อยู่ในนิทรา : วานุ 43 เขามีความสามารถพิเศษด้านศิลปะ เขามักชวนฉันไปวาดภาพเล่น ทำ เป็น จิตรกรรมฝาผนังห้องเรียนบ้าง หลังห้องนํ้าบ้าง ซึ่งถ้าครูจับได้ฉันคิดว่าต้องมี การทำ โทษเกิดขึ้นแน่ๆแต่ฉันก็ไม่เคยไปกับเขาเลยสักครั้งและเขาเริ่มชักชวน ฉันไปในหนทางที่ไม่สว่าง เป็นอันว่าฉันมีสติพอที่จะปฏิเสธและเลิกคบค้าสมาคม กับคนเช่นนี้ท้ายที่สุด เขาก็ถูกครูฝ่ายปกครองจับได้เรื่องอบายมุขที่เขามีส่วน พัวพัน จึงถูกสั่งพักการเรียน ปัญหามากมายที่เกิดขึ้นกับฉันที่ฉันไม่กล้าแบ่งปันมันออกไป ให้คนในครอบครัวมารับความรู้สึกที่ไม่ดีเช่นฉันตอนนี้ฉันขอเก็บมันไว้ภายในใจ ดวงน้อย ๆ ของฉันเพียงคนเดียว “เดี๋ยวนี้เงียบไปแล้วนะ ควบคุมอารมณ์ได้ดีนะ” แม่เอ่ยชม ฉันมีความสุข รู้สึกได้ถึงความจริงใจที่ฉันไม่เคยได้รับจากใครคนอื่น “รอแม่อยู่นี่นะ”แม่พูดพลางสะกิดฉันให้ลุกจากตักท่าน ฉันลุกขึ้นนั่ง ท่านเดินไปยกถาดที่เต็มไปด้วยของมากมายมานั่งข้าง ๆ “นี่อะไรกันคะ” ฉันสงสัยว่าแม่กำลังจะทำอะไร “กี้จือลาขุ ลูกเพิ่งกลับมาวันแรก เดี๋ยวแม่ผูกข้อมือเรียกขวัญให้” แม่จัดกระบวนท่านั่งพับเพียบวางมือซ้ายบนหน้าขา มือขวาสำ รวจของในถาด ที่วางอยู่ตรงหน้าท่าน “มีอะไรบ้างคะ เยอะไปหมดเลย” ฉันถามที่ไปที่มาของแต่ละอย่าง ที่แม่เตรียมมา “เริ่มจากถาดไม้นี้มีไว้เพื่อสอนให้ลูกหลานเชื่อฟังพ่อแม่บรรพบุรุษ ในถาดประกอบด้วยไม้พายข้าวคือสิ่งที่ใช้เคาะเรียกขวัญ ด้ายสีขาวด้ายสีแดง คือสีประจำ กลุ่มชาติพันธุ์ แสดงถึงความรักใคร่ปรองดอง ข้าวสุก คือ ความสามัคคีข้าวต้มมัด คือความร่วมมือ นํ้า คือความร่มเย็น กล้วย คือ ความเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อ้อย คือสัมพันธไมตรีอันดีและ ดอกไม้คือความเจริญเติบโต”
44 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ แม่อธิบายจนครบทุกอย่าง แล้วให้ฉันนั่งตรงข้าม ฉันนั่งพับเพียบ เรียบร้อยทอดสายตาลงมองของที่อยู่ในถาดไม่ได้มองหน้าแม่ “ยื่นมือมาลูก” ฉันยื่นมือให้แม่ ท่านเคาะไม้พายที่ถาดไม้พร้อมกับสวดภาวนาเรียกขวัญ เป็นภาษากะเหรี่ยงจากนั้นแม่ก็เลือกของในถาดประมาณ ๕ อย่างวางในมือฉัน แล้วนำด้ายขาวและแดงผูกข้อมือฉัน ๓ รอบ พร้อมพูดเรียกขวัญ ให้กลับมาอยู่ กับตัว และอวยพรให้ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย ภยันตรายทั้งปวง พบแต่สิ่งที่ดี อยู่เย็นเป็นสุข ฉันที่นั่งพับเพียบอยู่ ทอดมือทั้งสองข้างลงพร้อมกัน แขนทั้งสองคร่อมเข่าที่อยู่ด้านล่างเพียงเข่าเดียว มือประนมตั้งกับพื้นไม่แบมือ ก่อนจะค่อย ๆ ค้อมตัวให้สันจมูกแตะนิ้วแม่มือ ฉันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ทุกครั้งที่กลับมาบ้าน ฉันจับมือแม่ที่สากพอๆกับจับกระดาษทราย นั่นสามารถเล่าเรื่องราว ความทุกข์ยากของผู้หญิงคนหนึ่งว่าต้องทำ งานหนักแค่ไหน แม่ดึงมือออกจาก มือฉัน “บ้านเราหัวปลีเยอะแม่จะทำกะบองโจ้ให้ทานนะพรุ่งนี้” แม่ต้องรีบ หาเรื่องคุย “ว้าว! หัวปลีทอดที่รัก” แน่นอนมันคือ อาหารที่แม่และฉันชอบ เราสองคนแม่ลูกส่งยิ้มให้กัน เหมือนเข้าใจความรู้สึกซึ่งกันและกันโดยไม่ต้องพูด แม่เลี้ยงฉันมาย่อมปรารถนาให้ฉันเป็นคนดีและสามารถเอาตัวรอดในสังคมได้ แม่สอนฉันเสมอว่า ถึงจะจนต้องจนอย่างมีเกียรติถ้าเราไม่อยากให้คนอื่นมา เอาเปรียบ เราก็อย่าไปเอาเปรียบคนอื่นเช่นกัน และที่สำ คัญจงนำ เอา ความผิดพลาดในชีวิตมาเป็นบทเรียนในการใช้ชีวิต เมื่อฉันมาทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตตัวเองกับความคาดหวัง ของแม่ฉันไม่มั่นใจในตัวเองว่าจะเป็นคนดีอย่างที่แม่พรํ่าสอนฉันเสมอหรือเปล่า แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันพึงกระทำต่อไปหลังจากนี้คือ มีสติและนึกถึงหน้าแม่ ก่อนที่จะ คิดและตัดสินใจทำ อะไร ฉันมีโอกาสดีแค่ไหนที่เป็นเพียงเด็กหญิงต่างด้าว คนหนึ่งแต่มีโอกาสเข้ามาเรียนได้ในระดับนี้ขณะที่แม่ผู้ส่งเสียฉันไม่มีแม้โอกาส ที่จะมานั่งฟังครูสอน
อยู่ในนิทรา : วานุ 45 “กะบองโจ้เสร็จแล้วนะตื่นมาอาบนํ้าเช้านี้เราต้องไปวัด”เสียงผู้หญิง คนหนึ่งสะกิดร่างของฉันที่หลับให้ตื่นมารับวันใหม่ ฉันลุกจากที่นอนพับผ้าห่ม เรียบร้อย ทำกิจวัตรยามเช้าเสร็จสิ้น ฉันเดินออกมาจากห้องนอน มาตามเสียง ที่เรียกฉันตั้งแต่ต้น “พี่เตรียมของครบหมดแล้ว เราไปวัดกันเถอะ” พี่สาว ชวนฉันไปวัดด้วยกัน “วันนี้มีงานผูกข้อมือของชาวกะเหรี่ยงเรา พี่ทำกะบองโจ้ ไปด้วย แม่กับพ่อชอบทาน และก็ไปทำ บุญวันคล้ายวันเกิดน้องด้วยนะ” พี่สาว นำ เสนออาหารที่ตัวเองทำ และยังคงจำวันเกิดของฉันไม่เคยลืม “ดีเลยน้องว่าพ่อแม่ต้องชอบมากแน่ๆ”ฉันและพี่สาวช่วยกันยกถาดไม้ ที่เต็มไปด้วยของมากมายไปที่วัด ก่อนจะนำ อาหารที่ได้เตรียมไว้ไปยังโกศ พ่อและแม่
เคารพเขา : ญดาวรรณ พืชพิสุทธิ์ 47 เคารพเขา รางวัลชนะเลิศ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ญดาวรรณ พืชพิสุทธิ์ ฉันเดินเล่นเข้ามาในป่าแห่งนี้เป็นประจำ ไม่ใช่แค่การสำ รวจแต่เพื่อ ปลีกวิเวกออกมาจากป่าคอนกรีต หุบเขาขยะและหมอกควัน ฉันต้องการเพียง สักเสี้ยววินาทีหนึ่งที่ได้หลบลี้จากสิ่งเหล่านั้นเข้ามาสัมผัสกับโลกสีเขียวที่มีแต่ จะน้อยลงทุกวัน ๆ วันนี้เป็นอีกวันที่ฉันเลือกนั่งลงบนขอนไม้ที่โค่นล้มลงมา ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ และเปิดโทรศัพท์ขึ้นเพื่อทำ สิ่งที่ยึดถือเป็นหน้าที่ ในทุกๆวัน นอกเหนือจากงานประจำ ที่ต้องปฏิบัติไม่ต่างจากหุ่นยนต์การเข้าไป เป็นเสียงเล็ก ๆ ของโลกโซเชียลทั้งใบที่มีโครงข่ายโยงใยไปทั่วไม่รู้จบสิ้น อาศัย แอปพลิเคชัน ที่สามารถส่งเสียงและข้อความเล็ก ๆ เพียงเพื่อจะช่วยปกป้อง โครงข่ายต้นไม้ที่ถูกผ่ากลางผ่านด้วยแผ่นคอนกรีตแห่งนี้ไว้ ป่าซึ่งทุกวันนี้ ถูกทำ ให้ลดจำ นวนลงเป็นแค่ด้านหนึ่งของพื้นทวีป หรือมุมหนึ่งของโลกแทนที่ จะกระจายความเขียวขจีไปทุกซอกมุมบนโลกใบนี้ “ต้นไม้พูดคุย ซื้อ ขาย จนกระทั่งทำ สงครามกันอย่างลับ ๆ อยู่ภายใต้พื้นดิน พวกมันทำอย่างนี้ด้วยระบบเน็ตเวิร์คของฟังไจที่โตอยู่รอบ ๆ และอาศัยอยู่ในรากของมัน พวกฟังไจให้สารอาหารกับต้นไม้และพวกมันก็ได้ รับนํ้าตาลกลับมา” ฉันทวิตข้อความแรกในสวนนี้ลงไปด้วยแอคเคาท์ ที่ชื่อว่า GreenProtecter ผ่านโทรศัพท์ในมือถือ “แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่าการติดต่อนี้เป็นมากกว่านั้นโดยการเชื่อมต่อ เครือข่ายของฟังไจแบบนี้เรียกว่า THE WOOD WIDE WEB มันถูกพบว่า
48 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ต้นไม้ใหญ่หรือต้นแม่ใช้ระบบนี้เพื่อส่งสารอาหารให้กับต้นไม้เล็ก ๆ หรือลูก ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสการอยู่รอด” ฉันรีบแบ่งปันข้อมูลอันน่าสนใจนี้ลงไปต่อจาก ทวิตแรก “ต้นไม้บางส่วนที่ป่วยและกำ ลังจะตายทิ้งสารอาหารของตนเอง ลงเครือข่าย ซึ่งช่วยให้ต้นไม้รอบ ๆ แข็งแรงขึ้น พืชเล็ก ๆ ก็ใช้ระบบนี้ส่งข่าว ให้ต้นอื่น ๆ เมื่อถูกจู่โจมด้วยแมลง พวกมันจะปล่อยสารเคมีผ่านราก เพื่อเตือนต้นอื่น ๆ ให้เพิ่มการป้องกัน” ฉันอดที่จะชำ เลืองตามองลงพื้นด้วย ความตื่นตาตื่นใจว่า มีการติดต่อที่สลับซับซ้อนซ่อนอยู่ในใต้ดินที่เหยียบยํ่าอยู่ ในขณะนี้ “แต่เหมือนระบบอินเทอร์เน็ตของเรามันก็มีด้านมืดเช่นกัน กล้วยไม้ บางชนิดแฮกระบบเพื่อแย่งสารอาหารจากต้นไม้ใกล้ๆ หรือพันธุ์ไม้อื่น ๆ อย่างThe black walnut tree ที่สามารถกระจายสารพิษผ่านระบบเพื่อทำลาย ศัตรูในการดูดซึมอาหารของมัน” น่าแปลกเมื่ออ่านข้อความนี้จบ ฉันแอบ หวังอยู่ลึก ๆ ว่าจะมีคนเข้าใจในข้อมูลที่ฉันแปลออกมา และเกิดความรู้สึก เหมือนที่ฉันกำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้ “อาชญากรรมทางไซเบอร์ของต้นไม้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันของ นักวิทยาศาสตร์การติดต่อที่ถูกซ่อนอยู่สร้างการสื่อสารระหว่างกัน เมื่อพวกคุณ เข้าป่าในครั้งนี้อาจจะคิดว่าต้นไม้เป็นระบบที่ยิ่งใหญ่กำลังคุยและแลกเปลี่ยน อาหารใต้เท้าของคุณ” ฉันกดนิ้วบนปุ่มกดและไล่สายตาไปตามตัวอักษร เพื่อแปลวรรคสุดท้ายของข้อมูลที่หามาได้ในวันนี้ “อ้างอิงจาก: https://youtu.be/yWOqeyPIVRo” ฉันไม่ลืมที่จะ ปิดท้ายจบของข้อมูลด้วยการทิ้งแหล่งอ้างอิงเป็นวิดีโอ เพื่อให้มันกระตุ้น ความสนใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับผู้อ่าน ฉันไม่ได้สนใจว่าจะมีผู้ติดตามหลักแสน
เคารพเขา : ญดาวรรณ พืชพิสุทธิ์ 49 หรือหลักหมื่น ไม่ต้องการสร้างตัวตนจำลองบนโลกออนไลน์ฉันแค่ต้องการ สร้างพื้นที่ให้กับโลกสีเขียวแห่งนี้และแนะนำ ให้คนทั้งโลกรู้จักว่าต้นไม้เหล่านี้ มีคุณต่อเราแค่ไหน และพวกเขาใช้ชีวิตอย่างไร ฉันเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า หยิบกล้องออกมาคล้องคอและลุกจาก ขอนไม้เดินเข้าไปเรื่อย ๆ เหมือนที่เธอทำ มาทุกอาทิตย์ ท่ามกลางเสียงต้นไม้ ไหวไปมาตามลม พลางให้คิดถึงการสื่อสารใต้พื้นดินที่กำลังดำ เนินไปด้วย ถึงฉันจะบอกว่าที่นี่คือป่า หากแต่ในความจริงสถานที่แห่งนี้เป็นเพียง พื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรที่มีผืนดินให้ต้นไม้อาศัยเจริญเติบโตในพื้นที่เล็กๆ ท่ามกลาง ผู้คนมากมายเพราะเพียงแค่เดินเลยอีกฝั่งหนึ่งของเนินดินเตี้ยๆ ที่เธอยืนอยู่นี้ไป ก็จะพบกับถนนและชุมชนที่เต็มไปด้วยสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น และเพียงแค่ก้มมองลงจากจุดที่ฉันยืนอยู่ ก็สามารถมองเห็นกองขยะและ นํ้าเน่าเสียที่ส่งกลิ่นลอยตามลมกระทบจมูกเป็นระยะ ๆ หรือถ้าจะย้ายสายตา อยู่ขึ้นไปอีกสักหน่อยเหนือหลังคา ยอดตึก และพื้นถนนก็จะมองเห็นไอร้อน กับม่านหมอกสีเทาขมุกขมัว ท้องฟ้าที่ใครเคยบอกว่าเป็นสีฟ้ายังคงเป็น ที่ถกเถียงของใครหลายคนว่าสีฟ้าและสีเทาแท้จริงสีใดคือสีของท้องฟ้ากันแน่ โชคยังเข้าข้างอยู่บ้างที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสเห็นภาพท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าจริง ๆ ฉันเดินเรื่อยมาถึงจุดชมวิวที่ดีที่สุดของเมือง รอชมพระอาทิตย์ตกอันเป็น สัญญาณของการเริ่มต้นช่วงเวลาที่แสนเหน็บหนาวของรัตติกาลเท่านั้น ในขณะที่กวาดสายตาไปรอบบริเวณ ฉันรู้สึกได้ถึงลมพัดผ่านไปมา บนยอดเขา แอบคิดเล่น ๆ ไม่ได้ว่า คุณต้นไม้คงกำลังจะคุยกันอยู่ ฉันตัดสินใจ วางเป้ที่แบกมาและลงนอนพร้อมเอาหูแนบกับผืนหญ้าใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ราก ทอดยาวออกมาอย่างเห็นได้ชัด มองด้วยตาคาดคะเนได้ว่า ต้นไม้ต้นนี้คงมีอายุ นับพันปี
50 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ “ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย” ฉันถอนหายใจพลิกตัวลงนอนหงาย ทอดสายตาไปไกล จนหนังตาเริ่มหย่อนลงทุกทีๆ จนเกือบจะผล็อยหลับไป ความรู้สึกบางอย่างกระตุ้นให้รู้สึกได้ว่าลมที่กำลังพัดอยู่ในขณะนี้มีบางอย่าง ที่แตกต่างและชวนให้สงสัยฉันเริ่มแน่ใจถึงความผิดปกติเมื่อพื้นราบที่แผ่นหลัง ฉันสัมผัสอยู่เริ่มมีความเคลื่อนไหว ฉันลุกขึ้นและมองไปรอบ ๆ บริเวณ “ฟิ้วววววววววว” เสียงลมแรง ๆ พัดมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จากจุดที่ฉันยืนอยู่ มากระทบกับต้นไม้ใหญ่ที่สร้างร่มเงาให้ฉันได้แอบพักพิง น่าแปลกที่ต้นไม้รอบ ๆ ทั้งหมดเริ่มส่ายไปมาหากันด้วยท่าทีที่ชวนให้สงสัย จนลมพัดแปลกประหลาดกลุ่มนั้นจากไป ฉันได้เริ่มทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา และอดคิดไม่ได้ว่า ทำ ไมลมประหลาดกลุ่มนั้นถึงไม่ได้พัดออกไป ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้แต่กลับถูกส่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และ เมื่อมองออกไปก็เห็นยอดเขียวๆอยู่ไกลสุดสายตาเท่าที่จะเห็น ฉันจึงตัดสินใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ภาพจากจีพีเอสทำ ให้ฉันแน่ใจได้ว่า ยังมีพื้นที่สีเขียว ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่อยู่ห่างออกไป ฉันเริ่มมีความมั่นใจว่า พวกต้นไม้เหล่านั้นติดต่อกัน พวกเขาคุยกัน และกำ ลังจะแสดงตัวตนให้พวกเราเห็น ฉันสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ และ เผลอคิดไม่ได้ว่าหรือฉันอาจจะตื่นตูมเกินไป ฉันตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ต้นไม้ใหญ่ ต้นหนึ่งและโอบต้นไม้นี้เท่าที่วงแขนของฉันจะยื่นไปถึงแม้ว่าลำต้นทั้งใหญ่และ มีเปลือกไม้ที่สร้างความสากระคายไปทั่วท้องแขน ก็ไม่สามารถขัดขวาง ความอยากรู้อยากเห็นในวันนี้ของฉันไว้ได้ฉันค่อย ๆ เอาหูแนบไปที่ลำต้น “แกร็ก...แกร็ก”เสียงกรอบ ๆของไม้ดังให้ฉันได้ยิน จากนั้นฉันจึงตัดสินใจ ปีนขึ้นไปตามลำต้น เลือกกิ่งที่พอจะรับนํ้าหนักฉันไหวเพื่อสังเกตดูลมที่พัดมา และคราวนี้ฉันไม่พลาดที่จะตั้งกล้องเพื่อบันทึกวิดีโอไว้ ไม่ต้องรอนาน
เคารพเขา : ญดาวรรณ พืชพิสุทธิ์ 51 อย่างที่คิดแค่เพียงไม่ถึงห้านาทีลมในลักษณะเดียวกันที่ทำ ให้ฉันเดินทางมาถึง ที่นี่ก็พัดมาอีกครั้ง ฉันสัมผัสเข้ากับลมนี้เต็ม ๆ ความรู้สึกถึงลมเย็นยะเยือก ชวนให้เจ็บปวด ไม่เพียงแต่ฉันที่รู้สึก ต้นไม้โดยรอบต่างส่ายไปมาจนเกิดเสียง “เปรี้ยง” ลำต้นไผ่กระทบกันอย่างแรง “กรึ๊บ กรึ๊บ”กิ่งไม้ไหวเอนกระทบเสียดเสียงกันจนเกิดเสียงที่น่าขนลุก สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนต้นไม้เช่น นก ต่างแตกตื่นบินออกจากรัง แล้วบินว่อน อยู่บนท้องฟ้า ฉันบันทึกเหตุการณ์นี้ด้วยวิดีโอสั้น ๆ เพียงห้านาทีโดยมีพื้นหลัง ยามพระอาทิตย์เกือบจะตกดิน ภายใต้ภาพที่สวยงามนี้มีใครเห็นคำ เตือนเหมือน ที่ฉันเห็นบ้าง ฉันรีบลงจากต้นไม้พลันสายตาเหลือบไปเห็นมดงานตัวใหญ่ ออกมาเดินแตกตื่นกระจัดกระจายฉันบันทึกภาพเหล่านั้นไว้และกดหยุดวิดีโอ ที่บันทึก พร้อมเก็บของทั้งหมดเพื่อมุ่งกลับบ้านทันที “เราว่าพวกเขากำลังคุยกันอยู่ คุยกันถึงเรื่องที่เราบุกรุกเขา คุยกันถึง เรื่องที่เราตักตวงผลประโยชน์จากเขาโดยไม่คิดตอบแทน คุยว่าพวกเรากำลัง ทำ ให้เขาเดือดร้อน พวกเขาอาจจะต้องการตะโกนบอกเราดัง ๆ ว่า พวกเขา ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทรัพยากรที่ต้องถูกตักตวงผลประโยชน์และเอารัดเอาเปรียบ ไม่รู้จักจบสิ้น” ความคิดของฉันหยุดชะงักลงเมื่อแถบโหลดข้อมูลจาก กล้องวิดีโอลงสู่คอมพิวเตอร์ได้แสดงถึงการสิ้นสุดการถ่ายโอนข้อมูล “สวยมากเลยค่ะ” เป็นการตอบกลับแรกที่ฉันได้รับหลังจาก เผยแพร่ภาพและวิดีโอที่ฉันได้บันทึกไว้ลงในโซเชียล “ที่ไหนคะ บรรยากาศดีมากเลย” ฉันไม่ตอบกลับ เพราะไม่อยากให้ ใครต่อใครเข้าไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผืนป่าเล็ก ๆ แห่งนั้น “อิจฉาจังเลยค่ะ” ฉันขมวดคิ้วใส่ข้อความนี้ด้วยความไม่เข้าใจ
52 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ขณะที่ไล่อ่านข้อความตอบกลับมาอยู่นั้น ฉันพลันสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่อมีลมพัดกระทบเข้ามาแรงจนหน้าต่างของห้องสั่นสะเทือนจนเกิดเสียงดัง “ครึด ครึด” อยู่หลายทีฉันยุติกิจกรรมของวันนี้ทันทีเมื่อความหวาดกลัว เริ่มคืบคลานเข้ามาในใจ ลุกขึ้นขยับหน้าต่างอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่า มันจะ ส าม า รถทนต่อแรงลมในคืนนี้ได้ ข่มต านอนแม้ว่ าจะหวั่นไม่น้อย ว่าการลืมตาตื่นมาในวันพรุ่งนี้โลกที่ฉันอยู่อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้าโครงข่ายมหึมาอันนี้กำลังพยายามติดต่อกันข้ามป่าคอนกรีต เพื่อที่จะแสดงตัวตน และทำ ให้เราเห็นว่า เขาต้องการที่จะมีตัวตนอยู่บนโลก เพราะเขาคือส่วนหนึ่ง ของโลกมาตั้งนานแล้ว เขาคือคนที่รักษาโลกไว้และให้สมดุลกับสิ่งมีชีวิต แสงสาดส่องใส่ใบหน้าของฉันจนทำ ให้ฉันต้องลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ เล็กน้อยและมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องถนนยังคงเหมือนเดิม โทรศัพท์ ยังแจ้งเตือนค่าฝุ่นละอองสูงลิ่ว เจ็ดโมงหลังแต่งตัวเสร็จฉันทำ เมนูเดิม ๆอย่างการต้มไข่ หุงข้าวและ อุ่นแกงจืดที่ต้มไว้เมื่อเย็นวันก่อน เพื่อที่จะกินในมื้อนี้ให้หมดก่อนเริ่มทำกับข้าว อีกครั้งในตอนเย็น ฉันตักข้าวในปริมาณที่รู้ว่าพอจะอยู่ในท้องไปตลอดเช้านี้ เพื่อที่จะไม่เหลือไปเป็นขยะในตอนท้าย หลังจากนั้นก็ล้างจาน ไม่เกินเจ็ดโมงครึ่ง ฉันก็ชงกาแฟดำ ใส่แก้วนํ้าและหลอดสแตนเลสที่ล้างเตรียมไว้และถือจากบ้าน ไม่ต่างกับเพื่อนคู่ใจ กิจวัตรยามเช้าผ่านไปเหมือนทุกวัน ถึงเวลาที่ฉันต้องออกเดินทาง ไปทำ งานภายใต้หน้ากากอนามัยที่ไม่รู้ว่ายังจะสามารถป้องกันได้มากน้อย แค่ไหน ฟุตพาทที่เหยียบยํ่าปรากฏต้นไม้แคระแกร็นที่วันนี้ดูเหมือนจะยํ่ายาก กว่าทุกวันที่ผ่านมาต้นไม้เหล่านี้เฉาลงและดูเหมือนกำลังจะตายแค่เดินมาเพียง สองร้อยเมตร ต้นไม้ที่ฉันจำ ได้ว่ามันอยู่ตรงนี้มาเนิ่นนาน วันนี้กลับแปลกตาไป
เคารพเขา : ญดาวรรณ พืชพิสุทธิ์ 53 ดูเหมือนมันจะใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังดูแข็งแรงจนฟุตพาทเริ่มบิดเบี้ยวจากราก ที่พากันพยายามทะลุออกมา “เฮ้อ” เสียงถอนหายใจจากใครไม่รู้ที่เอือมระอากับทางเท้าที่ไม่เรียบ แต่ไม่ทันสังเกตว่ารากไม้เหล่านั้นกำลังใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ฉันยืนหลบอยู่ตรงต้นไม้ที่คนเดินอ้อมเพราะทางขรุขระต่ออีกสิบนาที เพื่อเฝ้าดูว่ามันจะใหญ่ขึ้นจนสามารถจับตาดูได้อีกไหม แต่น่าแปลกเหมือน มันจะรู้ตัว มันไม่ขยับเลยสักนิด นิ่งสงัดเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ฉันตัด ความคิดแปลกของตัวเองออก และมุ่งหน้าไปขึ้นเอ็มอาร์ทีที่อยู่สูงลิ่วเหนือ พื้นถนน เก้าโมงตรงฉันอยู่ที่โตะทำ ๊ งานโดยสวัสดิภาพแต่ใจกลับไม่เป็นสุขไม่ใช่ เพราะงานวิจัยเกี่ยวกับพืชพันธุ์เป็นร้อย ๆ ชนิด ที่ฉันต้องตามศึกษา บันทึก และรวบรวม หากแต่เป็นอาการเจ็บป่วยของมนุษย์ เพราะมลพิษทางอากาศ ที่กำลังเผยแพร่อยู่จอทีวีมากกว่า “วันนี้มีงานเขียนเราส่งไป สำ นักพิมพ์นำ ไปลงบ้างไหม”ฉันถามลูกทีม “ไม่มีเลย เราเช็คหมดทุกสำ นักพิมพ์แล้วนะ มีแต่ข่าวบันเทิงและ ค่าฝุ่น แต่ไม่มีหัวข้อที่เราส่งไปเลย”ลูกทีมของฉันคนหนึ่งตอบด้วยความผิดหวัง “ลองเขียนกันอีกรอบ แต่คงต้องขึ้นว่า คำ เตือนจากนักชีววิทยา ผลกระทบของการลดลงของป่า และอีกคอลัมน์หนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับ การติดต่อกันของต้นไม้” ฉันเอาคลิปวิดีโอที่อัดมาให้ทุกคนในทีมดูพร้อมกับ เอกสารที่พูดถึงเกี่ยวกับการสื่อสารของต้นไม้ทั้งที่เป็นทฤษฎีและวิจัยทั้งหมด ที่พอจะหาได้ “รีบทำกันเลยดีกว่า” ทุกคนพร้อมใจกันหยิบรายงานทุกชิ้นออกมา ดึงประเด็นสำ คัญ สรุป และเขียนรวบรวมเป็นบทความให้เข้าใจง่ายที่สุด
54 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ พวกเขาใช้เวลากับสิ่งเหล่านี้มานานจนเข้าใจและเชื่อว่า เหล่าเพื่อนสีเขียว ต่างมีชีวิตและกำลังคุยกัน “ครึดดด” แต่วันนี้บทความวิจัยที่พวกเขากำลังทำออกไปคงสายเกิน ที่จะเริ่มเขียนใหม่เป็นครั้งที่สิบเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้เสียงที่พวกเขาได้ยินเพียงแค่ ได้ยินเท่านั้นพวกเขาก็รู้ว่า หมดเวลาของคำ เตือนและข้อความใด ๆ เพราะเมื่อ พวกเขาวางงานทุกอย่างและมองผ่านกระจกบนตึกสำ นักงานก็พบว่า ต้นไม้ ต้นมหึมาต้นหนึ่งที่ไม่เคยมีใครเห็นอยู่ตรงทางเท้าหน้าสำ นักงานกำลังขยายใหญ่ อย่างเห็นได้ชัด เสียงของรากต้นไม้ชอนไชพื้นคอนกรีตจนแตกแยกออกเป็นเสี่ยง ๆ เสียงรถเบรกดัง “เอี๊ยดดด” ลั่นไปทั่วถนนจนผู้คนเริ่มแตกตื่น ทุกอย่างเริ่ม ทวีความรุนแรงมากขึ้น ต้นไม้หลายๆต้นเริ่มขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นจนผิดหูผิดตา รากของพวกมันงอกออกมาจนพื้นฟุตพาทเสียหายรากของต้นไทรที่ขยายใหญ่ จนเบียดรั้วกำ แพงของสำ นักงานจนพังครืนลงกำลังเลื้อยและไต่ขึ้นไปบนตึก ละอองเกสรดอกไม้จากที่ไหนไม่รู้ฟุ้งทั่วเมืองจนผู้คนเริ่มสับสนอลม่าน บางคน เริ่มกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว และเด็ก ๆ ร้องไห้ด้วยความตกใจ หญ้าและต้นกล้าแข่งกันดันแผ่นพื้นปูนขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน เถาวัลย์ออกมาจากตรงไหนไม่รู้พันเสาไฟจนเอียง ทำ ให้ไฟฟ้าแต่ละที่ เริ่มถูกตัดขาด กิจวัตรประจำ วันของมนุษย์ถูกหยุดด้วยพลังของกลุ่มสีเขียว ที่กำลังแสดงตัวเองออกมา เธอตัดสินใจวิ่งเข้าไปหาต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุด ในขณะที่ ต้นไม้กำลังงอกบนพื้นคอนกรีตเพื่อทวงคืนที่ที่เคยเป็นของพวกเขา “เปรี้ยง” เสียงเถาวัลย์พันคอยล์ร้อนแล้วดึงออกมาดังสนั่น ทำ ให้เธอ หยุดชะงัก ได้แต่ยืนมองโลกคอนกรีตกำลังถูกทำลาย ไม่มีใครสามารถหยุดได้ ผู้คนได้แต่หลบอยู่ใต้หลังคา ปิดหน้าต่างกันละอองเกสรให้กับเด็กๆรถบนถนน
เคารพเขา : ญดาวรรณ พืชพิสุทธิ์ 55 ต้องค่อย ๆ ถอยออกไปจนหมดทางที่จะถอยได้แต่จอดและลงจากรถ เพื่อวิ่งหนีเพราะต้นไม้กำลังขยายพื้นที่จนทั่วถนนอย่างชอบใจแน่นไปทุกพื้นที่ ทุกคนได้แต่ยืนมองจนรากต้นไม้และเถาวัลย์พันทุกส่วนของอาคารบ้านเรือน เกสรที่ลอยล่องได้ลงสู่พื้นจนงอกเงยออกเป็นดอกไม้นานาชนิด เวลาผ่านไปกี่นาทีกี่ชั่วโมงฉันไม่แน่ใจนัก ตาที่เบิกกว้างของฉัน ยังไม่อาจลบภาพเบื้องหน้าไปได้แต่ฉันรู้ได้ถึงสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย สิ่งที่ฉัน เห็นมีเพียงต้นไม้ที่ขึ้นไปทุกที่ มีหย่อมหญ้าแทนพื้นปูน เสียงเด็กในวัยหัดเดิน หัวเราะอย่างชอบใจตอนที่ได้เหยียบพื้นหญ้า ผู้คนเริ่มคลายความหวาดกลัว จากตอนแรก แต่ก็ยังมีท่าทีกังวลกับอนาคตข้างหน้า ฉันไม่สนใจ ฉันเพียงเดิน เข้าไปหาต้นไม้ต้นใหญ่ที่ยังขยายรากออกไปอย่างช้า ๆ แล้วเข้าโอบกอดต้นไม้ นั้นไว้
หลานปู่ : พงศภัค พวงจันทร์ 57 หลานปู่ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พงศภัค พวงจันทร์ นิรุตติ์รู้ว่าสังขารเริ่มบอบชํ้า เรี่ยวแรงหดหาย ดวงตาพร่าเลือน เขารู้ ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ...เป็นเรื่องปกติสำ หรับผู้ที่อยู่บนโลกนี้มาเกือบเก้าทศวรรษ ชายชราลืมตาสัมผัสได้ถึงแสงสว่าง ความเจ็บปวดที่ทรวงอก เริ่มรุกลํ้า...ใกล้เข้ามาแล้วสินะ เวลาแห่งการลาจาก แม้จะเจ็บปวดแต่ก็ช่าง ผ่อนคลาย เป็นความสุขสบายที่มาพร้อมกับความทุกข์ทรมาน โลกทั้งใบ หมุนคว้างราวกับร่างกำลังลอยขึ้น ถึงเวลาไปยังที่ที่สูงกว่า เหนือหลังคาบ้าน เหนือท้องฟ้า เหนือกว่าที่ผู้ใดจะจินตนาการถึง ...แม้เพียงแผ่วเบาแต่สัมผัสอันอ่อนนุ่มก็ปลุกชายชราให้ตื่นจาก ภวังค์ นิรุตติ์ลืมตาอีกครั้ง...ยากกว่าครั้งก่อน ต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก ถึงจะทำ ให้ระบบประสาทกลับมาทำ งานตามปกติชายชราพบว่าตนเองกำลัง นอนอยู่บนเตียง รายล้อมด้วยลูกชาย ลูกสะใภ้และเด็กชายตัวน้อยอีกคนหนึ่ง ฝ่ายหลังนี้เองที่กุมมือเขาเอาไว้ ริมฝีปากเหี่ยวย่นผุดยิ้ม นิรุตติ์เอื้อมมือไปลูบหัวหลานชายอย่างแผ่วเบา “เจ้าเปี๊ยก ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง” น่าแปลกที่ชายชราถามออกไปเช่นนี้สติของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้จะกำ ลังลูบศีรษะของเด็กชาย ทว่าสัมผัสของปอยผมอ่อนนุ่มหาได้มาถึง ประสาทการรับรู้ไม่
58 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ เปี๊ยกร้องไห้เด็กชายร้องไห้บ่อยก็จริง แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ทำ ให้ นิรุตติ์รู้สึกเศร้าและหดหู่เท่าครั้งนี้ นํ้าตาแห่งการลาจาก...นํ้าตาที่กลั่นกรอง ออกมาจากความทุกข์ทรมาน เปี๊ยกตัวเล็กสมชื่อจิตใจนั้นไม่ต้องพูดถึง มันช่าง เปราะบางและควรค่าแก่การทะนุถนอม นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ไม่ใช่แค่เขา หากแต่ เป็นทั้งหมู่บ้าน เด็กน้อยวัยแปดขวบผู้มีจิตใจสดใส และที่สำคัญคือ เปี่ยมล้น ด้วยมารยาทจากใจจริง เสียงกล่าวสวัสดีอย่างสุภาพ พร้อมการไหว้ที่นอบน้อม คือภาพจำของเด็กชายคนนี้ หากจะกล่าวว่ามารยาทของเปี๊ยก คือสิ่งที่นิรุตติ์ภูมิใจที่สุด...ก็คงเป็น ไปได้เปี๊ยกรบเร้าปู่ให้ลุกขึ้น แม้จะหมดสิ้นเรี่ยวแรง เเต่นิรุตติ์ก็กัดฟันทำตาม คำขอเป็นครั้งสุดท้ายชายชรารู้ดีว่าการลาจากกำลังจะมาถึง เขาจะใช้ช่วงเวลา สุดท้ายกับบุคคลอันเป็นที่รัก ด้านบนเฉลียงบ้านคือเก้าอี้โยกตัวโปรด เขาไม่ได้ไปสัมผัสมัน นานกว่าสามเดือนแล้ว ในตอนนี้นิรุตติ์ตัดสินใจทิ้งตัวลงบนพนักแข็ง ปล่อยให้ ร่างของตนโยกไปมาอย่างผ่อนคลาย ลมเย็น ๆ พัดมาปะทะใบหน้า ท่ามกลาง เสียงนกร้องและพระอาทิตย์ยามเช้าที่ทอประกายแสง เปี๊ยกกระโดดโลดเต้นขณะวิ่งลงจากบ้าน ตรงไปยังถนนที่ซึ่งตอนนี้ มีหญิงชราคนหนึ่งกำลังเข็นรถขายผักด้วยความยากลำ บาก เด็กชายวิ่งลงไป พร้อมช่วยดันอีกแรง เด็กที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงอีกสามถึงสี่คนเห็นดังนั้น จึงทยอยออกมาช่วย เปี๊ยกเปรียบเสมือนผู้นำ ไม่นานรถเข็นดังกล่าวก็เดินทาง ไปถึงตลาด เปี๊ยกหายไปชั่วครู่แต่ก็นานพอที่นิรุตติ์จะได้คิดทบทวนเรื่องราว ที่ผ่านมา
หลานปู่ : พงศภัค พวงจันทร์ 59 เขาเฝ้าสั่งสอนหลานชายเรื่องมารยาทพื้นฐาน เช่น การไหว้และ ช่วยเหลือคนอื่น แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ชายชราลงมือทำด้วยตนเอง ใบหน้า ของผู้หญิงอีกคนผุดขึ้นมาในหัว...เถ้าแก่เนี้ยของร้านอาหารชื่อดัง หล่อนเคย ทดสอบในวันที่เขาเข้าไปสมัครงาน ก็เรื่องการมีมารยาทนี่ละเถ้าแก่เนี้ยพูดเสมอ ว่าทุกคนที่มาทำงานกับหล่อนต้องมีกิริยาสุภาพ น่าชื่นชม หล่อนแกล้งให้ลูกน้อง คนหนึ่งเข็นรถเข็นหนักๆต่อหน้านิรุตติ์ในวัยหนุ่มซึ่งกำลังนั่งอยู่ในร้านก๋วยเตี๋ยว เขาเห็นเหตุการณ์เหล่านั้น แต่ก็ไม่คิดที่จะเข้าไปช่วยแม้กระทั่งตอนที่หญิงสาว ทรุดลงกับพื้น จานชามแตกกระจาย เขาก็ยังคงนิ่งเฉย กระทั่งอีกฝ่ายลุกขึ้น แล้วเถ้าแก่เนี้ยก้าวออกมาจากหลังกำ แพง นั่นทำ ให้นิรุตติ์รู้ว่าตนเอง ทำผิดพลาดอย่างมหันต์ เปี๊ยกกลับมาแล้ว เด็กชายหันมายิ้มให้เขาก่อนจะยกมือไหว้หนุ่มสาว คู่หนึ่งที่เดินผ่าน ทั้งคู่ทักทายเปี๊ยกอย่างเป็นกันเอง บทสนทนาทั้งหมดเด็กชาย เลือกจบด้วยคำ ว่า ‘ครับ’ ทั้งสิ้น นั่นก็ทำ ให้นิรุตติ์คิดถึงเรื่องราวในอดีต เขาพยายามสมัครงานเป็นครั้งที่สองกับเจ้าของร้านทองที่ขึ้นชื่อว่าระเบียบจัด ที่สุดในถิ่น วินาทีแรกที่พบหน้า...ไร้ซึ่งการประนมมือไหว้จากผู้สมัครงาน ระหว่าง ที่นั่งคุยกันอยู่นั้น ก็ไร้ซึ่งหางเสียงหรือคำ พูดไพเราะใดๆ นิรุตติ์ในวัยหนุ่มกึ่งเดิน กึ่งวิ่งออกมาในอีกไม่กี่นาทีให้หลัง หากคำ พูดเหน็บแนมและสายตาเหยียด หยามของเจ้าของร้านเป็นมีด ป่านนี้เขาคงโดนทิ่มแทงนับสิบแผลไม่เหลือชีวิต มานั่งมองหลานชายทำความดีต่อผู้อื่นอยู่บนเฉลียงหน้าบ้านแบบนี้อีกแล้ว คนงานก่อสร้างคนหนึ่งเดินผ่าน เปี๊ยกยกมือไหว้อีกตามเคยคิดไปคิดมา ก็น่าแปลกชายชราไม่เคยสอนหลานให้ยกมือไหว้คนงาน เขาเคยสอนแม้กระทั่งว่า
60 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ อีกฝ่ายเป็นพวกไร้มารยาท ไม่จำ เป็นต้องเสวนาด้วย แล้วเหตุใดถึง... อ้อ เขาจำ ได้แล้ว นิรุตติ์เคยได้ยินเปี๊ยกพูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า คนงานก่อสร้าง ก็เป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคนงาน ตำ รวจ แม่ค้า ครู หรือนักธุรกิจ ทุกคน ล้วนมีค่าควรแก่การไหว้เท่ากัน เพียงแค่ฐานะด้อยกว่า ไม่จำ เป็นว่าเกียรติ จะตํ่ากว่า ชายชราเลิกคิ้วด้วยความฉงนเมื่อได้ยินคำ พูดนี้...เด็กน้อยไปได้ยิน มาจากไหน? สงสัยจะเป็นพวกครูโลกสวยที่โรงเรียนกระมัง ตอนนั้น นิรุตติ์ยังไม่เข้าใจ ทว่าตอนนี้ภาพเหตุการณ์เมื่อหกสิบปีก่อน ก็ผุดขึ้นมาในมโนภาพ เขาร่อนเร่ไร้งานทำ จนตัดสินใจสมัครเป็นคนงานก่อสร้าง การทำ งานช่างยากลำ บากแต่ในเมื่อพวก‘ชั้นสูง’ ทุกคนบอกว่าเขาไร้มารยาท อาชีพพวกนี้ก็ดูจะเหมาะที่สุด การก่อสร้างไม่จำ เป็นต้องยกมือไหว้เพียงแค่ ขนดินขนทรายไปวัน ๆ เท่านั้น หารู้ไม่ว่ามารยาทไม่ได้จำกัดอยู่แค่การยกมือไหว้หรือการใช้หางเสียง มารยาทสังคม...ความมีนํ้าใจ ความไม่เห็นแก่ตัว ทั้งหมดล้วนเป็นคุณสมบัติ ของทุกอาชีพ นิรุตติ์ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงานบ่อยครั้งลุกลามไปถึงทะเลาะกับ ผู้รับเหมา เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน การว่างงานอันร้ายกาจก็กลับมาครอบงำ ไม่มีใครอยากจ้างชายหนุ่มขวางโลก วัน ๆ ไม่สนใจผู้อื่น รักเพียงแค่ตนเอง และไม่เคยแยแสหรือระมัดระวังคำ พูด ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น นิรุตติ์ก็เลือกทำ งานเป็นพ่อค้าขายขนม ฝีมือ ที่พอมีจึงทำ ให้ลูกค้าติดแม้จะไม่ชอบหน้า ทว่ารสชาติอาหารก็มาเป็นอันดับหนึ่ง ชายชราประกอบอาชีพนี้เรื่อยมากระทั่งเวลาผ่านไปห้าทศวรรษ ก็ยังไม่สามารถ กระเสือกกระสนจากร้านแผงลอยมายังร้านตึกแถวแบบที่คนอื่นเขาทำกัน ทำ ไม นะหรือ ลองไปถามคนในตลาดดูก็รู้พ่อค้านิรุตติ์...เจ้าของฉายา บัวลอยน่าซด ปากนรกหมกไหม้ หาเลี้ยงชีพมาได้ถึงห้าสิบปีตกเป็นข่าวฉาวสิบครั้ง
หลานปู่ : พงศภัค พวงจันทร์ 61 เสียงเจื้อยแจ้วปลุกชายชราให้ตื่นจากภวังค์...จะสนใจเรื่องอดีตทำ ไม ต้องอยู่กับปัจจุบันถึงจะถูก ตอนนี้เขามีลูก มีหลาน มีเด็กชายตัวน้อยที่ทำ ให้ เขาภาคภูมิใจ นิรุตติ์เฝ้าสอนหลานชายในสิ่งที่เขาไม่เคยมีเคราะห์ดีที่เปี๊ยกเป็น เด็กไม่ดื้อ ทั้งยังชอบนำ ไปต่อยอด สอนสิบทำ ร้อย สอนร้อยทำ พัน สอนให้ไหว้ ผู้ใหญ่ก็ไหว้ตั้งแต่พระไปจนถึงคนงาน สอนให้ช่วยเหลือผู้อื่น ก็ช่วยตั้งแต่ครู ไปจนถึงสุนัขจรจัด ใครกันจะดีเทียบเท่าหลานชาย...นิรุตติ์บอกได้ อย่างเต็มปากว่าไม่มี เปี๊ยกวิ่งกลับขึ้นมาบนเฉลียง พร้อมด้วยปาท่องโก๋กับนํ้าเต้าหู้ร้อน ๆ... ของโปรดเขาโดยแท้น่าเสียดายที่นิรุตติ์กินไม่ได้สิบปีที่ผ่านมาสุขภาพของเขา ทรุดโทรมจนน่าใจหาย อย่าว่าแต่ปาท่องโก๋เลย แม้แต่ของผัดของทอดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังไม่สามารถกินได้ “คุณปู่ฮะ ผมซื้อปาท่องโก๋มาฝาก ของโปรดคุณปู่ใช่ไหมฮะ” นํ้าเสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยถาม ทว่าดวงตาของชายชรากลับฉายแววผิดหวัง แน่นอน...ดวงตาของเด็กชายเป็นต้องผิดหวังตาม “ขอโทษฮะ ผมลืม...” “ไม่เป็นไรหรอก ใช่ว่าปู่จะกินไม่ได้เลย เห็นแบบนี้ปู่ก็ยังแข็งแรงนะ” นิรุตติ์บอกพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะหยิบปาท่องโก๋เข้าปาก รสชาติกรอบมัน ทำ ให้เขาหลับตา ไม่ใช่เอร็ดอร่อยหากแต่เป็นโศกเศร้า หวนคิดถึงวินาทีแรก ที่ผู้เป็นแม่ล่วงลับ นิรุตติ์ในวัยหกสิบปีกุมมือเหี่ยวแห้งนั้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ ดวงตาของอีกฝ่ายจะปิดลงเขากลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆอีกครั้ง นิรุตติ์เคยกราบแม่ บ้างหรือเปล่า เคยดูแลแม่แค่ไหน เคยซื้ออาหารโปรดให้อีกฝ่ายกินสักครั้ง หรือไม่ยากที่จะตอบ หากแต่ไม่ยากที่จะเดา
62 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ให้เดานะหรือ...แน่นอนว่าไม่เคย เเม่เคยสอนให้เขามีมารยาท มีความอ่อนน้อม เคารพผู้ใหญ่...ชายชรา ทำ ให้แม่ผิดหวังเขายกมือขึ้นประนม ก่อนจะก้มลงกราบแทบเท้าของผู้บังเกิดเกล้า นี่เป็นครั้งแรกที่นิรุตติ์ยกมือไหว้ผู้อื่นในเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา เขากำลังจะมีสภาพเหมือนแม่...ชายชรารู้ถึงความจริงข้อนั้น อีกไม่นาน ดวงจิตของเขาจะลอยไปสู่ที่ไหนสักแห่ง เปี๊ยกจะก้มลงกราบแทบเท้า พร้อมร้องไห้สะอึกสะอื้น ลูกชายของเขาก็คงทำแบบเดียวกัน นิรุตติ์รู้สึกปลื้มปริ่ม เขาช่างโชคดีที่ได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุข มือเหี่ยวย่นลูบศีรษะของเปี๊ยก ซํ้าอีกครั้ง ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะเลือนราง ชายชรารู้สึกเหมือนร่างของตน ลอยขึ้น...มุ่งสู่ท้องฟ้าที่ทอประกายแสง มุ่งสู่อ้อมแขนของผู้เป็นแม่ที่รอรับ อยู่เบื้องบน มือทั้งสองยกประนม ราวกับต้องการขอโทษความผิดที่เคยกระทำ ทิ้งโลกใบเดิมไว้ด้านหลัง ภาพสุดท้ายที่เห็นคือ ภาพดวงตารื้นนํ้าของหลานชาย และภาพของผู้คนแถวนั้นที่เหมือนจะหันมาสนใจเขาเป็นครั้งสุดท้าย ...นิรุตติ์ไม่กลับมาอีกเลย ภาพของพ่อค้าชราที่สิ้นใจอย่างโดดเดี่ยวในบ้านเช่าเก่าโทรมปรากฏ แก่สายตาของชาวบ้าน พ่อค้านิรุตติ์...หรือที่มีชื่อเล่นว่าเปี๊ยกไม่มีใครชอบเสวนา เพียงแค่ควักเงินจ่ายแลกกับขนมสูตรเฉพาะแล้วจากไป พ่อค้ารายนี้ขึ้นชื่อเรื่อง ความไร้มารยาท แม้จะสร้างความลำ บากยากเข็ญให้ตนตั้งแต่วัยหนุ่มก็ยังไม่คิด ปรับปรุง พักหลังมานี้ชายชรามีอีกหนึ่งปัญหาที่ทำ ให้ผู้คนไม่อยากจะเข้าใกล้... เขาเสียสติพรํ่าเพ้อถึงผู้เป็นแม่และหลานชายซึ่งไม่มีตัวตน
หลานปู่ : พงศภัค พวงจันทร์ 63 บางทีอาจเพราะความสำ นึกผิดลึก ๆ หลายคนเคยได้ยินพ่อค้าเปี๊ยก เฝ้าสอนหลานชาย (ซึ่งไม่มีอยู่จริง) เรื่องกิริยามารยาท ทั้งที่การกระทำของตน กลับตรงกันข้าม วินาทีแรกที่เห็นร่างเหี่ยวแห้งสิ้นใจอยู่หน้าบ้าน... ไม่มีใครโศกเศร้า มีเพียงการพูดถึงปากต่อปากเกี่ยวกับสภาพการตาย ที่น่าพิศวง ใบหน้าแย้มยิ้มผิดวิสัยของผู้ที่กำลังจะถึงฆาตแม้ตาจะปิดสนิท แต่ก็ พอดูออกว่ากำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าในวินาทีสุดท้าย ...มือทั้งสองข้างยกประนมค้างอยู่อย่างนั้น ราวกับต้องการมี‘มารยาท’ ต่อแสงแดดและสายลมที่มานำวิญญาณของตนออกไปจากโลกใบนี้
นางสาวหยาดนํ้าตา : สุรัตนา ใจงาม 65 นางสาวหยาดนํ้าตา รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สุรัตนา ใจงาม จดหมายฉบับที่ ๑ เยาวราช ๓๐ มีนาคม ๒๕๒๙ ถึง ภาวิดา สายัณห์สวัสดิ์จากเยาวราชนะเพื่อนรัก เธอเป็นอย่างไรบ้าง เป็นเวลา กว่าสามเดือนเห็นจะได้ที่ฉันไม่ได้เขียนจดหมายไปไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบเธอเลย จากเด็กหญิงผมสั้น เธอคงจะกลายเป็นสาวผมยาวสลวยแล้วกระมัง ฉันร้องไห้ อยากกลับบ้านโน้นอยู่เป็นอาทิตย์ จนอาแปะเรียกฉันว่า ‘สาวเจ้านํ้าตา’ ให้ทำอย่างไรได้ตั้งแต่ย้ายมากรุงเทพฯฉันก็ท่องตำราไม่ได้พักไม่ได้ออกเที่ยวเล่น กับเธอเช่นเมื่อก่อน มาอยู่นี่ อาแปะ อาอึ้ม รื้อตำ รามารยาทและการวางตัว มาสอนฉันเสียยกใหญ่ เห็นเช่นนั้น ฉันจึงแกล้งถามออกไปว่า ฉันดูเป็น ‘บ้านนอกเข้ากรุง’ หรือ อาอึ้มได้ยินก็หัวเราะ พลางบอกปัดว่าท่านเพียงอยาก สอนการวางตัวให้เท่านั้น เวลาเข้าเมืองจะได้ไม่ตื่นผู้ตื่นคน เป็นบ้านนอกเข้ากรุง อย่างฉันว่าข้างต้น ช่วงนี้เธอทำ อะไรบ้างหรือภาวิดา ตอนนี้ฉันกำ ลังสนใจอ่านตำ รา มารยาทไทยเล่มหนาของอาอึ้มอยู่ เธอคงจะประหลาดใจอยู่ไม่น้อยหากมาเห็น หญิงก๋ากั่นอย่างฉันมาหยิบจับตำราแต่เชื่อเถิด‘มารยาทไทย’ นี้น่าสนใจทีเดียว เห็นทีฉันต้องไปก่อนแล้ว ไว้พบเจอสิ่งใดแปลกใหม่จะเขียนมาเล่าอีก ไกลบ้านมาอย่างนี้ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน เธอก็เขียนมาทักทายกันบ้างนะ
66 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ปล.ฝากความคิดถึงถึงคุณแม่เธอด้วย บอกว่าฉันจะรีบกลับไปกินขนม ฝีมือท่าน ปล.๒ ฉันใช้ชื่อนางสาวหยาดนํ้าตา เพราะเห็นว่ามันเพราะกว่า สาวเจ้านํ้าตาเป็นไหน ๆ ฉันคิดถึงเธอเสมอ นางสาวหยาดนํ้าตา
นางสาวหยาดนํ้าตา : สุรัตนา ใจงาม 67 จดหมายฉบับที่ ๒ เยาวราช ๑๓ เมษายน ๒๕๒๙ ถึง นางสาวผมยาว หลังจากอ่านจดหมายตอบกลับของเธอจบ ฉันก็ตบเข่าฉาด เป็นอย่างไรเล่า การเดาของฉันไม่มีผิดเพี้ยน ฉันว่าเธอจะต้องเหมาะกับ ผมยาวสวยนั่นเป็นแน่ น่าเสียดายที่โรงเรียนที่ฉันสอบเข้าไม่ให้ไว้ผมยาว ไม่อย่างนั้นฉันจะถักเปียสวย ๆ ไปอวดเธอหากได้กลับบ้าน น่าเสียดายจริง ๆ วันนี้ฉันไปทำ บุญปีใหม่กับอาแปะ อาอึ้ม ตอนขึ้นศาลาฉันก้มหัว ขณะเดินผ่านผู้ใหญ่ตามปกติหลังจากนั้นมีคุณยายเข้ามาชมฉันด้วย ท่านว่า ฉันเป็นคนอ่อนน้อม แลดูกิริยาเรียบร้อยน่ารัก พ่อแม่ต้องสั่งสอนมาดีเป็นแน่แท้ เธอคงจะนึกหน้าฉันออกว่าฉันภูมิใจเพียงใด ดูซีการมีมารยาททำ ให้ฉันเป็น เด็กน่ารักได้ทันตาเห็น เย็นนี้ฉันจึงกลับมาเปิดตำ รามารยาทไทยดูก็ได้รู้อีกว่า หากเดินผ่านผู้ใหญ่นั่งอยู่ในระยะใกล้ให้เดินเข่าเอา นอกนั้นให้อยู่ในกิริยาสำรวม ว่าแล้วฉันจึงลองเอามาปฏิบัติกับอาแปะและอาอึ้มบ้าง ท่านเห็นฉันเดินเข่าเมื่อ เข้าใกล้ตอนท่านนั่งพื้น ก็พากันตกใจใหญ่โตร้องบอกเสียงดังว่าไม่ต้องทำขนาดนี้ ก็ได้บางอย่างขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและโอกาสแต่รู้ไว้ย่อมเป็นสิ่งที่ดีพูดจบ พวกท่านเห็นฉันทำ หน้าเหลอหลาก็พากันหัวเราะไม่หยุด ได้เวลาอ่านหนังสือแล้วฉันต้องขอตัวก่อน ไว้จะเขียนไปเล่าให้ฟังใหม่ อย่าเพิ่งรำคาญกันล่ะ เอ้อ! ฝากสวัสดีปีใหม่คนทางโน้นด้วยนะ สวัสดีปีใหม่แก่สาวผมยาว นามว่าภาวิดาด้วย บอกเธอทีว่า ฉันคิดถึงเสมอ ขอให้เธอมีแต่ความสุข นางสาวหยาดนํ้าตา
68 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ จดหมายฉบับที่ ๓ เยาวราช ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๒๙ ถึง เพื่อนผู้ถูกคิดถึง ก่อนอื่นฉันต้องขอโทษอย่างสุดหัวใจที่ไม่ได้เขียนจดหมายตอบกลับ เธออีกเลยหลังจากวันสงกรานต์คราวนั้น ด้วยเหตุว่าฉันมัวแต่สาละวนอยู่กับ การเตรียมตัวซื้ออุปกรณ์การเรียนและทบทวนตำ รับตำ รา เพราะใกล้เปิดเทอม เต็มทีนี่ก็เพิ่งว่างพอแบ่งเวลามาเขียนจดหมายหาเธอบ้าง ช่วงนี้โรงเรียนเปิดเทอมแล้ว อย่างที่บอกว่าฉันอ่านหนังสือไม่ได้พัก เท่านั้นไม่พอ ฉันยังเข้าร่วมกิจกรรมทั้งภายในและนอกโรงเรียนจนแทบ ไม่ได้หยุด ฉันตัดสินใจส่งเรื่องสั้นเกี่ยวกับกับมารยาทไทยไปประกวดด้วยล่ะ ภาวิดาเห็นชื่อกิจกรรมครั้งแรกฉันก็ลงชื่อเข้าร่วมการประกวดอย่างไม่ลังเลเลย เธอว่าฉันจะทำ ได้ไหม เพื่อนที่นี่ก็เก่งกันทั้งนั้น ฉันคิดว่าคงต้องหาข้อมูลและ ฝึกเขียนอีกมากโข เป็นกำลังใจให้ฉันด้วยนะเพื่อนรัก ฉันลืมเล่าไปอีกอย่าง ในตำ รามารยาทไทยที่ฉันเล่าให้เธอฟังบ่อย ๆ มีตั้งแต่การแสดงความเคารพ การรับและส่งสิ่งของ การยืน การเดิน การนั่ง ไปจนถึงการนอนเลยนะ ฉันออกจะประหลาดใจว่า แม้แต่การนอนเรายังต้อง มีมารยาทอีกหรือ แต่เมื่อเปิดอ่านฉันก็เปลี่ยนความคิดทันทีว่า มารยาทข้อนี้ เห็นจะเป็นข้อที่ฉันชอบมากที่สุด ผู้บัญญัติจะต้องเขียนขึ้นเป็นกุศโลบายเพื่อ สุขภาพที่ดีของผู้ปฏิบัติตามเป็นแน่ เพราะในตำ ราระบุว่า “…ควรนอนให้อยู่ ในท่าที่สบายที่สุด ไม่ควรนอนควํ่าเพราะจะทำ ให้อวัยวะภายในถูกกดทับหรือ นอนทับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย จะทำ ให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก…” ดูซี มารยาทไทยนี่ส่งเสริมบุคลิกภาพและสุขภาพที่ดีโดยแท้ตอนนี้ฉันตั้งมั่นไว้ แล้วว่าจะเป็นหญิงสาวมารยาทงามที่สุดในเยาวราช หากฉันกลับไปหาก็อย่า ตกใจล่ะภาวิดา เพราะฉันจะเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้เชียวล่ะ! หวังว่าจะได้เจอกันในเร็ววัน เพื่อนผู้คิดถึงเธอ
นางสาวหยาดนํ้าตา : สุรัตนา ใจงาม 69 จดหมายฉบับที่ ๔ เยาวราช ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๙ ถึง ภาวิดา ภาวิดา ฉันหวังว่าเธอจะสบายดีส่วนฉันตอนนี้นั้นเครียดเหลือเกิน จากจดหมายฉบับที่แล้ว เธอคงจะจำ ได้ว่าฉันตัดสินใจส่งประกวดเรื่องสั้น เกี่ยวกับมารยาทไทยยามนี้ฉันตื้อตันไปหมดอาจเพราะความด้อยประสบการณ์ ผสมกับความกังวลเกินไปของฉัน แน่ล่ะ ก็การประกวดครั้งนี้รวบรวมผลงาน จากนักเรียนทั่วประเทศเชียวนะ ฉันเครียดจนแทบร้องไห้อยู่หลายหน แต่ใน ความกังวลนั้น ฉันก็หวังว่าฉันจะทำ มันออกมาได้ดีเธอช่วยเป็นกำลังใจให้ฉัน ด้วยนะ ปล. ฉันแนบบางส่วนของเรื่องสั้นที่ฉันเขียนไปกับจดหมายด้วย หากเธอพอมีเวลาว่าง ช่วยเปิดอ่านและบอกฉันหน่อยนะว่ามันเป็นอย่างไร ฉันควรแก้ไขตรงไหนหรือไม่อันที่จริงฉันก็ปรึกษาคุณครูแล้วแต่อยากให้เธอได้ ลองอ่านเหมือนกัน ส่งมาบอกกันด้วยนะ ฉันจะรอ ด้วยความคิดถึง นางสาวหยาดนํ้าตา
70 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ จดหมายฉบับที่ ๕ เยาวราช ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๒๙ ถึง ภาวิดา เธอเป็นอย่างไรบ้างภาวิดา ที่โน่นเรียนหนักไหม ที่นี่เรียนค่อนข้างหนัก อย่างเขาว่ากัน ฉันก็มีสอบย่อยเป็นพักๆการบ้านก็แสนยากจนฉันอยากจะถอดใจ เสียให้ได้ถ้าเธออยู่ด้วยกันคงฟังฉันบ่นจนเบื่อแน่ ๆ เธอก็รู้เพื่อนของเธอ คนนี้น่ะขี้บ่นเสียยิ่งกว่าอะไร ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นกับฉันมากมายเลยอย่างแรก ที่ฉันอยากเล่าให้เธอฟังคือ เมื่ออาทิตย์ก่อนหลังจากฉันส่งเรื่องสั้นไปประกวด คุณครูมาบอกผลการประกวดกับฉันแล้วนะ ลองทายดูซีว่าฉันตื่นเต้นแค่ไหน ตอนนั้นใจของฉันมันแทบระเบิดออกมาจากอกเลย เธอก็รู้ว่าฉันทุ่มเท และคาดหวังกับการแข่งขันครั้งนี้มากเพียงไร นึกย้อนไปแล้วก็อดสงสารตัวเอง ไม่ได้ที่มานั่งคิดไม่ตกกับการแต่งเรื่องสั้นอยู่เป็นเดือน ๆคาดว่าเธอคงเข้าใจดีเลยล่ะ เพราะฉันส่งจดหมายไปบ่นกับเธอเสียยาวเหยียด แต่เธอรู้อะไรไหม ภาวิดา เรื่องสั้นที่ฉันส่งประกวดไปมันไม่ชนะคุณครูปลอบใจฉันบอกว่าฉันทำ เต็มที่แล้ว ทว่าฉันไม่ได้เสียใจกับผลการประกวดอย่างที่คิดเลยอาจเป็นเพราะฉันได้เต็มที่ กับมันตั้งแต่เริ่มต้น หรือเพราะสิ่งที่ฉันได้กลับมานั้น มีค่ามากกว่ารางวัลที่ได้รับ ฉันได้รู้ว่าการเป็นคนมีมารยาทไม่เพียงส่งเสริมบุคลิกภาพที่ดีแต่มันยังทำ ให้ การแสดงออกทั้งทางกาย ทางวาจาและทางใจของฉันเป็นไปในทางที่ดีอีกด้วย ฉันได้รับคำชมอยู่บ่อย ๆ เกี่ยวกับกิริยามารยาท อาแปะ อาอึ้มก็พลอยได้รับ คำชมไปด้วยว่าสอนหลานมาดีแต่สุดท้ายแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้รับคำชม ฉันก็ จะยังคงยินดีเสมอที่จะสำรวมกิริยาของตนเองฉันรู้สึกว่าการมีมารยาทไม่เพียง แสดงถึงความเคารพต่อผู้อื่น มันยังหมายถึงการเคารพต่อตัวของฉันเองฉันรู้สึก ดีต่อตัวเองที่ได้แสดงความเคารพและความอ่อนโยนแก่ผู้อื่นผ่านการกระทำ ที่มี
นางสาวหยาดนํ้าตา : สุรัตนา ใจงาม 71 มารยาท นอกจากนี้มารยาทไทยยังทำ ให้ฉันได้ตระหนักว่า เราควรทำดีต่อผู้อื่น ทั้งทางกายและทางใจเธอลองนึกดูซีหากเราไม่คิดดีกับคนอื่นจริงๆเราจะแสร้ง ทำดีกับคนอื่นไปตลอดรอดฝั่งได้หรือจริงไหม ด้วยเหตุนี้ฉันจึงไม่นึกขุ่นเคืองใจ หรืออิจฉาผู้ที่ชนะเลยออกจะยินดีกับเขาเสียด้วยซํ้าอยากเห็นกับตาอยากอ่าน กับปากเหลือเกินว่าผลงานของเธอผู้นั้นจะเป็นอย่างไรต้องสละสลวยจับใจแน่ๆ เอ้อ ฉันลืมบอกไป ผู้ชนะการประกวดครั้งนี้ชื่อภาวิดาเหมือนเธอเลย แต่นามสกุลอะไรฉันไม่ยักจำ ได้ฉันว่าเธอผู้นั้นต้องสวยเหมือเธอเป็นแน่ แต่คง ใจดีได้ไม่เท่าเพื่อนรักของฉันหรอก จริงไหมเพื่อนรัก ด้วยรัก นางสาวหยาดนํ้าตา
ประทับใจแรกพบ : ทักษิณ ทุนเกิด 73 ประทับใจแรกพบ รางวัลชนะเลิศ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และอุดมศึกษา ทักษิณ ทุนเกิด “ทานให้อร่อยนะครับ” ผมส่งยิ้มพร้อมกับโค้งตัวเล็กน้อยหลังจากที่ได้เสิร์ฟนมสดคาราเมล นมชมพูและฮันนี่โทสต์ให้กับนักเรียนมอปลายที่มาติวหนังสือสอบด้วยกัน อย่างเงอะ ๆ งะ ๆ ถึงแม้ว่าจะเริ่มทำ งานเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ตั้งแต่ หลายชั่วโมงแล้วก็ตาม สามชั่วโมงก่อน… ผมหยุดยืนอยู่หน้าร้านคาเฟ่ใกล้มหาวิทยาลัย หลังทราบข่าว การรับสมัครพนักงานพาร์ทไทม์ให้มาช่วยงานภายในร้าน ที่นี่เป็นคาเฟ่สำ หรับ คนรักสัตว์แมวหลากหลายสายพันธุ์ถูกเลี้ยงไว้ภายในร้าน ทำ ให้คาเฟ่แห่งนี้ ดูมีชีวิตชีวา และแตกต่างออกไปจากคาเฟ่อื่น ๆ ละแวกเดียวกัน หน้าร้านเต็มไปด้วยความสดชื่นจากต้นไม้ต้นเล็ก ๆ ปลูกไว้ ตามแนวผนังอิฐสีครีมอมส้ม สีดำ สนิทที่ตัดกับผนังกระจกใสนั้นช่วยเพิ่ม ความน่าสนใจให้กับที่นี่ได้เป็นอย่างดีทะลุกระจกเข้าไปเห็นเฟอร์นิเจอร์ไม้ขัดมัน โทนสีนํ้าตาลเข้ม ต้องแสงไฟสีส้มอ่อน ๆ นั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นเป็นกันเอง บรรยากาศเหล่านี้ช่วยทำ ให้ผมผ่อนคลายจากอาการประหม่าลงไปไม่น้อย ผมสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มขั้วปอด เพื่อเรียกความมั่นใจก่อนที่ จะเปิดประตูเข้าไปในร้าน เสียงกระดิ่งทองเหลืองตรงขอบประตูดังกรุ๊งกริ๊ง เรียกให้เจ้าเหมียวที่กำ ลังหลับอยู่ในตะกร้าสานลืมตาตื่นขึ้นมองผู้มาเยือน ดวงตาสีเฮเซลนัทใสแปวจ้องมองมาทางผมด้วยทีท่าไม่ใส่ใจ ๋ ก่อนที่จะเบือนหน้า หนีซบลงบนอุ้งเท้าเล็ก ๆ ทั้งสองข้างไปอีกทาง ขนสีขาวสะอาดกับใบหน้า ที่ย่นยู่ยี่ ทำ ให้เจ้าเหมียวตัวนี้ดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก มันนอนอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งผมยื่นมือไปเกาใต้คางเพื่อเอาอกเอาใจมัน ในที่สุดก็ประสบผลสำ เร็จ เจ้าเหมียวบิดขี้เกียจ กระดิกหางไปมา แล้วส่งสายตาเป็นมิตรมาให้ “สวัสดี” ผมเริ่มทักทายเจ้าแมวขี้เซา
74 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ “เมี๊ยวววว” เสียงตอบรับดังตามมา “ฉัน…พลับ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ปีเตอร์” ผมเรียกชื่อเจ้าเหมียวตัวนี้ ตามตัวอักษรที่สลักอยู่บนจี้สแตนเลสทรงกลม ซึ่งแขวนอยู่ที่คอของมัน “ขอฝากเนื้อฝากตัวกับนายไว้ล่วงหน้านะ ปีเตอร์” ผมเอามือลูบหัว เจ้าเหมียวจนมันหลับปุ๋ยอีกครั้ง ผมมองหาเจ้าของร้านเพื่อที่จะสอบถามเกี่ยวกับงานพาร์ทไทม์ที่ได้ ติดประกาศไว้ตรงประตูทางเข้าผมกวาดสายตามองไปรอบ ๆเห็นแมวตัวอื่น ๆ ที่อยู่ภายในร้านประมาณเก้าถึงสิบเอ็ดตัว แมวแต่ละตัวมีลักษณะรูปร่างและ สีที่แตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ของมัน ตรงมุมขวาของร้านมีคอนโดแมวอยู่ สองหลัง เห็นเด็กผู้ชายอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกำลังขะมักเขม้นใส่อาหาร อัดเม็ดและนมสำ หรับแมวลงในจานทีละจาน ส่วนฝั่งซ้ายเป็นเคาน์เตอร์สั่งอาหาร และเครื่องดื่ม มีชายวัยกลางคนกำลังเซ็ตเครื่องชงกาแฟอย่างสบายอารมณ์ ผมเดินเข้าไปหาแล้วยกมือไหว้ทักทายอย่างสุภาพ ก่อนที่จะบอกจุดประสงค์ สำคัญในการมาที่นี่ เขาส่งยิ้มมาให้อย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะโบกไม้โบกมือเป็นนัยให้ผม นั่งรอก่อนสักประเดี๋ยว ผมสังเกตเห็นเขากำ ลังง่วนอยู่กับการเปิดร้านให้ทัน ตามกำ หนดเวลาในตอนเช้า ผมจึงเดินไปนั่งรอตรงที่นั่งติดกับผนังกระจกใส ต้นหูกวางหน้าร้านที่บดบังแสงแดดยามเช้าทำ ให้เกิดเงาลอดผ่านกระจกเข้ามา เป็นรูปทรงบิดเบี้ยวเกาะอยู่ตามเพดานราวกับการแสดงละครเงา มันเคลื่อนตัว อย่างเชื่องช้าตามสายลมและแสงแดด ที่เปลี่ยนทิศทางไปตามพระอาทิตย์ ซึ่งกำลังโผล่พ้นขอบฟ้า และพยายามเขยื้อนตัวให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ผมสะดุ้ง เล็กน้อยเมื่อชายวัยกลางคนสะกิดเรียก พร้อมกับยื่นโกโก้อุ่น ๆ มาให้ผมกล่าว ขอบคุณก่อนที่จะรับแก้วโกโก้มาถือไว้ในมือ เขานั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามกับผม แล้วตั้งตารอให้ผมพูดก่อน “สวัสดีครับ ผมชื่อพลับ เรียนอยู่คณะเศรษฐศาสตร์ปีสอง มาสมัคร เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ครับ” ผมแนะนำ ตัวอย่างเป็นทางการ นํ้าเสียง ที่ค่อนข้างเร็วและดังด้วยอาการตื่นเต้นนั้น ทำ ให้คุณลุงเจ้าของร้านแอบอมยิ้ม
ประทับใจแรกพบ : ทักษิณ ทุนเกิด 75 พลางหัวเราะเบา ๆ แล้วบอกให้ผมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อผ่อนคลายอาการ ประหม่า “มาสมัครงานนี่เอง วันนี้พร้อมทดลองงานมั้ยล่ะ”คุณลุงเจ้าของร้าน ตอบรับอย่างว่าง่ายพร้อมกับก้มลงไปอุ้มเจ้าเหมียวตัวสีดำ ที่คลอเคลียอยู่ที่ขา ขึ้นมาไว้บนตัก “ทดลองงานวันนี้เลยเหรอครับ” ผมตอบอย่างตื่นเต้นทั้งยังงุนงง ในเวลาเดียวกันว่า ทำ ไมคุณลุงเจ้าของร้านถึงได้รับผมเข้าทำ งานง่ายขนาดนี้ โดยไม่ถามถึงสิ่งที่ผมเตรียมมาเพื่อตอบคำถามในการสมัครงานเลยสักคำ “อืม… ได้เลย ถ้าทดลองงานแล้วไม่มีปัญหาอะไรและคิดว่าจะทำ งาน ที่นี่ต่อเดี๋ยวเราค่อยคุยเรื่องค่าแรงและเวลามาทำงานหลังเลิกงานวันนี้ก็แล้วกัน” คุณลุงพูดด้วยโทนเสียงอบอุ่น “อ้อ… ลืมไป ลุงชื่อนพนะ เรียกลุงนพก็ได้ส่วนหนุ่มที่กำ ลัง แปรงขนแมวอยู่ตรงนั้นชื่อ อิน เขาเป็นหลานลุงเอง ลุงวานให้เจ้าอินมาช่วย ดูแลแมวให้เวลาว่างๆแต่เจ้าอินก็มาช่วยลุงดูแลเจ้าพวกนี้มากกว่าที่ลุงได้ขอไว้ เสียอีก” ลุงนพพูดพลางหัวเราะ “เจ้าอินเป็นเด็กไม่ค่อยพูดแต่ก่อนเกเร พอได้มาเลี้ยงแมวก็เปลี่ยนไป เป็นคนละคน” ผมนั่งฟังอย่างตั้งใจและสบตาลุงนพตลอดเรื่องเล่าเรื่องราวเหล่านี้ทำ ให้ ผมรู้จักอิน ผู้ช่วยคนสำคัญของลุงนพมากขึ้น ลุงนพเรียกให้อินไปเอาผ้ากันเปื้อน มาให้ผม ระหว่างนั้นก็เริ่มสอนการทำงานในร้านอย่างคร่าวๆ ทั้งเรื่องการแนะนำ เมนูอาหาร การต้อนรับลูกค้า การเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่ม รวมไปถึง การทำความสะอาดจานชาม ก่อนที่จะลุกเดินมาตบไหล่ผมแล้วพูดให้กำลังใจ “ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป… ไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวประสบการณ์จะช่วยให้เรา ทำ งานได้ดีขึ้น” ผมใส่ผ้ากันเปื้อนและเริ่มทบทวนเมนูอาหารที่มีในร้านระหว่าง ที่รอให้ลูกค้ามาใช้บริการ ผมเงยหน้าหลังจากที่ได้ยินเสียงกระดิ่งตรงทางเข้า เด็กนักเรียนสองคนเดินเข้ามาในร้านกับหนังสือที่หอบมาเต็มไม้เต็มมือ
76 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ผมวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยถือหนังสือพร้อมกับบอกให้น้องนักเรียนเลือกโต๊ะ ที่จะนั่ง โต๊ะทางขวาของร้านเหมาะที่สุดสำ หรับการติวหนังสือ เพราะไม่มี เสียงรบกวนจากเครื่องบดเมล็ดกาแฟและเครื่องปั่นนํ้าผลไม้ทั้งสองเลือกนั่ง ฝั่งขวาใกล้คอนโดแมวซึ่งตรงกับที่ผมคิดไว้ผมจดเมนูอาหารแล้วเอาไปให้ลุงนพ มือผมสั่นด้วยความตื่นเต้น แต่ก็พยายามที่จะควบคุมสติอารมณ์เอาไว้ “ทานให้อร่อยนะครับ” ผมยิ้มพร้อมกับโค้งตัวเล็กน้อยหลังจากที่ได้ เสิร์ฟนมสดคาราเมล นมชมพูและฮันนี่โทสต์ให้กับนักเรียนมอปลายที่มาติว หนังสือสอบด้วยกันอย่างเงอะ ๆ งะ ๆ ผมสงสัยว่าที่ทั้งสองคนหัวเราะคิกคัก อย่างสนุกสนาน อาจเป็นเพราะความเงอะงะของผม หรือเพราะเรื่องที่พวกเขา แอบซุบซิบอยู่กันแน่ ผมยิ้มและเอามือลูบหัวแก้เขิน ก่อนที่จะกลับมาประจำ ที่เคาน์เตอร์ ผมที่ง่วนอยู่กับการจดจำ เมนูอาหารสะดุ้งตกใจ เมื่อหญิงสาว ร่างสูงโปร่งเรียกทักทาย ผมเงยหน้ามองแล้วรีบยกมือไหว้อย่างสุภาพ เดรสลายลูกไม้สีชมพูพาสเทลกับกิ๊บลายดอกเดซี่ ยังเป็นภาพจำ ในคาบเรียน วิชาเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม และนี่คืออาจารย์ประจำ ภาคคณะเศรษฐศาสตร์ ซึ่งสอนวิชาที่ว่านั้น อาจารย์ถามนู่นถามนี่เกี่ยวกับการทำ งานอย่างเอ็นดู ก่อนที่จะสั่งอเมริกาโนร้อนกับเค้กแยมส้มแล้วเดินไปจับจองที่นั่งที่มีเจ้าเหมียว ลายสลิดครอบครองโต๊ะตัวนั้นอยู่ “ได้แล้วครับอาจารย์”ผมหยิบอเมริกาโนกับเค้กแยมส้มวางลงบนโตะ๊ “แต๊งกิ้วจ้ะ” อาจารย์อุ้มเจ้าเหมียวลายสลิดไปวางไว้บนตัก “อ้อ…ไหนๆก็เจอเธอแล้วคาบหน้าอาจารย์ติดประชุมนะไม่ได้เข้าสอน ยังไงเดี๋ยวอาจารย์จะฝากงานไว้ให้ฝากบอกเพื่อน ๆ ด้วยละกัน” “ได้ครับอาจารย์ทานให้อร่อยนะครับ”ผมโค้งตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วเดินกลับมาประจำ ที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง ระหว่างที่ผมกำ ลังทำ ความสะอาดโต๊ะเด็กนักเรียนที่เพิ่งกลับไป หลังจากติวหนังสือเสร็จเสียงกระดิ่งตรงทางเข้าดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้เป็นคุณตา ที่เดินเข้ามาในร้านอย่างงุ่มง่ามกับไม้เท้าคู่ใจผมรีบเข้าไปช่วยพยุงและพาคุณตา
ประทับใจแรกพบ : ทักษิณ ทุนเกิด 77 ไปนั่งตรงโตะที่ติดกับผนังกระจกใส ๊ ซึ่งสามารถมองเห็นสวนหย่อมตรงลานหญ้า หน้าร้านได้อย่างชัดเจน คุณตาส่งยิ้มให้แทนคำขอบคุณก่อนที่จะสั่งเมนูอาหาร “ชาพีชที่หนึ่งจ้ะหลาน” คุณตาสั่งเครื่องดื่มโดยไม่เปิดดูเมนูอาหาร ของทางร้าน ทำ ให้ผมพอเดาได้ว่าคุณตาคงเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ สักพัก อินเดินเข้ามาพร้อมกับหนังสือเล่มกะทัดรัด ใบไม้แห้งที่คั่นไว้เกือบท้ายเล่ม เลยหน้ากระดาษขึ้นมายิ่งทำ ให้ผมมั่นใจได้เลยว่าคุณตาเป็นลูกค้าประจำ ชอบทานชาผลไม้และต้องการที่จะมาอ่านหนังสือที่ได้อ่านค้างคาไว้ตั้งแต่ ครั้งที่แล้วให้จบ อินยื่นหนังสือให้คุณตาก่อนที่จะกลับไปดูแลเจ้าเหมียวต่อผมถาม คุณตาว่าจะรับของหวานทานคู่กับชาพีชหรือเปล่าคุณตาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้ว บอกว่าเป็นอะไรก็ได้นํ้าตาลน้อย ๆ ผมยกชาพีชมาเสิร์ฟคู่กับครัวซองต์เนย คุณตาส่งยิ้มให้ผมอีกครั้ง ก่อนที่จะจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือต่อด้วยความใคร่รู้ผมจึงคุกเข่านั่งลง ข้างเก้าอี้ที่คุณตานั่งแล้วเอ่ยปากถามคุณตาเกี่ยวกับเนื้อหาภายในหนังสือเล่มนั้น ว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรคุณตาเงยหน้าขึ้นมาแล้วตอบคำถามผมด้วยรอยยิ้ม “บางครั้ง... ผู้ใหญ่นั้นชอบหลงลืมไปว่าตัวเองก็เคยเป็นเด็กมาก่อน” คุณตาตอบผมด้วยนํ้าเสียงเอ็นดูก่อนที่จะพูดต่อ “เจ้าชายน้อย… หนังสือเล่มนี้อยู่ในความทรงจำของตาตั้งแต่ยังเด็ก เรื่องราวของเจ้าชายตัวน้อยจากดาวต่างดวงสุนัขจิ้งจอกและดอกกุหลาบ ทำ ให้ ตาหวนคิดคำ นึงถึงช่วงเวลาเหล่านั้น” คุณตายังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น “เมื่อผมโตขึ้น ผมอยากจะเป็นผู้ใหญ่อย่างคุณตา… คุณตาที่อบอุ่น ใจดี และเป็นที่รักของเด็ก ๆ ” ผมตอบคุณตาอย่างนอบน้อม “แน่นอน… หลานจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้และสามารถเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ มากกว่าตาเท่าที่หลานเลือกที่จะเป็น” คุณตาลูบหัวผม ผมหัวใจพองโตและรู้สึกตื้นตันใจกับพรที่คุณตามอบให้ผมลุกขึ้น แล้วบอกลาคุณตาด้วยเกรงว่าจะรบกวนเวลาอ่านหนังสือของคุณตา อีกทั้ง ผมยังต้องกลับไปทำ งานต่อ นี่จึงเป็นความคิดที่ดีที่จะทำ ให้คุณตามีช่วงเวลา แห่งความสุขกับการอ่านหนังสือมากขึ้น
78 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ อากาศที่ร้อนอบอ้าวของเที่ยงวันทำ ให้เมนูประเภทเครื่องดื่มเย็น เป็นที่ต้องการของลูกค้าเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเจ้าเหมียวที่ลุงนพเลี้ยงไว้ก็เริ่ม กางแขนขานอนแผ่หลาเพื่อระบายความร้อนอยู่บนพื้น ผมช่วยลุงนพเตรียม เค้กวันเกิดให้กับลูกค้าที่โทรมาสั่งจองไว้เค้กแบล็คฟอร์เรสต์ขนาดสองปอนด์ ที่ถูกแต่งแต้มด้วยชื่อและอายุครบขวบบนหน้าเค้กยิ่งทำ ให้ดูน่าทานมากขึ้น อินได้ตกแต่งโต๊ะกับยกเก้าอี้เสริมมาวางไว้ให้หนุ่มน้อยอายุสามขวบอย่าง พิถีพิถัน ไม่นานนัก คุณแม่เดินจูงมือลูกชายตัวน้อยเข้ามาในร้าน เด็กน้อยใส่ ชุดแมวเหมียวเดินเตาะแตะไปอุ้มเจ้าเหมียวขนปุกปุยอย่างน่ารักน่าเอ็นดูและ ด้วยความซนทำ ให้คุณพ่อต้องวิ่งไล่จับไปมาอยู่หลายครั้ง งานวันเกิดเริ่มขึ้น ผมยกเค้กมาเสิร์ฟพร้อมกับแท่งเทียนสีสันสดใส เด็กน้อยแววตาเปี่ยมสุขเมื่อเห็นแสงไฟลุกโชนอยู่ที่ปลายเทียน ทุกคนในร้าน ร่วมร้องเพลงวันเกิดกันอย่างสนุกสนาน คุณแม่ตัดเค้กให้กับลูกน้อยหลังจาก ที่เป่าเทียนเสร็จเรียบร้อยแล้วแต่ด้วยความบังเอิญเจ้าเหมียวตัวหนึ่งกระโดดข้าม ทำ ให้จานเค้กหล่นลงพื้น เด็กน้อยตกใจและเริ่มร้องไห้แม้ว่าคุณพ่อคุณแม่ จะช่วยกันปลอบแล้ว แต่เจ้าหนูก็ยังไม่หยุดร้อง ความคิดหนึ่งได้ผุดขึ้นมาในขณะที่ผมกำ ลังเก็บจานเค้กที่ตกพื้น ผมจึงรีบไปตามอินเพื่อให้มาร่วมในแผนการครั้งนี้ผมและอินหยุดยืนอยู่หน้า หนุ่มน้อยวัยสามขวบ บนหัวมีที่คาดผมหูแมวขนฟูน่ารัก หมึกสีดำ บนจมูกและ หนวดที่ถูกวาดบนสองข้างแก้มทำ ให้เจ้าหนูหยุดร้องไห้เราเริ่มร้องเพลงและ เต้นท่าแมวเหมียวที่ได้เตรียมกันไว้ไม่ถึงนาทีท่าทางเก้ๆ กัง ๆ ทั้งของอินและ ของผมทำ ให้เด็กน้อยเริ่มหัวเราะ ผมช่วยเช็ดคราบนํ้าตา ส่วนอินเอาลูกกวาด รูปแมวให้เป็นของขวัญ ทุกคนในร้านปรบมือให้กับพวกเรา ทำ ให้อินที่เป็นคน ไม่ค่อยพูดเขินจนแก้มแดง “ขอบคุณมากนะคะถ้าไม่ได้พวกหนูช่วยไว้ลูกน้าคงยังไม่หยุดร้องไห้” คุณแม่ขอบคุณเราทั้งสองคนอย่างจริงใจ “ไม่เป็นไรครับ พวกเราอยากช่วยให้เจ้าหนูหยุดร้องไห้กันอยู่แล้ว” ผมตอบคุณแม่พร้อมกับค้อมตัวตอบรับคำขอบคุณ
ประทับใจแรกพบ : ทักษิณ ทุนเกิด 79 “ผมต้องขอโทษแทนแมวของทางร้านด้วยที่ก่อปัญหา” อินโน้มตัว เชิงขอโทษ “ไม่เป็นไรจ้ะ เจ้าเหมียวมันก็ซนอย่างนี้แหละ เหมือนกับลูกน้า” คุณแม่พูดอย่างไม่ถือโทษโกรธเคือง “ขอบคุณมากครับ ต่อไปเราจะเอาใจใส่เจ้าเหมียวพวกนี้ให้มากขึ้น” ผมและอินโน้มตัวขอโทษอีกครั้ง เจ้าหนูน้อยปรบมือแปะ ๆ ส่วนคุณพ่อคุณแม่ก็ยิ้มให้พวกเรา อย่างเอ็นดูทั้งยังให้ทิปอีกก่อนที่จะออกจากร้าน ผมวุ่นอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้า จนลืมสังเกตไปว่า ลุงนพได้เฝ้ามองเหตุการณ์นี้อยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ ความมืดมาเยือนเมื่อพระอาทิตย์คล้อยตํ่าลาลับฟ้า ไฟทุกดวง ทั่วบริเวณคาเฟ่สว่างขึ้น เจ้าเหมียวเดินป้วนเปี้ยนไปมาด้วยถึงเวลาตื่นจาก การหลับใหลตลอดวัน ลูกค้าในช่วงเวลานี้จะเป็นคนหนุ่มสาวเสียส่วนใหญ่ มีคู่รักหลายคู่ที่มาใช้บริการคาเฟ่ในเวลานี้โตะหนึ่งตรงมุมอับของร้าน ๊ มีชายหนุ่ม นั่งอยู่กับแฟนสาวดูจากชุดที่ใส่คู่กันแล้วคงจะเป็นเดทแรกของพวกเขาผมเข้าไป สอบถามเมนูอาหารพร้อมกับแนะนำ เซ็ตเมนูอาหารสำ หรับคู่รักซึ่งทางร้านมีไว้ เพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ “ตอนนี้ทางร้านของเรามีโปรโมชั่นสำ หรับคู่รัก เซ็ต Sweetheart จะประกอบไปด้วย สตรอว์เบอร์รี่โยเกิร์ตสำ หรับสองท่าน เค้กมิกซ์เบอร์รี่ มาการองนมชมพูและไอศกรีมแฮนด์เมดสตรอว์เบอร์รี่ถั่วแดงซึ่งเป็นสูตรเฉพาะ ของทางร้าน เหมาะสำ หรับการออกเดทเป็นอย่างมากครับ ลูกค้าสนใจที่จะ สั่งมั้ยครับ” ผมแนะนำ เมนูอาหารได้คล่องขึ้นหลังจากที่พยายามจดจำ และ ทำความเข้าใจมันมาตลอดทั้งวัน “งั้น… เราขอรับเป็นชุดนี้ละกันครับ”ชายหนุ่มตอบด้วยความพึงพอใจ “อ้อ… สตรอว์เบอร์รี่โยเกิร์ตแก้วหนึ่งขอหวานน้อยนะคะ” หญิงสาว พูดเสริม “ได้ครับ รอสักครู่นะครับ” ผมส่งยิ้มให้ทั้งสองคนก่อนที่จะเอาเมนู มาให้ลุงนพ
80 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ผมนำ เซ็ตเมนูอาหาร Sweetheart มาเสิร์ฟพร้อมกับกุหลาบขาว ที่ลุงนพได้เตรียมไว้ให้กับคู่รักคู่นี้ซึ่งจัดเป็นของสมนาคุณจากทางร้านที่พวกเขา ได้สั่งเซ็ตเมนูอาหารคู่รัก ผมรู้สึกอิ่มใจเมื่อเห็นพวกเขาทานของหวานกันด้วย รอยยิ้ม กุหลาบขาวคงทำ ให้บรรยากาศการออกเดทของคนหนุ่มสาว เป็นที่น่าจดจำ มากขึ้น ลุงนพเป็นคนที่รู้วิธีในการมอบความสุขให้กับลูกค้า การใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆของลุงนพทำ ให้มีลูกค้ามากมายมาใช้บริการ คาเฟ่แห่งนี้สิ่งที่ลุงนพพยายามสอนผมมาตลอดทั้งวันนั้น ทำ ให้ผมเข้าใจเมื่อได้ เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุขของพวกเขา และสิ่งสำ คัญที่ลุงนพ พรํ่าบอกเสมอในการให้บริการคือการวางตัวและมารยาทที่ดีที่เราจะต้องปฏิบัติ ต่อลูกค้าทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ฝนปรอย ๆ เริ่มส่งเสียงเปาะแปะไปทั่วลานหญ้าหน้าร้าน ในขณะที่ ผมกำ ลังง่วนอยู่กับการทำ ความสะอาดภายในร้าน ลุงนพกับอินช่วยกันพา เจ้าเหมียวทุกตัวเข้านอน เกือบที่ผมจะทำความสะอาดเสร็จแล้วนั้น เจ้าเหมียว ที่ผมได้ฝากเนื้อฝากตัวด้วยตั้งแต่เช้า เดินมาคลอเคลียขาแล้วนอนลงตรงข้าง เท้าผม ผมอุ้มมันขึ้นมา แอบกระซิบฝากเนื้อฝากตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ก่อนที่จะนำ เจ้าเหมียวตัวอ้วนนี้ไปให้กับอิน แต่อินกลับบอกว่าที่นอนของเจ้าปีเตอร์ คือ ตะกร้าที่วางอยู่ข้างหน้าประตูร้าน ผมจึงต้องปล่อยมันลงเสียแต่โดยดี ฝนตกหนักขึ้น ผมและอินจึงต้องนั่งรอให้ฝนซาลงหน่อยก่อนที่จะกลับ หอพัก ลุงนพได้ชงมอคค่าร้อนให้อินและชงลาเต้เย็นให้ผมหลังจากที่รู้ว่าเป็น เครื่องดื่มที่ผมชอบ ความเงียบเกิดขึ้นเมื่อบทสนทนาเริ่มขาดตอน ในระหว่าง ที่รอให้ฝนหยุดตกผมเลยถามถึงเหตุผลที่ลุงนพรับเข้าทำ งานโดยที่ไม่สัมภาษณ์ หรือดูผลงานที่ผมนำ มาสมัครเป็นพนักงานพาร์ทไทม์เลย “ทำ ไมลุงนพถึงรับผมเป็นเด็กพาร์ทไทม์โดยไม่ทดสอบหรือถามคำถาม ผมเลยสักคำถามครับ” ลุงนพทำ เป็นครุ่นคิด แม้ว่านัยน์ตาจะส่อแววให้เห็นถึงคำ ตอบ ที่มีอยู่ก่อนแล้ว
ประทับใจแรกพบ : ทักษิณ ทุนเกิด 81 “เพราะว่าพลับผ่านบททดสอบตั้งแต่เปิดประตูเดินเข้ามาในร้านแล้ว ลุงเห็นเราตั้งแต่ยืนอยู่หน้าร้าน และลุงก็สังเกตอยู่ตลอด” ผมทำ หน้าสงสัย อยากได้รายละเอียดเพิ่มเติม “มันคือความประทับใจแรก... พลับทำ ให้ลุงประทับใจด้วยการทักทาย เจ้าปีเตอร์ เจ้าเหมียวที่นอนเฝ้าประตูอยู่ทุก ๆ เช้า ลุงเชื่อว่าการทักทาย เป็นมารยาทแรก ๆ ที่สำคัญต่อการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในสังคม การทักทาย แสดงให้เห็นถึงการให้เกียรติต่อบุคคลทั้งที่เรารู้จักและไม่รู้จัก พลับทักทายและ แนะนำตัวกับเจ้าปีเตอร์เหมือนกับที่ทักทายและแนะนำตัวกับลุงซึ่งนั่นแสดงให้ เห็นว่าพลับเป็นเด็กมีมารยาทที่ดีแม้แต่สัตว์ตัวเล็กๆ พลับก็ยังทักทายราวกับว่า มันเป็นเพื่อนคนหนึ่งรอยยิ้มที่อ่อนโยน แววตาที่เป็นมิตรและการกระทำ ที่พลับ แสดงออกมา ทำ ให้ลุงเชื่อว่าพลับสามารถให้บริการลูกค้าด้วยมารยาทที่ดีได้ และก็เป็นจริงตามที่ลุงเชื่อ” ผมตื้นตันใจเป็นอย่างมาก “วันนี้ลุงเห็นว่าพลับเป็นที่รักของอาจารย์อ่อนน้อมถ่อมตนกับคุณตา รู้จักแก้ปัญหา และเข้ากันได้ดีกับคนหนุ่มสาว นี่จึงเป็นคำ ตอบที่พลับได้ เติมลงไปในแบบทดสอบของลุง” ลุงนพส่งยิ้มให้อย่างจริงใจ ผมไร้ซึ่งข้อกังขา ความสงสัยหายไปเป็นปลิดทิ้ง “ผมจะทำงานอย่างเต็มที่หลังจากนี้ต้องขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” ผมบอกลุงนพด้วยความตื้นตันใจเป็นที่สุด ฝนหยุดลงแต่หัวใจยังเต้นอยู่ คำชื่นชมต่อการกระทำของผมนั้นช่วย เติมเต็มให้หัวใจผมพองโตขึ้น ความเหนื่อยมลายหายไป ความสุขเข้ามายึดครอง พื้นที่ความอ่อนล้า ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า การมีมารยาทที่ดีนั้นสำคัญแค่ไหน... ผมหวังว่าเรื่องราวเหล่านี้จะช่วยปลอบประโลมจิตใจทุกผู้คน ที่ซึ่งเปลือกแห่งความแข็งกร้าวได้ถูกกะเทาะกลายเป็นมารยาทอันงดงาม แล้วได้ เข้ามาเติมเต็มหัวใจดวงน้อย ๆ จนกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้โลกใบนี้น่าอยู่ มากยิ่งขึ้น
จังหวะสำคัญ : พงศ์ระพี จิตตรง 83 จังหวะสำ คัญ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และอุดมศึกษา พงศ์ระพี จิตตรง ชั้นเรียนมัธยมปลายห้อง๒๕๑๔ช่วงหลังเที่ยงวันดวงอาทิตย์สาดแสงจ้า นักเรียนกำ ลังนั่งทำ กิจกรรมยามพักระหว่างรออาจารย์ บ้างนั่งคุยกัน บ้างนั่งหลับ ในหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอกำลังขึ้นกราฟิกหมุนเป็นวงกลม แสงแดดสะท้อนเงาของผู้ที่ถือมันเช่นกัน แป๊ก เด็กหนุ่มวัย ๑๗ ปีหันโทรศัพท์ ไปทางอื่น ข้างๆแป๊กคือ ภูเด็กหนุ่มวัยเดียวกันที่นั่งฟังเพลงในหูฟังด้วยอิริยาบถ สบายใจ นี่คือกิจวัตรปกติของเด็กที่กำลังรออาจารย์จนกระทั่ง “โธ่กากว่ะ!” แป๊กพูดด้วยเสียงอันดัง ภูสะดุ้งหันมา แป๊กยังคงพูดจา หยาบคายในเกมโทรศัพท์ที่เขาเล่น จนตอนนี้เพลงสากลที่เขาฟังมีคำ พูดของ แป๊กปนมาในเนื้อร้องแล้ว “เฮ้ย” ภูเรียกค่อย ๆ “เล่นเบา ๆ ก็ได้” แป๊กหันมามองแล้วยิ้ม “โทษ ๆ” แป๊กพูด แต่เมื่อมีเสียงในโทรศัพท์ ดังตอบมา แป๊กก็ด่ากลับไปด้วยเสียงดังเท่าเดิม ภูถอนหายใจแล้วย้ายที่นั่ง จากใกล้ประตูห้องไปยังฝั่งริมหน้าต่าง ภูเลือกหาเก้าอี้ว่าง จากนั้นก็นั่งใส่หูฟัง เสียงกระดิ่งดัง เขาเก็บหูฟังแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะข้าง ๆ แป๊ก แต่แป๊ก ยังคงเล่นเหมือนเดิม เพื่อนในห้องส่วนหนึ่งกำลังคุยกันต่อส่วนหนึ่งมองมาที่แป๊ก ด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย ส่วนหนึ่งนั้นปลงเสียแล้ว เช่น ภู “ภูๆ ข้อนี้ตอบอะไร” เพื่อนร่วมชั้นสะกิดถามหลังจากเขานั่ง เพื่อนคนหนึ่งยื่นการบ้านให้เขา ซึ่งเป็นงานที่จะต้องส่งในคาบที่จะถึง มันคือ การบ้านเกี่ยวกับประโยคแกรมมาร์ภาษาอังกฤษที่ต้องตอบว่า ประโยคที่กำ หนดมา ทำ ให้เป็น Passive Voice อย่างไร ภูมองข้อที่เพื่อนชี้เพื่อนถามต่อว่าจะแยก ระหว่างพวก past กับ present อย่างไร
84 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ “นายได้ลองท่องตามชีทที่อาจารย์ให้ยัง” ภูถาม เพื่อนส่ายหัว “นายก็ต้องมาดู- - ” “นายไม่จำ เป็นต้องจำ ร้อยอย่างหรอก บางทีจำ แค่หลักพื้นฐาน อย่างเดียวว่า เราเล่ามันในประโยคแบบไหน ถ้ารู้แล้วก็จำ ว่าใช้ตัวช่วย เหมือนเดิม แล้วเปลี่ยนกิริยาเป็นช่องสามก็จบ” แป๊กกำลังก้มหน้าเล่นเกมอยู่ชิงตอบ ภูมองหน้าเขาก่อนจะหันไปมอง เพื่อนแล้วพยักหน้าในทำ นองว่าประมาณนั้น เพื่อนทวนคำ พูดของแป๊กก่อนจะ ขอตัวออกไป อาจารย์เดินเข้ามา ภูใช้ศอกสะกิดเพื่อน แป๊กรีบวางโทรศัพท์ลง เขากระซิบว่าใกล้จะจบแล้ว ทั้งห้องเงียบเมื่อต้องทำความเคารพอาจารย์กิม อาจารย์ภาษาอังกฤษในวัยต้น ๕๐ ปล่อยผมยาวไปข้างหลังในชุดสีฟ้า เธอยิ้ม ให้นักเรียน เธอคืออาจารย์ประจำชั้น “ทุกคนคงทราบแล้วนะคะ จากประกาศหน้าเสาธงเมื่อเช้านี้ว่า งานกิจกรรมต้อนรับคณะกรรมการงานโอเพ่นเฮาส์นี้จากสำ นักงานใหญ่จะมา กล่าวเปิดงานวันนี้อย่างนั้นครูจะเรียกตัวแทนห้องเลยแล้วกัน จะได้เรียนกันต่อ” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทุกคนหันไปมองแป๊ก เขายิ้มขอโทษ อาจารย์ ส่ายหัวก่อนจะพูดต่อ ทุกคนรู้กันดีว่าตัวแทนห้องจากแต่ละห้องในทุกระดับชั้น คือนักเรียนชาย นักเรียนหญิงที่ได้ผลการเรียนดีที่สุด ๓ ลำดับแรก แป๊กส่ายหัวพลางบ่นกับภูว่าขี้เกียจไป เขาเงียบเมื่ออาจารย์ประกาศ รายชื่อ “นักเรียนหญิงก็มีมินท์ เนตร ดาว นะคะ” อาจารย์หยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “ส่วนฝ่ายชายมีเขต ภู วัตร ค่ะ เดี๋ยวหมดคาบนี้แล้ว ก็ไปเตรียมตัวกันด้วยนะคะ” ภูทำ หน้าสงสัย เขาหันไปมองแป๊กที่ยังดูนิ่ง ๆ หากแต่สีหน้านั้น ซ่อนความฉงนเอาไว้ไม่ได้ภูทำ ท่าจะยกมือถาม แป๊กจับไหล่เขาแล้วส่ายหัว “ดีแล้ว ๆ”
จังหวะสำคัญ : พงศ์ระพี จิตตรง 85 ภูพยักหน้าก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้ยังสงสัยอยู่เล็กน้อยในเมื่อ ตามลำดับจริง ๆ แล้ว แป๊กนั้นคือคนที่ได้อันดับดีกว่าเขา แสงแดดลดอุณหภูมิส่องสีทองออกมาทั่วเมืองในยามเย็น คนมากมาย กำลังเดินขวักไขว่ตามสะพาน เพื่อไปยังขนส่งสาธารณะโดยสถานีต่อไปคือบ้าน ของพวกเขาในกลุ่มคนที่เดินกันขวักไขว่นั้น แป๊กเดินอยู่กับภูภูใส่หูฟังตามปกติ ของเขา แต่แป๊กเดินเงียบ ๆ ไม่เหมือนปกติของเขา แป๊กกำลังต่อสู้กับความคิดของตัวเองในขณะที่อีกฝ่ายบอกว่าก็ดีแล้วไง ต้องไปทำกิจกรรมตรงแถวหน้า น่าเบื่อจะตาย เล่นก็ไม่ได้ แถมต้องถูกนักเรียน ในอาคารจ้องอีก แต่อีกฝ่ายก็ถามว่า แล้วไม่สงสัยเหรอว่า ทำ ไมครูถึงไม่เลือกเรา ครูมีอคติกับเราชัด ๆ จนสายความคิดที่ทำ ให้เขาคิดเลยไปที่ว่า ใครจะอยากมี ปัญหา หรือว่าไม่ชอบขี้หน้าเขาสิ่งที่เขาทำ นั้นเขาไม่ได้คิดจะทำ ให้ใครเดือดร้อน เขาแค่เล่นสนุก ไม่ได้คิดอะไรมากมาย “เป็นอะไร ท้องผูกเหรอ” ภูถาม “บ้า”แป๊กตอบ เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปแซวภู“เออ… โอกาส มาถึงทั้งที่ ทำ ไมไม่เลียตูดพวกกรรมการไว้อ่ะ เผื่อเขาจะรับเข้ามหาลัยไรงี้ไง” ภูเลิกคิ้วสงสัย “เห็นไปยืนเป็นตัวแทนคิดว่าเท่อะดิโคตรเฉิ่มอะ” “ขอโทษละกันที่ชวนคุย” ภูเดินเร่งไปข้างหน้า แป๊กหัวเราะแล้วบอกว่าล้อเล่น เขาวิ่งมาหาภู ก่อนจะสะกิดให้เขาแวะร้านขนมเค้กเป็นเพื่อน มันคือร้านที่มีขนมเค้กออกมา วางขายหน้าร้าน ข้าง ๆ จะมีนักดนตรีข้างถนนที่เล่นกีตาร์ไฟฟ้าเปิดหมวกอยู่ โดยที่ร้านเค้กเสียบลำ โพงกีตาร์แป๊กเดินมาหยุดที่ร้านเค้กเมื่อซื้อเสร็จเขาเดินไป แต่เท้าสะดุดปลั๊กไฟจนเสียงกีตาร์ที่กำลังบรรเลงตัวโน้ตอย่างอ่อนนุ่มหายวับ ไปกับอากาศ แป๊กพูดขอโทษแบบไม่ใส่ใจก่อนจะเดินต่อ ภูยืนงง นักดนตรีส่งเสียง เรียกแป๊ก เขาหยุด ทั้งคู่จ้องหน้ากัน นักดนตรีนั้นเริ่มหน้านิ่ว ในขณะที่แป๊ก ยังนิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อน
86 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินเต็มทีตอนที่แป๊กกลับถึงบ้าน เขาเปิดประตูรั้ว ก่อนจะเดินผ่านสวนหน้าบ้าน เล็ก ๆ เข้าบ้านไป บ้านของเขาเป็นบ้านสองชั้นสีขาวเทาคลุมโทนบ้านทั้งหลังให้ความรู้สึก สบายตา สมกับเป็นที่พักและวิมานสงบจิตสงบใจของแป๊ก แป๊กเดินผ่านห้องนั่งเล่นไปยังห้องครัว เห็นแม่กำ ลังทำ อาหารอยู่ เขาสวัสดีแม่แล้วถามถึงน้องสาวกับพ่อแม่ตอบว่า พ่อพาน้องสาวไปร้านดนตรี ของเขา แป๊กพยักหน้า เขาวางถุงขนมเค้กที่ซื้อมาลงบนโต๊ะ “นี่ขนมเค้ก ซื้อมาให้ม๊ากับแปมนะ” แม่ขอบคุณเขาแล้วถามถึงชีวิต ในวันนี้แป๊กอารมณ์เปลี่ยนทันที “อย่าถามเลยม๊า หงุดหงิด” แล้วแป๊กก็เดินขึ้นบันได ทิ้งแม่ให้อยู่กับ ความงุนงง แป๊กเข้ามาในห้องของเขา มันคือห้องสีฟ้า ที่มีรูปโปสเตอร์วงดนตรี แปะอยู่เต็มห้องแป๊กวางกระเปาแล้วก็เดินไปหยิบกีตาร์ ๋ จากนั้นก็บรรเลงตัวโน้ต ให้มันกลายเป็นความรู้สึกที่ห่อหุ้มกายเขา ปกป้องเขาจากสิ่งแย่ ๆ ที่เจอมา ในวันนี้ เวลาผ่านไปราวสี่บทเพลง เขาวางกีตาร์ลงแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ เมื่อเข้าเว็บ Facebookเขาพบว่าเขามีแจ้งเตือนมากมายและเมื่อเข้าไปดูมันคือ เพื่อนของเขาที่กล่าวถึงเขาในคลิปที่เขากำ ลังทะเลาะกับนักดนตรีข้างร้าน ขนมเค้กนั้น ซึ่งเนื้อความในคลิปนั้นสรุปได้ว่า นักดนตรีนั้นไม่พอใจในคำขอโทษ ของแป๊ก และการที่เขามาบอกว่า ก็ขอโทษไปแล้วนั้น ทำ ให้เขาโมโหมากขึ้น ซึ่งแป๊กนั้นยิ่งทำ ให้เรื่องแย่ลงเข้าไปอีก โดยการไปพูดจาล่วงเกินการเล่นดนตรี ของเขาในทำ นองว่า ห่วยแตก สู้ฝีมือการเล่นของตนไม่ได้ “ถ้าสายหลุดก็เสียบใหม่ดิฝีมือก็ห่วยแตก เล่นแค่ข้างถนน จะมา หัวร้อนเพื่อ...” เมื่อการทะเลาะเริ่มรุนแรง เจ้าของร้านเค้กต้องออกมาห้าม ส่วนภูนั้น ก้มหัวขอโทษนักดนตรีไปหลายรอบ ในขณะที่ต้องลากแป๊กออกมาจากตรงนั้น
จังหวะสำคัญ : พงศ์ระพี จิตตรง 87 วินาทีนั้น เขารู้สึกอับอายและเสื่อมเกียรติเป็นที่สุด และยิ่งเห็น พวกเพื่อนของเขาล้อเลียนเขาในทำ นองว่า “ดังแล้ว”, “ก่อเรื่องตลอด” ทำ ให้ เขายิ่งอารมณ์เสีย แต่เขาไม่ยอมเสียหน้าโดยการโชว์อารมณ์ร้อนของเขา ในโลกออนไลน์แน่ๆเขาโพสต์ตอบเพื่อนในทำ นองว่าไม่สนใจเรื่องไร้สาระเหล่านี้ เขาคลิกไปที่กลุ่มนักดนตรีที่เขาเป็นสมาชิกอยู่ นี่เป็นอีกที่ที่ทำ ให้เขา ได้สงบ การได้ฟังเรื่องราวความคิดเห็นจากนักดนตรีเหมือนกันจากทั่วประเทศ การได้เรียนรู้เทคนิคใหม่ ๆ ทำ ให้เขามีความสุข พอ ๆ กับเวลาที่เขาแสดง ความคิดเห็นกวนประสาทในโพสต์ของเพื่อน แป๊กลงไปข้างล่างและพบว่าแปม น้องสาววัย ๑๒ ขวบของเขาเพิ่งกลับ มาจากเรียนดนตรีที่ร้านดนตรีของพ่อเขาทักทายแปมเล็กน้อยจนเมื่อแปมเห็น เค้กในตู้เย็นก็กระโดดโลดเต้น หลังทานอาหารเย็น สองพี่น้องทำกิจวัตรประจำ วันกัน คือการเล่น ดนตรีด้วยกัน แป๊กจะเล่นกีตาร์ ในขณะที่แปมจะเล่นคีย์บอร์ดและร้องเพลง ทั้งคู่เล่นเพลงเดิมเป็นครั้งที่ร้อยแต่ถึงอย่างนั้น มันก็ทำ ให้แป๊กลืมเรื่องราววันนี้ ได้หมดสิ้น แปมขอให้เขาสอนดีดกีตาร์ซึ่งแปมพอจะจับคอร์ดได้หลายคอร์ด แต่ยังติดที่การดีด “นี่ดีดตามจังหวะนี่ ๔ ครั้ง” แป๊กดีดให้น้องดูเป็นจังหวะ “ไม่ต้องจำ วิธีดีดแบบอื่นหรอก จำ พื้นฐานพอ เดี๋ยวที่เหลือมันก็มาเอง” “เหรอ ๆ ขี้โม้อ่ะ” แปมว่า แป๊กขยี้หัวน้องสาว วันต่อมา หลังจากทานอาหารเช้าและช่วยแม่ล้างจานแล้ว แป๊กบอก กับแม่ว่าจะขึ้นไปทำ งานกลุ่มกับเพื่อนบนห้อง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ทำ รายงาน การศึกษาด้วยตนเอง โดยมีเขาและภูอยู่กลุ่มเดียวและมีเพื่อนอีก ๓ คน ซึ่งจะมีการประชุมสายโทรศัพท์กัน เมื่อแป๊กกับภูเข้าไปในสาย พวกเขาก็ถูก เพื่อนล้อถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แป๊กหัวเราะและทำตลกกลบเกลื่อน ส่วนภูนั้นไม่พูดอะไร
88 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ระหว่างคุย แป๊กหยิบกีตาร์มาเล่น ในขณะที่เพื่อนนั้นกำลังถกกันว่า จะทำ หัวข้ออะไรดีจนภูนั้นต้องบอกให้แป๊กเงียบลงหน่อย แป๊กรับคำ และ เบาเสียงกีตาร์ก่อนจะค่อย ๆ ดังขึ้นมาอีก เพื่อนไม่สนใจ “เรามาทำ เรื่องเกี่ยวกับรณรงค์เรื่องการทำงานร่วมกันของโลกออนไลน์ และสังคมกลุ่มมั้ย” เพื่อนคนหนึ่งเสนอ ภูเห็นด้วย อีก ๒ คนเริ่มเออออ ก่อนแป๊กจะโพล่งขึ้นมา “ไม่เอาอะ มาทำ เรื่องดนตรีดีกว่า ทุกคนก็ชอบฟังดนตรีกันไม่ใช่เหรอ” ไม่มีใครพูดอะไร ภูถอนหายใจก่อนจะถามว่า “อยากทำ เรื่องอะไร แป๊ก” แป๊กยักไหล่แม้จะไม่มีใครเห็น แล้วเขาก็โยนให้กลุ่มคิดซึ่งกลุ่มแย้งว่า ถ้าไม่มีหัวข้อก็ยึดเรื่องเดิมเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เมื่อแป๊กได้ยินแบบนั้น ก็รับทราบ แต่เขากวนทุกคนด้วยเสียงกีตาร์ของเขาที่จู่ๆก็ดังขึ้นมาจากนั้นเขา ก็บอกทุกคนว่า ล้อเล่น เมื่อพฤติกรรมนี้ยังเกิดขึ้นตลอดการประชุม ภูพูดขึ้นมาว่า “โอเค พอ” นั่นคือประโยคสุดท้ายที่แป๊กได้ยิน เพราะรู้ตัวอีกทีเขาก็ หากลุ่มที่คุยไม่เจออีกเลย แป๊กเดินออกไปหน้าบ้าน หลังพยายามติดต่อภูทางโทรศัพท์เขาเปิด ประตูบ้านแล้วเดินไปนอกรั้ว แล้วมองไปที่บ้านตรงข้ามที่ประตูเปิดออกและ ภูที่เดินตรงมาหาเขา “เฮ้ย ล้อเล่นเอง ต้องเตะออกจากกลุ่มเลยเหรอ” แป๊กถาม “นายก็เห็นว่าเรากำลังคุยงาน นายยังไม่สนใจเลย” ภูพูด “โอเค ๆ ไม่เล่นแล้ว” แป๊กพยายามยิ้ม แต่ภูยังคงจ้องหน้าเขา ด้วยสายตาหงุดหงิด “เพราะแบบนี้ไง เราถึงต้องทำ หัวข้อ ‘การอยู่ร่วมกัน’ อย่างน้อย มันก็น่าจะสะกิดใจคนในกลุ่มเราสักคนหนึ่ง” “อ้าว หมายความว่าไง… เฮ้ย แค่เล่นสนุกเอง ที่ฉันอยากให้เปลี่ยน หัวข้อ ก็ไอ้เรื่องกฎการอยู่ร่วมกันมันมีเยอะจะตาย ดีไม่ดีเป็นร้อยข้อ”
จังหวะสำคัญ : พงศ์ระพี จิตตรง 89 “แล้วจะอ่านมั้ยล่ะ เพื่อนน่าจะสบายใจ” “นี่จะบอกว่าฉันต้องอ่านหนังสือเป็นร้อยหน้าเพื่อให้คนอื่นสบายใจ เนี่ยนะ บ้าแล้ว” “นายไม่จำ เป็นต้องจำ เป็นร้อยข้อหรอกแค่ข้อเดียวอย่างความเคารพ รู้บ้างมั้ย” ภูถาม แป๊กนิ่ง “ถ้านายรู้จักเคารพกันซักหน่อย ไอ้ร้อยข้อที่ว่า มันเป็นสิ่งที่นายจะทำ ได้เอง โดยไม่ต้องจำด้วยซํ้า… เหนื่อยเปล่า นายยังไม่ เคารพตัวเองเลย…” ภูพูดเสร็จ เขาก็หันหลังเดินกลับบ้านตัวเอง ตลอดวันนั้น ยังไม่มีการเชิญแป๊กกลับเข้ากลุ่มประชุมงาน นั่นหมายถึง การที่เขาต้องหากลุ่มใหม่ แป๊กนั่งบนเก้าอี้ในห้อง กีตาร์วางบนตัก สายตาเหม่อลอย เสียงแจ้ง เตือนดังขึ้น เขาหันไปดูมันคือแจ้งเตือนจากกลุ่มนักดนตรีของเขา เมื่อเขาคลิก เข้าไปดูมันคือคลิปที่เขาทะเลาะกับนักดนตรีคนนั้น “จากใจนักดนตรีด้วยกัน ขอเป็นกำลังใจให้คุณนักดนตรีคนนั้นครับ อย่าไปสนใจขี้ปากของเด็กแบบนั้นเลย สิ่งที่คุณทำอยู่มันไม่ได้ทำ ร้ายใครนี่ครับ ทำต่อไป สู้ๆ ส่วนเด็กในคลิปนี่ ไม่นึกเลยว่า เด็กสมัยนี้จะมีนิสัยขี้เหยียด แบบนั้นนะครับ” ถ้านั่นทำ ให้เขามือสั่นแล้ว ช่องแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์นั้นคงแทบ จะทำ ให้เขาเป็นลม เมื่อมีคนมากมายแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเขาในทางลบ บ้างก็ถึงขั้นด่าเสีย ๆ หาย ๆ ในวันอาทิตย์นั้น แป๊กอยู่ในห้องทั้งวัน นอนอยู่บนเตียง สายตา เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง บางครั้งเขาก็คิดว่าเขาอยากจะจ้องมอง ดวงอาทิตย์ให้ตามันดับมืดไปเลย แต่เขาก็คิดได้ว่า นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับการที่ ปากของเขาพาซวย จนในช่วงเย็นเมื่อเริ่มใจเย็นลง เขาลงมาข้างล่างเพื่อหาอะไรทาน แป๊กเจอน้องสาวเขานั่งเล่นเกมโทรศัพท์มือถืออยู่บนโซฟา ส่วนพ่อกับแม่นั้น ออกไปทำธุระข้างนอก เขาเปิดตู้เย็นแล้วหยิบขวดนมออกมา กำลังจะเปิดขวด จนได้ยินน้องสาวของเขา
90 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ “โถ่ กากว่ะ” แปมพูด แป๊กตาโตด้วยความงุนงง ก่อนจะเดินไปหา น้องสาวที่ยังคงสบถถ้อยคำด่าใส่โทรศัพท์อยู่ “ทำอะไรอะ แปม” แป๊กถาม ค่อย ๆ เดินมาหาเธอ แปมเงยหน้า ขึ้นมอง เธอปิดเสียงไมโครโฟน ก่อนจะยิ้มให้แป๊ก “ก็มันเล่นกากอ่ะ ก็เลยด่าไป” แปมตอบ แป๊กฉงน “บ้าเหรอแปม เล่นดีๆ สิ” พอแป๊กพูดจบ แปมก็ขมวดคิ้ว “อะไร แปมก็ทำแบบพี่อ่ะ” “พี่แค่พูดขำ ๆเล่น ๆเองแปม”แป๊กตอบ แปมเอียงคอด้วยความสงสัย “จริงเหรอ” “จริงสิแปม”แป๊กเดินมานั่งข้างแปม “พี่แค่อยากเล่นสนุกเท่านั้นเอง” แปมได้ฟังก็นิ่งไป ลืมแม้กระทั่งเกมที่ตัวเองเล่นอยู่ “แล้วคนที่เขามาเล่นกับพี่ เขาก็มาด่าเอาสนุกเหมือนกันใช่มั้ย” แปมถาม คราวนี้แป๊กเป็นฝ่ายที่นิ่ง ไปเสียเองจากนั้นก็หันไปมองแปมที่ร้อง เพราะตัวละครในเกมเธอแพ้เพราะหัน มาคุยกับแป๊ก เขาถอนหายใจ “แปม มาเล่นดนตรีกัน” แป๊กชวน แปมทำ หน้างง แต่เขายืนกราน ทำ ให้แปมวางเกมแล้วไปเล่นดนตรีกับแป๊ก ทั้งคู่เล่นดนตรีด้วยรอยยิ้ม ในระหว่างที่บรรเลงเพลง แปมหยุด เพื่อส่งจังหวะให้แป๊กร้องบ้างแต่เขาเพียงแค่ยิ้ม แล้วก็ดีดกีตาร์ต่อไป แปมยิ้มแล้ว หัวเราะเบา ๆ วันต่อมา แป๊กกับภูในชุดนักเรียน ยืนอยู่ห่างจากหน้าร้านเค้กเป็นระยะ ๑๐ เมตร ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เกิดเรื่องเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว แป๊กสะพายกระเป๋ากีตาร์ มาด้วย ภูตบไหล่แป๊กก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเข้าไปใกล้ๆ นักดนตรีที่กำลังเตรียม ลำ โพงอยู่ภูคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาจากในเสื้อแล้วเปิดกล้องถ่ายรูป แต่แป๊กยกมือห้าม “คนจะได้รู้ไงว่ามาขอโทษแล้ว” แป๊กส่ายหัว
จังหวะสำคัญ : พงศ์ระพี จิตตรง 91 “ใครจะรู้ไม่สำ คัญแล้วล่ะ” แป๊กพูด แล้วเดินตรงไปหานักดนตรี คนนั้น เขาหยุดแล้วมองแป๊ก“ผมทำ เรื่องผิดพลาดมากมายเมื่อวานซืน แต่สิ่งที่ ผมอยากจะขอโทษที่สุดคือการดูถูกความเป็นนักดนตรีของพี่ ทั้งๆ ที่ผมก็เป็น นักดนตรีเหมือนกัน ซึ่งสิ่งที่ผมทำ ผมแก้ตัวว่า ผมวิจารณ์พี่ไม่ได้ด้วยซํ้า… ผมอยากจะบอกว่า..” แป๊กหันไปมองภูก่อนจะหันกลับ “ผมขอโทษนะพี่” นักดนตรีมองหน้าเขานิ่ง ๆ ก่อนจะยิ้มออกมา ภาพที่ภูเห็นตรงหน้า ทำ ให้เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อนักดนตรีต่างวัยต่างวาระ ๒ คนกำ ลังบรรเลงดนตรีด้วยกัน ทั้งที่ ๒ วันก่อนนั้น ยังเกือบจะมีเรื่องกันอยู่เลยและช่างไพเราะด้วยเรื่องราวและเสียง ที่ต่างระดับกันถูกบรรเลงอย่างสอดคล้องกัน มันเป็นเหมือนสิ่งที่ทำ ให้คนที่ ผ่านไปผ่านมาต้องหยุดมอง บางคนก็คว้าโทรศัพท์ออกมาแล้วเริ่มถ่าย นักดนตรี คนนั้นหยุดร้องแล้วส่งจังหวะไปให้แป๊ก เขาก็เอื้อนคำ ร้องออกมาด้วยเสียง ที่กินใจของทุกคนที่ได้ฟัง ภูมองเขาอย่างแปลกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ภูได้ยินเขา ร้องเพลงแล้วมันทำออกมาได้ยอดเยี่ยม ภูมองไปที่ฝูงชนแล้วก็ยิ้มออกมา ตะวันใกล้จะลับฟ้าแล้ว ทั้งสองคนเดินไปตามทางเดิน มันมีความเงียบ ระหว่างทั้งสองคนอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่แป๊กจะพูดขึ้นมา “เหตุการณ์นี้ทำ ให้ฉันหลอนกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำ ไปอีกนานเลยว่ะ พอมองย้อนดูตัวเอง” แป๊กพูด ภูมองเขาแล้วยิ้ม “เสียงนายเพราะดีนะ… ความจริงถ้าพูดให้น้อยหน่อยแล้วร้องเพลง ให้มาก ๆ เหตุการณ์นี้อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้” ภูว่า แป๊กร้องอย่างไม่เชื่อหูจากนั้น ทั้งสองก็เดินหยอกล้อกันไปตลอดทางกลับบ้านของตน ดวงอาทิตย์กำลังจะหายไปจากขอบฟ้า นั่นก็เพื่อที่จะได้ปรากฏใหม่ ในวันรุ่งขึ้น