The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ

ขอโทษครับ ขอบคุณคะ กรมสงเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม


ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ๕๒ เรื่องสั้นรางวัลประกวดหัวข้อ มารยาทไทยและมารยาทในสังคม ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสำ นักหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Date หอสมุดแห่งชาติ ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ. - - พิมพ์ครั้งที่ ๑ - - กรุงเทพฯ : สำ นักงานกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก, ๒๕๖๔ ๒๐๐ หน้า. ๑. เรื่องสั้น. ๒. รางวัลประกวด. I. ชื่อเรื่อง. ISBN 978-616-543-699-1 ที่ปรึกษา : ชาย นครชัย อัจฉราพร พงษ์ฉวี ชัยพลสุขเอี่ยม อิสระริ้วตระกูลไพบูลย์ผู้ทรงคุณวุฒิและคณะกรรมการ : จำลองฝั่งชลจิตร ธัญญาสังขพันธานนท์ กิตติศักดิ์มีสมสืบ พิบูลศักดิ์ลครพล จตุพล บุญพรัด จรูญพร ปรปักษ์ประลัย สรตีปรีชาปัญญากุล ทัศชล เทพกำ ปนาท คณะทำ งาน : เมธาวินทร์แสงมาลา ปนัดดา ปาจรีย์ วิภา พงษ์พรต วรพัทธ์ภควงศ์ ธศรยิ้มสงวน กฤติญาแก้วพิทักษ์ สิทธิเดช ภาคสกุณี อภิญญาสมีพันธ์ ชนิกาณต์มั่นประสงค์ พิสูจน์อักษร : วิภา พงษ์พรต วรพัทธ์ภควงศ์ ชนิกาณต์มั่นประสงค์ อภิญญา สมีพันธ์ ประเสริฐ ดวงจันทร์โชติ ฐิติพงษ์กลัดกลีบ บรรณาธิการต้นฉบับ : จำลองฝั่งชลจิตร บรรณาธิการเล่ม : จตุพล บุญพรัด ภาพปกและภาพประกอบ : กิตติศักดิ์ มีสมสืบ ออกแบบปกและรูปเล่ม : จุฑามาศ พึ่งรอด พิมพ์ที่ : สำ นักงานกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ ทหารผ่านศึก จำ นวน : ๔๐,๐๐๐ เล่ม จัดพิมพ์และเผยแพร่โดย : กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม


สารบัญ สารจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม คำ นำจากประธานคณะกรรมการโครงการ บทกล่าวนำ : ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ๑ แผลเป็นคำ พูด ๑๗ ชมพอกับพ่อ ๒๗ อยู่ในนิทรา ๓๗ เคารพเขา ๔๗ หลานปู่ ๕๗ นางสาวหยาดนํ้าตา ๖๕ ประทับใจแรกพบ ๗๓ จังหวะสำคัญ ๘๓ ปาก ๙๓ ช่างทาสีจากพระตะบอง ๑๐๗ ไอซ์พิงก์ ๑๑๙ ไม่เป็นไร ๑๒๙ ภาคผนวก มารยาทวิถีใหม่ พลวัตของสิ่งที่เรียกว่ามารยาท ๑๖๓ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๗๑ คณะกรรมการประกวดเรื่องสั้น และสังเขปประวัตินักเขียน ประกาศและคำสั่งกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ๑๘๓


สารจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้น จำ นวน ๕๒ เรื่อง ที่ได้รับรางวัลจากการประกวดการเขียนเรื่องสั้น หัวข้อ “มารยาทไทย และมารยาทในสังคม” ที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรมจัดประกวดการเขียนเรื่องสั้นขึ้น เป็นปีแรก รางวัลแบ่งออกเป็น ๔ ระดับ ได้แก่ นักเรียนในระดับมัธยมศึกษา ตอนต้นหรือเทียบเท่า นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า นักศึกษาระดับอุดมศึกษา และประชาชนทั่วไป กล่าวได้ว่าทุกเรื่องเป็นสื่อ วรรณกรรมสร้างสรรค์ที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิด มุมมอง ในเรื่องการปฏิบัติตน อย่างมีกาละ เทศะ การมีมารยาทต่อกัน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในสังคม ยุคปัจจุบัน ถึงแม้เนื้อเรื่องและตัวละครจะถูกสร้างขึ้นตามจินตนาการที่ต่างกัน แต่ทุกเรื่องล้วนแฝงไว้ด้วยแง่คิดอันเป็นประโยชน์ไม่ต่างกันเลย หนังสือ ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ เล่มนี้เสร็จสมบูรณ์อย่างเรียบร้อย สวยงาม และทรงคุณค่า เนื่องจากการทุ่มเทพลังกาย พลังใจและพลังความคิด จากคณะบุคคลที่เป็นปราชญ์ด้านวรรณศิลป์ได้แก่ อาจารย์จำลอง ฝั่งชลจิตร รองศาสตราจารย์ธัญญา สังขพันธานนท์อาจารย์พิบูลศักดิ์ลครพล อาจารย์ กิตติศักดิ์มีสมสืบ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์พร้อมด้วยคุณจตุพล บุญพรัด คุณจรูญพร ปรปักษ์ประลัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์สรตีปรีชาปัญญากุล และ คุณทัศชลเทพกำ ปนาทซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีผลงานและชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์ ในแวดวงวรรณกรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้อ่านจะได้รับทั้งอรรถรส แง่คิดวิธีการและแนวทางการเขียนเรื่องสั้น ซึ่งเป็นประโยชน์ในการเสริมสร้าง แนวทางการประพฤติตนตามครรลองที่ถูกต้อง ทั้งต่อตนเองและสังคมรอบข้าง เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมที่น่าอยู่ต่อไป


คำ นำ จากประธานคณะกรรมการโครงการ โครงการประกวดเรื่องสั้นหัวข้อ“มารยาทไทยและมารยาทในสังคม” ของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ดำ เนินการมาตั้งแต่ ปลายปี๒๕๖๒ ผมได้รับเกียรติจากคณะกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิให้เป็น ประธานคณะกรรมการโครงการ ทำ งานร่วมกับศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ บรรณาธิการมืออาชีพ นักวิจารณ์นักวิชาการอาวุโสและเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริม วัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จัดพิธีมอบรางวัลแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทุกระดับเสร็จสิ้นไปแล้ว โดยอำ นวยความสะดวกเรื่อง การเดินทางและที่พักแก่ผู้มารับรางวัลจากต่างจังหวัด กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จัดรวบรวมผลงานที่ได้รับรางวัลเป็นหนังสือ ชื่อ ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ เมื่อพิมพ์เสร็จเรียบร้อยจะได้แจกจ่ายแก่ สถานศึกษา หน่วยงาน และผู้สนใจทั่วไป เรื่องสั้นเป็นรูปแบบงานศิลปะวรรณกรรมแตกต่างจากเรื่องเล่าทั่วไป คือ มีองค์ประกอบเฉพาะ นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ต้องศึกษา ให้เข้าใจองค์ประกอบแต่ละอย่าง และฝึกอ่านเขียนตลอดเวลา จึงจะเขียนได้ดี กรมส่งเสริมวัฒนธรรมมุ่งหวังให้ศิลปะการเขียนการอ่านเรื่องสั้น แพร่หลายในหมู่ผู้รักการอ่านเขียน การประกวดจึงเป็นสนามฝึกคิดเขียน เสนอ แนวคิดผ่านมุมมองเฉพาะตนอย่างมีวรรณศิลป์ซึ่งจะช่วยยกระดับเรื่องสั้นไทย ให้ก้าวหน้าเทียมเท่าระดับสากลในอนาคต ขอบคุณ นักเรียน นักศึกษาและสถาบันการศึกษาที่สนับสนุนให้ศิษย์ เรียนรู้รักเรื่องสั้น ขอบพระคุณบุคคลทั่วไปที่ส่งผลงานเข้าประกวด ขอบคุณ คณะทำงานทุกท่าน และขอขอบคุณกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ผู้จัดทำ โครงการประกวดที่มีคุณค่านี้ขึ้นมา ขอขอบพระคุณอย่างสูง จำลอง ฝั่งชลจิตร


บทกล่าวนำ ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ธัญญา สังขพันธานนท์ “การมีมารยาทไม่เพียงแสดงถึงความเคารพผู้อื่น มันยังหมายถึงการเคารพต่อตัวฉันเอง” สุรัตนา ใจงาม หนังสือรวมเรื่องสั้น ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ได้รวบรวมเรื่องสั้น ที่ได้รับรางวัลจากการประกวดการเขียนเรื่องสั้น “มารยาทไทย และมารยาท ในสังคม”จัดโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ในปีพ.ศ. ๒๕๖๓ มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อส่งเสริมให้เด็กเยาวชน และประชาชนเห็นคุณค่าและ ความสำคัญของมารยาทไทย และมารยาทในสังคม พร้อมกับนำองค์ความรู้ เหล่านี้มาผสมผสานกับทัศนคติประสบการณ์ และจินตนาการ ถ่ายทอด ผลงานมาเป็นเรื่องสั้น เมื่อการประกวดเสร็จสิ้นลง กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ก็ดำ เนินการต่อโดยการจัดพิมพ์รวมเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลในแต่ละระดับออกมา เผยแพร่ โครงการนี้แม้เพียงจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ก็ได้รับความสนใจและขานรับ ในระดับที่น่าพอใจ ผู้เขียนเรื่องสั้นมีหลากหลายระดับช่วงวัย คือ ตั้งแต่ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง (ปวส.) และระดับอุดมศึกษา ระดับประชาชนทั่วไป เนื่องจากเป็นการประกวดในวงกว้าง ผู้เขียนจึงย่อมมี ทักษะและความสามารถในการเขียนที่แตกต่างกันไป มีทั้งมือใหม่หัดเขียน บทกล่าวนำ : ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ 1


2 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ไปจนถึงนักเขียนที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้วระดับหนึ่ง เมื่อนำ มารวมเล่มไว้ในที่ เดียวกัน จึงเสมือนสวนดอกไม้หลากหลายสีสันให้ผู้อ่านเลือกอ่านได้ตามใจชอบ การเขียนเรื่องสั้นโดยทั่วไปแล้ว เป็นกิจกรรมที่เกิดจากความคิด สร้างสรรค์ ไม่มีสูตรสำ เร็จตายตัวว่าจะเขียนเรื่องอะไรและอย่างไร นักเขียน มีอิสระในการสร้างความคิดของตนเอง ในกรณีนี้การเขียนเรื่องสั้น จึงเป็นเรื่อง ที่เปิดกว้าง ไม่มีกรอบกำ หนด ขึ้นอยู่กับแรงบันดาลใจหรือจินตนาการของ ผู้เขียน แต่ในบางกรณีอาจมีการกำ หนดประเด็นหรือหัวข้อเรื่องให้เขียน ซึ่งเรา มักพบเห็นในการจัดประกวดเรื่องสั้นของหน่วยงาน หรือองค์กรต่างๆอยู่เนืองๆ การประกวดเรื่องสั้น “มารยาทไทย และมารยาทในสังคม” ของกรมส่งเสริม วัฒนธรรมก็เข้าข่ายนี้หลายคนอาจตั้งคำถามหรือสงสัยว่า ภายใต้การกำ หนด หัวข้อเรื่องอย่างชัดเจน แถมเป็นหัวข้อที่ดูเป็นทางการ ผู้เขียนจะทำ ได้อย่างไร คำถามนี้เป็นเรื่องท้าทาย เพราะดูเหมือนจะเป็นตัวชี้วัดว่า ภายใต้ข้อจำกัดนี้ ผู้เขียนเรื่องส่งประกวดแต่ละคน จะมีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการอย่างไร ที่จะทำ ให้ได้เรื่องสั้นดีๆ ขึ้นมาสักเรื่องหนึ่ง เมื่อเวลาในการเปิดรับต้นฉบับสิ้นสุดลง เรื่องสั้นทั้งหมดก็เข้าสู่ กระบวนการอ่านและพิจารณาของคณะกรรมการตัดสิน ก็พบว่ามีต้นฉบับ เรื่องสั้นของแต่ละระดับส่งเข้าประกวดจำ นวนไม่น้อย การพิจารณาในเบื้องต้น ก็คือ การอ่านและกลั่นกรองเลือกเรื่องที่เห็นว่า “ไม่เข้าข่าย” เรื่องสั้นออก เพราะในบรรดาต้นฉบับที่ส่งมานั้น หลายสิบชิ้นไม่ใช่เรื่องสั้น แต่เป็นเรียงความ บทความ หรือเรื่องเล่าเชิงประสบการณ์เสียมากกว่า ส่วนเรื่องที่ไม่ถูกคัดออก ก็เข้าสู่กระบวนการอ่านและพิจารณาจากคณะกรรมการอย่างเข้มข้น จนได้เรื่องสั้น เข้าสู่รอบสุดท้ายจำ นวนหนึ่ง เพื่อคัดเลือกให้ได้รางวัลชนะเลิศ รองชนะเลิศ อันดับหนึ่งรองชนะเลิศอันดับสองและรางวัลชมเชยตามจำ นวนที่กรมส่งเสริม วัฒนธรรมได้กำ หนดไว้อย่างครบถ้วน


ธัญญา สังขพันธานนท์ 3 หนังสือรวมเรื่องสั้น ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะเป็นการรวบรวมเรื่องสั้น ที่ได้รางวัลชนะเลิศและรองชนะเลิศในแต่ละระดับ รวมระดับละ ๓ เรื่อง รวมทั้งเรื่องที่ได้รับรางวัลชมเชยอีกระดับละ ๑๐ เรื่อง บทความนี้จะนำ เสนอ ข้อสังเกตบางประการเฉพาะเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลชนะเลิศและรองชนะเลิศ เท่านั้นสิ่งที่น่าสนใจก็คือภายใต้การกำ หนดหัวข้อการประกวดว่าต้องเป็นเรื่องสั้น ที่เกี่ยวกับมารยาทไทย และมารยาทในสังคม ผู้เขียนแต่ละคนได้นำ มาขบคิด และตีโจทย์เพื่อสร้างเรื่องสั้นของเขาได้อย่างไร เรื่องสั้นเหล่านี้นำ เสนอแนวคิด และมีวิธีการเล่าเรื่องที่โดดเด่นอย่างไรบ้างและเมื่ออ่านเรื่องที่ได้รางวัลชนะเลิศ และรองฯ ทั้งหมด ๑๒ เรื่องก็พบว่าทุกเรื่อง“ตอบโจทย์” ที่ฝ่ายประกวดกำ หนด ให้เป็นส่วนใหญ่และเป็นที่น่าสังเกตว่าเรื่องสั้นในกลุ่มนักเรียน นักศึกษาตีโจทย์ กันอย่างตรงไปตรงมาแทบจะไม่หลุดกรอบของ“คำสำคัญ”คือ“มารยาทไทย” กับ “มารยาทในสังคม” ในขณะที่เรื่องสั้นของกลุ่มประชาชนทั่วไป กลับมีวิธี การตอบโจทย์ที่แยบยลและมีชั้นเชิงมากกว่า นั่นก็เพราะนักเขียนหลายคนที่ส่ง ผลงานเข้าประกวด ต่างมีประสบการณ์ในการเขียนเรื่องสั้นมาแล้วระดับหนึ่ง มารยาทนั้นสำ คัญแค่ไหน “ก้านบัวบอกลึกตื้นชลธาร มารยาทส่อสันดานชาติเชื้อ” ยังคง เป็นถ้อยคำ ที่ทำ งานและใช้ได้เสมอ ในแบบแผนพฤติกรรมของเรา มารยาท เป็นการขัดเกลาภาวะดั้งเดิมของมนุษย์ให้เป็นผู้มีวัฒนธรรม เป็นแนวทาง ในการแสดงออกทั้งทางร่างกาย จิตใจ และคำ พูดตามค่านิยมและบรรทัดฐาน ของแต่ละสังคมและวัฒนธรรม มารยาทจึงเป็นเรื่องสมมุติและประกอบ สร้างขึ้นมา เพื่อให้คนในแต่ละสังคมยึดถือปฏิบัติจนกลายเป็นแบบแผนของ ความประพฤติตามกระบวนการขัดเกลาทางสังคม โดยนัยนี้มารยาทจึงเป็น ตัวบ่งชี้อย่างหนึ่งที่คนในสังคมใช้ประเมินและวัด “ความเป็นคน” ในสังคมที่มี


4 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ อารยธรรม ความมีและไม่มีมารยาทจึงเป็นหัวข้อถกเถียงตรวจสอบกันอยู่เสมอ เพราะเมื่อใครคนใดคนหนึ่งประพฤติตนแสดงออกโดยปราศจากมารยาท ก็ทำ ให้การอยู่ร่วมกันมีปัญหาขึ้นมา ทั้งในระดับความขัดแย้ง บาดหมางไปจนถึง ความรุนแรงดังที่ปรากฏเป็นข่าวให้เห็นอยู่เป็นประจำ ความมีและไม่มีมารยาท จึงเป็นคู่ตรงข้ามที่ถูกนำ มานำ เสนออย่างมี นัยสำคัญในเรื่องสั้นหลายๆเรื่อง หัวข้อที่เกี่ยวกับมารยาทไทยเช่น การเคารพ ผู้อาวุโส การไหว้การขอโทษ ขอบคุณ การพูดสุภาพ ไพเราะ การนินทาว่าร้าย พูดจาส่อเสียดและหยาบคาย และการล้อเลียนถูกนำ มาสร้างเป็นเรื่อง มีตัวละครเป็นภาพแทนของผู้มีและไม่มีมารยาท จนนำ ไปสู่ความขัดแย้ง หรือปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งตามมา ดังเช่นในเรื่องสั้น “แผลเป็นคำ พูด” ของ เติมศิริมีพร ซึ่งเป็นเรื่องสั้นรางวัลชนะเลิศในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เล่าเรื่องของเด็กหญิงคนหนึ่งที่มีปมด้อยจากแผลเป็นบนใบหน้าและมักถูกตั้งคำถาม และดูถูกจากเพื่อนเสมอ เว้นเสียแต่เพื่อนชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนเรียนเก่ง ที่ไม่เคยตั้งคำถามกับปมด้อยของเธอ ตรงกันข้าม เขาพยายามให้กำลังใจและ แนะให้เธอมองโลกในแง่ดีเปลี่ยนคำ ดูถูกให้เป็นพลังทางบวก พร้อมกับ คอยปกป้องเธอด้วยการเตือนป้าแม่ค้าที่ชอบดูถูกเด็กสาวคนนั้นว่า “การดูถูก คนอื่นไม่ทำ ให้คุณดูสูงขึ้น ในทางกลับกันมันกลับเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่ากำ พืดของ คุณเป็นแบบไหน” ในบางครั้งการดูถูกอาจส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อคนที่ถูก ดูถูกได้เรื่องสั้นเรื่องนี้จบลงด้วยความเข้าใจและยอมรับว่า โลกมีสองด้านเสมอ แต่ก็ไม่วายทิ้งท้ายเชิงคำสอน และบทสรุปถึงการระวังในการพูดดูถูกคนอื่น เพราะมันอาจสร้าง “แผลเป็นที่เกิดจากคำ พูด” ให้คนอื่นได้อย่างเจ็บปวด เรื่องสั้นเรื่องนี้แม้จะจบลงด้วยความคิดเชิงบวกและข้อเตือนใจ แต่รูปแบบการเล่าเรื่องยังเน้นไปที่สาระของถ้อยสนทนาว่าด้วยมารยาทมากกว่า การสร้างเหตุการณ์ให้ชวนตื่นเต้นน่าติดตาม ไม่ต่างจากเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัล


ธัญญา สังขพันธานนท์ 5 รองชนะเลิศอันดับหนึ่งชื่อ“ชมพอกับพ่อ”ของวชิรา ประลังการเรื่องสั้นเรื่องนี้ เล่าเรื่องของเด็กหญิงช่างสงสัยชื่อ ชมพอ เธออาศัยอยู่สองคนกับพ่อ เพราะแม่กับพ่อแยกทางกัน บทสนทนาระหว่างเธอกับพ่อมักเป็นการบอกเล่า และตั้งคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนที่ใช้คำ พูดหยาบคายด่าว่าคนอื่น กริยา มารยาทที่ไม่ดีจากเพื่อนในโรงเรียน แม้กระทั่งการใช้คำ พูดบางคำ ที่ไม่สุภาพ ผู้เขียนสอดแทรกประเด็นเหล่านี้ผ่านพฤติกรรมการแสดงออกของเพื่อน ๆ การกระทำ ของเด็กหญิง และข้อแนะนำ จากผู้เป็นพ่อ ที่ทำ ให้รู้สึกว่าตั้งใจ จะบรรจุสิ่งเหล่านี้ลงไปให้ครบถ้วนมากที่สุด รวมไปถึงการพูดถึงพิธีไหว้ครู ขั้นตอนการปฏิบัติของนักเรียนขณะไหว้ครูความหมายของดอกไม้ที่ใช้ในพิธีนี้ ผู้เขียนนำ เสนอในเชิงเปรียบเทียบระหว่างพฤติกรรมที่มีมารยาทกับไม่มีมารยาท จนดูเหมือนตั้งใจสอนมากเกินไป มารยาทดีกับมารยาทไม่ดีจึงเป็นสารสำ คัญที่ผู้เขียนเรื่องสั้น ในกลุ่มนี้ให้ความสำ คัญมากเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับที่ยังเห็นได้จากเรื่องสั้น “อยู่ในนิทรา” ของวานุ เรื่องสั้นรางวัลชนะเลิศอันดับสองในกลุ่มนี้ผู้เขียน เล่าเรื่องของเด็กหญิงชาวกะเหรี่ยงที่จากครอบครัวไปเรียนในโรงเรียนประจำ ชีวิตในหอพักและในห้องเรียนทำ ให้เธอต้องตกเป็นผู้ถูกสอดส่องจากเพื่อน ๆ อยู่เสมอ พฤติกรรมสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นทำ ให้เด็กรู้สึกอึดอัดและ ไม่สบายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตัวเธอเป็นเด็กไร้สัญชาติไม่มีบัตรประชาชน ยิ่งตกเป็นเป้าของการสอดส่องและนินทาว่าร้ายจากเพื่อน ๆ แม้เธอจะเปลี่ยน ไปอยู่กับเพื่อนใหม่ที่คิดว่าน่าจะไปกันได้ถึงสองครั้งแต่เธอก็ได้เห็นการแสดงออก และพฤติกรรมที่ไร้มารยาท แสวงหาผลประโยชน์เมื่อมีโอกาส สิ่งเหล่านี้ทำ ให้ เธอกลายเป็นคนแปลกแยกและเก็บงำความรู้สึกในขณะเดียวกัน ผู้เขียนก็ให้ภาพ ของความรัก ความอบอุ่นในครอบครัวและชุมชนชาวกะเหรี่ยง ที่ทำ ให้เธอ มีความสุขมากกว่า หากไม่เพ่งเล็งว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้มีนํ้าเสียงของการสั่งสอน


6 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ อย่างตั้งใจไม่แพ้อีกสองเรื่อง ก็ทำ ให้คนอ่านพลอยยิ้มได้กับภาพความงดงาม และเรียบง่ายของวิถีชีวิตและประเพณีชาวกะเหรี่ยงที่ถูกนำ เสนอให้เห็น อย่างตรงกันข้ามกับภาพร้าย ๆ ที่โรงเรียน เรื่องสั้นอีกสองเรื่องซึ่งได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งและสอง ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ก็ยังให้ ความสำคัญกับเรื่องมารยาทดีกับไม่ดีเรื่องที่เล่าได้อย่างน่าสนใจคือ“หลานปู่” ของ พงศภัค พวงจันทร์เล่นกับจิตใต้สำ นึกของชายชราผู้ลับโลกอย่างเดียวดาย นามว่า“นิรุตติ์”กับหลานชายผู้มีมารยาทงดงามไปเสียทุกเรื่องชื่อ“เจ้าเปี๊ยก” ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้อื่น การไหว้การขอบคุณ ขอโทษ การพูดจาสุภาพ ตอบรับ การใช้นํ้าเสียง หางเสียง ซึ่งถูกนำ เสนอผ่านเหตุการณ์ความสัมพันธ์ ระหว่างเปี๊ยกกับคนอื่น ๆ ทำ ให้ชายชราเกิดภาพเปรียบเทียบกับเรื่องราว ของตนเองในเหตุการณ์ที่คล้ายๆกัน แต่แกกลับแสดงออกถึงความไร้มารยาท และตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ภาพพฤติกรรมของหลานชายกับพฤติกรรมของเขา กลายเป็นภาพคู่ขนานระหว่างคนมีมารยาทกับผู้ไร้มารยาท และนำ มาสู่สำ นึก ผิดบาปและเศร้าเสียใจกระทั่งแกสิ้นใจไปอย่างเดียวดายสุดท้ายผู้เขียนคลายปม ให้เห็นว่า ชายชราผู้โชคร้ายและโดดเดี่ยวนี้มีชีวิตอยู่ตามลำ พัง หลานชายชื่อ เปี๊ยกนั้นไม่มีอยู่จริงเปี๊ยกเป็นชื่อเล่นของแกเป็นเพียงจิตใต้สำ นึกที่แกสร้างขึ้นมา เพื่อทดแทนความรู้สึกผิดบาปในอดีตที่เคยเป็นคนไร้มารยาทเท่านั้นเองผู้เขียน จบเรื่องได้อย่างสวยงามด้วยการให้ภาพสุดท้ายของชายชราว่า“มือทั้งสองข้าง ยกประนมค้างอยู่อย่างนั้น ราวกับต้องการมี‘มารยาท’ต่อแสงแดดและสายลม ที่นำวิญญาณของตนออกไปจากโลกใบนี้” ในเรื่อง “นางสาวหยาดนํ้าตา” ของ สุรัตนา ใจงาม เป็นเรื่องสั้นที่เล่า ในรูปจดหมายถึงเพื่อน ซึ่งเป็นการง่ายที่จะสอดแทรกให้ความรู้เรื่องมารยาท ผ่านเรื่องเล่าส่วนตัวที่เล่าให้เพื่อนฟังทางจดหมายเรื่องสั้นเรื่องนี้นำ เสนอแนวคิด


ธัญญา สังขพันธานนท์ 7 ชวนคิดว่า “การมีมารยาทไม่เพียงแสดงถึงความเคารพผู้อื่น มันยังหมายถึง การเคารพต่อตัวฉันเอง” ซึ่งน่าจะเป็นบทสรุปสำคัญของการตระหนักนึกและ การรักษามารยาทของเราว่าหาใช่เพียงรูปแบบ การแสดงออก หรือแนวปฏิบัติ ทางสังคมเท่านั้น มารยาทจึงไม่ใช่รูปแบบ แต่เป็นจิตสำ นึกในการเคารพต่อ คุณค่าและศักดิ์ทั้งของผู้อื่นและตัวเราเอง ผลตอบแทนของผู้มีมารยาทดีในสังคม ไม่ได้มีคุณค่าทางด้านจิตใจและ ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวแต่ในหลายครั้งมันนำ มาซึ่งการยอมรับจากบุคคลอื่น และเป็นการสร้างโอกาสที่ดีให้กับตนเอง ดังที่ ทักษิณ ทุนเกิด เจ้าของรางวัล ชนะเลิศในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)และอุดมศึกษา นำ เสนอ ไว้ในเรื่องสั้น “ประทับใจแรกพบ” เรื่องสั้นเรื่องนี้นำ เสนอเรื่องราวของ หนุ่มนักศึกษาผู้มีมารยาทงาม สุภาพอ่อนโยน และมีนํ้าใจกับคนทุกระดับ ไม่เว้นแม้แต่สัตว์เลี้ยง เขาได้สมัครเข้าทำ งานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เพื่อหารายได้เสริมระหว่างเรียน และได้รับการจ้างจากชายเจ้าของร้าน อย่างง่ายดาย ตลอดเวลาที่ทำ งาน เขาให้บริการลูกค้าทุกคนด้วยความสุภาพ นอบน้อม ให้คำแนะนำดีๆ แก่ลูกค้าจนเป็นที่ประทับใจ ส่งผลให้ร้านกาแฟ แห่งนั้นมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กหนุ่มยังสงสัยค้างคาใจว่า ทำ ไม เจ้าของร้านจึงรับเขาเข้าทำ งานโดยไม่ได้ทดสอบหรือตั้งคำถามแม้แต่คำ เดียว คำ เฉลยที่เขาได้รับจากชายเจ้าของร้านก็คือ เพราะเขามีมารยาทและสุภาพ อ่อนน้อม แม้แต่กับแมวประจำ ร้าน มันคือความประทับใจเมื่อแรกพบ ที่ทำ ให้ เจ้าของร้านกาแฟรับเขาไว้ทำ งานโดยไม่มีเงื่อนไข เรื่องสั้นรางวัลชนะเลิศเรื่องนี้เหมือนจะเป็นบทสรุปที่ดีว่า การเป็น ผู้มีมารยาทงดงามนั้นสำคัญเสมอ


8 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ คำ ขอโทษและการให้อภัย คำ พูดสั้น ๆ ไม่กี่คำอย่างคำ ว่า “ขอโทษ” เป็นมารยาททางสังคม อย่างหนึ่งที่ผู้คนมักถามหา เมื่อใครสักคนทำ ผิดและก้าวล่วงผู้อื่น ไม่ว่า จะเป็นประชาชนทั่วไป จนถึงบุคคลสาธารณะอย่างดารา นักแสดง ข้าราชการ และนักการเมืองคำขอโทษ เป็นมารยาททางสังคมที่ทุกวัฒนธรรมยึดถือปฏิบัติ เพราะนี่คือถ้อยคำ พื้นฐานที่แสดงออกถึงการรับผิดต่อการกระทำอันไม่เหมาะสม ช่วยลดชนวนก่อให้เกิดความขัดแย้งและชิงชัง เรื่องสั้น “จังหวะสำ คัญ” ของ พงศ์ระพีจิตตรง หยิบยกประเด็นเรื่องการขอโทษมาสร้างเป็นเรื่องราว เพื่อสื่อให้เห็นว่า เมื่อมีใครสักคนก้าวล่วงต่อคนอื่น ไม่ว่าจะโดยวาจาหรือ การกระทำ การขอโทษเป็นทางออกง่าย ๆ ที่จะยุติเรื่องราวความขัดแย้ง ที่จะบานปลายลงได้ “จังหวะสำ คัญ” เป็นเรื่องสั้นรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)และอุดมศึกษา นำ เสนอเรื่องราว ของเด็กนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่เรียนเก่งและมีฝีมือในการเล่นกีตาร์ แต่มีนิสัยเย่อหยิ่งและชอบล่วงเกินผู้อื่นด้วยคิดว่าเป็นเรื่อง “ล้อเล่นอยู่เสมอ” วันหนึ่งเขาได้รับการตอบโต้จากสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อมีการเผยแพร่คลิป ที่เขากล่าววาจาดูถูกนักดนตรีเปิดหมวกหน้าร้านขนมเค้กแห่งหนึ่ง ปฏิกิริยา ในครั้งนี้ทำ ให้เขาสำ นึกผิดและต้องกลับไปขอโทษนักดนตรีคนนั้น ผู้เขียนจบเรื่อง ด้วยภาพที่น่ารัก เมื่อเขากับนักดนตรีข้างถนนร่วมกันเล่นดนตรีและร้องเพลง อย่างไพเราะและกลมกลืน ท่ามกลางความชื่นชมของผู้ที่ได้พบเห็นและเพื่อนสนิท ที่เคยเอือมระอาต่อพฤติกรรมไม่เคารพคนอื่นของเขาเรื่องสั้นเรื่องนี้เหมือนจะบอก แก่ผู้อ่านเป็นนัยว่า การขอโทษด้วยความจริงใจนั้นไม่เคยสายสำ หรับใคร


ธัญญา สังขพันธานนท์ 9 ในเรื่องสั้น “ไม่เป็นไร” ของ พิณพิพัฒน ศรีทวีรางวัลรองชนะเลิศ อันดับสอง ระดับประชาชนทั่วไป หยิบประเด็นของการให้อภัยมาประกอบ สร้างเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์อันซับซ้อนของคนหลายคน ไม่ว่าจะเป็นพ่อกับลูก เพื่อนบ้านผู้ชอบทับถมและดูแคลน และคู่รักเก่าที่ยังคงมีเยื่อใยต่อกัน ตัวละครเอกทั้งพ่อและลูกชายมีคำ พูดติดปากว่า“ไม่เป็นไร”แม้ว่าจะเผชิญกับ ชะตากรรมที่เลวร้ายและตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ เสมอมา พิณพิพัฒนเป็นนักเขียน มีประสบการณ์ในการเขียน จึงวางปมของเรื่องทับซ้อนกันให้ผู้อ่านตีความ อย่างหลากหลาย กระนั้นก็ตามความคิดสำคัญประการหนึ่งที่พอจะจับความ ได้ก็คือ การปล่อยวาง การให้อภัยและอโหสิกรรม เป็นสิ่งดีงามที่เพื่อนมนุษย์ พึงมีต่อกัน แม้ว่าในบางครั้งผู้ให้อภัยจำต้องทนแบกรับความขมขื่นปวดร้าว แสนหนักหน่วง การตั้งค่า “ความเป็นส่วนตัว” และการก้าวล่วง แม้มนุษย์จะเป็นสัตว์สังคม ที่ต้องอาศัยร่วมกัน พึ่งพา และมี ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น แต่ชีวิตของแต่ละคนก็มีพื้นที่ส่วนตัวที่ต้องสงวนเอาไว้ ในฐานะปัจเจกบุคคล พวกเขามีสิทธิ์ที่จะหวงแหนและปกป้องจากคนอื่น คำว่า “เรื่องส่วนตัว” จึงยังคงเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ หากคนเราจะอยู่ ร่วมกันกับคนอื่นอย่างสงบสุข แม้แต่คู่รัก หรือสามีภรรยาซึ่งเป็นหุ้นส่วนชีวิต กันและกัน ก็ยังมีปัญหาการลํ้าเส้นชีวิตของอีกฝ่ายอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้มากกว่า กติกามารยาท แต่เป็นกฎของการอยู่ร่วมกัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับวิธีคิดและปฏิบัติ ของคนแต่ละวัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนไทยสมัยใหม่อาจมีระดับของของการสงวนพื้นที่ส่วนตัว ที่แตกต่างไปจากสังคมไทยในอดีตเพราะสภาพสังคมและวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป


10 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ผู้คนในสังคมสมัยใหม่มีพื้นที่เฉพาะมากมาย ที่จะเก็บงำและซุกซ่อนเรื่องราว ส่วนตัวเอาไว้ให้ปลอดพ้นจากการก้าวล่วงของคนอื่น จริงอยู่ พื้นที่ส่วนตัว แม้ไม่ได้เป็นเรื่องลับเฉพาะเพียงอย่างเดียว แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่นิยมชมชอบ ให้คนอื่นเข้าลํ้ามาในชีวิตส่วนตัวของตนเอง แม้ว่าในหลายเรื่องหาใช่ความลับ ที่ต้องปกปิดเสมอไป เรื่องสั้น “ไอซ์พิงก์” ของ ไพรัตน์ยิ้มวิลัย เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ ของการนำ ประเด็นความเป็นส่วนตัวและการล่วงละเมิดนำ มาสร้าง เป็นเรื่องสั้นสะท้อนชีวิตของผู้คนในยุคดิจิทัล ที่มักเก็บซ่อนเรื่องส่วนตัวเอาไว้ ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัว จึงไม่แปลกที่โปรแกรมใช้งาน หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ มักจะมีช่องทางให้“ตั้งค่าส่วนตัว” เอาไว้เสมอ เรื่องสั้นที่ได้รับรางวัล รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ระดับประชาชนทั่วไปเรื่องนี้เล่าเรื่องราวของเด็กสาว สองคนที่เป็นเพื่อนสนิท ที่ต้องมาบาดหมางกันเพียงเพราะคนหนึ่งล่วงละเมิด พื้นที่ส่วนตัวของอีกคนอย่างจงใจ โดยใช้ความเป็นนักเขียนนวนิยายออนไลน์ ของตน นำ เรื่องราวในชีวิตของเพื่อนสาวมาแต่งเป็นนิยายเผยแพร่ในเว็บไซต์ จนกระทั่งวันหนึ่ง ความลับนั้นได้รับการเปิดเผยออกมา จุดเด่นของเรื่องสั้นนี้ คือ ความย้อนแย้งของ “ดรีม” ตัวละครที่เป็นนักเขียน ซึ่งเก็บซ่อนความลับ ที่เธอเป็นนักเขียนไม่ให้ใครรู้เว้นแต่นักอ่านของเธอเท่านั้น แต่ความลับนี้ก็รั่วไหล ในกลุ่มเพื่อน เมื่อ“เกรป”เพื่อนสนิทพบความลับนี้จากการเข้าไปใช้คอมพิวเตอร์ ของเธอ ดรีมไม่พอใจอย่างมากและต่อว่าเพื่อนสาวอย่างรุนแรง จนเกรปต้องย้อนว่า “แกห่วงเรื่องนิยายไม่อยากให้ใครรู้เพราะมันเป็นเรื่องของแกเพียงคนเดียว แล้วที่แกเอาเรื่องของฉันไปแต่งล่ะ แกถามฉันสักคำ ไหม เรื่องพ่อแม่เรา ก็เป็นเรื่องของเราเหมือนกัน” อย่างไรก็ตามมิตรภาพระหว่างทั้งคู่ก็กลับมา เหมือนเดิมเมื่อดรีมยอมลบนิยายของเธอทิ้งทั้งหมดเพราะคิดได้ว่า“ฉันไม่ใช่แค่ สูญเสียโลกที่ฉันสร้างเองเท่านั้น ฉันยังสูญเสียเพื่อนรักที่สุดไปด้วย”


ธัญญา สังขพันธานนท์ 11 นั่นต่างไปจากการก้าวล่วงของตัวละครนักนินทาว่าร้าย และสอดรู้ สอดเห็นเรื่องของคนอื่นอย่าง “พี่ต้อย” ในเรื่องสั้นชื่อ “ปาก” ของ ชนากานต์ โกมาสังข์เรื่องสั้นรางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นสูง (ปวส.) และอุดมศึกษา เรื่องนี้สร้างภาพของตัวละครที่เป็นศูนย์รวมของ พฤติกรรมแย่ๆ ทั้งปากเสีย ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่น พอ ๆ กับเป็น นักนินทาว่าร้ายใส่ความและสาระแน ซึ่งต่อมาเธอก็ต้องเป็นฝ่ายรับกรรมที่ก่อขึ้น เมื่อก้าวล่วงไปโพสต์ข้อความประจานพฤติกรรมของใครบางคนที่เธอไม่รู้จัก ด้วยซํ้าไป เมื่อความจริงเปิดเผย ปรากฏการณ์ทัวร์ลงก็รุมกระหนํ่าหญิงสาว คนนี้โทษฐานที่ก้าวล่วงกับบุคคลอื่น ซึ่งไม่ต่างจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นตามสื่อสังคม ออนไลน์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อคติและการป้ายสี “ช่างทาสีจากพระตะบอง” ของ รมณ กมลนาวิน เรื่องสั้นรางวัล ชนะเลิศในระดับประชาชนทั่วไป นับเป็นเรื่องสั้นเรื่องเดียวที่นำ เสนอประเด็น ความสัมพันธ์และการอยู่ร่วมกันของคนต่างเชื้อชาติซึ่งนำ ไปสู่ปัญหาอคติ ทางชาติพันธุ์และการใส่ร้ายป้ายสีเรื่องสั้นเรื่องนี้มีการวางเค้าโครงเรื่อง ที่ปมปัญหาเกี่ยวโยงและส่งผลต่อกันอย่างน่าสนใจ มีลีลาการเล่าเรื่องที่ชวน ติดตามตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ผู้เขียนเล่าเรื่องของ “สิน สีสามุต” ช่างทาสีซึ่งเป็น แรงงานข้ามชาติจากเมืองพระตะบอง ประเทศกัมพูชา สินเป็นแรงงาน ที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมาย และมักถูกล้อว่าเป็นพวกกินเนื้อสุนัข เนื่องจากเขา เป็นคนพระตะบองช่างรับเหมาว่าจ้างสินมาทำ งานทาสีและให้น้องชายของตน มาเป็นผู้ช่วยคุมงานก่อสร้างเขานำสุนัขพันทางของแฟนเก่ามาเลี้ยงด้วย หวังว่า มันจะช่วยทำ ให้เธอกลับมาคืนดีกับเขาอีกครั้ง ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อสุนัขพันทาง ของน้องชาย มักสร้างปัญหายุ่งยากให้กับสินและคนงานในไซต์ก่อสร้าง


12 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ อยู่เป็นประจำ วันหนึ่งสุนัขหายไป สินจึงตกเป็นผู้ต้องสงสัยและตกที่นั่งลำ บาก เพราะทุกคนเข้าใจว่าเขาฆ่าสุนัขตัวนั้นมาทำ อาหาร จนทำ ให้สินหนีไปจาก ไซต์ก่อสร้างและไม่กลับมาอีกเมื่อช่างทาสีหายไปและน้องชายของเขามัวแต่ออก ตามหาหมาจนไม่ช่วยคุมงานก่อสร้าง ทำ ให้การก่อสร้างไม่อาจเดินหน้าไปได้ ผู้รับเหมาจึงต้องไปตามสุนัขคืน เพราะความจริงแล้วเขานั่นเองที่พาหมาเจ้ากรรม ตัวนั้นไปฝากหลวงพ่อที่วัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแต่โชคร้าย ที่หมาตัวนั้นหายไปเสียแล้ว เรื่องสั้นเรื่องนี้ แม้ผู้เขียนจะไม่ยืนยันมั่นเหมาะว่า ช่างทาสี จากพระตะบองเป็นพวกกินเนื้อสุนัข แต่คนงานชาวไทยก็ล้อเขาอย่างนั้น นี่คือความเชื่อและความรู้สึกที่เต็มไปด้วยอคติต่อคนต่างชาติโดยเฉพาะแรงงาน ต่างด้าวที่มักถูกมองว่าตํ่าต้อยกว่าเสมอ “การกินเนื้อสุนัข” ในวัฒนธรรมไทย ไม่เป็นที่ยอมรับ คนที่กินเนื้อสุนัขถือเป็นพวกที่ทำ ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และอยู่ “นอกวัฒนธรรม” เป็นพวกประหลาดวิตถาร ตัวละครอย่างช่างทาสี จากพระตะบอง จึงเป็นภาพแทนของเหยื่อจากอคติทางเชื้อชาติที่เกิดขึ้นและ ดำรงอยู่ในสังคมไทยอย่างไม่อาจปฏิเสธได้อคติคือปัญหาสำคัญในการอยู่ร่วมกัน ของคนในสังคม แม้เรื่องสั้นไม่ได้ตั้งคำถามถึงผู้อ่านโดยตรง แต่ทำ ให้อดคิดต่อ ไม่ได้ว่า อุดมการณ์ประชาคมอาเซียนที่เคยพูดถึงกันอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา จะเกิดขึ้นได้จริงแน่หรือ ในเมื่อความรู้สึกอคติต่อคนในประเทศเพื่อนบ้าน ยังดำ รงอยู่ในวิถีคิดของคนไทยอีกไม่น้อย


ธัญญา สังขพันธานนท์ 13 ข้ามให้พ้นจากสังคมมนุษย์ อาจกล่าวได้ว่าสารที่สำ คัญที่สุดซึ่งเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลส่วนมาก มุ่งนำ เสนอในประเด็นเกี่ยวกับมารยาทไทย คือ การชี้ให้เห็นตามข้อสรุปของ สุรัตนา ใจงาม จากเรื่องสั้น “นางสาวหยาดนํ้าตา”แต่ยังมีเรื่องสั้นอีกเรื่องหนึ่ง ที่นำ เสนอให้เห็นว่า มนุษย์ในสังคมปัจจุบันไม่เพียงแต่ต้องเคารพตนเองและ เพื่อนมนุษย์เท่านั้น แต่ยังต้องเคารพนบนอบต่อธรรมชาติอีกด้วย นี่เป็นสำ นึก และจริยธรรมที่ข้ามพ้นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนด้วยกันเอง แต่เป็น การตั้งประเด็นถึงในสิ่งที่เรียกว่า “จริยธรรมสิ่งแวดล้อม” ที่ยังไม่ค่อยมีการพูด ถึงกันอย่างจริงจังนักในสังคมไทย เรื่องสั้น “เคารพเขา” โดย ญดาวรรณ พืชพิสุทธิ์ ได้รับรางวัล ชนะเลิศในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เป็นเรื่องสั้นที่ตอบโจทย์ไปไกลกว่าประเด็นหัวข้อการประกวดที่กำ หนดโดยผู้จัด เพราะผู้เขียนมองเลยเรื่องกติกามารยาทไทยและการอยู่ร่วมกันในสังคมมนุษย์ ไปสู่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติตามแนวคิดสำ นึกเชิงนิเวศ หรือการวิจารณ์เชิงนิเวศ (ecocriticism) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับการกล่าวถึง อย่างมากในวงวรรณกรรมศึกษาในปัจจุบัน เรื่องสั้นเรื่องนี้โดดเด่นและน่าสนใจ ทั้งด้านแนวความคิดและกลวิธี การเล่าเรื่อง ที่มีกลิ่นอายของเรื่องแนวไซไฟแฟนตาซีนำ เสนอเรื่องราวของ หญิงสาวนักชีววิทยาที่มีสัมผัสพิเศษในการฟังเสียงสนทนาและได้ยิน ความเคลื่อนไหวของต้นไม้เพราะเธอเชื่อในข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุและ ยืนยันอย่างน่าเชื่อถือว่า ต้นไม้มีระบบเครือข่ายโยงใยสัมพันธ์กันอย่างลึกลับ “ต้นไม้สามารถพูดคุย ซื้อขาย จนกระทั่งทำสงครามกันอย่างลับ ๆ อยู่ภายใต้ พื้นดิน พวกมันทำด้วยระบบเน็ตเวิร์คของฟังไจที่โตอยู่รอบ ๆ และอาศัยอยู่ ในรากของมัน” ทั้งหมดนี่คือความลับที่ไม่มีคนล่วงรู้


14 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ด้วยความเชื่อเช่นนี้เด็กสาวจึงออกไปบันทึกภาพป่าและธรรมชาติ รอบตัว กระทั่งเธอสามารถรับรู้ได้ถึงเสียงสนทนาของต้นไม้ที่กำลังพูดคุยกัน เรื่องการบุกรุกของมนุษย์การตักตวง และกอบโกยผลประโยชน์จากธรรมชาติ อย่างเอารัดเอาเปรียบ เธอพยายามที่จะเขียนงานวิจัยเผยแพร่ความรู้เรื่องนี้ เพื่อให้ผู้คนได้ตระหนักและสำ นึกแต่ก็ช้าไปเสียแล้วเมื่อวันหนึ่งเธอพบว่าต้นไม้ มากมายกำลังเติบโตและเคลื่อนไหวครอบคลุมเมืองทั้งเมือง มันงอกขึ้นทุกพื้นที่ “เพื่อทวงคืนที่ที่เคยเป็นของพวกเขา”ผู้เขียนจบเรื่องสั้นเรื่องนี้อย่างสวยงามว่า “ฉันเพียงเดินเข้าไปหาต้นใหญ่ที่ยังขยายรากออกไปอย่างช้า ๆ แล้วเข้าไป โอบกอดต้นไม้นั้นไว้” อาจกล่าวได้ว่า “เคารพเขา” เป็นเรื่องสั้นในแนวนิเวศสำ นึก ที่นำ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และชีววิทยามาอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ กับธรรมชาติและรื้อถอนมโนทัศน์มนุษย์เป็นศูนย์กลางแทนที่ด้วยมโนทัศน์ ธรรมชาติเป็นศูนย์กลาง มนุษย์หาได้เป็นเจ้าของและเป็นใหญ่ในโลกใบนี้ ธรรมชาติต่างหากดังนั้นมนุษย์ควรให้ความเคารพธรรมชาติมากกว่าเบียดเบียน ทำลายและใช้ประโยชน์จากธรรมชาติเกินพอดี ระหว่าง “เรื่อง” กับ “รส” : ส่วนผสมที่ยังไม่ลงตัว จากภาพรวมของเรื่องสั้นที่กล่าวมาทั้งหมด คงทำ ให้ข้อสงสัยที่ว่า ภายใต้การกำ หนดหัวข้อเรื่องที่ดูเป็นทางการและขาดสีสันเร้าใจ ผู้ส่งผลงาน เข้าประกวดแต่ละคนจะตีโจทย์และใช้ความคิดสร้างสรรค์ออกมาเป็นเรื่องสั้น ได้อย่างไรคงจะคลี่คลายไปได้เพราะเรื่องสั้นแต่ละเรื่องได้สะท้อนให้เห็น วิธีคิดและการประกอบสร้างของผู้เขียนอยู่ชัดแล้วแต่ทั้งหมดนี้ก็หาใช่บทสรุปว่า นี่คือเรื่องสั้นที่สมบูรณ์พร้อมด้วยเนื้อหาและศิลปะในการแต่ง จริงอยู่เรื่องสั้น


ธัญญา สังขพันธานนท์ 15 แทบทุกเรื่องสอบผ่านในแง่ของการนำ “โจทย์” มาขบคิดและสร้างสรรค์ เป็นเรื่องสั้นขึ้นมาตามจินตนาการของผู้เขียนแต่ละคน โดยไม่หลุดกรอบของ เนื้อหาที่กำ หนด แต่เมื่อพิจารณาในกลวิธีและศิลปะในการเล่าและนำ เสนอ เรื่องแล้ว เรื่องแทบทุกเรื่องยังมีร่องรอยของความขาด ๆ เกิน ๆ ให้เป็น ที่สังเกตได้เรื่องสั้นบางเรื่องให้นํ้าหนักและมัวพะวงกับ “ตัวเรื่อง” จนละเลย ศิลปะในการเล่าเรื่องไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่ทั้งสองส่วนนี้มีความสำ คัญ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยเฉพาะเรื่องสั้นในระดับของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ตอนต้นและตอนปลาย ที่มักทิ้งรอยโหว่ให้เห็นอยู่แทบทุกเรื่อง ส่วนในระดับ ประชาชนทั่วไปนั้น นักเขียนเจ้าของผลงานที่ได้รับรางวัลส่วนใหญ่ มีประสบการณ์และทักษะในการเขียนเรื่องสั้นกันมาก่อน จึงปรุงเรื่องได้ค่อนข้าง กลมกล่อมทั้งเรื่องและรส เราไม่อาจคาดหวังว่า นักเขียนทุกคนที่มีผลงานผ่านการพิจารณาตัดสิน ของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและมีผลงานรวมเล่มอยู่ในรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ จะหันมาใส่ใจและทุ่มเทให้กับการสร้างสรรค์ผลงานเรื่องสั้นในโอกาสต่อ ๆ ไป แต่อยากมองว่า สำ หรับเยาวชนผู้รักการเขียน นี่คือจุดเริ่มต้นที่ดีที่พวกเขา ได้ร่วมประลองฝีมือและผ่านการคัดกรองมาได้อย่างสง่างาม หากยังมีใจรัก และมีแรงบันดาลใจที่จะก้าวเดินไปในโลกของการเขียนเรื่องสั้น ก็ยังคงต้องอ่าน เขียนและเรียนรู้ศิลปะการเขียนเรื่องสั้นอย่างสมํ่าเสมอ ขอให้โชคดีและเดินทางโดยสวัสดิภาพ


แผลเป็นคำ พูด : เติมศิริ มีพร 17 แผลเป็นคำ พูด รางวัลชนะเลิศ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เติมศิริ มีพร ภาพสะท้อนในกระจกบานเล็ก เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาว คนหนึ่งที่มีแผลเป็นใกล้กับดวงตา ทุกครั้งที่ส่องกระจก ภาพที่เห็นคือ ภาพใบหน้า เธอรู้สึกเจ็บปวดอยู่เสมอ เพราะแผลเป็นนี้ทำ ให้ใครหลายคน ตั้งคำถามกับเธอ พวกเขามักถามเกี่ยวกับจุดด้อยของเธอ หญิงสาวได้แต่คิดว่าทำ ไมพวกเขาต้องมายํ้าจุดด้อยของผู้อื่น บ่อยครั้ง ที่ผู้คนจ้องมองใบหน้า เมื่อสบตาเข้ากับพวกเขา เธอก็กลับเป็นคนหลบตาก่อน เพราะด้วยความอับอายและไม่มั่นใจในตนเอง หญิงสาวมักรู้สึกไม่ดีเสมอ เธอต้องควบคุมอารมณ์และความรู้สึกเอาไว้การควบคุมอารมณ์ มิใช่อารมณ์ โกรธ โมโห หรือไม่พอใจแต่อย่างใด แต่เธออยากจะร้องไห้ออกมามากกว่า คนที่เกิดมาหน้าตาดีไม่ได้มีจุดด้อยแบบเธอ เขาไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกนี้ มันเป็นอย่างไร “พวกเขาก็แค่สงสัย” เธอพูดปลอบใจตัวเองแบบนั้น ทุกครั้งที่เจอกับ คำถามเกี่ยวกับจุดด้อย เธอมักจะตอบสิ่งที่พวกเขาสงสัยให้พร้อมกับรอยยิ้ม พวกเขาอาจจะคิดว่าเธอไม่ได้รู้สึกแย่ที่ได้รับคำ ถามเหล่านั้น แต่เปล่าเลย กลับกลายเป็นว่าคำถามนั่นแหละที่ทำ ให้เธอรู้สึกแย่ เพราะการที่พวกเขาถาม เรื่องนั้น แต่บางคนอาจจะอยากรู้เพราะด้วยความห่วงใยส่วนในเรื่องของรอยยิ้ม ที่ส่งไปก็อาจจะเป็นแค่การเสแสร้งว่า ตัวเธอมีความสุขดีหรือไม่ก็เพื่อเป็น มารยาทเพียงเท่านั้นเอง เพราะคนที่ถามเธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะตอกยํ้าจุดด้อยไปซะ ทุกคนหรอก


18 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ “ในสังคมก็ยังมีคนดีๆ อยู่ตั้งเยอะแยะ” เธอคิดเช่นนั้น “แต่เราเองก็ยังหาไม่ค่อยเจอเลยนะ” นั่นคือความในใจลึกๆ ที่เธอคิด เพราะว่าเธอเองก็ยังเสแสร้งแกล้งทำ เหมือนว่าตัวเองมีความสุขก็ไม่แปลกหรอก ที่คนเราจะเสแสร้งให้เธอกลับเหมือนกัน หลายครั้งที่ถูกล้อเลียน คนที่ ล้อเลียนส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อนๆในชั้นเรียนเดียวกันเธอเป็นคนที่เข้าสังคมไม่เก่ง จึงไม่ค่อยมีเพื่อน และเธอเองก็ชอบที่จะอยู่คนเดียวเสียด้วยก็อย่างที่บอกไปว่า เพื่อน ๆ ชอบล้อเลียนเธอ จึงเป็นเหตุผลที่เธอไม่อยากมีเพื่อนด้วยเช่นกัน แต่ก็ ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่มีเพื่อนเลยสักคน เธอมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่งเป็นผู้ชายหน้าตาดีเขาไม่เคยถามเธอ เกี่ยวกับจุดด้อยเลยสักครั้งเดียว ตอนที่พบกันครั้งแรกหญิงสาวและชายหนุ่ม นั่งข้าง ๆ กัน ชายหนุ่มทักทายและเอ่ยถามชื่อ หญิงสาวรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะคนส่วนใหญ่มักจะถามเกี่ยวกับจุดด้อย ก่อนจะทักทายและถามนาม ของเธอด้วยซํ้า หรือไม่ก็ถามเรื่องจุดด้อยโดยไม่ทักทาย ไม่ถามชื่อก็หลายครั้ง หญิงสาวรู้สึกดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับเขา เขาเป็นเพื่อนที่มีมารยาทที่สุดสำ หรับ เธอเลยล่ะ ชายหนุ่มเป็นคนเรียนเก่ง มีผลการเรียนสูงมากแตกต่างจากหญิงสาว ที่เรียนไม่ค่อยเก่ง ผลการเรียนไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ก็ไม่ได้แย่ บางครั้งเธอก็คิดว่า เธอเหมาะสมที่จะเป็นเพื่อนกับคนเก่งอย่างเขาหรือเปล่า เพราะเพื่อนบางคน ก็มักบอกว่าเธอกับเขาไม่ควรเป็นเพื่อนกัน อย่างเขาต้องคบเพื่อนที่เก่ง ๆ ไม่ใช่ เพื่อนโง่ ๆ แบบเธอ ชายหนุ่มดูเหมือนกับเสาไฟฟ้าที่สูงหลายเมตร ส่วนเธอ ก็คงเหมือนหลักกิโลเตี้ย ๆ ข้างทาง เธอรู้สึกไม่มั่นใจในจุดยืนของตัวเองจึงถาม ชายหนุ่มออกไปว่า “ฉันเหมาะที่จะเป็นเพื่อนนายไหม”


แผลเป็นคำ พูด : เติมศิริ มีพร 19 ชายหนุ่มแปลกใจกับคำถามที่ออกมาจากปากของหญิงสาว เขารู้สึก ว่าเธอต้องมีเรื่องไม่สบายใจแน่ๆ “แกเป็นอะไร มีเรื่องไม่สบายใจอะไรบอกฉันได้นะ” อยู่ ๆ หญิงสาว ก็รู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้นนิดหน่อย เพราะคำ พูดที่แสดงถึงความห่วงใยจาก ชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนสนิทของเธอ “ฉันรู้สึกว่า ฉันไม่เหมาะที่จะเป็นเพื่อนกับนาย นายดูเหมือนกับ เสาไฟฟ้าแรงสูงที่มีประโยชน์มากมาย แต่ฉันมันก็เป็นได้เพียงหลักกิโลเตี้ย ๆ ที่อยู่ข้างทาง” ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเล็กน้อยแล้วพูดว่า “แกเป็นเพื่อนโง่ๆ ของฉันมันก็ดีแล้ว” ตอนนี้เธอกำลังรู้สึกว่า เขากำลังหลอกด่าเธออยู่ “เพราะเวลาฉันคบเพื่อนเก่งๆ มันไม่มีความสุขเลยนะรู้สึกว่าพวกเขา เป็นศัตรูมากกว่ามิตรซะอีก” พูดจบชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ถ้าแกมีความพยายามก็จะประสบความสำ เร็จ ที่ฉันเก่งก็เพราะ ความพยายามหรอกนะ” “ฉันพยายามแล้วนะใครจะไปสู้คนเก่งที่ได้ที่หนึ่งตลอดอย่างนายได้” หญิงสาวพูด “แกไม่พยายามมากพอ ไม่จำ เป็นต้องเอาที่หนึ่งก็ได้เพราะอะไร ที่เกินตัวมากไปก็ไม่ควรทำ แกต้องรู้จักประมาณตน” ชายหนุ่มบอกหญิงสาว เพราะกว่าที่เขาจะประสบความสำ เร็จนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องพยายาม อยู่หลายครั้งเพื่อผลการเรียนที่ตนอยากได้สู้เท่าที่เขาจะทำ ได้ด้วยความตั้งใจ และมุ่งมั่นขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ท้อถอย เพราะถ้าหากวันไหนที่เราหยุดความตั้งใจ


20 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ของตัวเองและคิดว่าเราเก่งหรือทำ ได้ดีแล้ว ก็อาจมีคนที่เขาพยายามกว่าเรา ตั้งใจกว่าเราและแน่นอนว่าเขาต้องเก่งกว่าเรา เพราะการไม่หยุดที่จะพยายาม ทำ ไปเรื่อย ๆ ไม่มีสิ้นสุด จะนำความสำ เร็จมาให้มากกว่าคนที่พยายามเพียง ครั้งเดียว “ฉันเองก็อยากเป็นแค่หลักกิโลเตี้ยๆเหมือนแกนะเพราะว่าเสาไฟฟ้า ถ้าหากมีพายุพัดโหมกระหนํ่าเข้ามามันก็หักหรือไม่ก็ล้มลงสู่พื้นดิน แต่หลักกิโล นี่สิไม่เป็นอะไรเลย ปลอดภัยกว่าเยอะ” “นายจะบอกว่ายิ่งอยู่สูงก็ยิ่งอันตรายใช่หรือเปล่า” ชายหนุ่มยังไม่ตอบคำถาม แต่กลับส่งยิ้มให้เธอแล้วพูดว่า “ไม่มีใครเขาอยากให้เราดีกว่าเขาหรอกนะ” ในโลกใบนี้เราทุกคน ก็อยากจะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่สุดกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากเห็นเราโดดเด่น กว่าเขาหรอก “อย่าทำตัวเด่นจะเป็นภัย” หญิงสาวพูดเสริมพร้อมกับมอบรอยยิ้ม ที่จริงใจให้กับชายหนุ่ม รอยยิ้มที่มอบให้กันต่างก็เป็นกำลังใจของกันและกัน “รอยยิ้มของนายเป็นกำลังใจและก็เป็นแรงผลักดันของฉันให้ตั้งใจเรียน เลยนะ” หญิงสาวพูด “แกก็อย่าไปสนใจคำ พูดแย่ๆของคนที่ไม่หวังดีกับแกนักเลย มาสนใจ คำ พูดดีๆ จากคนที่เขาหวังดีกับแกดีกว่า ถึงแม้จะมีกี่คำ พูดคำจาที่ทำลายแก แกก็ต้องผ่านมันไปให้ได้อดทนและพยายามเอาความโกรธ เกลียด แค้น และเสียใจมาพัฒนาตัวเองดีกว่า” ชายหนุ่มนั้นก็ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไงกับคนที่ชอบพูดจาให้คนที่ด้อยกว่า เจ็บปวดกับคำ พูดแย่ ๆ แต่สำ หรับเขาแล้ว เขาคิดว่าคำดูถูกเป็นสิ่งที่ทำ ให้เขา มีกำลังใจสำ หรับคนส่วนใหญ่ก็คงเห็นว่าคำดูถูกเป็นสิ่งที่เราไม่ควรจะได้เราควร


แผลเป็นคำ พูด : เติมศิริ มีพร 21 จะได้รับคำชมมากกว่า ที่ชายหนุ่มเห็นว่าคำดูถูกเป็นกำลังใจก็เพราะเขาไม่เคย ได้รับคำชมจากคนรอบ ๆ ตัวสักเท่าไร พวกเพื่อน ๆ พอเห็นว่าเขาเรียนเก่ง ต่างก็คิดว่าเขาประสบความสำ เร็จเพราะฐานะดีมีครอบครัวที่ดีทั้งที่มันเป็นสิ่งที่ ทรมาน เพราะเขาต้องพยายามอย่างมากเพื่อผลการเรียนที่ดีแต่คนอื่นกลับ คิดแบบนั้น ถึงอย่างไรแล้วเขาเองก็เป็นคนที่รู้ทุกอย่างทั้งหมดว่า ตัวเอง ทำอะไรบ้างจะโกหกใคร มีคนเดียวที่เขาโกหกไม่ได้ก็คือตัวเขาเองและตัวเขาเอง นั่นแหละที่จะอยู่กับเขาเสมอเพราะเขารู้ว่า ไม่มีใครสามารถอยู่กับเขาได้ตลอด ถึงแม้ใครจะไม่เชื่อมั่นในตัวเขา เขาก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง “จะว่าไปในสังคมของเราสวมหน้ากากให้กันอยู่เยอะนะ นายคิด เหมือนฉันไหม” “ใช่ คนเรามักสวมหน้ากากให้กับตัวเองทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นหน้ากาก เปื้อนรอยยิ้มแบบแกคงมีน้อยนะส่วนใหญ่ก็คงเป็นหน้ากากคนดีแหละที่มีเยอะ ในสังคมของเรา” “หน้ากากเปื้อนรอยยิ้มแบบฉันเหรอ… คงไม่ได้มีแค่ฉันที่สวมมันหรอก ฉันว่านายเองก็สวมมันอยู่นะ” บางคนที่ดูมีความสุขความจริงก็อาจจะไม่มี ความสุขเลยก็ได้ “ฉันมีความสุขดีแล้ว และหน้ากากนั้นฉันก็ทำ มันแตกแล้วล่ะ” “ดีจังเลยนะที่นายมีความสุข” หญิงสาวยิ้มให้ชายหนุ่มก่อนพูด “แต่ฉัน…ไม่มีความสุขเลย…ไม่มีเลย…ฉันอยากรู้จักว่าความสุขมันเป็น ยังไงบ้างจัง” หญิงสาวนั้นเป็นมนุษย์บนโลกคนหนึ่งที่อยากจะมีความสุขเหมือน คนอื่นเขา และอยากดำ เนินชีวิตอย่างราบรื่น ไม่มีอุปสรรคใด ๆ มาขัดขวาง แต่ทว่าเหมือนกับพระเจ้ากำลังเล่นตลกกับชีวิตของเธอ


22 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ “พระเจ้าท่านทรงกำลังคิดจะทำอะไรกับชีวิตของฉันกันนะ ทำ ไมชีวิต ในแต่ละวันของฉันมันผ่านไปยากอย่างนี้คนที่คอยทำลายชีวิตฉันเขาก็ดูจะมี ความสุขมากด้วย ลูกกำลังถูกท่านลงโทษใช่หรือเปล่าคะ?”เธอพูดในขณะที่ ดวงตาของเธอแดงก่าและมีน ํ ้าตาที่พร้อมจะไหลออกมาจากดวงตาน้อย ํๆของเธอ “พระเจ้าท่านไม่ได้ลงโทษแก แกต่างหากที่กำ ลังจะลงโทษตัวเอง สำ หรับฉัน พระเจ้าคือผู้สร้างมนุษย์ พระองค์ไม่มีวันทำลายสิ่งที่ตัวเองสร้าง หรอกนะ จะทำแบบนั้นให้เสียเวลาไปทำ ไมกัน” “ลงโทษตัวเอง…ฉันลงโทษตัวเองเหรอ” “แกเป็นคนที่ใส่ใจคำ พูดแย่ ๆ นั่นมากเกินไป ข้อดีของแกมี ตั้งเยอะแยะนะ ฉันจะบอกให้” “แต่ฉันไม่เคยเห็นข้อดีของตัวเองเลยนะ” หญิงสาวทำ หน้าสงสัย ก่อนจะจ้องมองไปที่ชายหนุ่ม “ฉันเห็นแต่ข้อดีของนาย นายมีมันเยอะซะด้วยสิ” “ข้อดีของแกก็คือ…แกเป็นความสุข...ของฉัน”คำ พูดของชายหนุ่ม ทำ ให้หญิงสาวทำตัวไม่ถูกด้วยความเขินอาย “นี่นายคิดอะไรกับฉันหรือเปล่าเนี่ย เย็นแล้วฉันกลับบ้านก่อนนะ แล้วเจอกันนะคะคุณเพื่อน” หญิงสาวยิ้มและหัวเราะออกมาด้วยความสุขใจ “แกรู้จักมันแล้ว” ชายหนุ่มพูด “เธอคงเป็นคนที่ต้องการความสุขมาก ๆ เลยสินะ” หญิงสาวเดินทางกลับบ้านมาด้วยความเหนื่อยล้าพร้อมกับคำดูถูกดูแคลน “แหม คนหน้าผีแบบเธอยังมีอยู่บนโลกด้วยเหรอ ไม่อายบ้าง หรือไงกันนะ ถ้าเป็นฉันจะตาย ๆ ไปซะ ไม่อยู่ให้ใครเขาดูถูกหรอกนะหนู”


แผลเป็นคำ พูด : เติมศิริ มีพร 23 หญิงวัยกลางคนพูดขึ้นพร้อมกับมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลก ๆ เช่นเดียวกับ คนอื่น ๆ ที่เริ่มหันมามองเธอเพราะคำ พูดของหญิงวัยกลางคน เธอเงียบไป สักพักก่อนจะตอบกลับหญิงวัยกลางคนไปว่า “แหมป้าคะ...ก็ไม่เห็นมีใครสักคนดูถูกหนูเลยนี่คะ นอกจากป้า… คนอื่นเขาก็อยู่เฉย ๆ ไม่ได้พูดอะไร แผลเป็นหนูมันทำ ให้ป้าอายแทนขนาดนั้น เลยเหรอคะ…แต่ก็ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะป้า” เมื่อพูดจบหญิงสาวก็เดินจากผู้หญิงวัยกลางคนไป “รู้จักความรู้สึกนี้แล้วสินะครับ…แต่คนที่ถูกดูถูกเจ็บกว่านี้เป็นสิบเท่า นะป้า” นี่เป็นคำ พูดของชายหนุ่มเพื่อนสนิทของหญิงสาว ที่คอยจับตาดูเธอ ด้วยความเป็นห่วง “ระวังคำ พูดหน่อยนะครับ บางคนเติบโตได้เพราะคำดูถูก…แต่อีก หลายคนก็จบชีวิตลงเพราะคำดูถูกเหมือนกัน” “ไม่ต้องมาสอนฉัน…เธอมันก็แค่เด็กเมื่อวานซืน” “ขอโทษครับ…ก็อย่างที่ผมพูดเมื่อสักครู่นี้นะครับ ถ้าหากว่าเธอ จบชีวิตลงเพราะคำ พูดของป้า นั่นก็เท่ากับว่าป้าเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต ของเธอเลยนะครับ” “สาเหตุการเสียชีวิตอะไรกัน…ไร้สาระ ใครเขาจะโง่ฆ่าตัวตาย… ตลกแล้วไอ้หนู…ก็แค่แนะนำ เด็กนั่นนิดหน่อย …อีกอย่างถ้าเด็กนั่นตาย ตำ รวจ ก็ไม่จับฉันหรอก” “เห็นความตายเป็นเรื่องตลกสินะครับ…ถึงตำ รวจไม่จับ…แต่ป้า ก็น่าจะถูกประชาชนประณามไม่น้อยเลยนะครับ ป้าครับ…กรุณาใส่ใจคำ พูด ของตัวเองหน่อยก่อนจะพูดก็คิดไตร่ตรองให้ดีมีมารยาท และก็นึกถึงใจคนฟัง ด้วยก็จะดีนะครับ”


24 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ หญิงวัยกลางคนได้แต่เงียบ ในขณะที่ตอนนี้มีสายตาหลายคู่จ้องมอง มาที่เธอและชายหนุ่ม “การดูถูกคนอื่นมันไม่ได้ทำ ให้คุณดูสูงขึ้น ในทางกลับกันมันกลับเป็น สิ่งที่บ่งบอกว่ากำ พืดของคุณเป็นแบบไหน ผมเป็นห่วงนะครับ ไม่อยากให้ป้า… เป็นฆาตกร” เมื่อพูดจบชายหนุ่มก็เดินจากหญิงวัยกลางคนไป ก่อนจะเดินตาม ไปหาเพื่อนสนิทคนเดียวของเขา “แข็งแกร่งขึ้นแล้วนะแก” “ด่าป้าแล้วฉันรู้สึกผิดมากเลยนะ” ถ้าป้าผู้หญิงคนนั้นคิดได้แบบเธอก็คงจะดี “เป็นการด่าที่ไม่ได้ร้ายแรงอะไรหรอก แต่ฉันก็ไม่ได้สนับสนุนให้แก ไปด่าใครนะ!!” “รู้ค่ะ!!...พวกเขาชอบสร้างแผลให้ฉันจังเลยนะ แค่แผลเป็นบนหน้า ที่มีมันก็แย่พอแล้ว” “สู้ๆ นะ แกยังมีฉันที่อยู่ข้างๆแกนะอย่าลืมสิว่าฉันเป็นเสาไฟฟ้า… เสาไฟฟ้าที่ยืนต้นเคียงข้างกับหลักกิโลไง” “นายเสาไฟฟ้ากับยายหลักกิโล” ทั้งคู่พูดพร้อมกัน “ฉันมีความสุขจังความสุขของฉันก็คือนายเช่นกันนะ” ทั้งคู่ยิ้มให้กัน “ไป…กลับบ้านกันเถอะครับคุณหลักกิโล เดี๋ยวไปส่ง” “ค่ะ…คุณเสาไฟฟ้า”


แผลเป็นคำ พูด : เติมศิริ มีพร 25 ทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ก็เหมือนกับคำ พูด ที่สามารถสร้างทั้งความสุขและความทุกข์ได้โดยอยู่ในการควบคุมของมนุษย์ คำ พูดบางคำ ที่สร้างความสุขให้กับคนฟังก็ถือเป็นเรื่องที่ดีแต่คำ พูดแย่ ๆ ที่ทำ ให้คนอื่นเจ็บปวดและสิ้นหวัง มันอาจเป็นแค่ความสนุกปากของคนพูด หรืออาจพูดโดยไม่คิดอะไรแต่มันจะฝังลึกอยู่ในความทรงจำของคนฟังและคำ พูด คำจาของเรานั้นก็ยังแสดงถึงอะไรหลาย ๆ อย่างในตัวเรา มีมารยาทในการพูด สักนิดเพื่อความสุขของคนในสังคม เพราะมันจะไม่สร้าง ‘แผลเป็นคำ พูด’ ขึ้นมาให้คนฟังเจ็บปวดอีก…


ชมพอกับพ่อ : วชิรา ประลังการ 27 ชมพอกับพ่อ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น วชิรา ประลังการ “สวัสดีคะพ อ” ฉันพูดพรอมกับยกมือไหว พอทุกครั้งก  อนจะไปโรงเรียน  “อาว! ลูกจะไปโรงเรียนแลวเหรอ เพิ่งจะหกโมงครึ่งเองนะ” พอถามดวยนํ้าเสียงแผวเบาแฝงดวยความรักและเมตตา “กลองขาวกลางวัน ลืมหรือเปลาลูก” “ไมลืมคะพอ หนูเอาใสกระเปาแลว วันนี้หนูเปนหัวหนาเวรหอง ตองไปโรงเรียนแต เชาหนอยคะ หนูไปละนะพอ” ฉันจูงจักรยานคูใจจากใต ถุนบาน ไปที่ถนนหนาบาน แลวขี่จักรยานไปโรงเรียนทันที ครอบครัวของฉันมีกันสองคน พอเปนลูกจางอยู อบต. ใกลบาน เสารอาทิตย จะเข าสวนไปดูแลผลไม   เชนมะมวง มะปรางลิ้นจี่ลาไยํกลวยหอม กลวยนํ้าวา ฯลฯ พอเปนคนขยัน แตแมก็หยากับพอและไปทํางานที่กรุงเทพฯ เกือบ ๕ ปแลว ฉันกับแมยังติดตอกันและฉันก็ไดคุยกับแมทางโทรศัพทเสมอ อาทิตยละ ๒-๓ ครั้ง วันเกิดของฉันแมก็จะโทรมาอวยพรและถามวา อยากไดอะไร แมก็จะสงของขวัญมาใหฉันทุกป ปนี้ฉันขอรองเทาผาใบยี่หอดัง จากแม จะไดใสวิ่งและใสไปเที่ยว แมใจดีกับฉันเสมอ ฉันไมกลาถามพอ หรือแมวาทําไมตองหยากัน พอกับแมคงมีเหตุผล ฉันเปนลูกไมควรกาวกาย เรื่องของผูใหญ่และฉันไม  อยากรู้ด วย ฉันคิดอยูเสมอวา ฉันก็ยังคงมีแมมีพ อเหมือน  ครอบครัวคนอื่น เพียงแตแมไมไดอยูบานดวยกันเทานั้นเอง ฉันไมเคยคิดวา ตัวเองขาดความรักความอบอุนเลยพอทาหนํ าที่ทั้งพ อและแม ไดอย างยอดเยี่ยม  บางครั้งพอยังเปนเหมือนเพื่อนอีกดวย


28 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ เมื่อโรงเรียนเลิกแลว ฉันก็รีบกลับบานและทําการบานทันที เพราะจะไดมีเวลาชวยพอทํากับขาว วันนี้พอทําแกงจืดฟกและผัดผักกูด ฉันชวยเด็ดผักกูดใสกะละมังใบยอม ๆ พอผัดผักกูดไฟแดงอรอยมาก เมื่อฉัน และพอกินอาหารเสร็จแลว ฉันทําหนาที่ลางถวยจาน สวนพอเช็ดโตะกินขาว แลวจึงพากันไปดูโทรทัศนซึ่งเป็นละครเรื่องหนึ่ง ในเรื่องตัวละครที่เปนนางราย พูดจาใสรายนางเอก และยังเอานํ้าในแกวราดหัวนางเอกดวย “พอคะ ทําไมนางรายตองเอานํ้าราดหัวนางเอกดวยคะ มันเปน การกระทําที่ไมดีใชไหมคะ” ฉันถาม “ใช่แลวลูก คนไทยไมทําอยางนี้หรอก นี่มันเปนละคร คงเลียนแบบ จากหนังฝรั่ง” พอตอบ “พอคะ ที่เขาดาวา อีไพร อีสถุล หมายความวายังไงคะ” ฉันถามอีก “ออ มันเปนคําดาที่คนสมัยโบราณใชดากัน เชน บานเจานายที่มี ขาทาสบริวารเยอะ ก็มักจะดาทาสวา อีไพร อีสถุล เมื่อกอนคําวา อีไมถือวา เปนคําหยาบ ใชเรียกผูหญิง เชน อีแยม อีแปน อีพวงสวนคําวา ไพร ก็หมายถึง ขาทาสนั่นละ แตปจจุบันนี้คําวา อีถือวาเปนคําไมสุภาพไมใชเรียกกัน หากมี ใครมาเรียกลูกวา อีชมพอ ลูกจะชอบไหม” พอถาม “ไมชอบคะ หนูไมชอบใหเรียกหนูวา อี” ฉันรีบตอบทันที พอยิ้มแลวบอกวา “ลูกก็ตองไมเรียกเพื่อนหรือคนอื่น ๆ วา อี เชนกันนะ” พอไลฉันไปอาบนํ้าและเตรียมตัวเขานอนไดแลว ระหวางฉันอาบนํ้า ฉันคิดวาพรุงนี้ฉันจะไปบอกเพื่อน ๆ วา หามเรียก อีใส่กัน เชาวันรุงขึ้นฉันตื่นนอนตีหาครึ่งและไปตลาดกับพอ ฉันไดยินแมคา คนหนึ่งดาลูกจางดวยถอยคําหยาบคาย “อีโง สอนกี่ครั้งไมเคยจํา โงอยางนี้ มึงไมต องกินข าวนะ วันนี้ไมต องแดก”  ฉันแอบมองเห็นลูกจางน ํ้าตาไหลและเอา ชายเสื้อของเธอยกขึ้นมาเช็ดนํ้าตา สวนแมคาเมื่อดาลูกจางแลวก็หันไป ขายของตอ ปากของแมคาก็รองเรียกเชิญชวนทักทายลูกคาดวยนํ้าเสียง


ชมพอกับพ่อ : วชิรา ประลังการ 29 ออนหวานเหมือนไมมีอะไรเกิดขึ้น แมคาคนนี้ดูเหมือนเปนนางรายในละคร ยังไงยังงั้น แตนี่คือเรื่องจริงไมใชละคร ฉันรูสึกสงสารลูกจางคนนั้นมาก เมื่อกลับมาบาน ฉันรีบถามพอทันที“พอไดยินแมคาคนนั้นดา ลูกจางไหม หนูไมชอบเลย สงสารลูกจาง เขารองไหดวยนะ หนูเห็น” “ไดยินสิลูก ดาดังขนาดนั้น” พอตอบพลางเก็บเนื้อหมู  ผักไข เขาตู เย็น  ฉันเซาซี้ถามพออีก “พอวาลูกจางคนนั้นจะไดกินขาวไหม แลวกินกับแดก เหมือนกันไหมพอ” “อาจจะไดกินหรือไมไดกินก็ไดนะ เพราะเราออกมากอน เราไมเห็น ตอนจบ แตแมคาคนนั้นพอก็รูจักนะ พอไมเคยไดยินแกดาลูกจางยังงี้เลย แกอาจจะเปนพวกปากรายใจดีก็ไดนะ สวนคําวากินกับแดก มีความหมาย เหมือนกันแปลวา กิน นั่นละแตคาวําแดกเปนค าไม ํสุภาพ ไมควรพูดกับใคร  ๆ” พออธิบาย “ทาไมพ ํ อคิดว าแมค าคนนั้นเป  นพวกปากร  ายใจดีล  ะคะ”  ฉันถามดวย ความสงสัย “พอคิดวาเราตองมองคนใหลึกซึ้งกอนที่จะตัดสินวา คนนั้นไมดี คนนี้ดีอยางแมค าคนนั้นอาจจะเป  นคนดีก็ได  หรือไม  ดีก็ได   เพราะเรายังรูจักแม คา คนนั้นไมลึกซึ้งพอ” พอพูดและสอนฉันอีก “ลูกก็เห็นแบบอยางที่ไมดีแลวนะ ลูกอยาทาแบบแมํค าคนนั้น อยาด าหรือพูดค าหยาบํ ไมว าจะพูดกับเพื่อน  กับครู หรือกับใคร ๆ ก็ตาม เพราะหากลูกพูดคําหยาบบอย ๆ จนเคยชินติดเปนนิสัย เมื่อลูกพูดคําหยาบลูกก็จะคิดวาลูกไมไดพูดคําหยาบ ทั้ง ๆ ที่มันเปนคําหยาบ เขาใจไหมลูก  ไป...รีบไปอาบนํ้ากินขาวแลวไปโรงเรียนเถอะ”  ฉันพยักหนารับรู   แลวจึงรีบไปอาบนํ้าเพื่อจะไดไปโรงเรียน เมื่อฉันขี่รถจักรยานเขาประตูโรงเรียน ฉันก็จอดรถจักรยาน แลวประนมมือไหวพระพุทธรูปหนาโรงเรียน แลวจึงยกมือไหวคุณครูเวร หนาประตู“สวัสดีคะคุณครู” คุณครูยกมือรับไหวและยิ้มใหฉัน ฉันจึงจูง รถจักรยานไปจอดที่โรงรถนักเรียน แลวรีบเดินไปที่หองเรียนของฉัน


30 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ “ชมพอ วันนี้เธอมาชากวาเรานะ เรามาเปนคนที่หนึ่งของหองละ” ปอมเพื่อนของฉันพูดพรอมกับทําทายืดอกวาชนะเลิศ “เชานี้เราไปตลาด กับพอนะเลยมาชา” ฉันตอบและวางกระเปาลงบนโตะ หยิบกลองอาหาร กลางวันออกมาใสลิ้นชักโตะ “ปอม..ไปทําเวรโซนกวาดใบไมกันดีกวานะ” ฉันชวนไปกวาดใบไมในโซนของนักเรียน ม.๒ เมื่อถึงเวลาพักกินขาวกลางวัน  ฉันกับปอมและเพื่อน ๆผูหญิง ๓-๔ คน ตางก็ไปลางมือใหสะอาดแลวมาลอมวงกินขาวกันที่หลังหอง ฉันเลาเรื่องแมคา ดาลูกจางใหเพื่อน ๆ ฟง ปอมฟงฉันเลาแลวก็พูดวิจารณแมคาจนอาหารที่เคี้ยว ในปากกระเด็นออกมา เพื่อนคนอื่น ๆ พากันหัวเราะ ปอมหนาแดงคงจะอาย ฉันจึงรีบพูดขึ้นวา “อยาหัวเราะเยาะปอม เวลาที่เราเคี้ยวอาหารในปาก เราไมควรพูด อาหารมันอาจจะกระเด็นออกมาก็ได ปอมไมใชคนมูมมาม แตพูดเยอะไปหน อย อาหารเลยกระเด็นออกมาเราเองก็เคยพูดขณะเคี้ยวอาหาร เศษอาหารก็กระเด็นออกมาเหมือนกัน” ฉันพูดตออีก “พอเราสอนวา เวลากินขาวเราตองไมพูดคุยกัน อาหาร จะไดไมกระเด็นออกมาได มันดูไมสุภาพ แตเราก็พูดเลาเรื่องแมคาดาลูกจาง ขณะกินขาว เราก็มารยาทไมดีเหมือนกัน”  สิ่งที่ฉันพูดทาใหํ ปอมรู สึกดีขึ้น  เพื่อน ๆ คนอื่นหยุดหัวเราะและชวนคุยเรื่องอื่นกัน เมื่อกินขาวเสร็จ ฉันและเพื่อน ๆ จะเดินไปซื้อขนมที่รานคา สหกรณโรงเรียนมากินดวยกัน แบงกันกินจะไดกินหลายอยางเหมือน ๆ กัน เพื่อนคนหนึ่งกําลังเคี้ยวขนม พอดีจามออกมา“ฮัดเชย”ขนมในปากก็กระเด็น ออกมาดวย ทุกคนก็เลยพากันหัวเราะ สวนเพื่อนอีกคนก็เรอออกมาเปน กลิ่นอาหาร พวกเราก็หัวเราะกันอีก แตที่ฮามากก็เพราะวามีเสียงตดออกมา เสียงดัง ไมรูใครตด เทานั้นละพวกเราวงแตก ทุกคนหัวเราะจนนํ้าตาไหล กวาจะหยุดหัวเราะไดก็พอดีมีคุณครูทานหนึ่งเดินผานมา พวกเราจึงยกมือไหว และกลาวทักทาย“สวัสดีคะคุณครู”คุณครูจึงถามวา หัวเราะอะไรกัน พวกเรา


ชมพอกับพ่อ : วชิรา ประลังการ 31 จึงเลาใหฟง คุณครูจึงสอนพวกเราวา “การกินอาหารรวมกันหลายคนควรมี ชอนกลาง และตองไมพูดคุยขณะกินขาว เพราะเศษอาหารจะกระเด็นออกมา จากปากเวลาพูดคุยซึ่งถือเป็นเรื่องเสียมารยาทมากการไอหรือจามควรหันหนา ไปทางอื่นและควรมีผาหรือกระดาษทิชชูมาปดปากและจมูกดวย เพื่อปองกัน เชื้อโรคที่อาจกระเด็นออกมา ซึ่งเปนการแพรกระจายเชื้อโรคได ที่สําคัญ เรื่อง“ตดหรือผายลม”เปนเรื่องที่ควรระมัดระวังอย  างยิ่ง  เพราะเปนเรื่องน าอาย หากเรารูสึกอยากผายลมเราก็ควรเดินหนีไปทางอื่น มิเชนนั้นจะอายเขา เพราะเสียงดังออกมา ไหนจะกลิ่นเหม็นอีกละ เราตองรักษามารยาทใหถูก กาลเทศะ นักเรียนเขาใจที่ครูพูดไหมคะ” พวกเรายกมือไหวคุณครูอีกครั้งและ กลาววา “เขาใจแลวค่ะ ขอบพระคุณนะคะที่คุณครูชวยสอนเรื่องมารยาท ในสังคมใหแกพวกหนู” ฉันกลับถึงบานราวสี่โมงเย็น พอยังไมกลับจากที่ทํางาน วันนี้ไมมี การบาน ฉันจึงคิดวาจะถูบานสักหนอยคงจะดีวาแลวฉันก็เอาไมถูพื้น มาเตรียมไว้แตฉันนึกถึงสิ่งที่พ อสอนวา “กอนถูบานตองกวาดบานก อนทุกครั้ง”  ฉันจึงตั้งใจกวาดบาน โดยกวาดหยากไยบนเพดานกอนแลวจึงกวาดที่พื้น เมื่อกวาดเสร็จฉันก็ใช้ไมถูพื้นถูบ้านจนสะอาด พอกลับมาบานพอดีฉันยกมือ ไหวพอและพูดวา“สวัสดีคะ พอ” พอยิ้มรับ “สวัสดีจะลูกสาวของพอ หนูเปน เด็กดีขยัน ชวยแบงเบาภาระพอไดเยอะเลย เกงมากลูก บานสะอาดเลยละ” ฉันยิ้มกวาง ภูมิใจที่พอชมฉัน ประมาณสองทุมแมโทรมาหา ฉันดีใจมาก ในขณะที่ฉันกำ ลัง รับโทรศัพทจากแม “สวัสดีคะ แม” พอก็เดินเลี่ยงออกไปที่ระเบียงนอกบาน พอคงไม  อยากได  ยินฉันคุยกับแม   แมโทรมาพูดคุยไถ  ถามเรื่องการเรียน แมถามวา ฉันอยากไดอะไรให้บอกจะซื้อส  งไปให   แตฉันปฏิเสธเพราะว  าไม  นึกอยากได  อะไร  แมบอกว าโอนเงินเข  าบัญชีสมุดธนาคารให  ฉันแล ว ใหฉันไปปรับสมุดธนาคารด วย เราคุยกันสักพักแมก็วางสาย ฉันบอกแมวา “สวัสดีคะ แม หนูรักแมนะ” ฉันรูสึกอยากกอดแมขึ้นมา


32 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ฉันเดินออกไปที่ระเบียงบานเห็นพอรดนํ้าตนไม “พอรดนํ้าตนไม ตอนกลางคืนระวังงูจะกัดนะ” “ไมมีงูหรอกลูก บานเรามีวานกันงูเขาบาน” พอตอบ ฉันจึงตัดสินใจถามพอวา “ทําไมเวลาแมโทรมา พอตองเดินหนี ดวยละคะ” ฉันเห็นพอยืนนิ่งปลอยนํ้าจากสายยางไหลลงพื้นดิน ฉันโมโหตัวเอง ที่ไมนาถามพอ พอคงลําบากใจที่จะตอบ สักพักพอก็พูดขึ้นวา “ตามมารยาท เราไมควรแอบฟงคนอื่นเขาสนทนากัน ไมวาจะคุยโทรศัพทหรือคุยเรื่องอื่น ๆ ก็ตาม พอเห็นลูกคุยกับแม ถึงแมพอไมไดแอบฟงแตพอก็คิดวา พอไมควร อยูในหองนั้น พอก็เลยเดินหนีออกมา ลูกจะไดคุยกับแมไดอยางสบายใจ” “ออ ค่ะ” ฉันตอบเบา ๆ ฉันตื่นแตเชา อาบนํ้า แตงตัวและกินขาวเชา แลวรีบมาโรงเรียน เพราะวันนี้เปนวันไหวครูซึ่งเปนวันสําคัญของนักเรียนทุกคนที่จะตองไหวครู เหมือนกับฝากตัวเปนศิษย  ที่มีครูคอยสั่งสอน  ไมใช ศิษย  แบบครูพักลักจ าํ ฉันกับ เพื่อน ๆในหองช วยกันตกแต  งพานไหว ครู๒ พาน ฉันไดเป นตัวแทนนักเรียนหญิง  ถือพานไหวครูคูกับเพื่อนนักเรียนชายอีกคน ฉันเตรียมกรวยใสดอกเข็ม ดอกมะเขือ หญาแพรก และธูปเทียนไหวครูอีกตางหาก โรงเรียนของฉันเปนโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก มีนักเรียนทั้งหมด สองรอยกวาคน วันนี้ฉันแตงตัวสะอาดเรียบรอย นักเรียนทุกคนแตงกาย ดวยชุดนักเรียนเรียบร อยหากหองใดมีเรียนพลศึกษาก็ต องน าชุดพละมาเปลี่ยน ํ ที่โรงเรียน พิธีไหวครูโรงเรียนจะจัดตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒ ของเดือนมิถุนายน เปนประจําทุกป เมื่อวานคุณครูที่สอนสังคมศึกษาไดประกาศเรียกใหนักเรียน ที่เปนตัวแทนของหองที่ถือพานไหวครูทั้งชายและหญิง ไปฝกซอมถือพาน การกราบพระ และการคํานับพระบรมฉายาลักษณในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ การเดินเขา การสงพานไหวครูการกราบครูซึ่งฉันทําไดเพราะเมื่อปที่แลว ฉันก็ไดเปนตัวแทนถือพานไหวครู


ชมพอกับพ่อ : วชิรา ประลังการ 33 พิธีไหวครูประจําปการศึกษาจะจัดที่หอประชุมใหญ ดานบนเวที คุณครูทุกทานสวมเครื่องแบบสีกากีขึ้นไปนั่งบนเกาอี้บนเวทีซึ่งจัดโตะหมูบูชา มีธงชาติอยูทางดานซายมือ และมีพระบรมฉายาลักษณอยูดานขวามือ คุณครู ที่ฝกซ้อมให  พวกเราเดินถือพานคู  กันมาทั้งชายหญิง คุณครูบอกวาใหกราบพระกอน ดังนั้นเมื่อเดินขึ้นบนเวทีใหนั่งลงเพื่อกราบพระที่โตะหมูบูชา เปนการกราบ แบบเบญจางคประดิษฐ โดยใหอวัยวะ ๕ สวน จดลงใหติดกับพื้น  คือเขาทั้งสอง  ฝามือทั้งสอง และหนาผาก เปนการกราบที่ใช สาหรับกราบพระ ํ การกราบแบบนี้ ผูชายใหนั่งคุกเขา เรียกวา นั่งทาพรหมหรือทาเทพบุตร ผูหญิงใหนั่งคุกเขาราบ คือ นั่งทับฝาเทาทั้งสอง เรียกวา นั่งทาเทพธิดา ประนมมือไหวที่หนาอกแลว ยกมือขึ้นไหวโดยใหหัวแมมืออยูระดับหวางคิ้ว ปลายนิ้วชี้อยูระดับไรผม แลวหมอบลง ทอดฝามือไว  บนพื้น  ใหฝามือทั้งสองห  างกันเล็กน อยวางหนาผาก ลงจดพื้นระหวางฝ่ามือ เมื่อหนาผากถึงพื้นแลวเงยหนา ตั้งตัวตรงแลวเริ่ม กราบใหมครั้งที่สอง ครั้งที่สาม เมื่อกราบพระเสร็จแลวใหยืนขึ้นเพื่อคํานับ ธงชาติและคํานับพระบรมฉายาลักษณ จากนั้นใหเดินเขาประคองพานไหวครู ไปหาครูที่ปรึกษาของหองฉัน ๒ ทานแลวฉันกับเพื่อนผู  ชายก็นั่งพับเพียบขาซ าย ทับขาขวา วางพานไหวครูดานขางขวามือ แลวกมกราบคุณครูทั้งสองทาน ๑ ครั้ง โดยไมแบมือ ซึ่งใชมือขวาวางทอดลงกับพื้นและมือซายวางทอดแขน ลงมาประกบมือขวา ซึ่งมือทั้งสองขางอยูระหวางหัวเขา เมื่อกราบแลวจึงสง พานไหวครูใหกับคุณครูที่ปรึกษาทั้งสองทาน เมื่อคุณครูรับพานไหวครูแลว ฉันกับเพื่อนผูชายก็กราบคุณครูอีกครั้งโดยไม  แบมือแล  วเดินเข าก มหลังลงจากเวที  ฉันกับเพื่อนผูชายก็ไดไปฝกซอมพิธีถือพานที่หองจริยธรรม โดยฉัน กับเพื่อนผูชายทําไมผิดขั้นตอน ทั้งกราบพระและไหวครูคุณครูที่ฝกซอม จึงอนุญาตใหออกมากอนได เมื่อฉันกลับไปที่หองเรียนก็เห็นเพื่อน ๆ ทั้งชาย และหญิงชวยกันจัดพานและตกแตงพานไหวครูทั้งสองพานไดอยางสวยงาม และไมลืมที่จะใสดอกมะเขือ ดอกเข็ม และหญาแพรก ซึ่งเปนสัญลักษณของ


34 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ การไหวครูดอกมะเขือเปนดอกที่โนมตํ่าลงมาเสมอ ไมไดเปนดอกที่ชูขึ้น คนโบราณจึงกําหนดใหเปนดอกไมสําหรับไหวครูไมวาจะเปนครูดนตรีครูมวย ครูสอนหนังสือก็ใหใช ดอกมะเขือนี้  เพื่อศิษยจะได ออนนอมถอมตนพรอมที่จะเรียน  วิชาความรูตาง ๆ หญาแพรกเปนหญาที่เจริญงอกงามแพรกระจายพันธุ ไปไดอยางรวดเร็วมาก หญาแพรก ดอกมะเขือ จึงมีความหมายซอนเรนอยู คนโบราณจึงถือเอาเป็นเคล็ดวา ถาใชหญาแพรก ดอกมะเขือไหวครูแลว สติปญญาของเด็กจะเจริญงอกงามเหมือนหญ  าแพรกับดอกมะเขือ สวนดอกเข็ม  นั้นมีปลายแหลม สติปญญาจะไดแหลมคมเหมือนดอกเข็ม และก็อาจเปนไดวา เกสรดอกเข็มมีรสหวาน การใชดอกเข็มไหวครูวิชาความรูจะใหประโยชนกับ ชีวิต ทําใหชีวิตมีความสดชื่นเหมือนรสหวานของดอกเข็ม พิธีไหวครูเสร็จสิ้นเมื่อเวลา ๑๐.๓๐ น. คุณครูจึงประกาศใหนักเรียน ทุกคนไดพักผอน และจะเริ่มเรียนในคาบเรียนที่ ๔ เวลา ๑๑.๑๐-๑๒.๐๐ น. ฉันกับเพื่อน ๆ ผูหญิงนัดกันไววาจะไปกราบครูทานอื่น ๆ ที่เปนครูสอน พวกเราคุณครูหลายทานรับการไหวครูของพวกเราและอวยพรใหพวกเราดวย ฉันรูสึกสุขใจบอกไมถูก เมื่อเลิกเรียนฉันรีบกลับบานเพื่อเตรียมหาดอกเข็ม ดอกมะเขือ หญาแพรกสาหรับไหว ํพอของฉัน เพราะพอของฉันเปรียบเป  นครูคนแรกที่คอย  สั่งสอนฉัน ทั้งใหความรูและคุณธรรมพอสอนฉันอ  านหนังสือ  สอนฉันทาการบําน สอนใหฉันมีกิริยามารยาทที่ดีในการใชชีวิต ฉันรอพอเลิกงานดวยใจจดจอ เมื่อไหร่พอจะมาถึงบาน เมื่อพอขี่รถจักรยานยนตเขาประตูรั้วมาแลว ที่ตะกรา หนารถฉันเห็นทุเรียน  ซึ่งเปนผลไม  โปรดของฉันและกับข าว๒-๓ อยางที่พ  อซื้อมา  ฉันลงบันไดรีบเดินไปหาพอเพื่อช  วยถือของ  “วันนี้พอซื้อทุเรียนมาให ลูกด วยนะ”  พอพูด “สวัสดีคะพอพอซื้อของมาเยอะเลย  มีทุเรียนดวย มันราคาแพงไหมพอ” ฉันยกมือไหวและถาม


ชมพอกับพ่อ : วชิรา ประลังการ 35 “ไมแพงเทาไหร่ พอดีคนขายทุเรียนเปนเพื่อนพอสมัยเรียนมัธยม ดวยกัน พอจ าเพื่อนแทบไม ํ ได  เขาอวนขึ้นมาก แตเพื่อนพ อจ าไดํ  เขาเรียกชื่อพอ และกระโดดเขามาจับมือพอ พอจึงจําเพื่อนได เราก็เลยไดคุยกันถามไถ สารทุกขสุกดิบกัน เพื่อนพอเขาไมทํางานที่กรุงเทพฯแลว เขาอพยพครอบครัว กลับมาอยูบาน และคาขายผลไมตามฤดูกาลโดยใชรถกระบะวิ่งขายผลไม ไปเรื่อย ๆ เพื่อนพอเขาแนะนําภรรยาของเขาใหมารูจักกับพอ เวลาซื้อผลไม จะไดลดราคาให พอ เพื่อนพอเขามีลูก ๓ คน ลูกคนโตเขาคงจะมีอายุไลเลี่ยกับลูก  นี่ละ” พอเลาเรื่องเพื่อนพอใหฉันฟงดวยนํ้าเสียงมีความสุข ฉันจูงแขนพอมานั่งที่เกาอี้ พอทําทางง ๆ ฉันจึงหยิบกรวยไหวครู ที่เตรียมไวมาวางบนตัก แลวฉันก็ก  มกราบที่เท าพอแลวส งกรวยให พอ เมื่อพอรับ  กรวยจากฉัน ฉันก็กราบอีกครั้ง พอฉันเงยหนาขึ้นมาเห็นพอตาแดง ๆ แลวพอ ก็อวยพรใหฉันมากมายจนฉันจําไมได รูแตวาเปนคําอวยพรที่ดีเปนมงคลแก ชีวิตฉัน ฉันยิ้มหนาบาน พอยิ้มตอบใหฉัน ฉันคิดไปวาถามีแมอยูดวยคงจะ อบอุนกวานี้แตตอนนี้ฉันก็อบอุนใจมีความสุขแลวนี่นา “พอขา กินทุเรียนกันเถอะคะ หนูอยากกินแลว” ฉันบอกพอ ในขณะที่ฉันจองมองพอแกะทุเรียน ไมรูอะไรมาดลใจทําใหฉันพูด ออกไป “ถาแม กลับมาอยู ดวยพอจะให แมมาอยู กับเราไหม” พอหยุดแกะทุเรียน  แลวมองหนาฉัน “พอจะไปวาอะไรได บานนี้ก็เปนบานของแมเหมือนกัน” “หนูนึกวาพ อเกลียดแม   ไมอยากให แมมาอยูด วยซะอีก”  ฉันพูดออมแอม พอยิ้มแลวพูดวา “ไมไดเกลียดแตก็ไมไดหมายความวารักนะ” ฉันงง กับคําตอบของพอจริง ๆ “ทุเรียนนี่กรอบนอกนุมในนะ” พอพูดแลวส งให ฉันพูหนึ่ง  ฉันรับทุเรียน จากพอพรอมบอกวา “ขอบคุณคะ” ฉันอาปากกินทุเรียนอยางมีความสุข


อยู่ในนิทรา : วานุ 37 อยู่ในนิทรา รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น วานุ คืนนี้ฝนตกและเป็นวันเกิดของใครบางคนที่กำ ลังนั่งเหม่อลอย เหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง ฉันทอดสายตาดูบรรยากาศสายฝนโปรยปราย อยู่ด้านนอก สายลมพัดผ่านช่องประตูที่เปิดแง้มไว้ความหนาวจึงได้คืบคลาน เข้ามากระทบผิวฉัน พลันให้เกิดความรู้สึกคิดถึงใครหลายๆคน ที่เคยได้อาศัย อยู่ร่วมกันที่นี่ ชาวบ้านในละแวกนี้ต่างปิดประตูบ้านเงียบสงัด มีเพียงเสียงกบ จิ้งหรีด และสัตว์เล็กสัตว์น้อย ได้ร่วมใจกันบรรเลงดนตรีแห่งธรรมชาติที่เรา คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีเหล่าสัตว์นานาพันธุ์พากันร้องประสานเสียงกัน ระเบ็งเซ็งแซ่แข่งกับเสียงฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสาย ไฟนอกบ้านยังสว่างพอจะ มองเห็นกลุ่มคนที่กำลังวิ่งตากฝน บ้างก็แวะอาศัยชายคาบ้านคนอื่นหลบฝน ใต้ชายคาบ้านฉันพอมีที่เล็ก ๆ สำ หรับบางคน พวกเขาตากฝนมาเปียกปอน ไปทั้งตัวและอยู่ในอาการตัวสั่น เพราะนํ้าฝนและอากาศที่หนาวเย็น เสียงฝนตกและเสียงฟ้าร้องเริ่มเบาลงแต่เสียงกบยังคงร้องดังอยู่เรื่อยๆ “ไปนอนได้แล้ว” แม่เดินมาสะกิดฉันที่กำ ลังนั่งพิงฝาข้างประตูบ้าน ที่จริง แม่ไม่อยากมาขัดจังหวะฉัน ขณะที่ฉันกำ ลังอยู่ในภวังค์แห่งความสุขที่ได้รับ การส่งมอบจากธรรมชาติทว่าดูเหมือนท่านเป็นห่วงฉันมากกว่า“ยังไม่ง่วงค่ะ” ฉันตอบแบบไม่ได้สนใจแม่นัก ฉันสนใจฝนที่ตกอยู่ตรงหน้าประตูมากกว่า แม่ค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ ฉัน แม่ทอดสายตามองแสงไฟ และสายฝน ที่ต่อแถวกันเป็นสายหล่นลงสู่พื้นดิน ฉันและแม่ต่างนั่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง “คิดถึงยายไหม” แม่เริ่มมาคุย กับฉันอีกครั้ง “ก็เกือบทุกคืนค่ะแม่”ฉันตอบแม่อย่างหงอยๆแม่มองมาที่ฉัน


38 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ เหมือนอยากรู้ความรู้สึกของฉันตอนนี้“เป็นยังไงบ้างที่โรงเรียน” ฉันคิดว่าแม่ อยากรู้ว่าฉันเรียนได้ไหม “ก็พอจะเรียนได้บ้างค่ะ” ฉันตอบแม่อย่างไม่เต็มใจ ตอบสักเท่าไหร่ บางครั้งฉันก็ต้องฝืนความรู้สึกตัวเองตอบเพื่อให้แม่สบายใจ ในบางคำ ถาม ฉันค่อย ๆ โน้มตัวลงนอนหนุนตัก แม่ลูบหัวฉันเบา ๆ “แล้วเพื่อน ๆ ล่ะ” เหมือนแม่อยากรู้ว่าฉันมีปัญหากับเพื่อนหรือเปล่า “เพื่อนก็ไม่มีปัญหาค่ะ แม่” ฉันฝืนตอบอีกครั้ง บนถนนผู้คนยังคงเดินไปมาพร้อมกับแสงไฟฉายที่ส่องนำ ทางพวกเขา แสงจากไฟฉายคาดหัวส่องขึ้นลงเป็นเส้น ๆ ตามแนวทางเดิน ราวกับจะมี งานสังสรรค์ในคืนนี้แท้ที่จริงคือวิถีชีวิตของชาวบ้านที่จะมาหาอาหารเลี้ยงชีพ ตนและครอบครัว นั่นคือการนัดรวมพลของเหล่ามือจับกบและอึ่ง ที่จะมาพิชิต ความอยู่รอดในคืนนี้ “แม่คะ พรุ่งนี้.....” ฉันกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง พร้อมกับเงยหน้า มองแม่ “เรามีพิธีผูกข้อมือ” แม่พูดแล้วหันไปมองถาดที่ใส่ของมากมาย วางอยู่บนโต๊ะข้างหน้าต่างทางด้านขวามือฉัน “หนูต้องร่วมด้วยไหมคะ” ที่จริง ฉันเห็นถาดนั้นก็พอจะเดาออกว่าจะมีงานอะไรแน่ๆแต่ยังไม่แน่ใจว่าคืองานอะไร อาจเป็นเพราะฉันไม่ค่อยอยู่บ้าน จึงไม่ค่อยเข้าใจประเพณีวัฒนธรรมของตนเอง “ต้องสิ”แม่เอ่ยหนักแน่น “มันเป็นประเพณีของชาวกะเหรี่ยงอย่างเรา”ฉันมอง หน้าแม่ สีหน้าดูเหนื่อย ๆ ไม่ค่อยสดชื่น แม่ต้องพูดอะไรมากกว่านี้สิมันคือ ความรู้สึกของฉันตอนนั้น “พิธีผูกข้อมือเราจะจัดขึ้นในหมู่บ้านเป็นงานประจำ ปี” แม่สาธยายให้ฉันฟังเพิ่ม หรือสิ่งที่แม่พูดแค่อยากปลูกฝังให้ฉันรักประเพณี วัฒนธรรมของตนเอง“ไปเรียนก็นานแล้วพอรู้หรือยัง โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร” “ครูมั้ง” ฉันก็ตอบแม่เหมือนที่ตอบครูในวิชาแนะแนว “ดีเหมือนกัน” แม่เอ่ยเบา ๆ “ทำ ไมถึงอยากเป็นครูล่ะ” แม่ถามฉัน เหมือนแปลกใจ หรือไม่ท่านอาจจะอยากรู้จริง ๆ “อาชีพครูเป็นอาชีพที่น่ายกย่อง หนูอยากให้ความรู้เด็กที่ด้อยโอกาส”


อยู่ในนิทรา : วานุ 39 แม่ยิ้มแก้มแทบปรินี่เป็นครั้งแรกที่แม่ยิ้มได้ขนาดนี้ หรือว่าคำตอบ ของฉันมันน่าตลก ฉันแอบยิ้มเล็ก ๆ เพื่อให้แม่รู้ว่าฉันพอใจในรอยยิ้มของท่าน “อยากไปหายายไหม เดี๋ยวแม่พาไป” แม่เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วจนฉันเกือบ ตามไม่ทัน แต่ฉันก็รีบพยักหน้า “ไปค่ะ” แม่อมยิ้ม “แม่ลืมไป ลูกไม่ได้กินผักทอดฝีมือยายนานแล้ว ไปอยู่ โรงเรียนประจำตั้งหลายปีอยู่ในกฎในระเบียบมากมายคงอึดอัดน่าดูจะทำ อะไรก็ต้องอยู่ในความดูแลของครูทั้งหมดแม้แต่อาหารการกินยังเลือกกินไม่ได้” แม่พูดเหมือนรู้ดีทั้งๆ ที่ยังไม่เคยไปโรงเรียนฉัน และที่สำคัญแม่ไม่เคยได้เรียน หนังสือเหมือนฉัน ทว่าบางครั้งก็อดสงสารไม่ได้แม่มักจะเอาตัวเองมาเป็น บทเรียนให้ลูกๆเสมอการไม่ได้เรียนหนังสือจะทำ ให้มีชีวิตที่ลำ บากแม่จึงส่งลูกๆ เรียนหนังสือครบทุกคน แม่ยินดีที่จะลำ บากเพื่อให้ลูก ๆ มีชีวิตที่ดีในอนาคต ถ้าพ่อยังอยู่แม่คงไม่ต้องทำ งานหนักขนาดนี้ หากดูเวลาตอนนี้คงดึกมากแล้ว ฉันอยากกลับไปเข้านอนแล้ว แต่อีก ใจหนึ่งก็มีความสุขดีและอยากเก็บความรู้สึกดีๆ ช่วงเวลาดีๆ เช่นนี้ไว้นาน ๆ “แม่ง่วงหรือยังคะ” ฉันถามดูเพื่อความแน่ใจ ถ้าฉันไปนอนก่อน บางทีมันอาจ เป็นการปล่อยให้แม่นั่งอยู่คนเดียว ในขณะที่ยังอยากพูดคุยกับฉันอยู่ก็เป็นได้ “คงอีกสักพัก” แม่ตอบ “ลูกอยากไปหายายเมื่อไหร่ล่ะ แม่จะได้พาไป ลูกอาจ จำ ทางไปบ้านยายไม่ได้” แม่พูดเหมือนฉันยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไร แต่นัยสำคัญในคำ พูดคือ แม่เป็นห่วงฉันเท่านั้นเอง “วันหยุดเสาร์-อาทิตย์นี้ ก็ได้ค่ะแม่”ฉันมองหน้าแม่ บางครั้งฉันก็แอบคิดว่าถ้าได้อยู่ใกล้แม่แบบนี้ทุกวัน ได้ก็จะดีจะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน ไม่ต้องฟังครูบ่น และที่น่าเบื่อที่สุดคือ ผู้รู้ที่รู้ ทุกเรื่องของคนอื่นแต่ไม่เคยรู้เรื่องตัวเอง ผู้ตื่น ที่สอดรู้สอดเห็นเสมือน สำ นักข่าวไทยผู้เบิกบาน ที่รอเหยียบยํ่าผู้อื่นที่ทำผิดพลาดยิ่งคิดยิ่งสุขภาพจิตเสีย แม่นิ่งเงียบนานฉันเงยหน้ามองแม่ ในขณะที่ฉันหนุนตักอยู่แม่มองไปที่นาฬิกา เรือนเก่าที่แขวนไว้ข้างฝาบ้านใกล้ๆรูปของท่านและพ่อขณะนาฬิกากำลังสะบัด


40 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ เข็มเวียนขวาไปเรื่อยๆสายตาท่านไม่ได้ดูที่ตัวเรือนแต่ท่านจ้องเข็มนาฬิกาเหมือน รำลึกความหลังอะไรบางอย่าง บางทีแม่อาจจะอยากหยุดเวลาไว้ไม่อยากให้เวลา ผ่านไปรวดเร็วเพราะอาจจะอยากอยู่กับฉันนาน ๆก็ได้“ลูกจะกลับหอวันไหน” แม่หันกลับมาหาฉันก่อนที่ฉันจะตอบท่านว่า “คงเปิดเทอมเลยค่ะ” “ไม่ได้มีปัญหาอะไรที่โรงเรียนใช่ไหม”แม่จ้องหน้าเขม็งมาที่ฉันอีกครั้ง ฉันไม่คิดว่าท่านจะถามคำถามนี้แม่คงอยากรู้จริงๆเพราะเป็นคนเลี้ยงดูฉันมา ตั้งแต่เล็ก ๆ น่าจะรู้ใจฉันดีที่สุดแล้ว จึงจับโกหกฉันได้ตลอด “ปัญหาเพียงเล็กน้อยค่ะ” ฉันตอบเพียงเท่านี้ นั่นคือคำ โกหกที่ฉัน ได้ลั่นมันออกมาเป็นครั้งที่สอง ทว่าดูสีหน้าแม่ไม่ค่อยเชื่อฉัน แม่หยิบปิ่นโตข้าวขึ้นมาดู “แม่คิดจะไปเยี่ยมลูกอยู่เหมือนกัน อยากทำกับข้าวใส่ปิ่นโตไปให้แต่ก็อย่างที่รู้แหละว่าอยู่ที่นี่เดินทางไม่สะดวก” ฉันทอดสายตาเห็นดวงตาคู่นั้นของท่าน ฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นดีแม้ถนนหนทาง ทุกสายพร้อมให้บริการผู้คนสัญจรไปถึงจุดหมายปลายทางในทุกหนทุกแห่ง แต่ช่างน่าเสียดาย เส้นทางเหล่านั้นไม่ได้สร้างไว้ให้พวกเราบุคคลไร้สัญชาติ ขาดสิทธิ์ติดมลทิน หลายคนต่างขนานนามเราเช่นนี้พวกเราไม่มีบัตรประชาชนไทย ที่จะเป็นใบผ่านทางเพื่อจะออกไปจากพื้นที่แห่งนี้ได้ฉันเข้าใจดีที่จริงฉันก็อยาก ถามท่านเหมือนกันว่า แม่เป็นอย่างไรบ้างในระหว่างฉันไม่ได้อยู่ ทว่าดูแม่ น่าจะตอบว่า สบายดีเหมือนเช่นเคย หรือบางทีอาจไม่อยากบอกความจริง เหมือนกับฉันในตอนนี้ก็เป็นได้ถ้าถามว่าอะไรคือความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกัน ระหว่างครอบครัวฉันอยากบอกว่า นี่คือการโกหกที่บริสุทธิ์ใจฉันคงไม่กล้าบอก ท่านว่า ฉันได้ผิดใจกับเพื่อนมาหลายคนและยังมีปัญหากับครูด้วย คิดมาแล้ว มันช่างน่าละอายแก่ใจกับคำ พูดที่เคยพรั่งพรูออกจากปากฉันขณะมีปัญหา กับเพื่อนและครู เป็นการทำลายทั้งตัวฉันเอง คนรอบข้าง รวมถึงครอบครัว ที่ฉันรักด้วย เพื่อนอีกหลายคนรวมถึงครูอีกหลายท่านคงตัดสินตัวฉันจาก พฤติกรรมในครั้งนั้น แต่ฉันก็ไม่ได้โกรธอะไรเพราะฉันก็มีส่วนทำตัวเองเหมือนกัน แม่คงไม่ได้อยากรับรู้เรื่องราวเหล่านี้


อยู่ในนิทรา : วานุ 41 หลังจากวันที่ฉันทะเลาะกับเพื่อน รู้สึกเหมือนเสียเพื่อนไปหลายคน เหมือนชีวิตขาดอะไรบางอย่างไป ทำ ให้ฉันกลับมาทบทวนตัวเองใหม่และ เตือนตัวเองเสมอว่า คำ พูดมีอิทธิพลสำ หรับผู้ฟังมาก ฉันเชื่อว่าธรรมชาติสร้าง ปากมาเพียงปากเดียวเพื่อใช้พูด และสร้างหูมาตั้งสองข้างเพื่อรับฟัง แสดงให้ เห็นเป็นนัย ๆ ว่าเราควรฟังให้มากกว่าพูด คิด ๆ แล้วฉันก็อดนึกย้อนกลับไป เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้กานดาผู้รู้ เธอรู้เรื่องทุกคนในโรงเรียน มักนินทา คนอื่นเป็นกิจวัตร แม้ว่าเธอยังไม่รู้แน่ว่าเรื่องที่ได้ยินมาเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง แต่เธอก็สนุกสนานที่จะพูดต่อให้ผู้อื่นฟังไปเรื่อย เธอมักเปรียบเทียบฐานะ ทางบ้านกับฉันอยู่บ่อยๆคุยโวโอ้อวดยกตนข่มท่านเสมอสิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคือ เธอไปบอกครูว่าฉันมีผู้อุปถัมภ์เป็นผู้ชายแก่คราวพ่อเพราะเห็นเขานำ เงินมาให้ ทุกสิ้นเดือน เธอคิดตัดสินฉันไปเองโดยไม่ได้ถามฉันก่อน จนเป็นเหตุให้ฉันต้อง โดนครูสอบสวนราว ๓ ชั่วโมง ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ฉันเสียใจมากกับเรื่อง ที่เกิดขึ้น และฉันขี้เกียจอธิบายว่าผู้ชายคนนั้นคือ นายจ้างที่ฉันรับจ้างพับกระดาษ เป็นซองใส่ขนม เพื่อแลกกับค่าแรงมาเรียนหนังสือ ฉันอยู่ในสถานการณ์ที่ถูก บีบบังคับ ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้จึงปะทุอารมณ์ใส่ครูที่กดดันฉันให้ยอมรับว่า ฉันเป็นผู้หญิงอย่างว่า ความโกรธ โมโห โทสะเข้าครอบงำ ตัวฉัน อย่างเต็มรูปแบบ ดวงตาของฉันพร่ามัวมองอะไรไม่เห็นเลย มันเป็นสีขาว ทั้งหมดนาทีนั้น ฉันอาละวาด ตะโกน ด่าทอด้วยถ้อยคำ หยาบคาย และทำลาย ข้าวของในห้องปกครอง แก้วนํ้าแตก ๓ ใบเห็นจะได้ฉันยอมรับว่า ตอนนั้น ฉันไม่มีสติแล้ว ต่อมาฉันได้ย้ายกลุ่มไปเล่นกับลูกสาวแม่ค้าขายข้าวแกงในโรงเรียน ชีวิตฉันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพียบพร้อมไปด้วยความสะดวกสบายในแต่ละ กิจวัตร หิวเมื่อไหร่ก็เดินไปโรงอาหาร ไม่ต้องต่อแถวยาว ๆ เป็นหลายกิโล ให้เสียเวลา พวกเราจะได้กินก่อนใครเขา เพราะแม่ของมาลีจะลัดคิวให้เสมอ ดูเหมือนว่าฉันจะเคยชินกับระบบเส้นสายระบบอุปถัมภ์เช่นนี้มันทำ ให้ชีวิตฉัน สบายขึ้นมาก มาลีเป็นคนตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเธอคิดวางแผนเป็นระบบก่อนทำ


42 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ อะไรเสมอและเธอทำ งานอย่างมีกระบวนการเวลาเธอจะพาฉันออกไปซื้อของ ข้างนอกโรงเรียนมาทำ รายงาน เธอมักจะยกหูโทรศัพท์โทรหาลุงของเธอที่เป็น ตำรวจโดยแกล้งทำ ทีถามว่าวันนี้ตั้งด่านที่ไหน แม่จะเอาข้าวไปส่งให้แต่แท้ที่จริง เธอไม่อยากใส่หมวกกันน็อกเพราะกลัวผมที่รีดมาเสียทรง เรามักจะทะเลาะ กันบ่อย ๆ ก็เพราะเรื่องผมของเธอนี่แหละ ไม่ว่าจะไปทานข้าวที่โรงอาหาร ไปห้างร้านขายของคนเยอะๆเธอก็มักจะหยิบหวีคู่ใจขึ้นมาหวีผมสยายให้เป็น ที่จับจ้องของสายตาผู้คน ฉันเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเตือนเธอแต่เธอก็ไม่เคยฟังฉัน จนมาถึงจุดแตกหัก คือชั่วโมงเรียนวิทยาศาสตร์ เมื่อจะนำ เสนอโครงงาน เธอมักจะแกล้งไม่สบาย และขอตัวไปนอนห้องพยาบาล ปล่อยให้ฉันดำ นํ้า ลุยป่าในการนำ เสนองานคนเดียวมาโดยตลอด บางทีฉันก็คิดว่าทำคนเดียวก็ดี จะได้เก่งๆแต่บางครั้งฉันก็ต้องการความช่วยเหลือและคำ ปรึกษาจากใครสักคน ซึ่งมาลีไม่เคยมีให้ฉันเลย ฉันจึงตัดสินใจลดสถานะจากเพื่อนสนิทเป็นแค่ เพื่อนร่วมห้องกับมาลี เพื่อนสนิทคนล่าสุดหลังจากฉันย้ายกลุ่มเป็นครั้งที่สาม ศักดิ์ศรีเขามี ความเป็นสุภาพบุรุษมากในสายตาฉัน ที่สำคัญเรามาจากอำ เภอเดียวกัน ซึ่งเมื่อถึง วันหยุดยาว เราจะกลับรถโดยสารประจำ ทางด้วยกัน เขามักสอนกลโกง ให้ฉันอยู่บ่อยครั้ง เวลานั่งรถโดยสารประจำ ทางเมื่อเห็นคนชราหรือเด็ก ขึ้นมาด้วยถ้าไม่อยากสละที่นั่งให้เขาเราต้องรีบแกล้งหลับ ฉันทึ่งในความคิดนี้มาก เขาฉลาดมากฉันก็เคยเอ่ยชมเขา เวลาเจอครูนอกโรงเรียนให้ทำ เป็นมองไม่เห็น จะได้ไม่ต้องยกมือไหว้แต่เมื่ออยู่ในโรงเรียนเราต้องรู้จักเอาใจผู้ใหญ่ ตามใจครู ประจบประแจงบ้างเพื่อการเอาตัวรอดในโรงเรียน หรือที่เรียกว่า “อยู่เป็น” ฉันได้ความรู้ใหม่ๆ มากมายมาจากเพื่อนต่างเพศที่ฉันได้รู้จักศักดิ์ศรี เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ จะเป็นคนพูดน้อย พูดจาดีมีมารยาท แต่พออยู่กับเพื่อน เขาจะเป็นคนพูดจาหยาบคาย เขาให้เหตุผลว่า พูดแบบนี้แหละถึงจะดูสนิทกัน เขาปรับอารมณ์เก่งเหมือนเป็นคนมี๒ บุคลิกฉันชื่นชมเขามากๆ ทำ ได้อย่างไร


Click to View FlipBook Version