1. คุณลักษณะมุ่งมน่ั ในการทางาน
2. คุณลักษณะใฝ่เรียนรู้
7. คุณลักษณะ 5 ประการโรงเรยี นสุจริต
1. กระบวนการคิด
2. มวี ินัย
3.ซือ่ สตั ย์สุจริต
8. ช้ินงาน/ภาระงาน
1. ทาแบบฝึกหัดพฒั นาทักษะการคดิ ในแบบเรยี น เรอ่ื ง สมมตฐิ านของพลังค์
คาถาม ข้อ 1-3 (หน้า 80) และแบบฝึกหัดหน่วยท่ี 2 คาถามขอ้ ที่ 1 (หน้า105) ปัญหาขอ้ 1 (หนา้ 106)
2. ทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 6 เรื่อง สมมติฐานของพลังค์
9 .การวดั และประเมนิ ผล
9.1 การประเมนิ ระหว่างจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
ชิน้ งาน/ภาระงาน วธิ ีการประเมนิ เครอ่ื งมือ เกณฑ์การประเมนิ
ทาแบบฝกึ หัดพัฒนา ตรวจแบบฝึกหัดพัฒนา แบบฝึกหัดพัฒนา ตามเกณฑ์
การประเมินผล
ทักษะการคิดใน ทักษะการคิดใน ทกั ษะการคิดใน
แบบฝึกหดั
แบบเรียน เรอ่ื ง แบบเรยี น เร่ือง แบบเรยี น เรื่อง
สเปกตรมั ของอะตอม สเปกตรมั ของอะตอม สเปกตรัมของอะตอม
และสมมตฐิ านของ และสมมตฐิ านของ และสมมติฐานของ
พลังค์ พลังค์ พลังค์
9.2 การประเมินเมือ่ สน้ิ สุดการเรียนรู้
ชิน้ งาน/ภาระงาน วิธีการประเมิน เคร่ืองมอื เกณฑ์การประเมนิ
สอบเกบ็ คะแนน ทาแบบทดสอบ แบบทดสอบเก็บ ตามเกณฑ์
คะแนน การประเมินผล
เกบ็ คะแนน การทาแบบทดสอบ
จานวน 10 ขอ้
จานวน 10 ข้อ
เกณฑก์ ารประเมนิ (Rubrics)
ภาระงาน/ชิน้ งาน ดีมาก ดี พอใช้ ปรบั ปรงุ
แบบฝึกหัด ทาแบบฝึกหัด ทาแบบฝึกหัด ทาแบบฝกึ หดั ทาแบบฝกึ หดั
ถูกต้อง 80% ถกู ตอ้ ง 60-80% ถกู ตอ้ ง 50 - ถูกต้อง ต่ากวา่
50%
ขึน้ ไป 60%
เกณฑก์ ารประเมินผลการทาแบบทดสอบก่อนเรยี น / แบบทดสอบเก็บคะแนน ใช้เกณฑ์ดังน้ี
รอ้ ยละ 80 ขน้ึ ไป หมายถึง ดีมาก
รอ้ ยละ 70-79 หมายถงึ ดี
รอ้ ยละ 60-69 หมายถึง ปานกลาง
รอ้ ยละ 50-59 หมายถงึ ผา่ น
ต่ากวา่ รอ้ ยละ 50 หมายถงึ ปรับปรุง
ผูป้ ระเมนิ
2. นักเรียนประเมินนักเรยี น
1. ครผู สู้ อนประเมนิ นักเรยี น
10. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ใชก้ ารเรยี นการสอน แบบ 5E
1. ขั้นสร้างความสนใจ
1. ครูนานักเรยี นอภิปรายถงึ สเปกตรัมของแสงขาว โครงสร้างของอะตอม แบบจาลองอะตอม สี
ของสเปกตรมั ตามความเข้าใจของนกั เรียน โดยให้นกั เรยี นแสดงเหตุผลประกอบด้วย(กระบวนการคดิ )
2. ให้นักเรยี นร่วมกนั ต้ังคาถามเกีย่ วกับสง่ิ ทีต่ อ้ งการรู้ จากเนอื้ หาท่ีเก่ยี วกับสเปกตรมั ของอะตอม
(กระบวนการคิด)
2. ขน้ั สารวจและค้นหา
1. แบ่งนักเรยี นเปน็ กลุม่ ๆ 6 -7 คน (ประกอบดว้ ย นักเรยี นเก่ง กลาง อ่อนจากผลการวเิ คราะห์
ผเู้ รยี น)
2. ครูให้นักเรียนแตล่ ะกลุ่มการวางแผนการสืบคน้ การศึกษาเรอ่ื งสเปกตรมั ของอะตอม
3. นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มร่วมกันสืบค้นและศกึ ษา สเปกตรมั ของอะตอม จากคลปิ วดี ิโอ
“สเปกตรัมของอะตอม” ความยาว 10 นาที (กระบวนการคดิ )
4. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มอภิปรายรว่ มกันถึง สเปกตรัมของอะตอม (กระบวนการคิด มวี นิ ัย และซ่ือสัตย์
สุจรติ )
5. นักเรยี นแต่ละกลมุ่ รว่ มกันสืบค้นและศึกษา สมมติฐานของพลังค์ จากคลิปวีดโี อ
“สมมติฐานของพลังค์” ความยาว 5 นาที และข้อมูลในแบบเรียนหนา้ ท่ี 120-124
(กระบวนการคิด มีวินัย และซ่ือสัตย์สจุ รติ )
6. นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ อภิปรายร่วมกันถงึ สมมติฐานของพลงั ค์ (กระบวนการคิด มวี ินยั และซื่อสตั ย์
สุจริต)
7. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มอภิปรายร่วมกันถึง สเปกตรัมของอะตอมและสมมติฐานของพลงั ค์
(กระบวนการคดิ มีวินัย และซอื่ สัตย์สุจรติ )
3. ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรุป
1. นักเรยี นแตล่ ะกลุม่ นาเสนอผลการสบื ค้นและผลการศกึ ษา เรือ่ ง สเปกตรมั ของอะตอมและ
สมมติฐานของพลงั ค์ (กระบวนการคิด มวี นิ ยั และซ่อื สตั ย์สจุ ริต)
2. นกั เรยี นแต่ละกลุม่ ไดผ้ ลการสืบค้นและศกึ ษา เหมือนกันหรือต่างกันอยา่ งไร (ซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ )
3. ครตู ง้ั คาถามวา่ จากการศกึ ษาสเปกตรมั ของอะตอมและสมมติฐานของพลังค์ (กระบวนการคิด)
- สเปกตรมั ของอะตอมไฮโดรเจนมลี ักษณะอยา่ งไรมีสีใด อธิบายด้วยทฤษฎเี รอ่ื งใด
- สเปกตรมั ของอะตอมของแกส๊ รอ้ นมลี กั ษณะอย่างไรมีสีใด อธิบายด้วยทฤษฎเี ร่อื งใด
- การหาค่าพลังงานของสเปกตรมั ตามสมมติฐานของพลังค์หาได้จากสมการใด
- การหาค่าความถ่ีและความยาวคล่ืนของสเปกตรัมมความสัมพันธ์กับสมการสมมติฐาน
ของพลังค์อย่างไรหาไดจ้ ากสมการใด
4. นักเรียนทั้งหมดร่วมกนั สรปุ ผลจากการสืบค้นและศกึ ษาเรื่องสเปกตรัมของอะตอมและสมมตฐิ าน
ของพลงั ค์ (กระบวนการคิด มีวนิ ยั และซอื่ สตั ยส์ ุจริต)
4. ขนั้ ขยายความรู้
1. ให้นกั เรียนร่วมกนั อภิปรายสเปกตรัมของอะตอมและสมมตฐิ านของพลงั ค์ และการฝึก
การคานวณหาค่าพลังงาน ความถ่ีและความยาวคลื่นของสเปกตรัม (กระบวนการคิด มีวินยั และซื่อสัตย์
สจุ ริต)
2. นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มสรุปสเปกตรมั ของอะตอมและสมมตฐิ านของพลังค์ (กระบวนการคดิ มวี ินัย
และซอื่ สัตย์สุจริต)
3. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มแลกเปลี่ยนเรยี นรูก้ ารคานวณโจทยป์ ัญหาทเี่ ก่ยี วขอ้ ง (กระบวนการคิด มีวินยั
และซื่อสัตย์สจุ ริต)
5. ขั้นประเมนิ ผล
1. ทาแบบฝึกหัดพฒั นาทักษะการคิดในแบบเรียน เร่ือง สเปกตรัมของอะตอมและสมมติฐานของ
พลงั ค์ในแบบเรียน คาถาม คาถาม ขอ้ 7-10 (หนา้ 158) และ ปัญหาขอ้ 8-9 (หนา้ 161) (กระบวนการคดิ
มีวนิ ัย และซอื่ สัตย์สุจริต)
2. นักเรียนทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 6 เรื่อง สมมตฐิ านของพลงั ค์
(กระบวนการคิด มวี ินัย และซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ )
11. ส่ือการเรียนรู/้ แหลง่ เรยี นรู้
ส่ือการเรียนรู้
1. หนังสอื เรยี นรายวิชาเพิ่มเติมฟิสิกส์ เลม่ 6 กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ ของ สสวท.
2. คลิปวดี โิ อ “สเปกตรัมของอะตอม” “สมมติฐานของพลงั ค์” สือ่ การสอน สสวท.
https://www.youtube.com/watch?v=GcjV1hbvaNg
3. PPT หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 1 เร่ือง ฟสิ ิกส์อะตอม
4. ทาแบบฝกึ หัดพัฒนาทกั ษะการคิดในแบบเรยี น เร่อื ง สมมติฐานของพลังค์ คาถาม ขอ้ 1-3
(หนา้ 80) และแบบฝกึ หดั หนว่ ยท่ี 2 คาถามข้อท่ี 1 (หน้า105) ปัญหาขอ้ 1 (หน้า 106)
5. ทาแบบทดสอบเกบ็ คะแนนแผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 6 เรอ่ื ง สมมตฐิ านของพลงั ค์
แหลง่ เรียนรู้
1. ห้องสมุดโรงเรยี น
2. หอ้ งสบื คน้ Resource Center
12. กจิ กรรมเสนอแนะ
แนะนาใหน้ ักเรียนค้นคว้าหาความรู้เพมิ่ เตมิ จาก
http://www.school.net.th/education/physics-resources.php3 และ
http://SCIENCE.HOWSTAFFWORKS.com
ข้อเสนอแนะของหวั หน้ากลมุ่ สาระการเรียนรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
ลงช่ือ........................................................
(นางตวงรตั น์ อน้ อิน)
ตาแหน่ง หัวหนา้ กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์
วันท.่ี .........เดอื น..........................พ.ศ............
ขอ้ เสนอแนะของรองผอู้ านวยการกลุม่ บรหิ ารงานวชิ าการ
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
……………………………………………………………………………………………………….
ลงช่ือ...................................................................
(นายสรุ ศกั ด์ิ โพธิ์บัลลงั ค์)
ตาแหน่ง รองผู้อานวยการกลุ่มบริหารงานวิชาการ
วันที่..........เดือน..........................พ.ศ............
ขอ้ เสนอแนะของผู้อานวยการโรงเรียน
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
ลงช่อื .......................................................
(นายพฒั นา ทรงประดษิ ฐ)
ตาแหนง่ ผู้อานวยการโรงเรียนวชั รวทิ ยา
วันที่..........เดือน..........................พ.ศ............
บนั ทกึ ผลหลงั การสอนแผนการสอนท่ี 6
ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 วชิ า ฟสิ กิ ส์ 6 รหัสวชิ า ว302จ6
ครูผสู้ อน นางดวงดาว บดีรัฐ
1. ผลการสอน
1.1 สรปุ ผลการสอน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.2 หาความกา้ วหน้าในการเรยี นการสอน
จานวนนักเรียน คะแนนเต็ม คะแนนเฉลยี่ คะแนนเฉลี่ย ความก้าวหนา้
กอ่ นเรียน หลงั เรียน ในการเรียน
รอ้ ยละความก้าวหนา้ = คะแนนหลังเรียน – คะแนนกอ่ นเรียน x 100
คะแนนเตม็
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปัญหา / อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ข้อเสนอแนะ / แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………….………………………………………………………
ลงช่อื …………….…………………ครผู สู้ อน
( นางดวงดาว บดีรัฐ)
ตาแหน่ง ครู คศ. 3
วนั ท่ี…..เดอื น……………..……..พ.ศ...........
กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ แบบทดสอบ รายวิชา ฟสิ กิ ส์ 6 (ว30206)
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2
เรอื่ ง สเปกตรัมของอะตอม/ ฟสิ ิกสอ์ ะตอม
สมมติฐานของพลังค์
1. จากการวเิ คราะหส์ เปกตรัมของธาตไุ ฮโดรเจน พบวา่ ชดุ ความถ่ีของเส้นสเปกตรมั ในชว่ งทส่ี ามารถมองเหน็ ได้
ดว้ ยตาเปลา่ น้นั มีชอื่ เรยี กวา่
ก. Lyman series ข. Balmer series ค. Paschen series ง. Brackett series
2. จากการวิเคราะหส์ เปกตรมั ของธาตไุ ฮโดรเจน พบว่าชุดความถ่ีของเสน้ สเปกตรมั ในชว่ งรังสีอัลตราไวโอเลต น้ัน
มีช่อื เรียกว่า
ก. Lyman series ข. Balmer series ค. Paschen series ง. Brackett series
3. จากการวิเคราะหส์ เปกตรมั ของธาตไุ ฮโดรเจน พบวา่ ชุดความถ่ีของเส้นสเปกตรมั ใดไมอ่ ยู่ในชว่ งรังสอี ินฟราเรดมี
ชือ่ เรยี กวา่
ก. Fund series ข. Balmer series ค. Paschen series ง. Brackett
series
4. ในชว่ งระดบั พลังงานตา่ สุดสามระดบั แรกของอะตอมไฮโดรเจน คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้าที่ควรพบจะอยใู่ นชุด
ความถีท่ เี่ รียกวา่
ก. ชุดไลมานและชุดบาลม์ เมอร์ ข. ชุดไลมานและชดุ พาเชน
ค. ชุดบาล์มเมอรแ์ ละชดุ พาเชน ง. ชุดไลมาน ชุดบาลม์ เมอร์ และชุดพาเชน
5. ความยาวคลื่นของเส้นสเปกตัมของไฮโดรเจนเสน้ แรก (ท่มี ีความยาวคล่นื มากทีส่ ดุ ) ในอนกุ รมบัลเมอร์คอื
656 ηm โฟตอนที่สามารถทาให้อะตอมไฮโดรเจน จากสถานะพนื้ แตกตวั เปน็ อิออนได้พอดี ควรจะตอ้ งมี
ความยาวคลน่ื เทา่ ใด ข. 121 ηm ค. 91 ηm ง. 71 ηm
ก. 151 ηm
6. อะตอมไฮโดรเจนเปลี่ยนระดบั พลังงานจาก n = 2 ไป n = 1 ความยาวคลนื่ ของแสงที่ ปล่อยออกมาเปน็ กเ่ี ทา่
ของในกรณที ่เี ปล่ยี นระดบั พลังงานจาก n = 4 ถงึ n = 2
ก. 1 เท่า ข. 1 เทา่ ค. 2 เทา่ ง. 4 เทา่
42
7. อะตอมไฮโดรเจนเปลี่ยนระดบั พลงั งานจาก n = 4 ไป n = 2 ความยาวคล่ืนของแสงที่ ปลอ่ ยออกมาเปน็ ก่เี ท่า
ของในกรณที ่ีเปลยี่ นระดับพลงั งานจาก n = 2 ถึง n = 1
ก. 1 เทา่ ข. 1 เท่า ค. 2 เท่า ง. 4 เท่า
42
8. สเปกตัมเส้นสว่างของอะตอมไฮโดรเจน เสน้ สวา่ งลาดับแรกท่เี ราเหน็ ชดั เจนมีความยาว คล่ืนมากท่ีสดุ คอื
656 ηm ในอนกุ รมบัลเมอรเ์ สน้ สวา่ งลาดับทีส่ องจะมคี วามยาวคลน่ื เท่าใด
ก. 356 ηm ข. 386 ηm ค. 456 ηm ง. 486 ηm
9. ในอนุกรมบัลเมอร์ สเปกตัมเส้นสวา่ งของอะตอมไฮโดรเจนเส้นแรกคอื 657 ηm อยากทราบว่า โฟตอนที่จะทา
ให้อเิ ลก็ ตรอนของอะตอมไฮโดรเจนจากสถานะ n = 2 หลุดออกจากอะตอมไดพ้ อดมี คี ่าความยาวคลน่ื เท่าใด
ก. 265 ηm ข. 365 ηm ค. 465 ηm ง. 565 ηm
10. ในอนุกรมบัลเมอร์ สเปกตัมเส้นสว่างของอะตอมไฮโดรเจนเส้นแรกคือ 657 ηm อยากทราบวา่ โฟตอนทีจ่ ะทา
ใหอ้ ิเล็กตรอนของอะตอมไฮโดรเจนจากสถานะ n = 3 หลุดออกจากอะตอมได้พอดมี ีค่าความยาวคลื่นเท่าใด
ก. 265 ηm ข. 365 ηm ค. 465 ηm ง. 565 ηm
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 7
กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหสั วชิ า ว30206 รายวชิ า ฟสิ กิ ส์ 6
ปีการศึกษา 2564
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 ภาคเรยี นท่ี 2
ชื่อหน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 เรอื่ ง ฟสิ กิ ส์อะตอม
ชอ่ื แผน ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ เวลา 6 ช่ัวโมง ผูส้ อน นางดวงดาว บดรี ัฐ
โรงเรยี นวัชรวิทยา อาเภอเมือง จงั หวดั กาแพงเพชร
*************************************************************************************
1. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
ทฤษฎอี ะตอมของโบร์
ก. อิเล็กตรอนมวี งโคจรรอบนวิ เคลียสเป็นชน้ั ๆ โดยในแตล่ ะวงโคจรจะมี
โมเมนตมั เชิงมุม ; เม่อื
ข. เม่ืออเิ ล็กตรอนเปลย่ี นวงโคจรจะคายหรือดูดพลงั งาน เปน็ 1 ควอนตัม
เมือ่ Eni คอื พลังงานของอิเลก็ ตรอนในวงโคจรกอ่ นเปลี่ยนแปลง
Enfi คือ พลังงานของอิเล็กตรอนในวงโคจรหลงั เปล่ียนแปลง
E คอื พลงั งานท่อี เิ ลก็ ตรอนได้รับ ( E เป็นลบ เปลีย่ นวงโคจรจากวงในไปวงนอก)
พลังงานทอี่ ิเล็กตรอนปล่อยออกมา ( E เปน็ บวก เปลี่ยนวงโคจรจากวงนอกไปวงใน)
จากทฤษฎีของโบรท์ าใหแ้ สดงได้ว่า อะตอมไฮโดรเจน จะมี
1. รัศมีอะตอม;
2. อตั ราเร็วของอิเลก็ ตรอน ;
3. พลงั งานของอะตอม ;
ระดับพลังงาน - 13.6 eV เปน็ ระดับพลงั งานของอิเลก็ ตรอนอะตอมไฮโดรเจนวงในสุด เรียกวา่
สถานะพน้ื (ground state) ถ้าอิเล็กตรอนอยใู่ นระดบั พลงั งานสูงกว่าสถานะพนื้ หรอื ในวงโคจรที่ n 2
เรียกสภาวะนวี้ ่า สถานะกระตุน้ (excited state)
สถานะพ้ืน (ground state) คอื สถานะปกตขิ องออะตอมซง่ึ จะมีพลังงานระดบั ตา่ สดุ ค่าหนึ่ง โดย
ปกตอิ เิ ล็กตรอนจะอยู่ในระดับพลังงานตา่ สุดค่านี้จนกวา่ จะไดร้ ับพลังงานจากภายนอกมากพอจึงจะขนึ้ ไปอยู่ใน
ระดบั พลงั งานทสี่ ูงกว่า
สถานะกระตนุ้ (excited state) คือสภาพของอะตอมที่มีอิเล็กตรอนอยู่ในระดับพลังงานสูงกว่า
สถานะพนื้
อะตอมปกติอเิ ล็กตรอนจะมพี ลังงานอยู่ใน สถานะพื้น (ground state) เม่อื อิเล็กตรอนไดร้ บั
พลงั งานจากภายนอกท่เี หมาะสมจะขน้ึ ไปอยู่บนวงโคจรใหม่ตามระดบั ข้นั ของพลังงาน เรียกวา่ สถานะกระตุ้น
(excited state) ทันที (อิเล็กตรอนจะปฏิเสธการรับพลงั งานท่ีมปี รมิ าณน้อยหรือเกินกว่าความเหมาะสม
ของขนั้ พลังงาน) อเิ ลก็ ตรอนจะอยูใ่ นสถานะกระตุ้นไม่ได้และจะกระโดดกลับลงมาท่ีสถานะพน้ื โดยปลอ่ ย
ควอนตัมของพลงั งานออกมาท่ีมคี วามถี่และความยาวคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ ตา่ งๆ กัน
สเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจน จะเกดิ จากการเปล่ียนวงโคจรของอเิ ล็กตรอน คานวณได้จากความ
สัมพันธ์จากสตู ร
หรอื ใชส้ ูตร Δ E (หนว่ ยเป็น eV.) กับ λ (หน่วยเปน็ นาโนเมตร) จากสูตร
2. มาตรฐาน
สาระฟิสิกส์
4. เข้าใจความสมั พนั ธ์ของความรอ้ นกบั การเปลีย่ นอุณหภมู ิและสถานะของสสาร สภาพยืดหยุน่ ของ
วสั ดแุ ละมอดลุ ัสของยงั ความดันในของไหล แรงพยงุ และหลักของอาร์คมิ ีดิส ความตงึ ผิวและ
แรงหนดื ของของเหลว ของไหลอุดมคติ และ สมการแบรน์ ลู ลี กฎของแก๊ส ทฤษฎจี ลนข์ องแกส๊
อุดมคติและพลังงานในระบบ ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอเิ ลก็ ทรกิ ทวภิ าวะของ
คลืน่ และอนภุ าค กมั มนั ตภาพรงั สี แรงนวิ เคลยี ร์ ปฏกิ ิรยิ านิวเคลยี ร์ พลงั งานนวิ เคลยี ร์ ฟิสิกส์
อนุภาค รวมทงั้ นาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์
3. ตัวชวี้ ัด/ผลการเรยี นรู้
ผลการเรยี นรู้ อธบิ ายทฤษฎอี ะตอมไฮโดรเจนของโบร์ การเกดิ สเปกตรมั ของอะตอม
ไฮโดรเจน รวมทง้ั คานวณปรมิ าณต่างๆ ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง
4. สาระการเรียนรู้
- สาระการเรียนร้แู กนกลาง
1. ทฤษฎีอะตอมของโบร์
2. ระดบั พลังงาน
5. สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน
1. ความสามารถในการสอื่ สาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา
จดุ เน้นการพัฒนาคุณภาพผเู้ รยี นด้านสมรรถนะ
1. การใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรยี นรู้
2. ทักษะการสอื่ สารอยา่ งสรา้ งสรรคต์ ามช่วงวัย
3. ทกั ษะการคิดช้ันสูง
6. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
1. ซอ่ื สัตย์สุจริต
2. มวี นิ ยั
3.ใฝเ่ รียนรู้
4. มงุ่ มัน่ ในการทางาน
จดุ เน้นการพัฒนาคุณภาพผ้เู รียนด้านคุณลักษณะ
1. คุณลักษณะมุ่งมั่นในการทางาน
2. คุณลกั ษณะใฝ่เรียนรู้
7. คณุ ลักษณะ 5 ประการโรงเรียนสุจรติ
1. กระบวนการคิด
2. มวี ินยั
3.ซอ่ื สัตย์สุจรติ
8. ชิ้นงาน/ภาระงาน
1. ทาแบบฝึกหัดพัฒนาทกั ษะการคดิ ในแบบเรียน เร่ือง ทฤษฎีอะตอมของโบร์
ปญั หาขอ้ ที่ 1-6 (หนา้ 81 และ และแบบฝกึ หัดหนว่ ยที่ 1 คาถามขอ้ ที่ 2-3 (หนา้ 105)
ปญั หาข้อ 2-5 (หน้า 106-107)
2. ทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 7 เรื่อง ทฤษฎีอะตอมของโบร์
9 .การวดั และประเมนิ ผล
9.1 การประเมนิ ระหว่างจดั กิจกรรมการเรียนรู้
ช้ินงาน/ภาระงาน วธิ ีการประเมนิ เครอ่ื งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ
ทาแบบฝึกหัดพฒั นา ตรวจแบบฝึกหัดพัฒนา แบบฝกึ หดั พฒั นา ตามเกณฑ์
การประเมนิ ผล
ทักษะการคิดใน ทกั ษะการคิดใน ทกั ษะการคิดใน
แบบฝึกหดั
แบบเรยี น เรอื่ ง ทฤษฎี แบบเรียน เรอ่ื ง ทฤษฎี แบบเรียน เรอื่ ง ทฤษฎี
อะตอมของโบร์ อะตอมของโบร์ อะตอมของโบร์
9.2 การประเมินเมอื่ ส้นิ สุดการเรียนรู้
ชิน้ งาน/ภาระงาน วธิ ีการประเมนิ เครอื่ งมือ เกณฑก์ ารประเมิน
สอบเก็บคะแนน ทาแบบทดสอบ แบบทดสอบเก็บ ตามเกณฑ์
คะแนน การประเมินผล
เก็บคะแนน การทาแบบทดสอบ
จานวน 10 ข้อ
จานวน 10 ขอ้
เกณฑ์การประเมิน (Rubrics)
ภาระงาน/ชิน้ งาน ดมี าก ดี พอใช้ ปรบั ปรุง
แบบฝกึ หัด ทาแบบฝกึ หัด ทาแบบฝกึ หดั ทาแบบฝกึ หัด ทาแบบฝกึ หัด
ถกู ตอ้ ง ตา่ กวา่
ถูกตอ้ ง 80% ถกู ตอ้ ง 60-80% ถูกต้อง 50 - 50%
ข้นึ ไป 60%
เกณฑ์การประเมินผลการทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น / แบบทดสอบเกบ็ คะแนน ใช้เกณฑ์ดงั นี้
รอ้ ยละ 80 ขน้ึ ไป หมายถึง ดีมาก
ร้อยละ 70-79 หมายถงึ ดี
รอ้ ยละ 60-69 หมายถึง ปานกลาง
รอ้ ยละ 50-59 หมายถงึ ผา่ น
ตา่ กวา่ รอ้ ยละ 50 หมายถึง ปรับปรงุ
ผูป้ ระเมิน
1. ครูผู้สอนประเมนิ นกั เรียน 2. นกั เรยี นประเมินนกั เรียน
10. กจิ กรรมการเรียนรู้ ใชก้ ารเรยี นการสอน แบบ 5E
1. ข้นั สรา้ งความสนใจ
1. ครนู านกั เรยี นอภปิ รายถงึ แบบจาลองอะตอมและการอธิบายความไมส่ มบูรณ์ของแบบจาลอง
อะตอมของรทั เทอร์ฟอรด์ ตามความเข้าใจของนักเรยี น โดยให้นกั เรียนแสดงเหตุผลประกอบด้วย
(กระบวนการคิด)
2. ใหน้ ักเรยี นร่วมกันตง้ั คาถามเกยี่ วกบั ส่งิ ทีต่ ้องการรู้ จากเนอ้ื หาทเี่ กีย่ วกบั ทฤษฎีอะตอมของโบร์
(กระบวนการคดิ )
2. ขั้นสารวจและคน้ หา
1. แบง่ นักเรยี นเป็นกล่มุ ๆ 6 -7 คน (ประกอบดว้ ย นกั เรียนเก่ง กลาง ออ่ น จากผลการวิเคราะห์
ผู้เรยี น)
2. ครใู หน้ ักเรยี นแตล่ ะกลุม่ การวางแผนการสืบคน้ การศึกษาเรอื่ งทฤษฎีอะตอมของโบร์
(กระบวนการคิด)
3. นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ร่วมกันสบื ค้นและศกึ ษา ทฤษฎีอะตอมของโบร์ จากคลิปวีดิโอ
“ทฤษฎอี ะตอมของโบร์” ความยาว 20 นาที (กระบวนการคดิ )
4. นักเรียนแตล่ ะกล่มุ อภปิ รายรว่ มกันถงึ ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ (กระบวนการคดิ และซอื่ สตั ยส์ ุจริต)
5. นักเรยี นแต่ละกลุ่มรว่ มกนั สบื ค้นและศกึ ษา ระดบั พลงั งานของอะตอมตามข้อมูลในแบบเรียน
หน้าท่ี 125-131 (กระบวนการคิด มีวนิ ยั และซือ่ สตั ย์สุจรติ )
6. นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ อภิปรายร่วมกนั ถงึ ระดบั พลังงาน รศั มี และอัตราเรว็ ของอิเลก็ ตรอนในวง
โคจรต่างๆ (กระบวนการคดิ มวี ินัย และซ่ือสตั ย์สุจรติ )
3. ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
1. นักเรยี นแต่ละกลมุ่ นาเสนอผลการสืบคน้ และผลการศึกษา เร่ือง ทฤษฎีอะตอมของโบร์
(กระบวนการคดิ มวี นิ ัย และซอื่ สตั ยส์ จุ ริต)
2. นกั เรยี นแต่ละกล่มุ ได้ผลการสืบคน้ และศึกษา เหมอื นกันหรอื ต่างกันอย่างไร (กระบวนการคิด
และซ่อื สตั ย์สจุ ริต)
3. ครูต้งั คาถามวา่ จากการศึกษา เร่อื ง ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ (กระบวนการคิด มีวินัย และ
ซ่อื สัตยส์ จุ ริต)
- ทฤษฎอี ะตอมของโบร์มีลักษณะอย่างไรต่างจากแบบจาลองอะตอมอื่นๆอยา่ งไร
- ระดับพลงั งานของอิเลก็ ตรอนแตล่ ะระดบั มีสมบตั ิอย่างไร
- การหาคา่ พลงั งานของอิเลก็ ตรอนในวงโคจรต่างๆหาไดจ้ ากสมการใด
- การหาค่ารศั มีของอเิ ล็กตรอนในวงโคจรต่างๆหาไดจ้ ากสมการใด
- การหาค่าอัตราเร็วของอิเล็กตรอนในวงโคจรต่างๆหาไดจ้ ากสมการใด
4. นักเรียนท้งั หมดรว่ มกันสรุปผลจากการสบื คน้ และศึกษาเร่อื ง ทฤษฎีอะตอมของโบร์
(กระบวนการคดิ มวี ินัย และซื่อสตั ย์สจุ ริต)
4. ขน้ั ขยายความรู้
1. ใหน้ ักเรยี นร่วมกันอภิปรายทฤษฎีอะตอมของโบร์และการฝึกทกั ษะการคานวณหาค่าพลังงาน รัศมี
และอตั ราเรว็ ของอเิ ล็กตรอนในวงโคจรต่างๆ (กระบวนการคดิ มวี ินยั และซือ่ สตั ย์สจุ รติ )
2. นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ สรปุ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ (กระบวนการคดิ มีวนิ ยั และซื่อสัตยส์ จุ รติ )
3. นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มแลกเปลยี่ นเรียนรูก้ ารคานวณโจทย์ปญั หาทเ่ี กย่ี วข้อง (กระบวนการคดิ )
5. ขน้ั ประเมนิ ผล
1. ทาแบบฝึกหัดพฒั นาทกั ษะการคิดในแบบเรียน เรื่อง ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ ปัญหาข้อท่ี 1-6
(หนา้ 81 และ และแบบฝกึ หัดหนว่ ยท่ี 1 คาถามขอ้ ที่ 2-3 (หนา้ 105) ปัญหาขอ้ 2-5 (หนา้ 106-107)
(กระบวนการคดิ มีวนิ ยั และซอ่ื สัตยส์ จุ รติ )
2. ทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 7 เรอื่ ง ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ (กระบวนการคิด
มีวนิ ัย และซอื่ สัตยส์ จุ รติ )
11. สอ่ื การเรยี นร้/ู แหลง่ เรยี นรู้
สื่อการเรยี นรู้
1. หนงั สอื เรยี นรายวชิ าเพม่ิ เตมิ ฟิสิกส์ เลม่ 6 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ของ สสวท.
2. คลิปวีดิโอ “ทฤษฎีอะตอมของโบร์” สอื่ การสอน สสวท.
https://www.youtube.com/watch?v=GcjV1hbvaNg
3. PPT หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 2 เร่ือง ฟสิ ิกสอ์ ะตอม
4. ทาแบบฝึกหดั พฒั นาทักษะการคดิ ในแบบเรียน เรอื่ ง ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปญั หาข้อที่ 1-6
(หนา้ 81 และ และแบบฝึกหัดหนว่ ยที่ 1 คาถามข้อที่ 2-3 (หน้า105) ปญั หาขอ้ 2-5 (หนา้
106-107)
5. ทาแบบทดสอบเกบ็ คะแนนแผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 7 เรือ่ ง ทฤษฎอี ะตอมของโบร์
แหลง่ เรียนรู้
1. ห้องสมดุ โรงเรียน
2. ห้องสบื คน้ Resource Center
12. กจิ กรรมเสนอแนะ
แนะนาให้นกั เรยี นคน้ ควา้ หาความรูเ้ พิม่ เติมจาก
http://www.school.net.th/education/physics-resources.php3 และ
http://SCIENCE.HOWSTAFFWORKS.com
ข้อเสนอแนะของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
ลงช่ือ........................................................
(นางตวงรัตน์ อ้นอิน)
ตาแหนง่ หวั หน้ากล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์
วันที่..........เดอื น..........................พ.ศ............
ข้อเสนอแนะของรองผู้อานวยการกลุ่มบริหารงานวิชาการ
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
……………………………………………………………………………………………………….
ลงชอ่ื ...................................................................
(นายสรุ ศกั ดิ์ โพธบิ์ ลั ลังค์)
ตาแหน่ง รองผู้อานวยการกลุม่ บริหารงานวชิ าการ
วันท่ี..........เดือน..........................พ.ศ............
ข้อเสนอแนะของผู้อานวยการโรงเรยี น
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
ลงชือ่ .......................................................
(นายพฒั นา ทรงประดษิ ฐ)
ตาแหนง่ ผอู้ านวยการโรงเรียนวชั รวทิ ยา
วันท่ี..........เดือน..........................พ.ศ............
บันทกึ ผลหลงั การสอนแผนการสอนท่ี 7
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 วชิ า ฟสิ กิ ส์ 6 รหัสวิชา ว30206
ครูผูส้ อน นางดวงดาว บดีรัฐ
1. ผลการสอน
1.1 สรุปผลการสอน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.2 หาความก้าวหน้าในการเรียนการสอน
จานวนนกั เรียน คะแนนเตม็ คะแนนเฉลีย่ คะแนนเฉลย่ี ความกา้ วหนา้
ก่อนเรยี น หลงั เรียน ในการเรยี น
ร้อยละความก้าวหน้า = คะแนนหลงั เรยี น – คะแนนก่อนเรยี น x 100
คะแนนเต็ม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หา / อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ข้อเสนอแนะ / แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ ………………………………ครูผูส้ อน
( นางดวงดาว บดรี ัฐ)
ตาแหน่ง ครู คศ. 3
วันท…่ี ..เดือน……………..……..พ.ศ...........
กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ แบบทดสอบ รายวิชา ฟิสกิ ส์ 6 (ว30206)
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 เร่ือง หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 2
ฟิสกิ ส์อะตอม
ทฤษฎีอะตอมของโบร์
1. เมื่ออเิ ล็กตรอนของไฮโดรเจนเปลย่ี นจากระดับพลงั งาน n = 4 เปน็ ระดับพลงั งาน n = 2 จะใหแ้ สงสนี า้ เงิน
ถ้าอิเล็กตรอนเปล่ียนระดบั พลังงานจาก n = 5 เป็นระดบั พลงั งาน n = 2 จะใหแ้ สงสีใด
ก. ม่วง ข. เขียว ค. เหลอื ง ง. แดง
2. ตามแบบจาลองอะตอมของไฮโดรเจนตามทฤษฎีอะตอมของโบว์ ถา้ อเิ ล็กตรอนของอะตอมเปลีย่ นจากระดับ
พลังงาน n = 1 เปน็ ระดับพลงั งาน n = 2 ปรมิ าณใดจะมีคา่ เพม่ิ ข้ึน
1. พลังงานของอะตอม 2. โมเมนตัมเชิงมุมของอเิ ลก็ ตรอน
3. อตั ราเร็วเชงิ เสน้ ของอิเลก็ ตรอน 4. แรงไฟฟา้ ระหว่างนิวเคลยี สและอเิ ล็กตรอน
ก. 1 และ 2 ข. 2 และ 3 ค. 3 และ 4 ง. 1 และ 3
3. ในแบบจาลองอะตอมของไฮโดรเจนของโบว์ รศั มีวงโคจรของอเิ ล็กตรอนในสถานะ n = 4 เปน็ กเี่ ท่าของรัศมี
วงโคจรในสถานะ n = 1
ก. 4 เทา่ ข. 8 เทา่ ค. 16 เท่า ง. 64 เท่า
4. อเิ ล็กตรอนตัวหนงึ่ ถูกเรง่ ดว้ ยความตา่ งศักย์ 13.2 โวลต์ เขา้ ชนกับอะตอมของไฮโดรเจนท่ี อยู่ในสถานะพน้ื
การชนครง้ั นจี้ ะสามารถทาให้อะตอมไฮโดรเจนอยูใ่ นระดับพลงั งานสูงสดุ ในระดับ n เทา่ ใด
( พลังงานงานสถานะพนื้ ของไฮโดรเจน = - 13.6 eV )
ก. 7 ข. 6 ค. 5 ง. 4
5. ตามทฤษฎีอะตอมของโบว์ ระดับพลงั งานของอะตอมไฮโดรเจนตา่ สุดเท่ากับ - 13.6 eV ถ้าอะตอมไฮโดรเจน
ถกู กระต้นุ ไปอยู่ที่ระดับพลังงานสงู สุดและกลบั สสู่ ถานะพน้ื ท่มี ีพลังงานต่าสุดโดยการปลอ่ ยโฟตอนออกมาด้วยพลังงาน
10.20 eV แสดงวา่ อะตอมไฮโดรเจนถกู กระตุ้นไปที่ระดบั พลังงานที่ n เทา่ กบั เทา่ ใด
ก. 2 ข. 4 ค. 8 ง. 16
6. พลงั งานต่าสุดของอิเล็กตรอนในอะตอมไฮโดรเจนคือ - 13.6 eV ถ้าอเิ ล็กตรอนเปลี่ยนสถานะจาก n = 3 ไปสู่
สถานะ n = 2 จะให้แสงที่มีพลังงานควอนตัมมเทา่ ใด
ก. 1.51 eV ข. 1.89 eV ค. 3.40 eV ง. 4.91 eV
7. อะตอมไฮโดรเจนเมอ่ื เปล่ียนระดับพลงั งานจากสถานะ n = 3 สสู่ ถานะพืน้ จะใหโ้ ฟตอนมพี ลงั งาน
19.34 x 10 -19 จลู และเมื่อเปลยี่ นสถานะจาก n = 2 สู่สถานะพน้ื จะใหโ้ ฟตอนพลงั งาน 16.33 x 10 -19 จลู
ถ้าต้องการกระตุ้นใหอ้ ะตอมไฮโดรเจนใหเ้ ปล่ยี นระดับพลังงานจาก n = 2 ไปยงั สถานะ n = 3 จะต้องใช้แสง
ความถเ่ี ทา่ ใด
ก. 4.5 x 10 14 Hz ข. 5.4 x 10 14 Hz ค. 3.0 x 10 15 Hz ง. 5.4 x 10 15 Hz
8. ในการกระตุ้นให้อะตอมของไฮโดรเจนท่มี ีระดับพลังงานต่าสุด ( -13.6 eV ) ไปอยทู่ ่ีระดบั พลังงาน n = 4
สเปกตมั เสน้ ทีม่ ีความยาวคลื่นส้นั ทส่ี ุดจะมพี ลังงานเท่าใด
ก. 0.66 eV ข. 0.85 eV ค. 10.20 eV ง. 12.75 eV
9. อเิ ล็กตรอนอนุภาคหนงึ่ มีพลงั งานจลนเ์ ทา่ กับ 4 eV ถูกจบั ไวด้ ้วยโมเลกุลทเี่ ป็นไอออนถ้าอิเล็กตรอนหลงั ถูกจับอยู่
ในระดับพลงั งาน – 4 eV ในกระบวนการนจ้ี ะมีรงั สีความยาวคล่ืนเทา่ ใดปล่อยออกมา
ก. 145 ηm ข. 155 ηm ค. 245 ηm ง. 255 ηm
10. สเปกตมั สีนา้ เงิน ( λ 440 ηm ) จากหลอดปรอท มาจากระดับพลงั งานสองระดบั ทีม่ ีพลังงานตา่ งกนั เทา่ ใด
ก. 1.85 eV ข. 2.44 eV ค. 2.81 eV ง. 3.26 eV
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 8
กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหัสวชิ า ว30206 รายวชิ า ฟิสกิ ส์ 6
ปกี ารศึกษา 2564
ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรยี นท่ี 2
ผู้สอน นางดวงดาว บดรี ัฐ
ชื่อหนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 เรอ่ื ง ฟสิ กิ สอ์ ะตอม
ชือ่ แผน ปรากฏการณ์โฟโตอเิ ลก็ ตริก เวลา 6 ช่ัวโมง
โรงเรยี นวัชรวทิ ยา อาเภอเมอื ง จงั หวัดกาแพงเพชร
************************************************************************************
1. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก (Photoelectric effect)
ปรากฏการณ์โฟโตอิเลก็ ทรกิ คือ ปรากฏการณ์ทฉี่ ายแสงทม่ี ีความถ่ีสงู ตกกระทบผิวโลหะแลว้ ทาให้
เกดิ ประจุไฟฟา้ ลบ(อเิ ลก็ ตรอน) หลดุ ออกมาจากโลหะได้ อเิ ลก็ ตรอนทห่ี ลุดออกมาเรยี กว่า
โฟโตอิเลก็ ตรอน
ผลการศกึ ษาปรากฏการณโ์ ฟโตอิเล็กทริก สรุปได้ดงั น้ี
1. โฟโตอิเล็กตรอนจะเกิดข้ึน เมือ่ แสงที่ตกกระทบโลหะมีความถไ่ี ม่นอ้ ยกว่าค่าความถ่ีคงตวั ค่าหนง่ึ
เรียกวา่ คา่ ความถขี่ ีดเร่มิ ( f0 )
2. จานวนโฟโตอิเลก็ ตรอนจะเพิ่มขน้ึ เม่ือแสงท่ีใช้มีความเข้มแสงมากขึ้น
3. พลงั งานจลน์สูงสดุ Ek(max) ของอิเล็กตรอนไมข่ นึ้ กบั ความเข้มแสง แต่ขน้ึ กบั ค่าความถ่แี สง
4. พลังงานจลนส์ งู สดุ มีค่าเท่ากบั ความตา่ งศกั ยห์ ยดุ ย้ัง
แสงมสี มบัตเิ ปน็ กอ้ นพลังงาน ( photon ) เมือ่ กระทบกับผิวโลหะจะถ่ายโอนพลงั งานให้กบั
อิเล็กตรอนของโลหะทั้งหมด hf พลงั งานส่วนหนึง่ ( hf0 ) ทาใหอ้ ิเลก็ ตรอนหลดุ จากผวิ โลหะได้ ซ่งึ เทา่ กับ
พลงั งานยดึ เหนีย่ วอิเล็กตรอนของโลหะ เรยี กวา่ ( work function ) ใชส้ ัญลักษณ์ ( W ) และพลังงานที่
เหลือเปลีย่ นเปน็ พลังงานจลน์ของอิเลก็ ตรอนซ่งึ เทา่ กับพลงั งานทใ่ี ช้หยุดย้งั อเิ ล็กตรอนนนั้ ( eVs ) ตามสตู ร
E = hf - W
โดยพลงั งานของอเิ ล็กตรอนจะอยูใ่ นรปู E = 1 mv2 หรอื อาจวดั ของความตา่ งศักยห์ ยดุ ย้งั (
2
VS คอื ความตา่ งศักย์ท่ใี ช้หยดุ อิเล็กตรอนไดพ้ อดี ) ซงึ่ จะไดว้ า่ E = eVS (จูล) = VS (eV.)
สมการของพลงั งานโฟโตอเิ ลก็ ตรอนจึงเขยี นไดเ้ ปน็ เมอ่ื W = hf0
Ekmax = eVS = hf -
W
eVS = hf - hf0
VS = ( h ) f -
e
( h ) f0
e
VS = ( h ) f W
ee
กราฟระหว่าง VS กบั f จากสมการ VS = (h) f W
ee
จะได้ ความชันกราฟ = h
e
จุดตดั แกนนอน = f0 (ความถีข่ ีดเรม่ิ )
จุดตัดแกนตัง้ = W
e
หมายเหตุ กรณตี ้องการหาจานวนของโฟตอนจะหาไดจ้ าก
2. มาตรฐาน
สาระฟิสกิ ส์
4. เขา้ ใจความสมั พันธข์ องความร้อนกับการเปลย่ี นอุณหภมู แิ ละสถานะของสสาร สภาพยืดหยุ่นของ
วัสดแุ ละมอดลุ ัสของยัง ความดันในของไหล แรงพยุงและหลกั ของอารค์ ิมีดิส ความตึงผิวและ
แรงหนดื ของของเหลว ของไหลอดุ มคติ และ สมการแบร์นลู ลี กฎของแกส๊ ทฤษฎจี ลน์ของแกส๊
อุดมคติและพลงั งานในระบบ ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ ปรากฏการณโ์ ฟโตอิเลก็ ทริก ทวภิ าวะของ
คล่นื และอนภุ าค กัมมนั ตภาพรงั สี แรงนิวเคลียร์ ปฏิกิริยานวิ เคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์ ฟิสกิ ส์
อนภุ าค รวมทงั้ นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์
3. ตัวชี้วัด/ผลการเรยี นรู้
ผลการเรียนรู้ อธบิ ายปรากฎการณโ์ ฟโตอิเลคตริกและคานวณหาพลงั งานโฟตอน
พลงั งานจลน์ของโฟโตอเิ ลคตรอนและฟงั ก์ชัน่ งานของโลหะ
4. สาระการเรยี นรู้
- สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
1. ปรากฏการณ์โฟโตอิเลก็ ทริก (Photoelectric effect)
5. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
จุดเนน้ การพัฒนาคณุ ภาพผูเ้ รียนด้านสมรรถนะ
1. การใช้เทคโนโลยเี พ่อื การเรยี นรู้
2. ทักษะการสื่อสารอยา่ งสร้างสรรคต์ ามช่วงวัย
3. ทกั ษะการคิดชน้ั สงู
6. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
1. ซ่อื สัตยส์ จุ ริต
2. มวี ินยั
3.ใฝเ่ รียนรู้
4. มุ่งมัน่ ในการทางาน
จดุ เน้นการพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รียนด้านคุณลกั ษณะ
1. คณุ ลกั ษณะมุ่งม่ันในการทางาน
2. คุณลักษณะใฝ่เรยี นรู้
7. คณุ ลักษณะ 5 ประการโรงเรียนสุจรติ
1. กระบวนการคิด
2. มีวินัย
3.ซ่อื สตั ยส์ จุ ริต
8. ชิน้ งาน/ภาระงาน
1. ทาแบบฝึกหัดพฒั นาทกั ษะการคดิ ในแบบเรียน เรอื่ ง ปรากฏการณโ์ ฟโตอิเลก็ ทริก
คาถามขอ้ ที่ 1-4 และปัญหาข้อท่ี 1-5 (หน้า 92) และ และแบบฝกึ หัดหนว่ ยที่ 1 คาถาม
ขอ้ ที่ 4-8 (หนา้ 105-106) ปญั หาขอ้ 6-15 (หน้า 107-108)
2. ทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจดั การเรียนรู้ ที่ 8 เรื่อง ปรากฏการณ์
โฟโตอิเลก็ ทรกิ
9 .การวดั และประเมินผล
9.1 การประเมินระหวา่ งจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
ชน้ิ งาน/ภาระงาน วธิ ีการประเมิน เครอื่ งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
ทาแบบฝึกหดั พฒั นา ตรวจแบบฝกึ หัดพฒั นา แบบฝกึ หัดพัฒนา ตามเกณฑ์
การประเมนิ ผล
ทกั ษะการคดิ ใน ทกั ษะการคิดใน ทกั ษะการคิดใน
แบบฝกึ หดั
แบบเรียน เรอ่ื ง แบบเรยี น เรื่อง แบบเรียน เรอ่ื ง
ปรากฏการณ์ ปรากฏการณ์ ปรากฏการณ์
โฟโตอิเลก็ ทรกิ โฟโตอเิ ลก็ ทรกิ โฟโตอเิ ล็กทรกิ
(Photoelectric (Photoelectric (Photoelectric
effect) effect) effect)
9.2 การประเมินเมอ่ื สนิ้ สุดการเรยี นรู้
ชิน้ งาน/ภาระงาน วธิ กี ารประเมนิ เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมนิ
สอบเก็บคะแนน
ทาแบบทดสอบ แบบทดสอบเกบ็ ตามเกณฑ์
เก็บคะแนน คะแนน การประเมนิ ผล
จานวน 10 ข้อ การทาแบบทดสอบ
จานวน 10 ขอ้
เกณฑก์ ารประเมนิ (Rubrics)
ภาระงาน/ชนิ้ งาน ดมี าก ดี พอใช้ ปรับปรงุ
แบบฝกึ หดั ทาแบบฝึกหัด ทาแบบฝกึ หัด ทาแบบฝกึ หัด ทาแบบฝกึ หดั
ถูกต้อง 80% ถูกตอ้ ง 60-80% ถกู ต้อง 50 - ถูกตอ้ ง ต่ากว่า
ขน้ึ ไป 50%
60%
เกณฑก์ ารประเมนิ ผลการทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน / แบบทดสอบเก็บคะแนน ใช้เกณฑด์ งั น้ี
ร้อยละ 80 ข้นึ ไป หมายถึง ดมี าก
ร้อยละ 70-79 หมายถึง ดี
รอ้ ยละ 60-69 หมายถึง ปานกลาง
ร้อยละ 50-59 หมายถึง ผ่าน
ต่ากวา่ รอ้ ยละ 50 หมายถึง ปรบั ปรุง
ผู้ประเมนิ
1. ครผู ูส้ อนประเมินนักเรยี น 2. นักเรียนประเมินนักเรยี น
10. กิจกรรมการเรียนรู้ ใชก้ ารเรียนการสอน แบบ 5E
1. ข้นั สร้างความสนใจ
1. ครูนานักเรียนอภิปรายถงึ ปรากฏการณ์โฟโตอเิ ลก็ ทรกิ (Photoelectric effect) ตามความ
เขา้ ใจของนกั เรียน โดยใหน้ กั เรยี นแสดงเหตุผลประกอบด้วย(กระบวนการคิด)
2. ใหน้ กั เรยี นรว่ มกันตงั้ คาถามเก่ยี วกับสง่ิ ที่ต้องการรู้ จากเน้อื หาที่เก่ียวกับปรากฏการณ์
โฟโตอิเลก็ ทรกิ (Photoelectric effect) (กระบวนการคิด)
2. ข้นั สารวจและคน้ หา
1. แบ่งนกั เรียนเป็นกลุ่ม ๆ 6 -7 คน (ประกอบด้วย นกั เรยี นเก่ง กลาง อ่อน จากผลการ
วเิ คราะหผ์ เู้ รยี น)
2. ครใู หน้ ักเรยี นแตล่ ะกลุ่มการวางแผนการสบื คน้ การศกึ ษาเรือ่ งปรากฏการณ์โฟโตอเิ ล็กทรกิ
(Photoelectric effect) (กระบวนการคดิ )
3. นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ ร่วมกนั สืบคน้ และศึกษา ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทรกิ จากคลิปวดี ิโอ
“ปรากฏการณ์โฟโตอิเลก็ ทริก” ความยาว 20 นาที (กระบวนการคดิ )
4. นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มอภิปรายรว่ มกันถงึ ปรากฏการณ์โฟโตอเิ ล็กทรกิ (กระบวนการคิด มีวนิ ัย และ
ซื่อสัตยส์ ุจรติ )
5. นักเรียนแต่ละกลุม่ อภปิ รายร่วมกนั ถึงการนาปรากฏการณโ์ ฟโตอเิ ล็กทรกิ มาอธิบายความไม่
สมบูรณข์ องแบบจาลองอะตอมของรัทเทอรฟ์ อร์ดและแบบจาลองอะตอมของโบรใ์ นประเด็นการจัดเรียงตัว
และการเคลื่อนทีข่ องอิเล็กตรอนรอบนวิ เคลยี สและการแยกตัวของเสน้ สเปกตรมั เม่ืออยู่ในสนามแมเ่ หล็ก
(กระบวนการคดิ มีวินยั และซ่ือสัตย์สุจรติ )
3. ขัน้ อธิบายและลงข้อสรุป
1. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มนาเสนอผลการสืบคน้ และผลการศกึ ษา เรื่อง ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก
(กระบวนการคิด มวี ินยั และซ่ือสตั ย์สุจริต)
2. นักเรียนแตล่ ะกล่มุ ได้ผลการสืบค้นและศึกษา เหมอื นกันหรือต่างกันอย่างไร(ซอื่ สตั ย์สจุ ริต)
3. ครูต้งั คาถามว่า จากการศึกษา เร่ือง ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก (กระบวนการคดิ )
- อิเลก็ ตรอนทเี่ กดิ จากการฉายแสงตกกระทบผิวโลหะเรยี กว่า
- ความถข่ี องแสงมคี วามสมั พนั ธ์กบั โฟโตอิเล็กตรอนอยา่ งไร
- จานวนของโฟโตอเิ ลก็ ตรอนข้ึนอยู่กบั อะไร
- ความถ่ีตา่ สุดที่ทาใหเ้ กดิ โฟโตอิเล็กตรอนเรียกวา่
- พลังงานต่าสดุ ท่ีทาให้เกดิ โฟโตอเิ ล็กตรอนเรียกว่า
- พลงั งานยดึ เหน่ียวและฟงั กช์ ่ันงานมคี วามสัมพนั ธ์กนั อยา่ งไร
- พลังงานจลน์สูงสดุ ของโฟโตอิเล็กตรอนขึ้นอยู่กับอะไร
- การหาปริมาณทเี่ กี่ยวข้องกับปรากฏการณโ์ ฟโตอเิ ล็กทริกหาไดจ้ ากสมการใด
4. นกั เรียนทัง้ หมดรว่ มกันสรุปผลจากการสืบค้นและศกึ ษาเร่ือง ปรากฏการณโ์ ฟโตอเิ ลก็ ทรกิ
(กระบวนการคดิ มีวินัย และซือ่ สัตย์สุจริต)
4. ข้ันขยายความรู้
1. ใหน้ ักเรยี นรว่ มกนั อภปิ รายปรากฏการณ์โฟโตอิเลก็ ทรกิ และการฝกึ ทักษะการคานวณหาความถี่ขีด
เรม่ิ พลงั งานโฟตอน พลังงานจลน์ ความถี่ ความยาวคลื่น และอตั ราเร็ว ของโฟโตอเิ ลก็ ตรอน
(กระบวนการคดิ มีวินยั และซอ่ื สัตยส์ ุจรติ )
2. นักเรียนแต่ละกลุ่มสรปุ ปรากฏการณ์โฟโตอเิ ล็กทริก(กระบวนการคดิ และซ่ือสัตย์สุจรติ )
3. นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มแลกเปลย่ี นเรยี นรู้การคานวณโจทยป์ ัญหาทเี่ กย่ี วขอ้ ง (กระบวนการคดิ มวี ินยั
และซ่ือสตั ยส์ ุจริต)
5. ขนั้ ประเมินผล
1. นักเรียนทาแบบฝึกหัดพฒั นาทกั ษะการคดิ ในแบบเรยี น เร่ือง ปรากฏการณ์โฟโตอิเลก็ ทรกิ
คาถามข้อที่ 1-4 และปัญหาข้อท่ี 1-5 (หน้า 92) และ และแบบฝกึ หดั หนว่ ยที่ 1 คาถาม ขอ้ ท่ี 4-8 (หน้า105-
106) ปัญหาขอ้ 6-15 (หน้า 107-108) (กระบวนการคิด มีวินัย และซ่อื สัตย์สุจรติ )
2. นักเรียนทาแบบทดสอบเกบ็ คะแนนแผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 8 เรอ่ื ง ปรากฏการณ์
โฟโตอิเลก็ ทริก (กระบวนการคิด มวี ินยั และซอื่ สัตยส์ จุ ริต)
11. สือ่ การเรยี นร/ู้ แหลง่ เรียนรู้
สอ่ื การเรยี นรู้
1. หนงั สอื เรียนรายวชิ าเพม่ิ เติมฟสิ กิ ส์ เลม่ 6 กลุม่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ ของ สสวท.
2. คลิปวดี ิโอ “ปรากฏการณโ์ ฟโตอิเล็กทริก (Photoelectric effect)” สือ่ การสอน สสวท.
https://www.youtube.com/watch?v=GcjV1hbvaNg
3. PPT หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 2 เรอื่ ง ฟสิ ิกสอ์ ะตอม
4. ทาแบบฝกึ หัดพฒั นาทกั ษะการคิดในแบบเรียน เร่อื ง ปรากฏการณ์โฟโตอิเลก็ ทรกิ
คาถามขอ้ ท่ี 1-4 และปญั หาขอ้ ที่ 1-5 (หน้า 92) และ และแบบฝึกหดั หนว่ ยท่ี 1 คาถาม
ข้อที่ 4-8 (หน้า105-106) ปญั หาข้อ 6-15 (หนา้ 107-108)
5. ทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 8 เร่อื ง ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก
แหลง่ เรยี นรู้
1. ห้องสมุดโรงเรยี น
2. ห้องสืบค้น Resource Center
12. กิจกรรมเสนอแนะ
แนะนาใหน้ ักเรียนค้นคว้าหาความรเู้ พม่ิ เติมจาก
http://www.school.net.th/education/physics-resources.php3 และ
http://SCIENCE.HOWSTAFFWORKS.com
ข้อเสนอแนะของหัวหนา้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
ลงช่ือ........................................................
(นางตวงรตั น์ อ้นอินทร)์
ตาแหนง่ หวั หน้ากลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
วนั ที่..........เดือน..........................พ.ศ............
ขอ้ เสนอแนะของรองผู้อานวยการกลมุ่ บรหิ ารงานวชิ าการ
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
……………………………………………………………………………………………………….
ลงชือ่ ...................................................................
(นายสรุ ศกั ดิ์ โพธ์บิ ัลลงั ค์)
ตาแหน่ง รองผู้อานวยการกล่มุ บรหิ ารงานวชิ าการ
วันที่..........เดือน..........................พ.ศ............
ข้อเสนอแนะของผ้อู านวยการโรงเรียน
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
ลงชอื่ .......................................................
(นายพัฒนา ทรงประดษิ ฐ)
ตาแหน่ง ผูอ้ านวยการโรงเรยี นวัชรวทิ ยา
วนั ท่ี..........เดอื น..........................พ.ศ............
บนั ทึกผลหลังการสอนแผนการสอนที่ 8
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 วิชา ฟสิ กิ ส์ 6 รหัสวชิ า ว302จ6
ครผู ู้สอน นางดวงดาว บดีรัฐ
1. ผลการสอน
1.1 สรุปผลการสอน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.2 หาความก้าวหนา้ ในการเรยี นการสอน คะแนนเฉลย่ี ความก้าวหนา้
หลงั เรียน ในการเรียน
จานวนนกั เรียน คะแนนเต็ม คะแนนเฉล่ีย
กอ่ นเรียน
รอ้ ยละความกา้ วหน้า = คะแนนหลงั เรียน – คะแนนกอ่ นเรยี น x 100
คะแนนเต็ม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หา / อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ข้อเสนอแนะ / แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่ือ………………………………ครผู ้สู อน
( นางดวงดาว บดรี ัฐ)
ตาแหนง่ ครู คศ. 3
วันท…่ี ..เดอื น……………..……..พ.ศ...........
กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ แบบทดสอบ รายวชิ า ฟสิ ิกส์ 6 (ว
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 เรื่อง 30206)
ปรากฏการณ์โฟโตอิเลก็ ตริก หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2
ฟสิ กิ ส์อะตอม
1. จากการทดลองเพ่อื ศึกษาปรากฏการณโ์ ฟโตอิเล็กทรกิ ขอ้ สรปุ ตอ่ ไปนี้ขอ้ ใดถูกต้อง
1. พลงั งานสูงสดุ ของอิเลก็ ตรอนข้ึนอย่กู บั ความเขม้ ของแสงเท่าน้ัน
2. สาหรับแสงทีม่ คี วามถ่ีสูงกวา่ ความถี่ขีดเรมิ่ จานวนโฟโตอเิ ล็กตรอนจะเพมิ่ มากขนึ้ เปน็ ปฏภิ าคกับ
ความถท่ี เ่ี พ่ิมขึน้
3. เน่ืองจากแสงมีสมบัติเปน็ คลื่นเม่ือมีความเข้มสงู กจ็ ะมีพลังงานมาก ทาใหโ้ ฟโตอิเล็กตรอนมพี ลังงาน
มากด้วย
4. เมอื่ แสงทีต่ กกระทบโลหะมีความถี่สงู กว่าความถ่ขี ีดเรมิ่ จะเกิดโฟโตอเิ ล็กตรอนขึน้
ก. ข้อ 1 และ 3 ข. ขอ้ 2 และ 4 ค. ขอ้ 4 เทา่ น้นั ง. คาตอบเปน็ อย่างอน่ื
2. จากการศึกษาปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทรกิ สรปุ ได้วา่
ก. เมอ่ื แสงมีความถีเ่ ท่ากบั ความถี่ขีดเรม่ิ ตกกระทบทีผ่ วิ โลหะ จะไมม่ อี เิ ล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะ
ข. แสงท่ีมีความถี่คา่ เดียวตกกระทบผวิ โลหะตา่ งชนิดกนั จะใหโ้ ฟโตอิเลก็ ตรอนทมี่ พี ลงั งานจลน์สงู สดุ
เท่ากัน
ค. เม่ือเพิ่มความเข้มแสงท่ตี กกระทบผวิ โลหะ กระแสโฟโตอิเล็กตรอนจะมีค่าเพม่ิ ขนึ้
ง. เมือ่ เพิ่มความเขม้ แสงที่ตกกระทบผิวโลหะ จานวนโฟโตอเิ ลก็ ตรอนจะเท่าเดมิ แตม่ พี ลังงานสงู ขึ้น
3. เปน็ ท่ที ราบกันแล้วว่า อิเล็กตรอนในโลหะสามารถเคล่อื นท่ีได้อยา่ งอิสระ และมักจะพบเสมอว่า
อเิ ล็กตรอนจะเคลือ่ นท่ีอยู่ตามบริเวณผิวของโลหะ เหตุท่ีอเิ ลก็ ตรอนไมเ่ คลอ่ื นท่ีตอ่ ไปในอากาศเพือ่ หนอี อก
จากโลหะเพราะ
ก. อากาศไม่เป็นตัวนาไฟฟ้า
ข. อเิ ล็กตรอนมพี ลังงานน้อยกวา่ พลงั งานยดึ เหนีย่ วของโลหะ
ค. อากาศมแี รงเสียดทานมาก
ง. อเิ ล็กตรอนถูกอะตอมของโลหะยึดจับไว้
4. พลังงานจลนส์ งู สุดของโฟโตอิเลก็ ตรอนน้ัน
ก. ไมข่ ึน้ กับความเขม้ ของแสงท่ีมาตกกระทบ
ข. ขน้ึ กบั กาลังหนง่ึ ของความเข้มของแสงท่ีมาตกกระทบ
ค. ขน้ึ กับกาลงั สองของความเขม้ ของแสงที่มาตกกระทบ
ง. ขึ้นกบั รากทีส่ องของความเขม้ ของแสงทีม่ าตกกระทบ
5. กาหนดให้ฟงั กช์ นั งานของแทนทาลัมและทองคาเป็น 4.2 eV และ 4.8 eV ตามลาดบั อยาก ทราบวา่
ตอ้ งการฉายแสงทมี่ คี วามยาวคล่นื 270 nm ลงไปบนวตั ถใุ ดจึงจะเกิดปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก
ก. ไมเ่ กิดปรากฏการณโ์ ฟโตอิเล็กทรกิ ข. แทนทาลมั
ค. ทองคา ง. แทนทาลัมและทองคา
6. โลหะสามชนิดประกอบด้วย ซเี ซยี ม (Cs) แบเรียม (Ba) และแคลเซียม (Ca) มฟี ังก์ชันงาน เปน็ 1.8 ,
2.5 และ 3.2 อิเลก็ ตรอนโวลตต์ ามลาดบั ถ้ามแี สงความยาวคลน่ื 400 นาโนเมตร ตกกระทบบนโลหะ
ท้ังสาม โลหะชนดิ ใดจะแสดงปรากฏการณโ์ ฟโตอิเลก็ ทรกิ
ก. Cs ข. Cs และ Ba
ค. Cs , Ba และ Ca ง. ไมเ่ กดิ เลย
7. จงหาค่าความตา่ งศักย์ท่ใี ชใ้ นการหยุดโฟโตอเิ ลก็ ตรอนทม่ี ีพลงั งานจลน์สงู สุดจากแผ่นโลหะแบเรียม
เมื่อมแี สงความยาวคลนื่ 400 นาโนเมตร ตกกระทบ กาหนดใหฟ้ ังก์ชนั งานของแบเรยี มเปน็ 2.5
อเิ ลก็ ตรอนโวลต์ และผลคณู ระหว่างคา่ คงตัวฟลังคก์ ับความเรว็ แสงในสุญญากาศ 1240 eV- nm
ก. 0.6 โวลต์ ข. 2.5 โวลต์
ค. 3.1 โวลต์ ง. 5.6 โวลต์
8. เมอื่ ฉายรังสีอุลตราไวโอเลตท่ีมคี วามยาวคล่นื 400 นาโนเมตร ไปท่ผี วิ โลหะชนดิ หนง่ึ ทม่ี ีค่าพลังงาน
ยึดเหนย่ี ว 1.8 eV โฟโตอเิ ล็กตรอนทห่ี ลุดจากผิวโลหะจะมพี ลงั งานจลน์เทา่ ใด
ก. 0 eV ข. 0.5 eV
ค. 1.3 eV ง. 1.8 eV
9. โลหะชนิดหนึ่งมคี า่ พลังงานยดึ เหนย่ี วเทา่ กบั 2.0 eV ถา้ มีแสงที่มีความยาวคลน่ื 100 nm มากระทบ
พลงั งานจลน์สูงสดุ ของโฟโตอิเลก็ ตรอนที่ออกมาจะมีคา่ เทา่ ใด
ก. 6.4 eV ข. 10.4 eV
ค. 14.4 eV ง. 18.4 eV
10. ในการทดลองเรือ่ งปรากฏการณ์โฟโตอิเลก็ ทริก ใชแ้ สงความถี่ 7x 10 14 Hz ตกกระทบผิวโลหะทีม่ ี
ค่าฟงั ก์ชันงานเท่ากับ 2.3 eV จงหาความต่างศักย์หยุดยั้งของโฟโตอิเล็กตรอนน้ี
ก. 0.6 โวลต์ ข. 2.3 โวลต์
ค. 2.9 โวลต์ ง. 5.2 โวลต์
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 9
กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหัสวิชา ว30206 รายวิชา ฟสิ กิ ส์ 6
ปกี ารศึกษา 2564
ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรยี นที่ 2
ผู้สอน นางดวงดาว บดรี ฐั
ชื่อหนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 2 เรื่อง ฟิสิกสอ์ ะตอม
ชื่อแผน ทวภิ าพของคลื่นและอนภุ าค เวลา 3 ชั่วโมง
โรงเรียนวชั รวิทยา อาเภอเมอื ง จังหวัดกาแพงเพชร
************************************************************************************
1. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด
ทวภิ าพของคลน่ื และอนภุ าค (Ware-Particle dualify)
1. เราทราบว่าแสงแสดงคุณสมบตั ิเป็นคลนื่ เพราะ แสดงการเล้ยี วเบนและการแทรกสอด
2. จากปรากฎการณโ์ ฟโตอเิ ล็กทริก ไอนส์ ไตน์คิดวา่ โฟตอนเป็นอนภุ าค
3. มิลลแิ กนทดลองและสรปุ วา่ แสงเปน็ อนภุ าค
4. เดอ บรอยล์ (de Broglie) ใหแ้ นวคดิ ว่า “ถ้าแสงแสดงคุณสมบตั ิคู่เปน็ ได้ท้งั อนภุ าคและคลน่ื แลว้
สสารท้งั หลายแสดงคณุ สมบัติของคลืน่ ได้เนอ่ื งจากสสารประกอบด้วยอนุภาค”
สมมตฐิ านของเดอ บรอยล์
ในปี ค. ศ. 1924 นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสชื่อหลุยส์ เดอบรอยล์ (Louis de Broglie ) ได้ให้
ความเห็นว่าแสงมีคุณสมบัติเป็นได้ทั้งคลื่นแสงและอนุภาค กล่าวคือในกรณีท่ีแสงมีการเล้ียวเบนและการ
สอดแทรก แสดงว่าขณะนั้นแสงประพฤตติ ัวเป็นคล่ืน สาหรับกรณีแสงในปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทรกิ แสดง
ว่าแสงเป็นอนุภาค ฉะน้ันสสารทั่วไปที่มีคุณสมบัติเป็นอนุภาคก็น่าจะมีคุณสมบัติทางด้านคลื่นด้วย เดอบ
รอยลไ์ ด้พยายามหาความยาวคล่ืนของคลื่นมวลสาร โดยทั่วไปเร่มิ จากความยาวคล่นื ของแสงก่อน ดงั ตอ่ ไปน้ี
ถ้าแสงมคี วามถ่ี f จะใหพ้ ลังงานออกมาเปน็ อนุภาคเรียกว่าโฟตอนซึ่งมขี นาด
E = hf = hc
λ
จากความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งพลงั งานกบั มวลของไอน์สไตน์
E = mc2 และ E = hf
เดอบรอยล์ หาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งโมเมนตมั และความยาวคลนื่ ของแสงได้ดงั นี้
p h
λ
เมอ่ื P คอื โมเมนตมั ของโฟตอน (N.s) คอื ความยาวคล่นื ของโฟตอน (m)
จะได้ว่า λh = h
p mv
เม่ือ คือ ความยาวคล่นื ของอนุภาค (m) m คอื มวลของอนุภาค (kg)
P คอื โมเมนตมั ของอนภุ าค (N.s) v คอื ความเร็วของอนุภาค (m/s)
ความยาวคล่ืนของอนภุ าคหรอื ความยาวคลืน่ สสารน้ี เรียกว่า ความยาวคลื่น เดอ บรอยล์ นั่นเอง
2. มาตรฐาน
สาระฟสิ ิกส์
4. เข้าใจความสัมพนั ธ์ของความรอ้ นกับการเปล่ยี นอณุ หภมู ิและสถานะของสสาร สภาพยืดหยุ่นของ
วัสดุและมอดลุ ัสของยงั ความดันในของไหล แรงพยงุ และหลกั ของอาร์คมิ ีดสิ ความตึงผิวและ
แรงหนดื ของของเหลว ของไหลอดุ มคติ และ สมการแบร์นูลลี กฎของแกส๊ ทฤษฎีจลนข์ องแก๊ส
อดุ มคตแิ ละพลงั งานในระบบ ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ ปรากฏการณโ์ ฟโตอเิ ล็กทรกิ ทวภิ าวะของ
คลืน่ และอนุภาค กมั มนั ตภาพรงั สี แรงนวิ เคลยี ร์ ปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี ร์ พลงั งานนวิ เคลยี ร์ ฟิสกิ ส์
อนุภาค รวมท้ังนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์
3. ตวั ชีว้ ัด/ผลการเรยี นรู้
ผลการเรยี นรู้ อธิบายทวิภาวะของคล่ืนและอนุภาค รวมทง้ั อธิบายและคานวณความยาว
คล่นื เดอบรอยล์
4. สาระการเรยี นรู้
- สาระการเรยี นร้แู กนกลาง
1. ทวิภาวะของคลนื่ และอนุภาค
2. สมมตฐิ านของเดอบรอยล์
5. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน
1. ความสามารถในการสอื่ สาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา
จุดเน้นการพัฒนาคณุ ภาพผู้เรียนดา้ นสมรรถนะ
1. การใชเ้ ทคโนโลยีเพ่ือการเรียนรู้
2. ทกั ษะการสอ่ื สารอยา่ งสร้างสรรค์ตามช่วงวัย
3. ทักษะการคดิ ชน้ั สูง
6. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
1. ซือ่ สัตย์สุจริต
2. มวี ินัย
3.ใฝเ่ รียนรู้
4. มุ่งม่นั ในการทางาน
จดุ เนน้ การพัฒนาคุณภาพผูเ้ รียนด้านคุณลกั ษณะ
1. คณุ ลกั ษณะมุง่ ม่ันในการทางาน
2. คณุ ลักษณะใฝ่เรยี นรู้
7. คณุ ลักษณะ 5 ประการโรงเรียนสุจริต
1. กระบวนการคดิ
2. มวี นิ ยั
3.ซ่อื สัตย์สุจรติ
8. ชิ้นงาน/ภาระงาน
1. ทาแบบฝกึ หัดพัฒนาทักษะการคดิ ในแบบเรยี น เรื่อง ทวิภาวะของคลนื่ และอนภุ าค
คาถามข้อที่ 1-4 และปญั หาข้อท่ี 1-5 (หน้า 92) และ และแบบฝกึ หัดหนว่ ยที่ 1 คาถาม
ข้อท่ี 9 (หน้า 106) ปญั หาข้อ 16-19 (หนา้ 108-109)
2. ทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 9 เรือ่ ง ทวิภาวะของคลื่นและ
อนภุ าค
9 .การวัดและประเมนิ ผล
9.1 การประเมนิ ระหวา่ งจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
ชน้ิ งาน/ภาระงาน วิธีการประเมนิ เคร่ืองมอื เกณฑ์การประเมิน
ทาแบบฝึกหดั พฒั นา ตรวจแบบฝึกหัดพฒั นา แบบฝึกหัดพัฒนา ตามเกณฑ์
การประเมนิ ผล
ทกั ษะการคดิ ใน ทกั ษะการคดิ ใน ทกั ษะการคดิ ใน
แบบฝึกหดั
แบบเรียน เรอื่ ง แบบเรียน เรอ่ื ง แบบเรยี น เรือ่ ง
ทวภิ าวะของคลน่ื และ ทวิภาวะของคลนื่ และ ทวภิ าวะของคลื่นและ
อนุภาค สมมติฐาน อนุภาค สมมตฐิ าน อนุภาค สมมติฐาน
ของเดอบรอยล์ ของเดอบรอยล์ ของเดอบรอยล์
9.2 การประเมนิ เมอื่ ส้นิ สุดการเรยี นรู้
ชิ้นงาน/ภาระงาน วธิ ีการประเมนิ เครอ่ื งมอื เกณฑ์การประเมนิ
สอบเก็บคะแนน
ทาแบบทดสอบ แบบทดสอบเก็บ ตามเกณฑ์
เกบ็ คะแนน คะแนน การประเมนิ ผล
จานวน 10 ข้อ การทาแบบทดสอบ
จานวน 10 ข้อ
เกณฑก์ ารประเมิน (Rubrics)
ภาระงาน/ชิ้นงาน ดมี าก ดี พอใช้ ปรับปรงุ
แบบฝกึ หัด ทาแบบฝึกหัด ทาแบบฝกึ หัด ทาแบบฝกึ หดั ทาแบบฝกึ หดั
ถูกตอ้ ง 80% ถกู ตอ้ ง 60-80% ถกู ตอ้ ง 50 - ถกู ตอ้ ง ต่ากว่า
ขึน้ ไป 50%
60%
เกณฑก์ ารประเมนิ ผลการทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น / แบบทดสอบเกบ็ คะแนน ใช้เกณฑด์ งั น้ี
ร้อยละ 80 ขึน้ ไป หมายถงึ ดมี าก
ร้อยละ 70-79 หมายถึง ดี
ร้อยละ 60-69 หมายถึง ปานกลาง
ร้อยละ 50-59 หมายถึง ผ่าน
ตา่ กว่าร้อยละ 50 หมายถงึ ปรับปรุง
ผู้ประเมนิ 2. นักเรยี นประเมนิ นักเรียน
1. ครูผู้สอนประเมินนักเรยี น
10. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ใช้การเรียนการสอน แบบ 5E
1. ข้นั สรา้ งความสนใจ
1. ครูนานักเรยี นอภปิ รายถงึ ทวิภาวะของคล่ืนและอนุภาค สมมติฐานของเดอบรอยล์
ตามความเขา้ ใจของนกั เรียน โดยให้นกั เรยี นแสดงเหตุผลประกอบดว้ ย(กระบวนการคดิ )
2. ใหน้ กั เรยี นร่วมกนั ตงั้ คาถามเกี่ยวกับส่งิ ที่ต้องการรู้ จากเนอ้ื หาทเ่ี กย่ี วกบั ปรากฏการณ์
ทวภิ าวะของคลืน่ และอนุภาค สมมตฐิ านของเดอบรอยล์ (กระบวนการคิด)
2. ขนั้ สารวจและคน้ หา
1. แบง่ นักเรยี นเป็นกลุม่ ๆ 6 -7 คน (ประกอบดว้ ย นกั เรยี นเกง่ กลาง ออ่ น จากผลการ
วิเคราะหผ์ ูเ้ รียน)
2. ครใู หน้ กั เรยี นแต่ละกลมุ่ การวางแผนการสืบค้นการศกึ ษาเรือ่ งทวภิ าวะของคลนื่ และอนุภาค
สมมติฐานของเดอบรอยล์ (กระบวนการคดิ )
3. นกั เรียนแต่ละกลมุ่ รว่ มกันสืบคน้ และศึกษา ทวภิ าวะของคลื่นและอนุภาค สมมติฐานของ
เดอบรอยล์ จากคลิปวดี ิโอ “ทวภิ าวะของคลนื่ และอนุภาค สมมติฐานของเดอบรอยล์” ความยาว 16 นาที
(กระบวนการคิด)
4. นักเรยี นแต่ละกลมุ่ อภปิ รายรว่ มกนั ถึง ทวภิ าวะของคลน่ื และอนภุ าค สมมติฐานของเดอบรอยล์
(กระบวนการคิด มวี ินยั และซื่อสัตยส์ จุ ริต)
5. นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มอภิปรายรว่ มกนั ถงึ การนาทวิภาวะของคล่นื และอนุภาค สมมติฐานของ
เดอบรอยลม์ าอธิบายความไม่สมบรู ณ์ของแบบจาลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอรด์ และแบบจาลองอะตอมของ
โบร์ในประเด็นการจดั เรียงตวั และการเคล่อื นทีข่ องอเิ ล็กตรอนรอบนิวเคลยี สและการแยกตวั ของเส้นสเปกตรัม
เมอื่ อยใู่ นสนามแมเ่ หล็ก (กระบวนการคิด มีวินัย และซ่อื สัตยส์ ุจริต)
3. ขนั้ อธิบายและลงข้อสรปุ
1. นักเรยี นแต่ละกลุ่มนาเสนอผลการสบื ค้นและผลการศึกษา เร่อื ง ทวภิ าวะของคลนื่ และอนุภาค
สมมติฐานของเดอบรอยล์ (กระบวนการคิด มีวนิ ัย และซ่อื สัตย์สุจริต)
2. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มได้ผลการสืบค้นและศึกษา เหมือนกันหรือต่างกันอยา่ งไร(ซอื่ สัตยส์ จุ ริต)
3. ครตู ง้ั คาถามวา่ จากการศึกษา เรื่อง ทวิภาวะของคล่ืนและอนุภาค สมมติฐานของเดอบรอยล์
(กระบวนการคิด)
- การเสนอแนวคดิ ของคอมป์ตนั “อนุภาคแสดงสมบัตขิ องคล่ืนได้”สนับสนุนแนวคิดของ
ไอน์สไตนอ์ ยา่ งไร
- ทวภิ าวะของคลน่ื และอนภุ าค คืออะไร
- ความยาวคลื่นและโมเมนตัมของโฟตอนมีความสมั พันธก์ ันอยา่ งไรตามสมมติฐานของ
เดอบรอยล์และการเสนอแนวคิดของเดอบรอยล์ “คลน่ื แสดงสมบัติของอนภุ าคได้”สนบั สนนุ แนวคิดของ
ไอน์สไตน์อยา่ งไร
- การหาปริมาณท่เี ก่ยี วขอ้ งกับสมมติฐานของเดอบอรยล์หาไดจ้ ากสมการใด
4. นักเรยี นทง้ั หมดร่วมกนั สรุปผลจากการสบื ค้นและศกึ ษาเรื่อง ทวภิ าวะของคลืน่ และอนุภาค
สมมติฐานของเดอบรอยล์ (กระบวนการคดิ มวี ินยั และซอ่ื สัตยส์ ุจรติ )
4. ข้นั ขยายความรู้
1. ให้นักเรียนรว่ มกันอภปิ รายทวิภาวะของคลืน่ และอนุภาค สมมติฐานของเดอบรอยล์ และการฝึก
ทกั ษะการคานวณหาโมเมนตัม และความยาวคล่ืนเดอบรอยล์ (กระบวนการคดิ มีวินยั และซ่ือสัตย์สุจริต)
2. นักเรียนแตล่ ะกลุ่มสรุปทวิภาวะของคลื่นและอนภุ าค สมมติฐานของเดอบรอยล์(กระบวนการคดิ มี
วนิ ัย และซื่อสัตยส์ จุ ริต)
3. นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มแลกเปลย่ี นเรียนรูก้ ารคานวณโจทย์ปัญหาทเ่ี กี่ยวข้อง(กระบวนการคดิ มวี ินัย และ
ซื่อสัตยส์ ุจริต)
5. ขั้นประเมินผล
1. ทาแบบฝึกหดั พฒั นาทักษะการคิดในแบบเรียน เรื่อง ทวิภาวะของคลื่นและอนภุ าค คาถามขอ้ ท่ี
1-4 และปญั หาขอ้ ท่ี 1-5 (หนา้ 92) และ และแบบฝึกหดั หน่วยท่ี 1 คาถามขอ้ ที่ 9 (หน้า 106) ปญั หาขอ้
16-19 (หน้า 108-109) (กระบวนการคิด มวี ินยั และซ่อื สัตย์สุจริต)
2. นักเรียนทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 9 เร่ือง ทวภิ าวะของคลื่นและ
อนุภาค (กระบวนการคิด มีวินยั และซอ่ื สัตย์สุจริต)
11. สื่อการเรียนรู/้ แหล่งเรยี นรู้
สือ่ การเรียนรู้
1. หนังสือเรียนรายวชิ าเพ่มิ เตมิ ฟสิ กิ ส์ เลม่ 6 กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ ของ สสวท.
2. คลิปวีดโิ อ “ทวิภาวะของคลน่ื และอนุภาค สมมติฐานของเดอบรอยล์” สือ่ การสอน สสวท.
https://www.youtube.com/watch?v=GcjV1hbvaNg
3. PPT หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 เร่อื ง ฟิสิกสอ์ ะตอม
4. แบบฝึกหัดพัฒนาทกั ษะการคิดในแบบเรยี น เร่อื ง ทวภิ าวะของคลน่ื และอนุภาค คาถามข้อที่
1-4 และปญั หาข้อท่ี 1-5 (หน้า 92) และ และแบบฝกึ หัดหน่วยท่ี 1 คาถามขอ้ ท่ี 9 (หนา้ 106)
ปญั หาข้อ 16-19 (หน้า 108-109)
5. แบบทดสอบเกบ็ คะแนนแผนการเรียนรูท้ ่ี 9 เรอื่ ง ทวภิ าวะของคลนื่ และอนภุ าค
แหลง่ เรียนรู้
1. หอ้ งสมุดโรงเรียน
2. หอ้ งสืบคน้ Resource Center
12. กิจกรรมเสนอแนะ
แนะนาให้นักเรียนคน้ คว้าหาความรู้เพม่ิ เตมิ จาก
http://www.school.net.th/education/physics-resources.php3 และ
http://SCIENCE.HOWSTAFFWORKS.com
ขอ้ เสนอแนะของหัวหน้ากลุม่ สาระการเรียนรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ........................................................
(นางตวงรัตน์ อน้ อนิ ทร)์
ตาแหน่ง หัวหน้ากลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
วนั ท่ี..........เดอื น..........................พ.ศ............
ข้อเสนอแนะของรองผู้อานวยการกลุ่มบรหิ ารงานวชิ าการ
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
……………………………………………………………………………………………………….
ลงช่ือ...................................................................
(นายสรุ ศกั ด์ิ โพธบ์ิ ัลลงั ค์)
ตาแหนง่ รองผอู้ านวยการกลมุ่ บรหิ ารงานวิชาการ
วันท่ี..........เดอื น..........................พ.ศ............
ขอ้ เสนอแนะของผ้อู านวยการโรงเรยี น
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
ลงช่ือ.......................................................
(นายพฒั นา ทรงประดิษฐ)
ตาแหนง่ ผู้อานวยการโรงเรียนวชั รวิทยา
วันท่ี..........เดือน..........................พ.ศ............
บันทึกผลหลังการสอนแผนการสอนท่ี 9
ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 วชิ า ฟิสกิ ส์ 6 รหัสวิชา ว30206
ครูผสู้ อน นางดวงดาว บดรี ฐั
1. ผลการสอน
1.1 สรปุ ผลการสอน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.2 หาความกา้ วหนา้ ในการเรยี นการสอน คะแนนเฉลี่ย ความก้าวหนา้
หลงั เรยี น ในการเรียน
จานวนนกั เรียน คะแนนเตม็ คะแนนเฉลีย่
กอ่ นเรียน
ร้อยละความกา้ วหน้า = คะแนนหลงั เรียน – คะแนนก่อนเรียน x 100
คะแนนเตม็
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปัญหา / อุปสรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะ / แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………….………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………ครูผสู้ อน
( นางดวงดาว บดรี ฐั )
ตาแหนง่ ครู คศ. 3
วันท…่ี ..เดอื น……………..……..พ.ศ...........
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ แบบทดสอบ รายวชิ า ฟสิ กิ ส์ 6 (ว
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 เรื่อง 30206)
ทวภิ าพของคลนื่ และอนุภาค หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2
ฟสิ กิ ส์อะตอม
1. รถยนตค์ นั หนง่ึ มมี วล 1,000 กิโลกรมั แล่นด้วยความเรว็ 72 กม./ชม.ถ้าคดิ ว่ารถยนตค์ ันน้ีเปน็ คลื่นจะ
มีความยาวคล่ืนเดอรบ์ รอยล์เท่าใด (กาหนดค่านิจของพลังค์เทา่ กบั 6.6 x 10 -34 จูล-วนิ าท)ี
ก. 0.92 x 10 -38 m ข. 3.3 x 10 -38 m
ค. 0.33 x 10 38 m ง. 1.1 x 10 38 m
2. อิเล็กตรอนซ่งึ มมี วลประมาณ 9 x 10 -31 kg เคล่อื นที่ด้วยอัตราเร็ว 3 x 10 6 m/s วัสดใุ นขอ้ ใด
เหมาะสมท่ีจะนาไปใช้ในการทดลองเพ่ือศึกษาการเล้ยี วเบนของอเิ ลก็ ตรอน
ก. ผลึกซง่ึ มีระยะหา่ งระหวา่ งระนาบประมาณ 10 -10 เมตร
ข. เกรตตงิ ซึง่ มรี ะยะหา่ งระหวา่ งชอ่ งประมาณ 10 -6 เมตร
ค. แผ่นโลหะบางเจาะรใู ห้มีชอ่ งคูห่ า่ งกนั ประมาณ 10 -3 เมตร
ง. สลิตเด่ยี วท่ีมีความกวา้ งของชอ่ งประมาณ 10 -2 เมตร
3. อิเลก็ ตรอนตัวหน่ึงจะตอ้ งเคลอ่ื นทด่ี ้วยอตั ราเร็วเทา่ ใด จึงจะมีโมเมนตมั เป็นหนง่ึ ในสบิ ของโมเมนตัม
ของโฟตอนของแสงความถี่ 4.5 x 10 14 เฮิรตซ์ ( มวลอเิ ล็กตรอน = 9 x 10-31 kg)
ก. 100 m/s ข. 110 m/s
ค. 130 m/s ง. 150 m/s
4. จงหาความยาวคลน่ื ของอิเล็กตรอน ซงึ่ เคล่ือนท่ีด้วยพลงั งาน 5 อิเล็กตรอนโวลต์
ก. 0.55 ηm ข. 0.85 ηm
ค. 0.95 ηm ง. 1.10 ηm
5. ความยาวคลนื่ ของเดอบรอยล์ของอเิ ล็กตรอนเทา่ กบั 0.10 นาโนเมตร พลงั งานจลน์ของอิเล็กตรอนมีคา่
เท่าไร
ก. 2.4 x 10 -17 J ข. 4.8 x 10 -17 J
ค. 2.0 x 10 -16 J ง. 1.0 x 10 -15 J
6. อนภุ าคมวล m มพี ลงั งานจลนเ์ พ่ิมข้ึนเป็น 4 เท่าของพลังงานจลน์เดิม ความยาวคลนื่ เดอบรอยล์ของ
อนุภาคนี้ในครงั้ หลงั จะเป็นกี่เท่าของความยาวคล่ืนเดอบรอยลค์ รั้งแรก
ก. 1 เทา่ ข. 2 เท่า
2 ง. 8 เทา่
ค. 4 เท่า
7. ไฮโดรเจนไอออน(H + ) และฮีเลยี มไอออน (He + ) ถูกเรง่ ดว้ ยสนามไฟฟา้ 10 6 โวลต์ ไฮโดรเจน
ไอออนจะมคี วามยาวคลน่ื เดอบรอยล์เปน็ กเี่ ท่าของฮเี ลยี มไอออน
ก. 2 เท่า ข. 1 เท่า
ค. 2 เทา่ 2
ง. 4 เทา่
8. ถ้ามวลของอนุภาค A เปน็ ครึ่งหนง่ึ ของมวลอนภุ าค B เม่ืออนภุ าคท้งั สองมพี ลงั งานเทา่ กนั อนุภาค A
จะประพฤตติ ัวเปน็ คล่นื ทีม่ คี วามยาวคลืน่ เปน็ กเี่ ท่าของอนภุ าค B
ก. 1 เทา่ ข. 1 เท่า
2 2
ค. 2 เทา่ ง. 2 เทา่
9. อนภุ าค A มมี วลเป็น 1 เท่าของอนุภาค B ถา้ อนุภาคทง้ั สองมพี ลังงานจลนเ์ ท่ากนั ความยาวคลน่ื
4
เดอบรอยลข์ องอนุภาค A เป็นกเี่ ทา่ ของอนภุ าค B
ก. 1 เทา่ ข. 1 เท่า
42
ค. 2 เทา่ ง. 4 เทา่
10. (เอน็ ทรานซ์) ปรากฏการณ์ชนดิ ใดท่ีแสดงวา่ อนภุ าคแสดงสมบัตขิ องคลืน่ ได้
ก. ปรากฏการณ์โฟโตอเิ ลก็ ทรกิ ข. ปรากฏการณ์คอมพต์ ัน
ค. ปรากฏการณ์แทรกสอดของโฟตอน ง. ปรากฏการณเ์ ล้ียวเบนของอิเลก็ ตรอน
แผนบรู ณาการสาระทอ้ งถน่ิ /เศรษฐกิจพอเพยี ง/อาเซยี น/โรงเรยี นสุจรติ
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 10
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหัสวิชา ว30206 รายวิชา ฟิสกิ ส์ 6
ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2564
ชอ่ื หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 2 เรอื่ ง ฟิสิกสอ์ ะตอม
ชอ่ื แผน กลศาสตร์ควอนตัม เวลา 3 ช่วั โมง ผูส้ อน นางดวงดาว บดีรฐั
โรงเรยี นวัชรวิทยา อาเภอเมอื ง จงั หวัดกาแพงเพชร
************************************************************************************
1. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด
กลศาสตรค์ วอนตัม (Quantum Mechanics)
1. Quantum Mechanics เป็นวิชาสาหรับอธบิ ายปรากฏการณ์ต่างๆในระดบั อนุภาคทม่ี ีขนาด
เล็ก ๆ เทา่ กับอะตอม เช่น การเคลือ่ นทีข่ องอิเล็กตรอน เพราะกฏของนวิ ตนั ไม่สามารถให้รายละเอียดได้
2. Quantum Mechanics เป็นศาสตร์ของ Matter Waves ท่ใี ห้หลกั สมบรู ณ์ในการศึกษาเร่ือง
อะตอมในปัจจุบนั
3. Quantum Mechanics จะกลา่ วถงึ โอกาสท่จี ะเปน็ ไปได้ ในการที่จะบอกว่า อิเลก็ ตรอนอยูท่ ี่
ไหน หรอื จะพบไดท้ ีไ่ หน ทบี่ รเิ วณหน่งึ ๆ
4. ในการคดิ ค้นกลศาสตร์ควอนตัม โซรดงิ เจอร์ (Evwin Schrodinger) นักฟสิ ิกส์ชาวออสเตรยี ได้
คดิ สมการของคล่ืน โดยอาศัยหลักการของ de Broglie โดยใช้เทอมความยาวชว่ งคล่นื ของ ( λ h = h )
p mv
ซ่งึ สมการน้เี รียกว่า Schrodinger Equation สมการของโซรดิงเจอร์ มคี วามสาคญั ในการอธิบายการ
เคลอ่ื นทีข่ องอิเลก็ ตรอนในอะตอม โมเลกลุ และในผลกึ ไดอ้ ย่างถูกต้องและสามารถพิสจู นไ์ ด้ว่าระดบั พลงั งาน
ของอิเลก็ ตรอนในอะตอม ไมต่ อ่ เนื่องกนั
หลักความไม่แนน่ อนและโอกาสท่จี ะเป็นไปได้ (Uncertainty Principle)
1. ในการพิจารณาอเิ ลก็ ตรอน ตามหลกั ทวิภาพของคลื่นและอนุภาคพบวา่ ถ้าอิเล็กตรอนเป็นอนภุ าค
เราคดิ ถึงอนภุ าคในลกั ษณะทม่ี ขี นาดแน่นอนและขนาดเล็กมาก ถ้าคดิ วา่ อิเลก็ ตรอนเป็นคลน่ื ขนาดและ
ตาแหนง่ ของคลนื่ ยอ่ มกระจายอยูใ่ นอาณาเขตอันหนงึ่ แต่ไมส่ ามารถบอกได้ชัดว่าอยู่ท่ีใด
2. ในการศกึ ษา Quantum Mechanics ไฮเซนเบอร์กไดต้ งั้ หลกั ความไมแ่ นน่ อน กล่าวคือ
ตาแหน่งและโมเมนตมั ของอนุภาคไมส่ ามารถท่ีจะบอกไดว้ า่ อนุภาคอยู่ ณ ทใ่ี ดทีห่ นง่ึ และมคี ่าโมเมนตัมท่ี
แน่นอนเทา่ ใด หลักการนี้ปรากฏวา่ ใชไ้ ดท้ ้ังสสารและโฟตอน กลา่ วโดยสรุปหลกั ความไมแ่ น่นอนของไฮเซน
เบอรก์ เปน็ ความไม่แนน่ อนทางตาแหน่ง และทางโมเมนตมั ของอนุภาค เขยี นเป็นสูตรได้
Δx . ΔP h
เมือ่ Δx คอื ความไม่แน่นอนในการบอกตาแหนง่ (m)
ΔP คอื ความไมแ่ นน่ อนในการบอกโมเมตมั (kg.m/s)
h คือ h = 1.05 x 10 -34 J.s
2π
โครงสร้างอะตอมตามทฤษฎกี ลศาสตรค์ วอนตัม
ตามหลักความไมแ่ นน่ อน เราไม่สารมารถระบุไดว้ า่ อเิ ลก็ ตรอนเคลอ่ื นทรี่ อบนวิ เคลียสอยู่ใน
ตาแหนง่ ใดไดแ้ นน่ อน เราบอกได้เพยี งแตโ่ อกาสจะพบอิเล็กตรอน ณ ตาแหนง่ ต่างๆ ว่าเป็นเท่าใดเทา่ นนั้
ดงั นั้นโอกาสที่จะพบอเิ ล็กตรอน ณ ตาแหนง่ ต่างๆ วา่ เป็นเท่าใดเทา่ นัน้ ดังนนั้ โอกาสท่ีจะพบอเิ ลก็ ตรอน
รอบนวิ เคลยี สจึงมลี ักษณะเปน็ กลุ่มหมอกทรงกลมห่อหุ้มนวิ เคลยี สในระดับชน้ั พลงั งานตา่ งๆ ดงั รปู 19.14
รปู 9.1 ภาพแสดงกลมุ่ หมอกของอะตอมไฮโดรเจนทรี่ ะดบั พลังงานต่าง ๆ
แนวคดิ ของกลศาสตร์ควอนตมั ทม่ี โี อกาสจะพบอเิ ลก็ ตรอนรอบนวิ เคลยี สมลี กั ษณะเปน็ กล่มุ หมอก
สามารถอธิบายความไมส่ มบูรณ์ของทฤษฎีของโบว์ ถงึ การแยกเส้นสเปกตรัมหนึง่ เส้นเปน็ หลายเสน้ เมอ่ื
อะตอมอยใู่ นสนามแม่เหลก็ ได้
จะเห็นไดว้ า่ ระดับพลังงานาของอิเล็กตรอนในอะตอมไฮโดรเจนในระดับต่างๆจะไดจ้ ากกลศาสตร์
ควอนตัมสอดคล้องกับทฤษฎขี องโบว์ แตอ่ ะตอมใหญ่ ๆ ระดบั พลงั งานท่ีได้จากทฤษฎที ั้งสองตา่ งกันแต่ผลท่ี
ไดจ้ ากกลศาสตร์ควอนตมั ถกู ตอ้ งกว่า
2. มาตรฐาน
4. เขา้ ใจความสมั พันธข์ องความรอ้ นกับการเปล่ียนอณุ หภูมิและสถานะของสสาร สภาพยดื หยนุ่ ของ
วัสดแุ ละมอดลุ ัสของยงั ความดันในของไหล แรงพยุงและหลักของอาร์คิมดี ิส ความตงึ ผิวและ
แรงหนืดของของเหลว ของไหลอุดมคติ และ สมการแบร์นูลลี กฎของแกส๊ ทฤษฎจี ลนข์ องแก๊ส
อุดมคตแิ ละพลังงานในระบบ ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ ปรากฏการณโ์ ฟโตอิเลก็ ทรกิ ทวภิ าวะของ
คลนื่ และอนภุ าค กัมมันตภาพรงั สี แรงนวิ เคลียร์ ปฏกิ ิริยานวิ เคลยี ร์ พลงั งานนิวเคลยี ร์ ฟสิ กิ ส์
อนุภาค รวมท้ังนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
3. ตวั ชว้ี ัด/ผลการเรยี นรู้
ผลการเรยี นรู้ อธบิ ายกลศาสตร์ควอนตมั และการนาไปประยกุ ต์ใช้ประโยชน์ในท้องถ่ิน
และภมู ภิ าคอาเซียนตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
4. สาระการเรยี นรู้
- สาระการเรยี นร้แู กนกลาง
1. กลศาสตร์ควอนตมั (Quantum Mechanics)
2. หลักความไมแ่ นน่ อนและโอกาสท่ีจะเปน็ ไปได้ (Uncertainty Principle)
3. โครงสรา้ งอะตอมตามทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม
4. ประยกุ ตใ์ ช้ประโยชน์กลศาสตรค์ วอนตมั
5. สาระการเรียนรูท้ ้องถนิ่
1. ประยุกตใ์ ชป้ ระโยชน์กลศาสตร์ควอนตมั ในทอ้ งถน่ิ (กล้องจลุ ทรรศน์/เลเซอร/์ อปุ กรณ์
อเิ ล็กทรอนกิ ส)์
6. สอดแทรกหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
1. ประยกุ ตใ์ ชป้ ระโยชนก์ ลศาสตรค์ วอนตมั ในท้องถ่ิน (กลอ้ งจุลทรรศน/์ เลเซอร/์ อปุ กรณ์
อิเล็กทรอนิกส)์ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
7. สอดแทรกความรู้การเข้าสปู่ ระชาคมอาเซยี น
1. ประยกุ ต์ใชป้ ระโยชน์กลศาสตรค์ วอนตัมในภูมภิ าคอาเซยี น (กลอ้ งจุลทรรศน/์ เลเซอร์/
อปุ กรณ์อเิ ล็กทรอนิกส)์ ตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
8. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รยี น
1. ความสามารถในการสือ่ สาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
จดุ เนน้ การพฒั นาคุณภาพผเู้ รียนด้านสมรรถนะ
1. การใช้เทคโนโลยีเพอื่ การเรียนรู้
2. ทกั ษะการสอ่ื สารอยา่ งสรา้ งสรรค์ตามช่วงวยั
3. ทักษะการคิดชน้ั สูง
9. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
1. ซอ่ื สัตย์สจุ ริต
2. มีวินยั
3.ใฝ่เรยี นรู้
4. อยู่อย่างพอเพียง
5. มุ่งมัน่ ในการทางาน
จดุ เน้นการพัฒนาคณุ ภาพผเู้ รียนดา้ นคณุ ลกั ษณะ
1. คุณลักษณะมงุ่ ม่ันในการทางาน
10. คุณลักษณะ 5 ประการโรงเรียนสุจริต
1. กระบวนการคดิ
2. มีวินยั
3.ซื่อสัตย์สจุ ริต
4. อยู่อย่างพอเพียง
11. ช้นิ งาน/ภาระงาน
1. ทาแบบฝึกหัดพฒั นาทกั ษะการคิดในแบบเรียน เรอ่ื ง กลศาสตร์ควอนตมั ในแบบเรยี น
คาถามขอ้ ท่ี 4-5 (หน้า 103)
2. ทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจดั การเรียนรู้ ที่ 10 เรื่อง กลศาสตร์ควอนตมั
3. รายงานและการนาเสนอ เร่ือง การประยุกต์ใชก้ ลศาสตรค์ วอนตมั ในท้องถนิ่ และภมู ภิ าค
อาเซยี น
12 .การวัดและประเมินผล
12.1 การประเมนิ ระหวา่ งจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
ชิน้ งาน/ภาระงาน วิธีการประเมนิ เครื่องมือ เกณฑ์การประเมนิ
ทาแบบฝึกหัดพัฒนาทกั ษะ ตรวจแบบฝึกหัดพัฒนา แบบฝกึ หดั พฒั นาทักษะ ตามเกณฑ์
การคิดในแบบเรียน เรอื่ ง ทกั ษะการคดิ ในแบบเรียน การคิดในแบบเรยี น การประเมนิ ผล
กลศาสตร์ควอนตัม เร่อื ง กลศาสตร์ควอนตมั เรอื่ ง กลศาสตร์ควอนตัม แบบฝึกหัด
3. เขยี นรายงานและ ตรวจรายงานและการ แบบประเมนิ รายงาน ตามเกณฑ์การ
นาเสนอผลงานการ นาเสนอ เรื่อง การ และการนาเสนอ เร่อื ง ประเมนิ รายงานและ
ประยกุ ต์ใชก้ ลศาสตร์ ประยกุ ตใ์ ช้กลศาสตร์ การประยกุ ต์ใช้ การนาเสนอ
ควอนตัมในท้องถิ่นและ ควอนตัมในท้องถนิ่ และ กลศาสตร์ควอนตมั ใน
ภมู ิภาคอาเซยี น ภมู ภิ าคอาเซยี น ท้องถิน่ และภูมภิ าค
อาเซียน
12.2 การประเมินเม่ือสนิ้ สุดการเรยี นรู้
ช้ินงาน/ภาระงาน วิธกี ารประเมนิ เครือ่ งมอื เกณฑก์ ารประเมิน
สอบเกบ็ คะแนน ทาแบบทดสอบ แบบทดสอบเกบ็ คะแนน ตามเกณฑ์
เก็บคะแนนจานวน 10 ขอ้ จานวน 10 ข้อ การประเมินผล
การทาแบบทดสอบ
ภาระงาน/ช้ินงาน เกณฑก์ ารประเมิน (Rubrics) พอใช้ ปรับปรงุ
ดมี าก ดี
ทาแบบฝกึ หดั ถูกตอ้ ง
แบบฝึกหัด ทาแบบฝึกหดั ถกู ต้อง ทาแบบฝกึ หัด ทาแบบฝึกหดั ตา่ กวา่ 50%
รายงาน 80% ถกู ต้อง 60-80% ถกู ตอ้ ง 50 -60%
ขน้ึ ไป ทางานท่ีได้รบั
ทางานทีไ่ ด้รบั ทางานท่ีไดร้ บั มอบหมายด้วย
ทางานที่ไดร้ ับ มอบหมายด้วย มอบหมายด้วย ตนเองไมค่ รบถ้วน
มอบหมายด้วย ตนเอง ครบถว้ น ตนเอง ครบถ้วน ถกู ตอ้ ง 50% /ตรง
ตนเอง ครบถ้วนตรง ถกู ต้อง80% ตรง ถกู ต้อง70% ตรง ตามกาหนดส่ง
ตามกาหนดสง่ และ ตามกาหนส่ง ตามกาหนส่ง
ถูกต้อง
เกณฑ์การประเมินผลการทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น / แบบทดสอบเกบ็ คะแนน ใช้เกณฑ์ดงั นี้
ร้อยละ 80 ขึ้นไป หมายถึง ดมี าก
รอ้ ยละ 70-79 หมายถึง ดี
ร้อยละ 60-69 หมายถงึ ปานกลาง
รอ้ ยละ 50-59 หมายถึง ผา่ น
ต่ากว่าร้อยละ 50 หมายถึง ปรบั ปรงุ
ผ้ปู ระเมนิ
1. ครผู สู้ อนประเมินนักเรียน 2. นกั เรยี นประเมนิ นกั เรียน
การวัดสมรรถนะและคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ของผเู้ รียน
สมรรถนะ/ คณุ ลกั ษณะอัน วิธกี าร เคร่ืองมือ เกณฑ์การผา่ น
พึงประสงค์ของผูเ้ รียน ระดับ ๒ ผ่านเกณฑ์
ระดับ ๒ ผ่านเกณฑ์
ความสามารถในการส่ือสาร ตรวจรายงาน แบบประเมนิ สมรรถนะ ระดับ ๒ ผ่านเกณฑ์
ความสามารถในการคดิ ตรวจแบบฝกึ หัดพัฒนา แบบประเมินสมรรถนะ ระดับ ๒ ผ่านเกณฑ์
ระดบั ๒ ผา่ นเกณฑ์
ทกั ษะการคิด
ความสามารถในการ ตรวจรายงานและ แบบประเมินสมรรถนะ
แกป้ ัญหา แบบฝกึ หดั พัฒนาทักษะ
การคิด
คณุ ลักษณะใฝเ่ รยี นรู้ นกั เรยี นประเมนิ ตนเอง แบบประเมนิ ตนเอง
ออนไลน์
คุณลกั ษณะมุง่ มนั่ ในการ นกั เรียนประเมนิ ตนเอง แบบประเมินตนเอง
ทางาน ออนไลน์
13. การวเิ คราะหค์ วามสอดคล้องหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
13.1 ผู้เรยี นได้เรยี นรูห้ ลกั คิด และฝกึ ปฏิบัติ ตาม 3 หว่ ง 2 เงือ่ น ดังน้ี
ความรู้ คณุ ธรรม
1. แนวคิดเศรษฐกิจพอเพยี ง 1. ความขยนั 2. ใฝเ่ รยี นรู้
2. ปัญหาและการพฒั นาประเทศของไทยทน่ี า 3. ความรับผิดชอบ 4. ความมุ่งมั่นในการทางาน
ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงมาใช้ในการ 5. ความสามัคคภี ายในกลุม่
วางแผน พฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมฉบับที่ 11
พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคมุ้ กันในตวั ทด่ี ี
1. พอประมาณกับงบประมาณ 1. เขา้ ใจและเหน็ ความสาคัญในการ 1. นาปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงไป
ในการนาเสนอผลงานหนา้ นาแนวทางปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ประยุกต์ใชก้ บั การดาเนนิ ชวี ิตของตนเอง
ชน้ั เรียน เช่น การทารายงาน มาใช้ในชีวติ ประจาวนั อย่างมเี หตุผล อยา่ งเหมาะสมถูกต้อง เพื่อให้สามารถ
2. พอประมาณในการดาเนินชีวติ ยนื หยัดไดอ้ ย่างม่นั คงท่ามกลางกระแส
การเปลีย่ นแปลงอยา่ งรวดเรว็ ของสงั คม
เศรษฐกิจ และส่งิ แวดล้อม
13.2 ผเู้ รียนได้เรียนรู้การใช้ชวี ติ ท่ีสมดลุ และพร้อมรบั การเปลี่ยนแปลงใน 4 มิติ ตามหลกั ปรชั ญาของ
เศรษฐกิจพอเพยี ง ดงั นี้
สมดลุ และพรอ้ มรับการเปลยี่ นแปลงในดา้ นต่างๆ
ด้าน วตั ถุ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม
องค์ประกอบ
ความรู้ -มีความรเู้ กี่ยวกบั แนวคิด -รู้จกั แบง่ หนา้ ที่ -มคี วามรู้เก่ียวกับ -รูแ้ ละเข้าใจ
เศรษฐกิจพอเพียงและ รับผดิ ชอบใน การรกั ษาธรรมชาติ ในวัฒนธรรม
สามารถนาปรชั ญาเศรษฐกจิ การทางาน และส่ิงแวดลอ้ ม ทอ้ งถนิ่ ท่ตี น
พอเพยี งมาประยกุ ต์ใช้ อาศัยอยู่
ในชีวติ ประจาวัน
ทักษะ -มที กั ษะในการนา - ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม - ดแู ลรักษา -การชว่ ยเหลอื
ดา้ น แนวคดิ เศรษฐกิจ ภายในกลุม่ ไดอ้ ย่างมี และไมท่ าลาย เกื้อกลู เอ้อื เฟือ้
องค์ประกอบ
พอเพยี งมาประยุกต์ ประสิทธิ ภาพ ส่งิ แวดลอ้ ม แบ่งปนั
ทักษะ
ใชช้ วี ิตประจาวนั
ค่านิยม
สมดุลและพร้อมรบั การเปลี่ยนแปลงในดา้ นตา่ งๆ
วัตถุ สงั คม ส่ิงแวดล้อม วัฒนธรรม
-มีทกั ษะในการนา แนวคิด - ปฏิบตั ิกิจกรรม - ดแู ลรกั ษา -การช่วยเหลือ
เก้ือกลู เอ้อื เฟอ้ื
เศรษฐกิจ พอเพียงมา ภายในกล่มุ ไดอ้ ย่าง และไมท่ าลาย แบง่ ปัน
ประยุกต์ ใช้ชีวิตประจาวัน มีประสิทธภิ าพ ส่ิงแวดลอ้ ม -เห็นคุณค่าของ
วฒั นธรรมองถิน่ ท่ตี น
-มีความตระหนักและ -เกดิ ความรัก สามคั คี -ตระหนกั ในการ อาศยั อยู่
เหน็ คณุ ค่าของการนา ในหมู่ คณะและ ใชท้ รัพยากรทม่ี ี
แนวคิดเศรษฐกิจพอเพยี งมา ยอมรบั ฟังความคิดเห็น อยู่อย่างคุ้มค่า
ประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ิตประจาวัน ของผอู้ ่ืน
14. กิจกรรมการเรยี นรู้ ใช้การเรยี นการสอน แบบ 5E
1. ขัน้ สรา้ งความสนใจ
1. ครนู านกั เรียนอภิปรายถงึ กลศาสตร์ควอนตมั ตามความเข้าใจของนกั เรียน โดยใหน้ ักเรยี น
แสดงเหตุผลประกอบดว้ ย (กระบวนการคิด)
2. ใหน้ กั เรยี นร่วมกนั ตั้งคาถามเกี่ยวกับสิง่ ท่ตี ้องการรู้ จากเนือ้ หาที่เก่ยี วกับกลศาสตร์ควอนตมั
2. ขั้นสารวจและคน้ หา (กระบวนการคิด)
1. แบ่งนกั เรยี นเป็นกลุ่ม ๆ 6 -7 คน (ประกอบดว้ ย นักเรียนเก่ง กลาง ออ่ น จากผลการ
วเิ คราะหผ์ เู้ รยี น) (เง่ือนไขคณุ ธรรม : ความรบั ผดิ ชอบ, ความมุ่งมนั่ ) (มีวินัย)
2. ครใู ห้นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มการวางแผนการสืบค้นการศกึ ษาเร่อื ง กลศาสตรค์ วอนตมั
3. นกั เรยี นแต่ละกล่มุ ร่วมกันสืบค้นและศึกษากลศาสตรค์ วอนตมั จากคลปิ วีดิโอ “กลศาสตร์
ควอนตมั ” ความยาว 12 นาที (เง่ือนไขความร้)ู (กระบวนการคดิ )
4. นักเรยี นแต่ละกล่มุ สรปุ ความรทู้ ่ไี ด้จากการดวู ิดีโอ เร่ือง กลศาสตร์ควอนตมั (กระบวนการคดิ )
(เง่ือนไขคณุ ธรรม : ความรับผดิ ชอบ, ความมุง่ มั่น)
5. นักเรยี นแตล่ ะกล่มุ ร่วมกนั วางแผนการสืบคน้ และศกึ ษาค้นควา้ การประยุกตใ์ ชก้ ลศาสตร์
ควอนตมั ในท้องถิน่ และภมู ิภาคอาเซยี น (พอประมาณกบั งบประมาณ, ความมีเหตผุ ล, การมีภมู ิคุ้มกันในตัวท่ี
ดี, เงอ่ื นไขความรู้ และเงื่อนไขคุณธรรม) (กระบวนการคิด มวี ินยั และซ่ือสตั ย์สุจริต)
6. นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ปฏิบัติการสบื ค้นและศกึ ษาค้นควา้ (กระบวนการคิด มีวินยั และซื่อสัตย์
สจุ รติ )
3. ขนั้ อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ
1. นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอผลการสืบคน้ และผลการศึกษา เร่ือง การประยุกตใ์ ชก้ ลศาสตร์
ควอนตมั ในท้องถน่ิ และภมู ิภาคอาเซียน (พอประมาณกบั งบประมาณ, ความมีเหตุผล, การมีภมู ิคมุ้ กันในตวั ทด่ี ,ี
เง่อื นไขความรู้ และเง่อื นไขคุณธรรม) (กระบวนการคดิ มวี ินยั ซื่อสัตย์สุจรติ และอยู่อย่างพอเพียง)
2. สังเกตพฤตกิ รรมในการทางานและการนาเสนอผลงานของนักเรยี นตามแบบประเมินพฤตกิ รรม
ในการทางานเปน็ รายบคุ คลหรือเปน็ กลมุ่ ในขณะนักเรยี นปฏิบตั กิ ิจกรรม (พอประมาณกบั งบประมาณ, ความ
มีเหตผุ ล, การมีภูมิคมุ้ กันในตัวทดี่ ี) (กระบวนการคิด มวี ินัย ซือ่ สตั ย์สจุ รติ และอยูอ่ ยา่ งพอเพียง)
3. นักเรยี นท้ังหมดรว่ มกนั สรปุ ผลจากการสืบค้นและศึกษาคน้ ควา้ ( ความมเี หตุผล, การมี
ภมู คิ มุ้ กนั ในตวั ทด่ี ,ี เงื่อนไขความรู้ และเง่อื นไขคณุ ธรรม) (กระบวนการคิด มวี ินัย ซอื่ สัตย์สจุ ริตและอย่อู ย่าง
พอเพียง)
4. ข้ันขยายความรู้
1. ครูและนกั เรยี นร่วมกนั สรปุ ความรู้เรอื่ ง การประยุกต์ใชก้ ลศาสตร์ควอนตมั ในทอ้ งถน่ิ และ
ภูมิภาคอาเซียน( ความมีเหตุผล, การมีภูมิคุ้มกนั ในตวั ท่ดี ี, เง่อื นไขความรู้ และเงือ่ นไขคณุ ธรรม) (กระบวนการ
คดิ มีวินัย ซ่อื สัตย์สุจรติ และอยูอ่ ยา่ งพอเพียง)
2. นักเรยี นร่วมกันสรปุ การรว่ มกล่มุ การนาการประยกุ ตใ์ ช้กลศาสตรค์ วอนตัมในทอ้ งถิน่ และ
ภมู ภิ าคอาเซยี น ( ความพอประมาณ,ความมเี หตุผล, การมีภูมคิ ้มุ กันในตวั ทด่ี ี, เง่อื นไขความรู้ และเงอ่ื นไข
คุณธรรม) (กระบวนการคดิ มวี นิ ัย ซือ่ สัตยส์ ุจรติ และอยอู่ ยา่ งพอเพยี ง)
5. ขน้ั ประเมินผล
1. ทาแบบฝึกหดั พัฒนาทักษะการคิดในแบบเรยี น เร่ือง กลศาสตร์ควอนตมั ในแบบเรยี น คาถาม
คาถามข้อ 4-5 (หนา้ 103) (กระบวนการคดิ มวี นิ ยั ซ่อื สัตยส์ ุจริตและอยู่อยา่ งพอเพียง)
2. นักเรยี นรายงานกลมุ่ และนาเสนอหนา้ ชัน้ เรียน (กระบวนการคิด มวี นิ ยั ซ่ือสัตย์สุจริตและอยู่
อย่างพอเพียง)
2. นักเรียนทาแบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 10 เรื่อง กลศาสตร์ควอนตัม
(กระบวนการคิด มวี ินัย ซือ่ สัตยส์ ุจรติ และอย่อู ยา่ งพอเพยี ง)
15. สอ่ื การเรียนร้/ู แหล่งเรียนรู้
ส่อื การเรยี นรู้
1. หนังสือเรียนรายวิชาเพมิ่ เติมฟสิ ิกส์ เลม่ 6 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ของ สสวท.
2. คลปิ วีดิโอ “กลศาสตรค์ วอนตัม ” สือ่ การสอน สสวท.
https://www.youtube.com/watch?v=GcjV1hbvaNg
3. PPT หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 เร่ือง ฟสิ ิกสอ์ ะตอม
4. แบบฝึกหัดพฒั นาทกั ษะการคิดในแบบเรยี น เรอ่ื ง กลศาสตร์ควอนตัม ในแบบเรยี น
คาถามขอ้ 4-5 (หนา้ 103)
5. แบบทดสอบเก็บคะแนนแผนการเรยี นรทู้ ี่ 10 กลศาสตรค์ วอนตมั
แหลง่ เรียนรู้
1. หอ้ งสมุดโรงเรยี น
2. หอ้ งสืบค้น Resource Center
16. กจิ กรรมเสนอแนะ
แนะนาให้นักเรยี นค้นคว้าหาความรเู้ พิ่มเตมิ จาก
http://www.school.net.th/education/physics-resources.php3 และ
http://SCIENCE.HOWSTAFFWORKS.com
ขอ้ เสนอแนะของหวั หนา้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
ลงชือ่ ........................................................
(นางตวงรัตน์ อ้นอนิ ทร)์
ตาแหน่ง หวั หน้ากลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
วนั ท่ี..........เดือน..........................พ.ศ............
ข้อเสนอแนะของรองผู้อานวยการกลุ่มบริหารงานวชิ าการ
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
……………………………………………………………………………………………………….
ลงชื่อ...................................................................
(นายสุรศกั ด์ิ โพธบ์ิ ัลลังค์)
ตาแหน่ง รองผอู้ านวยการกลมุ่ บรหิ ารงานวิชาการ
วนั ที่..........เดือน..........................พ.ศ............
ขอ้ เสนอแนะของผูอ้ านวยการโรงเรียน
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
ลงชอ่ื .......................................................
(นายพัฒนา ทรงประดิษฐ)
ตาแหน่ง ผู้อานวยการโรงเรยี นวัชรวทิ ยา
วันที่..........เดอื น..........................พ.ศ............
บันทึกผลหลังการสอนแผนการสอนท่ี 10
ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 วชิ า ฟิสกิ ส์ 6 รหัสวิชา ว30206
ครผู ูส้ อน นางดวงดาว บดรี ัฐ
1. ผลการสอน
1.1 สรุปผลการสอน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.2 หาความก้าวหนา้ ในการเรียนการสอน คะแนนเฉล่ีย ความก้าวหน้า
หลงั เรยี น ในการเรียน
จานวนนกั เรียน คะแนนเต็ม คะแนนเฉลยี่
ก่อนเรียน
ร้อยละความกา้ วหน้า = คะแนนหลงั เรียน – คะแนนก่อนเรียน x 100
คะแนนเต็ม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หา / อุปสรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะ / แนวทางแกไ้ ข
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………….………………………………………………………
ลงช่ือ………………………………ครูผู้สอน
( นางดวงดาว บดรี ฐั )
ตาแหน่ง ครู คศ. 3
วนั ท…ี่ ..เดือน……………..……..พ.ศ...........
กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ แบบทดสอบ รายวชิ า ฟสิ กิ ส์ 6 (ว
ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 6 เรอ่ื ง 30206)
กลศาสตร์ควอนตมั หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2
ฟสิ ิกส์อะตอม
1. หลกั ความไมแ่ นน่ อนของไฮเซนเบอร์ก กลา่ ววา่ ผลคณู ระหวา่ งความไม่แนน่ อนทางตาแหน่ง
กับความไมแ่ น่นอนทางโมเมนตมั จะมคี ่าอย่างไร
ก. นอ้ ยกว่าคา่ นิจของแพลงค์หารด้วย 2
ข. เทา่ กับค่านจิ ของแพลงค์หารด้วย 2
ค. มากกว่าค่านจิ ของแพลงค์หารด้วย 2
ง. มากกว่าหรือเทา่ กบั ค่านิจของแพลงคห์ ารด้วย 2
2. นวิ เคลยี สของอะตอมรัศมีประมาณ 10 -14 เมตร ถ้า e อยใู่ นนิวเคลยี สไดค้ วามไมแ่ น่นอนในการวัด
ตาแหน่ง
ของอเิ ลก็ ตรอน x ไม่ควรมีค่าเกิน 10 -14 เมตร จากหลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบอรก์ โมเมนตมั
ของ e
อย่างน้อยทส่ี ดุ มีคา่ เทา่ ใด ข. 1.05 x 10 -16 kg. m/s
ก. 1.05 x 10 -14 kg. m/s
ค. 1.05 x 10 -18 kg. m/s ง. 1.05 x 10 -20 kg. m/s
3. ถา้ มวล 0.001 กรัม อยใู่ นเขต 0.01 มิลลิเมตร จงหาความไมแ่ นน่ อนของความเร็วของวัตถนุ ้ี
ก. 1.05 x 10 -18 m/s ข. 1.05 x 10 -20 m/s
ค. 1.05 x 10 -23 m/s ง. 1.05 x 10 -25 m/s
4. จงหาความยาวคลน่ื ของอเิ ลก็ ตรอน ซ่งึ เคลื่อนทด่ี ว้ ยพลงั งาน 5 อเิ ล็กตรอนโวลต์
ก. 0.55 ηm ข. 0.85 ηm
ค. 0.95 ηm ง. 1.10 ηm
5. ความยาวคล่นื ของเดอบรอยล์ของอเิ ล็กตรอนเทา่ กบั 0.10 นาโนเมตร พลังงานจลน์ของอเิ ล็กตรอนมีค่า
เท่าไร ข. 4.8 x 10 -17 J
ก. 2.4 x 10 -17 J ง. 1.0 x 10 -15 J
ค. 2.0 x 10 -16 J
6. อนภุ าคมวล m มพี ลังงานจลน์เพม่ิ ข้นึ เปน็ 4 เท่าของพลงั งานจลน์เดมิ ความยาวคลื่นเดอบรอยลข์ อง
อนุภาคน้ใี นครง้ั หลงั จะเป็นกเ่ี ท่าของความยาวคลื่นเดอบรอยลค์ ร้งั แรก
ก. 1 เท่า ข. 2 เท่า
2 ง. 8 เท่า
ค. 4 เท่า
7. ไฮโดรเจนไอออน(H + ) และฮเี ลียมไอออน (He + ) ถูกเร่งดว้ ยสนามไฟฟา้ 10 6 โวลต์ ไฮโดรเจน
ไอออนจะมีความยาวคล่นื เดอบรอยลเ์ ปน็ กีเ่ ท่าของฮีเลยี มไอออน
ก. 2 เท่า ข. 1 เท่า
2
ค. 2 เท่า ง. 4 เทา่
8. ถ้ามวลของอนภุ าค A เป็นครึ่งหน่งึ ของมวลอนภุ าค B เมื่ออนุภาคทั้งสองมีพลงั งานเทา่ กนั อนุภาค A
จะประพฤตติ ัวเป็นคลนื่ ทม่ี คี วามยาวคลนื่ เปน็ ก่ีเท่าของอนุภาค B
ก. 1 เท่า ข. 1 เท่า
2 2
ค. 2 เท่า ง. 2 เท่า
9. อนุภาค A มมี วลเปน็ 1 เทา่ ของอนุภาค B ถา้ อนภุ าคทัง้ สองมีพลังงานจลนเ์ ทา่ กัน ความยาวคลื่น
4
เดอบรอยล์ของอนุภาค A เป็นกเ่ี ท่าของอนุภาค B
ก. 1 เทา่ ข. 1 เท่า
4 2
ค. 2 เทา่ ง. 4 เท่า
10. (เอน็ ทรานซ)์ ปรากฏการณ์ชนดิ ใดท่ีแสดงว่าอนภุ าคแสดงสมบัติของคลน่ื ได้
ก. ปรากฏการณโ์ ฟโตอิเลก็ ทรกิ ข. ปรากฏการณ์คอมพ์ตนั
ค. ปรากฏการณ์แทรกสอดของโฟตอน ง. ปรากฏการณเ์ ลย้ี วเบนของอเิ ลก็ ตรอน
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ าฟสิ กิ ส์ 6 รหัสวชิ า ว30206
ระดบั ชั้นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ภาคเรยี นท่ี 2 จานวน 1.5 หน่วย เวลาเรยี นจานวน 18 ชัว่ โมง
ผู้สอน นางดวงดาว บดีรัฐ โรงเรียนวัชรวิทยา
1. ชอื่ หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 3 เร่ือง ฟิสิกส์นิวเคลยี ร์
2. มาตรฐานการเรียนร้/ู ผลการเรียนรู้ (ตวั ชว้ี ดั )
สาระฟิสกิ ส์
4. เขา้ ใจความสมั พันธ์ของความร้อนกบั การเปลีย่ นอณุ หภมู ิและสถานะของสสาร
สภาพยืดหยุน่ ของวสั ดุและมอดลุ ัสของยงั ความดนั ในของไหล แรงพยงุ และหลักของ
อารค์ ิมดี ิส ความตงึ ผวิ และแรงหนดื ของของเหลว ของไหลอุดมคติและสมการแบรน์ ูลลี
กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลนข์ องแกส๊ อุดมคติและพลังงานในระบบ ทฤษฎอี ะตอมของโบร์
ปรากฏการณ์โฟโตอิเลก็ ทรกิ ทวิภาวะของคล่ืนและอนภุ าค กัมมนั ตภาพรังสี
แรงนิวเคลียร์ ปฏกิ ิริยานวิ เคลยี ร์ พลังงานนวิ เคลียร์ ฟสิ กิ สอ์ นภุ าค รวมท้งั นาความรู้ไป
ใชป้ ระโยชน์
ผลการเรียนรู้
1. อธบิ ายเสถยี รภาพของนวิ เคลียส แรงนวิ เคลียร์ และพลังงานยึดเหนี่ยว รวมทงั้ คานวณ
ปริมาณต่างๆท่เี ก่ียวขอ้ ง
2. อธิบายการค้นพบกัมมนั ตภาพรงั สแี ละความแตกตา่ งของรังสีแอลฟา บตี า และแกมมา
3. อธบิ าย และคานวณกัมมันตภาพของนวิ เคลยี สกัมมันตรังสี รวมท้ังทดลอง อธบิ ายและ
คานวณจานวนนวิ เคลียสกัมมนั ตภาพรังสีที่ เหลือจากการสลายและคร่งึ ชีวิต
4. อธิบายปฏกิ ิริยานิวเคลียร์ ฟชิ ชนั และฟวิ ชัน รวมท้งั คานวณพลังงานนวิ เคลียร์
5. อธบิ ายประโยชน์ของพลงั งานนิวเคลยี ร์ และรงั สี รวมทั้งอนั ตรายและการปอ้ งกนั รงั สี ใน
ด้านต่าง ๆ ในท้องถน่ิ และภมู ภิ าคอาเซยี นตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง และ
พระบรมราโชบาย ร.10
6. อธบิ ายการค้นคว้าวจิ ัยดา้ นฟิสกิ ส์อนภุ าค และแบบจาลองมาตรฐาน
7. อธบิ ายการใช้ประโยชน์ จากการคน้ ควา้ วิจัยด้านฟสิ กิ ส์อนภุ าคในดา้ นต่าง ๆ ในทอ้ งถ่ิน
และภมู ภิ าคอาเซยี นตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งและพระบรมราโชบาย ร.10
สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
การเปลี่ยนสภาพนิวเคลียส : โดยทว่ั ไปนวิ เคลียสจะประกอบดว้ ยอนุภาค 2 ชนดิ คือ โปรตอน
(proton) และนิวตรอน (neutron) ซงึ่ จะเรียกโปรตอนและนวิ ตรอนที่อย่ใู นนิวเคลยี สหน่ึงวา่
นิวคลอี อน (nucleon) โดยการเปลีย่ นสภาพนวิ เคลียสเกดิ ขึ้นเมอ่ื นวิ เคลยี สสลายตัวใหร้ งั สแี อลฟา
รงั สีบีตาและรังสแี กมมา อย่างใดอยา่ งหน่งึ ทาให้นวิ เคลยี สของธาตุมเี ลขอะตอมและจานวนนิวคลอี อน
เปล่ียนไปสญั ลกั ษณ์ของนิวเคลียร์ (nuclear symbol) หรือทเ่ี รียกวา่ นวิ ไคลด์ (nuclide) ชนดิ หน่ึง
ของธาตุ จะใชจ้ านวนโปรตอนและนวิ ตรอนในการระบุชนิดของนวิ ไคลด์ ดังต่อไปน้ี
ZAX
โดย Z แทนเลขอะตอม (atomic number) คือ จานวนของโปรตอนในนวิ เคลียสน้ัน
n แทนเลขนวิ ตรอน (neutron number) คอื จานวนของนวิ ตรอนในนวิ เคลยี สน้นั
A แทนเลขมวล (mass number)คอื จานวนนวิ คลอี อนทง้ั หมดในนิวเคลียสนั้นหรอื A=Z+ n
X แทนสัญลกั ษณ์ทางเคมี (chemical symbol) คอื สัญลกั ษณ์ของธาตทุ างเคมี
แรงนิวเคลยี ร์
แรงนิวเคลยี ร์ คือ แรงท่ีใช้ยึดเหน่ยี วนวิ คลีออนเข้าด้วยกัน ซงึ่ ไม่ใชท่ ้ังแรงระหวา่ งประจแุ ละแรงดึงดดู
ระหวา่ งมวลแตเ่ ปน็ แรงทเี่ กดิ จากการแลกเปล่ียนอนุภาคเมซอนระหวา่ งนวิ คลอี ออนในนวิ เคลยี ส
พลังงานยึดเหนี่ยว (B.E.)
มวลของนิวเคลียส เกิดจากมวลของโปรตอนและนวิ ตรอนรวมกัน แตจ่ ากการทดลองพบว่า
มวลของนวิ เคลียส มวลของโปรตอน + มวลของนวิ ตรอน มมี วลหายไปบางส่วนเรยี กวา่ มวลพร่อง
มวลพรอ่ ง Δm = มวลของโปรตอน + มวลของนวิ ตรอน – มวลนิวเคลียส
มวลพร่อง Δm = มวลของไฮโดรเจน + มวลของนิวตรอน – มวลอะตอม
ΔE = Δmx 931 หรอื ΔE = Δm x 930 หนว่ ย MeV
พลังงานยดึ เหน่ียวตอ่ นวิ คลีออน (พลังงานยึดเหนยี่ วต่อเลขมวล)
BE Δmx931 มหี นว่ ยเป็น MeV
AA
กมั มันตภาพรงั สี
เบ็กเคอเรล ทดลองพบว่า ธาตยุ ูเรเนยี มจะปลอ่ ยรงั สีออกมาจากธาตุยเู รเนยี มตลอดเวลาแม้
ไมโ่ ดนแสงแดด และพบว่ารงั สียงั สามารถผ่านวัตถทุ บึ แสงออกมาภายนอกได้ จากการทดลองพบวา่
คณุ สมบตั ิของธาตยุ เู รเนยี มมสี มบตั ิเหมือนรังสีเอกซ์ เชน่
1. สามารถวิง่ ผา่ นวัตถุตา่ ง ๆ ได้
2. ทาให้อากาศรอบนอกแตกตัวเป็นไอออน
3. เกิดการแผร่ ังสเี กิดเองตลอดเวลาแตร่ ังสีเอกซเ์ กดิ เองไมไ่ ด้
ปีแอร์และมารี ครู ี ได้ทาการทดลองพบว่ายังมีธาตุอ่นื เชน่ ทอเรียม เรเดยี ม บอโลเรยี ม
สามารถแผร่ ังสีออกมาไดเ้ ชน่ เดยี วกนั
รูปแสดงการเคลอ่ื นที่ของรงั สีท้ัง 3 ชนดิ ผ่านสนามแมเ่ หล็ก
รงั สีแบง่ ออกเป็น 3 ชนดิ
1. รงั สแี อลฟา สญั ลักษณ์ หรอื 4 He (ประจุบวก)
2
2. รังสบี ตี า สญั ลกั ษณ์ หรอื 10e (ประจุลบ)
3. รังสแี กมมา สญั ลักษณ์ (เปน็ กลางทางไฟฟ้า)
สัญลกั ษณ์ของธาตแุ ละอนุภาคบางอย่างท่คี วรทราบ
แอลฟา () = 4 He ไฮโดรเจนหรอื โปรตอน = 1 H
2 1
บตี า ( - ) = 0 e ดิวเทอรอน = 2 H
1 1
บตี า (+ ) = 0 e ตรติ รอน = 3 H
1 1
แกมมา () = นวิ ตรอน = 1 n
0
ยูเรเนยี ม = 235 U ตะก่วั =
92
206
82 Pb
การสลายตวั ของนิวเคลียสกับกมั มันตรังสี รทั เธอรฟ์ อร์ดและซอดดไี ดต้ ้ังสมมติฐานเพ่อื ใช้อธิบาย
การสลายตวั ของธาตุกัมมันตภาพรงั สไี วด้ งั นี้
1. ธาตกุ ัมมนั ตภาพรงั สจี ะแตกตวั ออกใหอ้ นุภาคแอลฟาหรือบีตาได้สารใหม่ และสาร
ใหมท่ ่เี กดิ ขน้ึ นอ้ี าจจะมกี ารแผก่ ัมมันตภาพรงั สีตอ่ ไปได้อีก
2. ในการสลายตัวของธาตุกัมมันตภาพรังสี เราไม่สามารถจะบอกได้ว่านิวเคลียสใดจะ
สลายกอ่ นหรือหลงั แตเ่ ราสามารถบอกได้เพียงว่านวิ เคลยี สทุกตวั มีความน่าจะเป็นทจ่ี ะสลายตวั เท่ากัน
หมดและอตั ราการสลายจะข้ึนอยกู่ ับจานวนนิวเคลียส ( นวิ เคลียสทีพ่ รอ้ มจะสลาย ) ในขณะน้ัน
ถา้ ท่เี วลา t1 ใหธ้ าตุกมั มันตภาพรงั สีมีจานวนนวิ เคลยี สอยู่ N1
และที่เวลา t2 ใหธ้ าตุกัมมันตภาพรงั สมี ีจานวนนวิ เคลยี สอยู่ N2
อัตราการลดของนวิ เคลียส = N = N2 N1
t t2 t1
จากสมมติฐานข้อ 2 จะไดอ้ ธบิ ายอตั ราการสลายขึ้นอยกู่ ับจานวนนิวเคลียสทีม่ อี ยู่
ขณะน้นั
- ΔN N
Δt
- ΔN = A = N ……………(3.1)
Δt
โดย = ค่าคงที่ของการสลายตัว
N = จานวนนวิ เคลียสของธาตุกัมมันตภาพรังสีท่ีมอี ยขู่ ณะน้นั
- ΔN = A = อัตราการสลายตัวของนวิ เคลยี ส มีเครอื่ งหมายเป็นลบแสดง
Δt
วา่ เป็นอตั ราการลด หน่วยกัมมันตรังสี 1 คูร(ี ci) = 3.7 x 10 10 เบ็คเคอเรล (Bq )
เมอื่ ธาตุกมั มันตรังสสี ลายตัวจะเปล่ยี นเป็นธาตุใหม่ใชห้ ลักการ Balance สมการ
1. ผลบวกของเลขมวลตอนก่อน = ผลบวกของเลขมวลตอนหลัง
A ตอนกอ่ น = A ตอนหลัง
2. ผลบวกของเลขอะตอมตอนก่อน = ผลบวกของเลขอะตอมตอนหลงั
Z ตอนกอ่ น = Z ตอนหลัง
2.1. สมมตธิ าตกุ ัมมนั ตรังสสี ลายตัวให้แอลฟา () 1 ตัว
+A 4 AZ42Y
2
Z
X He
จะได้ธาตเุ ลขมวลลดลงจากเดมิ 4 เลขอะตอมลดลง 2
2.2. สมมตธิ าตกุ ัมมันตรังสสี ลายตวั ให้บีตา บตี า ( - ) 1 ตัว
+AX 0 e ZA1Y
1
Z
จะได้ธาตใุ หม่เลขมวลของธาตุเทา่ เดิม แตเ่ ลขอะตอมเพิ่มหนง่ึ
2.3. สมมติธาตุกมั มนั ตรงั สีสลายตัวให้แกมมา () 1 ตัว
A X + A Y
Z Z
จะไดธ้ าตตุ ัวเดิม เลขอะตอม เลขมวลไม่เปลี่ยนแปลง
เวลาครึ่งชีวิต( Half Life )
ตอนแรกมมี วลเร่ิมต้น N0 เมอ่ื เวลาผา่ นไป 1 ช่วงคร่ึงชวี ิตเหลอื N = N0
21
ตอนแรกมีมวลเร่มิ ต้น N0 เมื่อเวลาผา่ นไป 2 ช่วงครงึ่ ชวี ติ เหลอื N = N0
22
ตอนแรกมมี วลเริม่ ต้น N0 เมือ่ เวลาผ่านไป n ช่วงครงึ่ ชวี ิตเหลือ N = N0 …………(1)
2n
เวลาผ่านไป T วินาที คิดเป็น 1 ชว่ งครึง่ ชวี ติ
เวลาผ่านไป t วินาที คิดเป็น n t ชว่ งครึ่งชีวิต ................................ (2)
T
แทน (20.2) ใน (20.1) จะได้ N 1 n
N0 2
t
จะได้ N 1 T ….................... (3) T คือ เวลาครึง่ ชีวติ
เมื่อ N0 คือ มวลเร่ิมตน้
N0 2
N คือ มวลท่เี หลอื t คอื เวลาผา่ นไป
ความสมั พนั ธ์ของอัตราการสลายตวั ของกัมมนั ตภาพรงั สีกบั ครึง่ ชวี ติ
จาก dN = - N
dt
เขียนในรปู เลขช้ีกาลังจะได้ e-t = N
N0
N = N0e-t ………….…….. (4)
โดย N0 = จานวนนิวเคลียสของธาตุกมั มนั ตภาพรงั สที ี่เวลา t = 0
N = จานวนนวิ เคลียสของธาตกุ มั มันตภาพรังสีทีเ่ วลา t = t
e = คา่ คงท่ี = 2.718
อัตราการสลายตัวของกมั มนั ตภาพรังสีกบั ครึง่ ชีวิต จากสตู ร N = N0e-t
เมื่อเวลาผ่านไปครง่ึ ชวี ติ t = T จานวนนิวเคลยี สเหลอื N N0
2