ คือ ศิลปะการเขียนที่ทำให้ผู้อ่านมองเห็นภาพในความนึกคิด ในจิต นาการ และจิตนาการที่ผู้เขียนนำมาถ่ายทอดนั้นสามารถทำให้ผู้อ่านพลอยมีจินตนาการสร้างสรรค์ตามไป ด้วย
๑๙๕ 8. ศิลปะในการบรรยายความ อาจจะใช้กระบวนความพรรณนาหรือบรรยายให้ผู้อ่านคล้อย ตามด้วยการจัดสรรถ้อยคำให้เรียบร้อยไปเป็นระเบียบราบรื่น นอกจากกระบวนความราบรื่นสละสลวย แล้วยังควรจะมีกระบวนการเรียงลำดับข้อความและการดำเนินข้อความอย่างต่อเนื่องชวนอ่านอีกด้วย กระบวนความบรรยายที่ดีนั้นต้องมีการเลือกสรรถ้อยคำคม กระชับ ไขความง่าย ๆ ตรงไปตรงมา มีเหตุผล ส่งทอดรับกันเป็นอันดี 9. ศิลปะในการสร้างสัมพันธภาพแต่ละตอนและการส่งทอดเนื้อความ เป็นการเขียนเพื่อโยง สัมพันธ์ข้อความระหว่างเนื้อความแต่ละตอนให้มีความต่อเนื่องผสมกลมกลืนกันเป็นอย่างดี กล่าวคือ ข้อความแต่ละตอนจะไม่ขาดตอนจากกัน แม้ว่าในบางครั้งอาจจะเท่ากับเป็นการเริ่มต้นเนื้อความใหม่ แต่ การเขียนที่ดีนั้นต้องสร้างสัมพันธภาพโดยการส่งทอดเนื้อความจากย่อหน้าก่อนทอดไปยังเนื้อความในย่อ หน้าต่อไป 10. ศิลปะการสรุปเรื่องตอนจบ เป็นกลวิธีการเขียนที่สามารถสร้างความประทับใจให้แก่ ผู้อ่านได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าจบดีก็เท่ากับเป็นการทิ้งทายไว้ให้คิดกันนาน กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 195 - 197) กล่าวไว้ว่า งานเขียนที่ดี คือ งานเขียนที่มี คุณภาพ มีคุณค่าทั้งทางด้านเนื้อหา และศิลปะ การประพันธ์ และจะต้องมีลักษณะ ดังนี้ 1. มีเอกภาพ ผู้เขียนจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์การเขียนให้ชัดเจน เพราะการเขียนเรื่องหนึ่ง ๆ นั้นจะต้องมีวัตถุประสงค์หลักที่สำคัญที่สุดเพียงประการเดียว และมีใจความสำคัญหรือใจความหลัก เพียงใจความเดียว ซึ่งผู้เขียนจะต้องเขียนรายละเอียดของเรื่องเพื่อขยายความใจความสำคัญหรือ วัตถุประสงค์นั้นให้เด่นชัดขึ้น สะท้อนให้เห็นความคิดที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อได้อย่างชัดเจน เช่น ต้องการ เขียนเรื่องความสำคัญของข้าว ประเด็นที่เขียนก็จะต้องกล่าวถึงความสำคัญ มิใช่กล่าวถึงประเภท วิธีการ ปลูก หรือประเด็นอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่สามารถแบ่งเป็นหลายย่อหน้าได้ 2. มีสารัตถภาพ ผู้เขียนจะต้องสร้างงานเขียนที่มีเนื้อหาที่สมบูรณ์ กระจ่างชัด สนับสนุน วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่เขียนข้อมูลที่ไม่ก่อประโยชน์กับประเด็นที่ต้องการนำเสนอ เพราะอาจทำให้ผู้อ่านเกิดความสับสน 3. มีสัมพันธภาพ ผู้เขียนจะต้องสร้างความสัมพันธ์ของเรื่องราวหรือความต่อเนื่องของเรื่องใน แต่ละย่อหน้า และความสัมพันธ์ระหว่างย่อหน้าต่าง ๆ โดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการนำเสนอเป็น สำคัญ ดังนั้นการใช้คำหรือข้อความเชื่อมต่อ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้อ่านอ่านแล้วไม่เกิดความสะดุด หรือในบางครั้งอาจเขียนเป็นข้อ ๆ ก็ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะเนื้อหา รูปแบบการเขียน และกลวิธีการนำเสนอ
๑๙๖ 4. มีความน่าสนใจ อาจคำนึงถึงการนำเสนอเรื่องที่มีความเป็นปัจจุบัน สารประโยชน์ของเรื่อง เขียนเรื่องที่สร้างอารมณ์สุนทรีย์ให้กับผู้อ่านหรืออื่น ๆ โดยต้องคำนึงถึงองค์ประกอบร่วมหลายประการ เช่น ศิลปะการใช้ภาษา กลุ่มเป้าหมาย เป็นต้น ดังนั้น ผู้เขียนจะต้องสร้างความน่าสนใจให้เกิดขึ้นตั้งแต่การ ตั้งชื่อเรื่อง การดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน 10.2 การเขียนย่อหน้า บุปผา บุญทิพย์ (2539 : 50) กล่าวไว้ว่า ย่อหน้าคือข้อความตอนหนึ่ง ๆ ที่ประกอบด้วย สาระสำคัญหรือใจความสำคัญเพียงประการเดียว ย่อหน้าหนึ่ง ๆ ประกอบด้วยประโยคที่บรรจุสาระสำคัญ (topic sentence) และประโยคอื่น ๆ ที่ใช้ขยายความหรือเป็นตัวอย่างรายละเอียดที่สนับสนุนหรือสอดคล้อง กับประโยคที่บรรจุสาระสำคัญ กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 199) กล่าวไว้ว่า การเขียนย่อหน้า จะประกอบไปด้วยส่วนที่เป็น ใจความหลัก มุ่งเสนอความคิดหลักของเรื่อง และมีส่วนที่ขยายใจความหลักนั้นให้มีความกระจ่างชัดยิ่งขึ้น และส่วนขยายนั้น ๆ จะต้องมีความสัมพันธ์ โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องความยาว แต่ต้องคำนึงถึงประเด็นของ เรื่องที่ต้องการนำเสนอ ดังนั้นในเรื่องหนึ่ง ๆ อาจมีหลายย่อหน้า เมื่อผู้อ่านต้องการรู้ว่าใจความสำคัญของ เรื่องทั้งหมดคืออะไร ก็ให้พิจารณาความสำคัญในแต่ละย่อหน้าแล้วนำมาประมวลหรือเรียบเรียงเข้า ด้วยกันก็จะได้ใจความสำคัญของเรื่องทั้งหมด ดังนี้ 1. รูปแบบของย่อหน้า การวางตำแหน่งใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้าสามารถเลือกวางได้ หลายรูปแบบ ดังนี้ 1) การวางตำแหน่งใจความสำคัญไว้ตอนต้นย่อหน้า โดยมีประโยคอื่นที่เป็นส่วนขยาย ตามมาเพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งผู้อ่านจะค้นหาได้ง่าย 2) การวางตำแหน่งใจความสำคัญไว้ตอนกลางย่อหน้า โดยมีประโยคที่ให้รายละเอียด นำมาก่อน แล้วจึงจะพบประโยคใจความสำคัญ ซึ่งจะเป็นส่วนที่ทำให้เห็นความสำคัญของเรื่องในย่อหน้า นั้นทั้งหมด แล้วจึงมีรายละเอียดขยายความเพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น 3) การวางตำแหน่งใจความสำคัญไว้ตอนท้ายย่อหน้า โดยมีประโยคที่เป็นรายละเอียด นำมาก่อน และมาสรุปใจความสำคัญของเรื่องไว้ในตอนท้าย 4) การวางตำแหน่งใจความสำคัญไว้ตอนต้นย่อหน้าและตอนท้ายย่อหน้าการวางตำแหน่ง ใจความสำคัญไว้ลักษณะนี้ก็เพื่อให้เห็นความคิดสำคัญของผู้เขียนอย่างชัดแจ้ง จากนั้นจึงตามด้วยส่วนที่
๑๙๗ เป็นรายละเอียด และสรุปด้วยการย้ำใจความสำคัญอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะมีเนื้อความลักษณะเดียวกับใจความ สำคัญตอนต้น การวางตำแหน่งของใจความสำคัญในย่อหน้านั้น สิ่งสำคัญคือในย่อหน้าจะต้องนำเสนอความคิด หลักเพียงความคิดเดียวและส่วนที่นำมาขยายต้องสนับสนุนความคิดหลักที่นำเสนอให้ชัดเจน ซึ่งการขยาย ความนั้นสามารถทำได้หลายลักษณะ เช่น การยกตัวอย่าง การให้นิยาม การให้รายละเอียด เป็นต้น 2. ลักษณะของย่อหน้าที่ดี กล่าวคือ ย่อหน้าที่ดี คือ ย่อหน้าที่สามารถนำเสนอให้ผู้อ่านได้เห็น แนวคิดหลักได้ชัดเจนและต้องมีส่วนขยายที่สอดคล้องกัน ย่อหน้าที่ดีจะมีลักษณะสำคัญ 4 ประการ ดังที่ ปรัชญา อาภากุล และการุณันทน์ รัตนแสนวงษ์ (2542 : 148 – 149) กล่าวสรุปไว้ดังนี้ 1) ย่อหน้าที่ดีต้องมีความสมบูรณ์ ในแต่ละย่อหน้าต้องเขียนให้มีจุดมุ่งหมายเนื้อหา สาระสำคัญ รายละเอียด ส่วนขยายชัดเจนไม่ออกนอกเรื่อง ไม่ยกตัวอย่างมากเกินความจำเป็น เมื่ออ่าน จบแล้วต้องได้ความบริบูรณ์เหมือนอ่านเรียงความสั้น ๆ 1 เรื่อง เพราะย่อหน้าหนึ่งก็คือเรียงความอย่างย่อ เรื่องหนึ่ง 2) เอกภาพหรือความเป็นหนึ่ง หมายความว่า ข้อความแต่ละย่อหน้าจะต้องเขียนให้มี ความคิดหรือใจความสำคัญเพียงประการเดียว ไม่เปลี่ยนความคิดหรือจุดมุ่งหมายเป็นหลายอย่างในย่อ หน้าเดียวกัน 3) สัมพันธภาพ คือ การเรียบเรียงข้อความในย่อหน้าให้เกี่ยวโยงต่อเนื่องกันเกิด ความสัมพันธ์ เมื่ออ่านแล้วสละสลวยรื่นหู ข้อความในประโยคหนึ่งนำไปสู่อีกประโยคหนึ่งทำให้แนวคิด ติดต่อกัน ผู้อ่านสามารถติดตามได้ง่าย ซึ่งสัมพันธภาพแบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ ความสัมพันธ์ของ ข้อความในย่อหน้าเดียวกันและความสัมพันธ์ระหว่างย่อหน้าหนึ่งกับอีกย่อหน้าหนึ่ง ดังนี้ 1) ความสัมพันธ์ ของข้อความในหน้าเดียวกัน 2) การใช้คำหรือวลีเป็นเครื่องเชื่อมความ ในการลำดับประโยคให้น่าอ่าน สละสลวย ทำให้เกิดความสัมพันธ์กัน อาจใช้คำหรือวลีเป็นเครื่องเชื่อมก็ได้ 3) การใช้คำสำคัญซ้ำ ๆ กัน คือ การใช้คำซึ่งเป็นแก่นของเรื่องซ้ำ ๆ กัน บ่อย ๆ สามารถทำให้เกิดความสัมพันธ์ภายในย่อหน้าได้มาก ทำให้ข้อความเกี่ยวโยงกันเป็นลูกโซ่ 4) ความสัมพันธ์ระหว่างย่อหน้า แต่ละย่อหน้าต้องเขียนให้สัมพันธ์กัน ทางความคิด ให้ปะติดปะต่อเป็นเรื่องเดียวกัน ย่อหน้าต้นจึงต้องมีความสัมพันธ์กับย่อหน้ารองลงมา และมี การลำดับข้อความสำคัญติดต่อกันดี จึงนับว่าเป็นเรื่องที่มีสัมพันธภาพที่ดี 4) สารัตถภาพ คือ มีการเน้นย้ำใจความสำคัญกล่าวถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างได้สาระ ได้ ใจความที่ชัดเจนเพียงพอ การเน้นย้ำใจความสำคัญนั้นอาจทำได้โดยการวางตำแหน่งของประโยคใจความ
๑๙๘ สำคัญไว้ตอนต้นย่อหน้าหรือท้ายย่อหน้า ทั้งนี้เพราะผู้อ่านมักให้ความสนใจกับประโยคเริ่มต้นและประโยค ลงท้าย วรวรรธน์ ศรียาภัย (2557 : 31 – 48) กล่าวไว้ว่า การเขียนย่อหน้าเป็นทักษะการเขียนแรกที่ ผู้เขียนต้องเรียนรู้และฝึกฝนให้เกิดความชำนาญเพราะงานเขียนเกือบทุกชนิดต้องเป็นย่อหน้า โดย เฉพาะงานเขียนเพื่อการสื่อสารในองค์กร เช่น หนังสือราชการ จดหมายธุรกิจ รายงาน และรายงานการ ประชุม ดังนั้น การรู้และเข้าใจหรือมีทักษะในการเขียนย่อหน้าย่อมจะเป็นพื้นฐานสำคัญของการเขียน ประเภทต่าง ๆ ความรู้และทักษะการเขียนย่อหน้าที่กล่าวถึงประกอบด้วย ๘ ประเด็น กล่าวคือ ความหมาย และลักษณะของย่อหน้า ความสำคัญของย่อหน้า ลักษณะขนาดของย่อหน้า องค์ประกอบของย่อหน้า ลักษณะของย่อหน้าที่ดี รูปแบบของย่อหน้า การใช้คำขึ้นต้นย่อหน้า และขั้นตอนการเขียนย่อหน้า ๑. ความหมายและลักษณะของการเขียนย่อหน้า ย่อหน้า (Paragraph) หมายถึง ข้อความตอนหนึ่งที่มีใจความสำคัญเพียงประเด็นเดียว แล้วมี คำ ประโยค หรือข้อความขยายใจความสำคัญดังกล่าวให้แจ่มแจ้ง โดยใจความสำคัญอาจปรากฏเป็นประโยค ในตอนต้น ตอนกลาง ตอนท้าย ตอนต้นและตอนท้ายย่อหน้า หรือไม่ปรากฏเป็นประโยคแต่ผู้อ่านต้อง ประมวณเองก็ได้ การเขียนย่อหน้าเริ่มจากนำอักษรซึ่งแทนหน่วยเสียงในภาษามาประกอบสร้างเป็นคำ จากคำสร้าง เป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้นเป็นวลี แล้วสร้างเป็นประโยค โดยให้วลีเป็นส่วนหนึ่งของประโยค แล้วสร้างประโยคใหม่ ต่อไปเรื่อย ๆ จนหมดกระแสความที่ต้องการ ก็จะได้เป็นย่อหน้า เมื่อย่อหน้าหลาย ๆ ย่อหน้ามารวมเข้าเป็น เรื่องเดียวกัน ก็จะเป็นสัมพันธสาร ซึ่งพร้อมที่จะใช้สื่อสาร งานเขียนที่เขียนโดยแบ่งย่อหน้ากับไม่แบ่งย่อหน้ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน พิจารณาได้จาก ตัวอย่างงานเขียนชิ้นเดียวกัน แต่ต่างกันเฉพาะการแบ่งย่อหน้า งานเขียนที่เป็นย่อหน้าจะอ่านง่าย ชวน ติดตาม และสวยงาม ส่วนงานเขียนที่ไม่ได้แบ่งย่อหน้าจะไม่เกิดคุณลักษณะดังกล่าว ตัวอย่างมีดังนี้ ตัวอย่างงานเขียนที่เขียนโดยแบ่งย่อหน้า ภาษาไทยประกอบขึ้นด้วยเสียงซึ่งมีใช้อยู่ในระบบ ระบบเสียงของภาษาไทยประกอบด้วยเสียง พยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ เสียงแต่ละประเภทมีคุณสมบัติ หน้าที่ และลักษณะการเกิด แตกต่างกัน ในการใช้ภาษาระดับเสียงเพื่อการสื่อสารในงานวรรณกรรมเป็นการใช้เพื่อให้เกิดความหมาย และสุนทรียะทางภาษา
๑๙๙ ในภาษาไทยเมื่อประสงค์จะใช้คำเพื่อการสื่อสารนั้นจะต้องนำเสียงในภาษาทั้งเสียงพยัญชนะ เสียง สระ และเสียงวรรณยุกต์อย่างน้อยประเภทละ ๑ หน่วยเสียงมารวมเข้าด้วยกันเป็นหน่วยคำและคำ การใช้ เสียงเพื่อการสื่อสารส่วนใหญ่มุ่งให้เกิดไพเราะ ความน่าอ่าน และชวนติดตามเนื้อหาให้ตลอดเรื่อง สังเกตได้ว่า วรรณกรรมโบราณโดยเฉพาะวรรณกรรมร้อยกรองจะให้ความสำคัญเรื่องการใช้เสียง มากเป็นพิเศษ จนได้ตั้งเป็น “ขนบ” ให้ผู้สร้างวรรณกรรมรุ่นหลังได้ปฏิบัติตาม ส่วนในวรรณกรรมปัจจุบัน วรรณกรรมร้อยแก้วได้รับความนิยมมากว่าวรรณกรรมร้อยกรอง อีกทั้งนักเขียนรุ่นใหม่ก็เกิดขึ้นอย่าง มากมาย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าวรรณกรรมร้อยแก้วหรือวรรณกรรมร้อยกรอง ผู้สร้างวรรณกรรมรุ่นใหญ่ เช่น เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, อังคาร กัลยาณพงศ์, กฤษณา อโศกสิน และ ว.วินิจฉัยกุล ก็ยังให้ความนิยมเรื่อง การใช้เสียงเพื่อสร้างความสุนทรียะจนกลายเป็นแบบแผนให้นักเขียนรุ่นหลัง ๆ ได้เจริญรอยตาม ส่วน นักเขียนรุ่นถัดมาแม้ช่วงแรก ๆ จะไม่สัดทัดเรื่องนี้มากนัก แต่ก็ได้พยายามพัฒนาฝีมือและเจริญรอยตาม นักเขียนรุ่นใหญ่ เช่น พรชัย แสนยะมูน, อรุณวดี อรุณมาศ และปราบดา หยุ่น ตัวอย่างงานเขียนที่เขียนโดยไม่แบ่งย่อหน้า ภาษาไทยประกอบขึ้นด้วยเสียงซึ่งมีใช้อยู่ในระบบ ระบบเสียงของภาษาไทยประกอบด้วยเสียง พยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ เสียงแต่ละประเภทมีคุณสมบัติ หน้าที่ และลักษณะการเกิด แตกต่างกัน ในการใช้ภาษาระดับเสียงเพื่อการสื่อสารในงานวรรณกรรมเป็นการใช้เพื่อให้เกิดความหมาย และสุนทรียะทางภาษา ในภาษาไทยเมื่อประสงค์จะใช้คำเพื่อการสื่อสารนั้นจะต้องนำเสียงในภาษาทั้งเสียง พยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์อย่างน้อยประเภทละ ๑ หน่วยเสียงมารวมเข้าด้วยกันเป็นหน่วยคำ และคำ การใช้เสียงเพื่อการสื่อสารส่วนใหญ่มุ่งให้เกิดไพเราะ ความน่าอ่าน และชวนติดตามเนื้อหาให้ตลอด เรื่อง สังเกตได้ว่า วรรณกรรมโบราณโดยเฉพาะวรรณกรรมร้อยกรองจะให้ความสำคัญเรื่องการใช้เสียง มากเป็นพิเศษ จนได้ตั้งเป็น “ขนบ” ให้ผู้สร้างวรรณกรรมรุ่นหลังได้ปฏิบัติตาม ส่วนในวรรณกรรมปัจจุบัน วรรณกรรมร้อยแก้วได้รับความนิยมมากว่าวรรณกรรมร้อยกรอง อีกทั้งนักเขียนรุ่นใหม่ก็เกิดขึ้นอย่าง มากมาย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าวรรณกรรมร้อยแก้วหรือวรรณกรรมร้อยกรอง ผู้สร้างวรรณกรรมรุ่นใหญ่ เช่น เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, อังคาร กัลยาณพงศ์, กฤษณา อโศกสิน และ ว.วินิจฉัยกุล ก็ยังให้ความนิยม เรื่องการใช้เสียงเพื่อสร้างความสุนทรียะจนกลายเป็นแบบแผนให้นักเขียนรุ่นหลัง ๆ ได้เจริญรอยตาม ส่วน นักเขียนรุ่นถัดมาแม้ช่วงแรก ๆ จะไม่สัดทัดเรื่องนี้มากนัก แต่ก็ได้พยายามพัฒนาฝีมือและเจริญรอยตาม นักเขียนรุ่นใหญ่ เช่น พรชัย แสนยะมูน, อรุณวดี อรุณมาศ และปราบดา หยุ่น
๒๐๐ ๒. ความสำคัญของย่อหน้า งานเขียนที่เขียนโดยแบ่งเนื้อหาสำคัญออกเป็นย่อหน้า ๆ กับงานเขียนที่ให้เนื้อหาสำคัญอยู่ในย่อ หน้าเดียวกันตลอดทั้งเรื่องมีความแตกต่างกันหลายประการ ในด้านของการอ่าน ย่อมเป็นที่แน่นอนว่า งาน เขียนที่แบ่งออกเป็นย่อหน้า ๆ นั้นย่อมอ่านง่าย เข้าใจง่าย งานเขียนที่เขียนต่อเนื่องกันไปโดยไม่ย่อหน้า อ่าน ยาก เหนื่อยเพราะไม่มีที่พักสายตา ตามนัยที่กล่าวมา ย่อหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญในงานเขียนทุกชนิด ซึ่งสรุป ได้ ๔ ประการ ดังนี้ ๑) ผู้อ่านสามารถจับประเด็นได้ง่าย เมื่อผู้เขียนเข้าใจและมีทักษะในการเขียนย่อหน้า ครั้นสร้าง งานเขียนขึ้นมาก็ยึดแนวคิดที่ว่า ประเด็นสำคัญหนึ่ง ๆ ก็แยกเขียนเป็นย่อหน้า ๆ ไป เมื่อผู้อ่านได้อ่านแต่ละ ย่อหน้า ก็จะจับประเด็นสำคัญในย่อหน้านั้นได้ง่าย ในทางกลับกันหากผู้เขียนเขียนติดต่อกันไปโดยไม่ย่อ หน้า สาระสำคัญไม่ได้แบ่งโดยย่อหน้าอย่างชัดเจน ผู้อ่านก็จะเกิดความสับสนอ่านยาก จนในที่สุดอาจไม่ อ่านงานเขียนนั้นก็เป็นได้ ๒) ผู้อ่านมีที่พักสายตาขณะอ่าน โดยธรรมชาติของการอ่านแล้วต้องใช้สายตาเป็นหลัก หาก อ่านโดยไม่ได้พักสายตา ตัวอักษรติดต่อกันเป็นหน้า ก็จะรู้สึกปวดตา ตาลาย เกิดเป็นอุปสรรคหรือปัญหา ในการอ่านได้ หากผู้เขียนเขียนโดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นย่อหน้านั้น แต่ละย่อหน้าจะมีที่ว่างให้พักสายตา ซึ่ง นอกจากอ่านง่ายแล้ว ยังช่วยให้สบายตา ชวนให้อ่านงานเขียนต่อไปตลอดทั้งเรื่องได้ ๓) ผู้อ่านสามารถคิดตามและทบทวนเนื้อหาได้ดี การเขียนเป็นการส่งสารโดยผู้เขียนเป็นผู้ส่ง สาร ซึ่งจะถ่ายทอดสาระและความคิดเห็นในแง่มุมต่าง ๆ ของตนผ่านงานเขียนไปยังผู้อ่าน เมื่อผู้อ่านอ่าน โดยใช้ทักษะการรับสาร ก็จะได้ทราบความรู้ความคิดที่ผู้เขียนส่งมา ขณะอ่านก็จะใช้ความคิดพิจารณาไป ด้วย หากงานเขียนนั้นแบ่งเนื้อหาออกเป็นย่อหน้า ๆ ก็จะคิดตามได้ทีละประเด็น ไม่สับสน อีกทั้งหมดย่อ หน้าก็จะได้โอกาสหยุดพักการอ่าน หันมาคิดตามหรือคิดขยายความให้กว้างไกลออกไปได้ แต่ถ้างานเขียน นั้นไม่เป็นย่อหน้า กระบวนการดังกล่าวก็จะไม่เกิดขึ้นเลย ๔) งานเขียนจะมีรูปลักษณ์ที่สวยงาม การนำเสนอสาระโดยการเขียนเป็นย่อหน้านั้นจะช่วยเพิ่ม ความงานแก่ชิ้นงานนั้น กรณีที่เขียนติดต่อกันเป็นพรืด งานเขียนจะไม่สวย เมื่อเกิดความไม่งามเช่นนี้แล้ว ก็ จะขาดจุดโน้มน้าวใจให้ใคร่จะอ่าน การสร้างย่อหน้าในงานเขียนนั้นทำได้กับการเขียนทุกชนิด บางชนิด กำหนดการเขียนเป็นย่อหน้าที่ชัดเจนเอาไว้ เช่น หนังสือราชการ โดยทั่วไปกำหนดให้เขียน ๓ ย่อหน้า ย่อ หน้าแรกให้เขียนอารัมภบท บอกที่มาที่ไปของเรื่อง ย่อหน้าที่ ๒ ให้แจ้งความประสงค์ของการเขียนมา สื่อสารครั้งนั้น และ ย่อหน้าที่ ๓ ให้เขียนสรุปความ เน้นย้ำ และกว่าวขอบคุณ
๒๐๑ ๓. ลักษณะขนาดของย่อหน้า ย่อหน้าแต่ละย่อหน้านั้นจะมีความคิดเดียว และหากมีส่วนขยายก็ขยายให้ชัดเจนในย่อหน้านั้น ดังนั้น ในเรื่องขนาดความสั้นยาวของย่อหน้าจึงจะไม่มีหลักเกณฑ์กำหนดตายตัวว่าจะให้สั้นและยาวเท่าใด โดยทั่วไปแล้วหากความคิดที่ตั้งขึ้นมา แล้วเขียนขยายความไปหมดแล้วมีความยาว ๓ – ๔ บรรทัด ซึ่งก็ได้ แล้ว ๑ ย่อหน้า แต่ก็มีข้อสังเกตว่า งานเขียนบางประเภท เช่น ความเรียงหรือเรียงความ มุ่งเขียนเสนอความคิดเห็น ต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงประเด็นเดียว แต่เขียน ๒ หน้ากระดาษ โดยใช้หลักการเขียนว่าบทนำ ๑ ย่อหน้า ความยาว ๓ – ๕ บรรทัด ส่วนเนื้อหา 1 ย่อหน้า เพราะมีความคิดเดียว ความยาว 30 – 40 บรรทัด และ สรุป 1 ย่อหน้า ความยาว 3 – 5 บรรทัด หลักการดังกล่าวถูกต้องตามหลักการเขียน แต่ขาดความ เหมาะสมตรงย่อหน้าที่ ๒ เพราะมีความยาว ๓๐ – ๔๐ บรรทัด ชึ่งต้องใช้กระดาษเกือบ ๒ หน้า เมื่อเป็น เช่นนี้เราก็สามารถเขียนแบ่งย่อหน้าเป็นหลายย่อหน้าได้ เรียกว่า ย่อหน้าใหม่ซ้อนอยู่ในย่อหน้าใหญ่ โดยสรุป ขนาดของย่อหน้าจึงไม่มีหลักกำหนดอย่างชัดเจน ขึ้นอยู่กับความสั้นยาวของเนื้อหาและ กลวิธีการเขียน งานเขียนบางชนิดนิยมเขียนย่อหน้าสั้น ๆ เช่น บทความในหนังสือพิมพ์ งานบันเทิงคดีหรือ สาระบันเทิงร้อยแก้ว งานเขียนที่เขียนย่อหน้ายาว ได้แก่ งานเขียนเชิงวิชาการ เช่น ความเรียงและสารคดี ตัวอย่างงานเขียนที่เขียนเป็นย่อหน้าสั้น ๆ กับงานเขียนย่อหน้ายาว ๆ พิจารณได้ดังนี้ 1) งานเขียนย่อหน้าสั้น นักวิชาการสตรีไทยในด้านภาษาและวัฒนธรรมไทยที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า ๘๐ ปี และยังจะยืนยงยาวนานต่อไปอย่างไม่เสื่อมคลาย นั่นคือศาสตราจารย์ ดร.คุณบรรจบ พันธุเมธา ผู้เป็นดั่ง เพชรเม็ดงามที่คอยประดับสังคมวิชาการด้านนี้ของบ้านเมืองให้งามพร้อมสรรพอยู่เสมอ ศาสตราจารย์ ดร.คุณบรรจบ พันธุเมธา เกิดเมื่อวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๓ ณ ภูมิลำเนา กรุงเทพมหานคร เป็นธิดาคนที่ ๗ ของนายผัน-นางเจิม พันธุเมธา บ้านที่อาศัยของท่านคือบ้านเลขที่ ๙๐/ ๒๒ ถนนรามบุตรี บางลำพู กรุงเทพมหานคร ด้วยเป็นผู้ใฝ่การเรียนรู้อย่างเปี่ยมล้น แม้ฐานะทางบ้านจะอยู่ในระดับพอปานกลางก็ตาม แต่ ศาสตราจารย์ ดร.คุณบรรจบ พันธุเมธา ก็มุ่งมั่นศึกษาจนสำเร็จการขั้นสูงสุดนั่นคือระดับปริญญาเอก โดย เข้ารับการศึกษาครั้งแรกในขั้นต้นที่โรงเรียนหุตะวณิช (โรงเรียนครูสาลี่) ถนนบ้านหม้อ ครั้นเมื่อเรียนถึงชั้น ประถมศึกษาปี่ที่ ๒ ย้ายมาศึกษาต่อที่โรงเรียนเสาวภา จนสำเร็จการศึกษาในระดับประถมศึกษาปีที่ ๖ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ จากนั้นจึงเข้าศึกษาต่อระดับชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนเบญจมราชาลัย และสำเร็จการศึกษา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘
๒๐๒ หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว พ.ศ. ๒๔๗๙ ศาสตราจารย์ ดร.คุณบรรจบ พันธุเมธา เข้าศึกษาต่อที่คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยวิชาที่เลือกเรียนคือภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญา อักษรศาสตรบัณฑิต เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ จากนั้นในปีเดียวกันคือ พ.ศ. ๒๔๘๓ ได้เข้าศึกษาต่อในระดับประกาศนียบัตรครูมัธยม (ป.ม.) เพื่อให้มีคุณสมบัติประกอบอาชีพครูได้ใน พ.ศ. ๒๔๘๕ ได้เข้าศึกษาต่อระดับปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนสำเร็จการศึกษาใน พ.ศ. ๒5๘๗ นับว่าเป็นมหาบัณฑิตรุ่นที่ ๒ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใน พ.ศ. ๒๔๙๒ ศาสตราจารย์ ดร.คุณบรรจบ พันธุเมธา ได้รับทุน Cultura Relationship Scholarship ของรัฐบาลอินเดียให้ศึกษาวิชานิรุกติศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยพาราณสี จนสำเร็จการศึกษา ระดับดุษฎีบัณฑิตใน พ.ศ. ๒๔๙๕ 2) งานเขียนย่อหน้ายาว ในอดีตกาลที่บรรพบุรุษของไทยมีความเจริญรุ่งเรืองในด้านศิลปะวิทยาการต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะ สะท้อนรูปแบบที่เป็นศิลปะของสังคมไทย การแสดงพื้นบ้านของไทยนั้นอาจกล่าวได้ว่ามีประวัติและ เรื่องราวยาวนานตั้งแต่สมัยอยุธยา อาจเรียกลักษณะการแสดงพื้นเมือง หรือการละเล่นพื้นบ้านได้ว่าเป็น แบบกระบวนการท้องถิ่น เป็นการแฝงไว้ซึ่งความสนุกสนาน การแสดงออกซึ่งคารมอันคมคาย มีไหวพริบ ฉับไว ความเชื่อถืออันเป็นขนบธรรมเนียบประเพณี และมีการใช้เสียงเร่งเร้าของดนตรี เครื่องทำจังหวะต่าง ๆ ทำให้เกิดอารมณ์ ความรู้สึกเร้าใจไปกับบรรยากาศแห่งความสนุก แต่ฉาบฉวยไปด้วยเอกลักษณ์ที่ บริสุทธิ์ แจ่มใสของท้องถิ่นอย่างสมบูรณ์ผิดแผกกันไปตามสภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ วัฒนธรรมและ ประเพณีท้องถิ่นนั้น ๆ ซึ่งสอดคล้องกับสุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (๒๕๔๒ ก : ๓๗๐) ได้ให้ความเห็นว่า การละเล่นพื้นเมืองของแต่ละท้องถิ่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อันเนื่องมาแต่อิทธิพลของสภาพภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคม มีลักษณะแห่งความบริสุทธิ์ใจในการแแสดงออกทั้งด้านท่วงทีและอารมณ์ มีความ สอดคล้องสัมพันธ์กับความเป็นจริงของวิถีของการดำเนินชีวิตอย่างชาวบ้านที่เรียบง่าย แต่เต็มไปด้วย อาการรุกเร้าของอารมณ์ความรู้สึกประสมประสานไปกับการต่อสู้ในชีวิตจริง นอกจากนั้น การแสดงพื้นบ้านเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนเช่นเดียวกับวัฒนธรรมด้าน อื่น ๆ ที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองและสังคมในชุมชนนั้น ๆ ศิลปะ การละเล่นและการแสดงพื้นบ้านจึงมีหน้าที่ต่อชุมชน ผู้เป็นเจ้าของหลายอย่างทั้งด้านความบันเทิงและด้าน อื่น ๆ และการละเล่นพื้นบ้านเป็นการละเล่นเพื่อความสนุกรื่นเริงของชาวบ้านในท้องถิ่นต่าง ๆ โดยชาวบ้าน จะคิดการละเล่นต่าง ๆ ขึ้นมาให้สอดรับกับสภาพของท้องถิ่นนั้น ๆ รูปแบบและลักษณะการละเล่นแตกต่าง
๒๐๓ กันไปตามสภาพของแต่ละท้องถิ่น และสะท้อนให้เห็นถึงความคิด ความเชื่อ และวิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่น นั้น ๆ (ปราณี วงษ์เทศ, ๒๕๒๙ : ๑๓-๑๔; พรศักดิ์ พรหมแก้ว, ๒๕๔๐ : ๗๐ และผ่องพันธ์ มณีรัตน์, ๒๕๒๙ : ๙๓) ได้ตั้งข้อสังเกต การศึกษาวิถีชีวิตของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาจาก วัฒนธรรมของชนกลุ่มนั้น เพราะวัฒนธรรมครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ทั้งที่เป็น ความรู้ ความเชื่อ ศิลปะ กฎหมาย ศีลธรรม ขนบธรรมเนียบประเพณี จารีต พฤติกรรม และนิสัยของมนุษย์ ยังแสดงออกในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้น ๆ และอุดม หนูทอง (๒๕๓๑ : ๑) ได้เน้นถึงการละเล่น พื้นบ้านว่า การละเล่นพื้นบ้านเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ชาวบ้านสมัยก่อนสร้างสรรค์ขึ้นมาจากเงื่อนไข ของสภาพแวดล้อมแต่ละถิ่นเป็นมรดกที่ชาวบ้านในท้องถิ่นนั้น ๆ ที่สั่งสม สือทอด ปรับเปลี่ยน เพื่อความ เหมาะสม ตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงเรื่อยมา วิธีการสืบทอดเป็นแบบอย่างของชาวบ้าน คือ อาศัย การบอกเล่า จดจำ ทำตามครู หรือเลียนแบบ รูปแบบซึมซับ และความพึงพอใจ ๔. องค์ประกอบของย่อหน้า สืบเนื่องจากหัวข้อความหมายและลักษณะขนาดของย่อหน้าที่ได้อธิบายเน้นย้ำว่า ย่อหน้าหนึ่ง ๆ ประกอบด้วยความคิดสำคัญซึ่งอาจถ่ายทอดมาเป็นประโยคใจความสำคัญเพียงความคิดเดียวหรือประโยค เดียว นอกจากนั้นเป็นข้อความขยายหรือประโยคขยายความเพื่อให้เนื้อหาของย่อหน้าสมบูรณ์นั่นเอง ดังนั้น องค์ประกอบของย่อหน้าจึงจำแนกได้ ๒ องค์ประกอบ ได้แก่ ความคิดหลักหรือประโยคใจความ สำคัญ และส่วนขยายหรือประโยคขยายความ ดังนี้ ๑) ความคิดหลักหรือประโยคใจความสำคัญ ในย่อหน้าหนึ่งจะมีความคิดหลัก (Main Idea) เพียงความคิดเดียว เป็นความคิดที่ผู้เขียนมุ่งเสนอต่อผู้อ่าน เพื่อแสดงความคิดและความรู้ของตนนั้น ๆ โดย ความคิดหลักนี้ผู้เขียนจะแปรออกมาเป็นประโยคที่เรียกว่า ประโยคใจความสำคัญ (Topic Sentence) แต่ถ้า ไม่แปรออกมาเป็นประโยคใจความสำคัญก็ได้ ซึ่งย่อหน้านั้นก็จะไม่มีประโยคใจความสำคัญ แต่ผู้อ่านต้อง จับประเด็นซึ่งเป็นความคิดสำคัญด้วยตนเอง ๒) ส่วนขยายหรือประโยคขยายความ ประโยคขยายความ คือ ประโยคที่ขยายความคิดหลัก หรือประโยคใจความสำคัญในย่อหน้าให้ชัดเจน ซึ่งการขยายนี้กระทำได้โดยวิธีการใดวิธีการหนึ่งหรือหลาย วิธีการรวมกันดังต่อไปนี้ การให้ความหมาย การให้ตัวอย่าง การชี้แจงแสดงและเหตุผล และการอธิบาย เปรียบเทียบ โดยประโยคขยายความต้องเขียนให้เรียงตามลำดับเรื่อง สถานที่ เหตุการณ์ และเหตุผลให้ ชัดเจน จึงจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจสารที่ผู้เขียนส่งมา
๒๐๔ ๕. ลักษณะของย่อหน้าที่ดี ย่อหน้าที่ดีย่อมเกิดมาจากการเขียนดี กล่าวคือ ผู้เขียนลงมือเขียนอย่างมีกระบวนการ เช่น คิด ประเด็น คิดข้อความขยาย จัดลำดับให้เป็นระบบ และลงมือเขียนด้วยภาษาที่สละสลวย ข้อความเกี่ยวเนื่อง กันโดยตลอด เมื่อย่อหน้ามีคุณลักษณะที่ดี ย่อมชวนเชิญให้ผู้อ่านอ่านอย่างสนใจโดยตลอด เมื่อผู้อ่านอ่าน แล้วเข้าใจง่ายในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะย่อหน้าดีนั่นเอง โดยทั่วไปย่อหน้าที่ดีจะต้องมีคุณลักษณะ ๔ ประการ คือ มีเอกภาพ มีสารัตถภาพ มีสัมพันธภาพ และมีความสมบูรณ์ กล่าวดังนี้ ๑) มีเอกภาพ (Unity) คือ มีใจความสำคัญเพียงอย่างเดียว ที่เหลือเป็นข้อความขยายใจความ สำคัญ อาจเป็นรายละเอียด ตัวอย่าง เหตุผล ข้อสนับสนุน ตัวอย่าง และอื่น ๆ ที่ขยายประโยคใจความ สำคัญดังกล่าวนั้นให้ได้ความสมบูรณ์ชัดเจน กรณีที่มีใจความสำคัญมากกว่าหนึ่งใจความทำให้ย่อหน้านั้น ขาดเอกภาพ ๒) มีสัมพันธภาพ (Relation) คือ ความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันของใจความ โดยมีความสอดคล้อง กัน เป็นเหตุเป็นผลกัน สนับสนุนกัน หรือเป็นไปตามลำดับ การสร้างสัมพันธภาพให้เกิดขึ้นในย่อหน้า เดียวกัน กระทำได้ ๒ วิธี (ทวีศักดิ์ ปิ่นทอง, ๒๕๕๓ : ๑๒๘ – ๑๒๙) กล่าวคือ ๒.๑) การจัดระเบียบความคิด กระทำโดยการเรียงลำดับความคิดเป็นขั้นเป็นตอน ไม่วกไป วนมา การเรียงลำดับนี้อาจเรียงตามลำดับเหตุผล จะเรียงจากเหตุไปหาผล หรือจากผลไปหาเหตุก็ขึ้นอยู่ กับลักษณะของเรื่องที่เขียน ลำดับตามระยะเวลาที่เกิดก่อนหลัง ลำดับตามขั้นตอนของเหตุการณ์ ลำดับ ตามขั้นตอนของการทำงาน หรือลำดับตามทิศทางของเรื่องราวที่เกิดขึ้น ๒.๒) การเชื่อมโยงให้เกี่ยวเนื่องสอดคล้องกัน โดยอาจเชื่อมด้วยคำเชื่อมสัมพันธสารอย่าง ใดอย่างหนึ่งหรือประโยคหรือวลีที่สอดคล้องกลมกลืนกัน ทำให้ย่อหน้านั้นราบเรียบ กลมกลืนไม่สะดุดหรือ ขัดแย้งกัน ๓) มีสารัตถภาพ (Essentiality) คือ มีการเน้นย้ำใจความสำคัญเพื่อให้ผู้อื่นทราบเจตนาหรือ ความคิดว่า ความคิดใดมีความสำคัญมากที่สุด ความคิดใดมีความสำคัญรองลงไป และตอนใดเป็น รายละเอียด การเน้นย้ำนั้นทำได้โดยซ้ำคำ วลี หรือประโยคเดิม และเน้นย้ำด้วยเนื้อหาที่กล่าวถึงเนื้อหา หลักให้มากกว่าเนื้อหาอื่น ๆ กลวิธีที่ช่วยเน้นสารัตถภาพที่ดีที่สุดคือ การเชื่อมประโยงความโดยใช้คำศัพท์ ๔) มีความสมบูรณ์ (Completion) คือ มีสาระที่ครบถ้วนทั้งสาระหลักและสาระรอง โดยสาระ รอง คือข้อความที่เป็นส่วนขยายความนั้นต้องชัดเจน ไม่คลุมเครือ ส่วนต่าง ๆ สอดผสานเข้าหากันโดยไม่มี ส่วนใดขาดตกบกพร่อง เมื่ออ่านย่อหน้านั้นแล้วได้เนื้อความบริบูรณ์เหมือนอ่านเรียงความขนาดสั้นเรื่อง หนึ่ง เพราะย่อหน้าหนึ่งเท่ากับเรียงความสั้น ๆ เรื่องหนึ่ง
๒๐๕ ลักษณะของย่อหน้าที่ดีทั้ง ๔ ข้อ คือ มีเอกภาพ มีสารัตถภาพ มีสัมพันธภาพ และมีความสมบูรณ์ พิจารณาได้จากตัวอย่างการวิเคราะห์ย่อหน้าต่อไปนี้ “สยาม กุนการินทร์ เป็นตัวอย่างของเยาวชนอาสาซึ่งมีพื้นฐานจิตอาสาจากการบ่มเพราะของ ครอบครัว โดยเฉพาะแม่ซึ่งเป็นคนมีน้ำใจโอบอ้อมอารี เป็นแบบอย่างให้เขาซึมซับจนก่อเกิดจิตอาสาขึ้นใน ตัวตน เมื่อมีใครมาขอให้ช่วยอะไร สยามก็จะลงมือช่วยทันที แม่กระทั้งไม่มีการร้องขอ อย่างเช่นเหตุการณ์ น้ำท่วมจังหวัดน่านครั้งใหญ่ เขาก็ออกช่วยเหลือผู้ประสบภัยเท่าที่จะทำได้” (สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ [องค์การมหาชน], ๒๕๕๐ : ๑๔ - ๑๕) ๑) มีเอกภาพ โดยใจความสำคัญคือ สยาม กุนการินทร์ เป็นตัวอย่างของเยาวชนอาสา ส่วนที่ เหลือเป็นประโยคขยายใจความสำคัญ ๒) มีสารัตถภาพ ซึ่งมีกลไก ๒ ลักษณะ ได้แก่ ๒.๑) การจัดระเบียบความคิด คือเรียงลำดับความคิดจากผลไปหาเหตุ ผลที่เกิดขึ้นคือ สยาม กุนการินทร์ เป็นคนมีพื้นฐานของจิตอาสา เหตุที่ทำให้เกิดผลเช่นนี้คือ ครอบครัว โดยเฉพาะแม่เป็นผู้ บ่มเพาะ ๒.๒) การเชื่อมโยงให้เกี่ยวเนื่องสอดคล้องกัน มีการเชื่อมโยงให้เนื้อหาเกี่ยวข้องกันโดยใช้ คำเชื่อมสัมพันธสาร เช่น ใช้คำเชื่อมสัมพันธสารเชื่อมความคล้ายตามว่า เมื่อ...ก็ ในประโยคว่า เมื่อมีใคร มาขอให้ช่วยอะไร สยามก็จะลงมือช่วยทันที หรือใช้คำเชื่อมสัมพันธสารเพื่อแสดงตัวอย่างว่า อย่างเช่น ใน ข้อความว่า อย่างเช่นเหตุการณ์น้ำท่วมจังหวัดน่านครั้งยิ่งใหญ่ เขาก็ออกช่วยเหลือผู้ประสบภัยเท่าที่จะทำ ได้ ๓) มีสัมพันธภาพ มีการเน้นย้ำใจความสำคัญด้วยการใช้การเชื่อมโยงความโดยใช้คำศัพท์ ซึ่ง เป็นคำศัพท์ที่มีความหมายอยู่ในแวดวงเดียวกัน คือ อาสา จิตอาสา โอบอ้อมอารี ช่วย ช่วยเหลือ ๔) มีความสมบูรณ์ ประกอบด้วยสาระหลักและสาระรอง ๔.๑) สาระหลัก คือ สยาม กุนการินทร์ เป็นตัวอย่างของเยาวชนอาสา ๔.๒) สาระรอง คือ ส่วนขยายสาระหลัก มี ๒ สาระ กล่าวคือ สาระที่ ๑ โดนเฉพาะแม่เป็น ผู้โอบอ้อมอารี จึงเป็นแบบอย่างที่ดี และสาระที่ ๒ การมีจิตอาสาคือ ใครมาขอให้ช่วยอะไรก็ช่วยอย่างยินดี หรือแม้ไม่มีใครขอให้ช่วยก็คิดและช่วยด้วยตนเอง
๒๐๖ ๖. รูปแบบย่อหน้า การเขียนสารต่าง ๆ เพื่อการสื่อสารต้องเขียนเป็นย่อหน้า ๆ ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ต้องประกอบด้วย สาระหลักและสาระรอง โดยสาระหลักมีสาระเดียว ส่วนสาระรองมีไม่จำกัด แต่ก็ไม่ควรให้มากเกินไป ทำ หน้าที่ขยายสาระหลัก ในการเขียนสาระดังกล่าวทั้ง ๒ สาระนั้น มีรูปแบบการเขียน ๔ แบบ ได้แก่ เขียนให้ เนื้อหาสำคัญอยู่ต้นย่อหน้า เขียนให้เนื้อหาสำคัญอยู่ท้ายย่อหน้า เขียนให้เนื้อหาสำคัญอยู่ต้นและท้ายย่อ หน้า และเขียนให้เนื้อหาสำคัญอยู่กลางย่อหน้า กล่าวดังนี้ ๑) เขียนให้เนื้อหาสำคัญอยู่ต้นย่อหน้า การเขียนลักษณะนี้เหมาะที่จะใช้เขียนเรื่องที่ต้องการ แจ้งให้ทราบ อาจทราบอย่างเดียว หรือทราบเพื่อพิจารณาและดำเนินการต่อไป หรือใช้เขียนเรื่องที่ไม่ ซับซ้อน ผู้รับสารจะอ่านเข้าใจอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น กระผมมีความประสงค์ขอลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการดำเนินงานโครงการพัฒนา ศักยภาพทางการวิจัย เนื่องจากไม่ได้ศึกษาทางด้านการวิจัยมาโดยเฉพาะ และได้พิจารณาเห็นว่า ใน คณะทำงานมีผู้ที่ศึกษามาทางด้านการวิจัยโดยเฉพาะ ทั้งมีประสบการณ์ในการบริหารงานวิจัยที่ประสบ ความสำเร็จมาก่อน ๒) เขียนให้เนื้อหาสำคัญอยู่ท้ายย่อหน้า วิธีนี้เป็นกลวิธีการเขียนเรื่องที่จำเป็นต้องยกเหตุผลมา อ้างก่อน แล้วจึงสรุปในตอนท้าย อาจเพื่อขอความช่วยเหลือ ขอความร่วมมือ เป็นการให้รายละเอียดใน ลักษณะเชิงโน้มน้าวให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกในด้านบวก ตัวอย่างเช่น สำนักหอสมุดแห่งชาติได้พิจารณาแล้วเห็นว่า นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ศึกษาในรายวิชาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานในกลุ่มงานต่าง ๆ ของ สำนักหอสมุด จึงยินดีรับนักศึกษาเข้าฝึกประสบการณ์วิชาชีพดังรายชื่อตามที่แจ้งมาแล้ว ๓) เขียนให้เนื้อหาสำคัญอยู่ต้นและท้ายย่อหน้า การเขียนลักษณะนี้เหมาะสำหรับเขียนเรื่องที่มี ความซับซ้อน มีรายละเอียดที่ต้องแจ้งหรืออธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจ เช่น การตอบปฏิเสธ หรือการชี้แจงให้ ทราบข้อเท็จจริง เมื่อกล่าวถึงเนื้อหาสำคัญแล้ว ต้องขยายความให้ละเอียด แล้วจึงสรุปย้ำอีกครั้งใน ตอนท้าย ตัวอย่างเช่น กรมขอเรียนให้ทราบว่า ข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์เสียงไทย ฉบับที่ ๑๑๒๓ ประจำวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ไม่เป็นข้อเท็จจริงแต่อย่างใด เพราะวัน เวลา ที่เกิดเหตุการณ์นั้นเป็นวันหยุดประจำปีของ กรม ไม่มีพนักงานคนใดมาปฏิบัติราชการและสามารถให้คำสัมภาษณ์แก่นักข่าวได้ อีกทั้งโครงการดังกล่าว ไม่ได้ปรากฏอยู่ในแผนการดำเนินงานประจำปี ๒๕๕๕ ของกรมแต่อย่างใด จึงขอให้ท่านได้กำชับ ดูแลการ เขียนข่าวของนักข่าวอย่างเคร่งครัด และโปรดลงข้อความที่เด่นชัดแสดงการขออภัยแก่กรมเป็นเวลา ๗ วัน เพื่อแสดงความรับผิดชอบกรณีดังกล่าวด้วย
๒๐๗ ๔) เขียนให้เนื้อหาสำคัญอยู่กลางย่อหน้า การเขียนลักษณะนี้เป็นวิธีการเขียนเนื้อหาที่ซับซ้อน จำเป็นต้องกล่าวนำเพื่อให้อ่านเข้าใจที่มาและเกิดความรู้สึกอันดี แล้วจึงเขียนเนื้อหาสำคัญ แล้วตามด้วย การอธิบายหรือขยายความเนื้อหาสำคัญนั้น การเขียนประเภทนี้เหมาะที่จะเขียนขอความร่วมมือหรือขอ ความช่วยเหลือ เช่น หนังสือขออนุญาตให้วิทยากร เพราะเป็นการกล่าวถึงความสำคัญของวิทยากรก่อน แล้วจึงขออนุญาตและตามด้วยการอธิบายรายละเอียดของการนัดหมาย พิจารณาได้จากตัวอย่างต่อไปนี้ ในการนี้ การรถไฟฟ้าฯ ได้เสาะหาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทยเพื่อการสื่อสารและระเบียบงาน สารบรรณ พบว่า ผู้ช่วยศาสตราจารย์กัลยา กุลสุวรรณ อาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาไทย คณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม เป็นผู้มีความชำนาญการในเรื่องดังกล่าว เป็นอย่างดียิ่ง จึงขอความอนุเคราะห์โปรดอนุญาตให้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์กัลยา กุลสุวรรณ ไปเป็นวิทยากร ให้การอบรม เรื่อง “การเขียนหนังสือราชการ และรายงานการประชุมเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ” แก่ บุคลากรของการรถไฟฟ้าฯ ในระหว่างวันที่ ๑๕ – ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕ ระหว่างเวลา ๐๘.๓๐ – ๑๖.๓๐ น. ณ โรงแรมจันทรเกษมปาร์ค ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร ๗. การใช้คำขึ้นต้นย่อหน้า การเขียนย่อหน้าให้ประสบความสำเร็จนั้น การใช้คำขึ้นต้นนับว่ามีความสำคัญประการหนึ่ง เรามัก ได้ฟังได้ยินคนที่เขียนไม่ชำนาญเสมอ ๆ ว่า ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร บุญยงค์ เกศเทศ (2548 : 187 – 189) กล่าวว่า คำหรือกลุ่มคำขึ้นต้นในแต่ละย่อหน้าหรืออนุเฉทนั้น เป็นกระบวนการสร้างความสัมพันธ์ ของข้อเขียนในแต่ละย่อหน้าให้เชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลกัน เป็นเรื่องที่ผู้เขียนควรพิถีพิถันเป็นพิเศษ ซึ่งคำ ขึ้นต้นย่อหน้าจำแนกได้ ๑๑ ลักษณะ ได้แก่ คำขึ้นต้นในลักษณะบอกเล่า คำขึ้นต้นในเชิงอ้างอิง คำขึ้นต้นใน ลักษณะตั้งข้อสังเกต คำขึ้นต้นในลักษณะเน้น คำขึ้นต้นในลักษณะขยายความ คำขึ้นต้นในลักษณะสรุป ประเด็น คำขึ้นต้นในลักษณะการเสนอประเด็นใหม่ คำขึ้นต้นในเชิงการเสนอข้อมูลเพิ่มเติม คำขึ้นต้นใน รูปการต่อความ คำขึ้นต้นในเชิงการย้ำ และคำขึ้นต้นตามเนื้อหาสาระ กล่าวตามลำดับดังนี้ ๑) คำขึ้นต้นในลักษณะบอกเล่า การขึ้นต้นในลักษณะบอกเล่า คือ การขึ้นต้นที่ตอนเริ่มเรื่องหรือเกริ่นเป็นเสนอข้อมูลชี้แจง หลักการ บอกช่วงเวลา จุดสนใจ หรือบอกสภาพทั่ว ๆ ไป ในทำนองอารัมภบทหรือคำนำ คำขึ้นต้นที่จะ ขึ้นอยู่กับประเด็นเนื้อหาของเรื่องที่เขียน คำขึ้นต้นที่ใช้ เช่น หลักการใน, ในบรรดา, จุดสำคัญ, ในระหว่างที่, ในปัจจุบัน, ในอดีต, ในด้านความจริงอย่างหนึ่งคือ, ที่ว่า, การวาง, กระบวนการ, หลักการพื้นฐานที่, ขบวนการ, ในทางปฏิบัติ, หลักหรือทฤษฎี, ในการเรียบเรียง, อันความเคลื่อนไหวของ, การแสวงหารู้ เกี่ยวกับ, อุปสรรคสำคัญประการหนึ่ง, อันธรรมดาว่า, ตามหลักเกณฑ์, ตามธรรมดาโดยปกติ, ความ พยายามที่จะ, อันที่จริง
๒๐๘ ๒) คำขึ้นต้นในเชิงอ้างอิง การขึ้นต้นในลักษณะดังกล่าวเป็นการขึ้นต้นย่อหน้าที่ต้องการจะอ้างถึงสิ่งที่เป็นมาแล้ว ความ จริงหรือสิ่งที่รับรู้กันเป็นส่วนใหญ่ เพื่อที่จะนำมาเป็นข้อมูลหลักในการอธิบายข้อมูลใหม่ หรือสนับสนุน ข้อเขียนที่จะเขียนต่อไป คำเชื่อมที่ใช้ เช่น เนื่องจาก, สืบเนื่องมาจาก, จากหลักฐาน, ในกรณีที่, ข้อที่ว่า, จุดสำคัญ, มูลเหตุ, ประการแรก, สิ่งที่แตกต่างกันไป, ตามเกณฑ์กำหนด, มูลเหตุประการที่สอง, ลักษณะ ประการหนึ่ง, ความขัดแย้ง, อุปสรรคสำคัญประการหนึ่ง, ข้อที่พึงสังเกต, ความต่อเนื่องทางความคิดของ, สมควรกล่าวไว้ ณ ที่นี้ว่า, ตามลักษณะ, ข้อความที่ ๓) คำขึ้นต้นในลักษณะตั้งข้อสังเกต การขึ้นต้นลักษณะนี้นิยมนำไปใช้เป็นย่อหน้าขยายความย่อหน้าที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยหยิก ยกประเด็นสำคัญมาอธิบาย ชี้แจงหรือขยายความเพื่อให้กระจ่างชัด หรือเพื่อจะโยงความคิดไปสู่ย่อหน้า ถัดไป ตัวอย่างคำขึ้นต้นที่ใช้ เช่น เป็นที่น่าสังเกตว่า, โปรดสังเกตว่า, จะสังเกตว่า, จะสังเกตเห็นได้ว่า, จะ เห็นได้ว่า, ข้อควรสังเกตที่สำคัญประการหนึ่ง, พึงสังเกตว่า, ถึงกระนั้นก็ดี, กล่าวได้ว่า, กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า , ในขณะเดียวกัน, น่าสังเกตว่า, ตามความเห็นของผู้วิจัย (ผู้เขียน ผู้เรียบเรียง ผู้ศึกษา), ข้อสังเกตอีก ประการหนึ่ง, เมื่อมาคำนึงถึง, เห็นได้ชัดเจนว่า, ข้อที่พึงสนใจพิเศษ ๔) คำขึ้นต้นในลักษณะเน้น การขึ้นต้นในลักษณะเน้นนี้มักนิยมใช้ขึ้นต้นย่อหน้า เมื่อประสงค์จะเน้นให้ข้อเขียนหรือหลักฐาน ที่กล่าวมาแล้วนั้นมีน้ำหนัก น่าเชื่อถือ ตัวอย่างคำขึ้นต้นที่ใช้ เช่น อย่างไรก็ดี, อย่างไรก็ตาม, ถ้าเราถือว่า, ในทำนองเดียวกัน, กระนั้นก็ดี, สำหรับในแง่ที่ว่า ๕) คำขึ้นต้นในลักษณะขยายความ ลักษณะการขึ้นต้นแบบขยายความมักนิยมใช้เมื่อต้องการจะชี้แจงให้เห็นคุณค่าหรือผลประ โยนช์ที่พึงจะได้รับจากหลักการหรือสาเหตุที่กล่าวไว้ข้างต้น ในบางครั้งอาจนำไปสู่การนำเสนอข้อเขียนที่ ขัดแย้งกันได้ การนำเสนอเหตุผลหรือตัวอย่างที่นำมาหักล้างนั้น ต้องน่าเชื่อถือว่า คำขึ้นต้นที่ใช้ เช่น ด้วยเหตุนี้, ด้วยเหตุดังกล่าวนี้, ด้วยเหตุที่, โดยเหตุที่, จากเหตุผล, เหตุสำคัญที่ทำให้, โดยเหตุผลแล้ว, อนุสนธิ, โดยเฉพาะต่อไปนี้, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ๖) คำขึ้นต้นในลักษณะสรุปประเด็น การขึ้นต้นในลักษณะสรุปประเด็น เป็นลักษณะการขึ้นต้นย่อหน้าที่ต้องการจะสรุปความคิด ในช่วงนั้น ๆ ตัวอย่างคำขึ้นต้นที่ใช้ เช่น ที่กล่าวมานี้, ตามที่กล่าวมานี้, ในกรณีต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว, กล่าว โดยสรุป, ดังได้กล่าวมาแล้วว่า, ดังที่กล่าวมาแล้ว, กระบวนการทั้งหมด, ตามทัศนะ, เมื่อได้ความดังนั้น, ช่องทางที่กล่าวมา, ในเบื้องสุดท้ายนี้, น่าจะกล่าวในเบื้องสุดท้ายนี้ว่า, ในที่สุด, จากข้อมูลที่กล่าวมาเป็น ลำดับ, จากข้อมูลข้างต้น, ผลของการใช้, อิทธิพลของ
๒๐๙ ๗) คำขึ้นต้นในลักษณะการเสนอประเด็นใหม่ เมื่อพิจารณางานเขียนโดยทั่วไปจะเห็นว่า การเสนอประเด็น การตั้งประเด็นปัญหา หรือการ เสนอความคิดใหม่นั้น จะขึ้นอยู่กับเนื้อหาสาระของเรื่อง และความลงรอยเป็นระดับเดียวกันของย่อหน้า ก่อน คำขึ้นต้นย่อหน้าที่มักใช้เป็นส่วนใหญ่ เช่น ปัญหาต่อไปมีว่า, ปัญหาที่น่าคิดต่อไปมีข้ออภิปรายว่า, อัน ที่จริง, เมื่อพิจารณาถึง, เมื่อพิเคราะห์, ถ้าพิเคราะห์กัน, เมื่อพิจารณาเนื้อความ, เราอาจตั้งปัญหา, ใน กรณีเช่นนี้, หากจะพิจารณา ๘) คำขึ้นต้นในเชิงการนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติม ลักษณะการขึ้นต้นในเชิงเสนอข้อมูลเเพิ่มเติมมัก นิยมใช้เมื่อประสงค์จะเพิ่มเติมข้อมูลหรือหลักฐานที่ยังไม่สมบูรณ์ โดยคำขึ้นต้นที่นิยมใช้เป็นส่วนใหญ่ เช่น ประการหนึ่ง, อนึ่ง, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง, สำหรับ, อย่างไรก็ดี, อย่างไรก็ตาม, นอกจากนี้, นอกจากนั้น, จุดเด่นอีกประการหนึ่งล อีกด้านหนึ่ง, ในบางกรณี, ในกรณีที่, อันต่อไป, ยิ่งกว่านั้น, การวินิจฉัยในเรื่องนี้ ๙) คำขึ้นต้นในรูปการต่อความ ในการเขียนสารต่าง ๆ ที่เป็นย่อหน้านั้น การขึ้นต้นในรูปการต่อความเป็นลักษณะที่ประสงค์จะ ต่อเนื่องความคิดในย่อหน้าที่กล่าวไว้ข้างต้น และเนื้อความยังไม่จบสมบูรณ์ จำเป็นต้องหยุดไว้ก่อน มิ เช่นนั้นแล้วจะเป็นเหตุให้เนื้อความในย่อหน้านั้นยาวเกินไป คำขึ้นต้นที่ใช้ได้ดี เช่น ขณะที่, ต่อมา, ในด้าน, ตามความคิด, ในเรื่อง, ครั้น, ครั้นแล้ว, อาศัยหลักฐาน, เมื่อพิจารณา, การที่, เมื่อ, ทั้งนี้, ตั้งแต่ครั้ง, ก่อน หน้านั้น, ฝ่ายว่า, ทันใดนั้นเอง, หลังจากที่, กระทั่ง, แม้นว่า ๑๐) คำขึ้นต้นในเชิงการย้ำ ลักษณะการขึ้นต้นประการนี้ มักกล่าวย้ำหรือเน้นข้อมูลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แล้วนำไปสู่ ความขัดแย้งหรือไม่ก็ได้ คำขึ้นต้นที่ใช้ เช่น ตัวอย่างข้างต้น, ตัวอย่างที่เด่นชัด, ข้อมูลดังกล่าว, การตีความ ว่า, เกี่ยวกับข้อความทั้งหมดนี้ ๑๑) คำขึ้นต้นตามเนื้อหาสาระ นอกจากการขึ้นต้นตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว คำขึ้นต้นตามเนื้อหาสาระก็เป็นกลวิธีหนึ่งที่ใช้ใน การเขียนเพื่อการสื่อสาร ซึ่งคำขึ้นต้นลักษณะนี้อาจเปลี่ยนแปลงไปตามเนื้อหาและจุดประสงค์ที่ต้องการ เสนอ ตัวอย่างคำที่ใช้ เช่น ภาษา, หนังสือ, ผู้เขียน (ผู้วิจัย), ศิลาจารึก, สำนวน, การเขียน, กฎหมายคนไทย , พระบรมราชโองการ, ประกาศ, วิวัฒนาการด้านหนึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, ในคดี, คำ ชี้แจง, วรรณกรรมสำหรับเด็ก, รูปแบบการเขียนเรื่อง, นักเขียนเรื่อง, ตัวละคร, การจัดตั้ง, แต่ก่อนนั้น
๒๑๐ ๘. ขั้นตอนการเขียนย่อหน้า หลังจากได้รู้และเข้าใจเกี่ยวกับความหมายและลักษณะของย่อหน้า ความสำคัญของย่อหน้า ลักษณะขนาดของย่อหน้า องค์ประกอบของย่อหน้า ลักษณะของย่อหน้าที่ดี รูปแบบของย่อหน้า และการใช้ คำขึ้นต้นย่อหน้าแล้ว แต่ทว่างานเขียนก็ยังมิได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด สำหรับเรื่องที่กล่าวต่อไปนี้คือขั้นตอนการ เขียนย่อหน้า จะให้ความรู้ว่า การเขียนย่อหน้านั้นมีกระบวนการอย่างไร ซึ่งมี ๖ ลำดับขั้นตอน ได้แก่ คิดเรื่องที่จะเขียน แปรความคิดเป็นประโยคใจความสำคัญ เขียนโครงเรื่อง เขียนขยายความโครงเรื่อง เรียบเรียงเป็นย่อหน้า และทบทวน ตรวจทาน และแก้ไข กล่าวตามลำดับ ดังนี้ ๑. คิดเรื่องที่จะเขียน การเขียนเป็นวิธีการสื่อสารอย่างหนึ่ง โดยผู้เขียนเป็นผู้ส่งสารและมีผู้อ่านเป็นผู้รับสาร จุดเริ่มต้นของการสื่อสารอยู่ที่ผู้เขียนหรือผู้ส่งสาร เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้เขียนจึงต้องคิดว่าตนต้องการจะเขียน เรื่องอะไร ขั้นฝึกหัดนี้ต้องคิดเรื่องง่าย ๆ ก่อน คือเป็นเรื่องที่ตนมีความรู้อยู่แล้ว อีกทั้งต้องเป็นความคิดที่มี เอกภาพ คือมีความคิดเดียวหรือใจความสำคัญเดียว จากนั้นนำความคิดมาตั้งเป็นคำถาม เพื่อหาคำตอบ ถ้าตั้งคำถามและคำและหาคำตอบได้ ก็สามารถเขียนเป็นย่อหน้าได้ ตัวอย่างเช่น ประเด็นความคิด คือ มนุษย์สามารถกำหนดความคิด ความต้องการได้ ประเด็นคำถาม ๑) ทำไมเมื่อมนุษย์เกิดขึ้นมาแล้ว ต่างก็มีความคิดและความต้องการเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง ๒) ความคิด ความต้องการนั้นกำหนดได้หรือไม่ ๓) ความเหมือนและความต่างนี้น่าจะทำให้สังคมวุ่นวายได้หรือไม่ ๔) หากเป็นไปได้ ทำอย่างไรมนุษย์จึงจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ประเด็นคำตอบ ๑) เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้น ความคิดความต้องการของแต่ละคนมีทั้งเหมือนและต่าง ๒) มนุษย์สามารถกำหนดความคิด ความต้องการได้ด้วยตนเอง ๓) ความคิด ความต้องการที่เหมือนกันทำให้สังคมวุ่นวายได้ ๔) มนุษย์ต้องมีธรรมะจึงจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ ๒. แปลความคิดเป็นประโยคใจความสำคัญ เมื่อได้ความคิดหลักว่าจะเขียนเรื่องใด โดยผ่านการตั้งคำถามและหาคำตอบแล้ว ลำดับถัดมา ก็แปรความคิดนั้นมาเป็นประโยคใจความสำคัญ ประโยคนี้จะช่วยจำกัดขอบข่ายของงานเขียนได้ว่า จะ เขียนได้แคบหรือกว้างได้เพียงใด ดังนั้น ประโยคใจความสำคัญจึงต้องตั้งให้เป็นประโยคที่ดีเพราะจะเขียน
๒๑๑ ได้ดีไปด้วย ถ้าประโยคใจความสำคัญไม่ดี คือไม่กระจ่างพอ ก็จะเขียนได้ไม่ดี ไม่สามารถตอบคำถามหรือ ประเด็นได้ ผู้อ่านก็จะสับสน และงานนั้นก็ไม่ชวนอ่าน ประโยคใจความสำคัญที่ดีมีลักษณะ ๓ ประการ อุบล เทศทอง (2550 : 202) ได้แก่ ๑) ประโยคใจความสำคัญจะมีความคิดเพียงประการเดียว ๒) ประโยคใจความสำคัญจะต้องมีเนื้อความที่ครอบคลุมเนื้อหาของประโยชน์อื่น ๆ ในย่อ หน้าทั้งหมด ๓) ประโยคใจความสำคัญต้องเขียนเป็นประโยคที่สมบูรณ์ ไม่ควรเขียนเป็นวลีหรือเขียนละ คำบางคำ หรือเขียนความไม่จบประโยค ประโยคนั้นอาจเป็นประโยคความเดียวหรือประโยคความซ้อนก็ได้ และควรเขียนในลักษณะบอกเล่า ไม่ควรเขียนเป็นประโยคคำถาม ตัวอย่างประโยคที่ดีและไม่ดี จากประเด็นความคิดในตัวอย่างที่กล่าวไว้ในข้อ ๘.๑ สามารถตั้งเป็นประโยคใจความสำคัญ เพียงประโยคเดียวได้ว่า ดังนี้ มนุษย์เราต่างก็มีความคิด ความรู้สึก และความปรารถนาที่กำหนดได้ด้วย ตนเองทั้งสิ้น ๓. เขียนโครงเรื่อง หลังจากได้ประโยคใจความสำคัญที่มีลักษณะดีแล้ว ลำดับถัดมานำประโยคนั้นมาตั้งเป็นโครง เรื่องสั้น ๆ เพื่อเขียนขยายความคิดในประโยคสำคัญที่ตั้งไว้ให้ชัดเจน โดยโครงเรื่องนี้เขียนเป็นประเด็น ประโยค หรือวลีสั้น ๆ ให้มีเนื้อความถูกต้อง ครบถ้วน และเรียงลำดับความให้ดี จากตัวอย่างประโยค สำคัญในข้อ ๘.๒ สามารถเขียนเป็นโครงเรื่องสั้น ๆ ได้ดังนี้ ประโยคใจความสำคัญ “มนุษย์เราต่างก็มีความคิด ความรู้สึก และความปรารถนาที่กำหนดได้ด้วยตนเองทั้งสิ้น” โครงเรื่อง ๑) มนุษย์มีความต้องการทั้งเหมือนกันและต่างกัน ๒) มนุษย์มีประสบการณ์ต่างกัน ๓) ความต้องการที่เหมือนและต่างทำให้วุ่นวาย ๔) ต้องมีธรรมะ ๕) ธรรมะจะช่วยให้มีความสุข ๖) ธรรมะจะช่วยดับทุกข์
๒๑๒ ๔. เขียนขยายความโครงเรื่อง จากเรื่องที่เขียนได้ดีแล้ว ลำดับถัดมาต้องนำมาเขียนเป็นประโยคขยายความประเด็นของโครง เรื่องนั้นให้ชัดเจน มีใจความครบถ้วน สมบูรณ์ จากตัวอย่างโครงเรื่องในข้อ ๘.๓ เขียนเป็นประโยคขยาย ความที่สมบูรณ์ได้ ดังนี้ ประโยคใจความสำคัญ “มนุษย์เราก็ต่างมีความคิด ความรู้สึก และความปรารถนาที่กำหนดได้ด้วยตนเองทั้งสิ้น” ประโยคขยาย ๑) ความคิด ความรู้สึก ความปรารถนาของมนุษย์แต่ละคนอาจเหมือนกับคนอื่น ๆ บ้าง คล้ายคลึงบ้าง หรือจะแปลกแยกไปเลย ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ๒) มนุษย์แต่ละคนมีความมีประสบการณ์ชีวิต หรือภูมิหลัง หรือสิ่งที่ได้ผ่านพบมานั้น แตกต่างกัน ๓) เมื่อมนุษย์แต่ละคนมีประสบการณ์ชีวิต หรือภูมิหลัง หรือสิ่งที่ได้ผ่านพบมานั้นแตกต่าง กัน จะมีสิ่งใดที่เป็นตัวกำหนดให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข มีความรัก ช่วยเหลือ ห่วงใย และใส่ใจซึ่งกันและกัน ๔) มนุษย์ทุกคนต้องมีธรรมะ ยึดหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ๕) ธรรมะจะเป็นเครื่องธำรงสังคมมนุษย์ให้งดงาม ร่มเย็น เป็นสุข ๖) ความทุกข์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตสามารถดับไปด้วยธรรมะ ๕. เรียบเรียงเป็นย่อหน้า หลังจากที่เขียนประโยคขยายความของเรื่องแต่ละประเด็นสมบูรณ์แล้ว ลำดับถัดมาก็นำมา เรียบเรียงเป็นข้อความเดียวกัน ในขั้นฝึกหัดเขียนให้ขึ้นต้นด้วยประโยคใจความสำคัญก่อน แล้วตามด้วย ประโยคขยายโดยให้ต่อเนื่องกัน กลมกลืนทั้งเนื้อความและภาษา ในขั้นนี้อาจเพิ่มรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ลงไปได้เพื่อให้ได้ใจความที่ครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น สามารถปรับเปลี่ยนคำเชื่อมหรือใช้กลวิธีการเชื่อมโยง ความประเภทต่าง ๆ เช่น การอ้างอิง การละ การซ้ำ การใช้คำเชื่อม เพื่อให้ได้ย่อหน้าที่สมบูรณ์ สละสลวย ลื่นไหล ชวนอ่าน จากประโยคใจความสำคัญและขยายในข้อ ๘.๔ นำมาเรียบเรียงเป็นย่อหน้าได้ดังนี้ มนุษย์เราต่างก็มีความคิด ความรู้สึก และความปรารถนาที่กำหนดได้ด้วยตนเองทั้งสิ้น อาจ เหมือนกับคนอื่น ๆ บ้าง คล้ายคลึงบ้าง หรือจะแปลกแยกไปเลยก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะว่าแต่ละคนมีภูมิ หลังหรือสิ่งที่ได้ผ่านพบในวิถีชีวิตแตกต่างกัน และเมื่อเป็นเช่นนี้ จะมีสิ่งใดเล่าที่เป็นตัวกำหนดหล่อหลอมให้ มนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข มีความรัก ช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อเกื้อกูล ห่วงใย และใส่ใจซึ่ง
๒๑๓ กันและกันสิ่งนั้นจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากธรรมะ เพราะธรรมะเป็นเครื่องธำรงสังคมให้งดงาม ร่มเย็น และเป็นสุข ความทุกข์ต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามากระทบชีวิต ล้วนแต่ดับไปด้วยธรรมะทั้งสิ้น ๖. ทบทวน ตรวจทาน และแก้ไข ในลำดับสุดท้ายของการเขียนย่อหน้า คือการทบทวน ตรวจทาน และแก้ไข โดยผู้เขียนนำ ข้อความที่เขียนทั้งหมดมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง ทบทวนและตรวจทานความถูกต้อง ตั้งแต่อักขรวิธีการ เขียนสะกดคำไวยากรณ์ ความเป็นประโยค ความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน วรรคตอน การใช้เครื่องหมาย และ หลักการอื่น ๆ หากพบจุดใดบกพร่องก็แก้ไขให้ถูกต้อง ในขั้นนี้ผู้เขียนยังสามารถปรับเปลี่ยนถ้อยคำได้ เพื่อให้สมบูรณ์ อาจตัดออก เพิ่มเติม หรือเปลี่ยนใหม่ การทบทวน ตรวจทาน และแก้ไข นอกจากผู้เขียนดำเนินการด้วยตนเองแล้ว การให้บุคคลอื่น อ่านให้ และบอกจุดบกพร่องให้พิจารณา ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยพัฒนางานเขียนให้ดีขึ้น หากผู้อื่นชี้แจง ข้อบกพร่องก็ควรรับฟัง พิจารณาใหม่อีกครั้ง อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ดี เพราะมิใช่ผู้เขียน เพราะการเขียนเพื่อ การสื่อสารนั้น ต้องยึดหลักปฏิกิริยาตอบสนองของผู้รับสารเป็นสำคัญ ว่าตรงตามจุดประสงค์ของผู้เขียน หรือไม่ หากไม่ตรงก็ต้องพิจารณาหาข้อบกพร่องแล้วให้พบและแก้ไขข้อเสีย แต่ข้อบกพร่องนั้นต้องมิเกิดขึ้น ที่งานเขียนของเรา 10.3 การเขียนเรียงความ หรรษา ผลาทร (2542 : 165) กล่าวไว้ว่า การเขียนเรียงความ ผู้เขียนจะต้องมีศิลปะการใช้ภาษา ในแง่มุมต่าง ๆ ที่ถายทอดออกไป เพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้หรือมีอารมณ์ร่วมกับเรียงความนั้น ๆ ซึ่ง เรียงความนั้นจะประกอบด้วยส่วนที่เป็นข้อเท็จจริง และอาจแทรกความคิดเห็นหรืออารมณ์ความรู้สึกของ ผู้เขียนด้วย แล้วนำมาเรียงร้อยตามองค์ประกอบของการเขียนเรียงความและมีศิลปะการใช้ภาษา 1. องค์ประกอบของการเขียนเรียงความมี 3 ส่วน ดังนี้ 1.1 บทนำ จะเป็นส่วนที่ดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน เพื่อให้ผู้อ่านมองเห็นความสำคัญของ เรื่องที่จะนำเสนอ วิธีการเขียนบทนำมีหลายวิธี เช่น 1) การเขียนด้วยการใช้คำคม คำพังเพย สุภาษิต คำ ประพันธ์ ข้อความที่มีข้อคิด 2) การเขียนด้วยการใช้วิธีการตั้งคำถาม 3) การเขียนด้วยการใช้วิธีการให้คำ นิยาม 4) การเขียนด้วยการเล่าเรื่อง 1.2 เนื้อเรื่อง เป็นส่วนที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นหลักหรือขยายความประเด็นของเรื่อง ที่ต้องการนำเสนอ หากผู้เขียนกำหนดโครงเรื่องไว้ จะทำให้การเขียนมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น เนื้อเรื่อง
๒๑๔ จะต้องมีความน่าสนใจ หรือมีประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การเรียบเรียงถ้อยคำจะต้องให้เหมาะสมกับ เรื่อง รวมทั้งต้องมีการนำเสนอเรื่องให้ชวนติดตาม 1.3 บทสรุป เป็นการปิดท้ายเรื่องทั้งหมด โดยกล่าวย้ำให้เห็นความสำคัญของเรื่องที่นำเสนอ เพื่อให้เรื่องมีความสมบูรณ์ ผู้เขียนอาจเลือกใช้วิธีการสรุปได้หลายวิธี เช่น 1) การสรุปด้วยการฝากข้อคิด คติเตือนใจ 2) การสรุปด้วยการย้ำสาระสำคัญของเรื่อง 3) การสรุปด้วยการทิ้งท้ายแบบตั้งคำถาม เมื่อผู้เขียนสามารถวางโครงเรื่องในแต่ละองค์ประกอบของเรียงความได้แล้วว่า แต่ละส่วนจะ นำเสนอในประเด็นใด ผู้เขียนจะต้องไปศึกษาค้นคว้าข้อมูลที่จะนำมาใช้ หรืออาจเขียนจากประสบการณ์ ของตนเอง โดยเรียบเรียงข้อมูลให้เป็นลำดับที่อ่านเข้าใจได้โดยง่าย เลือกใช้ภาษาให้ถูกต้อง เหมาะสม และ ต้องคำนึงถึงสาระสำคัญที่ปรากฏในเรียงความด้วย รวมทั้งต้องตั้งชื่อเรื่องให้น่าสนใจใคร่ติดตาม 2. ขั้นตอนการเขียนเรียงความ ดังนี้ 2.1 การเลือกเรื่อง เรื่องที่กำหนดจะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ การเขียนและเป็นเรื่องที่มี ความน่าสนใจ มีประโยชน์แก่ผู้อ่าน สิ่งสำคัญ คือผู้เขียนจะต้องมีความรู้หรือประสบการณ์ในเรื่องที่จะเขียน เป็นอย่างดี จึงอาจจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลเพื่อนำมาประกอบการเขียน 2.2 วางโครงเรื่อง การวางโครงเรื่องจะทำให้มองเห็นแนวทางของการเขียนว่าในแต่ละส่วน ของเรียงความ ทั้งบทนำ เนื้อหา และบทสรุป จะนำเสนอประเด็นใดบ้าง สอดคล้องและมีความต่อเนื่องกัน หรือไม่ จะให้น้ำหนักของเรื่องในประเด็นอย่างไร แล้วจึงเริ่มค้นคว้าข้อมูลเพื่อขยายความหัวข้อต่าง ๆ 2.3 นำข้อมูลที่ได้มาเรียบเรียงตามรูปแบบของการเขียนเรียงความด้วยการเลือกใช้ถ้อยคำ สละสลวย ถูกต้อง สามารถสื่อความถึงผู้อ่านได้อย่างชัดเจน และเมื่อเขียนเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ตรวจทาน ข้อมูลทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง หากพบข้อบกพร่องจะได้แก้ไขให้เป็นเรียงความที่สมบูรณ์ 10.4 การเขียนบทความ กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 207) กล่าวไว้ว่า บทความเป็นงานเขียนร้อยแก้วที่มุ่งนำเสนอ ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงร่วมกับการนำเสนอข้อคิดเห็นของผู้เขียนในประเด็นต่าง ๆ แต่ต้องเป็นเรื่องที่ สร้างสรรค์ หรือก่อให้เกิดประโยชน์มิใช่เป็นการเขียนเพื่อมุ่งทำลายบุคคลอื่น หากต้องการจะ วิพากษ์วิจารณ์จะต้องเป็นไปในทางติเพื่อก่อ บางครั้งอาจเขียนเพื่อนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา เช่น การนำเสนอบทความเรื่องการแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ ด้วยการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน เป็นต้น ซึ่ง
๒๑๕ ภาษาที่ใช้ในการเขียนบทความนั้นมีทั้งที่เป็นทางการ กึ่งทางการ และไม่เป็นทางการ ขึ้นอยู่กับประเภท เนื้อหา และกลุ่มผู้อ่าน แต่จะต้องใช้ถ้อยคำให้สุภาพ 1. ข้อควรคำนึงในการเขียนบทความ บทความเป็นงานเขียนที่มีการนำเสนอเนื้อหาที่แตกต่างกันไป ตามแต่ละประเภทของบทความ แต่ต่างก็มีข้อควรคำนึงในการเขียนคล้ายคลึงกัน ดังนี้ 1) การตั้งชื่อเรื่อง ควรตั้งชื่อเรื่องให้น่าสนใจ สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจน 2) กำหนดวัตถุประสงค์ของเรื่องให้ชัดเจน 3) เป็นเรื่องที่มีความเป็นปัจจุบันและเป็นเรื่องที่ผู้คนให้ความสนใจ 4) เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ในแง่มุมต่าง ๆ ทั้ง ประโยชน์ทางวิชาการเพิ่มพูนประสบการณ์ ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ หรือมีสาระในด้านต่าง ๆ และ สอดแทรกความคิดเห็นของผู้เขียนอย่างมีเหตุผลหรือเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏ 5) มีความเป็นเอกภาพ สัมพันธภาพ สารัตถภาพ และมีความน่าสนใจ 6) เลือกใช้ภาษาได้อย่างเหมาะสม เข้าใจง่าย ชวนติดตาม 2. ประเภทของบทความ ดวงใจ ไทยอุบุญ (2543 : 282 – 284) ได้แบ่งประเภทของบทความ ไว้ ดังนี้ 2.1 บทความประเภทกึ่งชีวประวัติ เป็นการเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือบุคคล ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตในด้านต่าง ๆ โดยผู้เขียนต้องการรู้ถึงคุณสมบัติและวิธีการดำเนินชีวิตหรือ หลักการดำเนินชีวิต ตลอดจนการปฏิบัติตนอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ หรือทำให้เขามีชื่อเสียง แต่เรา จะไม่กล่าวถึงเรื่องส่วนตัวของเขามากเกินไป บทความประเภทนี้มีลักษณะคล้ายบทความประเภทสัมภาษณ์ ข้อมูลที่ผู้เขียนนำมาใช้ประกอบการเขียนนั้น อาจได้มาจากการสัมภาษณ์บุคคลนั่นเองหรือสอบถามบุคคล ใกล้ชิด รวมถึงเอกสารหรือผลงานต่าง ๆ ของเขา 2.2 บทความประเภทสัมภาษณ์ เป็นบทความที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ จากการ สัมภาษณ์แล้วนำมาเรียบเรียงใหม่ ผู้เขียนบทความควรรู้จักเลือกบุคคลที่จะสัมภาษณ์ คือ ควรเป็นบุคคล ดีเด่น มีชื่อเสียงในวงสังคม หรือเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและเชี่ยวชาญในเรื่องที่ผู้เขียนต้องการจะเขียน บทความประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องสัมภาษณ์ผู้มีชื่อเสียงเสมอไป อาจจะสัมภาษณ์บุคคลธรรมดาที่เป็น ตัวอย่างของการสู้ชีวิต หรือฟันฝ่าอุปสรรคจนประสบความสำเร็จในชีวิต 2.3 บทความประเภทแสดงความคิดเห็น บทความประเภทนี้มักจะพบเสมอในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือสารทางวิชาการต่าง ๆ มากมาย โดยผู้เขียนมักจะหยิบยกเอาปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมขึ้นมา เขียน โดยที่ผู้เขียนจะต้องมองปัญหาที่จะเขียนให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ พยายามแยกแยะในแง่มุมต่าง ๆ แล้ว เสนอความคิดเห็น ให้ข้อเสนอแนะ ข้อสังเกต โดยอาจทิ้งท้ายไว้สำหรับให้ผู้อ่านตัดสินใจด้วยตนเอง การ แสดงความคิดเห็นนี้จะมีข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ มาอ้างอิงให้เห็นอย่างเด่นชัด น่าเชื่อถือ
๒๑๖ 2.4 บทความท่องเที่ยว เป็นบทความที่เขียนขึ้นเพื่อชี้ชวนให้ผู้อ่านเกิดความสนใจอยากไปเที่ยว สถานที่นั้น ๆ ผู้เขียนบทความประเภทนี้จะต้องเคยไปและมีประสบการณ์ในการไปเที่ยวสถานที่นั้น ๆ มาก พอสมควร การเขียนบทความนี้จำเป็นจะต้องใช้กลวิธีการเขียนที่น่าอ่าน ใช้ภาษาง่าย ๆ โดยกล่าวตั้งแต่การ เตรียมตัว ตลอดจนรายละเอียดต่าง ๆ นอกจากนี้ยังอาจแทรกข้อเสนอแนะ ข้อควรระวังที่ผู้เขียนมี ประสบการณ์ไว้ด้วย เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความสนใจและอยากไปเที่ยวสถานที่นั้น ๆ 2.5 บทความประเภทวิจารณ์ เป็นบทความที่เสนอความคิดเห็น โดยอาศัยเหตุผลและหลัก ทฤษฎี ซึ่งต่างจากบทความประเภทแสดงความคิดเห็นที่เสนอความคิดเห็นอันเป็นความคิดหรือทัศนะของ ผู้เขียน บทความประเภทวิจารณ์นี้นิยมใช้ในการวิจารณ์หนังสือ วิจารณ์ข่าว วิจารณ์การเมือง วิจารณ์ ภาพยนตร์ หรืองานด้านศิลปะสาขาต่าง ๆ โดยผู้เขียนจะต้องพิจารณาเรื่องนั้น ๆ อย่างละเอียดรอบคอบ ทุกแง่มุม วิเคราะห์ ประเมินคุณค่าตามหลักวิชาและชี้ให้เห็นคุณค่าข้อบกพร่อง พร้อมทั้งแนวทางที่ เสนอแนะ 2.6 บทความทางวิชาการ เป็นบทความที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวข้องกับวิชาการหรือเป็นความรู้ เฉพาะด้าน ผู้เขียนบทความประเภทนี้จะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสนใจหรือเชี่ยวชาญในเรื่องใดหรือสาขาใด สาขาหนึ่ง บทความวิชาการนี้ผู้เขียนจะต้องมีหลักฐานอ้างอิง ทั้งทางตัวเลข สถิติ ตลอดจนความคิดเห็น และข้อเสนอแนะในแนวคิดใหม่ ๆ ความรู้ใหม่ ๆ แก่ผู้อ่านหรือเป็นแนวคิดแนวปฏิบัติที่จะเป็นประโยชน์แก่ วงการศึกษาหรือวงวิชาการต่อไปในอนาคต อันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับบทความประเภทนี้ อีกอย่างหนึ่ง การสร้างงานเขียนทุกเรื่อง ผู้เขียนจะต้องกำหนดประเด็นหลักและประเด็นรองของ เรื่องให้ได้ จากนั้นจึงจะขยายความเพื่อให้รายละเอียดในประเด็นนั้น ๆ เพื่อให้เนื้อหามีความชัดเจนยิ่งขึ้น วิธีการขยายความสามารถทำได้หลายวิธี เช่น 1) การขยายความโดยการให้คำนิยามหรือให้คำจำกัดความ ซึ่งจะเป็นการให้ความหมายของประเด็นสำคัญนั้น ๆ 2) การขยายความโดยการเปรียบเทียบ อาจเป็นการ เปรียบเทียบความเหมือนหรือความต่างก็ได้ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ชัดเจนขึ้น และการขยายความทุกครั้ง จะต้องทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น ผู้เขียนจึงควรสรรถ้อยคำที่เข้าใจง่ายหรือทำให้ผู้อ่านเกิด ภาพในใจ เพื่อให้ได้รับทั้งรสคำและรสความจากเรื่องที่อ่าน
๒๑๗ เอกสารอ้างอิง กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์. (2562). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. ดวงใจ ไทยอุบุญ. (2543). ทักษะการเขียนภาษาไทย. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. บุปผา บุญทิพย์. (2539). การเขียน. (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง. บุญยงค์ เกศเทศ. (2548). วิถีคิด วิธีเขียน. กรุงเทพฯ : หลักพิมพ์. ประสิทธิ์ กาพย์กลอน. (2518). การเขียนภาคปฏิบัติ. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. ปรัชญา อาภากุล และการุณันทน์ รัตนแสนวงษ์. (2542). ทักษะการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร (การ พูด-การเขียน). กรุงเทพฯ : ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษาฝ่ายเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยศรีปทุม. วรวรรธน์ ศรียาภัย. (2557). การเขียนย่อหน้า. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หรรษา ผลาทร. (2542). การพัฒนาการเขียน. เพชรบุรี : สถาบันราชภัฏเพชรบุรี. อุบล เทศทอง. (2550). ความรู้เบื้องเกี่ยวกับการเขียน, ในภาษากับการสื่อสาร. นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร.
บรรณานุกรม กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์. (2562). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. (พิมพ์ครั้งที่ ๖). กรุงเทพฯ : โอเดียน สโตร์. กอบกาญจน์ วงศ์วิสิทธิ์. (2551). ทักษะภาษาเพื่อการสื่อสาร. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. กำชัย ทองหล่อ. (2552). หลักภาษาไทย. (พิมพ์ครั้งที่ ๕). กรุงเทพฯ : อมรการพิมพ์. จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ. (2555). ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. จินดา เฮงสมบูรณ์. (๒๕๔๒). ภาษาศาสตร์เบื้องต้น. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น. จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ. (2561). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. (พิมพ์ครั้งที่ 4). นครปฐม : มหาวิทยาลัย ศิลปากร. ชำนาญ รอดเหตุภัย. (2522). สัมมนาการใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : กรุงสยามการพิมพ์. ฐะปะนีย์ นาครทรรพ. (2526). หนังสือเรียนภาษาไทย รายวิชา ท ๐๔๒ การเขียน. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์. ธวัช ปุณโณทก. (2547). วิวัฒนาการภาษาไทย. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช จำกัด. นพคุณ คุณาชีวะ. (2560). หลักภาษาไทยในหลักสูตรมัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัย รามคำแหง. บุญยงค์ เกศเทศ. (2548). วิถีคิดวิธีเขียน. กรุงเทพฯ : หลักพิมพ์. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร. (๒๕๕๑). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. (พิมพ์ครั้งที่ ๖). กรุงเทพฯ : สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. ราชบัณฑิตยสถาน. (2556). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๐. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน. วิจินตน์ ภานุพงศ์. (2519). โครงสร้างภาษาไทย : ระบบไวยากรณ์. กรุงเทพฯ : ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง. วิพุธ โสภวงศ์ และคณะ. (2547). หลักภาษาและการใช้ภาษา. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. สถาบันภาษาไทย. (2554). บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว. สวนิต ยมาภัย. (2526). การสื่อสารของมนุษย์. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สายใจ ทองเนียม. (2560). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น.
๒๑๙ บรรณานุกรม (ต่อ) สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์. (2523). วิธีการสอนภาษาไทยระดับมัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. สมพร มันตะสูตร. (2525). การเขียนสร้างสรรค์. กรุงเทพฯ : พิพิธการพิมพ์. สมพร แพ่งพิพัฒน์. (2547). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารและสืบค้น. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. เสนีย์ วิลาวรรณ. (2519). แบบฝึกหัดหลักภาษา ท 401. กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช. สวนสุนันทา, สถาบันราชภัฏ. (๒๕๔๕). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารและการสืบค้น, โปรแกรมวิชา ภาษาไทยและโปรแกรมวิชาบรรณรักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์. (พิมพ์ครั้งที่ ๓). กรุงเทพฯ : พัฒนาศึกษา. อนุมานราชธน, พระยา. (2515). นิรุกติศาสตร์. กรุงเทพฯ : อักษรไทย. อุดม วโรตม์สิกขดิตถ์. (2548). ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษา. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัย รามคำแหง. อวยพร พานิช และคณะ. (๒๕๔๔). ภาษาและหลักการเขียนเพื่อการสื่อสาร. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
๒๒๐ ประวัติผู้เขียน ชื่อ-นามสกุล อรรถพงษ์ ผิวเหลือง ติดต่อ เบอร์โทรศัพท์ ๐๖๑-๖๙๔-๖๙๖๖ Facebook: สุวรรณญาโณ ญาณเมธี ที่อยู่ปัจจุบัน บ้านร้องกองข้าว ตำบลเทศบาลบวกค้าง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ๕๐๑๓๐ การศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๘ สอบได้นักธรรมชั้นเอก วัดปากน้ำ (บุ้งสระพัง) สำนักเรียนคณะจังหวัด อุบลราชธานี พ.ศ. ๒๕๕๐ สอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค วัดสระเกศ สำนักเรียนวัดสระเกศ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำเร็จปริญญาตรี พุทธศาสตรบัณฑิต (พธ.บ.) รุ่นที่ ๕๘ สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๕๗ สำเร็จปริญญาโท พุทธศาสตรมหาบัณฑิต (พธ.ม.) รุ่นที่ ๔ สาขาวิชา ภาษาศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๖๒ สำเร็จปริญญาเอก พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต (พธ.ด.) รุ่นที่ ๑ สาขาวิชา ภาษาศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ประสบการณ์ทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๗ – ๒๕๖๑ เป็นครูพระสอนศีลธรรม ที่โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นอาจารย์พิเศษ สาขาวิชาการสอนภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๖๒ – ๒๕๖๔ เป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการสอนภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน พ.ศ. ๒๕๖๔ – 2565 เป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรศึกษาศาสตร มหาบัณฑิตและหลักสูตรศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการสอน ภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขต อีสาน พ.ศ. 2565 - ปัจจุบัน เป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรสาขาวิชาการสอนภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา
๒๒๑ ผลงานทางวิชาการ (๕ ปีย้อนหลัง) อรรถพงษ์ผิวเหลือง. (2565). การจัดการเรียนรู้แบบ RASEP Model. วารสารสังคมศาสตร์ปัญญา พัฒน์. ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มีนาคม). หน้า 19 – 26. (TCI 2). อรรถพงษ์ผิวเหลือง และคณะ. (2565). การจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน : แนวคิดเพื่อพัฒนาการ สอนอ่านและเขียนภาษาไทย. วารสารบัณฑิตศึกษามหาจุฬาขอนแก่น. ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มีนาคม). หน้า ๒4 – ๓6. (TCI 2). อรรถพงษ์ ผิวเหลือง. (๒๕๖๔. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการเรียนรู้โดยการกระทำ. วารสาร บัณฑิตศึกษามหาจุฬาขอนแก่น. ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๔ (ตุลาคม – ธันวาคม). หน้า ๒๒ – ๓๐. (TCI 2). พระครูชิโนวาทธำรง (ปรีดา ปีติธมฺโม) และอรรถพงษ์ผิวเหลือง. (๒๕๖๔). วิเคราะห์การใช้คำอุปมาเชิง ภาษาศาสตร์ในวรรณกรรมของพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร). วารสาร มจร มนุษยศาสตร์ ปริทรรศน์. ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ (มกราคม – มิถุนายน). หน้า ๒๙๙ – ๓๑๕. (TCI 2). อรรถพงษ์ ผิวเหลือง, บัญชา เกียรติจรุงพันธุ์และณัฐกิตติ์ สิริวัฒนาทากุล. (๒๕๖๓). สภาพการจัดการ เรียนรู้ของครูภาษาไทย : แนวทางในการแก้ปัญหา. วารสารศึกษาศาสตร์ มมร. ปีที่ ๘ ฉบับ ที่ ๒ (กรกฎาคม – ธันวาคม). หน้า ๑๙๕ – ๒๑๑. (TCI 2). บัญชา เกียรติจรุงพันธ์, ณัฐกิตติ์ สิริวัฒนาทากุล และอรรถพงษ์ผิวเหลือง. (๒๕๖๓). การพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา ED1020 ประวัติวรรณคดีและวรรณคดีเอกของไทยโดยการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิดเชิงรุก (Active Learning) สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการ สอนภาษาไทย ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน. วารสาร ศึกษาศาสตร์ มมร. ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒ (กรกฎาคม – ธันวาคม). หน้า ๑๐๖ – ๑๑๗. (TCI 2). อรรถพงษ์ ผิวเหลือง. (๒๕๖๓). การจัดการเรียนรู้ภาพพจน์โดยใช้กรณีตัวอย่าง. วารสารวิชาการแสง อีสาน. ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๒ (กรกฎาคม – ธันวาคม). หน้า ๒๖ – ๓๙. (TCI 3). อรรถพงษ์ ผิวเหลือง. (๒๕๖๓). การแผลงเสียงสระภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษาไทย. วารสาร มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มมร. วิทยาเขตอีสาน. ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒ (พฤษภาคม – สิงหาคม). หน้า ๖๓ – ๗๔. พระมหาอรรถพงษ์ อตฺถญาโณ, (ผิวเหลือง). (๒๕๖๒). การเรียนการสอนภาษาอังกฤษเบื้องต้นตาม แนวภาษาศาสตร์. วารสารศึกษาศาสตร์ มมร. ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ (มกราคม – มิถุนายน). หน้า ๑๐๗ – ๑๑๘. (TCI 2).
๒๒๒ พระครูชิโนวาทธำรง (ปรีดา ปีติธมฺโม) และอรรถพงษ์ ผิวเหลือง. (๒๕๖๒). กลวิธีการใช้อุปลักษณ์ใน เทศนาธรรมของหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน. วารสารวิชาการแสงอีสาน. ปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๒ (กรกฎาคม – ธันวาคม). หน้า ๒๕๖ – ๒๗๑. (TCI 2). พระมหาอรรถพงษ์ อตฺถญาโณ, บัญชา เกียรติจรุงพันธ์, คชา ประณีตพลกรัง และบัญชา ธรรมบุตร. (๒๕๖๒). การพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในวิชาหลักภาษาไทย. การประชุมวิชาการ ผลงานวิจัยระดับชาติ ครั้งที่ ๑ ครบรอบ ๕๕ ปี มรสน. กับการพัฒนาท้องถิ่น. บัญชา ธรรมบุตร, คชา ประณีตพลกรัง, พระมหาอรรถพงษ์ อตฺถญาโณ และบัญชา เกียรติจรุงพันธ์. (๒๕๖๒).การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based learning) ในวิชา คุณธรรมจริยธรรมสำหรับครู. การประชุมวิชาการนำเสนอผลงานวิจัยระดับชาติ ครั้งที่ ๑ ครบรอบ ๕๕ ปี มรสน. กับการพัฒนาท้องถิ่น. พระมหาอรรถพงษ์ อตฺถญาโณ, (ผิวเหลือง). (๒๕๖๒). วาทศิลป์ในปาฐกกถาธรรมของสมเด็จพระ พุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ). วารสาร มจร มนุษยศาสตร์ปริทรรศน์. ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๑ (มกราคม – มิถุนายน). หน้า ๒๙ – ๓๗. พระมหาอรรถพงษ์ อตฺถญาโณ, (ผิวเหลือง). (๒๕๖๑). ความแตกต่างของอุปลักษณ์ตามแนวคิดโวหาร ภาพพจน์ ภาษาศาสตร์ปริชาน และอรรถศาสตร์ปริชาน. วารสารศึกษาศาสตร์ มมร. ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๒ (กรกฎาคม – ธันวาคม). หน้า ๓๒๑ – ๓๓๒. (TCI 2). พระมหาอรรถพงษ์ อตฺถญาโณ, (ผิวเหลือง) และเรืองเดช ปั่นเขือนขัติย์. (๒๕๖๑). กลวิธีการใช้อุป ลักษณ์ในปาฐกถาธรรมสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ). วารสารวไลยอลงกรณ์ ปริทัศน์ (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์). ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๓ (กันยายน – ธันวาคม). หน้า ๑๐๑ – ๑๑๓. (TCI 2).