แนวทางการจดั สมรรถนะสาคัญ คณุ ลักษณะ แนวการวดั และ
อนั พงึ ประสงค์ ประเมนิ ผล
การเรยี นรู้ ของผูเ้ รยี น
จดั การเรยี นรู้ 1. ความ สามารถใน 1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ 1.รายงาน (ผังความคดิ )
แบบ 5step การสอ่ื สาร 2. ซอ่ื สตั ย์สจุ ริต การสืบคน้ ขอ้ มลู และ
2.ความ สามารถใน 3. มวี นิ ยั การนาเสนอ เรื่อง โทษ
การคดิ 4..ใฝ่เรียนรู้ ของรงั สีและการปอ้ งกนั
3. ความ สามารถใน 5. อยอู่ ยา่ งพอเพียง กมั มันตภาพ รงั สีและ
การแกป้ ญั หา 6. มุง่ ม่นั ในการทางาน พลงั งานนิวเคลียร์
4. ความสามารถใน 7. รักความเปน็ ไทย 2. แบบทดสอบเก็บ
การใช้เทคโนโลยี 8. มจี ิตสาธารณะ คะแนน
แบบบันทกึ ประเภทสื่อการสอนทใ่ี ชป้ ระกอบการจัดการเรยี นการสอน
รายวชิ าฟสิ ิกส์ 6 รหัสวชิ า ว30206
ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564
ประเภทส่อื การสอน
แผนที่ เรอ่ื ง
ใบงาน
ใบความ ู้ร
เอกสารประกอบการสอน
แบบทดสอบ
PPT
ีว ีดทัศน์
บทเ ีรยนออนไลน์
ชุดสาธิต
ุชดการทดลอง
ุชดฝึกทักษะ
1 การเกิดคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า
2 สเปกตรัมของคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า
3 โพลาไรส์ของแสง
4 การประยกุ ต์ใชค้ ล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า
5 การสือ่ สารโดยคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้
6 สมมติฐานของพลังค์
7 ทฤษฎอี ะตอมของโบร์
8 ปรากฏการณ์โฟโตอเิ ลก็ ทริก
9 ทวิภาวะของคล่ืนและอนภุ าค
10 กลศาสตรค์ วอนตัม
11 สเถียรภาพของนิวเคลยี ส
12 กัมมนั ตภาพรังสี
13 การสลายและครงึ่ ชีวิต
14 ปฏิกิรยิ านวิ เคลยี ร์
15 ประโยชนข์ องพลงั งานนวิ เคลยี รแ์ ละ
รงั สี
16 ฟสิ กิ ส์อนุภาค
17 ประโยชนจ์ ากการวิจัยฟสิ กิ ส์อนภุ าค
แบบบนั ทกึ
การจดั การเรียนรู้ (Active Learning) /การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้/รายงานการใชส้ ่ือ
รายวิชาฟิสิกส์ 6 รหัสวชิ า ว30206
ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564
แผนที่ เรือ่ ง การจัดการเรียนรู้ (Active การปรับปรุง รายงาน
1 การเกดิ คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ Learning) แผนการจดั การเรียนรู้ การใชส้ อ่ื
2 สเปกตรัมของคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้
3 โพลาไรสข์ องแสง 5E
4 การประยุกต์ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า GPASS 5 STEP
5 การส่อื สารโดยคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ 5E
5E บรู ณาการ
6 สมมติฐานของพลงั ค์ ทอ้ งถ่นิ /อาเซียน/พอเพียง/
7 ทฤษฎีอะตอมของโบร์
8 ปรากฏการณ์โฟโตอิเลก็ ทริก ราโชบาย
9 ทวภิ าวะของคลน่ื และอนุภาค 5E และเทคนิค R-C-Aบูรณาการ
10 กลศาสตรค์ วอนตมั
ท้องถน่ิ /อาเซียน/พอเพียง/
11 สเถยี รภาพของนิวเคลยี ส ราโชบาย
12 กัมมนั ตภาพรังสี 5E
13 การสลายและครึ่งชวี ิต 5E
14 ปฏิกริ ิยานิวเคลียร์ 5E
15 ประโยชน์ของพลงั งานนวิ เคลยี ร์และ 5E
5E บรู ณาการ
รงั สี ท้องถน่ิ /อาเซยี น/พอเพียง/
ราโชบาย
16 ฟสิ ิกส์อนุภาค 5E
17 ประโยชนจ์ ากการวิจัยฟิสิกสอ์ นภุ าค 5E
5E
5E
5STEP บรู ณาการ
ทอ้ งถ่นิ /อาเซียน/พอเพยี ง/
ราโชบาย
5E
5STEP บรู ณาการ
ท้องถิ่น/อาเซียน/พอเพียง/
ราโชบาย
แบบสรปุ การใช้แหล่งเรยี นรูภ้ ายในและภายนอกโรงเรยี นในการจดั การเรียนรู้
รายวชิ าฟสิ ิกส์ 6 รหัสวิชา ว30206
ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564
ประเภทแหล่งเรยี นรู้
แผนท่ี เรือ่ ง
ห้องป ิฏบั ิตการ
ห้องส ุมดโรงเ ีรยน
ห้อง Resouce
http://www.sch
ool.net.th/edu
cati
1 การเกดิ คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า
2 สเปกตรมั ของคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้
3 โพลาไรส์ของแสง
4 การประยกุ ต์ใชค้ ลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
5 การส่อื สารโดยคล่นื แม่เหล็กไฟฟ้า
6 สมมติฐานของพลังค์
7 ทฤษฎอี ะตอมของโบร์
8 ปรากฏการณ์โฟโตอเิ ลก็ ทริก
9 ทวภิ าวะของคล่ืนและอนภุ าค
10 กลศาสตรค์ วอนตมั
11 สเถยี รภาพของนวิ เคลยี ส
12 กัมมันตภาพรังสี
13 การสลายและครึ่งชวี ิต
14 ปฏิกิรยิ านิวเคลยี ร์
15 ประโยชนข์ องพลังงานนวิ เคลยี ร์และรงั สี
16 ฟิสกิ ส์อนภุ าค
17 ประโยชนจ์ ากการวิจยั ฟสิ ิกส์อนภุ าค
แบบบันทกึ
การนาขอ้ สอบ O-NET มาใชใ้ นการจดั การเรียนรู้ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
รายวชิ าฟิสิกส์ 6 รหัสวิชา ว30206
ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564
แผนท่ี เรอ่ื ง การนาข้อสอบ O-NET มาใช้
กิจกรรมการเรียน แบบฝกึ หดั แบบทดสอบ
1 การเกิดคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
2 สเปกตรมั ของคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า
3 โพลาไรสข์ องแสง
4 การประยุกตใ์ ชค้ ล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า
5 การสือ่ สารโดยคลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้
6 สมมตฐิ านของพลงั ค์
7 ทฤษฎอี ะตอมของโบร์
8 ปรากฏการณโ์ ฟโตอเิ ลก็ ทริก
9 ทวิภาวะของคลนื่ และอนุภาค
10 กลศาสตร์ควอนตัม
11 สเถยี รภาพของนวิ เคลียส
12 กัมมนั ตภาพรงั สี
13 การสลายและครงึ่ ชีวิต
14 ปฏิกริ ิยานวิ เคลียร์
15 ประโยชนข์ องพลงั งานนวิ เคลียรแ์ ละรงั สี
16 ฟิสกิ สอ์ นภุ าค
17 ประโยชน์จากการวิจยั ฟิสกิ ส์อนุภาค
แบบบันทึกการออกแบบการจัดการเรยี นรู้
รายวิชาฟสิ ิกส์ 6 รหัสวิชา ว30206
ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี แผนท่ี เรื่อง จานวนช่ัวโมง การจดั การเรียนรู้
(Active Learning)
1.คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า 1 การเกดิ คล่นื แม่เหล็กไฟฟ้า 3 5E
2 สเปกตรมั ของคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า
3 โพลาไรส์ของแสง 3 GPASS 5STEP
4 การประยกุ ตใ์ ชค้ ลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้า
3 5E
6 5E บูรณาการ
ทอ้ งถน่ิ /อาเซียน/
พอเพยี ง/ราโชบาย
5 การส่อื สารโดยคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า 3 5Eและเทคนิค R-C-A
บรู ณาการ
ทอ้ งถิ่น/อาเซยี น/
พอเพยี ง/ราโชบาย
2. ฟิสกิ สอ์ ะตอม 6 สมมตฐิ านของพลงั ค์ 3 5E
3. ฟิสิกส์นิวเคลยี ร์ 7 ทฤษฎอี ะตอมของโบร์
8 ปรากฏการณ์โฟโตอเิ ลก็ ทรกิ 6 5E
9 ทวภิ าวะของคลืน่ และอนุภาค
10 กลศาสตรค์ วอนตมั 6 5E
11 สเถยี รภาพของนิวเคลยี ส 3 5E
12 กัมมันตภาพรงั สี
13 การสลายและครึ่งชวี ิต 5E บรู ณาการ
ท้องถนิ่ /อาเซยี น/
พอเพียง/ราโชบาย
3 5E
3 5E
6 5E
14 ปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี ร์ 3 5E
15 ประโยชน์ของพลังงานนิวเคลยี ร์และรังสี 3
5STEP บรู ณาการ
16 ฟสิ ิกส์อนภุ าค 3 ทอ้ งถิ่น/อาเซยี น/
17 ประโยชน์จากการวจิ ัยฟิสกิ ส์อนภุ าค พอเพียง/ราโชบาย
3
5E
5STEP บูรณาการ
ทอ้ งถิ่น/อาเซียน/
พอเพยี ง/ราโชบาย
แบบบนั ทึกกจิ กรรมการเรยี นรบู้ รู ณาการกบั นโยบายโรงเรยี น
รายวชิ าฟิสิกส์ 6 รหัสวิชา ว30206
ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ แผนท่ี เรอื่ ง สาระท้อง ่ิถน
อาเซียน
เศรษฐ ิกจพอเพียง
พระบรมราโชบาย
โรงเ ีรยนสุจ ิรต
ทักษะ ีช ิวต
1.คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ 1 การเกดิ คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า
2. ฟิสิกส์อะตอม
3. ฟิสกิ ส์นิวเคลยี ร์ 2 สเปกตรัมของคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
3 โพลาไรส์ของแสง
4 การประยุกตใ์ ชค้ ลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้า
5 การสอ่ื สารโดยคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้
6 สมมติฐานของพลงั ค์
7 ทฤษฎีอะตอมของโบร์
8 ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทรกิ
9 ทวภิ าวะของคลื่นและอนภุ าค
10 กลศาสตรค์ วอนตมั
11 สเถียรภาพของนิวเคลยี ส
12 กัมมนั ตภาพรังสี
13 การสลายและคร่งึ ชีวิต
14 ปฏิกริ ยิ านวิ เคลียร์
15 ประโยชน์ของพลงั งานนิวเคลียร์และ 5STEP
รังสี
16 ฟสิ กิ ส์อนภุ าค
17 ประโยชน์จากการวิจยั ฟสิ ิกส์อนภุ าค 5STEP
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1
กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาฟสิ กิ ส์ 5 รหัสวชิ า ว30205
ระดับชน้ั ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 ภาคเรยี นที่ 1 จานวน 1.5 หนว่ ย เวลาเรียนจานวน 21 ชัว่ โมง
ผ้สู อน นางดวงดาว บดรี ฐั โรงเรยี นวชั รวทิ ยา
1. ชื่อหน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 1 เร่ือง แม่เหลก็ และไฟฟา้
2. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชว้ี ัด
สาระฟิสิกส์
3. เขา้ ใจแรงไฟฟ้า และกฎขอคูลอมบ์ สนามไฟฟา้ ศักยไ์ ฟฟ้า และกฎของโอห์ม วงจรไฟฟา้
กระแสตรง พลงั งานไฟฟ้า และกาลงั ไฟฟ้า การเปลีย่ นพลงั งานทดแทนเป็นพลงั งานไฟฟา้
สนามแมเ่ หล็ก แรงแมเ่ หลก็ ที่กระทากบั ประจุไฟฟา้ และกระแสไฟฟา้ การเหนยี่ วนาแมเ่ หล็กไฟฟ้า
และกฎของฟาราเดย์ ไฟฟา้ กระแสสลบั คลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ และการสอ่ื สาร รวมทั้งการนาความรู้
ไปใชป้ ระโยชน์
1. สงั เกต และอธิบายเสน้ สนามแมเ่ หลก็ อธบิ ายและคานวณฟลักซ์แมเ่ หล็กในบริเวณท่ี
กาหนดรวมทงั้ สังเกต และอธบิ ายสนามแม่เหลก็ ที่เกิดจากกระแสไฟฟา้ ในลวดตวั นา
เสน้ ตรงและโซเลนอยด์
2. อธิบาย และคานวณแรงแมเ่ หล็กท่กี ระทาต่ออนภุ าคท่มี ปี ระจไุ ฟฟา้ เคล่อื นทใ่ี น
สนามแม่เหล็กแรงแมเ่ หล็กทก่ี ระทาตอ่ เส้นลวดที่มกี ระแสไฟฟ้าผา่ นและวางใน
สนามแม่เหล็ก รัศมคี วามโคง้ ของการเคล่ือนทเ่ี ม่ือประจเุ คล่อื นทตี่ ้งั ฉากกบั
สนามแม่เหลก็ รวมทัง้ อธบิ ายแรงระหวา่ งเส้นลวดตัวนาคู่ขนานทีม่ กี ระแสไฟฟ้าผา่ น
3. อธิบายหลกั การทางานของแกลแวนอมเิ ตอรแ์ ละมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง รวมทงั้
คานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทีเ่ กีย่ วข้อง
4. สงั เกต และอธบิ ายการเกิดอีเอ็มเอฟเหน่ยี วนา กฎการเหนีย่ วนาของฟาราเดย์ และ
คานวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง รวมทงั้ นาความรู้ เรอื่ งอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนาไปอธบิ าย
การทางานของเครอื่ งไฟฟา้
5. อธบิ าย และคานวณความตา่ งศกั ยอ์ าร์เอม็ เอส และกระแสไฟฟา้ อารเ์ อม็ เอส
6. อธิบายหลักการทางานและประโยชน์ของเคร่อื งกาเนิดไฟฟา้ กระแสสลับ 3 เฟส การ
เปลี่ยนแปลงอีเอม็ เอฟของหม้อแปลง และคานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ ก่ียวข้อง
สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
สนามแมเ่ หลก็ (Magnetic field) หมายถงึ บริเวณท่แี ม่เหลก็ สามารถส่งอานาจหรอื แรง
แมเ่ หล็กไปถึง หรอื บริเวณทม่ี ีแรงทางแมเ่ หลก็ กระทาบนอนภุ าคหรอื ประจไุ ฟฟ้าท่เี คล่อื นทผี่ ่านบริเวณ
นนั้ เปน็ ปริมาณเวกเตอร์ มีหน่วยเป็นเวเบอรต์ ่อตารางเมตร (Wb/m2) หรือ เทสลา (T) ทิศของ
สนามแม่เหล็กทต่ี าแน่งใดๆ คอื ทิศท่เี ข็มของเขม็ ทิศวางตัวอย่างสมดุล และเรียกสนามแม่เหล็กได้อีก
อย่างวา่ ความหนาแนน่ ฟลักซแ์ ม่เหลก็ (Magnetic flux) คอื เสน้ แรงแมเ่ หลก็ ท่พี งุ่ ผ่านพืน้ ทใ่ี ดๆ
บริเวณใกลข้ ั้วแม่เหล็กจะมฟี ลักซ์แม่เหล็กหนาแน่น และความหนาแน่นของฟลักซ์แมเ่ หลก็ จะนอ้ ยลง
เมอ่ื อยหู่ า่ งจากขัว้ แมเ่ หลก็ อตั ราส่วนระหว่างฟลกั ซ์แมเ่ หล็กตอ่ พื้นท่ที ต่ี งั้ ฉากกับฟลักซ์แมเ่ หลก็ มี
หนว่ ยเวเบอร์ (weber หรอื Wb)
แรงแม่เหล็กแรงกระทาตอ่ อนภุ าคที่มีประจุไฟฟ้า ซ่ึงเคลอ่ื นทต่ี ัดผา่ นสนามแม่เหล็ก
ถา้ ประจอุ ยู่นงิ่ หรอื เคลือ่ นท่ีขนานกับทศิ ของสนามแมเ่ หลก็ จะไมม่ ีแรงกระทาจาก
สนามแม่เหล็กแตถ่ า้ ใหอ้ นภุ าคทีม่ ีประจเุ คล่ือนท่ใี นทศิ ทางท่ีไม่ขนานกบั ทิศทางของสนามแมเ่ หล็กจะมี
แรงกระทาจากสนามแมเ่ หล็กทันที และเรยี กแรงนีว้ า่ แรงแมเ่ หลก็ (Magnetic force) หรือแรงลอ
เรนซ์(Lorentz Force) ซ่งึ แรงนีจ้ ะทาให้แนวการเคลอ่ื นท่ีของประจุเปลย่ี นไป โดยทศิ ทางของแรง
แม่เหล็กนี้สามารถหาได้จาก "กฎมอื ขวา (Right Hand Rule)"
1. วางมอื ขวาให้ทศิ ทางของสนามแม่เหล็กทิม่ ด้านหลงั มือก่อน
2. ส่ีนิว้ (นิว้ ช,ี้ นิ้วกลาง,นวิ้ นางและนวิ้ กอ้ ย) ชตี้ ามทิศทางการเคลือ่ นที่ของอนภุ าคทีม่ ปี ระจุ
3. น้ิวโป้งชแ้ี สดงทศิ ทางของแรงทก่ี ระทากับอนุภาคท่มี ปี ระจุบวก (อนุภาคทีม่ ีประจลุ บแรง
จะมีทศิ ทางตรงข้ามกบั น้ิวโปง้ ) 10-3
โมเมนตแ์ รงคูค่ วบ
การท่เี กดิ แรงกระทากบั ลวดตวั นาที่วางตง้ั ฉากกับสนามแมเ่ หล็กเม่ือมีกระแสไฟฟา้ ไหล
ผ่าน ทาใหเ้ ราสามารถประยกุ ตห์ ลกั การนีเ้ พอ่ื นามาสร้างอปุ กรณต์ ่างๆได้ เชน่ แกลวานอมเิ ตอร์ ,
มอเตอร์ โดยนาลวดตวั นามาพนั ให้กลายเป็นขดลวด แลว้ นาไปวางไว้ในสนามแม่เหลก็ ปลายทั้งสอง
ของขดลวดตอ่ กับขัว้ ของแบตเตอรเ่ี มอ่ื กระแสไฟฟา้ ผา่ นขดลวด ขดลวดจะเกิดโมเมนต์ของแรงค่คู วบ
กระทาใหข้ ดลวดหมุนรอบแกนหมุน
ไฟฟา้ กระแสสลับทส่ี ่งไปตามบ้านเรอื น มีความตา่ งศกั ยแ์ ละกระแสไฟฟา้ เปลยี่ นแปลงไปตาม
เวลาในรูปของฟงั ก์แบบไซน์ การวัดความต่างศักยแ์ ละกระแสไฟฟ้าสลบั ใช้ค่ายังผลหรอื ค่ามเิ ตอร์
ซง่ึ เป็นค่าเฉล่ยี แบบรากทีส่ องเฉล่ีย การผลติ และการส่งไฟฟา้ กระแสสลบั ใชห้ ลกั การของเคร่ืองกาเนิด
ไฟฟา้ หรอื ไดนาโมกระแสสลับ เป็นการผลติ ไฟฟา้ โดยใชข้ ดลวดหมุนตัดฟลักซ์แมเ่ หลก็ โรงไฟฟา้ จะมี
ชดลวดตวั นาอยู่ 3 ชดุ โดยแต่ละชุดวางทามมุ 120 ซึ่งเรียก เคร่อื งกาเนดิ ไฟฟ้าแบบนนี้ว่า เครือ่ ง
กาเนดิ ไฟฟา้ 3 เฟส ซึง่ มลี ักษณะดงั รปู
3. สาระการเรยี นรู้
สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
- สนามแมเ่ หล็ก
- แรงแม่เหลก็
- โมเมนตข์ องแรงคูค่ วบกระทาตอ่ ขดลวดทีม่ ีกระแสไฟฟา้ ผา่ น เมอ่ื อยู่ในสนามแมเ่ หล็ก
- กระแสไฟฟา้ เหน่ียวนาและอเี อม็ เอฟเหนยี่ วนา
- ไฟฟ้ากระแสสลับ
4. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการส่อื สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
จุดเนน้ การพัฒนาคุณภาพผเู้ รยี นด้านสมรรถนะ
1. แสวงหาความร้เู พอื่ การแก้ปัญหา
2. การคิดวิเคราะห์ขัน้ สูง
3. การใช้เทคโนโลยเี พ่ือการเรียนรู้
4. ทกั ษะชวี ติ
5. ทักษะการสือ่ สารอยา่ งสร้างสรรคต์ ามชว่ งวัย
5. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
2. ซื่อสตั ยส์ ุจรติ
3. มวี ินยั
4. ใฝ่เรยี นรู้
5. อยอู่ ย่างพอเพียง
6. มงุ่ มน่ั ในการทางาน
7. รกั ความเปน็ ไทย
8. มีจติ สาธารณะ
จดุ เนน้ การพฒั นาคณุ ภาพผูเ้ รยี นด้านคณุ ลักษณะ
1. มงุ่ มนั่ ในการศึกษาและรักการทางาน
คุณลักษณะของโรงเรียนสุจรติ ทักษะกระบวนการคดิ มวี นิ ัย ซ่อื สตั ยส์ ุจรติ อยู่อย่างพอเพียง
มีจิตสาธารณะ
6. ช้ินงาน/ภาระงาน
1. แบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรียน
2. แผนภาพ/mind mapping
4. ใบงาน/แบบฝกึ หัด
7. การวดั และการประเมินผล
7.1 ดา้ นความรู้ (K)
วธิ กี ารวัดและประเมินผล เครอื่ งมอื วัด เกณฑก์ ารวัด
และประเมินผล และประเมินผล
- ผ่านเกณฑร์ อ้ ยละ 70 ขึ้นไป
- การตรวจแบบทดสอบกอ่ นเรยี น - แบบทดสอบก่อนเรยี น
- ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ขึน้ ไป
และหลงั เรยี น และหลังเรียน
- ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 70 ข้ึนไป
- การตรวจแผนผงั /แผนภาพ / - แบบประเมนิ แผนผัง /
mind mapping แผนภาพ / mind
mapping
- การตรวจแบบฝึกหดั - แบบฝกึ หัด
7.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
วธิ กี ารวัดและประเมนิ ผล เคร่ืองมือวดั เกณฑ์การวัด
- การสงั เกตสมรรถนะสาคัญของ และประเมินผล และประเมินผล
ผเู้ รียน - ผ่านเกณฑร์ ะดบั 2 ขนึ้ ไป
- แบบบันทึกผล
- การสงั เกตพฤติกรรม การเรยี น การประเมนิ สมรรถนะ - ผ่านเกณฑ์ระดับดี ข้นึ ไป
ของนักเรยี นรายบคุ คล ผู้เรยี น
- ผา่ นเกณฑร์ ะดบั ดี ขึ้นไป
- การสงั เกตพฤตกิ รรม การทางาน - แบบบันทึกผล
กลุ่ม การประเมินพฤตกิ รรม
การเรียนของนักเรียน
รายบุคคล
- แบบบนั ทึกผล
การประเมนิ พฤติกรรม
การทางานกลุ่ม
7.3 ดา้ นคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
วธิ กี ารวดั และประเมินผล เครื่องมอื วัด เกณฑ์การวัด
และประเมินผล และประเมินผล
- การสงั เกตคณุ ลกั ษณะ
อนั พึงประสงค์ แบบบันทึกผลการประเมนิ - ผ่านเกณฑร์ ะดับ 2 ข้นึ ไป
ผเู้ รียนด้านคุณลกั ษณะ
อันพึงประสงค์
8. กิจกรรมการเรยี นรู้
ใช้การเรยี นการสอนแบบ 5E
9. เวลาเรยี น/จานวนชว่ั โมง เรือ่ ง สนามแม่เหลก็ เวลา 3 ชวั่ โมง
ใชเ้ วลา 21 ชั่วโมง เวลา 3 ช่วั โมง
เร่อื ง แรงแม่เหลก็ (ประจไุ ฟฟ้า) เวลา 3 ช่ัวโมง
10. แผนการจดั การเรียนรู้ เรือ่ ง แรงแมเ่ หล็ก (ลวดตวั นา) เวลา 3 ชวั่ โมง
10.1 แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 1 เวลา 3 ชั่วโมง
10.2 แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 2 เรื่อง โมเมนต์แรงคู่ควบ
10.3 แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 3 เรอ่ื ง กระแสไฟฟา้ เหนี่ยวนาและอเี อม็ เอฟ เวลา 3 ชั่วโมง
11.4 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 4 เวลา 3 ช่ัวโมง
10.5 แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 5 เหนยี่ วนา
10.6 แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 6 เรื่อง ไฟฟ้ากระแสสลับ
10.7 แผนการจัดการเรยี นรูท้ ี่ 7 เรื่อง การผลิตและการส่งไฟฟ้ากระแสสลับ
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 1
กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวิชา ว 30205 รายวิชา ฟสิ กิ ส์ 5
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
ชอื่ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 เร่อื ง แม่เหล็กและไฟฟา้
ชอ่ื แผน สนามแมเ่ หลก็ เวลา 3 ชัว่ โมง ผสู้ อน นางดวงดาว บดรี ฐั
โรงเรียนวชั รวิทยา อาเภอเมอื ง จงั หวดั กาแพงเพชร
************************************************************************************
1. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
1. สนามแมเ่ หล็ก
แมเ่ หล็ก (Magnet) คอื สารที่สามารถดูดหรอื ผลักกนั เองได้ และสามารถดูดสารแมเ่ หล็กไดโ้ ดย
การเหน่ียวนา แมเ่ หล็กโดยทัว่ ไปจะหมายถึง แมเ่ หล็กธรรมชาติท่ีสามารถดูดเหล็กและนเิ กลิ ได้ แท่งแมเ่ หล็ก
จะมี 2 ขั้ว คอื ขว้ั เหนือ (North Po le “N”) และ ขั้วใต้ (South Pole “S”)
คุณสมบตั ิของแท่งแมเ่ หล็ก
1. แทง่ แม่เหลก็ มขี ั้วแมเ่ หล็ก (magnetic pole) เม่ือเอาผงเหลก็ เทใส่แท่งแม่เหลก็ ผงเหลก็ จะถกู
ดดู ติดมากท่ปี ลายทงั้ สองข้างของแท่งแมเ่ หล็ก ส่วนอื่นๆ มตี ิดนอ้ ยมาก เราจึงทราบว่าอานาจแมเ่ หล็กจะแรง
มากทบี่ ริเวณปลายทั้งสองขา้ งของแทง่ แมเ่ หล็ก ซ่ึงเราเรยี กวา่ ขว้ั แม่เหล็ก สว่ นบริเวณที่ถัดเขา้ ไปอานาจ
แมเ่ หล็กจะอ่อนลงตามลาดับ และตอนบริเวณกลางแท่งจะมอี านาจแม่เหลก็ น้อยที่สุด
2. แทง่ แม่เหลก็ ชไี้ ปในทิศทางเหนอื ใต้ ถ้านาเข็มทิศแม่เหลก็ หรือแท่งแม่เหลก็ มาแขวนห้อยด้วยเชอื ก
ในแนวนอน แทง่ แม่เหล็กจะชีไ้ ปในทิศทางเหนอื ใต้ ขัว้ ท่ีช้ไี ปทางทิศเหนอื เรียกวา่ ข้ัวเหนือ เป็นขั้วบวก และ
ข้ัวทช่ี ไี้ ปทางทิศใต้ เรยี กวา่ ข้ัวใต้ เปน็ ข้วั ลบ
3. เมือ่ นาแทง่ แม่เหล็ก 2 แท่งมาวางไวใ้ กลๆ้ กนั จะเกิดแรงระหว่างแทง่ แม่เหลก็ กระทาซึง่ กนั และกัน ถ้านา
ดา้ นทีม่ ีขัว้ เหมอื นกันมาวางใกล้กนั จะเกิดแรงผลักกัน (Repel) แตถ่ ้านาดา้ นท่ีมขี ้วั ต่างกนั วางใกล้กันจะเกิดแรง
ดึงดูดกัน (Attract)
เสน้ แรงแมเ่ หลก็ (Magnetic Lines of Force) คอื เสน้ สมมตเิ สมอื นวา่ แท่งแมเ่ หล็กสง่ อานาจ
การดึงดดู ไปถึง เพ่ือความสะดวกในการศกึ ษาเรอื่ งแรงแม่เหลก็ จึงกาหนดกนั ว่าสนามแม่เหลก็ มีลักษณะ
ประกอบดว้ ยเสน้ แรงแม่เหลก็ แผ่กระจายเตม็ สนามแมเ่ หลก็ เม่อื เข็มทิศวางอย่ใู นตาแหนง่ ท่ีมสี นามแม่เหล็ก
เขม็ ทศิ จะวางตวั ไปตามทศิ ทางของเสน้ แรงแมเ่ หล็กในสนามนั้น โดยเข็มทิศจะชี้ขั้วเหนือไปตามทิศทางของ
เสน้ แรง ถ้าบรเิ วณใดมีสนามแมเ่ หล็กแรงมาก เชน่ บริเวณใกล้ชว้ั แมเ่ หล็ก เราสามารถใชผ้ งตะไบเหลก็ โรย
เพ่อื หาเส้นแรงแมเ่ หล็กแทน
เส้นแรงแม่เหลก็ จากแทง่ แม่เหล็กหรือตวั กลางทีก่ ระทาตัวคล้ายกับกับเป็นแท่งแม่เหลก็ มีลกั ษณะดงั น้ี
1. ภายนอกแทง่ แม่เหล็ก เสน้ แรงแมเ่ หล็กมีทศิ ออกจากข้วั เหนอื พุ่งเขา้ สู่ข้วั ใต้
2. ภายในแทง่ แมเ่ หล็ก เส้นแรงแม่เหลก็ มีทิศทางจากขัว้ ใต้ผา่ นภายในแทง่ ไปยงั ขั้วเหนือ
สนามแมเ่ หลก็ (Magnetic field)
หมายถึง บรเิ วณทแี่ ม่เหลก็ สามารถส่งอานาจหรอื แรงแม่เหลก็ ไปถึง หรอื บรเิ วณที่มแี รงทางแมเ่ หลก็
กระทาบนอนุภาคหรือประจไุ ฟฟ้า ท่ีเคลื่อนที่ผา่ นบริเวณนัน้ เปน็ ปรมิ าณเวกเตอร์ มหี น่วยเป็นเวเบอรต์ อ่
ตารางเมตร (Wb/m2) หรอื เทสลา (T) ทิศของสนามแมเ่ หลก็ ทต่ี าแนง่ ใดๆ คือทศิ ทเี่ ขม็ ของเข็มทิศวาง
ตัวอยา่ งสมดุล เรามกั จะเขียนแทนสนามแมเ่ หล็กด้วยสญั ลกั ษณ์ “ ” และเรียกสนามแม่เหล็กได้อีกอยา่ งว่า
ความหนาแน่น ฟลกั ซ์แม่เหล็ก
ส่งิ ทนี่ ่าสนใจอีกอยา่ งคอื แม่เหล็กจะมขี ้ัวเหนอื ใตอ้ ย่ดู ้วยกนั เสมอ ต่างกบั ประจุบวกและลบซ่งึ
อยู่โดดๆได้ ลองตดั แทง่ แม่เหล็กออกเปน็ สว่ นๆหวังจะใหเ้ หลือข้ัวเหนืออย่โู ดดๆแตก่ ็เปน็ ไปไมไ่ ดเ้ นอ่ื งจากพอ
ตดั แลว้ ข้วั ใตจ้ ะเกิดขนึ้ มาใหม่จากรอยตัดทันที จนกระท่ังตดั ออกเหลือเพียงอะตอมเดยี ว อะตอมแม่เหล็กก็ยงั มี
ขว้ั เหนือใตเ้ ช่นเดมิ
สนามแม่เหลก็ โลก (Earth’s magnetic field)
สนามแมเ่ หล็กโลกเกิดจากการที่โลหะหนักที่มสี ถานะเป็นของเหลวท่อี ยใู่ นแกนโลกมีการหมนุ วน
ทาให้มีประจุไฟฟ้าเคลือ่ นทเ่ี กิดกระแสไฟฟ้าไหลวนประมาณ 10,000 ล้านแอมแปร์ ทาให้เกิดสนามแมเ่ ล็กที่
เอียงทามมุ ประมาณ 11.5 องศาจากแกนหมนุ ของโลก สนามแม่เหลก็ ทผ่ี วิ โลกจะมีความเขม้ ประมาณ 30,000
- 60,000 นาโนเทสลา และความเข้มจะค่อยๆ ลดลงเมือ่ อยูห่ ่างจากผิวโลกมากข้นึ สมบัตขิ องสนามเเมเ่ หลก็
โลกนีท้ าให้โลกเหมอื นมีแม่เหลก็ ขนาดใหญ่ฝงั อยใู่ ตโ้ ลก โดยวางตัวในแนวเหนอื -ใต้ และแผ่สนามแม่เหล็กปก
คลุมทั่วโลก สนามแม่เหล็กโลกมีลกั ษณะเหมอื นกับสนามแม่เหล็กทวั่ ๆไป คือ ประกอบไปดว้ ยขวั้ แมเ่ หลก็ สอง
ขว้ั คือ ขวั้ เหนอื และขั้วใต้ โดยท่ขี วั้ แม่เหล็กโลกจะสลับกบั ขว้ั โลกทางภมู ิศาสตร์ คือ ขั้วใต้ของแม่เหลก็ จะอยู่
ทางซกี โลกเหนือ และขว้ั เหนือของแมเ่ หล็กอยู่ทางซีกโลกใตท้ าใหเ้ ส้นแรงแมเ่ หล็กจะพุง่ ออกจากซกี โลกใตแ้ ละ
พุ่งเข้าหาซกี โลกเหนอื นอกจากน้นั ขว้ั แม่เหลก็ โลกไม่ไดอ้ ยูใ่ นตาแหนง่ เดยี วกันกับขว้ั เหนอื และข้ัวใต้ทาง
ภมู ิศาสตร์ แต่จะอยหู่ ่างออกมาประมาณ 12 องศา นนั่ หมายถึง ถา้ เราเดนิ ตามทิศเหนือของเข็มทิศไปเร่อื ยๆ
เราจะเดนิ ไปไมถ่ งึ ขัว้ โลกเหนือ แตจ่ ะหยดุ อยูห่ า่ งจากขั้วโลกเหนือถึง 12 องศาหรอื ประมาณ 1,330 กโิ ลเมตร
เลยทเี ดยี ว โดยขว้ั ใต้แม่เหล็กจะอยใู่ นพนื้ ที่ทางตะวันออกเฉียงเหนอื ของประเทศแคนาดา ส่วยขว้ั เหนือ
แม่เหลก็ จะอยใู่ นทวปี แอนตารก์ ติกา
ฟลกั ซแ์ ม่เหล็ก (Magnetic flux)
ฟลักซ์แมเ่ หล็ก (Magnetic flux) คอื เส้นแรงแมเ่ หล็กทพี่ งุ่ ผา่ นพืน้ ทใ่ี ดๆ บรเิ วณใกลข้ ว้ั แม่เหลก็ จะมฟี
ลกั ซแ์ ม่เหลก็ หนาแน่น และความหนาแน่นของฟลกั ซ์แมเ่ หลก็ จะนอ้ ยลงเมอ่ื อยู่หา่ งจากขัว้ แมเ่ หลก็ อัตราส่วน
ระหว่างฟลกั ซแ์ มเ่ หลก็ ตอ่ พ้นื ที่ท่ีตั้งฉากกับฟลักซแ์ มเ่ หล็ก เรียกว่า ขนาดความเข้มของสนามแม่เหล็กหรือ
ความหนาแน่นฟลักซ์แมเ่ หล็ก (Magnetic flux density) ฟลักซแ์ มเ่ หล็ก มหี นว่ ยเวเบอร์ (weber หรอื Wb)
A คอื พ้นื ทท่ี ี่ต้งั ฉากกับฟลกั ซแ์ ม่เหลก็ มหี น่วยตารางเมตร (m2)
B คอื สนามแม่เหลก็ มีหน่วย เวเบอรต์ อ่ ตารางเมตร หรอื เทสลา (tesla หรอื T)
ถา้ สนามแม่เหล็กท่ีผา่ นไมต่ ง้ั ฉากกับพน้ื ที่ทีพ่ จิ ารณา สามารถหาฟลักซ์แมเ่ หล็กได้จากสมการ
2. มาตรฐาน
สาระฟสิ ิกส์
3. เข้าใจแรงไฟฟ้า และกฎขอคลู อมบ์ สนามไฟฟา้ ศักยไ์ ฟฟ้า และกฎของโอหม์ วงจรไฟฟ้า
กระแสตรง พลังงานไฟฟา้ และกาลังไฟฟ้า การเปลยี่ นพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟา้ สนามแมเ่ หลก็
แรงแม่เหล็กทก่ี ระทากบั ประจไุ ฟฟ้าและกระแสไฟฟา้ การเหนี่ยวนาแมเ่ หล็กไฟฟา้ และกฎของฟาราเดย์
ไฟฟ้ากระแสสลบั คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้าและการส่ือสาร รวมทงั้ การนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์
3. ตัวชว้ี ัด/ผลการเรียนรู้
ผลการเรยี นรู้
สงั เกต และอธบิ ายเสน้ สนามแม่เหล็กอธิบายและคานวณฟลักซแ์ มเ่ หลก็ ในบริเวณท่ี
กาหนดรวมทัง้ สงั เกต และอธิบายสนามแม่เหล็กท่เี กดิ จากกระแสไฟฟ้าในลวดตวั นาเสน้ ตรงและโซเลนอยด์
4. สาระการเรยี นรู้
- สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง
สนามแม่เหลก็ 1. เส้นสนามแมเ่ หลก็
2. ฟลกั ซ์แม่เหล็ก
3. สนามแม่เหลก็ จากกระแสไฟฟา้ ผา่ นเส้นลวดตัวนา
5. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
จดุ เนน้ การพัฒนาคณุ ภาพผู้เรียนดา้ นสมรรถนะ
1. การใชเ้ ทคโนโลยเี พอ่ื การเรียนรู้
2. ทกั ษะการส่อื สารอยา่ งสรา้ งสรรค์ตามชว่ งวัย
3. ทักษะการคิดชั้นสูง
6. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
1. มวี นิ ยั
2.ใฝเ่ รียนรู้
3. มงุ่ มัน่ ในการทางาน
จดุ เนน้ การพัฒนาคณุ ภาพผู้เรียนด้านคุณลกั ษณะ
1. คณุ ลักษณะมุ่งม่ันในการทางาน
2. คณุ ลักษณะใฝ่เรยี นรู้
7. คณุ ลักษณะ 5 ประการโรงเรยี นสจุ รติ
1. กระบวนการคิด
2. มวี นิ ยั
3.ซ่อื สัตย์สุจริต
4. อยู่อย่างพอเพียง
5. มีจติ สาธารณะ
8. ช้ินงาน/ภาระงาน
1. ทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 1 เร่อื ง แม่เหลก็ และไฟฟ้า
2. ทาแบบฝกึ หดั พัฒนาทักษะการคดิ ในแบบเรียน เรอ่ื ง สนามแมเ่ หล็ก ในแบบเรยี น
แบบฝกึ หดั 15.1 (หน้า 26) แบบฝกึ หดั ท้ายบท คาถาม ข้อ 1-2 (หน้า 107)
3. ทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 1 เรือ่ ง สนามแม่เหลก็
9 .การวดั และประเมนิ ผล
9.1 การประเมนิ ระหวา่ งจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
ช้ินงาน/ภาระงาน วิธกี ารประเมิน เครือ่ งมอื เกณฑ์การประเมิน
ตามเกณฑ์
ทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน ตรวจแบบทดสอบ แบบทดสอบ
ก่อนเรียน การประเมนิ ผล
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 1 เรอ่ื ง ก่อนเรียน จานวน 20 ข้อ
การทาแบบทดสอบ
แม่เหลก็ และไฟฟา้ จานวน 20 ขอ้
ทาแบบฝกึ หดั พฒั นาทกั ษะ ตรวจแบบฝึกหัด แบบฝึกหัดพัฒนา ตามเกณฑ์
การคิดในแบบเรียน เร่ือง การประเมินผล
พฒั นาทกั ษะการคิด ทักษะการคดิ
สนามแม่เหลก็ ในแบบเรยี น เร่ือง ในแบบเรยี น เรอ่ื ง แบบฝกึ หัด
สนามแมเ่ หลก็ สนามแมเ่ หล็ก
9.2 การประเมนิ เม่อื สน้ิ สุดการเรียนรู้
ชิ้นงาน/ภาระงาน วธิ ีการประเมิน เคร่อื งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ
สอบเกบ็ คะแนน ทาแบบทดสอบ แบบทดสอบเกบ็ ตามเกณฑ์
คะแนน การประเมินผล
เก็บคะแนน การทาแบบทดสอบ
จานวน 10 ขอ้
จานวน 10 ข้อ
ภาระงาน/ชนิ้ งาน เกณฑก์ ารประเมิน (Rubrics) พอใช้ ปรบั ปรุง
แบบฝึกหดั ดีมาก ดี
ทาแบบฝึกหัด ทาแบบฝกึ หัด
ทาแบบฝึกหัด ทาแบบฝกึ หดั ถกู ต้อง 50 - ถกู ตอ้ ง ตา่ กวา่
ถกู ต้อง 80% ถกู ตอ้ ง 60-80%
60% 50%
ขึ้นไป
เกณฑ์การประเมินผลการทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น / แบบทดสอบเกบ็ คะแนน ใชเ้ กณฑ์ดงั น้ี
รอ้ ยละ 80 ขึ้นไป หมายถงึ ดมี าก
ร้อยละ 70-79 หมายถงึ ดี
ร้อยละ 60-69 หมายถึง ปานกลาง
ร้อยละ 50-59 หมายถึง ผา่ น
ต่ากวา่ รอ้ ยละ 50 หมายถงึ ปรับปรงุ
ผปู้ ระเมิน
2. นักเรยี นประเมินนกั เรียน
1. ครผู ูส้ อนประเมนิ นกั เรียน
10. กิจกรรมการเรยี นรู้ ใช้การเรยี นการสอน แบบ 5E
1. ขน้ั สร้างความสนใจ
1. นกั เรยี นดูคลิปวิดีโอ “ออโรรา” / “เคร่ืองแยกเศษเหล็ก”
2. ใหน้ กั เรียนรว่ มกันตั้งคาถามเก่ียวกบั สิ่งทต่ี ้องการรู้ จากเน้ือหาท่ีเก่ียวกับสนามแมเ่ หลก็
3. นกั เรยี นทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี นหนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 เรอ่ื งแม่เหลก็ และไฟฟ้า จานวน 20 ข้อ
2. ข้ันสารวจและคน้ หา
1. แบ่งนักเรียนเป็นกล่มุ ๆ 6 -7 คน (ประกอบด้วย นกั เรยี น เก่ง กลาง ออ่ น จากผลการวเิ คราะห์
ผ้เู รียน)
2. ครนู านกั เรยี นอภปิ รายถึงสง่ิ ของในชีวติ ประจาวนั ของนักเรียนที่แม่เหลก็ สามารถดงึ ดูดได้แล้วให้
นักเรยี นยกตัวอยา่ งตามความเขา้ ใจของนักเรยี น โดยใหน้ กั เรยี นแสดงเหตผุ ลประกอบด้วย
3. ครูใหน้ กั เรยี นแต่ละกลุ่มการวางแผนการสบื คน้ /การศึกษาเรื่อง สนามแมเ่ หลก็
4. นกั เรียนแต่ละกลมุ่ รว่ มกันศกึ ษาและทากิจกรรม “สารวจวัตถุทแี่ มเ่ หลก็ ดึงดูด” และการสงั เกต
การเรียงตวั ของผงตะไบเหลก็ และเข็มทิศ
5. นักเรียนแตล่ ะกลุ่มบนั ทกึ ผลการศกึ ษาและการทากิจกรรม
6. นักเรยี นภายในกลุ่มอภิปรายร่วมกนั ถึงผลการศึกษาและการทากจิ กรรม
7. นกั เรียนแต่ละกลุ่มรว่ มกันศึกษาและทากิจกรรม “สนามแมเ่ หล็กรอบลวดตวั นาเส้นตรง วงกลม
ขดลวดโซเลนอยด์
8. นกั เรียนแต่ละกลุม่ บนั ทึกผลการศกึ ษาและการทากิจกรรม
9. นกั เรยี นภายในกลุ่มอภิปรายร่วมกนั ถึงผลการศกึ ษาและการทากจิ กรรม
3. ข้ันอธิบายและลงขอ้ สรุป
1. นักเรยี นแต่ละกล่มุ นาเสนอผลการสืบคน้ และผลการศกึ ษา เร่ือง สนามแมเ่ หลก็
2. นักเรียนแตล่ ะกลุม่ ได้ผลการศึกษาและทากิจกรรม เหมอื นกนั หรอื ต่างกันอยา่ งไร
3. ครูต้งั คาถามวา่ จากนิยามของสนามแมเ่ หล็ก ครตู งั้ คาถามดังน้ี
- ถ้านาแท่งแม่เหล็ก 2 แท่งมาวางใกลก้ นั การเรยี งตัวของผงตะไบเหลก็ และการวางตัวของ
เข็มทศิ จะเป็นอยา่ งไร
- เส้นแรงแม่เหล็กของแท่งแม่เหล็ก 1 แท่ง มลี กั ษณะอย่างไร
- เสน้ แรงแม่เหลก็ ของแทง่ แมเ่ หล็ก 2 แทง่ วางขั้วเหมือนกันและขวั้ ต่างกันมีลกั ษณะอย่างไร
- เสน้ แรงแมเ่ หลก็ ของลวดตวั นาเส้นตรง วงกลมและโซเลนอยดม์ ลี ักษณะอย่างไร
4. นกั เรยี นทัง้ หมดรว่ มกันสรุปผลจากการศกึ ษาและอภปิ ราย เร่อื ง สนามแม่เหลก็
5. ครูอธิบายเสน้ สนามแม่เหลก็ ฟลักซ์แมเ่ หล็ก และสมการท่ีใช้คานวณหาปริมาณสนามแมเ่ หล็ก
และปริมาณท่ีเก่ียวขอ้ งพร้อมยกตวั อย่าง
6. นกั เรียนแต่ละกล่มุ รบั โจทยป์ ญั หากลุม่ ละ 5 ขอ้
4. ขั้นขยายความรู้
1. ให้นกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายแนวคดิ ที่ได้จากการศกึ ษาและการทากิจกรรม เรื่อง สนามแมเ่ หล็ก
2. นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มนาเสนอผลงานการคดิ คานวณโจทย์ปญั หาท่ไี ด้รบั มอบหมาย
5. ขน้ั ประเมินผล
1. นกั เรียนทาแบบฝึกหดั พัฒนาทักษะการคิดในแบบเรยี น เรือ่ ง สนามแม่เหลก็ ในแบบเรยี น
แบบฝึกหัด 15.1 (หน้า 26) แบบฝึกหดั ทา้ ยบท คาถาม ข้อ 1-2 (หน้า 107)
2. นักเรยี นทาแบบทดสอบเกบ็ คะแนนแผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 1 เรือ่ ง สนามแม่เหลก็
10. สื่อการเรียนร้/ู แหลง่ เรียนรู้
ส่ือการเรียนรู้
1. หนังสอื เรียนรายวชิ าเพิ่มเติมฟิสกิ ส์ เล่ม 5 กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ของ สสวท.
2. PPT หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรอ่ื ง แม่เหล็กและไฟฟ้า
3. แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 เรือ่ ง แมเ่ หลก็ และไฟฟา้
4. อปุ กรณ์ชดุ ทดลอง เรอื่ ง สนามแม่เหลก็
5. แบบฝึกหัดพฒั นาทักษะการคดิ ในแบบเรียน เร่อื ง สนามแมเ่ หล็ก ในแบบเรยี นแบบฝกึ หดั
15.1 (หนา้ 26) แบบฝกึ หัดทา้ ยบท คาถาม ขอ้ 1-2 (หนา้ 107)
6. แบบทดสอบเกบ็ คะแนนแผนการเรยี นรทู้ ่ี 1 เร่ือง สนามแม่เหลก็
แหลง่ เรียนรู้
1. หอ้ งสมุดโรงเรียน
2. หอ้ งสืบค้น Resource Center
11. กจิ กรรมเสนอแนะ
แนะนาใหน้ ักเรยี นคน้ คว้าหาความรูเ้ พ่มิ เตมิ เรื่อง
จาก http://www.school.net.th/education/physics-resources.php3
ข้อเสนอแนะของหวั หน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ........................................................
(นางเกศนิ ี พงษพ์ ันธ)ุ์
ตาแหนง่ หัวหนา้ กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์
วนั ท่ี..........เดือน..........................พ.ศ............
ข้อเสนอแนะของรองผูอ้ านวยการกลุ่มบรหิ ารงานวชิ าการ
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………........................................……….
ลงชอื่ ...................................................................
(นายสุรศักด์ิ โพธ์ิบัลลงั ค์)
ตาแหน่ง รองผู้อานวยการกล่มุ บริหารงานวชิ าการ
วันท่ี..........เดอื น..........................พ.ศ............
ขอ้ เสนอแนะของผูอ้ านวยการโรงเรยี น
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
ลงชื่อ.......................................................
(นายพฒั นา ทรงประดษิ ฐ)
ตาแหนง่ ผู้อานวยการโรงเรยี นวัชรวทิ ยา
วันท่ี..........เดือน..........................พ.ศ............
บันทกึ ผลหลังการสอนแผนการสอนที่ 1
ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 วิชา ฟิสิกส์ 5 รหสั วชิ า ว30205
ครผู ้สู อน นางดวงดาว บดรี ฐั
1. ผลการสอน
1.1 สรปุ ผลการสอน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.2 หาความกา้ วหน้าในการเรียนการสอน
จานวนนักเรียน คะแนนเตม็ คะแนนเฉลี่ย คะแนนเฉลยี่ ความกา้ วหน้า
ก่อนเรียน หลงั เรียน ในการเรียน
รอ้ ยละความกา้ วหน้า = คะแนนหลงั เรยี น – คะแนนกอ่ นเรียน x 100
คะแนนเตม็
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปัญหา / อุปสรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ข้อเสนอแนะ / แนวทางแกไ้ ข
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………................……………………………………………………………….………………………………………………………
ลงช่ือ………………………………ครูผู้สอน
( นางดวงดาว บดีรฐั )
ตาแหนง่ ครู คศ. 3
วนั ท่ี…..เดอื น…………..……..พ.ศ...........
เกณฑ์การให้คะแนนการประเมินตามสภาพจรงิ
ระดบั คะแนน 5 4 3 2 1
การทาแบบฝึกหัด ทางานที่ไดร้ ับ ทางานที่ไดร้ ับ ทางานท่ีได้รับ ทางานทีไ่ ด้รับมอบหมาย ไมส่ ามารทางานที่
มอบหมายด้วยตนเอง มอบหมายดว้ ยตนเองไม่ ดว้ ยตนเอง ไม่ครบถว้ น ไดร้ บั มอบหมายดว้ ย
และแบบฝึกคานวณ มอบหมายดว้ ยตนเอง ครบถว้ นถกู ต้อง70% ครบถว้ นถูกตอ้ ง60% ถกู ตอ้ ง 50% /ตรงตาม ตนเอง และไม่ส่ง
ตรงตามกาหนสง่ ตรงตามกาหนดสง่ กาหนดส่ง ตามกาหนดส่ง
ครบถ้วนตรงตาม
งานกลุม่ ครบถว้ นแต่ งานกลุ่มไมค่ รบถ้วน งานกล่มุ ไม่ครบถ้วน โดยมี งานกลมุ่ ไม่ครบถว้ น
กาหนดสง่ และถูกต้อง ไม่เรียบรอ้ ย ภายใต้ ภายใตค้ วามรว่ มมือของ สมาชกิ ในกลุ่มบางคน โดยสมาชกิ ทง้ั กล่มุ
ความร่วมมอื ของ สมาชิกในกลุ่มทกุ คน ไม่ให้ความรว่ มมือ ไมใ่ หค้ วามร่วมมอื
การทางานรว่ มกัน งานกลุ่มครบถว้ น สมาชกิ ในกลมุ่ ทกุ คน
เป็นกลุ่ม เรียบรอ้ ย ภายใต้
ความรว่ มมอื ของ
สมาชิกในกลุม่ ทกุ คน
ระดับคะแนน 5 4 3 2 1
การอภปิ ราย ก า ร อ ภิ ป ร า ย ผ ล การอภปิ รายผล การอภิปรายผลถูกต้อง การอภิปรายผลไม่ถูกต้อง ผู้ อ ภิ ป ร า ย ไ ม่
ถู ก ต้ อ ง ชั ด เจ น ผู้ ถกู ตอ้ งชัดเจน แตไ่ ม่ชัดเจน ผู้ อ ภิ ป ร า ย น า เส น อ ก า ร สามารถเสนอการ
อภิปรายนาเสนอ การ ผู้อภปิ รายนาเสนอ ผู้ อ ภิ ป ร า ย น า เส น อ ผ ล อธบิ ายไดไ้ ม่ดี อภิปรายผลได้
อภิปรายได้ดี พูดชัด การอภิปรายไดไ้ มค่ ่อย การอภิปรายไดไ้ มค่ อ่ ยดี
ถ้อยชดั คา ดี
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 2
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวิชา ว 30205 รายวชิ า ฟสิ กิ ส์ 5
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565
ชื่อหนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 เร่อื ง แมเ่ หลก็ และไฟฟา้
ชอื่ แผน แรงแม่เหล็ก (ประจไุ ฟฟ้า) เวลา 3 ชว่ั โมง ผู้สอน นางดวงดาว บดีรัฐ
โรงเรยี นวชั รวทิ ยา อาเภอเมอื ง จงั หวัดกาแพงเพชร
************************************************************************************
1. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด
1. แรงแม่เหลก็
แรงกระทาตอ่ อนภุ าคทีม่ ปี ระจไุ ฟฟ้า ซงึ่ เคลื่อนท่ีตัดผ่านสนามแม่เหล็ก
ถา้ ประจุอยนู่ งิ่ หรอื เคลื่อนทขี่ นานกับทศิ ของสนามแม่เหลก็ จะไม่มแี รงกระทาจากสนามแม่เหลก็
แต่ถา้ ใหอ้ นภุ าคท่ีมีประจเุ คลื่อนที่ในทศิ ทางทไี่ มข่ นานกับทิศทางของสนามแมเ่ หล็กจะมีแรงกระทาจาก
สนามแมเ่ หล็กทนั ที และเรียกแรงนี้ว่า แรงแม่เหลก็ (Magnetic force) หรือแรงลอเรนซ์(Lorentz
Force) ซ่งึ แรงนจ้ี ะทาให้แนวการเคล่ือนทขี่ องประจเุ ปล่ียนไป โดยทศิ ทางของแรงแมเ่ หล็กนสี้ ามารถหาได้
จาก "กฎมือขวา (Right Hand Rule)"
1. วางมอื ขวาให้ทิศทางของสนามแม่เหล็กทิ่มดา้ นหลงั มอื ก่อน
2. สี่น้ิว (นิ้วช,้ี นว้ิ กลาง,น้ิวนางและนิว้ กอ้ ย) ชต้ี ามทศิ ทางการเคลอื่ นท่ขี องอนภุ าคทม่ี ีประจุ
3. นวิ้ โปง้ ชแี้ สดงทิศทางของแรงทก่ี ระทากับอนภุ าคทีม่ ปี ระจบุ วก (อนุภาคท่มี ปี ระจลุ บแรงจะมีทิศ
ทางตรงข้ามกับนิ้วโป้ง) 10-3
ขนาดของแรงลอเรนซ์สามารถหาได้จากสมการ
โดยท่ี F คอื ขนาดของแรง มีหน่วยเป็น นิวตัน (N)
q คือ ขนาดของประจุไฟฟ้า มหี นว่ ยเปน็ คูลอมบ์ (C)
v คอื ขนาดของความเร็ว มีหน่วยเปน็ เมตรตอ่ วินาที (m/s)
B คอื ขนาดของสนามแมเ่ หล็ก มหี น่วยเปน็ เทสลา (T)
จากสมการจะพบว่า อนภุ าคทเี่ คลอ่ื นท่ีเปน็ ในแนวขนานกับสนามแมเ่ หลก็ หรอื อนุภาคที่เป็นกลาง
ทางไฟฟ้า (q = 0) แรงทก่ี ระทากบั อนภุ าคจะมีค่าเท่ากับศนู ย์ แต่ถ้าอนภุ าคนน้ั มที ิศทางของความเรว็ ต้งั ฉาก
กบั สนามแมเ่ หลก็ แรงท่ีกระทาต่ออนุภาคจะมคี า่ มากทส่ี ุด
เมอื่ อนภุ าคทมี่ ปี ระจเุ คลอื่ นท่โี ดยมที ิศทางของความเรว็ ตั้งฉากกับทิศทางของสนามแม่เหล็ก
แรงแมเ่ หลก็ ทีเ่ กดิ ขนึ้ จะตั้งฉากกบั ทศิ ทาง
แรงกระทาต่อลวดตวั นาท่ีมกี ระแสไฟฟา้ เมอ่ื วางอยใู่ นบริเวณที่มีสนามแม่เหลก็ นอกจากแรงจาก
สนามแม่เหล็กจะกระทากบั อนภุ าคท่มี ีประจุทเี่ คล่ือนทตี่ ัดผา่ นสนามแม่เหล็กแลว้ เมอื่ มกี ระแสไฟฟา้ ไหลผ่าน
ลวดตัวนา ตดั ผ่านบริเวณทมี่ สี นามแม่เหล็ก ก็จะเกดิ แรงท่กี ระทากับลวดตวั นา เนอ่ื งจากกระแสไฟฟา้ ใน
ลวดตวั นาเกดิ จากการเคลอ่ื นทข่ี องอิเลก็ ตรอนอสิ ระดว้ ยความเรว็ ลอยเลอ่ื น ดงั นั้นเม่อื มีกระแสไฟฟา้ ไหลผ่าน
ลวดตวั นาทีว่ างตง้ั ฉากกบั สนามแม่เหลก็ จะเกดิ แรงกระทาต่ออเิ ลก็ ตรอนอิสระเหลา่ นีเ้ นอ่ื งจากอิเลก็ ตรอน
อิสระอยภู่ ายในลวดตวั นา ดงั นนั้ แรงทีเ่ กิดขน้ึ จึงทาให้ลวดตัวนาเคลอ่ื นทีใ่ นทิศของแรงน้ันซงึ่ สามารถหา
ทิศทางของแรงไดจ้ ากฎมอื ขวา
1. วางมอื ขวาให้ทิศทางของสนามแม่เหลก็ ท่ิมดา้ นหลังมือก่อน
2. สีน่ ิว้ ชต้ี ามทิศทางการไหลของกระแสไฟฟา้ (ตรงข้ามกับทิศทางการเคลอ่ื นท่ีของอเิ ล็กตรอน)
3. น้ิวโปง้ ชแ้ี สดงทิศทางของแรงทีก่ ระทากบั ลวดตวั นา
ขนาดของแรงท่ีกระทากบั ลวดตัวนาสามารถหาได้จากสมการ
โดยที่ F คอื ขนาดของแรง มีหนว่ ยเปน็ นิวตัน (N)
L คอื ความยาวของลวดตัวนาทมี่ ีกระแสผ่าน มีหนว่ ยเป็น เมตร (m)
i คือ ขนาดของกระแสไฟฟา้ มหี น่วยเป็น แอมแปร์ (A)
B คือ ขนาดของสนามแม่เหลก็ มีหน่วยเปน็ เทสลา (T)
2. มาตรฐาน
สาระฟิสิกส์
3. เข้าใจแรงไฟฟา้ และกฎขอคลู อมบ์ สนามไฟฟ้า ศกั ยไ์ ฟฟา้ และกฎของโอห์ม วงจรไฟฟา้
กระแสตรง พลงั งานไฟฟา้ และกาลงั ไฟฟา้ การเปลี่ยนพลงั งานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า สนามแมเ่ หลก็
แรงแมเ่ หล็กที่กระทากบั ประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟา้ การเหน่ยี วนาแม่เหล็กไฟฟ้า และกฎของฟาราเดย์
ไฟฟ้ากระแสสลับ คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าและการสอื่ สาร รวมทั้งการนาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์
3. ตัวชว้ี ัด/ผลการเรียนรู้
ผลการเรยี นรู้
อธบิ าย และคานวณแรงแม่เหลก็ ทกี่ ระทาตอ่ อนภุ าคทม่ี ปี ระจไุ ฟฟ้าเคลอื่ นทใ่ี น
สนามแมเ่ หล็กแรงแม่เหลก็ ท่กี ระทาตอ่ เสน้ ลวดที่มกี ระแสไฟฟา้ ผา่ นและวางในสนามแม่เหล็ก รศั มีความโคง้
ของการเคลอ่ื นท่เี มือ่ ประจเุ คลื่อนที่ตงั้ ฉากกับสนามแม่เหลก็ รวมทัง้ อธบิ ายแรงระหว่างเส้นลวดตวั นาค่ขู นานท่ี
มีกระแสไฟฟา้ ผา่ น
4. สาระการเรียนรู้
- สาระการเรียนร้แู กนกลาง
แรงแมเ่ หลก็ 1. แรงแมเ่ หล็กกระทาตอ่ อนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟา้
2. แรงแมเ่ หล็กกระทาต่อลวดตวั นาที่มกี ระแสไฟฟา้ ผา่ น
3. แรงระหว่างลวดตัวนาที่มกี ระแสไฟฟ้า
5. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
จุดเนน้ การพฒั นาคณุ ภาพผ้เู รียนดา้ นสมรรถนะ
1. การใชเ้ ทคโนโลยเี พ่ือการเรยี นรู้
2. ทกั ษะการสือ่ สารอย่างสรา้ งสรรค์ตามชว่ งวยั
3. ทักษะการคิดชน้ั สงู
6. คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
1. ซอ่ื สัตย์สจุ ริต
2. มีวินัย
3. ใฝเ่ รียนรู้
4. มุง่ มัน่ ในการทางาน
จุดเนน้ การพฒั นาคุณภาพผู้เรียนดา้ นคณุ ลักษณะ
1. คุณลกั ษณะมุ่งมน่ั ในการทางาน
2. คุณลักษณะใฝ่เรยี นรู้
7. คณุ ลักษณะ 5 ประการโรงเรียนสุจรติ
1. กระบวนการคดิ
2. มีวนิ ยั
3.ซื่อสัตยส์ จุ ริต
4. อยู่อย่างพอเพียง
5. มีจติ สาธารณะ
8. ชน้ิ งาน/ภาระงาน
1. ทาแบบฝกึ หัดพฒั นาทักษะการคิดในแบบเรยี น เรอื่ ง สนามแมเ่ หลก็ ในแบบเรยี น
แบบฝึกหดั 15.2 (หนา้ 51-52) แบบฝกึ หัดท้ายบท คาถาม ขอ้ 3-10 (หน้า 108-109)
ปัญหาข้อที่ 1-9 (หนา้ 110-111) ปัญหาท้าทายข้อท่ี 20-29 (หน้า 115-119)
2. ทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 2 เร่อื ง แรงแม่เหลก็
9 .การวัดและประเมินผล
9.1 การประเมนิ ระหวา่ งจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ชนิ้ งาน/ภาระงาน วิธกี ารประเมิน เครือ่ งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ
ทาแบบฝึกหัดพฒั นาทักษะ ตรวจแบบฝกึ หัดพัฒนา แบบฝกึ หัดพัฒนา ตามเกณฑ์
ทกั ษะการคดิ ใน การประเมินผล
การคดิ ในแบบเรยี น เรือ่ ง ทกั ษะการคิดในแบบเรียน แบบเรยี น เรือ่ ง
แรงแมเ่ หล็ก แบบฝึกหดั
แรงแม่เหล็ก เร่ืองแรงแมเ่ หล็ก
9.2 การประเมินเม่ือสิน้ สดุ การเรียนรู้
ชิน้ งาน/ภาระงาน วิธีการประเมิน เครือ่ งมือ เกณฑก์ ารประเมิน
สอบเก็บคะแนน ทาแบบทดสอบ แบบทดสอบเก็บ ตามเกณฑ์
คะแนน การประเมนิ ผล
เกบ็ คะแนน การทาแบบทดสอบ
จานวน 10 ขอ้
จานวน 10 ขอ้
ภาระงาน/ช้ินงาน เกณฑ์การประเมนิ (Rubrics) พอใช้ ปรับปรงุ
แบบฝกึ หัด ดมี าก ดี
ทาแบบฝกึ หัด ทาแบบฝึกหดั
ทาแบบฝึกหัดถกู ตอ้ ง ทาแบบฝึกหดั ถกู ต้อง 50 -60% ถกู ตอ้ ง ต่ากว่า
80% ขึน้ ไป ถูกต้อง 60-80%
50%
เกณฑ์การประเมินผลการทาแบบทดสอบก่อนเรยี น / แบบทดสอบเกบ็ คะแนน ใชเ้ กณฑ์ดังน้ี
รอ้ ยละ 80 ขน้ึ ไป หมายถงึ ดีมาก
รอ้ ยละ 70-79 หมายถึง ดี
รอ้ ยละ 60-69 หมายถงึ ปานกลาง
ร้อยละ 50-59 หมายถึง ผา่ น
ตา่ กว่าร้อยละ 50 หมายถึง ปรบั ปรุง
ผ้ปู ระเมิน 2. นักเรยี นประเมนิ นักเรียน
1. ครูผสู้ อนประเมินนกั เรยี น
10. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ใช้การเรยี นการสอน แบบ 5E
1. ข้นั สร้างความสนใจ
1. นักเรยี นยกตัวอยา่ งสถานการณแ์ ท่งแม่เหลก็ ดูดสารแม่เหลก็ ท่ีพบในชวี ิตประจาวัน
2. ให้นักเรียนร่วมกนั ตง้ั คาถามเก่ียวกบั สิ่งทต่ี ้องการรู้ จากเน้ือหาท่ีเก่ยี วกับแรงแม่เหล็ก
2. ข้ันสารวจและค้นหา
1. แบง่ นักเรยี นเป็นกล่มุ ๆ 6 -7 คน (ประกอบดว้ ย นักเรยี น เกง่ กลาง ออ่ น จากผลการวิเคราะห์
ผู้เรียน)
2. ครนู านักเรียนอภปิ รายถึงสถานการณแ์ ท่งแม่เหล็กดูดสารแมเ่ หล็กท่พี บในชีวิตประจาวนั ของ
นกั เรียนแลว้ ใหน้ ักเรยี นยกตัวอยา่ งตามความเขา้ ใจของนักเรยี น โดยให้นักเรียนแสดงเหตุผลประกอบด้วย
3. ครใู ห้นกั เรียนแต่ละกลุ่มการวางแผนการสืบคน้ /การศึกษาเรอ่ื ง แรงแม่เหล็ก
4. นักเรยี นแต่ละกลุ่มร่วมกันสบื คน้ และศกึ ษา แรงแม่เหล็ก จากคลิปวดี ิโอ “การเคล่อื นที่ของ
อิเลคตรอนในหลอดรังสแี คโทด” ความยาว 15 นาที
5. นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ อภปิ รายรว่ มกนั ถึง การเคลื่อนทีข่ องอเิ ลคตรอนในหลอดรงั สแี คโทด
3. ขนั้ อธิบายและลงข้อสรุป
1. นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ นาเสนอผลการสืบค้นและผลการศึกษา เร่อื ง แรงแมเ่ หล็กจากการศึกษาการ
เคลอื่ นที่ของอิเลคตรอนในหลอดรังสีแคโทด
2. นักเรยี นแต่ละกลุม่ ได้ผลการสืบค้นและศึกษา เหมือนกันหรอื ตา่ งกนั อย่างไร
3. ครตู ้ังคาถามดงั น้ี
- อเิ ลคตรอนในหลอดรังสีแคโทดมีลกั ษณะการเคลือ่ นทอ่ี ย่างไร
- เมอื่ นาแท่งแม่เหลก็ ไปใกลห้ ลอดรังสีแคโทดอิเลคตรอนมีลักษณะการเคลือ่ นที่อยา่ งไร
- การเคลอื่ นทข่ี องอิเลคตรอนใน 2 สถานการณเ์ หมอื นหรอื แตกต่างกนั อยา่ งไร
4. นกั เรยี นทั้งหมดรว่ มกันสรุปผลจากการศึกษาและอภิปราย เรือ่ ง แรงแมเ่ หล็กกระทาตอ่
การเคลื่อนทข่ี องอเิ ลคตรอนในหลอดรงั สีแคโทด
5. ครอู ธิบายสมการทีใ่ ช้คานวณหาปรมิ าณแรงสนามแมเ่ หล็กกระทากบั ประจุไฟฟ้าเคล่ือนท่ีใน
บรเิ วณทีม่ สี นามแม่เหลก็ และปริมาณท่ีเกยี่ วขอ้ งพร้อมอธิบายการหาทิศของแรงโดยใชก้ ฎมือขวา
6. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มศกึ ษาแรงแม่เหล็กกระทาตอ่ ลวดตวั นา 1 เส้นทมี่ ีกระแสไฟฟา้ และ
แรงแม่เหลก็ กระทาตอ่ ลวดตวั นา 2 เส้นท่ีมีกระแสไฟฟา้
7. ครตู ้ังคาถามดงั น้ี
- แรงแม่เหลก็ ท่ีกระทาต่อลวดตวั นา 1 เสน้ ท่ีมกี ระแสไหลมีลกั ษณะอย่างไร
- แรงแมเ่ หล็กท่กี ระทาตอ่ ลวดตัวนา 2 เส้น ที่มีกระแสไหลมีลักษณะอย่างไร
- ทศิ ของแรงแมเ่ หลก็ ท่ีกระทาตอ่ ลวดตัวนา 1 เส้นและ 2 เสน้ มลี ักษณะอย่างไร
8. นกั เรยี นท้ังหมดร่วมกันสรุปผลจากการศกึ ษาและอภปิ ราย เรื่อง แรงแมเ่ หล็กกระทาต่อลวด
ตวั นาท่ีมีกระแสไฟฟา้
9. ครูอธบิ ายสมการท่ใี ช้คานวณหาขนาดของแรงสนามแมเ่ หล็กกระทากบั ลวดตวั นาทมี่ ี
กระแสไฟฟ้าและปรมิ าณท่เี กีย่ วข้องพรอ้ มอธิบายการหาทศิ ของแรงโดยใชก้ ฎมือขวา
4. ขัน้ ขยายความรู้
1. ใหน้ กั เรยี นร่วมกนั อภิปรายแนวคดิ ทีไ่ ดจ้ ากการศกึ ษาเร่อื ง แรงแม่เหล็ก
2. นกั เรียนแต่ละกล่มุ นาเสนอผลงานการคิดคานวณโจทย์ปญั หาทีไ่ ด้รบั มอบหมาย
5. ขั้นประเมินผล
1. ทาแบบฝึกหัดพฒั นาทกั ษะการคิดในแบบเรียน เร่อื ง สนามแมเ่ หล็ก ในแบบเรยี นแบบฝกึ หดั
15.2 (หนา้ 51-52) แบบฝึกหดั ทา้ ยบท คาถาม ขอ้ 3-10 (หน้า 108-109) ปัญหาข้อที่ 1-9
(หน้า 110-111) ปญั หาท้าทายขอ้ ที่ 20-29 (หนา้ 115-119)
2. นกั เรยี นทาแบบทดสอบเกบ็ คะแนนแผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 2 เรอื่ ง แรงแม่เหล็ก
10. ส่ือการเรยี นรู้/แหลง่ เรยี นรู้
สอ่ื การเรียนรู้
1. หนงั สือเรียนรายวชิ าเพิ่มเตมิ ฟิสิกส์ เลม่ 5 กล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ของ สสวท.
2. PPT หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรอื่ ง แม่เหล็กและไฟฟา้
3. ทาแบบฝึกหดั พฒั นาทกั ษะการคิดในแบบเรียน เร่อื ง สนามแม่เหลก็ ในแบบเรียนแบบฝกึ หดั
15.2 (หน้า 51-52) แบบฝกึ หดั ทา้ ยบท คาถาม ข้อ 3-10 (หน้า 108-109) ปญั หาข้อท่ี 1-9
(หนา้ 110-111) ปัญหาท้าทายขอ้ ท่ี 20-29 (หน้า 115-119)
4. นักเรยี นทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 2 เร่ือง แรงแมเ่ หล็ก
แหลง่ เรยี นรู้
1. ห้องสมดุ โรงเรยี น
2. หอ้ งสบื ค้น Resource Center
11. กิจกรรมเสนอแนะ
แนะนาให้นกั เรียนคน้ คว้าหาความรู้เพมิ่ เติมเรื่อง
จาก http://www.school.net.th/education/physics-resources.php3 และ
http://SCIENCE.HOWSTAFFWORKS.com
ขอ้ เสนอแนะของหวั หนา้ กลมุ่ สาระการเรียนรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ........................................................
(นางเกศนิ ี พงษพ์ ันธ)ุ์
ตาแหน่ง หวั หนา้ กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์
วนั ที่..........เดือน..........................พ.ศ............
ขอ้ เสนอแนะของรองผอู้ านวยการกลมุ่ บริหารงานวิชาการ
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………........................................……….
ลงชอ่ื ...................................................................
(นายสรุ ศักด์ิ โพธบ์ิ ัลลังค์)
ตาแหน่ง รองผอู้ านวยการกล่มุ บริหารงานวชิ าการ
วนั ท่ี..........เดือน..........................พ.ศ............
ข้อเสนอแนะของผู้อานวยการโรงเรยี น
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
ลงชอ่ื .......................................................
(นายพฒั นา ทรงประดษิ ฐ)
ตาแหนง่ ผอู้ านวยการโรงเรยี นวัชรวิทยา
วันที่..........เดือน..........................พ.ศ............
บันทกึ ผลหลงั การสอนแผนการสอนที่ 2
ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 6 วิชา ฟสิ กิ ส์ 5 รหัสวิชา ว30205
ครูผู้สอน นางดวงดาว บดีรัฐ
1. ผลการสอน
1.1 สรปุ ผลการสอน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.2 หาความก้าวหนา้ ในการเรียนการสอน
จานวนนกั เรียน คะแนนเตม็ คะแนนเฉลี่ย คะแนนเฉล่ยี ความกา้ วหนา้
ก่อนเรยี น หลังเรยี น ในการเรยี น
ร้อยละความกา้ วหนา้ = คะแนนหลงั เรียน – คะแนนก่อนเรียน x 100
คะแนนเต็ม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หา / อุปสรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะ / แนวทางแกไ้ ข
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………................……………………………………………………………….………………………………………………………
ลงช่ือ………………………………ครูผูส้ อน
(นางดวงดาว บดรี ัฐ)
ตาแหน่ง ครู คศ. 3
วนั ท่ี…..เดือน……………..……..พ.ศ...........
เกณฑ์การให้คะแนนการประเมินตามสภาพจรงิ
ระดบั คะแนน 5 4 3 2 1
การทาแบบฝึกหัด ทางานทีไ่ ดร้ ับ ทางานที่ไดร้ ับ ทางานท่ีได้รับ ทางานทีไ่ ด้รับมอบหมาย ไม่สามารทางานที่
มอบหมายด้วยตนเอง มอบหมายดว้ ยตนเองไม่ ดว้ ยตนเอง ไม่ครบถว้ น ไดร้ บั มอบหมายดว้ ย
และแบบฝึกคานวณ มอบหมายดว้ ยตนเอง ครบถว้ นถกู ต้อง70% ครบถว้ นถูกตอ้ ง60% ถกู ตอ้ ง 50% /ตรงตาม ตนเอง และไม่ส่ง
ตรงตามกาหนสง่ ตรงตามกาหนดสง่ กาหนดส่ง ตามกาหนดส่ง
ครบถ้วนตรงตาม
งานกลุม่ ครบถว้ นแต่ งานกลุ่มไมค่ รบถ้วน งานกล่มุ ไม่ครบถ้วน โดยมี งานกลมุ่ ไม่ครบถว้ น
กาหนดสง่ และถูกต้อง ไม่เรียบรอ้ ย ภายใต้ ภายใตค้ วามรว่ มมือของ สมาชกิ ในกลุ่มบางคน โดยสมาชกิ ทง้ั กล่มุ
ความร่วมมอื ของ สมาชิกในกลุ่มทกุ คน ไม่ให้ความรว่ มมือ ไมใ่ หค้ วามร่วมมอื
การทางานรว่ มกัน งานกลุ่มครบถว้ น สมาชกิ ในกลมุ่ ทกุ คน
เป็นกลุ่ม เรียบรอ้ ย ภายใต้
ความรว่ มมอื ของ
สมาชิกในกลุม่ ทกุ คน
ระดับคะแนน 5 4 3 2 1
การอภปิ ราย ก า ร อ ภิ ป ร า ย ผ ล การอภปิ รายผล การอภิปรายผลถูกต้อง การอภิปรายผลไม่ถูกต้อง ผู้ อ ภิ ป ร า ย ไ ม่
ถู ก ต้ อ ง ชั ด เจ น ผู้ ถกู ตอ้ งชัดเจน แตไ่ ม่ชัดเจน ผู้ อ ภิ ป ร า ย น า เส น อ ก า ร สามารถเสนอการ
อภิปรายนาเสนอ การ ผู้อภปิ รายนาเสนอ ผู้ อ ภิ ป ร า ย น า เส น อ ผ ล อธบิ ายไดไ้ ม่ดี อภิปรายผลได้
อภิปรายได้ดี พูดชัด การอภิปรายไดไ้ มค่ ่อย การอภิปรายไดไ้ มค่ อ่ ยดี
ถ้อยชดั คา ดี
การสอนแบบ GPASS 5STEP
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 2
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว30206 รายวิชา ฟสิ กิ ส์ 6
ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564
ชอื่ หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 1 เรือ่ ง คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้
ช่ือแผน สเปกตรมั ของคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ เวลา 3 ชัว่ โมง ผสู้ อน นางดวงดาว บดีรัฐ
โรงเรยี นวัชรวทิ ยา อาเภอเมอื ง จงั หวัดกาแพงเพชร
************************************************************************************
สาระสาคญั
สเปกตรัมของคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้
สเปกตรมั คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้ คอื แถบแสดงความถี่ หรือความยาวคล่นื ตา่ ง ๆ ของคล่ืน
แม่เหล็กไฟฟา้ เรยี งตามลาดับความถี่ เรยี งจากความถี่น้อยทส่ี ุดถึงความถีม่ ากท่ีสุด
รปู 1.1 ชนิดของคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้าจึงเป็นคลน่ื ทีม่ ีความถ่ตี ง้ั แตห่ ลายสิบกโิ ลเฮริ ์ตซ์ จนกระทง่ั ถงึ รังสเี อ็กซห์ รอื รังสี
แกมมาท่ีมคี วามถี่สงู มากๆ เมอ่ื ความถ่ีเปลี่ยนไปคุณสมบัติของคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ นนั้ ๆ ก็ยอ่ มเปลย่ี นแปลงไป
ดว้ ยแตก่ ็ยงั มคี ณุ สมบตั ริ ่วมกนั อยูค่ อื มอี ัตราเรว็ เท่ากบั 3x108 เมตร/วนิ าที
มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระฟสิ ิกส์ 3. เข้าใจแรงไฟฟา้ และกฎขอคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า ศกั ย์ไฟฟ้า และกฎของโอห์ม
วงจรไฟฟา้ กระแสตรง พลงั งานไฟฟา้ และกาลงั ไฟฟา้ การเปลีย่ นพลงั งานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้าสนามแมเ่ หลก็
แรงแม่เหล็กท่ีกระทากบั ประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟา้ การเหนี่ยวนาแมเ่ หล็กไฟฟ้าและกฎของฟาราเดย์ ไฟฟ้า
กระแสสลับ คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ และการสอื่ สาร รวมทัง้ การนาความร้ไู ปใช้ประโยชน์
ตวั ชวี้ ัด/ผลการเรยี นรู้
อธบิ ายสเปกตรัมของคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ได้
เนื้อหา
1. สเปกตรัมของคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า
1.1 คล่นื วทิ ยุ 1.2 คลื่นไมโครเวฟ
1.3 รังสอี นิ ฟราเรด 1.4 แสง
1.5 รังสีอัตราไวโอเลต 1.6 รังสีเอกซ์
1.7 รงั สแี กมมา
ภาระงานนักเรยี น (ร่องรอยการเรยี นร)ู้
1. ทาใบงาน เรอื่ ง สเปกตรมั ของคลนื่ ของแมเ่ หล็กไฟฟ้า
2. ทาแผนภาพปีกกา (Brace Map) /นาเสนอผลงาน เรือ่ ง สเปกตรมั ของคลื่นของ
แม่เหลก็ ไฟฟ้า
3. ทาแบบฝึกหัดพฒั นาทักษะการคดิ ในแบบเรยี น เรอ่ื ง สเปกตรมั ของคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้
ในแบบเรยี น คาถาม ข้อ 1-4 (หนา้ 22) แบบฝกึ หัดท้ายหน่วยที่ 1 ปญั หาขอ้ 2-6 (หนา้ 50)
4. ทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 2 เรือ่ ง สเปกตรมั ของคลื่น
แมเ่ หล็กไฟฟา้
การวดั และประเมินผล
1. ตรวจใบงาน
2. ตรวจแผนภาพ/การนาเสนอผลงาน
3. ตรวจแบบฝกึ หัด
4. ตรวจแบบทดสอบ
2. การประเมนิ เมอื่ ส้นิ สุดการเรียนรู้
กจิ กรรมการเรียนรู้
ขนั้ Gathering : การคน้ หาและเลอื กขอ้ มลู
ใหน้ กั เรยี นทาอะไร
1. ตอบคาถาม (ใบงาน)
2. ระดมความคดิ และตง้ั คาถาม (ใบงาน)
3. รวมกลมุ่ ศึกษาและอภิปราย
ครูใช้กลวธิ ีการสอนอะไร
1. การสนทนา/การตง้ั คาถาม
2. การใหค้ าแนะนา
3. การระดมความคดิ
สอื่ /แหลง่ เรียนรขู้ องครูคืออะไร
1. หนงั สือเรียนรายวชิ าเพ่มิ เตมิ ฟสิ ิกส์ เล่ม 6 กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ของ สสวท.
2. PPT หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 1 เรือ่ ง คลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้า
3. วดี ิโอ เร่ือง “สเปกตรมั ของคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า” สือ่ การสอน สสวท.
4. ใบงาน
ผลงานนกั เรยี นคืออะไร
1. ใบงาน
วัดและประเมนิ ผลอยา่ งไร
1. ตรวจใบงาน
เกณฑก์ ารประเมนิ ผล
ตารางเกณฑว์ ัดและประเมนิ ผล (หลังแผน)
ใบกจิ กรรม
ตารางเกณฑว์ ดั และประเมนิ ผล (หลงั แผน)
ข้นั Processing : การจดั การทาข้อมลู หรือการจัดขอ้ มูลใหเ้ ปน็ ระบบ
ใหน้ กั เรียนทาอะไร
1. นาเสนอผลการศกึ ษาแต่ละกล่มุ (จากการดูวดิ โี อ) (ใบงาน)
2. เปรยี บเทียบผลการศกึ ษากบั กลุม่ อนื่
3. ร่วมกนั สรปุ ผลการศึกษารวมทกุ กลมุ่
4. วเิ คราะหแ์ ผนภาพความคิด
ครูใชก้ ลวิธกี ารสอนอะไร
1. การให้คาแนะนา
2. การกระตนุ้ ดว้ ยคาถาม
สื่อ/แหล่งเรยี นร้ขู องครูคอื อะไร
1. หนงั สือเรียนรายวิชาเพม่ิ เติมฟสิ ิกส์ เลม่ 6 กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ของ สสวท.
2. PPT หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 1 เรื่อง คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้
3. คลปิ วีดโิ อ “สเปกตรัมของคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ ” สอ่ื การสอน สสวท.
4. แผนภาพความคิด
5. ใบงาน
ผลงานนักเรียนคอื อะไร
1. สรปุ ข้อมลู เป็นแผนภาพความคิด
วดั และประเมนิ ผลอยา่ งไร
1. ตรวจสอบความถูกตอ้ ง
เกณฑ์การประเมนิ ผล
ตารางเกณฑ์วัดและประเมินผล (หลงั แผน)
ใบกจิ กรรม
ตารางเกณฑ์วัดและประเมนิ ผล (หลังแผน)
ขัน้ Applying 1 (Applying and Constructing the Knowledge) : การปฏิบตั ิและสรุปความรู้
ใหน้ กั เรยี นทาอะไร
1. รวมกลมุ่ วางแผนการสบื คน้ และศึกษาค้นควา้ เพม่ิ เตมิ (ใบงาน)
2. ปฏบิ ตั ิการสืบค้นและศึกษาค้นควา้
3. จดั ทาแผนภาพปกี กา (Brace Map) เร่ือง สเปกตรัมของคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้
4. ออกแบบการใช้คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้าในชีวิตประจาวนั (นวตั กรรมกล่องสเปกตรมั คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า)
ครใู ชก้ ลวิธีการสอนอะไร
1. การให้คาแนะนา /การออกแบบ
2. การระดมความคดิ รูแ้ ล้ว : อยากรู้ : เรยี นรู้ ( Knowledge Want to know Learning : K W L )
ส่ือ/แหล่งเรียนรูข้ องครูคืออะไร
1. หนงั สอื เรยี นรายวิชาเพมิ่ เตมิ ฟิสิกส์ เลม่ 6 กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ของ สสวท.
2. PPT หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 1 เรือ่ ง คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้
3. ห้องสมุดโรงเรียน
4. ห้อง Resource Center
5. ตวั อยา่ งนวัตกรรม
ผลงานนกั เรยี นคอื อะไร
1. แผนภาพปกี กา (Brace Map)
2. นวตั กรรมกลอ่ งสเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
วัดและประเมินผลอยา่ งไร
1. ตรวจแผนภาพ (Brace Map)
2. ประเมินนวัตกรรม
เกณฑ์การประเมินผล
ตารางเกณฑ์วัดและประเมินผล (หลงั แผน)
ใบกิจกรรม
ตารางเกณฑว์ ดั และประเมนิ ผล (หลงั แผน)
ขนั้ Applying 2 (Applying and Communication Skill) : การส่ือสารและการนาเสนอ
ให้นกั เรียนทาอะไร
1. เขียนขอ้ สรปุ ประโยชน์และโทษของการใช้คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ และผลกระทบจากการใช้คล่นื
แม่เหล็กไฟฟา้ ในชวี ิตประจาวัน
2. ตรวจสอบผลงานของตนเอง
3. นาเสนอผลงาน
ครใู ชก้ ลวิธีการสอนอะไร
1. การเสรมิ แรง
2. การแลกเปล่ียนความคิด (Show + Share)
สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ของครคู อื อะไร
1. เคร่อื งเสียง/ไมโครโฟน
2. เคร่ืองฉายภาพทึบแสง
3. คอมพวิ เตอร์
4. เคร่อื ง Projecter
ผลงานนกั เรียนคอื อะไร
1. เขียนข้อสรุปประโยชน์และโทษของการใช้คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ และผลกระทบจากการใช้คล่นื
แม่เหลก็ ไฟฟา้ ในชีวิตประจาวนั
2. การนาเสนอผลงาน (แผนภาพ)
วดั และประเมินผลอย่างไร
1. การประเมนิ ผลงาน
เกณฑก์ ารประเมนิ ผล
ตารางเกณฑ์วดั และประเมนิ ผล (หลังแผน)
ใบกจิ กรรม
ตารางเกณฑว์ ดั และประเมินผล (หลังแผน)
ข้ัน Self - regulating : การประเมนิ เพม่ิ คุณค่า
ใหน้ กั เรยี นทาอะไร
1. ตรวจสอบผลงานเขียนข้อสรปุ ประโยชนแ์ ละโทษของการใชค้ ล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้าและผลกระทบจากการ
ใช้คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าในชีวิตประจาวนั
4. รว่ มตรวจผลงานเพอ่ื น
5. เผยแพร่ผลงาน
ครใู ช้กลวธิ กี ารสอนอะไร
1. แลกเปลีย่ นเรียนรู้
สอื่ /แหล่งเรียนร้ขู องครูคืออะไร
1. เกณฑ์การวัดและประเมินผล.
ผลงานนักเรยี นคืออะไร
1. การตรวจสอบผลงานตนเองและเพ่อื น
2. แบบฝึกหัด
3. แบบทดสอบ
วัดและประเมินผลอย่างไร
1. ตรวจแบบฝกึ หัด
2. ตรวจแบบทดสอบ
เกณฑ์การประเมินผล
ตารางเกณฑ์วัดและประเมนิ ผล (หลงั แผน)
ใบกจิ กรรม
ตารางเกณฑว์ ดั และประเมนิ ผล (หลงั แผน)
ตารางเกณฑ์วดั และประเมินผล
1. การประเมนิ ระหวา่ งจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
ช้ินงาน/ภาระงาน วธิ กี ารประเมิน เครื่องมอื เกณฑก์ ารประเมิน
ตามเกณฑ์
ทาใบงาน ตรวจใบงาน แบบประเมินใบงาน
การประเมินผลใบงาน
ทาแบบฝกึ หัดพัฒนา ตรวจแบบฝกึ หัดพัฒนา แบบฝึกหัดพฒั นา ตามเกณฑ์
ทักษะการคดิ ใน ทักษะการคิดในแบบเรียน ทกั ษะการคิดใน การประเมินผล
แบบฝกึ หดั
แบบเรยี น แบบเรยี น ตามเกณฑ์
ทาแผนภาพหรือ Mind ตรวจแผนภาพหรอื Mind แบบประเมินแผนภาพ การประเมนิ ผล
แบบฝกึ หดั
mapping เรื่อง mapping เรอ่ื ง หรอื Mind mapping
เกณฑ์การประเมิน
สเปกตรัมของคล่นื สเปกตรัมของคลนื่ ตามเกณฑ์
แม่เหล็กไฟฟา้ แม่เหลก็ ไฟฟา้ การประเมนิ ผล
การทาแบบทดสอบ
2. การประเมินเมื่อส้ินสุดการเรยี นรู้
ชน้ิ งาน/ภาระงาน วิธกี ารประเมิน เครือ่ งมอื
สอบเก็บคะแนน ทาแบบทดสอบ แบบทดสอบเก็บ
เก็บคะแนน คะแนน
จานวน 10 ข้อ จานวน 10 ขอ้
เกณฑก์ ารประเมิน (Rubrics)
ระดบั คะแนน 5 43 2 1
ทางานที่ได้รับ ไมส่ ามารทางานท่ี
การทาใบงาน ทางานทไ่ี ดร้ ับ ทางานทไี่ ด้รบั ทางานทไี่ ดร้ ับ มอบหมายด้วย ไดร้ ับมอบหมาย
ตนเอง ไม่ครบถว้ น ด้วยตนเอง และ
และแบบฝึกหัด มอบหมายด้วย มอบหมายดว้ ย มอบหมายดว้ ย ถูกต้อง 50% / ไม่สง่ ตามกาหนด
ตรงตามกาหนดสง่ สง่
ตนเอง ครบถ้วนตรง ตนเอง ครบถว้ น ตนเองไม่ครบถว้ น งานกลุ่มไมค่ รบถ้วน งานกลมุ่ ไม่
โดยมสี มาชกิ ในกลุม่ ครบถว้ นโดย
ตามกาหนดสง่ และ ถูกตอ้ ง70% ถูกตอ้ ง60% บางคน ไม่ใหค้ วาม สมาชิกท้ังกลุ่ม
รว่ มมือ ไม่ใหค้ วามรว่ มมือ
ถกู ต้อง ตรงตามกาหนสง่ ตรงตามกาหนดสง่
การนาเสนอผลงาน ผนู้ าเสนอไม่
การทางานรว่ มกนั งานกลุ่มครบถ้วน งานกลุม่ ครบถว้ น งานกลุ่มไม่ครบถ้วน ไม่ถกู ตอ้ งผนู้ าเสนอ สามารถนาเสนอ
ได้ไม่ดี ผลงานได้
เปน็ กลมุ่ เรียบรอ้ ย ภายใต้ แต่ไมเ่ รียบรอ้ ย ภายใต้ความรว่ มมอื
ทาแบบทดสอบ ทาแบบทดสอบ
ความร่วมมือของ ภายใตค้ วามรว่ มมอื ของสมาชกิ ในกลุ่ม ถูกต้อง 50-59% ถกู ต้องตา่ กวา่
50%
สมาชิกในกลุม่ ของสมาชิกในกลมุ่ ทุกคน
ทุกคน ทุกคน
การนาเสนอผลงาน การนาเสนอผลงาน การนาเสนอผลงาน การนาเสนอผลงาน
ถูกตอ้ งชดั เจนผู้ ถกู ตอ้ งชดั เจนผู้ ถูกตอ้ งไม่ชดั เจน
นาเสนอ ไดด้ ี พดู ชัด นาเสนอ ไดไ้ มค่ อ่ ยดี ผู้นาเสนอ ได้ไมค่ ่อย
ถอ้ ยชัดคา ดี
การทาแบบทดสอบ ทาแบบทดสอบ ทาแบบทดสอบ ทาแบบทดสอบ
ถูกตอ้ ง 80% ถูกต้อง 70-79% ถูกตอ้ ง 60-69%
ข้นึ ไป
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ แบบทดสอบ รายวิชา ฟสิ ิกส์ 6
วทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง (ว30206)
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 สเปกตรมั ของคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1
คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้
1. คล่นื แม่เหล็กไฟฟ้าชนดิ ใดตอ่ ไปนีท้ มี่ คี วามยาวคลื่นส้ันท่ีสดุ
ก. อนิ ฟาเรด ข. ไมโครเวฟ
ค. คลื่นวทิ ยุ ง. อลั ตราไวโอเลต
2. คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้าในข้อใดทม่ี ีพลงั งานมากท่ีสุด
ก. แสง ข. รงั สีเอ็กซ์
ค. ไมโครเวฟ ง. อัลตราไวโอเลต
3. ข้อใดเรียงลาดบั จากความยาวคล่นื น้อยไปหาความยาวคลนื่ มากได้ถกู ต้อง
ก. อนิ ฟราเรด , แสง , แกมมา ข. รงั สีเอก็ ซ์ , อนิ ฟราเรด , แสง
ค. ไมโครเวฟ , แสง , อินฟราเรด ง. รงั สเี อก็ ซ์ , อัลตราไวโอเลต , อินฟราเรด
4. ขอ้ ใด ไม่ใช่ คุณสมบัติของรังสีเอ็กซ์
ก. ทาใหแ้ กส๊ แตกตวั เปน็ ออิ อน ข. เปน็ คลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ความถ่ีสูง
ค. มอี านาจในการผา่ นทะลทุ ะลวงสงู ง. เบ่ียงเบนในสนามไฟฟา้ และสนามแมเ่ หล็ก
5. ข้อใดถูกต้องเกีย่ วกับคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าชว่ งคลืน่ ตา่ งๆ ในสเปกตรัม
1. มแี หล่งกาเนดิ และการตรวจจับทตี่ ่างกัน 2. เคล่ือนท่ีในสุญญากาศด้วยความเร็วแสง
3. มีการสง่ ผ่านพลงั งานไปพรอ้ มกบั คลนื่
ก. ขอ้ 1 เทา่ น้นั ข. ข้อ 1 และ 2
ค. ขอ้ 2 และ 3 ง. ข้อ 1 , 2 และ 3
6. คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ต่อไปน้ี คลื่นใดมีความถต่ี ่าท่ีสดุ
ก. คล่ืนวทิ ยุ ข. คล่ืนแสง
ค. รงั สอี นิ ฟราเรด ง. รังสอี ัลตราไวโอเลต
7. รังสีชนิดใดมพี ลังงานมากท่สี ุด
ก. รงั สีเอ็กซ์ ข. รงั สีแกมมา
ค. รังสอี ินฟราเรด ง. รงั สอี ัลตราไวโอเลต
8. รังสีทีแ่ ตกตา่ งไปจากรงั สอี ่นื คือขอ้ ใด
ก. รงั สบี ีตา ข. รังสีเอก็ ซ์
ค. รงั สีอนิ ฟราเรด ง. รังสอี ัลตราไวโอเลต
9. ความถีค่ ลนื่ วิทยอุ ยู่ในช่วงใด
ก. สูงกว่ารังสอี ินฟราเรด ข. ต่ากวา่ รงั สีอนิ ฟราเรด
ค. สงู กวา่ รังสีอลั ตราไวโอเลต ง. อยู่ในชว่ งเดยี วกบั รังสีแกมมา
10. ขอ้ ใดเป็นการเรียงลาดับคล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ จากความยาวคลื่นนอ้ ยไปมากทถ่ี ูกตอ้ ง
ก. รังสีเอกซ์ อนิ ฟราเรด ไมโครเวฟ ข. อินฟราเรด ไมโครเวฟ รังสเี อกซ์
ค. รงั สีเอกซ์ ไมโครเวฟ อินฟราเรด ง. ไมโครเวฟ อนิ ฟราเรด รงั สเี อกซ์
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 3
กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหสั วิชา ว 30205 รายวชิ า ฟิสกิ ส์ 5
ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565
ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 1 เรื่อง แมเ่ หลก็ และไฟฟา้
ชอ่ื แผน แรงแม่เหล็ก (ลวดตวั นา) เวลา 3 ช่ัวโมง ผสู้ อน นางดวงดาว บดีรัฐ
โรงเรยี นวัชรวิทยา อาเภอเมือง จงั หวัดกาแพงเพชร
************************************************************************************
1. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
1. แรงแม่เหลก็
แรงกระทาตอ่ ลวดตัวนาทม่ี กี ระแสไฟฟ้าเม่อื วางอยู่ในบรเิ วณท่ีมีสนามแม่เหลก็ นอกจากแรงจาก
สนามแมเ่ หล็กจะกระทากบออนาภ าทท่มม่รระจทภ เ่ม ทล่มอนท่มับผ่่านสนามแม่เหลก็ แลว เมอม่ ม่กระแสไฟฟา้ ไหล่า่ น
ลวผัวบ นา ัผบ ่า่ นอริเวณท่มมส่ นามแม่เหลก็ ก็จะเกิผแรงทก่ม ระทากบอลวผับวนา เนมอ่ งจากกระแสไฟฟ้าใน
ลวผัวบ นาเกผิ จากการเทล่อม นท่มของอเิ ลก็ ัรอนอสิ ระผวยทวามเรว็ ลอยเล่อม น ผบงนนบ้ เมม่อมก่ ระแสไฟฟา้ ไหล่่าน
ลวผัวบ นาท่มวางับ้งฉากกอบ สนามแม่เหล็กจะเกผิ แรงกระทาั่ออเิ ล็กัรอนอิสระเหลา่ นเ้่ นมอ่ งจากอิเลก็ ัรอน
อิสระอยู่าายในลวผับวนา ผงบ น้นบ แรงทม่เกผิ ขนึ้ จึงทาใหลวผัวบ นาเทลมอ่ นทใม่ นทิศของแรงน้บนซงึม สามารถหา
ทศิ ทางของแรงไผจากฎม่อขวา
1. วางม่อขวาใหทิศทางของสนามแมเ่ หล็กทมิมผานหลงบ มอ่ กอ่ น
2. สนม่ วิ้ ช้ั่ ามทศิ ทางการไหลของกระแสไฟฟา้ (ัรงขามกบอทิศทางการเทลม่อนท่มของอเิ ล็กัรอน)
3. นว้ิ โรง้ ช้แ่ สผงทิศทางของแรงท่มกระทากบอลวผับวนา
ขนาผของแรงท่มกระทากอบ ลวผับวนาสามารถหาไผจากสมการ
โผยทม่ F ทอ่ ขนาผของแรง ม่หน่วยเร็น นิวับน (N)
L ท่อ ทวามยาวของลวผับวนาทมม่ ก่ ระแส่่าน มห่ น่วยเรน็ เมัร (m)
i ทอ่ ขนาผของกระแสไฟฟา้ มห่ น่วยเรน็ แอมแรร์ (A)
B ทอ่ ขนาผของสนามแมเ่ หลก็ มห่ น่วยเรน็ เทสลา (T)
2. มาตรฐาน
สาระฟิสิกส์
3. เขาใจแรงไฟฟา้ และกฎขอทลู อมอ์ สนามไฟฟา้ ศกบ ย์ไฟฟา้ และกฎของโอห์ม วงจรไฟฟา้
กระแสัรง พลงบ งานไฟฟ้า และกาลบงไฟฟ้า การเรล่มยนพลงบ งานทผแทนเรน็ พลบงงานไฟฟ้า
สนามแมเ่ หล็ก แรงแม่เหล็กทก่ม ระทากอบ รระจภไฟฟา้ และกระแสไฟฟ้า การเหนม่ยวนา
แม่เหล็กไฟฟ้า และกฎของฟาราเผย์ ไฟฟ้ากระแสสลอบ ทล่มนแม่เหล็กไฟฟ้าและการสมอ่ สาร
รวมทบง้ การนาทวามรไู รใชรระโยชน์
3. ตวั ชวี้ ัด/ผลการเรยี นรู้
ผลการเรยี นรู้
อธอิ าย และทานวณแรงแมเ่ หลก็ ทกม่ ระทาัอ่ อนภาาททมม่ ร่ ระจภไฟฟ้าเทล่มอนท่มใน
สนามแมเ่ หล็กแรงแมเ่ หล็กท่มกระทาั่อเสนลวผทม่มก่ ระแสไฟฟา้ ่่านและวางในสนามแม่เหลก็ รบศม่ทวามโทง
ของการเทล่มอนทม่เม่มอรระจภเทลม่อนทมั่ บ้งฉากกบอสนามแม่เหล็ก รวมทบง้ อธิอายแรงระหวา่ งเสนลวผับวนาทขู่ นานทม่
ม่กระแสไฟฟ้า่า่ น
4. สาระการเรยี นรู้
- สาระการเร่ยนรแู กนกลาง
แรงแม่เหล็ก 1. แรงแม่เหล็กกระทาั่ออนาภ าททม่มร่ ระจภไฟฟ้า
2. แรงแม่เหล็กกระทาั่อลวผับวนาทม่มก่ ระแสไฟฟา้ ่า่ น
3. แรงระหว่างลวผัวบ นาท่มม ่กระแสไฟฟา้
5. สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น
1. ทวามสามารถในการส่อม สาร
2. ทวามสามารถในการทิผ
3. ทวามสามารถในการแกรัญหา
จผภ เนนการพบฒนาทณภ าาพู่เร่ยนผานสมรรถนะ
1. การใชเททโนโลยเ่ พ่อม การเรย่ นรู
2. ทกบ ษะการส่อม สารอย่างสรางสรรท์ัามชว่ งวบย
3. ทกบ ษะการทิผชบ้นสงู
6. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
1. รกบ ชาัิ ศาสน์ กษับ ริย์
2. ซมอ่ สับ ย์สจภ ริั
3. ม่วินบย
4.ใฝเ่ ร่ยนรู
5. อยู่อย่างพอเพ่ยง
6. ม่งภ มบมนในการทางาน
7. รกบ ทวามเรน็ ไทย
8. ม่จัิ สาธารณะ
จผภ เนนการพบฒนาทณภ าาพู่เร่ยนผานทภณลกบ ษณะ
1. ทณภ ลกบ ษณะมง่ภ มนบม ในการทางาน
2. ทณภ ลกบ ษณะใฝ่เร่ยนรู
7. คุณลักษณะ 5 ประการโรงเรียนสุจรติ
1. กระอวนการทผิ
2. มว่ ินบย
3.ซม่อสบัย์สจภ รัิ
4. อยู่อย่างพอเพ่ยง
5. มจ่ ัิ สาธารณะ
8. ชนิ้ งาน/ภาระงาน
1. ทาแออฝกึ หบผพฒบ นาทบกษะการทผิ ในแออเรย่ น เรมอ่ ง สนามแมเ่ หลก็ ในแออเร่ยน
แออฝึกหผบ 15.2 (หนา 51-52) แออฝึกหบผทายอท ทาถาม ขอ 3-10 (หนา 108-109)
รญั หาขอท่ม 1-9 (หนา 110-111) รญั หาทาทายขอท่ม 20-29 (หนา 115-119)
2. ทาแออทผสออเก็อทะแนนแ่นการจผบ การเร่ยนรูทม่ 2 เรม่อง แรงแมเ่ หลก็
9 .การวดั และประเมินผล
9.1 การรระเมนิ ระหว่างจบผกจิ กรรมการเร่ยนรู
ช้ินงาน/าาระงาน วธิ ก่ ารรระเมิน เทร่มองม่อ เกณฑก์ ารรระเมนิ
ทาแออฝึกหบผพบฒนาทบกษะ ัรวจแออฝกึ หบผพบฒนา แออฝึกหผบ พฒบ นา ัามเกณฑ์
ทบกษะการทผิ ใน การรระเมิน่ล
การทผิ ในแออเร่ยน เร่มอง ทบกษะการทิผในแออเรย่ น แออเร่ยน เรมอ่ ง
แรงแมเ่ หลก็ แออฝึกหผบ
แรงแมเ่ หลก็ เรม่องแรงแม่เหล็ก
9.2 การรระเมินเมอม่ สิน้ สผภ การเรย่ นรู
ชน้ิ งาน/าาระงาน วิธ่การรระเมิน เทรม่องมอ่ เกณฑ์การรระเมนิ
สออเกอ็ ทะแนน ทาแออทผสออ แออทผสออเก็อ ัามเกณฑ์
ทะแนน การรระเมนิ ่ล
เก็อทะแนน การทาแออทผสออ
จานวน 10 ขอ
จานวน 10 ขอ
าาระงาน/ช้นิ งาน เกณฑก์ ารประเมิน (Rubrics) พอใช รรอบ รรภง
แออฝกึ หบผ ผ่มาก ผ่
ทาแออฝกึ หผบ ทาแออฝกึ หผบ
ทาแออฝึกหบผถกู ัอง ทาแออฝกึ หบผ ถูกัอง 50 -60% ถูกัอง ัมากว่า
80% ข้นึ ไร ถูกัอง 60-80%
50%
เกณฑ์การประเมินผลการทาแบบทดสอบก่อนเรียน / แบบทดสอบเก็บคะแนน ใชเ้ กณฑ์ดังน้ี
รอยละ 80 ข้ึนไร หมายถงึ ผ่มาก
รอยละ 70-79 หมายถงึ ผ่
รอยละ 60-69 หมายถงึ รานกลาง
รอยละ 50-59 หมายถึง ่า่ น
ัมากว่ารอยละ 50 หมายถงึ รรอบ รรงภ
่รู ระเมิน
1. ทรู่ ูสอนรระเมนิ นบกเรย่ น 2. นบกเร่ยนรระเมินนบกเรย่ น
10. กิจกรรมการเรยี นรู้ ใช้การเรียนการสอน แบบ 5E
1. ข้บนสรางทวามสนใจ
1. นบกเร่ยนยกัวบ อย่างสถานการณแ์ ท่งแมเ่ หลก็ ผูผสารแม่เหลก็ ทพ่ม อในช่วัิ รระจาวบน
2. ใหนกบ เรย่ นร่วมกนบ ับง้ ทาถามเก่ยม วกบอสงมิ ทม่ัองการรู จากเนอ่้ หาทม่เกย่ม วกบอแรงแมเ่ หล็ก
2. ข้บนสารวจและทนหา
1. แอ่งนกบ เร่ยนเร็นกล่ภม ๆ 6 -7 ทน (รระกออผวย นบกเรย่ น เกง่ กลาง อ่อน จาก่ลการวิเทราะห์
ู่เร่ยน)
2. ทรูนานบกเรย่ นอาิรรายถงึ สถานการณแ์ ทง่ แม่เหลก็ ผผู สารแม่เหล็กท่มพอในช่วัิ รระจาวนบ ของ
นกบ เร่ยนแลวใหนบกเรย่ นยกับวอยา่ งัามทวามเขาใจของนกบ เรย่ น โผยใหนบกเรย่ นแสผงเหัภ่ลรระกออผวย
3. ทรใู หนบกเรย่ นแั่ละกล่ภมการวางแ่นการสอ่ ทน/การศึกษาเรม่อง แรงแม่เหลก็
4. นกบ เรย่ นแั่ละกลภม่ ร่วมกบนสอ่ ทนและศึกษา แรงแม่เหลก็ จากทลิรวผ่ โิ อ “การเทล่อม นทข่ม อง
อิเลทัรอนในหลอผรงบ สแ่ ทโทผ” ทวามยาว 15 นาท่
5. นกบ เรย่ นแัล่ ะกล่มภ อาริ รายรว่ มกนบ ถงึ การเทล่มอนทขม่ องอิเลทัรอนในหลอผรบงสแ่ ทโทผ
3. ขน้บ อธอิ ายและลงขอสรภร
1. นบกเรย่ นแั่ละกล่ภมนาเสนอ่ลการส่อทนและ่ลการศกึ ษา เรม่อง แรงแม่เหลก็ จากการศึกษาการ
เทล่มอนทขม่ องอิเลทัรอนในหลอผรบงสแ่ ทโทผ
2. นกบ เรย่ นแัล่ ะกลภม่ ไผ่ลการส่อทนและศึกษา เหมอ่ นกบนหรอ่ ั่างกนบ อยา่ งไร
3. ทรูั้งบ ทาถามผงบ น้่
- อิเลทัรอนในหลอผรงบ ส่แทโทผม่ลกบ ษณะการเทลอม่ นท่มอย่างไร
- เมม่อนาแทง่ แม่เหล็กไรใกลหลอผรงบ ส่แทโทผอเิ ลทัรอนมล่ กบ ษณะการเทลอม่ นท่มอยา่ งไร
- การเทล่อม นทขม่ องอเิ ลทัรอนใน 2 สถานการณ์เหม่อนหรอ่ แักัา่ งกนบ อย่างไร
4. นกบ เรย่ นทบง้ หมผรว่ มกนบ สรภร่ลจากการศกึ ษาและอาิรราย เรม่อง แรงแมเ่ หลก็ กระทาัอ่
การเทลอ่ม นทม่ของอเิ ลทัรอนในหลอผรบงส่แทโทผ
5. ทรอู ธิอายสมการท่ใม ชทานวณหารรมิ าณแรงสนามแม่เหลก็ กระทากบอรระจไภ ฟฟา้ เทล่อม นท่มใน
อรเิ วณทมม่ ส่ นามแม่เหล็กและรรมิ าณท่มเกมย่ วของพรอมอธอิ ายการหาทศิ ของแรงโผยใชกฎม่อขวา
6. นบกเรย่ นแั่ละกลภ่มศกึ ษาแรงแม่เหลก็ กระทาัอ่ ลวผัวบ นา 1 เสนทมม่ ่กระแสไฟฟ้า และ
แรงแมเ่ หล็กกระทาั่อลวผัวบ นา 2 เสนทมม่ ก่ ระแสไฟฟา้
7. ทรัู บง้ ทาถามผบงน่้
- แรงแมเ่ หล็กทกม่ ระทาั่อลวผับวนา 1 เสน ทมม่ ่กระแสไหลม่ลกบ ษณะอยา่ งไร
- แรงแม่เหล็กทม่กระทาั่อลวผับวนา 2 เสน ท่มมก่ ระแสไหลม่ลบกษณะอยา่ งไร
- ทศิ ของแรงแม่เหลก็ ทกม่ ระทาั่อลวผับวนา 1 เสนและ 2 เสนม่ลบกษณะอย่างไร
8. นกบ เรย่ นท้งบ หมผรว่ มกนบ สรภร่ลจากการศกึ ษาและอาิรราย เร่อม ง แรงแม่เหล็กกระทาัอ่ ลวผ
ับวนาท่มมก่ ระแสไฟฟา้
9. ทรอู ธิอายสมการทม่ใชทานวณหาขนาผของแรงสนามแมเ่ หลก็ กระทากอบ ลวผัวบ นาท่มม ่
กระแสไฟฟา้ และรรมิ าณท่เม กย่ม วของพรอมอธิอายการหาทิศของแรงโผยใชกฎมอ่ ขวา
4. ขน้บ ขยายทวามรู
1. ใหนบกเรย่ นร่วมกนบ อาิรรายแนวทผิ ทม่ไผจากการศึกษาเร่อม ง แรงแม่เหลก็
2. นบกเรย่ นแั่ละกล่ภมนาเสนอ่ลงานการทิผทานวณโจทยร์ ญั หาท่มไผรบอมออหมาย
5. ขบ้นรระเมนิ ่ล
1. ทาแออฝกึ หผบ พบฒนาทกบ ษะการทผิ ในแออเรย่ น เรม่อง สนามแมเ่ หลก็ ในแออเร่ยนแออฝึกหบผ
15.2 (หนา 51-52) แออฝกึ หผบ ทายอท ทาถาม ขอ 3-10 (หนา 108-109) รัญหาขอท่ม 1-9
(หนา 110-111) รญั หาทาทายขอท่ม 20-29 (หนา 115-119)
2. นกบ เรย่ นทาแออทผสออเก็อทะแนนแ่นการจบผการเร่ยนรทู ่ม 2 เรอ่ม ง แรงแม่เหล็ก
10. ส่ือการเรยี นรู/้ แหลง่ เรียนรู้
ส่มอการเรย่ นรู
1. หนบงส่อเร่ยนรายวชิ าเพมิม เัมิ ฟิสกิ ส์ เล่ม 5 กล่มภ สาระการเร่ยนรูวทิ ยาศาสัร์ ของ สสวท.
2. PPT หนว่ ยการเร่ยนรทู ่ม 1 เร่อม ง แมเ่ หล็กและไฟฟา้
3. ทาแออฝึกหผบ พบฒนาทบกษะการทิผในแออเรย่ น เรอม่ ง สนามแม่เหล็ก ในแออเรย่ นแออฝกึ หผบ
15.2 (หนา 51-52) แออฝึกหผบ ทายอท ทาถาม ขอ 3-10 (หนา 108-109) รัญหาขอทม่ 1-9
(หนา 110-111) รัญหาทาทายขอท่ม 20-29 (หนา 115-119)
4. นบกเรย่ นทาแออทผสออเกอ็ ทะแนนแ่นการจผบ การเรย่ นรูท่ม 2 เร่มอง แรงแมเ่ หลก็
แหลง่ เรย่ นรู
1. หองสมผภ โรงเร่ยน
2. หองส่อทน Resource Center
11. กจิ กรรมเสนอแนะ
แนะนาใหนบกเรย่ นทนทวาหาทวามรูเพมิม เัมิ เร่มอง
จาก http://www.school.net.th/education/physics-resources.php3 และ
http://SCIENCE.HOWSTAFFWORKS.com
ขอเสนอแนะของหบวหนากลภ่มสาระการเร่ยนรู
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
ลงช่อม ........................................................
(นางเกศนิ ่ พงษพ์ นบ ธ)ภ์
ัาแหน่ง หวบ หนากลม่ภ สาระการเรย่ นรวู ิทยาศาสัร์
วบนทม่..........เผ่อน..........................พ.ศ............
ขอเสนอแนะของรอง่อู านวยการกล่มภ อริหารงานวิชาการ
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………........................................……….
ลงชม่อ...................................................................
(นายสภรศบกผิ์ โพธิอ์ บลลงบ ท์)
ัาแหน่ง รอง่อู านวยการกล่มภ อรหิ ารงานวชิ าการ
วนบ ท่ม..........เผ่อน..........................พ.ศ............
ขอเสนอแนะของู่อานวยการโรงเรย่ น
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
ลงชอม่ .......................................................
(นายพบฒนา ทรงรระผิษฐ)
ัาแหน่ง ู่อานวยการโรงเรย่ นวบชรวทิ ยา
วนบ ทม่..........เผอ่ น..........................พ.ศ............
บนั ทึกผลหลังการสอนแผนการสอนที่ 3
ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 6 วิชา ฟิสกิ ส์ 5 รหัสวชิ า ว30205
ทรูู่สอน นางผวงผาว อผ่รฐบ
1. ผลการสอน
1.1 สรปุ ผลการสอน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.2 หาความกา้ วหนา้ ในการเรียนการสอน
จานวนนบกเรย่ น ทะแนนเัม็ ทะแนนเฉลยม่ ทะแนนเฉลม่ย ทวามกาวหนา
ก่อนเร่ยน หลงบ เรย่ น ในการเรย่ น
รอยละทวามกาวหนา = ทะแนนหลบงเรย่ น – ทะแนนก่อนเร่ยน x 100
ทะแนนเั็ม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปัญหา / อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ข้อเสนอแนะ / แนวทางแกไ้ ข
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………................……………………………………………………………….………………………………………………………
ลงช่อม ………………………………ทรู่สู อน
(นางผวงผาว อผ่รฐบ )
ัาแหนง่ ทรู ทศ. 3
วนบ ทม่…..เผอ่ น……………..……..พ.ศ...........
เกณฑก์ ารให้คะแนนการประเมินตามสภาพจริง
ระดบั คะแนน 5 4 3 2 1
การทาแบบฝกึ หัด ทางานท่มไผรบอ ทางานทไม่ ผรอบ ทางานทมไ่ ผรบอ ทางานทไม่ ผรอบ มออหมาย ไมส่ ามารทางานท่ม
มออหมายผวยันเอง มออหมายผวยันเองไม่ ผวยันเอง ไมท่ รอถวน ไผรอบ มออหมายผวย
และแบบฝึกคานวณ มออหมายผวยันเอง ทรอถวนถูกัอง70% ทรอถวนถกู ัอง60% ถูกัอง 50% /ัรงัาม ันเอง และไมส่ ง่
ัรงัามกาหนส่ง ัรงัามกาหนผสง่ กาหนผสง่ ัามกาหนผส่ง
ทรอถวนัรงัาม
งานกลม่ภ ทรอถวนแั่ งานกลมภ่ ไมท่ รอถวน งานกลภ่มไม่ทรอถวน โผยม่ งานกลม่ภ ไม่ทรอถวน
กาหนผส่งและถูกัอง ไมเ่ รย่ อรอย าายใั าายใัทวามร่วมมอ่ ของ สมาชิกในกล่ภมอางทน โผยสมาชิกทบง้ กล่ภม
ทวามร่วมม่อของ สมาชิกในกล่ภมทกภ ทน ไมใ่ หทวามรว่ มมอ่ ไม่ใหทวามรว่ มม่อ
การทางานร่วมกัน งานกล่ภมทรอถวน สมาชิกในกลภ่มทกภ ทน
เปน็ กลมุ่ เร่ยอรอย าายใั
ทวามรว่ มม่อของ
สมาชิกในกลภ่มทกภ ทน
ระดบั คะแนน 5 4 3 2 1
การอภปิ ราย ก า ร อ าิ ร ร า ย ่ ล การอาิรราย่ล การอาิรราย่ลถูกัอง การอาิรราย่ลไม่ถูกัอง ู่ อ าิ ร ร า ย ไ ม่
ถู ก ั อ ง ชบ ผ เจ น ู่ ถกู ัองชบผเจน แั่ไม่ชบผเจน ู่ อ าิ ร ร า ย น า เส น อ ก า ร สามารถเสนอการ
อาิรรายนาเสนอ การ ่อู าริ รายนาเสนอ ู่ อ าิ ร ร า ย น า เส น อ ่ ล อธอิ ายไผไม่ผ่ อาิรราย่ลไผ
อาิรรายไผผ่ พูผชบผ การอาิรรายไผไมท่ อ่ ย การอาริ รายไผไมท่ ่อยผ่
ถอยชบผทา ผ่
แผนบรู ณาการสาระท้องถิน่ /เศรษฐกจิ พอเพียง/อาเซยี น/ทักษะชวี ิต/โรงเรยี นสจุ รติ /พระบรมราโชบาย ร.10/5STEPs
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 4
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว30206 รายวิชา ฟสิ กิ ส์ 6
ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 6 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2564
ชื่อหน่วยการเรียนร้ทู ี่ 1 เร่ือง คล่นื แม่เหล็กไฟฟ้า
ช่ือแผน การประยุกตใ์ ชค้ ลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เวลา 6 ชว่ั โมง ผู้สอน นางดวงดาว บดรี ฐั
โรงเรยี นวชั รวทิ ยา อาเภอเมอื ง จังหวัดกาแพงเพชร
************************************************************************************
1. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
นวัตกรรมการนาคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ มาใชง้ าน เชน่ ระบบสอ่ื สารและระบบเรดาร์ หากวา่ ทงั้ สองตวั อยา่ งก็
เปน็ เพียงจานวนเล็กนอ้ ยเมือ่ เทียบกับการประยกุ ต์ใช้คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าทเ่ี กิดขึ้นอยา่ งหลากหลายมากมาย ทกุ
วันนี้ ความต้องการของภาคธุรกิจเป็นตัวขบั เคลอื่ นความเป็นไปด้านเทคโนโลยี เราไดเ้ ห็นการนาเสนอ
ระบบสอ่ื สารส่วนบคุ คล ระบบสอ่ื สารดงั กลา่ วเช่อื มโยงกบั ระบบดาวเทียม โทรศัพท์ และระบบส่อื สารขอ้ มลู
เพอื่ รองรับเนอื้ หาขณะมีการส่อื สาร ไดเ้ หน็ วา่ สญั ญาณโทรทัศน์สามารถแพร่ภาพออกไปทว่ั โลกด้วยสญั ญาณ
ไมโครเวฟผา่ นดาวเทยี ม เครอ่ื งบินขึน้ ลงได้ด้วยการช่วยเหลือของระบบเรดาร์และระบบนารอ่ ง สญั ญาณ
โทรศพั ทแ์ ละสัญญาณขอ้ มูลตอ้ งสง่ ผ่านสวิตซไ์ มโครเวฟ กองทัพใชค้ ลน่ื ไมโครเวฟในการชว่ ยเหลือ นาทาง และ
สอ่ื สารควบคุม สาหรบั เรอื รถถังและเครอื่ งบิน และเราสามารถเขา้ ถงึ บริการโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทแ่ี บบเซลลลู าร์
ได้ในทกุ ท่ี สรปุ แลว้ คล่นื วิทยแุ ละคลน่ื ไมโครเวฟนั้น เป็นส่วนประกอบสาคัญสาหรับการสื่อสาร ซ่ึงเป็นปจั จยั
ของการดารงชวี ติ ในปัจจบุ นั เทคโนโลยีคลนื่ วิทยแุ ละไมโครเวฟน้นั ประยุกต์ใชไ้ ดใ้ นหลากหลายกิจการ ท้ังใน
กจิ การทหาร ภาคธุรกิจ การประยกุ ต์นัน้ รวมไปถึงการคน้ ควา้ ในสาขาวิชาการสื่อสาร เรดาร์ การนาร่อง การ
ควบคุมระยะไกล การระบตุ ัวตนด้วยคลื่นวิทยุ การแพร่ภาพ รถยนต์ และการควบคุมการจราจรบนทางหลวง
การตรวจจบั การคน้ หาผปู้ ระสบพิบัติภยั การแพทย์ และดาราศาสตร์ ดังนัน้ อาจสามารถสรปุ กลมุ่ ของการใช้
งานคลืน่ ไมโครเวฟได้หลากหลายประเภท ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. ระบบการส่ือสารแบบไร้สาย ใช้งานด้าน กจิ การอวกาศ การสอื่ สารระยะไกล โทรศัพทไ์ รส้ าย
โทรศพั ท์เคลอ่ื นทร่ี ะบบเซลลลู าร์ ระบบการสือ่ สารสว่ นบุคคล ขา่ ยงานสอื่ สารขอ้ มูลท้องถิ่น การสอื่ สารกบั
อากาศยาน กิจการทหารเรอื การตดิ ตอ่ ยานพาหนะ กจิ การดาวเทียม เป็นต้น
2. ระบบเรดาร์ ซึ่งเร่ิมมีบทบาทอย่างมากต้งั แต่สงครามโลกครง้ั ทีห่ นง่ึ เพ่ือตรวจจบั อากาศยานที่บุกรุก
เขา้ มา หลังจากผ่านพ้นสงครามโลกคร้ังท่ีสองเรดารก์ ็พัฒนาขีดความสามารถให้สูงขึ้นสามารถใชไ้ ด้ใน
หลากหลายการประยกุ ตใ์ ช้งานเชน่ การเดินเรอื การทหารเรือ การตดิ ตอ่ กับยานพาหนะ การตรวจและ
พยากรณ์อากาศ การควบคุมการจราจร การตารวจ อาวุธนาวิถี การชว่ ยเหลือผู้ประสบภัย เป็นตน้
เรดาร์ (RADAR ย่อมาจาก Radio Detection And Ranging)
1. เรดาร์เปน็ การส่งคลนื่ ไมโครเวฟออกไปเปน็ ชว่ ง ๆ แล้วรบั สญั ญาณท่ีสะทอ้ นกลบั มาเขา้ สู่
เครอ่ื งรับปรากฏให้เห็นบนจอภาพ ซ่ึงจะบอกชนิดและระยะหา่ งของวัตถุทส่ี ะทอ้ นได้
2. สายอากาศของเรดาร์ มีลกั ษณะเปน็ จานโค้งรปู พาราโบรา หมนุ ได้รอบแกน ทาหน้าท่ีสง่
และรับคลื่นไมโครเวฟ เหตุทีน่ ิยมใช้คล่นื ไมโครเวฟในระบบเรดาร์เพราะคลื่นไมโครเวฟมีความถ่สี งู สามารถ
ทะลุบรรยากาศและสะทอ้ นทผี่ วิ วตั ถุทึบไดด้ ี
3. จอรับคล่ืนภาพ ลกั ษณะเปน็ วงกลมมเี สน้ บอกระยะทางเปน็ วงรอบศูนย์กลาง และมี
ทศิ ทางกากับภาพท่ปี รากฏบนจอโดยจะบอกตาแหน่งระยะหา่ ง และทิศทางของวัตถุจากจานสายอากาศด้วย
ประโยชนข์ องเรดาร์
4.1 ใชใ้ นการคมนาคม ควบคมุ การจราจรทางอากาศ สนามบนิ การเดินเรือ นาทางเรือเมอื่
หมอกลงจดั
4.2 ใช้ในกรมอตุ นุ ิยมวทิ ยา เชน่ ใช้ตรวจหาตาแหนง่ และทศิ ทางของลมพายุ พยากรณอ์ ากาศ
4.3 ใชใ้ นทางการทหาร ใช้ตรวจหาเครอื่ งบนิ ขา้ ศึกเพอ่ื ออกสกัด หรอื เตอื นภยั ทางอากาศ และ
ตรวจการเคล่อื นไหวของศตั รู
4.4 ด้านประมง เชน่ ใช้ตรวจหาฝงู ปลา
3. เทคโนโลยีนารอ่ ง ระบบไมโครเวฟสาหรับนาอากาศยานลงจอด การบอกพกิ ดั ตาแหนง่ บนโลก
สญั ญาณชว่ ยนาทาง เรดาร์ชว่ ยหาตาแหนง่ สตั วน์ ้า ระบบนาร่องสาหรับชว่ ยขบั อากาศยานแบบอัตโนมตั ิ การ
เดนิ เรอื สมุทร กจิ การกองทพั เรอื เปน็ ต้น
4. ระบบตรวจจับระยะไกล เช่นระบบเฝา้ ระวังสภาวะการเปลยี่ นแปลงของโลก อุตนุ ิยมวทิ ยา การเฝา้
ระวังมลพิษ การปกปกั ษ์รักษาปา่ การตรวจเกบ็ สภาวะความชืน้ ของดนิ กจิ การด้านพฤกษศาสตร์ ด้าน
เกษตรกรรม การสารวจแหล่งนา้ และทรัพยากรธรรมชาติ สมุทรศาสตร์ การศกึ ษาลักษณะพ้ืนผวิ โลก
การจราจรทางนา้ และทางอากาศ เป็นต้น
5. ระบบระบตุ ัวตนดว้ ยคลน่ื วิทยุ มกั จะใชใ้ นงานดา้ น การรักษาความปลอดภยั การต่อต้านการจารกรรม
ควบคมุ สงั่ การ ลาเลยี งผลิตภัณฑ์ ควบคุมรายการสินค้า การจัดการทรพั ยส์ นิ
6. ระบบแพร่กระจายขา่ วสาร วทิ ยุท่ีใช้เทคนิคการมอดเู ลตเชงิ ขนาดและเชิงความถี่ โทรทศั น์ ระบบ
กระจายภาพและเสยี งชนิดตรงสู่ทพ่ี ัก
7. กิจการทางหลวงและการขนสง่ ใช้เพ่ือป้องกันอบุ ัตเิ หตุ ใชร้ ะบตุ าแหนง่ ใชต้ รวจจบั ความเรว็ รถยนต์
ควบคมุ และรกั ษาระดับความเร็วรถยนตใ์ ชน้ าทางอัตโนมตั ิ ควบคุมการจราจร
8. ระบบเซนเซอร์ ตรวจจบั ความชน้ื ตรวจจับอุณหภูมิ การตรวจตราการจราจร เซนเซอร์อตุ สาหกรรม
9. การเฝา้ ระวัง และการตอ่ ต้านและการทาสงครามอเิ ล็กทรอนกิ ส์ [2]สงครามอเิ ลก็ ทรอนิกส์ เป็นกรณี
พิเศษ ที่ใช้เทคนิคขนั้ สูงเป็นการเฉพาะสาหรับวัตถปุ ระสงคด์ ้านกจิ การทหาร การเมืองระหว่างประเทศ และ
ทางธรุ กจิ ผา่ นเครอื่ งมือและวิธีการเชน่ ดาวเทยี มจารกรรม การส่งสัญญาณรบกวน การต่อต้านการส่งสญั ญาณ
รบกวน การเคล่ือนยา้ ยทหาร การตรวจจับผู้บุกรกุ
10. การประยุกต์ใชง้ านทางการแพทย์ ซ่ึงเรมิ่ ต้นจากการใชค้ ลื่นไมโครเวฟทาลายเซลมะเร็ง หลงั จากน้ัน
ไมน่ านการประยุกต์ใชทางการแพทย์ เร่ิมมเี พ่มิ ขึ้นหลากหลาย เช่นการเอก็ ซ์เรยช์ ว่ ยใหแ้ พทย์สามารถรักษา
ผู้ป่วยกระดกู หกั ได้สะดวกและตรงจดุ มากยง่ิ ขึน้ การสแกนภาพอวยั วะภายในรา่ งกายผูป้ ่วยด้วยเครื่องสร้าง
ภาพแบบแม็กเนตกิ เรโซแนนซ์ เปน็ ต้น
คล่ืนวิทยุ
สัญญาณคลนื่ วทิ ยุที่ส่งออกจากสถานีสง่ ไปถงึ เครือ่ งรับมี 2 ชนดิ คอื
1. คลน่ื พื้นดนิ หมายถึง คลืน่ วิทยุทีส่ ่งจากสถานีส่งไปถงึ เครื่องรบั วิทยุโดยตรงมที ้งั ระบบ A.M.และ F.M.
2. คลืน่ ฟา้ หมายถึง คลืน่ วิทยุที่สง่ ข้นึ ไปสะทอ้ นในบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟยี ร์ แล้วกลับมายังเครอื่ งรับ
วทิ ยุ ( มีในระบบ A.M. ส่วนระบบ F.M. ไมม่ เี พราะคลื่น F.M. ทะลุผา่ นบรรยากาศชนั้ นไ้ี ด้)
คล่ืนโทรทัศน์
การสง่ โทรทัศนต์ ้องใช้กล้องถ่ายโทรทัศน์ ซง่ึ สามารถเปลี่ยนภาพใหเ้ ป็นสญั ญาณไฟฟา้ ได้ในอตั รา 1
25
วินาที ใช้คลืน่ วิทยุที่มีความถ่ีสงู เช่น สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ใช้ความถใี่ นช่วง 202 ถึง 209
เมกะเฮิรตซ์