94 3) การฝึกพูด เป็นขั้นซักซ้อมเพื่อความมั่นใจและความคล่องตัว เมื่อถึงสถานการณ์จริงการ ดำเนินการพูด คือ การนำเสนอข้อมูลตามที่ได้เตรียมการไว้ในขั้นตอนนี้ผู้พูดควรคำนึงถึงการใช้ภาษาที่ดี เหมาะสมกับกาลเทศะ เหมาะสมกับเรื่องที่พูด ตลอดจนการออกเสียงให้ชัดเจนถูกต้องด้วย 4) การประเมินผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาการพูดในโอกาสต่อไป การประเมินผลนั้น สามารถทำได้หลายทาง คือผู้พูดประเมินตนเองหรือให้ผู้ฟังเป็นผู้ประเมิน แล้วนำผลที่ได้รับมาแก้ไข ปรับปรุงเพื่อพัฒนาสมรรถภาพการพูดให้ดีขึ้นต่อไป 5.7 ระดับของการพูด การพูดโดยทั่วไปมีอยู่ ๓ ระดับ ดังนี้ ๑) พูดได้ คนที่เกิดมาถ้าไม่เป็นใบ้ย่อมจะพูดได้ทั้งนั้น สถิติทางการแพทย์บันทึกไว้ว่าเด็กจะเริ่ม หัดพูดได้ตั้งแต่อายุเพียง ๑๐ เดือน และพัฒนาไปเรื่อย ๆ จนอายุได้ ๓ ขวบจึงสามารถพูดเป็นประโยคได้ดี รู้จักพูดคุย ซักถาม หรือโต้ตอบได้ ๒) พูดเป็น ระดับนี้เป็นเรื่องยากพอสมควร ที่จะทำให้ทุกคนพูดเป็นเหมือนกัน ทั้งนี้เพราะถ้า พูดไม่ดีจะมีผลลบต่อตัวผู้พูดเอง แต่ถ้าพูดดี หรือพูดเป็น ก็จะออกมาเป็นผลในทางบวก การพูดเป็นต้องมี ลักษณะที่สามารถทำให้ผู้ฟังนิยมชมชอบ เชื่อถือ คล้อยตามและนำไปปฏิบัติได้ ๓) พูดดี การพูดได้ในระดับนี้นับเป็นผู้มีปิยวาจา หรือวาจาเป็นที่รัก ดูดดื่มน้ำใจ หรือซาบซึ้งใจ คือประกอบด้วยวาจาสุภาพ ไพเราะอ่อนหวาน สมานสามัคคี เกิดไมตรี ทำให้คนรักใคร่นับถือ ตลอดจน เป็นคำที่แสดงประโยชน์ มีเหตุผล เป็นหลักเป็นฐาน จูงใจ นอกจากนี้ต้องมีสัมมาวาจาคือเจรจาชอบ เป็นวจี สุจริต 4 ขั้น ประกอบด้วย การไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด และไม่พูดเพ้อเจ้อ ฉะนั้นผู้ที่จะเป็นนักพูดที่ดี ต้องพัฒนาตนให้ถึงขั้นพูดดี หรือวาจาสุภาษิตให้ได้ เพราะถ้าใคร สามารถพูดได้ถึงขั้นนี้ จะเกิดมงคลทั้งแก่ตัวผู้พูดเองและผู้ฟังด้วย ลักษณา สตะเวทิน (2536 : 6 – 7) กล่าวไว้ว่า การสื่อสารด้วยการพูดของมนุษย์สามารถแบ่ง ออกได้เป็น 4 ระดับ ดังนี้ 1) การพูดระหว่างบุคคล ระดับการพูดชนิดนี้เป็นการสื่อสารที่ประกอบด้วยบุคคลตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 3 – 4 คน ทำการพูดคุยกันในลักษณะตัวต่อตัว (person-to-person) กล่าวคือ ทั้งผู้พูด และผู้ฟังสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารหรือพูดคุยกันได้โดยตรง การสื่อสารระดับนี้ไม่มีข้อจำกัดเรื่อง เวลาของการพูด ซึ่งจะช่วยสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ขึ้นได้โดยง่าย เช่น การทักทาย การสนทนา เป็นต้น 2) การพูดในกลุ่ม ระดับการพูดชนิดนี้เป็นการพูดที่ประกอบด้วยบุคคลตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป แต่ จำนวนสูงสุด จะเป็นเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของการพูด วาระ โอกาส และสถานที่ เช่น การอภิปราย การ
95 ประชุม เป็นต้น การพูดลักษณะนี้มักพบในหน่วยงาน สถาบันการศึกษา ซึ่งนิยมการพูดลักษณะนี้เพื่อ ปรึกษาหรือฝึกฝนการทำงานร่วมกัน 3) การพูดในที่ชุมชน การพูดในระดับนี้เป็นการพูดที่ต้องปรากฏตัวต่อหน้าที่ประชุม การพูด ลักษณะนี้มักปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป อาจจะเป็นการพูดโดยบุคคลเพียงคนเดียว หรือเป็นคณะบุคคลก็ได้ ซึ่ง การพูดลักษณะนี้จะมีผู้ร่วมฟังอยู่ด้วย แต่มีจำนวนมากน้อยเท่าใดขึ้นอยู่กับลักษณะ ชนิด โอกาสและ เงื่อนไขต่าง ๆ ของการพูดนั้น ๆ ผู้พูดเองจะต้องมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดีเพื่อให้การพูดเกิดผลกับผู้ฟังให้ มากที่สุด เช่น การบรรยาย การอภิปรายเป็นคณะบุคคล เป็นต้น 4) การพูดทางสื่อสารมวลชน เป็นการพูดแบบสาธารณะ ซึ่งเป็นการพูดที่มุ่งสื่อสารไปยังผู้ฟัง เป็นจำนวนมากที่อยู่กระจัดกระจายกันทั่วไปและใช้เวลาอันรวดเร็ว ผู้ฟังสามารถรับสารที่ผู้พูดสื่อสารไป โดยได้เนื้อหาสาระที่เหมือน ๆ กัน ด้วยเหตุนี้จึงมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เป็นเครื่องมือในการ สื่อสารเพื่อการพูด การพูดระดับนี้มักจะเป็นการพูดเพื่อให้ความรู้ ให้ข่าวสาร ให้ความบันเทิงและการ โฆษณาสินค้า เป็นต้น 5.8 มารยาทในการพูด มารยาทที่ควรรู้และฝึกฝนให้สามารถใช้ได้ดีมีประโยชน์ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภทคือ ๑) มารยาทในการพูดระหว่างบุคคล จะต้องมีการตอบสนองซึ่งกันและกันตลอดเวลาระหว่างผู้ พูดกับผู้ฟัง มีทั้งการให้และการรับ การสนทนาที่ดีควรมีการรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น และการเสนอ ข้อคิดเห็นของตนเอง จึงจะทำให้การสนทนานั้นมีบรรยากาศเบิกบาน และทุกคนเกิดความสุข มารยาทที่ควรยึดถือและปฏิบัติ มีดังนี้ ๑) นำเรื่องที่ทั้ง ๒ ฝ่ายสนใจ และพอใจมาสนทนากัน เช่น ข่าวประจำวัน การแข่งขันกีฬา หรือความเป็นไปของเหตุการณ์บ้านเมือง ๒) ไม่พูดเรื่องตนเองมากไป ตั้งใจฟังขณะที่คนอื่นพูด ไม่สอดแทรกเมื่อเขายังพูดไม่จบ เมื่อ ถึงโอกาสที่ตัวเองได้พูดก็ควรพูดพอได้ใจความ และควรรู้จักพูดเสริม หรือต่อเติมเพื่อให้การพูดนั้นมีรสชาติ ๓) ควรพูดให้ตรงประเด็น จะออกนอกเรื่องบ้างก็ไม่ควรให้มากนัก ๔) เคารพความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่พูดจาข่ม หรือพูดแบบแสดงอำนาจให้ผู้อื่นเชื่อถือหรือ คิดเหมือนตนเอง ไม่แสดงตนว่าเป็นผู้รู้ดีกว่าผู้ร่วมสนทนา ๕) ไม่ถามเรื่องส่วนตัวซึ่งทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดความรู้สึกลำบากใจ
96 ๖) สิ่งที่นำมาพูดควรให้เข้ากับโอกาสและบรรยากาศ เช่น ในงานรื่นเริงไม่ควรพูดเรื่อง โศกเศร้า ไปเยี่ยมผู้ป่วยควรพูดเรื่องสนุกสนานไม่เครียด และเวลารับประทานอาหารไม่ควรพูดเรื่องสกปรก น่าสะอิดสะเอียน ๗) ไม่พูดเรื่องกล่าวร้ายหรือนินทาผู้อื่น ไม่ใช้ถ้อยคำแสดงการดูหมิ่นผู้ที่เราพูดด้วยขณะที่ พูดต้องวางตนสุภาพเรียบร้อย ไม่แสดงท่าที่ยกตนข่มท่าน ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าต้อยในตัวเอง ๘) ควบคุมอารมณ์ในขณะสนทนา หลีกเลี่ยงคำโต้แย้งที่รุนแรง เช่น “คุณพูดผิด” “คุณไม่รู้ หรอกว่า” “คุณทำน่าเกลียดมาก” ๙) สร้างบรรยากาศที่ดีด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แสดงไมตรีจิตต่อกัน ให้ความสนใจกับ เรื่องที่พูดอยู่ ๑๐) ไม่ใช้คำหยาบ ใช้ภาษาที่สุภาพ ถ้าใช้คำคะนองต้องใช้ให้เหมาะแก่กาลเทศะและบุคคล ๑๑) ใช้เสียงดังพอควร ไม่ตะโกน หรือใช้น้ำเสียงกระด้าง ไม่พูดเสียงเบาเกินไป ๑๒) ควรมองหน้าหรือสบตาอีกฝ่ายหนึ่งในขณะที่พูด และควรฟังผู้อื่นพูดด้วยความตั้งใจ ไม่กระซิบกระซาบคุยกับผู้ที่นั่งใกล้เคียง ๒) มารยาทในการพูดในที่สาธารณะ ต้องรักษามารยาทเป็นพิเศษ เพราะมีผู้ฟังมาจากที่ต่าง ๆ มีวัยวุฒิ คุณวุฒิ และพื้นฐานความรู้ ความสนใจแตกต่างกันไป ผู้พูดจำเป็นต้องระมัดระวังการแสดงออก ด้วยกิริยาอาการ การเลือกใช้ถ้อยคำ การวางตัว ไปจนถึงการแต่งกาย มารยาทในการพูดในที่สาธารณะ มีดังนี้ ๑) แต่งกายสุภาพเรียบร้อย เหมาะสม ไม่ควรแต่งกายที่ดึงดูดความสนใจเป็นพิเศษ ๒) ควรมาถึงสถานที่พูดให้ตรงเวลา หรือก่อนเวลาเล็กน้อย การปล่อยให้ผู้ฟังรอคอยถือ เป็นการเสียมารยาท และทำให้ผู้ฟังลดความเชื่อถือในตัวผู้พูด ๓) แสดงความเคารพต่อผู้ฟังตามธรรมเนียม เช่น ยกมือไหว้ทั้งก่อนพูดและเมื่อพูดจบแล้ว ๔) ไม่ทำกิริยาทักทายผู้ฟังบางคนในฐานะส่วนตัว หรือล้วง แคะ แกะ เกาส่วนใดส่วนหนึ่ง ของร่างกาย ๕) ใช้คำพูดที่ให้เกียรติผู้ฟัง ทั้งผู้ที่มีวัยวุฒิหรือคุณวุฒิต่ำกว่าตนเอง ๖) ไม่พูดพาดพิงเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น ๗) ไม่พูดตลกหยาบโลน หรือตลกคะนอง ๘) พูดให้เสียงดังพอได้ยินกันทั่ว ไม่ดังหรือค่อยเกินไป ๙) ไม่ควรพูดเกินเวลาที่กำหนดไว้
97 เอกสารอ้างอิง กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์. (2562). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์. (2543). พูดได้ – พูดเป็น. กรุงเทพฯ : โอเอสพริ้นติ้งเฮาส์. นภดล จันทร์เพ็ญ. (๒๕๓๙). การใช้ภาษาไทย. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : ต้ออ้อ แกรมมี่. นิพนธ์ ทิพย์ศรีนิมิต. (2544). หลักการพูด. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). สงขลา : มหาวิทยาลัยทักษิณ. ปรัชญา อาภากุล และการุณันทร์ รัตนแสนวงษ์. (2542). ทักษะการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร (การ พูด-การเขียน). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีปทุม. ประสงค์ รายณสุข. (2528). การพูดเพื่อประสิทธิภาพ. เอกสารประกอบการบรรยายลำดับที่ ๕๓, กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร. (๒๕๕๑) ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. (พิมพ์ครั้งที่ ๖). กรุงเทพฯ : สำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ. ยรรยง มีสติ. (2525). วาทการสำหรับครู. มหาสารคาม : อภิชาตการพิมพ์. รัญจิตร แก้วจำปา. (2544). ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : พัฒนาศึกษา. ลักษณา สตะเวทิน. (2536). หลักการพูด. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยกรุงเทพ. วิรัช ลภิรัตนกุล. (2525). วาทนิเทศและวาทศิลป์ : หลักทฤษฎีแลกวิธีปฏิบัติสู้ยุคสหสวรรษใหม่. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สมิต สัชฌกร. (2547). การพูดต่อชุมนุมชน. กรุงเทพฯ : สายธาร. สวนิต ยมาภัย และถิรนันท์ อนวัชศิริวงศ์. (2538). หลักการพูดขั้นพื้นฐาน. (พิมพ์ครั้งที่ ๙). กรุงเทพฯ : บริษัทเยลโล่การพิมพ์. สวัสดิ์ บันเทิงสุข. (2537). เทคนิคการพูด. (พิมครั้งที่ ๓). กรุงเทพฯ : ฉับแกระ. สมชาติ กิจยรรยง. (2548). ศิลปะการพูดสำหรับผู้นำ. กรุงเทพฯ : กรรกมลการพิมพ์. สุขุม นวลสกุล. (2540). พูดได้ - พูดเป็น. กรุงเทพฯ : ต้นอ้อ. สำเนียง มณีกาญจน์ และสมบัติ จำปาเงิน (๒๕๓๘, ม.ป.ป. น. ๕.) อัมพร แก้วสุวรรณ. (2522). วิชาการพูด. กรุงเทพฯ : บรรณกิจ. เอกฉัท จารุเมธีชน. (2541). ภาษาไทยธุรกิจ. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
บทที่ 6 การพัฒนาทักษะการพูด 6.1 ปัญหาและอุปสรรคในการพูด มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (๒๕๕๑ : 140 - 141) ได้กล่าวถึงปัญหาและอุปสรรคในการพูดไว้ ดังนี้ 1) ปัญหาและอุปสรรคในการพูด 1.1) ขาดการเตรียมตัวที่ดี 1.2) ไม่ได้ศึกษาเรื่องที่พูดอย่างลึกซึ้ง 1.3) จังหวะลีลาและเสียงพูดไม่น่าสนใจ 1.4) ขาดมารยาทในการพูด 1.5) ขาดการวิเคราะห์ผู้ฟัง 1.6) ใช้ภาษาไม่ถูกต้อง 1.7) ไม่สามารถรักษาอารมณ์ได้ 1.8) ลำดับเรื่องไม่ดี 1.9) ไม่รักษาเวลา 1.10) สรุปจบไม่ลง 2) แนวทางแก้ไขปัญหาในการพูด ผู้พูดที่ดีควรฝึกฝนตนเองด้วยการศึกษาจากตัวอย่าง รู้จัก สังเกต จดจำและนำไปใช้ให้เหมาะแก่กาลเทศะ แนวทางการแก้ปัญหาในการพูดมีดังนี้ 2.1) ประเมินตนเอง ว่ามีข้อบกพร่องในการพูดอย่างไร และพยายามปรับปรุงแก้ไขด้วย การหมั่นฝึกฝนด้วยตนเอง 2.2) รับฟังการประเมินการพูดจากผู้ฟัง ผู้พูดที่ดีควรใส่ใจรับฟังข้อติชม ข้อเสนอแนะของ ผู้ฟังและรับมาปรับปรุงแก้ไข 2.3) หมั่นศึกษาหาตัวอย่างจากนักพูดที่มีชื่อเสียง ด้วยการสังเกตเทคนิควิธีการต่าง ๆ ที่ จะทำให้การพูดน่าสนใจ 2.4) ฝึกฝนทักษะการใช้ภาษา ทั้งในด้านเสียงพูด จังหวะลีลา การออกเสียง การพูด ประโยคให้กระชับ สามารถสื่อความหมายได้รวดเร็วตรงตามจุดประสงค์
99 4.5) ปรับปรุงบุคลิกภาพ ด้านการแต่งกาย อากัปกิริยาท่าทาง ฝึกฝนปรับบุคลิกภาพให้ เข้ากับการพูด 4.6) ฝึกฝนมารยาทในการพูด เช่น มีความสุภาพ มีกิริยามารยาทสง่างามนุ่มนวลพูดจา ไพเราะให้เกียรติผู้ฟัง รู้จักพูดในโอกาสที่พอเหมาะและมีความจริงใจกับผู้ฟัง 4.7) รู้จักควบคุมอารมณ์ การเตรียมตัวให้พร้อมจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่ เกิดความประหม่าเขินอาย ตื่นเต้น หรือการรู้จักควบคุมอารมณ์ให้มีความหนักแน่น สำรวมไม่แสดงท่าที โกรธ หรือแสดงกิริยาท่าทางไม่เหมาะสม 4.8) ฝึกฝนความมีปฏิภาณไหวพริบ สามารถแก้ปัญหาได้ฉับไว ด้วยการฝึกให้เป็นคนช่าง สังเกตตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้รวดเร็ว คิดเร็วแต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความสมเหตุสมผล 4.9) หมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ เพื่อให้เกิดความรอบรู้สามารถนำความรู้มาใช้ในการ พูดเพื่อสร้างศรัทธาจากผู้ฟังได้ 4.10) มีอารมณ์ขันรื่นเริง สามารถสร้างบรรยากาศในการพูดได้ดี แต่ต้องพอเหมาะแก่ กาลเทศะ จากแนวทางในการพัฒนาทักษะการพูดดังที่กล่าวมาแล้ว จะทำให้ผู้เรียนสามารถฝึกฝนใช้ ทักษะการพูดให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งทุกคนต้องอยู่ร่วมกันในสังคม ทักษะการสื่อสารที่จำเป็น คือการพูด ฉะนั้นการพูดจึงก่อให้เกิดการประสานใจ ประสานความคิดแก่คนในสังคมได้ ถ้าผู้พูดรู้จักพูด เพื่อสร้างสรรค์ รู้จักให้เกียรติและมีมารยาทอันงาม ย่อมทำให้มนุษย์มีความรู้สึกที่ดีต่อกัน โลกย่อม สวยงามและสงบสุข กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 14๘ – 14๙) ได้สรุปปัญหาและอุปสรรคของการพูดไว้ 4 ประการ ดังนี้ 1) อุปสรรคที่เกิดจากการใช้ภาษา คือการใช้ภาษาเกิดจากการเลือกใช้ถ้อยคำไม่ถูกต้อง ไม่ เหมาะสม และไม่สามารถสื่อความหมายให้ผู้ฟังเข้าใจได้ ซึ่งอาจเกิดจากความไม่รู้หรือความประหม่าของผู้ พูด ทำให้ขณะที่นำเสนอไม่สามารถเลือกใช้ได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นผู้พูดจึงต้องสร้างความมั่นใจในตนเองให้ เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้ตื่นเต้นขณะที่นำเสนอ และเลือกใช้ถ้อยคำให้ตรงกับความหมายที่ต้องการจะสื่อ เพื่อให้ ผู้ฟังเข้าใจได้อย่างถูกต้อง 2) อุปสรรคด้านบุคลิกภาพ ประกอบด้วย การแต่งกาย การปรากฏตัวสีหน้า ท่าทางที่ แสดงออก การใช้เสียงและการใช้น้ำเสียง รวมถึงการใช้สื่อประกอบการนำเสนอหากผู้พูดแสดงออกไม่ เหมาะสม เช่น ไม่สบตาผู้ฟังให้ทั่วถึง ใช้น้ำเสียงราบเรียบไม่เหมาะสมกับเรื่องที่นำเสนอ การหยิบจับสื่อ
100 ประกอบทำด้วยความลุกลี้ลุกลน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะเบี่ยงเบนความสนใจต่อเรื่องที่ผู้พูดนำเสนอได้ ดังนั้น ผู้พูดจึงควรเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง เพื่อให้มีบุคลิกภาพที่ดี มีการแสดงออกที่เหมาะสม สอดคล้องกับเรื่องราวที่นำเสนอ 3) อุปสรรคเกี่ยวกับกลวิธีการนำเสนอ กลวิธีการพูดที่จูงใจผู้ฟัง จะทำให้ผู้ฟังให้ความสำคัญ และความสนใจกับการพูดครั้งนั้น ๆ ซึ่งผู้พูดจะต้องคำนึงถึงผู้ฟัง สถานการณ์ สถานที่ หรือสภาพแวดล้อม อื่น ๆ ที่จะมีผลกระทบต่อกลวิธีการนำเสนอ และผู้พูดเองจะต้องเลือกให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่องและเลือก วิธีการที่ตนเองสามารถที่จะกระทำได้เป็นอย่างดี เพื่อให้การพูดครั้งนั้น ๆ ตรึงผู้ฟังได้ตลอดช่วงเวลาของ การนำเสนอ 4) อุปสรรคด้านข้อมูล เกิดจากการเตรียมข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของ การนำเสนอ อาจเนื่องมาจากผู้พูดไม่เข้าใจประเด็นที่ต้องการนำเสนอ ไม่วางโครงเรื่องให้แน่ชัด ทำให้การ สืบค้นข้อมูลไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ผู้พูดจึงควรตระหนักอยู่เสมอว่าการเตรียมความพร้อมในด้านข้อมูล เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เนื่องจากเป็นจุดสนใจสำคัญที่ผู้ฟังมีความต้องการที่จะติดตาม ดังนั้น ข้อมูลที่ผู้พูดใช้เพื่อ ประโยชน์ในการนำเสนอนั้นจะต้องมีความชัดเจน ครบถ้วน ง่ายต่อความเข้าใจของผู้ฟัง และเป็นข้อมูลที่มี ประโยชน์ 6.2 สัมฤทธิ์ผลของการพูด การพูดที่ประสบความสำเร็จคือ การพูดที่บรรลุจุดประสงค์ตามที่วางไว้ เช่น การโฆษณาขายบ้าน จัดสรร หลังจากพูดโฆษณาไปแล้ว มีผู้สนใจมาติดต่อขอซื้อบ้านเป็นจำนวนมาก การเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมของผู้ฟังเช่นนั้น แสดงว่า การพูดเกิดสัมฤทธิ์ผล ซึ่งผู้พูดที่จะสามารถทำให้การพูดเกิดผล สัมฤทธิ์ได้ ควรมีคุณสมบัติดังนี้ ๑) มีคุณธรรม คือพูดจากความรู้ และข้อมูลที่มีอยู่อย่างใช้สติ มีวิจารณญาณ และเที่ยงธรรม ไม่แสดงว่าตกอยู่ภายใต้อิทธิพลบางอย่าง ใช้ถ้อยคำนุ่มนวล ก่อให้เกิดไมตรีจิตมิตรภาพ ไม่แต่งเรื่อง ประกอบขึ้น หรือกล่าวอ้างให้ผู้ฟังหลงเชื่อคล้อยตาม และต้องรับผิดชอบผลที่จะเกิดต่อสังคมหรือชุมชนนั้น ผู้พูดที่มีคุณธรรม มีความปรารถนาดีต่อผู้ฟัง เคารพและให้เกียรติ หรือเห็นความสำคัญของผู้ฟัง ย่อมจะมี ผู้ศรัทธาเชื่อถือ ๒) มีความรู้ดีและรู้จริงในเรื่องที่พูด การรู้ดีและรู้จริงเกิดจากการค้นคว้าหาความรู้อยู่เสมอ เมื่อมีความแน่ใจในเรื่องที่พูด ก็จะพูดด้วยความมั่นใจ น้ำเสียงหนักแน่น และควรมีหลักฐานอ้าง ประกอบการพูดให้ชัดเจน
101 ๓) มีเหตุผลมาสนับสนุนการพูด การพูดที่มีเหตุผลจะทำให้ผู้ฟังคล้อยตาม และเชื่อถือในเรื่องที่ พูด ๔) รู้จักธรรมชาติวิสัยของมนุษย์ การรู้จักธรรมชาติของมนุษย์จะช่วยให้เข้าใจ และสามารถพูด ได้เหมาะสมกับวัย พื้นฐานความรู้ และความคิดของผู้ฟัง ๕) รวบรวมความคิดให้เป็นระบบ การรวบรวมความคิดจะเริ่มต้นด้วยการกำหนดจุดประสงค์ ให้ชัดเจน วางแนวที่จะใช้พูด จัดลำดับข้อความที่จะต้องพูดก่อนหลัง วางใจความสำคัญ และส่วนขยายให้ สอดคล้องกัน รู้จักวิธีกล่าวอารัมภบท ดำเนินเรื่องให้เหมาะสม ถ้าเปิดโอกาสให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมซักถาม หรือแสดงความคิดเห็นในตอนท้าย ก็ควรกะระยะไว้ให้พอดีกับเวลาที่กำหนด ๖) รู้จักใช้ภาษาให้มีประสิทธิภาพ ทั้งภาษาพูดและภาษาท่าทาง การรู้จักใช้ภาษาให้เหมาะสม จะช่วยให้ผู้ฟังเกิดจินตนาการ และควรเลือกใช้ภาษาที่ทำให้เข้าใจได้ง่ายชัดเจนตรงความหมาย วิรัช ลภิรัตนกุล (2543 : 50) ได้กล่าววิธีการพูดไว้ดังนี้ 1) ชี้ให้ผู้ฟังเห็นว่า ผู้พูดเห็นด้วยกับทัศนคติและความเชื่อที่ผู้ฟังยึดมั่นอยู่ ผู้พูดมิได้ต่อต้านหรือ เป็นปรปักษ์แต่ประการใด 2) อ้างถึงประสบการณ์และความสนใจ ซึ่งผู้พูดและผู้ฟังมีอยู่ร่วมกัน 3) แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องอย่างแท้จริงแห่งประสบการณ์และความสนใจทั้งของผู้พูด และผู้ฟัง เพื่อประโยชน์สุขร่วมกัน 4) ใช้อารมณ์ขันที่มีรสนิยมดี (good test) ประกอบ 5) แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่ผู้ฟังพึงจะได้รับจากผู้พูดอย่างแน่นอน หากปฏิบัติตามอย่างมี ความรู้และความเข้าใจ กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 156 - 157) กล่าวไว้ว่า การใช้วัจนภาษาและอวัจนภาษาที่ นำเสนอด้วยวิธีการพูดนั้น เป็นสิ่งที่ปรากฏเห็นเด่นชัดมีผลต่อการทำความเข้าใจ และการสร้างความรู้สึก ให้เกิดขึ้นแก่ผู้ฟัง ดังนั้นนอกจากที่ผู้พูดจะต้องคำนึงถึงเนื้อหาที่จะนำเสนอแล้ว ผู้พูดยังต้องคำนึงถึงเรื่อง ของบุคลิกภาพด้วย เพราะจะเป็นส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาที่ผู้ฟังจะมีต่อผู้พูดด้วย ดังนั้นผู้พูดจึง ควรเสริมสร้างบุคลิกภาพของตนเอง ดังนี้ 1) การใช้สายตา จะแสดงให้ผู้ฟังเห็นว่าผู้พูดให้ความสนใจหรือให้ความสำคัญกับผู้ฟังมาก น้อยเพียงใด ดังนั้นผู้พูดจะต้องสบตากับผู้ฟัง 2) ความดัง - เบาของเสียง จะช่วยปลุกเร้าความสนใจของผู้ฟังได้ อย่าให้เสียงดังหรือเบา จนเกินไป เพราะอาจทำให้ผู้ฟังไม่ได้ยินหรือเกิดความรำคาญได้
102 3) จังหวะการพูดที่ดีจะช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจเรื่องราวได้ชัดเจนครบถ้วน เพราะหากพูดเร็ว จนเกินไปผู้ฟังอาจไม่สามารถจับใจความสำคัญได้ หรือหากพูดช้าเกินไปอาจทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ดังนั้นผู้พูดควรมีอัตราความเร็วในการพูดที่เหมาะสมและสม่ำเสมอ 4) ความชัดเจนในการออกเสียง คือการออกเสียงที่ถูกต้อง ชัดเจน จะทำให้การสื่อความหมาย ไม่ผิดเพี้ยน ผู้ฟังสามารถทำความเข้าใจได้อย่างชัดเจน ไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ฉะนั้นผู้พูด จะต้องรู้และเข้าใจความหมายของคำที่ต้องการจะสื่อ 5) การเลือกใช้ถ้อยคำ หากผู้พูดเลือกใช้ถ้อยคำได้อย่างถูกต้องตรงตามที่ผู้พูดต้องการแล้ว ก็ จะสามารถสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน และในขณะพูดอย่าใช้ถ้อยคำซ้ำซากหรือคำที่ไม่ก่อให้เกิด ความหมาย เช่น มันเป็นอะไรที่, แบบว่า, ครับ เป็นต้น รวมทั้งจะต้องเลือกใช้คำให้เหมาะสมกับกาลเทศะ ด้วย 6) การแต่งกายจะเป็นการสร้างความนิยมในตัวผู้พูดได้ดีทางหนึ่ง เหมือนกับเป็นการสร้าง ความประทับเมื่อแรกพบ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นได้ และยังเป็นการแสดงการให้เกียรติผู้ฟัง ด้วย ผู้พูดจึงควรแต่งกายให้เหมาะสม 7) การรักษาอารมณ์ในการพูดเป็นการแสดงให้เห็นวุฒิภาวะของผู้พูดได้อย่างดี ดังนั้น ผู้พูด จะต้องมีอารมณ์คงที่ไม่ทำให้บรรยากาศการพูดต้องเสียไป 8) กลวิธีการนำเสนอเป็นส่วนที่ช่วยตรึงความสนใจของผู้ฟัง หากผู้พูดสามารถเลือกใช้กลวิธี การนำเสนอให้เหมาะสมกับเนื้อหา ผู้ฟัง สถานที่ ระยะเวลา และวัตถุประสงค์แล้ว จะช่วยให้ดึงดูดความ สนใจของผู้ฟังได้เป็นอย่างดี และหากต้องใช้สื่อประกอบการพูดแล้ว ผู้พูดควรฝึกใช้ให้เกิดความคล่องแคล่ว สื่อที่ผู้พูดต้องใช้บ่อย ๆ เช่น ไมโครโฟน มีข้อควรคำนึงในการใช้ไมโครโฟน 6.3 การฝึกทักษะการพูด กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (2562 : 173 - 174) กล่าวไว้ว่า การฝึกทักษะการพูด เพื่อพัฒนา ทักษะการพูดให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพูดเพียงลำพังหรือเป็นการพูดแบบหมู่คณะก็ตาม มี ข้อควรนำไปฝึกปฏิบัติ ดังนี้ 1) กำหนดโครงเรื่องที่จะพูด เพื่อให้มีขอบเขตหรือทิศทางของเรื่องที่ชัดเจนและสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ 2) รวบรวมข้อมูล ผู้พูดควรศึกษาค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายและเชื่อถือได้ และนำ ข้อมูลที่ได้มารวบรวม เรียบเรียง และจัดลำดับการนำเสนอ เพื่อให้มีความต่อเนื่องสัมพันธ์กัน
103 3) ทำความเข้าใจกับข้อมูลทั้งหมด เมื่อผู้พูดได้เรียบเรียงข้อมูลทั้งหมดแล้ว ผู้พูดจะต้องทำ ความเข้าใจกับข้อมูลเหล่านั้นให้กระจ่างชัด สำรวจดูว่ามีข้อมูลใดที่ต้องแก้ไขหรือค้นหาเพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน และทำให้ตนเองเป็นผู้มีความรู้ในเรื่องนั้น ๆ อย่างแท้จริง 4) ฝึกซ้อมการพูด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง ไม่รู้สึกประหม่าเมื่อจะต้องพูดและจะได้รู้ จังหวะในการพูด หากต้องใช้อุปกรณ์ช่วยจะได้รู้จังหวะในการนำมาแสดง และเลือกท่วงท่าให้เหมาะสมกับ เนื้อเรื่องที่จะนำเสนอ หากเป็นการพูดโดยฉับพลัน ผู้พูดต้องมีปฏิภาณไหวพริบ ดังนั้นผู้พูดจึงควรเป็นผู้ หมั่นศึกษาหาความรู้ เพื่อให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ได้ 5) สร้างบรรยากาศ การสร้างบรรยากาศที่ดี เมื่อถึงเวลาพูด ผู้พูดจะต้องสร้างบรรยากาศที่ดี ในการพูดเพื่อให้ผู้ฟังสนใจการนำเสนอของผู้พูด โดยต้องแสดงให้ความเป็นกันเอง ความจริงใจ มีอารมณ์ ขันมีมารยาท และรักษาเวลาในการพูด หากมีการเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ซักถามหรือแสดงความคิดเห็นผู้พูด จะต้องรักษามารยาทในการเป็นผู้ฟังที่ดี เปิดใจให้กว้าง ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น หากมีการโต้แย้ง หรือมีความเห็นที่แตกต่างกัน ต้องชี้แจงกันด้วยเหตุผล 6) ประเมินผลการพูด การประเมินผลการพูดทุกครั้ง เพื่อจะได้รู้ข้อผิดพลาดหรือจุดเด่นของ ตนเอง โดยผู้พูดอาจเป็นผู้ประเมินตนเองในเบื้องต้น และให้ผู้อื่นเป็นผู้ช่วยประเมินอีกครั้งหนึ่ง เพื่อนำ ข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงแก้ไข อีกอย่างหนึ่ง การประเมินผลการพูด จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้พูดรู้จุดดี - จุดด้วยของตนเอง ซึ่งควรเป็นผลที่เกิดจากการประเมินด้วยตัวผู้พูดเองร่วมกับการประเมินผลจากผู้ฟัง เพื่อให้ผลการประเมินมีความแน่ชัดมากขึ้น ผู้พูดอาจใช้วิธีการสังเกตปฏิกิริยาของผู้ฟัง หรืออาจใช้แบบ ประเมินผลให้ผู้ฟังเป็นผู้ประเมินก็ได้ 6.4 การพูดรายงาน การพูดรายงาน หมายถึงการบอกเล่า ชี้แจง หรือแสดงผลรวมของกิจกรรมการศึกษา ค้นคว้า วิจัย ที่ได้ดำเนินการไปแล้วอย่างมีจุดมุ่งหมาย เป็นระบบ และมีระยะเวลาดำเนินการที่แน่นอน งานวิจัยด้าน การศึกษา การสาธารณสุข งานด้านวิทยาศาสตร์ หรือด้านอื่น ๆ ที่มุ่งค้นคว้าพัฒนา เพื่อประโยชน์ของคน ส่วนใหญ่ในสังคม จัดเป็นงานที่มีคุณค่าสมควรได้รับการเผยแพร่ และนำเสนอผลรายงานออกไปสู่ สาธารณชนทั้งสิ้น ความสำคัญของการพูดรายงาน การพูดรายงานการวิจัยหรือการศึกษาค้นคว้าเป็นการเผยแพร่ ความรู้ ข้อเท็จจริง การพัฒนา แนวโน้มของปัญหาบางประการ และอาจรวมถึงการสะท้อนความคิดเห็น
104 ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี นำ ความเจริญมาสู่สังคมได้ 6.4.1 การเตรียมการเพื่อพูดรายงาน การพูดรายงานที่ดีนั้น ควรเตรียมการดังนี้ ๑) เตรียมเอกสาร เอกสารประกอบการเสนอรายงานจะแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนคือ (๑) เอกสารเสริม เอกสารส่วนนี้ผู้พูดรายงานอาจจะจัดทำขึ้นไว้ สำหรับแจกจ่ายให้ผู้เข้า ฟังได้อ่านเพิ่มเติมประกอบการอธิบาย เช่น เอกสารเกี่ยวกับงบประมาณ โครงการของหน่วยงาน สถิติที่ น่าสนใจบางประการ หรือบทคัดย่อของงานวิจัย เอกสารเสริมที่สำคัญที่จะขาดไม่ได้คือ ใบประเมินความ คิดเห็นจากผู้ฟัง (๒) ต้นฉบับของเนื้อหา มีส่วนประกอบดังนี้ • ส่วนนำคือ ส่วนที่กล่าวเริ่มเรื่อง เพื่อทำความเข้าใจว่า เป็นการพูดรายงานเรื่องอะไร เช่น ถ้าจะพูดเรื่องของหน่วยงาน สิ่งที่ควรมีคือ ชื่อของหน่วยงาน รูปภาพความเป็นมาของหน่วยงาน โครงสร้างของหน่วยงาน นโยบาย รวมถึงเป้าหมายหรือภารกิจของหน่วยงาน ซึ่งสัมพันธ์กับงานชิ้นนั้น ๆ • ส่วนที่เป็นเนื้อหาหรือผลงาน เนื้อหาหรือผลงานที่ผู้พูดจะนำมาเสนอควรมีการ เรียงลำดับดังนี้ คือ • เสนอขั้นตอนของการค้นคว้าโดยมีหลักฐานอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ • พูดรายงานตามความสำคัญของหัวข้อเรื่อง • แสดงผลงานที่เกิดขึ้นหรือผลการค้นคว้า มีอะไรบ้าง • แยกแยะประเด็นสำคัญของผลงาน หรือผลการค้นคว้าให้เด่นชัด เป็นลำดับ • พูดสรุปผลสำเร็จของผลงาน หรือผลการค้นคว้าว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ด้วยการใช้ภาพ สถิติตัวเลข หรือแผนภูมิแสดงปริมาณงาน งบประมาณเพื่อเป็นหลักฐานประกอบที่ชัดเจน เข้าใจง่าย และน่าสนใจ • ส่วนสรุปคือ ส่วนที่เป็นการวิเคราะห์ ประเมินผลงาน หรือเปรียบเทียบผลงานที่ ค้นพบกับผลงานอื่นที่ผ่านมา การสรุปอาจเป็นข้อสังเกต ข้อเสนอแนะ หรือข้อคิดฝากไว้ รวมทั้งการแสดง แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องที่คาดว่าจะศึกษาค้นคว้าต่อไป ๒) เตรียมอุปกรณ์และสถานที่ การจัดเตรียมอุปกรณ์และสถานที่ให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ มากในการพูดรายงาน โดยคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้คือ (๑) อุปกรณ์ เช่น กระดานไวท์บอร์ด ปากกา จอ เครื่องฉาย LCD เครื่องคอมพิวเตอร์ ไมโครโฟน เครื่องขยายเสียง เครื่องฉายวีดิทัศน์ ฯลฯ อุปกรณ์เหล่านี้ควรมีไว้และอยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้ งานได้ทันที
105 (๒) สถานที่ ควรกว้างพอสมควร มีที่นั่งเพียงพอ และเหมาะสมกับจำนวนผู้เข้าฟังไม่แคบ หรือกว้างเกินไป ที่นั่งของผู้พูดกับผู้ฟังอยู่ในระยะห่างพอควร ในห้องที่เสนอผลงานควรมีแสงสว่างพอดี มี ม่านปรับแสงได้ มีอุณหภูมิพอเหมาะ และไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครมมารบกวนสมาธิ ๓) เตรียมตัวผู้พูดรายงาน ผู้พูดอาจมีเพียงคนเดียว หรือเป็นกลุ่มบุคคล ควรเตรียมตัวเองให้ พร้อมในด้านต่อไปนี้ (๑) เตรียมบุคลิก เช่น ท่าทาง การแต่งกาย การยืน การใช้สายตา หรือใช้มือประกอบ ท่าทาง เป็นต้น (๒) เตรียมวิธีการพูด การเริ่มต้น การแนะนำตนเอง ทักทายผู้ฟัง การเสนอเนื้อหาให้ เหมาะสมกับเวลา การดึงดูดความสนใจของผู้ฟังไว้ให้ได้ตลอดระยะเวลาของการพูด (๓) เตรียมข้อมูล ที่มั่นใจว่าเป็นความจริง ไม่บิดเบือน ซื่อสัตย์ต่อผู้ฟัง และผู้พูดต้อง รับผิดชอบในเนื้อหา ที่พูดออกไป รวมทั้งเตรียมตัวตอบคำถาม ที่อาจได้รับจากผู้ฟังด้วย (๔) เตรียมการใช้ภาษา ด้วยการเลือกใช้ภาษากิ่งแบบแผน ใช้ถ้อยคำให้เหมาะสมกับ โอกาส และกาลเทศะ ใช้ถ้อยคำสั้นๆ กะทัดรัด เข้าใจง่าย เลือกใช้ศัพท์ทางวิชาการบ้าง ตามความ เหมาะสม (๕) เตรียมหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ฟังว่าเป็นใคร มีอาชีพอะไร วัยใด เพื่อปรับตัว ปรับใจและ ปรับสถานการณ์ให้เข้ากับผู้ฟัง (๖) ซ้อมพูดเสนอผลงาน และทดลองใช้อุปกรณ์บางอย่างล่วงหน้า เพื่อจะได้แก้ไข ข้อบกพร่อง 6.4.2 ขั้นตอนการพูดรายงาน ๑) เตรียมอุปกรณ์และเอกสารให้พร้อม ๒) เริ่มพูดตรงตามเวลาที่กำหนด แจกเอกสารประกอบการพูด เอกสารการประเมินความ คิดเห็นจากผู้ฟังให้ผู้ฟังด้วย ๓) กล่าวทักทายผู้ฟัง แนะนำตัวเอง ๔) กล่าวนำเรื่อง แนะนำชื่อเรื่องของผลงานที่เสนอ วัตถุประสงค์ ความเป็นมาโครงสร้างของ หน่วยงาน ฯลฯ ๕) พูดรายงานไปตามลำดับเรื่องที่เตรียมไว้ ชี้ประเด็นสำคัญๆ ให้เด่นชัด ๖) กล่าวสรุปเรื่อง ให้ข้อสังเกต ข้อเสนอแนะ และผลงานที่จะศึกษาค้นคว้าต่อไป ๗) เปิดให้ผู้เข้าฟังได้ชักถาม หรืออภิปรายร่วมกัน ๘) จบการพูดรายงานภายในเวลาที่กำหนดไว้ ๙) รับใบประเมินความคิดเห็นจากผู้ฟังกลับคืน
106 6.4.3 ข้อควรคำนึงถึงในการพูดรายงาน การพูดรายงาน เป็นการพูดที่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า ความสำเร็จของการพูด นอกจากต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมแล้ว ผู้พูดรายงานควรคำนึงถึงสิ่งสำคัญ ดังนี้คือ ๑) ออกเสียงให้ชัดเจน ถูกต้อง เว้นวรรคตอน เน้นเสียงหนักเบาให้เหมาะสม ๒) ประมาณเวลาพูดให้เหมาะสม ๓) พูดเรียงลำดับเนื้อหาให้เป็นระบบ ระเบียบ ไม่สับสน ๔) มีอิริยาบถ บุคลิกที่ดีตลอดเวลาที่พูด เช่น การยิ้ม การทรงตัว การเคลื่อนไหวไปตาม ธรรมชาติ แสดงสีหน้าเหมาะสมกับเรื่อง ใช้มือประกอบคำพูดได้ดี ประสานสายตากับผู้ฟังอย่างทั่วถึง ๕) การพูดบางเรื่องที่ต้องอ่านจากต้นฉบับต้องอ่านอย่างระมัดระวัง ถือต้นฉบับไม่ให้ตกหล่น และไม่ควรสนใจกับต้นฉบับจนลืมผู้ฟัง ๖) ต้นฉบับที่เตรียมไว้ควรเขียนหรือพิมพ์ให้ชัดเจน อ่านง่าย และเรียงลำดับหัวข้อให้สะดวก เวลาอ่าน ๗) ข้อมูลที่ใช้อ้างอิงเพิ่มเติม เช่น ข้อมูลในเพาเวอร์พอยต์ ควรเรียงลำดับตามเรื่องที่เสนอไว้ อย่างชัดเจน ๘) ควรฝึกซ้อมการใช้อุปกรณ์การพูดบางอย่างที่ไม่คุ้นเคย เพื่อให้สามารถใช้ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ๙) ข้อมูลทั้งหมดที่นำมาเสนอ เป็นข้อมูลที่สรุปออกมาจากรายงาน รายละเอียดบางอย่าง ผู้ พูดรายงานอาจแนะนำให้ผู้ฟังศึกษาได้จากรายงานฉบับจริง ซึ่งควรเตรียมมาให้ดในวันนั้นด้วย 6.5 การพูดเป็นพิธีกรและโฆษก มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (๒๕๕๑ : 138 - 139) ได้กล่าวไว้ว่า พิธีกร หมายถึง ผู้ทำหน้าที่ ดำเนินรายการในกิจการนั้น ๆ ให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายประสานประโยชน์ให้เกิดแก่ผู้ฟังและผู้ร่วมรายการ หรือสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างผู้แสดงในรายการนั้นกับผู้ฟัง ผู้ชม โฆษก หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่ประกาศเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อสื่อความหมายให้ผู้ฟังเข้าใจ พิธีกรกับโฆษก ทำหน้าที่คล้ายกันในการเป็นตัวกลางสื่อความหมายแก่ผู้ฟัง แต่พิธีกรนั้นเป็นผู้ทำ หน้าที่ในงาน ซึ่งผู้รับเชิญมาพูดมากกว่าหนึ่งคนขึ้นไป เช่น งานสัมมนาทางวิชาการ งานมงคลสมรส งานรื่น เริงในโอกาสต่าง ๆ ส่วนโฆษกนั้นมักทำหน้าที่ในงานที่มีผู้รับเชิญมาพูดคนเดียว หรือในงานที่จะต้องมีผู้เป็น ตัวกลางในการสื่อความหมายกับผู้ฟัง เพื่อให้การจัดงานนั้นดำเนินไปได้อย่างเรียบร้อย 1) จุดมุ่งหมายของการพูดในฐานะพิธีกรหรือโฆษก
107 1.1) เพื่อแจ้งข้อมูลหรือกิจกรรมต่าง ๆ ให้ผู้ฟังหรือผู้ร่วมงานได้ทราบ 1.2) เพื่อดำเนินรายการให้ราบรื่น มีบรรยากาศเหมาะสมกับโอกาสของงาน 2) ความรู้พื้นฐานของพิธีกรหรือโฆษก 2.1) รู้ลำดับรายการ 2.2) รู้จุดมุ่งหมายของรายการ 2.3) รู้รายละเอียดของแต่ละรายการ 2.4) รู้จักผู้เกี่ยวข้องในแต่ละรายการ 2.5) รู้กาลเทศะ 3) หลักการพูดในฐานะพิธีกรหรือโฆษก 3.1) เริ่มรายการตามแผนที่ได้วางไว้ล่วงหน้า 3.2) ใช้ภาษาให้เหมาะสมกับโอกาสของงาน 3.3) พูดสั้น กระชับ มีชีวิตชีวา 3.4) พูดเสียงดัง กระชับ มีจังหวะพอเหมาะ 3.5) แนะนำผู้พูด ด้วยการเอ่ยชื่อ นามสกุล ตำแหน่งให้ถูกต้อง 3.6) ก่อนเชิญคนต่อไปพูด ควรมีการคั่นจังหวะด้วยคำพูดสั้น ๆ ที่น่าสนใจและเชื่อมโยง เพื่อผ่อนอารมณ์ผู้ฟัง 3.7) ใช้คำพูดนุ่มนวล หลีกเลี่ยงการพูดหรือการแสดงทีท่าโอ้อวด หรือดูถูกผู้ฟัง 3.8) ประสานงานกับทุกฝ่ายจนสิ้นสุดรายการ 4) เทคนิคการเป็นพิธีกรหรือโฆษก 4.1) ต้องมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ 4.2) มาถึงงานก่อนเวลา 4.3) สำรวจความพร้อมของเวที แสง สี และเสียง 4.4) เปิดรายการด้วยความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า 4.5) ดึงดูดความสนใจมาสู่เวทีได้ตลอดเวลา 4.6) แก้ปัญหาหรือควบคุมสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างดี 4.7) ดำเนินรายการได้จนจบ บรรลุตามจุดประสงค์ที่วางไว้
108 6.6 การพูดในที่สาธารณะ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (๒๕๕๑ : 126 - ๑๒๘) ได้กล่าวไว้ว่า การพูดในโอกาสพิเศษเป็น การพูดที่จัดขึ้นเป็นพิเศษ เนื่องในโอกาสสำคัญ ๆ ส่วนใหญ่มักเป็นการพูดอย่างเป็นทางการ เช่น 1. การกล่าวสุนทรพจน์ คำว่า สุนทรพจน์ แปลว่า คำพูดที่ดี หมายถึง การพูดด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ คมคาย หลักแหลม กินใจ มีสำนวนโวหารน่าฟังเหมาะสมกับโอกาส ส่วนใหญ่มักเป็นการพูดอย่างเป็น ทางการสำหรับผู้มีชื่อเสียง หรือมีหน้าที่การงานสำคัญในสังคม อีกอย่างหนึ่ง การกล่าวสุนทรพจน์เป็นการ พูดที่ถือว่าเป็นเกียรติแก่ผู้พูด เพราะมักใช้ในโอกาสพิเศษในการจัดงาน หรือใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง และมีผู้ เชิญให้พูดเพราะการพูดสุนทรพจน์ต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้า ต้องระมัดระวังในเรื่องถ้อยคำ เนื้อหา ท่วงทำนอง การพูดและผู้พูดต้องทำตัวให้มีบุคลิกภาพที่สง่างามด้วย 1.1 จุดมุ่งหมายของการกล่าวสุนทรพจน์ 1) เพื่อแสดงความรู้สึกนึกคิดบางประการเนื่องในโอกาสสำคัญ ๆ 2) เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจและเห็นความสำคัญของโอกาสนั้นยิ่งขึ้น 3) เพื่อให้ข้อคิดหรือเสนอแนวทางให้ผู้ฟังนำไปปฏิบัติ 1.2 หลักการกล่าวสุนทรพจน์ 1) กล่าวถึงโอกาสสำคัญในการพูด 2) กล่าวถึงความรู้สึกที่มีต่อเรื่องที่พูด หรือแสดงทรรศนะให้ผู้ฟังเข้าใจ และเกิดความ ภูมิใจ 3) ให้ข้อคิดหรือแนวทางที่จะนำไปปฏิบัติ 4) ใช้ถ้อยคำไพเราะ สละสลวย ลึกซึ้งสนใจ 5) สร้างบรรยากาศให้เกิดความน่าเลื่อมใส ศรัทธา 6) จบด้วยการสรุปทิ้งท้ายให้นำไปคิดหรือฝากไว้ในความทรงจำตลอดไปและกล่าวอวยพร 2. การกล่าวคำปราศรัย เป็นการพูดเฉพาะเรื่อง เพื่อให้ผู้ฟังทราบข้อเท็จจริงหรือแนวทางปฏิบัติใน เรื่องใดเรื่องหนึ่ง มีลักษณะคล้ายสถานการณ์ในเนื้อหา ภาษา และทัศนคติของผู้กล่าว การกล่าวคำ ปราศรัยเป็นการพูดที่เป็นพิธีการ จึงต้องมีการตระเตรียมมาล่วงหน้าอย่างดี เช่น คำปราศรัยของ นายกรัฐมนตรีเนื่องในวันเด็ก ทำปราศรัยบุคคลสำคัญเนื่องในโอกาสวันสำคัญต่าง ๆ คำปราศรัยของ ประธานในพิธี เนื่องในการเปิดงาน เป็นต้น 2.1 จุดมุ่งหมายในการกล่าวคำปราศรัย
109 1) เพื่อแสดงความรู้สึกนึกคิดบางประการให้ผู้ฟังเข้าใจ 2) เพื่อให้ผู้ฟังเห็นความสำคัญของงานหรือในโอกาสที่พูด 3) เพื่อให้ผู้ฟังเห็นดีเห็นชอบ มีอารมณ์คล้ายตามตามเหตุผล และข้อเท็จจริง 2.2 หลักการกล่าวคำปราศรัย 1) กล่าวถึงความสำคัญของโอกาสที่จะพูด 2) กล่าวเน้นถึงความสำคัญของสิ่งนั้น ๆ ผลงานหรือความสำเร็จในรอบปี 3) นำเหตุการณ์สำคัญ ๆ หรือบุคคลที่มีบทบาทต่าง ๆ มากล่าว เพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม 4) พูดถึงอดีต ปัจจุบัน และความหวังที่ดีงามในอนาคต 5) จบด้วยการกล่าวให้ข้อคิดและกล่าวคิดอวยพร 3. การให้โอวาท โอวาทคือคำแนะนำตักเตือน การพูดให้โอวาท จึงเป็นการพูดที่ผู้อาวุโส ผู้มีเกียรติ หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่สูงกว่า พูดเพื่อนแนะนำ สั่งสอนหรืออบรมให้ผู้ฟังเป็นคนดีมีศีลธรรม เรื่องที่พูดมัก เกี่ยวกับการศึกษา ความประพฤติ ความสามัคคี หรือเรื่องการแต่งงาน ฯลฯ มักพูดในโอกาสต่าง ๆ เช่น โอกาสที่มีผู้สำเร็จการศึกษา การมอบวุฒิบัตรหรือการเริ่มปฏิบัติงานในโครงการต่าง ๆ เป็นต้น 3.1 จุดมุ่งหมายของการให้โอวาท 1) เพื่อให้ข้อคิดแก่ผู้ฟัง 2) เพื่อตักเตือนและชี้แนวทางปฏิบัติ 3) เพื่อให้เกิดความสงบสุขของการอยู่ร่วมกันในสังคม 3.2 หลักการพูดให้โอวาท 1) กล่าวถึงความสำคัญของโอกาสที่ให้โอวาท 2) เน้นหลักสำคัญที่ให้ผู้ฟังนำไปปฏิบัติ 3) กล่าวถึงหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้รับโอวาท 4) กล่าวถึงอุปสรรคปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และเสนอแนะวิธีการเอาชนะอุปสรรคนั้น 5) ตักเตือนให้ประพฤติตนในทางที่ถูกที่ควร 6) ทิ้งท้ายด้วยการแสดงความหวังและให้กำลังใจในการนำไปปฏิบัติและจบด้วยการอวย พร 4. การแสดงปาฐกถา ปาฐกถา หมายถึง ถ้อยคำหรือเรื่องราวทางวิชาการที่กล่าวหรือบรรยายใน ที่ชุมชน เป็นการพูดหรือการบรรยายที่แสดงความรู้ในโอกาสที่หน่วยงานสถาบัน สมาคม สโมสร เชิญ
110 ผู้ทรงคุณวุฒิมาให้ความรู้ทางวิชาการ เป็นการพูดที่ผู้พูดไม่หวังว่า ผู้ฟังจะเชื่อหรือคล้อยตาม แต่เป็นการ เสนอข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น เรียกผู้พูดว่า องค์ปาฐก 4.1 จุดมุ่งหมายของการแสดงปาฐกถา 1) เพื่อถ่ายทอดความรู้และความคิดเห็นของผู้พูดไปสู่ผู้ฟัง 2) เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความรู้และเพิ่มพูนสติปัญญา ๓) เพื่อให้ผู้ฟังนำความรู้ความเข้าใจไปใช้ประโยชน์และเผยแพร่ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น ต่อไป ๔.๒ หลักการแสดงปาฐกถา ๑) กล่าวคำปฏิสันถารที่เหมาะสมและน่าฟัง ๒) กล่าวอารัมภบทอย่างน่าสนใจ ๓) พูดตรงประเด็น ๔) กล่าวถึงเนื้อหาสาระที่เป็นความรู้ชัดเจน มีเหตุผล ๕) พูดแบบสร้างสรรค์ ไม่เครียดเกินไป เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาและการมองโลกในแง่ดี ๖) ใช้เวลาเหมาะสม ๗) สรุปให้ผู้ฟังเข้าใจแจ่มแจ้งและประทับใจ ๕. การกล่าวรายงานในงานพิธี เป็นการกล่าวรายงานของผู้เป็นประธานการดำเนินงานจะต้อง กล่าวรายงานต่อประธานในพิธี เพื่อให้ทราบถึงความเป็นมา ความสำคัญและรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับ การจัดงานก่อนที่จะทำพิธีเปิดงาน ๕.๑ จุดมุ่งหมายของการกล่าวรายงานในงานพิธี ๑) เพื่อให้ประธานในพิธีได้ทราบความเป็นมาของการจัดงาน ๒) เพื่อให้ประธานในพิธีได้ทราบรายละเอียดต่าง ๆ เช่น วัตถุประสงค์ เป้าหมาย วิธี ดำเนินงาน และผลที่คาดว่าจะได้รับ เป็นต้น ๕.๒ หลักการกล่าวรายงานในพิธี ๑) กล่าวขอบคุณที่ประธานให้เกียรติมาเป็นประธาน ๒) รายงานความเป็นมา วัตถุประสงค์ เป้าหมาย วิธีดำเนินงานตลอดจนผลที่คาดว่าจะ ได้รับ ๓) กล่าวถึง ความอนุเคราะห์หรือความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ๔) เชิญให้ประธานกล่าวคำปราศรัยและเปิดงาน
111 6.7 การพูดในโอกาสต่าง ๆ เพื่อมารยาทในสังคม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (๒๕๕๑ : 130 - 135) ได้กล่าวไว้ว่า การสมาคม บุคคลอาจมี โอกาสได้รับเชิญให้เป็นผู้กล่าวอวยพร กล่าวแสดงความรู้สึก กล่าวต้อนรับ ตามประเพณีนิยมของสังคม ซึ่ง เป็นกิจกรรมซึ่งผู้พูดที่มีประสบการณ์มากมีความรู้และปฏิภาณดี ก็ย่อมกล่าวได้ดี ส่วนผู้ที่มีประสบการณ์ น้อยก็จำเป็นต้องฝึกฝน และอาศัยการร่างคำกล่าวไว้ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถกล่าวได้ด้วยความมั่นใจ แต่ การพูดในโอกาสต่าง ๆ เหล่านี้ อาจมีทั้งกรณีที่สามารถเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าและการพูดโดยกะทันหัน ข้อแนะนำในการพูดเพื่อมารยาทในสังคมนั้นควรกล่าวเพียงสั้น ๆ โดยกล่าวถึงจุดมุ่งหมายที่จะพูด แล้วดำเนินเรื่องสู่เป้าหมายเลยทีเดียว ผู้พูดต้องวิเคราะห์โอกาสว่าเป็นพิธีการมากน้อยเพียงใดและใช้ น้ำเสียงที่แสดงความจริงใจที่จะก่อให้เกิดความเป็นมิตร ความสุข และความพอใจ หลักในการพูดในโอกาสต่าง ๆ เพื่อมารยาทในสังคม มีดังนี้ ๑. การแนะนำ เป็นการพูดเพื่อแนะนำให้เป็นที่รู้จัก ถือเป็นมารยาทสังคมแบบหนึ่ง ซึ่งทำได้หลาย โอกาสดังนี้ ๑.1 การแนะนำตัวให้ผู้อื่นรู้จัก มีสิ่งที่ควรแนะนำดังนี้ 1) แนะนำชื่อและนามสกุล 2) ที่อยู่ปัจจุบัน 3) ตำแหน่งหน้าที่การงาน 4) เพื่อให้รู้จักกันดีขึ้นอาจเพิ่มเติมเรื่องภูมิลำเนาเดิม ความถนัด ความสนใจ และ ความสามารถพิเศษ 1.2 การแนะนำให้บุคคลรู้จักกัน เป็นมารยาททางสังคมอย่างหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ผู้มาใหม่มี โอกาสได้สนทนากับกลุ่ม เป็นการเริ่มไมตรีที่ดีต่อกัน ซึ่งมีหลักในการแนะนำดังนี้ 1) แนะนำผู้น้อยให้รู้จักกับผู้ใหญ่ โดยให้เกียรติผู้ใหญ่ก่อนด้วยการกล่าวถึงผู้ใหญ่แล้วตาม ด้วยผู้น้อย เช่น คุณตาครับ นี่วิบูลย์เพื่อนผม วิบูลย์นี่คุณตาของผมเอง เป็นต้น 2) แนะนำผู้ชายให้รู้จักกับผู้หญิง ในกรณีที่มีความอาวุโสเท่าเทียมกันเช่น คุณสมหญิงครับ นี่คืออาจารย์สมชาย อาจารย์ใหญ่ครับและอาจารย์สมชายนี่อาจารย์สมหญิงประธานหลักสูตรครับ เป็นต้น
112 1.3 การแนะนำวิทยากร มีจุดมุ่งหมายเพื่อแนะนำให้ผู้ฟังรู้จักผู้พูดที่ได้รับเชิญมาบรรยายให้ ความรู้ด้วยการปาฐกถาหรือเป็นวิทยากร ซึ่งผู้แนะนำควรติดต่อขอรายละเอียดไว้ล่วงหน้ามีหลักในการ แนะนำดังนี้ 1) แนะนำชื่อและนามสกุล 2) บอกคุณวุฒิ 3) กล่าวถึงหน้าที่การงานในปัจจุบัน 4) กล่าวถึงเกียรติคุณที่เคยได้รับเพื่อเป็นเกียรติและสร้างศรัทธาของผู้ฟัง 5) ความรู้และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่พูด 2. การกล่าวต้อนรับ โอกาสที่จะพูดได้แก่ เมื่อมีแขกคนสำคัญมาเยี่ยม และเมื่อมีผู้ร่วมงานใหม่ เพื่อแสดงอัธยาศัยไมตรีอันดี สร้างความรู้สึกอบอุ่น ความรู้สึกที่ดีงามต่อกันและเป็นการให้เกียรติแก่ผู้มา เยี่ยม หรือผู้มาใหม่ด้วย หรือในโอกาสการกล่าวต้องรับผู้มาประชุม 2.1 กล่าวถึงความรู้สึกยินดีหรือเป็นเกียรติของเจ้าของสถานที่ 2.2 พูดเรื่องที่เกี่ยวกับส่วนดีของผู้มาใหม่ให้ผู้ฟังรู้จักเพื่อเป็นการให้เกียรติ ถ้าเป็นการประชุม ก็กล่าวถึงความสำคัญของการประชุม วัตถุประสงค์ ความเป็นมา ประโยชน์ที่จะได้รับ และต้อนรับผู้มา ประชุมให้รู้สึกผ่อนคลาย เกิดความเป็นกันเอง 2.3 พูดเรื่องความปรารถนาดีของเจ้าของสถานที่ และความยินดีที่จะช่วยเหลือ 2.4 กล่าวสรุปว่า ผู้มาเยือนนั้นจะมีความสุข สบายใจ ประสบความสำเร็จ ถ้าเป็นผู้มาเยือนก็ หวังว่า คงกลับมาเยี่ยมเยือนอีก 3. การกล่าวตอบการต้อนรับ 1) กล่าวขอบคุณที่ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี 2) แสดงความซาบซึ้งในความเอาใจใส่ ด้วยน้ำเสียงที่แสดงความจริงใจ 3) จบลงด้วยความหวังว่าจะมีโอกาสกลับมาอีกครั้ง 4. การกล่าวมอบรางวัลหรือของขวัญ ในการที่มีพิธีมอบรางวัล หรือการมอบของขวัญ มักจะมี การกล่าวก่อนที่จะมอบ มีหลักในการพูด ดังนี้ 1) กล่าวถึงโอกาสว่า มอบรางวัลหรือของขวัญนี้ในโอกาสใด 2) กล่าวถึงหน่วยงานหรือในนามของผู้ใด ซึ่งผู้พูดต้องจดจำข้อเท็จจริงต่าง ๆ ให้แม่นยำ เช่น ชื่อหน่วยงาน ชื่อของบุคคล โดยเฉพาะชื่อบุคคลที่ได้รับเกียรติให้รับของขวัญหรือรางวัล
113 3) กล่าวถึงเหตุผลที่สมควรได้รับรางวัล ว่าผู้ได้รับของขวัญหรือรางวัลมีคุณสมบัติสมควร ได้รับเกียรตินี้อย่างไร 4) กล่าวถึงของขวัญ หรือของรางวัล ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ตอบแทนความดีหรือเป็นของที่ระลึก แทนความดีนั้น 5) อาจกล่าวถึงผู้ฟัง และกระตุ้นให้ผู้ฟังเกิดกำลังใจที่จะเป็นผู้มีโอกาสได้รับรางวัลเพื่อตอบ แทนความดีและความสามารถเช่นนี้บ้าง 6) เมื่อกล่าวจบ จึงมอบของขวัญและอาจสัมผัสมือเพื่อแสดงความยินดีแบบสากลนิยมด้วยก็ ได้ 5. การกล่าวตอบการรับมอบรางวัลและของขวัญ การกล่าวตอบต้องระวังอย่าให้สั้นเกินไปจนอาจ กลายเป็นไม่สุภาพ ควรเป็นการกล่าวเพื่อแสดงว่า 1) ผู้รับมีความรู้สึกยินดีเพียงใด 2) แสดงความรู้สึกขอบคุณผู้มาร่วมงานหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จ (ถ้ามี) 3) กล่าวถึงของขวัญว่ามีความหมายสำหรับผู้รับอย่างไร 4) แสดงความตั้งใจว่าจะรักษาเกียรตินั้นไว้นานเท่านาน 6. การกล่าวแสดงความอาลัย เป็นการกล่าวเพื่อแสดงความรัก และอาลัยต่อบุคคลที่ต้องจากไป หรือการกล่าวเพื่อไว้อาลัยผู้ล่วงลับ มีหลักในการกล่าวดังนี้ 1) การกล่าวคำอาลัย เมื่อมีผู้ย้ายไปปฏิบัติงานในที่ใหม่ ลาออกจากงานหรือพ้นจากตำแหน่ง หน้าที่จะมีการจัดเลี้ยงส่งหรืออำลา ในโอกาสนี้มักจะเป็นการเชิญบุคคลต่าง ๆ ขึ้นกล่าวแสดงความรู้สึก ซึ่งมีหลักดังนี้ (1) กล่าวอย่างจริงใจ (2) ยกย่องชมเชย คุณงามความดีหรือกล่าวถึงผลงานที่เป็นเคยปฏิบัติมา (3) กล่าวถึงความรัก และอาลัยของเพื่อนร่วมงาน (4) แสดงความหวังว่า ความสำเร็จที่ได้กระทำมาแล้ว จะเป็นแนวทางให้ผู้อื่นนำไปปฏิบัติ เพื่อความสำเร็จต่อไป (5) กล่าวอวยพรให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานใหม่ ถ้าต้องเดินทางก็ขอให้ เดินทางโดยสวัสดิภาพ (6) มอบของที่ระลึก
114 2) การกล่าวแสดงความอาลัยแก่ผู้ล่วงลับ เป็นการกล่าวไว้อาลัยในงานศพ เพื่อเป็นการให้ เกียรติแก่ผู้เสียชีวิต และมักจะค่อนข้างเป็นพิธีการ มีหลักการกล่าวดังนี้ (1) กล่าวถึงชีวประวัติของผู้ล่วงลับโดยสังเขป (2) กล่าวถึงผลงานและคุณความดี (3) กล่าวถึงสาเหตุที่ต้องเสียงชีวิต (4) แสดงความอาลัยของผู้ที่ยังอยู่ (5) ขอให้ดวงวิญญาณไปสู่ที่สุคติ (6) เชิญชวนให้มีการไว้อาลัย 7. การกล่าวอำลา ในวงการธุรกิจหรือราชการ เมื่อมีผู้ออกจากงาน โยกย้ายตำแหน่งหน้าที่ มักจะ มีการจัดเลี้ยงส่งเพื่ออำลา ผู้กล่าวคำอำลาควรระมัดระวังการใช้ถ้อยคำใช้คำพูดที่มีความจริงใจ โดยยึด หลักดังนี้ 1) พูดถึงสาเหตุที่ต้องจากไป ถ้าผู้ฟังทราบมาก่อนแล้ว ก็ควรกล่าวเริ่มต้นกล่าวถึงความอาลัย ในการจาก 2) กล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนร่วมงาน การช่วยเหลือเกื้อกูลความซาบซึ้งในน้ำใจ และความประทับใจ ขณะที่ได้รับเมื่ออยู่ที่ที่ทำงานเดิม 3) พูดถึงตำแหน่งใหม่ งานใหม่ หรือสถานที่ใหม่ แต่ต้องระวังไม่ให้ผู้ฟังรู้สึกว่าดีใจที่จะจากไป 4) กล่าวเชิญชวนให้เพื่อนร่วมงานไปเยี่ยมเยือน ณ ที่ทำงานใหม่ 5) แสดงความหวังว่าจะได้กลับมาอีก 6) ขอบคุณในไมตรีจิตของผู้ร่วมงาน และผู้เกี่ยวข้องในการจัดงานเลี้ยงอำลานี้ 8. การกล่าวแสดงความยินดี เป็นการกล่าวแสดงความชื่นชมในความสำเร็จของบุคคลหรือ หน่วยงาน เพื่อเป็นการให้เกียรติและเพื่อการประสานความร่วมมือกันต่อไป เช่น การกล่าวแสดงความยินดี ในโอกาสที่บุคคลนั้นได้รับตำแหน่งใหม่ ได้รับการยกย่องประกาศเกียรติคุณ หน่วยงานได้รับยกย่องหรือได้ รางวัล มีหลักในการกล่าวดังนี้ 1) บอกให้ทราบว่ากล่าวในนามของใคร 2) แสดงความยินดีอย่างจริงใจ 3) กล่าวยกย่องในความวิริยะอุตสาหะ และคุณความดีที่บุคคลหรือหน่วยงานนั้นกระทำจน ประสบความสำเร็จ 4) กล่าวอวยพรและมอบดอกไม้หรือของที่ระลึกเพื่อแสดงความยินดี
115 9. การกล่าวตอบการแสดงความยินดี ผู้กล่าวตอบควรแสดงความภูมิใจในความสำเร็จของตนเอง ถ้าเป็นผู้นำต้องแสดงความเข้มแข็งจริงจัง เพื่อแสดงให้เห็นความสามารถในการเป็นผู้นำ แต่มีข้อควรระวัง คือ อย่าแสดงความอวดตัว หรือแสดงความไม่มั่นใจ มีหลักในการกล่าว ดังนี้ 1) แสดงความรู้สึกยินดีที่ได้มาทำงานร่วมกัน 2) ยกย่องสถาบัน หรือหน่วยงานที่ทำงานอยู่ 3) กล่าวถึงหลักการหรืออุดมคติในการทำงานของตนเอง 4) แสดงให้เห็นว่าผู้ร่วมงานทุกคนมีความรับผิดชอบและมีความสำคัญต่อหน่วยงานและขอให้ ทุกคนร่วมมือกันทำงาน 10. การกล่าวมอบตำแหน่ง ในการทำงานย่อมมีโอกาสโยกย้ายเปลี่ยนแปลงตำแหน่งใหม่ การ สับเปลี่ยนดังกล่าวต้องมีการมอบงาน มอบตำแหน่ง เพื่อเป็นเกียรติและให้กำลังใจแก่ผู้มารับตำแหน่งใหม่ มีหลัก ดังนี้ 1) กล่าวถึงความสำคัญของตำแหน่ง เพื่อให้ผู้รับตำแหน่ง เกิดความภูมิใจ 2) กล่าวยกย่องในความสามารถและคุณสมบัติพิเศษของผู้มารับตำแหน่ง 3) ฝากความหวังว่ากิจการงานทั้งหลายจะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ 4) อวยพรให้ประสบความสำเร็จในการทำงานในตำแหน่งใหม่ 11. การกล่าวตอบการรับมอบตำแหน่ง เพื่อแสดงความจริงใจและความตั้งใจในการที่จะทำงานใน ตำแหน่งที่ได้รับมอบ มีหลักในการกล่าวดังนี้ 1) แสดงความขอบคุณที่ได้รับเกียรติจากผู้มอบตำแหน่ง และการต้อนรับจากผู้ร่วมงาน 2) แสดงความเชื่อมั่นว่าจะได้รับความร่วมมือร่วมใจจากผู้ร่วมงานทุกคน 3) กล่าวแสดงความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้ประสบความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ 12. การกล่าวมอบถาวรวัตถุและสิ่งก่อสร้าง การกล่าวมอบถาวรวัตถุไว้เป็นสาธารณประโยชน์ นิยมทำกันทั่วไปในสังคม เช่น ห้องสมุด ถนน อาคาร ครุภัณฑ์ ศาลาที่พักคนเดินทาง มีหลักดังนี้ 1) แสดงเจตนารมณ์ของผู้มอบ เช่น เพื่อเป็นสาธารณกุศล เพื่อการศึกษา เพื่อเป็นที่ระลึกหรือ เพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงลับ 2) กล่าวถึงประโยชน์ที่จะได้รับ 3) ฝากความหวังว่าถาวรวัตถุนี้จะเป็นประโยชน์ตามเจตนารมณ์ของผู้มอบ 13. การกล่าวรับมอบถาวรวัตถุและสิ่งก่อสร้าง 1) แสดงความขอบคุณแก่ผู้มอบ
116 2) แสดงความตั้งใจที่จะใช้สิ่งที่รับมอบให้สมกับเจตนารมณ์ของผู้มอบ 3) กล่าวอวยพร โดยขออำนาจบุญกุศลดลบันดาลให้ผู้มอบมีความสุขความเจริญตลอดไป 14. การกล่าวอวยพร ในการอยู่ร่วมกันในสังคม มีโอกาสที่คนในสังคมจะกล่าวอวยพรแก่กันใน โอกาสต่าง ๆ เพื่อแสดงความรักความเอื้ออาทรให้กำลังใจ และเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ผู้รับ ถือเป็น ประเพณีนิยมและเป็นมารยาทอันดีงามในสังคม โอกาสและหลักในการกล่าวอวยพรมีดังนี้ 1) การอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิด มีหลักในการกล่าว ดังนี้ (1) กล่าวแสดงความรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มากล่าวอวยพร (2) กล่าวถึงความสำคัญของวันนี้ (3) กล่าวถึงความสัมพันธ์หรือความคุ้นเคยของผู้พูดที่มีต่อเจ้าภาพ (4) กล่าวถึงคุณความดีของเจ้าของวันเกิด (5) กล่าวถึงความสามารถและความก้าวหน้าในอนาคต (6) อวยพรให้มีอายุยืนยาว มีความสุข ความเจริญ 2) การกล่าวอวยพรในงานขึ้นบ้านใหม่ (1) แสดงความรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมงานและกล่าวคำอวยพร (2) กล่าวถึงความสวยงาม ความสะดวกสบายของบ้านใหม่ (3) กล่าวถึงความสำเร็จของครอบครัวที่มีบ้านเรือนเป็นรากฐาน (4) กล่าวถึงความสามารถของเจ้าของบ้านที่มีความขยันหมั่นเพียรในการก่อร่างสร้างบ้าน (5) แสดงความยินดีในความสำเร็จ (6) อวยพรให้สมาชิกทุกคนในบ้านประสบแต่ความสุข และความเจริญรุ่งเรือง 3) การกล่าวอวยพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ (1) แสดงความยินดีที่ได้รับเกียรติให้มากล่าวอวยพร หากเป็นผู้แทนให้กล่าวว่ากล่าวใน นามใคร (2) กล่าวถึงความสำคัญของวันขึ้นปีใหม่ (3) อวยพรให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีและมีความสุขในวันขึ้นปีใหม่ 4) การกล่าวอวยพรเนื่องในงานมงคลสมรส ในงานมงคลสมรสผู้ได้รับเชิญมากล่าวอวยพรนั้น ส่วนใหญ่จะเชิญบุคคลที่มีเกียรติ เป็นที่เคารพนับถือของเจ้าภาพและคู่สมรสมีประวัติครองเรือนที่ดี มีหลัก ปฏิบัติในการกล่าวดังนี้ (1) กล่าวแสดงความรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้รับเชิญมากล่าวอวยพรแก่คู่สมรส
117 (2) กล่าวถึงว่าท่านกล่าวในฐานะใด เช่น เป็นประธาน เป็นผู้แทนเจ้าภาพฝ่ายเจ้าสาว ฝ่าย เจ้าบ่าว หรือผู้บังคับบัญชา (3) กล่าวถึงความสัมพันธ์ของผู้พูดกับคู่บ่าวสาว หรือครอบครัวของคู่บ่าวสาว (4) แสดงความยินดีให้เกียรติยกย่องคู่บ่าวสาว ว่ามีความเหมาะสมกันในการครองชีวิตคู่ (5) ให้ข้อคิดเกี่ยวกับชีวิตการครองเรือน (6) แสดงความขอบคุณผู้มาร่วมงาน (7) กล่าวอวยพรและเชิญชวนผู้มีเกียรติร่วมกันดื่มอวยพร 6.8 การประเมินค่าการพูด การประเมินค่าการพูดต่อประชาชนจากสถานการณ์จริงจะช่วยให้ทราบว่า การพูดนั้นบังเกิดผล เพียงใดประ โยชน์ที่ได้รับคือ ผู้พูดจะได้นำผลจากการประเมินไปปรับปรุงการพูดของตนเองให้ดีขึ้น การประเมินค่าการพูด ควรพิจารณาจากหัวข้อต่อไปนี้ ๑) จุดมุ่งหมายในการพูด ๒) การเตรียมตัว ๓) วิธีการนำเสนอ ๔) คุณธรรมในการพูด ๕) การใช้ภาษา ควรพิจารณาจาก • ภาษาพูด เนื้อหาสาระ ถ้อยคำ ระดับของภาษาที่ใช้ • ภาษาท่าทาง สีหน้า แววตา น้ำเสียง กิริยาท่าทาง การแต่งกาย ๖) สาร ควรพิจารณาจาก • เนื้อหาสาระ ปริมาณ • การเรียงลำดับเนื้อหา ๗) ผู้ฟัง ควรพิจารณาจาก • ความสนใจ • ปฏิกิริยาตอบสนอง • ผู้ฟัง การประเมินค่าการพูดจะช่วยให้เกิดประโยชน์ 3 ประการคือ ๑) ช่วยเสนอแนะเพื่อปรับปรุงแก้ไขการพูดให้ดีขึ้น ๒) ช่วยฝึกสมรรถภาพการสังเกต การประเมินค่าให้ละเอียด แม่นยำ และเป็นระบบ
118 ๓) ฝึกทักษะการฟังอย่างมีจุดมุ่งหมายตลอดเวลา การประเมินผลการพูด อาจพิจารณาจากลำดับขั้นตอนการเสนอสารประโยชน์ของเนื้อหาที่ นำเสนอ การใช้ภาษา บุคลิกภาพ กลวิธีการนำเสนอ ปรัชญา อาภากุล และการุณันทน์ รัตนแสนวงษ์ (2542 : 81) ได้เสนอแบบประเมินผลการพูด ดังนี้ ชื่อผู้พูด..................................................................................................................................................... ชื่อผู้วิจารณ์............................................................................................................................................... วัน เดือน ปี/เวลา..........................................................หัวข้อ.................................................................... รายการประเมินผล ดีมาก ดี พอใช้ ต้องปรับปรุง หมายเหตุ 1. การปรากฏกาย ......... ...... ......... .................... ..................................... 2. การกล่าวเปิดฉาก ......... ...... ......... ..................... ..................................... 3. น้ำเสียง ......... ...... ......... ..................... ..................................... 4. ไวยากรณ์ .......... ....... ......... ...................... ..................................... 5. เนื้อหา .......... ....... ......... ...................... ..................................... 6. กิริยาท่าทาง .......... ........ ......... ...................... ..................................... 7. ความสนใจของผู้ฟัง .......... ........ ......... ...................... ..................................... 8. การเรียบเรียงคำพูด .......... ........ ......... ...................... ..................................... 9. ศัพท์ที่เหมาะสม .......... ......... ......... ...................... ..................................... 10. ความจริงใจ .......... ......... ......... ...................... ..................................... 11. สาระการพูด .......... ......... ......... ...................... ..................................... 12. การกล่าวสรุป .......... ......... ......... ...................... ..................................... 13. การถ่ายทอดความคิด .......... ......... .......... ...................... ..................................... คำแนะนำเพิ่มเติม...................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................
119 เอกสารอ้างอิง กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์. (2562). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์. (2543). พูดได้ – พูดเป็น. กรุงเทพฯ : โอเอสพริ้นติ้งเฮาส์. นภดล จันทร์เพ็ญ. (๒๕๓๙). การใช้ภาษาไทย. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : ต้ออ้อ แกรมมี่. นิพนธ์ ทิพย์ศรีนิมิต. (2544). หลักการพูด. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). สงขลา : มหาวิทยาลัยทักษิณ. ปรัชญา อาภากุล และการุณันทร์ รัตนแสนวงษ์. (2542). ทักษะการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร (การ พูด-การเขียน). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีปทุม. ประสงค์ รายณสุข. (2528). การพูดเพื่อประสิทธิภาพ. เอกสารประกอบการบรรยายลำดับที่ ๕๓, กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร. (๒๕๕๑) ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. (พิมพ์ครั้งที่ ๖). กรุงเทพฯ : สำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ. ยรรยง มีสติ. (2525). วาทการสำหรับครู. มหาสารคาม : อภิชาตการพิมพ์. รัญจิตร แก้วจำปา. (2544). ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : พัฒนาศึกษา. ลักษณา สตะเวทิน. (2536). หลักการพูด. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยกรุงเทพ. วิรัช ลภิรัตนกุล. (2525). วาทนิเทศและวาทศิลป์ : หลักทฤษฎีแลกวิธีปฏิบัติสู้ยุคสหสวรรษใหม่. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สมิต สัชฌกร. (2547). การพูดต่อชุมนุมชน. กรุงเทพฯ : สายธาร. สวนิต ยมาภัย และถิรนันท์ อนวัชศิริวงศ์. (2538). หลักการพูดขั้นพื้นฐาน. (พิมพ์ครั้งที่ ๙). กรุงเทพฯ : บริษัทเยลโล่การพิมพ์. สวัสดิ์ บันเทิงสุข. (2537). เทคนิคการพูด. (พิมครั้งที่ ๓). กรุงเทพฯ : ฉับแกระ. สมชาติ กิจยรรยง. (2548). ศิลปะการพูดสำหรับผู้นำ. กรุงเทพฯ : กรรกมลการพิมพ์. สุขุม นวลสกุล. (2540). พูดได้ - พูดเป็น. กรุงเทพฯ : ต้นอ้อ. อัมพร แก้วสุวรรณ. (2522). วิชาการพูด. กรุงเทพฯ : บรรณกิจ. เอกฉัท จารุเมธีชน. (2541). ภาษาไทยธุรกิจ. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
บทที่ 7 ทักษะการอ่าน 7.1 หลักการอ่านอักษรนำ วิเชียร เกษประทุม (๒๕๕๘ : ๑๕๔ – ๑๕๖) กล่าวไว้ว่า อักษรนำ คือ พยัญชนะ ๒ ตัวร่วมอยู่ใน สระตัวเดียวกัน เวลาอ่านออกเสียงพยางค์แรกจะมีสระอะ ผสมอยู่ส่วนพยางค์หลังจะออกเสียงวรรณยุกต์ ตามพยัญชนะตัวหน้า คล้ายมี ห นำ ยกเว้นเสียงพยัญชนะตัวหน้า เป็น ห หรือ อ นำ ย ไม่อ่านออกเสียงอะ ที่ ห หรือ อ นั้นแต่ออกเสียงพยัญชนะตัวหลัง ให้มีเสียงวรรณยุกต์ตาม ห หรือ อ ทั้งนี้พยัญชนะตัวหน้า ต้องเป็นอักษรสูงหรืออักษรกลาง และพยัญชนะตัวหลังต้องเป็นอักษรต่ำเดี่ยวเท่านั้น 1. ทบทวนความรู้ อักษรสูงมี ๑๑ ตัว ได้แก่ ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ ส ห อักษรกลางมี ๙ ตัว ได้แก่ ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ อักษรต่ำเดี่ยวมี ๑๐ ตัว ได้แก่ ง ญ ณ น ม ย ร ล ว ฬ อักษรต่ำคู่มี ๑๔ ตัว ได้แก่ ค ฅ ฆ ช ซ ฌ ฑ ท ธ พ ฟ ภ ฮ 2. ลักษณะของอักษรนำและวิธีอ่าน 2.๑ อักษรสูงนำอักษรต่ำเดี่ยว เวลาอ่านออกเสียงพยางค์แรกมีสระอะผสมอยู่ แต่ออกเสียง สระอะเพียงครึ่งเสียง ส่วนพยางค์หลังออกเสียงพยัญชนะตัวที่สองประสมกับสระและตัวสะกดตามที่ ปรากฏ โดยต้องออกเสียงวรรณยุกต์ตามพยัญชนะตัวหน้าที่นำมา ขนม อ่านว่า ขะ-หฺนม ฉลาด อ่านว่า ฉะ-หฺลาด ผลิต อ่านว่า ผะ-หฺลิด ฝรั่ง อ่านว่า ฝะ-หฺรั่ง สนาม อ่านว่า สะ-หฺนาม ถนน อ่านว่า ถะ-หฺนน ยกเว้น คำบางคำมีรูปเขียนแบบอักษรนำ แต่ไม่นิยมออกเสียงแบบอักษรนำดังกล่าว เข้าใจว่า เพราะเป็นคำที่เกิดใหม่ หรือมีเสียงไม่เพราะหูก็เป็นได้ เช่น ขมา อ่านว่า ขะ-มา แขม อ่านว่า ขะ-แม สมัชชา อ่านว่า สะ-มัด-ชา สมัญญา อ่านว่า สะ-มัน-ยา สมาคม อ่านว่า สะ-มา-คม สมาชิก อ่านว่า สะ-มา-ชิก เถมิน อ่านว่า ถะ-เมิน
121 ๒.2 อักษรกลางนำอักษรต่ำเดี่ยว เวลาอ่านออกเสียงใช้หลักเดียวกันกับอักษรสูงนำอักษรต่ำ เดี่ยวดังกล่าวมาแล้วเช่น กนก อ่านว่า กะ-หฺนก กรอด อ่านว่า กะ-หฺรอด จรวจ อ่านว่า จะ-หฺรวด ตลาด อ่านว่า ตะ-หฺลาด ปรัก อ่านว่า ปะ-หฺรัก ปลัด อ่านว่า ปะ-หฺลัด อนึ่ง อ่านว่า อะ-หฺนึ่ง จรัส อ่านว่า จะ-หฺรัด ตนุ อ่านว่า ตะ-หฺนุ องุ่น อ่านว่า อะ-หฺงุ่น 2.๓ ห นำอักษรต่ำเดี่ยว จะออกเสียงพยางค์เดียว ไม่ออกเสียงอะที่ตัว ห แต่เสียงวรรณยุกต์ เป็นไปตามเสียงตัว ห ที่นำ ตัว ห ใช้นำพยัญชนะตัวอื่น ๆ ได้ ๘ ตัว ดังนี้ ห นำ ง เช่น หงอก หงอน ห นำ ญ เช่น หญ้า หญิง ห นำ น เช่น หนู หนี ห นำ ม เช่น หมอ เหมือน ห นำ ย เช่น หย่า หยอก ห นำ ว เช่น หวาย แหวน ห นำ ร เช่น หรู หรอก ห นำ ล เช่น หลาย เหลือ 2.๔ อ นำ ย จะออกเสียงพยางค์เดียว ไม่ออกเสียงอะที่ตัว อ แต่เสียงวรรณยุกต์เป็นไปตาม เสียงตัว อ ที่นำ คำที่ตัว อ นำ ย นั้นมีอยู่ ๔ คำเท่านั้นได้แก่ อย่า อยู่ อย่าง อยาก 2.๕ อักษรสูงหรืออักษรกลาง นำอักษรกลางหรือนำอักษรต่ำคู่ หรืออักษรต่ำนำอักษรต่ำ ให้ อ่านพยางค์ที่ถูกนำเป็นเสียงปรกติ ไม่ต้องอ่านตามเสียงวรรณยุกต์ของตัวนำ 1) อักษรสูงนำอักษรกลาง เช่น ฉกาจ อ่านว่า ฉะ-กาด ฉบับ อ่านว่า ฉะ-บับ ผจญ อ่านว่า ผะ-จน สตางค์ อ่านว่า สะ-ตาง สบาย อ่านว่า สะ-บาย ผกา อ่านว่า ผะ-กา 2) อักษรสูงหรืออักษรกลาง นำอักษรต่ำคู่ เช่น เฉพาะ อ่านว่า ฉะ-เพาะ ผทม อ่านว่า ผะ-ทม สภา อ่านว่า สะ-พา สภาพ อ่านว่า สะ-พาบ ไผท อ่านว่า ผะ-ไท 3) อักษรต่ำ นำอักษรต่ำ เช่น ชม้อย อ่านว่า ชะ-ม้อย ทนุ อ่านว่า ทะ-นุ ธนา อ่านว่า ทะ-นา พนม อ่านว่า พะ-นม พยศ อ่านว่า พะ-ยด
122 3. การอ่านออกเสียงแบบอักษรนำ มีคำที่ไทยเรารับมาจากภาษาบาลีสันสกฤต ที่ไม่ได้เป็นอักษรนำ เพราะมีรูปสระปรากฏอยู่ใน พยางค์แรก แต่พยัญชนะต้นของพยางค์แรกเป็นอักษรสูงหรืออักษรกลาง และพยัญชนะต้นของพยางค์หลัง ที่ตามมาเป็นอักษรต่ำเดี่ยว อนุโลมให้อ่านเลียนเสียง แบบอักษรนำได้ เช่น ดิเรก อ่านว่า ดิ–เหฺรก ดิลก อ่านว่า ดิ–หฺลก บัญญัติ อ่านว่า บัน-หฺยัด ประมาท อ่านว่า ประ-หฺมาด ประโยค อ่านว่า ประ-โหฺยก ประโยชน์ อ่านว่า ประ-โหฺยด ประวัติ อ่านว่า ประ-หฺยัด สิริ อ่านว่า สิ-หฺริ นอกจากนี้ยังมีคำ ๓ พยางค์ อยู่จำนวนหนึ่ง ที่มีตัวสะกดของพยางค์หน้าเป็นอักษรสูงหรืออักษร กลางและพยัญชนะต้นของพยางค์หลังเป็นอักษรต่ำเดียว ซึ่งเป็นลักษณะของอักษรนำ จึงอนุโลมให้อ่าน เลียนแบบการอ่านของอักษรนำได้ เช่น กฤษณา อ่านว่า กฺริด-สะ-หฺนา จักราช อ่านว่า จัก-กะ-หฺราด ปริศนา อ่านว่า ปฺริด-สะ-หฺนา ริษยา อ่านว่า ริด-สะ-หฺยา วาสนา อ่านว่า วาด-สะ-หฺนา ศักราช อ่านว่า สัก-กะ-หฺราด อุปโลกน์ อ่านว่า อุบ-ปะ-โหฺลก ยกเว้น คำบางคำ แม้จะมีลักษณะดังกล่าว ก็ไม่นิยมอ่านเลียนแบบการอ่านอักษรนำเพราะเป็นคำ ที่เกิดขึ้นใหม่ หรือมีเสียงไม่เพราะหูก็เป็นได้ เช่น ล่ กฤษณะ อ่านว่า กริด-สะ-นะ กฤษณี อ่านว่า กริด-สะ-นี ประณีต อ่านว่า ประ-นีด วิษณุ อ่านว่า วิด-สะ-นุ อัปยศ อ่านว่า อับ-ปะ-ยด อัปลักษณ์ อ่านว่า อับ-ปะ-ลัก อัศวิน อ่านว่า อัด-สะ-วิน เอกราช อ่านว่า เอก-กะ-ราด
123 7.2 หลักการอ่านอักษรควบหรืออักษรควบกล้ำ วิเชียร เกษประทุม (2558 : 157) กล่าวไว้ว่า อักษรควบ หรืออักษรควบกล้ำเรียกอีกอย่างหนึ่ง ว่า อักษรประสม หมายถึง อักษรที่ควบอยู่กับพยัญชนะ ร ล ว แล้วประสมด้วยสระตัวเดียวกัน ซึ่งอักษร ควบแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด ได้แก่ 1. อักษรควบแท้ คือ พยัญชนะต้น ๒ ตัว รวมอยู่ในสระตัวเดียวกัน พยัญชนะตัวแรกอาจเป็น ก ข ค ด ต ท บ ผ พ ฟ ส่วนพยัญชนะตัวหลังอาจเป็น ร ล ว เวลาอ่านจะออกเสียงพยัญชนะต้นทั้ง ๒ ตัวควบ กล้ำกันสนิทจะเรียกว่า “คำควบแท้” หรือ “คำควบกล้ำ” ก็ได้ ดังตัวอย่าง 1) พยัญชนะตัวหลังอาจเป็นตัว ร (ควบกับ ร) กร เช่น กรอง เกรอะกรัง ขร เช่น ขรัว ขรุขระ คร เช่น ครอง คร่าว ดร เช่น ดราฟต์ ดรัมเมเยอร์ ตร เช่น ตรา ตรึง ทร เช่น จันทรา นิทรา บร เช่น เบรก บรอนซ์ ปร เช่น ปราบ เปรียบ พร เช่น พริก พร้อม ฟร เช่น ฟรี 2) พยัญชนะตัวหลังเป็นตัว ล (ควบกับ ล) กล เช่น กลอง กล้า ขล เช่น ขลาด ขลัง คล เช่น คลอง คล้าย บล เช่น บล็อก ปล เช่น ปลา ปลูก ผล เชาน ผลุง เผลอ พล เช่น พลัด พลาด ฟล เช่น ฟลุก แฟลต 3) พยัญชนะตัวหลังเป็นตัว ว (ควบกับ ว) กว เช่น กวาง เกวียน ขว เช่น ขวาง ขวักไขว่ คว เช่น ควาย ควัน ๒.อักษรควบไม่แท้ คือ คำที่มีพยัญชนะต้น ๒ ตัว พยัญชนะตัวหลังเป็น ร ประสมกับสระตัว เดียวกัน เวลาอ่านออกเสียงเพราะพยัญชนะตัวหน้าหรือออกเสียงแปรไปเป็นพยัญชนะตัวอื่น จะเรียกว่า คำควบไม่แท้ก็ได้ ที่อ่านออกเสียง เฉพาะพยัญชนะตัวหน้า เช่น จริง อ่านว่า จิง ไซร้ อ่านว่า ไซ้ สร้าง อ่านว่า ส้าง
124 มีโคลงช่วยจำ ซึ่งไม่ทราบนามผู้แต่งแต่งไว้เกี่ยวกับคำควบไม่แท้ ดังนี้ เศรษฐีประเสริฐสร้าง อาศรม เสร็จแฮ เสริมทรงศรัทธานิยม สร้างเศร้า สร้อยศีรษะทรงผม กำสรด สิ้นแฮ แสร้งโศกกำสรวลเย้า เล่นไซร้ไปจริง ฯ ตัวอย่าง คำควบไม่แท้ที่อ่านออกเสียงแปรไปเป็นพยัญชนะตัวอื่นได้แก่ ตัว ท ที่ควบกับตัว ร แล้ว ออกเสียงเป็นตัว “ซ” เช่น ทรุดโทรม อ่านว่า ซุด-โซม ทราบ อ่านว่า ซาบ ทราม อ่านว่า ซาม ทราย อ่านว่า ซาย พุทรา อ่านว่า พุด-ซา 7.3 หลักการอ่านคำพ้อง วิเชียร เกษประทุม (2558 : 157 – 168) กล่าวไว้ว่า คำว่า พ้อง แปลว่า เหมือน ฉะนั้น คำพ้อง จึงหมายถึง คำที่มีลักษณะใดลักษณะหนึ่งเหมือนกัน กล่าวคือ อาจเป็นรูปเขียน เสียงอ่าน หรือความหมาย ก็ได้ ซึ่งคำพ้องในภาษาไทย แบ่งออกได้เป็น ๔ ประเภท ดังนี้ 1. คำพ้องรูป หมายถึง คำที่เขียนเหมือนกัน แต่อ่านต่างกัน และมีความหมายต่างกัน เช่น คำ คำอ่าน ความหมาย กรี กฺรี กระดูกแหลมที่หัวกุ้ง เช่น กุ้งมีกรีอยู่ที่หัว กะ-รี ช้าง พญากรีมีงายาวมาก กาก กาก เศษ,เดน,ของเหลือ เช่น เด็ก ๆ ทิ้งกากอาหารไว้ กา-กะ นกกา เช่น กากมีตัวสีดำ เขมา เข-มา สบายใจ เช่น เขารู้สึกเขมามากเมื่อสอบผ่านวิชานี้ ขะ-เหมา ชื่อโกศชนิดหนึ่งใช้เป็นเครื่องยาไทย เช่น เขาไปเก็บเขมามาทำยา แขม แขมฺ ไม้ล้มลุกที่ขึ้นตามชายน้ำ เช่น มีต้นแขมขึ้นอยู่ตามซอยน้ำ ขะ-แม คนเขมร คนแขมก็คือคนเขมร ครุ ครุ ภาชนะสานชนิดหนึ่ง เช่น คุณปู่นั่งสานครุไปขาย คะ-รุ ครู, หนัก เช่น ฉันเรียนอยู่คณะครุศาสตร์
125 ๒. คำพ้องเสียง หมายถึง คำที่เขียนต่างกัน แต่อ่านออกเสียงเหมือนกัน เช่น คำ คำอ่าน ความหมาย กรรณ กัน หู เช่น พระกรรณหมายถึงหู กัณฐ์ คอ เช่น ทศกัณฐ์ มี ๑๐ คอ กัน กั้น ห้าม โกนให้เสมอกัน เช่น ช่างตัดผมกำลังกันผม กัลป์ ระยะเวลานานมาก เช่น จงรักกันชั่วกัปชั่วกัลป์ การ กาน งาน สิ่งหรือเรื่องที่ทำขึ้น เช่น เวลาทำการของบริษัทเริ่มตั้งแต่ ๘. ๐๐ น. การณ์ เหตุเค้า มูล เช่น วันนี้เกิดเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นขึ้น กาล เวลา เช่น กาลเวลามีค่าเราจึงต้องตรงต่อเวลา กาฬ ดำเช่นเขาเป็นไข้กาฬ กาน ตัดเพื่อให้แตกใหม่เช่น พ่อกานต้นมะม่วงในสวน กานต์ เป็นที่รัก เช่น จันทรกานต์แปลว่าที่รักของพระจันทร์ กานท์ บทกลอน เช่น นักเรียนควรหัดแต่งกลอนกานท์เข้าไว้บ้าง เกด เกด ชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง เช่น คุณปู่กำลังลูกต้นเกดในสวน เกตุ ธง ชื่อดาวพระเคราะห์ดวงหนึ่ง เช่น ดาวพระเกตุเป็นดาวอยู่ในระบบสุริยะ เกศ ผม หัว เช่น พระเกศดำเป็นมันวาว ๓. คำพ้องความ หมายถึง ที่เขียนต่างกันแต่มีความหมายเหมือนกันหรือใกล้เคียงกันมาก อาจ เรียกว่า คำไวพจน์ก็ได้ เช่น คำ คำไวพจน์ ดวงอาทิตย์ ตะวัน สุริยะ สุริยา สุริยัน สุรีย์ ทินกร ไถง(ถะ-ไหง) รพี รวี อาภากร ทิพากร ทิวากร รังสิมา รังสิมันตุ์ ภาณุ ภาณุมาศ น้ำ ชล วารี อุทก ป่า วนา พนา พนาลี พนาวัน พนาดร ไพร พนาสัณฑ์ ไพรสัณฑ์พนาสณฑ์ อรัญ พนัส ฝน พรรษ(พัด) พิรุณ วัสสะ ไฟ เพลิง อัคคี อัคนี (อัก-คะ-นี) ท้องฟ้า นภา นภดล เวหา เวหน ทิฆัมพร อัมพร คคนัมพร คคนางค์คคนานต์ โพยม (พะ-โยม) ภูเขา ดอย บรรพ สิงขร พนม ไศล คีรี ศิงขรี ศิขริน
126 ๔. คำพ้องรูป-พ้องเสียง หมายถึง คำที่เขียนเหมือนกัน และออกเสียงเหมือนกัน แต่มีความหมาย ต่างกัน เช่น คำ ความหมาย กัน คำใช้แทนผู้เพศชาย พูดกับเสมอหรือผู้น้อยในทำนองกันเอง เช่น วันนี้กันไม่ไปด้วยนะ กัน คำประกอบท้ายกิริยาของผู้กระทำตั้งแต่ ๒ คนขี้นไปแสดงการกระทำร่วมกัน เช่น พวก เราจงมาปรึกษาหารือกัน กัน กีดขวางไว้ให้เข้าไปหรือออกไป หรือไม่ให้เกิดขึ้น เช่น จงกันเข้าอย่าให้เข้ามาพบฉัน กัน โกนให้เป็นเขตเสมอ เช่น เขากันคิ้วให้ฉัน ฉัน คำที่ใช้แทนคำผู้พูด พูดกับผู้เสมอหรือผู้ใหญ่พูดกับผู้น้อย เช่น ฉันมาโรงเรียนทุกวัน ฉัน กิน (ใช่แก่ภิกษุสามเณร) เช่น พระสงฆ์กำลังฉันอาหาร ฉัน เช่น จงอยู่ด้วยฉันญาติพี่น้อง มัน ชื่อเรียกว่าไม้เถาหรือไม้ต้นที่ใช้หัวเป็นอาหารได้ เช่น เขาไปขุดเผือกขุดมันมากินต่างข้าว มัน เนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดหนึ่งในคน สัตว์ มีลักษณะนุ่มๆ หยุ่นๆ มีไขมันในตัว เช่น แม่ชอบกิน มันหมู มัน คำที่เราใช้แทนผู้ที่เราพูดถึง สำหรับผู้ใหญ่เรียกสุนัขและสำหรับเรียกสัตว์เช่น สุนัขมัน ชอบไล่กัดแมว มัน เพลิน ถูกอกถูกใจ เช่น มวยคู่นี้ยกมันเหลือเกิน มัน มีรสอย่างกะทิหรืออย่างถั่งลิสงคั่ว.เป็นเงา เช่น ขนมนี้มีรสหวานมันเหงื่อออกหน้าเป็น มัน 7.4 หลักการอ่านคำสมาส วิเชียร เกษประทุม (2558 : 169 – 170) กล่าวไว้ว่า คำสมาส คือ การเอาคำในภาษาลีหรือสัน สฤตตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไป มาประสมกันเหมือนกันกับย่อให้เป็นคำเดียวโดยมีความหมายสัมพันธ์กันในตัว เนื่องจากคำภาษาลีหรือสันสฤต จะอ่านออกเสียงตังอักษรท้ายคำ เมื่อนำมาใช้ในภาษาไทย อักษรตัวท้าย คำจะเป็นตัวสะกด ดังนั้นเมื่อนำคำอื่นมาต่อท้ายเป็นรูปสมาสจังต้องอ่านออกเสียงสระที่ประสมกับพยางค์ ท้ายของคำหน้าให้เสียงต่อเนื่องกับคำหลังด้วย ดังนี้ ๑. พยางค์ท้ายของคำหน้า ไม่มีรูปสระใดกำกับอยู่ ให้อ่านเหมือนมีเสียงสระ อะ ประสมอยู่ต่อเนื่อง กับคำหลัง เช่น
127 กิจวัตร อ่านว่า กิด-จะ-วัด คณิตศาสตร์ อ่านว่า คะ-นิด-ตะ-สาด จิตแพทย์ อ่านว่า จิด-ตะ-แพด ทศนิยม อ่านว่า ทด-สะ-นิ-ยม นาฏกรรม อ่านว่า นาด-ตะ-กำ บาทยุคล อ่านว่า บาด-ยุ-คน ปฐมวัย อ่านว่า ปะ-ถม-มะ-ไว มลพิษ อ่านว่า มน-ละ-พิด โลกธรรม อ่านว่า โลก-กะ-ทำ อภัยโทษ อ่านว่า อะ-ไพ-ยะ-โทด ๒. ถ้าพยางค์ท้ายของคำหน้า มีรูปสระ อิ หรือ สระ อุ กำกับอยู่ให้อ่านออกเสียงสระ อิ หรือ สระ อุ นั้นต่อเนื่องกับคำหลัง เช่น เกียรติคุณ อ่านว่า เกียด-ติ-คุน ชาติภูมิ อ่านว่า ชาด-ติ-พูม ธาตุสถูป อ่านว่า ทา-ตุ-สะ-ถูบ ประวัติศาสตร์ อ่านว่า ประ-หวัด-ติ-สาด เมรุมาศ อ่านว่า เม-รุ-มาด อุบัติเหตุ อ่านว่า อุ-บัด-ติ-เหด ๓. ถ้าพยางค์ท้ายของคำหน้าเป็นพยัญชนะควบกล้ำ กร คร ตร ทร จะต้องออกเสียงพยัญชนะ ดังกล่าวควบกับสระ อะ ด้วย เช่น จักรวรรดิ อ่านว่า จัก-กระ-หวัด อัครราชทูต อ่านว่า อัก-คระ-ราด-ชะ-ทูด เกษตรกร อ่านว่า กะ-เสด-ตะ-กอน สมุทรศาสตร์ อ่านว่า สะ-หมุด-ทระ-สาด ๔. คำที่มีลักษณะเป็นคำสมาส แต่ไม่นิยมอ่านออกเสียงเชื่อมสระระหว่างคำแบบศัพท์คำสมาส เมื่อพยางค์แรกของคำหลัง ขึ้นต้นด้วยพยางค์เบา(พยางค์เบาคือพยางค์ที่ออกเสียงแบบไม่เน้นเสียงน้ำหนัก) ในที่นี้คือคำที่พิมพ์ด้วยตัวเอน เช่น เกียรตินิยม อ่านว่า เกียด-นิ-ยม จันทรเกษม อ่านว่า จัน-กะ-เสม ชลบุรี อ่านว่า ชน-บุ-รี ชาตินิยม อ่านว่า ชาด-นิ-ยม เทพธิดา อ่านว่า เทบ-ท ิ-ดา ปฐมพยาบาล อ่านว่า ปะ-ถม-พะ-ยา-บาล มีนบุรี อ่านว่า มีน-บุ-รี ลพบุรี อ่านว่า ลบ-บุ-รี วิสุทธิกษัตริย์ อ่านว่า วิ-สุด-กะ-สัด ศรีนครินทรวิโรฒ อ่านว่า สี-นะ-คะ-ริน-ว ิ-โรด สุพรรณบุรี อ่านว่า สุ-พัน-บุ-รี สุภาพบุรุษ อ่านว่า สุ-พาบ-บุ-หรุด อินทรธนู อ่านว่า อิน-ทะ-นู อมรินทรวินิจฉัย อ่านว่า อะ-มะ-ริน-ว ิ-นิด-ไฉ
128 ๕. มีคำสมาสบางคำ พยางค์แรกของคำหลังไม่ได้ขึ้นต้นด้วยพยางค์เบาเหมือนคำข้างต้นแต่ก็ไม่ อ่านออกเสียงเชื่อมสระระหว่างคำแบบสมาสเช่นเดียวกัน จะเรียกว่าเป็นการอ่านตามความนิยมก็ได้ เช่น ชัยนาท อ่านว่า ไช-นาด บดินทรเดชา อ่านว่า บอ-ดิน-เด-ชา ปทุมธานี อ่านว่า ปะ-ทุม-ทา-นี ภูมิฐาน อ่านว่าพูม-ถาน ภูมิธรรม อ่านว่า พูม-ทำ ภูมิปัญญา อ่านว่า พูม-ปัน-ยา สมุทรปราการ อ่านว่า สะ-หมุด-ปรา-กาน สมุทรสาคร อ่านว่า สะ-หมุด-สา-คอน 7.5 หลักการอ่านออกเสียงสระ –ะ ระหว่างพยางค์ คำในภาษาไทยที่มีมากกว่า ๑ พยางค์ เวลาอ่านต้องแทรก สระ –ะ ระหว่างพยางค์ กำชัยทองหล่อ (2513 : 566) ได้ประพันธ์เป็นกาพย์ฉบัง ๑๖ ไว้ดังนี้ จั๊กจั่นจั๊กแหลนเเล่นไป ตั๊กแตนตาไว ตุ๊กต่ำตุ๊กตุ่นจุนสี สมุลแว้งอุตลุดราวี อัดคัดชุกชี สกปรกสัปหงกงงงวย ลักเพศทักทินสิ้นสวย พิศดูสำรวย อุตพิดพิศวงสัตวา ลักปิดลักเปิดตุ๊กตา ลักจั่นจำลา โสกโดกสัปดนฤๅดี สักหลาดสักวาพาที สัปเหร่อเจอผี ดุจดังสัพยอกสัพทน อลหม่านอลเวงอลวน รอมร่อเลิศล้น จุกผามจุกชีชันโรง ชันสูตรสักท้าวเฝ้าโยง ทุนทรัพย์ส่อโกง กลเม็ดจุกโรหินี พัลวันอึกทึกธานี จักเดียมจักจี้ ชันกาดชักเย่อชุลมุน
129 7.6 หลักการอ่านคำแผลง วิเชียร เกษประทุม (2558 : 172) กล่าวไว้ว่า คำแผลง ที่จะกล่าวถึงในที่นี้ คือคำแผลงที่เกิดจาก คำเดิมเป็นคำพยางค์เดียวแล้วเพิ่มส่วนของคำตามแบบของภาษาเขมรลงไปทำให้มี ๒ พยางค์เวลาอ่านออก เสียงวรรณยุกต์ของพยางค์หลังให้มีเสียงระดับเดียวกันกับคำเดิม เช่น กราบ แผลงเป็น กำราบ อ่านว่า กำ-หราบ กรด แผลงเป็น กระลด อ่านว่า กระ-หลด กลอก แผลงเป็น กระลอก อ่านว่า กระ-ลอก กลับ แผลงเป็น กระลับ อ่านว่า กระ-หลับ เกิด แผลงเป็น กำเนิด อ่านว่า กำ-เหนิด จด แผลงเป็น จรด อ่านว่า จะ-หรด จรัส แผลงเป็น จำรัส อ่านว่า จำ-หรัส ตรวจ แผลงเป็น ตำรวจ อ่านว่า ตำ-หรวจ ปรับ แผลงเป็น ตำรับ อ่านว่า ตำ-หรับ ตรัส แผลงเป็น ดํารัส อ่านว่า ดํา-หรัส ตริ แผลงเป็น ดำริ อ่านว่า ดำ-หริ ตรุ แผลงเป็น ตำรุ อ่านว่า ตำ-หรุ ปราบ แผลงเป็น บําราบ อ่านว่า บำ-หราบ แผก แผลงเป็น แผนก อ่านว่า ผะ-แหนก สรวจ แผลงเป็น สำรวจ อ่านว่า สำ-หรวจ เสร็จ แผลงเป็น สำเร็จ อ่านว่า สำ-เหร็จ ยกเว้น คำบางคำไม่อ่านตามหลักการอ่านข้างต้นแต่อ่านตามรูปที่เขียน เช่น แจก แปลงเป็น จำแนก อ่านว่า จำ-แนก ปราศ แผลงเป็น บำราด อ่านว่า บำ-ราด อาจ แผลงเป็น อำนาจ อ่านว่า อำ-นาด
130 7.7 หลักการอ่านพยางค์ที่มี รร (รอ หัน) วิเชียร เกษประทุม (2558 : 174 – 176) กล่าวไว้ว่า รร เป็นตัวอักษรที่แปลงมาจาก รฺ ที่ เรียกว่า ร- เรผะ (อ่านว่ารอ-เร-ผะ)ในภาษาสันสกฤตภาษาไทยเรียกว่า ร หัน รร อ่านออกเสียงแตกต่าง กันดังนี้ ๑. พยางค์ที่มีพยัญชนะต้นประสมกับ รร ให้อ่านออกเสียงเป็น - น คือเสียงสระ -ะ ตามด้วยเสียง ตัวสะกดแม่กน เช่น กรรเจียก อ่านว่า กัน-เจียก หมายถึง เครื่องประดับหูมีรูปเป็นกระหนก กรรเชียง อ่านว่า กัน-เชียง หมายถึง เครื่องพุ้ยน้ำให้เรือเดิน กรรโชก อ่านว่า กัน-โชก หมายถึง ขู่ด้วยกิริยาวาจาให้กลัว กรรณิการ์ อ่านว่า กัน-นิ-กา หมายถึง ชื่อไม้ต้นขนาดเล็ก กรรไกร อ่านว่า กัน-ไตร หมายถึง เครื่องมือสำหรับตัดโดยใช้หนีบ กรรแสง อ่านว่า กัน–แสง หมายถึง ส่งเสียงร้อง จรรโลง อ่านว่า จัน-โลง หมายถึง ค้ำชู บรรดา อ่านว่า บัน-ดา หมายถึง ทั้งหลาย บรรทุก อ่านว่า บัน-ทุก หมายถึง บรรจุลงพาหนะเพื่อขนย้าย บรรลัย อ่านว่า บัน-ไล หมายถึง วอดวาย ยกเว้น พรรดึก อ่านว่า พัน-ระตึก หมายถึง อุจจาระที่เป็นก้อนแข็งกลม สรรพางค์ อ่านว่า สัน-ระ-พาง หมายถึง ทั้งตัวพยางค์ที่พยัญชนะต้นประสมกับ ๒. พยางค์ที่พยัญชนะต้นประสมกับ รร และมีพยัญชนะอื่น ตามมาเป็นตัวสะกดให้อ่านออกเสียง เป็นเสียงสระ ะ เช่น กรรม อ่านว่า กำ หมายถึง การกระท่า ครรภ อ่านว่า คัน หมายถึงท้อง ทรรป อ่านว่า ทับ หมายถึง ความโง่ ธรรม อ่านว่า ทำ หมายถึง คุณความดี บรรพ อ่านว่า บับ หมายถึงข้อ พรรค อ่านว่า พัก หมายถึง หมู่คนที่เข้าร่วมกัน
131 ๓. พยางค์ที่พยัญชนะต้นประสมกับ รร มีพยัญชนะอื่นตามมาเป็นตัวสะกด และมีคำอื่นมาต่อท้าย ด้วย โดยออกเสียงเป็นพยางค์เบา เช่น กรรมกร อ่านว่า กำ-มะ-กอน หมายถึง คนงาน กรรมฐาน อ่านว่า กำ-มะ-ถาน หมายถึง ที่ตั้งแห่งการงาน กรรมสิทธิ์ อ่านว่า กำ-มะ-สิด หมายถึง ความเป็นเจ้าของทรัพย์ ธรรมคุณ อ่านว่า ทำ-มะ-คุน หมายถึง ชื่อบทแสดงคุณของพระธรรม ธรรมนูญ อ่านว่า ทำ-มะ–นูน หมายถึง กฎหมายที่จัดระเบียบองค์กร มรรคนายก อ่านว่า มัก-คะ-นา-ยก หมายถึง ผู้นำทาง วรรณกรรม อ่านว่า วัน-นะ-กำ หมายถึง งานหนังสือ วรรณคดี อ่านว่า วัน-นะ-คะ-ดี หมายถึง วรรณกรรมที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดี ยกเว้น บรรพชา อ่านว่า บัน-พะ-ชา หมายถึง การบวช บรรพชิต อ่านว่า บัน-พะ-ชิด หมายถึง นักบวชในพระพุทธศาสนา บรรพบุรุษ อ่านว่า บัน-พะ-บุ-หุรุด หมายถึง ผู้เป็นต้นวงศ์ตระกูล บรรพสตรี อ่านว่า บัน-พะ-สัด-คุรี หมายถึง ผู้หญิงเป็นต้นวงศ์ ๔. พยางค์ที่พยัญชนะต้นประสมกับ รร ที่อ่านได้ทั้ง ๒ อย่างก็มี คือ รร ออกเสียงเป็น น หรือ น + ระ เช่น บรรยาย อ่านว่า บัน ยาย หมายถึง ชี้แจงหรืออธิบาย หรือ บัน - ระ - ยาย ภรรยา อ่านว่า พัน ยา หมายถึง เมีย หรือพัน - ระ ยา สรรเสริญ อ่านว่า สัน เสิน หมายถึง ยกย่อง หรือ สัน ระ เสิน
132 7.8 หลักการอ่านตัว “ฑ” วิเชียร เกษประทุม (2558 : 177 – 178) กล่าวไว้ว่า ตัว “ฑ” ในภาษาไทยออกเสียงได้ ๒ อย่าง คือ ออกเสียงเป็นเสียง /ท/ หรือ /ด/ ตามลักษณะที่ปรากฏ ดังนี้ ๑. ออกเสียงเป็นเสียง /ท/ เมื่อตัวสะกด ฑ เป็นพยัญชนะต้นของคำตาย และคำตายนั้นเป็นพยางค์ เบา เช่น ขัณฑสีมา อ่านว่า ขัน-ทะ-สี-มา หมายถึง ส่วนที่เป็นเป็นเขตแดน ขัณฑสกร อ่านว่า ขัน-ทค-สะ-กอน หมายถึง น้ำตาลกรวด ทัณฑสถาน อ่านว่า ทัน-ทะ-สะ-ถาน หมายถึง เรือนจำพิเศษประเภทหนึ่ง มณฑถ อ่านว่า มน-ทถ หมายถึง กบ มัณฑนา อ่านว่า มัน-ทะ-นา หมายถึง เครื่องประดับ ยกเว้น ทัณฑกรรม อ่านว่ส ทัน-ตะ-กำ หมายถึง การลงโทษ ๒. ออกเสียงเป็นเสียง /ท/ เมื่อตัว ฑ เป็นพยัณชนะต้นของคำเป็น และคำเป็น เป็นพยางค์หนัก เช่น กรีฑา อ่านว่า กรี-ทา หมายถึง กีฬาประเภทหนึ่ง จัณฑาล อ่านว่า จัน-ทาน หมายถึง ต่ำช้า บัณฑูร อ่านว่า บัน-ทูน หมายถึง คำสั่ง มณฑล อ่านว่า มน-ทน หมายถึง บริเวณ มณฑา อ่านว่า มน-ทา หมายถึง ชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง มณโฑ อ่านว่า มน-โท หมายถึง ชื่อมเหสีทศกันฐ์ ภัณฑารักษ์ อ่านว่า พัน-ทา-รัก หมายถึง ผู้ดูแลรักษาสิ่งของ ๓. ออกเสียงเป็นเสียง /ด/ เมื่อตัว ฑ เป็นพยัญชนะต้นของคำตาย และคำตายนั้นพยางค์หนัก เช่น บัณฑิต อ่านว่า บัน-ดิด หมายถึง ผู้มีปัญญา บัณฑุ อ่านว่า บัน-คุ หมายถึง สีเหลืองอ่อน บัณเฑาะก์ อ่านว่า บัน-เดาะ หมายถึง กะเทย บัณเฑาะว์ อ่านว่า บัน-เดาะ หมายถึง กลองเล็กชนิดหนึ่ง
133 หมายเหตุ มีคำตัว ฑ ที่ออกเสียงได้ทั้ง ๒ อย่าง ได้แก่ บุณฑริก อ่านว่า บุน-ดะ-รัก หมายถึง บัวขาว หรือ บุน-ทะ-ริก 7.9 หลักการอ่านคำหรือพยางค์ที่ไม่มีรูปสระกำกับ วิเชียร เกษประทุม (2558 : 179 – 183) กล่าวไว้ว่า คำหรือพยางค์ในภาษาไทยมีทั้งที่มีรูปสระ กำกับและไม่มีรูปสระกำกับ ค้าที่รูปสระกำกับก็ออกเสียงไปตามรูปสระที่กำกับนั้น ส่วนคำที่ไม่มีรูปสระ กำกับ มีหลักการอ่านดังนี้ ๑. คำที่พยัญชนะไม่มีรูปสระกำกับ และไม่เป็นตัวสะกด หรือไม่เป็นคำควบกล้ำให้อ่านออกเสียง เป็นพยางค์ที่ประสมกับสระ อะ ซึ่งเป็นการอ่านเรียงพยางค์ตามแบบคำภาษาบาลีและสันสกฤต เช่น กตเวทิตา อ่านว่า กะ-ตะ-เว-ทิ-จา หมายถึง ความเป็นผู้สนองคุณท่าน ทนาย อ่านว่า ทะ-นาย หมายถึง ผู้รับใช้ ธนบัตร อ่านว่า ทะ-นะ- บัด หมายถึง บัตรที่ใช้แทนเงินตรา ปกรณัม อ่านว่า ปะ-กะ-ระ-นำ หมายถึง เรื่อง ปรัมปรา อ่านว่า ปะ-รำ-ปะ-รา หมายถึง เก่าก่อน ปราชัย อ่านว่า ปะ-รา-ไช หมายถึง พ่ายแพ้ ปริญญา อ่านว่า ปะ-ริน-ยา หมายถึง ความกำหนดรู้ พยาธิ อ่านว่า พะ-ยา-ทิ หมายถึง ความเจ็บไข้ ๒. คำที่พยัญชนะต้นไม่มีรูปสระกำกับ พยัญชนะตัวที่ตามมาเป็นตัว ร จะออกเสียงพยัญชนะด้น นั้นประสมกับสระ ออ และตัว ร อ่านเป็นตัวสะกดในแม่กน เช่น กร ในคำว่า มังกร อ่านว่า มัง-กอน หมายถึง สัตว์ในนิยายจีนรูปร่างคล้ายู คร ในคำว่า สาคร อ่านว่า สา-คอน หมายถึง แม่น้ำ ชร ในคำว่า บัญชร อ่านว่า บัน-ชอน หมายถึง หน้าต่าง ดร ในคำว่า อุดร อ่านว่า อุ-ดอน หมายถึง ทิศเหนือ ทร ในคำว่า อนาทร อ่านว่า อะ-นา-ทอน หมายถึง เป็นทุกข์เป็นร้อน ธร ในคำว่า วินัยธร อ่านว่า วิ-ใน-ทอน หมายถึง ภิกษุผู้ชำนาญวินัย นร ในคำว่า วานร อ่านว่า วา-นอน หมายถึง ลิง
134 ๓. คำที่พยัญชนะต้นไม่มีรูปสระกำกับ พยัญชนะที่ตามมาเป็นตัว ร และมีพยางค์อื่นตามตัว ร มา ด้วยจะออกเสียงพยัญชนะต้นนั้นประสมกับสระ ออ ส่วนตัว ร จะประสมกับสระ อะ และออกเสียงเป็น พยางค์เบา เช่น กรพินทุ์ อ่านว่า กอ-ระ-พิน หมายถึง ทับทิม จรดล อ่านว่า จอ-ระ-ดน หมายถึง เที่ยวไปถึง จรลี อ่านว่า จอ-ระ-ลี หมายถึง เดินเยื้องกราย ทรพี อ่านว่า ทอ-ระ-พี หมายถึง เนรคุณ ทรมาน อ่านว่า ทอ-ระมาน หมายถึง ทำให้ลำบาก ธรณี อ่านว่า ทอ-ระ-นี หมายถึง แผ่นดิน นรชาติ อ่านว่า นอ-ระ-ชาด หมายถึง คน ยกเว้น กรบูร อ่านว่า กะ-ระ-บูน หมายถึง ชื่อไม้ต้นชนิดหนึ่ง ดรณี อ่านว่า ตะ-ระ-นี หมายถึง เรือ สรณะ อ่านว่า สะ-ระ-นะ หมายถึง ที่พึ่ง ๔. คำที่พยัญชนะต้นไม่มีรูปสระคำกับ และพยัญชนะที่ตามมาเป็นพยัญชนะตัวอื่นที่ไม่ใช่ตัว ร (ตาม ข้อ ๓) ให้ออกเสียงพยัญชนะตัวนั้นประสมกับสระ โอะ และออกเสียงพยัญชนะที่ตามมาเป็นตัวสะกด เช่น กล ขบ กน งบ จลาจล ฉ้อฉล ชล ซน ดง ตบ ทน นพ บน ปม ผล ฝน พบ ฟก มด อศ รถ ลม ศพ สด หด อด ๕. คำที่พยัญชนะต้นเป็นตัว บ และ ไม่มีรูปสระกำกับ จะออกเสียงพยัญชนะของคำนั้นประสมกับ สระออ เช่น บ อ่านว่า บอ หมายถึง ไม่ บดินทร์ อ่านว่า บอ-ดิน หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน บดี อ่านว่า บอ-ดี หมายถึง นาย, ผู้บังคับบัญชา บโทน อ่านว่า บอ-โทน หมายถึง คนใช้ บพิตร อ่านว่า บอ-พิด หมายถึง พระองค์ทรง บพิธ อ่านว่า บอ-พิด หมายถึง แต่ง บรม อ่านว่า บอ-รม หมายถึง อย่างยิ่ง
135 ๖. คำที่พยัญชนะต้นเป็นตัว ป และพยัญชนะที่ตามมาเป็นตัว ร อ่านได้ ๒ อย่าง คือ อ่านว่า ปะ-ระ ซึ่งเป็นพยางค์เบาทั้งสองพยางค์ หรืออ่านว่า ปอ-ระ ซึ่งพยางค์ที่สองเป็นพยางค์เบาก็ได้ เช่น ประนัย อ่านว่า ปะ-ระ-ใน หมายถึง วัตถุวิสัย ปอ-ระ-ไน ปรมัดถ์ อ่านว่า ปะ-ระ-ใน หมายถึง ประโยชน์อย่างยิ่ง ปอ-ระ-มัด ปรมาจารย์ อ่านว่า ปะ-ระ-มา-จาน หมายถึง อาจารย์ผู้เป็นเอก ปอ-ระ-มา-จาน ปรมาณู อ่านว่า ปะ-ระ-มา-นู หมายถึง ส่วนของสารที่มีขนาดเล็กที่สุด ปอ-ระ-มา-นู ปรมาภิไธย อ่านว่า ปะ-ระ-มา-พิ-ไท หมายถึง ชื่อ (ใช้เฉพาะพระบาทสมเด็จ ปอ-ระ-มา-พิ-ไท พระเจ้าอยู่หัว) ยกเว้น ปรมาตมัน อ่านว่า ปะ-ระ-มาด-ตะ-มัน หมายถึง อาตมันสูงสุด ปรเมศวร์ อ่านว่า ปะ-ระ-เมด หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ยิ่ง ปรสิต อ่านว่า ปะ-ระ-สิต หมายถึง สัตว์พวกพยาธิ 7.10 หลักการอ่านคำที่มีตัว ฤ วิเชียร เกษประทุม (2558 : 182 – 185) กล่าวไว้ว่า คำที่มีตัว ฤ ในภาษาไทย สามารถออก เสียงได้ ๓ เสียง คือ เสียง ริ รึ เรอ ซึ่งมีข้อสังเกตดังนี้ ๑. อ่านออกเสียง ริ เมื่อตามตัว ก ต ท ป ศ ส เช่น กฤช อ่านว่า กริด หมายถึง กริชซึ่งเป็นอาวุธชนิดหนึ่ง กฤตยา อ่านว่า กริด-ตะ-ยา หมายถึง เสน่ห์ กฤติกา อ่านว่า กฺริด-ติ-กา หมายถึง ดาวลูกไก่ กฤษฎา อ่านว่า กฺริด-สะ-ดา หมายถึง ที่ทำแล้ว ตฤณ อ่านว่า ตฺริน หมายถึง หญ้า ปฤจฉา อ่านว่า ปฺริด- ฉา หมายถึง คำถาม
136 ๒. อ่านออกเสียง รึ ๒.๑ เมื่อ ฤ เป็นพยางค์หน้าของคำไม่มีตัวสะกด เช่น ฤชา อ่านว่า รึ-ชา หมายถึง ค่าธรรมเนียม ฤชุ อ่านว่า รึ-ชุ หมายถึง ตรง,ซื่อ ฤดี อ่านว่า รึ-ดี หมายถึง วามยินดี ฤดียา อ่านว่า รึ-ดี-ยา หมายถึง เกลียด ฤดู อ่านว่า รึ-ดู หมายถึง ส่วนของปีซึ่งแบ่งโดยถือเอาภูมิอากาศเป็นหลัก ๒.๒ เมื่อ ฤ ตามตัว ค ด น ม ห ฤ ตามตัว ค ออกเสียงแบบเรียงพยางค์ เช่น คฤโฆษ อ่านว่า คะ-รึ-โคต หมายถึง กึกก้อง คฤหบดี อ่านว่า คะ-รึ-หะ-บอ-ดี หมายถึง ผู้มีอันจะกินซึ่งเป็นเจ้าบ้าน คฤหัสถ์ อ่านว่า คะ-รึ-หัด หมายถึง ผู้ครองเรือน คฤหาสน์ อ่านว่า คะ-รึ-หาด หมายถึง เรือนขนาดใหญ่ ฤ ตามตัว ค ออกเสียงควบกล้ำกับตัว ค เช่น คฤนท์ อ่านว่า คฺรัน หมายถึง ตัวอักษรแบบหนึ่งของอินเดีย ฤ ตามตัว ด ออกเสียงควบกล้ำกับตัว ด เช่น ดฤถี อ่านว่า ดฺรี-ถี หมายถึง ดิถี, วันตามจันทรคติ ฤ ตามตัว น ออกเสียงแบบเรียงพยางค์ เช่น นฤคหิต อ่านว่า นะ-รึ-คะ-หิด หมายถึง หยาดน้ำค้าง นฤโฆษ อ่านว่า นะ-รึ-โคด หมายถึง กึกก้อง นฤดม อ่านว่า นะ-รึ-ดม หมายถึง แข็งแรงที่สุด นฤนาท อ่านว่า นะ-รึ-นาด หมายถึง ความกึกก้อง นฤบดี อ่านว่า นะ-รี-บอ-ดี หมายถึง พระราชา ยกเว้น นฤตย์ อ่านว่า นะ-ริด หมายถึง การระบำ นฤตยศาสตร์ อ่านว่า นะ-รด-ตะ-ยะ-สาด หมายถึง ศิลปะแห่งการระบำ
137 ฤ ตามตัว ม ออกเสียงแบบเรียงพยางค์ เช่น มฤต อ่านว่า มะ-รึก หมายถึง สัตว์ป่า มฤคชาต อ่านว่า มะ-รึก-คะ-ชาด หมายถึง เนื้อ มฤคทายวัน อ่านว่า มะ-รึก-คะ-ทา-ยะ-วัน หมายถึง ป่าเป็นที่อภัยแค่เนื้อ อ่านว่า มะ-รึก-คะ-ทาย-ยะ-วัน มฤตยู อ่านว่า มะ-รีด-ตะ-ยู หมายถึง ความตาย ฤ ตามตัว ห ออกเสียงแบบเรียงพยางค์ เช่น หฤทัย อ่านว่า ห-รึ-ไท หมายถึงหัวใจ หฤหรรษ์ อ่านว่า หะ-รึ-หัน หมายถึง ยินดี หฤโหด อ่านว่า หะ-รึ-โหด หมายถึง ความยินดี ยกเว้น หฤษฏ์ อ่านว่า หะ-ริด หมายถึงยินดี หฤษฎี อ่านว่า หะ -ริด-สะ-ดี หมานถึงความยินดี ฤ ตามตัว พ อ่านออกเสียงเป็นคำควบกล้ำกับตัว พ เช่น พฤกษ์ อ่านว่า พรีก หมายถึง ต้นไม้ พฤกษชาติ อ่านว่า พรึก-สะ-ชาด หมายถึง ต้นไม้ พฤกษา อ่านว่า พรึก-สา หมายถึง เจริญ พฤติกรรม อ่านว่า พรึด-ติ-กำ หมายถึง การกระทำที่เสนอต่อสิ่งเร้า พฤติการณ์ อ่านว่า พรึด-ติ-กำ หมายถึง เหตุการณ์ที่เป็นมาหรือจะเป็นไป พฤตินัย อ่านว่า พรึด-ติ-ไน หมายถึง ความหใายตามข้อเท็จจริง หมายเหตุมีคำ ฤ บางคำ ออกเสียงได้ทั้ง ริ และรึ เช่น มฤต อ่านว่า มะ-ริด-มะ-รึด หมาย ตายแล้ว อมฤต อ่านว่า อะ-มะ-ริด-อะ-มะ-รึด หมายถึง น้ำทิพย์ 3. อ่านออกเสียงเป็น เรอ มีใช้คำเดียว คือ ฤกษ์ อ่านว่า เริก หมายถึง คราวหรือเวลาที่กำหนดหรือคาดว่าจะให้ผล
138 7.11 หลักการอ่านพยางค์ที่มีพยัญชนะหรือสระไม่ออกเสียง วิเชียร เกษประทุม (2558 : 188) กล่าวไว้ว่า การอ่านพยางค์ที่มีพย้อนชนะหรือสระไม่ออกเสียง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเครื่องหมายทัณฑฆาตกำกับมีหลายลักษณะดังนี้ ๑. ตัว ร หรือ ห ที่อยู่กลางในบางคำที่ไทยรับมาจากภาษาบาลีและสันสกฤตไม่อ่านออกเสียง เช่น เกียรติ อ่านว่า เกียด ชลมารค อ่านว่า ชน-ละ-มาก ปรารถนา อ่านว่า ปราด-กะ-หนา พรหม อ่านว่า พรม พราหมณ์ อ่านว่า พราม สารท อ่านว่า สาด สามารถ อ่านว่า สา-มาด ๒. ตัว ร ที่เป็นตัวควบกับตัวสะกดจะไม่อ่านออกเสียงตัว ร นั้น เช่น กอปร อ่านว่า กอบ เกษตร อ่านว่า กะ-เสค จักร อ่านว่า จัก จิตร อ่านว่า จิต ฉัตร อ่านว่า ฉัด นักษัตร อ่านว่า นัก-สัด บุตร อ่านว่า บุด เพชร อ่านว่า เพ็ด ภัตร อ่านว่า พัด มาตร อ่านว่า มาด มิตร อ่านว่า มิด สมัคร อ่านว่า สะ-หมัก ๓. สระอิหรือสระอุที่ใช้กำกับพยัญชนะตัวสะกดในบางคำที่ไทยรับมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต ไม่อ่านออกเสียงสระอิหรือสระอุนั้น เช่น เกตุ อ่านว่า เกด จักรพรรดิ อ่านว่า จัง-กระ-พัด จักรวรรดิ์ อ่านว่า จัก-กุระ-หวัด ชาติ อ่านว่า ชาด ญาติ อ่านว่า ยาด ธาตุ อ่านว่า ทาด ปฐมสมโพธิ์ อ่านว่า ปะ-ถม-มะ-สม-โพด ประวัติ อ่านว่า ปุระ-หวัด พยาธิ อ่านว่า พะ-ยาค ภาคภูมิ อ่านว่า พาก-พูม มาด อ่านว่า มาด เมรุ อ่านว่า เมน โลกนิติ อ่านว่า โลก-กะ-นิด เหตุ อ่านว่า เหตุ
139 7.12 การอ่านคำภาษาบาลีและสันสกฤต วิเชียร เกษประทุม (2558 : 189) กล่าวไว้ว่า การใช้ตัวอักษรไทยเขียนคำภาษาบาลีและ สันสกฤตจะใช้เครื่องหมายพินทุ (.) และเครื่องหมายนิดหิตหรือนฤคหิต (อํ) กำกับมีหลักการอ่าน ดังนี้ ๑. พยัญชนะตัวโตที่เขียนโดย ๆ โดยไม่มีรูปสระกำกับให้อ่านออกเสียงประสมกับสระอะ ถ้ามีรูป สระกำกับก็อ่านออกเสียงประสมกับสระนั้น ๆ เช่น กตมา อ่านว่า กะ -ตะ-มา วิทรติ อ่านว่า วิ-หะ-ระ-ติ อนริโย อ่านว่า อะ-นะ-ริ-โย 2. คำที่มีเครื่องหมายพินทุ (.) กำกับซึ่งจะเขียนไว้ได้พยัญชนะมีหลักการอ่าน คือ พินทุใช้เขียนไว้ได้ พยัญชนะที่เป็นตัวสะกด ถ้าไม่มีรูปสระกำกับ ให้อ่านเป็นเสียงสระ อะ มีตัวสะกด ถ้ามีรูปสระกำกับให้อ่าน ไปตามเสียงสระนั้น ๆ เช่น สจฺจ อ่านว่า สัด-จะ วัตถุ อ่านว่า วัด-ถุ อาคนฺตุก อ่านว่า อา-ตัน-ตุ-กะ ทุพฺพลา อ่านว่า ทุบ-พะ-ลา พหุสฺสุต อ่านว่า พะ-หุต-– ตะ 3. พื้นที่ใช้เขียนไว้ได้พยัญชนะที่เป็นตัวควบในภาษาบาลีสันสกฤตจะอ่านออกเสียงควบกันระหว่าง พยัญชนะที่มีเครื่องหมายพินทุกับพยางค์ แต่ในภาษาไทยจะเติมเสียงสระอะลงไปที่พยัญชนะที่ มี เครื่องหมายพินทุนั้นคล้ายกับการอ่านอักษรนำ นาฏย อ่านว่า นาต-ตะ-ยะ ตนุตวา อ่านว่า ทัน-ตะ – วา ทวิช อ่านว่า ทะ-วิ-ซะ สวากขาโต อ่านว่า สะ-หวก – ขา-โต วยากรณ อ่านว่า วะ-ยา-ทะ-ระ-นะ 7.13 มารยาทในการอ่าน มารยาทในการอ่านแนวทางปฏิบัติมีดังนี้ 1. มีสมาธิและอ่านอย่างตั้งใจ ไม่ว่าจะอ่านที่บ้านหรือห้องสมุด 2. อ่านในใจ ไม่อ่านเสียงดังรบกวนผู้อื่น 3. นั่งอ่านในท่าทางสบาย ตัวตรง และไม่โยกเก้าอี้เล่นขณะอ่าน
140 4. เปิดหนังสืออย่างเบามือ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือส่วนตัวหรือส่วนรวม 5. ไม่ใช้ดินสอ ปากกา หรือสีต่าง ๆ ขีดเขียนลงในหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือห้องสมุด หรือ หนังสือของผู้อื่น 6. ไม่พับหน้าต่าง ๆ ของหนังสือ 7. ไม่ฉีกส่วนใดส่วนหนึ่งของหนังสือ 8. ไม่เล่นกันขณะอ่านหนังสือ 9. ไม่แย่งหนังสือของผู้อื่นมาอ่าน 10. ไม่ทานขนมหรืออาหารขณะอ่านหนังสือเพราะอาจทำให้หนังสือเปรอะเปื้อนได้ 11. ไม่ฟังเพลงหรือดูโทรทัศน์ระหว่างอ่านหนังสือ 12. ไม่อ่านเอกสารหรือข้อความของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต 13. เมื่ออ่านหนังสือเสร็จควรเก็บไว้ที่เดิม 14. วางหนังสืออย่างระมัดระวัง เช่น วางในที่แห้งและสะอาด
141 เอกสารอ้างอิง กำชัย ทองหล่อ. (2513). หลักภาษาไทย. (พิมพ์ครั้งที่ ๓). กรุงเทพฯ : รวมสาส์น. วิเชียร เกษประทุม. (2558). หลักภาษาไทย. กรุงเทพฯ : เพิ่มทรัพย์การพิมพ์.
บทที่ 8 การพัฒนาทักษะการอ่าน 8.1 ความหมายของการอ่าน นักการศึกษาได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ดังนี้ เสริมศรี หอทิมาวรกุล (๒๕๒๖ : ๓๔๘) กล่าวว่า การอ่านเป็นการแปลสัญลักษณ์ออกมาเป็น ความหมายที่ใช้สื่อความคิดระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่านให้เข้าใจตรงกัน และผู้อ่านนำความหมายที่ได้ไปใช้ให้ เป็นประโยชน์ ศิริพร ลิมตระการ (๒๕๔๑ : ๕) กล่าวว่า การอ่านคือ กระบวนการแห่งความคิดในการรับสารเข้า ในขณะที่อ่าน สมองของผู้อ่านจะต้องคิดตามผู้เขียน หรือตีความข้อความที่อ่านไปด้วยตลอดเวลา ผู้อ่านที่ ดีนั้นจะเข้าใจข้อความที่ตนอ่านได้อย่างรวดเร็ว และถูกต้อง สุขุม เฉลยทรัพย์ (๒๕๒๙ : ๔) ได้กล่าวว่า การอ่านคือ กระบวนการค้นหาความหมาย หรือความ เข้าใจจากตัวอักษร และสัญลักษณ์อื่น ๆ ที่ใช้แทนความคิด เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ของผู้อ่าน ซึ่งการอ่าน ให้เข้าใจขึ้นอยู่กับประสบการณ์เดิมของผู้อ่านด้วย ชุลี อินมั่น (๒๕๓๓ : ๕) กล่าวว่า การอ่านนั้นมิใช่เป็นแต่เพียงการรู้จักคำอ่าน และการสะกดคำได้ เท่านั้น แต่การอ่านยังเป็นกระบวนการค้นหาความหมาย หรือความเข้าใจตัวอักษร พร้อมทั้งช่วยให้ผู้อ่านมี แนวความคิดใหม่ๆเกิดขึ้นจากประสบการณ์เดิม ศรีรัตน์ เพิ่งกลิ่นจันทร์ (๒๕๔๒ : ๒) ได้กล่าวไว้ว่า การอ่านเป็นการแปลความหมายของตัวอักษร ออกมาเป็นความคิด และนำความคิดนั้นไปใช้ประโยชน์ ตัวอักษรเป็นเครื่องหมายแทนคำพูด เพราะฉะนั้น หัวใจของการอ่านจึงอยู่ที่การเข้าใจความหมายของคำ กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์ (๒๕๖๒ : ๗๘) ได้กล่าวไว้ว่า การอ่าน หมายถึง การแปลความหมายและ การทำความเข้าใจกับความหมายของลายลักษณ์อักษรที่ปรากฏอย่างถ่องแท้ รวมถึงสิ่งเกี่ยวข้องและมี ความหมายที่ปรากฏร่วมกับลายลักษณ์อักษรด้วย ศิวกานท์ ปทุมสูติ (๒๕๔๐ : ๑๓) ได้กล่าวไว้ว่า การอ่าน คือ การออกเสียงตามหนังสือเพื่อให้ได้ ความหรือเข้าใจความหรือเพื่อสื่อความตามหนังสือนั้นประการหนึ่งหรือแม้ไม่ออกเสียงแต่ทำความเข้าใจ ความหมายต่าง ๆ ตามหนังสือนั้นประการหนึ่ง และยังมีความหมายกว้างถึงการสังเกตพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ให้เข้าใจ ตลอดจนการคิดเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจนั้นอีกประการหนึ่งด้วย
143 บันลือ พฤกษะวัน (2539) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้เป็นข้อ ๆ ดังนี้ 1) การอ่านเป็นการแปลสัญลักษณ์ออกมาเป็นคำพูดโดยการผสมเสียงเพื่อใช้ในการออกเสียง ให้ตรงกับคำพูดการอ่านแบบมุ่งให้สะกดตัวผสมเสียงเพื่อใช้ในการออกเสียงให้ตรงกับคำพูด การอ่านแบบ มุ่งให้สะกดตัวผสมคำอ่านเป็นคำ ๆ ไม่สามารถใช้สื่อความโดยการฟังได้ทันทีแต่เป็นการอ่านเพื่อการอ่าน ออกเสียงมุ่งให้อ่านหนังสือได้แตกฉานเท่านั้น 2) การอ่านเป็นการใช้ความสามารถในการผสมผสานของตัวอักษรออกเสียงเป็นประโยคทำให้ เข้าใจความหมายในการสื่อความหมายโดยการอ่านหรือฟังผู้อื่นอ่านแล้วรู้เรื่องเราเรียกว่าอ่านได้ซึ่งมุ่งให้รู้ เรื่องของสิ่งที่อ่าน 3) การอ่านเป็นการสื่อความหมายที่จะถ่ายโยงความคิดความรู้จากผู้เขียน (ผู้สื่อ) ถึงผู้อ่าน การอ่านลักษณะนี้เรียกว่าอ่านเป็นผู้อ่านย่อมเข้าใจถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียนโดยอ่านแล้วสามารถ ประเมินผลเรื่องที่อ่านด้วย 4) การอ่านเป็นการพัฒนาความคิดโดยที่ผู้อ่านต้องใช้ความสามารถหลาย ๆ ด้านเช่นใช้การ สังเกตจำรูปคำใช้สติปัญญาและประสบการณ์เดิมในการแปลความหมายหรือถอดความหมายให้เกิดความ เข้าใจเรื่องราวที่อ่านได้ดีโดยวิธีการแบบนี้จะต้องดำเนินการเป็นขั้นตอนและต่อเนื่อง (กระบวนการ) อาจ ต้องใช้ความหมายของการอ่านจากข้อ 1, 2 และ 3 (หรือไม่จำเป็นต้องครบทั้ง 3 ความหมายก็ได้) แล้ว สามารถเข้าใจความหมายของเรื่องที่อ่านและนำผลของสิ่งที่ได้จากการอ่านมาเป็นแนวคิดแนวปฏิบัติได้เรา เรียกว่าอ่านเป็น ธนู ทดแทนคุณ และกุลวดี แพทย์พิทักษ์ (2549) ให้ความหมายการอ่านว่า หมายถึงการรับรู้และ แปลความหมายของตัวอักษรเครื่องหมายสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายต่าง ๆ มาเป็นความคิดความรู้และ ความเข้าใจระหว่างผู้เขียนและผู้อ่านเพื่อที่ผู้อ่านนั้นสามารถนำความจากสารนั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ปรียา หิรัญประดิษฐ์ (2552) ให้ความหมายไว้ว่า การอ่าน คือการรับรู้ความหมายของสารจาก ลายลักษณ์อักษรการแปลตัวหนังสือออกมาเป็นเสียงและความหมาย 8.2 ความสำคัญของการอ่าน การอ่านมีความสำคัญ และจำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะปัจจุบันที่ความรู้ เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มีผู้กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านไว้ดังนี้ ประเทิน มหาขันธ์ (๒๕๓๐ : ๔) กล่าวว่า การอ่านมีบทบาทสำคัญต่อชีวิต และความเป็นอยู่ในยุค ปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะเหตุว่า การอ่านนอกจากจะทำให้ผู้อ่านสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งปัญหาส่วนตัวและ