The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรปรับปรุงกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thanpitcha jansatian, 2023-10-14 19:30:30

หลักสูตรภาษาไทย

หลักสูตรปรับปรุงกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

196 หมวด 2 วิธีการวัดและประเมินผลการเรียน ข้อ 7 สถานศึกษาต้องด าเนินการวัดและประเมินผลให้ครบองค์ประกอบทั้ง 4 ด้าน คือ กลุ่มสาระการ เรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ การอ่าน คิด วิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 7.1 การประเมินผลการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่มสาระ เป็นการประเมินความรู้ ความสามารถ ทักษะ เจตคติ ทักษะการคิด ที่ก าหนดอยู่ในตัวชี้วัดในหลักสูตร ซึ่งจะน าไปสู่การสรุปผลการ เรียนรู้ของผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้ ผู้สอนวัดและประเมินผลการเรียนรู้ผู้เรียนเป็นรายวิชาบนพื้นฐานของตัวชี้วัดในรายวิชาพื้นฐาน และผลการเรียนรู้ในรายวิชาเพิ่มเติมตามที่ก าหนดในหน่วยการเรียนรู้ผู้สอนใช้วิธีการที่หลากหลายจาก แหล่งข้อมูลหลายๆแหล่งเพื่อให้ได้ผลการประเมินที่สะท้อนความรู้ความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนโดยวัดและ ประเมินการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องไปพร้อมกับการจัดการเรียนการสอนสังเกตพัฒนาการและความประพฤติของ ผู้เรียนสังเกตพฤติกรรมการเรียนการร่วมกิจกรรมผู้สอนควรเน้นการประเมินตามสภาพจริงเช่น การประเมิน การปฏิบัติงานการประเมินจากโครงงานหรือการประเมินจากแฟ้มสะสมงานฯลฯควบคู่ไปกับการใช้การทดสอบ แบบต่างๆอย่างสมดุลต้องให้ความส าคัญกับการประเมินระหว่างเรียนมากกว่าการประเมินปลายปี/ปลายภาค และใช้เป็นข้อมูลเพื่อประเมินการเลื่อนชั้นเรียนและการจบการศึกษาระดับต่างๆ 7.2 การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนของผู้เรียน ให้ครูประจ าวิชา ด าเนินการวัดผล ตามเกณฑ์ที่ก าหนดดังนี้ การประเมินการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียนเป็นการประเมินศักยภาพของผู้เรียนในการ อ่านหนังสือเอกสารและสื่อต่างๆเพื่อหาความรู้เพิ่มพูนประสบการณ์ความสุนทรีย์และประยุกต์ใช้แล้วน าเนื้อหา สาระที่อ่านมาคิดวิเคราะห์น าไปสู่การแสดงความคิดเห็นการสังเคราะห์สร้างสรรค์การแก้ปัญหาในเรื่องต่างๆ และถ่ายทอดความคิดนั้นด้วยการเขียนที่มีส านวนภาษาถูกต้องมีเหตุผลและล าดับขั้นตอนในการน าเสนอ สามารถสร้างความเข้าใจแก่ผู้อ่านได้อย่างชัดเจนตามระดับความสามารถในแต่ละระดับชั้น การประเมินการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียนสถานศึกษาต้องด าเนินการอย่างต่อเนื่องและ สรุปผลเป็นรายปี/รายภาค เพื่อวินิจฉัยและใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาผู้เรียนและประเมินการเลื่อนชั้น 7.3 การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน ให้ครูผู้สอนด าเนินการวัดผลไปพร้อมกับ การประเมินผลระดับชั้นเรียนตามเกณฑ์ที่ก าหนดดังนี้ การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เป็นการประเมินคุณลักษณะที่ต้องการให้เกิด ขึ้นกับผู้เรียน อันเป็นคุณลักษณะที่สังคมต้องการในด้านคุณธรรมจริยธรรม ค่านิยม จิตส านึก สามารถอยู่ ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุขทั้งในฐานะพลเมืองไทยและพลโลกหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้น


197 พื้นฐานพุทธศักราช 2551 ก าหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์8 คุณลักษณะในการประเมินให้ประเมิน แต่ละ คุณลักษณะแล้วรวบรวมผลการประเมินจากผู้ประเมินทุกฝ่ายและแหล่งข้อมูลหลายแหล่งเพื่อให้ได้ข้อมูลน ามา สู่การสรุปผลเป็นรายปี/รายภาค และใช้เป็นข้อมูลเพื่อประเมินการเลื่อนชั้นและการจบการศึกษาระดับต่างๆ 7.4 การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนให้ประเมินเป็นรายปีโดยสถานศึกษาเป็นผู้ก าหนดแนว ทางการประเมิน ผู้รับผิดชอบกิจกรรมด าเนินการประเมินตามจุดประสงค์ การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเป็นการประเมินการปฏิบัติกิจกรรมและผลงานของผู้เรียนและเวลา ในการเข้าร่วมกิจกรรมตามเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ในแต่ละกิจกรรมและใช้เป็นข้อมูลประเมิน การเลื่อนชั้นเรียนและการจบ การศึกษาระดับต่างๆ หมวด 3 เกณฑ์การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ข้อ 8 การตัดสินผลการเรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ก าหนดหลักเกณฑ์การวัด และประเมินผลการเรียนรู้เพื่อตัดสินผลการเรียนของผู้เรียนดังนี้ 1) ตัดสินผลการเรียนเป็นรายวิชาผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนตลอดภาคเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ80 ของเวลาเรียนทั้งหมดในรายวิชานั้นๆ 2) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินทุกตัวชี้วัดและผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษาก าหนด 3) ผู้เรียนต้องได้รับการตัดสินผลการเรียนทุกรายวิชา 4) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินและมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษาก าหนดใน การอ่านคิดวิเคราะห์และเขียนคุณลักษณะอันพึงประสงค์และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ ผู้สอนต้องตรวจสอบความรู้ความสามารถ ที่แสดงพัฒนาการของผู้เรียนอย่างสม่ าเสมอ และต่อเนื่องอีกทั้งต้องสร้างให้ผู้เรียนรับผิดชอบการเรียนรู้ของตน ด้วยการตรวจสอบความก้าวหน้าในการเรียนของตนเองอย่างสม่ าเสมอเช่นกัน ตัวชี้วัดซึ่งมีความส าคัญในการ น ามาใช้ออกแบบหน่วยการเรียนรู้นั้น ยังเป็นแนวทางส าหรับผู้สอนและผู้เรียนใช้ในการตรวจสอบย้อนกลับว่า ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หรือยัง การประเมินในชั้นเรียนซึ่งต้องอาศัยทั้งการประเมินเพื่อการพัฒนา และการ ประเมินเพื่อสรุปการเรียนรู้จะเป็นเครื่องมือส าคัญในการตรวจสอบความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผู้เรียน สถานศึกษา โดยผู้สอนก าหนดเกณฑ์ที่ยอมรับได้ในการผ่านตัวชี้วัดทุกตัวให้เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษา กล่าวคือให้ท้าทายการเรียนรู้ไม่ยากหรือง่ายเกินไปเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินว่าสิ่งที่ผู้เรียนรู้เข้าใจท าได้ นั้นเป็นที่น่าพอใจ บรรลุตามเกณฑ์ที่ยอมรับได้ หากยังไม่บรรลุจะต้องหาวิธีการช่วยเหลือ เพื่อให้ผู้เรียนได้รับ การพัฒนาสูงสุด การก าหนดเกณฑ์นี้ผู้สอนสามารถให้ผู้เรียนร่วมก าหนดด้วยได้ เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบ


198 ร่วมกันและสร้างแรงจูงใจในการเรียนการประเมินเพื่อการพัฒนาส่วนมากเป็นการประเมินอย่างไม่เป็นทางการ เช่น สังเกตหรือซักถามหรือการทดสอบย่อยในการประเมินเพื่อการพัฒนานี้ควรให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาจน ผ่านเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ผู้เรียนแต่ละคนอาจใช้เวลาเรียนและวิธีการเรียนที่แตกต่างกันฉะนั้นผู้สอนควรน า ข้อมูลที่ได้มาใช้ปรับวิธีการสอนเพื่อให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพอันจะน าไปสู่การบรรลุมาตรฐานการ เรียนรู้ในท้ายที่สุดอย่างมีคุณภาพการประเมินเพื่อการพัฒนาจึงไม่จ าเป็นต้องตัดสินให้คะแนนเสมอไป การ ตัดสินให้คะแนนหรือให้เป็นระดับคุณภาพควรด าเนินการโดยใช้การประเมินสรุปผลรวมเมื่อจบหน่วยการเรียนรู้ และจบรายวิชาการตัดสินผลการเรียนตัดสินเป็นรายวิชาโดยใช้ผลการประเมินระหว่างภาคและปลายภาค ตาม สัดส่วนที่สถานศึกษาก าหนดทุกรายวิชาต้องได้รับการตัดสินและให้ระดับผลการเรียน ทั้งนี้ผู้เรียนต้องผ่านทุก รายวิชาพื้นฐาน ข้อ 9 การให้ระดับผลการเรียน 9.1 การตัดสินผลการเรียนรายวิชาของกลุ่มสาระการเรียนรู้ให้ใช้ระบบผ่านและไม่ผ่านโดย ก าหนดเกณฑ์การตัดสินผ่านแต่ละรายวิชาที่ร้อยละ 50 จากนั้นจึงให้ระดับผลการเรียนที่ผ่านส าหรับ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายใช้ตัวเลขแสดงระดับผลการเรียนเป็น8ระดับแนวการให้ระดับ ผลการเรียน 8 ระดับและความหมายของแต่ละระดับ ดังแสดงในตารางดังนี้ ระดับผลการเรียน ความหมาย ช่วงคะแนนเป็นร้อยละ 4 ดีเยี่ยม 80-100 3.5 ดีมาก 75-79 3 ดี 70-74 2.5 ค่อนข้างดี 65-69 2 ปานกลาง 60-64 1.5 พอใช้ 55-59 1 ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ า 50-54 0 ต่ ากว่าเกณฑ์ 0-49 ในกรณีที่ไม่สามารถให้ระดับผลการเรียนเป็น 8 ระดับได้ให้ใช้ตัวอักษรระบุเงื่อนไขของ ผล การเรียนดังนี้ “มส” หมายถึง ผู้เรียนไม่มีสิทธิเข้ารับการวัดผลปลายภาคเรียนเนื่องจากผู้เรียนมีเวลาเรียนไม่ ถึงร้อยละ 80 ของเวลาเรียนในแต่ละรายวิชาและไม่ได้รับการผ่อนผันให้เข้ารับการวัดผลปลายภาคเรียน “ร” หมายถึง รอการตัดสินและยังตัดสินผลการเรียนไม่ได้เนื่องจากผู้เรียนไม่มีข้อมูล


199 ผลการเรียนรายวิชานั้นครบถ้วนได้แก่ไม่ได้วัดผลระหว่างภาคเรียน/ปลายภาคเรียนไม่ได้ส่งงานที่มอบหมายให้ ท าซึ่งงานนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินผลการเรียนหรือมีเหตุสุดวิสัยที่ท าให้ประเมินผลการเรียนไม่ได้ 9.2 การประเมินการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียนเป็นผ่านและไม่ผ่านถ้ากรณีที่ผ่านก าหนดเกณฑ์ การตัดสินเป็น ดีเยี่ยม ดี และผ่าน ในการสรุปผลการประเมินการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียนเพื่อการเลื่อนชั้นและจบ การศึกษาก าหนดเกณฑ์การตัดสินเป็น 4 ระดับและความหมายของแต่ละระดับดังนี้ ดีเยี่ยม หมายถึง มีผลงานที่แสดงถึงความสามารถในการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน ที่ มีคุณภาพดีเลิศอยู่เสมอ ดี หมายถึง มีผลงานที่แสดงถึงความสามารถในการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน ที่ มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ ผ่าน หมายถึง มีผลงานที่แสดงถึงความสามารถในการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน ที่ มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับแต่ยังมีข้อบกพร่องบางประการ ไม่ผ่าน หมายถึง ไม่มีผลงานที่แสดงถึงความสามารถในการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน หรือถ้ามีผลงานผลงานนั้นยังมีข้อบกพร่องที่ต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไขหลายประการ 9.3 การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์รวมทุกคุณลักษณะเพื่อการเลื่อนชั้นและจบ การศึกษาเป็นผ่านและไม่ผ่าน ในการผ่านก าหนดเกณฑ์การตัดสินเป็นดีเยี่ยม ดี ผ่าน และไม่ผ่าน มีความหมาย ของแต่ละระดับดังนี้ ดีเยี่ยม หมายถึง ผู้เรียนปฏิบัติตนตามคุณลักษณะจนเป็นนิสัยและน าไปใช้ใน ชีวิตประจ าวัน เพื่อประโยชน์สุขของตนเองและสังคม โดยพิจารณาจากผลการประเมินระดับดีเยี่ยมจ านวน 5-8 คุณลักษณะและไม่มีคุณลักษณะใดได้ผลการประเมินต่ ากว่าระดับดี ดี หมายถึง ผู้เรียนมีคุณลักษณะในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เพื่อให้เป็นการยอมรับ ของสังคมโดยพิจารณาจาก 1. ได้ผลการประเมินระดับดีเยี่ยมจ านวน 1-4 คุณลักษณะและไม่มีคุณลักษณะ ใดได้ผลการประเมินต่ ากว่าระดับดีหรือ 2. ได้ผลการประเมินระดับดี ทั้ง8 คุณลักษณะหรือ 3. ได้ผลการประเมินตั้งแต่ระดับดีขึ้นไปจ านวน 5-7 คุณลักษณะและมีบาง คุณลักษณะได้ผลการประเมินระดับผ่าน ผ่าน หมายถึง ผู้เรียนรับรู้และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และเงื่อนไขที่สถานศึกษาก าหนด โดยพิจารณาจาก 1. ได้ผลการประเมินระดับผ่านทั้ง 8 คุณลักษณะ หรือ 2. ได้ผลการประเมินตั้งแต่ระดับดีขึ้นไปจ านวน 1-4 คุณลักษณะและ คุณลักษณะที่เหลือได้ผลการประเมินระดับผ่าน


200 ไม่ผ่าน หมายถึง ผู้เรียนรับรู้และปฏิบัติได้ไม่ครบตามกฎเกณฑ์และเงื่อนไขที่ สถานศึกษาก าหนดโดยพิจารณาจากผลการประเมินระดับไม่ผ่านตั้งแต่ 1 คุณลักษณะ 9.4 การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จะต้องพิจารณาทั้งเวลาการเข้าร่วมกิจกรรมการปฏิบัติกิจกรรมและผลงานของผู้เรียนตาม เกณฑ์ที่สถานศึกษาก าหนดและให้ผลการประเมินเป็นผ่านและไม่ผ่าน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนมี3 ลักษณะคือ 1) กิจกรรมแนะแนว 2) กิจกรรมนักเรียนซึ่งประกอบด้วย 2.1 กิจกรรมลูกเสือเนตรนารียุวกาชาด ผู้บ าเพ็ญประโยชน์และนักศึกษา วิชาทหารโดยผู้เรียนเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง 2.2 กิจกรรมชุมนุมหรือชมรม ทั้งนี้ผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจะต้องเข้าร่วม กิจกรรมทั้งข้อ 2.1 และ 2.2 ส าหรับผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสามารถเลือกเข้าร่วมกิจกรรมใด กิจกรรมหนึ่งในข้อ 2.1 หรือ 2.2 3) กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ ให้ใช้ตัวอักษรแสดงผลการประเมินดังนี้ “ผ” หมายถึง ผู้เรียนมีเวลาเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมและมีผลงาน ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษาก าหนด “มผ” หมายถึง ผู้เรียนมีเวลาเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมและมี ผลงานไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่สถานศึกษาก าหนด ข้อ 10 การเปลี่ยนผลการเรียน 10.1 การเปลี่ยนผลการเรียน “0” สถานศึกษาจัดให้มีการสอนซ่อมเสริมในมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัดที่ผู้เรียนสอบไม่ ผ่านก่อนแล้วจึงสอบแก้ตัวได้ไม่เกิน 2 ครั้ง ถ้าผู้เรียนไม่ด าเนินการสอบแก้ตัวตามระยะเวลาที่สถานศึกษา ก าหนดให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาที่จะพิจารณาขยายเวลาออกไปอีก 1 ภาคเรียนส าหรับภาคเรียนที่2 ต้องด าเนินการให้เสร็จสิ้นภายในปีการศึกษานั้น ถ้าสอบแก้ตัว 2 ครั้งแล้วยังได้ระดับผลการเรียน “0” อีก ให้สถานศึกษาแต่งตั้ง คณะกรรมการด าเนินการเกี่ยวกับการเปลี่ยนผลการเรียนของผู้เรียนโดยปฏิบัติดังนี้ 1) ถ้าเป็นรายวิชาพื้นฐานให้เรียนซ้ ารายวิชานั้น 2) ถ้าเป็นรายวิชาเพิ่มเติมให้เรียนซ้ าหรือเปลี่ยนรายวิชาเรียนใหม่ ทั้งนี้ให้อยู่ในดุลย พินิจของสถานศึกษา ในกรณีที่เปลี่ยนรายวิชาเรียนใหม่ให้หมายเหตุในระเบียนแสดงผลการเรียนว่าเรียน แทนรายวิชาใด


201 10.2 การเปลี่ยนผลการเรียน “ร” การเปลี่ยนผลการเรียน “ร” ให้ด าเนินการดังนี้ ให้ผู้เรียนด าเนินการแก้ไข “ร” ตามสาเหตุเมื่อผู้เรียนแก้ไขปัญหาเสร็จแล้วให้ได้ระดับ ผลการเรียนตามปกติ(ตั้งแต่ 0-4) ถ้าผู้เรียนไม่ด าเนินการแก้ไข “ร” กรณีที่ส่งงานไม่ครบแต่มีผลการประเมิน ระหว่างภาคเรียนและปลายภาคให้ผู้สอนน าข้อมูลที่มีอยู่ตัดสินผลการเรียนยกเว้นมีเหตุสุดวิสัยให้อยู่ใน ดุลยพินิจของสถานศึกษาที่จะขยายเวลาการแก้“ร” ออกไปอีกไม่เกิน 1 ภาคเรียนส าหรับภาคเรียนที่ 2 ต้องด าเนินการให้เสร็จสิ้นภายในปีการศึกษานั้นเมื่อพ้นก าหนดนี้แล้วให้เรียนซ้ า หากผลการเรียนเป็น “0” ให้ด าเนินการแก้ไขตามหลักเกณฑ์ 10.3 การเปลี่ยนผลการเรียน “มส” การเปลี่ยนผลการเรียน “มส” มี2 กรณีดังนี้ 1) กรณีผู้เรียนได้ผลการเรียน “มส” เพราะมีเวลาเรียนไม่ถึงร้อยละ 80 แต่มีเวลาเรียน ไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของเวลาเรียนในรายวิชานั้นให้สถานศึกษาจัดให้เรียนเพิ่มเติมโดยใช้ชั่วโมงสอนซ่อม เสริมหรือใช้เวลาว่างหรือใช้วันหยุดหรือมอบหมายงานให้ท าจนมีเวลาเรียนครบตามที่ก าหนดไว้ ส าหรับรายวิชานั้นแล้วจึงให้วัดผลปลายภาคเป็นกรณีพิเศษผลการแก้“มส” ให้ได้ระดับผลการเรียนไม่เกิน “1” การแก้“มส” กรณีนี้ให้กระท าให้เสร็จสิ้นภายในปีการศึกษานั้นถ้าผู้เรียนไม่มาด าเนินการแก้“มส” ตาม ระยะเวลาที่ก าหนดไว้นี้ให้เรียนซ้ ายกเว้นมีเหตุสุดวิสัยให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาที่จะขยายเวลาการแก้ “มส” ออกไปอีกไม่เกิน 1 ภาคเรียนแต่เมื่อพ้นก าหนดนี้แล้วให้ปฏิบัติดังนี้ 1.1 ถ้าเป็นรายวิชาพื้นฐานให้เรียนซ้ ารายวิชานั้น 1.2 ถ้าเป็นรายวิชาเพิ่มเติมให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาให้เรียนซ้ าหรือเปลี่ยน รายวิชาเรียนใหม่ 2) กรณีผู้เรียนได้ผลการเรียน “มส” เพราะมีเวลาเรียนน้อยกว่าร้อยละ 60 ของเวลา เรียนทั้งหมดให้สถานศึกษาด าเนินการดังนี้ 2.1 ถ้าเป็นรายวิชาพื้นฐานให้เรียนซ้ ารายวิชานั้น 2.2 ถ้าเป็นรายวิชาเพิ่มเติมให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาให้เรียนซ้ าหรือเปลี่ยน รายวิชาเรียนใหม่ในกรณีที่เปลี่ยนรายวิชาเรียนใหม่ให้หมายเหตุในระเบียนแสดงผลการเรียนว่าเรียนแทน รายวิชาใด การเรียนซ้ ารายวิชา ผู้เรียนที่ได้รับการสอนซ่อมเสริมและสอบแก้ตัว 2 ครั้งแล้วไม่ ผ่านเกณฑ์การประเมินให้เรียนซ้ ารายวิชานั้นทั้งนี้ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาในการจัดให้เรียนซ้ าในช่วง ใดช่วงหนึ่งที่สถานศึกษาเห็นว่าเหมาะสม และต้องประเมินผลการเรียนตามที่ระเบียบก าหนดไว้


202 การเรียนซ้ า จะได้รับผลการเรียนตามข้อ 9.1 ในกรณีภาคเรียนที่ 2 หากผู้เรียนยังมีผลการเรียน “0” “ร” “มส” ให้ด าเนินการให้ เสร็จสิ้นก่อนเปิดเรียนปีการศึกษาถัดไปสถานศึกษาอาจเปิดการเรียนการสอนในภาคฤดูร้อนเพื่อแก้ไขผลการ เรียนของผู้เรียนได้ 10.4 การเปลี่ยนผล “มผ” กรณีที่ผู้เรียนได้ผล “มผ” สถานศึกษาต้องจัดซ่อมเสริมให้ผู้เรียนท ากิจกรรมในส่วนที่ ผู้เรียนไม่ได้เข้าร่วมหรือไม่ได้ท าจนครบถ้วนแล้วจึงเปลี่ยนผลจาก “มผ” เป็น “ผ” ได้ทั้งนี้ด าเนินการให้เสร็จ สิ้นภายในภาคเรียนนั้นๆยกเว้นมีเหตุสุดวิสัยให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาที่จะพิจารณาขยายเวลาออกไป อีกไม่เกิน 1 ภาคเรียนส าหรับภาคเรียนที่ 2 ต้องด าเนินการให้เสร็จสิ้นภายในปีการศึกษานั้น ข้อ 11 การเลื่อนชั้น ผู้เรียนจะได้รับการเลื่อนชั้นเมื่อสิ้นปีการศึกษาเมื่อมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้ 1. รายวิชาพื้นฐานและรายวิชาเพิ่มเติมได้รับการตัดสินผลการเรียนผ่านตามเกณฑ์ ที่สถานศึกษาก าหนด 2. ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินและมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษา ก าหนดในการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 3. ระดับผลการเรียนเฉลี่ยในปีการศึกษานั้นควรได้ไม่ต่ ากว่า 1.00 ทั้งนี้รายวิชาใดที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินสถานศึกษาสามารถซ่อมเสริมผู้เรียนให้ได้รับ การแก้ไขในภาคเรียนถัดไปทั้งนี้ส าหรับภาคเรียนที่ 2 ต้องด าเนินการให้เสร็จสิ้นภายในปีการศึกษานั้น ข้อ 12 การสอนซ่อมเสริม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ก าหนดให้สถานศึกษาจัดสอน ซ่อมเสริม เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนเต็มตามศักยภาพ การสอนซ่อมเสริมเป็นการสอนเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องกรณีที่ผู้เรียนมีความรู้ทักษะกระบวนการ หรือเจตคติ/คุณลักษณะไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่สถานศึกษาก าหนดสถานศึกษาต้องจัดสอนซ่อมเสริมเป็นกรณี พิเศษนอกเหนือไปจากการสอนตามปกติเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนสามารถบรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัดที่ ก าหนดไว้เป็นการให้โอกาสแก่ผู้เรียนได้เรียนรู้และพัฒนาโดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายและ ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล การสอนซ่อมเสริมสามารถด าเนินการได้ในกรณีดังต่อไปนี้ 1) ผู้เรียนมีความรู้/ทักษะพื้นฐานไม่เพียงพอที่จะศึกษาในแต่ละรายวิชานั้นควรจัดการสอน ซ่อมเสริมปรับความรู้/ทักษะพื้นฐาน


203 2) ผู้เรียนไม่สามารถแสดงความรู้ทักษะกระบวนการหรือเจตคติ/คุณลักษณะที่ก าหนดไว้ตาม มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัดในการประเมินผลระหว่างเรียน 3) ผู้เรียนที่ได้ระดับผลการเรียน “0” ให้จัดการสอนซ่อมเสริมก่อนสอบแก้ตัว 4) กรณีผู้เรียนมีผลการเรียนไม่ผ่านสามารถจัดสอนซ่อมเสริมในภาคฤดูร้อนเพื่อแก้ไข ผลการเรียนทั้งนี้ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษา ข้อ 13 การเรียนซ้ าชั้น ผู้เรียนที่ไม่ผ่านรายวิชาจ านวนมากและมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหาต่อการเรียนในระดับชั้นที่ สูงขึ้นสถานศึกษาอาจตั้งคณะกรรมการพิจารณาให้เรียนซ้ าชั้นได้ทั้งนี้ให้ค านึงถึงวุฒิภาวะและความรู้ ความสามารถของผู้เรียนเป็นส าคัญ การเรียนซ้ าชั้นมี2 ลักษณะคือ 1) ผู้เรียนมีระดับผลการเรียนเฉลี่ยในปีการศึกษานั้นต่ ากว่า 1.00 และมีแนวโน้มว่า จะเป็นปัญหาต่อการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น 2) ผู้เรียนมีผลการเรียน 0, ร, มส เกินครึ่งหนึ่งของรายวิชาที่ลงทะเบียนเรียนในปีการศึกษานั้น ทั้งนี้หากเกิดลักษณะใดลักษณะหนึ่งหรือทั้ง 2 ลักษณะให้สถานศึกษาแต่งตั้ง คณะกรรมการพิจารณาหากเห็นว่าไม่มีเหตุผลอันสมควรก็ให้ซ้ าชั้นโดยยกเลิกผลการเรียนเดิมและให้ใช้ ผลการเรียนใหม่แทนหากพิจารณาแล้วไม่ต้องเรียนซ้ าชั้นให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาในการแก้ไขผลการเรียน ข้อ 14 เกณฑ์การจบหลักสูตร 14.1 เกณฑ์การจบระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 1) ทุกรายวิชาที่เรียนต้องได้รับการตัดสินผลการเรียน (ไม่มี ร, มส) 2) ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐานและเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 81 หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชา พื้นฐาน 66 หน่วยกิต และรายวิชาเพิ่มเติมตามที่สถานศึกษาก าหนด 3) ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิต ตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชา พื้นฐาน 66 หน่วยกิต และรายวิชาเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 11 หน่วยกิต 4) ผู้เรียนมีผลการประเมินการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียนในระดับผ่านเกณฑ์การ ประเมินตามที่สถานศึกษาก าหนด 5) ผู้เรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมิน ตามที่สถานศึกษาก าหนด 6) ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมิน ตามที่สถานศึกษาก าหนด


204 14.2 เกณฑ์การจบระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1) ทุกรายวิชาที่เรียนต้องได้รับการตัดสินผลการเรียน (ไม่มี ร, มส) 2) ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐานและเพิ่มเติม ไม่น้อยกว่า 81 หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชา พื้นฐาน 41 หน่วยกิตและรายวิชาเพิ่มเติมตามที่สถานศึกษาก าหนด 3) ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิตตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิตโดยเป็นรายวิชา พื้นฐาน 41 หน่วยกิตและรายวิชาเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 36 หน่วยกิต 4) ผู้เรียนมีผลการประเมินการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียนในระดับผ่านเกณฑ์การ ประเมินตามที่สถานศึกษาก าหนด 5) ผู้เรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมิน ตามที่สถานศึกษาก าหนด 6) ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมิน ตามที่สถานศึกษาก าหนด 14.3 ให้หัวหน้าสถานศึกษาเป็นผู้อนุมัติผลการเรียนและการจบหลักสูตร ข้อ 15 การตัดสินให้ผู้เรียนผ่านระดับการศึกษา ให้เป็นไปตามข้อ 14.1 หรือ 14.2 ถ้าผู้เรียนไม่ผ่านระดับการศึกษาให้ด าเนินการซ่อมเสริม แล้วท าการประเมินจนผู้เรียน สามารถผ่านเกณฑ์การประเมินที่สถานศึกษาก าหนด ผู้เรียนที่มีผลการเรียนเฉลี่ยตลอดปีการศึกษาในปีการศึกษาใดต่ ากว่า 1.00 นับถึงวัน ประกาศผลการเรียนภาคเรียนที่ 2 ในปีการศึกษานั้น ให้ยกเลิกผลการเรียนเดิม แล้วลงทะเบียนเรียนใหม่ทุก รายวิชาที่เรียนในปีการศึกษานั้นในปีการศึกษาถัดไป ตามเกณฑ์ วิธีการที่สถานศึกษาก าหนด หมวด 4 การรายงานผลการเรียน ข้อ 15 การรายงานผลการเรียน การรายงานผลการเรียนเป็นการสื่อสารให้ผู้ปกครองและผู้เรียนทราบความก้าวหน้าใน การ เรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งสถานศึกษาต้องสรุปผลการประเมินและจัดท าเอกสารรายงานให้ผู้ปกครองทราบเป็น ระยะๆ หรืออย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้ง การรายงานผลการเรียนสามารถรายงานเป็นระดับคุณภาพการ ปฏิบัติของผู้เรียนที่สะท้อนมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้


205 15.1 จุดมุ่งหมายการรายงานผลการเรียน 1. เพื่อแจ้งให้ผู้เรียนผู้เกี่ยวข้องทราบความก้าวหน้าของผู้เรียน 2. เพื่อให้ผู้เรียนผู้เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไขส่งเสริมและพัฒนาการ เรียนของผู้เรียน 3. เพื่อให้ผู้เรียนผู้เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนการเรียนก าหนดแนวทาง การศึกษาและการเลือกอาชีพ 4. เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้เกี่ยวข้องใช้ในการออกเอกสารหลักฐานการศึกษาตรวจสอบและ รับรองผลการเรียนหรือวุฒิทางการศึกษาของผู้เรียน 5. เพื่อเป็นข้อมูลส าหรับสถานศึกษาเขตพื้นที่การศึกษาและหน่วยงานต้นสังกัดใช้ ประกอบในการก าหนดนโยบายวางแผนในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา 15.2 ข้อมูลในการรายงานผลการเรียน 1. ข้อมูลระดับชั้นเรียนประกอบด้วยเวลามาเรียนผลการประเมินความรู้ความสามารถ พฤติกรรมการเรียนความประพฤติและผลงานในการเรียนของผู้เรียนเป็นข้อมูลส าหรับรายงานให้ผู้มีส่วน เกี่ยวข้องได้แก่ผู้เรียนผู้สอนและผู้ปกครองได้รับทราบความก้าวหน้าความส าเร็จในการเรียนของผู้เรีย เพื่อน าไปใช้ในการวางแผนก าหนดเป้าหมายและวิธีการในการพัฒนาผู้เรียน 2. ข้อมูลระดับสถานศึกษาประกอบด้วยผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้8 กลุ่มสาระผลการประเมินการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียนผลการประเมินคุณลักษณะอัน พึงประสงค์ผลการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนรายปี/รายภาค ผลการประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้ รายปี/รายภาค โดยรวมของสถานศึกษาเพื่อใช้เป็นข้อมูลและสารสนเทศในการพัฒนาการเรียนการสอนและ คุณภาพของผู้เรียนให้เป็นไปตามมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัดการตัดสินการเลื่อนชั้นและ การซ่อมเสริม ผู้เรียนที่มีข้อบกพร่องให้ผ่านระดับชั้นและเป็นข้อมูลในการออกเอกสารหลักฐานการศึกษา 3. ข้อมูลระดับเขตพื้นที่การศึกษาได้แก่ผลการประเมินคุณภาพของผู้เรียนด้วยแบบ ประเมินที่ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาจัดท าขึ้นในกลุ่มสาระการเรียนรู้ส าคัญในระดับชั้นที่นอกเหนือจากการ ประเมินคุณภาพระดับชาติเป็นข้อมูลที่ผู้เกี่ยวข้องใช้วางแผนและด าเนินการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ สถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อให้เกิดการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของผู้เรียนและ สถานศึกษา 4. ข้อมูลระดับชาติได้แก่ผลการประเมินคุณภาพของผู้เรียนด้วยแบบประเมินที่เป็น มาตรฐานระดับชาติในกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ส าคัญในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่ง ด าเนินการโดยหน่วยงานระดับชาติเป็นข้อมูลที่ผู้เกี่ยวข้อง ใช้วางแผนและด าเนินการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของผู้เรียน สถานศึกษาท้องถิ่น เขต พื้นที่การศึกษา และประเทศชาติรวมทั้งน าไปรายงานในเอกสารหลักฐานการศึกษาของผู้เรียน


206 5. ข้อมูลพัฒนาการของผู้เรียนด้านอื่น ๆ ประกอบด้วย ข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการ ทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและพฤติกรรมต่าง ๆ เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งของการแนะแนวและจัดระบบ การดูแลช่วยเหลือ เพื่อแจ้งให้ผู้เรียน ผู้สอน ผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบข้อมูล โดยผู้มีหน้าที่ รับผิดชอบแต่ละฝ่ายน าไปใช้ปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาผู้เรียนให้เกิดพัฒนาการอย่างถูกต้องเหมาะสมรวมทั้ง น าไปจัดท าเอกสารหลักฐานแสดงพัฒนาการของผู้เรียน 15.3 ลักษณะข้อมูลส าหรับการรายงาน การรายงานผลการเรียนสถานศึกษาสามารถเลือกลักษณะข้อมูล ส าหรับการรายงาน ได้หลายรูปแบบให้เหมาะสมกับวิธีการรายงาน และสอดคล้องกับการให้ระดับผลการเรียนในแต่ละระดับ การศึกษา โดยค านึงถึงประสิทธิภาพของการรายงานและการน าข้อมูลไปใช้ประโยชน์ของผู้รับรายงานแต่ละ ฝ่ายลักษณะข้อมูลมีรูปแบบดังนี้ 1. รายงานเป็นตัวเลขตัวอักษรค าหรือข้อความที่เป็นตัวแทนระดับความรู้ ความสามารถของผู้เรียนที่เกิดจากการประมวลผลสรุปตัดสินข้อมูลผลการเรียนรู้ของผู้เรียนได้แก่ 1.1 คะแนนที่ได้กับคะแนนเต็ม 1.2 คะแนนร้อยละ 1.3 ระดับผลการเรียน “0-4” (8 ระดับ) หรือตามที่สถานศึกษาก าหนดและ เงื่อนไขของผลการเรียนได้แก่ “ผ” “มผ” “ร” “มส” 1.4 ผลการประเมินคุณภาพ “ดีเยี่ยม” “ดี” “ผ่าน” 1.5 ผลการตัดสินผ่านระดับชั้น “ผ่าน” “ไม่ผ่าน” 2. รายงานโดยใช้สถิติเป็นการรายงานจากข้อมูลที่เป็นตัวเลขตัวอักษรหรือข้อความ ให้เป็นภาพแผนภูมิหรือเส้นพัฒนาการ ซึ่งจะแสดงให้เห็นพัฒนาการความก้าวหน้าของผู้เรียนว่าดีขึ้นหรือควร ได้รับการพัฒนาอย่างไรเมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป 3. รายงานเป็นข้อความเป็นการบรรยายพฤติกรรมหรือคุณภาพที่ผู้ประเมินสังเกต พบ เพื่อรายงานให้ทราบว่าผู้เรียนมีความสามารถมีพฤติกรรมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามมาตรฐานการ เรียนรู้/ตัวชี้วัด และบุคลิกภาพอย่างไรเช่นผู้เรียนมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงชอบแสดงความคิดเห็นและมี เหตุผล ผู้เรียนสนใจอ่านเรื่องต่างๆ หลากหลายประเภทสามารถสรุปใจความของเรื่องได้ถูกต้องสมบูรณ์ผู้เรียน มีผลการเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้เป็นที่น่าพอใจ แต่ควรมีการพัฒนาด้านการเขียนโดยได้รับความร่วมมือ จากผู้ปกครองในการฝึกหรือส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะในการเขียนสูงขึ้น


207 หมวด 5 เอกสารหลักฐานการศึกษา ข้อ 16 ให้มีการจัดหาและจัดท าเอกสารหลักฐานการศึกษา ดังต่อไปนี้ 16.1 เอกส า รหลัก ฐ านก า รศึกษ าที่ก ร ะท ร วงศึกษ า ธิก า รก าหนดเป็นเอกส า รที่ กระทรวงศึกษาธิการควบคุมและบังคับแบบ เพื่อใช้เป็นหลักฐานส าหรับการตรวจสอบยืนยันและรับรองผลการ เรียนของผู้เรียน สถานศึกษาต้องใช้แบบพิมพ์ของกระทรวงศึกษาธิการและด าเนินการจัดท าตามที่ กระทรวงศึกษาธิการก าหนดไว้ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันประกอบด้วย 1) ระเบียนแสดงผลการเรียน (ปพ.1) เป็นเอกสารส าหรับบันทึกข้อมูลผลการเรียน ของผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้แก่ผลการเรียนตาม กลุ่มสาระ การเรียนรู้ผลการประเมินการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียนผลการประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์และผลการ ประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน สถานศึกษาจะต้องจัดท าและออกเอกสารนี้ให้ผู้เรียนเป็นรายบุคคล เมื่อผู้เรียน จบการศึกษาแต่ละระดับหรือเมื่อผู้เรียนออกจากสถานศึกษาในทุกกรณีเพื่อใช้แสดงผลการเรียนตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2) ประกาศนียบัตร (ปพ.2) เป็นเอกสารแสดงวุฒิการศึกษาที่มอบให้แก่ผู้จบการศึกษา ภาคบังคับและผู้ส าเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 เพื่อ รับรองศักดิ์และสิทธิ์ของผู้ส าเร็จการศึกษาตามวุฒิแห่งประกาศนียบัตรนั้น 3) แบบรายงานผู้ส าเร็จการศึกษา (ปพ.3) เป็นเอกสารส าหรับอนุมัติการจบการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของผู้เรียนในแต่ละรุ่นการศึกษาโดยบันทึกรายชื่อและข้อมูลทาง การศึกษาของผู้จบการศึกษาระดับประถมศึกษา (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6) ผู้จบการศึกษาภาคบังคับ (ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3) และผู้จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน(ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6) ใช้เป็นเอกสารส าหรับตัดสินและอนุมัติ ผลการเรียนให้ผู้เรียนเป็นผู้ส าเร็จการศึกษาและใช้ในการตรวจสอบยืนยันและรับรองความส าเร็จและวุฒิ การศึกษาของผู้ส าเร็จการศึกษาแต่ละคนตลอดไป 16.2 เอกสารหลักฐานการศึกษาที่สถานศึกษาก าหนด เป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดท าขึ้นเพื่อ บันทึกพัฒนาการผลการเรียนรู้และข้อมูลส าคัญเกี่ยวกับผู้เรียน เช่น แบบบันทึกผลการเรียนประจ ารายวิชา แบบรายงานประจ าตัวนักเรียนระเบียนสะสมใบรับรองผลการเรียนและเอกสารอื่น ๆ ตามวัตถุประสงค์ของการ น าเอกสารไปใช้ 1. แบบบันทึกผลการเรียนประจ ารายวิชา เป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดท าขึ้นเพื่อให้ ผู้สอนใช้บันทึกข้อมูลการวัดและประเมินผลการเรียนตามแผนการจัดการเรียนการสอนและประเมินผลการ เรียนและใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาตัดสินผลการเรียนแต่ละรายวิชาเอกสารนี้ควรจัดท าเพื่อบันทึกข้อมูลของ ผู้เรียนเป็นรายห้อง


208 เอกสารบันทึกผลการเรียนประจ ารายวิชาน าไปใช้ประโยชน์ดังนี้ 1.1 ใช้เป็นเอกสารเพื่อการด าเนินงานของผู้สอนแต่ละคนในการวัดและประเมิน ผลการเรียนของผู้เรียนแต่ละรายวิชารายห้อง 1.2 ใช้เป็นหลักฐานส าหรับตรวจสอบรายงานและรับรองข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการและ กระบวนการวัดและประเมินผลการเรียน 1.3 เป็นเอกสารที่ผู้บริหารสถานศึกษาใช้ในการอนุมัติผลการเรียนประจ าภาคเรียน/ปี การศึกษา 2. แบบรายงานประจ าตัวนักเรียน เป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดท าขึ้นเพื่อบันทึกข้อมูลการ ประเมินผลการเรียนรู้และพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนแต่ละคนตามเกณฑ์การตัดสินการผ่านระดับชั้นตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานรวมทั้งข้อมูลด้านอื่นๆ ของผู้เรียนทั้งที่บ้านและโรงเรียนเป็นเอกสาร รายบุคคลส าหรับสื่อสารให้ผู้ปกครองของผู้เรียนแต่ละคนได้รับทราบผลการเรียนและพัฒนาการด้านต่างๆ ของ ผู้เรียนและร่วมมือในการพัฒนาผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง 3. ใบรับรองผลการเรียนเป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดท าขึ้นเพื่อรับรองสถานภาพความเป็น ผู้เรียนในสถานศึกษาที่ก าลังศึกษาอยู่หรือรับรองผลการเรียนหรือวุฒิของผู้เรียนเป็นการชั่วคราวตามที่ผู้เรียน ร้องขอทั้งกรณีที่ผู้เรียนก าลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนหรือเมื่อจบการศึกษาไปแล้วแต่ก าลังรอรับหลักฐานการศึกษา ระเบียนแสดงผลการเรียนเป็นต้น ใบรับรองผลการเรียนมีอายุการใช้งานชั่วคราวโดยปกติประมาณ 30 วันซึ่งผู้เรียนสามารถ น าไปใช้เป็นหลักฐานแสดงคุณสมบัติของผู้เรียนในการสมัครเข้าศึกษาต่อสมัครเข้าท างานหรือเมื่อมีกรณีอื่นใดที่ ผู้เรียนแสดงคุณสมบัติเกี่ยวกับวุฒิความรู้หรือสถานภาพการเป็นผู้เรียนของตน 4. ระเบียนสะสมเป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดท าขึ้นเพื่อบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการของ ผู้เรียนในด้านต่าง ๆ เป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงระยะเวลาการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปีระเบียนสะสมให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการแนะแนวทางการศึกษาและการ ประกอบอาชีพของผู้เรียนการพัฒนาปรับปรุงบุคลิกภาพการปรับตัวของผู้เรียนและผลการเรียนตลอดจน รายงานกระบวนการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนระหว่างสถานศึกษากับบ้านและใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบ คุณสมบัติของผู้เรียนตามความเหมาะสม หมวด 6 การเทียบโอนผลการเรียน ข้อ 17 ให้มีการเทียบโอนผลการเรียนของนักเรียนที่เรียนรู้จากสถานศึกษาได้ในกรณีต่างๆ ได้แก่การ ย้ายสถานศึกษาการเปลี่ยนรูปแบบการศึกษาการย้ายหลักสูตรการออกกลางคันและการขอกลับเข้ารับ การศึกษาต่อการศึกษาจากต่างประเทศและขอเข้าศึกษาต่อในประเทศ


209 ข้อ 18 ให้สามารถเทียบโอนความรู้ทักษะประสบการณ์จากแหล่งการเรียนรู้อื่นๆ เช่น สถาน ประกอบการ สถาบันทางศาสนา สถาบันการฝึกอบรมอาชีพ การจัดการศึกษาโดยครอบครัวเป็นต้น ข้อ 19 การเทียบโอนผลการเรียนควรด าเนินการในช่วงก่อนเปิดภาคเรียนหรือต้นภาคเรียน ที่ สถานศึกษารับผู้ขอเทียบโอนเป็นผู้เรียนทั้งนี้ผู้เรียนที่ได้รับการเทียบโอนผลการเรียนต้องศึกษาต่อเนื่องใน สถานศึกษาที่รับเทียบโอนอย่างน้อย 1 ภาคเรียนโดยสถานศึกษาที่รับการเทียบโอนควรก าหนดรายวิชาจ านวน หน่วยกิตที่จะรับเทียบโอนตามความเหมาะสม ข้อ 20 การพิจารณาการเทียบโอนสามารถด าเนินการได้ดังนี้ 20.1 พิจารณาจากหลักฐานการศึกษาและเอกสารอื่นๆที่ให้ข้อมูลแสดงความรู้ความสามารถ ของผู้เรียน 20.2 พิจารณาจากความรู้ความสามารถของผู้เรียนโดยการทดสอบด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งภาค ความรู้และภาคปฏิบัติ 20.3 พิจารณาจากความสามารถและการปฏิบัติในสภาพจริง ข้อ 21 การเทียบโอนผลการเรียนให้ด าเนินการในรูปของคณะกรรมการการเทียบโอนจ านวนไม่น้อย กว่า 3 คน แต่ไม่ควรเกิน 5 คนโดยมีแนวทางในการเทียบโอนดังนี้ 21.1 กรณีผู้ขอเทียบโอนมีผลการเรียนมาจากหลักสูตรอื่นให้น ารายวิชาหรือหน่วยกิตที่มี มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้/จุดประสงค์/เนื้อหาที่สอดคล้องกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 มาเทียบ โอนผลการเรียนและพิจารณาให้ระดับผลการเรียนให้สอดคล้องกับหลักสูตรที่รับเทียบโอน 21.2 กรณีการเทียบโอนความรู้ทักษะและประสบการณ์ให้พิจารณาจากเอกสารหลักฐาน (ถ้า มี) โดยให้มีการประเมินด้วยเครื่องมือที่หลากหลายและให้ระดับผลการเรียนให้สอดคล้องกับหลักสูตร ที่รับ เทียบโอน 21.3 กรณีการเทียบโอนนักเรียนที่เข้าโครงการแลกเปลี่ยนต่างประเทศให้ด าเนินการตาม ประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่องหลักการและแนวปฏิบัติการเทียบชั้นการศึกษาส าหรับนักเรียนที่เข้าร่วม โครงการแลกเปลี่ยน ประกาศ ณ วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ลงชื่อ (นายณรงค์ ทองขาว) ประธานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ นครศรีธรรมราช


210 อภิธานศัพท์ • กระบวนการเขียน กระบวนการเขียนเป็นการคิดเรื่องที่จะเขียนและรวบรวมความรู้ในการเขียน กระบวนการเขียน มี 5 ขั้น ดังนี้ 1.การเตรียมการเขียน เป็นขั้นเตรียมพร้อมที่จะเขียนโดยเลือกหัวข้อเรื่องที่จะเขียน บนพื้นฐาน ของประสบการณ์ ก าหนดรูปแบบการเขียน รวบรวมความคิดในการเขียน อาจใช้วิธีการอ่านหนังสือ สนทนา จัดหมวดหมู่ความคิด โดยเขียนเป็นแผนภาพความคิด จดบันทึกความคิดที่จะเขียนเป็นรูปหัวข้อเรื่อง ใหญ่ หัวข้อย่อย และรายละเอียดคร่าวๆ 2.การยกร่างข้อเขียน เมื่อเตรียมหัวข้อเรื่องและความคิดรูปแบบการเขียนแล้ว ให้น าความคิด มาเขียนตามรูปแบบที่ก าหนดเป็นการยกร่างข้อเขียน โดยค านึงถึงว่าจะเขียนให้ใครอ่าน จะใช้ภาษาอย่างไรให้ เหมาะสมกับเรื่องและเหมาะกับผู้อื่น จะเริ่มต้นเขียนอย่างไร มีหัวข้อเรื่องอย่างไร ล าดับความคิดอย่างไร เชื่อมโยงความคิดอย่างไร 3.การปรับปรุงข้อเขียน เมื่อเขียนยกร่างแล้วอ่านทบทวนเรื่องที่เขียน ปรับปรุงเรื่องที่เขียน เพิ่มเติมความคิดให้สมบูรณ์ แก้ไขภาษา ส านวนโวหาร น าไปให้เพื่อนหรือผู้อื่นอ่าน น าข้อเสนอแนะมา ปรับปรุงอีกครั้ง 4. การบรรณาธิการกิจ น าข้อเขียนที่ปรับปรุงแล้วมาตรวจทานค าผิด แก้ไขให้ถูกต้อง แล้ว อ่านตรวจทานแก้ไขข้อเขียนอีกครั้ง แก้ไขข้อผิดพลาดทั้งภาษา ความคิด และการเว้นวรรคตอน 5. การเขียนให้สมบูรณ์ น าเรื่องที่แก้ไขปรับปรุงแล้วมาเขียนเรื่องให้สมบูรณ์ จัดพิมพ์วาดรูป ประกอบ เขียนให้สมบูรณ์ด้วยลายมือที่สวยงามเป็นระเบียบ เมื่อพิมพ์หรือเขียนแล้วตรวจทานอีกครั้งให้ สมบูรณ์ก่อนจัดท ารูปเล่ม กระบวนการคิด การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เป็นกระบวนการคิด คนที่จะคิดได้ดีต้องเป็นผู้ฟัง ผู้พูด ผู้อ่านและผู้เขียนที่ดีบุคคลที่จะคิดได้ดีจะต้องมีความรู้และประสบการณ์พื้นฐานในการคิดบุคคลจะมีความ สามารถในการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่าจะต้องมีความรู้และประสบการณ์ พื้นฐานที่น ามาช่วยในการคิดทั้งสิ้นการสอนให้คิดควรให้ผู้เรียนรู้จักคัดเลือกข้อมูล ถ่ายทอด รวบรวม และจ า ข้อมูลต่างๆ สมองของมนุษย์จะเป็นผู้บริโภคข้อมูลข่าวสาร และสามารถแปลความข้อมูลข่าวสาร และสามารถ น ามาใช้อ้างอิง การเป็นผู้ฟัง ผู้พูด ผู้อ่าน และผู้เขียนที่ดี จะต้องสอนให้เป็นผู้บริโภคข้อมูลข่าวสารที่ดีและเป็น นักคิดที่ดีด้วยกระบวนการสอนภาษาจึงต้องสอนให้ผู้เรียนเป็นผู้รับรู้ข้อมูลข่าวสารและมีทักษะการคิดน าข้อมูล ข่าวสารที่ได้จากการฟังและการอ่านน ามาสู่การฝึกทักษะการคิด น าการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน มา สอนในรูปแบบ บูรณาการทักษะ ตัวอย่าง เช่น การเขียนเป็นกระบวนการคิดในการวิเคราะห์ การแยกแยะ การ สังเคราะห์ การประเมินค่า การสร้างสรรค์ ผู้เขียนจะน าความรู้และประสบการณ์สู่การคิดและแสดงออกตาม ความคิดของตนเสมอ ต้องเป็นผู้อ่านและผู้ฟังเพื่อรับรู้ข่าวสารที่จะน ามาวิเคราะห์และสามารถแสดงทรรศนะได้


211 • กระบวนการอ่าน การอ่านเป็นกระบวนการซึ่งผู้อ่านสร้างความหมายหรือพัฒนา การตีความระหว่างการอ่าน ผู้อ่านจะต้องรู้หัวข้อเรื่อง รู้จุดประสงค์ของการอ่าน มีความรู้ทางภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษาที่ใช้ในหนังสือที่อ่าน โดยใช้ประสบการณ์เดิมเป็นประสบการณ์ท าความเข้าใจกับเรื่องที่อ่าน กระบวนการอ่านมีดังนี้ 1. การเตรียมการอ่าน ผู้อ่านจะต้องอ่านชื่อเรื่อง หัวข้อย่อยจากสารบัญเรื่อง อ่านค าน า ให้ทราบจุดมุ่งหมายของหนังสือ ตั้งจุดประสงค์ของการอ่านจะอ่านเพื่อความเพลิดเพลินหรืออ่านเพื่อหา ความรู้ วางแผนการอ่านโดยอ่านหนังสือตอนใดตอนหนึ่งว่าความยากง่ายอย่างไร หนังสือมีความยากมากน้อย เพียงใด รูปแบบของหนังสือเป็นอย่างไร เหมาะกับผู้อ่านประเภทใด เดาความว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เตรียมสมุด ดินสอ ส าหรับจดบันทึกข้อความหรือเนื้อเรื่องที่ส าคัญขณะอ่าน 2. การอ่าน ผู้อ่านจะอ่านหนังสือให้ตลอดเล่มหรือเฉพาะตอนที่ต้องการอ่าน ขณะอ่านผู้อ่าน จะใช้ความรู้จากการอ่านค า ความหมายของค ามาใช้ในการอ่าน รวมทั้งการรู้จักแบ่งวรรคตอนด้วย การอ่าน เร็วจะมีส่วนช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องได้ดีกว่าผู้อ่านช้า ซึ่งจะสะกดค าอ่านหรืออ่านย้อนไปย้อนมา ผู้อ่านจะใช้ บริบทหรือค าแวดล้อมช่วยในการตีความหมายของค าเพื่อท าความเข้าใจเรื่องที่อ่าน 3. การแสดงความคิดเห็น ผู้อ่านจะจดบันทึกข้อความที่มีความส าคัญ หรือเขียนแสดง ความคิดเห็น ตีความข้อความที่อ่าน อ่านซ้ าในตอนที่ไม่เข้าใจเพื่อท าความเข้าใจให้ถูกต้อง ขยาย ความคิดจากการอ่าน จับคู่กับเพื่อนสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตั้งข้อสังเกตจากเรื่องที่อ่าน ถ้าเป็น การอ่านบทกลอนจะต้องอ่านท านองเสนาะดังๆ เพื่อฟังเสียงการอ่านและเกิดจินตนาการ 4. การอ่านส ารวจ ผู้อ่านจะอ่านซ้ าโดยเลือกอ่านตอนใดตอนหนึ่ง ตรวจสอบค าและภาษา ที่ ใช้ ส ารวจโครงเรื่องของหนังสือเปรียบเทียบหนังสือที่อ่านกับหนังสือที่เคยอ่าน ส ารวจและเชื่อมโยงเหตุการณ์ ในเรื่องและการล าดับเรื่อง และส ารวจค าส าคัญที่ใช้ในหนังสือ 5. การขยายความคิด ผู้อ่านจะสะท้อนความเข้าใจในการอ่าน บันทึกข้อคิดเห็น คุณค่าของ เรื่อง เชื่อมโยงเรื่องราวในเรื่องกับชีวิตจริง ความรู้สึกจากการอ่าน จัดท าโครงงานหลักการอ่าน เช่น วาด ภาพ เขียนบทละคร เขียนบันทึกรายงานการอ่าน อ่านเรื่องอื่นๆ ที่ผู้เขียนคนเดียวกันแต่ง อ่านเรื่องเพิ่มเติม เรื่องที่เกี่ยวโยงกับเรื่องที่อ่าน เพื่อให้ได้ความรู้ที่ชัดเจนและกว้างขวางขึ้น • การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นการเขียนโดยใช้ความรู้ ประสบการณ์ และจินตนาการในการ เขียน เช่น การเขียนเรียงความ นิทาน เรื่องสั้น นวนิยาย และบทร้อยกรอง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ ผู้เขียนจะต้องมีความคิดดี มีจินตนาการดี มีคลังค าอย่างหลากหลาย สามารถน าค ามาใช้ ในการ เขียน ต้องใช้เทคนิคการเขียน และใช้ถ้อยค าอย่างสละสลวย • การดู การดูเป็นการรับสารจากสื่อภาพและเสียง และแสดงทรรศนะได้จากการรับรู้สาร ตีความ แปล ความ วิเคราะห์ และประเมินคุณค่าสารจากสื่อ เช่น การดูโทรทัศน์ การดูคอมพิวเตอร์ การดูละคร การดู


212 ภาพยนตร์ การดูหนังสือการ์ตูน (แม้ไม่มีเสียงแต่มีถ้อยค าอ่านแทนเสียงพูด) ผู้ดูจะต้องรับรู้สาร จากการดูและ น ามาวิเคราะห์ ตีความ และประเมินคุณค่าของสารที่เป็นเนื้อเรื่องโดยใช้หลักการพิจารณาวรรณคดีหรือการ วิเคราะห์วรรณคดีเบื้องต้น เช่น แนวคิดของเรื่อง ฉากที่ประกอบเรื่องสมเหตุสมผล กิริยาท่าทาง และการ แสดงออกของตัวละครมีความสมจริงกับบทบาท โครงเรื่อง เพลง แสง สี เสียง ที่ใช้ประกอบการแสดงให้ อารมณ์แก่ผู้ดูสมจริงและสอดคล้องกับยุคสมัยของเหตุการณ์ที่จ าลองสู่บทละคร คุณค่าทางจริยธรรม คุณธรรม และคุณค่าทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อผู้ดูหรือผู้ชม ถ้าเป็นการดูข่าวและเหตุการณ์ หรือการอภิปราย การใช้ความรู้หรือเรื่องที่เป็นสารคดี การโฆษณาทางสื่อจะต้องพิจารณาเนื้อหาสาระว่าสมควรเชื่อถือได้หรือไม่ เป็นการโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ ความคิดส าคัญและมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้มาก และการดูละครเวที ละคร โทรทัศน์ ดูข่าวทางโทรทัศน์จะเป็นประโยชน์ได้รับความสนุกสนาน ต้องดูและวิเคราะห์ ประเมินค่า สามารถ แสดงทรรศนะของตนได้อย่างมีเหตุผล • การตีความ การตีความเป็นการใช้ความรู้และประสบการณ์ของผู้อ่านและการใช้บริบท ได้แก่ ค าที่แวดล้อม ข้อความ ท าความเข้าใจข้อความหรือก าหนดความหมายของค าให้ถูกต้อง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายว่า การตีความหมาย ชี้หรือ ก าหนดความหมาย ให้ความหมายหรืออธิบาย ใช้หรือปรับให้เข้าใจเจตนา และความมุ่งหมายเพื่อความถูกต้อง • การเปลี่ยนแปลงของภาษา ภาษาย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ค าค าหนึ่งในสมัยหนึ่งเขียนอย่างหนึ่ง อีกสมัยหนึ่ง เขียนอีกอย่างหนึ่ง ค าว่า ประเทศ แต่เดิมเขียน ประเทษ ค าว่า ปักษ์ใต้ แต่เดิมเขียน ปักใต้ ในปัจจุบัน เขียน ปักษ์ใต้ ค าว่า ลุ่มลึก แต่ก่อนเขียน ลุ่มฦก ภาษาจึงมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งความหมายและการเขียน บางครั้งค าบางค า เช่น ค าว่า หล่อน เป็นค าสรรพนามแสดงถึงค าพูด สรรพนามบุรุษที่ 3 ที่เป็นค าสุภาพ แต่ เดี๋ยวนี้ค าว่า หล่อน มีความหมายในเชิงดูแคลน เป็นต้น • การสร้างสรรค์ การสร้างสรรค์ คือ การรู้จักเลือกความรู้ ประสบการณ์ที่มีอยู่เดิมมาเป็นพื้นฐานในการสร้าง ความรู้ ความคิดใหม่ หรือสิ่งแปลกใหม่ที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม บุคคลที่จะมีความสามารถใน การสร้างสรรค์จะต้องเป็นบุคคลที่มีความคิดอิสระอยู่เสมอ มีความเชื่อมั่นในตนเอง มองโลกในแง่ดี คิด ไตร่ตรอง ไม่ตัดสินใจสิ่งใดง่ายๆ การสร้างสรรค์ของมนุษย์จะเกี่ยวเนื่องกันกับความคิด การพูด การเขียน และการกระท าเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งจะต้องมีการคิดเชิงสร้างสรรค์เป็นพื้นฐาน • ความคิดเชิงสร้างสรรค์เป็นความคิดที่พัฒนามาจากความรู้และประสบการณ์เดิม ซึ่งเป็น ปัจจัยพื้นฐานของการพูด การเขียน และการกระท าเชิงสร้างสรรค์ • การพูดและการเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นการแสดงออกทางภาษาที่ใช้ภาษาขัดเกลาให้ไพเราะ งดงาม เหมาะสม ถูกต้องตามเนื้อหาที่พูดและเขียน


213 • การกระท าเชิงสร้างสรรค์เป็นการกระท าที่ไม่ซ้ าแบบเดิมและคิดค้นใหม่แปลกไปจากเดิม และเป็น ประโยชน์ที่สูงขึ้น • ข้อมูลสารสนเทศ • ข้อมูลสารสนเทศ หมายถึง เรื่องราว ข้อเท็จจริง ข้อมูล หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สามารถ สื่อ ความหมายด้วยการพูดบอกเล่า บันทึกเป็นเอกสาร รายงาน หนังสือ แผนที่ แผนภาพ ภาพถ่าย บันทึกด้วยเสียงและภาพ บันทึกด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นการเก็บเรื่องราวต่างๆ บันทึกไว้เป็นหลักฐานด้วยวิธีต่างๆ • ความหมายของค า ค าที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารมีความหมายแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ คือ 1. ความหมายโดยตรง เป็นความหมายที่ใช้พูดจากันตรงตามความหมาย ค าหนึ่งๆ นั้น อาจมี ความหมายได้หลายความหมาย เช่น ค าว่า กา อาจมีความหมายถึง ภาชนะใส่น้ า หรืออาจ หมายถึง นกชนิดหนึ่ง ตัวสีด า ร้อง กา กา เป็นความหมายโดยตรง 2. ความหมายแฝง ค าอาจมีความหมายแฝงเพิ่มจากความหมายโดยตรง มักเป็นความหมาย เกี่ยวกับความรู้สึก เช่น ค าว่า ขี้เหนียว กับ ประหยัด หมายถึง ไม่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย เป็นความหมายตรง แต่ความรู้สึกต่างกัน ประหยัดเป็นสิ่งดี แต่ขี้เหนียวเป็นสิ่งไม่ดี 3. ความหมายในบริบท ค าบางค ามีความหมายตรง เมื่อร่วมกับค าอื่นจะมีความหมายเพิ่มเติม กว้างขึ้น หรือแคบลงได้ เช่น ค าว่า ดี เด็กดี หมายถึง ว่านอนสอนง่าย เสียงดี หมายถึง ไพเราะ ดินสอดี หมายถึง เขียนได้ดี สุขภาพดี หมายถึง ไม่มีโรค ความหมายบริบทเป็น ความหมายเช่นเดียวกับความหมายแฝง • คุณค่าของงานประพันธ์ เมื่อผู้อ่านอ่านวรรณคดีหรือวรรณกรรมแล้วจะต้องประเมินงานประพันธ์ ให้เห็นคุณค่าของงาน ประพันธ์ ท าให้ผู้อ่านอ่านอย่างสนุก และได้รับประโยชน์จาการอ่านงานประพันธ์ คุณค่าของงานประพันธ์ แบ่งได้เป็น 2 ประการ คือ 1. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ถ้าอ่านบทร้อยกรองก็จะพิจารณากลวิธีการแต่ง การเลือกเฟ้นถ้อยค า มาใช้ได้ไพเราะ มีความคิดสร้างสรรค์ และให้ความสะเทือนอารมณ์ ถ้าเป็นบทร้อยแก้วประเภทสารคดี รูปแบบการเขียนจะเหมาะสมกับเนื้อเรื่อง วิธีการน าเสนอน่าสนใจ เนื้อหามีความถูกต้อง ใช้ภาษาสละสลวย ชัดเจน การน าเสนอมีความคิดสร้างสรรค์ ถ้าเป็นร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดี องค์ประกอบของเรื่องไม่ว่าเรื่อง สั้น นวนิยาย นิทาน จะมีแก่นเรื่อง โครงเรื่อง ตัวละครมีความสัมพันธ์กัน กลวิธีการแต่งแปลกใหม่ น่าสนใจ ปมขัดแย้งในการแต่งสร้างความสะเทือนอารมณ์ การใช้ถ้อยค า สร้างภาพได้ชัดเจน ค าพูดในเรื่องเหมาะสมกับบุคลิกของ ตัวละครมีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับชีวิตและ สังคม


214 2. คุณค่าด้านสังคม เป็นคุณค่าทางด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ ชีวิต ความเป็นอยู่ของมนุษย์ และคุณค่าทางจริยธรรม คุณค่าด้านสังคม เป็นคุณค่าที่ผู้อ่านจะ เข้าใจชีวิตทั้ง ในโลกทัศน์และชีวทัศน์ เข้าใจการด าเนินชีวิตและเข้าใจเพื่อนมนุษย์ดีขึ้น เนื้อหาย่อมเกี่ยวข้องกับการช่วย จรรโลงใจแก่ผู้อ่าน ช่วยพัฒนาสังคม ช่วยอนุรักษ์สิ่งมีคุณค่าของชาติบ้านเมือง และสนับสนุนค่านิยมอันดีงาม • โครงงาน โครงงานเป็นการจัดการเรียนรู้วิธีหนึ่งที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนด้วยการค้นคว้า ลงมือปฏิบัติจริง ในลักษณะของการส ารวจ ค้นคว้า ทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น ผู้เรียนจะรวบรวมข้อมูล น ามาวิเคราะห์ ทดสอบเพื่อแก้ปัญหาข้องใจ ผู้เรียนจะน าความรู้จากชั้นเรียนมาบูรณาการในการแก้ปัญหา ค้นหาค าตอบ เป็น กระบวนการค้นพบน าไปสู่การเรียนรู้ ผู้เรียนจะเกิดทักษะการท างานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการจัดการ ผู้สอน จะเข้าใจผู้เรียน เห็นรูปแบบการเรียนรู้ การคิด วิธีการท างานของผู้เรียน จากการสังเกตการท างานของผู้เรียน การเรียนแบบโครงงานเป็นการเรียนแบบศึกษาค้นคว้าวิธีการหนึ่ง แต่เป็นการศึกษาค้นคว้าที่ ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ปัญหา เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนมีเหตุผล สรุปเรื่องราว อย่างมีกฎเกณฑ์ ท างานอย่างมีระบบ การเรียนแบบโครงงานไม่ใช่การศึกษาค้นคว้าจัดท ารายงานเพียงอย่าง เดียว ต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลและมีการสรุปผล • ทักษะการสื่อสาร ทักษะการสื่อสาร ได้แก่ ทักษะการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน ซึ่งเป็นเครื่องมือของ การส่งสารและการรับสาร การส่งสาร ได้แก่ การส่งความรู้ ความเชื่อ ความคิด ความรู้สึกด้วยการพูด และ การเขียน ส่วนการรับสาร ได้แก่ การรับความรู้ ความเชื่อ ความคิด ด้วยการอ่านและการฟัง การฝึกทักษะ การสื่อสารจึงเป็นการฝึกทักษะการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน ให้สามารถ รับสารและส่งสาร อย่างมีประสิทธิภาพ • ธรรมชาติของภาษา ธรรมชาติของภาษาเป็นคุณสมบัติของภาษาที่ส าคัญ มีคุณสมบัติพอสรุปได้ คือ ประการ ที่หนึ่ง ทุกภาษาจะประกอบด้วยเสียงและความหมาย โดยมีระเบียบแบบแผนหรือ กฎเกณฑ์ในการใช้ อย่างเป็นระบบ ประการที่สอง ภาษามีพลังในการงอกงามมิรู้สิ้นสุด หมายถึง มนุษย์สามารถใช้ภาษา สื่อความหมาย ได้โดยไม่สิ้นสุด ประการที่สาม ภาษาเป็นเรื่องของการใช้สัญลักษณ์ร่วมกันหรือสมมติร่วมกัน และมีการรับรู้ สัญลักษณ์หรือสมมติร่วมกัน เพื่อสร้างความเข้าใจตรงกัน ประการที่สี่ ภาษาสามารถใช้ภาษาพูดในการติดต่อสื่อสาร ไม่จ ากัดเพศของผู้ส่งสาร ไม่ว่าหญิง ชาย เด็ก ผู้ใหญ่ สามารถผลัดกันในการส่งสารและรับสารได้


215 ประการที่ห้า ภาษาพูดย่อมใช้ได้ทั้งในปัจจุบัน อดีต และอนาคต ไม่จ ากัดเวลาและสถานที่ ประการที่หก ภาษาเป็นเครื่องมือการถ่ายทอดวัฒนธรรม และวิชาความรู้นานาประการ ท าให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ • แนวคิดในวรรณกรรม แนวคิดในวรรณกรรมหรือแนวเรื่องในวรรณกรรมเป็นความคิดส าคัญในการผูกเรื่องให้ ด าเนินเรื่องไปตามแนวคิด หรือเป็นความคิดที่สอดแทรกในเรื่องใหญ่ แนวคิดย่อมเกี่ยวข้องกับมนุษย์และสังคม เป็นสารที่ผู้เขียนส่งให้ผู้อ่าน เช่น ความดีย่อมชนะความชั่ว ท าดีได้ดีท าชั่วได้ชั่ว ความยุติธรรมท าให้โลก สันติสุข คนเราพ้นความตายไปไม่ได้ เป็นต้น ฉะนั้นแนวคิดเป็นสารที่ผู้เขียนต้องการส่งให้ผู้อื่นทราบ เช่น ความดี ความยุติธรรม ความรัก เป็นต้น • บริบท บริบทเป็นค าที่แวดล้อมข้อความที่อ่าน ผู้อ่านจะใช้ความรู้สึกและประสบการณ์มาก าหนด ความหมายหรือความเข้าใจ โดยน าค าแวดล้อมมาช่วยประกอบความรู้และประสบการณ์ เพื่อท า ความเข้าใจ หรือความหมายของค า • พลังของภาษา ภาษาเป็นเครื่องมือในการด ารงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์จึงสามารถเรียนรู้ภาษาเพื่อการด ารงชีวิต เป็นเครื่องมือของการสื่อสารและสามารถพัฒนาภาษาของตนได้ ภาษาช่วยให้คนรู้จักคิดและแสดงออกของ ความคิดด้วยการพูด การเขียน และการกระท าซึ่งเป็นผลจากการคิด ถ้าไม่มีภาษา คนจะคิดไม่ได้ ถ้าคน มีภาษาน้อย มีค าศัพท์น้อย ความคิดของคนก็จะแคบไม่กว้างไกล คนที่ใช้ภาษาได้ดีจะมีความคิดดีด้วย คน จะใช้ความคิดและแสดงออกทางความคิดเป็นภาษา ซึ่งส่งผลไปสู่ การกระท า ผลของการกระท าส่งผล ไปสู่ความคิด ซึ่งเป็นพลังของภาษา ภาษาจึงมีบทบาทส าคัญต่อมนุษย์ ช่วยให้มนุษย์พัฒนาความคิด ช่วย ด ารงสังคมให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข มีไมตรีต่อกัน ช่วยเหลือกันด้วยการใช้ภาษา ติดต่อสื่อสารกัน ช่วยให้คนปฏิบัติตนตามกฎเกณฑ์ของสังคม ภาษาช่วยให้มนุษย์เกิดการพัฒนา ใช้ภาษาใน การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การอภิปรายโต้แย้ง เพื่อน าไปสู่ผลสรุป มนุษย์ใช้ภาษาในการเรียนรู้ จดบันทึก ความรู้ แสวงหาความรู้ และช่วยจรรโลงใจ ด้วยการอ่านบทกลอน ร้องเพลง ภาษายังมีพลังในตัวของมันเอง เพราะภาพย่อมประกอบด้วยเสียงและความหมาย การใช้ภาษาใช้ถ้อยค าท าให้เกิดความรู้สึกต่อผู้รับสาร ให้เกิด ความจงเกลียดจงชังหรือเกิด ความชื่นชอบ ความรักย่อมเกิดจากภาษาทั้งสิ้น ที่น าไปสู่ผลสรุปที่มี ประสิทธิภาพ • ภาษาถิ่น ภาษาถิ่นเป็นภาษาพื้นเมืองหรือภาษาที่ใช้ในท้องถิ่น ซึ่งเป็นภาษาดั้งเดิมของชาวพื้นบ้านที่ใช้ พูดจากันในหมู่เหล่าของตน บางครั้งจะใช้ค าที่มีความหมายต่างกันไปเฉพาะถิ่น บางครั้งค าที่ใช้พูดจากัน


216 เป็นค าเดียว ความหมายต่างกันแล้วยังใช้ส าเนียงที่ต่างกัน จึงมีค ากล่าวที่ว่า “ส าเนียง บอกภาษา” ส าเนียงจะบอกว่าเป็นภาษาอะไร และผู้พูดเป็นคนถิ่นใด อย่างไรก็ตามภาษาถิ่นในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็น ภาษาถิ่นเหนือ ถิ่นอีสาน ถิ่นใต้ สามารถสื่อสารเข้าใจกันได้ เพียงแต่ส าเนียงแตกต่างกันไปเท่านั้น • ภาษาไทยมาตรฐาน ภาษาไทยมาตรฐานหรือบางทีเรียกว่า ภาษาไทยกลางหรือภาษาราชการ เป็นภาษาที่ใช้ สื่อสารกัน ทั่วประเทศและเป็นภาษาที่ใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้คนไทยสามารถใช้ภาษาราชการ ในการติดต่อสื่อสาร สร้างความเป็นชาติไทย ภาษาไทยมาตรฐานก็คือภาษาที่ใช้กันในเมืองหลวง ที่ใช้ติดต่อกันทั้งประเทศ มีค าและ ส าเนียงภาษาที่เป็นมาตรฐาน ต้องพูดให้ชัดถ้อยชัดค าได้ตามมาตรฐานของภาษาไทย ภาษากลางหรือ ภาษาไทยมาตรฐานมีความส าคัญในการสร้างความเป็นปึกแผ่น วรรณคดีมีการถ่ายทอดกันมาเป็นวรรณคดี ประจ าชาติจะใช้ภาษาที่เป็นภาษาไทยมาตรฐานในการสร้างสรรค์งานประพันธ์ ท าให้วรรณคดีเป็นเครื่องมือใน การศึกษาภาษาไทยมาตรฐานได้ • ภาษาพูดกับภาษาเขียน ภาษาพูดเป็นภาษาที่ใช้พูดจากัน ไม่เป็นแบบแผนภาษา ไม่พิถีพิถันในการใช้แต่ใช้สื่อสารกัน ได้ดี สร้างความรู้สึกที่เป็นกันเอง ใช้ในหมู่เพื่อนฝูง ในครอบครัว และติดต่อสื่อสารกันอย่างไม่เป็นทางการ การใช้ภาษาพูดจะใช้ภาษาที่เป็นกันเองและสุภาพ ขณะเดียวกันก็ค านึงว่าพูดกับบุคคลที่มีฐานะต่างกัน การใช้ ถ้อยค าก็ต่างกันไปด้วย ไม่ค านึงถึงหลักภาษาหรือระเบียบแบบแผนการใช้ภาษามากนัก ส่วนภาษาเขียนเป็นภาษาที่ใช้เคร่งครัดต่อการใช้ถ้อยค า และค านึงถึงหลักภาษา เพื่อใช้ในการ สื่อสารให้ถูกต้องและใช้ในการเขียนมากกว่าพูด ต้องใช้ถ้อยค าที่สุภาพ เขียนให้เป็นประโยค เลือกใช้ถ้อยค า ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในการสื่อสาร เป็นภาษาที่ใช้ในพิธีการต่างๆ เช่น การกล่าวรายงาน กล่าว ปราศรัย กล่าวสดุดี การประชุมอภิปราย การปาฐกถา จะระมัดระวังการใช้ค าที่ไม่จ าเป็นหรือ ค าฟุ่มเฟือย หรือการเล่นค าจนกลายเป็นการพูดหรือเขียนเล่นๆ • ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาท้องถิ่น (Local Wisdom) บางครั้งเรียกว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นกระบวนทัศน์ (Paradigm) ของคนในท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ เพื่อความอยู่รอด แต่คนใน ท้องถิ่นจะสร้างความรู้จากประสบการณ์และจากการปฏิบัติ เป็นความรู้ ความคิด ที่น ามาใช้ในท้องถิ่นของตน เพื่อการด ารงชีวิตที่เหมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติ ผู้รู้จึงกลายเป็น ปราชญ์ชาวบ้านที่มีความรู้ เกี่ยวกับภาษา ยารักษาโรคและการด าเนินชีวิตในหมู่บ้านอย่างสงบสุข


217 • ภูมิปัญญาทางภาษา ภูมิปัญญาทางภาษาเป็นความรู้ทางภาษา วรรณกรรมท้องถิ่น บทเพลง สุภาษิต ค าพังเพยใน แต่ละท้องถิ่น ที่ได้ใช้ภาษาในการสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจกรรมทางสังคมที่ต่างกัน โดยน าภูมิปัญญาทางภาษาในการสั่งสอนอบรมพิธีการต่างๆ การบันเทิงหรือการละเล่น มีการแต่งเป็นค า ประพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งนิทาน นิทานปรัมปรา ต านาน บทเพลง บทร้องเล่น บทเห่กล่อม บทสวด ต่างๆ บทท าขวัญ เพื่อประโยชน์ทางสังคมและเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมประจ าถิ่น • ระดับภาษา ภาษาเป็นวัฒนธรรมที่คนในสังคมจะต้องใช้ภาษาให้ถูกต้องกับสถานการณ์และโอกาสที่ใช้ ภาษา บุคคลและประชุมชน การใช้ภาษาจึงแบ่งออกเป็นระดับของการใช้ภาษาได้หลายรูปแบบ ต าราแต่ ละเล่มจะแบ่งระดับภาษาแตกต่างกันตามลักษณะของสัมพันธภาพของบุคคลและสถานการณ์ • การแบ่งระดับภาษาประมวลได้ดังนี้ 1. การแบ่งระดับภาษาที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ 1.1 ภาษาที่ไม่เป็นทางการหรือภาษาที่เป็นแบบแผน เช่น การใช้ภาษาในการประชุม ในการ กล่าวสุนทรพจน์เป็นต้น 1.2 ภาษาที่ไม่เป็นทางการหรือภาษาที่ไม่เป็นแบบแผน เช่น การใช้ภาษาในการสนทนา การ ใช้ภาษาในการเขียนจดหมายถึงผู้คุ้นเคย การใช้ภาษาในการเล่าเรื่องหรือประสบการณ์ เป็นต้น 2. การแบ่งระดับภาษาที่เป็นพิธีการกับระดับภาษาที่ไม่เป็นพิธีการ การแบ่งภาษาแบบนี้เป็นการ แบ่งภาษาตามความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นระดับ ดังนี้ 2.1 ภาษาระดับพิธีการ เป็นภาษาแบบแผน 2.2 ภาษาระดับกึ่งพิธีการ เป็นภาษากึ่งแบบแผน 2.3 ภาษาระดับที่ไม่เป็นพิธีการ เป็นภาษาไม่เป็นแบบแผน 3. การแบ่งระดับภาษาตามสภาพแวดล้อม โดยแบ่งระดับภาษาในระดับย่อยเป็น 5 ระดับ คือ 3.1 ภาษาระดับพิธีการ เช่น การกล่าวปราศรัย การกล่าวเปิดงาน 3.2 ภาษาระดับทางการ เช่น การรายงาน การอภิปราย 3.3 ภาษาระดับกึ่งทางการ เช่น การประชุมอภิปราย การปาฐกถา 3.4 ภาษาระดับการสนทนา เช่น การสนทนากับบุคคลอย่างเป็นทางการ 3.5 ภาษาระดับกันเอง เช่น การสนทนาพูดคุยในหมู่เพื่อนฝูงในครอบครัว • วิจารณญาณ วิจารณญาณ หมายถึง การใช้ความรู้ ความคิด ท าความเข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างมีเหตุผล การ มีวิจารณญาณต้องอาศัยประสบการณ์ในการพิจารณาตัดสินสารด้วยความรอบคอบ และอย่างชาญฉลาดเป็นเหตุ เป็นผล


218 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางต้องรู้และควรรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.กลุ่มพัฒนาหลักสูตร และมาตรฐานการเรียนรู้ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กระทรวงศึกษาธิการ. (2553). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ครั้งที่2. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ ากัด. กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และมาตรฐาน การเรียนรู้และตัวชี้วัดฯ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร แห่งประเทศไทย จ ากัด. วิชาการและมาตรฐานการศึกษา ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, ส านัก. (2557). รายงานผลการน าหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ไปสู่การปฏิบัติ : การสังเคราะห์งานวิจัย เอกสาร และรายงาน ที่เกี่ยวข้องกับการน าหลักสูตรไปสู่การปฎิบัติ เอกสารล าดับที่ 1/2557 [Online]. http://www.curriculum51.net/upload/ 20150211224227.pdf [2559, กันยายน, 11] ศูนย์พัฒนาการนิเทศและเร่งรัดคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2559). แนวทางการนิเทศการจัดกิจกรรม การเรียนรู้เพื่อพัฒนา 4H. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก. ส านักผู้ตรวจราชการและติดตามประเมินผล. (2548 ). การติดตามปัญหาอุปสรรคการใช้หลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544. บันทึก ที่ ศธ 0207/ 2692 ลงวันที่ 19กันยายน 2548. ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2547). ข้อเสนอยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษา. กรุงเทพฯ: เซ็นจูรี่. ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2553). แนวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ ากัด. ____________________________. (2553). แนวทางการบริหารจัดการหลักสูตร ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ ากัด. ____________________________. (2557). แนวปฏิบัติการวัดผล และประเมินผลการเรียนรู้ ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ ากัด.


219 ส านักนายกรัฐมนตรี, ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2542). พระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.). ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2548 ก). รายงานการวิจัย การใช้หลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐานตามทัศนะของผู้สอน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.). ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2548 ข.). รายงานการวิจัยโครงการวิจัยเชิงทดลอง กระบวนการ สร้างหลักสูตรสถานศึกษาแบบอิงมาตรฐาน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.). ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2546 ก.). สรุปผลการประชุมวิเคราะห์หลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน. 27-28 ตุลาคม 2546 โรงแรมตรัง กรุงเทพฯ. (เอกสารอัดส าเนา). ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2546 ข.). สรุปความเห็นจากการประชุมเสวนาหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน 5 จุด. พฤศจิกายน 2546 (เอกสารอัดส าเนา). สุวิมล ว่องวาณิช และ นงลักษณ์ วิรัชชัย. (2547). การประเมินผลการปฎิรูปการเรียนรู้ ตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 พหุกรณีศึกษา. เอกสารการประชุมทาง วิชาการการวิจัยเกี่ยวกับการปฏิรูปการเรียนรู้ โดยส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวง ศึกษาธิการ วันที่ 19- 20 กรกฎาคม 2547.


220 คณะผู้จัดท า ที่ปรึกษา นายสุภาพ เต็มรัตน์ ผู้อ านวยการโรงเรียน นางสาวญาณากร สังข์ด้วงญา รองผู้อ านวยการ นางสาวพัชราพร ทวยสงฆ์ รองผู้อ านวยการ หัวหน้ากลุ่มบริหารงานวิชาการ หัวหน้างานพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา คณะท างาน 1. นายธาดา รองคีรี หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ 2. นางสาวอนงค์นาฏ บุญแก้ววรรณ 3.นางสาวเยาวนารถ ยอดสุรางค์ 4.นางนุสรณ์ จิตต์พิทักษ์ 5.นางสาวสุทิพา รักษามั่น 6.นางสาวชนิดาภา มาลากาญจน์ 7.นางศศิ ชุมพล 8.นางสุจิตรา ภู่ภักดีพันธุ์ 9.นางสาวบุญญศิรินฐ์ กลับอ าไพ


Click to View FlipBook Version