คลื่นไมโครเวฟ
1. ใช้ในการสื่อสาร เชน่ ดาวเทยี ม โทรศัพท์มือถอื
2. ใช้ทาเรดาร์
เรดาร์(RADAR ย่อมาจาก Radio Detection And Ranging)
1. เรดาร์เป็นการส่งคลน่ื ไมโครเวฟออกไปเปน็ ช่วง ๆ แล้วรบั สัญญาณทีส่ ะท้อนกลบั มาเข้าสู่เครื่องรับ
ปรากฏให้เห็นบนจอภาพ ซึง่ จะบอกชนดิ และระยะหา่ งของวตั ถุท่ีสะท้อนได้
2. สายอากาศของเรดาร์ มลี ักษณะเปน็ จานโคง้ รปู พาราโบรา หมนุ ได้รอบแกน ทาหน้าท่สี ่งและรบั
คลื่นไมโครเวฟ เหตุทน่ี ิยมใช้คลื่นไมโครเวฟในระบบเรดาร์เพราะคล่นื ไมโครเวฟมคี วามถี่สูงสามารถทะลุ
บรรยากาศและสะท้อนท่ีผวิ วตั ถุทึบได้ดี
3. จอรับคลน่ื ภาพ ลกั ษณะเปน็ วงกลมมเี ส้นบอกระยะทางเปน็ วงรอบศนู ย์กลาง และมีทศิ ทาง
กากับภาพทีป่ รากฏบนจอโดยจะบอกตาแหน่งระยะหา่ ง และทิศทางของวัตถจุ ากจานสายอากาศด้วย
4. ประโยชน์ของเรดาร์
4.1 ใช้ในการคมนาคม ควบคมุ การจราจรทางอากาศ สนามบนิ การเดนิ เรอื นาทางเรอื เม่ือ
หมอกลงจดั
4.2 ใช้ในกรมอุตุนยิ มวทิ ยา เชน่ ใช้ตรวจหาตาแหน่งและทศิ ทางของลมพายุ พยากรณอ์ ากาศ
4.3 ใช้ในทางการทหาร ใช้ตรวจหาเครือ่ งบนิ ขา้ ศึกเพ่ือออกสกดั หรือเตอื นภัยทางอากาศ และ
ตรวจการเคลื่อนไหวของศัตรู
4.4 ด้านประมง เช่น ใช้ตรวจหาฝูงปลา
โดยท่วั ไปเรามักจะพบการนาคล่ืนไมโครเวฟไปใช้ในการสือ่ สาร ปัจจบุ นั การปรงุ อาหารนิยมใช้
เตาไมโครเวฟกนั ท้ังนี้เพราะสะดวกและรวดเรว็ หลักการทางานของเตาไมโครเวฟคอื แหลง่ กาเนดิ คลน่ื
ไมโครเวฟยิงคลนื่ ไมโครเวฟไปยงั พัดลมเพือ่ ให้พดั ลมกระจายคล่นื ไมโครเวฟไปท่ัวเตา เมอ่ื คล่ืนไมโครเวฟ
กระทบกบั อาหารมันจะส่งสนามไฟฟา้ เขา้ ไปในอะตอมของนา้ ที่อยใู่ นอาหารนน้ั ทาให้อะตอมของนา้ ซงึ่ มี
ประจคุ ชู่ นิดตรงกันขา้ ม (dipole) เกดิ การหมนุ อย่างรวดเรว็ ทั่วไปประมาณ 2.4 109 รอบตอ่ วินาที ทาให้
เกิดพลังความรอ้ นขน้ึ อาหารทถ่ี กู ปรงุ โดยไมโครเวฟจะสุกทว่ั หมดและรวดเรว็ เพราะคลืน่ ไมโครเวฟกระจาย
ไปทัว่
รงั สีอนิ ฟราเรด
1. การถ่ายภาพพน้ื โลกจากดาวเทยี ม เพอื่ ศึกษาการแปรสภาพของปา่ ไม้หรือการเคลอ่ื นย้ายของ
ฝูงสัตว์
2. รังสอี นิ ฟราเรดเปน็ ตวั นาคาส่งั จากอุปกรณค์ วบคุมไปยงั เครือ่ งรบั ที่เรยี กวา่ รโี มทคอนโทรล
หรอื การควบคมุ ระยะไกล สาหรบั ควบคุมการทางานของเครอ่ื งรับโทรทศั น์ เชน่ การปดิ การเปิด การ
เปลี่ยนสถานี
3. ใช้ในทางการทหารนาไปใชเ้ กี่ยวกบั การควบคุมการใช้อาวุธนาวถิ ีเคลอ่ื นท่ีไปยงั เป้าหมาย
4. แหลง่ กาเนิดของรังสอี ินฟราเรด ได้จากแหลง่ กาเนดิ ความร้อนทุกชนิด เชน่ ดวงอาทติ ย์
หลอดไฟ
5. ใช้ในวงการแพทย์ เชน่ การฆ่าเชื้อโรค กายภาพบาบัด การตรวจวนิ ิจฉยั โรค
6. ใชใ้ นวงการอุตสาหกรรม เช่น การผลติ รถยนต์ การอบสรี ถ การฆ่าเชอื้ โรคกอ่ นบรรจใุ ส่
ภาชนะ
แสง
1. มีความถ่ปี ระมาณ 10 14 เฮริ ตซ์
2. ประสาทตาของมนษุ ย์ไวต่อคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้าช่วงนม้ี าก
3. วตั ถุทีม่ ีอณุ หภมู ิสงู มาก ๆ จะเปล่งแสงได้ เช่น ไส้หลอดไฟฟา้ ดวงอาทิตย์
4. เครือ่ งกาเนิดเลเซอร์ เป็นแหล่งกาเนดิ แสงอาพันธ์ทใ่ี ห้แสงไดโ้ ดยไมอ่ าศัยความร้อน เช่น
วงการแพทย์ ใชเ้ ลเซอรใ์ นการผ่าตัดนัยนต์ า
รังสอี ตั ราไวโอเลต
ประโยชนข์ องรังสอี ตั ราไวโอเลต
1. ใชท้ าการพสิ ูจนเ์ อกสาร ตรวจสอบลายเซ็น
2. ชว่ ยร่างกายสงั เคราะห์วิตามนิ ดี
3. ใช้ตรวจคุณภาพอาหารวา่ เสียหรอื ไม่
4. ใช้ในการแสดงบนเวที
5. ใช้ตรวจสอบสารเคมี
โทษจากรงั สีอตั ราไวโอเลต
อนั ตรายต่อผิวหนงั และตาคน เมือ่ รบั มาจานวนมาก ๆ อาจเปน็ มะเรง็ ที่ผิวหนังได้
รงั สอี ัตราไวโอเลตท่ีมาจากดวงอาทิตย์ สว่ นใหญจ่ ะถูกสกดั ก้ันไวจ้ ากบรรยากาศช้นั สตราโตสเฟยี ร์ ซึ่งมแี ก๊ส
โอโซนเป็นองค์ประกอบ แตป่ ัจจบุ ันโอโซนในบรรยากาศมจี านวนลดลงมากจึงทาใหร้ งั สอี ัตราไวโอเลตแผ่ลง
มายงั ผวิ โลกมากข้นึ
รงั สีเอกซ์
ประโยชนข์ องรังสีเอกซ์
1. ใชใ้ นวงการแพทย์ ตรวจวินจิ ฉยั โรค ตลอดจนการรักษาโรคมะเรง็
2. ใช้ในวงการอุตสาหกรรม และการกอ่ สรา้ ง เพอ่ื ตรวจสอบรรู ่ัวหรอื รอยร้าวตา่ ง ๆ
3. ใช้ตรวจสอบส่ิงแปลกปลอม หรอื อาวุธในกระเป๋าหรือหบี ห่อต่าง ๆ
4. ใช้ตรวจสอบวัตถโุ บราณวา่ มีอายยุ าวนานเท่าไร
โทษของรงั สีเอกซ์
1. เมอื่ ร่างกายรับเขา้ ไปมาก เซลล์จะตายหรอื เสอ่ื มคณุ ภาพ
2. อาจทาใหเ้ กิดโรคมะเรง็ ได้
3. อาจทาใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงในยีน มีผลตอ่ กรรมพนั ธุ์
รังสแี กมมา
ประโยชน์ของรังสแี กมมา
1. ใช้ในวงการแพทย์ ใชร้ กั ษาโรคมะเร็ง
2. ใช้ในวงการเกษตร ศึกษาโรคพชื ต่างๆ การดูดซมึ แรธ่ าตขุ องรากพืช การสงั เคราะห์ดว้ ย
แสงการเปลย่ี นแปลงพนั ธพุ์ ืช
3. อาบผลไม้ตา่ ง ๆ ตลอดผลิตผลอน่ื ๆ ให้เกบ็ รักษาไว้ได้นาน ๆ
โทษของรังสีแกมมา
1. ทาลายเซลล์รา่ งกาย เนือ้ เย่อื ต่าง ๆ
2. อาจทาให้เกิดมะเรง็ ได้
2. มาตรฐาน
สาระฟิสิกส์
3. เข้าใจแรงไฟฟา้ และกฎขอคลู อมบ์ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟา้ และกฎของโอหม์ วงจรไฟฟา้
กระแสตรง พลงั งานไฟฟ้า และกาลังไฟฟา้ การเปลย่ี นพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟา้
สนามแม่เหล็ก แรงแมเ่ หลก็ ท่ีกระทากบั ประจุไฟฟา้ และกระแสไฟฟ้า การเหนีย่ วนา
แม่เหล็กไฟฟา้ และกฎของฟาราเดย์ ไฟฟา้ กระแสสลับ คล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ และ
การส่อื สาร รวมท้งั การนาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์
3. ตวั ชวี้ ัด/ผลการเรยี นรู้
ผลการเรียนรู้
อธิบายการนาคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้า ในช่วงความถี่ตา่ ง ๆ ไปประยกุ ต์ใชห้ ลัก การทางานของ
อปุ กรณท์ เ่ี กี่ยวขอ้ งในท้องถนิ่ และภูมิภาคอาเซียนตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งและตามพระบรมรา
โชบาย ร.10
4. สาระการเรยี นรู้
- สาระการเรยี นร้แู กนกลาง
1. คลน่ื วิทยุ
2. คลนื่ ไมโครเวฟ
3. แสง
4. รังสีอินฟราเรด
5. รังสีอัลตราไวโอเลต
6. รังสีเอกซ์
7. รงั สแี กมมา
8. การนาคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ในชว่ งความถ่ีต่าง ๆ ไปประยุกต์ใชห้ ลกั การทางานของ
อุปกรณท์ ่ีเกย่ี วขอ้ งในทอ้ งถิ่นและภูมิภาคอาเซียนตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งและตามพระบรมรา
โชบาย ร.10
5. สาระการเรียนรู้ทอ้ งถน่ิ
1. การนาคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ในช่วงความถต่ี ่าง ๆ ไปประยกุ ต์ใชห้ ลัก การทางานของ
อปุ กรณท์ ่เี ก่ยี วข้องในทอ้ งถน่ิ
6. สอดแทรกหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
1. การนาคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า ในช่วงความถต่ี ่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้หลัก การทางานของ
อุปกรณท์ เ่ี กี่ยวข้องในทอ้ งถ่นิ และภูมิภาคอาเซยี นตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งและตามพระบรมรา
โชบาย ร.10
7. สอดแทรกความรู้การเขา้ สปู่ ระชาคมอาเซียน
1. การนาคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ ในชว่ งความถี่ต่าง ๆ ไปประยกุ ตใ์ ชห้ ลัก การทางานของ
อุปกรณ์ที่เกยี่ วขอ้ งในภูมภิ าคอาเซียนตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งและตามพระบรมราโชบาย ร.10
8. พระบรมราโชบาย ร.10
– ดา้ นมงี านทา มอี าชพี และพลเมอื งดี
9. จดุ เนน้ สู่การพฒั นาคณุ ภาพผู้เรยี น ทกั ษะศตวรรษท่ี 21
การคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณ และทักษะในการแกป้ ัญหา (Critical Thinking and Problem
Solving)
ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)
ทกั ษะด้านความรว่ มมอื การทางานเปน็ ทมี และภาวะผูน้ า (Collaboration, Teamwork
and Leadership)
ทกั ษะด้านการสือ่ สารสนเทศ และรเู้ ท่าทนั ส่อื (Communications, Information, and
Media Literacy)
ทักษะด้านชวี ิตและอาชีพ
ความยดื หย่นุ และการปรับตวั
การริเร่ิมสร้างสรรค์และการเป็นตัวของตัวเอง
ทักษะสังคม และสงั คมข้ามวัฒนธรรม
การเปน็ ผู้สรา้ งหรอื ผผู้ ลิต และความรับผดิ ชอบเชอ่ื ถือได้
ภาวะผ้นู าและความรบั ผดิ ชอบ
คุณลกั ษณะสาหรับศตวรรษท่ี 21
คุณลักษณะด้านการทางาน ไดแ้ ก่ การปรับตัว ความเป็นผู้นา
คุณลกั ษณะด้านการเรียนรู้ ได้แก่ การช้นี าตนเอง การตรวจสอบการเรียนรูข้ องตนเอง
คณุ ลกั ษณะดา้ นศีลธรรม ไดแ้ ก่ เคารพผูอ้ ืน่ ความซื่อสตั ย์ สานกึ พลเมอื ง
10. ชิ้นงาน/ภาระงาน
1. ทาแบบฝึกหัดพฒั นาทักษะการคดิ ในแบบเรียน เร่อื ง กมั มนั ตภาพรังสีและพลังงาน
นวิ เคลยี ร์ในชีวติ ประจาวัน ในแบบเรียน ในแบบเรียน คาถาม ขอ้ 6 (หนา้ 49) และปญั หาขอ้ ท่ี 6-7 (หน้า 50)
2. ทารายงานกลุม่ และนาเสนอหนา้ ช้นั เรียน
3. ทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 4 เรอื่ ง การประยุกต์ใช้คล่นื
แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า
11 .การวัดและประเมินผล
11.1 การประเมนิ ระหวา่ งจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
วดั จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ วิธกี ารประเมนิ เคร่อื งมอื เกณฑ์การประเมนิ
ตามเกณฑ์
1. อธบิ ายสมบัติของคลน่ื ตรวจแบบฝึกหัดพฒั นา แบบฝึกหัดพัฒนาทักษะ
การประเมนิ ผล
แมเ่ หล็กไฟฟา้ ทกั ษะการคิด เรอื่ ง สมบัติ การคดิ เรอ่ื ง สมบัติของ แบบฝึกหัด
ของคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ตามเกณฑ์
การประเมินผล
2. อธิบายการนาคลื่น ตรวจแบบฝึกหัดพฒั นา แบบฝกึ หดั พัฒนาทกั ษะ
แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ในชว่ งความถี่ ทกั ษะการคดิ ในแบบเรียน การคดิ ในแบบเรยี น แบบฝึกหดั
ต่าง ๆ ไปประยกุ ต์ใช้หลัก เร่อื ง การประยุกตใ์ ช้คลน่ื เร่อื ง การประยุกต์ใช้
การทางานของอปุ กรณ์ท่ี
เกี่ยวข้องในท้องถ่นิ และ แม่เหลก็ ไฟฟ้า คล่นื แม่เหล็กไฟฟา้
ภมู ภิ าคอาเซียน
3. การเขียนรายงานและ ตรวจรายงานและการ แบบประเมนิ รายงาน ตามเกณฑก์ าร
นาเสนอผลงานการนาคลื่น นาเสนอ เรือ่ ง การใชร้ งั สี และการนาเสนอ เรื่อง ประเมินรายงานและ
แม่เหล็กไฟฟ้า ในช่วง และพลงั งานนวิ เคลยี รใ์ น การใช้รงั สแี ละพลงั งาน การนาเสนอ
ความถี่ตา่ ง ๆ ไปประยุกต์ใช้ ภมู ภิ าคอาเซียน นวิ เคลยี รใ์ นภมู ภิ าค
หลกั การทางานของ อาเซียน
อปุ กรณ์ท่ีเกยี่ วข้องใน
ท้องถิน่ และภูมภิ าคอาเซียน
11.2 การประเมนิ เม่อื ส้นิ สุดการเรียนรู้
ชิ้นงาน/ภาระงาน วิธกี ารประเมนิ เคร่ืองมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
สอบเกบ็ คะแนน ทาแบบทดสอบ แบบทดสอบเกบ็ คะแนน ตามเกณฑ์
การประเมินผล
เกบ็ คะแนนจานวน 10 ขอ้ จานวน 10 ขอ้ การทาแบบทดสอบ
ภาระงาน/ช้นิ งาน เกณฑ์การประเมิน (Rubrics) พอใช้ ปรบั ปรุง
ดมี าก ดี
ทาแบบฝึกหัดถูกตอ้ ง
แบบฝกึ หัด ทาแบบฝึกหัดถกู ตอ้ ง ทาแบบฝึกหดั ทาแบบฝกึ หดั ต่ากว่า 50%
80% ถกู ต้อง 60-80% ถกู ต้อง 50 -60%
แผนภาพหรอื ข้นึ ไป ทางานที่ได้รับ
mind mapping ทางานท่ไี ด้รับ ทางานท่ไี ด้รบั มอบหมายดว้ ย
และการนาเสนอ ทางานที่ไดร้ ับ มอบหมายดว้ ย มอบหมายดว้ ย ตนเองไม่ครบถว้ น
มอบหมายดว้ ย ตนเอง ครบถว้ น ตนเอง ครบถว้ น ถูกตอ้ ง 50% /ตรง
ตนเอง ครบถว้ นตรง ถกู ตอ้ ง80% ตรง ถูกต้อง70% ตรง ตามกาหนดส่ง
ตามกาหนดสง่ และ ตามกาหนสง่ ตามกาหนสง่
ถูกต้อง
เกณฑก์ ารประเมนิ ผลการทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น / แบบทดสอบเกบ็ คะแนน ใชเ้ กณฑ์ดังน้ี
ร้อยละ 80 ขึน้ ไป หมายถึง ดีมาก
ร้อยละ 70-79 หมายถึง ดี
รอ้ ยละ 60-69 หมายถึง ปานกลาง
รอ้ ยละ 50-59 หมายถงึ ผ่าน
ต่ากวา่ รอ้ ยละ 50 หมายถงึ ปรบั ปรุง
ผปู้ ระเมิน
1. ครผู ู้สอนประเมินนักเรียน 2. นักเรยี นประเมินนกั เรยี น
การวัดสมรรถนะและคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงคข์ องผู้เรยี น
สมรรถนะ/ คุณลักษณะอันพึง วิธีการ เครือ่ งมอื เกณฑ์การผา่ น
ประสงคข์ องผ้เู รยี น ระดบั ๒ ผ่านเกณฑ์
ตรวจรายงาน แบบประเมินสมรรถนะ ระดับ ๒ ผ่านเกณฑ์
ความสามารถในการสอื่ สาร
ความสามารถในการคิด ตรวจแบบฝกึ หัดพฒั นา แบบประเมินสมรรถนะ ระดบั ๒ ผา่ นเกณฑ์
คุณลักษณะใฝเ่ รยี นรู้ ทักษะการคิด ระดับ ๒ ผา่ นเกณฑ์
คุณลักษณะมุ่งมัน่ ในการทางาน นักเรียนประเมนิ ตนเอง แบบประเมนิ ตนเอง
ออนไลน์
นักเรียนประเมนิ ตนเอง แบบประเมนิ ตนเอง
ออนไลน์
12. การวิเคราะหค์ วามสอดคลอ้ งหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
12.1 ผู้เรยี นได้เรยี นรูห้ ลักคิด และฝกึ ปฏิบัติ ตาม 3 ห่วง 2 เงื่อน ดงั น้ี
ความรู้ คณุ ธรรม
1. แนวคดิ เศรษฐกิจพอเพียง 1. ความขยัน 2. ใฝ่เรยี นรู้
2. การนาคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า ในช่วงความถีต่ ่าง ๆ ไป 3. ความรบั ผดิ ชอบ 4. ความมุ่งมน่ั ในการทางาน
ประยกุ ต์ใช้หลัก การทางานของอุปกรณ์ที่เกีย่ วข้องใน 5. ความสามัคคีภายในกลมุ่
ทอ้ งถิน่ และภูมิภาคอาเซยี น
พอประมาณ มีเหตุผล มภี มู ิคมุ้ กนั ในตัวทดี่ ี
1. พอประมาณกับงบประมาณ 1. เข้าใจและเห็นความสาคัญในการ 1. นาปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงไป
ในการนาเสนอผลงานหนา้ นาแนวทางปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง ประยกุ ต์ใช้กับการดาเนินชวี ิตของตนเอง
ชัน้ เรียน เช่น การทารายงาน มาใช้ในชีวติ ประจาวันอยา่ งมเี หตุผล อย่างเหมาะสมถกู ต้อง เพอ่ื ให้สามารถ
2. พอประมาณในการดาเนนิ ชีวิต ยนื หยดั ได้อย่างมน่ั คงทา่ มกลางกระแส
การเปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเรว็ ของสงั คม
เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
12.2 ผ้เู รียนได้เรยี นร้กู ารใชช้ วี ิตที่สมดุลและพร้อมรบั การเปลี่ยนแปลงใน 4 มติ ิ ตามหลกั ปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพยี ง ดงั นี้
สมดลุ และพร้อมรับการเปลย่ี นแปลงในด้านตา่ งๆ
ด้าน วัตถุ สังคม ส่งิ แวดล้อม วฒั นธรรม
องค์ประกอบ
ความรู้ -มีความรเู้ กย่ี วกบั การนาคลื่น -รจู้ ักแบง่ หนา้ ท่ี -มีความรู้เก่ยี วกับ -รูแ้ ละเขา้ ใจ
แมเ่ หล็กไฟฟา้ ในชว่ งความถ่ี รับผิดชอบใน การรักษาธรรมชาติ ในวัฒนธรรม
ต่าง ๆ ไปประยกุ ตใ์ ช้หลัก การ การทางาน และสิง่ แวดลอ้ ม ทอ้ งถ่ินที่ตน
ทางานของอปุ กรณท์ ่ีเก่ยี วขอ้ ง อาศัยอยู่
ในทอ้ งถ่ินและภูมิภาคอาเซียน
ทักษะ -มที กั ษะในการนา แนวคดิ - ปฏิบัตกิ จิ กรรม - ดแู ลรักษา -การชว่ ยเหลือ
เศรษฐกิจ พอเพยี งมา ภายในกลุ่มได้อย่างมี และไม่ทาลาย เก้ือกลู เอื้อเฟือ้
ประยุกต์ ใช้ชีวติ ประจาวัน ประสิทธิ ภาพ ส่ิงแวดล้อม แบ่งปัน
สมดลุ และพร้อมรับการเปล่ียนแปลงในดา้ นตา่ งๆ
ดา้ น วตั ถุ สังคม สงิ่ แวดลอ้ ม วัฒนธรรม
องคป์ ระกอบ
ค่านิยม -มีความตระหนักและ -เกิดความรัก สามัคคี -ตระหนกั ในการ -เหน็ คุณคา่ ของ
เห็นคณุ คา่ ของการนา ในหมู่ คณะและ ใช้ทรพั ยากรท่มี ี วฒั นธรรมองถน่ิ ทต่ี น
แนวคิดเศรษฐกจิ พอเพียงมา ยอมรบั ฟงั ความ อยู่อย่างคุ้มค่า อาศัยอยู่
ประยกุ ตใ์ ช้ในชีวิตประจาวัน คดิ เหน็
ของผู้อืน่
13. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ใชก้ ารเรยี นการสอน แบบ 5STEPs และเทคนคิ R-C-A
1. ขนั้ ตอนท่ี 1 การเรียนรตู้ งั้ คาถาม ( Learning to Question)
1. ครูให้นักเรียนดวู ดิ ีโอเก่ยี วกับ “เทคโนโลยีจากคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ” เวลา 10 นาที และให้
นกั เรียนตอบคาถามตามความเข้าใจของนกั เรียน โดยใหน้ ักเรยี นแสดงเหตุผลประกอบด้วย (กระบวนการคดิ )
2. ใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั ตั้งคาถามเก่ียวกบั ส่งิ ที่ต้องการรู้ จากเน้อื หาท่ีเกีย่ วกับการนาคลนื่
แม่เหล็กไฟฟา้ ในช่วงความถ่ตี ่าง ๆ ไปประยกุ ต์ใช้ในชวี ิตประจาวัน (กระบวนการคดิ )
2. ขั้นตอนที่ 2 การเรยี นรูแ้ สวงหาสารสนเทศ ( Learning to Search)
1. แบ่งนักเรียนเปน็ กลมุ่ ๆ 6 -7 คน (ประกอบด้วย นักเรียนเก่ง กลาง อ่อน)
( จากผลการวิเคราะห์ผเู้ รียน) (เง่ือนไขคณุ ธรรม : ความรับผดิ ชอบ, ความมงุ่ มน่ั )
2. ครใู หน้ กั เรยี นแต่ละกลมุ่ การวางแผนการสบื คน้ การศกึ ษาเรื่องการนาคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า
ในช่วงความถีต่ า่ ง ๆ ไปประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ ประจาวัน (กระบวนการคดิ )
3. นกั เรียนแต่ละกลมุ่ รว่ มกนั สบื คน้ และศึกษา การนาคลืน่ แม่เหล็กไฟฟา้ ในช่วงความถีต่ า่ ง ๆ ไป
ประยกุ ต์ใช้ในชีวติ ประจาวนั จากคลิปวีดิโอ “คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้ากบั การใช้งานดา้ นตา่ งๆ” ความยาว 30
นาที (เงื่อนไขความร)ู้ (กระบวนการคิด)
4. นกั เรียนแต่ละกลุ่มสืบคน้ และศึกษาค้นคว้าข้อมลู จากหนงั สอื พมิ พ์ อินเทอรเ์ น็ต วิทยุ หรือ
โทรทัศน์ เพอ่ื จดั ทารายงานและนาเสนอผลการสืบคน้ เร่ือง การนาคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ในช่วงความถตี่ า่ ง ๆ
ในทอ้ งถิน่ และภมู ิภาคอาเซยี นไปประยกุ ต์ใช้ในชีวิตประจาวัน (เงือ่ นไขความรู้ ) (กระบวนการคดิ มีวนิ ัยและ
ซอ่ื สัตยส์ จุ รติ )
5. นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มฝกึ ปฏบิ ัตกิ ารสบื คน้ และศกึ ษาคน้ ควา้ (กระบวนการคดิ มวี ินยั และซอ่ื สัตย์
สจุ ริต)
3. ข้นั ตอนท่ี 3 การเรยี นรู้เพื่อสรา้ งองคค์ วามรู้ ( Learning to Construct)
1. นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ นาเสนอผลการสืบค้นและผลการศึกษา เรอ่ื ง การนาคลืน่ แม่เหล็กไฟฟา้
ในช่วงความถต่ี ่าง ๆ ในท้องถน่ิ และภมู ิภาคอาเซยี นไปประยกุ ต์ใช้ในชีวติ ประจาวนั (พอประมาณกบั
งบประมาณ, ความมีเหตุผล, การมภี มู ิคุม้ กนั ในตัวทีด่ ี, เงือ่ นไขความรู้ และเงอ่ื นไขคณุ ธรรม) กระบวนการคดิ
มีวินัย ซ่อื สตั ย์สจุ ริตและอยู่อย่างพอเพียง)
2. สงั เกตพฤติกรรมในการทางานและการนาเสนอผลงานของนกั เรียนตามแบบประเมนิ พฤติกรรม
ในการทางานเปน็ รายบคุ คลหรือเป็นกล่มุ ในขณะนักเรยี นปฏบิ ัติกิจกรรม (พอประมาณกบั งบประมาณ, ความ
มีเหตุผล, การมภี มู คิ ุ้มกนั ในตัวทด่ี ี) กระบวนการคดิ มวี ินัย ซ่อื สัตยส์ ุจรติ และอยอู่ ย่างพอเพยี ง)
3. นักเรยี นท้งั หมดรว่ มกันสรุปผลจากการสืบคน้ และศึกษาคน้ ควา้ ( ความมีเหตุผล, การมี
ภมู คิ ุ้มกนั ในตวั ที่ดี, เงอื่ นไขความรู้ และเงอ่ื นไขคณุ ธรรม) กระบวนการคดิ มีวินยั ซือ่ สัตย์สจุ รติ และอยอู่ ยา่ ง
พอเพยี ง)
4. ขั้นตอนที่ 4 การเรียนรเู้ พือ่ การสื่อสาร ( Learning to Communicate)
1. ครูและนกั เรยี นรว่ มกันสรุปความรเู้ รือ่ ง การนาคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในชว่ งความถ่ีต่าง ๆ ใน
ทอ้ งถ่นิ และภมู ภิ าคอาเซยี นไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน ( ความมเี หตผุ ล, การมีภูมคิ ้มุ กนั ในตัวทด่ี ,ี เงือ่ นไข
ความรู้ และเงอื่ นไขคณุ ธรรม) กระบวนการคิด มวี นิ ัย ซื่อสัตยส์ ุจรติ และอย่อู ย่างพอเพยี ง)
2. นักเรยี นร่วมกนั สรปุ การการนาคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ในชว่ งความถีต่ ่าง ๆ ในทอ้ งถนิ่ และภมู ิภาค
อาเซยี นไปประยกุ ต์ใช้ในชีวติ ประจาวัน ( ความพอประมาณ,ความมเี หตุผล, การมีภมู คิ ุ้มกันในตัวที่ดี, เงื่อนไข
ความรู้ และเง่อื นไขคุณธรรม) (กระบวนการคดิ มวี นิ ัย ซอ่ื สตั ย์สุจรติ และอยอู่ ย่างพอเพยี ง) (พระบรมราโชบาย
ร.10 –ดา้ นมีงานทา มีอาชีพและพลเมอื งดี)
5. ข้ันตอนที่ 5 การเรยี นรู้เพอ่ื ตอบแทนสงั คม ( Learning to Serve)
1. นกั เรยี นทาแบบฝึกหัดพฒั นาทกั ษะการคดิ ในแบบเรียน เรอื่ ง การนาคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้
ในช่วงความถตี่ า่ ง ๆ ในท้องถน่ิ และภูมิภาคอาเซียนไปประยุกตใ์ ช้ในชวี ิตประจาวัน ในแบบเรียน คาถาม ขอ้ 6
(หน้า 49) และปัญหาขอ้ ที่ 6-7 (หนา้ 50) กระบวนการคิด มีวนิ ัย ซือ่ สตั ยส์ จุ ริตและอยู่อยา่ งพอเพียง)
2. นกั เรยี นรายงานกลุ่มและนาเสนอหน้าชน้ั เรียน (กระบวนการคิด มวี ินยั ซอ่ื สตั ยส์ จุ ริตและ
อยู่อย่างพอเพียง) ขณะนกั เรียนทากิจกรรมต่างๆ ครูสงั เกตพฤติกรรมการเรียนของนกั เรยี นรายบุคคล
พฤตกิ รรมการอ่าน คิดวเิ คราะหแ์ ละเขียนสื่อความ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี นตาม
กาหนด และสะทอ้ นความรสู้ กึ จากคาถาม R-C-A
3. สนทนาด้วยเทคนคิ คาถาม R – C – A เพื่อพัฒนาทักษะชวี ติ ปรับปรุงทิศทาง การดาเนิน
ชวี ติ ใหม้ โี อกาสประสบความสาเรจ็ ตามเป้าหมายทกี่ าหนดไว้ (กระบวนการคิด มวี ินยั ซือ่ สตั ย์สุจริต
อยู่อย่างพอเพียงและจิตสาธารณะ)
(R) คาถามเพื่อการสะทอ้ น
- นกั เรยี นรสู้ กึ อยา่ งไรต่อการเขียนรายงาน เรื่อง การนาคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้า ในช่วงความถ่ี
ตา่ ง ๆ ในทอ้ งถ่นิ และภมู ิภาคอาเซยี นไปประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจาวนั
-การเขียนรายงานฉบับน้ีมปี ระโยชนต์ อ่ นกั เรียนหรือไม่
(C) คาถามเพือ่ การเชื่อมโยง
- การเรียนเรือ่ ง การนาคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ในช่วงความถตี่ า่ ง ๆ ในท้องถิน่ และภมู ิภาค
อาเซยี นไปประยกุ ต์ใช้ในชีวติ ประจาวนั นกั เรยี นเคยตัง้ คาถามหรอื ไมว่ ่าเรียนไปเพ่ืออะไร
และมปี ระโยชน์อยา่ งไร
- นักเรียนคิดว่าสมบัติของคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ มีความสัมพนั ธก์ บั การประยกุ ตใ์ ช้ใน
เทคโนโลยีหรอื ไม่ อย่างไร
(A) คาถามเพ่ือการปรบั ใช้
- เรื่องท่ีเรยี นมปี ระโยชนต์ อ่ ชีวิตประจาวันของนักเรยี น ทาใหน้ กั เรยี นสนใจการเรียนมาก
ข้ึนกว่าเดมิ หรอื ไม่และตรงตามกับเป้าหมายที่นกั เรยี นคาดหวงั ไวไ้ ดห้ รือไม่อยา่ งไร
4. สนทนาดว้ ยเทคนิคคาถาม R – C – A เพอ่ื พฒั นาทักษะชวี ติ มีความยืดหยุน่ ทางความคิด
ไมย่ ึดติดกับทางเลือกเดมิ ทค่ี ้นุ เคย (กระบวนการคดิ มีวนิ ัย ซอ่ื สัตย์สจุ รติ อยู่อย่างพอเพียงและจิตสาธารณะ)
(R) คาถามเพอื่ การสะท้อน
- จากผลการศึกษาของกลุม่ นกั เรียนและกลุ่มของเพื่อน มคี วามสอดคล้องหรือแตกตา่ งจาก
ของนกั เรียนหรือไม่อยา่ งไร
(C) คาถามเพอ่ื การเชอื่ มโยง
- นักเรยี นคิดวา่ การนาคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ในชว่ งความถต่ี ่าง ๆ ในทอ้ งถน่ิ และภูมภิ าค
อาเซยี นไปประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ท่ีศึกษามายงั มีเหตกุ ารณ์ใดทีม่ ผี ลต่อ
การประยกุ ต์ใช้คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าในชวี ิตประจาวัน
(A) คาถามเพือ่ การปรับใช้
- นักเรยี นมีสรุปความคดิ เรื่อง การนาคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ ในช่วงความถ่ตี ่าง ๆ ในท้องถ่ิน
และภมู ภิ าคอาเซยี นไปประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ดว้ ยวิธีการอน่ื นอกเหนือจากการ
เขยี นรายงานหรือไมอ่ ยา่ งไร
- นกั เรียนมีการนาคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ ในช่วงความถี่ต่าง ๆ ในทอ้ งถิ่นและภมู ิภาคอาเซียน
ไปประยุกต์ใช้ในชวี ิตประจาวัน ไดห้ รือไม่อย่างไร และมีประโยชนอ์ ย่างไรกับนักเรียน
5. นักเรยี นทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 4 เรอ่ื ง ประโยชน์ของ
กมั มนั ตภาพรงั สีและพลังงานนวิ เคลียร์ (กระบวนการคดิ มีวินยั ซ่ือสตั ย์สจุ ริตและอยู่อย่างพอเพยี ง)
14. ส่อื การเรยี นร/ู้ แหลง่ เรียนรู้
สือ่ การเรยี นรู้
1. หนงั สือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมฟสิ กิ ส์ เลม่ 6 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ของ สสวท.
2. คลิปวดี ิโอ “เทคโนโลยีจากคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ” และ “การประยกุ ต์ใชค้ ล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้า”
สอ่ื การสอน สสวท.
https://www.youtube.com/watch?v=GcjV1hbvaNg
3. PPT หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 1 เรอื่ ง คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้
4. แบบฝึกหัดพัฒนาทักษะการคดิ ในแบบเรียน เร่ือง การประยุกต์ใช้คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้า ใน
แบบเรียน คาถามขอ้ 6 (หนา้ 49) และปัญหาขอ้ ที่ 6-7 (หนา้ 50)
5. แบบทดสอบเกบ็ คะแนนแผนการเรยี นรูท้ ่ี 4 การประยุกต์ใชค้ ล่นื แม่เหล็กไฟฟา้
แหลง่ เรยี นรู้
1. หอ้ งสมดุ โรงเรยี น
2. หอ้ งสืบคน้ Resource Center
15. กิจกรรมเสนอแนะ
แนะนาให้นกั เรยี นคน้ ควา้ หาความร้เู พ่มิ เติมเรอ่ื ง
จาก http://www.school.net.th/education/physics-resources.php3 และ
http://SCIENCE.HOWSTAFFWORKS.com
ข้อเสนอแนะของหวั หน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
ลงช่อื ........................................................
(นางตวงรัตน์ อ้นอินทร)์
ตาแหน่ง หวั หน้ากลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์
วันท่ี..........เดอื น..........................พ.ศ............
ข้อเสนอแนะของรองผอู้ านวยการกล่มุ บรหิ ารงานวิชาการ
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
……………………………………………………………………………………………………….
ลงช่ือ...................................................................
(นายสรุ ศกั ดิ์ โพธ์บิ ลั ลังค์)
ตาแหน่ง รองผอู้ านวยการกลุ่มบรหิ ารงานวิชาการ
วนั ที่..........เดอื น..........................พ.ศ............
ขอ้ เสนอแนะของผอู้ านวยการโรงเรียน
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
ลงช่อื .......................................................
(นายพฒั นา ทรงประดิษฐ)
ตาแหนง่ ผู้อานวยการโรงเรียนวชั รวทิ ยา
วนั ที่..........เดอื น..........................พ.ศ............
บันทึกผลหลังการสอนแผนการสอนท่ี 4
ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 วิชา ฟสิ ิกส์ 6 รหสั วิชา ว30206
ครผู ู้สอน นางดวงดาว บดีรฐั
1. ผลการสอน
1.1 สรปุ ผลการสอน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.2 หาความกา้ วหนา้ ในการเรยี นการสอน คะแนนเฉลี่ย ความกา้ วหนา้
หลงั เรยี น ในการเรยี น
จานวนนักเรยี น คะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ย
กอ่ นเรียน
รอ้ ยละความก้าวหน้า = คะแนนหลังเรียน – คะแนนกอ่ นเรียน x 100
คะแนนเต็ม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปัญหา / อุปสรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ข้อเสนอแนะ / แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื ………………………………ครูผสู้ อน
( นางดวงดาว บดีรฐั )
ตาแหนง่ ครู คศ. 3
วนั ที่…..เดือน……………..……..พ.ศ...........
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ แบบทดสอบกอ่ น-หลังเรยี น รายวชิ า ฟิสิกส์ 6
(ว30206)
และเทคโนโลยี เรือ่ ง
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 1
ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 การประยุกต์ใช้คลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้
1. เมื่อนกั บนิ อวกาศขึน้ ไปบนดวงจนั ทรส์ ามารถพูดคยุ กบั คนท่ีอยู่บนโลกได้ จะต้องใช้คลน่ื ชนดิ ใด
ก. คลื่นวทิ ยุ ข. คลื่นเสียง ค. คลนื่ โทรทศั น์ ง. คลื่นไมโครเวฟ
2. มนษุ ย์อวกาศสองคนปฏิบตั ิภารกจิ บนพืน้ ผิวดวงจนั ทร์ สือ่ สารกนั ด้วยวิธใี ด
ก. คลนื่ วทิ ยุ ข. คล่นื โซนาร์ ค. คล่นื เสียงธรรมดา ง. คลืน่ เสียงอลั ตราซาวด์
3. สมบตั ิข้อใดของคล่นื ไมโครเวฟทท่ี าใหอ้ าหารสุกได้
ก. ทะลผุ ่านวัตถไุ ดด้ ี ข. มคี วามถส่ี งู กวา่ คลน่ื วิทยุ
ค. ทาให้โมเลกุลของน้าสน่ั ง. เม่ือผ่านวัตถคุ ลื่นจะสะทอ้ นไปมาในวัตถไุ ด้
4. ขอ้ ความใดตอ่ ไปน้ี กล่าวไม่ถกู ตอ้ ง เก่ียวกับรงั สอี ลั ตราไวโอเลต
ก. มีประโยชนใ์ นการฆา่ เชื้อโรค
ข. มองเห็นเปน็ สมี ่วงออ่ นและสามารถผ่านแผน่ แกว้ บาง ๆ ได้
ค. สามารถทาให้สารเคมีบางชนิดเรืองแสงได้จึงมีการนาไปใช้ส่องเสอื้ ผา้ ที่ทาด้วยสารเรืองแสงของผู้
แสดง บนเวทีจะช่วยให้เหน็ เปน็ สีสนั ท่ีนา่ ต่ืนตามากขึน้
ง. ถ้าโอโซนในชัน้ บรรยากาศชั้นบนลดนอ้ ยลง การดูดกลืนรงั สอี ลั ตราไวโอเลตจากดวงอาทิตยก์ จ็ ะ
ลดลงไปดว้ ย จนอาจได้รบั อันตรายจากรังสนี ท้ี ่ตี กลงสโู่ ลกได้
5. รงั สีที่ใชป้ ระโยชนใ์ นการตรวจสอบลายมือผ้ฝู ากธนาคาร คอื รังสีใด
ก. รังสีเอ็กซ์ ข. รงั สีแกมมา ค. รงั สีอินฟราเรด ง. รังสอี ลั ตราไวโอเลต
6. คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้าชนดิ ใดท่ีสามารถสะท้อนไดด้ ีทบ่ี รรยากาศชัน้ ไอโอโนสเฟียรค์ อื ข้อใด
ก. คล่ืนโทรทัศน์ ข. รงั สอี ินฟราเรด ค. คลื่นไมโครเวฟ ง. คล่ืนวิทยุ เอ เอม็
7. ข้อใดท่ีถือวา่ เปน็ ประโยชนท์ ่ไี ดร้ บั จากรงั สีอนิ ฟราเรด
ก. ตรวจสอบและคน้ หาสัตวป์ ่าในที่มืด ข. ใชอ้ บอาหาร ทาให้อาหารสกุ
ค. ใช้ในอตุ สาหกรรมอบสี ง. ถูกทกุ ขอ้ ท่ีกล่าวมา
8. ในธรรมชาติรา่ งกายของคนสามารถสร้างวิตามินจากรงั สอี ะไร
ก. รังสเี อ็กซ์ ข. รงั สีแกมมา ค. รงั สีอนิ ฟราเรด ง. รังสีอลั ตราไวโอเลต
9. เหตุท่ีใชไ้ มโครเวฟแทนคลื่นวทิ ยใุ นระบบโทรคมนาคม เพราะเหตใุ ด
ก. คลืน่ วิทยุสะทอ้ นงา่ ยเกนิ ไป ข. ความยาวคล่นื ของคล่นื วทิ ยสุ ้ันกว่า
ค. ไมโครเวฟมีอานาจทะลุผ่านไดด้ ีกว่า ง. คลน่ื วทิ ยุถูกผสมกบั คลนื่ อ่นื ในบรรยากาศได้งา่ ย
10.รังสีอินฟราเรดและคล่นื ไมโครเวฟมสี ง่ิ ท่เี หมือนกนั คือ
1. เป็นคลนื่ ประเภทเดียวกนั
2. ตรวจจับดว้ ยฟิล์มถา่ ยรูปเหมือนกนั
3. มีประโยชน์ในการสื่อสารเหมือนกนั
คาตอบท่ถี ูกตอ้ งคอื ขอ้ ใด
ก. ขอ้ 1 เทา่ นนั้ ข. ขอ้ 1 และ 2
ค. ข้อ 2 และ 3 ง. ข้อ 1 , 2 และ 3
แผนบรู ณาการสาระท้องถน่ิ /เศรษฐกิจพอเพยี ง/อาเซียน/ทักษะชีวิต/โรงเรยี นสจุ รติ /พระบรมราโชบาย ร.10/5STEPs
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 5
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว30206 รายวิชา ฟิสิกส์ 6
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564
ช่อื หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 1 เรือ่ ง คลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้
ชื่อแผน การสอื่ สารโดยอาศัยคล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ เวลา 3 ช่ัวโมง ผสู้ อน นางดวงดาว บดีรฐั
โรงเรียนวัชรวิทยา อาเภอเมือง จงั หวัดกาแพงเพชร
************************************************************************************
1. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
การส่ือสารโดยอาศัยคลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้
คล่นื วทิ ยุ
คล่นื วิทยุมีความถ่ีช่วง 104 – 109 Hz( เฮริ ตซ์ ) ใช้ในการส่อื สาร คลื่นวิทยมุ กี ารส่งสัญญาณ 2 ระบบคอื
1.1 ระบบเอเอ็ม (A.M. = amplitude modulation)
ระบบเอเอม็ มชี ว่ งความถ่ี 530 – 1600 kHz( กโิ ลเฮิรตซ์ ) สื่อสารโดยใชค้ ล่ืนเสียงผสมเขา้ ไปกบั คลืน่ วทิ ยุ
เรียกวา่ “คลืน่ พาหะ” โดยแอมพลิจดู ของคล่นื พาหะจะเปลย่ี นแปลงตามสัญญาณคล่นื เสยี ง ในการสง่ คล่นื
ระบบ A.M. สามารถสง่ คลน่ื ไดท้ ั้งคลน่ื ดนิ เป็นคล่ืนท่ีเคลื่อนทใ่ี นแนวเสน้ ตรงขนานกับผิวโลกและคล่ืนฟา้ โดย
คลน่ื จะไปสะท้อนทีช่ ้ันบรรยากาศไอโอโนสเฟยี ร์ แลว้ สะทอ้ นกลบั ลงมา จึงไม่ต้องใช้สายอากาศตง้ั สูงรับ
1.2 ระบบเอฟเอม็ (F.M. = frequency modulation)
ระบบเอฟเอม็ มชี ่วงความถ่ี 88 – 108 MHz (เมกะเฮิรตซ์) สื่อสารโดยใช้คลนื่ เสยี งผสมเข้ากบั คลื่นพาหะ
โดยความถี่ของคลืน่ พาหะจะเปล่ยี นแปลงตามสญั ญาณคล่ืนเสยี ง ในการส่งคลน่ื ระบบ F.M. สง่ คลื่นไดเ้ ฉพาะ
คล่นื ดินอย่างเดยี ว ถ้าตอ้ งการส่งใหค้ ลมุ พืน้ ทต่ี ้องมสี ถานถี ่ายทอดและเครือ่ งรบั ต้องตั้งเสาอากาศสงู ๆ รับ
คลนื่ โทรทัศน์และไมโครเวฟ
คลื่นโทรทัศนแ์ ละไมโครเวฟมคี วามถช่ี ว่ ง 108 – 1012 Hz มีประโยชน์ในการสอ่ื สาร แต่จะไมส่ ะทอ้ นที่
ช้นั บรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แต่จะทะลผุ ่านช้ันบรรยากาศไปนอกโลก ในการถา่ ยทอดสัญญาณโทรทัศน์
จะตอ้ งมสี ถานถี ่ายทอดเป็นระยะ ๆ เพราะสญั ญาณเดนิ ทางเปน็ เสน้ ตรง และผวิ โลกมีความโคง้ ดังนั้นสัญญาณ
จึงไปได้ไกลสุดเพยี งประมาณ 80 กโิ ลเมตรบนผิวโลก อาจใชไ้ มโครเวฟนาสัญญาณจากสถานสี ่งไปยังดาวเทียม
แลว้ ให้ดาวเทียมนาสญั ญาณสง่ ตอ่ ไปยงั สถานีรับท่ีอยไู่ กล ๆ เน่ืองจากไมโครเวฟจะสะทอ้ นกับผิวโลหะไดด้ ี
จงึ นาไปใชป้ ระโยชน์ในการตรวจหาตาแหนง่ ของอากาศยาน เรยี ก อปุ กรณด์ งั กล่าววา่ เรดาร์ โดยส่งสัญญาณ
ไมโครเวฟออกไปกระทบอากาศยาน และรับคล่ืนทสี่ ะทอ้ นกลบั จากอากาศยาน ทาให้ทราบระยะห่างระหวา่ ง
อากาศยานกบั แหลง่ สง่ สญั ญาณไมโครเวฟได้
รงั สอี นิ ฟาเรด (infrared rays)
รังสอี นิ ฟาเรดมชี ่วงความถ่ี 1011 – 1014 Hz หรอื ความยาวคลื่นตงั้ แต่ 10-3 – 10-6 เมตร
ซงึ่ มีชว่ งความถีค่ าบเก่ยี วกบั ไมโครเวฟ รงั สอี ินฟาเรดสามารถใชก้ บั ฟลิ ม์ ถ่ายรูปบางชนิดได้ และใชเ้ ป็นการ
ควบคุมระยะไกลหรอื รีโมทคอนโทรลกับเคร่อื งรับโทรทัศน์ได้
สญั ญาณ Analog และ Digital
สัญญาณทีใ่ ช้ในระบบสื่อสารแบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 ประเภทคือ สญั ญาณอนาลอกและสัญญาณดิจิตอล
1. สญั ญาณแอนะล็อก (Analog Signal) หมายถึงสญั ญาณข้อมลู แบบต่อเนอื่ ง (Continuouse Data)
มขี นาดของสญั ญาณไมค่ งที่ มีการเปล่ียนแปลงขนาดของสัญญาณแบบค่อยเปน็ คอ่ ยไป มลี กั ษณะเปน็ เสน้ โคง้
ต่อเน่ืองกันไป โดยการสง่ สญั ญาณแบบอนาล็อกจะถกู รบกวนให้มีการแปลความหมายผิดพลาดได้ง่าย เช่น
สัญญาณเสียงในสายโทรศัพท์ เป็นตน้
2. สญั ญาณดิจิตอล(Digital Signal) หมายถงึ สัญญาณท่เี กีย่ วขอ้ งกบั ขอ้ มลู แบบไมต่ อ่ เน่อื ง(Discrete
Data) ที่มขี นาดแน่นอนซึง่ ขนาดดงั กลา่ วอาจกระโดดไปมาระหว่างค่าสองค่า คอื สัญญาณระดับสงู สุดและ
สญั ญาณระดบั ต่าสุด ซงึ่ สัญญาณดิจิตอลนเี้ ป็นสัญญาณท่คี อมพิวเตอร์ใชใ้ นการทางานและตดิ ต่อส่อื สารกันเปน็
ค่าของเลขลงตวั โดยปกติมกั แทนดว้ ย ระดบั แรงดันที่แสดงสถานะเปน็ "0" และ "1"
การสง่ สัญญาณ Analog และสัญญาณแบบ Digital
1. สญั ญาณแบบ Analog จะเปน็ สญั ญาณแบบต่อเนือ่ งทท่ี กุ ๆ ค่าเปลย่ี นแปลงไปของระดับสัญญาณจะมี
ความหมาย การสง่ สัญญาณแบบ Analog จะถกู รบกวนให้มีการแปลความหมายผิดพลาดไดง้ า่ ยกวา่ เนื่องจาก
คา่ ทุกค่าถูกนามาใช้งานนน้ั เอง ซงึ่ สัญญาณแบบอนาล็อกนจี้ ะเปน็ สญั ญาณทสี่ อ่ื กลาง ในการสื่อสาร ส่วนมาก
ใช้อยู่ เช่น สญั ญาณเสยี งในสายโทรศพั ท์ เป็นต้น
2. สัญญาณแบบ Digital จะประกอบขึ้นจากระดบั สัญญาณเพยี ง 2 คา่ คอื สญั ญาณระดบั สูงสดุ และสญั ญา
ระดับต่าสุด ดังนน้ั จะมปี ระสทิ ธิภาพและ ความนา่ เชื่อถอื สงู กว่าแบบ Analog เนือ่ งจากมกี ารใช้งานเพยี ง 2
คา่ เพ่ือน่ามาตีความหมายเป็น On/Off หรือ 1/0 เทา่ น้ันซ่งึ สัญญาณดจิ ิตอลน้ี จะเป็นสญั ญาณท่ีคอมพวิ เตอร์
ใช้ในการทางานและติดตอ่ สื่อสารกันในทางปฏบิ ัติ
เทคโนโลยีการสอ่ื สารดิจทิ ัลได้เข้ามามีบทบาทสาคัญอย่างมากตอ่ การดาเนนิ ชีวิตประจาวัน ซึ่งในปัจจุบนั
ระบบสื่อสารดจิ ิทัลมีให้เลอื กใช้งานเปน็ จานวนมาก
- ระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น LAN (Local area network), MAN ( metropolitan area network),
WAN (wide area network), และอินเทอรเ์ น็ต (Internet)
- ระบบโทรศัพท์เคลอ่ื นท่ียุคสาม (3G: 3rd generation) และยุคส่(ี 4G: 4th generation) ที่
- ระบบการสือ่ สารไรส้ าย
- ระบบกระจายเสียงดจิ ทิ ัล (DAB: digital audio broadcasting)
- ระบบกระจายภาพดิจทิ ลั (DVB: digital video broadcasting)
ข้อดแี ละข้อเสียของระบบแอนะลอ็ กและดิจิตอล
1.ความเท่ยี งตรง วงจรแอนะล็อก ถ้าให้มีความเทีย่ งตรงสงู ได้ยาก เพราะประกอบไปด้วยอปุ กรณ์ทม่ี ี คา่
ผิดพลาด และมคี วามไวต่อสิง่ แวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความชน้ื
2.ผลกระทบต่อการสง่ ในระยะไกล เมื่อมกี ารสง่ สัญญาณออกไปในระยะไกล ๆ ตามสายสง่ หรอื เปน็
คลน่ื วิทยุ จะมกี ารรบกวนเกิดขนึ้ ไดง้ า่ ย เรียกว่า นอยส์ (noise)
2. มาตรฐาน
สาระฟสิ ิกส์
3. เข้าใจแรงไฟฟา้ และกฎขอคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า ศักยไ์ ฟฟา้ และกฎของโอห์ม วงจรไฟฟา้
กระแสตรง พลังงานไฟฟา้ และกาลังไฟฟา้ การเปลย่ี นพลงั งานทดแทนเป็นพลงั งานไฟฟ้า
สนามแมเ่ หลก็ แรงแม่เหลก็ ที่กระทากบั ประจไุ ฟฟา้ และกระแสไฟฟา้ การเหนี่ยวนา
แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ และกฎของฟาราเดย์ ไฟฟา้ กระแสสลบั คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ และ
การส่ือสาร รวมทง้ั การนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์
3. ตัวชีว้ ัด/ผลการเรยี นรู้
ผลการเรยี นรู้
สบื คน้ และอธบิ ายการสือ่ สารโดยอาศยั คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าในการสง่ ผา่ นสารสนเทศ และ
เปรียบเทียบการสอ่ื สารด้วยสัญญาณแอนะล็อกกบั สญั ญาณดิจิทลั ในทอ้ งถนิ่ และภูมิภาคอาเซียนตามตามพระ
บรมราโชบาย ร.10
4. สาระการเรยี นรู้
- สาระแกนกลาง
- คลน่ื วิทยุ
- คลืน่ โทรทศั น์และไมโครเวฟ
- รังสีอินฟาเรด (infrared rays)
- สัญญาณ Analog และ Digital
- การส่อื สารโดยอาศัยคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าในการส่งผา่ นสารสนเทศ และเปรยี บเทียบการ
สื่อสารด้วยสัญญาณแอนะลอ็ กกับสญั ญาณดจิ ทิ ัล ในทอ้ งถน่ิ และภมู ิภาคอาเซยี นตามตามพระบรมราโชบาย
ร.10
5. สาระการเรยี นรู้ท้องถน่ิ
1. การสอื่ สารโดยอาศยั คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้าในการส่งผ่านสารสนเทศ และเปรียบเทียบการ
สอ่ื สารด้วยสญั ญาณแอนะลอ็ กกบั สัญญาณดิจิทัลในทอ้ งถนิ่
6. สอดแทรกหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
1. การสือ่ สารโดยอาศยั คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ในการสง่ ผา่ นสารสนเทศ และเปรียบเทียบการ
สือ่ สารดว้ ยสัญญาณแอนะล็อกกบั สัญญาณดิจิทัล ในทอ้ งถนิ่ และภมู ิภาคอาเซยี นตามหลักปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียงและพระบรมราโชบาย ร.10
7. สอดแทรกความรู้การเขา้ สูป่ ระชาคมอาเซียน
1. การสอ่ื สารโดยอาศยั คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้าในการสง่ ผ่านสารสนเทศ และเปรยี บเทียบการ
สือ่ สารดว้ ยสัญญาณแอนะล็อกกับสัญญาณดิจทิ ัล ในภมู ภิ าคอาเซยี นตามตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียงและพระบรมราโชบาย ร.10
8. พระบรมราโชบาย ร.10
– ดา้ นมงี านทา มีอาชพี และพลเมืองดี
9. จดุ เน้นสู่การพฒั นาคุณภาพผู้เรยี น ทักษะศตวรรษท่ี 21
การคดิ อย่างมวี ิจารณญาณ และทกั ษะในการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem
Solving)
ทักษะดา้ นการสรา้ งสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)
ทักษะด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทมี และภาวะผู้นา (Collaboration, Teamwork
and Leadership)
ทกั ษะด้านการสื่อสารสนเทศ และรเู้ ทา่ ทันส่ือ (Communications, Information, and
Media Literacy)
ทกั ษะดา้ นชีวิตและอาชีพ
ความยืดหยุ่นและการปรบั ตัว
การริเรมิ่ สร้างสรรคแ์ ละการเปน็ ตัวของตัวเอง
ทักษะสงั คม และสงั คมข้ามวฒั นธรรม
การเปน็ ผู้สร้างหรอื ผผู้ ลิต และความรับผิดชอบเชือ่ ถอื ได้
ภาวะผนู้ าและความรับผดิ ชอบ
คุณลักษณะสาหรับศตวรรษท่ี 21
คุณลกั ษณะด้านการทางาน ไดแ้ ก่ การปรับตัว ความเปน็ ผูน้ า
คณุ ลกั ษณะด้านการเรียนรู้ ได้แก่ การชี้นาตนเอง การตรวจสอบการเรียนรขู้ องตนเอง
คณุ ลักษณะดา้ นศีลธรรม ได้แก่ เคารพผู้อน่ื ความซอ่ื สัตย์ สานึกพลเมอื ง
10. ชนิ้ งาน/ภาระงาน
1. ทาแบบฝกึ หัดพัฒนาทักษะการคดิ ในแบบเรยี น เรือ่ ง การสอื่ สารโดยอาศัย
คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ในแบบเรยี น ในแบบเรียน คาถาม ขอ้ 6 (หน้า 49) และปัญหาขอ้ ท่ี 6-7 (หนา้ 50)
2. ทาแผนภาพหรือ Mind mapping กลุ่มและนาเสนอหนา้ ช้ันเรยี น
3. ทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 5 เร่อื ง การสอื่ สารโดยอาศัย
คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้า
11 .การวัดและประเมินผล
11.1 การประเมนิ ระหว่างจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
วัดจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ วิธกี ารประเมิน เครอ่ื งมือ เกณฑ์การประเมนิ
1. อธิบายการสื่อสารโดย ตรวจแบบฝึกหัดพัฒนา แบบฝกึ หดั พัฒนาทกั ษะ ตามเกณฑ์
การประเมนิ ผล
อาศัยคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ทักษะการคดิ เรื่อง การ การคดิ เร่ือง การส่ือสาร
แบบฝึกหัด
สือ่ สารโดยอาศัยคล่นื โดยอาศัยคล่นื
แมเ่ หล็กไฟฟา้ แม่เหล็กไฟฟา้
2. อธิบายการส่ือสารโดย ตรวจแบบฝกึ หัดพฒั นา แบบฝกึ หัดพัฒนาทักษะ ตามเกณฑ์
อาศยั คลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้ การประเมินผล
ในทอ้ งถิ่นและภมู ิภาค ทกั ษะการคดิ ในแบบเรยี น การคดิ ในแบบเรียน
แบบฝกึ หดั
อาเซยี น เรอ่ื ง การสื่อสารโดยอาศยั เรือ่ ง การส่อื สารโดย
คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า อาศัยคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
3. การเขยี นแผนภาพหรือ ตรวจแผนภาพ/ mind แบบประเมินแผนภาพ/ ตามเกณฑก์ าร
mind mapping และ ประเมินรายงานและ
mind mapping และ mapping และการ
การนาเสนอ เรอ่ื ง การ การนาเสนอ
นาเสนอผลงานการสอ่ื สาร นาเสนอ เรือ่ ง การสือ่ สาร สอื่ สารโดยอาศยั คลืน่
โดยอาศัยคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า โดยอาศยั คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า
ในท้องถิ่นและภูมิภาค
ในทอ้ งถ่ินและภูมิภาค แม่เหลก็ ไฟฟา้ อาเซียน
อาเซียน ในท้องถน่ิ และภมู ิภาค
อาเซียน
11.2 การประเมินเมอ่ื สิน้ สุดการเรยี นรู้
ชนิ้ งาน/ภาระงาน วธิ กี ารประเมนิ เครือ่ งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ
สอบเก็บคะแนน ทาแบบทดสอบ แบบทดสอบเกบ็ คะแนน ตามเกณฑ์
การประเมินผล
เก็บคะแนนจานวน 10 ข้อ จานวน 10 ข้อ การทาแบบทดสอบ
ภาระงาน/ชน้ิ งาน เกณฑก์ ารประเมนิ (Rubrics) พอใช้ ปรับปรุง
ดีมาก ดี
ทาแบบฝึกหัดถกู ตอ้ ง
แบบฝึกหัด ทาแบบฝกึ หดั ถูกต้อง ทาแบบฝกึ หัด ทาแบบฝึกหัด ตา่ กว่า 50%
80% ถูกตอ้ ง 60-80% ถูกต้อง 50 -60%
แผนภาพหรอื ขนึ้ ไป ทางานทไี่ ด้รบั
mind mapping ทางานท่ไี ด้รับ ทางานท่ีได้รับ มอบหมายด้วย
และการนาเสนอ ทางานทไ่ี ดร้ ับ มอบหมายด้วย มอบหมายด้วย ตนเองไม่ครบถ้วน
มอบหมายด้วย ตนเอง ครบถ้วน ตนเอง ครบถว้ น ถูกตอ้ ง 50% /ตรง
ตนเอง ครบถ้วนตรง ถูกตอ้ ง80% ตรง ถูกตอ้ ง70% ตรง ตามกาหนดสง่
ตามกาหนดสง่ และ ตามกาหนสง่ ตามกาหนส่ง
ถูกตอ้ ง
เกณฑ์การประเมนิ ผลการทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน / แบบทดสอบเกบ็ คะแนน ใช้เกณฑ์ดังน้ี
รอ้ ยละ 80 ขึ้นไป หมายถึง ดมี าก
รอ้ ยละ 70-79 หมายถงึ ดี
รอ้ ยละ 60-69 หมายถงึ ปานกลาง
รอ้ ยละ 50-59 หมายถงึ ผา่ น
ต่ากวา่ รอ้ ยละ 50 หมายถงึ ปรับปรงุ
ผูป้ ระเมิน
1. ครผู ูส้ อนประเมนิ นกั เรียน 2. นักเรียนประเมนิ นักเรียน
การวัดสมรรถนะและคุณลักษณะอันพงึ ประสงคข์ องผ้เู รียน
สมรรถนะ/ คุณลักษณะอันพงึ วิธีการ เครอ่ื งมือ เกณฑ์การผ่าน
ประสงค์ของผู้เรยี น ระดบั ๒ ผ่านเกณฑ์
ตรวจรายงาน แบบประเมนิ สมรรถนะ ระดับ ๒ ผา่ นเกณฑ์
ความสามารถในการสอื่ สาร
ความสามารถในการคดิ ตรวจแบบฝึกหัดพัฒนา แบบประเมนิ สมรรถนะ ระดับ ๒ ผา่ นเกณฑ์
คุณลักษณะใฝ่เรียนรู้ ทกั ษะการคิด ระดบั ๒ ผา่ นเกณฑ์
คุณลักษณะม่งุ มนั่ ในการทางาน นกั เรียนประเมนิ ตนเอง แบบประเมนิ ตนเอง
ออนไลน์
นักเรยี นประเมนิ ตนเอง แบบประเมินตนเอง
ออนไลน์
12. การวิเคราะห์ความสอดคลอ้ งหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
12.1 ผเู้ รียนได้เรยี นรู้หลกั คิด และฝึกปฏบิ ัติ ตาม 3 ห่วง 2 เงือ่ น ดงั นี้
ความรู้ คณุ ธรรม
1. แนวคดิ เศรษฐกิจพอเพียง 1. ความขยนั 2. ใฝ่เรียนรู้
2. การสอื่ สารโดยอาศยั คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ ในท้องถิน่ 3. ความรบั ผดิ ชอบ 4. ความมุ่งมน่ั ในการทางาน
และภมู ภิ าคอาเซียน 5. ความสามัคคีภายในกลมุ่
พอประมาณ มีเหตผุ ล มภี ูมคิ ุ้มกันในตัวทีด่ ี
1. พอประมาณกบั งบประมาณ 1. เข้าใจและเห็นความสาคญั ในการ 1. นาปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งไป
ในการนาเสนอผลงานหนา้ นาแนวทางปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง ประยกุ ตใ์ ชก้ บั การดาเนินชีวิตของตนเอง
ชน้ั เรียน เชน่ แผนภาพหรือ มาใชใ้ นชวี ิตประจาวนั อยา่ งมีเหตผุ ล อย่างเหมาะสมถกู ต้อง เพอ่ื ให้สามารถ
mind mapping ยนื หยัดไดอ้ ย่างมนั่ คงทา่ มกลางกระแส
2. พอประมาณในการดาเนินชวี ติ การเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคม
เศรษฐกจิ และส่ิงแวดล้อม
12.2 ผ้เู รียนได้เรียนรู้การใช้ชีวิตท่ีสมดลุ และพร้อมรบั การเปลี่ยนแปลงใน 4 มิติ ตามหลักปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียง ดังนี้
สมดลุ และพรอ้ มรับการเปลยี่ นแปลงในด้านต่างๆ
ดา้ น วัตถุ สังคม ส่งิ แวดล้อม วัฒนธรรม
องค์ประกอบ
ความรู้ -มีความรเู้ กีย่ วกบั การสอ่ื สารโดย -รู้จกั แบง่ หนา้ ท่ี -มคี วามรู้เกยี่ วกบั -รแู้ ละเข้าใจ
อาศัยคล่นื แม่เหล็กไฟฟ้าใน รบั ผิดชอบใน การรักษาธรรมชาติ ในวฒั นธรรม
ทอ้ งถ่ินและภูมิภาคอาเซียน การทางาน และสิ่งแวดล้อม ท้องถิ่นทตี่ น
อาศยั อยู่
ทกั ษะ -มที ักษะในการนา แนวคดิ - ปฏิบตั กิ จิ กรรม - ดูแลรักษา -การชว่ ยเหลอื
เศรษฐกิจ พอเพียงมา ภายในกล่มุ ไดอ้ ยา่ งมี และไม่ทาลาย เกือ้ กูลเอ้อื เฟ้อื
ประยกุ ต์ ใช้ชีวติ ประจาวนั ประสทิ ธิ ภาพ ส่งิ แวดล้อม แบง่ ปนั
ด้าน สมดุลและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ วฒั นธรรม
องค์ประกอบ วัตถุ สงั คม สง่ิ แวดล้อม
คา่ นิยม -มีความตระหนกั และ -เกิดความรกั สามัคคี -ตระหนกั ในการ -เห็นคุณค่าของ
ในหมู่ คณะและ ใชท้ รัพยากรท่มี ี วฒั นธรรมองถนิ่ ทตี่ น
เหน็ คุณคา่ ของการนา ยอมรบั ฟังความ อยู่อย่างคุ้มค่า อาศยั อยู่
แนวคิดเศรษฐกจิ พอเพยี งมา คดิ เห็น
ประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ติ ประจาวนั ของผ้อู ื่น
13. กจิ กรรมการเรียนรู้ ใชก้ ารเรียนการสอน แบบ 5STEPs และเทคนคิ R-C-A
1. ขน้ั ตอนท่ี 1 การเรยี นร้ตู ง้ั คาถาม ( Learning to Question)
1. ครูตง้ั คาถามนักเรยี นถึงการส่อื สารของนักเรยี นในปจั จุบัน ใหน้ กั เรียนตอบคาถามตามความ
เขา้ ใจของนักเรยี น โดยให้นกั เรยี นแสดงเหตุผลประกอบดว้ ย (กระบวนการคิด)
2. ให้นักเรยี นร่วมกันตง้ั คาถามเกีย่ วกับส่ิงท่ีต้องการรู้ จากเนื้อหาที่เก่ยี วกับการส่อื สารโดยอาศัย
คล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ ในทอ้ งถ่ินและภูมภิ าคอาเซยี นในชวี ติ ประจาวัน (กระบวนการคิด)
2. ข้นั ตอนที่ 2 การเรียนรู้แสวงหาสารสนเทศ ( Learning to Search)
1. แบ่งนักเรยี นเปน็ กลุ่ม ๆ 6 -7 คน (ประกอบด้วย นกั เรยี นเกง่ กลาง อ่อน) ( จากผลการ
วิเคราะห์ผู้เรยี น) (เงอ่ื นไขคณุ ธรรม : ความรบั ผดิ ชอบ, ความมุ่งมั่น)
2. ครใู ห้นักเรยี นแตล่ ะกลุม่ การวางแผนการสืบค้นการศกึ ษาเรื่องการสือ่ สารโดยอาศัยคลื่น
แมเ่ หล็กไฟฟ้าในท้องถิน่ และภมู ภิ าคอาเซยี นในชีวิตประจาวัน (กระบวนการคดิ )
3. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มร่วมกันสบื คน้ และศกึ ษา การสือ่ สารโดยอาศัยคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ในทอ้ งถิ่น
และภูมภิ าคอาเซียนในชีวิตประจาวนั จากคลปิ วีดโิ อ “การสือ่ สารดว้ ยคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า” ความยาว 20
นาที (เง่ือนไขความร้)ู (กระบวนการคดิ )
4. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มสืบค้นและศกึ ษาค้นคว้าข้อมูลจากหนังสอื พมิ พ์ อนิ เทอรเ์ น็ต วทิ ยุ หรอื
โทรทัศน์ เพือ่ จัดทารายงานและนาเสนอผลการสืบคน้ เร่ือง การสือ่ สารโดยอาศัยคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้าใน
ทอ้ งถิ่นและภมู ภิ าคอาเซยี นในชีวติ ประจาวนั (เงื่อนไขความรู้ ) (กระบวนการคดิ มวี นิ ยั และซ่ือสตั ยส์ ุจริต)
5. นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ฝกึ ปฏิบัตกิ ารสืบค้นและศกึ ษาค้นควา้ (กระบวนการคดิ มีวินัยและซอ่ื สตั ย์
สุจริต)
3. ขนั้ ตอนที่ 3 การเรียนรู้เพือ่ สร้างองค์ความรู้ ( Learning to Construct)
1. นักเรียนแต่ละกล่มุ นาเสนอผลการสบื คน้ และผลการศึกษา เรือ่ ง การสือ่ สารโดยอาศัยคลืน่
แม่เหลก็ ไฟฟา้ ในท้องถ่นิ และภูมิภาคอาเซยี นในชีวิตประจาวัน (พอประมาณกบั งบประมาณ, ความมีเหตุผล,
การมภี ูมคิ ุ้มกนั ในตวั ท่ีดี, เง่ือนไขความรู้ และเงอ่ื นไขคุณธรรม) กระบวนการคดิ มวี ินัย ซ่อื สัตย์สจุ รติ และอยู่
อยา่ งพอเพยี ง)
2. สังเกตพฤตกิ รรมในการทางานและการนาเสนอผลงานของนักเรยี นตามแบบประเมินพฤติกรรม
ในการทางานเปน็ รายบคุ คลหรือเปน็ กล่มุ ในขณะนกั เรยี นปฏิบตั ิกิจกรรม (พอประมาณกบั งบประมาณ, ความ
มเี หตผุ ล, การมีภูมคิ ้มุ กันในตวั ทดี่ ี) กระบวนการคิด มวี นิ ยั ซอื่ สัตย์สุจรติ และอย่อู ยา่ งพอเพียง)
3. นกั เรยี นท้งั หมดร่วมกนั สรปุ ผลจากการสืบคน้ และศึกษาคน้ ควา้ ( ความมเี หตุผล, การมี
ภมู คิ ุ้มกันในตัวท่ดี ,ี เงอ่ื นไขความรู้ และเงอ่ื นไขคุณธรรม) กระบวนการคดิ มีวนิ ยั ซื่อสัตย์สจุ รติ และอยู่อย่าง
พอเพียง)
4. ขน้ั ตอนที่ 4 การเรยี นรูเ้ พื่อการส่ือสาร ( Learning to Communicate)
1. ครูและนักเรียนรว่ มกันสรุปความรูเ้ รอ่ื ง การสอ่ื สารโดยอาศัยคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าในทอ้ งถิ่นและ
ภูมิภาคอาเซียนในชีวติ ประจาวนั ( ความมีเหตุผล, การมภี ูมิคมุ้ กนั ในตวั ทดี่ ,ี เงือ่ นไขความรู้ และเงอื่ นไข
คุณธรรม) กระบวนการคดิ มวี ินัย ซื่อสัตย์สจุ ริตและอยู่อยา่ งพอเพยี ง)
2. นกั เรยี นร่วมกันสรปุ การสื่อสารโดยอาศยั คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าในท้องถน่ิ และภมู ิภาคอาเซียนใน
ชีวติ ประจาวนั ( ความพอประมาณ,ความมีเหตุผล, การมีภมู ิคุ้มกนั ในตวั ทด่ี ี, เงอ่ื นไขความรู้ และเง่อื นไข
คณุ ธรรม) (กระบวนการคิด มีวนิ ัย ซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ และอยอู่ ย่างพอเพยี ง) (พระบรมราโชบาย ร.10
–ด้านมีงานทา มีอาชีพและพลเมอื งดี)
5. ขน้ั ตอนท่ี 5 การเรยี นรูเ้ พอื่ ตอบแทนสงั คม ( Learning to Serve)
1. นักเรยี นทาแบบฝึกหัดพัฒนาทักษะการคิดในแบบเรียน เร่ือง การสอ่ื สารโดยอาศยั คล่นื
แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ในทอ้ งถิ่นและภูมิภาคอาเซยี นในชวี ิตประจาวนั ในแบบเรียน คาถาม ข้อ 6 (หนา้ 49) และ
ปญั หาข้อท่ี 6-7 (หน้า 50) กระบวนการคิด มวี นิ ัย ซ่ือสัตยส์ ุจรติ และอยู่อย่างพอเพียง)
2. นกั เรียนรายงานกลุม่ และนาเสนอหนา้ ชั้นเรยี น (กระบวนการคดิ มวี นิ ัย ซื่อสัตย์สจุ ริตและ
อยู่อย่างพอเพียง) ขณะนกั เรยี นทากจิ กรรมต่างๆ ครูสังเกตพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนรายบุคคล
พฤตกิ รรมการอ่าน คิดวเิ คราะห์และเขยี นสื่อความ คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ สมรรถนะสาคัญของผู้เรียนตาม
กาหนด และสะทอ้ นความรสู้ ึกจากคาถาม R-C-A
3. สนทนาดว้ ยเทคนคิ คาถาม R – C – A เพ่ือพฒั นาทักษะชีวิต ปรบั ปรุงทิศทาง การดาเนิน
ชีวิตให้มโี อกาสประสบความสาเร็จตามเป้าหมายทีก่ าหนดไว้ (กระบวนการคดิ มีวนิ ยั ซื่อสัตย์สุจรติ
อยู่อย่างพอเพียงและจิตสาธารณะ)
(R) คาถามเพ่อื การสะท้อน
- นกั เรียนรสู้ กึ อย่างไรตอ่ การเขยี นรายงาน เร่ือง การสอ่ื สารโดยอาศัยคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ใน
ทอ้ งถนิ่ และภูมภิ าคอาเซียนในชีวติ ประจาวนั
-การเขียนรายงานฉบบั น้ีมีประโยชนต์ อ่ นกั เรยี นหรอื ไม่
(C) คาถามเพอ่ื การเช่อื มโยง
- การเรียนเรอ่ื ง การสื่อสารโดยอาศยั คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ ในทอ้ งถิ่นและภูมภิ าคอาเซียนใน
ชวี ติ ประจาวนั นักเรียนเคยต้งั คาถามหรือไม่ว่าเรยี นไปเพอื่ อะไรและมีประโยชนอ์ ยา่ งไร
- นักเรียนคิดวา่ การสื่อสารโดยอาศัยคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้ามคี วามสมั พนั ธก์ ับสัญญาณแอนะล็
อกและสญั ญาณดิจิตัลหรือไม่ อยา่ งไร
(A) คาถามเพื่อการปรับใช้
- เรอื่ งท่ีเรียนมีประโยชนต์ ่อชวี ติ ประจาวันของนักเรียน ทาใหน้ กั เรียนสนใจการเรียนมาก
ขนึ้ กว่าเดิมหรอื ไม่และตรงตามกับเปา้ หมายที่นกั เรียนคาดหวงั ไวไ้ ดห้ รือไม่อย่างไร
4. สนทนาด้วยเทคนคิ คาถาม R – C – A เพอื่ พฒั นาทักษะชีวติ มคี วามยืดหยนุ่ ทางความคิด
ไมย่ ึดติดกับทางเลอื กเดมิ ทค่ี นุ้ เคย (กระบวนการคิด มวี ินยั ซ่ือสัตย์สจุ รติ อยู่อย่างพอเพียงและจติ สาธารณะ)
(R) คาถามเพอ่ื การสะท้อน
- จากผลการศึกษาของกลมุ่ นกั เรยี นและกลุ่มของเพื่อน มคี วามสอดคลอ้ งหรอื แตกตา่ งจาก
ของนกั เรียนหรือไม่อยา่ งไร
(C) คาถามเพือ่ การเชอ่ื มโยง
- นักเรียนคดิ ว่าการสอ่ื สารโดยอาศยั คลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้าในทอ้ งถิ่นและภูมิภาคอาเซียนใน
ชีวิตประจาวันท่ีศกึ ษามายังมเี หตุการณ์ใดทมี่ ผี ลต่อการประยกุ ตใ์ ชค้ ลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
สาหรบั การส่ือสารในชีวิตประจาวนั
(A) คาถามเพื่อการปรับใช้
- นกั เรยี นมสี รุปความคิดเร่ือง การส่อื สารโดยอาศัยคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้าในท้องถนิ่ และ
ภูมิภาคอาเซียนในชีวติ ประจาวนั ด้วยวธิ ีการอ่นื นอกเหนือจากการเขียนรายงานหรือไม่
อย่างไร
- นักเรียนมกี ารนาคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ในช่วงความถีต่ า่ ง ๆ ในท้องถิ่นและภมู ภิ าคอาเซยี น
ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ได้หรือไม่อย่างไร และมีประโยชนอ์ ย่างไรกบั นกั เรยี น
5. นกั เรยี นทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 5 เรื่อง การสื่อสารโดยอาศัย
คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้า (กระบวนการคิด มีวินยั ซ่อื สัตย์สุจริตและอยอู่ ยา่ งพอเพยี ง)
14. สอ่ื การเรียนรู/้ แหล่งเรียนรู้
สอื่ การเรียนรู้
1. หนงั สอื เรียนรายวชิ าเพมิ่ เตมิ ฟิสิกส์ เลม่ 6 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ของ สสวท.
2. คลปิ วดี โิ อ “การส่อื สารด้วยคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า” สอ่ื การสอน สสวท.
https://www.youtube.com/watch?v=GcjV1hbvaNg
3. PPT หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรือ่ ง คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า
4. แบบฝกึ หัดพฒั นาทักษะการคิดในแบบเรยี น เรอ่ื ง การส่อื สารโดยอาศัยคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้
ในแบบเรยี น คาถามขอ้ 6 (หน้า 49) และปัญหาข้อที่ 6-7 (หนา้ 50)
5. แบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการเรียนรู้ท่ี 5 เรอ่ื ง การสอ่ื สารโดยอาศยั คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า
แหล่งเรยี นรู้
1. หอ้ งสมดุ โรงเรยี น
2. หอ้ งสบื คน้ Resource Center
15. กิจกรรมเสนอแนะ
แนะนาให้นักเรยี นค้นควา้ หาความรเู้ พิ่มเตมิ เรือ่ ง
จาก http://www.school.net.th/education/physics-resources.php3 และ
http://SCIENCE.HOWSTAFFWORKS.com
ขอ้ เสนอแนะของหวั หน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
ลงช่อื ........................................................
(นางตวงรัตน์ อน้ อินทร)์
ตาแหน่ง หวั หน้ากลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
วันท่ี..........เดอื น..........................พ.ศ............
ข้อเสนอแนะของรองผู้อานวยการกลมุ่ บรหิ ารงานวชิ าการ
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
……………………………………………………………………………………………………….
ลงช่อื ...................................................................
(นายสุรศกั ด์ิ โพธ์ิบัลลังค์)
ตาแหนง่ รองผ้อู านวยการกลุม่ บรหิ ารงานวิชาการ
วันที่..........เดือน..........................พ.ศ............
ขอ้ เสนอแนะของผอู้ านวยการโรงเรยี น
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
ลงชอ่ื .......................................................
(นายพัฒนา ทรงประดิษฐ)
ตาแหนง่ ผู้อานวยการโรงเรยี นวัชรวิทยา
วนั ที่..........เดือน..........................พ.ศ............
บนั ทึกผลหลงั การสอนแผนการสอนท่ี 5
ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 วิชา ฟสิ ิกส์ 6 รหัสวิชา ว30206
ครผู ู้สอน นางดวงดาว บดรี ัฐ
1. ผลการสอน
1.1 สรปุ ผลการสอน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.2 หาความก้าวหนา้ ในการเรียนการสอน คะแนนเฉลย่ี ความก้าวหน้า
หลงั เรียน ในการเรียน
จานวนนักเรยี น คะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ย
กอ่ นเรียน
รอ้ ยละความก้าวหน้า = คะแนนหลังเรียน – คะแนนก่อนเรยี น x 100
คะแนนเต็ม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หา / อุปสรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะ / แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………ครผู ู้สอน
( นางดวงดาว บดรี ัฐ)
ตาแหนง่ ครู คศ. 3
วนั ท่ี…..เดือน……………..……..พ.ศ...........
กล่มุ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ แบบทดสอบกอ่ น-หลังเรยี น รายวิชา ฟิสิกส์ 6
(ว30206)
และเทคโนโลยี เรอื่ ง
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1
ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 การส่ือสารโดยใช้คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า
1. จุดเริ่มต้นของระบบสื่อสารดิจิตอลมาจากขอ้ ใด
ก. โทรทศั น์ ข. โทรศัพท์ ค. โทรเลข ง. โทรคมนาคม
2. จุดเริม่ ตน้ ของระบบสือ่ สารแอนะลอ็ กมาจากข้อใด
ก. โทรทัศน์ ข. โทรศพั ท์ ค. โทรเลข ง. โทรคมนาคม
3. ขอ้ มลู มลี กั ษณะต่อเนือ่ งและราบเรยี บ (sine wave) คอื ขอ้ ใด
ก. Anelog ข. Analog ค. Digitel ง. Digital
4. สญั ลกั ษณ์มีลกั ษณะแบบไมต่ ่อเนือ่ ง (square wave) คอื ข้อใด
ก. Anelog ข. Analog ค. Digitel ง. Digital
5. อุปกรณท์ ี่ใชเ้ พ่ิมกาลังสง่ ให้แก่สัญญานแอนะล็อก คอื ขอ้ ใด
ก. Lamplifier ข. Aamplifier ค.Repeater ง. Reporter
6. อปุ กรณ์ท่ีใช้เพม่ิ ระยะทางส่งใหแ้ ก่สัญญานดจิ ิตอล คอื ขอ้ ใด
ก. Lamplifier ข. Aamplifier ค.Repeater ง. Reporter
7. ขอ้ ใดคืออุปกรณ์ที่ทาหน้าท่แี ปลงสัญญาณดิจิตอลเปน็ แอนะล็อก เพื่อสง่ ข้อมลู ผา่ นสายโทรศัพท์
ก. Aamplifier ข. Repeater ค. Modem ง. Transfer Rate
8. สัญญาณแอนะล็อกและสัญญาณดจิ ิตอลแตกต่างกนั อย่างไร
ก. สญั ญาณแอนะล็อกเปน็ ข้อมูลแบบต่อเนื่อง สว่ นสญั ญาณดจิ ิตอลเปน็ ขอ้ มลู แบบไม่ตอ่ เนื่อง
ข. สญั ญาณแอนะลอ็ กเป็นขอ้ มลู แบบไมต่ อ่ เน่อื ง สว่ นสัญญาณดิจติ อลเปน็ ขอ้ มูลแบบตอ่ เน่ือง
ค. สญั ญาณแอนะล็อกจะเรียกวา่ เบสแบรนด์
ง. สญั ญาณดิจติ อลจะเรยี กวา่ บอร์ดแบรนด์
9. ข้อดแี ละขอ้ เสียของสญั ญาณแอนะล็อก คอื ขอ้ ใด
ก. สญั ญาณส่งได้เพยี งหน่ึงสัญญาณในเวลาขณะใดขณะหน่ึงเทา่ น้ันและขนาดของสญั ญาณไม่คงที่
ข. สญั ญาณส่งได้เพยี งหนึง่ สัญญาณในเวลาขณะใดขณะหนึ่งเท่านน้ั และขนาดของสัญญาณคงท่ี
ค. การส่งขอ้ มลู ด้วยความเรว็ สูงไม่สามารถมหี ลายช่องสัญญาณได้พร้อมๆกันและขนาดสญั ญาณ
คงที่
ง. การสง่ ขอ้ มลู ด้วยความเรว็ สูงไมส่ ามารถมีหลายช่องสัญญาณได้พร้อมๆกนั และขนาดสญั ญาณไม่
คงที่
10. ข้อดีและข้อเสยี ของสัญญาณดจิ ิตอล คือข้อใด
ก. สญั ญาณส่งไดเ้ พยี งหนึง่ สัญญาณในเวลาขณะใดขณะหนง่ึ เทา่ น้นั และขนาดของสญั ญาณไม่คงท่ี
ข. สญั ญาณส่งได้เพียงหน่ึงสญั ญาณในเวลาขณะใดขณะหนงึ่ เท่านนั้ และขนาดของสัญญาณคงที่
ค. การสง่ ขอ้ มูลดว้ ยความเร็วสงู ไม่สามารถมีหลายช่องสัญญาณไดพ้ รอ้ มๆกนั และขนาดสญั ญาณ
คงท่ี
ง. การส่งข้อมลู ดว้ ยความเร็วสูงไม่สามารถมีหลายช่องสญั ญาณได้พรอ้ มๆกันและขนาดสญั ญาณไม่
คงท่ี
โดยทัว่ ไประบบส่ือสารมสี องความหมายคือ ระบบท่ีทาหน้าที่ส่งผ่านข้อมูลจากจุดหน่ึง ไปยงั อกี จุดหน่ึง
เช่นระบบรับส่งคล่ืนวทิ ยุ ระบบโทรศัพท์เคลื่อนท่ี และระบบส่งข้อมูลความเร็วสูงผ่านเส้นใยนาแสง เป็ น
ต้น หรือระบบที่ทาหน้าทส่ี ่งผ่านข้อมูลจากช่วงเวลาหน่ึงไปยงั อีกช่วงเวลาหนึ่ง ได้แก่ ระบบการบันทกึ
ข้อมูลแบบเชิงแสงหรือแม่เหล็ก เช่น ซีดี ดวี ีดี หรือฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ กล่าวคือข้อมูลจะถูกเกบ็ เข้าไปในสื่อ
บันทกึ ณ เวลาหน่ึง จากน้ันเมื่อเวลาผ่านไปอกี ระยะหนึ่ง ข้อมูลกจ็ ะถูกดึงออกมาจากส่ือบันทึกเพอ่ื
นามาใช้งานในทางปฏบิ ัตขิ ้อมูลที่รับส่งในระบบสื่อสารจะเป็ นอะไรก็ได้ เช่น เสียง วดิ โิ อ รูปภาพ เพลง
อเี มล์ เวบ็ เพจ และอื่นๆ โดยจุดมุ่งหมายหลกั ของระบบส่ือสารกค็ ือวงจรภาครับ (receiver) ต้อง
สามารถตรวจหา (detect) และถอดรหสั (decode) ให้ได้ว่าข้อมูลท่ีถูกส่งมาจากวงจรภาคส่ง
(transmitter) คืออะไร โดยไม่เกิดข้อผดิ พลาด หรือมขี ้อผดิ พลาดในขอบเขตทย่ี อมรับได้
สัญญาณท่ีใช้ในระบบสื่อสารแบ่งออกได้เป็ น 2 ประเภทคอื สัญญาณแอนะล็อกและสัญญาณ
ดจิ ิตอล
สัญญาญแอนะลอ็ ก (analog signal) คือสัญญาณทร่ี ะดับสัญญาณหรือแอมพลิจูด
(amplitude) มกี ารเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเน่ืองทางเวลา มลี ักษณะเป็ นคล่ืนไซน์ (sine wave) โดยที่แต่
ละคลื่นจะมคี วามถแี่ ละความเจ้มของสัญญาณท่ตี ่างกัน เม่ือนาสัญญาณข้อมูลเหล่านีผ้ ่านอปุ กรณ์รับ
สัญญาณและแปลงสัญญาณก็จะได้ข้อมูลทต่ี ้องการ ตัวอย่างของการส่งข้อมูลท่ีมสี ัญญาณแอนะลอ็ ก คอื
การส่งผ่านระบบโทรศัพท์ สัญญาณแอนะลอ็ กเป็ นสัญญาณที่มักเกดิ ขนึ้ ในธรรมชาติ เป็ นสัญญาณท่มี ี
ความต่อเนื่อง ไม่ได้มีการเปลย่ี นแปลงอย่างรวดเร็ว สัญญาณแบบนี้ เช่น เสียงพดู เสียงดนตรี เป็ นต้น
เม่ือส่งออกไปในระยะทางไกล ต้องใช้ Amplifier เพ่ือขยายสัญญาณ สัญญาณมกั ถูกรบกวนด้วย
Noise ซึ่งอาจแก้ไขโดยใช้ Noise filfer
งออกไปในระยะทางไกล ต้องใช้ Amplifier เพอ่ื ขยายสัญญาณ สัญญาณมกั ถูกรบกวนด้วย Noise ซึ่ง
อาจแก้ไขโดยใช้ Noise filfer
สัญญาณแอนะลอ็ กจะมลี ักษณะเป็ นรูปคล่ืนต่อเนื่อง (Continuous waveform) หรือ คลื่นไซน์
(sine wave)
Amplifier ขยายสัญญาณเสียง
Noise filter แก้ไขสัญญาณรบกวน
ในขณะท่ีสัญญาณดจิ ิตอล (digital signal) คือสัญญาณทตี่ ่อเน่ืองทางเวลาหรือสัญญาณท่ี
ไม่ต่อเนื่องทางเวลา โดยท่ัวไปใช้สัญญาณต่อเนื่องทางเวลา ทมี่ ีขนาดแน่นอนซ่ึงขนาดดังกล่าวอาจ
กระโดดไปมาระหว่างค่าสองค่า คอื สัญญาณระดบั สูงสุดและสัญญาณระดบั ต่าสุด การใช้งานเพยี ง 2 ค่า
นามาตคี วามหมายเป็ น on/off หรือ 1/0 ซึ่งสัญญาณดจิ ิตอลนีเ้ ป็ นสัญญาณทค่ี อมพวิ เตอร์ใช้ในการ
ทางานและติดต่อสื่อสารกัน
สัญญาณดจิ ิตอลเม่ือส่งออกไประยะทางไกลก็จะประสบปัญหาการลดทอนสัญญาณเช่นเดียวกนั แต่
สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการใช้อุปกรณ์ทวนสัญญาณ Repeater
สัญญาณไม่ต่อเน่ืองทางเวลา (Discrete Data)
เทคโนโลยีการสื่อสารดจิ ิทลั ได้เข้ามามบี ทบาทสาคญั อย่างมากต่อการดาเนิน
ชีวติ ประจาวัน ซึ่งในปัจจุบันระบบสื่อสารดจิ ิทลั มใี ห้เลือกใช้งานเป็ นจานวนมาก ได้แก่
- ระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ เช่น LAN (Local area network), MAN ( metropolitan area
network), WAN (wide area network), และอินเทอร์เน็ต (Internet)
- ระบบโทรศัพท์เคลื่อนทย่ี คุ สาม (3G: 3rd generation) และยคุ ส่ี (4G: 4th generation) ท่ีใช้
เทคโนโลยี GSM (groupe special mobile หรือ global system for mobile
communications), EDGE (enhanced data rates for GSM evolution), CDMA (code
division multiple access), OFDM (orthogonal frequency division multiplexing),
และ MIMO (muntiple-input and multiple-output)
- ระบบการส่ือสารไร้สาย เช่น Bluetiith, Wi-Fi, Mi-Fi, WiMAX (worldwide
interoperability for microwave access), และ UWB (ultra-wideband)
- ระบบกระจายเสียงดิจิทลั (DAB: digital audio broadcasting)
- ระบบกระจายภาพดจิ ิทลั (DVB: digital video broadcasting)
นอกจากนีย้ งั พบว่าเทคโนโลยกี ารส่ือสารดจิ ิทลั ยังคงมกี ารพฒั นาอย่ตู ลอดเวลา เพอ่ื ให้บรรลุ
จุดประสงค์ในการใช้งานใน ทกุ ท่ี ทุกเวลา ทกุ ส่ิง และทกุ คน
มอดูเลชัน (Modulation)
ในทางปฎิบัติ จะสามารถใช้เคร่ืองมือในการแปลงระหว่างสัญญาณท้งั 2 แบบได้ เพอื่ ช่วยให้
สามารถส่งสัญญาณดจิ ิตอลผ่านสัญญาณพาหะท่ีเป็ นแอนะล็อก เช่น สายโทรศัพท์หรือคลื่นวิทยุ การ
แปลงสัญญาณแบบดจิ ติ อลไปเป็ นแอนะลอ็ กจะเรียกว่า Modulation เช่น การแปลง Amplitude
Modulation(AM) และ Frequency Modulation (FM) เป็ นต้น ส่วนการแปลงสัญญาณแอ
นะลอ็ กเป็ นดิจิตอล จะเรียกว่า Demodulation ตัวอย่างของเคร่ืองมือในการแปลงระหว่างสัญญาณท้งั
สองกค็ ือ Modem (Modulation on DEModulation) น่ันเอง
มอดดูเลชั่น (Modulation) คือ "การส่ง" ข้อมูลโดยการเพม่ิ พลงั งานเข้าไปให้มกี ารส่งได้ระยะไกลขนึ้
ดีมอดดูเลชั่น (De Modulation) คือ "การรับ" ข้อมูลทส่ี ่งมาโดยการเอาพลงั งานส่วนเกินออกไป
เหลือแต่ข้อมูลอย่างเดียว
อนาลอ็ ก กบั ดจิ ิตอล ต่างกันอย่างไร?
- ดจิ ิตอลเป็ นสัญญาณทไี่ ม่ต่อเนื่อง แต่มลี ักษณะเป็ นชิ้น ๆ หรือเป็ นท่อน ๆ ซึ่งเรามศี ัพท์เรียกลกั ษณะ
ดงั กล่าวว่า ดสิ ครีต (Discrete) และสัญญาณจะมคี ่าได้เฉพาะค่าทก่ี าหนด ไว้ตายตัวเท่าน้ัน เช่น ใน
ระบบดจิ ติ อลที่ใช้กัน ทว่ั ไปน้ันใช้สัญญาณระบบเลขฐานสอง (Binary) สัญญาณดจิ ิตอลอาจจะเรียกว่า
เบสแบนด์ จะเป็ นการสื่อสารข้อมลู ท่สี ายสัญญาณหรือตวั กลางในการส่งผ่านสัญญาณสามารถส่งได้เพยี ง
หน่ึงสัญญาณในเวลาขณะใดขณะหนงึ่ เท่าน้ัน
- สัญญาณแอนะลอ็ กเป็ นสัญญาณทีม่ คี วามต่อเนื่อง และมคี ่าตลอดช่วงของสัญญาณ เช่น เสียงพดู ,
เสียงดนตรี, วีดีโอ บางคร้ังเรียกว่าบอร์ดแบนด์
broadband เป็ นการส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสามารถมีหลายช่องสัญญาณได้พร้อม ๆ เป็ นสัญญาณ
Analog
ข้อดีและข้อเสียของระบบอนาลอกและดจิ ิตอล
1.ความเท่ียงตรง วงจรแอนะลอ็ ก ถ้าให้มีความเท่ยี งตรงสูงได้ยาก เพราะประกอบไปด้วยอปุ กรณ์ท่มี ี ค่า
ผดิ พลาด และมคี วามไวต่อสิ่งแวดล้อม เช่น อณุ หภูมิ ความชื้น จึงท่าให้อปุ กรณ์ต่าง ๆ เช่น ตัวต้านทาน
ตวั เก็บประจุ มคี ุณสมบัติเปลยี่ นไป เหมือนกับว่าปัญหาทเ่ี กิดขึน้ ในวงจรแอนะลอ็ ก เป็ นเพราะ
แรงดันไฟฟ้า ส่วนอปุ กรณ์ในวงจรดจิ ิตอลกม็ ีปัญหาเช่นเดียวกัน แต่วงจรสามารถควบคุมการท่างานได้
ถงึ แม้ว่าสัญญาณจะ ผดิ เพยี้ นไปบ้าง กไ็ ม่มผี ลต่อการท่างานของวงจรเพราะสภาวะ 1 กับ 0 กาหนดจาก
ระดับแรงดนั
2.ผลกระทบต่อการส่งในระยะไกล เมื่อมกี ารส่งสัญญาณออกไปในระยะไกล ๆ ตามสายส่งหรือเป็ น
คลื่นวทิ ยุ จะมกี ารรบกวนเกดิ ขึน้ ได้ง่าย เรียกว่า นอยส์ (noise) ตวั อย่างเช่น การส่งสัญญาณไปยัง
ดาวเทียม จะมีการรบกวนเน่ืองจากการแผ่รังสี จากฟ้าแลบ หรือจุดดบั บนดวงอาทิตย์ท่าให้สัญญาณ
ผดิ เพยี้ นได้ง่าย ถ้าเป็ นวงจรแอนะล็อก ความเช่ือถือได้ขนึ้ กบั แรงดนั ทป่ี ลายทางว่าเบี่ยงเบนไปจากต้น
ทางมามากน้อยแค่ไหน เป็ นปัญหาทีเ่ กยี่ วกับความต่างศักย์ ถ้าส่งเป็ นสัญญาณดิจติ อลจะไม่มีปัญหานี้
เพราะสัญญาณอาจผดิ ไป จากต้นทางได้บ้างแต่ยังคงสภาวะ 1 หรือ 0
ทักษะกระบวนการ
1. ศกึ ษา
2. อธบิ าย
3. การคิดคานวณ
ช้นิ งาน / ภาระงาน
1. แบบฝึกทักษะเพื่อพฒั นาทกั ษะการคดิ หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 ฟสิ กิ สอ์ ะตอม
ชุดที่ 1 เรอื่ ง วิวัฒนาการของอะตอม
เกณฑ์การให้คะแนนการประเมินตามสภาพจริง
ระดับคะแนน 5 4 3 2 1
การทาแบบฝกึ หดั ทางานท่ีได้รบั ทางานท่ไี ด้รับ ทางานทีไ่ ดร้ บั ทางานท่ีได้รับมอบหมาย ไมส่ ามารทางานที่
มอบหมายดว้ ยตนเอง มอบหมายด้วยตนเองไม่ ด้วยตนเอง ไมค่ รบถ้วน ได้รับมอบหมายด้วย
และแบบฝกึ คานวณ มอบหมายดว้ ยตนเอง ครบถ้วนถกู ต้อง70% ครบถ้วนถูกตอ้ ง60% ถูกต้อง 50% /ตรงตาม ตนเอง และไม่ส่ง
ตรงตามกาหนสง่ ตรงตามกาหนดส่ง กาหนดส่ง ตามกาหนดส่ง
ครบถ้วนตรงตาม
งานกลมุ่ ครบถว้ นแต่ งานกล่มุ ไมค่ รบถ้วน งานกลุม่ ไม่ครบถว้ น โดยมี งานกลมุ่ ไมค่ รบถว้ น
กาหนดสง่ และถกู ต้อง ไม่เรียบรอ้ ย ภายใต้ ภายใต้ความร่วมมอื ของ สมาชิกในกลุ่มบางคน โดยสมาชกิ ทงั้ กลมุ่
ความร่วมมอื ของ สมาชิกในกลุม่ ทุกคน ไมใ่ หค้ วามรว่ มมอื ไมใ่ หค้ วามรว่ มมือ
การทางานร่วมกนั งานกลุ่มครบถ้วน สมาชกิ ในกลุม่ ทุกคน
เปน็ กลมุ่ เรียบรอ้ ย ภายใต้
ความรว่ มมือของ
สมาชิกในกลมุ่ ทุกคน
ระดับคะแนน 5 4 3 2 1
การอภิปราย ก า ร อ ภิ ป ร า ย ผ ล การอภปิ รายผล การอภิปรายผลถูกต้อง การอภิปรายผลไม่ถูกต้อง ผู้ อ ภิ ป ร า ย ไ ม่
ถู ก ต้ อ ง ชั ด เจ น ผู้ ถกู ต้องชดั เจน แต่ไม่ชัดเจน ผู้ อ ภิ ป ร า ย น า เส น อ ก า ร สามารถเสนอการ
อภิปรายนาเสนอ การ ผอู้ ภิปรายนาเสนอ ผู้ อ ภิ ป ร า ย น า เส น อ ผ ล อธิบายไดไ้ ม่ดี อภปิ รายผลได้
อภิปรายได้ดี พูดชัด การอภปิ รายได้ไม่ค่อย การอภปิ รายได้ไมค่ อ่ ยดี
ถ้อยชัดคา ดี
กิจก1ร.รนมากนาักรเเรรียียนนอรู้ภิปรายถึงองค์ประกอบที่เล็กท่ีสุดของวัตถุ แล้วให้นักเรียนอธิบายถึงอะตอมในความ
เข้าใจของนักเรยี น โดยใหน้ ักเรียนแสดงเหตุผลประกอบด้วย
2. ครูใหน้ ักเรยี นคน้ คว้าขอ้ มลู ทฤษฎีอะตอมของดาลตนั แล้วให้รายงานผลทไ่ี ด้
3. นักเรียนตอบคาถามเกี่ยวกับแนวความคดิ ซง่ึ เปน็ ท่มี าของทฤษฎอี ะตอมของดาลตัน ในชุดกิจกรรม
4. ใหน้ ักเรยี นสรปุ ทฤษฎอี ะตอมของดาลตัน
5. ให้นักเรียนค้นคว้าข้อมูลทฤษฎีอะตอมของทอมสัน การทดลองโดยให้หลอดรังสแี คโทด การทดลอง
หยดน้ามนั ของมลิ ลแิ กน แล้วรายงานผลทไี่ ด้
6. นกั เรยี นตอบคาถามเกย่ี วกับการทดลอง ซงึ่ เป็นท่ีมาของทฤษฎีอะตอมของทอมสัน ในชุดกิจกรรม
7. ครเู ฉลยคาถามในชุดกจิ กรรม แลว้ ให้นกั เรียนสรปุ ทฤษฎอี ะตอมของทอมสนั
8. ให้นักเรียนค้นคว้าข้อมูลจากทฤษฎีอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด การทดลองยิงอนุภาคแอลฟาเข้าใส่
แผน่ ทองคา แล้วรายงานผลท่ไี ด้รับ
9. นักเรยี นตอบคาถามเกี่ยวกบั การทดลองของรทั เทอร์ฟอรด์ ในชุดกจิ กรรม
10. ครเู ฉลยคาถามในชุดกิจกรรมแลว้ ใหน้ ักเรยี นสรปุ ทฤษฎีอะตอมของรทั เทอรฟ์ อร์ด
สื่อ/อปุ กรณ์การเรียนรู้
1. ชดุ กิจกรรม “ แบบฝกึ ทกั ษะเพอ่ื พัฒนาทักษะการคดิ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 ฟิสิกสอ์ ะตอม ”
ชุดท่ี 1 เรอ่ื ง วิวัฒนาการของทฤษฏอี ะตอม
แหล่งเรยี นรู้
http://www.school.net.th/education/physics-resources.php3
http://SCIENCE.HOWSTAFFWORKS.com
กิจกรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนค้นควา้ เพิ่มเติม จาก http://www.school.net.th/education/physics-resources.php3
และ http://SCIENCE.HOWSTAFFWORKS.com บนั ทึกความรทู้ ่ไี ด้ลงสมุด เพ่อื ใหส้ นองมาตรฐานการ
ประกนั คุณภาพการศึกษา มาตรฐานท่ี 3 และมาตรฐานท่ี 4
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 6
กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหสั วิชา ว 30205 รายวิชา ฟิสกิ ส์ 5
ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565
ชือ่ หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 1 เรือ่ ง แม่เหล็กและไฟฟ้า
ชื่อแผน ไฟฟา้ กระแสสลับ เวลา 3 ช่วั โมง ผู้สอน นางดวงดาว บดีรฐั
โรงเรียนวัชรวิทยา อาเภอเมือง จังหวัดกาแพงเพชร
************************************************************************************
1. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด
1. ไฟฟ้ากระแสสลับ
ไฟฟ้ากระแสสลับท่สี ่งไปตามบ้านเรือน มคี วามต่างศกั ย์และกระแสไฟฟ้าเปลย่ี นแปลงไปตามเวลาใน
รูปของฟงั กแ์ บบไซน์
การวัดความตา่ งศกั ย์และกระแสไฟฟ้าสลับ ใช้ค่ายังผลหรอื คา่ มิเตอร์ ซง่ึ เปน็ คา่ เฉลี่ยแบบรากทสี่ องเฉล่ยี
คานวณได้จากสมการ
2. มาตรฐาน
สาระฟิสกิ ส์
3. เข้าใจแรงไฟฟา้ และกฎขอคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า ศกั ยไ์ ฟฟา้ และกฎของโอหม์ วงจรไฟฟา้
กระแสตรง พลงั งานไฟฟ้า และกาลงั ไฟฟา้ การเปล่ียนพลงั งานทดแทนเปน็ พลงั งานไฟฟ้า
สนามแม่เหลก็ แรงแม่เหล็กที่กระทากบั ประจุไฟฟา้ และกระแสไฟฟ้า การเหน่ียวนา
แมเ่ หล็กไฟฟ้าและกฎของฟาราเดย์ ไฟฟา้ กระแสสลบั คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ และการสอื่ สาร
รวมทั้งการนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
3. ตัวชวี้ ัด/ผลการเรียนรู้
ผลการเรยี นรู้
อธิบาย และคานวณความต่างศกั ย์อารเ์ อ็มเอส และกระแสไฟฟา้ อารเ์ อ็มเอส
4. สาระการเรียนรู้
- สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ไฟฟ้ากระแสสลบั 1. คา่ ยงั ผลของความต่างศักยแ์ ละกระแสไฟฟา้ ของไฟฟ้ากระแสสลับ
5. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น
1. ความสามารถในการส่อื สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
จดุ เนน้ การพฒั นาคุณภาพผู้เรยี นด้านสมรรถนะ
1. การใชเ้ ทคโนโลยเี พือ่ การเรยี นรู้
2. ทักษะการส่อื สารอยา่ งสร้างสรรคต์ ามชว่ งวยั
3. ทกั ษะการคิดชัน้ สงู
6. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
1. ซอ่ื สัตย์สจุ ริต
2. มีวนิ ยั
3.ใฝ่เรยี นรู้
4. มงุ่ มัน่ ในการทางาน
จดุ เน้นการพัฒนาคุณภาพผ้เู รยี นดา้ นคณุ ลกั ษณะ
1. คุณลักษณะมงุ่ ม่ันในการทางาน
2. คุณลกั ษณะใฝ่เรยี นรู้
7. คุณลักษณะ 5 ประการโรงเรยี นสจุ ริต
1. กระบวนการคดิ
2. มวี นิ ยั
3.ซ่อื สตั ย์สจุ ริต
4. อยู่อย่างพอเพียง
5. มจี ติ สาธารณะ
8. ชิน้ งาน/ภาระงาน
1. ทาแบบฝกึ หัดพฒั นาทักษะการคิดในแบบเรียน เร่อื ง ไฟฟา้ กระแสสลับ ในแบบเรยี น
แบบฝกึ หดั 15.5 (หน้า 101) แบบฝกึ หัดทา้ ยบท คาถาม ขอ้ 3-10 (หน้า 108-109)
ปัญหาขอ้ ท่ี 13-19 (หน้า 112-115)
2. ทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 2 เรื่อง ไฟฟ้ากระแสสลับ
9 .การวัดและประเมินผล
9.1 การประเมนิ ระหว่างจดั กิจกรรมการเรียนรู้
ช้ินงาน/ภาระงาน วธิ ีการประเมิน เครือ่ งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
ทาแบบฝกึ หดั พฒั นาทกั ษะ ตรวจแบบฝกึ หัดพฒั นา แบบฝกึ หัดพฒั นา ตามเกณฑ์
ทกั ษะการคิดใน การประเมนิ ผล
การคิดในแบบเรียน เรอื่ ง ทักษะการคิดในแบบเรียน แบบเรยี น เร่อื ง
ไฟฟา้ กระแสสลบั แบบฝกึ หดั
ไฟฟา้ กระแสสลับ เร่อื ง ไฟฟา้ กระแสสลับ
9.2 การประเมนิ เมอ่ื สน้ิ สุดการเรียนรู้
ชน้ิ งาน/ภาระงาน วธิ ีการประเมนิ เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน
สอบเก็บคะแนน ทาแบบทดสอบ แบบทดสอบเก็บ ตามเกณฑ์
คะแนน การประเมินผล
เกบ็ คะแนน การทาแบบทดสอบ
จานวน 10 ขอ้
จานวน 10 ข้อ
ภาระงาน/ช้ินงาน เกณฑก์ ารประเมนิ (Rubrics) พอใช้ ปรับปรุง
แบบฝึกหดั ดมี าก ดี
ทาแบบฝกึ หัด ทาแบบฝึกหดั
ทาแบบฝึกหัด ทาแบบฝกึ หดั ถูกตอ้ ง 50 - ถูกต้อง ต่ากวา่
ถูกตอ้ ง 80% ถกู ตอ้ ง 60-80%
60% 50%
ขน้ึ ไป
เกณฑ์การประเมนิ ผลการทาแบบทดสอบก่อนเรยี น / แบบทดสอบเกบ็ คะแนน ใชเ้ กณฑ์ดังน้ี
รอ้ ยละ 80 ข้ึนไป หมายถึง ดีมาก
ร้อยละ 70-79 หมายถึง ดี
รอ้ ยละ 60-69 หมายถงึ ปานกลาง
รอ้ ยละ 50-59 หมายถงึ ผ่าน
ต่ากวา่ รอ้ ยละ 50 หมายถงึ ปรับปรงุ
ผูป้ ระเมนิ
1. ครผู ู้สอนประเมนิ นกั เรยี น 2. นกั เรยี นประเมนิ นักเรียน
10. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ใช้การเรียนการสอน แบบ 5E
1. ขั้นสร้างความสนใจ
1. ครทู บทวนการเกดิ กระแสไฟฟา้ จากเครอื่ งกาเนดิ ไฟฟา้ กระแสสลบั
2. ให้นกั เรียนร่วมกันตั้งคาถามเก่ียวกับสง่ิ ทต่ี ้องการรู้ จากเนื้อหาท่ีเกยี่ วกับไฟฟา้ กระแสสลับ
2. ขนั้ สารวจและคน้ หา
1. แบ่งนักเรียนเปน็ กลุ่ม ๆ 6 -7 คน (ประกอบด้วย นักเรียน เกง่ กลาง ออ่ น จากผลการวเิ คราะห์
ผูเ้ รยี น)
2. ครูนานักเรียนอภปิ รายการต่อไฟฟ้ากระแสสลับกับตวั ตา้ นทาน และให้นกั เรยี นศกึ ษากราฟ
ความสมั พนั ธข์ องความต่างศกั ย์และกระแสไฟฟา้ ของตัวต้านทานกบั เวลาในแบบเรยี น
3. ครใู หน้ ักเรยี นแตล่ ะกลุ่มการวางแผนการศกึ ษา
4. นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ร่วมกันสบื ค้นและศึกษา
5. นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ อภิปรายร่วมกนั ถงึ ความสัมพนั ธ์ของความตา่ งศักยแ์ ละกระแสไฟฟา้ ของตัว
ตา้ นทานเมอื่ ต่อกับไฟฟ้ากระแสสลบั
3. ข้ันอธบิ ายและลงข้อสรุป
1. นักเรยี นแต่ละกลุม่ นาเสนอผลการสืบค้นและผลการศกึ ษา
2. นักเรียนแต่ละกลุ่มได้ผลการสืบค้นและศึกษา เหมือนกนั หรือตา่ งกันอยา่ งไร
3. ครูต้ังคาถาม ดังนี้
- ความสมั พันธ์ของกราฟความตา่ งศักยก์ ับเวลา มีความสมั พนั ธ์กันอยา่ งไร
- ความสมั พนั ธข์ องกราฟกระแสไฟฟ้ากับเวลา มีความสัมพนั ธ์กนั อย่างไร
- ความสมั พันธ์ของกราฟความต่างศักย์กบั กระแสไฟฟา้ มีความสัมพนั ธ์กนั อย่างไร
- การวดั คา่ ความต่างศกั ยใ์ นวงจรวัดอยา่ งไร คา่ ทไี่ ดค้ ือคา่ ใด
- การวดั ค่ากระแสไฟฟา้ ในวงจรวดั อย่างไร คา่ ที่ไดค้ อื ค่าใด
4. นกั เรยี นทงั้ หมดร่วมกันสรุปผลจากการศกึ ษาและอภิปราย ค่าอารเ์ อ็มเอสของความต่างศกั ย์
และกระแสไฟฟ้าในวงจรของตัวต้านทานต่อกบั ไฟฟา้ กระแสสลับ
5. ครอู ธิบายสมการท่ใี ช้คานวณหาค่าอารเ์ อ็มเอสของความตา่ งศกั ย์และกระแสไฟฟา้ และปริมาณ
ท่ีเก่ยี วข้องพรอ้ มยกตัวอยา่ ง
6. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มรบั โจทยป์ ญั หากล่มุ ละ 4 ขอ้
4. ข้ันขยายความรู้
1. ให้นกั เรยี นร่วมกันอภปิ รายแนวคดิ ทไ่ี ด้จากการศกึ ษาเรอื่ ง ไฟฟา้ กระแสสลบั ค่าอารเ์ อม็ เอสของ
ความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้าในวงจรตัวตา้ นทาน
2. นักเรียนแตล่ ะกล่มุ นาเสนอผลงานการคิดคานวณโจทย์ปัญหาทีไ่ ด้รบั มอบหมาย
5. ขั้นประเมนิ ผล
1. ทาแบบฝกึ หัดพฒั นาทักษะการคิดในแบบเรยี น เร่อื ง ไฟฟ้ากระแสสลับ ในแบบเรยี น
แบบฝกึ หัด 15.5 (หนา้ 101) แบบฝึกหัดท้ายบท คาถาม ข้อ 3-10 (หน้า 108-109)
ปัญหาข้อที่ 13-19 (หน้า 112-115)
2. ทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 2 เรอ่ื ง ไฟฟ้ากระแสสลับ
10. สื่อการเรยี นร้/ู แหล่งเรียนรู้
ส่ือการเรยี นรู้
1. หนังสอื เรียนรายวิชาเพม่ิ เติมฟิสิกส์ เล่ม 5 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ของ สสวท.
2. PPT หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 เรือ่ งแม่เหลก็ และไฟฟ้า
3. แบบฝกึ หัดพัฒนาทักษะการคิดในแบบเรยี น เรอื่ ง ไฟฟ้ากระแสสลบั ในแบบเรียน
แบบฝึกหัด 15.5 (หน้า 101) แบบฝกึ หัดทา้ ยบท คาถาม ขอ้ 3-10 (หนา้ 108-109)
ปญั หาขอ้ ท่ี 13-19 (หน้า 112-115)
4. แบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 2 เรอื่ ง ไฟฟา้ กระแสสลับ
แหล่งเรยี นรู้
1. หอ้ งสมุดโรงเรยี น
2. หอ้ งสืบค้น Resource Center
11. กิจกรรมเสนอแนะ
แนะนาให้นักเรียนค้นควา้ หาความรู้เพมิ่ เติมเร่ือง
จาก http://www.school.net.th/education/physics-resources.php3 และ
http://SCIENCE.HOWSTAFFWORKS.com
ข้อเสนอแนะของหวั หน้ากลุม่ สาระการเรยี นรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
ลงชื่อ........................................................
(นางเกศนิ ี พงษ์พันธ)ุ์
ตาแหน่ง หวั หนา้ กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
วันที่..........เดอื น..........................พ.ศ............
ขอ้ เสนอแนะของรองผอู้ านวยการกลุ่มบริหารงานวิชาการ
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………........................................……….
ลงชอ่ื ...................................................................
(นายสุรศกั ดิ์ โพธิ์บัลลงั ค์)
ตาแหนง่ รองผู้อานวยการกล่มุ บริหารงานวิชาการ
วันท่ี..........เดอื น..........................พ.ศ............
ข้อเสนอแนะของผ้อู านวยการโรงเรียน
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
ลงชื่อ.......................................................
(นายพัฒนา ทรงประดษิ ฐ)
ตาแหนง่ ผู้อานวยการโรงเรียนวัชรวิทยา
วันท่ี..........เดอื น..........................พ.ศ............
บนั ทึกผลหลังการสอนแผนการสอนท่ี 5
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 วิชา ฟสิ ิกส์ 5 รหสั วชิ า ว30205
ครผู ู้สอน นางดวงดาว บดีรฐั
1. ผลการสอน
1.1 สรปุ ผลการสอน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.2 หาความกา้ วหนา้ ในการเรยี นการสอน
จานวนนกั เรยี น คะแนนเตม็ คะแนนเฉลี่ย คะแนนเฉล่ีย ความก้าวหนา้
ก่อนเรยี น หลงั เรียน ในการเรยี น
ร้อยละความกา้ วหน้า = คะแนนหลงั เรียน – คะแนนกอ่ นเรียน x 100
คะแนนเต็ม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปัญหา / อุปสรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ข้อเสนอแนะ / แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………................……………………………………………………………….………………………………………………………
ลงชื่อ………………………………ครผู ้สู อน
(นางดวงดาว บดรี ฐั )
ตาแหนง่ ครู คศ. 3
วนั ที่…..เดือน……………..……..พ.ศ...........
เกณฑ์การให้คะแนนการประเมินตามสภาพจรงิ
ระดบั คะแนน 5 4 3 2 1
การทาแบบฝึกหัด ทางานทีไ่ ดร้ ับ ทางานที่ไดร้ ับ ทางานท่ีได้รับ ทางานท่ไี ด้รับมอบหมาย ไม่สามารทางานที่
มอบหมายด้วยตนเอง มอบหมายดว้ ยตนเองไม่ ดว้ ยตนเอง ไม่ครบถว้ น ไดร้ บั มอบหมายดว้ ย
และแบบฝึกคานวณ มอบหมายดว้ ยตนเอง ครบถ้วนถกู ต้อง70% ครบถว้ นถูกตอ้ ง60% ถกู ตอ้ ง 50% /ตรงตาม ตนเอง และไม่ส่ง
ตรงตามกาหนสง่ ตรงตามกาหนดสง่ กาหนดส่ง ตามกาหนดส่ง
ครบถ้วนตรงตาม
งานกลุม่ ครบถว้ นแต่ งานกลุ่มไมค่ รบถ้วน งานกล่มุ ไม่ครบถ้วน โดยมี งานกลมุ่ ไม่ครบถว้ น
กาหนดสง่ และถูกต้อง ไม่เรียบรอ้ ย ภายใต้ ภายใตค้ วามรว่ มมือของ สมาชกิ ในกลุ่มบางคน โดยสมาชกิ ทง้ั กล่มุ
ความร่วมมอื ของ สมาชิกในกลุ่มทกุ คน ไม่ให้ความรว่ มมือ ไมใ่ หค้ วามร่วมมอื
การทางานรว่ มกัน งานกลุ่มครบถว้ น สมาชิกในกลมุ่ ทกุ คน
เป็นกลุ่ม เรียบรอ้ ย ภายใต้
ความรว่ มมอื ของ
สมาชิกในกลุม่ ทกุ คน
ระดับคะแนน 5 4 3 2 1
การอภปิ ราย ก า ร อ ภิ ป ร า ย ผ ล การอภปิ รายผล การอภิปรายผลถูกต้อง การอภิปรายผลไม่ถูกต้อง ผู้ อ ภิ ป ร า ย ไ ม่
ถู ก ต้ อ ง ชั ด เจ น ผู้ ถกู ตอ้ งชัดเจน แตไ่ ม่ชัดเจน ผู้ อ ภิ ป ร า ย น า เส น อ ก า ร สามารถเสนอการ
อภิปรายนาเสนอ การ ผู้อภปิ รายนาเสนอ ผู้ อ ภิ ป ร า ย น า เส น อ ผ ล อธบิ ายไดไ้ ม่ดี อภิปรายผลได้
อภิปรายได้ดี พูดชัด การอภิปรายไดไ้ ม่ค่อย การอภิปรายไดไ้ มค่ อ่ ยดี
ถ้อยชดั คา ดี
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 7
กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหสั วิชา ว 30205 รายวิชา ฟสิ กิ ส์ 5
ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 6 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565
ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 เรือ่ ง แมเ่ หล็กและไฟฟา้
ช่อื แผน การผลติ และการส่งไฟฟา้ กระแสสลบั เวลา 3 ช่วั โมง ผูส้ อน นางดวงดาว บดีรัฐ
โรงเรยี นวชั รวทิ ยา อาเภอเมือง จังหวัดกาแพงเพชร
************************************************************************************
1. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
1. การผลติ และการสง่ ไฟฟ้ากระแสสลบั
การผลติ ไฟฟา้ กระแสสลับในระบบ 3 เฟส
เม่อื นาตวั ต้านทานไปตอ่ กบั เครอ่ื งกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับพบวา่ กระแสไฟฟา้ ที่ผ่านตวั ตา้ นทานกบั เวลาและ
ความต่างศักย์ไฟฟา้ ระหวา่ งปลายท้งั สองของตัวต้านทานกบั เวลา จะมลี ักษณะดงั กราฟ
จากการศึกษาหลกั การของเคร่อื งกาเนดิ ไฟฟ้าหรือไดนาโมกระแสสลบั เปน็ การผลิตไฟฟา้ โดยใช้ขดลวดหมนุ
ตัดฟลักซ์แมเ่ หล็ก แต่เนอื่ งจากหมนุ ชดลวดซึ่งมีขนาดใหญ่จะมีไมส่ ะดวก จงึ อาจใช้ แท่งแม่เหลก็ หมุน เพอื่ ให้ฟ
ลักซแ์ ม่เหล็กตัดขดลวดตัวนา ซ่งึ กระแสไฟฟา้ เหนยี่ วนาทีเ่ กิดขน้ึ ภายในลวด ตวั นา สามารถตอ่ สายไฟออกไป
ทันที ไม่ต้องมีแหวนลนื่ หรอื แปรง ตัวอยา่ งก็คอื เคร่อื งกาเนดิ ไฟฟา้ ของ รถจักรยาน และรถยนต์ เป็นต้นสาหรบั
เครอื่ งกาเนดิ ไฟฟา้ สลับท่ีใชง้ านตามโรงไฟฟ้า จะมชี ดลวดตวั นาอยู่ 3 ชดุ โดยแต่ละชุดวางทามมุ 120 ซึ่ง
เรียก เครือ่ งกาเนิดไฟฟ้าแบบนนว้ี ่า เครือ่ งกาเนดิ ไฟฟา้ 3 เฟส ซ่งึ มลี กั ษณะดงั รปู
เครือ่ งกาเนดิ ไฟฟา้ 3 เฟส ประกอบดว้ ยชดลวดเหมือนกันทุกประการ วางอย่บู นดา้ นของสามเหลยี่ มด้านเทา่
ตรงกลางมแี ทง่ แมเ่ หล็กถาวรอยู่ โดยแกนหมนุ อยู่ตรงกลางของสามเหลยี่ มพอดี การเปล่ยี นแปลงของ ฟลกั ซ์
แมเ่ หลก็ เนอ่ื งจากการหมนุ แทง่ แมเ่ หล็ก ทาให้เกิดการเหนี่ยวนาแม่เหลก็ ไฟฟา้ ทีข่ ดลวดท้งั สามผลก็คือ เกดิ
ความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟา้ และกระแสไฟฟา้ เหนยี่ วนาข้นึ ในขดลวดทั้งสาม แต่จะมีเฟสต่างกัน 120 ตามมุมระหว่าง
ระนาบทงั้ สาม จงึ ทาให้คา่ สูงสดุ ของความต่างศักย์ของ ขดลวดแต่ละชดุ เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน ซงึ่ สามารถเขยี น
กราฟระหว่างความต่างศักยก์ ับเวลาของขดลวดแตล่ ะชุดไดด้ งั รปู 5
ในเครื่องกาเนดิ ไฟฟา้ 3 เฟส ถ้าโยงจดุ B, D F เข้าดว้ ยกัน แลว้ ตอ่ สายดิน จงึ มีศกั ย์ไฟฟ้าเป็นศนู ยเ์ ทียบกบั
พ้นื ดิน เรียกว่า สายกลาง (N) ส่วนสายท่เี หลือของแตล่ ะชดุ อกี 3 เส้น จะเป็นสายทมี่ ีศกั ย์ไฟฟา้ แตกต่างกบั ดนิ
เรียกว่า สายมีไฟฟ้า (L)
การผลติ และการส่งพลงั งานไฟฟ้าจากโรงไฟฟา้ นยิ มสง่ แบบไฟฟ้ากระแสสลบั 3 เฟส 3 สาย แตส่ าหรับไฟฟา้ ที่
ใช้ตามบ้านเรอื นนนั้ เป็นไฟฟ้าเฟสเดียว ซงึ่ อาจไดจ้ ากการต่อสายมีไฟสายใดสายหน่ึงของไฟฟ้า 3 เฟส กบั สาย
กลาง ไฟฟา้ เฟสเดียวน้ใี ช้กับเครือ่ งใช้ไฟฟ้าที่ต้องการกาลงั ไมม่ ากนัก ถ้าเปน็ พวกมอเตอร์ไฟฟ้าสลบั ขนาดใหญ่
ท่ีใชก้ ันตามโรงงานมกั จะใชไ้ ฟฟ้า 3 เฟส ซงึ่ ในกรณีน้ีจะต่อสายไฟทัง้ 3 สาย ของไฟฟ้า 3 เฟส ทม่ี ีความตา่ ง
ศกั ย์เหมาะสมกับตวั มอเตอร์ไฟฟา้ สลบั ได้เลย
ข้อดี ของการผลติ และการส่งไฟฟ้า 3 เฟส คือ การสง่ กาลังไฟฟา้ จะถกู แบง่ ออกเปน็ 3 ส่วน ทาให้ไมต่ ้องใช้
สายไฟใหญ่มาก เป็นการประหยดั และลดการสญู เสียไดม้ าก นอกจากนี้ชุมชนต่างๆ ที่ใช้ไฟฟา้ กนั คนละเฟส
เมอ่ื เกิดไฟฟา้ ดับในเฟสใดเฟสหนึง่ ชุมชนที่ใชไ้ ฟฟา้ เฟสอื่นยงั มีไฟฟา้ ใชต้ ามปกติ
การสง่ พลงั งานไฟฟ้าไฟฟา้ กระแสสลบั ที่ส่งไปตามบ้านเรือนเป็น ไฟฟ้ากระแสสลับท่ีตอ้ งเพิ่มอีเอ็มเอฟจาก
โรงงานไฟฟ้าแลว้ ลดอีเอม็ เอฟให้มีค่าท่ีต้องการโดยใช้หมอ้ แปลงซ่งึ ประกอบด้วย ขดลวดปฐมภมู แิ ละขดลวด
ทตุ ยิ ภมู ิ ไฟฟ้ากระแสสลบั ที่ผ่านขดลวดปฐมภูมิของหมอ้ แปลงจะทาให้เกดิ อีเอม็ เอฟเหนีย่ วนา ในขดลวด
ทตุ ิยภูมขิ องหม้อแปลง โดยอีเอ็มเอฟในขดลวดทตุ ิยภมู ขิ ึน้ กับอีเอ็มเอฟ ในขดลวดปฐมภมู ิและจานวนรอบของ
ขดลวดทงั้ สอง ตามสมการ
2. มาตรฐาน
สาระฟสิ ิกส์
3. เข้าใจแรงไฟฟ้า และกฎขอคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟา้ และกฎของโอหม์ วงจรไฟฟา้
กระแสตรง พลงั งานไฟฟา้ และกาลังไฟฟ้า การเปลย่ี นพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟา้
สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กท่ีกระทากับประจไุ ฟฟา้ และกระแสไฟฟ้า การเหน่ยี วนา
แมเ่ หล็กไฟฟ้า และกฎของฟาราเดย์ ไฟฟา้ กระแสสลบั คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าและการส่ือสาร
รวมทงั้ การนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์
3. ตวั ชี้วัด/ผลการเรยี นรู้
ผลการเรียนรู้
อธิบายหลักการทางานและประโยชน์ของเคร่อื งกาเนดิ ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส
การเปล่ยี นแปลงอีเอม็ เอฟของหมอ้ แปลง และคานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ที่เกย่ี วขอ้ ง
4. สาระการเรยี นรู้
- สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
การผลติ และการส่งไฟฟา้ กระแสสลบั 1. เครอ่ื งกาเนดิ ไฟฟ้ากระแสสลบั 3 เฟส
2. หมอ้ แปลงไฟฟา้
5. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
จุดเนน้ การพฒั นาคุณภาพผเู้ รยี นด้านสมรรถนะ
1. การใชเ้ ทคโนโลยเี พือ่ การเรียนรู้
2. ทกั ษะการส่อื สารอยา่ งสรา้ งสรรค์ตามช่วงวัย
3. ทักษะการคิดชัน้ สงู
6. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
1. ซื่อสตั ย์สุจริต
2. มีวนิ ัย
3.ใฝ่เรยี นรู้
4. มงุ่ มนั่ ในการทางาน
จุดเนน้ การพัฒนาคุณภาพผเู้ รียนด้านคุณลักษณะ
1. คุณลกั ษณะมงุ่ ม่ันในการทางาน
2. คุณลกั ษณะใฝ่เรยี นรู้
7. คณุ ลกั ษณะ 5 ประการโรงเรียนสจุ ริต
1. กระบวนการคดิ
2. มีวินัย
3.ซื่อสตั ยส์ ุจริต
4. อยู่อย่างพอเพียง
5. มจี ิตสาธารณะ
8. ชนิ้ งาน/ภาระงาน
1. ทาแบบฝกึ หดั พฒั นาทักษะการคิดในแบบเรียน เร่ือง การผลิตและการสง่ ไฟฟา้
กระแสสลับในแบบเรยี น แบบฝึกหัด 15.5 (หน้า 101) แบบฝึกหัดทา้ ยบท คาถาม
ข้อ 19 (หนา้ 115)
2. ทาแบบทดสอบเกบ็ คะแนนแผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 7 เรอ่ื ง การผลิตและการส่งไฟฟ้า
กระแสสลับ
3. ทาแบบทดสอบหลังเรยี น หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 1 แม่เหลก็ และไฟฟ้า
9 .การวดั และประเมนิ ผล
9.1 การประเมนิ ระหว่างจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ชิ้นงาน/ภาระงาน วธิ กี ารประเมนิ เครอ่ื งมอื เกณฑก์ ารประเมิน
ตามเกณฑ์
ทาแบบทดสอบหลงั เรียน ตรวจแบบทดสอบ แบบทดสอบ
หลงั เรียน การประเมินผล
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 1 หลงั เรยี น จานวน 20 ข้อ การทาแบบทดสอบ
เรือ่ ง แมเ่ หล็กและไฟฟ้า จานวน 20 ข้อ ตามเกณฑ์
การประเมินผล
ทาแบบฝกึ หัดพฒั นาทกั ษะ ตรวจแบบฝกึ หัด แบบฝกึ หัดพฒั นา
การคิดในแบบเรียน พัฒนาทกั ษะการคดิ ทักษะการคิดใน แบบฝึกหัด
เร่อื ง การผลิตและการสง่ ในแบบเรยี น เร่อื ง แบบเรียน เรือ่ ง
ไฟฟา้ กระแสสลับ การผลิตและการสง่ การผลติ และการสง่
ไฟฟ้ากระแสสลับ ไฟฟา้ กระแสสลับ
9.2 การประเมินเม่อื สน้ิ สุดการเรียนรู้
ชิ้นงาน/ภาระงาน วิธกี ารประเมนิ เครอ่ื งมอื เกณฑก์ ารประเมิน
สอบเก็บคะแนน ทาแบบทดสอบ แบบทดสอบเก็บ ตามเกณฑ์
คะแนน การประเมินผล
เกบ็ คะแนน การทาแบบทดสอบ
จานวน 10 ขอ้
จานวน 10 ข้อ
ภาระงาน/ช้นิ งาน เกณฑ์การประเมนิ (Rubrics) พอใช้ ปรับปรงุ
แบบฝึกหัด ดมี าก ดี
ทาแบบฝกึ หัด ทาแบบฝึกหดั
ทาแบบฝึกหัด ทาแบบฝึกหัด ถกู ตอ้ ง 50 -60% ถูกตอ้ ง ตา่ กวา่
ถกู ตอ้ ง 80% ถกู ตอ้ ง 60-80% 50%
ข้นึ ไป
เกณฑ์การประเมินผลการทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น / แบบทดสอบเก็บคะแนน ใช้เกณฑ์ดังน้ี
รอ้ ยละ 80 ขน้ึ ไป หมายถงึ ดีมาก
รอ้ ยละ 70-79 หมายถึง ดี
รอ้ ยละ 60-69 หมายถึง ปานกลาง
รอ้ ยละ 50-59 หมายถงึ ผ่าน
ตา่ กว่าร้อยละ 50 หมายถงึ ปรับปรุง
ผปู้ ระเมนิ
1. ครูผ้สู อนประเมนิ นักเรยี น 2. นักเรยี นประเมินนกั เรียน
10. กิจกรรมการเรียนรู้ ใชก้ ารเรียนการสอน แบบ 5E
1. ขนั้ สร้างความสนใจ
1. นกั เรียนดคู ลปิ วีดีโอ เรอื่ ง “การผลิตกระแสไฟฟา้ ”
2. ให้นกั เรยี นรว่ มกนั ตงั้ คาถามเก่ียวกับส่ิงที่ตอ้ งการรจู้ ากเนอื้ หาทเ่ี กย่ี วกบั วดี โี อ
2. ข้ันสารวจและคน้ หา
1. แบ่งนกั เรยี นเป็นกล่มุ ๆ 6 -7 คน (ประกอบด้วย นักเรยี น เกง่ กลาง อ่อน จากผลการวิเคราะห์
ผู้เรยี น)
2. ครูนานักเรยี นอภปิ รายถึงการผลติ กระแสไฟฟา้ ในรปู แบบต่างๆในชวี ติ ประจาวนั ของนักเรยี น
แล้วใหน้ ักเรยี นยกตัวอย่างตามความเข้าใจของนักเรยี น โดยให้นักเรยี นแสดงเหตผุ ลประกอบดว้ ย
3. ครใู หน้ ักเรียนแตล่ ะกล่มุ การวางแผนการสบื คน้ /การศึกษาเรอื่ ง การผลิตและการส่งกระแสไฟฟ้า
4. นักเรยี นแต่ละกลมุ่ รว่ มกนั สบื ค้นและศึกษา จากคลปิ วดี ิโอ
“การส่งกระแสไฟฟ้าและหมอ้ แปลง” ความยาว 18 นาที
5. นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ อภปิ รายรว่ มกนั ถงึ การผลิตและการส่งไฟฟ้ากระแสสลบั
3. ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรปุ
1. นักเรยี นแต่ละกลุ่มนาเสนอผลการสืบคน้ และผลการศกึ ษา เร่อื ง การผลิตและการส่งไฟฟา้
กระแสสลบั
2. นักเรียนแตล่ ะกลุ่มได้ผลการสืบค้นและศึกษา เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
3. ครูตัง้ คาถามดงั น้ี
- การผลิตไฟฟ้ากระแสสลบั 1 เฟส มลี ักษณะอย่างไร
- การผลิตไฟฟา้ กระแสสลับ 3 เฟส มลี ักษณะอย่างไร
- เปรียบเทียบข้อดี-เสยี ของการผลิตไฟฟา้ กระแสสลบั 1 เฟสและ 3 เฟส มีความเหมือนหรอื
แตกตา่ งกนั อยา่ งไร
- การส่งไฟฟา้ จากแหล่งผลติ มีลักษณะการส่งอยา่ งไรและมีอปุ กรณใ์ ดทีเ่ กี่ยวขอ้ ง
- หม้อแปลงมีสมบตั ิอย่างไร มีกชี่ นดิ แต่ละชนิดนามาใชเ้ หมือนหรือต่างกนั อย่างไร
4. นกั เรยี นทัง้ หมดร่วมกันสรปุ ผลจากการศกึ ษาและอภิปราย เรื่อง การผลิตและการสง่ ไฟฟา้
กระแสสลบั
5. ครูอธิบายสมการที่ใช้คานวณปริมาณของหมอ้ แปลงและปรมิ าณทเ่ี กย่ี วขอ้ งพรอ้ มยกตวั อยา่ ง
6. นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ รับโจทย์ปญั หากล่มุ ละ 5 ข้อ
4. ขน้ั ขยายความรู้
1. ให้นักเรียนร่วมกันอภปิ รายแนวคิดทไ่ี ด้จากการสืบค้นและศึกษาเรื่อง การผลิตและการส่งไฟฟ้า
กระแสสลบั
2. นักเรยี นแต่ละกลุ่มนาเสนอผลงานการคดิ คานวณโจทย์ปญั หาท่ีไดร้ บั มอบหมาย
5. ขน้ั ประเมนิ ผล
1. ทาแบบฝึกหัดพฒั นาทักษะการคดิ ในแบบเรียน เร่ือง การผลิตและการส่งไฟฟา้ กระแสสลับ
ในแบบเรียน แบบฝกึ หัด 15.5 (หนา้ 101) แบบฝึกหดั ท้ายบท คาถามขอ้ 19 (หน้า 115)
2. ทาแบบทดสอบเกบ็ คะแนนแผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 7 เรื่อง การผลิตและการส่งไฟฟา้
กระแสสลับ
3. ทาแบบทดสอบหลังเรยี น หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 แม่เหล็กและไฟฟา้
10. สอื่ การเรียนร้/ู แหลง่ เรยี นรู้
สอ่ื การเรยี นรู้
1. หนงั สอื เรยี นรายวชิ าเพิ่มเตมิ ฟิสิกส์ เล่ม 5 กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ของ สสวท.
2. PPT หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 2 เร่อื ง ความร้อนและทฤษฎีจลนข์ องแก๊ส
3. ทาแบบฝกึ หดั พฒั นาทักษะการคดิ ในแบบเรียน เรอื่ ง การผลติ และการสง่ ไฟฟา้ กระแสสลับ
ในแบบเรียน แบบฝึกหัด 15.5 (หนา้ 101) แบบฝกึ หดั ท้ายบท คาถามข้อ 19 (หนา้ 115)
4. ทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 6 เรื่อง การผลิตและการสง่ ไฟฟา้
กระแสสลับ
3. ทาแบบทดสอบหลังเรยี น หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 แม่เหลก็ และไฟฟา้
แหลง่ เรียนรู้
1. ห้องสมดุ โรงเรียน
2. ห้องสบื ค้น Resource Center
11. กิจกรรมเสนอแนะ
แนะนาให้นกั เรียนค้นควา้ หาความรเู้ พ่มิ เติมเรอื่ ง
จาก http://www.school.net.th/education/physics-resources.php3 และ
http://SCIENCE.HOWSTAFFWORKS.com
ข้อเสนอแนะของหวั หนา้ กล่มุ สาระการเรยี นรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
ลงชอื่ ........................................................
(นางเกศนิ ี พงษพ์ ันธ)์ุ
ตาแหนง่ หัวหนา้ กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์
วันท่ี..........เดือน..........................พ.ศ............
ข้อเสนอแนะของรองผู้อานวยการกลุม่ บรหิ ารงานวชิ าการ
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………........................................……….
ลงช่อื ...................................................................
(นายสรุ ศักดิ์ โพธิบ์ ัลลังค์)
ตาแหนง่ รองผอู้ านวยการกลมุ่ บริหารงานวชิ าการ
วันที่..........เดือน..........................พ.ศ............
ขอ้ เสนอแนะของผู้อานวยการโรงเรียน
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
ลงช่อื .......................................................
(นายพัฒนา ทรงประดิษฐ)
ตาแหนง่ ผู้อานวยการโรงเรียนวชั รวิทยา
วันที่..........เดอื น..........................พ.ศ............
บันทึกผลหลังการสอนแผนการสอนที่ 7
ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 วชิ า ฟสิ ิกส์ 5 รหสั วิชา ว30205
ครผู ้สู อน นางดวงดาว บดรี ัฐ
1. ผลการสอน
1.1 สรุปผลการสอน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.2 หาความก้าวหนา้ ในการเรียนการสอน
จานวนนกั เรียน คะแนนเตม็ คะแนนเฉล่ยี คะแนนเฉลย่ี ความก้าวหนา้
กอ่ นเรียน หลังเรียน ในการเรยี น
ร้อยละความกา้ วหน้า = คะแนนหลงั เรยี น – คะแนนก่อนเรียน x 100
คะแนนเตม็
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปัญหา / อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะ / แนวทางแกไ้ ข
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………................……………………………………………………………….………………………………………………………
ลงช่ือ………………………………ครูผูส้ อน
(นางดวงดาว บดีรัฐ)
ตาแหน่ง ครู คศ. 3
วนั ที่…..เดอื น……………..……..พ.ศ...........
เกณฑ์การให้คะแนนการประเมินตามสภาพจริง
ระดบั คะแนน 5 4 3 2 1
การทาแบบฝึกหดั ทางานทีไ่ ด้รับ ทางานท่ีได้รบั ทางานทีไ่ ดร้ บั ทางานทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย ไมส่ ามารทางานท่ี
มอบหมายดว้ ยตนเอง มอบหมายดว้ ยตนเองไม่ ดว้ ยตนเอง ไม่ครบถว้ น ได้รับมอบหมายดว้ ย
และแบบฝกึ คานวณ มอบหมายดว้ ยตนเอง ครบถว้ นถูกตอ้ ง70% ครบถ้วนถกู ต้อง60% ถกู ต้อง 50% /ตรงตาม ตนเอง และไมส่ ่ง
ตรงตามกาหนส่ง ตรงตามกาหนดสง่ กาหนดสง่ ตามกาหนดส่ง
ครบถว้ นตรงตาม
งานกลุ่มครบถว้ นแต่ งานกลุ่มไมค่ รบถว้ น งานกลุ่มไม่ครบถว้ น โดยมี งานกลุ่มไม่ครบถ้วน
กาหนดสง่ และถกู ตอ้ ง ไมเ่ รยี บรอ้ ย ภายใต้ ภายใต้ความรว่ มมอื ของ สมาชิกในกลุม่ บางคน โดยสมาชกิ ท้ังกล่มุ
ความรว่ มมอื ของ สมาชิกในกลุ่มทุกคน ไมใ่ ห้ความรว่ มมือ ไมใ่ ห้ความร่วมมอื
การทางานรว่ มกนั งานกลุ่มครบถว้ น สมาชกิ ในกลุ่มทุกคน
เปน็ กลมุ่ เรยี บรอ้ ย ภายใต้
ความร่วมมือของ
สมาชกิ ในกลุ่มทุกคน
ระดับคะแนน 5 4 3 2 1
การอภปิ ราย ก า ร อ ภิ ป ร า ย ผ ล การอภิปรายผล การอภิปรายผลถูกต้อง การอภิปรายผลไม่ถูกต้อง ผู้ อ ภิ ป ร า ย ไ ม่
ถู ก ต้ อ ง ชั ด เจ น ผู้ ถกู ต้องชัดเจน แตไ่ มช่ ัดเจน ผู้ อ ภิ ป ร า ย น า เส น อ ก า ร สามารถเสนอการ
อภิปรายนาเสนอ การ ผู้อภิปรายนาเสนอ ผู้ อ ภิ ป ร า ย น า เส น อ ผ ล อธบิ ายไดไ้ ม่ดี อภปิ รายผลได้
อภิปรายได้ดี พูดชัด การอภิปรายได้ไม่ค่อย การอภิปรายได้ไมค่ อ่ ยดี
ถ้อยชัดคา ดี
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 2
กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาฟสิ กิ ส์ 5 รหสั วิชา ว30205
ระดบั ชั้นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรยี นท่ี 1 จานวน 1.5 หน่วย เวลาเรียนจานวน 15 ชั่วโมง
ผ้สู อน นางดวงดาว บดีรัฐ โรงเรยี นวชั รวิทยา
1. ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 เรอ่ื ง ความรอ้ นและแกส๊
2. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ช้วี ัด
สาระฟสิ ิกส์
3. เขา้ ใจแรงไฟฟ้า และกฎขอคลู อมบ์ สนามไฟฟา้ ศักย์ไฟฟา้ และกฎของโอหม์ วงจรไฟฟา้
กระแสตรง พลังงานไฟฟ้า และกาลงั ไฟฟ้า การเปลยี่ นพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า
สนามแมเ่ หล็ก แรงแมเ่ หลก็ ที่กระทากบั ประจไุ ฟฟ้าและกระแสไฟฟา้ การเหนีย่ วนาแมเ่ หล็กไฟฟา้
และกฎของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลับ คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ และการส่ือสาร รวมทั้งการนาความรู้
ไปใช้ประโยชน์
7. อธิบายและคานวณความรอ้ นท่ที าให้สารเปลี่ยนอุณหภูมิ ความร้อนที่ทาให้สารเปลีย่ น
สถานะ และความร้อนท่ีเกิดจากการถ่ายโอนตามกฎการอนรุ ักษ์พลังงาน
8. อธบิ ายกฎแก๊สอุดมคตแิ ละคานวณปรมิ าณทเ่ี กยี่ วขอ้ ง
9. อธิบายแบบจาลองของแก๊สอุดมคติ ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส และอัตราเร็วอารเ์ อ็มเอสของ
โมเลกุลของแกส๊ รวมทง้ั ปริมาณต่างๆที่เก่ียวขอ้ ง
10. อธิบายงานทีท่ าโดยแก๊สในภาชนะปิดโดยความดันคงตัว และอธบิ ายความสัมพันธ์
ระหว่างความรอ้ น พลงั งานภายในระบบ และงาน รวมทง้ั คานวณปรมิ าณต่างๆที่
เกย่ี วข้อง และนาความรูเ้ รอื่ งพลงั งานภายในระบบไปอธบิ ายการทางานของเครื่องใชใ้ น
ชีวติ ประจาวนั
สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด
ความร้อน เปน็ พลงั งานรูปหนึ่งที่สามารถทางานได้ และเปลยี่ นเปน็ พลังงานรปู อ่นื ได้ ความ
รอ้ นอาจจะเปลีย่ นรูปมาจากพลงั งานรปู อืน่ ได้ เช่น พลงั งานเคมี พลงั งานไฟฟ้า ฯลฯ
ความรอ้ น เป็นพลังงานซง่ึ สามารถถ่ายทอดจากวัตถุทมี่ อี ณุ หภูมิสงู ไปสูว่ ตั ถทุ มี่ ีอุณหภูมติ ่า
กว่า ความรอ้ นจะถ่ายเทใหก้ นั จนกระทง่ั อุณหภูมิเทา่ กัน
อณุ หภูมิ คอื ปริมาณท่ีใช้บอกระดับความรอ้ น เคร่ืองมือวดั อณุ หภมู ิ เทอร์มอมิเตอรเ์ ป็น
เครอื่ งมือวดั อณุ หภมู ิ ซ่งึ สร้างขึน้ จากการอาศัยสมบตั บิ างอย่างทางฟิสิกส์ท่เี ปลย่ี นไปตามความรอ้ นที่
เปล่ยี นแปลง หน่วยของอุณหภมู ิ อุณหภูมวิ ดั ในหนว่ ย องศาเซลเซียส องศาฟาเรนไฮต์ เคลวิน และ
โรเมอร์ แตท่ ีใ่ ชใ้ นระบบ SI คือ เคลวิน
ความจุความร้อน สถานะและการเปล่ยี นสถานะของสาร สถานะของสารโดยทว่ั ไปจาแนกได้เป็น
3 สถานะ คือ ของแขง็ ของเหลว และแกส๊ การเปลย่ี นแปลงสถานะเน่อื งจากของแข็ง เม่อื ไดร้ บั
ความรอ้ นจะกลายเปน็ ของเหลว ถา้ ร้อนมากขน้ึ จะกลายเป็นแกส๊